[บันทึกการเดินทาง] พลังเหมันต์อ่อนแรง

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-7-6 22:33:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด






สามวันผ่านไปนับตั้งแต่เรือมินิบานาน่าออกเดินทางจากท่าเรือบอสตัน ท้องทะเลสีครามสุดลูกหูลูกตาคือภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเอโลอิส แจสเปอร์ และป้าคาเรนมาโดยตลอด แสงแดดอันร้อนแรงสาดส่องลงมากระทบผิวน้ำจนระยิบระยับ และแผดเผาผิวของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีครีมกันแดดสารพัดยี่ห้อในถุงสายรุ้งของป้าคาเรนคอยเป็นผู้ช่วยชีวิตให้รอดพ้นจากรังสียูวี แต่ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยาวนานก็เริ่มกัดกินพวกเขาอย่างช้า ๆ "นี่มันนอร์เวย์แน่เหรอเนี่ย!" ป้าคาเรนบ่นอุบขณะใช้มือพัดใบหน้าตัวเองพลางมองผืนน้ำกว้างใหญ่ที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด "ฉันว่าเราหลงทางแล้วแน่ ๆ เลย!" แจสเปอร์ที่กำลังนั่งแกะซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีกซองก็เงยหน้าขึ้นมามองป้าคาเรนด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ "ป้าครับ เรือมันมีระบบออโต้ไพลอตนะ มันจะหลงทางได้ไง" "ออโต้ไพลอตบ้าบออะไรกัน! ดูสิ…นี่มันทะเลชัด ๆ ไม่เห็นมีแผ่นดินเลยสักนิด!" ป้าคาเรนเถียงกลับทันควัน พร้อมกับกวาดสายตาไปรอบ ๆ อีกครั้งอย่างสิ้นหวัง เอโลอิสที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้แต่ถอนหายใจ เธอรู้สึกหิวจนท้องร้องโครกคราก และเบื่อหน่ายกับการมองเห็นแต่ท้องฟ้ากับน้ำทะเลมาสามวันเต็ม ๆ "จริง ๆ ป้าคาเรนก็พูดถูกนะแจสเปอร์ มันแปลก ๆ จริง ๆ นั่นแหละ" "ใช่ไหมล่ะ! ฉันบอกแล้ว! แล้วดูสิ แดดแรงขนาดนี้ผิวฉันเสียหมดแล้วมั้งเนี่ย" ป้าคาเรนโวยวาย "ครีมกันแดดก็หมดไปหลายหลอดแล้วนะ! แล้วอาหารก็เหลือน้อยลงทุกที" เคอร์ติสที่เกาะไหล่เอโลอิสอยู่ก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้วเสริม "ใช่แล้วขอรับคุณเอโลอิส กระผมก็หิวแล้วเหมือนกัน!" แจสเปอร์มองซองยำยำช้างน้อยในมือที่เหลืออยู่ไม่กี่ซอง แล้วก็ถอนหายใจ "ก็คงต้องกินแบบประหยัด ๆ ไปก่อนแหละครับป้า อีกอย่าง ของจำเป็นในถุงสายรุ้งป้าก็มีเยอะแยะนี่ครับ ลองรื้อดูอีกทีสิ" ป้าคาเรนพยักหน้า ก่อนจะเริ่มรื้อค้นถุงสายรุ้งใบมหึมาของเธออีกครั้ง ไม่นานนักเธอก็หยิบแผนที่เก่า ๆ แผ่นหนึ่งออกมา "อ๊ะ! นี่มันแผนที่นี่นา!" ป้าคาเรนร้องออกมาด้วยความดีใจ "ฉันลืมไปเลยว่ามีมันอยู่ในนี้ด้วย" เอโลอิสกับแจสเปอร์รีบขยับเข้าไปใกล้เพื่อดูแผนที่ทันที แผนที่นั้นเป็นกระดาษที่ดูเก่าแก่ มีร่องรอยการใช้งานมาอย่างยาวนาน และมีสัญลักษณ์แปลก ๆ เต็มไปหมด "นี่มัน…" แจสเปอร์เลิกคิ้ว “แผนที่ไหว้พระเก้าวัด…โธ่!...มันจะไปใช้ได้ยังป้า” เอโลอิสกรอกตา เหมือนมีความหวังขึ้นมานิดนึงแล้วถูดับไปภายในไม่กี่นาที ขณะที่ความสิ้นหวังเริ่มครอบงำทุกคน เคอร์ติสที่เกาะไหล่เอโลอิสอยู่ก็กระพือปีกถี่ยิบ พร้อมกับส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วอย่างตื่นเต้น “คุณเอโลอิส! คุณเอโลอิส! ดูนั่นสิขอรับ! ทางนั้น!” เคอร์ติสพยายามชี้ปีกเล็ก ๆ ไปทางขอบฟ้าด้านหนึ่ง เอโลอิสที่คุยกับเคอร์ติสเข้าใจอยู่คนเดียวรีบหันตามทิศทางที่เคอร์ติสชี้ไปทันที เธอหยิบกล้องส่องทางไกลคูที่พกติดกระเป๋าคาดเอวมาด้วยขึ้นมาส่องดูอย่างรวดเร็ว ภาพที่ปรากฏในเลนส์ทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัว! ไกลลิบ ๆ สุดขอบฟ้า มีเงาตะคุ่มขนาดใหญ่ลอยอยู่...มันคือเรือขนาดใหญ่! ไม่ใช่เรือประมงลำเล็ก ๆ หรือเรือยอชต์ส่วนตัว แต่เป็นเรือขนาดมหึมาที่ดูคล้ายเรือโดยสารขนาดใหญ่แต่ยังไม่ชัดนัก "แจสเปอร์! ป้าคาเรน! ดูนั่นสิ!" เอโลอิสร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้นปนดีใจ เธอรีบยื่นกล้องส่องทางไกลให้แจสเปอร์ แจสเปอร์รับกล้องมาส่องดู ดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจและดีใจ "โอ้โห! เรือใหญ่มากครับป้า! ไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหมเนี่ย!" ป้าคาเรนรีบแย่งกล้องไปส่องดูบ้าง ใบหน้าของเธอที่ซีดเซียวมาหลายวันก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง "จริงด้วย! ฉันเห็นแล้ว! รอดแล้ว! เราต้องรอดแล้วแน่ ๆ!" ทั้งสามคนต่างพากันหยิบไม้พายขึ้นมาช่วยกันจ้วงน้ำสุดแรงเกิด หวังจะให้เรือมินิบานาน่าลำจิ๋วเคลื่อนที่ไปหาเรือปริศนาลำนั้นให้เร็วที่สุด แม้ว่าระบบออโต้ไพลอตจะยังคงทำงานอยู่ แต่ทุกคนก็อยากจะไปถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ระยะห่างระหว่างเรือทั้งสองลำค่อย ๆ ลดน้อยลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดภาพของเรือลำใหญ่ก็ปรากฏชัดเจนขึ้นในสายตาของทุกคน ธงรูปกะโหลกไขว้พร้อมกับกังหันลมขนาดใหญ่โบกสะบัดอยู่บนยอดเสากระโดง เรือลำนั้นไม่ได้เป็นเรือโดยสารหรูหราอย่างที่เอโลอิสคาดหวังไว้ตอนแรกเลยแม้แต่น้อย มันดูคล้ายเรือโจรสลัดในภาพยนตร์เสียมากกว่า! "เอาล่ะ... มันชักจะแปลก ๆ แล้วนะ" เอโลอิสเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี "อย่าบอกนะว่า..." แจสเปอร์มองเรือลำนั้นด้วยสายตาที่ชักไม่แน่ใจแล้ว ทันทีที่เรือมินิบานาน่าแล่นเข้าไปเทียบข้างลำเรือใหญ่ เชือกเส้นหนึ่งก็ถูกหย่อนลงมาอย่างรวดเร็ว และมีคนจำนวนหนึ่งโรยตัวลงมาอย่างว่องไว หนึ่งในนั้นแต่งกายราวกับหลุดออกมาจากภาพยนตร์เรื่องไพเรทส์ออฟเดอะแคริบเบียนเวอร์ชั่นทุนต่ำ ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นกัปตันของเรือลำนี้ "สวัสดีค่ะ! คือเราออกทะเลมานานสามวันแล้วค่ะไม่รู้ตอนนี้อยู่ที่ไหนของแผนที่โลก อยากจะขอความช่วยเหลือ ถามทางไปนอร์เวย์ แล้วก็ขอแบ่งเสบียงหน่อยได้ไหมคะ?" เอโลอิสรีบอธิบายทันที คนที่หน้าตาเหมือนกัปตันเรือมองสำรวจคนทั้งสามและเรือมินิบานาน่าหน้าตาประหลาด ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลังน่าเกรงขาม "จับพวกมันขึ้นเรือให้หมด! แล้วเอาเรือหน้าตาประหลาดนี่ขึ้นไปด้วย!" "เดี๋ยวสิคะ! พวกคุณเป็นใครกัน!" เอโลอิสร้องถามอย่างตกใจเมื่อมือหยาบกระด้างของโจรสลัด(?)คนหนึ่งคว้าแขนเธอไว้ "พวกเราก็คือโจรสลัดแห่งเรือฟลายอิ้งดัชมิลล์" กัปตันผู้นั้นหัวเราะเสียงดังฟังชัด “และข้าก็คือกัปตันที่ท้องทะเลจะต้องยำเกรง…กัปตันเดวี่ จอห์น!” “ฮะ?” เอโลอิสถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินชื่อของเขา แจสเปอร์และป้าคาเรนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็หันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง ชื่อนี้มันคุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ฟังดูแล้วยังกะตัวละครหนังเกรดบี ทั้งสามถูกพาตัวขึ้นเรือ เคอร์ติสฉวยโอกาสนี้บินหลบไปซ่อนตัวบนยอดเสากระโดง ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายบนดาดฟ้าเรือที่เต็มไปด้วยลูกเรือหน้าตาโหดเหี้ยม เหล่าเดมิก็อดถูกนำตัวไปที่ห้องกัปตัน ที่นั่นพวกเขาได้พบกับกัปตันเดวี่ จอห์น อีกครั้ง พร้อมกับชายหนุ่มท่าทางกวน ๆ อีกคนหนึ่งที่กำลังนั่งไขว่ห้างบนโต๊ะไม้เก่า ๆ “เอาล่ะ เจ้าพวกบ้าที่ไหนกันที่บังอาจล่วงล้ำเข้ามาในน่านน้ำของข้า” กัปตันเดวี่ จอห์น กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน “นี่คืออาณาเขตของฟลายอิ้งดัชมิลล์!” “เราก็แค่ผ่านมาค่ะ!” เอโลอิสรีบอธิบาย “เรากำลังจะไปนอร์เวย์ และฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าเรามาถูกทางกันหรือเปล่า” “นอร์เวย์งั้นรึ!” กัปตันเดวี่ จอห์น หัวเราะลั่น “คนบ้าอะไรพายเรือแจวไปนอร์เวย์กันอย่ามาหลอกกันให้ยากเลย” “แล้ว…แล้วพวกแกเป็นใครกันแน่เนี่ย” ป้าคาเรนถามด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโต๊ะกระโดดลงมายืนข้างกัปตันเดวี่ จอห์น เขาดูเหมือนกำลังเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ตลอดเวลา ดวงตาแพรวพราวไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม “ข้าคือรองกัปตันแจ็ค สปาร์ตัน!” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับยิ้มกริ่ม “ยินดีที่ได้รู้จัก...หรือไม่ยินดีก็ช่าง” “แจ็ค สปาร์ตัน? ทำไมชื่อมัน…” แจสเปอร์ถึงกับมองตาปริบ ๆ “อย่าไปใส่ใจกับชื่อเลยไอ้หนุ่ม” กัปตันเดวี่ จอห์น พูดแทรกขึ้น “ที่สำคัญคือตอนนี้พวกเจ้าอยู่ในน่านน้ำของข้า และพวกเจ้าก็ต้องชดใช้ค่าผ่านทาง” “ค่าผ่านทางอะไรคะ” เอโลอิสถาม “ก็…ค่าเข้าอาณาเขตของฟลายอิ้งดัชมิลล์น่ะสิ!” กัปตันกล่าว “ตอนนี้พวกเจ้าก็เป็นเชลยของข้าแล้ว! และค่าผ่านทางของพวกเจ้าก็คือ…” กัปตันเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มชั่วร้าย “ชีวิตของพวกเจ้า!” “อะไรนะคะ! นี่มันไม่ตลกเลยนะ!” เอโลอิสกลืนน้ำลายลงคอ “ไม่ตลกสิ นี่คือเรื่องจริง!” กัปตันเดวี่ จอห์น หัวเราะร่า “เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีสมบัติล้ำค่าอะไรมามอบให้ ข้าก็คงต้องคิดค่าผ่านทางจากสิ่งอื่น” เขากวาดสายตามองไปที่แจสเปอร์ “ไอ้หนุ่มนี่ดูหน่วยก้านดี! เอาไปใช้แรงงานในครัว! ล้างจาน ถูพื้น! เป็นทาสรับใช้บนเรือข้าไปจนตาย!” จากนั้นก็หันมามองเอโลอิสอย่างพิจารณา “ส่วนเจ้า…ผู้หญิงคนนี้…หน้าตายังกับไททันเกวียน…” เขาพูดพึมพำกับตัวเอง “ขายแม่เล้าก็คงไม่ได้ราคา…” “พูดอะไรของคุณเนี่ย! ไททันเกวียนอะไรกัน!” เอโลอิสตัวชาวาบด้วยความโกรธ “อืม…ถ้างั้นก็…เอาไปขายอวัยวะ!” กัปตันเดวี่ จอห์น ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ดูแล้วยังสาวอยู่ อวัยวะคงใช้การได้ดี!” เอโลอิสอ้าปากค้างด้วยความตกใจและหวาดกลัว แจสเปอร์รีบเข้ามายืนบังเอโลอิสไว้ “ไม่นะ! พวกคุณจะทำแบบนี้ไม่ได้!” “หุบปากไปไอ้หนุ่ม!” กัปตันเดวี่ จอห์น ตวาดลั่น “ส่วนยัยแก่คนนี้…” เขาหันมามองป้าคาเรนที่ยืนทำหน้ามึน “ดูแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร อวัยวะก็น่าจะเสื่อมใช้การไม่ได้แล้ว…เอาไว้ค่อยจับถ่วงน้ำทะเลทิ้งก็แล้วกัน!” “อะไรนะ! นั่นปากหรืออะไรกันยะ!” ป้าคาเรนโวยวาย “เอาล่ะ ๆ พอได้แล้ว!” กัปตันเดวี่ จอห์น โบกมืออย่างรำคาญ “จับพวกมันทั้งหมดไปขังไว้ในคุกใต้ท้องเรือ! พรุ่งนี้เช้าค่อยมาว่ากัน!” ทันทีที่สิ้นคำสั่ง โจรสลัดสองสามคนก็กรูเข้ามาจับตัวเอโลอิส แจสเปอร์ และป้าคาเรนไปทันที พวกเขาถูกลากลงบันไดที่มืดและสกปรกไปสู่ห้องขังใต้ท้องเรือที่มีกลิ่นอับชื้นและเหม็นสาบ “เคอร์ติส!...” เอโลอิสร้องเรียกหา แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากนกน้อยคู่ใจ เธอหวังว่าเคอร์ติสจะปลอดภัยดีและไม่ถูกจับตัวมาด้วย ความมืดมิดและกลิ่นเหม็นอับชื้นโชยเตะจมูกทันทีที่ประตูห้องขังถูกปิดลง เสียงสลักกลอนดังขึ้นพร้อมกับความสิ้นหวังที่เข้าครอบงำทุกคน เอโลอิสพยายามเพ่งมองไปรอบ ๆ ในความมืดสลัว เธอเห็นร่างเงาตะคุ่มนั่งพิงกำแพงอยู่มุมห้อง “ใครน่ะ!” เอโลอิสถามออกไปเสียงสั่น เงาร่างนั้นขยับตัวเล็กน้อย ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะตอบกลับมา “พวกคุณก็คงเป็นเชลยรายใหม่สินะ” “แกเป็นใครน่ะ!” ป้าคาเรนถามอย่างหวาดระแวง ชายผู้นั้นขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าของเขาปรากฏขึ้นในความมืดสลัว ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเคราเฟิ้ม แต่ดวงตาของเขากลับดูฉลาดเฉลียวอย่างประหลาด “ผมชื่อวิลล์ ทินเนอร์” ชายผู้นั้นแนะนำตัว “เป็นจิตแพทย์” “จิตแพทย์?” แจสเปอร์เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “แล้วมาทำอะไรอยู่บนเรือโจรสลัดนี่ครับ” วิลล์ ทินเนอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะครับ” เขาเริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเอง “เรือบ้า ๆ ลำนี้มาเทียบท่าที่เมืองบ้านเกิดของผมเมื่อสองสามเดือนก่อน กัปตันเดวี่ จอห์นและลูกเรือของเขา…พวกเขาดูเหมือนคนเสียสติอย่างรุนแรง” เอโลอิส ป้าคาเรน และแจสเปอร์หันมามองหน้ากัน พวกเขาเห็นด้วยกับวิลล์อย่างยิ่ง “ผมในฐานะจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรมมนุษย์ เลยอาสาจะเข้าไปช่วยเหลือและบำบัดจิตใจให้พวกเขา” วิลล์กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนทางด้านจิตเวช ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะเข้าใจผิดคิดว่าผมมาท้าทายอำนาจของพวกเขา” “แล้ว…แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นล่ะครับ” แจสเปอร์ถามอย่างสนใจ “แน่นอนว่าพวกเขาก็โกรธมาก หาว่าผมดูถูกเหยียดหยาม” วิลล์ ทินเนอร์ยักไหล่ “แล้วก็จับผมมาขังไว้ที่นี่…จนถึงตอนนี้” “แย่จังเลยนะคะ” เอโลอิสมองคุณวิลล์ด้วยแววตาเห็นใจ วิลล์ ทินเนอร์เล่าต่อว่าเขาพยายามพูดคุยกับกัปตันเดวี่ จอห์นหลายครั้งเพื่ออธิบายถึงความตั้งใจที่ดีของเขา แต่กัปตันกลับไม่สนใจและยืนกรานว่าวิลล์คือสายลับที่พยายามจะก่อกบฏ ด้วยเหตุนี้ วิลล์จึงถูกจองจำอยู่ในห้องขังแห่งนี้มานานหลายเดือน โดยมีเพียงน้ำและขนมปังเก่า ๆ ประทังชีวิต “ผมพยายามคิดหาทางออกตลอดเวลา” วิลล์พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “แต่ห้องขังนี้มันแข็งแรงมาก แถมลูกเรือก็เฝ้าเวรยามตลอดเวลา” “แล้วจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย” ป้าคาเรนถามด้วยน้ำเสียงกังวล “พรุ่งนี้เช้าฉันจะต้องถูกเอาไปถ่วงน้ำเหรอ!” เอโลอิสเงียบไปพักหนึ่ง เธอพยายามคิดทบทวนสถานการณ์ทั้งหมด แม้จะตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังแต่เธอก็ยังไม่อยากยอมแพ้ “คุณวิลล์คะ คุณอยู่บนเรือนี้นานแล้ว คุณพอจะรู้ไหมคะว่ามีทางไหนที่เราจะหนีออกไปได้บ้าง” วิลล์ขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น “ที่จริงผมก็มีแผนอยู่บ้างนะครับ แต่ต้องอาศัยจังหวะและทีมเวิร์คที่ดีเยี่ยม” เขาเริ่มอธิบายแผนการอย่างละเอียด แผนของวิลล์นั้นอาศัยช่องว่างในการเปลี่ยนเวรยามของลูกเรือ รวมถึงความรู้เรื่องโครงสร้างของเรือที่เขาได้สังเกตมาตลอดหลายเดือนที่ถูกขังอยู่ที่นี่ “ประตูห้องขังนี้จะเปิดออกเมื่อถึงเวลาให้อาหารเชลย” วิลล์กระซิบ “นั่นคือโอกาสเดียวที่เราจะเคลื่อนไหวได้” แจสเปอร์มองวิลล์ด้วยแววตาเป็นประกาย “เยี่ยมเลยครับคุณวิลล์! เราจะทำตามที่คุณบอกทุกอย่าง” ขณะที่ทั้งสี่คนเริ่มหารือแผนการกันอย่างกระตือรือร้น เสียงคลื่นกระทบเรือและเสียงฝีเท้าของลูกเรือด้านบนก็ยังคงดำเนินไปอย่างไม่ขาดสาย ความมืดมิดในห้องขังค่อย ๆ กลืนกินพวกเขาเข้าไปอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ใช่ความมืดมิดแห่งความสิ้นหวังอีกต่อไป หากแต่เป็นความมืดมิดที่ซ่อนเร้นแผนการหลบหนีอันยิ่งใหญ่...แผนการที่จะนำพาเหล่าเดมิก็อดและจิตแพทย์ผู้โชคร้ายไปสู่อิสรภาพยังไงล่ะ!








แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 34961 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-6 22:33
โพสต์ 34,961 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +12 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 2025-7-6 22:33
โพสต์ 34,961 ไบต์และได้รับ +3 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก ปืนอัจฉริยะ L&E  โพสต์ 2025-7-6 22:33
โพสต์ 34,961 ไบต์และได้รับ +15 EXP +30 ความกล้า +20 ความศรัทธา จาก เกราะไทเทเนียม  โพสต์ 2025-7-6 22:33
โพสต์ 34,961 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +6 ความศรัทธา จาก สร้อยไข่มุกตาฮิตี   โพสต์ 2025-7-6 22:33
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2025-7-20 21:41:38 | ดูโพสต์ทั้งหมด






เช้าวันต่อมา แสงสลัว ๆ จากช่องระบายอากาศเล็ก ๆ เหนือหัว ลอดลงมาต้องคุกใต้ท้องเรือที่มืดมิด ชวนให้หดหู่ใจไม่น้อย กลิ่นอับชื้นผสมกลิ่นอับของสาหร่ายทะเลยังคงคลุ้งอยู่ในอากาศ แต่ถึงอย่างนั้น บรรยากาศแห่งความสิ้นหวังก็ดูจะจางหายไปเล็กน้อย เมื่อใกล้ถึงเวลาที่โจรสลัดจะนำอาหารเช้า (ซึ่งก็คือขนมปังเก่า ๆ และน้ำเปล่า) มาให้ "เอาล่ะครับ...ใกล้ถึงเวลาอาหารแล้ว" วิลล์กระซิบ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความจริงจัง "นี่คือโอกาสเดียวของเรา" วิลล์ ทินเนอร์ จิตแพทย์หนุ่มผู้โชคร้าย เริ่มต้นแผนการของเขาด้วยการลุกขึ้นยืนหันหลังให้ทุกคน ก่อนจะค่อย ๆ เลิกเสื้อเชิ้ตเก่า ๆ ขึ้น เผยให้เห็นแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยสักประหลาด แผนผังห้องต่าง ๆ ทางเดิน เส้นทางลับ แม้กระทั่งจุดวางถังขยะ และตำแหน่งลูกเรือที่เปลี่ยนเวรยาม ล้วนถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดลออ ราวกับว่าใครสักคนเคยใช้เวลาว่างเป็นเดือน ๆ ในการจดจำและบันทึกทุกตารางนิ้วของเรือลำนี้ลงบนผิวหนังของตนเอง "หมอนี่คิดว่าตัวเองเป็นไมเคิล สกอฟิลด์หรือไง" แจสเปอร์อดไม่ได้ที่จะกระซิบกับเอโลอิส พลางมองแผนผังเรือฟลายอิ้งดัชมิลล์ที่ซับซ้อนบนแผ่นหลังของวิลล์อย่างเหลือเชื่อ เอโลอิสเองก็พยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วยกับความคิดของแจสเปอร์ วิลล์ ทินเนอร์หันกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง ราวกับไม่ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของทั้งสอง เขาเริ่มอธิบายแผนการที่ดูซับซ้อนพอ ๆ กับรอยสักบนแผ่นหลังของเขาเอง "ฟังนะทุกคน" วิลล์เริ่มอธิบายเสียงต่ำ "แผนของเราจะเริ่มขึ้นทันทีที่อาหารมาถึง" เขาใช้นิ้วชี้ตามรอยสักบนแผ่นหลังของตัวเองช้า ๆ "ตามผังนี้ ห้องครัวอยู่ถัดจากคุกใต้ท้องเรือไปสองห้อง และจะมีการเปลี่ยนเวรยามช่วงประมาณเจ็ดโมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่เราจะได้อาหาร" วิลล์หยุดชั่วครู่ ดวงตาของเขากวาดมองไปที่ทุกคนในห้องขัง "เมื่อโจรสลัดนำอาหารมาส่ง คนที่อยู่หน้าสุดจะต้องแกล้งทำเป็นหกล้มให้โจรสลัดเสียหลัก คนที่สองฉวยจังหวะกระแทกถาดอาหารให้คว่ำลง คนที่สามต้องรีบวิ่งไปคว้ากุญแจที่เอวของโจรสลัด" "แล้วหลังจากนั้นล่ะ? โจรสลัดคงไม่ยืนเฉยให้เราหยิบกุญแจหรอกนะ" แจสเปอร์ขมวดคิ้ว "แน่นอน" วิลล์ตอบอย่างใจเย็น "นั่นคือหน้าที่ของผม ผมจะทำให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้นานพอที่พวกคุณจะปลดล็อกกุญแจและเปิดประตู" เขาหันไปสบตาเอโลอิส "เอโลอิส คุณต้องเป็นคนจัดการเรื่องกุญแจ เพราะมือคุณเล็กที่สุด และน่าจะเร็วพอ" "ได้ค่ะ" เอโลอิสพยักหน้า "เมื่อประตูเปิดออกเราจะแยกกัน" วิลล์กล่าวต่อ "ตามแผนที่บนหลังผม มีช่องระบายอากาศเล็ก ๆ ที่เชื่อมต่อไปยังห้องเก็บเสบียง พวกเราจะมุดเข้าไปในนั้นและซ่อนตัวให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้" เขาชี้ไปที่จุดหนึ่งบนรอยสัก "จากห้องเก็บเสบียง มีทางลับเล็ก ๆ ที่ผมสังเกตเห็นว่าไม่ค่อยมีใครใช้ เชื่อมต่อไปยังดาดฟ้าเรือด้านหลัง" "แต่การไปถึงดาดฟ้าเรือไม่ได้หมายความว่าเราปลอดภัยนะ" แจสเปอร์แย้ง "เรายังอยู่กลางทะเล และโจรสลัดคงตามหาเราจนเจอแน่" "จริงของคุณแจสเปอร์" วิลล์ตอบรับคำถามของแจสเปอร์ ก่อนจะเหลือบมองรอยสักบนแผ่นหลังของตัวเอง "แต่แผนที่นี้มีทางออกเสมอ…และเราจะต้องรอดไปให้ได้ ผมรู้ว่าทุกคนคงสงสัยว่าจิตแพทย์อย่างผมมีรอยสักแบบนี้ได้ยังไง" วิลล์กล่าวพลางกวาดสายตาสำรวจใบหน้าของทุกคน "รอยสักนี่...ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของผมหรอกครับ" เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเล่าต่อ "เพื่อนร่วมห้องขังคนก่อนของผม...เขาเป็นคนสักให้" วิลล์หยุดชั่วครู่ ดวงตาของเขาฉายแววครุ่นคิด "เขาชื่อ เฮคเตอร์ บาบูนซ่า อดีตรองกัปตันของเรือลำนี้ ก่อนที่แจ็คจะมาแย่งตำแหน่งไป" "รองกัปตันเหรอ? แล้วทำไมถึงมาอยู่ในคุกใต้ท้องเรือได้ล่ะ?" แจสเปอร์เลิกคิ้วสูง "เฮคเตอร์บอกว่าเขาถูกหักหลัง" วิลล์ตอบ "ถูกจับมาขังไว้ในห้องเดียวกับผม และเขาก็ใช้เวลาว่างที่มี...สักแผนผังเรือลำนี้ลงบนหลังผม" เขาพยักเพยิดไปทางรอยสักที่ซับซ้อนราวกับแผนที่ "แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนล่ะ?" เอโลอิสถาม วิลล์ส่ายหน้าช้าๆ "ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ตั้งแต่โดนเอาตัวไปก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย" ความเงียบเข้าปกคลุมห้องขังชั่วขณะ ทุกคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเองเกี่ยวกับชะตากรรมของเฮคเตอร์ และความหมายที่แท้จริงเบื้องหลังรอยสักบนแผ่นหลังของวิลล์ “แล้วสัมภาระของพวกเราล่ะ?” แจสเปอร์เอ่ยถามขึ้นมาทันที ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ “เราจะทิ้งมันไว้ไม่ได้นะ” เอโลอิสมองหน้าแจสเปอร์ด้วยสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย ของพวกนั้นล้วนเป็นของจากพ่อแม่เทพของพวกเขาจะปล่อยไว้ที่นี่ไม่ได้เด็ดขาดเลย และเรื่องนี้ต้องเป็นความลับจากวิลล์ที่เป็นมนุษย์ธรรมดาด้วย “ใช่…เราต้องเอาคืนมาให้ได้” เอโลอิสตอบเสียงเรียบ พยายามไม่ให้มีพิรุธ “เป็นของสำคัญที่เราต้องใช้เดินทางต่อ” วิลล์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนจะสงสัยในคำพูดของเอโลอิส แต่เขาก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ "แล้วเรือมินิบานาน่าของเราล่ะ?" แจสเปอร์พูดเสริมขึ้นมาอย่างกะทันหัน "เราต้องเอามันคืนมาด้วยนะ" "พวกคุณมีเรือด้วยเหรอ?" วิลล์เลิกคิ้วขึ้นสูง น้ำเสียงของเขามีแววประหลาดใจ "ถ้าไอ้เรือแจวโง่ ๆ ที่หน้าเหมือนกล้วยนั่นนับเป็นเรือล่ะก็...ก็ใช่แหละ" ป้าคาเรนบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ พลางปรายตามองแจสเปอร์ด้วยสายตาที่บอกว่า 'คิดอะไรอยู่ถึงได้อยากได้ไอ้ของพรรค์นั้นคืนนัก' เอโลอิสถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะเสริมว่า "มันเป็นของสำคัญมากสำหรับเราค่ะ เราจำเป็นต้องใช้มันในการเดินทางต่อ" เธอพยายามทำให้เสียงตัวเองฟังดูเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้วิลล์สงสัยในเบื้องลึกเบื้องหลังของ 'สัมภาระ' และ 'เรือ' ของพวกเขาที่ดูจะสำคัญเกินกว่าข้าวของธรรมดา ๆ ทั่วไป วิลล์พยักหน้าช้า ๆ ใบหน้าของเขาครุ่นคิดอย่างหนักกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับมา "เอาล่ะ...ถ้าอย่างนั้น แผนของเราจะต้องซับซ้อนขึ้นอีกนิดหน่อย" เขากล่าวพลางหันกลับไปชี้ที่รอยสักบนแผ่นหลังของตัวเองอีกครั้ง ดวงตาจับจ้องไปที่เส้นทางและตำแหน่งต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่บนผิวหนังของเขา "ตามแผนที่นี้ ห้องเก็บสัมภาระของเราจะอยู่ใกล้กับคลังสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ชั้นล่างสุดของเรือ ถัดจากห้องเก็บเสบียงที่เราตั้งใจจะใช้เป็นที่ซ่อนตัว" วิลล์ใช้นิ้วชี้ตามรอยสักอย่างแม่นยำ "และเรือมินิบานาน่า...ถ้ามันเป็นเรือเล็กที่สามารถลากจูงได้ ไม่ได้ถูกเก็บไว้ในคลังสินค้า ก็เป็นไปได้สูงว่าจะถูกผูกไว้ที่ท้ายเรือด้านนอก หรือไม่ก็ถูกย้ายไปเก็บไว้ในส่วนเก็บของขนาดใหญ่สำหรับอุปกรณ์ช่วยชีวิต" เขาหันกลับมามองทุกคน

