ช่วงเช้า เวลา 07.00 น. เป็นต้นไป Triora (ทริโอรา) อิตาลี จนถึง Massif des Maures ฝรั่งเศส ยุโรป
ช่วงเวลาเช้าเหนือสันเขาลมเมดิเตอร์เรเนียนอุ่นนุ่มพัดกลิ่นเกลือไกล ๆ ตามถนนคดที่เลื้อยออกจากทริโอรา ป้าย Bienvenue en France แว้บผ่านกระจกก่อนรถจะไหลสู่ทางหลวงสีเงินยาวเหยียด ล้อบดไปบนแสงแดดบ่ายอ่อนอย่างเนิบนุ่ม โมนีก้านั่งชิดหน้าต่าง แก้มรับแสงเช้าเป็นประกายบาง ๆ กลิ่นไลแลคจากผิวนุ่มติดอากาศในรถพอให้คนขับเผลอยิ้มในกระจกมองหลัง ข้างกันนั้นเลสเตอร์เอนตัวอย่างคนอารมณ์ดีเกินเหตุ ดวงตาสีฟ้ากลอกไปทางเธอมากกว่าทิวทัศน์ ภาษาหรูที่เขาชอบค่อย ๆ ล้นริมฝีปาก
“คุณรู้ไหม ฝรั่งเศสทำให้คนธรรมดากลายเป็นกวี ส่วนกวีกลายเป็นนักรักและผมเป็นทั้งสองอย่างอยู่แล้ว จึง—”
ยังไม่ทันจะพูดจบหมอนอิงสีคาราเมลลอยฟิ้วชนหน้าผากเลสเตอร์อย่างจัง ตัวการก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นข้าง ๆ เลสเตอร์ โมนีก้าหัวเราะเสียงใส “คุณกำลังจะจัดคอนเสิร์ตจีบฉันกลางทางหรือคะ คุณกวี ช่วยเป็นนักท่องเที่ยวดี ๆ สักชั่วโมงนะคะ” น้ำเสียงสุภาพและน่ารักเสียจนเลสเตอร์ยอมยิ้มแพ้แบบภูมิใจ “ก็ได้ ก็ได้ แต่ขออนุญาตชมนิดเดียว…วันนี้คุณสวยเหมือนทุ่งลาเวนเดอร์ที่กำลังสะพรั่งดอกเลย”
“รับไว้ก็ได้ ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มตาหยีแล้วเอนหัวกับกระจก ปล่อยถนนกับภูเขาเล็ก ๆ พาเวลาไหลเร็วขึ้นกว่าปกติ
สามชั่วโมงละลายหายไปกับเงาสนและผาหินสีแดงอมม่วง รถเลี้ยวเข้าสู่เนินป่าที่ป้ายเขียนว่า Massif des Maures อากาศเปลี่ยนเป็นหอมเฝื่อนของโรสแมรี่ ไธม์ และกิ่งคอร์กโอ๊กที่แตกเปลือกเป็นริ้วสวยงาม พื้นป่าปูด้วยใบเกาลัดแห้ง กิ่งสนโยกตามลมจนเงาเป็นลายระย้าบนดิน ทั้งสองลงจากรถพร้อมกัน
เลสเตอร์สูดหายใจยาวเหมือนจะกลั่นสายลมให้เป็นทำนอง ใบหน้าเขาอ่อนลงอย่างคนเจอเวทีที่คุ้นเคย โมนีก้าดึงเบลเซอร์เข้าที่ ใบหน้าโรยเมื่อวานถูกลบด้วยตาเทาเงินที่เป็นประกายเมื่อเห็นดอกไม้ป่าเล็ก ๆ ริมทาง “สวยจังค่ะ” เธอก้มแตะกลีบเล็กด้วยปลายนิ้ว “แล้วคริสตัลแห่งเสียงก้อง…เราจะไปหาที่ไหนต่อคะ” เลสเตอร์ยักไหล่แบบคนรู้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ “ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ตามผมมา” เขาพูดง่าย ๆ ทว่าปลายนิ้วกลับแตะสายคันธนูอย่างเผลอตัว เหมือนฟังอะไรที่คนอื่นไม่ได้ยิน
พอเท้าลงบนทางดินแคบ ความเงียบของป่าก็ชัดเจนจนได้ยินเสียงจิ้งหรีดฝรั่งเศสร้องถี่ ๆ และเสียงลูกสนกลิ้งตกเนินทีละเม็ด เลสเตอร์เดินช้าลง คิ้วขมวดเล็กน้อยราวกำลังจูนเครื่องดนตรีให้ตรงคีย์ “มีอะไรหรือหรอ” โมนีก้าถามนุ่ม ๆ พลางก้าวเท้าเท่าจังหวะเขา “เสียงก้องน่ะ” เขาตอบสั้น มือแตะสายคันธนูเบา ๆ สายสั่นเองเหมือนบันไดเสียงที่ถูกปลุกให้ตื่น “บริเวณนี้สะท้อนโน้ตอา ได้ยาวผิดปกติเหมือนมีโพรงหินด้านล่าง…หรืออะไรบางอย่างที่ชอบเก็บเสียงไว้” โมนีก้าพยักหน้าอย่างวางใจ “งั้นก็นำทางได้เลยค่ะ” เธอยิ้มอ่อนหวาน
ทางป่าพาไปตามสันเขาเตี้ย ลอดซุ้มกิ่งคอร์กโอ๊กที่แตกเปลือกเป็นลวดลายเหมือนหนังสัตว์โบราณ ข้ามลำธารเล็กที่น้ำใสจนเห็นกรวดสีชมพูจาง ๆ เลสเตอร์หยุดเป็นระยะ เอียงหูหาแรงสั่นแผ่ว ๆ ในอากาศแล้วเปลี่ยนทิศเดินอย่างมั่นใจขึ้นทุกครั้ง โมนีก้าก้าวตามอย่างคล่องแคล่วรวบผมทัดหูเวลาลมพัดแรงและเผลอฮัมทำนองเบา ๆ ให้เข้ากับเสียงใบสนเสียดกัน เธอหยิบขวดน้ำยื่นให้เขาเมื่อเห็นริมฝีปากแห้ง
ลึกเข้าไปอีกเล็กน้อย ป่าเปิดเป็นลานกรวดรูปวงรี มีก้อนหินตั้งเป็นแผงคล้ายฉากเวทีธรรมชาติ ผิวหินมีเส้นแร่ควอทซ์พาดผ่านซึ่งยามแดดส่องทำให้เกิดประกายจาง ๆ เลสเตอร์หยุดสนิท ยกคันธนูแนบอกแล้วดีดสายเบามากจนแทบไม่ได้ยิน เสียง “ติง” เล็กน้อยลอยไปกระทบหน้าหิน แล้วกลับมาเป็น “ติงงงง” ยืดยาวผิดธรรมชาติ เหมือนหินทั้งแผงช่วยร้องประสาน
