ความเร็วสูงสุดที่ 150 นอตยังคงพาเรือมินิบานาน่าพุ่งทะยานต่อไปอย่างไม่ลดละ ทุกคนในเรือเกาะยึดตัวเองไว้แน่นกับกาบเรือสีนีออน ใบหน้าชาด้านจากแรงลมที่ปะทะจนรู้สึกเหมือนผิวหนังจะหลุดลอก หกชั่วโมงนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับฝัน ทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์หายไปนานแล้ว ถูกแทนที่ด้วยผืนน้ำที่เปิดกว้างและมีสีเข้มจนเกือบเป็นสีน้ำเงินเข้มจัด
ป้าคาเรนผู้มีสายตาแหลมคม (และสัญชาตญาณเอาตัวรอดสุดเก๋าเกม) เหลือบมองไปยังสีน้ำทะเลที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
“เอโลอิส หยุดเดี๋ยวนี้! สีน้ำมันเข้มเกินไปแล้วนะ เราออกมาไกลเกินไปแล้ว!” ป้าคาเรนตะโกนอย่างสุดเสียง แต่เสียงของเธอถูกเสียงคำรามของลมกลืนหายไปเกือบหมด
วู้ววววววววววววววววววว~
เอโลอิสทำได้แค่ส่ายหน้าและตะโกนกลับไปว่า
“อะไรนะคะป้า! ไม่ได้ยินเลย!”
ความรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังผิดปกติเริ่มคุกคาม ป้าคาเรนตัดสินใจแล้วว่าเธอจะไม่ยอมตายอนาถกลางมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือเช่นนี้ เธอรวบรวมพลังเสียงทั้งหมดที่มี และปล่อยเสียงกรีดร้องที่แหลมสูงกว่าเสียงลมใด ๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้! บอกให้หยุดไง! กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด!”
เสียงกรี๊ดแปดหลอดของป้าคาเรนดังจนทะลุทะลวงอากาศที่บีบอัดและเสียงลมอันบ้าคลั่งไปได้ และในเสี้ยววินาทีนั้น...บางสิ่งบางอย่างที่อยู่เหนือผิวน้ำก็สังเกตเห็นพวกเขา เงาขนาดใหญ่สามเงาโฉบลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็วจากด้านข้างของเรือ พวกมันเคลื่อนไหวว่องไวจนแทบจะมองไม่ทัน
เคร้ง!
มือของเอโลอิสที่กำลังกำกระบอกบรรจุลมสี่ทิศกระบอกที่สองไว้แน่น ถูกบางสิ่งบางอย่างที่มีความแข็งและแหลมคมปัดตกลงไปในน้ำอย่างรุนแรง
ตูมมมมมมมมม!
กระบอกบรรจุลมกระบอกที่สองจมหายไปในทะเลลึกทันที พลังงานลมคำรามก็ยุติลงอย่างฉับพลันอีกครั้ง เรือมินิบานาน่ากระชากตัวอย่างรุนแรงเมื่อความเร็วลดลงจาก 150 นอตสู่ความเร็วปกติอีกรอบ ทุกคนถูกเหวี่ยงไปด้านหน้าก่อนจะทรงตัวได้
เมื่อเรือชะลอความเร็วลง เสียงลมที่เงียบลงทำให้พวกเขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของสิ่งที่เพิ่งจู่โจม เอโลอิสรีบเงยหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณ เห็นเพียงเงาตะคุ่มขนาดใหญ่สามตัวที่บินวนอยู่เหนือหัวเรือ พวกมันมีรูปร่างคล้ายนกอินทรี แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก และที่น่าตกใจคือ...จงอยปากและกรงเล็บของพวกมันเป็นสีทองแดงวาววับ
“ตัวอะไรวะเนี่ย!” เอโลอิสบ่นอุบอย่างไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะการเดินทาง
ป้าคาเรนเห็นภาพตรงหน้า ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความกลัวเกือบตายจากความเร็วเรือตอนนี้กลับกลายเป็นความหวาดผวาถึงขีดสุด เธอปล่อยเสียงกรีดร้องออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเสียงกรี๊ดที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังเหมือนคนไร้สติ
ทันใดนั้นเคอร์ติส นกกระทาคู่ใจของเอโลอิสก็โผล่หัวออกมาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“มันคือนกสติมฟาเลียนขอรับ พวกมันคือสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายของท่านเทพแอรีส พวกมันร้ายกาจมาก ต้องระวังนะขอรับ”
คำเตือนของเคอร์ติสทำให้แจสเปอร์ตระหนักถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นทันที พวกมันเป็นสัตว์อสูรที่กระหายเลือดตามธรรมชาติของพ่อเขา นกสติมฟาเลียนสามตัวที่บินวนอยู่นั้นส่งเสียงร้องแหลมบาดแก้วหู มันไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวในการเริ่มการจู่โจม
ฟิ้วววววววววววว!
