[บันทึกการเดินทาง] APOLLYON the DESTROYER

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-12-4 14:47







"มิตรภาพ การผจญภัย และความรัก"

ขอเชิญพบกับภารกิจสุดอบอุ่นหัวใจ

การันตีรางวัล "เหม็นความรักที่สุด" แห่งปี 2025


APOLLYON the DESTROYER

- but our love is unbreakable -


🔱 ❤︎


โอ้ วีรบุรุษแห่งโอลิมปัส ผู้ห้าวหาญ

บัดนี้เงาแห่งโครนอส คืบคลานเข้าครอบงำ

บ้านเลขต้องสาป ณ แดนเจอร์ซีย์

กลืนกินชีวิต ปลดปล่อยความมืด

พึงระวังน่านฟ้า เจ้าจักถูกจับตามอง....


หนึ่งชีพดับสูญ หนึ่งจมในห้วงลืมเลือนนิจนิรันดร์

หนึ่งถูกจองจำ รอคอยความตาย


จงฝ่าม่านแห่งมายา มองทะลุคำลวง

ไขปริศนาแห่งบ้านเลขต้องสาป

ก่อนพลังแห่งอดีตกาลจะตื่นขึ้น....


สายเลือดแห่งมนตรา จักเชื่อมต่อม่านแห่งเทพ

ซ่อมแซมบาดแผลแห่งมนตราที่แตกสลาย


มุ่งหน้าสู่แดนเอกวาดอร์ ดินแดนแห่งภูเขาไฟ

หยุดยั้งแผนการชั่วร้าย ก่อนความมืดจะครอบงำ

อะพอลลีออน จอมทำลาย รอวันปลดปล่อย

ชะตากรรมแห่งโลกอยู่ในมือของเจ้า


DEAN
ไม่พูดมาก ให้ภาพมันเล่าเรื่อง
mackenzie
พวกแกกล้ามากที่มาจับน้องสาวฉันไป ฉันกับแฟนจะลงทัณฑ์แกเอง !
charlotte

พวกพี่อย่ามัวจีบกัน
รีบช่วยหนูออกมาด้วยนะ ╥﹏╥






{ พลิกหน้าปกเพื่ออ่านรายละเอียดภารกิจ }

เอกสารอนุมัติการออกเดินทาง  พล็อตภารกิจ





ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-17] ธาเลีย เกรซ เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-10-2 00:12
โพสต์ 22337 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-5-15 07:41
โพสต์ 2025-5-15 23:02:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-18 00:32

I
มุ่งหน้าสู่บูเลอวาร์ด
 Mackenzie Claude Lincoln 

-15.05.25 / 05:35AM-
กระท่อมหมายเลข 20 เฮคาที, ค่ายฮาล์ฟบลัด, ลองไอแลนด์, รัฐนิวยอร์ก


ช่วงเวลาเช้ามืดของวันแรกในการออกเดินทางไปทำภารกิจ แมคเคนซีกับดีนตื่นก่อนเวลาเพื่อตรวจเช็คสัมภาระต่าง ๆ และความพร้อมครั้งสุดท้าย ครั้งนี้นอกจากจะไปช่วยชาร์ล็อตซึ่งเป็นพี่น้องของเหล่าบุตรบ้านเฮคาทีแล้ว พวกเขายังต้องเดินทางไกลไปต่อถึงขั้นข้ามน้ำข้ามทะเลเลยทีเดียว


“ข้าวของเครื่องใช้ อาวุธ ยา อุปกรณ์ปฐมพยาบาล เสบียงฉุกเฉิน เสื้อผ้าของชาร์ล็อต…ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว นายจะเตรียมอะไรไปเพิ่มอีกไหมดีน”


แมคเคนซีหันมาถามคนรักที่ตอนนี้ควบตำแหน่งพาร์ทเนอร์และเจ้าของภารกิจครั้งนี้หลังจากไล่ดูลิสต์สิ่งที่ต้องเตรียมไปจนครบ


“คิดว่าไม่… ไม่น่ามีแล้ว”


ดีนตอบกลับ เขาเองก็ตรวจสอบสัมภาระอย่างระมัดระวังเป็นรอบที่สาม แล้วตอนนี้ก็ไม่มีอะไรที่ต้องบรรจุลงไปเพิ่มอีก


“แล้วนายจะพาเจ้านั่นไปไหม?”