เสียงป่าที่โอบรอบพวกเขาเริ่มเปลี่ยนจากความสงบเป็นท่วงทำนองบางเบา ลมพัดไหวราวกับมีใครกำลังเอื้อนเอ่ย โมนีก้าหยุดกลางทาง เธอเงยหน้าขึ้นราวกับได้ยินเสียงเรียกที่คนอื่นไม่อาจรับรู้ได้ กลีบดอกไม้ตามพุ่มไม้สั่นไหวเบา ๆ ไปในทิศทางเดียวกัน เสียงกระซิบจากสายลมชัดขึ้นจนเธอรู้แน่ …ทางนั้น…อย่าไปอีกทาง… เสียงนั้นเหมือนทำนองเพลงเก่าแก่ของผืนดินที่คุ้นเคยในสายเลือดเธอ ธิดาแห่งเซเรสที่เกิดมาพร้อมความผูกพันต่อทุกสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ
“เลสเตอร์ ฉันว่าตรงนั้นน่าจะเป็นกลลวงค่ะ” เธอหันมาพูดด้วยเสียงนุ่มแต่มั่นคง ดวงตาเทาเงินส่องประกายอย่างรู้แจ้ง “ตามฉันมาดีกว่าค่ะ ฉันได้ยินเสียงของป่า มันบอกให้เราไปทางนี้”
เลสเตอร์ยกคิ้วขำ “เสียงของป่าเหรอครับ หรือเสียงหัวใจของคุณเองกันแน่?” เขาแซวอย่างเคยแต่ก็เดินตามมาโดยไม่ลังเล เพราะเขาเองก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างในอากาศกำลังเต้นรับจังหวะกับพลังบางอย่างในตัวเธอ โมนีก้าอมยิ้มบางจากคำของเลสเตอร์ “ทางนี้ค่ะ ฉันมั่นใจ” เธอพูดอย่างสุภาพแล้วเดินนำไปข้างหน้า พลังของเสียงกระซิบแห่งพงไพรในตัวเริ่มนำพาเธอสู่เส้นทางใหม่ เส้นทางที่ใบไม้พลิ้วรับเหมือนต้อนรับเจ้าของแท้จริง
เมื่อทั้งสองเดินลึกเข้าไป เสียงธรรมชาติรอบข้างก็ค่อย ๆ เปลี่ยน ความเขียวเข้มของพืชพรรณกลายเป็นเฉดสีสดใส ดอกไม้พันธุ์แปลกตาเริ่มปรากฏรายล้อมพวกเขา ดอกไฮยาซินธ์หลายสีโยกตามลมส่งกลิ่นหอมละมุนคล้ายคำทักทาย ต้นไซเปรสสูงตระหง่านเปล่งกลิ่นยางไม้จาง ๆ แทรกอยู่ในอากาศ กลิ่นสนไซเปรสหอมเย็นตัดกับกลิ่นหวานของดอกกุหลาบที่เบ่งบานอยู่ข้างพุ่มไม้ใหญ่แอนนีโมนีผลิบานรอบโคนไม้ราวกับมีใครจัดไว้ ดอกทานตะวันทั้งกลุ่มหันหน้าไปทางเลสเตอร์พร้อมกันราวกับรู้ดีว่าดวงอาทิตย์ที่แท้จริงอยู่เบื้องหน้า “อืม…นี่สิ สวรรค์ของกวีอย่างผม” เลสเตอร์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เต็มไปด้วยตำนาน ทั้งไฮยาซินธ์แห่งความเศร้า ทานตะวันแห่งการเฝ้ามอง แต่ถ้ามีลอเรลอยู่ด้วยล่ะก็—”
เลสเตอร์หยุดมองอย่างตะลึง เสียงเขาเบาแต่แฝงความขื่น “ต้นลอเรล…” ดวงตาสีฟ้าเงียบไปเสี้ยววินาที เหมือนระลึกถึงบางสิ่งในอดีต ยังไม่ทันพูดจบ ดวงตาของเขาก็เหลือบไปเห็นต้นลอเรลต้นใหญ่กลางลาน มันแผ่กิ่งก้านเขียวชอุ่มงดงามจนเหมือนฉากฝัน แต่ก่อนที่โมนีก้าจะได้พูดอะไร รากไม้จากพื้นดินก็พุ่งขึ้นมาพันขาทั้งสองข้างของเลสเตอร์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเลื้อยขึ้นรัดลำตัวจนแน่น เขาถูกยกขึ้นค้างกลางอากาศ
“เลสเตอร์!” โมนีก้าเรียกตกใจ เธอก้าวเข้าไปแต่ลมแรงวูบหนึ่งพัดสวนจนต้องยกแขนบังหน้า
“เฮ้! อะไรกันเนี่ย โอ้!? ไม่เอาน่า!” เสียงของเขาหลุดตะโกนแต่ยังไม่ทันดึงลูกศร รากไม้ก็พันข้อมือแน่นจนขยับไม่ได้

จากหลังต้นลอเรล ร่างสตรีรูปงามก้าวออกมาช้า ๆ ผิวของนางเป็นสีเขียวอ่อนเรืองในแสงอาทิตย์ ผมยาวเป็นเส้นเถาวัลย์แซมดอกไม้ป่าที่กำลังบาน ดวงตาสีมรกตส่องประกายแข็งกร้าวเหมือนประกายมีดที่ฝังอยู่ใต้ความเศร้า “เจ้ามาที่นี่ทำไม อะพอลโล!” เสียงนางดังดังก้องสะท้อนในต้นไม้ทุกต้นทั้งดอกไม้รอบกายต่างเอนไปตามแรงโทสะของนาง
เลสเตอร์ชะงักงัน เหงื่อเย็นซึมที่ขมับ เขาเงยหน้ามองหญิงผู้นั้น ดวงตาแฝงความรู้สึกซับซ้อน “เมเลีย…” เขาเรียกชื่อของนางออกมาอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงปนความตกใจและรู้สึกผิดในคราวเดียว โมนีก้าที่กำลังยืนอยู่นั้นเบิกตา เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่รับรู้ได้ถึงพลังโทสะที่รุนแรงจนน่ากลัวและมันแฝงความเศร้าจนโมนีก้าอยากร้องไห้
“เจ้ามีหน้ามาเหยียบที่นี่อีกหรือ อะพอลโลผู้น่ารังเกียจ!” เมเลียตะโกน เสียงนางสั่นเครือแต่ดังก้องด้วยความเจ็บ “เจ้าผู้ที่พรากสหายรักของข้าไปตลอดกาล! สหายของข้าผู้ซึ่งเคยหัวเราะใต้เงาไม้ กลายเป็นต้นไม้เย็นชาที่ไม่มีวันโอบกอดใครได้อีก เพราะเจ้าคนเดียว!”
