Hushsong of the Gods
💟 หนีตามผู้ชายสไตล์ มนก บซ 💟
ตอนที่ 15 : ข่อยสิแปรงร่าง ได้เวลาฮีโร่
วันที่ 24 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงสาย เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป วิหารเทพอะพอลโล เมืองเดลฟี กรีซ ยุโรป

เสียงคำรามของไพธอนก้องสะท้านทั่ววิหารจนหินแตกร้าว เสียงสะท้อนนั้นเหมือนคลื่นพลังอันโบราณของโลกกำลังตื่นขึ้น ร่างยักษ์สีม่วงเข้มสะบัดเกล็ดที่ส่องประกายเยือกเย็น มันจ้องเลสเตอร์ด้วยสายตาอาฆาตราวกับจำได้ตั้งแต่ชาติภพก่อนว่า ชายผู้ยืนอยู่ตรงหน้านี้คือศัตรูชั่วนิรันดร์ ผู้ที่เคยปลิดชีวิตมันและยึดวิหารเดลฟีไปจากอ้อมอกของไกอา เลสเตอร์จ้องกลับ สีทองจากดวงตาเริ่มเรืองขึ้นอย่างอันตราย ดวงอาทิตย์ที่เขาเคยเป็นเริ่มแผดเผาอยู่ในร่างมนุษย์นั้น เขารู้ดีว่าถ้ายังเก็บพลังไว้โมนีก้าจะตายแน่
“อย่าแตะต้องเธอ” เขาขบกรามแน่น เสียงต่ำจนแทบเป็นคำราม
แต่ไม่ทันขาดคำ หางมหึมาของไพธอนสะบัดพุ่งเข้าโอบร่างของโมนีก้าไว้แน่น เสียงกระดูกของโมนีก้าดังลั่น “กร๊อบ” ดังน่ากลัว เลือดสด ๆ กระอักออกจากปากของเธออีกครั้ง หางงูรัดจนขาแทบหัก ดวงตาเทาเงินของโมนีก้าเบิกกว้าง เธอพยายามขยับมือแตะกำไลดาบ แต่ไม่อาจขยับได้แม้ปลายนิ้ว มันไม่ได้ฆ่าเธอทันที... มันกำลังดูดซับพลังของเธอ พลังลังถูกกลืนเข้าไปในเกล็ดสีม่วงมืดของมัน ไพธอนแผ่เสียงหัวเราะต่ำที่ไม่ใช่ของมนุษย์ มันคำรามในภาษาที่เก่าแก่เกินกว่าจะถอดความได้ ก่อนที่เกล็ดบนหัวมันจะเรืองแสงสีเขียวแปลกตา พยายามใช้ร่างของโมนีก้าเป็นสื่อพยากรณ์เพื่อฟื้นอำนาจแห่งคำทำนายของตน
และในวินาทีนั้น เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส ก็ไม่เหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไป (ถอยไปทุกคน ข่อยสิแปรงร่าง ได้เวลา ฮีโร่ววววว)
“พอได้แล้ว...” เสียงของเขาแผ่ว แต่บรรยากาศทั้งห้องกลับหยุดนิ่ง แสงรอบตัวเริ่มเปลี่ยนจากทองนวลเป็นทองเพลิง ดวงตาของเขากลายเป็นสีทองสนิท ไม่มีสีฟ้าของมนุษย์หลงเหลืออีกต่อไป อุณหภูมิในห้องพุ่งสูงขึ้นทันที เสาหินรอบวิหารแตกร้าวเพราะความร้อนอัดแน่นจากพลังศักดิ์สิทธิ์ แสงทองสาดออกจากร่างเขาจนพื้นศิลาแตกเป็นรอยร้าว นี่คือ ร่างทอง (The Gold Form) เศษเสี้ยวของรัศมีเทพแห่งดวงอาทิตย์ที่ถูกปลุกขึ้นในร่างมนุษย์ที่ไม่อาจรับมันได้เต็มที่
