อัลบูเคอร์กี — เมืองที่ใหญ่ที่สุดในอาณาเขตรัฐนิวแม็กซิโก หนึ่งในเมืองเก่าแก่ที่ได้รับการก่อตั้งเมื่อปี 1700 กว่า ๆ ซึ่งดำเนินอารยธรรมแบบชนพื้นเมืองอเมริกันที่ผสมผสานกับสเปนและละตินได้อย่างลงตัว นอกจากนี้อัลบูเคอร์กียังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญอีกหลายที่อย่างมหาวิทยาลัยนิวแม็กซิโก ฐานทัพอากาศเคิร์ตแลนด์ ศูนย์ทดลองแห่งชาติซานเดีย อนุสาวรีย์แห่งชาติเปโตรกลิปห์ รวมไปถึงภูเขาซานเดียทางทิศตะวันออกของแม่น้ำริโอแกรนด์ รวมไปถึงเป็นส่วนหนึ่งของถนนสาย 66 ที่โด่งดัง
ดวงตาไพลินสีอ่อนกวาดมองข้อมูลเมืองผ่านโทรศัพท์ในขณะที่เธอกำลังรอให้แมวขาวจรจัดตัวนั้นทำความรู้จักกับเจนนิเฟอร์จนเรียบร้อย — ก็ถือว่าทำได้ไม่เลว มุมปากของเดนิสต้ายกขึ้นด้วยความพึงพอใจ แม้เจนนิเฟอร์จะรู้ว่านั่นไม่ใช่นิก้าที่ร่วมทางกันมาตลอดหลายชั่วโมงแต่เจ้าเด็กนั้นก็เปรียบเสมือนไมตรีที่เธอทิ้งไว้ให้
แต่ว่า
บรื๊น..
เสียงครวญครางของเครื่องยนต์บิ๊กไบค์ขนาดใหญ่ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั่วบริเวณ โดยเฉพาะนาธานและเจนนิเฟอร์ที่อยู่ใกล้กับบิ๊กไบค์ที่แล่นเข้ามาจอดมากที่สุด เจ้าของรถที่ปรากฏตัวพร้อมเสียงดังสะนั่นนั้นคือชายผิวดำหน้าตาคมเข้มที่ปรายตามองแมวจรจัดในอ้อมแขนของเจนนิเฟอร์ก่อนจะผินหน้ามองมาทางต้นไม้ที่เธออาศัยมันเป็นที่หลบซ่อน
ดวงตาของชายแปลกหน้าหรี่ลงก่อนที่มุมปากจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ เสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอที่เปลี่ยนบรรยากาศอบอุ่นให้กลายเป็นหนักอึ้งดังขึ้นในระหว่างที่เดนิสต้าขมวดคิ้วและอาศัยสัญชาตญาณของตัวเองในการประเมินตัวตนของคนตรงหน้า ‘ ไม่ใช่มนุษย์ ’
แม้จะมีความเป็นไปได้มากมายแต่เดนิสต้าก็ยังแน่ใจว่าชายคนนั้นไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา
ไม่นานพอจะให้ตั้งคำถามหรือตอบข้อสงสัย ชายคนนั้นก็บังคับขี่รถแล่นออกไปไม่เหลียวมองกลับมา ปล่อยให้ปุถุชนคนธรรมดาต้องงงกันจนเป็นไก่ตาแตก “ อะไรของเขา ” นาธานพูด และใช่ ถูกต้อง ทั้งที่ไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ แต่ธิดาวีนัสก็ยังเห็นด้วยกับความคิดของเขา คิ้วของเดนิสต้าขมวดเข้าหากันมากขึ้นก่อนจะเค้นหัวเราะอยู่ท่ามกลางความเงียบงันเมื่อนึกวิธีดี ๆ ออก
“ คงจะเป็นพวกคนเครียดจนเสียสตินั่นแหละ ป่ะ เราเข้าไปข้างในกันเถอะ ” เจนนิเฟอร์ตอบสามีได้สมกับที่เป็นตัวเองสุด ๆ หญิงวัยกลางคนกระชับแมวในอ้อมกอดอีกครั้งก่อนจะหันไปยิ้มขำ ๆ ให้สามีที่กำลังถอนหายใจพลางพยักหน้าราวกับว่าเห็นด้วยในการตัดสินใจของภรรยา