ลมแรงพัดผ่านอีกครั้ง ใบไม้ปลิวว่อน รากไม้รัดแน่นขึ้นจนเลสเตอร์กัดฟันแน่น แต่เขาไม่ตอบโต้อะไรเพราะตอนนี้เขากำลังจุกอกจากความรู้สึกที่หวนคืนกลับมา “ผม…ผมไม่ได้ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น”
“เจ้าโป้ปด!” เมเลียตวาดเสียงดังมือนางยกขึ้นจนรากไม้บนพื้นสั่นสะเทือนคล้ายจะพุ่งใส่เขาอีก
โมนีก้าที่เห็นดังนั้นจึงรีบยกมือขึ้นห้าม “โปรดหยุดก่อนค่ะ!” เสียงเธอนุ่มแต่หนักแน่น ดอกไม้รอบตัวพลันเริ่มบานตามแรงของพลังเซเรสที่หลั่งออกโดยไม่ตั้งใจ “เรามาโดยไม่รู้เรื่องราวระหว่างท่านกับเขา แต่ฉันขอให้ท่านฟัง…สักนิดเถอะค่ะ” เมเลียหันมามองโมนีก้า ดวงตาสีมรกตฉายแววเบิกกว้างแล้วลังเลครู่หนึ่ง “เจ้าเป็นใคร ถึงกล้าขอให้ข้าฟัง?”
“โมนีก้า เอ็ม. บลอสซัม ธิดาแห่งเซเรสค่ะ” เธอค้อมศีรษะอย่างอ่อนน้อม “ฉันไม่ได้มาเพื่อรุกรานนะคะ แต่เพื่อขอคริสตัลแห่งเสียงก้องที่สถิตในผืนป่าแห่งนี้” เมเลียชะงักเล็กน้อย สายตาเปลี่ยนจากกร้าวเป็นระวังปนโหยหา “ลูกแห่งเซเรส…” นางพึมพำเบา ๆ “ข้าได้กลิ่นของผืนดินในตัวเจ้า…และกลิ่นของความบริสุทธิ์ที่คล้ายกับของดาฟนี…” ทันทีที่ได้ยินคำนั้นเลสเตอร์หลับตาแน่น ราวกับทุกคำที่เมเลียพูดคือหอกทิ่มซ้ำในใจ
เมเลียยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาสีมรกตฉายแววทั้งโกรธแค้นและเศร้าลึกในคราวเดียวกัน ก่อนที่นางจะค่อย ๆ เดินเข้ามาหาโมนีก้าอย่างช้า ๆ กลิ่นดินเปียกและกลิ่นไม้หอมระเหยแผ่วคลุ้งไปทั่วบรรยากาศ ร่างของดรายแอดผู้งามนั้นสั่นไหวราวกับต้นไม้ในฤดูฝน นางยื่นมือบางสีเขียวซีดแต่งดงามขึ้นมาสัมผัสแก้มของโมนีก้าเบา ๆ นิ้วเรียวเย็นเฉียบแต่สัมผัสนั้นกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ขมขื่น
“เจ้าช่างเหมือน…แต่ไม่ใช่” เสียงนางสั่นพร่า “สหายของข้า…ข้าคือเมเลีย ดรายแอดที่สิงอยู่ในป่านี้ ส่วนสหายของข้า…คือดาฟนี” นางพูดพลางหลุบตา ดวงตาเอ่อคลอด้วยน้ำใส “นางเป็นดรายแอดที่งดงามที่สุดในหมู่เรา ผิวของนางสีอ่อนจนแสงอาทิตย์ยังไม่กล้าทำร้าย ดวงตาสีเขียวเข้มดั่งหยกน้ำผึ้ง ร่างของนางผอมเพรียว รอยยิ้มของนางบริสุทธิ์และอบอุ่นนัก…จมูกเล็กเบี้ยวนิด ๆ ทำให้ทุกครั้งที่หัวเราะ ข้าจะเผลอยิ้มตามทุกครั้ง…”
เมเลียสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ น้ำเสียงของนางเริ่มสั่นสะท้าย “และที่สำคัญนางมีกลิ่นของดอกไลแลค…กลิ่นเดียวกับเจ้าทุกประการ”
โมนีก้าไม่ขยับตัวไปไหน เพียงยืนนิ่งให้สัมผัสนั้นแตะอยู่บนแก้ม ความอ่อนโยนของเมเลียข้างนอกช่างขัดกับพลังแห่งความโศกที่ซ่อนอยู่ข้างใน “นางเหมือนเจ้านัก หากดาฟนียังอยู่…คงได้หัวเราะ ยิ้ม และร่าเริงเช่นเจ้า” เมเลียเอ่ยเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความคิดถึง ดวงตาที่จ้องโมนีก้าในตอนนี้ดูคล้ายจะเห็นภาพเพื่อนรักซ้อนอยู่ตรงหน้า ทว่าเมื่อเอ่ยถึงชื่อนั้น น้ำเสียงของนางกลับเปลี่ยนเป็นกร้าวกระด้างทันที “แต่เพราะเทพองค์หนึ่ง เทพผู้หยิ่งยโส มักง่าย และเห็นความงามเป็นเพียงของเล่นสหายของข้าถึงได้ไม่มีวันหวนกลับคืน!”