"นั่นหมายความว่าหลังจากที่เราออกมาจากห้องขังและหลบเข้าไปในช่องระบายอากาศแล้ว เราจะต้องแบ่งกำลังออกเป็นสองชุด" "ชุดแรก จะมุ่งหน้าไปยังห้องเก็บสัมภาระ เพื่อนำของสำคัญของพวกคุณกลับคืนมา" วิลล์มองไปที่เอโลอิสและแจสเปอร์ "เอโลอิส คุณกับแจสเปอร์จะต้องเป็นคนไปจัดการเรื่องนี้ เพราะดูเหมือนว่าของเหล่านั้นจะสำคัญกับพวกคุณมากที่สุด" แจสเปอร์กับเอโลอิสพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว โล่งใจที่วิลล์เข้าใจความจำเป็นของพวกเขา โดยที่ไม่ต้องถามอะไรมากไปกว่านี้ “ส่วนอีกชุด…จะต้องมุ่งหน้าไปยังท้ายเรือเพื่อตรวจสอบเรื่องเรือมินิบานาน่า” วิลล์หยุดชั่วครู่ มองหน้าป้าคาเรน “ป้าคาเรน ผมคิดว่าป้าเหมาะสมที่สุดที่จะไปกับผม” ป้าคาเรนถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าบ่งบอกว่าไม่ได้เต็มใจเลยสักนิด “ทำไมต้องเป็นฉันด้วย” เธอเอ่ยเสียงหงุดหงิด “ฉันว่าฉันเหมาะกับการซ่อนตัวเฉย ๆ มากกว่านะ” “เพราะป้าดูไม่น่าสงสัยที่สุดไงครับ” วิลล์ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าเราแยกกัน โอกาสที่จะถูกจับได้ก็น้อยลง และป้าคาเรนก็เป็นคนเดียวที่ดูเหมือนพวกมันจะไม่สนใจเท่าไหร่ (เพราะไม่มีประโยชน์) นี่เป็นข้อได้เปรียบของเรา” “ก็ได้ ๆ ถ้ามันจำเป็นนักล่ะก็” ป้าคาเรนทำหน้ายู่ แต่ก็พยักหน้าอย่างจำยอม “ดีมากครับ” วิลล์ยิ้มเล็กน้อย “จำไว้ว่าทุกอย่างต้องรวดเร็วและเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้” วิลล์เริ่มอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมของแผนผังที่ซับซ้อนบนแผ่นหลังของเขา “จากช่องระบายอากาศที่เชื่อมไปยังห้องเก็บเสบียง จะมีทางแยกเล็กๆ อีกทางหนึ่งที่นำไปสู่บันไดลับ ซึ่งไม่ค่อยมีคนใช้” เขาชี้ไปที่รอยสักที่ดูเหมือนจะบิดเบี้ยวเล็กน้อย “บันไดนี้จะพาพวกเราลงไปชั้นล่างสุด ซึ่งเป็นที่ตั้งของคลังสินค้าและห้องเก็บสัมภาระ” “สำหรับเอโลอิสและแจสเปอร์ เมื่อพวกคุณได้สัมภาระแล้ว ให้รีบกลับมาที่ห้องเก็บเสบียงทันที” วิลล์เน้นย้ำ “เราจะมารวมตัวกันที่นั่นก่อนจะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป” “แล้วคุณกับป้าคาเรนล่ะ?” แจสเปอร์ถาม “ผมกับป้าคาเรนจะไปตรวจสอบที่ท้ายเรือ” วิลล์ตอบ “ถ้าเรือมินิบานาน่าถูกผูกไว้ที่นั่น เราจะพยายามปลดมันออกมาให้เร็วที่สุด และเตรียมพร้อมสำหรับการหลบหนี” ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ทุกคนต่างจ้องมองรอยสักบนแผ่นหลังของวิลล์ด้วยแววตาที่ผสมผสานระหว่างความหวังและความไม่แน่ใจ แผนการนี้ดูจะมีความเสี่ยงสูงมาก แต่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเช่นนี้ มันก็เป็นโอกาสเดียวที่พวกเขาจะได้รับอิสรภาพกลับคืนมา “ฟังดูอันตรายสุดๆ เลยนะ” แจสเปอร์กระซิบกับเอโลอิส “แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วล่ะมั้ง” “ใช่…แต่เราก็ต้องลองดู” เอโลอิสพยักหน้าช้า ๆ
แสงสลัวจากช่องระบายอากาศเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกว่าใกล้เวลาเช้าตรู่เข้ามาทุกที เสียงฝีเท้าหนักๆ เริ่มดังใกล้เข้ามาจากทางเดินนอกห้องขัง สัญญาณว่าโจรสลัดกำลังจะนำอาหารเช้ามาให้ “เตรียมตัวให้พร้อม” วิลล์กระซิบ เสียงของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจริงจัง “นี่แหละคือโอกาสของเรา” เสียงฝีเท้าดังมาจากทางเดินนอก ตามมาด้วยเสียงกุญแจที่ไขเข้ากับแม่กุญแจขนาดใหญ่ที่ประตูห้องขัง แสงจากตะเกียงน้ำมันของโจรสลัดสาดส่องเข้ามาในห้อง เผยให้เห็นใบหน้ากร้านแดดและดวงตาที่แข็งกระด้างของชายร่างใหญ่ ผมสีแดงเข้มรวบเป็นเปียหางม้า เสื้อผ้าที่เก่าและขาดวิ่นบ่งบอกถึงการใช้งานมาอย่างยาวนาน เขาวางถาดอาหารลงบนพื้นอย่างไม่ใยดี เป็นขนมปังแข็ง ๆ กับเหยือกน้ำวางอยู่บนถาดนั้นอย่างน่าหดหู่ วิลล์พยักหน้าให้แจสเปอร์ที่อยู่หน้าสุด แจสเปอร์หายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะแกล้งทำเป็นสะดุดล้มลงไปกองกับพื้นตรงหน้าโจรสลัดทันที "โอ๊ย!" แจสเปอร์ร้องเสียงดัง มือปัดป่ายไปในอากาศราวกับพยายามทรงตัว โจรสลัดไม่ทันตั้งตัว พยายามจะหลบแต่ก็เสียหลักเล็กน้อย จังหวะนั้นเอง เอโลอิสที่อยู่ด้านหลังแจสเปอร์ไม่รอช้า พุ่งเข้ากระแทกถาดอาหารอย่างแรงจนคว่ำ ขนมปังกลิ้งไปคนละทิศละทาง น้ำนองเต็มพื้น ความวุ่นวายทำให้โจรสลัดผงะไปชั่วขณะ ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจและโกรธจัด ก่อนที่เขาจะทันได้ตั้งตัว วิลล์ก็พุ่งเข้าใส่ชกเข้าที่ปลายคางของโจรสลัดอย่างจัง เสียงกระดูกลั่นเบา ๆ โจรสลัดเซถลาไปชนกับผนังห้องขัง ศีรษะกระแทกกับไม้เก่า ๆ อย่างแรงจนร่างทรุดลงไปกองกับพื้น ดวงตาของเขาเหลือกขึ้นช้า ๆ ก่อนจะหมดสติไป "เร็วเข้า!" วิลล์ตะโกน ในขณะที่โจรสลัดยังคงกุมขมับอยู่บนพื้น เอโลอิสไม่รอช้า เธอสอดมือเล็ก ๆ ของเธอเข้าไปในเข็มขัดของโจรสลัดอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงพวงกุญแจขนาดใหญ่ที่ห้อยอยู่ เธอคว้ามันไว้แน่น ดึงออกมาจากเอวของโจรสลัดได้สำเร็จ มือเรียวเล็กของเอโลอิสสั่นเล็กน้อยขณะพยายามไขกุญแจดอกแล้วดอกเล่าเข้ากับแม่กุญแจบานใหญ่ หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับกลองศึก เธอเหลือบมองวิลล์ที่กำลังจ้องเขม็งไปที่โจรสลัดที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น เธอรู้ว่ามีเวลาไม่มาก "ได้แล้ว!" ในที่สุด เอโลอิสก็ไขกุญแจได้สำเร็จ เสียงปลดล็อกดังแกร๊ก กังวานไปทั่วห้องขัง เธอรีบผลักประตูออกสุดแรง "ไป!" วิลล์ออกคำสั่ง เขาพุ่งตัวออกจากห้องขังเป็นคนแรก ตามด้วยเอโลอิสและแจสเปอร์ ป้าคาเรนตามมาเป็นคนสุดท้าย ทั้งหมดรีบวิ่งไปตามทางเดินที่มืดสลัว "ไปทางนี้!" วิลล์ชี้ไปยังช่องระบายอากาศเล็ก ๆ เหนือประตูทางเข้าห้องครัวที่อยู่ถัดไปสองห้องจากคุกใต้ท้องเรือ ช่องนั้นแคบมากจนดูเหมือนไม่มีใครจะมุดเข้าไปได้ แต่ด้วยความสิ้นหวัง ทุกคนก็ไม่มีทางเลือกอื่น วิลล์เริ่มปีนขึ้นไปเป็นคนแรก แผ่นหลังที่มีรอยสักของเขาเบียดเสียดกับขอบเหล็กของช่องระบายอากาศอย่างทุลักทุเล เขามุดเข้าไปได้อย่างยากลำบาก จากนั้นก็ยื่นมือลงมาช่วยเอโลอิสด้วยความที่เธอเป็นผู้หญิงจึงมุดเข้าไปได้ง่ายกว่าคนอื่น ตามมาด้วยป้าคาเรนที่บ่นอุบอิบตลอดทางเรื่องความคับแคบและกลิ่นอับ สุดท้ายแจสเปอร์ก็ใช้แรงทั้งหมดดันตัวเองเข้าไปในช่องระบายอากาศได้อย่างทุลักทุเล พวกเขาคลานไปตามช่องระบายอากาศที่มืดมิดและเต็มไปด้วยฝุ่น กลิ่นอับชื้นและกลิ่นโลหะสนิมขึ้นคละคลุ้งไปทั่ว เสียงหัวใจของทุกคนเต้นระรัว เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยของลูกเรือที่ดังลอดเข้ามาจากด้านล่าง พวกเขาต้องคลานไปอย่างเงียบเชียบที่สุด "ตรงนี้แหละ" วิลล์กระซิบ เมื่อมาถึงทางแยกที่ระบุไว้ในรอยสักของเขา "ทางนี้ไปห้องเก็บสัมภาระ อีกทางไปท้ายเรือ" เขาหันไปมองเอโลอิสและแจสเปอร์ "เอโลอิส แจสเปอร์ โชคดีนะ" เอโลอิสกับแจสเปอร์พยักหน้าให้วิลล์อย่างมุ่งมั่น ก่อนจะแยกตัวคลานไปในช่องทางที่นำไปสู่ห้องเก็บสัมภาระ พวกเขาคลานต่อไปอีกไม่นาน ก็มาถึงช่องระบายอากาศอีกแห่งที่นำไปสู่ห้องเก็บสัมภาระ มันเป็นช่องเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่หลังลังสินค้าขนาดใหญ่ ทำให้ยากที่จะสังเกตเห็นจากด้านล่าง "พร้อมนะ?" แจสเปอร์กระซิบถาม เอโลอิสพยักหน้า เธอผลักฝาตะแกรงของช่องระบายอากาศออกเบา ๆ และหย่อนตัวลงสู่พื้นห้องเก็บสัมภาระ ตามมาด้วยแจสเปอร์ ห้องเก็บสัมภาระมืดสลัวและเต็มไปด้วยลังไม้ขนาดต่างๆ วางซ้อนกันสูงเกือบถึงเพดาน กลิ่นดินปืนและกลิ่นอับของไม้เก่า ๆ คลุ้งอยู่ในอากาศ เอโลอิสใช้สายตากวาดมองไปรอบๆ พยายามหาของของพวกเขา "มันอยู่ไหนนะ..." แจสเปอร์บ่นพึมพำ ไม่นาน เอโลอิสก็เห็นเข็มขัดเครื่องมือวิเศษของเธอที่มุมห้อง มันซ่อนอยู่หลังลังไม้ขนาดใหญ่ ดูเหมือนโจรสลัดจะแค่โยนมันทิ้งไว้โดยไม่สนใจไยดี เธอรีบวิ่งเข้าไปหยิบมันขึ้นมา ก่อนจะหันไปช่วยแจสเปอร์หาสัมภาระของเขาที่ถูกซ่อนอยู่ไม่ไกลกัน "เจอแล้ว!" แจสเปอร์ร้องออกมาอย่างดีใจ เมื่อพบสัมภาระและอาวุธของเขา ที่พวกโจรสลัดไม่รู้ว่าจะมองเห็นเป็นอะไร และใกล้ ๆ กันก็มีกระเป๋าสีรุ้งของป้าคาเรนและชะลอมของเธอด้วย "รีบกลับไปที่ห้องเก็บเสบียงกันเถอะ" เอโลอิสกระซิบก่อนจะเอากระเป๋าขนาดยักษ์ของป้าและชะลอมยัดเข้าเข็มขัดเครื่องมือวิเศษของเธอเพื่อให้สะดวกต่อการหนี
ในขณะเดียวกัน วิลล์กับป้าคาเรนก็คลานไปตามช่องระบายอากาศอีกทางหนึ่ง มันนำพวกเขาลงไปสู่ชั้นล่างสุดของเรือ ที่เป็นที่ตั้งของคลังสินค้าขนาดใหญ่และส่วนที่คาดว่าจะเป็นที่เก็บเรือมินิบานาน่า "นี่มันน่าเบื่อจริง ๆ" ป้าคาเรนบ่นไม่หยุดขณะคลานไป "ช่องระบายอากาศนี่ก็เล็กเหลือเกิน ฉันแก่แล้วนะ" "อีกนิดเดียวครับป้า" วิลล์พยายามปลอบ เขาเองก็รู้สึกอึดอัดไม่แพ้กัน แต่ความมุ่งมั่นที่จะรอดออกไปทำให้เขาอดทนได้ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงช่องระบายอากาศที่นำไปสู่บริเวณท้ายเรือด้านนอก เมื่อวิลล์แง้มฝาตะแกรงออก แสงแดดจ้าก็สาดส่องเข้ามาพร้อมกับลมทะเลพัดปะทะใบหน้า พวกเขามองเห็นผืนทะเลสีครามสุดลูกหูลูกตา และสิ่งที่ทำให้วิลล์และป้าคาเรนต้องประหลาดใจ... เรือมินิบานาน่าไม่ได้ถูกผูกไว้ที่ท้ายเรือด้านนอกอย่างที่คาดไว้ แต่มันกลับถูกยกขึ้นมาวางอยู่บนดาดฟ้าเรือโจรสลัดอย่างกับเป็นของประดับชิ้นหนึ่ง เชือกเส้นหนาหลายเส้นรัดตรึงมันไว้แน่นหนา ราวกับกลัวว่ามันจะหลุดลอยหายไปกับลมทะเล "นั่นมัน..." ป้าคาเรนพึมพำ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ "ไอ้เรือกล้วยโง่ ๆ นั่นมันอยู่บนเรือลำนี้จริงๆ ด้วย!" เชือกที่รัดเรือมินิบานาน่าไว้หนาแน่นทำให้วิลล์กับป้าคาเรนต้องออกแรงอย่างหนัก วิลล์พยายามใช้มีดพกเล็ก ๆ ที่ซ่อนไว้ ตัดเชือกทีละเส้น ส่วนป้าคาเรนก็ใช้แรงทั้งหมดดึงและคลายปมเท่าที่จะทำได้ ท่ามกลางเสียงลมทะเลและเสียงคลื่นที่ซัดกระทบข้างเรือ “ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเอาเรือบ้านั่นขึ้นมาไว้บนนี้” ป้าคาเรนบ่นพึมพำขณะดึงเชือก “เสียเวลาจริง ๆ” “อดทนหน่อยครับป้า อีกนิดเดียว” วิลล์หอบเล็กน้อย เขาเร่งมือตัดเชือกเข้าไปอีก “พวกแกคิดจะทำอะไร!” เสียงทุ้มต่ำและเย็นยะเยือกของ แจ็ค สปาร์ตัน รองกัปตันเรือ ทำให้วิลล์และป้าคาเรนถึงกับตัวแข็งทื่อ พวกเขาหันกลับไปช้า ๆ ภาพที่เห็นคือชายหนุ่มผมสีดำสนิท ใบหน้าคมเข้มแต่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์ แต่งกายดูคล้ายพวกยิปซีหรือฮิปปี้ เสื้อผ้าหลวม ๆ สีเข้ม เครื่องประดับโลหะแวววาว และที่สะดุดตาที่สุดคือหมากฝรั่งในปากที่เขากำลังเคี้ยวตุ้ย ๆ แจ็ค สปาร์ตันก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาคมกริบกวาดมองวิลล์ที่ถือมีดพก และป้าคาเรนที่กำลังพยายามปลดเชือกที่รัดเรือมินิบานาน่าไว้ จากนั้นสายตาของเขาก็หยุดที่เรือรูปร่างประหลาดคล้ายกล้วยลำนั้น "พวกแกคิดจะขโมยเรืองั้นหรือ?" แจ็คเลิกคิ้วขึ้นสูง "แล้วนักโทษอย่างพวกแกหนีออกมาจากคุกใต้ท้องเรือได้ยังไงกัน!” แจ็คก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ดวงตาคมกริบไล่มองจากวิลล์ไปป้าคาเรน จากมีดพกในมือวิลล์ไปยังเชือกที่ขาดวิ่น “แล้วนี่คิดจะทำอะไรกับเรือของฉัน? อย่าบอกนะว่าพวกแกจะใช้เรือกล้วยโง่ ๆ นี่หนีไปกลางทะเล?” แจ็คหัวเราะหึ ๆ ราวกับได้ยินเรื่องตลกที่สุดในชีวิต วิลล์กระชับมีดในมือ เขารู้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังเข้าตาจน การต่อสู้กับรองกัปตันโดยตรงบนดาดฟ้าเรือที่เปิดโล่งไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแน่ ๆ “เรา...เราแค่เดินหลงทางมา” วิลล์พยายามพูดให้น้ำเสียงเป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็รู้ดีว่ามันฟังไม่ขึ้นเลยแม้แต่น้อย “เดินหลงทางมางั้นเหรอ?” แจ็คเลิกคิ้วสูงขึ้นไปอีก ใบหน้าของเขามีร่องรอยความประหลาดใจเจือปนอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคือง “พวกนักโทษงี่เง่าอย่างแกจะมาหลงทางบนเรือของฉันได้ยังไงกัน! ใครเป็นคนเปิดคุกให้แก!” แจ็ค สปาร์ตัน จ้องมองวิลล์และป้าคาเรนสลับกับเรือมินิบานาน่าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยปนกับความไม่พอใจ “ไหนลองบอกมาซิว่าพวกแกหนีออกมาได้ยังไง! แล้วไอ้รอยสักประหลาดบนหลังแกนั่นมันคืออะไรกันแน่!” เขาชี้นิ้วไปที่แผ่นหลังของวิลล์ที่โผล่พ้นเสื้อออกมาเล็กน้อย แจ็คก้าวเข้ามาอีกก้าว เตรียมพร้อมที่จะจับตัวทั้งคู่ วิลล์และป้าคาเรนตัวแข็งทื่อ พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันที่สุด ศัตรูกำลังจะเข้ามาถึงตัวและไม่มีทางที่จะหนีรอดไปได้เลยแม้ในพื้นที่เปิดโล่งเช่นนี้ วิลล์กำมีดในมือแน่น เหงื่อไหลซึมไปตามแผ่นหลัง เขาเตรียมพร้อมที่จะสู้ตาย แต่ก็รู้ดีว่าโอกาสชนะนั้นริบหรี่เต็มทีเพราะเขาเป็นแค่จิตแพทย์ไม่ใช่ไอ้แดงที่เป็นนักสู้ “พูดมานะ! ไม่งั้นแกได้เจอดีแน่!” แจ็คตะคอกเสียงดัง มือของเขากำแน่นเตรียมพร้อมจะซัดหมัดใส่ ทันใดนั้นเอง! ปั่ก! เสียงบางอย่างกระทบเข้ากับศีรษะของแจ็ค สปาร์ตันอย่างจัง เสียงนั้นหนักแน่นจนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ร่างของแจ็คเซถลาไปด้านข้าง ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจและเจ็บปวด ก่อนที่เขาจะทันได้ร้องหรือพูดอะไรออกมา ร่างของแจ็คก็ร่วงลงไปกองกับพื้นดาดฟ้าเรืออย่างแรง ไม่ต่างอะไรกับถุงมันฝรั่งที่หมดสภาพ วิลล์และป้าคาเรนถึงกับอึ้ง พวกเขาหันขวับไปมองยังทิศทางที่เสียงนั้นดังขึ้น และสิ่งที่เห็นทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม แจสเปอร์ยืนอยู่ตรงนั้น! ในมือของเขายังคงถือไม้ท่อนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นไม้ถูพื้นเก่า ๆ ที่หักครึ่ง ดวงตาของเขามีแววตื่นเต้น เอโลอิสยืนอยู่ข้าง ๆ แจสเปอร์ ใบหน้าของเธอยังคงซีดเผือดเล็กน้อยจากความตกใจ แต่ในแววตาก็ฉายแววโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด "แจสเปอร์! เอโลอิส! พวกเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!" วิลล์อุทาน "เราได้ยินเสียงเอะอะโวยวายก็เลยตามมาดูค่ะ" เอโลอิสอธิบายเสียงหอบเล็กน้อย "พอดีเราได้ยินเสียงป้าคาเรนบ่นดังมาก..." เธอเหลือบมองป้าคาเรน "ใช่เลยครับ พอมาถึงก็เห็นไอ้หมอนี่กำลังข่มขู่พวกคุณอยู่พอดี ผมก็เลย...จัดให้ซะหน่อย!" แจสเปอร์ยิ้มกว้าง ป้าคาเรนมองแจสเปอร์ด้วยสายตาที่ผสมผสานระหว่างความโล่งใจและความรำคาญ "นายมันบ้าไปแล้วแจสเปอร์! ถ้าพลาดขึ้นมาจะเป็นยังไง!" "แต่ผมไม่พลาดนี่ครับป้า!" แจสเปอร์ตอบอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะหันไปมองแจ็ค สปาร์ตันที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น "นี่เราควรจะทำยังไงกับไอ้หมอนี่ดีครับ?" วิลล์รีบเดินเข้าไปตรวจสอบแจ็ค สปาร์ตัน "เขาแค่สลบไป คงไม่เป็นอะไรมาก" เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก "ดีแล้วล่ะแจสเปอร์ ขอบคุณมากที่มาช่วยไว้ได้ทันเวลา" "ตอนนี้เราต้องรีบไปจากที่นี่ก่อนที่คนอื่นจะมาเจอ" เอโลอิสเตือน ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาหันไปมองเรือมินิบานาน่าที่ตอนนี้เชือกส่วนใหญ่ถูกตัดออกไปแล้ว เหลือเพียงไม่กี่เส้นที่ยังรัดตรึงมันไว้ "เราต้องรีบปลดเชือกที่เหลือแล้วลงเรือไปจากที่นี่!" วิลล์สั่งการอย่างรวดเร็ว ทุกคนเริ่มลงมือช่วยกันปลดเชือกที่เหลืออย่างเร่งรีบ ท่ามกลางลมทะเลที่พัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับธรรมชาติกำลังเร่งเร้าให้พวกเขาหนีไปจากเรือลำนี้ให้เร็วที่สุด เชือกเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นลงพร้อมกับเสียงเฮือกสุดท้ายของทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจกันปลดปล่อยเรือมินิบานาน่าจากพันธนาการของเรือโจรสลัด เรือน้อยรูปทรงกล้วยบานาน่าดูโดดเด่นสะดุดตาบนดาดฟ้าเรือที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายเล็กน้อยหลังจากเหตุการณ์ชุลมุนที่ผ่านมา “สำเร็จแล้ว!” วิลล์ร้องออกมาอย่างดีใจ เหงื่อไหลซึมไปทั่วแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยสักแผนที่ “เราไปกันเถอะ!” ทุกคนเตรียมตัวกระโดดลงเรือมินิบานาน่าที่ตอนนี้ถูกวางอยู่ใกล้ขอบกาบเรือที่สุด แต่ก่อนที่ใครจะได้ก้าวเท้าลงไป เอโลอิสก็ชะงักฝีเท้า ใบหน้าของเธอดูวิตกกังวล “เดี๋ยวสิ! เรายังไม่เจอเคอร์ติสเลยนะคะ!” เอโลอิสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย ดวงตาของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ ดาดฟ้าเรืออย่างร้อนรน ป้าคาเรนถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ “โอ๊ย! เจ้านกนั่นมันมีปีก ป่านนี้บินหนีไปเกาะไหนต่อไหนแล้วมั้ง” “ไม่จริงหรอก!” เอโลอิสโต้กลับทันควัน “ถึงเคอร์ติสจะขี้ขลาดแค่ไหน แต่มันไม่มีทางทิ้งฉันไปแบบนั้นแน่!” ขณะที่เอโลอิสยังคงยืนกรานหาผู้ติดตามของเธอ จู่ ๆ ท้องฟ้าเบื้องบนก็ปรากฏจุดดำเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ บินร่อนลงมาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จุดนั้นขยายใหญ่ขึ้นจนเผยให้เห็นร่างของนกกระทาตัวหนึ่งที่คุ้นเคย “เคอร์ติส!” เอโลอิสร้องออกมาอย่างดีใจ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เคอร์ติสเริ่มส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ดวงตาเล็ก ๆ ของมันกวาดมองทุกคนอย่างกระตือรือร้น แน่นอนว่าไม่มีใครฟังออกนอกจากเอโลอิส “เคอร์ติสบอกว่าทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเราจะหลงทางเลยค่ะ!” เอโลอิสแปลให้ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “มันบอกว่าแอบไปสลับสับเปลี่ยนแผนที่จุดหมายของเจ้าพวกโจรสลัดเป็นนอร์เวย์แทนแล้ว ตอนนี้เรือกำลังแล่นไปในทิศทางเดียวกับจุดหมายของเราเลยล่ะค่ะ! เจ้าพวกนั้นไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังแล่นเรือไปผิดทาง!” ความโล่งใจแผ่ซ่านไปทั่วทุกคนเมื่อรู้ว่าเคอร์ติสได้วางแผนที่อันชาญฉลาดไว้ให้แล้ว การเดินทางที่ดูมืดมนกลับมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ขึ้นมาทันที "สุดยอดไปเลยเคอร์ติส! นี่ก็หมายความว่าตลอดช่วงเวลาที่เราโดนขังเราก็ยังแล่นไปสู่จุดหมายเรื่อย ๆ สินะ" แจสเปอร์ถึงกับยกนิ้วให้เจ้านกกระทาตัวน้อย ป้าคาเรนมองเคอร์ติสด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากที่เคยดูถูก ตอนนี้กลับมองด้วยความทึ่งผสมกับความไม่เข้าใจ "ใครจะไปคิดว่าไอ้เจ้านกขี้ขลาดนี่จะมีประโยชน์ขึ้นมาได้บ้าง" เธอพึมพำ วิลล์มองเคอร์ติสด้วยความประหลาดใจไม่แพ้กัน ดวงตาของเขากวาดมองระหว่างเอโลอิสและนกกระทา ราวกับพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เขาเลือกที่จะไม่ถามอะไรเพิ่มแต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมคนถึงคุยกับนกรู้เรื่อง บางทีเด็กคนนี้ก็อาจจะต้องได้รับการรักษาจากจิตแพทย์เช่นกัน "เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาไปกันแล้ว!" วิลล์เร่งเร้า "ก่อนที่พวกมันจะรู้ตัวว่าแจ็ค สปาร์ตันหายไป!" ทุกคนรีบปีนลงเรือมินิบานาน่าที่แกว่งไกวเล็กน้อยเมื่อพวกเขาหย่อนตัวลงไป วิลล์เป็นคนสุดท้ายที่ลงมา เขาช่วยผลักเรือออกจากกาบเรือโจรสลัดอย่างแรง เรือมินิบานาน่าลอยลำออกห่างจากเรือโจรสลัดช้า ๆ ท่ามกลางเสียงคลื่นและลมทะเลที่พัดพา พวกเขาโบกมืออำลาเรือลำนั้นด้วยความรู้สึกที่ปะปนกันไป ทั้งโล่งใจ ดีใจ และเหนื่อยล้า เรือมินิบานาน่าลอยลำออกห่างจากเรือโจรสลัดไปได้ระยะหนึ่ง วิลล์นั่งมองด้วยความสงสัย เรือลำนี้แล่นไปข้างหน้าได้อย่างไรในเมื่อไม่มีใครกำลังแจวเรือเลยสักคน เขาหันไปมองเอโลอิสและแจสเปอร์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แต่ทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ นอกจากนั่งมองผืนน้ำเบื้องหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโล่งใจ ทันใดนั้นเอง! เสียงคำรามก้องก็ดังแว่วมาจากเรือโจรสลัดที่อยู่ห่างออกไป "พวกแกคิดจะหนีไปไหน! ไม่มีใครหนีจากกัปตันเดวี่ จอห์นไปได้หรอก!" เสียงนั้นเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวและน่าสะพรึงกลัว บ่งบอกว่ากัปตันเดวี่ จอห์นได้รู้ตัวแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ยอมปล่อยให้เหล่าเดมิก็อดหนีไปง่าย ๆ แน่นอน