เลสเตอร์ยกมือขึ้น แสงจากฝ่ามือสว่างจนตาพร่ามัว เส้นผมของเขาเริ่มลอยขึ้นในอากาศเหมือนมีแรงลมรอบตัว “...อยากเล่นของใหญ่เหรอ เจ้าตัวก๊อปเกรดตลาดนัด” เขายิงลูกศรแรกออกไป เส้นแสงทองพุ่งทะลุร่างงูทันทีจนเกิดเสียงระเบิดกึกก้อง เศษเกล็ดปลิวเป็นประกายราวฝนทองตกทั่วห้อง แต่ไพธอนกลับไม่ล้มตาย มันคำรามและพุ่งกลับใส่เขาอีกครั้ง เลสเตอร์ยิ้ม “อ้อ ยังกล้าดิ้นนะ? ดี... ผมเกลียดพวกของปลอมที่คิดว่าตัวเองเท่กว่าของจริง” เขาง้างศรอีกลูก แสงสว่างเจิดจ้าจนแทบกลืนทุกเงา “ขอโทษนะ เจ้าของลอกเลียนแบบ... แต่งานอาร์ตชิ้นนี้มีศิลปินคนเดียว”
ลูกศรทองปักเข้ากลางหน้าผากงู เสียงแผดร้องของมันดังสนั่นจนพื้นสั่นสะเทือนทั่ววิหาร เปลวทองแตกกระจายเป็นคลื่นรัศมีพุ่งออกไปรอบทิศ ก่อนร่างยักษ์ของไพธอนจะสลายไปในหมอกแสง เหลือเพียงเศษเถ้าสีม่วงเข้มที่ลอยอยู่ในอากาศ เลสเตอร์ยืนนิ่งอยู่กลางหมอกนั้น ผมเปียกชื้นจากเหงื่อ พลังทองยังแผ่วอยู่รอบตัว เขาหอบหายใจหนัก ๆ ราวกับแบกภูเขาไว้บนบ่า แต่บนใบหน้านั้นกลับมีรอยยิ้มมั่นหน้าขั้นเทพ
“ฮะ... เห็นไหม?” เขาหัวเราะเบา ๆ พลางสะบัดผม “ผมบอกแล้ว ว่าพวกของก๊อปมันไม่มีวันชนะของแท้ได้หรอก ไพธอนตัวก่อนที่ผมสู้เมื่อไม่กี่ปีก่อนยังทำให้เหนื่อยกว่านี้เลยแกมันไม่ได้ถึงเสี้ยวหนึ่ง เสิ้นเจิ้นเอ้ย” เขาเช็ดเลือดจากมุมปากด้วยหลังมือ “ดูท่าพวก LoNex คงมีปัญญาแค่สร้างรูปลักษณ์ แต่ไม่รู้จักสูตรลับของความสง่างามกับความแข็งแกร่งสินะ” เขายิ้มให้เถ้าควันที่ค่อย ๆ จางหาย “เจ้าของก๊อปมือสองเอ๊ย... รบกวนอย่างกับแมลงวันในพิธีบูชาแสงแรกของผม”
ในความสว่างที่ค่อย ๆ จางลง โมนีก้ามองภาพนั้นด้วยสายตาแทบไม่เชื่อ เธอไม่รู้ว่าอะไรที่น่ากลัวกว่ากันระหว่างอสูรงูที่เพิ่งถูกทำลาย หรือชายตรงหน้าที่แสงของเขาร้อนแรงเสียจนแทบจะละลายทุกสิ่งรอบข้าง
แสงทองจากร่างเลสเตอร์ค่อย ๆ จางหายไป เหมือนอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้า เศษเงาของพลังเทพแผ่วเบาลงพร้อมกับเสียงหายใจที่เริ่มหนักของเขา กลิ่นควันและฝุ่นจากการสู้รบยังลอยอยู่ในอากาศ เศษเกล็ดของไพธอนปลิวกระจายอยู่ทั่ววิหารเหมือนฝุ่นทองตกค้างจากสงครามสวรรค์ เขาก้าวข้ามซากหินที่ถล่มลงมา ก้าวข้ามเศษเกล็ดของไพธอนตรงเข้าไปหาโมนีก้าที่นอนพิงเสาหินอยู่ ดวงตาเทาเงินของเธอยังพร่ามัว ใจเต้นแรงจากสิ่งที่เห็น ไม่ใช่เพราะความกลัว... แต่เพราะเธอเพิ่งเห็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
“อยู่นิ่ง ๆ ก่อนนะ” เขาพูดเสียงแหบ มือเปล่งแสงอ่อน ๆ สีทองจาง ๆ ขึ้นจากปลายนิ้ว แสงนั้นส่องผ่านบาดแผลและรอยฟกช้ำบนร่างของเธออย่างแผ่วเบา พลังนั้นอบอุ่นจนเหมือนแสงอรุณแรกของเช้าวันใหม่ กลิ่นดอกไม้และเหล็กจาง ๆ ปะปนกันในอากาศ มันอุ่น... อุ่นจนเธอแทบเผลอหลับ แผลที่แตกร้าวเริ่มสมาน เลือดหยุดซึมลงช้า ๆ “ผมไม่ชอบเห็นคนหน้าตาดีแบบคุณเลือดอาบไปทั้งตัว มันลดระดับความงามโดยรวมของภาพเลยนะ”