บุตรแห่งโพไซดอนชี้ไปที่ลูกก๊อบลินตัวเขียวที่แมคเคนซีเจอระหว่างภารกิจ จะว่าบังเอิญได้ไหมที่ช่วงช่วยโพไซดอนหาเสียงที่นีออมดีนก็มีลูกก๊อบลินสัญชาติอาหรับเพิ่มเข้าทีมมาด้วยตัวนึง


ราวกับเทพแจกของ…


“ฉันกำลังคิดว่าจะพาควีนกับไข่ผำไปด้วยดีไหม?”


หากแค่ไปช่วยชาร์ล็อตที่นิวเจอร์ซีย์คงไม่ต้องยกโขยงกันไปมากขนาดนี้ แต่นี่พวกเขาต้องเดินทางไปไกลถึงเอกวาดอร์โดยปราศจากรถไฟเฮเฟตัสอำนวยความสะดวกในการเดินทาง


เมื่อแมคเคนซีหันมองไปตามที่ดีนชี้ก็เห็นแอนดี้นั่งตาใสแจ๋วมองพวกเขาอยู่ตรงปลายเตียง หากนับเวลาตั้งแต่ได้พบกันและเก็บลูกก็อบลินตนนี้มาเลี้ยง นี่ก็ใกล้จะเข้าเดือนที่สี่แล้ว แอนดี้เองก็ตัวโตขึ้นจากเดิมเล็กน้อย ที่เพิ่มขึ้นน่าจะเป็นน้ำหนักมากกว่า เนื่องจากเจ้าตัวเล็กกินเก่งใช่ย่อย


“ก็อยากพาไปนะ แอนดี้ช่วยชีวิตฉันตอนทำภารกิจมาหลายครั้ง ถ้าไปคราวนี้อาจจะมีประโยชน์ก็ได้ แต่มันจะยุ่งยากไหม เราต้องทำเรื่องพาสัตว์เลี้ยงขึ้นรถไฟด้วยหรือเปล่า”


พอคิดถึงขั้นตอนต่าง ๆ แล้วก็เริ่มสองจิตสองใจขึ้นมา


“ส่วนเรื่องควีน…ยังไงดีล่ะ ถ้าพาไปจะไปกันยังไง เราต้องขึ้นรถบัสด้วยใช่ไหม”


เมื่อนึกถึงม้าเพกาซัสสีดำขลับของดีนแล้วก็มุ่นคิ้วเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าเมื่อคราวไปนีออมดีนพาควีนเดินทางไปด้วยยังไง รู้แค่ว่าอีกฝ่ายนัดกับควีนที่เซ็นทรัลพาร์คเท่านั้น


“ตอนนั้นฉันให้เธอบินตามไปจนถึงนิวยอร์กน่ะ แล้วรถไฟเฮเฟตัสก็มีบริการขนย้ายเพกาซัสด้วย…”


ดีนตอบกลับพร้อมกับหยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะให้คำตอบแก่ทั้งตัวเองและแมคเคนซี


“ควีนน่าจะอยากอยู่ค่ายมากกว่า ตอนนั้นฉันพาเธอไปพบกับความลำบากมาเยอะ แถมเธอยังโกรธที่ฉันพาไปถูกหุ่นทองคำยิงจนขนปีกแหว่งอีกต่างหาก งั้นให้เธออยู่สบาย ๆ มีแซเทอร์คนงานคอยแปรงขนขูดเล็บเท้าให้ที่ค่ายเนี่ยแหล่ะ น่าจะดีกับเธอที่สุดแล้ว”


แมคเคนซีพยักหน้ารับเล็กน้อย เรื่องความเหนื่อยคงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ ขนาดบินจากลอนดอนมานิวยอร์กก็ทำมาแล้ว สมกับเป็นสัตว์วิเศษในตำนานจริง ๆ นั่นแหละ