เมเลียเบนสายตาไปที่เลสเตอร์ ดวงตาเปล่งแสงสีเขียวมรกตเจือความโกรธข้นคลั่ก “ดูสิ อะพอลโล!” นางตวาด รากไม้รอบพื้นดินขยับตามแรงของอารมณ์ “มองไปรอบตัวเจ้าสิ ทุกสิ่งที่อยู่ตรงนี้คือโศกนาฏกรรมที่เจ้าสร้างไว้กับมือ!” เสียงของนางดังสะท้อนจนแม้แต่ลมหายใจก็หนักอึ้ง “เจ้าทำให้ธรรมชาติหวาดกลัว เจ้าทำให้พงไพรต้องร้องไห้ เจ้ามันเทพชั่วที่ถือดีและทิฐิ!”
รากไม้บางส่วนพุ่งขึ้นมาจากพื้น เสียงดังกึกเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางดิน นางก้าวเข้าหาเลสเตอร์ช้า ๆ พร้อมเสียงพูดที่แหลมคมแต่เจือด้วยความเจ็บปวด “บอกข้าสิ! ในชีวิตของเจ้าที่ผ่านมานี้มีรักใดบ้างที่สมหวังเพราะเจ้า!” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยทั้งคำสาปแช่งและความเสียใจในคราวเดียว ท้องฟ้าเหนือยอดไม้เหมือนหม่นลงราวกับร่วมโศกกับนางเอง ทั้งผืนป่าราวกับกำลังหยุดหายใจเพื่อรอฟังคำตอบจากปากของอะพอลโลที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแสงสว่างแห่งสวรรค์ แต่ในสายตาของเมเลีย เขากลับเป็นเพียงเปลวเพลิงที่เผาผลาญหัวใจของผู้บริสุทธิ์ให้มอดไหม้จนไม่เหลือซากแม้แต่ธุลีดิน
เลสเตอร์อ้าปากเหมือนจะพูด แต่เสียงติดคอรากไม้ที่รัดแน่นทำให้หน้าอกเขาเพียงสะท้อนลมหายใจสั้นถี่ เมเลียแลมองด้วยแววเย็นชา “ตอนนี้เจ้าเป็นแค่มนุษย์สินะ โดนรัดเท่านี้ก็เอ่ยคำแก้ต่างไม่ได้แล้ว” นางปล่อยคำพูดคมกริบ ก่อนจะหันมาทางโมนีก้า “แล้วเจ้าเล่า ธิดาแห่งเซเรส เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีโศกนาฏกรรมใดบ้างที่ชายผู้นี้เป็นผู้ก่อ”

นางก้าวผ่านกลุ่มดอกไม้ แล้วผายมือไปทางไฮยาซินธ์สีม่วง น้ำเงิน และชมพูที่บานพราวงดงาม “จงดูดอกไม้นี้สัญลักษณ์ของรักที่ไม่สมหวังและของน้ำตาที่แห้งไม่เป็น” เสียงเมเลียชัดจนพงไพรเงียบตาม “เมื่อครั้งนั้น เทพแห่งลมตะวันตก เซฟีรัส หึงหวงไฮยาซินทัสกับอะพอลโล เขาเป่าแรงลมบิดวิถีจักรที่เจ้าปาเล่นกับคนรัก จักรแตกกระแทกขมับไหล่เขาทรุดและเขาก็ตายในอ้อมแขนเจ้า เจ้าร้องไห้เท่าไร ก็ชุบชีวิตเขาคืนไม่ได้ เลือดของเขาจึงกลายเป็นดอกไม้นี้ ไฮยาซินธ์ แห่งรักที่ถูกพรากและเสียงสะอื้นที่ไม่มีวันจบ”
นางเดินต่อไปยังพุ่มสนไซเปรสอวบน้ำมัน กลิ่นยางขมเฝื่อนแทรกอากาศ “แล้วต้นเหล่านี้เล่า ไซเปรส ต้นไม้แห่งความโศกศัลย์ เจ้าเห็นหรือไม่” นิ้วเรียวยกชี้ไปรอบ ๆ “ไซพาริสซัส…เด็กหนุ่มที่ฆ่ากวางศักดิ์สิทธิ์โดยพลั้ง เศร้าจนไม่อยากอยู่ เขาวอนขอเจ้าอะพอลโล ให้เขาได้ร้องไห้ไปชั่วกาล เจ้า ‘เมตตา’ เขาด้วยการเปลี่ยนเป็นต้นไม้ รากจมลึก น้ำยางกลายเป็นน้ำตาที่ไม่มีวันแห้ง นั่นคือความกรุณาของแสงอาทิตย์ในแบบของเจ้าใช่หรือไม่”
เมเลียไม่รอคำตอบ นางเบนไปยังวงทานตะวันซึ่งพร้อมใจกันเงยหน้ามองเลสเตอร์ “แล้วนี่เล่า เจ้าจำได้ไหม ไคลที นางไม้ผู้รักเจ้าจนหลงเสียสติ เจ้ากลับเล่นสนุกกับเธอ แล้วก็ยังแอบหลงรักลิวโคเธีย ธิดากษัตริย์ออร์คามัส เจ้าซ่อน…ไม่อาจปกป้องใครได้ทันเวลา ลิวโคเธียถูกฝัง นางกลายเป็นต้นกำยาน ให้กลิ่นหอมติดตัวเจ้าไปชั่วชีพ ส่วนไคลทีกลายเป็นเพียงดอกทานตะวัน ผู้ทำได้แค่นั่งเงยหน้าตามดวงอาทิตย์ทุกวันราวกับยังคงเฝ้ามองเจ้าอย่างไร้หนทางอื่น”
นางช้อนสายตาคมไปตรึงร่างที่ถูกพันธนาการ “และข้ายังไม่เริ่มนับหนี้เลือดอื่น ๆ เลย เจ้าหญิงแห่งเธสซาลี ผู้อุ้มท้องแอสคลีปิอัส โคโรนิสที่ถูกความหึงและความโกรธของเจ้าพัดพาไปจนเหลือเพียงเถ้าถ่านก่อนเจ้า ‘จะเมตตา’ ดึงทารกออกจากกองไฟ” ครั้นเอ่ยถึงอีกนาม นางก็หันไปทางกลีบกุหลาบที่ไหวระริก “ธิดาแห่งกรุงทรอย แคสซานดรา เจ้ามอบของขวัญเป็นคำพยากรณ์ แล้วเมื่อหล่อนปฏิเสธเจ้า เจ้าก็สาปให้ไม่มีผู้ใดเชื่อคำพูดของเธอ ปล่อยให้เมืองทั้งเมืองเดินไปสู่หายนะในเสียงร้องที่ไม่มีใครฟัง”
เมเลียยืดกายตรง ดวงตาเขียวดั่งหยกสะท้อนร่างอะพอลโลในเงา “นี่คือสวนดอกไม้ของเจ้าจริง ๆ อะพอลโล สวนที่ผลิบานด้วยความรักแตกสลายและคำสาปของเจ้า มองรอบ ๆ แล้วตอบข้ามามีรักใดบ้างที่สมหวังเพราะเจ้า!”