โมนีก้ามองหน้าเขา ดวงตาของเธอนั้นสั่นไหวจนไม่พูดอะไรสักพัก ก่อนที่เสียงแผ่วต่ำจะหลุดออกมา “เลสเตอร์... ตอนนี้นาย... ยังเป็นเลสเตอร์อยู่ไหม?”
เขาชะงักไปนิดกับคำถามของโมนีก้าพลางยกคิ้วอย่างเหนื่อย ๆ แต่ยังคงรอยยิ้มกวน ๆ ประจำตัว “ก็ยังเป็นอยู่นะ แค่รู้สึกเหมือนกลืนเข็มพิษไปหนึ่งกำมือ...” เขาสูดลมหายใจ “ร่างมนุษย์มันไม่ชอบพลังแบบนี้เท่าไหร่” แสงทองดับลงในที่สุด เขาทรุดตัวข้างเธอเหมือนคนหมดแรง โมนีก้ารีบยันตัวขึ้น ประคองเขาไว้ด้วยความตกใจ “เลสเตอร์!?”
“นายคืออะไรกันแน่...” เธอถามเสียงเบาในระหว่างที่ดูร่างกายของเขา “เมื่อกี้นายพูดกับงูนั่นเหมือน... เหมือนมันรู้จักนาย... แล้วพลังเมื่อกี้มันคืออะไร นายเป็นใครกันแน่?” โมนีก้ารู้ว่ามันเป็นอะไร แต่เพราะความสับสน เธอต้องถามเขา เอาให้ชัดเจน เอาให้รู้จริงว่ามันใช่ไหม เพราะเธอไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น
เขายกตาขึ้นมามองเธอ ดวงตาสีฟ้าอ่อนเหมือนน้ำทะเลสะท้อนแสงยามรุ่ง “คำถามดีมาก ผมควรตอบด้วยกลอนมั้ยนะ จะได้มีชั้นเชิงหน่อย”
“เลสเตอร์—”
เขายิ้มกว้างกว่าเดิม “โอ้ แน่นอนสิ หนึ่งเดียวที่ชนะไพธอนได้ก็คือผมคนนี้แหละ คุณคิดว่ามีมนุษย์คนไหนกำจัดเจ้านั้นได้บ้างล่ะ อะพอลโล เทพแห่งแสงสว่าง ดนตรี คำพยากรณ์ และความงามในทุกอณูผิว” เขาแกล้งยืดหลังขึ้นนิด ยกมือเสยผม “จริง ๆ ก็ไม่น่าแปลกใจนะที่ผมยังดูดีแม้ในร่างมนุษย์... มันยากจะปิดบังออร่าแห่งความสมบูรณ์แบบของผมได้ ผมหมายถึง... ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือผมทั้งหล่อ ทั้งยิงแม่น ทั้งเปี่ยมเสน่ห์ และยังมีพลังแห่งแสง ซึ่งแน่นอนว่านั่นคืออะพอลโลเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่รัก”
โมนีก้านิ่งไปสามวินาทีเต็มก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างเหลือเชื่อ “นี่นาย... กำลังบอกฉันว่านายคือ อะพอลโล? เทพเจ้าที่…โอ้พระแม่เซเรสเถอะ... นี่ฉันเดินสำรวจวิหารของเขา พร้อมกับเจ้าของมันเองเหรอเนี่ย?” โมนีก้าเหมือนเริ่มประติดประต่อเรื่องราวทุกอย่างเข้าหากันอย่างอึน ๆ แม้ว่าจะรู้แต่ใจมันก็ไม่อยากจะยอมรับว่าไอ้หนุ่มหน้าจืดนี้คือเลสเตอร์แม้ตอนนี้จะหุ่นพอไปวัดไปวาก็ตาม
“พูดให้ถูกคือคุณได้ร่วมภารกิจกับเทพเจ้าแห่งทุกสิ่งที่ดีงามบนโอลิมปัส” เขาพูดด้วยน้ำเสียงมั่นหน้าจนอยากจะปาเศษหินใส่ “และยังรอดชีวิตจากการเห็นร่างทองของผมโดยไม่ละลายตายด้วย ถือว่าคุณโชคดีมากนะครับ โมนี—”