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม.. โลกโซเชี่ยลต้องได้รู้เรื่องนี้แน่ ลิ้นเล็ก ๆ ของเดนิสต้าถูกดันให้แลบออกมาอย่างซุกซน เมื่อปลายนิ้วของเธอกำลังทำงานอย่างกระฉับกระเฉงเพื่อกดไปยังไอคอนของโซเชี่ยลแอปที่กำลังโด่งดัง ‘ คนเราก็มีประสบการณ์แปลก ๆ ได้ทั้งนั้น ’ ตรงข้ามกับนาธานและเจนนิเฟอร์ที่ก้าวเข้าไปในร้านอาหาร เดนิสต้าหมุนตัวไปอีกทางพลางก้าวเดินไปตามข้างทางยาว ๆ ที่นำทางเธอไปยังพิพิธภัณฑ์ชื่อดังภายในเมืองอัลบูเคอร์กีที่รวบรวมเส้นทางเกี่ยวกับศิลปะของชนพื้นเมืองมาจัดแสดงไว้ด้วยกันเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กรุ่นใหม่ที่มีใจรักในศิลปะท้องถิ่น
เดิมทีเดนิสต้าไม่ได้ความคิดที่จะเที่ยวเล่นหรือหาความรู้เลยสักนิด แต่คำบอกเล่าของเจนนิเฟอร์เกี่ยวกับความงดงามท่ามกลางสายลมอันแห้งแล้งของอัลบูเคอร์กีรวมไปถึงอารยธรรมที่แม้จะมีอายุน้อยแต่ก็เปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์ของชนพื้นเมืองที่ถูกถ่ายทอดมาตลอดการเดินทางหลายชั่วโมงทำให้สาวสวยขี้สงสัยอย่างเธอต้องดั้นด้นไปให้ถึง
‘ Albuquerque Museum ’ พิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ 2 ชั้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมร้อนแห้งของนิวแม็กซิโกตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นด้วยการผสมผสานพื้นหิน คอนกรีต และกระจกเข้าด้วยกันอย่างงดงาม และแน่นอนว่าต้องซื้อตั๋วรวมไปถึงมีค่าเข้าชม เดนิสต้าสูดหายใจเข้าก่อนจะเดินไปที่เครื่องขายตั๋วออนไลน์เพื่อดูรายละเอียดของนิทรรศการที่สามารถเข้าชมได้ไปในตัว ที่จริงพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีทัวร์ดูบ้านพื้นเมืองแบบโบราณ เดนิสต้าเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นรายละเอียดที่เขียนเอาไว้ ‘ น่าเสียดายที่ยังไม่เปิดในเดือนนี้ ’ เธอคิดพลางส่ายหัวเบา ๆ ด้วยความเสียดาย
ตั๋วเข้าชมนิทรรศการถูกปริ๊นออกมาจากเครื่องด้วยเสียงงืด..งืด.. ของอุปกรณ์ สองนิ้วของเธอคีบกระดาษตั๋วออกมาก่อนจะนำไปยื่นให้พนักงานตรวจคนเข้า และหลังจากนั้นก็คือช่วงเวลาเสพสุข — เรื่องการเดินทางต่อ? ไม่ต้องห่วง เดนิสต้าจองที่นั่งเที่ยวยาวบนรถบัสจากอัลบูเคอร์กีไปจนถึงโอคลาโฮมาที่มีแค่สองรอบต่อวัน โชคดีที่รอบสองสำหรับวันนี้คือตอน 4 ทุ่ม ดังนั้นเธอจึงมีเวลาที่จะเที่ยวเล่นเหลือเฟือ