รากไม้กระชับแน่นขึ้นชั่ววูบ เลสเตอร์หอบสั้น ๆ แต่ยังเอื้อนคำไม่ได้ โมนีก้ายืนนิ่ง สายตาเทาเงินมองเมเลียด้วยความรู้สึกประหลาด กลิ่นไลแลคจาง ๆ จากตัวเธอลอยซึมเข้าระหว่างคำกล่าวหาอันยาวนานของดรายแอดผู้โศก ซึ่งครั้งนี้ทั้งป่าเหมือนร่วมเป็นสักขีพยาน
เมเลียยังกึ่งทรมานทั้งตนเองและทุกสิ่งในลานไม้ นางขยับกายอย่างเชื่องช้าไปยังต้นลอเรนใหญ่ กรีดปลายนิ้วแตะผิวเปลือกเรียบเย็นราวลูบหลังสหายที่กลับมาในร่างใหม่ แสงอ่อนลอดใบหนาทอเงาไหวบนแก้มสีหยกของนาง ก่อนเมเลียจะเอ่ยกับโมนีก้าด้วยเสียงที่ทั้งอ่อนโยนและบาดลึก “เจ้าเห็นหรือไม่…กับสิ่งที่เทพผู้นี้ทำ” สายตานางเลื่อนไปยังเลสเตอร์ชั่ววาบ แล้วหวนกลับมาจับจ้องหญิงสาวผู้มีกลิ่นไลแลค “และสิ่งที่โหดร้ายที่สุด…เกิดขึ้นกับสหายข้า”
ปลายนิ้วของเมเลียกดแนบลอเรนแน่นขึ้นน้อย ๆ ดั่งยึดเหนี่ยวหัวใจที่แตกเป็นเสี่ยง “ผู้คนเล่าตำนาน แต่ความจริงหาได้เริ่มจากความรักอันแท้ของอะพอลโลไม่ หากเริ่มจากความถือดีและทิฐิของเขา เมื่อเขาไปเยาะเย้ยเทพแห่งศรรัก…อีรอสจึงยิงลูกศรลงทัณฑ์ใส่เขา” เสียงนางต่ำลึกและหนักจนใบไม้โดยรอบเหมือนก้มศีรษะ “ครานั้น อะพอลโลไล่ล่าสหายข้า เขาไม่เคยมองนางในฐานะสตรีผู้มีสิทธิ์เลือกจะรักหรือมิรัก หากมองเป็นเพียง ‘รางวัลแห่งชัยชนะ’ ที่เขาต้องครอบครองเพื่อพิสูจน์ความเหนือกว่าของตน เหนืออีรอส เหนือคำพยากรณ์ใด ๆ ที่เขาเชื่อว่าตนเที่ยงตรงกว่า”
เมเลียหันดวงตาสีมรกตขวับพุ่งแทงเลสเตอร์ทั้งน้ำตา ทั้งโทสะ ทั้งความทรมาน “เขาตามล่าสหายข้า ดาฟนีของข้า นางต้องเสียสละทุกอย่างเพื่อเป็นอิสระจากเขา จนกลายเป็นต้นลอเรนที่งดงามนี้!” เสียงนางสั่นสะเทือนเหมือนรากทั้งผืนป่าไหวกระเพื่อม
“แต่แล้วเทพองค์นี้…มันกลับบังอาจ! นำโศกนาฏกรรมนั้นขึ้นเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศของตนเอง สวมดวงลอเรนบนเกศา เหมือนชูถ้วยชัย โดยไม่เคยนึกถึงความเจ็บปวดของดาฟนี ผู้ถูกถอนรากถอนโดนจากการเป็นนางไม้ไปตลอดกาล!” คำสุดท้ายหอบหวิวเหมือนลมหายใจของพงไพรขาดช่วง เมเลียทรุดลงคุกเข่าตรงโคนลอเรน มือทั้งสองกอดลำต้นไว้แน่นจนเล็บจิกเปลือกไม้ น้ำตาใสไหลพรั่งพรูจากหางตาไล้ลงแก้มสีหยก ร่วงหยดสู่ดินเป็นวงคลื่นเล็ก ๆ
ลมหายใจของป่าหนักอึ้งราวแบกรอยบาปของอดีตกาล เลสเตอร์ยกหน้าขึ้นทั้งที่รากไม้ยังรัดอกแน่น เขาพยายามเปล่งเสียง เสียงแตกพร่าแต่คมชัดพอจะแทงใจทุกผู้ฟัง
“เมเลีย… หยุดก่อน… โปรดฟังผมก่อน เจ้าพูดถูก ถูกทุกอย่างที่คุณพูดมามันคือความจริง ผมเป็นเทพเจ้าที่หยิ่งยะโสเกินกว่าจะยอมรับความผิดของตัวเอง ผมเห็นดาฟนีเป็นเพียงรางวัลและเป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งชัยชนะเหนืออีรอส ผมตามล่าเธอจนกระทั่ง… ผมทำลายเธอ ผม… ผมขอโทษ… ผมขอโทษในสิ่งที่ผมได้ทำกับเธอ” ลมหอบหนึ่งสะดุดในลำคอ เขาฝืนเปล่งต่อ
“เจ้าถามว่ารักใดบ้างที่สมหวังเพราะผม คำตอบคือไม่มีเลย ผมไม่สามารถให้ชีวิตกับไฮยาซินทัสได้… ผมมอบความเมตตาที่ผิด ๆ ให้กับไซพาริสซัส… ผมทำลายโคโรนิสด้วยความหึงหวงที่ไร้สติ… ผมสาปแคสซานดราด้วยความถือดีและไม่เคยกลับไปแก้ไขมัน ผมเปลี่ยนความรักให้กลายเป็นความตายและคำสาป นั่นคือสิ่งที่ผมทำ” เขากัดฟันเอ่ยพูดต่อแม้ตอนนี้ริมขอบตาของเขาจะเริ่มแดงเหมือนจะร้องไห้เขาทุกที