“เลสเตอร์” เธอขัดขึ้นทันที “อย่าเพิ่งเริ่มโม้ ฉันยังพยายามประติดประต่ออยู่ นายคืออะพอลโลจริง ๆ... แล้วที่ผ่านมานาย?” เธอกลืนคำ รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังเล่นตลก เขาหัวเราะแผ่ว ๆ “ใช่ ผมเคยเป็นเทพและยังเป็นอยู่แต่ผมโดนสาปลงมาอยู่ในร่างมนุษย์... ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงพักร้อนที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์สวรรค์ แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ยังทำงานอยู่ดีมันเหนื่อยนะบอกเลย”
โมนีก้าจ้องหน้าเขาแน่นิ่ง “พักร้อน?”
“ใช่สิ ก็มันเหนื่อยนี่นา คุณไม่รู้หรอกว่าการต้องคอยให้คำพยากรณ์กับมนุษย์วันละพันคำ มันเครียดแค่ไหน... ไหนจะคอยบันดาลใจให้เกิดบทเพลงใหม่ ๆ ขึ้นมา เหนื่อยมาก ๆ เลยนะ ผมแทบไม่มีเวลาเซ็ตผมเลยนะ”
“นาย... ยังจะห่วงผมตอนนี้เนี่ยนะ?” เธอพูดอย่างไม่อยากเชื่อ
“แน่นอน ผมต้องรักษาภาพลักษณ์เทพแห่งความงามไว้สิ” เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนเธอแทบหายใจไม่ทั่วปอด “หรือว่า... คุณเพิ่งตระหนักว่าคุณกำลังโอบเทพเจ้าอยู่?” โมนีก้าเบิกตา แล้วรีบปล่อยแขนเขาทันที “อย่ามาทำมั่นหน้าใส่ฉันนะ!”
“อ้าว เมื่อกี้ยังจับแน่นเลยนี่นา ผมคิดว่าคุณเริ่มศรัทธาผมแล้วเสียอีก” เธอส่ายหน้าแรง พยายามซ่อนใบหน้าที่ร้อนผ่าว “ฉัน... ฉันไม่รู้จะเชื่ออะไรดี นายดูไม่เหมือนเทพเจ้าตรงไหนเลยนอกจากปากเก่ง!” เมื่อได้รับคำตอบเขายิ้มบาง รอยยิ้มแบบคนที่รู้ว่าตัวเองจะไม่มีวันถ่อมตัวได้ “ก็นั่นแหละสิ... เพราะเทพเจ้าที่ดีไม่จำเป็นต้องนิ่งสง่าเสมอไป บางทีก็ต้องเท่ พูดเยอะ และมีสไตล์แบบนี้แหละ”
ทว่าหลังจากนั้นเลสเตอร์เหมือนจะกระอักความเจ็บจนโมนีก้าต้องเข้าหาเขาอีกครั้ง “เลสเตอร์!?” แสงแดดลอดช่องหินที่แตกเข้ามาเป็นลำ ๆ สะท้อนกับผิวของเลสเตอร์ที่ตอนนี้ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เขายังหอบแรงจากการใช้พลังเทพแต่ก็ยังฝืนยิ้มตามสไตล์ของเขา “ไม่เป็นอะไร ๆ ผมสบายดี” เขาเอ่ยบอก
โมนีก้ามองเขานิ่งระหว่างประคองอีกคนรอบที่สอง ดวงตาสีเทาเงินของเธอเต็มไปด้วยคำถามมากกว่าความกลัว “งั้น... ตลอดมาฉันทำภารกิจกับนาย... ที่เป็นเทพที่โดนสาปอย่างงั้นใช่ไหม?” น้ำเสียงของเธอเรียบแต่แฝงแรงสั่นอย่างคุมไม่อยู่ เลสเตอร์หัวเราะในลำคอแผ่ว ๆ “ใครจะไปคิดว่าเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จะต้องมาติดอยู่ในร่างมนุษย์แบบนี้ล่ะ จริงไหม?”