“ป่านนี้ควีนหายโกรธนายแล้ว แต่ให้พักสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน” 


ฝ่ามือใหญ่ตบไหล่กว้างของดีนเบา ๆ เมื่อเห็นใบหน้าหงอย ๆ นั้น สำหรับแมคเคนซีแล้วเขาเป็นห่วงคนตรงหน้ามากกว่าอะไร หากควีนเกิดอันตรายขึ้นมาอีก สภาพจิตใจของคนรักสัตว์อย่างดีนก็คงย่ำแย่ตามไปด้วย ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น


“งั้นฉันว่าฉันก็ให้แอนดี้อยู่ที่ค่ายด้วยดีกว่า ถึงมันจะฉลาดก็เถอะ แต่ฉันไม่อยากห่วงหน้าพะวงหลัง…เข้าใจใช่ไหมแอนดี้”


แมคเคนซีหันไปถามเจ้าลูกก็อบลิน มันทำหน้าหงอยไปเล็กน้อยแต่ก็ร้อง “กี้…” รับเสียงเบาแล้วผงกหัว อย่างน้อยแอนดี้ก็เป็นขวัญใจของน้อง ๆ ที่บ้านอย่างจูลี่กับนิโคไล ทั้งคู่คงช่วยกันดูแลเจ้าตัวน้อยช่วงที่เขาไม่อยู่ได้เป็นอย่างดี


“ดูเหมือนว่าเราจะคิดเหมือนกันเลยนะ”

ดีนหัวเราะน้อย ๆ จากนั้นเขาก็หยิบสมาร์ทโฟนออกมาเขียนข้อความทิ้งไว้ในแชทกลุ่ม ‘POSEIDON CABIN 3’ ให้พี่น้องคนอื่น ๆ รู้ว่าตนเองมีภารกิจที่ต้องทำเป็นการเร่งด่วน พร้อมกับส่งไฟล์แผนการเดินทางให้น้อง ๆ ได้รับทราบโดยทั่วกัน


จากเหตุการณ์ของชาร์ล็อตและทีมบ้านเฮอร์มาโฟรไดตัสสร้างข้อคิดที่ดีสำหรับการตามหาคนหาย ยิ่งทิ้งเบาะแสไว้มากเท่าไรก็ยิ่งให้พี่น้องออกตามหาได้ง่ายขึ้นหากว่าเขาหรือแมคเคนซีหายตัวไปนานเกินเดือน ไม่ต้องพึ่งพาการเข้าฝันเพื่อแจ้งข่าว ซึ่งแฟนหนุ่มของดีนอาจจะแบ่งจิตนิมิตฝันให้คนอื่นได้ตามประสาพ่อมดหมอผี แต่ว่าดีนทำอย่างนั้นไม่เป็น


“เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางกันเถอะ”


เดมิก็อดแห่งโพไซดอนสะพายสัมภาระขึ้นบ่าหลังจากที่ไม่มีอะไรต้องเพิ่มเติม ข้าวของของชาร์ล็อตอยู่ที่แมคเคนซี ส่วนดีนรับผิดชอบเรื่องเสบียงอาหารและเต๊นท์ที่เอาไปเผื่อได้ใช้ ยังไงเผื่อเหลือก็ดีกว่าของขาด


หนุ่มอังกฤษเพียงแค่ยิ้มรับคำพูดนั้น รอให้ดีนส่งข้อความในมือถือให้เสร็จเรียบร้อยแล้วหอบหิ้วสัมภาระออกมาจากห้องนอนที่เพิ่งกลับมาอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือนก็ต้องห่างจากเตียงนอนนุ่ม ๆ และผ้าห่มอุ่น ๆ ไปอีกครั้ง


.

.

.