แสดงความคิดเห็น

God
ปรากฎการณ์ประหลาดทางธรรมชาติ (1) พุ่งเรือไปข้างหน้าที่เกิดลมพายุและหมอกหนาเขรอะกระทันหัน | (2) พายเรือกลับไปเรือใหญ่โจรสลัด  โพสต์ 2025-7-20 21:47
God
เสนอสร้าง NPC เทวตำนานอื่น ๆ เฮกเตอร์ คือ เฮกเตอร์คนเดียวที่แพ้ให้อคิลลิส ในยุค Heroes of Olympus ที่ประตูทาร์ทารัสและยมโลกแตก วิญญาณเขาหลบหนีมาซ่อนตัว และตกหล่นบัญชีทำให้เขาใช้ชีวิตอยู่ในโลก  โพสต์ 2025-7-20 21:46
โพสต์ 64,532 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ จาก โรคสมาธิสั้น  โพสต์ 2025-7-20 21:41
โพสต์ 64532 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-20 21:41
โพสต์ 64,532 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +20 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 2025-7-20 21:41
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2025-8-23 18:14:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด






เสียงคำรามของกัปตันเดวี่ จอห์น ดังสะท้อนไปทั่วผืนทะเลคล้ายฟ้าผ่า ทำให้ผิวน้ำที่เคยนิ่งสงบสั่นไหวเล็กน้อย เอโลอิสสะดุ้งสุดตัว แจสเปอร์หันขวับกลับไปมองเรือโจรสลัดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ป้าคาเรนทำหน้าไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม ส่วนวิลล์ที่ยังคงนั่งสงสัยเรื่องเรือที่แล่นได้เองก็ต้องสลัดความสงสัยออกไปจนหมดสิ้นเมื่อภัยอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา “นี่หมอนั่นจะไม่ยอมปล่อยเราไปเลยหรือไงกัน!” เอโลอิสบ่นออกมาอย่างหัวเสีย “โอ๊ย! อีเรือบ้านี่มันจะเร็วกว่านี้ไม่ได้เหรอ! เดี๋ยวกัปตันปัญญาอ่อนนั่นก็ตามมาทันหรอก!” ป้าคาเรนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยังไม่ทันขาดคำ แจสเปอร์ก็โยนไม้พายที่เขาหยิบมาจากบนเรือให้ป้าคาเรน “งั้นป้าก็ช่วยกันพายช่วงส่งแรงให้เรืออีกทางสิครับ!” ป้าคาเรนรับไม้พายมาอย่างงง ๆ ก่อนจะมองแจสเปอร์ด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม “เจ้าเด็กนี่! คิดว่าฉันเป็นทาสพายเรือรึไง!” “ก็ตอนนี้ในสายตาพวกมันพวกเราเป็นนักโทษหนีคุกนี่ครับ!” แจสเปอร์โต้กลับทันควัน “ถ้าเราไม่พาย แล้วจะหนีไอ้กัปตันนั่นได้ยังไง!” “ใจเย็น ๆ ก่อนครับทุกคน! เราต้องสามัคคีกัน” เขาหันไปมองป้าคาเรน “ป้าคาเรนครับ...ผมรู้ว่าป้าอาจจะไม่ชอบ แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่าง เราอาจจะตกอยู่ในอันตรายอีกครั้งก็ได้นะครับ” วิลล์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้าไกล่เกลี่ย ทันทีที่วิลล์พูดจบ บรรยากาศบนเรือก็เงียบลงชั่วขณะ เหลือเพียงเสียงกระแสน้ำกระทบกับลำเรือเบา ๆ กับเสียงคำรามของกัปตันเดวี่ที่เริ่มเบาลงเล็กน้อยเพราะระยะห่างที่เพิ่มขึ้น ป้าคาเรนมองหน้าทั้งสามคนสลับกันไปมาอย่างชั่งใจ ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง คราวนี้ดูเหนื่อยอ่อนมากกว่าหงุดหงิด “ก็ได้ ๆ! ฉันจะพายก็ได้…แต่ถ้าเรารอดไปจากเรื่องบ้านี่ได้ ฉันจะลากพวกเธอกลับบ้านไปฟ้องแม่(ไทคี)ให้หมดเลย!” “ขอบคุณครับป้า” แจสเปอร์กลั้นยิ้ม เอโลอิสเองก็ไม่วายแอบหัวเราะเบา ๆ ขณะยื่นไม้พายอีกอันให้วิลล์ “มาเลย! เรามาช่วยกันพายให้ไอ้กัปตันนั่นตามไม่ทันกันเถอะ!” เรือเล็กทั้งลำเริ่มขยับเร็วขึ้นเล็กน้อยตามแรงพายที่เพิ่มขึ้นจากทั้งสี่คน ท้องฟ้าที่เคยสว่างกลับเริ่มมีเมฆดำลอยปกคลุม ความรู้สึกไม่สู้ดีเริ่มแผ่ซ่านผ่านลมหายใจของทุกคน กระแสน้ำกลางมหาสมุทรแอตแลนติกยังคงเคลื่อนไหวเชื่องช้า แต่กลับแฝงไว้ด้วยพลังอันน่ากลัวราวกับจะกลืนกินทุกชีวิตที่ลอยอยู่เหนือมัน เรือมินิบานาน่าแล่นฝ่าคลื่นไปอย่างมุ่งมั่น เสียงไม้พายกระทบผิวน้ำเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผสมกับเสียงลมหายใจหนัก ๆ ของแต่ละคนที่พยายามสู้กับความเหนื่อยล้าและแรงต้านของทะเลที่เริ่มบ้าคลั่งขึ้นเรื่อย ๆ เหนือศีรษะพายุเริ่มตั้งเค้าชัดเจน เมฆดำทะมึนม้วนตัวหนาทึบราวกับฝูงมังกรบนท้องฟ้า ฟ้าผ่าลงมาเป็นสาย ๆ เสียงฟ้าร้องคำรามตามมาติด ๆ ดังก้องไปทั่ว เสริมความน่าสะพรึงกลัวให้กับผืนน้ำเบื้องล่างซึ่งเริ่มแปรปรวนจากความสงบเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่ซัดกระแทกลำเรือเล็กจนโคลงเคลงไม่เป็นทิศ ในขณะเดียวกัน กลางหมอกทะเลด้านหลัง เสียงที่ไม่มีใครอยากได้ยินก็ดังแว่วมาตามลมอีกครั้ง เสียงแหบแห้งแต่ทรงพลังของกัปตันเดวี่ จอห์น ตะโกนก้องราวกับปีศาจตื่นจากนรก “หนีกันเข้าไป! คิดว่าข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปง่าย ๆ รึ?! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่าาาา!!!” เสียงหัวเราะแหลมสูงของเขาตามมาทันทีหลังประโยคนั้นราวกับจะทะลุฟ้า เขาแว้ดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงแหกปากสาปแช่งล่องลอยมาในอากาศประหนึ่งผีสิงที่ตามหลอกหลอนในความฝันร้าย “เจ้าพวกโง่! ข้าเห็นพวกเจ้า! ข้าได้กลิ่นกลัวของพวกเจ้า!!” “โอ๊ย!! หยุดพูดไม่ได้หรือไง!” ป้าคาเรนโวยเสียงดัง ขณะพายเรืออย่างหัวเสีย “เสียงอย่างกับนกหวีดติดหวัด!” แจสเปอร์หันไปมองด้านหลัง เรือโจรสลัดสีดำขนาดมหึมาเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้น มันเหมือนเงามัจจุราชที่กำลังเคลื่อนผ่านม่านหมอกหนา ไล่ตามพวกเขามาอย่างไม่ลดละ ธงรูปหัวกะโหลกกับกังหันลมถูกลมพายุสะบัดโบกไหว ราวกับเยาะเย้ยความพยายามของผู้หลบหนี “มันยังตามมาอีกเหรอเนี่ย!?” เอโลอิสอุทาน น้ำเสียงเริ่มสั่นนิด ๆ “ดูเหมือนมันจะเร็วขึ้นด้วย…” วิลล์พึมพำเบา ๆ สายตาจับจ้องไปยังเรือข้างหลังเหมือนจะประเมินระยะห่าง “อีกไม่นานก็คงตามทัน…” “ไม่! เราหยุดไม่ได้!” แจสเปอร์กัดฟันแน่น “เรายังต้องหนีต่อ!” พวกเขาต่างเงียบลงอีกครั้ง ต่างคนต่างพายอย่างเต็มแรง คลื่นที่เริ่มถาโถมสูงขึ้นเรื่อย ๆ กระแทกลำเรือราวกับจะกลืนมันลงไปในท้องทะเล ทว่าเรือก็ยังคงฝ่าไปข้างหน้าอย่างเหน็ดเหนื่อย เสียงกัปตันเดวี่ยังคงดังอยู่เป็นระยะ แหวกสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาใส่ผืนทะเล “หนีไปให้ไกลสิ! หนีไปให้ไกลที่สุดที่เจ้าจะไปได้! แต่จงจำไว้…ไม่มีใครหนีข้าได้พ้น!! ไม่มีใคร!!!” ทั้งสามคนต้องหยุดจ้วงพายลงเล็กน้อยเมื่อพบว่าด้านหน้ามีบางสิ่งผิดปกติ ปรากฏการณ์ประหลาดกำลังรออยู่ตรงหน้า หมอกหนาเป็นกำแพงขาวโพลนบิดตัวเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ลมพายุหมุนวนอย่างไร้ทิศทาง หนากว่าที่พวกเขาเคยเจอมา และที่น่าขนลุกกว่าคือ…มันโผล่มาโดยไม่ให้สัญญาณเตือนใด ๆ เลย “อะไรกันน่ะ…” วิลล์พึมพำ สีหน้าซีดเผือด “เราควรหันกลับไหม…” แจสเปอร์เอ่ยเสียงเบา แต่ก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจ เพราะด้านหลังมีเรือโจรสลัดยักษ์ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของคนไข้จิตเวชที่คิดว่าตัวเองเป็นจอมสลัดตามมาอยู่ไม่ไกล “ถ้าพายกลับไป ก็คือตายอยู่ดี ทำไมฉันต้องมาตายทั้งที่อายุยังน้อย(?) แบบนี้เนี่ย!” ป้าคาเรนบ่นพลางจ้องกำแพงหมอกข้างหน้าอย่างหัวเสีย เอโลอิสมองพวกเขาทีละคน แล้วพูดขึ้นทันทีโดยไม่ลังเล “เอาวะ! ไปตายเอาดาบหน้าอย่างน้อยก็ยังมีโอกาสรอดดีกว่ายอมกลับไปโดนคนบ้าบนเรือนั่นสับเป็นชิ้น ๆ!” ไม่มีใครค้าน เพราะต่างก็รู้ว่าทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่…คือข้างหน้า ทุกคนเริ่มพายเรืออย่างแรงขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คือการเดิมพันสุดท้าย เรือเล็กพุ่งเข้าสู่ม่านหมอกหนาทึบ อุณหภูมิเย็นเฉียบจนรู้สึกเหมือนหายใจเอาน้ำแข็งเข้าไป ลมหมุนวนรอบตัวเริ่มแรงขึ้น และทัศนวิสัยแคบลงจนมองไม่เห็นแม้แต่ปลายเรือ จากนั้น… “เดี๋ยว! นั่นเสียงอะไร…” วิลล์เบิกตากว้าง เสียงคำรามของกระแสน้ำดังขึ้นจากทุกทิศทุกทาง จู่ ๆ ผืนน้ำเบื้องหน้าก็แตกออกเป็นน้ำวนมหึมา พายุกระโชกแรงพัดขึ้นจากกลางวงน้ำวน เสียงโครมครามดังก้องราวกับทั้งทะเลกำลังแผดร้อง “พายุ! น้ำวน! ระวัง!!” แจสเปอร์ตะโกน เคอร์ติส เจ้านกกระทาตัวจ้อยที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมเรือ กระพือปีกบินเตลิดขึ้นสู่ฟ้าอย่างตื่นตระหนก ร้องเสียงหลง บินวนเหนือหัวอย่างไร้ทิศทาง เอโลอิสรีบคว้าไม้พายพยายามควบคุมทิศทางเรือสุดแรง แต่แรงต้านของกระแสน้ำและลมกลับรุนแรงขึ้นทุกวินาที “มันแรงเกินไป! ฉันคุมไม่ได้!!” เธอตะโกนสุดเสียง คลื่นยักษ์ลูกหนึ่งซัดเข้าใส่พวกเขาเต็มแรง ราวกับทั้งทะเลถาโถมเข้ามาในคราเดียว เรือทั้งลำกระเด็นพลิกคว่ำกลางพายุ พวกเขาร้องลั่นในวินาทีสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะถูกกลืนลงสู่ผืนน้ำ ท่ามกลางความโกลาหล เรือมินิบานาน่าเริ่มสั่นเล็กน้อยอย่างมีระบบ ก่อนจะหดตัวลงตามกลไกเวทมนตร์เฉพาะตัว กลายเป็นผ้าเช็ดปากสีเหลือง ลอยคว้างอยู่เหนือฟองคลื่น เคอร์ติสที่บินวนอยู่เบื้องบนเห็นดังนั้น รีบโฉบลงมาคาบผ้าเช็ดปากนั้นไว้ในปากอย่างรวดเร็ว จากนั้นรีบตีกระพือปีกแรง ๆ เพื่อบินขึ้นอีกครั้ง ก่อนลอยวนอย่างร้อนรนอยู่เหนือผิวน้ำที่ตอนนี้กลับมาเงียบสงัดอย่างผิดธรรมชาติ ไม่มีใครโผล่ขึ้นมา ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดจากใต้ทะเล มีเพียงเจ้าเคอร์ติส ที่ยังคงบินวนอยู่เหนือผืนน้ำเฝ้ารอปาฏิหารย์ พร้อมผ้าเช็ดปาก…ซึ่งยังเป็นความหวังเพียงชิ้นเดียวของการเดินทางที่มันคาบไว้ได้ทัน…


เลือก (1) พุ่งเรือไปข้างหน้าที่เกิดลมพายุและหมอกหนาเขรอะกระทันหัน


@God 







แสดงความคิดเห็น

God
สนทนาอิสระตามอัธยาศัย  โพสต์ 2025-8-23 18:48
God
หรือจะเป็นเด็กใหม่ ก่อนเขาแนะนำตัว เจสัน บัลลาซาร์ ไดซ์ ที่นี่คือค่ายโรมานอร์ส เจสันเชิญทั้งสามไปนั่งที่โต๊ะม้าหินแถวนั้นเพื่อพูดคุย  โพสต์ 2025-8-23 18:48
God
https://www.billboard.com/wp-content/uploads/2023/04/Niall-Horan-2023-billboard-1548.jpg?w=942&h=628&crop=1 ชายหนุ่มผ้าคลุมสีม่วงในชุดแม่ทัพกองพันที่สิบสองเดินมาหาคุณ ถามไถ่ด้วยความสงสัย  โพสต์ 2025-8-23 18:47
God
ป้ายท่าเรือเขียนว่า เกาะแอดัมส์ทาวน์ ทั้งสามกับ1ตัวมองไปในเกาะคล้ายกรุงโรมขนาดย่อส่วนที่เหลือไว้บนเกาะ (เช็คสภาพแวดล้อมเกาะใน google)  โพสต์ 2025-8-23 18:43
God
ทั้งหมดฟื้นมาที่อีกแห่งอันไกลโพ้น ที่แห่งนี้ไม่ควรมีอยู่จริง ไทม์ไลน์ที่ล่มสลายและถูกลบไปเนิ่นนานแล้ว  โพสต์ 2025-8-23 18:43
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2025-8-31 16:04:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด






ชายหาดที่พวกเขาเกยตื้นอยู่นั้นเงียบสงัด มีเพียงเสียงคลื่นซัดกระทบฝั่งเป็นระลอกและเสียงลมหวีดหวิวที่พัดผ่านต้นมะพร้าวซึ่งเต้นระบำอยู่บนหาดทรายขาวละเอียด เหล่าเดมิก็อดนอนแผ่หลาอยู่บนผืนทรายที่เย็นชื้น เอโลอิสเป็นคนแรกที่เริ่มรู้สึกตัว เธอสำลักน้ำทะเลเค็มปี๋ออกมาหลายอึกจนจุกไปหมด ก่อนจะไอโขลก ๆ จนตัวงอ เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ยังคงมืดครึ้มไปด้วยเมฆฝน ทว่าแสงอาทิตย์สีส้มอ่อน ๆ กำลังสาดส่องลงมาเป็นริ้ว ๆ ทะลุผ่านม่านเมฆหนา เผยให้เห็นขอบฟ้าที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม เธอค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า สังเกตไปรอบ ๆ พบว่าตัวเองและเพื่อน ๆ มาอยู่บนเกาะที่ไหนสักแห่ง แจสเปอร์ยังคงนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นทราย เสื้อผ้าเปียกโชกจนแนบติดตัว ผมที่เคยเป็นทรงสวยตอนนี้ยุ่งเหยิงไปหมดจนดูเหมือนรังนก เอโลอิสยื่นมือออกไปสะกิดแขนเขาเบา ๆ แต่เขาก็ยังนิ่ง เธอจึงตัดสินใจใช้สันมือตบลงไปที่แก้มของเขาเบา ๆ สองสามครั้ง พลางเรียกชื่อเขาซ้ำ ๆ “แจสเปอร์! ตื่นสิ! แจสเปอร์!” ในที่สุดเขาก็ไอค่อกแค่กออกมาเป็นคำตอบ แจสเปอร์ค่อย ๆ ขยับตัวแล้วใช้ข้อศอกยันตัวขึ้นมา ดวงตาของเขายังคงพร่ามัวจากการตกอยู่ในน้ำนานเกินไป เขาหันไปมองเอโลอิสด้วยสีหน้าที่ยังคงงุนงง “เรา…เราอยู่ที่ไหน?” “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เอโลอิสตอบเสียงแผ่ว “แต่ดูเหมือนว่าเราจะรอดแล้วนะ” ขณะนั้นเองเสียงสั่นกึกก้องที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากใต้เสื้อของเอโลอิส เธอรีบล้วงมือเข้าไปในเสื้อที่เปียกชื้นของเธอ แล้วพบว่าเคอร์ติสเจ้านกกระทาตัวจ้อยกำลังสั่นงันงกเหมือนกำลังเป็นไข้ ตัวของมันเปียกปอนไปหมด ขนที่เคยฟูตอนนี้ลีบแบนไปหมด มันร้องจิ๊บ ๆ เบา ๆ ราวกับจะบอกว่ามันหนาวมากแค่ไหน เอโลอิสรีบอุ้มมันขึ้นมาแล้วแนบกับอกของเธอให้ความอบอุ่น แต่เสื้อของเธอก็ยังคงชื้นอยู่มาก ทำให้มันไม่สามารถทำให้อุณหภูมิของเจ้าเคอร์ติสเพิ่มขึ้นได้อย่างที่เธอต้องการ “นะ..หนาวจังขอรับ…” แจสเปอร์ใช้มือข้างหนึ่งลูบหัวเจ้าเคอร์ติสอย่างแผ่วเบาด้วยความเอ็นดู เขามองดูนกกระทาตัวน้อยที่กำลังสั่นงันงกด้วยความเป็นห่วง “ดูเหมือนว่าเจ้านกน้อยจะรอดมากับเราด้วยนะ” เขาพึมพำ “แล้วป้าคาเรนล่ะ?” ทั้งสองคนหันไปมองป้าคาเรนที่ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่บนผืนทรายใบหน้าของเธอซีดเผือดจนขาวราวกับกระดาษ ไร้ซึ่งร่องรอยของสีเลือดใด ๆ เอโลอิสรู้สึกใจหายขึ้นมาอย่างฉับพลัน เธอค่อย ๆ ยื่นมือที่สั่นเทาออกไปแตะที่ไหล่ของป้าแล้วเขย่าเบา ๆ “ป้า…ป้าคาเรน…ตื่นสิคะ” ไม่มีการตอบสนองใด ๆ จากป้าคาเรน แจสเปอร์มองดูป้าด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย น้ำตาเริ่มคลอหน่วยขึ้นมาในดวงตาของเขา เขาจ้องมองร่างไร้ชีวิตของป้าคาเรนแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ไม่นะ…หรือว่าป้าจะ…จะตายแล้วจริง ๆ เหรอ ไม่น่าเลย…โธ่…ป้า…” เขาเริ่มฟูมฟายและร้องไห้แบบเด็ก ๆ เอโลอิสเห็นดังนั้นจึงเอื้อมมือไปลูบหลังเขาเบา ๆ เธอพยายามทำใจให้สงบ แม้ว่าหัวใจของเธอจะบีบรัดแน่นก็ตาม เธอเห็นความตายมามากเกินไปในช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่รู้ตัวว่าเป็นเดมิก็อด การสูญเสียบางสิ่งในภารกิจจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น การเห็นคนที่เราเพิ่งจะร่วมผจญภัยด้วยเสียชีวิตก็ยังคงเป็นเรื่องที่เจ็บปวดอยู่ดี ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงแหลมสูงดังขึ้นมาขัดจังหวะความโศกเศร้าของพวกเขา “ฉันยังไม่ตาย! อย่ามาแช่งฉันนะเจ้าเด็กบ้า!” ป้าคาเรนลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความโกรธจัดจนน่ากลัว ทำให้ทั้งเอโลอิสและแจสเปอร์สะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจอย่างพร้อมเพรียงกัน “อ้าว! ป้ายังไม่ตายเหรอ!” แจสเปอร์ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “ตายแล้วจะมานอนคุยกับแกเหรอ! ตาบอดหรือไง!” ป้าคาเรนโวยวายพร้อมกับค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก เอโลอิสจ้องมองป้าคาเรนที่กลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วยความโล่งใจปนความประหลาดใจ “ก็เห็นหน้าป้าซีดเผือดขนาดนั้นผมก็คิดว่าป้าจากไปแล้วน่ะสิ!” แจสเปอร์โพล่งออกมาอย่างไม่ทันคิด “หา!?” ป้าคาเรนหรี่ตาลง ใบหน้ายับย่นของเธอยิ่งดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่ ผิวหนังที่เคยแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางกันน้ำอย่างดีบัดนี้ถูกน้ำทะเลและพายุที่โหมกระหน่ำชะล้างออกไปจนหมดเกลี้ยง เหลือเพียงใบหน้าเปลือยเปล่าที่มีริ้วรอยแห่งวัยปรากฏอยู่ทั่วอย่างชัดเจน เธอจ้องมองแจสเปอร์ด้วยสายตาที่ลุกเป็นไฟ “แก…แกหาว่าหน้าสดของฉันเหมือนศพเรอะ!” ยังไม่ทันที่แจสเปอร์จะได้แก้ตัว ป้าคาเรนก็ใช้ฝ่ามือที่ยังคงสั่นเทาจากการสำลักน้ำพยายามจะฟาดลงมาบนตัวเขา แจสเปอร์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบดีดตัวลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งหนีไปตามชายหาดอย่างรวดเร็ว ป้าคาเรนร้องเสียงหลงพร้อมกับพยายามใช้ข้อศอกยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล “จะหนีไปไหนเจ้าเด็กบ้า! กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” เอโลอิสและเคอร์ติสได้แต่มองภาพนั้นอย่างงุนงง เอโลอิสที่อุ้มเคอร์ติสไว้ในอ้อมแขนได้แต่นั่งมองแจสเปอร์ที่วิ่งหนีไปเรื่อย ๆ โดยมีป้าคาเรนค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วทำท่าจะวิ่งไล่ตามมาติด ๆ เธอได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “หนังเหนียวชะมัด” เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางลูบขนของเคอร์ติสอย่างแผ่วเบา แจสเปอร์ยังคงวิ่งหนีไปตามชายหาดอย่างไม่คิดชีวิต โดยมีป้าคาเรนค่อย ๆ ทำท่าจะวิ่งไล่ตามไปติด ๆ เสียงตะโกนด่าทอของทั้งสองดังไปทั่วชายหาดจนนกนางนวลที่กำลังบินหากินอยู่แถวนั้นต้องกระพือปีกบินหนีด้วยความตื่นตระหนก เอโลอิสได้แต่มองภาพนั้นอย่างอ่อนใจ เธอส่ายหัวอย่างช้า ๆ ก่อนจะหันไปสนใจสิ่งรอบตัวอีกครั้ง ดวงตาของเธอกวาดมองไปทั่วผืนทรายที่ทอดยาวอยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นเอง สายตาของเธอก็พลันเหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่มีสีเหลืองสะดุดตาเกยอยู่บนพื้นทรายห่างออกไปไม่ไกลนัก มันเป็นผ้าเช็ดปากสีเหลืองที่เปียกชื้นและยับยู่ยี่จนแทบจะดูไม่ออกว่าเป็นรูปทรงอะไร แต่เอโลอิสก็จำมันได้ในทันที มันคือเรือมินิบานาน่า! หัวใจของเธอพองโตด้วยความดีใจที่เรือลำนี้ยังคงอยู่กับพวกเขา เอโลอิสรีบวิ่งเข้าไปหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ในขณะนั้นเอง เคอร์ติสที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอก็ขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงจิ๊บ ๆ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสั่นเครือ “กระผมมันไว้ได้ทันขอรับ ก่อนที่พายุจะกลืนเราลงไปในท้องทะเล” ดวงตาของเอโลอิสเบิกกว้างด้วยความตกใจ เธอจ้องมองนกกระทาตัวน้อยที่ดูเหมือนจะหมดแรงเต็มที เคอร์ติสเงยหน้าขึ้นมองเธอแล้วพูดต่อด้วยเสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน “ภาพสุดท้ายที่กระผมเห็น…คือคุณวิลล์…เขาถูกคลื่นยักษ์ซัดไปทางเรือโจรสลัด…แล้วก็ไม่เห็นเขาอีกเลยขอรับ” คำพูดของเคอร์ติสทำให้หัวใจของเอโลอิสหล่นวูบ เธอหันกลับไปมองที่ชายหาดอีกครั้ง สายตาของเธอไล่สำรวจไปทั่วทุกตารางนิ้วของผืนทรายที่ทอดยาวอยู่ตรงหน้า แล้วเธอก็ต้องหยุดนิ่งเมื่อเห็นรองเท้าที่เปื้อนคราบน้ำทะเลข้างหนึ่งวางอยู่บนพื้นทรายอย่างโดดเดี่ยว มันเป็นรองเท้าของวิลล์ ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกถึงชะตากรรมของเขาเลยว่ารอดชีวิตมาได้หรือไม่ หรือจะถูกพัดพาไปที่ใด เอโลอิสตัดสินใจที่จะยุติการทะเลาะวิวาทของทั้งสองคนเสียที เธอรีบตะโกนสุดเสียง “ป้าคาเรน! แจสเปอร์! หยุดก่อน! มาทางนี้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ!” เสียงของเอโลอิสทำให้ทั้งสองคนหยุดชะงัก ป้าคาเรนหันกลับมามองเอโลอิสด้วยสีหน้าหงุดหงิด ส่วนแจสเปอร์ก็ใช้จังหวะนั้นแอบเข้ามารวมตัวกับเอโลอิสอย่างรวดเร็วเพื่อหลบหนีการลงโทษจากป้าคาเรน “มีอะไร?” ป้าคาเรนถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เอโลอิสสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “เราต้องรีบสำรวจชายหาดแล้วเก็บสัมภาระที่อาจเกยตื้นมากับเราให้หมดก่อนที่น้ำจะขึ้น! และอีกอย่าง...เคอร์ติสเห็นคุณวิลล์…ถูกคลื่นซัดไปทางเรือโจรสลัด...แล้วก็ไม่เห็นเขาอีกเลย” เธอพูดพร้อมกับชูรองเท้าของวิลล์ขึ้นมาให้พวกเขาดู ทั้งแจสเปอร์และป้าคาเรนจ้องมองรองเท้าในมือของเธอด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า ความโศกเศร้าเข้าปกคลุมบรรยากาศโดยรอบทันที พวกเขาทั้งสามคนเริ่มแยกย้ายกันออกสำรวจชายหาดอย่างตั้งใจ ป้าคาเรนเป็นคนแรกที่ส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ เธอวิ่งเข้าไปหาถุงสีรุ้งใบโปรดของเธอที่ตอนนี้มีสภาพเปียกชื้นและมีเศษทรายติดอยู่ทั่ว เธอรีบหยิบมันขึ้นมากอดไว้แน่นราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดในโลก ก่อนจะเริ่มตรวจสอบข้างในว่าของที่อยู่ข้างในยังคงอยู่ครบหรือไม่ หลังจากการค้นหาสัมภาระที่เกยตื้นอยู่ริมชายหาด ทุกคนก็รวบรวมของที่จำเป็นกลับมาได้เกือบครบ สิ่งของส่วนใหญ่ที่สูญหายไปคือของเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างยำยำช้างน้อยหรือเสบียงอาหารบางส่วน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างอาวุธประจำตัวของแต่ละคนกลับยังอยู่ครบถ้วน ทั้งสามคนจึงรู้สึกโล่งใจที่รอดชีวิตมาได้ในสภาพที่พร้อมรับมือกับทุกสิ่ง เมื่อสำรวจข้าวของกันจนพอใจแล้ว ทั้งสามก็ตัดสินใจเดินสำรวจพื้นที่รอบ ๆ เกาะเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันให้มากขึ้น พวกเขาเดินเลียบชายหาดมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งป่าทึบเบื้องหน้าเริ่มเปิดออก เผยให้เห็นทางเดินหินที่สะอาดสะอ้าน และเมื่อเดินไปตามทางนั้นได้ไม่ไกล พวกเขาก็พบกับป้ายที่ทำจากไม้สลักคำว่า ‘เกาะแอดัมส์ทาวน์’ อย่างชัดเจน เมื่อพ้นจากป้ายไป บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ป่าหรือหาดทรายที่ว่างเปล่าอีกต่อไป แต่กลับเป็นภาพที่ราวกับยกกรุงโรมขนาดย่อส่วนมาตั้งไว้บนเกาะแห่งนี้ สิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่เป็นอาคารหินอ่อนสีขาวสลับกับอิฐสีน้ำตาลแดง มีเสาโรมันสูงตระหง่านเรียงรายอยู่ตามท้องถนนที่ปูด้วยหินอ่อนสีขาวสะอาด มีลานกว้างสำหรับฝึกซ้อมและมีโดมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางของลานนั้น มีรูปปั้นสลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจงประดับอยู่ตามมุมต่าง ๆ ทั่วบริเวณ เสียงพูดคุยและเสียงฝีเท้าของเหล่าผู้คนในชุดอย่างกับทหารโรมันดังไปทั่วบริเวณ เอโลอิสถึงกับพึมพำออกมาด้วยความตกใจ “นี่มันอะไรกันเนี่ย…” ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาประหนึ่งนักร้องวงวันไดเร็คชั่นในชุดคลุมสีม่วงซึ่งมีตราสัญลักษณ์ของกองพันที่สิบสองปักอยู่บนหน้าอกก็เดินตรงเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว เขาจ้องมองเหล่าเดมิก็อดด้วยความสงสัย พลางถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พวกคุณเป็นใครกัน มาที่นี่ได้ยังไง?” เดมิก็อดทั้งสามคนยังคงอึ้งกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าจนไม่ทันได้ตอบคำถามใด ๆ ชายหนุ่มคนนั้นก็โพล่งขึ้นมาด้วยใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้ม “หรือจะเป็นเด็กใหม่?” เขามีท่าทีดีใจอย่างออกนอกหน้าเมื่อพูดจบ เขาแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง “ยินดีต้อนรับสู่ค่ายโรมานอร์ส! ผมชื่อเจสัน บัลลาซาร์ ไดซ์” เมื่อแนะนำตัวจบ เขาก็ผายมือเชิญชวนให้ทั้งสามไปนั่งที่โต๊ะม้าหินที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่พวกเขาอยู่ “เชิญทางนี้เลย เรามานั่งคุยกันก่อนดีกว่า” ในระหว่างที่แจสเปอร์ยังคงเงียบงันด้วยความตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ป้าคาเรนกำลังง่วนอยู่กับการจัดระเบียบข้าวของในถุงสายรุ้งของเธอ และเอโลอิสที่ยังคงสับสนกับสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเขาทั้งสามก็ได้แต่ทำตามคำเชิญชวนของเจสันอย่างว่าง่าย พวกเขานั่งลงบนโต๊ะม้าหินที่ทำจากหินอ่อนสีขาวนวลซึ่งเย็นเฉียบเมื่อสัมผัส และเริ่มสำรวจผู้คนรอบตัวที่ดูเหมือนจะกำลังฝึกซ้อมอะไรบางอย่างอยู่ห่างออกไป ในใจของเอโลอิสยังคงสับสนไปหมด เธอเคยได้ยินข่าวลือเรื่องค่ายของกึ่งเทพอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากค่ายฮาล์ฟบลัดมาก่อนในตอนที่เธออยู่ที่ค่าย ซึ่งก็ดูไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรนัก อย่างเช่น อีตาอินทรีแดง ดีมิทรี นาวิคอฟ ที่เธอเคยเจอตอนภารกิจตามราชรถของเทพอะพอลโลเจ้านั่นก็เป็นครึ่งเทพรัสเซีย ดังนั้นการมีค่ายของกึ่งเทพอยู่ทั่วโลกจึงไม่ใช่เรื่องแปลกนักสำหรับเธอ เธอหันไปกระซิบถามเคอร์ติสที่ยังคงซุกตัวอยู่ในเสื้อของเธอ “นายเคยได้ยินชื่อค่ายนี้ไหม เคอร์ติส?” เคอร์ติสสั่นเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงที่เบาหวิว “กระผมก็ไม่แน่ใจนักขอรับ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทพกรีกกระผมรู้เป็นอย่างดี แต่ถ้าเป็นเทพของที่อื่นกระผมไม่สามารถบอกได้เลยขอรับ” เจ้าเคอร์ติสพูดต่อ “แต่กระผมได้ยินมาว่าค่ายที่เหมือนกับกรุงโรม มีค่ายจูปิเตอร์ที่อยู่แคลิฟอร์เนียขอรับ แต่ค่ายนี้กระผมก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน” ในขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกันอย่างเงียบ ๆ เจสันก็เริ่มบทสนทนาขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด “พวกคุณมาจากไหนเหรอ? แล้วเดินทางมาที่นี่ได้ยังไง ไม่คิดเลยว่าจะมีคนหาที่นี่พบด้วย” เขาถามด้วยรอยยิ้มที่สดใส ทั้งสามคนนั่งนิ่งไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของเจสันอย่างไรดี เพราะเรื่องราวทั้งหมดนั้นซับซ้อนเกินกว่าที่จะอธิบายให้คนแปลกหน้าฟังได้ง่าย ๆ แต่เอโลอิสก็ตัดสินใจที่จะเล่าความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุด “พอดีว่าพวกเรา…ประสบอุบัติเหตุทางเรือนิดหน่อยน่ะค่ะ” เอโลอิสกล่าวพร้อมกับยิ้มแหย ๆ “ก็เลยลงเอยที่นี่” เธอชี้ไปที่ร่างกายที่ยังคงเปียกชื้นของตัวเองและเพื่อน ๆ เพื่อเสริมให้เรื่องที่เธอกล่าวดูน่าเชื่อถือมากขึ้น เจสันมองสภาพของพวกเขาที่ยังคงเปียกปอนและเปื้อนไปด้วยทราย ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ “อ้อ...อย่างนี้นี่เอง” เอโลอิสตัดสินใจเล่นบทคนโง่เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง เธอไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้น่าไว้ใจได้มากแค่ไหน เธอทำเป็นมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างสงสัยและพูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “ว่าแต่…ทำไมคนที่นี่ถึงแต่งตัวแปลกจังคะ? เหมือนนักรบโรมันในหนังเลย คนธรรมดาอย่างพวกเราไม่คุ้นชินเลย” คำถามของเอโลอิสทำให้เจสันชะงัก เขามองหน้าเธอนิ่ง ๆ แล้วรอยยิ้มที่เคยสดใสก็ค่อย ๆ จางหายไปจากใบหน้า ดวงตาของเขาจับจ้องมาที่เธออย่างจริงจัง “คุณ…จะบอกว่าพวกคุณเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา? คนธรรมดา ๆ งั้นเหรอ” เอโลอิสพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ใบหน้ายังคงแสดงออกถึงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา “ชะ…ใช่แล้วค่ะ! คนธรรมดาแบบสุด ๆ เลย” แต่เจสันกลับส่ายหน้าช้า ๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อถือ “ผมไม่เชื่อหรอก!”