“ใครสาปนาย?” เธอถามเสียงเข้มขึ้นแต่ก็แฝงไปด้วยความสงสัย
เขายกมือขึ้นชี้ฟ้าแบบเอือม ๆ “จะใครได้อีกล่ะ พระบิดาผมเจ้าเก่าเจ้าเดิมนั่นแหละ... ซุส หรือถ้าจะให้เวอร์ชั่นโรมันก็จูปิเตอร์น่ะสิ คนดี คนเดิม คนเดียวที่ชอบสาปลูกชายตัวเองทุกเมื่อที่ไม่พอใจ! ผมทำอะไรผิดยังไม่รู้เลย” เขาบ่นยาวทันทีเหมือนเปิดน้ำป่า “ผมหมายความว่า มันไม่แฟร์เลยนะ! ผมช่วยพวกมนุษย์มานับครั้งไม่ถ้วน สร้างบทกวี สอนดนตรี พยากรณ์อนาคต แล้วแค่เพราะผมอาจจีบใครผิดคน หรือพูดแรงไปหน่อย ท่านพ่อก็จับผมโยนลงโลกอีกแล้ว! จะให้ผมขอโทษกี่ครั้งถึงจะพอใจกันนะ ซุสผู้สูงศักดิ์ผู้ทรงอำนาจแต่ขาดอารมณ์ขัน!”
โมนีก้าได้แต่ถอนหายใจแรง ทั้งที่ยังประคองเขาอยู่ “พระแม่เซเรส... นี่สินะเหตุผลที่นายติดนิสัยบ่นทุกเรื่อง”
“ผมไม่ได้บ่นนะ ผมแค่พูดความจริงที่จักรวาลควรรู้ต่างหาก! ลองคิดดูสิร่างอะพอลโลผมมีมาเซเรติขับ แต่นี้ผมต้องมาเดินดิน” เขาแย้งเสียงจริงจัง แต่พอเห็นสายตาของเธอที่จ้องมา เขาก็ชะงักไปชั่วครู่ รอยยิ้มค่อย ๆ จางลง “แล้วทำไมต้องปิดบังฉันไว้?” เธอถามต่อ เสียงเบาแต่ชัด เหมือนแทงเข้าใจเขาแล้วคิดอยู่นาน
เลสเตอร์นิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบช้า ๆ “เพราะคุณ... เหมือนบาดแผลในใจของผม”
โมนีก้าชะงัก “หมายความว่าไง?”
