123
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป

[บันทึกการเดินทาง] พลังเหมันต์อ่อนแรง

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-12-12 22:37:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Eloise เมื่อ 2025-12-12 22:48






แสงอาทิตย์บนเทือกเขากัลด์เฮอพิกเกนเริ่มทอดยาวและอ่อนแรงลง การเดินทางจากพื้นที่พักแรม Juvasshytta มายังบริเวณที่เป็นจุดหมายนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พวกเขาต้องเดินตัดผ่านพุ่มไม้หิมะที่สูงชันและไต่ระดับความสูงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การมีแจ็คเก็ตกันลมและเอเนอจี้บาร์ของคู่สามีภรรยาใจดีช่วยยืดอายุการเดินทางของพวกเขาไปได้มาก หลังจากเดินเท้าฝ่าความหนาวเย็นและความเงียบงันของภูเขามาเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงเต็มในที่สุด ภาพของยักษ์หินสองตนก็ปรากฏเด่นชัดอยู่ตรงหน้า โขดหินขนาดมหึมาทั้งสองนี้ตั้งอยู่บนไหล่เขาอย่างมั่นคงดูคล้ายกับยักษ์ที่ถูกสาปให้กลายเป็นหิน พวกมันมีขนาดใหญ่กว่ารถบรรทุกที่พวกเขาเคยซ่อนตัวอยู่หลายเท่าตัว และหันหน้าเข้าหากันราวกับกำลังทำพิธีเฝ้าประตูที่สำคัญที่สุดของโลก พวกเขารู้ในทันทีว่านี่คือสิ่งที่แม็กนัสทำเครื่องหมายไว้ในแผนที่อย่างแน่นอน ระหว่างยักษ์หินทั้งสองนั้นคือซอกหินที่ถูกหิมะหนาปกคลุมเอาไว้อย่างมิดชิด จนดูราวกับเป็นกำแพงหิมะที่ไร้ร่องรอย “ถึงแล้วค่ะ” เอโลอิสกล่าวเสียงแผ่ว พลังงานของธิดาแห่งเฮเฟตัสเริ่มไหลเวียนในตัวเธอเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังงานดิบของหินและน้ำแข็งที่แผ่ออกมาจากโขดหินยักษ์ “ดูท่าทางประตูสู่โยธันไฮม์จะไม่อยากต้อนรับเราเลยนะพี่สาว” แจสเปอร์กล่าวพลางมองกองหิมะที่สูงท่วมหัว “จะรออะไรล่ะเจ้าเด็กพวกนี้ ขุดสิยะ!” ป้าคาเรนพูดจบก็คว้าไม้เท้าเทรคกิ้งที่ได้รับมาจากสองสามีภรรยา แล้วเริ่มใช้มันขุดหิมะอย่างกระตือรือร้น ทั้งสามคนช่วยกันใช้มือและไม้เท้าขุดหิมะแข็ง ๆ ออกจากปากถ้ำอย่างหนักหน่วง แจสเปอร์ใช้กำลังมหาศาลของเขาโกยหิมะได้รวดเร็วกว่าใครเพื่อน ส่วนเอโลอิสใช้ปลายไม้เท้ากระทุ้งเพื่อให้หิมะที่จับตัวแข็งหลุดร่อนออกมาได้ง่ายขึ้น เคอร์ติสที่ซ่อนอยู่ในเสื้อแจ็คเก็ตของเอโลอิสส่งเสียงร้องประท้วงเบา ๆ กับความหนาวเย็นและความวุ่นวายที่เกิดขึ้น หลังจากการทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนนานกว่าสิบนาที ม่านหิมะก็พังทลายลงเผยให้เห็นช่องว่างสีดำมืดมิดที่เกิดจากหินที่เรียงตัวกันอย่างผิดธรรมชาติ “ใช่แน่ ๆ ค่ะ” เอโลอิสกล่าวขณะชี้ไปที่หินแกะสลักรูปอักษรรูนโบราณที่อยู่เหนือช่องทางเข้า “มีอักษรรูนด้วย” ทั้งสามคนออกแรงดันประตูถ้ำเข้าไป ประตูนั้นทำจากหินหนักอึ้งแต่ด้วยแรงของแจสเปอร์และพลังของเอโลอิสที่ช่วยคลายแรงเสียดทานระหว่างหิน พวกเขาก็ดันมันเปิดออกได้อย่างช้า ๆ ในที่สุด ครืด...ดดด... ทันทีที่ทุกคนมุดเข้าไปในถ้ำ พวกเขาก็ช่วยกันดันประตูหินให้ปิดลงอีกครั้ง ประตูหินหนักอึ้งปิดสนิท ตัดขาดพวกเขาจากแสงสว่างและความหนาวเย็นสุดขั้วภายนอก ภายในถ้ำมืดสนิทและชื้นแฉะ แต่เมื่อพวกเขาเดินลึกเข้าไปตามทางลาดชันลงด้านล่างก็เริ่มมีแสงสว่างเรืองรองสีฟ้าอ่อน ๆ ปรากฏขึ้นจากด้านล่าง อากาศที่นี่เย็นกว่าข้างนอกหลายเท่าตัว ความเย็นกัดกินเข้าสู่กระดูก แม้จะสวมเสื้อแจ็คเก็ตที่กันหนาวอย่างดีแล้วก็ตาม “หนาวกว่าตอนอยู่ในตู้ทึบอีกนะเนี่ย!” ป้าคาเรนบ่นพึมพำ เมื่อทางเดินสิ้นสุดลงพวกเขาก็ได้มาอยู่บนขอบหิ้งผาที่มองลงไปเห็นหุบเหวขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิน สลับซับซ้อน แสงสีฟ้าอ่อนที่เรืองรองออกมาจากพื้นน้ำแข็งและผนังถ้ำ ทำให้ทัศนียภาพดูเหนือจริงและน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด นี่คือโยธันไฮม์…ดินแดนที่ถูกควบคุมโดยยักษ์น้ำแข็ง พื้นที่ทั้งหมดถูกปกคลุมด้วย ธารน้ำแข็งโบราณที่มีรอยร้าวลึก พื้นถ้ำเต็มไปด้วยหินย้อยน้ำแข็งแหลมคมขนาดมหึมา และไกลออกไปคือภูเขาน้ำแข็งที่ถูกแกะสลักโดยธรรมชาติให้เป็นรูปทรง “สวย...แล้วก็น่ากลัวมาก ๆ เลยแฮะ” เอโลอิสยอมรับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยำเกรง แจสเปอร์มองไปยังอาณาจักรแห่งความหนาวเหน็บด้วยแววตาที่ลุกโชนไปด้วยความคาดหวัง “นี่มันสุดยอดไปเลยครับพี่สาว! ดินแดนของยักษ์น้ำแข็งจริง ๆ ด้วย” หลังจากที่ความตื่นเต้นของการค้นพบดินแดนโยธันไฮม์จางหายไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความเย็นที่รุกรานและความจริงที่ว่าพวกเขาถูกทิ้งให้อยู่ในอาณาจักรของศัตรูอย่างโดดเดี่ยว พวกเขาก้าวเท้าลงจากหิ้งผา เข้าสู่พื้นผิวของธารน้ำแข็งโบราณที่เต็มไปด้วยรอยร้าวลึกและความมืดมิดที่ไม่อาจหยั่งถึงได้ “เราจะเอายังไงต่อดี?” เอโลอิสถามขณะพยายามรักษาการทรงตัวบนพื้นน้ำแข็งที่ลื่นไหล “คำพยากรณ์ไม่ได้บอกตายตัวว่าไอซ์สโตนอยู่ที่ไหน เราคงต้องเริ่มสำรวจและหากันเองแล้วล่ะ” แจสเปอร์มองไปยังอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาลเบื้องหน้า แสงสีฟ้าอ่อน ๆ ทำให้เกิดเงาที่ดูบิดเบือนและน่ากลัว “ของสำคัญขนาดนั้นมันก็ต้องอยู่ที่ที่มีการคุ้มกันดี ๆ สิพี่สาว” พวกเขาเริ่มเดินลึกเข้าไปในหุบเหวน้ำแข็งโดยมีเคอร์ติส ซุกอยู่ในเสื้อของเอโลอิสอย่างแน่นหนาและส่งเสียงร้องประท้วงเป็นระยะ ๆ พวกเขาเดินผ่านเสาน้ำแข็งย้อยที่สูงตระหง่านราวกับป่าผลึกและหลีกเลี่ยงรอยแยกของธารน้ำแข็งที่อาจกลืนพวกเขาทั้งเป็น ป้าคาเรนเดินนำหน้าอย่างไม่เกรงกลัวความตาย แม้จะบ่นไม่หยุดเรื่องความหนาวเย็น “มันต้องอยู่แถวนี้แหละย่ะ! ของล้ำค่ามันก็ชอบซ่อนอยู่ในที่ที่สวยงามแต่ห่างไกลความเจริญแบบนี้แหละ” พวกเขาใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการเดินสำรวจ จนกระทั่งแจสเปอร์ที่เดินอยู่ท้ายสุดรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวที่รวดเร็วผิดปกติและกลิ่นอายของความเย็นจัดที่แผ่กระจายอยู่ในอากาศที่เบาบาง แคร่ก! แคร่ก!...เสียงกรงเล็บตะกุยพื้นน้ำแข็งดังมาจากด้านหลัง “พี่สาว!...ป้า!...วิ่ง!” แจสเปอร์ตะโกนเสียงดังลั่น เขาหันหลังไปเผชิญหน้าและเห็นเงาสีเทาเข้มขนาดใหญ่ห้าตัวพุ่งเข้าหาพวกเขา พวกมันคือฝูงหมาป่าน้ำแข็ง ดวงตาสีฟ้าเรืองรองราวกับน้ำแข็ง และร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อซึ่งบ่งบอกถึงพละกำลังอันน่าสะพรึงกลัว หมาป่าตัวหนึ่งกระโจนใส่แจสเปอร์ทันที เขาชักง้าวเยี่ยนหยาออกมาป้องกันตัวอย่างรวดเร็ว แคร้ง! ใบง้าวปะทะกับกรงเล็บน้ำแข็งของหมาป่าอย่างจังแจสเปอร์พยายามถ่วงเวลาให้ทุกคนวิ่งหนี พวกเขาถูกต้อนให้เข้ามาอยู่ในซอกหินแคบ ๆ ที่มีทางตันอยู่เบื้องหน้า พวกมันเร็วกว่า แข็งแกร่งกว่าและมีจำนวนมากกว่าที่พวกเขาจะต่อกรด้วยไหว ส่วนหมาป่าอีกสี่ตัวกำลังรุกเข้าหาเอโลอิสและป้าคาเรน “เราไม่ไหวหรอก” เอโลอิสประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะชักค้อนไฟและโล่มาถือไว้เตรียมรับมือกับศัตรู “กรี๊ดดด! ช่วยด้วย! ฉันไม่อยากตายเพราะถูกหมาป่ากินนะยะ!” ป้าคาเรนกรีดร้องเสียงแหลมอย่างสุดขีด เธอทิ้งไม้เท้าแล้ววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตไปตามแนวโขดหินข้าง ๆ อย่างไร้ทิศทาง หมาป่าตัวหนึ่งตามติดป้าคาเรนไปทันที แต่ในจังหวะนั้นเองพื้นน้ำแข็งใต้เท้าของหมาป่าตัวนั้นก็ยุบตัวลง เนื่องจากรอยแยกของธารน้ำแข็งที่มองไม่เห็น มันตกลงไปในรอยแยกอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน เสียงแตกของน้ำแข็งดังสนั่นกลืนเสียงของมันลงไปในความมืดมิดเบื้องล่าง ไม่รู้ว่าเพราะความบังเอิญหรือเพราะดวงดีของป้า เอโลอิสรับมือกับหมาป่าสองตัวที่พุ่งเข้าหาเธอด้วยโล่อัสพิส การกระโจนครั้งแรกถูกรับไว้ได้อย่างมั่นคง แรงปะทะทำให้แขนของเธอชาเล็กน้อย แต่โล่ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างดีเยี่ยมก็ยังคงยึดมั่นอยู่ เธอไม่รีรอค้อนหนักในมือของเธอถูกเหวี่ยงออกไปอย่างรวดเร็ว ปัง! ค้อนเหล็กหนักอึ้งกระทบเข้าที่กรามล่างของหมาป่าอย่างจัง เสียงกระดูกแตกดังลั่น หมาป่าตัวนั้นไม่ทันได้ร้องอะไรก็ล้มลงกระตุกไปมาอย่างรวดเร็ว การโจมตีด้วยแรงของธิดาแห่งเฮเฟตัสทำให้มันตายในทันทีและสลายหายไป ในขณะเดียวกันแจสเปอร์ถูกหมาป่าสองตัวที่เหลือรุมล้อมอยู่ ง้าวเยี่ยนหยาหมุนเป็นเกลียวป้องกันตัวอย่างรวดเร็ว ฉัวะ! ง้าวที่คมกริบและหนักหน่วงตัดเข้าที่บริเวณข้อต่อขาหน้าของหมาป่าอย่างแม่นยำ เลือดสีเข้มสาดกระจาย มันบาดเจ็บสาหัสจนล้มลงไป “พี่สาว! ทางนี้!” แจสเปอร์ตะโกนเตือนพลางใช้ปลายง้าวที่แหลมคมแทงทะลุลำตัวของหมาป่าตัวที่สามที่ล้มลงอยู่จนร่างสลาย หมาป่าตัวที่ถูกแยกออกมาจากกลุ่มพุ่งเข้าหาเอโลอิสอย่างรวดเร็ว เอโลอิสใช้โล่รับการจู่โจมอย่างจัง เธอใช้แรงทั้งหมดกระแทกโล่กลับเข้าที่ใบหน้าของหมาป่าตัวนั้นทำให้มันมึนงงไปชั่วขณะและเซถลาไปยังทิศทางที่แจสเปอร์กำลังจะพุ่งเข้ามา แจสเปอร์ไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดลอย เขาย่อตัวลงเล็กน้อยและใช้ง้าวเยี่ยนหยาที่หนักกว่าอาวุธอื่น ๆ ตวัด เข้าที่คอของหมาป่าอย่างแรง เสียงกระดูกขาดดังกร๊อบ! หมาป่าตัวนั้นล้มลงไปขาดใจร่างสลายอีกราย เหลือเพียงหมาป่าตัวสุดท้ายที่ซ่อนตัวอยู่หลังเสาน้ำแข็ง หมาป่าตัวนี้เห็นเพื่อนตายไปแล้วสี่ตัว มันส่งเสียงหอนต่ำ ๆ ด้วยความกลัวและโกรธแค้น ก่อนจะตัดสินใจกระโจนเข้าหาแจสเปอร์ด้วยความสิ้นหวัง “หึ...อย่าหวัง!” แจสเปอร์คำราม บุตรแห่งแอรีสตอบโต้ด้วยความรวดเร็วและเด็ดขาด เขาใช้ด้ามง้าวที่ทำจากไม้เนื้อแข็งที่หุ้มด้วยเหล็กกระแทกเข้าที่อกของหมาป่าตัวที่ห้าอย่างเต็มแรง โครม! แรงกระแทกจากด้ามง้าวของแจสเปอร์นั้นรุนแรงเกินกว่าที่ร่างกายของมันจะรับไหว ร่างของหมาป่าตัวสุดท้ายลอยกระเด็นไปกระแทกกับผนังน้ำแข็ง เสียงหักของกระดูกซี่โครงดังน่ากลัว มันตกลงมาที่พื้นแล้วแน่นิ่งไป และสลายเป็นละออง ป้าคาเรนเดินกลับมาอย่างช้า ๆ พร้อมสูดยาดมอย่างหนักหน่วง “โอ๊ย…นี่เพิ่งมาถึงก็โดนล่าแล้ว ถ้าเข้าไปลึกกว่านี้จะเจออะไรอีกเนี่ย” ป้าคาเรนบ่น แจสเปอร์เก็บง้าวเยี่ยนหยาเข้าที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและความเหนื่อยล้าจากการออกแรงอย่างหนัก “เอาล่ะครับ” แจสเปอร์กล่าว “ผมว่าตอนนี้เราต้องหาที่กำบังและวางแผน ก่อนที่เราจะเจออะไรที่ตัวใหญ่กว่านี้นะ” “ฉันเห็นด้วยนะ” เอโลอิสกล่าวพร้อมเก็บโล่และค้อนไฟลงกระเป๋าที่เอว เธอมองไปยังสภาพแวดล้อมรอบตัวที่เต็มไปด้วยผลึกน้ำแข็ง “เราเพิ่งผ่านศึกหนักมา แถมเดินทางมาทั้งวัน การเดินทางต่อในสภาพนี้มันเสี่ยงเกินไป” แจสเปอร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย สายตาของบุตรแห่งแอรีสสำรวจไปทั่วทุกทิศทางเพื่อหาจุดที่ปลอดภัยที่สุดจากสายลมที่พัดผ่านรอยแยกน้ำแข็ง “เราต้องการอะไรที่กันลมได้หน่อย และอยู่ให้ไกลที่สุดจากทางสัญจรที่พวกหมาป่าหรือตัวอะไรก็ตามที่อาจโจมตีเราได้” ป้าคาเรนกอดอกพร้อมสูดยาดมอีกครั้ง ใบหน้าของเธอซีดเผือด แต่ดวงตาของเธอยังคงครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นซอกหินที่ลึกที่สุด ไม่ก็โพรงน้ำแข็งที่มองไม่เห็นจากภายนอกแหละ” พวกเขาตัดสินใจเดินเลาะไปตามแนวผนังถ้ำที่เต็มไปด้วยหินย้อยน้ำแข็งขนาดใหญ่ ในที่สุดพวกเขาก็พบกับ รอยแยกแคบ ๆ ระหว่างเสาน้ำแข็งยักษ์สองเสา รอยแยกนั้นนำไปสู่โพรงถ้ำเล็ก ๆ ที่ถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน โพรงนี้มีขนาดพอดีให้พวกเขาสามคนและนกกระทาตัวเข้าไปพักได้อย่างสบาย ภายในโพรงนั้นแห้งและสงบกว่าด้านนอกมาก อุณหภูมิดีกว่าเล็กน้อยเพราะหินแข็งและน้ำแข็งทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความเย็นจากลมที่พัดผ่านมา เอโลอิสทรุดตัวลงพิงผนังถ้ำอย่างเหนื่อยล้า แจสเปอร์จัดเตรียมพื้นที่โดยใช้ถุงนอนสำรองที่พวกเขาได้มาจากคู่สามีภรรยาใจดีมาปูรองพื้นน้ำแข็งที่เย็นจัด “เอาล่ะต้องจุดไฟ” เอโลอิสกล่าว “ไม่งั้นคงได้แข็งตายกันหมดแน่” แจสเปอร์มองไปรอบ ๆ อย่างสิ้นหวัง “ที่นี่ไม่มีไม้แห้งเลยนะครับพี่สาว มีแต่หินกับน้ำแข็ง” “ก็ใช้เจ้านี่สิ” เอโลอิสกล่าว เธอรื้อค้นในกระเป๋าของแจ็คเก็ตกันลมที่ได้รับบริจาคมา แล้วหยิบแท่งแมกนีเซียมพร้อมแท่งเหล็กออกมาหนึ่งชุด “ดูเหมือนว่าสองสามีภรรยาคนใจดีน่าจะให้มาด้วยเพราะรู้ว่าพวกเราไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย” เธอเริ่มเตรียมเชื้อเพลิงโดยการใช้ปุยผ้าสำลีที่ได้จากถุงนอนเก่า จากนั้นห่อพลาสติกกันน้ำของเอเนอจี้บาร์ถูกนำมาวางซ้อนทับเพื่อช่วยให้ติดไฟได้ง่ายขึ้น เมื่อเตรียมเชื้อเพลิงที่พร้อมลุกไหม้เสร็จแล้ว เอโลอิสก็เริ่มใช้แท่งเหล็กที่ติดมากับชุด เธอจับแท่งแมกนีเซียมแน่นแล้วใช้สันมีดขูดไปบนแท่งเหล็กนั้นด้วยความเร็วและแรงที่แม่นยำ แชะ! แชะ! แชะ! เกิดประกายไฟสีส้มร้อนแรงพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง ประกายไฟเหล่านั้นตกลงบนปุยผ้าสำลี ฟู่! วาบ! ปุยผ้าลุกไหม้อย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเปลวไฟสีส้มแดงเล็ก ๆ ที่ลุกโชนขึ้นมาอย่างมั่นคง เอโลอิสค่อย ๆ ป้อนชิ้นส่วนผ้าและพลาสติกเข้าไปในกองไฟอย่างระมัดระวัง เปลวไฟสีส้มแดงเล็ก ๆ นี้คือแหล่งความร้อนเดียวในอาณาจักรสีฟ้าแห่งนี้ มันไม่ได้ให้ความอบอุ่นมากมายนัก แต่ก็เพียงพอที่จะไล่ความชื้นออกจากเสื้อผ้าและทำให้พวกเขาคลายความหนาวเหน็บลงไปได้ ป้าคาเรนเอนตัวเข้าใกล้กองไฟทันทีราวกับแมวที่พบแสงแดด “โอ๊ย...สวรรค์! ในที่สุดก็มีกองไฟ นี่! หาอะไรมาสุมให้มันใหญ่ขึ้นที” แจสเปอร์เริ่มแกะเอเนอจี้บาร์ออกมาแบ่งกันกิน แม้รสชาติจะไม่ถูกปากแต่แคลอรีที่อัดแน่นก็ช่วยเติมพลังงานที่สูญเสียไปให้พวกเขาได้เป็นอย่างดี พวกเขาผลัดกันเข้าเวรยามเพื่อเฝ้าระวังภัยคุกคามที่อาจจะตามมา แต่ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและการต่อสู้ก็ทำให้เปลือกตาของพวกเขาปิดลงอย่างรวดเร็ว เปลวไฟเล็ก ๆ ค่อย ๆ เต้นระบำอย่างเงียบเชียบเป็นแสงสว่างเดียวที่อบอุ่นและปลอดภัยในอาณาจักรที่แสนอันตรายแห่งนี้