สิ่งแรกที่ทักทายเมื่อเดนิสต้าก้าวขาเข้าไปภายในตัวอาคารคืออากาศเย็น ๆ จากเครื่องปรับอากาศที่ดึงเธอกลับมาสู่ความหนาวเย็นที่คุ้นเคยเมื่อใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ ธิดาวีนัสลดแว่นกันแดดลงจากดวงตาสีฟ้าอ่อนที่ส่องประกายราวกับมูนสโตนก่อนจะก้าวเดินไปตามโถงกว้าง ภายในพิพิธภัณฑ์เต็มไปด้วยแสงไฟนวลตา ควบคู่ไปกับบรรยากาศเงียบสงบ ที่มีนักท่องเที่ยวเดินเตร็ดเตรอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับแออัด
หญิงสาวก้าวผ่านโซนจัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัย ก่อนจะชะงักยืนมองภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่บนผนังที่ถูกแขวนเอาไว้ราวกับมาสเตอร์พีซชิ้นสำคัญ … ภาพทิวทัศน์ของทะเลทรายยามอาทิตย์ตกสีทองอมส้มไล่ระดับไปจนถึงม่วงเข้มจับตา เดนิสต้าเอนศีรษะเล็กน้อย ปลายนิ้วเนียนขยับขึ้นแตะริมฝีปากนุ่มเบา ๆ ในท่าคิด แม้จะเป็นภาพทิวทัศน์ธรรมดา ๆ ที่มีดีแค่ตรงขนาดและความงดงามมีเอกลักษณ์เมื่อนึกไปว่าภาพนี้อาจจะถูกวาดขึ้นในอดีตที่อุปกรณ์ยังไม่ครบครัน
ทว่าเมื่อคุณอาศัยในโลกที่ขาดกลางคืนมาหลายเดือน
แค่ภาพเสมือนของยามพระอาทิตย์ตกก็ยังทำให้รู้สึกเหงาจับใจ “ อีกนานแค่ไหนถึงจะได้เห็นภาพแบบนี้กับตาอีกกันนะ ” เสียงพึมพัมดังขึ้นเคล้าการถอนหายใจ ไม่มีใครตอบเรื่องนี้ได้ —- ไม่มีใครรู้ว่ารัตติกาลไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหนและจะกลับมาเมื่อไหร่ ได้แต่เฝ้าคอย รอคอย โดยหวังว่าสักวันสิ่งเหล่านั้นจะกลับคืนมา
เสียงรองเท้าเซฟตี้ของเดนิสต้ากระทบลงกับพื้นเบา ๆ ตามการเคลื่อนไหวไปยังโซนถัดไป ที่นี่เป็นพื้นที่จัดแสดงวัตถุโบราณของผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้มาหลายร้อยปี หัตถกรรมของชนพื้นเมือง เครื่องปั้นดินเผาที่มีลวดลายซับซ้อนและเครื่องประดับเงินประดับเทอร์ควอยซ์สะท้อนแสงภายใต้ไฟจัดแสดง ดวงตาของเดนิสต้าหรี่ลงเมื่อมองเห็นของชิ้นหนึ่งที่ถูกจัดแสดงอยู่ภายในตู้กระจก
มันเป็นกำไลข้อมือเส้นหนึ่งที่ทำจากเงินแท้ สลักลวดลายเกลียวคลื่นและมีหินเทอร์ควอยซ์ฝังอยู่ตรงกลางที่ให้ความรู้สึกมีเอกลักษณ์เหมือนเครื่องประดับของยิปซีหรือไม่ก็ชาวโบฮีเมี่ยน แต่ในขณะเดียวกันสีหินที่ฝังอยู่ตรงกลางก็คล้ายคลึงกับสีดวงตาของเธออยู่ไม่น้อยเลย “ สวยจัง… ” ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือถูกเลี้ยงมาแบบไหน สุดท้ายแล้วผู้สืบสายเลือดแห่งเทพีวีนัสก็ยังชื่นชอบสิ่งสวยงาม เดนิสต้าขยับก้าวเข้าใกล้ตู้โชว์อีกครั้ง ก่อนจะยื่นนิ้วไปแตะกระจกที่ครอบของจัดแสดงชิ้นนี้เบา ๆ
แม้จะไม่ใช่นักประวัติศาสตร์แต่เดนิสต้าก็มีวิธีในการชื่นชมความงามของสิ่งต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ สถาปัตยกรรมหรือแม้แต่ท่วงท่าของผู้คนรอบตัว บางทีนี่อาจจะเป็นพรที่เธอได้รับจากสายเลือดของวีนัส— พรที่มีเอกสิทธิ์ในการมองเห็นความงามที่ซ่อนอยู่ในทุกสรรพสิ่งแม้กระทั่งเศษซากแห่งอดีต