นกตัวหนึ่งสยายปีกและทันใดนั้นขนจำนวนมากของมันก็ถูกยิงออกมาเหมือนกับลูกธนูโลหะที่พุ่งลงสู่เรือมินิบานาน่า
“บังไว้!” แจสเปอร์ตะโกนลั่น
เอโลอิสตอบสนองได้รวดเร็วราวสายฟ้าแลบ เธอรีบกางโล่กลมขนาดใหญ่มาบังทุกคนไว้
เคร้ง! เคร้ง! เคร้งงงง!
โล่ขนาดใหญ่รับเอาขนโลหะทั้งหมดไว้ได้ ขนเหล่านั้นกระดอนออกไปนอกลำเรือ โล่ของเอโลอิสสั่นสะท้านอย่างรุนแรงจากแรงปะทะ เคอร์ติสบินเข้ามาซ่อนในร่มเงาของโล่อย่างรวดเร็วตามสไตล์เจ้านกขี้ขลาด
“ระวังนะทุกคนมันเป็นโลหะ พวกเราต้องระวังให้มาก” เอโลอิสตะโกนเตือนด้วยเสียงที่เคร่งเครียด “ฉันจะช่วยป้องกันให้เท่าที่จะช่วยได้”
เมื่อรู้ว่าหนีไม่พ้น ทุกคนจึงชักอาวุธคู่กายออกมาเพื่อเข้าสู่การต่อสู้อย่างเต็มรูปแบบ แจสเปอร์กำง้าวเยี่ยนหยาที่เงางามของเขาไว้แน่น ส่วนป้าคาเรนหยิบถุงย่ามห้าสีของเธอมาไว้ในมือเตรียมฟาดทุกอย่างที่เข้าใกล้
นกสติมฟาเลียนตัวแรกโฉบลงมาจู่โจมทันที จงอยปากทองแดงของมันพุ่งเข้าใส่โล่ของเอโลอิสอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
เคร้ง!
โล่ถูกกระแทกจนบุบเล็กน้อย เอโลอิสอาศัยจังหวะนั้นเพื่อทำการสวนกลับตามสัญชาตญาณของตัวเอง
“เอาไปกินซะ!”
เธอชักค้อนไฟออกมาจากกระเป๋าคาดเอว เอโลอิสไม่รอให้มันบินหนีไป เธอเลือกใช้พลังควบคุมโลหะซึ่งเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากในสถานการณ์นี้
เคร้ง!
โล่ทองแดงที่บุบเล็กน้อยของเธอถูกพลังควบคุมให้เปลี่ยนรูปทรงอย่างฉับพลันกลายเป็นกับดัก โล่กักนกตัวนั้นไว้ครู่หนึ่ง นกสติมฟาเลียนส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกโลหะทองแดงจากขนของมันเองหนีบไว้ เอโลอิสไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไป เธอเหวี่ยงค้อนไฟในมือเข้าใส่ลำตัวของนกอย่างรุนแรง นกตัวแรกส่งเสียงร้องโหยหวนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างของมันจะร่วงหล่นลงสู่ผิวน้ำเบื้องล่าง
การตายของนกตัวแรกไม่ได้ทำให้ตัวที่เหลือกลัวเลยแม้แต่น้อย นกตัวที่สองโฉบลงมาจู่โจมแจสเปอร์ทันที มันยิงขนโลหะออกมาอย่างบ้าคลั่งใส่บุตรแห่งเทพสงคราม แจสเปอร์คำรามออกมาด้วยความโกรธตามสัญชาตญาณของนักรบ เขาใช้ความว่องไวและกำลังทั้งหมดที่เขามี แจสเปอร์หมุนง้าวเยี่ยนหยาในมือของเขาราวกับพายุหมุน
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
ขนโลหะทั้งหมดถูกง้าวปัดกระเด็นไปหมด บางส่วนถูกปัดกลับไปที่นกตัวนั้นเอง นกสติมฟาเลียนยิ่งเดือดดาล มันพุ่งตัวเข้าใส่แจสเปอร์ด้วยความเร็วสูง หมายจะใช้กรงเล็บทองแดงฉีกร่างบุตรแห่งแอรีสให้เป็นชิ้น ๆ
พรึ่บ!