หลักฐานการต่อสู้

+2 ตื่นรู้จากการพิชิตหมาป่าน้ำแข็งครั้งแรก

LUK 80+ ได้รับสินสงคราม x2 จากจำนวนที่ได้
ผลึกน้ำแข็ง +19
 เกล็ดน้ำแข็งพรางตัว +2
(สรุปเฉพาะส่วนที่ต้องส่งมาเพิ่ม)


@God 






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 35368 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-12-12 22:37
โพสต์ 35,368 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +15 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม  โพสต์ 2025-12-12 22:37
โพสต์ 35,368 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +20 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 2025-12-12 22:37
โพสต์ 35,368 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +12 ความกล้า +12 ความศรัทธา จาก มาลาแห่งอัสสัมชัญ  โพสต์ 2025-12-12 22:37
โพสต์ 35,368 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +30 ความกล้า +20 ความศรัทธา จาก เกราะไทเทเนียม  โพสต์ 2025-12-12 22:37

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2025-12-14 14:03:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด






เปลวไฟสีส้มแดงเล็ก ๆ ในโพรงถ้ำน้ำแข็งดับมอดลงไปตั้งนานแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงเถ้าถ่านสีเทาและไอร้อนระเหยที่แสนริบหรี่ ความเย็นยะเยือกเข้าแทนที่จนทำให้การนอนหลับของทุกคนเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ แม้แต่ป้าคาเรนก็ไม่กล้าบ่นออกมาเพราะความหนาวเย็นนั้นรุนแรงจนน่ากลัว เมื่อนาฬิกาของเอโลอิสบอกเวลาเกือบหกโมงเช้า แจสเปอร์ที่รับหน้าที่เฝ้ายามคนสุดท้ายก็ปลุกทุกคนขึ้นมาด้วยการเขย่าเบา ๆ อากาศที่เย็นจัดกัดกินจนถึงกระดูกซี่โครง เมื่อหายใจเข้าปอดจะรู้สึกได้ถึงความเย็นเฉียบที่แทงลึก ไอน้ำที่พวยพุ่งออกมาจากปากของพวกเขาเป็นกลุ่มหนา สะท้อนให้เห็นว่าอุณหภูมิในโพรงน้ำแข็งนี้ยังคงต่ำกว่าจุดเยือกแข็งอย่างมาก “ตื่นกันได้แล้วครับพี่สาว ป้าคาเรน...เราต้องไปต่อ” แจสเปอร์กล่าวเสียงแหบพร่า ดวงตาของเขามีร่องรอยความอ่อนล้าจากการต่อสู้และการเฝ้ายาม พวกเขาเก็บถุงนอนที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำค้างแข็งอย่างรวดเร็ว เอโลอิสตรวจสอบอุปกรณ์ทุกชิ้นอย่างละเอียด เธอหยิบเอเนอจี้บาร์สุดท้ายออกมาแบ่งกันกินคนละเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นพลังงานก่อนเริ่มต้นการเดินทางอันยาวนานอีกครั้ง เมื่อก้าวเท้าออกจากโพรงซ่อนตัว แสงสีฟ้าอ่อนจาง ๆ ที่เรืองรองจากผลึกน้ำแข็งก็เป็นสิ่งเดียวที่นำทางในยามเช้าตรู่ พื้นผิวของธารน้ำแข็งโบราณที่พวกเขายืนอยู่เต็มไปด้วยรอยร้าวลึกและร่องน้ำแข็งที่ซับซ้อนราวกับเขาวงกตที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมา “เราต้องหาทางลงไปสู่พื้นหุบเหวด้านล่างบางทีแถวนั้นอาจมีเบาะแสอะไรบ้าง” เอโลอิสชี้ไปยังทิศทางที่เต็มไปด้วยเสาน้ำแข็งย้อยที่สูงตระหง่าน การเดินทางบนธารน้ำแข็งนั้นเต็มไปด้วยอันตรายแฝงเร้น ทุกย่างก้าวต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อหลีกเลี่ยงการลื่นไถลและการตกลงไปในรอยแยกของธารน้ำแข็งที่มองไม่เห็น รอยแยกเหล่านี้มักถูกพรางด้วยหิมะนุ่ม ๆ ทำให้การก้าวเดินผิดเพียงครั้งเดียวหมายถึงการถูกกลืนลงสู่ก้นบึ้งของความมืดมิดชั่วนิรันดร์ พวกเขาใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการเดินเลาะไปตามแนวขอบหิ้งน้ำแข็ง เอโลอิสใช้ความรู้เรื่องธรณีวิทยา(?)ในการวิเคราะห์ความมั่นคงของพื้นผิวธารน้ำแข็ง เธอมองหารูปแบบการเรียงตัวของผลึกน้ำแข็งและรอยร้าว เพื่อตัดสินใจว่าส่วนไหนที่ควรเหยียบและส่วนไหนที่ควรหลีกเลี่ยง แม้จะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ความซับซ้อนของภูมิประเทศก็ทำให้พวกเขาต้องวนกลับมายังจุดเดิมอยู่บ่อยครั้ง เสาน้ำแข็งย้อยที่รูปร่างคล้ายกันถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ทำให้เกิดความสับสนในการกำหนดทิศทางจนแจสเปอร์เริ่มหงุดหงิด “มันบ้าไปแล้ว! เราเดินวนเป็นวงกลมมาสองครั้งแล้วนะ! ผมจำเสาน้ำแข็งรูปหัวยักษ์นี่ได้แม่นเลย!” แจสเปอร์ชี้ไปยังผลึกน้ำแข็งขนาดมหึมาที่ถูกแกะสลักอย่างสวยงามโดยธรรมชาติ ป้าคาเรนที่เดินรั้งท้ายเริ่มบ่นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ความหนาวเย็นทำให้ริมฝีปากของเธอเป็นสีม่วงคล้ำ เธอสูดยาดมอย่างหนักเพื่อพยายามทำให้ตัวเองตื่นตัว “ฉันจะบ้าตาย! นี่พวกเราหลงทางหรือเปล่า เอโลอิสนี่เธอพาพวกเรามาหลงหรือยังไง?” เอโลอิสถอนหายใจยาว ไอเย็นพวยพุ่งออกมาจากปากของเธอเป็นกลุ่มหนา เธอพับแผนที่เก็บไว้ ก่อนจะเริ่มสังเกตการก่อตัวของผลึกน้ำแข็งและทิศทางของลมหนาวที่พัดผ่าน เธอต้องอาศัยสัญชาตญาณและการสังเกตสภาพแวดล้อมล้วน ๆ “ใจเย็นค่ะป้า...เราไม่ได้หลง แค่ต้องปรับเส้นทางใหม่” เธอชี้ไปยังทางเดินแคบ ๆ ที่ซ่อนอยู่ระหว่างเสาน้ำแข็งยักษ์สองเสา เธอสังเกตเห็นว่าไอน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในอากาศถูกพัดผ่านรอยแยกนั้นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่ารอยแยกนั้นนำไปสู่พื้นที่เปิดที่ใหญ่กว่าเบื้องล่าง รอยแยกนั้นถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดและดูน่าหวาดระแวงอย่างยิ่ง แต่ดูเหมือนจะเป็นทางเดียวที่นำไปสู่พื้นหุบเหวเบื้องล่างได้ พวกเขาเดินลึกเข้าไปในช่องทางแคบ ๆ นั้นได้ประมาณสิบห้านาที ทางเดินเริ่มลาดชันลงด้านล่างจนเกือบจะตั้งฉากกับพื้น พวกเขาต้องใช้มือเกาะเกี่ยวไปตามรอยแยกและผลึกน้ำแข็งเพื่อประคองตัวเองไม่ให้ร่วงหล่น ขณะที่เอโลอิสกำลังปีนลงไปอย่างระมัดระวังที่สุด แจสเปอร์ที่อยู่ด้านบนสุดก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความเย็นจัดและพลังงานที่ดุดัน กลิ่นนั้นคุ้นเคยอย่างน่าสะพรึงกลัว...มันคือกลิ่นของฝูงหมาป่าน้ำแข็ง “ระวัง! พวกมันมาแล้ว!” แจสเปอร์คำรามเสียงดัง เขาชักง้าวเยี่ยนหยาออกมาอย่างรวดเร็วและพร้อมที่จะเข้าสู่การต่อสู้อีกครั้ง เงาสีเทาเข้มขนาดใหญ่ห้าตัว พุ่งทะยานมาจากทางเข้าของช่องทางแคบอย่างรวดเร็ว พวกมันมีดวงตาสีฟ้าเรืองรองและกรงเล็บน้ำแข็งที่แหลมคม ฝูงหมาป่าเหล่านี้ดูคลั่งแค้นยิ่งกว่าฝูงก่อนหน้านี้ ราวกับถูกส่งมาเพื่อล้างแค้น หมาป่าตัวที่อยู่หน้าสุดกระโจนเข้าใส่แจสเปอร์ทันที บุตรแห่งแอรีสไม่รอช้า เขาใช้ด้ามง้าวที่แข็งแกร่งทุบเข้าที่ลำตัวของมันอย่างรุนแรงืหมาป่าตัวนั้นกระเด็นไปกระแทกกับผนังน้ำแข็งอย่างจังจนร่างสลายกลายเป็นละออง หมาป่าที่เหลืออีกสี่ตัวเบี่ยงตัวหลบและพยายามมุดเข้าสู่ช่องทางแคบเพื่อลงไปด้านล่าง แต่แจสเปอร์ไม่เปิดโอกาสให้พวกมันได้ทำตามแผน เขาหมุนง้าวเยี่ยนหยาเป็นวงแหวนแห่งการป้องกัน ใบง้าวที่คมกริบสะท้อนแสงสีฟ้าเรืองรองของน้ำแข็ง เขาตวัดง้าวตัดเข้าที่ขาหน้าของหมาป่าตัวที่สองอย่างแม่นยำ เลือดสีเข้มสาดกระจายเต็มผนังน้ำแข็ง หมาป่าตัวนั้นร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดแล้วล้มลงไป ในขณะที่แจสเปอร์กำลังต่อสู้กับหมาป่าตัวที่สามอย่างดุเดือด เอโลอิสที่ปีนลงมาได้ครึ่งทางก็ชักค้อนไฟและโล่อัสพิสออกมา เธอใช้โล่ป้องกันตัวเองจากหมาป่าสองตัวที่พยายามจะปีนลงมาหาเธออย่างบ้าคลั่ง เสียงกรงเล็บน้ำแข็งกระทบโล่อย่างต่อเนื่อง เอโลอิสอาศัยการทรงตัวที่มั่นคงและความว่องไวของเธอ เธอเห็นว่าหมาป่าตัวหนึ่งเกาะเกี่ยวอยู่กับก้อนน้ำแข็งย้อยขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาจากผนัง เธอไม่รีรอ ใช้ปลายค้อนไฟที่หนักอึ้งกระทุ้งเข้าที่ก้อนน้ำแข็งย้อยนั้นอย่างแรงและแม่นยำ หมาป่าตัวนั้นไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อถูกแรงกระแทกบริเวณฐานยึดเกาะ มันก็เสียหลัก ก้อนน้ำแข็งย้อยที่แตกหักทำให้มันลื่นไถลลงไปตามทางลาดชันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตกลงสู่พื้นหุบเหวด้านล่างแล้วร่างสลายหายไป เมื่อเหลือหมาป่าเพียงตัวเดียวที่ด้านล่าง เอโลอิสก็กระโดดลงสู่พื้นอย่างมั่นคง เธอเหวี่ยงค้อนไฟขนาดใหญ่เข้าใส่ศีรษะของหมาป่าตัวสุดท้ายอย่างเต็มแรง การโจมตีด้วยกำลังมหาศาลทำให้หมาป่าตัวนั้นไม่สามารถทนทานได้ มันล้มลงแล้วสิ้นใจตายในทันที ร่างสลายกลายเป็นละอองอีกตัว ด้านบนแจสเปอร์จัดการหมาป่าตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ด้วยการแทงทะลุลำตัวด้วยง้าวเยี่ยนหยาอย่างรวดเร็ว เขาทำลายล้างฝูงหมาป่าทั้งหมดด้วยความโกรธและความเด็ดขาดของบุตรแห่งแอรีส หลังจากพักหายใจและรักษาบาดแผลเล็กน้อย พวกเขาก็เดินต่อไปตามหุบเหวน้ำแข็งที่กว้างใหญ่ไพศาล บรรยากาศเริ่มเงียบสงัดและหนักอึ้งกว่าเดิม แสงสีฟ้าอ่อนจาง ๆ ส่องกระทบผลึกน้ำแข็ง ทำให้เกิดภาพลวงตาที่แปลกประหลาด ขณะที่พวกเขาเดินผ่านกองหิมะหนาที่อยู่ใกล้เสาน้ำแข็งขนาดใหญ่ ป้าคาเรนที่เพิ่งเลิกบ่นไปหมาด ๆ ก็กรีดร้องเสียงแหลมอีกครั้ง “กรี๊ดดดด! นั่นมันตัวอะไรน่ะ” จากกองหิมะสีขาว สิ่งมีชีวิตสีเทาเข้มขนาดใหญ่ตัวหนึ่งก็ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มันมีรูปร่างคล้ายแมวน้ำขนาดมหึมาแต่มีเขี้ยวที่แหลมคมยาวผิดปกติ และดวงตาสีดำทึบที่ไร้แววตา มันคือครอสส์ สัตว์ร้ายในตำนานแห่งดินแดนหนาวเหน็บ ครอสส์พุ่งเข้าหาป้าคาเรนอย่างรวดเร็ว มันอ้าปากกว้างเผยให้เห็นเขี้ยวพิษที่เปล่งประกายสีเขียวเรืองรอง “ป้า! ถอยไป!” แจสเปอร์ตะโกน เขารีบชักง้าวออกมาก่อนจะพุ่งเข้าใส่ครอสส์อย่างไม่ลังเล ใบง้าวปะทะเข้ากับเกล็ดแข็งบนตัวของครอสส์ เสียงดังสนั่นจนน้ำแข็งสั่นสะเทือน ครอสส์ส่งเสียงร้องคำรามอย่างดุดัน มันพยายามตวัดเขี้ยวพิษเข้าใส่แจสเปอร์อย่างบ้าคลั่ง แจสเปอร์ใช้ความเร็วและปฏิกิริยาตอบสนองที่เหนือมนุษย์ในการหลบหลีก แต่กลิ่นอายของพิษร้ายก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย เอโลอิสที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่รอช้า เธอใช้ค้อนไฟทุบลงไปบนพื้นน้ำแข็งอย่างแรง แรงกระแทกทำให้พื้นน้ำแข็งเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่และน้ำแข็งแตกเป็นเสี่ยง ๆ ครอสส์ที่ยืนอยู่บนพื้นน้ำแข็งที่ร้าวก็เสียการทรงตัว ในจังหวะนั้นเอง แจสเปอร์ก็ใช้โอกาส เขาตวัดง้าวเยี่ยนหยาที่คมกริบเฉือนเข้าที่ลำคอของครอสส์อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ฉัวะ! เลือดสีเข้มทะลักออกมาจากบาดแผลขนาดใหญ่ ครอสส์ส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด ร่างของมันกระตุกอย่างรุนแรงก่อนจะล้มลงแน่นิ่งไป ร่างของครอสส์สลายหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นคาวเลือดจาง ๆ และร่องรอยของการต่อสู้บนพื้นน้ำแข็ง หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดกับครอสส์และฝูงหมาป่า พวกเขาก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อไปอย่างระมัดระวัง ความตึงเครียดและความหวาดระแวงยังคงอยู่ แต่ความมุ่งมั่นที่จะค้นหาไอซ์สโตนก็ยังคงเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่สุด พวกเขาเดินลึกเข้าไปในหุบเหวน้ำแข็งเป็นเวลานานนับชั่วโมง แสงสีฟ้าอ่อนเริ่มสว่างจ้าขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าพวกเขาเข้าใกล้แหล่งกำเนิดแสงแล้ว ทันใดนั้นเมื่อพวกเขาเดินพ้นเสาน้ำแข็งยักษ์ต้นสุดท้ายมาได้ ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าก็ทำให้ทุกคนต้องหยุดชะงักและอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง เบื้องหน้าของพวกเขาคือทุ่งน้ำแข็งที่กว้างใหญ่ไพศาลจนสุดลูกหูลูกตา ทุ่งน้ำแข็งนั้นทอดยาวไปจนถึงขอบฟ้าที่ไกลออกไปลิบ ๆ บนยอดเขาน้ำแข็งที่สูงเสียดฟ้า สิ่งที่ปรากฏอยู่บนยอดเขานั้นคือโครงสร้างขนาดมหึมาที่ถูกแกะสลักจากหินและน้ำแข็งโบราณ มันไม่ได้มีรูปร่างโค้งมนเหมือนการแกะสลักของธรรมชาติ แต่เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมและปราการที่ถูกสร้างขึ้นด้วยมือของสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดเฉลียว ปราการแห่งนั้นมีกำแพงที่สูงใหญ่ตระหง่านราวกับยอดเขา มีหอคอยที่แหลมคมเสียดแทงก้อนเมฆ และมีซากปรักหักพังที่บ่งบอกถึงความเก่าแก่และความยิ่งใหญ่ในอดีต “นั่น...นั่นมัน…” เอโลอิสกล่าวเสียงแผ่ว ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ แจสเปอร์กำง้าวเยี่ยนหยาในมือแน่น หัวใจของเขาสั่นระรัวด้วยความตื่นเต้น แสงสีฟ้าอ่อนจาง ๆ ส่องกระทบเงาของโครงสร้างขนาดมหึมานั้น ทำให้มันดูน่าเกรงขามและลึกลับอย่างถึงที่สุด “มะ…เมืองแห่งยักษ์หรือเปล่า?” หรือนี่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาตามหามาตลอด...เมืองที่ถูกกล่าวขานในตำนาน เมืองหลวงแห่งโยธันไฮม์ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาน้ำแข็งอันห่างไกล มันเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงจุดหมายของการเดินทาง และในขณะเดียวกันก็เป็นสัญญาณของอันตรายที่ใหญ่หลวงกว่าที่พวกเขาเคยเจอมา


หลักฐานการต่อสู้

LUK 80+ ได้รับสินสงคราม x2 จากจำนวนที่ได้
ผลึกน้ำแข็ง +21
 เกล็ดน้ำแข็งพรางตัว +6
(สรุปเฉพาะส่วนที่ต้องส่งมาเพิ่ม)


@God 






แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
God
ดี: 5
  โพสต์ 2025-12-14 14:07
โพสต์ 28533 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-12-14 14:03
โพสต์ 28,533 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ จาก Ignis Anima  โพสต์ 2025-12-14 14:03
โพสต์ 28,533 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +15 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม  โพสต์ 2025-12-14 14:03
โพสต์ 28,533 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +12 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 2025-12-14 14:03
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2025-12-16 02:13:02 | ดูโพสต์ทั้งหมด






ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าของเหล่าเดมิก็อดนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ตำนานหรือคำบอกเล่าใด ๆ จะสามารถถ่ายทอดได้ มันไม่ใช่แค่ยอดเขาธรรมดา แต่เป็นนครแห่งป้อมปราการที่ถูกสร้างขึ้นบนยอดเขาน้ำแข็งที่สูงเสียดฟ้า กำแพงหนาที่ถูกสกัดจากหินแกรนิตสีเข้มและน้ำแข็งโบราณตั้งตระหง่านอยู่ไกลลิบ หอคอยแหลมคม นับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้านิรันดร์ของโยธันไฮม์ราวกับหนามยักษ์ ท่ามกลางแสงสีฟ้าอ่อนจาง ๆ ที่ทำให้ปราการนี้ดูเหมือนเป็นมงกุฎน้ำแข็งแห่งความมืดมิด “นั่นแหละทุกคน” เอโลอิสกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นระคนความยำเกรง “สถานที่ที่ใหญ่โตขนาดนั้น...ไอซ์สโตนต้องถูกเก็บไว้ที่นั่นอย่างแน่นอน” “แล้วเราจะไปถึงตรงนั้นได้ยังไงกันล่ะพี่สาว?” แจสเปอร์ถามขณะที่ลมหนาวพัดเอาละอองน้ำแข็งมาปะทะใบหน้า “มันดูเหมือนต้องใช้เวลาเดินเท้าอย่างน้อยก็ตลอดทั้งวันและทุ่งน้ำแข็งข้างหน้านั่นก็ไม่ได้ดูเป็นมิตรเลยสักนิด” ป้าคาเรนหันมามองทุกคนด้วยแววตาที่จริงจังกว่าปกติ เธอยอมเก็บยาดมเข้ากระเป๋าไปชั่วคราว “จะด้วยวิธีไหนก็ช่างขอให้ได้ไอซ์สโตนมาไว ๆ ก็พอ ฉันอยากกลับค่ายแล้ว!” พวกเขาเริ่มออกเดินทางข้ามทุ่งน้ำแข็งที่กว้างใหญ่ไพศาล พื้นผิวเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งแข็งตัวและ ร่องรอยของการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ที่ทิ้งไว้โดยสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ การเดินเท้าบนภูมิประเทศเช่นนี้ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงสุด เพราะทุกย่างก้าวมีความเสี่ยงที่จะลื่นไถลหรือถูกจับตามองจากศัตรูที่ซ่อนอยู่ เหล่าเดมิก็อดเดินทางข้ามทุ่งน้ำแข็งมาได้ราวสองชั่วโมงโดยไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใด ๆ จนกระทั่งเริ่มเข้าใกล้ แนวเสาหินที่ดูเหมือนถูกจัดวางไว้อย่างไม่เป็นธรรมชาติ ทันใดนั้นเองเสียงหอนที่สั้นและดุดันก็ดังมาจากด้านหน้าและด้านข้างพร้อมกัน “ระวัง! หมาป่าน้ำแข็ง!” แจสเปอร์คำราม เงาของหมาป่าน้ำแข็งห้าตัว พุ่งออกมาจากซอกเสาน้ำแข็ง สามตัวเข้ามาจากด้านหน้า สองตัวเข้ามาจากด้านข้างเพื่อปิดล้อมทางหนี พวกมันดูดุร้ายและเชี่ยวชาญในการล่ามากกว่าฝูงก่อนหน้านี้ ร่างกายของพวกมันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ถูกลับคมด้วยความหนาวเหน็บ ฟุบ! หมาป่าสามตัวจากด้านหน้ากระโจนเข้าหาแจสเปอร์พร้อมกัน บุตรแห่งแอรีสตอบโต้ด้วยความกล้าหาญและความเชี่ยวชาญในการใช้ง้าวเยี่ยนหยาที่เขาฝึกฝนมาอย่างหนัก เขาใช้ปลายง้าวที่แหลมคมแทงสวน เข้าไปที่ลำตัวของหมาป่าตัวแรกอย่างรวดเร็ว เลือดสีเข้มพุ่งออกมาร่างของมันสลายเป็นละออง ในขณะที่หมาป่าตัวที่สองและสามกำลังจะงับเข้าที่แขนของแจสเปอร์ ง้าวหนักอึ้งก็ถูกตวัดกลับอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ง้าวปะทะเข้ากับลำคอของหมาป่าตัวที่สองอย่างจังตัดผ่านเกล็ดหิมะและผิวหนังอย่างง่ายดาย ส่วนหมาป่าสองตัวที่เข้ามาจากด้านข้างก็พุ่งเข้าหาเอโลอิสทันที เอโลอิสไม่รอช้าค้อนไฟและโล่ถูกหยิบออกมาอย่างรวดเร็ว โล่รับการโจมตีจากตัวแรกไว้ได้อย่างมั่นคง เธอใช้ความหนักของค้อนเป็นอาวุธหลัก ตวัดค้อนเข้าที่ข้อต่อขาหลังของหมาป่าตัวที่สี่ที่กำลังจะตะปบเธอ ข้อต่อหักทันที หมาป่าร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด หมาป่าตัวที่สามที่รอดชีวิตจากแจสเปอร์ กระโจนเข้ามาช่วยเพื่อนที่ขาหัก แต่ถูกแจสเปอร์ใช้ด้ามง้าวที่แข็งแกร่งตวัดเข้าที่ด้านข้างลำตัวอย่างแรง หมาป่าตัวที่สามกระเด็นไปไกลแล้วสลายไป เอโลอิสเห็นจังหวะเหมาะ เธอพุ่งตัวเข้าหาหมาป่าตัวที่สี่ที่ขาหักอยู่ แล้วใช้โล่กระแทกเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงจนมันมึนงง ก่อนจะตามด้วยค้อนหนักที่ทุบเข้าที่ศีรษะ เหลือหมาป่าตัวที่ห้าที่กำลังตะเกียกตะกายหนีไปในความมืดสลัว แจสเปอร์ไม่ปล่อยให้รอด เขาวิ่งไล่ ตามไปอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณนักล่า ง้าวเยี่ยนหยาถูกเหวี่ยงออกไปราวกับหอก ง้าวปักทะลุกลางลำตัวของหมาป่าตัวสุดท้ายอย่างแม่นยำ หลังจากจัดการกับหมาป่าฝูงใหม่ได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างหอบเหนื่อยและต้องรีบออกเดินทางต่อทันที เพื่อไม่ให้สิ่งมีชิวิตอื่นแถวนี้ตามเสียงการต่อสู้เมื่อครู่มาได้ทัน ทั้งสามเดินต่อไปไม่นาน จนกระทั่งมาถึงจุดที่ภูมิประเทศเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากทุ่งน้ำแข็งก็กลายเป็นลานหินขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเศษหินและกรวดที่ถูกแช่แข็ง และที่กลางลานหินนั้นเองก็มีกำแพงหินขวางกั้น ทางเดินที่ทอดขึ้นสู่ปราการยักษ์เบื้องบน กำแพงนั้นสูงใหญ่และดูเก่าแก่ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของภูเขา แต่สิ่งที่เฝ้ากำแพงนั้นอยู่ต่างหากที่ทำให้พวกเขาต้องหยุดชะงัก…บนลานหินหน้ากำแพงมียักษ์หินขนาดมหึมาสี่ตัว ยืนนิ่งอยู่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคือโกเลม โกเลมทั้งสี่มีความสูงราวสามถึงสี่เมตร ลำตัวหนาทึบ ถูกสร้างจากหินแกรนิตสีเทาเข้มที่ผสมผสานกับ ผลึกน้ำแข็งในดินแดนนี้ ทำให้พวกมันดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าโกเลมที่ถูกสร้างจากดินเหนียวทั่วไป พวกมันยืนนิ่งสงบราวกับประติมากรรม แต่บนหน้าผากของพวกมันทุกตัวมีอักขระรูนศักดิ์สิทธิ์ที่เรืองแสงสีน้ำเงินจาง ๆ สลักอยู่ด้วยคำว่า ‘EMETH’ “ที่โยธันไฮม์นี่มีตุ๊กตาอับเฉาด้วยเหรอ?...หน้าตาสวยสู้ที่วัดโพธิ์ไม่ได้เลย” “นั่นมันโกเลมค่ะป้า ไม่ใช่ตุ๊กตาอับเฉา” เอโลอิสกล่าวเสียงแผ่ว “มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเฝ้าอะไรบางอย่างน่ะค่ะ พวกเราเลี่ยงมันหน่อยก็ดีนะ ไม่งั้นได้เหนื่อยแน่” ขณะที่ทุกคนกำลังมองหาทางเลี่ยงโกเลมตัวแรก ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็เริ่มขยับ เสียงครืดคราดของหินที่เสียดสีกันดังสนั่น ร่างของมันหมุนช้า ๆ และดวงตาสีดำทึบก็หันมาจับจ้องที่พวกเขา โกเลมทั้งสี่ตัวเริ่มขยับพร้อมกัน ก้าวเดินช้า ๆ แต่หนักแน่น ทุกย่างก้าวทำให้พื้นน้ำแข็งสั่นสะเทือน โกเลมทั้งสี่ตัวเริ่มแยกย้ายกันเข้าล้อมโจมตีพวกเขาอย่างเป็นระบบ สองตัวตรงมาหาแจสเปอร์และป้าคาเรน อีกสองตัวตรงมาหาเอโลอิส “มันเป็นหินสู้ตัวต่อตัวไม่ไหวหรอกอย่าพยายามไปสู้นะ เหนื่อยเปล่า!” เอโลอิสตะโกนเตือน เธอจำได้ถึงจุดอ่อนของโกเลมจากการเคยต่อกรกับอสุรกายประเภทนี้มาหลายครั้ง แจสเปอร์ไม่รอช้า เขาเหวี่ยงง้าวเยี่ยนหยาเข้าใส่ขาของโกเลมตัวแรกที่เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบง้าวที่คมกริบไม่สามารถทำอะไรผิวหินแข็ง ๆ ของโกเลมได้เลย มีเพียงรอยขีดข่วนเล็ก ๆ เท่านั้น “มันฟันแทงไม่เข้าเลยพี่สาว ทำยังไงดี!” เอโลอิสถอยหลังอย่างรวดเร็วเพื่อหลบหมัดหินขนาดใหญ่ของโกเลมตัวที่สองที่ทุบลงมา พื้นน้ำแข็งแตกละเอียดเป็นเสี่ยง ๆ เธอใช้ ค้อนไฟทุบเข้าที่ไหล่ของมันอย่างแรง เสียงทุบดังสนั่นแต่โกเลมเพียงแค่เซเล็กน้อยเท่านั้น “จุดอ่อนมันอยู่ที่อักขระบนหน้าผาก…แจสเปอร์! ต้องทำลายอักขระ EMETH ให้เหลือแค่ METH!” แจสเปอร์เข้าใจทันทีแต่เป้าหมายนั้นอยู่สูงเกินไป โกเลมตัวแรกใช้ฝ่ามือหินขนาดใหญ่ตบเข้าใส่แจสเปอร์อย่างรวดเร็ว บุตรแห่งแอรีสที่ว่องไวม้วนตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด เสียงลมจากการตบนั้นรุนแรงจนผิวหน้าเขาชาไปหมด “ป้าคาเรน! ป้าต้องช่วยแล้วล่ะครับ! ป่วนมันที” แจสเปอร์ตะโกน ป้าคาเรนที่ซ่อนอยู่หลังเสาน้ำแข็งส่งเสียง ฮึ่ม! เธอนำยาดมออกมาสูดดมอย่างหนักหน่วงจนเลือดฝาดกลับคืนมาที่ใบหน้า เธอตัดสินใจเลือกยุทธวิธีที่ฉลาดที่สุด ก่อนจะวิ่งออกจากที่ซ่อน “ไอ้พวกตุ๊กตาอับเฉาน่าโง่ แน่จริงก็มาทางนี้สิยะ!” ป้าคาเรนตะโกนด่าด้วยภาษาไทยอย่างดุดัน พร้อมกับ ปาถุงสายรุ้งใบใหญ่เข้าใส่หน้าผากของโกเลมตัวที่สามที่กำลังตามเอโลอิสไป ถุงไม่ได้สร้างความเสียหาย แต่ทำให้โกเลมชะงักไปชั่วขณะ นั่นเป็นโอกาสทอง!...แจสเปอร์ใช้ด้ามง้าวที่ยาวของเขายันกับพื้นน้ำแข็งแล้ว กระโดดขึ้นสูงด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เขามี เขาเหวี่ยงปลายง้าวที่แหลมคมตวัดเข้าใส่อักขระ E บนหน้าผากของโกเลมตัวที่หนึ่งอย่างรุนแรง เพล้ง! อักขระรูนถูกทำลาย! ทันใดนั้นเองแสงสีน้ำเงินที่เคยเรืองรองก็ดับมอดลง โกเลมตัวที่หนึ่งหยุดเคลื่อนไหวร่างกายหินของมันเริ่มแตกร้าวอย่างรวดเร็วและล้มลงกลายเป็นกองหินขนาดมหึมาทันที เอโลอิสเห็นดังนั้นก็ฮึกเหิม เธอใช้ค้อนทุบเข้าที่ข้อเท้าของโกเลมตัวที่สองที่กำลังจะก้าวเดิน ข้อเท้าหินร้าวเล็กน้อย แต่ก็ทำให้มันชะงักงัน เอโลอิสอาศัยรอยร้าวที่เกิดขึ้นนั้นปีนขึ้นไปบนหลังของโกเลมตัวที่สองด้วยความว่องไว เธอใช้สันค้อนขูดและตอกเข้าที่อักขระ E บนหน้าผากของมันอย่างต่อเนื่องและรุนแรง ปัง! ปัง! แคร่ก! อักขระแตก แสงดับมอด! โกเลมตัวที่สองทรุดตัวลงกลายเป็นกองหินในทันที! โกเลมตัวที่สามและสี่ที่เหลือเกิดอาการสับสนพวกมันไม่เคยพบการต่อสู้ที่ทำลายแก่นแท้ของพวกมันเช่นนี้มาก่อน แจสเปอร์เห็นโกเลมตัวที่สามหันหลังให้ เขาพุ่งง้าวเข้าใส่อักขระ E บนหลังของมันอย่างรวดเร็ว ปลายง้าวแหลมคมเจาะทำลายอักขระ โกเลมตัวสุดท้ายถูกล้อมกรอบโดยเอโลอิสที่เพิ่งกระโดดลงจากซากโกเลมตัวที่สอง และแจสเปอร์ที่วิ่งเข้ามาประชิดตัว พวกเขาร่วมกันโจมตีที่ขาเพื่อทำให้มันเสียหลัก ก่อนที่แจสเปอร์จะใช้ง้าวสังหารตัวสุดท้ายได้อย่างง่ายดายด้วยการทำลายอักษระเช่นตัวอื่น ๆ เหล่าเดมิก็อดทำลายโกเลมทั้งสี่ตัวลงได้สำเร็จ! หลังจากพักหายใจอย่างหนักหน่วงอยู่ข้างกองซากหินของโกเลม เอโลอิสและแจสเปอร์ก็เก็บอาวุธและหันไปมอง กำแพงหินโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เบื้องหลังกำแพงนั้นคือทางลาดชันที่นำไปสู่ ปราการยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา พวกเขาใช้กำลังทั้งหมดดันประตูหินขนาดมหึมาที่อยู่ตรงกลางกำแพง ครืด...ดดด... ประตูหินเปิดออกอย่างช้า ๆ ทั้งสามเดินผ่านประตูเข้าไปอย่างระมัดระวังที่สุด และเมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปบนเส้นทางที่ทอดยาว เบื้องหน้าของพวกเขาคือ ขั้นบันไดหินที่เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็งนับไม่ถ้วน มันทอดยาวไปจนสุดสายตา พุ่งตรงไปยังประตูเมืองที่ทำจากเหล็กและน้ำแข็งขนาดมหึมาที่อยู่บนยอดเขา เมืองหลวงแห่งโยธันไฮม์ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว! แจสเปอร์หันมามองเอโลอิสด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “นั่นมัน…ประตูเมืองของพวกยักษ์” “เอาล่ะ” ป้าคาเรนกล่าวพร้อมสูดยาดมอย่างหนักหน่วง “อย่าบอกนะว่าฉันต้องเดินขึ้นไปน่ะ!” ทั้งสามคน (และหนึ่งตัวที่ยังซ่อนอยู่) ยืนอยู่หน้า ขั้นบันไดนับพันที่นำไปสู่จุดหมายสุดท้ายบางทีไอซ์สโตนอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้…


หลักฐานการต่อสู้

LUK 80+ ได้รับสินสงคราม x2 จากจำนวนที่ได้
หินตีบวก +4
หินอัปเกรด +4
ผลึกน้ำแข็ง +15
(สรุปเฉพาะส่วนที่ต้องส่งมาเพิ่ม)


@God 






แสดงความคิดเห็น

God
เจอโยธันไฮม์พิเศษเพิ่มอีก 2 ตัว ตะโกน "หัวขโมย!!!" หัวขโมยรุกรานเมืองเรา พวกมิดการ์ดจอมเจ้าเล่ห์ไม่ต่างกับก็อบลินคิดจะมาขโมยสมบัติล้ำค่าของเรา!!  โพสต์ 2025-12-16 12:39
โพสต์ 27,793 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความกล้า จาก รองเท้าเซฟตี้  โพสต์ 2025-12-16 02:13
โพสต์ 27,793 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความกล้า จาก เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด  โพสต์ 2025-12-16 02:13
โพสต์ 27,793 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความกล้า จาก โรคสมาธิสั้น  โพสต์ 2025-12-16 02:13
โพสต์ 27793 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-12-16 02:13
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2025-12-18 20:33:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด






ท่ามกลางความเงียบสงัดที่มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านซอกน้ำแข็ง เหล่าเดมิก็อดทั้งสามเพิ่งจะวางเท้าลงบนบันไดหินขั้นแรกที่ทอดตัวขึ้นสู่ยอดเขาอันเป็นที่ตั้งของปราการยักษ์ แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ออกแรงก้าวต่อ เสียงหนึ่งก็ระเบิดขึ้นมาอย่างกะทันหันราวกับสายฟ้าฟาดที่ผ่าลงกลางใจกลางหุบเขาโยธันไฮม์ "หัวขโมย!!!...หัวขโมยรุกรานเมืองเรา! พวกมิดการ์ดจอมเจ้าเล่ห์ไม่ต่างกับก็อบลิน คิดจะมาขโมยสมบัติล้ำค่าของเรา!!" เสียงนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูด แต่มันคือคลื่นความถี่ที่เปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้าง แรงสั่นสะเทือนของมันมหาศาลจนทำให้เศษน้ำแข็งที่เกาะอยู่ตามขั้นบันไดแตกร้าวพังทลายลงมา ไอน้ำจาง ๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศถูกคลื่นเสียงผลักดันจนกลายเป็นระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เอโลอิสรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่หน้าอกจนหายใจติดขัด เธอหันขวับไปด้านหลังทันทีพร้อมกับอุทานด้วยใบหน้าซีดเผือด “งานเข้าละ!” เบื้องหลังของพวกเขา บนพื้นราบหินที่เพิ่งเดินผ่านมา ร่างมหึมาสองร่างกำลังพุ่งทะยานเข้ามาด้วยพละกำลังที่น่าเหลือเชื่อ ยักษ์น้ำแข็งที่มีความสูงไม่ต่ำกว่าสิบห้าเมตรร่างกายที่ใหญ่โตราวกองภูเขาเคลื่อนที่นั้นดูขัดกับความรวดเร็วที่พวกมันทำได้ ผิวกายของยักษ์ทั้งสองเป็นสีฟ้าซีดเหมือนน้ำแข็งที่ถูกแช่แข็งมานานนับกัปนับกัลป์ มีลวดลายอักขระโบราณเรืองแสงสีขาวหม่นตามมัดกล้ามเนื้อที่หนาแน่นยิ่งกว่าหินแกรนิต ยักษ์ตนแรกสวมชุดเกราะที่ทำจากแผ่นกระดูกของสัตว์ดึกดำบรรพ์ร้อยเรียงเข้าด้วยกัน ในมือขวาถือ ขวานยักษ์ที่ทำจากหินสีดำสนิท ใบขวานยาวเท่ากับรถบรรทุกหนึ่งคัน ส่วนยักษ์อีกตนหนึ่งมีขนสีขาวหนาเตอะปกคลุมตามหัวไหล่และลำตัว มันถือกระบองน้ำแข็งที่เกิดจากการควบแน่นของพลังงานเหมันต์จนมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ตึง! ตึง! ตึง! ทุกย่างก้าวที่พวกมันย่ำลงบนพื้นดินโยธันไฮม์ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อม แรงสั่นสะเทือนส่งผ่านพื้นหินขึ้นมาถึงฝ่าเท้าของแจสเปอร์จนเขาแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ดวงตาของยักษ์ทั้งสองเป็นสีฟ้าสว่างจ้าไร้ตาขาว ลุกโชนไปด้วยโทสะอันบ้าคลั่งที่มองเห็นเดมิก็อดทั้งสามเป็นเพียงแมลงตัวเล็ก ๆ ที่บังอาจรุกล้ำอาณาเขต “พวกมันเร็วกว่าที่คิดแฮะ!” เอโลอิสตะโกนแข่งกับเสียงคำรามของยักษ์ที่ไล่หลังมาติด ๆ ลมหายใจของยักษ์น้ำแข็งพวยพุ่งออกมาจากจมูกดั่งพายุหิมะขนาดย่อม กลิ่นอายความตายและความหนาวจัดแผ่ซ่านออกมาจนบรรยากาศรอบตัวเริ่มกลายเป็นน้ำแข็งแข็งตัวภายในไม่กี่วินาที แจสเปอร์รีบกระชับง้าวเยี่ยนหยาในมือแน่น แววตาของบุตรแห่งแอรีสฉายแววตื่นตัวอย่างสูงสุด “เราสู้ที่ราบไม่ได้แน่พี่สาว! พละกำลังมันต่างกันเกินไป! บันได! เราต้องใช้บันไดเป็นทางหนี!” ป้าคาเรนซึ่งตอนนี้ยัดยาดมเข้าจมูกไปทั้งสองข้างเรียบร้อยแล้ว กรีดร้องเสียงหลงพร้อมกับออกตัววิ่งขึ้นบันไดเป็นคนแรกโดยไม่รอสัญญาณจากใคร “จะมัวรออะไรกันอยู่ยะ! วิ่งสิ! วิ่งงงงง! อยากตายก็เชิญแต่ฉันยังไม่อยากตาย” บันไดหินนับพันขั้นที่สูงชันและแคบกว่าขนาดตัวของยักษ์ กลายเป็นความหวังเดียวของพวกเขา ยักษ์ตัวที่ถือขวานคำรามก้องพร้อมกับเหวี่ยงขวานหินเข้าใส่เชิงบันไดอย่างสุดแรง โครม!!! แรงกระแทกทำให้หินที่แข็งแกร่งแตกกระจายราวกับเศษกระจก ฝุ่นหิมะและสะเก็ดหินพุ่งกระจายไปทั่วทิศทาง แรงอัดอากาศจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวทำเอาเอโลอิสเกือบจะกระเด็นตกจากบันได “อย่าหยุดวิ่งนะทุกคน!” เอโลอิสตวัดค้อนหนักในมือเพื่อสร้างแรงเหวี่ยงช่วยในการพุ่งตัวขึ้นไปตามขั้นบันไดที่ชันราวกับหน้าผา ขณะที่พวกเขากำลังหนีตายขึ้นสู่เบื้องบน ยักษ์น้ำแข็งทั้งสองตนก็เริ่มใช้มืออันมหึมาตะเกียกตะกายไปตามไหล่เขาเพื่อไล่ตามเหยื่ออย่างไม่ลดละ เสียงเล็บหินที่ครูดไปกับผนังน้ำแข็งดังเสียดแก้วหู ไอกดดันจากเจ้ายักษ์ที่อยู่เบื้องหลังนั้นหนักอึ้งจนทำให้ทุกย่างก้าวของพวกเขาเต็มไปด้วยความยากลำบาก ศึกครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการต่อสู้ แต่คือการดิ้นรนหนีจากอุ้งมือของเจ้าของดินแดนที่พร้อมจะบดขยี้พวกเขาให้กลายเป็นผุยผงภายในพริบตาเดียว พายุหิมะที่เกิดจากลมหายใจของยักษ์น้ำแข็งพัดกระหน่ำเข้าใส่แผ่นหลังของพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง บันไดหินที่สกัดหยาบ ๆ แต่ละขั้นนั้นสูงชันจนคนตัวเล็กอย่างพวกเขาต้องใช้ทั้งมือและเท้าตะเกียกตะกายขึ้นไปประหนึ่งการปีนหน้าผามากกว่าการเดิน แจสเปอร์คอยรั้งท้าย พลางใช้ง้าวเยี่ยนหยาปัดป้องเศษน้ำแข็งขนาดเท่าลูกฟุตบอลที่ร่วงกราวลงมาจากไหล่เขาที่กำลังสั่นสะเทือนตามแรงเหวี่ยงขวานของยักษ์เบื้องล่าง “ไม่ไหว...ฉันไม่ไหวแล้วววว!” ป้าคาเรนสำลักไอเย็นจนใบหน้าขึ้นสีม่วงคล้ำ ขาที่เคยสับพุ่งพล่านด้วยอะดรีนาลีนเริ่มอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด เธอทรุดตัวลงคุกเข่าบนขั้นบันไดหินที่เต็มไปด้วยคราบน้ำแข็งลื่นปรื๊ด มือที่ถือยาดมสั่นเทาจนเกือบจะร่วงหล่นลงสู่หุบเหวเบื้องล่าง แจสเปอร์ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาใช้ง้าวเยี่ยนหยาพาดหลังไว้ แล้วรีบช้อนตัวแบกป้าคาเรนขึ้นหลังทันที พละกำลังของบุตรแห่งแอรีสช่วยให้เขาแบกคนทั้งคนวิ่งขึ้นบันไดที่ชันราวกับหน้าผาได้อย่างมั่นคง แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อหันไปมองเงายักษ์ที่พุ่งเข้ามาใกล้ทุกที เอโลอิสใช้สายตากวาดมองสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างรวดเร็ว หาจุดอ่อนของโครงสร้างเธอสังเกตเห็นชะง่อนผาน้ำแข็งที่ยื่นออกมาค้ำทางเดินช่วงที่แคบที่สุดไว้ ด้านบนนั้นมีหินย้อยน้ำแข็งขนาดเท่าเสาไฟฟ้าเรียงรายอยู่ และที่สำคัญพื้นบันไดตรงนั้นมีรอยร้าวลึกที่เกิดจากน้ำแข็งกัดเซาะมานานปี “แจสเปอร์! วิ่งไปที่ทางแคบตรงชะง่อนผานั่น! วิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยนะ” เอโลอิสตวาดสั่งการ ยักษ์ตนที่ถือขวานหินคำรามลั่นจนหิมะด้านบนเริ่มถล่มลงมา มืออันใหญ่โตของมันตะปบขอบทางเดินเพื่อดึงร่างขึ้นมาประจันหน้าในระยะประชิด กลิ่นอายความหนาวจัดจากลมหายใจของมันรดแผ่นหลังพวกเขาจนรู้สึกแสบผิวไปหมด “ตอนนี้แหละ แจสเปอร์! ใช้ด้ามง้าวกระแทกไปที่รอยแยกตรงฐานเสาน้ำแข็งต้นนั้น!” เอโลอิสชี้จุดเป้าหมาย แจสเปอร์เหวี่ยงป้าคาเรนลงในซอกหินที่ปลอดภัย ก่อนจะหมุนตัวกลับมาพร้อมกับรวมพลังทั้งหมดไว้ที่แขน เขาเหวี่ยงด้ามง้าวที่ทำจากโลหะหนักอึ้งกระแทกเข้าใส่รอยร้าวที่ฐานเสาน้ำแข็งอย่างแรงที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะเคยทำมา เปรี้ยง!!! เสียงน้ำแข็งแตกร้าวรัวราวกระสุนปืนดังสะท้อนไปทั่วหุบเขา เมื่อจุดรับน้ำหนักเพียงจุดเดียวถูกทำลาย แรงสั่นสะเทือนจากการวิ่งของยักษ์ก็กลายเป็นตัวช่วยชั้นดี ชะง่อนผาน้ำแข็งทั้งแถบเริ่มพังทลายลงมาตามแรงโน้มถ่วง ยักษ์ตัวแรกที่กำลังพุ่งตัวขึ้นมาไม่ทันตั้งตัว มันพยายามจะใช้ขวานจามใส่บันไดเพื่อยึดเกาะ แต่หินย้อยน้ำแข็งขนาดมหึมาที่อยู่ด้านบนกลับร่วงกราวลงมาทับหัวมันพอดิบพอดี โครมมมม!!! แรงกระแทกจากน้ำหนักน้ำแข็งหลายตันทำให้ยักษ์ตัวแรกหน้าทิ่มลงกับบันไดหินอย่างจัง หัวของมันกระแทกเข้ากับเหลี่ยมหินแกรนิตจนเกิดเสียงดังสนั่น แสงสีฟ้าในดวงตาของมันหรี่ลงแล้วดับวูบไปทันที ร่างที่ไร้สติขนาดภูเขาย่อม ๆ ของมันนอนขวางทางเดินไว้อย่างมั่นคง ยักษ์ตัวที่สองที่วิ่งตามมาติด ๆ ชะงักไม่ทัน มันลื่นไถลไปกับเศษน้ำแข็งที่กระจายอยู่เต็มพื้นบันได ขาอันมหึมาของมันกางออกและล้มคะมำทับร่างเพื่อนของมันไปเต็มแรง หัวของมันฟาดเข้ากับผนังถ้ำหินอย่างจังจนสลบตามกันไปติด ๆ ความเงียบกลับคืนมาอีกครั้ง มีเพียงเสียงหอบหายใจอย่างหนักของแจสเปอร์และเอโลอิส ส่วนป้าคาเรนก็นั่งแหมะอยู่กับพื้น สูดดมยาดมเฮือกใหญ่ราวกับจะเอาเข้าไปทั้งแท่ง “เกือบไปแล้ว...เกือบได้ไปทัวร์นรกฟรี ๆ แล้ว” ป้าคาเรนบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ “มันตายหรือยังน่ะ?” แจสเปอร์ถาม เอโลอิสเดินไปดูผลงาน ร่างยักษ์สองตนสลบเหมือดกองทับกันเป็นภูเขาหิน ขวางทางขึ้นทั้งหมดไว้พอดิบพอดี “เหมือนน่าจะแค่สลบไปนะ แรงกระแทกขนาดนั้นต่อให้เป็นยักษ์ก็ต้องมีมึนกันบ้าง เราต้องรีบไปต่อก่อนที่พวกมันจะฟื้น หรือก่อนที่จะมียักษ์ตัวอื่นตามเสียงถล่มเมื่อกี้มา” แจสเปอร์ประคองป้าคาเรนขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาช่วยกันปีนข้ามร่างหนา ๆ ของยักษ์น้ำแข็งอย่างทุลักทุเล ผ่านพ้นช่วงอันตรายมาได้ในที่สุด เมื่อเดินพ้นโค้งบันไดสุดท้าย แสงสีฟ้าเรืองรองที่เข้มข้นจนเกือบจะกลายเป็นสีน้ำเงินสว่างก็อาบไล้ไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางหมอกสีขาวจาง ๆ ประตูเมืองหลวงแห่งโยธันไฮม์ ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว ประตูนั้นสูงเสียดฟ้าสลักด้วยเหล็กเย็นและน้ำแข็งนิรันดร์ ลวดลายบนประตูเล่าเรื่องราวการกำเนิดโลกในแบบของยักษ์โบราณดูน่าเกรงขามจนทั้งสามคนต้องหยุดหายใจ ตอนนี้พวกเขามายืนอยู่หน้าประตูเมืองของพวกยักษ์แล้ว...โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าสิ่งที่รออยู่ข้างในนั้น จะยินดีต้อนรับพวกเขา หรือจะบดขยี้พวกเขาให้จมไปกับพื้นหิมะมากกว่าเดิม


หลักฐานการต่อสู้



@God 






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 24076 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-12-18 20:33
โพสต์ 24,076 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความกล้า จาก Ignis Anima  โพสต์ 2025-12-18 20:33
โพสต์ 24,076 ไบต์และได้รับ +4 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม  โพสต์ 2025-12-18 20:33
โพสต์ 24,076 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 2025-12-18 20:33
โพสต์ 24,076 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความกล้า +12 ความศรัทธา จาก มาลาแห่งอัสสัมชัญ  โพสต์ 2025-12-18 20:33
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 6 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด






หลังจากพ้นนาทีวิกฤตที่เชิงบันไดหิน เหล่าเดมิก็อดก็อาศัยช่วงเวลาที่ความวุ่นวายปกคลุม ลอบเร้นเข้าไปในตัวเมืองหลวงแห่งโยธันไฮม์ สถาปัตยกรรมของที่นี่ช่างยิ่งใหญ่อลังการจนน่าเวียนหัว บ้านแต่ละหลังทำจากก้อนน้ำแข็งมหึมาที่ตัดแต่งเป็นรูปทรงเหลี่ยมคมสะท้อนแสงแวววาว ยิ่งพอเป็นกลางวัน 24 ชั่วโมงไร้ซึ่งความมืดมิดให้หลบซ่อน ทั้งสามยิ่งต้องอาศัยเงาจากอาคารน้ำแข็งยักษ์ลัดเลาะไปอย่างระมัดระวัง พวกเขาหาซอกหลืบหลังวิหารน้ำแข็งร้างแห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อน เอโลอิสเห็นว่าการเดินโทง ๆ ในชุดกันหนาวสีสันคัลเลอร์ฟูลของแต่ละคนท่ามกลางแสงแดดจ้าตลอดวันแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการเป็นเป้าซ้อมยิง เธอจึงรีบเปิดกระเป๋าหยิบเอาเศษผ้าใบและวัสดุสะท้อนแสงที่เธอพกติดตัวมาจากค่าย ออกมาประยุกต์ตัดเย็บด้วยสกิลช่างฝีมืออย่างรวดเร็ว จนได้เป็นผ้าคลุมพรางตัวแบบง่าย ๆ เวอร์ชั่นโลวคอสชั่วคราวให้ทุกคนใส่ทับชุดเดิมเพื่อช่วยในการพรางตัว แม้แสงแดดจะส่องสว่างจนแสบตา แต่ความเหนื่อยล้าก็บังคับให้พวกเขาหลับลงท่ามกลางความเย็นจัด แจสเปอร์กอดง้าวไว้แนบอก ส่วนป้าคาเรนก็นอนกอดยาดมของเธอราวกับเป็นเครื่องรางนำทางสู่สรวงสวรรค์ท่ามกลางวันที่ยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อตื่นขึ้นมาเอโลอิสก็ปลุกทุกคนด้วยความระมัดระวัง “ตื่น ๆ ทุกคน เราต้องออกสำรวจต่อ...แสงสว่างแบบนี้ทำให้เราพรางตัวยากขึ้น แต่ก็ทำให้เราเห็นรายละเอียดของเมืองได้ชัดขึ้น” พวกเขาพรางตัวด้วยผ้าคลุมสีขาวที่เอโลอิสเพิ่งประดิษฐ์ให้ ลัดเลาะไปตามทางเดินที่กว้างเท่ากับถนนแปดเลนเพื่อหลบเลี่ยงสายตาของเหล่ายักษ์ที่เดินกันขวักไขว่ประหนึ่งเดินอยู่ในไทม์สแควร์เวอร์ชั่นแช่แข็ง แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ขณะที่พวกเขากำลังก้าวผ่านซุ้มประตูโค้งที่ประดับด้วยกระดูกสัตว์ไม่ทราบชนิด เสียงย่ำเท้าดัง ตึง! ตึง! ก็ดังขึ้นจากมุมกำแพง พร้อมกับเงาขนาดมหาศาลที่ทอดทับร่างของพวกเขาไว้ “นั่นไง! ข้าว่าแล้วว่าได้กลิ่นแปลก ๆ!” เสียงแหบพร่าดั่งหินถล่มดังขึ้น ยังไม่ทันที่แจสเปอร์จะตวัดง้าว หรือเอโลอิสจะง้างค้อน ฝ่ามือสีฟ้าซีดขนาดเท่าเตียงนอนก็พุ่งวาบลงมาจากเบื้องบนด้วยความเร็วที่เหนือจินตนาการ เป้าหมายของมันคือกลุ่มก้อนสีขาวที่ดูสะดุดตาที่สุด...ป้าคาเรน! “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด!” เสียงกรีดร้องของป้าคาเรนขาดห้วงไปเมื่อร่างของเธอถูกนิ้วหนา ๆ สี่นิ้วคีบขึ้นไปในอากาศ ราวกับตุ๊กตาพลาสติกที่เด็กยักษ์เก็บขึ้นมาเล่น ป้าคาเรนถูกชูขึ้นไปสูงจากพื้นดินเกือบสิบเมตร ประจันหน้ากับดวงตาที่มีขนาดเท่ากับถังน้ำมัน ยักษ์ตนสวมเพียงผ้าคลุมหนังหมีขั้วโลกและมีหนวดเคราเป็นเกล็ดน้ำแข็ง มันอ้าปากกว้างจนเห็นฟันสีขาวซีดที่เรียงรายอยู่ข้างใน ราวกับถ้ำมรณะที่พร้อมจะบดขยี้ทุกอย่างให้แหลกคามือ “ไม่นะ! ปล่อยป้าลงมานะเจ้าพวกยักษ์กินคน!” แจสเปอร์ตะโกนลั่นพลางเงื้อง้าวเตรียมจะฟันเข้าที่ข้อเท้าของยักษ์ “อย่ากินป้าคาเรนนะ!” เอโลอิสแผดเสียงแข่งกับลมหนาว “ป้าคนนี้แก่แล้ว! เนื้อเหนียวอย่างกับหนังควายแดดเดียว แถมยังมีกลิ่นยาดมแรงขนาดนั้น กินเข้าไปท้องร่วงแน่นอน! ปล่อยป้าลงมาเดี๋ยวนี้!” ป้าคาเรนที่อยู่ในสภาพถูกหนีบกลางลำตัว มองเห็นลิ้นสาก ๆ และไรฟันของยักษ์ตรงหน้าในระยะเผาขน ลมหายใจที่เป็นไอเย็นจัดพ่นใส่หน้าเธอจนขนตาเป็นน้ำแข็ง เธอพยายามจะยกยาดมขึ้นสูดเป็นครั้งสุดท้าย แต่ภาพทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำ “โอ๊ย...สวรรค์รำไร...” ป้าคาเรนคอพับพิงนิ้วยักษ์ไปทันที สติของเธอหลุดลอยไปสู่ความว่างเปล่าด้วยอาการลมจับอย่างสมบูรณ์แบบ “ป้าคาเรน!!!” เอโลอิสกับแจสเปอร์ร้องประสานเสียงกันด้วยความช็อก คิดว่าป้าถูกบีบจนวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว “เฮ้ย! กุนนาร์! เจ้าทำพวกเขากลัวหมดแล้วเห็นไหม!” เสียงยักษ์อีกตนเสียงดังขึ้น มันเดินเท้าสะเอวเข้ามาพลางตบไหล่เพื่อนรัก “ข้าบอกแล้วไงว่าพวกมิดการ์ดน่ะขวัญอ่อนจะตายไป!” กุนนาร์ทำตาปริบ ๆ พลางมองร่างที่นิ่งสนิทของป้าคาเรนในมือ “เฮ้ย...นางตายหรือเปล่าเนี่ย? ข้าแค่ตื่นเต้นไปหน่อยเองนะ! ข้าไม่เคยเห็นพวกมิดการ์ดตัวเป็น ๆ เลย ข้าแค่จะจับมาดูใกล้ ๆ ให้ชัด ๆ ว่ามนุษย์มีรูจมูกกี่รูเฉย ๆ ข้าอยากเจอมานานแล้ว” เอโลอิสกับแจสเปอร์ยืนอึ้ง ค้อนและง้าวในมือลดลงโดยอัตโนมัติ พวกเขามองหน้ากันด้วยความสับสน... นี่พวกเราเกือบจะฆ่าแกงกันเพราะเจ้ายักษ์นี่แค่อยากรู้อยากเห็นงั้นเหรอ? “วางป้าคาเรนลงเดี๋ยวนี้เลยนะ!” แจสเปอร์สั่งเสียงแข็ง ถึงจะรู้ว่าสู้ไม่ได้แต่เลือดบุตรแห่งแอรีสมันค้ำคอ “โอเค ๆ ใจเย็นเจ้าหนูตัวจิ๋ว” กุนนาร์ค่อย ๆ วางร่างป้าคาเรนลงบนพื้นหิมะอย่างนุ่มนวล (ซึ่งก็ยังทำเอาพื้นสั่นอยู่ดี) “พวกเราไม่ใช่ยักษ์สายรบที่ชอบกินคนแบบเจ้าพวกทหารหน้าประตูหรอก พวกเราเป็นนักสะสมเรื่องเล่าน่ะ เคยได้ยินแต่คุณปู่ทวดเล่าว่าพวกมิดการ์ดชอบใส่เสื้อผ้าหลายชั้นและมีกลิ่นแปลก ๆ...ซึ่งก็น่าจะจริง กลิ่นจากตัวนางคนนี้ทำเอาข้าแสบจมูกชะมัด” กุนนาร์ฟุดฟิดจมูกพลางชี้ไปที่ยาดมที่ตกอยู่ข้างป้าคาเรน “พวกคุณ…ไม่ได้จะกินพวกเรา?” เอโลอิสถามย้ำเพื่อความแน่ใจ “กินเหรอ? แหวะ! พวกเจ้าตัวเล็กขนาดนี้ เคี้ยวไปก็ติดซอกฟันเปล่า ๆ” ยักษ์อีกตัวหัวเราะจนพุงกระเพื่อม “พวกเราชอบกินเนื้อวาฬแช่แข็งมากกว่าเยอะ! ว่าแต่...พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่กันล่ะ? ถ้าพวกทหารเห็นเข้า พวกเจ้าได้กลายเป็นไอศกรีมแท่งประดับโต๊ะอาหารแน่!” แจสเปอร์มองร่างป้าคาเรนที่สลบเหมือดสลับกับใบหน้ามหึมาของยักษ์ทั้งสอง ก่อนจะหันมาหาเอโลอิสด้วยแววตาสับสน “เอาไงดีพี่สาว เราจะเชื่อใจพวกเขากันจริง ๆ เหรอ?” เอโลอิสสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับคืนมา เธอพิจารณาท่าทางของยักษ์ทั้งสอง แม้ร่างกายจะดูน่าเกรงขามราวกองภูเขาที่ขยับได้ แต่ดวงตาที่เป็นประกายใสซื่อและความกระตือรือร้นแบบเด็ก ๆ ที่อยากรู้อยากเห็นเรื่องโลกมิดการ์ดนั้นดูไม่มีพิษภัยเท่าที่ควรจะเป็น “เอ่อ…ฉันชื่อเอโลอิส ส่วนนั่นแจสเปอร์ และป้าที่สลบอยู่นี่ชื่อป้าคาเรน...” เอโลอิสเริ่มแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ดูมั่นคงที่สุด “แล้วพวกคุณ...คือใครเหรอ?” “โอ้! ข้าชื่อ กุนนาร์” ยักษ์ตนที่จับป้าคาเรนขึ้นไปแนะนำตัวพลางทุบอกตัวเองจนเกิดเสียงดังกึกก้อง “ส่วนเจ้าพุงโตนี่ชื่ออาร์เน่ พวกเราเป็นยักษ์ช่างฝันที่วัน ๆ เอาแต่สะสมเรื่องเล่าของเก้าอาณาจักรน่ะ ว่าแต่พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่เหรอ? หรือมาเที่ยว? แต่ปกติพวกมิดการ์ดมาที่นี่ไม่ได้นี่” เอโลอิสชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ความลับของภารกิจครั้งนี้สำคัญมาก แต่หากไม่มีคนในพื้นที่ช่วยนำทาง ท่ามกลางเมืองยักษ์ที่สว่างจ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้ พวกเธอคงไปไม่ถึงเป้าหมายแน่ เธอจึงตัดสินใจลองเสี่ยงเดิมพันด้วยความเชื่อใจ “ที่จริง...พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อท่องเที่ยวหรอกนะ” เอโลอิสลดเสียงลงแต่ยังคงน้ำเสียงที่จริงจัง “เรามาที่นี่เพื่อตามหาไอซ์สโตนน่ะ” ทันทีที่ชื่อนั้นหลุดออกมา กุนนาร์และอาร์เน่ชะงักไปพร้อมกัน ดวงตามหึมาทั้งสองคู่จ้องเขม็งมาที่เดมิก็อดตัวจิ๋ว “ไอซ์สโตน? นั่นมันของล้ำค่าของอาณาจักรเราเลยนะเจ้ามิดการ์ดตัวจิ๋ว พวกเจ้าจะเอาไปทำไมกัน? จะเอาไปทำเป็นเครื่องประดับงั้นเหรอ?” เอโลอิสส่ายหน้าอย่างแรงพลางชี้มือขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ยังคงสว่างจ้าเป็นสีฟ้าซีด “พวกคุณก็เห็นใช่ไหมว่ากลางคืนหายไปนานแค่ไหนแล้ว? ถ้าแสงแดดแผดเผาอยู่แบบนี้ไม่ยอมหยุด น้ำแข็งทั่วโลก…เอ่อ…หมายถึงมิดการ์ดน่ะ…จะละลายจนหมด และที่สำคัญ...ถ้าสมดุลโลกเสียไป หิมะในโยธันไฮม์ของพวกคุณก็อาจจะอยู่ได้ไม่นานเช่นกัน หากน้ำแข็งละลายหมดใครจะรู้ว่าอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของพวกคุณจะล่มสลายลงเมื่อไหร่ น้ำอาจจะท่วมทุกสิ่งจนพวกคุณไม่มีที่ยืนเลยก็ได้นะ” คำเตือนของเอโลอิสทำให้ยักษ์น้ำแข็งทั้งสองหันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าวิตกกังวลเป็นครั้งแรก พวกมันคุยกันด้วยภาษาโบราณที่ฟังกึกก้องเหมือนหินถล่มอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่อาร์เน่จะพยักหน้าช้า ๆ “เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเชียวเหรอเนี่ย...ข้าก็นึกว่าแค่ช่วงนี้มันร้อน ๆ ขึ้นเฉย ๆ เสียอีก” อาร์เน่พึมพำ “แล้วพวกคุณพอจะรู้ไหมว่ามันอยู่ที่ไหน?” แจสเปอร์ถามแทรกขึ้นมาพลางกระชับง้าวในมือ “เราต้องรีบแล้วก่อนที่สถานการณ์จะแย่ไปกว่านี้” “เรื่องนั้นน่ะเหรอ...” กุนนาร์ลูบเคราที่เป็นเกล็ดน้ำแข็งของตน “ข้าพอจะได้ยินมาจากพวกผู้อาวุโสมาบ้างว่าไอซ์สโตนถูกเก็บรักษาไว้ลึกที่สุดในวิหารใจกลางอาณาจักรนี่แหละ แต่นั่นมันก็เป็นเหมือนแค่ตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาน่ะนะ ไม่เคยมีใครในรุ่นข้าได้เห็นมันจริง ๆ หรอก” “แถมวิหารนั่นน่ะนะ...” อาร์เน่เสริมด้วยน้ำเสียงที่ดูหวาดหวั่นขึ้น “มันเต็มไปด้วยกลไกและคำสาปโบราณที่พวกเรายักษ์ธรรมดาไม่กล้าแม้แต่จะเดินผ่าน พวกเขาบอกว่ามันถูกซ่อนไว้ในที่ ๆ ไม่มีใครมองเห็น ถึงจะเข้าไปได้ ก็ไม่มีใครรู้ว่าไอซ์สโตนของจริงหน้าตาเป็นยังไง หรือถูกซ่อนไว้ตรงส่วนไหนของวิหารกันแน่” เอโลอิสมองไปยังยอดวิหารสีขาวโพลนที่อยู่ไกลออกไป แม้หนทางจะดูมืดมนพอ ๆ กับวิหารน้ำแข็งที่ไร้แสงโคม แต่ประกายไฟในดวงตาของบุตรีแห่งเฮเฟตัสกลับลุกโชนขึ้น “จะมีจริงหรือไม่ ซ่อนไว้ตรงไหน ฉันก็จะหาให้เจอ...แต่ก่อนอื่น พวกคุณช่วยพาพวกเราไปที่นั่นได้ไหม?” กุนนาร์และอาร์เน่กลืนน้ำลายอึกใหญ่จนลูกกระเดือกขนาดเท่าลูกมะพร้าวเลื่อนขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด พวกมันมองหน้ากันด้วยสายตาหวาดหวั่น ก่อนจะก้มลงมองเหล่าเดมิก็อดตัวจิ๋วที่กำลังฝากความหวังไว้ที่พวกตน “หะ...ให้พวกข้าพาไปที่วิหารงั้นเหรอ?” อาร์เน่เสียงสั่น “นั่นมันฆ่าตัวตายชัด ๆ เลยนะเจ้ามิดการ์ด! ถ้าพวกทหารรักษาการณ์รู้เข้า พวกข้าสองคนจะถูกแช่แข็งเป็นอนุสาวรีย์เฝ้าประตูเมืองไปชั่วนิรันดร์เลยนะ!” “ใช่ ๆ!” กุนนาร์รีบพยักหน้าเสริมจนเกล็ดน้ำแข็งที่เคราสะบัด “เอาเป็นว่า...พวกข้าขอเวลาคิดทบทวนดูอีกสักนิดได้หรือไม่ เรื่องกู้โลกมิดการ์ดอะไรนั่นมันฟังดูยิ่งใหญ่เกินพละกำลังยักษ์ติงต๊องอย่างพวกข้าไปหน่อย” เอโลอิสถอนหายใจยาว เธอรู้ดีว่าการบังคับยักษ์ที่กำลังกลัวตายนั้นไม่ได้ผลดีแน่ “ก็ได้ค่ะ...ฉันให้เวลาพวกคุณตัดสินใจ แต่อย่างที่บอก ถ้าโลกมนุษย์ละลาย อาณาจักรน้ำแข็งของพวกคุณก็ไม่รอดเหมือนกัน” “เอาเถอะ ๆ ก่อนจะไปกู้โลก ข้าว่าเจ้าต้องทำให้สหายคนนี้ฟื้นขึ้นมาก่อนนะ ถะ...ถ้าหากนางยังไม่ตายไปเสียก่อนน่ะนะ” กุนนาร์มองร่างป้าคาเรนที่นอนแน่นิ่งด้วยความรู้สึกผิด “ป้าไม่ตายหรอกค่ะ แค่ช็อกจนสลบไปน่ะ คงอีกสักพักถึงจะรู้สึกตัว ป้าดวงดีจะตายไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก” เอโลอิสตอบพลางปัดหิมะออกจากเสื้อผ้าของป้า “ถ้าอย่างนั้นไปซ่อนตัวที่บ้านพวกข้าก่อนดีกว่า ยืนสว่าง ๆ อยู่กลางถนนแบบนี้ไม่รอดแน่” อาร์เน่เสนอ แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะก้าวเดิน เสียงย่ำเท้าที่คุ้นเคยก็ดังแว่วมาตามลม ตึง! ตึง! ตึง! มันเป็นจังหวะที่หนักแน่นและเปี่ยมไปด้วยโทสะ เสียงนั้นดังมาจากทิศทางของประตูเมืองที่พวกเขาเพิ่งหนีมา “งานเข้าแล้ว!” กุนนาร์อุทานพลางลนลาน ยักษ์น้ำแข็งทั้งสองลนลานจนทำอะไรไม่ถูก ดวงตามหึมากวาดมองหาที่ซ่อนรอบตัวที่ว่างเปล่ามีแต่ลานน้ำแข็งสะท้อนแสง ทันใดนั้นกุนนาร์ก็ตัดสินใจทำบางอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด เขาคว้าตัวเอโลอิส แจสเปอร์ และร่างที่ไร้สติของป้าคาเรนขึ้นมาด้วยอุ้งมือเดียว แล้วยัดทุกคนลงไปในผ้าเตี่ยวหนังหมีขั้วโลกที่เขาสวมอยู่อย่างรวดเร็ว! “เฮ้ยเดี๋ยว! คุณกุนนาร์…มันอึดอัดนะ!” เอโลอิสตะโกนเสียงอู้อี้อยู่ในสาบหนังหมีที่ทั้งหนาและเหม็นสาบ “เงียบเถอะน่า อยากโดนกินหรือไง!” กุนนาร์กระซิบเสียงดังหึ่ง ๆ พร้อมกับรีบจัดระเบียบผ้าเตี่ยวให้ดูแนบเนียนที่สุด ส่วนอาร์เน่ก็รีบยืนตัวตรงทำเนียนมองนกมองไม้ ไม่กี่อึดใจ แก๊งยักษ์เฝ้าประตูเมืองในชุดเกราะกระดูกสัตว์ก็เดินพ้นมุมตึกมา พวกมันมีรอยโนขนาดใหญ่บนหัวและท่าทางหงุดหงิดสุดขีด ยักษ์หัวหน้าทีมเดินตรงดิ่งมาหาพวกเขาสองคนด้วยสายตาจับผิด “เฮ้ย! กุนนาร์ อาร์เน่! เห็นพวกมิดการ์ดตัวจิ๋วสามคนผ่านมาแถวนี้บ้างไหม?” ยักษ์เฝ้าประตูถามพลางควงขวานหินในมือ “พวกมันทำพวกข้าสลบด้วยกลโกงสกปรก ถ้าเจอข้าจะบดพวกมันให้ละเอียดเป็นน้ำแข็งไสเลย!” “ม...มิดการ์ดเหรอ? ใครน่ะ? ไม่เห็นมีเลย แถวนี้มีแต่หิมะกับน้ำแข็งนะ” กุนนาร์ตอบเสียงสูงจนผิดปกติ เหงื่อเริ่มซึมตามไรผมแม้ในอากาศจะหนาวจัด ยักษ์หัวหน้าทีมขมวดคิ้ว ยื่นหน้ามหึมาเข้าไปใกล้กุนนาร์จนจมูกแทบชนกัน มันสูดลมหายใจฟุดฟิดดมกลิ่นไปตามตัวกุนนาร์ “ฟุดฟิด...กลิ่นเจ้าประหลาดชะมัด กลิ่นมันฉุนกึกพุ่งเข้าจมูกข้าจนน้ำตาจะไหล นี่เจ้าแอบไปคลุกขี้วาฬมาหรือไง?” ยักษ์ถามพลางทำหน้าเหยเก เพราะกลิ่นที่มันได้รับคือกลิ่นยาดมเข้มข้นที่ระเหยออกมาจากผ้าเตี่ยวของกุนนาร์นั่นเอง! “อ๋อ...คือ...ข้าเพิ่งไปเก็บสมุนไพรมาน่ะ กลิ่นมันเลยติดตัวนิดหน่อย” กุนนาร์ยิ้มแห้ง ๆ “เจ้าควรจะหัดใช้สมุนไพรบ้างนะ กลิ่นตัวจะได้...เอ่อ...สดชื่นแบบข้าไง” “สดชื่นบ้านเจ้าสิ ฉุนจนข้าจะเป็นลม!” ยักษ์หัวหน้าทีมถอยออกมาพลางเอามือปิดจมูก “ถ้าเจอพวกมิดการ์ดก็แจ้งทางการด้วยล่ะ อย่ามัวแต่เล่นสนุก ไปเถอะพวกเรา! ไปสำรวจจุดอื่นต่อ!” เมื่อแก๊งยักษ์เฝ้าประตูเดินลับตาไป กุนนาร์และอาร์เน่ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จนหิมะรอบข้างกระจุย “เกือบไปแล้ว...ผ้าเตี่ยวข้าแทบขาด” กุนนาร์บ่นพลางรีบควักเหล่าเดมิก็อดออกมาจากที่ซ่อนอย่างระมัดระวัง “พวกเจ้ากลิ่นแรงชะมัด โดยเฉพาะนางคนนี้!” เขาชี้ไปที่ป้าคาเรน “ขอบคุณที่ช่วยนะคะคุณกุนนาร์” เอโลอิสพูดพลางสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดอย่างหิวกระหาย “แต่ตอนนี้เรารีบไปบ้านคุณเถอะ ก่อนที่พวกนั้นจะย้อนกลับมาดมกลิ่นยาดมอีกรอบ” ยักษ์ทั้งสองรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งนำทางผ่านซอยเล็ก ๆ ของเมืองน้ำแข็ง มุ่งหน้าไปยังเขตที่พักอาศัยที่เงียบสงบกว่า อย่างน้อยตอนนี้พวกเขาก็มีที่ซ่อนตัวชั่วคราว จนกว่าป้าคาเรนจะฟื้นขึ้นมาเผชิญความจริงอีกครั้งว่าเธอกำลังอยู่ในบ้านของยักษ์น้ำแข็งที่เป็นมิตรที่สุดในโยธันไฮม์