"อ้าว..."

"มันเป็นไปไม่ได้" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความเด็ดขาด “คุณอาจจะหลอกใครก็ได้ แต่หลอกคนที่นี่ไม่ได้หรอก” เขาเว้นช่วงไปชั่วครู่ก่อนจะพูดประโยคต่อมาที่ทำให้ทั้งสามคนถึงกับหน้าถอดสี “เพราะที่นี่น่ะ…ทั่วทั้งหมู่เกาะของเกาะแอดัมส์ทาวน์ถูกปกคลุมด้วยมนตร์บังตาที่ทำให้มนุษย์มองไม่เห็นเกาะนี้ นอกจากท้องทะเลที่ว่างเปล่า” แจสเปอร์ เอโลอิส และป้าคาเรน ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดลงทันทีเมื่อตระหนักได้ว่าความพยายามที่จะปิดบังตัวตนของพวกเขาได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง “ฉะนั้น…พวกคุณต้องไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแน่ ๆ” เจสันกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด หลังจากประโยคสุดท้ายของเจสัน ความเงียบก็เข้าปกคลุมบรรยากาศโดยรอบ ทั้งสามคนนั่งนิ่งราวกับรูปปั้น ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดลงทันทีที่ได้ยินความจริงที่น่าตกใจจากปากของเจสัน แสงแดดที่เคยสาดส่องลงมาอย่างอบอุ่นดูเหมือนจะจางหายไปในพริบตา เหลือเพียงความรู้สึกเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านเข้ามาในจิตใจของพวกเขา เจสันยังคงจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่เฉียบคมและเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่รอคอยคำตอบ แจสเปอร์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ป้าคาเรนหยุดจัดของในถุงสายรุ้งของเธอทันที ส่วนเอโลอิสได้แต่บีบผ้าเช็ดปากสีเหลืองในมือแน่นจนยับยู่ยี่กว่าเดิม "ผมว่าเราคงต้องพูดคุยกันอีกยาวเลยล่ะครับ ตามผมมา…" เจสันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย แต่แฝงไว้ด้วยความจริงจังที่มากกว่าเดิม เขาลุกขึ้นยืนอย่างสง่างามแล้วก้าวเดินนำไปข้างหน้าโดยไม่รอคำตอบใด ๆ เอโลอิส แจสเปอร์ และป้าคาเรน ต่างมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจเดินตามเจสันไปอย่างไม่มีทางเลือก พวกเขาไม่รู้เลยว่าการเดินทางครั้งนี้จะพาพวกเขาไปพบกับอะไร และค่ายที่ชื่อโรมานอร์สแห่งนี้มีความลับอะไรซ่อนอยู่บ้าง ท่ามกลางบรรยากาศที่คล้ายกับกรุงโรม พวกเขากำลังก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งปริศนาที่ไม่อาจหลีกหนีได้…




@God 







แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 41733 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-31 16:04
โพสต์ 41,733 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +20 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 2025-8-31 16:04
โพสต์ 41,733 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +12 ความกล้า +12 ความศรัทธา จาก มาลาแห่งอัสสัมชัญ  โพสต์ 2025-8-31 16:04
โพสต์ 41,733 ไบต์และได้รับ +15 EXP +30 ความกล้า +20 ความศรัทธา จาก เกราะไทเทเนียม  โพสต์ 2025-8-31 16:04
โพสต์ 41,733 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +6 ความศรัทธา จาก สร้อยไข่มุกตาฮิตี   โพสต์ 2025-8-31 16:04
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2025-9-20 00:17:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด






เจสันไม่รอให้เหล่าเดมิก็อดเอื้อนเอ่ยสิ่งใด เขาลุกขึ้นยืนอย่างสง่างามราวกับถูกหล่อหลอมมาให้เป็นผู้นำ และออกเดินนำหน้าไปทันทีโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง ราวกับมั่นใจว่าผู้มาเยือนทั้งสามจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินตามเขามาอย่างว่าง่าย เอโลอิสยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ มือที่ถือผ้าเช็ดปากสีเหลืองเปียกชื้นบีบแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนเป็นริ้ว ๆ ดวงตาที่เคยสุกใสฉายแววสับสนวุ่นวาย เธอกลอกตามองแจสเปอร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วหันไปสบตากับป้าคาเรนที่ทำหน้าตาไม่สะทกสะท้านสิ่งใด “ไปกันเถอะ” ป้าคาเรนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจที่น่าประหลาดใจ “ป้าว่าเขาไม่น่าจะทำอะไรเราหรอก ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็นคนดี” แจสเปอร์ยังคงไม่พูดอะไร เขาได้แต่พยักหน้าอย่างช้า ๆ แล้วออกเดินตามหลังเจสันไปอย่างเงียบ ๆ เอโลอิสถอนหายใจยาว ก่อนจะตัดสินใจเดินตามไปเช่นกัน ก่อนจะเลี้ยวเข้าสู่ทางเดินหินที่ดูสะอาดสะอ้านราวกับเพิ่งถูกทำความสะอาดเมื่อเช้า ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นปาล์มสูงใหญ่ที่เอนตัวไปตามแรงลม ราวกับกำลังโค้งคำนับให้แก่ผู้มาเยือนจากต่างแดน แสงอาทิตย์สีส้มอ่อนๆ สาดส่องลงมาต้องใบไม้สีเขียวเข้ม ก่อให้เกิดเป็นเงามืดทอดยาวไปตามพื้นทางเดิน ไม่นานนัก พวกเขาก็เดินมาถึงอาคารหลังหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล อาคารหลังนี้สร้างจากหินอ่อนสีขาวสะอาดตา มีเสาโรมันขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายเป็นแถวอย่างน่าเกรงขาม เจสันผายมือเชิญชวนให้พวกเขาเดินเข้าไปด้านใน เอโลอิสเงยหน้าขึ้นมองป้ายไม้ที่แขวนอยู่เหนือประตูทางเข้า มีตัวอักษรสลักเป็นคำว่า ‘พริสซิเบีย’ อย่างชัดเจน คืออะไรวะ? เมื่อก้าวเข้าไปด้านใน พวกเขาก็พบกับห้องโถงกว้างขวางที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหรูหราสง่างาม ผนังห้องทำจากหินอ่อนสีขาวสลับกับอิฐสีแดงอิฐ มีภาพวาดขนาดใหญ่ที่บอกเล่าเรื่องราวการทำศึกสงครามของชาวโรมันประดับอยู่ทั่วบริเวณ ตรงกลางห้องมีโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ รายล้อมไปด้วยเก้าอี้ไม้แกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม บริเวณนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนก้มหน้าก้มตาอ่านม้วนกระดาษโบราณอยู่ เจสันเดินเข้าไปใกล้หญิงคนผู้นั้น แล้วกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของเธอ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองพวกเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเก็บม้วนกระดาษในมือลงบนโต๊ะแล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกเขาด้วยท่าทางที่ดูทะนงตนแต่ก็แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรอย่างน่าประหลาดใจ “ยินดีต้อนรับ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความโอหังที่ยากจะซ่อนเร้น “ฉันชื่ออาคาเซีย แดเรียส ผู้ช่วยของคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นี่แหละ” เธอพูดพลางผายมือไปที่เจสัน “และฉันคือคนเดียวในค่ายนี้ที่จะบอกพวกเธอได้อย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเธอดูไม่จืดเอาซะเลย” เธอพูดพลางใช้สายตากวาดมองไปทั่วร่างกายของเหล่าเดมิก็อดที่ยังคงเปียกปอนและเปื้อนไปด้วยคราบทราย “หวังว่าพวกเธอคงไม่มีโรคติดต่ออะไรติดมาด้วยหรอกนะ เพราะถ้ามีล่ะก็…พวกเธอต้องชดใช้” คำพูดของเธอทำให้เอโลอิสถึงกับหันไปมองหน้าแจสเปอร์ด้วยความประหลาดใจ ส่วนแจสเปอร์ก็ทำหน้าเหรอหราอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “นี่เพื่อนนายจริง ๆ เหรอเจสัน?” แจสเปอร์ถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “เธอปากหมามากเลยรู้ตัวไหม” อาคาเซียหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าทะเล้น “แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อนหรอก” เธอพูดพลางส่งยิ้มกวน ๆ ให้แจสเปอร์ “ฉันเป็นแค่ผู้ช่วยคนสนิทเท่านั้นแหละ” เธอหยุดพูดไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงและดูจริงจังมากขึ้น “และแน่นอนว่าการพูดจาที่ไม่ให้เกียรติคนอื่นมันไม่ใช่นิสัยฉันหรอกนะ แต่ฉันต้องทดสอบพวกเธอเสียหน่อยว่าถ้าโดนด่าจะทำอย่างไร” เขาเว้นช่วงอีกครั้งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงยิ่งขึ้น “ฉันมีสองบุคลิกน่ะ! แต่อย่าห่วงเลย บุคลิกที่สองของฉันน่ะเป็นมิตรกับทุกคนและชอบการสังสรรค์ที่สุดเลย” “ไบโพล่าร์มากกว่ามั้ง…” เอโลอิสพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เธอได้แต่มองอาคาเซียที่เปลี่ยนอารมณ์ไปมาอย่างน่าสับสน และในที่สุดเธอก็ตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทั้งสองคนฟัง เธอเริ่มจากจุดเริ่มต้นของภารกิจที่พวกเขาได้รับจากคำพยากรณ์ การเดินทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและอันตราย และการที่พวกเขาต้องหนีจากเรือโจรสลัดจนถูกคลื่นซัดมาติดที่เกาะแห่งนี้ เจสันและอาคาเซียนั่งฟังเรื่องราวทั้งหมดอย่างตั้งใจ ทั้งสองคนดูเหมือนจะตกตะลึงกับเรื่องราวที่ได้ยิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เอโลอิสเล่าถึงการที่พวกเธอเป็นกึ่งเทพกรีก “กะ…กรีก!?” เจสันอุทานออกมาด้วยความตกใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ไม่น่าเชื่อว่าชาวกรีกจะยังหลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้” อาคาเซียดึงม้วนกระดาษที่เธอเพิ่งวางไว้บนโต๊ะขึ้นมาคลี่ดูอีกครั้ง ดวงตาของเธอกวาดมองไปทั่วแผนที่โบราณในมืออย่างครุ่นคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเหล่าเดมิก็อดทั้งสามด้วยสายตาที่ลุกเป็นไฟด้วยความทะเยอทะยาน “พวกเธอต้องเป็นกุญแจสำคัญแน่ ๆ!” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นอย่างที่สุด “เมื่อไม่กี่ปีก่อน พวกเราก็เหมือนจะมีคำพยากรณ์ที่น่าปวดหัวเกี่ยวกับนอร์ส! บางทีพวกเธออาจจะช่วยพาเราไปเจอประตูนั้นก็ได้!” เจสันยิ้มอย่างยินดี เขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับความคิดของอาคาเซีย “ใช่แล้ว!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ถ้าเราสามารถหาดินแดนนอร์สเจอ พวกเธออาจจะหาทางไปโลกของยักษ์น้ำแข็งได้ และบางที…อาจจะมีหนทางกลับไปยังโลกของพวกเธอได้ด้วย” เขาพูดพลางมองดูเหล่าเดมิก็อดทั้งสามด้วยความหวัง ทั้งสามคนนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ พวกเขาไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว โลกของพวกเขานั้นไม่ใช่โลกที่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นโลกใบเดียวกันที่ถูกแบ่งแยกด้วยกาลเวลา พวกเขาอยู่ในโลกเดียวกัน เพียงแต่เป็นไทม์ไลน์ที่พวกเขาไม่ควรจะมีอยู่บนโลกใบนี้ แสงอาทิตย์ยังคงไม่ยอมลาลับไปจากขอบฟ้า เหล่าเดมิก็อดทั้งสามยังคงนั่งอยู่กับเจสันและอาคาเซีย พวกเขาเริ่มเล่าเรื่องราวของตนเองให้เจสันและอาคาเซียฟังอย่างละเอียดมากขึ้น ทั้งหมดคุยกันจนกระทั่งค่ำคืนที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดินได้มาถึงเพื่อหาวิธีที่จะไปโลกนอร์ส…


@God 







แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 16890 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-20 00:17
โพสต์ 16,890 ไบต์และได้รับ +2 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +5 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 2025-9-20 00:17
โพสต์ 16,890 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +5 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก มาลาแห่งอัสสัมชัญ  โพสต์ 2025-9-20 00:17
โพสต์ 16,890 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก เกราะไทเทเนียม  โพสต์ 2025-9-20 00:17
โพสต์ 16,890 ไบต์และได้รับ +4 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +4 ความศรัทธา จาก สร้อยไข่มุกตาฮิตี   โพสต์ 2025-9-20 00:17
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2025-10-8 23:19:38 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Eloise เมื่อ 2025-11-27 13:40