แจสเปอร์เบี่ยงตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียด เขาใช้แรงเหวี่ยงตัวและง้าวที่หมุนอยู่ฟาดง้าวเยี่ยนหยาเข้าที่คอของนกตัวที่สองอย่างจัง
ฉึก!
เสียงโลหะปะทะกับเนื้อหนังที่หุ้มด้วยโลหะดังสนั่น ศีรษะของนกตัวที่สองหลุดออกจากลำตัวทันที ร่างที่ไร้ชีวิตของมันร่วงหล่นตามนกตัวแรกไป
ตอนนี้เหลือเพียงนกตัวสุดท้ายที่บินวนอยู่เหนือเรือ มันส่งเสียงร้องด้วยความเกรี้ยวกราดที่สูญเสียเพื่อนร่วมฝูงไปสองตัว นกตัวนี้พุ่งเข้าใส่จุดอ่อนที่สุดของกลุ่มนี้ นั่นคือ…ป้าคาเรน!
ป้าคาเรนผู้ซึ่งทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากดวงดีไปวัน ๆ ส่งเสียงกรีดร้องและหลับตาปี๋
“ไปให้พ้นนะยะ!” ป้าคาเรนตะโกนอย่างขาดสติพลางเหวี่ยงถุงย่ามห้าสีในมือออกไปอย่างไร้ทิศทาง ถุงย่ามที่บรรจุเสบียงกรังนานาชนิดพุ่งออกไปเหมือนขีปนาวุธที่ไม่มีการนำวิถี แต่ทว่า…
เปรี้ยง!
ถุงย่ามบรรจุชีสเค้กขนาดจัมโบ้กระแทกเข้าที่ใบหน้าของนกสติมฟาเลียนตัวที่สามอย่างจัง มันไทำให้นกตัวนั้นเสียการทรงตัว มันส่งเสียงร้องแหลมออกมาด้วยความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่นกตัวนั้นจะฟื้นตัวทัน ก็โดนแรงเหวี่ยงอันไร้ทิศทางฟาดไปอีกรอบจนร่วงลงสู่ผิวน้ำอย่างน่าอนาถ
การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ…ซากศพของนกสติมฟาเลียนทั้งสามตัวไม่ได้สลายเป็นละอองสีทองเหมือนอย่างที่อสุรกายกรีกอื่น ๆ มักจะเป็นเมื่อถูกสังหาร ร่างของพวกมันที่เต็มไปด้วยขนโลหะและจงอยปากทองแดงลอยคว้างอยู่บนผิวน้ำ
“เฮ้ย! ทำไมพวกมันไม่สลายเป็นผงสีทองล่ะ?” แจสเปอร์ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มองดูซากศพที่น่ากลัวของพวกมัน
เอโลอิสกัดริมฝีปาก เธอรู้ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่แน่ถ้าปล่อยไว้
“นกพวกนี้มันเป็นอสุรกาย เราจะปล่อยให้ศพพวกมันลอยอยู่กลางแอตแลนติกไม่ได้นะ! ถ้ามนุษย์ธรรมดาเจอเข้า พวกเขาจะเห็นมันเป็นอะไรก็ยังไม่รู้เลย พวกเราคาดการณ์ไม่ได้แน่”
ป้าคาเรนที่เพิ่งฟื้นตัวจากความตกใจ ยกมือขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่นะ! ฉันไม่ยอมให้เอาพวกมันมาอยู่บนเรือกับพวกเราเด็ดขาด! อี๋~”