“ผม… ผมเกลียดที่ผมต้องพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าโมนีก้า ผมเกลียดที่เธอต้องเห็นความบกพร่องและ ประวัติศาสตร์อันน่ารังเกียจของผม เมเลีย… คุณกำลังสอนบทเรียนที่ผมควรเรียนรู้เมื่อหลายพันปีก่อน ผมยอมรับการลงโทษนี้ ผมสมควรได้รับความเจ็บปวดนี้ แต่ผมอ้อนวอนอย่าทำให้โมนีก้าต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของผม ผมจะไม่แก้ตัว ผมกำลังเปลี่ยนแปลง การเป็นมนุษย์ทำให้ผมได้รู้ว่าการรับผิดชอบนั้นสำคัญกว่าการเป็นที่รัก” เลสเตอร์พูดแล้วสูดลมหายใจเหมือนว่าน้ำตานั้นจะคอลไปที่ดวงตาของเขาแล้ว
“คุณเห็นไหมว่าโมนีก้าคือคนเดียวที่ไม่เคยทอดทิ้งผม เธอคือคนเดียวที่เห็นอกเห็นใจและยอมรับ ผมในสภาพที่น่าสมเพชนี้ ทั้งมีสิว ทั้งอ่อนแอ หน้าตาก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น ผมอาจเคยเป็นพายุที่น่าตื่นเต้น…แต่ผมอยากเป็นบ้านที่มั่นคงให้เธอ”
สิ้นคำของเลสเตอร์เสียงหัวเราะของเมเลียดังสั้นและแหลมเหมือนกิ่งไม้ที่ขูดกับหิน ไม่ใช่เพราะขบขัน หากแต่เพราะไม่เชื่อและปวดร้าวหัวใจ นางปรายตามองชายผู้สารภาพบาป แล้วหันฉับไปหาโมนีก้าที่ยืนด้วยความสับสน ก่อนจะก้าวไปหยุดข้างดอกแอนีโมนีสีซีดที่ไหวระริก “เจ้าได้ยินคำที่เทพผู้นั้นพูดหรือไม่… เจ้าเชื่อเขาหรือไม่ โมนีก้า” ดวงตาสีมรกตจ้องลึก ริมฝีปากเม้มแน่นครู่หนึ่งก่อนค่อยคลายเป็นถ้อยคำคมชัด
“เจ้ารู้ไหม เทพอะพอลโล่มักแสดงความรู้สึกอย่างรุนแรง แต่เขาไม่เคยให้คำสัญญาที่ชัดเจนเลย อะพอลโลรักความงาม… แต่เขาไม่เคยรักความรับผิดชอบที่มากับความรู้สึกนั้น หากเขาเบื่อหน่าย เขาก็จะสาปหรือทอดทิ้งเหล่านางพรายผู้เป็นที่รักไว้เบื้องหลัง ความรักของเขาคือพายุที่น่าตื่นเต้นแต่ไม่ใช่บ้านที่มั่นคง” ปลายเสียงของนางพาดผ่านความทรงจำกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นางกะพริบตาช้า ๆ
“แล้วเหตุการณ์บนดาดฟ้าที่โรมนั้นคืออะไร? เป็นเพียงบทเพลงชั่วคราวของเทพเจ้าก่อนจะหายไป หรือเป็นความรู้สึกที่แท้จริง? เจ้าพร้อมจะเสี่ยงกับความคลุมเครือที่นำมาซึ่งโศกนาฏกรรมเช่นเดียวกับที่ดาฟนีเผชิญหรือไม่” เมเลียยกมือขึ้นจับไหล่โมนีก้าอย่างอ่อนแรง ความสั่นในปลายนิ้วบอกว่าคำเตือนนี้แลกมาด้วยหัวใจ “อย่าเลย… ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องพบเจอกับเรื่องนั้นอีกแล้ว… หากมีอีก… ข้า…ข้าคง” เสียงนางขาดห้วง คล้ายหายใจไม่ทั่วปอด
โมนีก้าชะงักงัน เธอเป็นคนที่ชอบพูดตอบทว่าครั้งนี้คำพูดทั้งหลายเหมือนกลายเป็นหนาม เธอก้มตาลงนิดเดียว รับฟังอย่างเงียบงัน หัวใจบีบรัดเจ็บแปลบอย่างที่ไม่อยากให้ใครเห็น กลิ่นไลแลคบนผิวเธอเหมือนชื้นลงราวกับดูดซับน้ำค้างแห่งความจริง
เมเลียสูดลมหายใจลึกครั้งหนึ่ง ก่อนกล่าวช้า ๆ ชัดทุกพยางค์ ราวตอกตรา “เทพเจ้ารักอย่างเผ็ดร้อนโมนีก้า แต่พวกเขาก็ละเลยอย่างง่ายดายเช่นกัน… เขาอาจจะเสนอดวงดาวให้เจ้า แต่เมื่อความรู้สึกของเขามอดลง เขาก็จะกลับไปสู่ความยิ่งใหญ่ของเขา และเจ้า… เจ้าจะต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลัง พร้อมกับความจริงว่าความผิดพลาดไม่ได้เกิดจากเจ้า แต่เกิดจากความไม่รับผิดชอบของเขาต่อความรักที่เขาสร้างขึ้น”
ลานป่าเงียบงันหลังคำพิพากษานั้น มีเพียงเสียงใบลอเรลเสียดสีกันเบา ๆ ประหนึ่งถอนใจของสหายผู้จากไป เลสเตอร์ก้มหน้า หลับตารับบาดแผลจากถ้อยคำที่ตรงจนเลือดซึม ส่วนโมนีก้าก็ยืนนิ่งดังรากเล็ก ๆ กำลังเลือกว่าจะหยั่งลึกลงในดินแห่งสัจจะ หรือถอยกลับสู่ความปลอดภัยของแสงอันตื้นเขิน
สุดท้ายคำตอบก็ออกมา...