@God 






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 36465 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 36,465 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ จาก Ignis Anima  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 36,465 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +15 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 36,465 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +20 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 36,465 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +12 ความกล้า +12 ความศรัทธา จาก มาลาแห่งอัสสัมชัญ  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 5 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด






ภายในบ้านของกุนนาร์และอาร์เน่ช่างเป็นสถานที่ที่ท้าทายกฎฟิสิกส์และความเข้าใจของมนุษย์ตัวจิ๋วอย่างสิ้นเชิง ผนังบ้านถูกขุดเข้าไปในภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมา เพดานสูงลิบจนมองเห็นเป็นเงาสลัวราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นทำจากก้อนหินแกรนิตและน้ำแข็งที่ถูกสกัดอย่างลวก ๆ โต๊ะกินข้าวหนึ่งตัวมีขนาดใหญ่พอจะใช้เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ได้สามลำพร้อมกัน ส่วนเก้าอี้นั้น...เอโลอิสมองว่ามันคือหน้าผาย่อม ๆ ที่ต้องใช้ทักษะปีนเขาขั้นสูงหากคิดจะขึ้นไปนั่ง เอโลอิสและแจสเปอร์กำลังนั่งหมดสภาพอยู่บนขอบถ้วยน้ำจิ้ม(ซึ่งใหญ่เท่าสระว่ายน้ำเด็ก) พวกเขาพยายามปัดเศษขนหมีขั้วโลกออกจากเสื้อผ้าและพยายามลบภาพจำอันน่าสยดสยองจากการถูกยัดลงไปในผ้าเตี่ยวของกุนนาร์ออกไปจากสมอง "ข้าขอโทษจริง ๆ นะเรื่องผ้าเตี่ยวนั่น" กุนนาร์กระซิบขณะก้มลงมามอง เสียงกระซิบของเขาทำเอาผมของแจสเปอร์ปลิวไสวเหมือนโดนไดร์เป่าผมพลังเทอร์โบ "แต่สถานการณ์มันบังคับ กลิ่นยาดมของเพื่อนเจ้าช่วยชีวิตพวกเราไว้แท้ ๆ หัวหน้าหน่วยนั่นถึงกับหน้าเขียวหนีไปเลย" "ไม่ต้องพูดถึงมันอีกเลยนะกุนนาร์...ขอร้อง" แจสเปอร์พึมพำพลางเอามือปิดหน้า "นั่นเป็นประสบการณ์เฉียดตายที่แย่ยิ่งกว่าการโดนง้าวฟันเสียอีก" ทางด้านอาร์เน่ที่กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมของว่าง เขาก็เหลือบไปเห็นร่างของป้าคาเรนที่นอนแผ่อยู่บนกองขนจามรีใกล้ ๆ เตาผิงหิน "เฮ้ย! นางเริ่มขยับแล้ว" อาร์เน่ร้องทักเสียงดัง ป้าคาเรนเริ่มส่งเสียงครางเครือในลำคอ เปลือกตาของเธอหยิบหยับพยายามจะลืมขึ้น แสงสีฟ้าจากผนังน้ำแข็งที่สะท้อนเข้ามาทำให้เธอต้องหรี่ตา สติที่เพิ่งกลับมาทีละน้อยทำให้เธอรู้สึกถึงความนุ่มหยุ่นของขนสัตว์ใต้วงแขน และความเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลัง "โอ๊ย...สวรรค์เหรอเนี่ย? ทำไมสวรรค์มันหนาวขนาดนี้ล่ะ...แล้วทำไมเตียงมันถึงกว้างขนาดมองไม่เห็นขอบเลย" ป้าคาเรนพึมพำพลางพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่ง "หรือว่าฉันตายแล้วจริง ๆ? เอโลอิส? แจสเปอร์? พวกแกตายตามฉันมาด้วยเหรอ? ลูกเอ๊ย...วัยรุ่นแท้ ๆ ไม่น่าดวงกุดมากับป้าเลย" "ป้าครับ! ป้ายังไม่ตาย!" แจสเปอร์ตะโกนลงมาจากขอบถ้วยน้ำจิ้ม "ป้าแค่เป็นลมครับ!" ป้าคาเรนขยี้ตาแรง ๆ ก่อนจะมองขึ้นไปตามเสียงเรียก แต่สิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่แค่แจสเปอร์...แต่เป็นใบหน้ามหึมาสองใบหน้าที่ชะโงกลงมาจากฟากฟ้า ดวงตาสองคู่ที่มีขนาดใหญ่กว่าหัวของเธอ จ้องมองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างแรงกล้า "กรี๊ดดดดด! ยักษ์! ยักษ์หน้าฟ้า!" ป้าคาเรนกรีดร้องพลางลนลานถอยหลังจนตกลงไปจากกองขนสัตว์ "ถอยไปนะ! อย่ากินฉันนะ! ฉันมีไขมันอุดตันในเส้นเลือดนะ กินเข้าไปแกต้องไปหาหมอตรวจคอเลสเตอรอลแน่นอน!" "ป้า…ใจเย็น ๆ ค่ะ!" เอโลอิสรีบกระโดดลงจากโต๊ะ โดยมีกุนนาร์ใช้ปลายนิ้วรับไว้แล้ววางลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล เธอวิ่งเข้าหาป้าคาเรนที่ตอนนี้กำลังพยายามจะคลานหนีไปทางหลังบ้าน "นี่กุนนาร์กับอาร์เน่ค่ะ เขาเป็นมิตร เขาช่วยชีวิตพวกเราไว้นะป้า!" ป้าคาเรนหยุดชะงัก เธอหันมามองเอโลอิสสลับกับเจ้ายักษ์สองตนที่ตอนนี้กำลังทำหน้าเจื่อนๆ กุนนาร์พยายามจะส่งยิ้มให้ แต่ฟันแต่ละซี่ของเขามันดูเหมือนแท่นหินประดับสุสานจนป้าคาเรนต้องรีบหันไปคว้ายาดมที่ตกอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาสูดพรวดใหญ่ "เป็นมิตร? เป็นมิตรบ้านแกสิเอโลอิส! เมื่อกี้มันคีบฉันขึ้นไปในอากาศเหมือนคีบตุ๊กตาตู้คีบที่เซ็นทรัลเลยนะ!" ป้าคาเรนแผดเสียงพลางชี้ยาดมไปทางกุนนาร์ราวกับเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ "แล้วเมื่อกี้น่ะ...เมื่อกี้ทำไมฉันไปอยู่ในที่มืด ๆ เหม็น ๆ เหมือนถ้ำอับชื้นที่ไม่ได้ทำความสะอาดมาสิบปีฮะ? กลิ่นมันตุ ๆ เหมือนหนังหมีเปียกน้ำผสมกลิ่นตัวแรง ๆ ฉันจำได้ติดจมูกเลย ถึงจะสลบแต่ฉันก็รู้นะยะ!" กุนนาร์หน้าแดงจนกลายเป็นสีฟ้าเข้มขึ้นมาทันที "เอ่อ...คือ...เรื่องนั้นมันเป็นเทคนิคการพรางตัวระดับสูงของโยธันไฮม์น่ะท่านป้า..." "เทคนิคบ้านแกสิ! แกยัดฉันลงไปในผ้าเตี่ยวใช่ไหม!?" ป้าคาเรนเริ่มนึกออก ความจำกลับมาเป็นฉาก ๆ "โถ่เอ๊ย...ศักดิ์ศรีหญิงไทยของฉัน! ถูกยัดลงไปในที่ต่ำช้าขนาดนั้น ฉันไม่ยอมมมม!" ป้าคาเรนโวยวายพลางเดินเตาะแตะ เข้าไปใกล้เท้าของกุนนาร์ที่มีขนาดใหญ่เท่าเรือหางยาว เธอใช้ยาดมในมือเคาะไปที่เล็บเท้าสีฟ้าของเจ้ายักษ์อย่างเดือดจัด "แกต้องรับผิดชอบ! เอาฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้! โลกจะละลายก็ช่างมันเถอะ แต่ฉันจะไม่อยู่ในเมืองที่มีแต่พวกยักษ์ยัดคนลงผ้าเตี่ยวแบบนี้แล้ว!" อาร์เน่ที่ยืนดูอยู่ถึงกับขำพรืดจนน้ำมูกกระเด็นออกมาเป็นก้อนน้ำแข็ง "ฮ่า ๆ ๆ! กุนนาร์ ข้าว่านางแข็งแกร่งกว่ายักษ์ในกองทัพอีกนะเนี่ย ขนาดโดนยัดลงไปในถ้ำอับของเจ้า นางยังลุกขึ้นมาด่าเจ้าได้เป็นชุดเลย!" "เงียบไปเลยอาร์เน่!" กุนนาร์บ่นอุบพลางมองป้าคาเรนด้วยสายตาละห้อย "ข้าขอโทษจริง ๆ ท่านป้า เพื่อเป็นการไถ่โทษ...ข้าจะพาพวกเจ้าไปยังวิหารน้ำแข็งเอง! ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าอยากเห็นมิดการ์ดที่พวกเจ้าเล่า ข้าไม่อยากให้มันละลายไปหรอกนะ" ป้าคาเรนชะงักยาดมที่กำลังจะเคาะครั้งที่สี่ "พาไปวิหาร? แล้วที่นั่นมีที่ให้นอนพักดี ๆ ไหม? มีแอร์ไหม? เอ๊ย...มีฮีตเตอร์ไหม? ฉันหนาวจะตายอยู่แล้วเนี่ย" "ในวิหารน่ะไม่มีหรอกครับป้า แต่มีไอซ์สโตนที่เราตามหา" แจสเปอร์เดินเข้ามาปลอบ "ถ้าเราได้มันมา ทุกอย่างจะจบ เราจะได้กลับค่ายไปอาบน้ำอุ่น ๆ กันไงครับ" ป้าคาเรนถอนหายใจยาวพลางสูดยาดมปิดท้าย "เออ ๆ ก็ได้...แต่กุนนาร์ ฟังฉันนะ ถ้าแกจะพรางตัวให้พวกเราอีกครั้งหน้า...อย่ายัดฉันลงในผ้าเตี่ยวอีกนะ! เข้าใจไหม!?" "ข้าจะพยายามจำไว้ท่านป้า..." กุนนาร์ตอบเสียงอ่อย พลางเอื้อมมือไปหยิบแผ่นน้ำแข็งที่มีชิ้นเนื้อวาฬวางอยู่ส่งให้ป้าคาเรน "กินนี่ก่อนเถอะ จะได้มีแรงด่าข้าต่อ ทางไปวิหารน่ะ...มันไม่หมูเหมือนทางเดินห้างมิดการ์ดของเจ้าหรอกนะ" บรรยากาศการประชุมแผนการที่ดูเคร่งเครียดที่สุดในประวัติศาสตร์โยธันไฮม์เริ่มต้นขึ้นบนโต๊ะน้ำแข็งที่กว้างพอจะจัดแข่งฟุตบอลนัดกระชับมิตรได้ กุนนาร์และอาร์เน่คุกเข่าลงข้างโต๊ะเพื่อให้ใบหน้ามหึมาของพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกับเหล่าเดมิก็อดตัวจิ๋ว ส่วนป้าคาเรนตอนนี้กำลังนั่งทำหน้ามุ่ยอยู่บนจานหินแบน ๆ ที่ใส่ชิ้นเนื้อวาฬแช่แข็งขนาดเท่าฟูกที่นอน กุนนาร์ลากแผ่นน้ำแข็งแบน ๆ ขนาดใหญ่เท่าฝากระโปรงรถบรรทุกมาวางกลางโต๊ะ บนนั้นมีรอยขูดขีดซับซ้อนที่ดูเหมือนลายแทงโบราณ แต่มองดูดี ๆ มันคือผังเมืองที่ถูกวาดด้วยปลายนิ้วยักษ์ "วิหารน้ำแข็งตั้งอยู่ใจกลางวงแหวนชั้นใน" อาร์เน่ใช้นิ้วชี้ที่หนาเท่าลำต้นมะพร้าวชี้ไปที่วงกลมตรงกลาง "มันถูกล้อมรอบด้วยกำแพงน้ำแข็งและมีกองทัพยักษ์เกราะกระดูกลาดตระเวนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แสงอาทิตย์ไม่ดับมาพักใหญ่แล้ว ดังนั้นไม่มีคำว่าคืนมืดให้พวกเจ้าลอบเร้นหรอกนะ" เอโลอิสก้าวขึ้นไปยืนบนแผนที่น้ำแข็ง พยายามจินตนาการถึงสเกลของสถานที่ "แล้วทางเข้าล่ะ? ถ้าประตูหลักมีทหารรักษาการณ์หนาแน่น เราจะเข้าไปได้ยังไง?" "ประตูหลักน่ะลืมไปได้เลย" กุนนาร์ส่ายหน้าจนเคราน้ำแข็งกระทบกันเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง "แต่พวกข้าที่เป็นช่างเทคนิค...เอ่อ...หมายถึงยักษ์แบกหามน่ะ รู้จักทางเข้าที่พวกทหารไม่ค่อยสนใจ มันคือท่อระบายไอเย็นที่อยู่ทางทิศเหนือของวิหาร มันเป็นท่อที่ปล่อยลมหายใจส่วนเกินของไอซ์สโตนออกมาเพื่อไม่ให้วิหารระเบิด" "ท่อระบายงั้นเหรอ?" แจสเปอร์ขมวดคิ้วพลางลูบคาง "มันจะใหญ่พอที่เราจะลอดเข้าไปได้ไหม?" "เล็กสำหรับพวกข้า แต่ใหญ่เท่าอุโมงค์รถไฟฟ้าสำหรับพวกเจ้าเลยล่ะ!" อาร์เน่หัวเราะ "แต่มันมีปัญหาอยู่สองอย่าง หนึ่ง...