ทุกคนมองหน้ากันด้วยความกลุ้มใจ การทิ้งซากศพไว้กลางมหาสมุทรเป็นการทิ้งหลักฐานที่สุ่มเสี่ยงจนเกินไป เอโลอิสถอนหายใจยาว แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจจนได้
“โอเค ฉันจะทำลายหลักฐานนี้เอง”
เธอเปิดกระเป๋าคาดเอวหนังของเธอ ซึ่งเป็นของวิเศษที่ได้รับจากเทพบิดา
“แจสเปอร์ช่วยฉันหน่อย”
ด้วยกำลังมหาศาลของแจสเปอร์และพลังควบคุมโลหะของเอโลอิส พวกเขาร่วมกันยกซากศพของนกสติมฟาเลียนทั้งสามตัวทีละตัว แล้วยัดมันเข้าไปในกระเป๋าคาดเอวใบเล็กของเอโลอิสอย่างทุลักทุเลจนเข้าไปได้หมดในที่สุด เมื่อจัดการกับซากศพของอสุรกายเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็กลับมานั่งประจำตำแหน่งเดิมของตน
“เอาล่ะ” แจสเปอร์พูดอย่างมุ่งมั่น “ตอนนี้ไม่มีกระบอกนำทางแล้ว เราจะไปลองไอแลนด์ได้ยังไง?”
ป้าคาเรนยิ้มอย่างมั่นใจ เธอเป็นบุตรีแห่งเทพีไทคีที่มีโชคลาภอยู่ข้างกายเสมอ และในตอนนี้เธอต้องใช้โชคลาภนั้นให้เป็นประโยชน์แล้วล่ะ!
“ใช้สัญชาตญาณของฉันสิ” ป้าคาเรนกล่าว “เราหันหัวเรือไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้...ฉันรู้สึกเหมือนมีกระแสลมดี ๆ กำลังจะมาทางนั้น” พูดพลางชี้ไปยังทิศทางที่ต้องการ
ทุกคนหยิบไม้พายขึ้นมาอีกครั้ง ช่วยกันออกแรงหันหัวเรือรูปกริฟฟอนให้หันไปในทิศทางที่ป้าคาเรนบอก
เมื่อทิศทางเรืออยู่ในแนวที่ถูกต้อง ป้าคาเรนก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ เธอล้วงเข้าไปในถุงสายรุ้งของเธออีกครั้ง
“เซอร์ไพรส์!” ป้าคาเรนพูดด้วยน้ำเสียงผู้ชนะ “ฉันมีกระบอกที่สามด้วยนะ!”
เธอหยิบกระบอกบรรจุลมสี่ทิศกระบอกที่สามออกมาจากซอกหลืบหนึ่งในถุงย่าม
“ป้า! ป้าเก็บของพวกนี้ไว้ตรงไหนเนี่ย!” เอโลอิสกับแจสเปอร์อุทานพร้อมกันด้วยความทึ่ง
“ไม่ต้องถามมากนักหรอกเอาเป็นว่ายังมีเหลือก็พอ” ป้าคาเรนยื่นกระบอกที่สามให้เอโลอิส “เอาไป! คราวนี้อย่าทำมันตกน้ำอีกล่ะ”
เอโลอิสรับมันมา เธอหันไปมองแจสเปอร์และป้าคาเรน
“ทุกคนจับให้แน่นนะคะ ครั้งสุดท้ายแล้ว เราจะพุ่งไปถึงลองไอแลนด์เลย!”
ฉึก!
ฝาปิดถูกเปิดออก!
ตูมมมมมมมมมมมม!
พลังงานลมคำรามออกมาอีกครั้ง และเรือมินิบานาน่าก็พุ่งทะยานตัดคลื่นลูกใหญ่ของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือไปอย่างบ้าคลั่ง มุ่งหน้าสู่ลองไอแลนด์อันเป็นจุดหมายสุดท้ายของการเดินทาง