เดนิสต้าผละตัวออกจากโซนจัดแสดงเครื่องประดับ เดินไปตามเส้นนำทางโดยสัมผัสได้ถึงสายตาหลายคู่ที่คอยเหลือบมองเธอเป็นระยะ ๆ บ้างก็มองด้วยความชื่นชม บ้างก็สงสัย และบ้างก็ประหม่า ทว่าเดนิสต้าเคยชินกับมันไปแล้ว ชินกับการเป็นจุดสนใจ ชินกับการเป็นเป้าสายตา และบางครั้งก็อาจจะชินกับการถูกตัดสินทั้งที่ยังไม่ทันได้อ้าปาก ด้วยการใช้เวลาชื่นชมนิทรรศการอย่างตั้งใจ ท้ายที่สุดเธอก็เดินมาจนถึงเขตจัดแสดง Nuestra Señora de la Macana รูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่มารีที่ถือกระบองแทนดอกลิลลี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าทางศาสนาในภูมิภาคนี้
ดวงตาคู่งามของธิดาวีนัสจรดอยู่กับรูปปั้นนั้นก่อนจะผ่อนลมหายใจยาว “ ถึงจะไม่ได้เกี่ยวกับแม่ฉันโดยตรง…แต่ก็เป็นตัวแทนของสตรีที่มีพลังและศรัทธา ” —- พระแม่มารี .. ผู้ให้กำเนิดผู้นำทางศาสนาที่แผ่ขยายอำนาจทางความเชื่อไปทั่วโลก ครั้งหนึ่งในตอนที่เดนิสต้ายังไม่รู้ถึงความซับซ้อนของโลก เธอเคยคิดว่าตำนานทั้งหมดนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่า แต่เมื่อเธอค้นพบที่มาของสายเลือดภายในตัว บางครั้งเธอก็เริ่มสงสัยแล้วจริง ๆ ว่าบางทีคนในไบเบิ้ลอาจจะมีตัวตนจริง
ทั้งหมดเลย
ด้วยความคิดที่ฟุ้งซ่าน ความไม่แน่นอนที่อยู่ในใจ หญิงสาวหยุดยืนอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่ ก่อนจะเดินต่อไป สำรวจพิพิธภัณฑ์ราวกับว่าเธอเองก็เป็นหนึ่งในชิ้นงานศิลปะที่เดินอยู่ท่ามกลางสิ่งสวยงามเหล่านี้ ทว่ายังไม่ทันได้เดินออกไปไกล ความรู้สึกแปลกประหลาดก็แล่นผ่าน ราวกับว่าอากาศรอบตัวกำลังสั่นไหวด้วยพลังงานบางอย่าง บางอย่างที่ไม่เข้ากันกับความสงบภายในพิพิธภัณฑ์ แทนที่จะหยุดยืนให้เป็นเป้านิ่ง ไม่ เดนิสต้าแค่ชะลอฝีเท้าเพื่อให้การเคลื่อนไหวช้าลง พลางกวาดสายตามองรอบกายจนกระทั่งเหลือบไปเห็นเงาเล็ก ๆ เงาหนึ่งพุ่งผ่านซอกมุมของห้องจัดแสดง
‘ เด็กเหรอ? อสุรกาย? ที่นี่เลย? ’
ดวงตาคู่งามของจิ้งจอกสาวหรี่ลงอย่างระมัดระวัง เธอเดินตามเงานั้นไปช้า ๆ ผ่านตู้กระจกที่จัดแสดงเครื่องเงินของชนพื้นเมือง ผ่านรูปภาพสีน้ำมันที่แขวนอยู่ตามทางเดิน จนมาหยุดตรงบริเวณที่เงานั้นดูเหมือนจะกำลังซ่อนตัว มือของเธอค่อย ๆ ดึงมีดสั้นสัมฤทธิ์ออกจากฝัก แต่ก็ยังซ่อนอาวุธร้ายไว้ด้านหลังเผื่อว่ามันจะเป็นเพียงความเข้าใจผิดของเธอ
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ผิด
ลมหายใจพรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากของเธอเมื่อที่อยู่ตรงหน้าคือหนูมีหนาม(?)ยืนสองขาทำท่าทำทางเหมือนคนแก่หลังค่อมที่ขี้โมโหและเป็นจอมโวยวาย ‘ บางทีนี่คงเป็นชูปาคาบรา ’ ทันทีที่ระบุตัวตนของอสุรกายได้ ธิดาวีนัสขมวดคิ้วพลางปรายตาสิ่งมีชีวิตอัปลักษณ์นี้ด้วยความเย้ยหยัน ผิวของมันขรุขระเหมือนเปลือกไม้ ใบหน้าคล้ายมนุษย์แต่มีจมูกแบนกว้าง ดวงตากลมโตสีดำเป็นประกายเหมือนสัตว์ป่า มือเล็ก ๆ เหมือนพวกหนูแต่เล็บกลับยาวแหลมเหมือนกริช
มันกำลังกระดิกหูฟังเสียงรอบข้าง พยายามขยับไปมาเพื่อหลบหลังตู้โชว์และทำตัวให้แนบเนียน
แต่ก็ไม่พ้นไปจากสายตาของเดนิสต้า
ธิดาวีนัสไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด โดยเฉพาะกับอสุรกายที่เหมือนหนูแก่ไร้เรี่ยวแรง เธอก้าวเข้าไปใกล้พร้อมพูดเสียงเบา “ จะหนีก็รีบหนีไปซะ ก่อนที่ฉันจะ— ” แต่ไม่ทันที่เธอจะได้พูดจนจบประโยค ชูปาคาบราเจ้าปัญหาตัวนั้นก็ส่งเสียงแหลมต่ำก่อนจะกระโจนออกมา มันพุ่งไปที่ตู้โชว์ซึ่งอยู่อีกฟาก กลางมือออกคล้ายตั้งใจจะโจมตีตู้ให้แตกแล้วขโมยของด้านใน
ดวงตาของเดนิสต้าเบิกตากว้าง เสี้ยววินาทีหนึ่งก็ยังดูช้าเกินไปเหมือนเธอพยายามหันตามการเคลื่อนไหวของมัน ‘ ไม่ได้! ถ้ามันทำลายของพวกนี้พิพิธภัณฑ์คงวุ่นวายอีกแน่ ’ ร่างเพรียวบางของสมาชิกกองร้อยหนึ่งจากค่ายจูปิเตอร์ตอบสนองด้วยสัญชาตญาณเธอพุ่งไปขวางเส้นทางของมันพร้อมสะบัดมือข้างที่กำมีดสั้นออกมาตรงหน้าจนเกิดเป็นประกายสีเงินเมื่อคมของอาวุธกระทบลงกับแสงอาทิตย์จากทางหน้าต่าง
แสงนั้นสาดกระทบเข้ากับดวงตาของชูปาคาบรา จนมันชะงัก เปิดโอกาสให้เดนิสต้าวาดขาเตะเข้าจัง ๆ กลางลำตัวของมัน จนร่างกระจ้อยของอสุรกายกระเด็นกระดอนกลิ้งไปกับพื้นเสียงดัง “ แค๊ก! ” ก็ดูน่าสงสารอยู่หรอก บางทีเธออาจจะปล่อยมันไป .. ถ้าไม่ใช่ว่ามันดุร้ายจนน่ากังวล เดนิสต้าไม่ปล่อยให้มันตั้งตัวได้ง่าย ๆ “ ขอโทษด้วยนะ แต่ฉันต้องทำให้แน่ใจว่านายจะไม่ก่อปัญหาอีก ”
ชูปาคาบราตัวนั้นดิ้นพรวดผุดกลับขึ้นยืน มันจ้องเธออย่างโมโห ก่อนจะพุ่งเข้าหาอีกครั้งโดยที่ครั้งนี้เร็วกว่าครั้งแรก แต่เมื่ออีกฝ่ายเป็นอสุรกายขนาดเท่าครึ่งตัวของเธอที่มีดีแค่ความเร็ว อาศัยแค่สัญชาตญาณที่เฉียบขาดของสายเลือดเทพีวีนัสก็คงจะเพียงพอต่อการรับมือแล้ว เดนิสต้าเบี่ยงตัวหลบการมุ่งเข้าหานั้นแม้ว่ากรงเล็บของมันจะเฉียดแขนเสื้อของเธอไปเล็กน้อยก็ตาม
ไม่มีสายเลือดใดเชี่ยวชาญด้านการชักจูงใจได้เท่าพวกเธอ พลังของธิดาวีนัสก่อตัวขึ้นภายใต้การควบคุม ทั้งที่ไม่มีสิ่งใดจับต้องได้แต่อากาศโดยรอบเหมือนจะอ่อนลงจนทำให้คนที่ไม่รู้ประสีประสารู้สึกร้อนวาบเนื่องจากบรรยากาศน่าเกรงขามที่แผ่ออกมา ชูปาคาบราหยุดชะงักไป มันดูเหมือนจะลังเลเพราะสิ่งที่มันรับรู้ได้ในตอนนี้ไม่ใช่พลังแห่งความแข็งแกร่งหรือความโกรธเกรี้ยว แต่เป็นพลังแห่งแรงดึงดูดที่ทรงพลังอย่างเงียบงัน