ภายในบ้านยังคงเงียบสงัดเช่นเคย แต่ก็อย่างว่า นี่ยังไม่ถึงเวลาตื่นนอนของสมาชิกส่วนใหญ่ภายในบ้าน เมื่อเดินผ่านโถงกลางแมคเคนซีก็หยุดมองรูปปั้นผู้เป็นมารดาครู่หนึ่ง


“ดีน…ฉันขอคุยกับแม่หน่อย”


เพื่อไม่ให้เสียเวลา หลังจากบอกคนรักแล้วแมคเคนซีก็หันกลับมามองยังใบหน้าของรูปปั้นแล้วเอ่ยเสียงเบาแต่แฝงความมุ่งมั่นอยู่ในนั้น


“ผมกับดีนกำลังจะไปช่วยชาร์ล็อตครับ พวกผมจะพาน้องกลับมาที่ค่ายอย่างปลอดภัย ขอให้คุณช่วยอวยพรให้การเดินทางของเราราบรื่นด้วยนะครับ”


ปลายนิ้วแตะลงที่ฐานอันเย็นเยียบของรูปปั้นเทพีเฮคาทีผู้เป็นมารดาแล้วจึงผละออกมาหาดีนที่รออยู่


“นายอยากพูดอะไรกับเธอหน่อยไหม”


“ฉันเหรอ?”


ดีนชี้หน้าตัวเองพร้อมกะพริบตาปริบ ๆ ไม่คิดว่าแมคเคนซีจะเอ่ยชวนให้เขามาเคารพรูปปั้นมารดา ซึ่งคิดอีกทีก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับก่อนเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับองค์เทพี แล้วทำเช่นเดียวกับที่เคยทำกับรูปปั้นของพ่อ วางมือทั้งสองลงไปบนมือรูปปั้นพระนางก่อนหลับตาสื่อจิตถึง


“ผมขอให้ชาร์ล็อตปลอดภัย และพวกเราทำภารกิจได้สำเร็จโดยปราศจากการสูญเสียครับ ช่วยคุ้มครองพวกเราด้วย”


ความรู้สึกที่ส่งถึงแตกต่างจากตอนขอพรจากโพไซดอน ดีนไม่ได้สัมผัสถึงสายน้ำเย็นเฉียบ แต่ก็ไม่อาจตอบได้ว่าบรรยากาศที่ห้อมล้อมอยู่คือเวทมนตร์หรือไม่ รู้แต่ว่ามันช่วยทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้นิดหน่อย ไม่ทราบด้วยคือการปลอบโยนจากเทพี หรือเป็นแค่ผลทางจิตวิทยาเมื่อเข้าถึงเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ


หลังขอพรเสร็จบุตรแห่งโพไซดอนก็ถอยกลับมายืนเคียงข้างคนรัก กุมมือสอดประสานปลายนิ้วกันและกันอย่างแนบแน่น ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะอันตรายเพียงใดแต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีกันและกัน ซึ่งตอนนี้กำลังใจเต็มเปี่ยม


“ไปกันเลยไหมแมคซี่ ฉันพร้อมแล้วล่ะ”


ดวงตาสีฮาเซลหลุบลงมองมือของดีนที่เกาะกุมมือตนเองไว้แล้วกระชับกุมมืออีกฝ่ายตอบ ริมฝีปากได้รูปเม้มซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ นี่พวกเขากำลังจะไปทำภารกิจแท้ ๆ ไม่ได้ไปเดทกันสักหน่อย แต่ก็บ้าจริง…เขาหยุดยิ้มไม่ได้เลย


“โอเค ไปกัน เดี๋ยวไม่ทันเวลารถไฟ”


ว่าแล้วก็พากันออกมาจากบ้าน แต่ช่วงเวลาหวานชื่นนั้นอยู่ได้เพียงไม่นานก็ถูกขัดจังหวะเข้าเสียก่อน


“ไง เจ้าพวกเด็ก จะไปกันแล้วเรอะ”


ซิลเวอร์ที่เดินออกมาจากทางเข้าไปในป่าต้องห้ามทักเสียงดัง ร่างสูงใหญ่ได้รูปเดินมาหาพวกเขาทั้งสอง แววตากรุ้มกริ่มมองที่มือของคู่รักเดมิก็อดหนุ่มจนอดเขินไม่ได้จึงค่อย ๆ คลายมือออกก่อน