เขาหลุบตามองต่ำ มือที่พยายามซ่อนความสั่นไหวกำแน่น “กลิ่นไลแลคของคุณ มันทำให้ผมนึกถึงใครบางคน... ดาฟนี่” เสียงของเขาแผ่วลง “คุณรู้ไหม ว่านี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมโดนสาปให้ลงมาแย่แบบนี้ และทุกครั้งมันก็เหมือนโลกกำลังบังคับให้ผมชดใช้ในสิ่งเดิม ๆ ที่ผมทำพลาด” เขาเงยหน้ามองเธอ ดวงตาสีฟ้าเข้มสะท้อนแสงอาทิตย์ที่ลอดเข้ามา “การเดินทางในร่างของเลสเตอร์ ปาปาโดปูลอสนี่มันไม่ใช่การลงโทษหรอก มันคือบทเรียน... ที่ทำให้ผมรู้ว่าเทพก็ทำผิดได้มากมายแค่ไหน ในอดีตผมเคยเป็นเทพเจ้าที่ไล่ตามทุกสิ่งที่ผมต้องการโดยไม่ฟังใครเลย โดยเฉพาะดาฟนี่... ผมควรปล่อยเธอไปตั้งแต่วันที่เธอบอกว่า ‘ไม่’ แต่ผมกลับไม่ยอม และต้องดูเธอกลายเป็นต้นลอเรลทั้งเป็น”
น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่น ไม่ใช่เพราะอ่อนแรงจากพลัง แต่เพราะความทรงจำที่กัดกิน “ผมใช้เวลานับพันปี... ถึงจะเข้าใจและเคารพการตัดสินใจของเธอได้จริง ๆ” ระหว่างการเล่าโมนีก้าเงียยฟังเขาเธอไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
เลสเตอร์สูดหายใจเข้าอย่างหนัก “คุณรู้ไหม โม... คุณทำให้ผมกลัว กลัวว่าจะทำผิดซ้ำอีก ผมกลัวว่าความสนใจของผมที่มีต่อคุณ... จะกลายเป็นการไล่ตามแบบนั้นอีก ผมเลยโกหกตัวเองว่าที่ผมสนใจคุณก็เพราะกลิ่น เพราะความทรงจำของอดีต แต่ไม่ใช่เลย ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณไม่ใช่เธอ...”
คำพูดสุดท้ายของเขาจบลงในความเงียบที่ยืดยาว แสงอาทิตย์ยามสายส่องผ่านรอยแตกบนผนังมาสะท้อนบนดวงตาของโมนีก้า ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสน เธอไม่ร้องไห้มีน้ำตาแต่ก็ไม่พูดออกมาเหมือนกัน ในแววตานั้นเต็มไปด้วยคำมากมายที่ยังไม่กล้าออกเสียง เธอเพียงแค่ขยับแขน ประคองเขาแน่นขึ้น แล้วพิงศีรษะลงบนไหล่ของเขาเล็กน้อย ไม่พูดอะไรเลย มีเพียงเสียงหายใจสองจังหวะที่ผสานกันในวิหารที่เคยเป็นสนามรบ
เลสเตอร์ไม่ได้พูดต่อ เขาเพียงยกมือขึ้นแตะหลังมือของเธอเบา ๆ เป็นการตอบกลับโดยไม่ต้องใช้คำพูด และในความเงียบนั้นโมนีก้ารู้ ว่าเขาเข้าใจข้อความเดียวกันกับที่เธอพยายามส่ง
อากาศในวิหารเงียบสงบลงหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านไป เหลือเพียงเสียงลมพัดลอดช่องหินและแสงแดดอุ่นที่ส่องกระทบผนังศิลาเก่าแก่ เศษเกล็ดไพธอนส่องประกายเล็กน้อยเหมือนฝุ่นทองที่ลอยวนในแสงนั้น เลสเตอร์เอนตัวพิงเสา พลางพ่นลมหายใจหนักเหมือนคนหมดแรง ส่วนโมนีก้านั่งข้าง ๆ เขา เธอยังรู้สึกถึงแรงสั่นในพื้นหินใต้ตัว เหมือนมีอะไรบางอย่างเต้นตอบกลับเป็นจังหวะ
หญิงสาวขมวดคิ้ว “นายได้ยินเสียงไหม?”
เลสเตอร์หลุบตามองพื้น “เสียงอะไร?”
“เหมือนมีบางอย่าง... อยู่ข้างใต้ช่องลับนั่น” เธอชี้ไปยังผนังด้านในที่ร้าว เศษหินตรงนั้นเรืองแสงจาง ๆ คล้ายสะท้อนพลังงานจากภายใน โมนีก้าใช้มือแตะพื้นหินช้า ๆ ความรู้สึกบางอย่างแล่นขึ้นมาตามแขน เธอสูดหายใจ “มันคือคริสตัลแห่งเสียงก้องแน่เลย...”