มันกำลังวิตกกังวล
เธอคงใจอ่อนไม่ได้อีกแล้ว เดนิสต้าใช้โอกาสนั้นก้าวเข้าไปใกล้ พร้อมสะบัดมีดเฉือนผ่านลำคอของมันอย่างแม่นยำ เจ้าตัวน้อยกรีดร้องสุดเสียงด้วยความทุกข์ทรมานก่อนจะทรุดลง ทิ้งให้เธอถอนหายใจพลางเก็บบรรยากาศหนักอึ้งเหล่านั้นกลับมาพร้อมยกมือเรียวขึ้นเสยผมอย่างอ่อนล้า
“ ให้ตายสิ…ฉันแค่อยากมาเดินดูงานศิลปะเฉย ๆ เอง ” เสียงบ่นของธิดาวีนัสดังขึ้นเพื่อเธอแต่เพียงผู้เดียว เดนิสต้าหันกลับไปมองรอบตัวตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะจัดเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเดินกลับไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สักวันฉันคงได้เป็นไบโพล่าก็เพราะเรื่องแบบนี้แน่
…
หลังจากการท่องเที่ยวเรื่อยเปื่อยและหาอะไรทานรองท้อง ในที่สุดเดนิสต้าก็พาตัวเองมาจนถึงสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงเครื่องยนต์ของรถบัสกึกก้องอยู่ในอากาศปะปนไปกับเสียงประกาศผ่านลำโพงและเสียงฝีเท้าของผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา—- สถานีขนส่งของอัลบูเคอร์คี หนึ่งในท่ารถใหญ่ที่ไม่เคยเงียบเหงา
เดนิสต้าดึงกระเป๋าสะพายขึ้นมาจัดให้เข้าที่ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวอาคาร ดวงตาเรียวปานสิงคาลทอดสายตามองไปรอบ ๆ ผ่านผู้คนที่เดินผ่านเธอไปอย่างเร่งรีบหรือไม่ก็กำลังสนทนากับเพื่อนร่วมทางด้วยการกระซิบกระซาบและบางคนก็ดูเหมือนจะกำลังง่วงนอนจากการเดินทางอันยาวนาน ธิดาวีนัสตัวน้อยผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ ตอนนี้เธอเปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์เข้ารูป รองเท้าเซฟตี้ที่ดูปลอดภัยและเสื้อแจ็กเก็ตสีเบจคลุมไหล่ ส่วนเส้นผมน้ำตาลเข้มของเธอก็ถูกรวบไว้หลวม ๆ เผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าซึ่งสะท้อนแสงจากไฟของสถานี
“ ประกาศ: รถบัสเที่ยว 22:00 นาฬิกา มุ่งหน้าไปยังโอกลาโฮมา ซิตี้ กำลังเตรียมออกจากชานชาลา 5 ผู้โดยสารโปรดเตรียมพร้อม ”
หญิงสาวเหลือบตามองนาฬิกาบนข้อมือ ยังพอมีเวลาอีกนิดก่อนที่รถบัสจะออก ดังนั้นเธอจึงเดินไปที่ซุ้มขายกาแฟเล็ก ๆ สั่งโกโก้เย็นมาหนึ่งแก้วเพื่อช่วยให้ตัวเองมีอะไรดื่มแก้กระหาย และในระหว่างที่รอรถอยู่นั้นเอง ดวงตาของเดนิสต้ากวาดมองไปเรื่อยตามความเคยชิน เฝ้าสังเกตการแสดงออกของใครก็ตามที่สะดุดตา เรียนรู้และจดจำบุคลิกรวมไปถึงการแสดงออกของคนเหล่านั้นเผื่อว่าสักวันเธอจะต้องสวมบทบาทที่ต่างไปจากตัวเอง