ลมที่พัดออกมาจากท่อนั้นน่ะ หนาวขนาดที่ถ้าพวกเจ้าไม่ระวัง เลือดในตัวจะกลายเป็นน้ำแข็งภายในสามวินาที และสอง...ท่อมันอยู่สูงจากพื้นดินประมาณสามสิบเมตร" "สามสิบเมตรสำหรับพวกแกน่ะสิ! สำหรับพวกฉันมันคือตึกสิบชั้นเลยนะยะ!" ป้าคาเรนแทรกขึ้นมาพลางสูดยาดมฟืดฟาด "แล้วจะให้ฉันปีนตึกสิบชั้นท่ามกลางลมเย็นติดลบร้อยองศาเนี่ยนะ? ฉันไม่ใช่สไปเดอร์แมนนะ!" เอโลอิสใช้ความคิดอย่างหนัก "เรื่องความสูงฉันจัดการได้ ฉันมีเชือกและอุปกรณ์ปีนเขาที่ดัดแปลงมาแล้ว แต่เรื่องความเย็น...กุนนาร์พอจะมีอะไรที่ช่วยกันความเย็นได้มากกว่าผ้าคลุมที่ฉันทำไหม?" กุนนาร์ทำท่าเหมือนนึกอะไรออก เขาเดินไปที่หีบน้ำแข็งใบใหญ่หลังบ้าน แล้วหยิบถุงหนังที่บรรจุน้ำมันสกัดจากตับปลาฉลามออกมา "สิ่งนี้แหละ! ทาตัวให้ทั่ว มันจะช่วยกักเก็บความร้อนในร่างกายได้ดีเยี่ยม แต่มันจะมีกลิ่นคาวนิดหน่อยนะ" "นิดหน่อยของแกน่ะสิ! กลิ่นเหมือนปลาเค็มค้างคืนชัด ๆ" ป้าคาเรนเบ้หน้าเมื่อกุนนาร์เปิดจุกถุงน้ำมัน "เอาน่า…เพื่อความอยู่รอดค่ะป้า" เอโลอิสปลอบพลางหันไปหาแจสเปอร์ "แจสเปอร์ นายต้องเป็นคนนำทางขึ้นไปก่อน ขึงเชือกให้มั่นคง ส่วนกุนนาร์กับอาร์เน่...พวกคุณต้องเป็นคนพาเราไปให้ถึงตีนกำแพงวิหารโดยไม่ให้พวกทหารเห็น" "ข้ามีแผนแล้ว!" กุนนาร์พูดยิ้ม ๆ แววตาดูเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที "พวกทหารเฝ้าประตูชอบกินลูกกวาดน้ำค้างแข็งที่อาร์เน่ทำ ข้าจะให้อาร์เน่เอาไปแจกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ส่วนข้าจะถือถังขยะขนาดใหญ่เดินผ่านไปทางทิศเหนือ ทหารพวกนั้นคงไม่คิดจะค้นถังขยะเหม็น ๆ หรอก" "เดี๋ยวนะ..." แจสเปอร์เริ่มมีสีหน้าไม่ดี "ถังขยะเหรอ?" "ใช่! พวกเจ้าก็แค่ลงไปนั่งหลบอยู่ในนั้นชั่วคราว ข้าจะเอาเศษขนจามรีเน่า ๆ ปกคลุมไว้ข้างบน รับรองว่าพวกทหารเดินหนีตั้งแต่ยังไม่เห็นถังเลยล่ะ!" กุนนาร์อธิบายอย่างภาคภูมิใจ ป้าคาเรนนิ่งไปสามวินาที ก่อนจะระเบิดอารมณ์ออกมา "แก! เจ้ายักษ์กุนนาร์! เมื่อกี้ก็ผ้าเตี่ยว คราวนี้จะให้ฉันลงถังขยะเน่าเหรอ! นี่ชีวิตฉันต้องวนเวียนอยู่กับที่อับชื้นและของเหม็น ๆ ไปถึงเมื่อไหร่กันยะ!" "แต่มันปลอดภัยที่สุดนะท่านป้า!" กุนนาร์พยายามโน้มน้าว "ถ้าเทียบกับถูกแช่แข็งเป็นไอศกรีมแท่ง ขยะก็ดูไม่เลวร้ายเท่าไหร่นะ" เอโลอิสกลั้นขำพลางตบไหล่ป้าคาเรนเบา ๆ "เอาเถอะค่ะป้า คิดซะว่าเรากำลังทำภารกิจลับสุดยอด" "ถ้าจบงานนี้แล้วฉันไม่ลาออกจากการเป็นคนรู้จักพวกแก ฉันก็ไม่ใช่ป้าคาเรนแล้ว!" ป้าคาเรนสะบัดหน้าหนีพลางคว้าถุงน้ำมันปลามาถือไว้อย่างจำยอม แจสเปอร์มองดูแผนที่น้ำแข็งอีกครั้งด้วยสายตาแน่วแนว "ท่อระบายลมทิศเหนือ...น้ำมันตับปลา...และถังขยะ...แผนการดูบ้าบอดีแฮะ แต่น่าจะได้ผล" "ถ้าอย่างนั้น..." เอโลอิสยกมือขึ้นวางบนแผนที่ "เริ่มเตรียมตัวกันเถอะ เราจะเริ่มเคลื่อนย้ายตอนที่แสงแดดสะท้อนยอดวิหารแรงที่สุด เพราะมันจะทำให้สายตาของพวกยักษ์พร่ามัว" ภายหลังจากมติที่เป็นเอกฉันท์(ท่ามกลางเสียงบ่นพึมพำที่ไม่จบสิ้นของป้าคาเรน) ปฏิบัติการแทรกซึมที่ดูจะบ้าบิ่นที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์โยธันไฮม์ก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการเตรียมตัวที่ชวนให้กระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก เอโลอิสและแจสเปอร์เริ่มชโลมร่างกายด้วยน้ำมันสกัดจากตับปลาฉลามตามคำแนะนำของยักษ์ผู้หวังดี ของเหลวสีเหลืองอำพันนั้นหนืดข้นและแผ่ซิ่นกลิ่นคาวรุนแรงราวกับซากสัตว์ทะเลที่ถูกทิ้งไว้กลางแดดนานนับสัปดาห์ แต่มันกลับให้ความรู้สึกอุ่นซ่านอย่างน่าประหลาด ราวกับมีม่านพลังความร้อนบาง ๆ มาห่อหุ้มผิวหนังไว้ ส่วนป้าคาเรนนั้น แม้จะบ่นอุบว่าถ้ากลับไปได้ ผิวป้าคงเหม็นสาบไปจนถึงชาติหน้า แต่เธอก็ยอมทามันจนชุ่ม โดยไม่ลืมที่จะยัดยาดมสมุนไพรเข้าจมูกทั้งสองข้างเพื่อตัดวงจรการรับกลิ่นของตัวเอง "เอาล่ะ...เข้าไปได้แล้ว" กุนนาร์กระซิบพลางยกถังไม้โอ๊คขนาดมหึมาที่สูงเท่าตึกสองชั้นขึ้นมาวางบนโต๊ะ ภายในถังถูกปูรองด้วยเศษขนสัตว์และขยะแห้ง ๆ เพื่อพรางสายตา ทั้งสามปีนลงไปซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดของถัง กลิ่นอับชื้นผสมกับกลิ่นสาบของขนจามรีเน่าทำให้ป้าคาเรนแทบจะสำลักยาดมตาย แต่ก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไร ร่างทั้งร่างของพวกเขาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเมื่อกุนนาร์ยกถังนั้นขึ้นบ่า แรงกระแทกจากการก้าวเดินของยักษ์ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนเป็นเมล็ดถั่วที่ถูกเขย่าอยู่ในกระป๋อง ภายนอกนั้นเมืองโยธันไฮม์ช่างดูวิจิตรและน่าพรั่นพรึงเกินกว่าจะพรรณนา กำแพงน้ำแข็งสีน้ำเงินเข้มสะท้อนแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาเป็นประกายระยิบระยับราวกับเพชรเม็ดมหึมาที่ถูกสกัดรังสรรค์โดยเทพเจ้า สถาปัตยกรรมของเหล่ายักษ์นั้นเน้นความโอ่อ่าและแข็งกร้าว เสาน้ำแข็งขนาดพันคนโอบถูกสลักเป็นรูปอสุรกายในตำนานที่จ้องมองมาด้วยดวงตาเย็นชา ทุกก้าวย่างของกุนนาร์ที่เดินผ่านย่านชุมชนทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวประหนึ่งกลองรบที่ตีรัวไม่ขาดสาย "เฮ้! อาร์เน่ นั่นเจ้าจะไปไหนน่ะ?" เสียงทุ้มต่ำและกังวานของทหารยักษ์ที่เฝ้าประตูชั้นในดังขึ้น ทำเอาพวกที่ซ่อนอยู่ในถังขยะถึงกับกลั้นหายใจ "ข้าเอาลูกกวาดน้ำค้างแข็งสูตรพิเศษมาแจกพวกเจ้าไง เห็นว่าช่วงนี้เฝ้ายามกันหนักหน่วงเลย" อาร์เน่ตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง ในจังหวะนั้นเองกุนนาร์อาศัยช่วงเวลาที่เหล่าทหารรุมล้อมอาร์เน่ ก้าวเดินอย่างรวดเร็วเลี่ยงไปทางทิศเหนือของวิหาร แรงเหวี่ยงจากก้าวย่างที่เร่งรีบทำให้ป้าคาเรนหัวไปกระแทกกับขอบถังจนเกือบจะหลุดกรีดร้องออกมา ดีที่แจสเปอร์เอามืออุดปากไว้ได้ทัน กุนนาร์มาหยุดลงตรงหน้ากำแพงสูงลิบที่ดูเหมือนจะเสียดฟ้า แสงสีฟ้าอ่อนพวยพุ่งออกมาจากท่อโลหะขนาดมหึมาที่ฝังอยู่ในผนังน้ำแข็ง ลมเย็นจัดที่พ่นออกมามีอานุภาพรุนแรงจนเกิดเสียงหวีดหวิวราวกับเสียงกรีดร้องของวิญญาณคนตาย "ถึงแล้ว...ท่อระบายไอเย็น" กุนนาร์วางถังลงอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่ยักษ์จะทำได้ "จากนี้ไปเป็นหน้าที่ของพวกเจ้า ข้ากับอาร์เน่จะคอยกันท่าอยู่ข้างล่างนี้ ขอให้เทพเจ้าคุ้มครองพวกเจ้า...มนุษย์ตัวจิ๋ว" เอโลอิสโผล่หัวออกมาจากถังเป็นคนแรก เธอแหงนหน้ามองท่อที่อยู่สูงขึ้นไปสิบชั้นตึก ลมหายใจที่เป็นไอสีขาวขุ่นพวยพุ่งออกมาไม่หยุด "แจสเปอร์...ถึงตานายแล้ว" แจสเปอร์พยักหน้าอย่างมั่นคง เขาใช้ความคล่องแคล่วระดับเดมิก็อดและอุปกรณ์ปีนเขาที่เตรียมมา ค่อย ๆ ไต่ไปตามรอยแตกของกำแพงน้ำแข็งอย่างแผ่วเบาและว่องไวราวกับแมงมุม ท่ามกลางกระแสลมเย็นที่พยายามจะฉุดกระชากเขาลงสู่พื้นดิน ในที่สุดเขาก็ไปถึงขอบท่อและโยนเชือกเส้นหนาลงมาเพื่อให้เอโลอิสและป้าคาเรนตามขึ้นไป ป้าคาเรนซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะเข้าสู่สภาวะสู้ตาย เธอคว้าเชือกไว้แน่นพลางสบถเบา ๆ "ถ้าฉันรอดไปได้ ฉันจะไปฟ้องกรมแรงงานว่าค่ายฮาล์ฟบลัดบ้านี่บังคับใช้แรงงานคนแก่!" แต่ถึงจะบ่น เธอก็ปีนขึ้นไปได้อย่างน่าทึ่งด้วยแรงผลักดันจากความกลัวและความหนาวเย็น เมื่อทั้งสามมุดเข้าไปในท่อระบายไอเย็นได้สำเร็จ ความมืดมิดที่หนาวเหน็บอย่างสุดขั้วก็เข้าปกคลุมทันที ผนังท่อด้านในเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะที่แหลมคมราวกับใบมีด แต่ที่ปลายทางของอุโมงค์ยาวนั้น แสงสว่างสีฟ้าเจิดจ้าและทรงพลังอย่างมหาศาลกำลังส่องสว่างออกมา มันคือแสงจากไอซ์สโตนที่ตั้งอยู่กลางวิหาร เอโลอิสมองภาพเบื้องหน้าด้วยหัวใจที่เต้นรัว อีกนิดเดียว..อีกนิดเดียวเท่านั้นก็จได้กลับบ้านแล้ว!...


@God 






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 38580 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 5 วันที่แล้ว
โพสต์ 38,580 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ จาก Ignis Anima  โพสต์ 5 วันที่แล้ว
โพสต์ 38,580 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +15 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม  โพสต์ 5 วันที่แล้ว
โพสต์ 38,580 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +20 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เรือมินิบานาน่า  โพสต์ 5 วันที่แล้ว
โพสต์ 38,580 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +12 ความกล้า +12 ความศรัทธา จาก มาลาแห่งอัสสัมชัญ  โพสต์ 5 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
123
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้