เลสเตอร์เงยหน้าขึ้นทันที “คุณแน่ใจเหรอ?”
“แน่สิ” เธอยิ้มบาง “เราตามหามันมาตลอดนี่นา... ตอนนี้เราพบแล้ว จะได้ซ่อมพิณสักที” โมนีก้าหันมามอง “ขอถามตรง ๆ เลยนะ พิณนั่นของนายใช่ไหม?” เขายักคิ้วก่อนตอบ “ใช่ มันเป็นของผมเอง... ในร่างอะพอลโล ผมสร้างมันไว้ตั้งแต่สมัยที่พยากรณ์ยังดังไปทั่วโอลิมปัสและแน่นอนว่าตอนนี้ดังไปทั่วโลกและสามโลก ดังไม่มีแผ่ว มันเป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างเสียงทวยเทพกับมนุษย์ แน่นอน ผมตั้งชื่อมันเองด้วย น่าจะเดาได้ว่าเพราะผมเสียงดีแค่ไหน”
“โอ้พระเจ้า...” โมนีก้าพ่นลมหายใจเบา ๆ “นายยังจะหาเวลาชมตัวเองได้อีกเหรอ ตอนนี้?”
“ก็ผมพูดความจริง” เขายิ้มมุมปาก “เสียงของผมทำให้คริสตัลนั่นเกิดขึ้นนะ คุณควรซาบซึ้ง”
โมนีก้าส่ายหน้าแต่ยิ้มบาง เธอชำเลืองมองแสงที่ลอดผ่านหิน “เราต้องหามันอีกกี่ชิ้นนะ?”
เลสเตอร์นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วตอบ “สอง”
“สองเหรอ?” โมนีก้าทวนตัวเลข
“อืม” เขาพยักหน้า “หนึ่งอยู่ที่นี่... อีกหนึ่ง...” เขาขมวดคิ้วเหมือนพยายามระลึก “ผมรู้สึกได้ว่ามันอยู่ในที่ที่มีเสียงลมพัดผ่านต้นสนหนาแน่น... กลิ่นทะเลกับกลิ่นเกลือจาง ๆ... ป่าสนในแถบเมดิเตอร์เรเนียน” โมนีก้าพึมพำเหมือนกำลังคิดอยู่ “ป่าสน... งั้นก็คงฝรั่งเศสตอนใต้สินะ” เลสเตอร์พยักหน้าอย่างมั่นใจ “ใช่ แคว้นโพรวองซ์ นั่นแหละที่ผมจำได้ ที่ที่พระอาทิตย์ตกสวยที่สุดในยุโรป ก็แน่นอนสิ ผมออกแบบแสงมันเองกับมือ”
“นาย...” เธอกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “อวดแม้กระทั่งพระอาทิตย์ตกเลยเหรอ?”