โมนีก้าพ่นลมหายใจเบา ๆ เอ่ยคำสุภาพด้วยน้ำเสียงนุ่มที่ยังมั่นคงและจริงใจ เธอขยับมือแตะหลังมือของเมเลียก่อนจะโอบกอดไว้แน่นพอให้รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ตั้งใจส่งมอบ “ฉันเข้าใจค่ะความเจ็บปวดของท่าน ของดาฟนี ของทุกคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” ดวงตาเทาเงินของเธอเงยขึ้นสบกับดวงตาสีมรกตที่ชื้นด้วยน้ำตา
“แต่ท่านรู้ไหมคะ ฉันเป็นผู้หญิงที่…โง่เอาการอยู่เหมือนกัน เพราะฉันดันเชื่อคำของเลสเตอร์ เชื่อคำของเทพอะพอลโล” เธอหัวเราะแผ่วหนึ่งราวตำหนิตัวเองอย่างเห็นได้ชัดแต่ทว่าก็เลือกที่จะเอ่ยออกไปก่อนพูดชัดถ้อยชัดคำ “ฉันเห็นมาตลอดว่าเขาทำท่าเหมือนดีเลิศเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ แต่ฉันก็เห็นด้วยว่าเขาไม่สมบูรณ์แบบเลยในฐานะเทพ เขาขาดความรับผิดชอบต่อคนรักมามากพอแล้ว ทว่าจุดเริ่มต้นของเรา ที่ฉันยังมีลมหายใจยืนอยู่ตรงนี้ เพราะเขาเป็นคนปกป้องฉันไว้ เขาเชื่อมทางชะตาเรียกฉันมาเพื่อช่วยเพื่อนของเขาและเขาเองเกือบตายเพราะฉันในร่างมนุษย์นั้น”
เธอเบนหน้าน้อย ๆ มองเลสเตอร์ที่ยังถูกพันธนาการด้วยรากไม้ แล้วค่อยกลับมาหาเมเลีย “ฉันเชื่อในการเปลี่ยนแปลงของเขาค่ะ และฉันก็พร้อมจะรับผิดชอบความรู้สึกของเขาในแบบที่เขาไม่เคยรับผิดชอบต่อใครในอดีต ฉันจะสอนเขาให้รู้ว่า การเติบโตหน้าตาเป็นยังไง”
เมเลียมองหน้าเธอเนิ่นนาน แววกร้าวค่อย ๆ สงบลง เหลือเพียงความโศกที่อ่อนแรง “เจ้าอ่อนโยนเหลือเกิน ธิดาแห่งเซเรส เจ้าไม่ได้หลงมัวเมาแต่เจ้ามองเห็น เพราะเขากำลังเปลี่ยนต่อหน้าต่อตาเจ้า” นางพยักหน้าน้อย ๆ คล้ายรับรู้ ก่อนหันข้อมือเรียวกระแสไม้แกว่งวาด กิ่งลอเรลไหวรับ และในความสว่างจาง ๆ ของเรือนใบ กระดาษเก่าขนาดใหญ่พลันปรากฏกลางอากาศ ล่องลอยลงบนแท่นรากไม้ราบเรียบ ปากกาขนนกสีงาช้างตกข้างกันอย่างเงียบงาม ไม่มีหมึกเพราะมันมีเพียงความว่างเปล่าและเสียงป่าที่รอคำตัดสิน
“ถ้าเช่นนั้น” เมเลียเอ่ยเสียงช้าแน่น “เจ้าจงเขียนสัญญาที่จะยื่นให้เทพผู้นี้ สาบานว่าเขาจะไม่ทำผิดซ้ำกับเจ้าเหมือนที่เขาทำกับผู้อื่น เหมือนที่เขาทำกับสหายของข้า และดอกไม้ที่อยู่โดยรอบ” ดวงตามรกตสั่นเมื่อกล่าวชื่อสหายที่จากไป “โมนีก้าจงเขียนมันด้วยเลือดของเจ้าเอง ให้ดิน ผืนป่า เทพีแห่งธรรมชาติและสหายข้าเป็นพยาน”
โมนีก้าสูดลมหายใจเมื่อเห็นเช่นนั้น เธอยกมือซ้ายขึ้นกรีดปลายนิ้วเบา ๆ ด้วยปลายกิ๊บโลหะเล็กจากชายเสื้อ เม็ดเลือดสีแดงนุ่มผุดขึ้น เธอเอียงศีรษะขอโทษต่อป่าในใจ แล้วค่อยจรดเลือดลงบนปลายปากกาขนนก เสียงขนนกครูดบนกระดาษเก่าดังกวาดเบา ๆ ขณะตัวอักษรสีแดงอมน้ำตาลค่อย ๆ เขียนขึ้นทีละบรรทัด ประหนึ่งรากอ่อนกำลังหยั่งลงในดิน
สิ้นการเขียนหมึกเลือดแห้งอย่างรวดเร็ว แต่กลับทิ้งแสงอุ่นสีทองบาง ๆ แล่นไปตามตัวอักษรทีละเส้น กิ่งลอเรลเหนือลานสั่นระริกเหมือนอ่านออกทุกคำ เมเลียก้าวเข้ามา ปลายนิ้วเย็นของนางแตะมุมเอกสาร แววตาอาบลมร้อนของความทรงจำ “สัญญานี้…หนักแน่นพอจะยึดแสงอาทิตย์ให้อยู่กับที่” นางกระซิบพลางผินหน้าไปทางเลสเตอร์ “อะพอลโล เจ้าจะ ‘สาบาน’ ต่อหน้าเรา ต่อหน้าดิน น้ำ ลม ไฟ และชื่อของดาฟนี ว่าจะยอมอยู่ใต้คำมั่นนี้หรือไม่”
รากไม้รอบร่างเลสเตอร์คลายเพียงพอให้เขาขยับคอและไหล่ เขามองตัวอักษรเลือด แต่ละเส้นคือตำนานที่กลับกลายเป็นบ่วงคำสัตย์ เขากลืนน้ำลาย หายใจช้า แล้วเอ่ยชัด “ผม เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส อะพอลโล สาบานต่อผืนป่าว่าจะยึดถือทุกข้อในสัญญานี้ รับทราบข้อสัญญานี้ หากผมละเมิด ขอให้คันศรหนัก เสียงเพลงดับ ลูกศรหลงทิศ และเส้นทางใต้เท้าปิดตาย จนกว่าผมจะชดใช้ครบ” เลสเตอร์กัดปลายนิ้ว ขีดชื่อทับลงใต้ลายมือของโมนีก้า เลือดสองหยดกระทบกันกลางบรรทัด แผ่ประกายสีทองที่ไหลไปตามเส้นใยของกระดาษ แล้วซึมลงสู่รากไม้อย่างช้า ๆ ป่าทั้งผืนหายใจพร้อมกันครั้งหนึ่ง ราวกับตราประทับจากธรรมชาติได้กดลงเรียบร้อย