และในระหว่างนั้นเองเธอสังเกตเห็นชายสูงวัยคนหนึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งไม่ไกลจากเธอ เขาดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พลางมองตั๋วรถบัสในมือ ข้าง ๆ เขามีกระเป๋าเดินทางเก่า ๆ เสื้อเชิ้ตของเขาดูยับเล็กน้อยเหมือนว่าจะพึ่งผ่านการเดินทางไกล เดนิสต้าไม่ได้พูดหรือพยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยว เธอแค่เฝ้าสังเกตอยู่เงียบ ๆ ในขณะที่รับโกโก้จากพนักงานและเดินกลับไปหาที่นั่งของตัวเองโดยเลือกที่นั่งใกล้กระจกเพื่อมองออกไปยังชานชาลาที่รถบัสจอดเรียงรายกันไป
“ ครั้งแรกที่ขึ้นรถบัสไกลขนาดนี้รึเปล่า? ” เสียงของใครบางคนดังขึ้น ทำให้เดนิสต้าต้องละสายตาจากภาพการใช้ชีวิตของผู้คนและหันไปมองผู้ถาม
อีกฝ่ายเป็นหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ถัดไป เธอดูเป็นมิตร ผมสีดำเริ่มมีเส้นสีเงินแซมเล็กน้อย มือของเธอกำลังถือถ้วยกาแฟแบบเดียวกับที่ร้านกาแฟใกล้ ๆ นี้ใช้ ครู่หนึ่ง.. เดนิสต้าไม่แน่ใจว่าควรตอบอะไร ริมฝีปากของเธอแยกออกเพื่อตระเตรียมคำพูด แต่น้ำเสียงนุ่มที่ใช้งานจนชำนาญกลับไม่ดังออกมา ดังนั้นเธอจึงค่อย ๆ กะพริบตาช้า ๆ ใช้เวลาพิจารณาและตอบพร้อมรอยยิ้มเบาบาง “ ไม่ใช่ครั้งแรกค่ะ แต่ไม่ได้ขึ้นมานานแล้ว ”
หญิงคนนั้นหัวเราะเบา ๆ “ ฉันเองก็เหมือนกัน ครั้งสุดท้ายที่ขึ้นรถบัสแบบนี้ น่าจะสิบปีก่อนละมั้ง…แต่บางทีการเดินทางด้วยรถบัสก็ดีเหมือนกันนะ ได้มองวิวข้างทาง ได้คิดอะไรเงียบ ๆ ” เดนิสต้าพยักหน้าเป็นการตอบรับว่าเห็นด้วย แน่นอนว่าเธอต้องคิดเหมือนกันกับอีกฝ่าย แม้ว่าเธอจะสามารถเดินทางได้ด้วยวิธีที่เร็วกว่านี้ แต่บางทีการได้นั่งรถบัสระยะไกลก็เป็นโอกาสให้เธอได้หยุดพักจากทุกอย่างและปล่อยให้เส้นทางที่ทอดยาวช่วยนำพาความคิดมากมายของเธอไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องรีบเร่ง
เสียงประกาศดังขึ้นอีกครั้งบอกให้ผู้โดยสารเตรียมตัว เธอลุกขึ้น หยิบกระเป๋าสะพายขึ้นบ่าก่อนจะเดินไปที่แถวเช็คตั๋ว หลังจากจัดแจงขั้นตอนตรวจสอบจนเรียบร้อย ในที่สุดเดนิสต้าก็ได้ขึ้นไปยังรถบัสระยะยาว เธออดไม่ได้ที่จะหันมองท้องฟ้านอกหน้าต่างของอัลบูเคอร์กีเป็นครั้งสุดท้าย
บ๊ายบายเจนนิเฟอร์ บ๊ายบายนิก้า .. บ๊ายบาย อัลบูเคอร์กี

ความคืบหน้า : ออกจากอัลบูเคอร์กีเพื่อไปยังโอคลาโฮมาด้วยรถบัสทางไกล
ศัตรูภายในบท : ชูปาคาบรา | ผลการประลอง : ชนะ (ตรวจสอบได้ที่ปุ่ม DENISTA)
รางวัลการพิชิตครั้งแรก : +2 ตื่นรู้ | ขวดเลือดชูปาคาบรา (LUK 80+ จะได้จำนวนตามเลขไบต์รองสุดท้าย)
กระทู้พิเศษทาง Half-Blood Hub : เตือนภัยคนประหลาด (กดอ่านได้ที่ปุ่ม NORTARA)