“มันเป็นงานศิลป์ที่ผมสร้างขึ้นมาเอง เพราะงั้นผมมีสิทธิ์โม้” เขาตอบหน้าตาย
โมนีก้าเพียงส่ายหน้า แล้วเอนหลังพิงเสาอย่างเหนื่อยล้า “งั้นเราพักกันก่อนดีไหม ฉันว่าถ้านายยังพูดอีกนิดเดียวคงหมดแรงก่อนถึงโพรวองซ์แน่ ๆ” เลสเตอร์หัวเราะแผ่ว ๆ แล้วเอนหัวพิงกำแพงข้าง ๆ เธอ “ตกลง... พักก่อนก็ได้ แต่บอกไว้เลยนะ ผมไม่ได้หมดแรง ผมแค่ให้โอกาสร่างมนุษย์ได้พักเท่านั้นเอง”
“แน่นอนค่ะ คุณอะพอลโล” เธอประชดเบา ๆ พร้อมหลับตา สิ้นคำนั้นเลสเตอร์ยิ้มอย่างพึงใจ แม้ร่างกายจะอ่อนแรงแต่ในหัวใจกลับอุ่นขึ้นอย่างประหลาด แสงแดดยามสายตกกระทบทั้งคู่ราวกับจงใจห่มคลุมไว้ในความเงียบสงบของวิหารเดลฟี ก่อนที่การเดินทางสู่โพรวองซ์จะเริ่มต้นอีกครั้งหลังจากนี้



Summary Cards – Burgundy
Lester Papadopoulos
บ้าที่สุด! เจ้าไพธอนตัวปลอมนั่นมันกล้าดีบังไงมารัดตัวโมนีก้า! การเห็นเลือดของเธอ... เสียงกระดูกของเธอดัง... มันทำให้ผม โกรธจนไม่เหลือความเป็นมนุษย์ มันคือศัตรูชั่วนิรันดร์ของผม และมันทำให้คนที่ผมรักต้องเจ็บปวด ผมไม่สามารถทนเห็นเธอถูกทำลายได้มันเป็นความผิดที่ไม่มีวันให้อภัยแน่ ๆ ผมทำถูกแล้วที่ปลดปล่อยพลังของตัวเองออกมา มันอาจทำให้ร่างมนุษย์ที่แสนบอบบางนี้แตกสลาย แต่ความปลอดภัยของโมนีก้าอยู่เหนือทุกสิ่ง ลูกศรทองของผมมันยังคงสมบูรณ์แบบ! ไพธอนตัวนี้เป็นแค่สินค้าลอกเลียนแบบเกรดต่ำที่ไม่คู่ควรกับการเสียพลังงานของผมเลยด้วยซ้ำ บ้าเอ้ย! แต่นั้นหมายถึงผมที่ต้องเปิดเผยทุกอย่าง
ผมถูกจับได้จนมุมคำถามของโมนีก้าเจาะลึกเข้าไปถึงหัวใจ ผมไม่สามารถโกหกเธอได้อีกต่อไป... โดยเฉพาะเมื่อร่างกายของผมทรยศตัวเอง ผมเกลียดที่ต้องบอกว่าผมคืออะพอลโล... เทพเจ้าจอมเจ้าชู้ที่เธอรังเกียจ คำพูดเรื่อง ดาฟนี่มันเหมือนบาดแผลที่เปิดใหม่ ผมใช้เธอเป็นกระจกเพื่อมองความผิดพลาดของผมเอง ผมกลัวว่าเธอจะทิ้งผมไปเมื่อรู้ความจริง ผมเตรียมใจไว้ว่าผมสมควรที่จะถูกทิ้ง
แต่โมนีก้าไม่หนีและไม่ทิ้งผม เธอแค่โอบกอดผมแน่นขึ้น เธอเชื่อในความพยายามที่จะเปลี่ยนตัวเองของผมแม้อาจจะยังไม่เชื่อใจเต็มร้อย แต่ผมก็มีหวัง
Moneka M. Blossom
นี่มันเรื่องบ้าอะไร คนที่ฉันชอบแม่งแปลงร่างเป็นดวงอาทิตย์ อะพอลโลงั้นหรอ เอาจริงรู้สักพักแล้วล่ะแค่ยังไม่อยากจะเชื่อ ...มันทำให้ฉันรู้สึกแปลก ๆ เอาตรง ๆ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนนี้ฉันยังไม่แน่ใจ แต่ฉันอยากช่วยจนกว่าจะจบเรื่องนี้แล้วฉันจะบ่งบอกกับเขาว่าเป็นยังไง
ฉันรู้เลยว่าทำไมถึงมีสัญชาญชาณแบบนั้น แม่งเอ้ย โคตรบ้าชอบใครไม่ชอบ มาชอบเทพเจ้าซะงั้น .... ฉันต้องทำใจที่จะอกหักสินะ แม้ว่าในใจลึก ๆ ของฉัน ฉันจะคิดว่าเขาจะรักฉันก็ตาม แต่ความแตกต่างของฉันกับเขาตอนนี้...มันห่างไกลเหลือเกิน...เห่อ คนที่ 15 หรอ รักที่ไม่สมหวังของฉัน แต่เอาเถอะได้คริสตัลชิ้นที่ 1 มาแล้ว อีกแค่ชิ้นเดียว...