ทันใดนั้น! ขณะที่แสงอาทิตย์สีแสดกำลังเคลื่อนคล้อยสู่ขอบฟ้าตะวันตก บรรยากาศอบอุ่นภายในห้องโถงกว้างของอาคารพริสซิเบียก็ถูกฉีกกระชากอย่างรุนแรงด้วยเสียงอันกึกก้องที่ไม่มีใครคาดคิด ปู๊ด! ปู๊ด! ปู๊ดดด! เสียงแตรสัญญาณเตือนภัยดังลั่นต่อเนื่องมาจากทิศทางของประภาคารเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนปลายสุดของเกาะ เสียงนั้นหยาบกระด้าง ทุ้มต่ำ และเต็มไปด้วยความเร่งรีบราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบคั้นหัวใจของผู้ได้ยินให้จมดิ่งลงสู่ความหวาดผวาในเสี้ยววินาที เจสันและอาคาเซียลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ไม้แกะสลักอย่างรวดเร็วราวกับถูกดีดตัว สัญชาตญาณของนักรบทำให้ดวงตาของพวกเขาฉายแววจริงจังและตื่นตัวเต็มที่ ใบหน้าที่เคยเปื้อนรอยยิ้มอย่างยินดีในเรื่องเล่าเมื่อครู่กลับกลายเป็นความตึงเครียดที่ยากจะปกปิด “นั่นมันสัญญาณเตือนภัยขั้นสูงสุด!” อาคาเซียรีบเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเด็ดขาดของผู้นำ “มีบางอย่างที่ใหญ่โตและอันตรายมากกำลังเข้ามา!” หญิงสาวไม่รอช้า เธอคว้าหอก ไพลัม ด้ามยาวที่พิงอยู่ข้างโต๊ะได้อย่างรวดเร็ว พลิกตัวแล้วออกวิ่งนำหน้าไปทันทีโดยไม่ลังเล เจสันพยักหน้าให้เหล่าเดมิก็อดกรีกที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ด้วยความตกตะลึง ก่อนจะชักธนูจันทรา ด้ามสีเงินวาววับออกมาจากด้านหลัง “ตามฉันมา! เร็วเข้า!” เขาตะโกนเสียงดัง ขณะที่ร่างสูงของเขาวิ่งตามหลังอาคาเซียออกไปอย่างไม่ลดละ เอโลอิส แจสเปอร์ และป้าคาเรน ต่างมองหน้ากันโดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใด ๆ พวกเขารับรู้ได้ถึงอันตรายที่มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ด้วยจิตวิญญาณแห่งเดมิก็อด การสนทนาเกี่ยวกับคำพยากรณ์และโลกนอร์สถูกโยนทิ้งไปราวกับไม่มีความสำคัญอีกต่อไป สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือการเอาชีวิตรอด! ทั้งสามวิ่งตามออกไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาวิ่งผ่านเสาหินอ่อนขนาดใหญ่ ผ่านทางเดินหินที่เคยสลัวด้วยแสงอาทิตย์อัสดง แต่บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเงาของผู้คนในค่ายที่กำลังแตกตื่นและรีบเร่งไปยังจุดปะทะเบื้องหน้า เมื่อทั้งห้าคนวิ่งมาถึงบริเวณที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของทะเลได้ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของพวกเขานั้น น่าสะพรึงกลัวจนคำว่า 'กองทัพอสุรกาย' ดูจะเป็นคำที่อ่อนโยนเกินไปเลยด้วยซ้ำ นี่มันอย่างกับตอนค่ายฮาล์ฟบลัดโดนบุกเลย แต่เลวร้ายกว่ามาก! เบื้องหน้าของเกาะ ที่เคยเป็นผืนทะเลสีครามที่ทอดยาวจรดขอบฟ้า บัดนี้กลับถูกแทนที่ด้วย เงามืดอันมหาศาล ที่กำลังคืบคลานเข้าหาฝั่ง เงามืดนั้นไม่ใช่แค่ความมืดของค่ำคืน แต่เป็นความมืดที่ดูดกลืนแสงและมิติ มันดูดซับทุกสิ่งในรัศมีของมันจนท้องทะเลที่เคยอยู่ตรงนั้นหายไปอย่างสิ้นเชิง เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าสีดำสนิทที่ดูลึกลับและน่าหวาดหวั่นราวกับหลุมดำบนผืนน้ำ คล้ายกับการลบกระดานดำด้วยยางลบขนาดมหึมา และจากความว่างเปล่าที่ก่อตัวขึ้นนั้น อสุรกายขนาดมหึมาจำนวนนับไม่ถ้วน ก็กำลังพุ่งเข้าใส่ชายหาดและกำแพงป้องกันของค่าย! “แย่แล้ว! เงามืดนั่นกำลังกัดกิน ม่านพลังเทอร์มินัส!” เจสันตะโกนอย่างร้อนรนขณะที่สายตาของเขามองไปยังชั้นพลังงานโปร่งแสงที่กางครอบคลุมอาณาเขตของค่ายไว้ ชั้นพลังงานนั้นกำลังถูกเงามืดสีดำกัดเซาะทีละนิด ทีละน้อย ทว่ามั่นคงและรวดเร็ว ราวกับน้ำกรดที่หยดลงบนผ้าบาง “เร็วเข้า! เราต้องออกไปช่วยคนอื่น!” อาคาเซียไม่มีเวลามาตกตะลึงกับภาพตรงหน้า เธอชี้ไปยังจุดที่มีการปะทะกันอย่างดุเดือดที่กำลังเกิดขึ้น สถานการณ์บีบคั้นเหล่าเดมิก็อดกรีกให้ต้องเข้าร่วมการต่อสู้โดยไม่มีทางเลือกอื่น หากค่ายแห่งนี้พังทลายลง พวกเขาก็จะไม่เหลือที่กำบังและหนทางรอด! แจสเปอร์ เป็นคนแรกที่เริ่มเคลื่อนไหว เด็กหนุ่มชักง้าวเยี่ยนหยา ขนาดใหญ่ในมือออกมากวัดแกว่ง มันเป็นอาวุธที่หนักอึ้งแต่เมื่ออยู่ในมือของบุตรแห่งแอรีสผู้แข็งแกร่ง มันกลับพลิ้วไหวราวกับขนนก! ป้าคาเรนหยิบกระเป๋าย่ามห้าสีของเธอขึ้นมากอดไว้แน่น เธอไม่ใช่สายสู้เลยเอาแต่กรี๊ด ๆ และวิ่งหนีแต่ความดวงดีของป้าอาชนะได้ทุกสิ่ง แม้ไม่สู้ป้าแกก็เหมือนกำลังสู้อยู่ตลอดเวลาเพราะอสุรกายโดนดาเมจแบบงง ๆ ตลอดทาง เอโลอิสสั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง แต่ความกลัวถูกแทนที่ด้วยความโกรธเมื่อเห็นภาพการทำลายล้างที่กำลังเกิดขึ้น เธอรวบรวมพละกำลังทั้งหมด ค้อนไฟในมือพลันลุกโชนด้วยเปลวไฟสีส้มแดงที่พร้อมจะฟาดฟันทุกสิ่งที่ขวางหน้า! ไซคลอปส์สองตัว ร่างกายกำยำใหญ่โตพุ่งเข้าชนกำแพงอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นแอนนาเบ็ธที่กำลังต่อสู้อยู่ไม่ไกลก็หันมาใช้หน้าไม้ครอสโบว์ของเธอเล็งอย่างรวดเร็ว ปัง! ปัง! ลูกดอกนำวิถีสองดอกพุ่งทะลุเข้าที่ดวงตาของไซคลอปส์ทั้งสองตัวอย่างแม่นยำ! อสุรกายทั้งสองร้องโหยหวนและทรุดลงขาดใจตายในทันที! แดรกคีเน่สี่ตัวเริ่มพุ่งเข้าใส่! แอนนาเบ็ธใช้มีดพกสั้นประจำกายของเธอพุ่งทะลุเข้าที่คอของแดรกคีเน่ตัวแรกอย่างรวดเร็ว! แดรกคีเน่ตัวที่สองและสามถูกแจสเปอร์ที่ร่างกายเต็มไปด้วยพละกำลังของบุตรเทพสงครามฟาดฟันด้วยง้าวเยี่ยนหยา จนเกล็ดของพวกมันกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง เหลือแดรกคีเน่ตัวสุดท้าย มันพุ่งเข้าใส่ป้าคาเรนอย่างไม่ระวังตัว ป้าคาเรนกรีดร้องด้วยความตกใจและบังเอิญโยน เหรียญทองแดงออกจากย่ามไป เหรียญนั้นพุ่งไปติดอยู่ที่เกล็ดตาของแดรกคีเน่ ทำให้มันชะงักงันเพียงเสี้ยววินาที ด้วยความหวาดกลัวสุดขีดป้าคาเรนพยายามจะหนีแต่เท้าของเธอไปเตะเอาก้อนหินขนาดเหมาะมือที่ใช้เป็นของถ่วงย่ามกระเด็นเข้าใส่หัวของแดรกคีเน่อย่างแรงและแม่นยำ ปัง! แดรกคีเน่ที่กำลังชะงักงันอยู่แล้วถึงกับเซถลา มันพุ่งเข้าชนเข้ากับหอกที่หักของชาวค่ายคนหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้นอย่างจัง ปลายหอกที่แหลมคมทิ่มทะลุเข้าที่ซอกเกล็ดอ่อนใต้เกราะของมัน แดรกคีเน่กระตุกสองสามครั้งก่อนจะล้มลงขาดใจตายในที่สุด ป้าคาเรนมองดูแดรกคีเน่ที่สิ้นใจตายเพราะเศษหินและหอกหักด้วยสีหน้าเหวอสุดขีด ฝูงก็อบลินกว่าสามสิบตัววิ่งพล่านเข้าโจมตีทุกคนที่ขวางหน้า แจสเปอร์ผิวปากอย่างไม่ยี่หระ “นี่แหละงานของฉัน!” เขาเหวี่ยงง้าวเยี่ยนหยาเป็นวงกว้างอย่างมีจังหวะราวกับกำลังร่ายรำ ฝูงก็อบลินสามสิบตัวถูกตัดผ่านและกระเด็นกระดอนไปอย่างง่ายดายราวกับเศษกระดาษ ด้วยความว่องไวและแข็งแกร่งของบุตรเทพสงคราม ทำให้การจัดการฝูงก็อบลินเป็นเรื่องที่ชิล ๆ สำหรับเขาจริง ๆ แต่ก็มีรากษสสี่ตัวที่ตัวใหญ่และว่องไววิ่งเข้ามาสมทบ รากษสตัวแรกและตัวที่สองพุ่งเข้าใส่กลุ่มที่ป้าคาเรนยืนอยู่ ป้าคาเรนกรีดร้องด้วยความตกใจและโยนกระเป๋าย่ามห้าสีที่กอดอยู่ทิ้งไปอย่างไม่ตั้งใจ กระเป๋าย่ามหนักอึ้งที่เต็มไปด้วยของใช้จิปาถะและหินแปลกๆ เมื่อกระทบพื้นหินแข็งก็ทำให้เกิดเสียงดังและสิ่งที่เกิดขึ้นคือสายสะพายย่ามที่หลุดออกมาจากตัวกระเป๋า หนังเส้นหนานั้นเหวี่ยงและพันรอบขา ของรากษสตัวแรกอย่างแรงโดยบังเอิญ ทำให้มันเสียหลักและล้มลงไปเกี่ยวพันกับขาของรากษสตัวที่สองที่วิ่งตามมาติด ๆ อสุรกายทั้งสองจึงล้มคว่ำลงไปกองกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า โครม! เสียงดังสนั่นเมื่อร่างมหึมาของรากษสทั้งสองกระแทกพื้น และศีรษะที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคมของรากษสตัวที่สองก็พุ่งไปกระแทกเข้ากับเสาหินอ่อนแตกหัก ที่ถูกทำลายจากการต่อสู้ก่อนหน้าอย่างจัง! แรงปะทะทำให้กระดูกคอของมันหัก ส่วนรากษสตัวแรกที่ล้มลงก็ถูกง้าวเยี่ยนหยาของแจสเปอร์ที่เพิ่งฟันก็อบลินขาดไปฟาดเข้าที่ลำตัวอย่างไม่ตั้งใจขณะที่มันหมุนกลับมา รากษสทั้งสองตัวจึงสิ้นใจตายลงเพราะความซุ่มซ่ามของตัวเองและผลกระทบต่อเนื่องจากการโยนกระเป๋าของป้าคาเรน ป้าคาเรนมองกระเป๋าที่ทำงานเองด้วยความประหลาดใจอย่างไม่คาดคิดกับความดวงดีของตัวเอง รากษสตัวที่สามและสี่พุ่งเข้าใส่เอโลอิสที่กำลังยืนอยู่ เอโลอิสกัดฟันแน่น! เธอตัดสินใจเหวี่ยงค้อนไฟ เข้าที่ศีรษะของรากษสตัวที่สามอย่างสุดแรง โครม! หัวของมันบุบลงไปก่อนที่เธอจะใช้ค้อนฟาดอีกครั้งใส่รากษสตัวสุดท้ายอย่างไม่ลังเล อสุรกายทั้งสองล้มลงด้วยฝีมือของเธอ ในขณะที่ก็อบลินตัวหนึ่งพยายามจะลอบโจมตีจากด้านหลัง เอโลอิสก็ใช้เท้าถีบมันไปติดกำแพงและตามด้วยการฟาดค้อนไฟปิดฉากในทันที และอีกตัวที่พุ่งเข้าใส่แอนนาเบ็ธก็ถูกเธอสกัดด้วยปลายมีดพกสั้นอย่างง่ายดาย เคลพีอสุรกายม้าสีดำทมิฬพุ่งทะลวงเข้าใส่แนวป้องกัน แอนนาเบ็ธตวาดเสียงลั่น เธอไม่ต้องการให้มันทำลายแนว เธอเปลี่ยนจากการต่อสู้ระยะประชิดไปเป็นนักแม่นปืน ลูกดอกจากครอสโบว์พุ่งเข้าสู่กะโหลกของเคลพีอย่างแม่นยำราวกับมีกล้องนำวิถีที่แอลอีโอทำให้คลื่นพลังงานสีดำสลายหายไป อีกด้านครอสส์พุ่งเข้าใส่กลุ่มทหารโรมันที่บาดเจ็บ แจสเปอร์ตะโกนเสียงดังและโยนง้าวเยี่ยนหยาออกไปอย่างแรง ง้าวขนาดใหญ่หมุนควงและฟาดเข้าที่ลำตัวของครอสส์จนมันกระเด็นไปชนเสาหินจนสลบแน่นิ่งไปในที่สุด ด้านป้าคาเรนถูกอัคลัตพุ่งเข้าใส่ เธอกรีดร้องและสะดุดล้ม ลูกแก้วสีเหลืองที่เธอเผลอทำตกออกมาจากย่ามเมื่อครู่กลิ้งไปชนเข้ากับเศษโลหะแหลมคมที่ตกอยู่บนพื้นจากการต่อสู้ เศษโลหะนั้นดีดตัวกระเด็นเข้าสู่ดวงตาของอัคลัตที่กำลังพุ่งเข้าใส่ อัคลัตชะงักและร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ทันใดนั้นร่างที่เซถลาของอัคลัตก็พุ่งเข้าชนเข้ากับเสาธงโลหะที่มีปลายแหลมคมที่ใช้สำหรับประดับธงของค่ายอย่างจัง ปลายเสาธงที่คมกริบทิ่มทะลุเข้าที่บริเวณลำตัวของมัน อัคลัตทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างรวดเร็วด้วยความดวงดีของป้า ด้านบนฟ้า ธันเดอร์เบิร์ดนกยักษ์ที่เต็มไปด้วยพลังงานสายฟ้าบินวนอยู่เหนือศีรษะเตรียมปล่อยพลังงานลงมา แอนนาเบ็ธคำนวณความเร็วและทิศทางลมในชั่วพริบตา ก่อนจะใช้ครอสโบว์ยิงธนูขึ้นไป ลูกธนูพุ่งเข้าที่ตาของมันแม้จะอยู่สูงมาก ธันเดอร์เบิร์ดร่วงหล่นลงสู่พื้นด้วยเสียงดังสนั่นดับอนาถ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดกำลังก่อตัวขึ้นที่ใจกลางของสนามรบ นั่นคือ อารัคเน่ที่กำลังอยู่ในโหมดคลั่งทันทีที่เห็นแอนนาเบ็ธซึ่งมีเชื้อสายของเทพศัตรู ดวงตาของมันลุกวาวด้วยความหยิ่งยโสและความบ้าคลั่งที่ยากจะบรรยาย ร่างกายส่วนล่างของเธอถูกปกคลุมด้วยใยแมงมุมสีขาวขุ่นหนาหนัก และมันกำลังขยายตัวออกมาเป็นร่างแมงมุมขนาดยักษ์ที่มีขาหลายสิบขา อารัคเน่ยืนตระหง่านอยู่บนซากปรักหักพัง ส่งเสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง "ไม่มีใครจะเหนือกว่าข้า ไม่ว่าจะเป็นเทพีหรือพวกกึ่งเทพหน้าไหน! พวกแกทุกคนจะต้องกลายเป็นเส้นด้ายบนผ้าทอของข้า!" มันพ่นใยแมงมุมเหนียวหนึบสีขาวขุ่นออกมาจากปากเป็นเส้นใยที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า ใยแมงมุมเหล่านั้นพุ่งเข้าจับชาวค่ายและเดมิก็อดคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว บางคนถูกพันจนแน่นหนาไม่สามารถขยับได้ “อย่าให้ใยมันแตะตัว!” แจสเปอร์ตะโกนเตือน อารัคเน่ หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เมื่อเห็นคู่ต่อสู้เริ่มหมดหนทาง ดวงตาของมันมองตรงไปยังเอโลอิสที่อยู่ใกล้ ๆ ราวกับจะอ่านใจ "แก...เดมิก็อดผู้โง่เขลา! ค้อนไฟของแกก็แค่ของเล่นที่น่าสมเพช! ข้าคืออัจฉริยะที่แท้จริง! จงกลายเป็นเครื่องเซ่นสังเวยให้แก่ฝีมือการทอของข้าซะ!" มันพุ่งเข้าใส่เอโลอิสอย่างรวดเร็ว ขาแมงมุมที่คมกริบราวกับใบมีดพยายามแทงทะลุร่างของเธอ เอโลอิสหลบเลี่ยงอย่างยากลำบาก ค้อนไฟของเธอยกขึ้นป้องกันการโจมตี แต่มันก็ทำได้เพียงเฉียดฉิว ปัง! ค้อนไฟในมือของเอโลอิสถูกขาของอารัคเน่ฟาดเข้าอย่างจังจนกระเด็นหลุดมือไป เอโลอิสล้มลงกับพื้น วินาทีนั้นเองที่ป้าคาเรนที่เห็นเหตุการณ์ได้โยนสิ่งที่ดูเหมือนลูกแก้วสีทองขนาดเล็กออกมาจากย่ามของเธอ มันพุ่งเข้าชนขาของอารัคเน่ที่กำลังจะปิดฉา และขาของแมงมุมยักษ์ก็ชะงักงันไปชั่วครู่ “นี่แหละโอกาส!” เอโลอิสรู้ดีว่าต้องรีบใช้โอกาสนี้จัดการ เธอใช้พลังทั้งหมดที่มีพุ่งเข้าใส่อารัคเน่ที่กำลังงงงวยจากการถูกโจมตีด้วยของแปลก เอโลอิสคว้ามีดสั้นเล่มเล็กที่ซ่อนไว้ที่เอวของเธอ แทงมันเข้าที่ดวงตาของอารัคเน่ที่กำลังคลั่ง ก่อนจะใช้ค้อนไฟจัดการตอนมันเผลอทุบไปหลายที "อ๊าาาาาาากกกกก!" เสียงกรีดร้องอันโหยหวนและเจ็บปวดดังลั่นสนั่น พลังงานสีดำปี๋พุ่งออกจากบาดแผล ร่างของอารัคเน่บิดเบี้ยวและในที่สุด ร่างกายอันโอหังของมันก็ระเบิดออก ไม่ใช่เป็นการระเบิดด้วยเลือดเนื้อ แต่เป็นการระเบิดของแมงมุมตัวเล็ก ๆ นับล้านตัว ที่กรูออกมาจากทุกซอกทุกมุมของร่างที่แตกสลาย เอโลอิสหายใจหอบอย่างหนัก เธอยืนมองฝูงแมงมุมที่กำลังพากันคลานหนีไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อและความเหนื่อยล้า แม้ชัยชนะเหนืออารัคเน่จะทำให้กำลังใจกลับมา แต่สถานการณ์โดยรวมก็ยังคงเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว ทั้งแมงมุมยั้ยเยี้ยและกองทัพอสุรกายที่ยังดาหน้าเข้ามาเรื่อย ๆ “ถอย! ทุกคนถอยไปที่ใจกลางค่าย!” เสียงของเจสัน ตะโกนสั่งการด้วยความสิ้นหวัง แต่ใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว เขาหันไปเห็นเคอร์ติสที่เพิ่งบินออกมาจากหลังซอกหินก้อนใหญ่ด้วยสีหน้าซีดเผือด “เจ้านก! ไปทางโน้น!” เขาตะโกนอย่างไม่ใส่ใจ “พวกเธอสามคน!” เจสันหันมาที่เหล่าเดมิก็อดกรีกที่เหนื่อยล้า “ฟังฉันให้ดี!” “แอนนาเบ็ธ!” เจสันตะโกนเรียกไปยังหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังต่อสู้อยู่ไม่ไกล หญิงสาวผมดำสลวยที่ดัดลอนตรงปลาย วันนี้เธอสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาเดฟทับด้วยเสื้อคลุมผ้ายีนส์กำลังใช้มีดพกสั้นประจำกายที่สลักรูปนกฮูก ปัดป้องการโจมตีจากอัคลัต แอนนาเบ็ธเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีฟ้าอมเทาอ่อน ๆ ที่เหมือนพายุหมุน ของเธอสบเข้ากับดวงตาของเจสันเพียงเสี้ยววินาที “แอนนาเบ็ธ! พาพวกเกรคัสทั้งสามไปยังวิหารอิออน!” เจสันสั่งเสียงดัง ท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของธันเดอร์เบิร์ดที่กำลังบินวนอยู่เหนือศีรษะ “ถ้าจะมีใครที่สามารถโต้เถียงกับเทพอิออนผู้ไร้อารมณ์คนนั้นได้ ก็คงมีแต่เธอแล้วล่ะ ยัยฉลาด!” แอนนาเบ็ธพยักหน้าอย่างเข้าใจโดยไม่ถามอะไร สายตาที่ฉลาดเฉลียวของเธอเหลือบมองไปยังพวกเอโลอิส “ตามฉันมา!” เธอสั่งด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดแต่ก็แฝงไว้ด้วยความไม่ชอบใจที่จะต้องทำตามคำสั่งของใครบางคน! เจสันยิ้มอย่างยินดี เขายิ้มให้เกรคัสทั้งสามที่มองเขาด้วยความไม่เข้าใจ ท่ามกลางแสงแดดอัสดงที่เริ่มคล้อยเข้ายามราตรี ทำให้ผ้าคลุมของเขาปลิวไสวอย่างสง่างาม แต่รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าและความเด็ดเดี่ยว “บอกอิออนให้ส่งพวกเขาไป…ดูเหมือนการไปนอร์สของพวกเราคงไปไม่ได้แล้ว” เขาพูดเสียงนุ่มนวล ทว่าแฝงความหมายอันเจ็บปวด “ลาก่อนนะสหาย ดูเหมือนพวกเราคงจะไม่รอดแล้ว” สิ้นเสียง เจสันไม่รอคำตอบเขาพลิกร่างแล้ววิ่งเข้าไปสมทบกับนักรบคนอื่น ๆ ในการตะลุมบอนกับฝูงอสุรกายที่ยังเหลืออยู่ ปัง! เสียงดังสนั่นอีกครั้งและในที่สุดม่านพลังเทอร์มินัสก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ความมืดที่กัดเชาะผืนทะเลเริ่มคืบคลานเข้าสู่พื้นดิน พลังงานสีดำสนิทนั้นกัดกินพื้นที่ทุกตารางนิ้วที่มันสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว “ไม่นะ!!!” เอโลอิสร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีด เธอเพิ่งรู้ว่าที่แห่งนี้กำลังจะถูกทำลายอย่างถอนรากถอนโคน แอนนาเบ็ธคว้าแขนของเอโลอิส “ไม่มีเวลาแล้ว! วิ่ง!” เธอออกแรงดึงร่างของเอโลอิสให้วิ่งตามเธอไปในทันที มุ่งหน้าสู่ทิศทางตรงกันข้ามกับสนามรบอย่างรวดเร็วที่สุด โดยมีแจสเปอร์และป้าคาเรนตามติดไปอย่างกระชั้นชิด พวกเขาวิ่งหนีจากแสงอัสดงที่กำลังจะดับลง และหนีจากเงามืดแห่งการทำลายล้างที่กำลังคืบคลานตามหลังมาอย่างไม่หยุดหย่อน แอนนาเบ็ธนำทางเหล่าเดมิก็อดทั้งสามและเคอร์ติสที่บินตามมาติด ๆ เข้าสู่ใจกลางค่ายอย่างไม่คิดชีวิต ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่อาคารที่ดูเหมือนวิหารขนาดเล็กซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขากลางค่าย วิหารนั้นสร้างจากหินอ่อนสีขาวนวล มีเสาขนาดใหญ่สลักลวดลายกรีกโบราณที่ดูผิดยุคผิดสมัยเมื่ออยู่ท่ามกลางสถาปัตยกรรมโรมันรายรอบ "เข้าไปข้างใน! เร็วเข้า!" แอนนาเบ็ธสั่งเสียงเฉียบขาด พลางใช้หน้าไม้ครอสโบว์ที่ถูกเรียกออกมาจากสร้อยรูปนกฮูกยิงธนูนำวิถีไปยังก็อบลินสองสามตัวที่วิ่งไล่ตามมาติด ๆ ลูกธนูพุ่งเข้าที่เป้าหมายอย่างแม่นยำจนร่างของก็อบลินกระเด็นไปคนละทิศละทาง เมื่อก้าวเท้าเข้าไปภายในวิหาร บรรยากาศด้านในกลับเงียบสงบอย่างน่าประหลาดใจ ผิดกับความโกลาหลภายนอกราวกับคนละโลก เทพอิออน เทพแห่งเวลาและฤดูกาลของโรมัน ยังไม่ปรากฏกายแต่แสงจันทร์สีนวลจากช่องด้านบนสาดส่องลงมาก่อให้เกิดวงแสงสีขาวขนาดใหญ่อยู่กลางพื้นหินอ่อน แอนนาเบ็ธไม่รอช้า เธอผลักเอโลอิส แจสเปอร์ ป้าคาเรน และเคอร์ติสเข้าไปในวงแสงนั้นทันที "ยืนอยู่ตรงนั้น! อย่าขยับไปไหนเด็ดขาด!" เธอสั่งเสียงดุดัน ก่อนจะหันหน้าไปยังแท่นบูชาที่ว่างเปล่าราวกับพูดกับอากาศธาตุ “อิออน! ท่านต้องช่วยพวกเรา!” แอนนาเบ็ธเริ่มการโน้มน้าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบแต่หนักแน่น “ท่านเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกแล้ว ความมืดกำลังกลืนกินทุกสิ่ง กาลเวลาของพวกเรากำลังจะสิ้นสุดลง ท่านจะปล่อยให้ทุกอย่างจบลงที่นี่ไม่ได้!” ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงความเงียบและเสียงต่อสู้อันดุเดือดจากภายนอก แอนนาเบ็ธกัดฟันกรอด ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่แท่นบูชาอย่างไม่ลดละ เธอรู้ว่าการโน้มน้าวเทพอิออนนั้นยากยิ่งกว่าการต่อสู้กับอสุรกายร้อยตัว อิออนเป็นเทพที่สนใจเพียงการรักษากฎของกาลเวลาและความสมดุล ไม่เคยสนใจเรื่องของมนุษย์หรือแม้แต่เดมิก็อด “ท่านไม่ได้ต้องการรักษากฎของกาลเวลาอย่างนั้นหรือ!” เธอตะโกนเสียงดังกว่าเดิม ความฉลาดเฉลียวของเธอถูกนำมาใช้อย่างรวดเร็ว “ท่านสัมผัสได้ใช่ไหมว่าพวกเขาทั้งสี่คนนี้เป็นตัวแปลกแยกที่เข้ามาในเส้นเวลาของเรา! การที่พวกเขามาอยู่ที่นี่คือความไม่สมดุลที่ใหญ่ที่สุด!” “การที่พวกเขาตายอยู่ที่นี่ จะไม่ช่วยรักษากฎใด ๆ เลย! แต่การส่งพวกเขากลับไปยังที่ที่พวกเขาจากมาต่างหาก คือการแก้ไขเส้นเวลาให้กลับไปสู่สภาพที่มันควรจะเป็น! การช่วยพวกเขาคือการช่วยท่านเอง จงทำในสิ่งที่ท่านถูกหล่อหลอมมาเพื่อทำเถิด จงรักษาสมดุลของเวลาไว้!” คำพูดของแอนนาเบ็ธช่างคมคายและตรงประเด็น ทันใดนั้น… ครืนนนน! พื้นวิหารสั่นสะเทือน แสงจันทร์ที่ส่องลงมาพลันแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีทองอร่ามที่ดูศักดิ์สิทธิ์ ณ ใจกลางของวงแสงทองนั้น ร่างของบุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้น เทพอิออน! ร่างกายของเขาส่องแสงเรืองรองดุจดวงดาว ใบหน้าของเขาหล่อเหลาแต่ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ดวงตาของเขาว่างเปล่าราวกับมองผ่านพวกเขาทุกคนไปยังอนาคตที่ไกลโพ้น อิออนกวาดสายตามองเหล่าเดมิก็อดที่ยืนอยู่ในวงแสงสีขาวอย่างช้า ๆ “ข้าสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในกระแสแห่งเวลา” เสียงของเขาทุ้มต่ำราวกับเสียงกระซิบของสายลมที่พัดผ่านกาลเวลาหลายพันปี “พวกเจ้า…คือ สิ่งแปลกแยก ที่หลงเข้ามาในกระแสที่แตกสาขา พวกเจ้าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่” เทพเจ้าหันไปมองแอนนาเบ็ธที่กำลังหายใจหอบด้วยความโล่งใจ “เจ้าฉลาดสมคำร่ำลือ ธิดาแห่งมิเนอร์วา” “หากที่นี่กำลังจะจบสิ้น…การส่งพวกเจ้ากลับไปยังจุดที่จากมา อาจจะเป็นการกระทำที่ข้าจะทำเพื่อรักษาสมดุลของความเป็นไปได้” อิออนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ ก่อนที่มือของเขาจะยกขึ้นเหนือศีรษะ “ไปซะ…พวกแปลกแยก” แอนนาเบ็ธถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกอย่างที่สุด เธอใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ก่อนจะหันมายิ้มให้กับเหล่าเดมิก็อด “โชคดีนะทุกคน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนผิดจากเมื่อครู่ “เดี๋ยวฉันจะจัดการพวกปีศาจที่จะมารบกวนพิธีนี้เอง!” หญิงสาวใช้สร้อยนกฮูกเรียกครอสโบว์กลับมาถือในมืออีกครั้ง เธอกลับไปยืนขวางทางเข้าวิหารอย่างเด็ดเดี่ยว ใบหน้าของเธอฉายแววพร้อมรบอย่างถึงที่สุด! พรึ่บ! พรึ่บ! จังหวะนั้นเอง! ฝูงอสุรกายที่เหลือรอด จากการต่อสู้เมื่อครู่ก็แห่กันเข้ามาถึงปากทางเข้าวิหาร แอนนาเบ็ธใช้มีดพกและครอสโบว์ต่อสู้กับพวกมันอย่างดุดัน ดวงตาที่เหมือนพายุหมุนของเธอจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของอสุรกายทุกตัว เธอคือปราการด่านสุดท้าย ภายในวงแสงสีขาว อิออนเริ่มร่ายคาถา เอโลอิส แจสเปอร์ ป้าคาเรน และเคอร์ติส รู้สึกราวกับว่าพื้นดินด้านล่างของพวกเขากำลังกลายเป็นน้ำ ร่างกายของพวกเขาลอยขึ้นช้า ๆ แสงสีขาวบริสุทธิ์ สว่างจ้าจนต้องหรี่ตา อิออนเร่งพลังงานมากขึ้น แสงสีทองจากตัวเขาแผ่ขยายออกไป เอโลอิสเหลือบตามองเห็นร่างของแอนนาเบ็ธที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือด หญิงสาวผมดำกำลังใช้พลังทั้งหมดต้านทานการรุกของพวกมัน ภาพทุกอย่างภายนอกเริ่มบิดเบือน ฉากสุดท้ายที่น่าสยดสยองก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาของพวกเขา ความมืดที่กัดกินทะเลภายนอกได้พุ่งทะลุเข้ามาในกำแพง มันไม่ได้หยุดแค่การทำลายโครงสร้าง มันกำลังกลืนกินทุกสิ่งจนหายไป ร่างของเจสันและนักรบคนอื่น ๆ ที่กำลังต่อสู้อย่างกล้าหาญกำลังถูก เงามืดสีดำปี๋ นั้นกัดเซาะและหายไปอย่างช้า ๆ เกาะทั้งเกาะกำลังถูกลบหายไปจากความจริง เหลือเพียง ความว่างเปล่าสีดำสนิท เอโลอิสอยากจะกรีดร้องแต่เสียงของเธอถูกกลืนกินไปในกระแสแห่งพลังงาน แสงสีขาวรอบตัวสว่างวาบเจิดจ้าจนมองไม่เห็นสิ่งใดอีกต่อไป เสียงสุดท้ายที่พวกเขาได้ยินคือเสียงของเทพอิออน “ลาก่อนคนแปลกแยก… ดูเหมือนนี่คือจุดจบของเราเหล่าเทพแล้ว” วูบ! คลื่นพลังงานสีขาวระเบิดออกมาอย่างเงียบเชียบ ท้องฟ้าที่มืดมิดพลันสว่างขึ้นอย่างฉับพลันด้วยพลังงานแห่งกาลเวลา เมื่อแสงสีขาวจางหายไป ความรู้สึกที่หนักอึ้งก็ถาโถมเข้าใส่ร่างกายของทั้งสี่ พวกเขากระแทกลงบนพื้นหญ้าที่เปียกชื้นอย่างแรง เอโลอิสลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ภาพแรกที่เห็นคือท้องฟ้าสีเทาและเสาหินขนาดมหึมา ที่ตั้งตระหง่านอยู่รอบตัวพวกเธอ เสาหินเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยมอสส์และตะไคร่ พวกเขามาถึงแล้ว สถานที่ที่พวกเขาจากมา…แม้จะไม่ใช่สถานที่ที่ถูกต้องนักก็เถอะ พวกเขาทั้งสี่คนอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากคนจรจัดในสายตาของคนทั่วไปที่มองมา แจสเปอร์ลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน เขามองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน นี่คือสโตนเฮนจ์! โบราณสถานยุคก่อนประวัติศาสตร์ในอังกฤษ สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจยิ่งกว่าคือ… นักท่องเที่ยว! มีผู้คนนับสิบคนยืนอยู่รอบรั้วเชือกที่กั้นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ สายตาของพวกเขาจับจ้องมาที่เหล่าเดมิก็อดที่เพิ่งตกลงมาจากฟากฟ้า (แต่ด้วยอำนาจของมนต์บังตาของเหล่าเทพ นักท่องเที่ยวเหล่านั้นจึงเห็นเพียงแค่ภาพลวงตาบางอย่าง เหมือนแค่เห็นโฮมเลสมานอนเฉย ๆ) ใบหน้าของนักท่องเที่ยวเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและรังเกียจ นักท่องเที่ยวหญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนของเธอด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงบริติช “ดูนั่นสิ! มีคนไร้บ้านเข้ามานอนอยู่ในโบราณสถานอีกแล้วเหรอเนี่ย? พวกเขาดูสกปรกมากเลย!” เดมิก็อดทั้งสามผู้เพิ่งผ่านการต่อสู้อันดุเดือดกับอสุรกายและเห็นการสิ้นสุดของโลกมาหมาด ๆ บัดนี้… ถูกมองเป็นเพียงคนไร้บ้านที่รบกวนความสงบในแหล่งท่องเที่ยว ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ก็ได้รับรายงานจากนักท่องเที่ยวเรื่องคนจรมานอนอยู่ตรงโบราณสถานสำคัญของชาติ เหล่าเดมิก็อดจึงต้องรีบพากันเผ่นวิ่งหนีอย่างเร่งด่วน แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็น่าจะกลับมายังเส้นเวลาที่ถูกต้องแล้วล่ะ!