เมเลียหลับตา สัมผัสแสงอุ่นที่แล่นผ่านเปลือกลอเรล “ข้า เมเลีย ดรายแอดแห่งลอเรล รับสัญญานี้ไว้ใน ณ ต้นกำเนิด ข้าและพงไพรจะเป็นพยาน หากผิดคำสาบาน ป่าจะทวงคืน”
แสงอุ่นลอดร่มใบลอเรลเป็นริ้วบาง ๆ เมื่อเมเลียผินกายกลับมาหาโมนีก้า นางยกมือเรียวขึ้นกุมเหนืออากาศราวกับเด็ดผลแห่งพงไพรออกจากสายลม ก่อนคริสตัลใสสีอำพันอ่อนจะค่อย ๆ ประกอบร่างจากละอองทองกลางฝ่ามือนาง เกล็ดแสงภายในเต้นระริกดังลมหายใจของป่า เมเลียวางคริสตัลแห่งเสียงก้องลงบนฝ่ามือของโมนีก้าอย่างอ่อนโยน ดวงตาสีมรกตเหลือบมองเลสเตอร์ด้วยหางตา สายตานิ่งเย็นที่ประกาศชัดว่าแผลของอดีตยังไม่หายจางไป
ก่อนที่สรรพางค์นางจะค่อย ๆ คลายเป็นเส้นเถาวัลย์ สีเขียวไหลห่มเรือนกิ่งคืนสู่เปลือกลอเรล เศษแสงสีทองแตกระเอียดเป็นฝุ่นละอองซึมเข้าสู่ดิน พงไพรที่เมื่อครู่คลาคล่ำด้วยอารมณ์ก็พลันนิ่งสงบเหมือนสายน้ำกลับเข้าร่องหิน ทุกอย่างคืนสู่สภาวะเดิมราวไม่เคยมีเสียงร้องของอดีตผ่านมาเลย
“เลสเตอร์!” โมนีก้าทิ้งฝีเท้าเบา ๆ พรวดเดียวถึงตัวเขา แขนเรียวโอบเอวชายหนุ่มไว้แน่นพอให้รู้สึกว่าหัวใจสองดวงยังอยู่ใกล้กัน เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตาเทาเงินฉายกังวลและโล่งใจทับซ้อน “เป็นอะไรมากไหม… เราผ่านมันมาได้แล้วใช่ไหม”
เลสเตอร์สบตาเธอ ในนั้นยังมีเงาน้ำหนักของคำสาบานที่เพิ่งตรึงลงบนวิญญาณ แต่ใต้เงาหนักนั้นกลับมีประกายเล็ก ๆ ของความภักดีที่เพิ่งถือกำเนิด ริมฝีปากเขาขยับช้าเสียงทุ้มแผ่วเหมือนเกรงจะทำให้ใบไม้สั่น “การที่คุณต้องแบกรับความผิดพลาดในอดีตของผมไว้บนบ่าคุณ…มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย มันเหมือนเราผูกจิตวิญญาณกันไว้จริง ๆ” เขากลืนน้ำลายเบา ๆ สายตานุ่มลึก “โมนีก้า…คุณคือความเมตตาที่ผมไม่คู่ควร”
มืออุ่นอายค่อย ๆ ยกขึ้นแตะแก้มเธอ นิ้วหัวแม่มือไล้ข้างกระดูกแก้มอย่างทะนุถนอม กลิ่นไลแลคหวานอ่อนลอยชัดขึ้นในระยะประชิด เธอขยับเข้าไปครึ่งก้าว ปลายจมูกแทบจะแตะกันอยู่แล้ว ริมฝีปากของเลสเตอร์โน้มลงมาอย่างระวังราวกลัวทำดอกไม้หักคาก้าน และในห้วงวินาทีที่ความอ่อนโยนกำลัง (ย้ำว่ากำลัง) จะกลายเป็นจุมพิตนั้นเอง
คริสตัลสีอำพันในฝ่ามือโมนีก้าจู่ ๆ ก็เต้นสว่างวาบ ราวทำนองลึกของโลกกระทบกับเสียงสูงของท้องฟ้า ขณะเดียวกันในกระเป๋ากางเกงของเลสเตอร์ก็มีแสงสีทองอีกดวงหนึ่งสาดลอดตะเข็บผ้าออกมา ทั้งสองแสงราวกับได้เห็นกันและกัน ต่างเร่งจังหวะเข้าหากันจนสนามพลังบางอย่างเริ่มสั่นอากาศรอบตัว ใบหญ้าเรียงแถวเอนไปในทิศเดียว กลีบดอกไฮยาซินธ์สะท้อนประกายคล้ายกระจกเงา น้ำในเส้นใบลอเรลไหลย้อนขึ้นเหมือนเวลาถูกเกี่ยวกลับ แสงทั้งสองชูบานเป็นวงสัญลักษณ์ทับซ้อนกลางอากาศ เสียงฮัมต่ำดังก้องจากในอก ราวหัวใจของผืนป่ากับหัวใจของอาทิตย์สอดประสานกันในคีย์เดียวกัน ความอุ่นพุ่งทะลุจากฝ่ามือสู่ลำแขน จากกระเป๋าสู่หน้าอก แล้วเชื่อมเข้ากลางระหว่างสองร่างอย่างแม่นยำ
โลกทั้งผืนหุบลงเป็นจุดเดียว จุดนั้นสว่างจนปลายผมทั้งคู่สะท้อนประกายเงินทองและในฉับพลันต่อมา ละอองทองจำนวนมากก็ระเบิดเงียบ ๆ เหมือนผงดาว สาดโค้งล้อมสองร่างไว้ราวม่านไฟหิ่งห้อย ก่อนที่เงาร่างของโมนีก้าและเลสเตอร์จะถูกดูดหายวับเข้าไปในแกนแสงนั้นราวหยดฝนตกสู่ผิวทะเล ปล่อยให้ลานป่ามีเพียงเสียงใบไม้เสียดสีเบา ๆ และการสั่นไหวหลังคลื่นพลังผ่านไปเหมือนบทเพลงหนึ่งปิดฉากลงเพื่อเปิดทางให้บทต่อไปเริ่มต้น ณ ที่ใดสักแห่งที่คริสตัลทั้งสองต้องการพาไป