หลักฐานการต่อสู้
พิชิตแดรกคีเน่ครั้งแรก +2 ตื่นรู้
พิชิตรากษสครั้งแรก +2 ตื่นรู้
พิชิตเคลพีครั้งแรก +2 ตื่นรู้
พิชิตครอสส์ครั้งแรก +2 ตื่นรู้
พิชิตอัคลัตครั้งแรก +2 ตื่นรู้
พิชิตธันเดอร์เบิร์ดครั้งแรก +2 ตื่นรู้
พิชิตอารัคเน่ครั้งแรก +2 ตื่นรู้

รวมทั้งหมด 14 ตื่นรู้



@God 







แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 58016 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-8 23:19
โพสต์ 58,016 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +20 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 2025-10-8 23:19
โพสต์ 58,016 ไบต์และได้รับ +20 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +55 ความกล้า +55 ความศรัทธา จาก มาลาแห่งอัสสัมชัญ  โพสต์ 2025-10-8 23:19
โพสต์ 58,016 ไบต์และได้รับ +15 EXP +30 ความกล้า +20 ความศรัทธา จาก เกราะไทเทเนียม  โพสต์ 2025-10-8 23:19
โพสต์ 58,016 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +6 ความศรัทธา จาก สร้อยไข่มุกตาฮิตี   โพสต์ 2025-10-8 23:19

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +14 ย่อ เหตุผล
God + 14

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2025-11-29 01:14:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด






เมื่อทุกคนวิ่งหนีออกมาได้ไกลพอสมควรแล้ว พวกเขาทั้งสี่ก็พากันซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ที่ปกคลุมด้วยเถาวัลย์หนาแน่น แสงไฟจากรถยนต์ที่วิ่งผ่านไปมาบนถนน A303 ส่องกระทบกับใบหน้าของพวกเขาเป็นระยะ อากาศยามค่ำคืนที่ไม่มือเลยสักนิดที่วิลต์เชอร์นั้นเย็นยะเยือกจนสามารถสัมผัสได้ถึงความชื้นที่เกาะบนปลายผม เอโลอิสสูดหายใจเข้าลึกพยายามรวบรวมสติที่กระจัดกระจายจากการต่อสู้และการวาร์ปข้ามมิติ อันหนักหน่วง "เอาล่ะ! ตอนนี้เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่" เอโลอิสพูดเสียงต่ำ "เจสันบอกให้เราไปหาอิออน และอิออน...ก็ส่งเรามาที่นี่" แจสเปอร์ที่ยังคงโงนเงนอยู่จากแรงกระแทกตอนตกลงมาจากฟากฟ้า เขาชี้ไปยังเสาหินขนาดมหึมาที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกล ๆ ด้วยสีหน้าประหลาดใจ "จะว่าไปนั่นมันสโตนเฮนจ์ใช่มั้ย? นี่พวกเรา…อยู่กันที่เกาะอีสเตอร์งั้นเหรอ!" แจสเปอร์อุทานเสียงดัง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจที่ปนไปด้วยความไม่รู้ ป้าคาเรนที่เพิ่งได้สติรีบฟาดแขนลงบนบ่าของเด็กหนุ่มอย่างแรงจนเกิดเสียงดังเพี๊ยะ! "เจ้าเด็กโง่! เกาะอีสเตอร์มันมีรูปปั้นโมอายหน้าโง่ ๆ ต่างหากเล่า! นี่มันสโตนเฮนจ์ มันอยู่อังกฤษแยกแยะให้ออกหน่อยสิ ความรู้รอบตัวไม่มีจริง ๆ เลยเด็กสมัยนี้!" ป้าคาเรนกรี๊ดออกมาด้วยความหงุดหงิดจากการถูกคุกคามโดยเจ้าหน้าที่ และเอือมระอากับความโง่ของแจสเปอร์ แจสเปอร์ลูบบ่าตัวเองป้อย ๆ "โอเค ๆ...โมอาย...สโตนเฮนจ์...มันก็แค่หินเหมือน ๆ กันไม่ใช่เหรอครับป้า..." ทันใดนั้นเอง คำพูดของป้าคาเรนก็กระตุกความคิดของเอโลอิสที่กำลังก้มหน้าใช้ความคิดถึงแผนการต่อไปอยู่ "เดี๋ยวนะอังกฤษงั้นเหรอ?" เอโลอิสเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเธอลุกวาวเป็นประกายในทันทีที่ได้ยินคำนั้น "ใช่สิ! อังกฤษ ฉันเคยมาเที่ยวกับสามีเมื่อนานมาแล้ว" ป้าคาเรนตอบ "นั่นหมายความว่า...เรามาถึงยุโรปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เอโลอิสถามย้ำด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง "เราอยู่บนทวีปเดียวกับนอร์เวย์แล้วนี่!" แจสเปอร์หันมามองเอโลอิสด้วยสีหน้าเหวอ ๆ "อ้าว? ใกล้ขึ้นแล้วเหรอ? งั้นก็ดีน่ะสิ!” ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ยังคงทอประกายอยู่บนฟากฟ้าเหนือนครวิลต์เชอร์ เอโลอิสหันมามองพรรคพวกที่ยังคงเหนื่อยล้าและสับสน "ถ้าเราอยู่ที่อังกฤษงั้นก็ดีเลย ไม่ไกลจากนอร์เวย์เท่าไหร่" เอโลอิสเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่รัดกุมที่สุดเท่าที่จะทำได้ "จุดหมายของพวกเราคือ เขากัลด์เฮอพิกเกนในนอร์เวย์ และเมืองที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดที่เราควรจะไปลงก็น่าจะเป็นเบอร์เกน" แจสเปอร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ พลางมองซองบะหมี่สำเร็จรูปที่ป้าคาเรนกำลังนับจำนวนอย่างเคร่งเครียด "แต่เราจะไปถึงนอร์เวย์ได้ยังไงล่ะ" แจสเปอร์ถาม "ถึงเราจะมีเรือมินิบานาน่าแต่ตรงนี้มองทางไหนก็ไม่มีทะเลเลยนะพี่สาว" "งั้นก่อนอื่นพวกเราก็ต้องหาท่าเรือ" เอโลอิสตอบ เธอแตะไปที่เอวของเธอเบา ๆ ณ ที่ซึ่งเธอได้เก็บผ้าเช็ดปากสีเหลืองที่เคยเป็นเรือมินิบานาน่าไว้ "งั้นเราต้องหาท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่ใกล้ ๆ นี่ก่อน" ป้าคาเรนพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเธอเปลี่ยนจากความสิ้นหวังเป็นความหวังในทันที เอโลอิสและแจสเปอร์ตัดสินใจที่จะหาข้อมูลจากคนแถวนั้น แม้จะรู้สึกอับอายที่ต้องเดินไปสอบถามในสภาพที่ดูไม่ต่างจากคนจรจัด แต่ภารกิจก็สำคัญกว่าความรู้สึก ทั้งสองเดินเข้าไปหาคนงานคนหนึ่งที่กำลังทำงานอยู่ใกล้ ๆ ด้วยความระมัดระวัง “เอ่อ…ขอโทษนะคะ” เอโลอิสพูดด้วยสำเนียงที่พยายามจะบริติชแต่ฟังยังไงก็ไอริชจ๋าอยู่ดี “พอจะทราบไหมคะว่าท่าเรือใหญ่อยู่แถวไหน?” คนงานคนนั้นมองพวกเขาด้วยหางตา และชี้ไปด้วยท่าทางที่ดูรังเกียจ “ถ้าใหญ่ ๆ หน่อยก็เซาแธมป์ตันโน่นแหละ ขับรถไปทางใต้ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงแล้ว” ทันทีที่ได้ข้อมูลที่ต้องการเอโลอิสก็ไม่รอช้า เธอคว้าป้าคาเรนและแจสเปอร์มาใกล้ ๆ แล้วกระซิบถึงแผนการที่ต้องใช้ความเร็ว พวกเขาตัดสินใจหาแท็กซี่ที่ดูเงียบสงบที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตั้งคำถาม แท็กซี่สีดำคันหนึ่งถูกเรียกให้เข้ามาใกล้ ในที่สุดทั้งสี่คนก็ได้นั่งอยู่ภายในรถแท็กซี่ที่แสนสบายแม้ตอนแรกคนขับลังเลที่จะรับพวกเขาก็ตาม การเดินทางสู่เซาแธมป์ตันเป็นไปด้วยความตึงเครียด ทุกคนต่างเงียบงัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ ความกังวลเรื่องการเงิน หรือความกลัวที่จะถูกเจ้าหน้าที่มาพบเข้า (ยังเสียตอนนี้พวกเข้าก็ไม่ต่างจากคนลักลอบเข้าเมืองเลยแม้แต่น้อย) เวลาล่วงเลยไปประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษตามที่คนงานคนนั้นบอก แท็กซี่ก็พาพวกเขามาถึงบริเวณท่าเรือที่ใหญ่โตและพลุกพล่านไปด้วยผู้คนและสินค้า เซาแธมป์ตันเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลที่สำคัญของอังกฤษ เสียงแตรรถดังเซ็งแซ่ เสียงกว้านสมอเรือดังครืดคราด และกลิ่นไอน้ำมันเตาก็ปะปนกับกลิ่นไอเค็ม ๆ ของทะเล ท่าเรือเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่รีบเร่งในการขนถ่ายสินค้าและผู้โดยสาร เรือขนาดมหึมาหลายลำจอดเทียบท่าเรียงรายกันราวกับกำแพงเหล็กที่ลอยอยู่เหนือน้ำ “คนเยอะจริงเขาจะเห็นไหมเนี่ยว่าพวกเราเปลี่ยนผ้าเช็ดปากเป็นเรือน่ะ” ป้าคาเรนพึมพำ “เราจะไม่ให้พวกเขาเห็นค่ะป้า” เอโลอิสกล่าวอย่างรวดเร็ว พลางกวาดสายตาหามุมอับที่ไม่มีผู้คน พวกเขาหาจุดที่สามารถหลบซ่อนได้ชั่วคราวหลังตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่สีสนิมที่เรียงซ้อนกันอยู่สูงลิบลิ่ว แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาอย่างต่อเนื่องทำให้การทำงานในท่าเรือดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เอโลอิสสอดส่องมองดูสภาพแวดล้อมอย่างรอบคอบ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครสนใจ พวกเขาจึงหยุดลง “เตรียมตัวนะคะ” เอโลอิสกระซิบ พลางหยิบผ้าเช็ดปากสีเหลืองที่พับไว้อย่างเรียบร้อยออกมาจากกระเป๋าคาดเอว ผ้าเช็ดปากาผืนนั้นถูกคลี่ออกและด้วยมนตร์เพียงเล็กน้อย เธอก็ทำการแปรสภาพ ผ้าเช็ดปากให้กลายเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น ในชั่วพริบตาเดียวผ้าเช็ดปากก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วและพองลมขึ้น กลายเป็นเรือกล้วยสีเหลืองนีออนขนาดกำลังดี ลำเดิมที่เคยพาพวกเขาเดินทางออกจากบอสตันนั่นเอง แจสเปอร์และป้าคาเรนถูกเอโลอิสเร่งให้รีบกระโดดลงไปในเรือทันที เคอร์ติส บินออกมาจากเสื้อของเอโลอิสแล้วเกาะอยู่บนไหล่ของเธออย่างมั่นคง “รีบหน่อย เราต้องออกไปให้พ้นจากสายตาผู้คนก่อนที่พวกเขาจะสังเกตเห็น” เอโลอิสสั่งพลางส่งไม้พายให้ทุกคน แม้เรือลำนี้จะออโต้ไพลอตแต่ไม้พายก็จำเป็นอยู่ดีในยามคับขัน เครื่องยนต์ของเรือมินิบานาน่าส่งเสียงคำรามเบา ๆ พลางเริ่มแล่นออกจากบริเวณที่จอดเทียบท่าอย่างช้า ๆ มุ่งหน้าสู่ผืนน้ำทะเลสีเข้มที่ทอดยาวจรดขอบฟ้า เมื่อเรือแล่นออกไปไกลจากท่าเรือเซาแธมป์ตันพอสมควร เอโลอิสก็เร่งเครื่องยนต์ให้ทำงานเต็มที่ เสียงแล่นของเรือแหวกผืนน้ำดังซู่ซ่าเป็นทางยาว ท่ามกลางแสงที่ไม่สิ้นสุดของอังกฤษเหนือผืนน้ำสีคราม เรือมินิบานาน่าเริ่มไต่ความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งรักษาความเร็วคงที่ได้ที่ประมาณ 12 นอต การเดินทางด้วยเรือขนาดเล็กนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พวกเขาแล่นเรือมุ่งหน้าสู่ทิศใต้เพื่อออกจากช่องแคบโซเลนต์ก่อนจะเบนหัวเข้าสู่ ช่องแคบอังกฤษอันคดเคี้ยว การเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วของเรือมินิบานาน่าทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงการถูกตรวจพบจากเรือบรรทุกสินค้าและเรือประมงขนาดใหญ่ได้อย่างหวุดหวิด เมื่อพ้นจากช่องแคบที่เต็มไปด้วยการจราจรทางน้ำอันหนาแน่นแล้ว เอโลอิสจึงนำเรือเบนหัวมุ่งหน้าสู่ ทะเลเหนือที่เวิ้งว้างและมักจะมีคลื่นลมรุนแรง “ถ้าเราวิ่งด้วยความเร็วคงที่ 24 ชั่วโมงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ผ่านทะเลเหนือ เราน่าจะถึงเบอร์เกนภายในสองถึงสามวันค่ะ” เอโลอิสกล่าว พลางคำนวณระยะทางในใจ "สองถึงสามวัน...แค่คิดก็เมื่อยแล้วนะ" ป้าคาเรนบ่น แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เธอคว้าถุงสายรุ้งของตัวเองขึ้นมากอดไว้แน่นราวกับเป็นถุงยังชีพ แจสเปอร์มองผืนน้ำสีเข้มเบื้องหน้า สายตาของเขาฉายแววครุ่นคิด “แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเรากำลังจะถึงนอร์เวย์? ไม่ใช่ว่าเราหลงไปโผล่ที่ฟินแลนด์หรือไอซ์แลนด์อีกนะ” เขาถามด้วยความกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อต้องพึ่งพาความรู้ของตนเอง เอโลอิสยิ้มอย่างอ่อนโยน เธอเข้าใจความไม่มั่นใจของแจสเปอร์ “ไม่ต้องห่วงหรอกแจสเปอร์” เอโลอิสตอบ “เบอร์เกนเป็นเมืองที่สวยงามมาก ตั้งอยู่กลางฟยอร์ดขนาดใหญ่ เราไม่มีทางพลาดแน่นอน และถ้าเราเห็นธารน้ำแข็งและภูเขาสูงโผล่ขึ้นมาจากทะเลเมื่อไหร่ นั่นแหละคือสแกนดิเนเวียแล้ว” “ไม่น่าเชื่อเลยนะขอรับว่าคุณเอโลอิสจะมีมุมที่ฉลาดด้วย” เคอร์ติสกล่าวก่อนที่เอโลอิสจะหันขวับมามองมันตาเขียว “ฉันคนไอริชนะเคอร์ติสแถบนี้ฉันจะไม่รู้ได้ยังไงกัน” เอโลอิสกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวขึ้น “เอาล่ะทุกคน หลับพักผ่อนสลับกันไปนะ เราต้องไปให้ถึงเมืองเบอร์เกนให้เร็วทุกสุดและป้องกันเหตุไม่คาดฝันพวกเราต้องสลับกันเฝ้ายามหน่อย” เรือมินิบานาน่าแล่นฉิ่วออกไปบนผืนทะเลเหนือที่เวิ้งว้างภายใต้แสงสว่างที่ไม่ยอมดับของท้องฟ้าอังกฤษ มันเป็นความหวังเดียวของเหล่าเดมิก็อดทั้งสามที่จะไปถึงจุดหมายที่ตั้งใจ ยิ่งถึงนอร์เวย์เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น


@God 






แสดงความคิดเห็น

God
สามารถแก้ได้ด้วยสวมใส่เสื้อกันหนาว  โพสต์ 2025-11-29 01:18
God
ร่างกายทุกคนรู้สึกหนาวสั่นสะท้าน ยกเว้นแจสเปอร์ที่ทนได้ สถานะคาเรนกับเอโออิสติดสถานะหนาวสั่น  โพสต์ 2025-11-29 01:18
โพสต์ 24236 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-29 01:14
โพสต์ 24,236 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +12 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 2025-11-29 01:14
โพสต์ 24,236 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +12 ความกล้า +12 ความศรัทธา จาก มาลาแห่งอัสสัมชัญ  โพสต์ 2025-11-29 01:14
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2025-12-4 02:07:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด






สามวันเต็มล่วงผ่านไปแล้วนับตั้งแต่พวกเขาออกเดินทางจากเซาแธมป์ตัน เรือมินิบานาน่าลำน้อยแล่นอย่างไม่ย่อท้อบนผืนทะเลเหนือที่มีสีเข้มจัดกว่าเดิม แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมานั้นช่างดูซีดจางและไร้ความอบอุ่น ไม่ได้ให้ความรู้สึกเป็นมิตรเหมือนแสงแดดทั่วไปแต่กลับยิ่งขับเน้นความรู้สึกโดดเดี่ยวของเหล่าเดมิก็อดที่ลอยอยู่กลางทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล อุณหภูมิของอากาศลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเข้าใกล้เขตสแกนดิเนเวียมากเท่าไหร่ คลื่นน้ำก็ยิ่งปะทะกับลำเรือแรงขึ้นจนกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่ตามขอบเรือบางส่วน ไอเย็นที่พัดโชยมากับสายลมนั้นกัดกินผิวหนังจนรู้สึกชาไปถึงกระดูก แม้แต่เคอร์ติสที่เกาะอยู่บนไหล่ของเอโลอิสก็เริ่มส่งเสียงร้องครางเบา ๆ และจิกเสื้อของเธอแน่นเพื่อหาความอบอุ่น เอโลอิสเองก็กำลังนั่งตัวงออยู่บนเรือ ดูเหมือนความหนาวเย็นจากทะเลเหนือนั้นจะอยู่เหนือการควบคุมของเธอ ดวงตาของเธอมองไปยังไอน้ำสีขาวที่พ่นออกมาจากปากทุกครั้งที่หายใจเข้าออก เธอสั่นสะท้านจนฟันกระทบกันเบา ๆ ป้าคาเรนเองก็ดูหนาวสั่นไม่ต่างกันยิ่งเป็นคนแก่น่าจะยิ่งเซนซิทีฟกับอากาศหนาวยิ่งกว่าวัยรุ่นอย่างเธอเสียอีก เอโลอิสเหลือบไปเห็นแจสเปอร์ที่กำลังนั่งเฝ้ายามอยู่หัวเรือ เด็กหนุ่มบุตรแห่งแอรีสนั้นยังคงนั่งตัวตรงราวกับไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากอุณหภูมิที่ลดต่ำลง ใบหน้าของเขาดูนิ่งเฉยราวกับว่ากำลังนั่งสบาย ๆ อยู่หน้าเตาผิง “แจสเปอร์...” เอโลอิสเรียกเสียงสั่น “นะ…นาย...ไม่หนาวบ้างเหรอ? ทนได้ยังไงกันน่ะ?” แจสเปอร์หันมามองเพื่อนร่วมทางของเขาด้วยสีหน้าฉงนเล็กน้อย เขาสังเกตเห็นว่าทั้งเอโลอิสและป้าคาเรนต่างนั่งสั่นงันงกจนดูน่าสงสาร “หนาวเหรอครับ?” แจสเปอร์ถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย พลางขยับตัวเล็กน้อย “อืม...ก็ไม่ได้หนาวขนาดนั้นนี่ครับพี่สาว แค่อากาศเย็นสบายเอง” เขายืดอกเล็กน้อย “อาจเป็นเพราะผมเป็นบุตรแห่งเทพสงครามก็ได้มั้ง ร่างกายเลยมีความอึดมากกว่าคนอื่น” เอโลอิสและป้าคาเรนหันหน้ามามองกันและกัน ดวงตาของป้าคาเรนเต็มไปด้วยความอิจฉาและความ สงสัยในความอึดของเด็กหนุ่ม “ให้ตายเถอะ…ไม่ยุติธรรมเลย!” เอโลอิสพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันไปหาป้าคาเรนด้วยความหวังอันริบหรี่ “ป้าคะ…ในกระเป๋าของป้าที่เต็มไปด้วยของแปลกประหลาดนั่น…มีเสื้อกันหนาวหลงเหลืออยู่บ้างไหมคะ? หนูหนาวจะแย่แล้ว” ป้าคาเรนไม่ได้ตอบ แต่หันไปกอดถุงสายรุ้งห้าสีของเธอไว้แน่น ก่อนจะวางมันลงบนเรืออย่างระมัดระวัง เธอเปิดปากถุงออกและเริ่มปฏิบัติการค้นหาที่ยาวนานและซับซ้อนราวกับการขุดค้นทางโบราณคดี มือของป้าคาเรนดำดิ่งลงไปในถุง เธอล้วงออกมาทั้งกระป๋องสเปรย์ดับกลิ่นตัวรุ่นโบราณ ตั๋วหนังที่หมดอายุตั้งแต่สมัยยุค 90 และก้อนหินแปลก ๆ อีกสามสี่ก้อน ก่อนจะโยนของที่ไม่เกี่ยวข้องทิ้งลงไปในถุงอย่างไม่ใส่ใจ “ไหนดูซิ…ฉันจำได้ว่าฉันเคยซื้อเสื้อหนาวตอนมันเซลไว้หลายตัวอยู่นะ…” ในที่สุดหลังจากที่เสียงครืดคราดและเสียงโลหะกระทบกันดังออกมาจากถุง ป้าคาเรนก็ดึงสิ่งที่ต้องการออกมาได้สำเร็จ เธอค่อย ๆ ดึงเสื้อแจ็คเก็ตบุนวมที่ดูอบอุ่นออกมาจากปากถุง เสื้อแจ็คเก็ตตัวแรกมีสีชมพูอ่อนหวานราวกับขนมสายไหม บุนวมอย่างหนาและดูนุ่มนิ่ม ป้าคาเรนไม่รอช้า เธอสวมมันทับเสื้อผ้าทั้งหมดอย่างรวดเร็ว “นี่ของเธอ!” ป้าคาเรนยื่นเสื้อแจ็คเก็ตบุนวมอีกตัวที่มีสีฟ้าพาสเทลปนชมพูไปให้เอโลอิส เอโลอิสรับมันมาสวมอย่างรวดเร็ว ความอบอุ่นที่โอบล้อมร่างกายทำให้เธอรู้สึกราวกับได้เกิดใหม่อีกครั้ง แต่ป้าคาเรนยังไม่หยุดเท่านั้น เธอหยิบเสื้อกันหนาวมีฮู้ดขนาดจิ๋วที่มีลายจุดสีเหลืองออกมาจากถุงอีกตัว “นี่ของเธอเคอร์ติส!” เธอจัดการใส่เสื้อตัวจิ๋วให้กับเคอร์ติสที่ร้องจิ๊บ ๆ ด้วยความประหลาดใจ เสื้อฮู้ดนั้นเข้ากันกับขนาดตัวของนกกระทาพอดีอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้เคอร์ติสดูตลกและน่ารักในคราวเดียวกัน และสุดท้ายป้าคาเรนก็ดึงเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีน้ำเงินเข้มอีกตัวออกมาจากถุง มันเป็นเสื้อที่ดูดีและมีคุณภาพสูง แต่ดูเหมือนจะเป็นเสื้อของผู้หญิงเพราะมีขนาดค่อนข้างพอดีตัว “นี่ของนายแจสเปอร์ เอาไปใส่ซะ!” ป้าคาเรนยื่นเสื้อฮู้ดให้แจสเปอร์ด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดราวกับออกคำสั่ง แจสเปอร์มองเสื้อสีน้ำเงินในมือป้าคาเรน แล้วมองตัวเองที่ยังคงสวมเพียงเสื้อยืดแขนสั้นอยู่ “แต่ผมไม่หนาวเลยนะครับป้า” แจสเปอร์ปฏิเสธอย่างสุภาพ “เอาไว้ให้คนอื่นที่หนาวกว่าผมดีกว่าครับ” “อย่ามาเถียงฉันนะเจ้าเด็กโง่!” ป้าคาเรนตวาดเสียงดัง “ฉันรู้ว่าแกไม่หนาว แต่แกไม่เห็นเหรอว่าแกกำลังทำลายกำลังใจของพวกเราอยู่! แกมานั่งตัวตรง ๆ ในสภาพไม่สะทกสะท้านแบบนี้ แล้วพวกฉันที่นั่งสั่นเหมือนลูกนกจะรู้สึกยังไง! ใส่เข้าไปซะ!” เอโลอิสที่อบอุ่นขึ้นแล้วถึงกับหัวเราะเบา ๆ กับเหตุผลของป้าคาเรน แจสเปอร์ถอนหายใจอย่างยอมจำนน เขาเข้าใจได้ว่าการแสดงออกถึงความแข็งแกร่งของเขานั้นกำลังส่งผลลบต่อสภาพจิตใจของเพื่อนร่วมทาง เขาจำใจรับเสื้อฮู้ดสีน้ำเงินเข้มตัวนั้นมาสวมทับเสื้อของเขา ทันทีที่เขาสวมเสื้อฮู้ดตัวนั้นเรือมินิบานาน่าก็ดูมีสีสันขึ้นมาในทันที ชุดของป้าคาเรนสีชมพูหวาน ชุดของเอโลอิสสีฟ้าปนชมพูพาสเทล และชุดของแจสเปอร์สีน้ำเงินเข้มที่ตัดกับสีเหลืองนีออนของเรือ “ดีมาก!” ป้าคาเรนพึงพอใจ “ทีนี้พวกเราทุกคนก็อุ่นแล้ว เราไปต่อกันเลย!” เรือมินิบานาน่าแลนไปอีกสักพักใหญ่ก่อนที่เอโลอิสจะเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจากที่ไกล ๆ และเริ่มส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้น “ทุกคน ดูนั่นสิคะ!” ทุกคนหันไปมองตามที่เธอมองขอบฟ้าที่เคยเป็นเพียงผืนน้ำสีเข้มสุดลูกหูลูกตา บัดนี้ถูกแทนที่ด้วย เงาตะคุ่มสีเทาเข้ม ที่ก่อตัวเป็นรูปทรงขนาดมหึมาอยู่ไกลลิบ ๆ “นั่นมัน...แผ่นดิน!” แจสเปอร์อุทานเสียงดัง ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางกว่าสามวันพลันมลายหายไปจนหมดสิ้น เคอร์ติสกระพือปีกอย่างตื่นเต้นอยู่ในเสื้อฮู้ดลายจุดของมัน เงาตะคุ่มนั้นค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเรือแล่นเข้าใกล้ ภาพของฟยอร์ดอันงดงามและน่าเกรงขามก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาของพวกเขาอย่างช้า ๆ เบื้องหน้าคือเทือกเขาสูงชันที่ปกคลุมด้วยหิมะและธารน้ำแข็ง แม้จะอยู่ไกลแต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นของมัน ภูเขาสีเข้มตัดกับหิมะสีขาวโพลนอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ เมฆหมอกสีขาวหนาทึบปกคลุมยอดเขาเอาไว้ราวกับผ้าคลุมศักดิ์สิทธิ์ และตรงช่องว่างระหว่างภูเขาเหล่านั้นก็มีร่องรอยของบ้านเรือนสีสันสดใสที่เรียงรายกันอยู่ริมน้ำ “เบอร์เกน...เรามาถึงเบอร์เกนแล้ว!” เอโลอิสกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโล่งใจ แต่แววตาของเธอก็เต็มไปด้วยความกังวลในทันที เรือมินิบานาน่าลดความเร็วลงอย่างช้า ๆ เมื่อเริ่มเข้าใกล้บริเวณชายฝั่ง ทุกคนกลับเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง เพราะสิ่งที่รอพวกเขาอยู่บนแผ่นดินนั้นไม่ได้มีแค่ยักษ์หรืออสุรกายเท่านั้น แต่ยังมีกฎหมายประเทศที่ซับซ้อนและอันตรายยิ่งกว่า “เอาล่ะพวกเราต้องวางแผนให้ดีนะ” เอโลอิสเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “จำไว้ว่าพวกเราไม่มีพาสปอร์ตที่มีตราประทับของประเทศต้นทางขาออกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และพวกเรามาถึงในสภาพที่เหมือนหนีภัยสงครามมาหมาด ๆ ถ้าเราจอดเรือที่ท่าเรือหลัก พวกเขาจะตั้งคำถามและอาจจับเราได้” ป้าคาเรนถอนหายใจยาว “โธ่! แค่เรื่องเข้าเมืองก็ยุ่งยากแล้วเหรอเนี่ย? ฉันว่าเราแค่ลงไปแล้วใช้ดวงดี ๆ ของฉันทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตาบอดไปชั่วขณะก็น่าจะพอแล้วนะ” แจสเปอร์ส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ไม่ได้หรอกครับป้า การลักลอบเข้าเมืองนี่อันตรายกว่าอสุรกายหลายตัวรวมกันอีกนะครับ ถ้าโดนจับได้เรื่องมันจะยิ่งยุ่งยากนะครับ จำไม่ได้เหรอพวกเราเคยไปนอนคุกมาตั้งคืนนึง ถ้ารอบนี้โดนจับได้ล่ะก็โดนส่งกลับประเทศนะครับป้า แล้วที่เราเดินทางกันมาอย่างยากลำบากก็เท่ากับศูนย์เลยสิ” “แจสเปอร์พูดถูก” เอโลอิสเสริม “เราต้องหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่รัฐให้ได้มากที่สุด การจอดเรือที่ท่าเรือหลักจึงไม่ปลอดภัยค่ะ เราต้องหาช่องทางธรรมชาติที่ลับตากว่านี้” เอโลอิสใช้กล้องส่องทางไกลที่หยิบมาจากถุงสายรุ้งของป้าคาเรน (โดยที่ไม่มีใครถามว่ามันมาจากไหน) ส่องมองไปตามแนวชายฝั่งที่คดเคี้ยวของฟยอร์ด เธอสังเกตเห็นพื้นที่บางส่วนที่ดูรกร้างและเป็นแนวป่าสนที่ทอดยาวลงมาถึงน้ำ “ตรงโน้นค่ะ! ทางทิศตะวันออกของเมืองไปหน่อย จะมีร่องน้ำเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนเป็นทางน้ำเก่าที่ไม่ค่อยมีเรือผ่าน” เอโลอิสชี้ไปยังจุดที่มีเรือประมงเล็ก ๆ เพียงไม่กี่ลำจอดอยู่ “เราจะแอบจอดที่นั่น แล้วพรางตัวขึ้นสู่ฝั่ง” เรือมินิบานาน่าเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าและเงียบกริบ เลียบเลาะไปตามแนวภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยป่าสนหนาทึบ ไอหมอกจาง ๆ ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ทำให้การพรางตัวง่ายขึ้นมาก แสงอาทิตย์ที่ยังคงสาดส่องอย่างต่อเนื่องยิ่งทำให้พวกเขาต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะไม่มีความมืดมาช่วยปกปิด ในที่สุดเรือก็แล่นเข้ามาในร่องน้ำเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยโขดหินและต้นสนที่แผ่กิ่งก้านสาขาลงมาถึงน้ำ เอโลอิสดับเครื่องยนต์ของเรืออย่างเบามือ จากนั้นเธอก็ยื่นไม้พายให้แจสเปอร์ใช้เกี่ยวเรือมินิบานาน่าให้จอดเทียบกับโขดหินที่ยื่นออกมาจากชายฝั่ง “ค่อย ๆ นะคะทุกคน” เอโลอิสกระซิบสั่ง แจสเปอร์รับหน้าที่เป็นคนแรกในการปีนป่ายขึ้นสู่ฝั่ง เขาปีนขึ้นไปบนโขดหินที่ปกคลุมด้วยตะไคร่และมอสส์สีเขียวชอุ่มอย่างว่องไวและเงียบเชียบ จากนั้นจึงทอดตัวลงมาช่วยป้าคาเรนและเอโลอิสให้ขึ้นมาสู่ฝั่งได้อย่างปลอดภัย เคอร์ติสบินออกมาจากไหล่ของเอโลอิสและเกาะอยู่บนกิ่งสนที่อยู่เหนือศีรษะ เมื่อทุกคนขึ้นสู่ฝั่งได้อย่างมั่นคงและปลอดภัยแล้ว เอโลอิสจึงหันไปมองเรือมินิบานาน่าที่ลอยนิ่งอยู่เหนือน้ำ จากนัั้นก็ทำให้เรือมินิบานาน่าสีเหลืองนีออนก็ยุบตัวลงอย่างรวดเร็วและกลายเป็นเพียงผ้าเช็ดปากสีเหลืองที่ถูกพับเก็บไว้อย่างเรียบร้อยในมือของเอโลอิส ป้าคาเรนขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัยด้วยความช่วยเหลือของแจสเปอร์ แต่ในจังหวะสุดท้ายที่เท้าของเธอกำลังจะเหยียบพื้นดิน เธอก็สะดุดเข้ากับรากไม้ที่ยื่นออกมาอย่างคาดไม่ถึง โครม! ป้าคาเรนล้มลงไปในพุ่มไม้สนอย่างแรง ถุงสายรุ้งห้าสีของเธอหลุดมือและกลิ้งลงไปบนพื้นหินอย่างน่าหวาดเสียว แต่แทนที่จะมีเสียงดังตามมาทันที กลับเกิดสิ่งที่น่าประหลาดขึ้นเนื่องจากแรงกระแทกจากถุงวิเศษที่ล้มลงไปกระทบพื้นหินแข็ง ลูกแก้วสีใสลูกหนึ่งที่ป้าคาเรนเก็บไว้อย่างไม่ตั้งใจก็กระเด็นออกจากปากถุง ลูกแก้วนั้นกลิ้งไปชนกับก้อนกรวดสามก้อนอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ก้อนกรวดทั้งสามจะกระเด็นไปตกอยู่ในร่องน้ำเสียงดัง จ๋อม! จ๋อม! จ๋อม! เสียงดังที่เกิดจากก้อนกรวดทั้งสามลูกนั้น ทำให้ชายชาวประมงที่กำลังเดินอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ ถึงกับหันมามองด้วยความสงสัย แต่เมื่อเขาเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากเสียงที่มาจากร่องน้ำเท่านั้น เขาก็ส่ายหัวเล็กน้อย พลางคิดว่าคงเป็นแค่ปลาตัวใหญ่กระโดดน้ำ และเดินจากไปอย่างไม่ใส่ใจ “ให้ตายสิป้า! เกือบไปแล้วนะครับ!” แจสเปอร์กระซิบด้วยความโล่งใจที่ปนไปด้วยความหงุดหงิดกับความซุ่มซ่ามที่ไม่คาดคิดของป้าคาเรน “ก็แหม...ใครจะไปรู้ล่ะว่ารากไม้พวกนี้จะแข็งขนาดนี้!” ป้าคาเรนบ่น พลางเก็บถุงสายรุ้งขึ้นมากอดไว้แน่นอีกครั้ง เคอร์ติสบินออกมาจากไหล่ของเอโลอิสและมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ป่าสนที่ปกคลุมด้วยหิมะและมอสส์ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกและดูเก่าแก่ราวกับเป็นประตูสู่ยุคโบราณ “เราปลอดภัยแล้วค่ะ” เอโลอิสกล่าวเบา ๆ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยคราบเหงื่อและความหนาวเย็น “เรามาถึงนอร์เวย์แล้ว...ทีนี้ก็เหลือแค่เดินทางไปยังเขากัลด์เฮอพิกเกนเท่านั้น” หลังจากที่รอดพ้นจากการสังเกตของชาวประมงมาได้อย่างหวุดหวิด พวกเขาทั้งสามคนก็รีบพาตัวเองมุดลึกเข้าไปในป่าสนที่อยู่รอบนอกเมืองเบอร์เกนอย่างรวดเร็ว ผืนป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยไอเย็นและความชื้น มอสส์สีเขียวชอุ่มปกคลุมอยู่บนพื้นดินและโขดหินราวกับพรมธรรมชาติ ทำให้การเดินเต็มไปด้วยความทุลักทุเล แต่ทุกคนก็ต้องก้าวเดินต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน เพราะรู้ดีว่ายิ่งอยู่ใกล้ชายฝั่งเท่าไหร่ก็ยิ่งอันตรายเท่านั้น พวกเขาเป็นผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตน ไม่มีเงินตราท้องถิ่น และไม่มีใครที่พูดภาษานอร์เวย์ได้เลยสักคน “เราต้องหาที่พัก...” เอโลอิสกล่าวเสียงแหบพร่า ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางในทะเลเหนือเริ่มส่งผลต่อร่างกายของธิดาแห่งเฮฟเฟตัสเข้าแล้ว “คงไปนอนโรงแรมเหมือนตอนอยู่อเมริกาไม่ได้แน่นอน นอกจากเรื่องพาสปอร์ตแล้ว เงินก็ไม่ค่อยมีด้วยซ้ำ” แจสเปอร์มองไปรอบ ๆ ตัวเขา ต้นสนสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาอย่างหนาแน่น ทำให้แสงสว่างที่ควรจะมีตลอด 24 ชั่วโมงดูมืดสลัวลงไปเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องหาที่พักที่ถูกทิ้งร้างหรือไม่ก็ที่พักชั่วคราวกลางป่าครับ” แจสเปอร์เสนอ พลางใช้ ง้าวเยี่ยนหยาชี้ไปยังทิศทางที่ดูเหมือนจะเป็นเนินเขาสูงชันกว่า ป้าคาเรนที่สะพายถุงสายรุ้งไว้แน่นจนดูเหมือนกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่ถอนหายใจออกมาเป็นไอสีขาว “ให้ตายสิ! นี่มันไม่ต่างจากหนังเอาตัวรอดเลยนะเนี่ย ชีวิตเดมิก็อดมันน่าจะมีทางลัดที่สบายกว่านี้บ้างสิ!” พวกเขาใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการเดินฝ่าป่าสนที่หนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเมื่อปีนขึ้นไปบนเนินเขาเล็ก ๆ แห่งหนึ่งได้สำเร็จ พวกเขาก็พบกับสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นรางวัลจากความอุตสาหะของพวกเขา เบื้องหน้าคือกระท่อมล่าสัตว์ไม้ซุงขนาดเล็ก ตั้งอยู่ท่ามกลางกลุ่มต้นสนที่หนาแน่น ตัวกระท่อมดูเก่าแก่แต่ยังคงสภาพดี มีปล่องไฟที่ทำจากหินโผล่ออกมาจากหลังคา และมีฟืนที่ถูกตัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่ด้านข้าง “ว้าว!” แจสเปอร์อุทานด้วยความดีใจ “ดวงของป้าคาเรนไม่ได้แย่ไปซะทั้งหมดนี่ครับ ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ด้วย” เอโลอิสเดินเข้าไปสำรวจอย่างระมัดระวัง เธอเคาะประตูและเรียกอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ เธอใช้ความเชี่ยวชาญตรวจสอบกลอนประตูอย่างรวดเร็ว และพบว่ามันถูกล็อกด้วยกุญแจที่ทำจากเหล็กธรรมดา “มีกุญแจล็อกอยู่ค่ะ และพวกเราก็ไม่มีความสามารถในการสะเดาะกลอนเลย รู้งี้พาลูกเทพเฮอร์มิสมาสักคนก็ดีสิ” เอโลอิสถอนหายใจ “แจสเปอร์ นายช่วยพังมันได้ไหมแบบเงียบ ๆ น่ะ?” “พังแบบเงียบ ๆ น่ะเหรอครับ?ไม่ฟังดูแปลกไปหน่อยเหรอพี่สาวใครมันจะไปทำได้มือผมหนักจะตาย” แจสเปอร์เกาหัวอย่างสับสน ทันใดนั้นป้าคาเรนก็เดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มกว้าง เธอเปิดถุงสายรุ้งห้าสีของเธอออกและล้วงมือลงไปในส่วนที่ลึกลับที่สุดของถุง “ไม่ต้องพังหรอก เรื่องนี้ฉันจัดการเอง” ป้าคาเรนหยิบกิ๊บติดผมสีทองออกมาสามอันที่ดูเหมือนจะอยู่ในถุงมานานนับสิบปี “ตอนสมัยสาว ๆ ฉันดูละครมาเยอะ” ป้าคาเรนจัดการงอกิ๊บติดผมสองอันให้เป็นรูปทรงแปลก ๆ ก่อนที่เธอจะเริ่มปฏิบัติการสะเดาะกลอนแบบคาเรนสไตล์ที่ไร้ซึ่งทักษะแต่เต็มไปด้วยโชคช่วย เธอแหย่กิ๊บอันแรกลงไปในรูกุญแจอย่างมั่ว ๆ แล้วก็แทงกิ๊บอีกอันตามเข้าไปอย่างไม่ใส่ใจ คลิก! เสียงกลไกภายในที่คลายตัวดังขึ้นเบา ๆ ราวกับปาฏิหาริย์ “เห็นไหมล่ะ อย่าดูถูกสกิลมิจฉาชีพคนไทยเด็ดขาดเลยนะ” ป้าคาเรนกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ กลอนประตูถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย พวกเขาผลักประตูเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ภายในกระท่อมเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของไม้สนแห้งและเขม่าควันไฟเก่า ๆ เฟอร์นิเจอร์ภายในมีเพียงเตาผิงหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง โต๊ะไม้ และเตียงนอนสองชั้น ที่ปูด้วยหนังสัตว์เก่า ๆ บรรยากาศดูอบอุ่นและเงียบสงบราวกับหลุดออกมาจากนิทานพื้นบ้านของชาวนอร์ส “เยี่ยมไปเลย!” ป้าคาเรนรีบพุ่งตัวไปทิ้งตัวลงบนที่นอนหนังสัตว์ชั้นล่างทันที “ฉันจองเตียงนี้” เอโลอิสไม่ได้พักผ่อน เธอรู้ดีว่าพวกเขาต้องการความอบอุ่นเพื่อฟื้นฟูร่างกาย เอโลอิสจึงจัดแจงเก็บเศษไม้แห้งที่อยู่รอบ ๆ ก่อกองไฟในเตาผิงอย่างชำนาญ เคอร์ติสบินเข้าไปเกาะบนขอบเตาผิงที่ยังเย็นอยู่ด้วยท่าทางง่วงนอน ในไม่ช้าเปลวไฟก็เริ่มลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็ว ความอบอุ่นที่แผ่กระจายออกมาทำให้ไอร้อนไปขับไล่ความหนาวเย็นที่เกาะอยู่ตามเสื้อผ้าของพวกเขาออกไปจนหมดสิ้น เอโลอิสถอดเสื้อแจ็คเก็ตบุนวมออก และรู้สึกว่าผิวของเธอกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง “เอาล่ะ ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว!” ป้าคาเรนที่ฟื้นตัวแล้วประกาศอย่างร่าเริง เธอดึงเอาซองบะหมี่สำเร็จรูป และกระป๋องเหล็กขนาดเล็กที่มีหูหิ้วออกมาจากถุงสายรุ้ง แจสเปอร์มองกระป๋องเหล็กนั้นด้วยความสงสัย “ป้าครับ นั่นมัน...กระป๋องใส่กาแฟไม่ใช่เหรอครับ?” “ไม่ใช่กาแฟหรอกเจ้าโง่!” ป้าคาเรนหัวเราะพลางชี้ไปที่ไฟที่ลุกโชนในเตาผิง “นี่มันหม้อต้มฉุกเฉินของฉันไม่เคยเรียนลูกเสือหรือไง? เราจะใช้ไฟที่เอโลอิสก่อต้มน้ำกันไงล่ะ” ป้าคาเรนจัดการนำกระป๋องเหล็กไปใส่น้ำที่พวกเขานำติดตัวมาเล็กน้อย แล้วใช้ลวดที่พันรอบกระป๋อง แขวน มันไว้เหนือเปลวไฟในเตาผิงอย่างระมัดระวัง ด้วยความร้อนแรงจากฟืนไม้สนแห้งในไม่กี่นาทีไอน้ำก็เริ่มพวยพุ่งออกมาจากปากกระป๋องเหล็ก และน้ำก็เดือดส่งเสียงดังหวีดหวิว เอโลอิสจัดการเทน้ำเดือดลงในซองบะหมี่สำเร็จรูปอย่างรวดเร็ว ความหอมของเครื่องเทศและกลิ่นบะหมี่ที่ลอยออกมาสร้างความโอดครวญให้กับท้องทุกคน เมื่อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถูกปรุงเสร็จ พวกเขาทั้งสามคนก็พากันนั่งล้อมรอบกองไฟที่เตาผิง กินอาหารมื้อแรกบนแผ่นดินนอร์เวย์อย่างเงียบ ๆ ความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดตลอดสามวันถูกแทนที่ด้วยความอิ่มเอมใจจากอาหารง่าย ๆ และความรู้สึกปลอดภัยที่ได้พักพิง “กินเสร็จก็พักผ่อนกันเถอะ พรุ่งนี้เช้าเราต้องเดินทางต่อ” แจสเปอร์พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เขามองไปที่เปลวไฟที่เตาผิงแสงสีส้มแดงนั้นวาดเงาบนผนังไม้ซุง ทำให้เขารู้สึกถึงความปลอดภัยที่ไม่เคยรู้สึกมานาน “ผมจะเฝ้ายามให้ครับพี่สาว พักผ่อนให้เต็มที่เถอะ” บุตรแห่งแอรีสกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงและจริงใจ ป้าคาเรนที่อิ่มหนำสำราญแล้วก็เอนหลังลงบนเตียงหนังสัตว์อย่างรวดเร็ว เธอหยิบผ้าปิดตาลายดอกกุหลาบออกมาจากถุงสายรุ้งแล้วสวมมันทันที “มีอะไรก็เรียกแล้วกัน อย่าหักโหมล่ะ” ป้าคาเรนกล่าวเสียงงัวเงีย ก่อนจะผล็อยหลับไปในทันที เคอร์ติสที่นอนขดตัวอยู่ในเสื้อฮู้ดลายจุดสีเหลืองที่ขอบเตาผิง ส่งเสียงร้องเบา ๆ เป็นการยืนยันว่าเขาพร้อมที่จะนอนแล้วเช่นกัน เอโลอิสยิ้มอย่างอ่อนโยน เธอเชื่อใจแจสเปอร์และรู้ว่าเขาจะทำหน้าที่เฝ้ายามได้ดีที่สุด เธอจึงเอนกายลงบนเตียงนอนชั้นบนห่มผ้าหนังสัตว์ที่อบอุ่นและปิดเปลือกตาลง ภายใต้แสงสว่างที่ไม่ดับของฟากฟ้าเหนือนอร์เวย์ และความอบอุ่นจากเตาผิงของกระท่อมล่าสัตว์ร้าง เหล่าเดมิก็อดทั้งสามก็ได้พักผ่อนจริงจังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทางที่เต็มไปด้วยภยันตราย พวกเขาหลับใหลไปพร้อมกับความมุ่งมั่นว่าเช้าวันรุ่งขึ้นจะนำพวกเขาเข้าใกล้เขากัลด์เฮอพิกเกนไปอีกขั้น



สวมใส่เสื้อกันหนาว


@God 






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 48989 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-12-4 02:07
โพสต์ 48,989 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +15 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม  โพสต์ 2025-12-4 02:07
โพสต์ 48,989 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +20 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 2025-12-4 02:07
โพสต์ 48,989 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +12 ความกล้า +12 ความศรัทธา จาก มาลาแห่งอัสสัมชัญ  โพสต์ 2025-12-4 02:07
โพสต์ 48,989 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +30 ความกล้า +20 ความศรัทธา จาก เกราะไทเทเนียม  โพสต์ 2025-12-4 02:07
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2025-12-7 21:16:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด







แสงตะวันยามเช้าในนอร์เวย์มิได้มีความเร่งรีบเหมือนกับแสงอาทิตย์ในเซาแธมป์ตัน แม้ตอนนี้จะล่วงเลยเข้าสู่เวลาหกโมงเช้าแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหนาวทุเลาลง ความอบอุ่นจากเตาผิงยังคงหลงเหลืออยู่ในกระท่อมไม้ซุง เอโลอิสเป็นคนแรกที่ตื่น เธอจุดไฟเพิ่มในเตาผิงเล็กน้อยเพื่อต้มน้ำที่เหลือในกระป๋องของป้าคาเรน จากนั้นจึงนั่งทบทวนแผนการเดินทางของพวกเขาอีกครั้งบนพื้นไม้ที่เย็นเฉียบ “ตอนนี้อุปสรรคข้องพวกเราคือการลักลอบเข้าเมืองถ้าจะขึ้นรถไฟหรือรสบัสพวกเราต้องใช้พาสปอร์ต และพวกเราก็ไม่มีตราประทับเข้าเมืองด้วย เราต้องหาวิธีที่ไม่ต้องใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อไปที่ลูมให้ได้” เธอสรุปแผนการให้แจสเปอร์ฟังขณะที่เขากำลังลับคมง้าวเยี่ยนหยาอย่างเงียบเชียบ “การเดินทางโดยรถยนต์จากเบอร์เกนไปลูมน่าจะใช้เวลาประมาณห้าถึงหกชั่วโมง ถ้าเราสามารถแอบขึ้นรถบรรทุกสินค้าที่ออกเดินทางแต่เช้าได้ เราก็จะไปถึงฐานเขากัลด์เฮอพิกเกนได้ภายในวันนี้” แจสเปอร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย สายตาของเขามุ่งมั่นและแน่วแน่ “ผมรู้ว่าเราต้องไปที่ไหนพี่สาว การขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ปกติเขาไม่ทำในเมืองหลักหรอก แต่น่าจะเป็นที่ศูนย์โลจิสติกส์ที่อยู่ห่างออกไปทางตะวันออกบนเส้นทาง E16 ทำไมผมรู้น่ะเหรอ? ผมกูเกิ้ลน่ะ” เขาพูดพร้อมโชว์ข้อมูลในสมาร์ทโฟนของตัวเอง “ขอบใจนะแจสเปอร์อย่างน้อยนายก็ทำให้ฉันรู้ว่า นายไม่ได้โง่ไปเสียทุกเรื่อง” หลังจากป้าคาเรนตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการบ่นพึมพำเรื่องความเมื่อยขบ พวกเขาทั้งสามคนก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง โดยมีแจสเปอร์นำทางฝ่าป่าสนที่หนาแน่น พวกเขาเดินอย่างระมัดระวังเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงจนกระทั่งเสียงเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่ดังกระหึ่มก็เริ่มดังขึ้นเหนือเสียงลมพัด เมื่อพวกเขามาถึงขอบป่าที่ทอดยาวไปยังถนนลาดยางสายหลัก ภาพที่อยู่ตรงหน้าก็คือศูนย์กลางการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยพาเลทวางสินค้า และตู้คอนเทนเนอร์หลากสีสัน ที่นี่มีรถบรรทุกขนาดใหญ่จอดเทียบท่าขนถ่ายสินค้าอยู่หลายสิบคัน ส่วนใหญ่เป็นรถบรรทุกพ่วงที่บรรทุกตู้ทึบหรือรถบรรทุกที่มีผ้าใบคลุมด้านข้างที่ใช้ขนส่งสินค้าทั่วไปและเสบียงสำหรับร้านค้าปลีก เอโลอิสใช้กล้องส่องทางไกลที่ยืมมาจากป้าคาเรนเพื่อสอดส่องและประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ คลังสินค้าขนาดใหญ่เป็นอาคารโลหะสีเทาไร้หน้าต่าง ประตูด้านหลังเปิดอ้าออกราวกับปากยักษ์ มีพนักงานในชุดสะท้อนแสงเดินเข้าออกอย่างเร่งรีบเพื่อขนย้ายสิ่งของ “พวกเราต้องเลือกรถบรรทุกให้ดี” เอโลอิสกระซิบเสียงแผ่ว “รถส่วนใหญ่ที่จอดอยู่กำลังจะขนถ่ายสินค้าเข้าคลัง รถที่เราต้องการคือรถที่เพิ่งบรรทุกเสร็จและกำลังจะออกจากลาน” ไม่นานนักสายตาของพวกเขาก็จับจ้องไปที่รถบรรทุกคันหนึ่ง รถคันนั้นเป็นรถบรรทุกพ่วงตู้ทึบสีน้ำเงินเข้ม ยี่ห้อวอลโว่ ซึ่งเป็นรถบรรทุกที่พบเห็นได้ทั่วไปในนอร์เวย์ มันถูกบรรทุกเต็มตู้และพนักงานกำลังปิดประตูเหล็กด้านท้ายอย่างเร่งรีบ มันไม่มีผ้าใบคลุม มีเพียงประตูเหล็กที่ต้องปิดผนึกด้วยซีลที่ทำจากพลาสติกแข็งเท่านั้น “คันนั้นแหละ” เอโลอิสชี้ “รถตู้ทึบเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการพรางตัวจากสายตาของคนทั่วไป แต่เราจะเข้าไปได้ยังไงล่ะเนี่ย?” “‘งั้นฟังสัญญาณจากผมแล้วทำตามที่ผมบอกก็พอ” แจสเปอร์เสนอ ขณะที่รถบรรทุกสตาร์ทเครื่องยนต์และส่งเสียงคำรามดังก้อง พนักงานคนสุดท้ายก็เดินไปหยิบ ซีลพลาสติกเพื่อปิดผนึกประตูท้าย แจสเปอร์รู้ว่าเวลามีไม่มากแล้ว “ไปกันเลย!” แจสเปอร์เป็นผู้นำ เขาใช้ความว่องไวกระโดดข้ามรั้วเตี้ย ๆ แล้ววิ่งตรงไปที่ท้ายรถบรรทุกอย่างรวดเร็ว เอโลอิสและป้าคาเรนตามมาติด ๆ เมื่อมาถึงท้ายรถบรรทุก แจสเปอร์ใช้กำลังมหาศาลของเขางัดขอเกี่ยวด้านล่างของประตูเหล็กที่พนักงานเผลอลืมใส่สลักยึดไว้เล็กน้อยให้เปิดออกได้กว้างพอที่คนจะมุดเข้าไปได้ เอโลอิสรีบผลักป้าคาเรนเข้าไปก่อน จากนั้นเธอจึงตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว ตามด้วยเคอร์ติสที่บินเข้าหาช่องว่างด้านใน และสุดท้ายแจสเปอร์ ขณะที่แจสเปอร์กำลังจะดึงประตูเหล็กปิดกลับเข้าที่ เอโลอิสก็หยุดเขาไว้ชั่วครู่ ดวงตาของธิดาแห่งเฮเฟตัสสำรวจประตูเหล็กอย่างรวดเร็ว เธอไม่ได้กังวลเรื่องการล็อก แต่กังวลเรื่องอากาศเดี๋ยวขาดอากาศตายกันพอดี “รอเดี๋ยวแจสเปอร์” เอโลอิสกระซิบ เธอใช้มือสัมผัสเบา ๆ ที่มุมประตูเหล็กด้านล่างของบานพับ เอโลอิสหลับตาลงเล็กน้อยเพื่อรวมสมาธิ เธอต้องการรอยแยกที่ดูเหมือนรอยต่อปกติ เธอส่งพลังควบคุมโลหะออกไปยังโครงสร้างเหล็กกล้าของตู้คอนเทนเนอร์ และบิดโครงสร้างของเหล็กบริเวณขอบตะเข็บด้านล่างของประตู เธอปรับรูปทรงโลหะตลอดแนวพื้นประตูให้เกิดเป็น ช่องระบายอากาศซึ่งช่วยให้การแลกเปลี่ยนอากาศเกิดขึ้นได้อย่างช้า ๆ และต่อเนื่อง เพื่อให้เพียงพอต่อการรักษาชีวิตคนสามคนตลอดการเดินทางที่ยาวนานกว่าห้าชั่วโมง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากภายนอกเลย เว้นแต่จะก้มลงไปตรวจสอบอย่างละเอียด กึก! ทันทีที่เอโลอิสเสร็จสิ้น แจสเปอร์ก็ใช้มือดึงประตูเหล็กให้กลับเข้าที่เดิมอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้ปิดให้มันล็อกสนิท เพียงแค่ดันให้เข้าที่และมีช่องว่างเล็กน้อยพอให้หายใจได้ พนักงานผู้ไม่รู้เรื่องราวใด ๆ เดินกลับมาพร้อมกับซีลพลาสติก แคว๊ก! เขาปิดผนึกซีลที่มือจับประตูรถบรรทุกอย่างแน่นหนา จากนั้นก็ขึ้นไปบนรถกระบะแล้วขับออกไป พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์รถบรรทุกที่ดังกระหึ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมันเริ่มเคลื่อนตัว ภายในตู้ทึบของรถบรรทุกนั้นมืดสนิท มีเพียงแสงจาง ๆ ลอดผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ของประตูเท่านั้น อากาศภายในเย็นจัดและอับชื้นไปด้วยกลิ่นของกล่องกระดาษและยางมะตอย พวกเขาถูกบีบให้อยู่ในพื้นที่ว่างเล็ก ๆ ระหว่างผนังตู้กับพาเลทไม้ที่บรรทุกสินค้ากล่องขนาดใหญ่ พวกเขาทำได้เพียงนั่งเบียดกันไปตลอดทาง โครม! แกร๊ก! รถบรรทุกเร่งความเร็วขึ้นสู่ทางหลวง E16 แรงสั่นสะเทือนจากถนนที่ไม่เรียบและการเข้าโค้งทำให้กล่องสินค้าขยับและส่งเสียงดังไปทั่วตู้ เอโลอิสใช้แขนโอบรอบป้าคาเรนไว้แน่นเพื่อไม่ให้เธอเซไปชนกับกล่องสินค้า ป้าคาเรนส่งเสียงบ่นออกมาเบา ๆ “ให้ตายสิ! ฉันว่านั่งเรือยังดีซะกว่านะอย่างน้อยก็ยังมีอากาศให้หายใจเยอะกว่านี้” แจสเปอร์นั่งนิ่งราวกับรูปปั้นหิน เขาใช้ความอึดของบุตรแห่งแอรีสทนต่อการสั่นสะเทือนทั้งหมด ในขณะที่มืออีกข้างคอยจับพาเลทสินค้าไว้ไม่ให้ล้มลงมาทับ “เรากำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงแล้วครับป้า อดทนไว้อีกไม่นานเราจะถึง” เสียงหวีดหวิวของลมและความเร็วเริ่มดังสนั่นขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่รถบรรทุกจะลดความเร็วลงอย่างกะทันหัน เสียงเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ที่สะท้อนกลับมาในตู้ทึบนั้นทำให้ปวดแก้วหู มันเป็นเสียงที่น่าหวาดหวั่นราวกับปีศาจเหล็กกล้าที่กำลังกลืนกินพวกเขา รถบรรทุกเข้าสู่ความมืดมิดที่หนาแน่นยิ่งกว่าเดิม นั่นหมายความว่าพวกเขาได้เข้าสู่อุโมงค์เลร์ดาล อุโมงค์ที่ยาวที่สุดในโลกแล้ว ภายในอุโมงค์ที่มืดมิดและยาวนานกว่ายี่สิบสี่กิโลเมตร แรงสั่นสะเทือนนั้นลดลง แต่ความตึงเครียดกลับเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ เอโลอิสสัมผัสได้ว่าความเย็นที่เล็ดรอดเข้ามาในตู้ทึบนั้นรุนแรงจนน่ากลัว ถึงแม้เธอจะสวมเสื้อแจ็คเก็ตบุนวมแล้วก็ตาม เธอกัดฟันแน่นจนรู้สึกถึงกลิ่นเลือดจาง ๆ “หนาวเกินไปแล้ว…” ป้าคาเรนกระซิบเสียงสั่น พวกเขาเดินทางในความมืดอันยาวนานจนกระทั่งแสงสว่างจากปากอุโมงค์เริ่มส่องเข้ามา เมื่อรถบรรทุกพ้นจากอุโมงค์แลร์ดาลแล้ว ความตึงเครียดก็คลายลง หลังจากผ่านอุโมงค์ รถบรรทุกก็เริ่มแล่นไปบนถนนสายหลักอย่างต่อเนื่อง ทัศนียภาพภายนอกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากฟยอร์ดที่ปกคลุมด้วยความชื้น ตอนนี้พวกเขากำลังไต่ระดับขึ้นสู่หุบเขาและเทือกเขาสูงชันมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาทนอยู่กับแรงสั่นสะเทือนและการเบรกที่ดุดันของรถบรรทุกไปอีกประมาณสี่ชั่วโมงเต็ม เอโลอิสประเมินจากความรู้สึกและช่วงเวลาที่ความร้อนจากร่างกายเธอเริ่มลดลง กุกกัก กุกกัก! ในที่สุดรถบรรทุกก็เลี้ยวขวาอย่างแรง เสียงล้อบดกับกรวดถนนดังขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งบ่งบอกว่ารถได้ออกจากทางหลวงสายหลักแล้ว “คงใกล้ถึงแล้วล่ะ” แจสเปอร์กระซิบ ดวงตาของเขามีความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด “เราน่าจะเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางสายรองที่มุ่งตรงไปยังภูเขาแล้วครับ” รถบรรทุกเริ่มลดความเร็วลงและแล่นไปตามถนนที่คดเคี้ยว พวกเขาได้ยินเสียงรถบรรทุกคันอื่นที่สวนทางกันบ่งบอกว่าพวกเขาเข้าสู่เส้นทางขนส่งสินค้าในเขตภูเขาแล้ว รถบรรทุกใช้เวลาอีกประมาณสามสิบนาทีในการเดินทางบนเส้นทางสายรองที่แคบและล้อมรอบด้วยป่าสนที่หนาแน่นกว่าเดิม จนกระทั่งรถบรรทุกเริ่มลดความเร็วและจอดเทียบท่าอย่างเชื่องช้า “เหมือนรถจะหยุดแล้วแฮะ” เอโลอิสกระซิบ มือของเธอสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น พวกเขาได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดีเซลดับลงและตามมาด้วยเสียงประตูรถบรรทุกที่เปิดออกทางด้านหน้า ซึ่งเป็นสัญญาณว่าคนขับรถกำลังลงจากรถเพื่อตรวจเช็กสินค้าหรือส่งมอบ ภายในตู้ทึบที่มืดสนิทความตึงเครียดกลับมาพุ่งสูงถึงขีดสุดอีกครั้ง “ประตูถูกซีล…” เอโลอิสกระซิบเสียงต่ำ เธอจำได้ถึงเสียงที่ดังขึ้นตอนเข้าสู่ตู้ “ไม่น่าออกทางประตูได้แฮะ” แจสเปอร์ไม่รอช้า เขาเตรียมพร้อมที่จะใช้ง้าวเยี่ยนหยาฟาดประตูเหล็กทิ้งหากถึงคราวจำเป็น แต่เอโลอิสแตะแขนเขาไว้ “อย่าเพิ่ง…” เอโลอิสกล่าว เธอก้มตัวลงสัมผัสที่พื้นเหล็กของตู้ทึบ ซึ่งเป็นเหล็กกล้าที่มีความหนาแน่นสูงและเป็นส่วนที่ยากที่สุดในการแหวกออก ทันทีที่เสียงฝีเท้าของคนขับรถบรรทุกเริ่มห่างออกไปเพื่อเดินไปยังโกดังข้างหน้า ภารกิจแหวกแผ่นเหล็กก็เริ่มต้นขึ้น เอโลอิสส่งพลังควบคุมโลหะทั้งหมดของเธอลงสู่พื้นตู้ พื้นเหล็กใต้ฝ่ามือของเธอเริ่มรู้สึกนุ่มนวลราวกับดินน้ำมัน เสียงโลหะที่แยกออกจากกันดังขึ้นเบา ๆ เธอควบคุมพลังให้พื้นเหล็กบริเวณมุมตู้ฉีกขาดออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดพอดีตัวคน พร้อมกับพับขอบเหล็กลงไปด้านล่างอย่างระมัดระวังที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียงกระทบพื้น ช่องว่างขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนพื้นตู้ทึบทันที อากาศเย็นจัดและกลิ่นน้ำมันดินของท้องถนนพุ่งสวนขึ้นมาสู่ใบหน้าของพวกเขาอย่างแรง “เร็วเข้า!” เอโลอิสสั่ง แจสเปอร์รับหน้าที่เป็นคนแรกในการดำดิ่งลงสู่ช่องว่างนั้น เขาใช้กำลังแขนยึดขอบเหล็กไว้และลดตัวลงไปสู่ใต้ท้องรถบรรทุก เขาคลานเข้าไปซ่อนตัวในช่องว่างระหว่างเพลาล้ออย่างรวดเร็ว ป้าคาเรนตามลงมาเป็นคนที่สองอย่างทุลักทุเลและเงียบเชียบที่สุด และสุดท้ายคือเอโลอิส เธอลงสู่พื้นถนนอย่างง่ายดายพร้อมเคอร์ติส ทันทีที่เท้าของเอโลอิสเหยียบพื้นถนนใต้ท้องรถบรรทุก เธอก็ไม่รีรอที่จะปิดร่องรอยทั้งหมด เธอส่งพลังควบคุมโลหะกลับไปยังช่องเปิดสี่เหลี่ยมบนพื้นรถ พื้นเหล็กที่ถูกแหวกออกนั้นถูกดึงกลับเข้าหากันและเชื่อมต่อกันอีกครั้งในระดับโมเลกุลอย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอย ไม่เหลือแม้แต่รอยต่อของการฉีกขาด ขณะเดียวกัน เอโลอิสก็ใช้พลังแก้ไขช่องระบายอากาศที่เธอสร้างไว้ตอนแรกให้เหล็กประสานตัวกันจนแน่นสนิทไม่ให้มีหลักฐานใด ๆ หลงเหลืออยู่เลย ราวกับว่าตู้ทึบนี้ไม่เคยถูกบุกรุกมาก่อน พวกเขาทั้งสามคนเบียดกันอยู่ใต้ท้องรถบรรทุกเงียบเชียบราวกับก้อนหิน ห่างจากเท้าของคนขับรถที่กำลังเดินไปมาเพื่อขนถ่ายสินค้าเพียงไม่กี่เมตร หัวใจของพวกเขาเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง เมื่อมั่นใจแล้วว่าคนขับรถมุ่งความสนใจไปที่การเปิดโกดังและยังไม่มีใครเข้ามาในพื้นที่ใกล้เคียง แจสเปอร์ก็ส่งสัญญาณมือ เขาคลานออกมาจากใต้ท้องรถบรรทุกเป็นคนแรก ตามมาด้วยป้าคาเรนและเอโลอิสที่มีเคอร์ติสเกาะไหล่ พวกเขาคลานเข้าไปในเงามืดของกลุ่มต้นสนที่อยู่ข้างโกดังอย่างรวดเร็วที่สุด เมื่อทุกคนยืนขึ้นอย่างมั่นคงและปลอดภัยแล้ว เอโลอิสก็หันไปมองรถบรรทุกคันนั้น… “เฮ้อ…กว่าทำรอดมาตายเกือบเป็นลมคาตู้ไปแล้ว” ป้าคาเรนกล่าวพร้อมยกยาดมขึ้นมาสูด แจสเปอร์ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่ชี้ไปยังภูเขาสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศใต้ของพวกเขา ภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะและธารน้ำแข็งที่ส่องประกายสีเงินภายใต้แสงอาทิตย์ยามบ่าย “ที่นั่นหรือเปล่าพี่สาว” แจสเปอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง “ภูเขากัลด์เฮอพิกเกน” ระยะทางจากจุดที่พวกเขาลงรถ ณ เมืองลูมไปยังเชิงเขานั้นยังต้องเดินทางต่ออีกประมาณ 50 กิโลเมตร ซึ่งพวกเขาจะต้องหาทางไปให้ได้โดยเร็วที่สุดก่อนที่ค่ำคืนที่สว่างไสวของนอร์เวย์จะมาถึง



@God 






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 32448 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-12-7 21:16
โพสต์ 32,448 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +15 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม  โพสต์ 2025-12-7 21:16
โพสต์ 32,448 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +12 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 2025-12-7 21:16
โพสต์ 32,448 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +12 ความกล้า +12 ความศรัทธา จาก มาลาแห่งอัสสัมชัญ  โพสต์ 2025-12-7 21:16
โพสต์ 32,448 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +30 ความกล้า +20 ความศรัทธา จาก เกราะไทเทเนียม  โพสต์ 2025-12-7 21:16
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2025-12-10 19:12:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด






เมืองลูมถูกอาบด้วยแสงแดดที่ดูซีดเซียวในยามบ่าย มันเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ดูเงียบสงบและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของไม้สนแห้ง แต่บนถนนสายหลัก Rv15 ที่มุ่งหน้าออกจากตัวเมืองไปทางใต้สู่เทือกเขานั้นกลับมีความเคลื่อนไหวอยู่บ้าง เนื่องจากเป็นเส้นทางเดียวที่จะนำไปสู่อุทยานแห่งชาติ Jotunheimen หลังจากที่พวกเขาคลานออกมาจากความมืดมิดใต้ท้องรถบรรทุกและหลบซ่อนตัวในป่าสนจนแน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว พวกเขาก็เดินเลาะออกมายังถนนสายเปลี่ยวนี้ “ห้าสิบกิโลเมตร” เอโลอิสพึมพำขณะมองไปยังขุนเขาสีเทาเข้มที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกลลิบ “ถ้าเราเดิน…ป้าคาเรนคงได้ไขข้ออักเสบจนต้องหามส่งโรงพยาบาลแน่” “นั่นปากเรอะ! ฉันยังไม่ตายง่าย ๆ หรอกย่ะ! แต่มันก็จริงที่ฉันไม่อยากเดินจนรองเท้ากัดเป็นแผลน่ะ” พูดจบป้าคาเรนก็สูดยาดมต่อ แจสเปอร์มองไปยังรถยนต์ส่วนตัวที่ขับผ่านไปมาบ้างประปราย ส่วนใหญ่เป็นรถ SUV ที่ดูทนทาน และด้านบนหลังคามักมีกล่องเก็บสัมภาระหรือแร็คบรรทุกจักรยาน ซึ่งบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าคนในรถเป็นนักท่องเที่ยวหรือนักปีนเขา “โบกรถดูดีไหมครับ?” แจสเปอร์เสนอ “เราต้องหาเหยื่อ เอ๊ย! หาคนที่ใจดีและกำลังจะไปทางอุทยาน” พวกเขาเลือกจุดยืนโบกรถที่ดูเป็นมิตรที่สุด นั่นคือ บริเวณทางโค้งเล็ก ๆ ที่รถต้องชะลอความเร็วเพื่อไม่ให้ดูเหมือนคนร้ายที่กำลังจะปล้นรถ แจสเปอร์ยกมือขึ้นโบกอย่างมั่นใจ ขณะที่เอโลอิสยืนอยู่ข้าง ๆ โดยมีป้าคาเรนยืนอยู่ตรงกลาง พร้อมกับถือถุงสายรุ้งห้าสีใบใหญ่ราวกับกระเป๋าเดินทางหรูหรา ส่วนเคอร์ติสหลบในเสื้อเอโลอิส รถหลายคันขับผ่านไปอย่างไม่สนใจใยดี มีทั้งรถแคมเปอร์ขนาดใหญ่และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล บางคันขับผ่านไปพร้อมกับเหลียวมองด้วยความสงสัยในรูปลักษณ์ที่ดูแปลกแยกของพวกเขา และในที่สุด…รถยนต์ SUV สีเข้มขนาดกลางคันหนึ่งที่มีสกีและอุปกรณ์ปีนเขาผูกติดอยู่ด้านหลังก็เบรกเอี๊ยดและจอดห่างจากพวกเขาไปไม่ไกลนัก คู่สามีภรรยาชาวนอร์เวย์คู่หนึ่งที่อยู่ในวัยสี่สิบต้น ๆ มองมาที่พวกเขาด้วยสีหน้าฉงนใจ คนขับรถลดกระจกลง ชายผู้นั้นมีหนวดเคราสีบลอนด์เข้มและดวงตาสีฟ้าอ่อน เขาเอ่ยถามด้วยภาษานอร์เวย์ที่รวดเร็วและฟังดูเป็นมิตร “Hei! Hva trenger dere?” เดมิก็อดทั้งสามคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก “เอิ่ม...พูดภาษาอังกฤษได้ไหมคะ?” เอโลอิสถามออกไปอย่างระมัดระวัง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายคนนั้น “โอ้! ได้สิ! พวกคุณมาจากที่ไหนกัน? ดูเหมือนนักท่องเที่ยวหลงทางเลยนะ พวกคุณกำลังมองหาอะไรอยู่เหรอ?” แจสเปอร์สวมบทบาททันที เขาถอดฮู้ดสีน้ำเงินเข้มออกและพยายามทำสีหน้าให้ดูอ่อนโยนที่สุด “ครับ! พวกเรากำลังจะไปที่…กัลด์เฮอพิกเกนครับ” แจสเปอร์ตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูเหนื่อยอ่อน “พวกเราเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไกลมาก และมาแบบทริปที่ต้องประหยัดเงินที่สุดเท่าที่จะทำได้” ภรรยาของเขาที่นั่งอยู่ข้างคนขับยื่นหน้าออกมามอง เธอมีผมสีทองที่ถูกรวบอย่างเป็นระเบียบและดูใจดี “โอ้ จริงเหรอ? นั่นไกลจากที่นี่มากนะ คุณจะเดินไปจริง ๆ เหรอ?” เอโลอิสรู้ว่าถึงเวลาใช้ไพ่ใบสุดท้ายแล้ว เธอจับแขนป้าคาเรนไว้แน่น และมองไปยังคู่สามีภรรยาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความดราม่าและความสิ้นหวัง “คือ...พวกเราไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เอโลอิสเริ่มบทบาทอย่างเนียน ๆ “แต่พวกเราอยากพาคุณยายของเราไปดูยอดเขานั้นเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตน่ะค่ะ” เธอใช้คำว่าครั้งสุดท้ายในชีวิตด้วยน้ำเสียงที่เน้นย้ำที่สุด ทันใดนั้นเองป้าคาเรนก็หันขวับมาทางเอโลอิสและแจสเปอร์ ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจและโกรธเคือง “อะไรนะ ยายงั้นเหรอ!” แจสเปอร์รีบหันไปมองป้าคาเรนพร้อมกับกัดฟันพูดเสียงลอดไรฟันว่า “ใช่สิครับ คุณยาย!” พร้อมกับส่งสายตาที่สื่อความหมายว่า ‘ช่วยรับมุกหน่อย! อยากนั่งรถสบาย ๆ หรืออยากเดินขึ้นเขาเอง!?’ ป้าคาเรนผู้มีสัญชาตญาณของการเอาตัวรอดสูงที่สุดเข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที เธอเปลี่ยนสีหน้าจากโกรธเคืองเป็นความเศร้าสร้อยและอ่อนแรง ได้อย่างรวดเร็วราวกับเป็นนักแสดงละครเวทีมืออาชีพ “อ๋อออออ…โอ้ ใช่ค่ะ! ฉัน...ฉันเป็นยายของพวกเขาเอง” ป้าคาเรนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เธอเริ่มไอลมออกมาอย่างน่าสงสาร ก่อนที่หญิงในรถจะถามคำถามที่สำคัญที่สุดออกมาด้วยความสงสัย “คุณยายดูแข็งแรงดีนะคะ ดิฉันต้องขอโทษที่เสียมารยาทนะคะ...หลาน ๆ ของคุณดู เอ่อ...แตกต่างกัน…มากเหมือนกันนะคะ” เธอมองไปยังเอโลอิสฝรั่งผิวขาวผมแดงเพลิง สลับกับแจสเปอร์หนุ่มหน้าตี๋ขาวแบบคนจีน และปิดท้ายด้วยป้าคาเรนผิวแทนแบบชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถานการณ์เข้าสู่ภาวะวิกฤตของความน่าเชื่อถือ ป้าคาเรนส่งเสียงฮึ่ม! สั้น ๆ ราวกับกำลังคิดหาทางออก ก่อนที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอทันที แม้จะถูกบดบังด้วยความเศร้าสร้อยจอมปลอมก็ตาม “อ๋อ! เรื่องนั้นน่ะเหรอคะ? เรื่องนี้มันซับซ้อนมากกกกกเลยค่ะมาดาม” ป้าคาเรนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูน่าเชื่อถืออย่างไม่น่าเชื่อ เธอเริ่มบรรยายเรื่องราวครอบครัวแบบข้าง ๆ คู ๆ “ดูอย่างตาแจสเปอร์คนนี้สิคะ” ป้าคาเรนชี้ไปที่แจสเปอร์ที่ยืนตัวแข็งทื่อ “เขาเป็นหลานแท้ ๆ ของฉันเองค่ะ พอดีลูกสาวของฉันน่ะ แต่งงานกับนักธุรกิจชาวจีนที่ไปลงทุนทำโรงงานที่เมืองไทยค่ะ! เห็นไหมล่ะคะ? เขาเลยได้เชื้อพ่อไปเต็ม ๆ หน้าอย่างเจ๊กเลย...แต่เป็นหลานที่กตัญญูมากนะคะ!” แจสเปอร์ถึงกับเบิกตากว้างกับเหตุผลที่ไร้ร่องรอยเช่นนั้น แต่ก็พยายามยิ้มให้ดูเศร้าที่สุด ป้าคาเรนหันไปทางเอโลอิสที่เป็นฝรั่งผมแดงเพลิงก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อยแล้วรีบหาทางออกอย่างรวดเร็ว “ส่วนยัยหนูหัวแดงคนนี้ เอ่อ...เธอเป็นเด็กลูกติดน่ะค่ะ! ใช่! เธอเป็นลูกสาวของลูกติดสามีคนล่าสุดของฉันเองค่ะ พอดีฉันได้ผัวใหม่เป็นฝรั่งน่ะค่ะ ฮ่า ๆ” ป้าคาเรนกล่าวจบก็หัวเราะออกมาอย่างแห้ง ๆ เพื่อกลบเกลื่อนความตลกในเหตุผลของตัวเอง “เห็นไหมคะ? ครอบครัวฉันน่ะมีความหลากหลายและวุ่นวายแบบนี้แหละค่ะ ข้างบ้านชอบแซวว่าครอบครัวนานาชาติ แต่ความรักที่มีให้กันมันยิ่งใหญ่เสมอนะคะ โดยเฉพาะความรักที่หลาน ๆ มีให้ฉัน เพื่อให้ฉันทำความปรารถนาสุดท้ายให้สำเร็จ…ฉัน…แค่อยากเห็นหิมะบนยอดเขานั้น...ก่อนที่...ฉันจะไม่ได้เห็นอะไรอีก” ป้าคาเรนยกมือที่สั่นเทาขึ้นกุมหัวใจและเริ่มไอลมออกมาอย่างน่าสงสารพลางปาดน้ำตาทิพย์ สองสามีภรรยาถึงกับอ้าปากค้าง พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องราวครอบครัวที่ซับซ้อนและยาวเหยียดเท่านี้มาก่อน แต่ดราม่าที่เข้มข้นนี้กลับทำลายความสงสัยเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกลงไปได้อย่างสิ้นเชิง และแทนที่ด้วยความสงสารในชะตากรรมที่ยุ่งเหยิงของครอบครัวนี้แทน “โอ้! พระเจ้าช่วย!” คนที่เป็นภรรยาอุทานด้วยความเห็นใจอย่างสุดซึ้ง “ช่างเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจมาก เข้าใจแล้วค่ะ! ไม่ต้องห่วงนะคะคุณยายขึ้นรถมาเลยค่ะ! พวกเราก็กำลังจะไปตั้งแคมป์ที่นั่นพอดีเลย! ติดรถไปกับพวกเราเถอะค่ะ” สองสามีภรรยาจัดการพับเบาะหลังเพื่อสร้างพื้นที่ให้ป้าคาเรนได้นั่งสบายที่สุด พร้อมกับอัดแจสเปอร์และเอโลอิสเข้าไปเบียดกันอยู่ตรงกลาง “นี่เป็นเรื่องบังเอิญที่น่าเหลือเชื่อเลยนะคะ” ฝ่ายภรรยากล่าวอย่างร่าเริงขณะที่รถ SUV เริ่มขับไต่ระดับความสูงขึ้นไปตามถนนที่คดเคี้ยว “พวกเรากำลังจะไปที่พื้นที่ตั้งแคมป์ใกล้ ๆ Juvasshytta พอดีเลย! พวกคุณโชคดีมาก” การเดินทางในรถยนต์นั้นช่างแตกต่างจากการถูกอัดอยู่ในตู้ทึบอย่างสิ้นเชิง ภายในรถอุ่นสบาย มีกลิ่นหอมของกาแฟและหนังใหม่ ๆ เอโลอิสและแจสเปอร์นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเบาะหลัง โดยพยายามทำตัวให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนป้าคาเรนก็ยังคงสวมบทบาทเป็นคุณยายผู้ใจดีที่ใกล้จะหมดอายุขัยต่อไป แล้วหญิงสาวหน้ารถผู้มีหัวใจเมตตาก็เริ่มมองสำรวจสัมภาระของเหล่าเดมิก็อด “ว่าแต่...พวกคุณมาปีนเขาจริง ๆ เหรอคะ?” เธอถามด้วยน้ำเสียงกังวล “คุณไม่มีอุปกรณ์อะไรเลยเหรอ? ไม่มีรองเท้าปีนเขา ไม่มีเสื้อแจ็คเก็ตกันลม ไม่มีแม้แต่เป้สะพายหลังที่ดี ๆ เลย” เธอเห็นถุงสายรุ้งห้าสีของป้าคาเรนที่วางอยู่ที่พื้นอย่างน่าสงสัย มันไม่ใช่ของที่เหมาะกับการพกไปปีนเขาเลยสักนิด เอโลอิสเหลือบมองแจสเปอร์ ก่อนจะใช้กลยุทธ์เดิมด้วยการทำหน้าเศร้าสร้อย “พวกเราจนมากค่ะ” เอโลอิสกล่าวเสียงแผ่ว “เงินที่เก็บมาทั้งหมดถูกใช้ไปกับการเดินทางแล้ว เราแค่อยากพาคุณยายมาที่นี่ให้ได้...เราวางแผนจะปีนด้วยเสื้อผ้าที่เรามีนี่แหละค่ะ” สองสามีภรรยาหันมามองกันและกันด้วยความเวทนา ฝ่ายสามีส่ายศีรษะเบา ๆ “บ้าไปแล้ว!” เขาอุทาน “คุณไม่สามารถขึ้นไปบนธารน้ำแข็งด้วยเสื้อผ้าแบบนั้นได้หรอก! อุณหภูมิบนนั้นต่ำกว่าศูนย์องศามากนะครับ” ฝ่ายภรรยายื่นมือไปจับมือของเอโลอิสอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไรนะที่รัก พวกเราเตรียมของมาเยอะมาก พวกเรามีอุปกรณ์สำรอง” รถแล่นไต่ระดับความสูงต่อไปเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ผ่านทิวทัศน์ที่กลายเป็นสีขาวโพลนมากขึ้นเรื่อย ๆ ภูเขาทุกหนแห่งปกคลุมไปด้วยหิมะและธารน้ำแข็งที่ส่องแสงระยิบระยับ ในที่สุดรถก็จอดลงที่บริเวณลานจอดรถที่เป็นกรวดกว้าง ๆ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากอาคารหลักของ Juvasshytta เพื่อเตรียมตัวตั้งแคมป์ “พวกเราส่งพวกคุณได้แค่นี้นะคะ” ภรรยาผู้นั้นกล่าว “แต่ก่อนพวกคุณจะไป...” พวกเขาเปิดกล่องสัมภาระบนหลังคาและมอบอุปกรณ์ให้กับเหล่าเดมิก็อดอย่างใจกว้าง ประกอบด้วย แจ็คเก็ตกันลมแบบกันน้ำ ถุงมือกันหนาวและหมวกไหมพรม อุปกรณ์สำหรับเทรคกิ้งและปีนเขาที่สภาพยังพอใช้การได้ และเอเนอจี้บาร์จำนวนหนึ่ง “นี่คืออุปกรณ์ที่จำเป็นที่สุดที่จะทำให้พวกคุณไม่ตายบนเขานะคะ” ฝ่ายภรรยาเตือนด้วยความจริงจัง “ขอบคุณมากค่ะ! ขอบคุณมาก!” เอโลอิสกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจจริง ๆ เพราะเธอรู้ว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีค่ามหาศาล ส่วนป้าคาเรนก็โบกมืออย่างอ่อนแรงเพื่อตอกย้ำความน่าสงสาร “ขอบคุณนะคะ ขอให้พวกคุณโชคดี!” หลังจากรับอุปกรณ์และบอกลากันเสร็จ เหล่าเดมิก็อดก็รีบเดินตรงเข้าไปในบริเวณเนินเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะอย่างรวดเร็ว ทิ้งคู่สามีภรรยาผู้ใจดีให้งุนงงอยู่กับความประหลาดใจว่าเหตุใดคุณยายที่ป่วยหนักถึงได้เดินได้คล่องแคล่วว่องไวขนาดนั้น หลังจากเดินแยกตัวจากรถ SUV ของคู่สามีภรรยาผู้ใจดีออกมาในระยะที่ปลอดภัยแล้ว แจสเปอร์ เอโลอิส และป้าคาเรนก็หยุดลงภายใต้เงาของกองหินใหญ่ที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ตั้งแคมป์ Juvasshytta เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยมีเคอร์ติสคอยดูต้นทางให้ “เสื้อนี่มันเริ่ดจริง ๆ อุ่นขึ้นเยอะ” ป้าคาเรนกล่าวด้วยความประหลาดใจขณะที่เธอสวมเสื้อแจ็คเก็ตกันลมที่ดูดีกว่าเสื้อผ้าเก่า ๆ ของเธอเป็นอย่างมาก แจสเปอร์ไม่รอช้าเขาปรับสายรัดของเป้สะพายหลังเก่า ๆ ที่ได้รับมาจนเข้าที่ เขาเก็บง้าวเยี่ยนหยาไว้ด้านในอย่างมิดชิดที่สุดแล้วสวมทับด้วยแจ็คเก็ตกันที่ช่วยให้เขาดูกลืนไปกับนักปีนเขาคนอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น เอโลอิสสวมแจ็คเก็ตและสวมถุงมือแน่นหนา เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ห่อหุ้มร่างกายทันที ความเย็นระดับศูนย์องศาที่เคยทำให้เธอกัดฟันแน่นเมื่ออยู่ในตู้ทึบนั้น บัดนี้ลดระดับความรุนแรงลงไปมาก “ตอนนี้พวกเราเหมือนนักท่องเที่ยวที่มาปีนเขาเลยแฮะ” เอโลอิสกล่าว “ถึงแม้จะยังดูแปลก ๆ อยู่บ้างก็เถอะ” พวกเขาเริ่มเดินเท้าอีกครั้ง เป้าหมายคือภูเขากัลด์เฮอพิกเกนที่สูงตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ทุกย่างก้าวพาพวกเขาไต่ระดับขึ้นสู่เทือกเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะและธารน้ำแข็ง อากาศบนที่สูงเบาบางลงเรื่อย ๆ แต่ความรู้สึกตื่นเต้นในตัวแจสเปอร์กลับเพิ่มสูงขึ้น เอโลอิสถอดถุงมือออกข้างหนึ่งแล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าคาดเอว เธอหยิบแผนที่กระดาษที่แม็กนัสเคยมอบให้ แผนที่นี้ไม่ได้แสดงถึงเส้นทางปีนเขาที่เป็นที่รู้จัก แต่ถูกทำเครื่องหมายด้วยสัญลักษณ์โบราณและภาษาที่ดูเหมือนภาษานอร์สเก่า ๆ แจสเปอร์กับป้าคาเรนโน้มตัวเข้ามาดูแผนที่ใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นที่เริ่มอ่อนแรง “เขาทำเครื่องหมายไว้ตรงนี้ค่ะ” เอโลอิสชี้ไปที่จุดหนึ่งบนแผนที่ จุดที่ดูเหมือนจะเป็นปากถ้ำ “มันอยู่ลึกเข้าไปในแนวเขาลับ ที่ไกลออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของยอดเขา และเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้าถึงได้ยากที่สุด” เธอเงยหน้ามองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าอย่างละเอียด สายตาของเธอไล่ตามสันเขาที่ห่างไกลออกไป “เราต้องเดินอ้อม ธารน้ำแข็ง Styggedalsbreen ไปทางด้านหลังค่ะ เส้นทางนั้นไม่มีไกด์นำทางและคงไม่มีใครอยากหลงเข้าไป” แจสเปอร์มองตามทิศทางที่เอโลอิสชี้ออกไป แล้วเขาก็สังเกตเห็นบางอย่างที่สอดคล้องกับภาพร่างในแผนที่ “ดูนั่นสิพี่สาว” แจสเปอร์ชี้ออกไปด้วยความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด “ตรงโขดหินที่อยู่ไกล ๆ โน่น...มันดูเหมือน...ยักษ์หินสองตัวกำลังยืนเฝ้าอะไรบางอย่างอยู่” ที่นั่น…ลึกเข้าไปในความเงียบสงบของเทือกเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาทึบ มีโขดหินขนาดมหึมาสองก้อนที่ตั้งตระหง่านอยู่ใกล้กัน รูปทรงของมันถูกกัดกร่อนโดยหิมะและน้ำแข็งจนดูคล้ายกับ ยักษ์สองตน ที่กำลังยืนปกป้องอาณาเขตอย่างไม่ยอมขยับเขยื้อน เอโลอิสพับแผนที่เก็บ เธอมองไปยังโขดหินยักษ์คู่นั้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง “นั่นแหละค่ะ” เอโลอิสยืนยันเสียงหนักแน่น “นั่นคือจุดที่แม็กนัสบอกไว้ ถ้ำที่ถูกหิมะปกคลุม ซึ่งซ่อนอยู่ระหว่างยักษ์หินสองตัวนั้น ภายในถ้ำนั้น...คือ ประตูสู่โยธันไฮม์” ป้าคาเรนสูดยาดมเข้าเต็มปอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเก็บมันเข้ากระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตที่เพิ่งได้รับมา “เอาล่ะ” ป้าคาเรนกล่าวเสียงเรียบ “ไปหาประตูสู่โลกแห่งความหนาวเหน็บนั่นกันเถอะ ก่อนที่ฉันคนนี้จะแข็งตายก่อนได้เห็นยักษ์น้ำแข็งจริง ๆ” ทั้งสามคน (และหนึ่งตัว) ต่างกระชับเสื้อผ้าและสัมภาระ พวกเขาก้าวเท้าเดินฝ่าหิมะที่เริ่มหนาขึ้นไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและอันตราย เส้นทางที่กำลังจะนำพวกเขาเข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยตำนานนอร์สอันเก่าแก่...อาณาจักรของยักษ์แห่งน้ำแข็งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขานั่นเอง…


เปิดดันโยธันไฮม์ให้หน่อยฮะ!

@God 






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 36314 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-12-10 19:12
โพสต์ 36,314 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +15 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม  โพสต์ 2025-12-10 19:12
โพสต์ 36,314 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +20 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 2025-12-10 19:12
โพสต์ 36,314 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +12 ความกล้า +12 ความศรัทธา จาก มาลาแห่งอัสสัมชัญ  โพสต์ 2025-12-10 19:12
โพสต์ 36,314 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +30 ความกล้า +20 ความศรัทธา จาก เกราะไทเทเนียม  โพสต์ 2025-12-10 19:12
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้