“อรุณสวัสดิ์ซิลเวอร์ ใช่ เราวางแผนกันไว้ว่าจะไปเช้าหน่อย กว่าจะเดินไปถึงสถานีก็ใช้เวลานานเลย”


แมคเคนซีพยักหน้ารับแล้วบอกแผนการเดินทางเพียงสั้น ๆ แค่นึกถึงระยะทางจากหน้าประตูค่ายไปยังสถานีมอนทอกที่ใช้ระยะเวลากว่าครึ่งชั่วโมงก็เหนื่อยล่วงหน้าแล้ว


ส่วนดีนได้แต่ทำหน้าเหรอหราเมื่อเห็นซิลเวอร์เพิ่งเข้าบ้านมาตอนตีห้ากว่า ๆ หมอนั่นไปทำอะไรกันนะ? เปลี่ยนประสบการณ์การนอนใหม่? ไปฝึกวิชา? หรือแอบมีกิ๊กเป็นนิมฟ์สวย ๆ ในป่าต้องห้าม? แต่ก็ช่างมันเถอะ


“เอ่อใช่ ฉันเกลียดที่ต้องเดินออกไปที่หน้าสถานีชะมัด ค่ายฮาล์ฟบลัดก็อยู่มาเป็นร้อยปีแล้วควรจะมีบริการรถรับส่งจากหน้าค่ายไปสถานีบ้าง ไม่รู้พวกเทพเจ้าจะอะไรกับเกียรติยศการเดินด้วยเท้าหนักหนา หรืออย่างน้อยมีจักรยานให้ยืมสักคันสองคันก็ยังดี”


หลังจากที่ฟังเจ้าพวกคนหนุ่มแน่นบ่นถึงเรื่องการเดินเท้า ซิลเวอร์ก็เลิกคิ้วแล้วยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะตบบ่าดีนกับแมคเคนซีป้าบ ๆ


“แล้วนายจะไปสนใจเกียรติยศที่มันกินไม่ได้ไปทำไมล่ะเจ้าเด็ก ในเมื่อเรามีเครื่องทุ่นแรงที่ทำให้สะดวกสบายได้ตั้งเยอะแยะ ไง อยากลองเอาก้นนุ่ม ๆ ของพวกนายไปสัมผัสเบาะมัสแตงของฉันอีกสักรอบไหมล่ะ แต่ฉันไปส่งได้แค่มอนทอกนะ ยังไม่อยากโดนฟ้าผ่าซะก่อน”


ว่าแล้วก็ขยิบตาให้ทีนึง ซิลเวอร์เองก็รู้เรื่องมาตั้งแต่แรก แต่น่าเสียดายที่ภารกิจนี้กำหนดให้มีสมาชิกเดินทางไปได้แค่สองคน แมคเคนซีหันมองดีนเชิงถามความเห็น ทั้งที่ในใจก็คิดว่าข้อเสนอของซิลเวอร์น่าสนใจมากทีเดียว


“ว้าววว จริงเหรอครับ ลูกพี่จะไปส่งพวกเราสินะ แมคซี่นายนี่มีพี่ชายที่ดีชะมัด งามเลิศ เพริศพริ้ง สุดไฉไล ศรีวิไล แล้วก็อืม… สะแมนแตน”


ได้ทีก็เลียซิลเวอร์ยกใหญ่ด้วยคำศัพท์บางคำที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ความหมาย แถมยังขยับเข้าไปนวดบ่าไหล่หยอง ๆ แหยง ๆ


“ผมอดใจไม่ไหวที่จะได้นั่งเบาะรถมัสแตงของลูกพี่อีกครั้งแล้วครับ”


พูดจบก็กอดคอบุตรแห่งเฮคาทีสองคนออกจากกระท่อมที่ยี่สิบ ล็อคแขนที่คอซิลเวอร์แน่นหน่อยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ


แมคเคนซีถึงกับแอบเหวอนิดหน่อยเมื่อคนรักของเขาตอบตกลงทันทีแบบแทบไม่ต้องคิดซ้ำยังพูดจายกยอพี่ชายร่วมมารดาของตนเสียยกใหญ่


‘หรือว่าหมอนี่จะแค่บ่นเฉย ๆ ไม่ได้สนใจเกียรติยศการเดินเท้าอะไรนั่นอยู่แล้ว’


“ฮ่า ๆๆ อยู่เป็นนี่หว่าเจ้าเด็ก ที่จริงแค่ตอบตกลงฉันก็ไปแล้วน่า”


ซิลเวอร์หัวเราะชอบใจพลางปล่อยให้ดีนนวดบ่าให้ ก่อนจะกอดคอบุตรแห่งโพไซดอนตอบแล้วพากันเดินไปยังที่ที่จอดรถสุดหรูไว้จนแมคเคนซีถึงกับเกาหัวด้วยความงุนงงว่าสองคนนี้สนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่


ต้องเดินออกไปถึงเนินฮาร์ฟบลัดแต่ก็ยังดีกว่าต้องเดินไปถึงสถานีมอนทอกที่อยู่ห่างออกไปกว่าสองไมล์


เมื่อซิลเวอร์เปิดประตูรถให้เหล่าลูกน้อง (?) ได้เข้าไปนั่งแล้วดีนก็เอกเขนกบนเบาะหลังอย่างไม่เกรงใจเจ้าของรถ จากนั้นก็ชวนคุยทำลายบรรยากาศเงียบ ๆ ของเหล่าสายเลือดเฮคาที


“ฉันว่ามีรถนี่ก็ดีเหมือนกันนะ คิดถึงตอนที่นายยังมีแมคกี้อยู่เลยนะแมคซี่ เห็นซันซ์บอกว่าที่นิวโรมมีร้านขายรถเต่ากับมอเตอร์ไซค์ระบบพลังงานเทพอะไรสักอย่างด้วย ถ้าพวกค่ายจูปิเตอร์ขับรถกันไปทำภารกิจได้ ฉันว่าฮาล์ฟบลัดก็น่าจะได้เหมือนกัน …ใช่ไหมซิลเวอร์?”


แต่ยังไงถามผู้มีประสบการณ์ก่อนก็ดีกว่า อีกฝ่ายมีรถขับแบบนี้ถ้าเทพเจ้ายังบอกให้เดินเท้าไปอีกก็ทุเรศเกินไปหน่อย


แมคเคนซีถึงกับชะงักไปเล็กน้อยเมื่อดีนพูดถึงมอเตอร์ไซต์คู่ใจที่พังไม่มีชิ้นดีตั้งแต่วันแรกที่มาถึงค่าย แม้ว่าตอนนี้จะผ่านมานานจนทำใจได้แล้ว แต่เขาก็ยังคิดอยู่เสมอว่าวันหนึ่งจะต้องซื้อแมคกี้หมายเลขสองมาไว้ในครอบครองให้ได้


“แหงอยู่แล้ว มันอยู่ที่เราเลือกว่าจะเดินทางแบบไหน ทำภารกิจแต่ละทีก็เหนื่อยแทบแย่ แล้วมันผิดตรงไหนที่จะเลือกกินหรูอยู่สบายเพื่อเติมพลังงานให้ตัวเองกันล่ะ ถ้าเจอพวกอสุรกายระหว่างทางก็แค่…”


ซิลเวอร์เงียบลงแค่นั้นก่อนจะผละมือข้างนึงออกจากพวงมาลัย ทำมือเลียนแบบรูปปืนแล้วชี้ไปด้านหน้าก่อนจะกระดกข้อมือขึ้น


“ปัง !…หรือไม่ก็ซัดมันสักเปรี้ยงแล้วไปต่อ”


“ไม่แน่ใจเลยแฮะว่าใครจะซัดใครก่อน” ดีนพึมพำ

ซึ่งส่วนใหญ่คนเปิดก่อนมักจะเป็นอสุรกายที่หิวโหยเนื้อเดมิก็อดเสียนี่สิ…


การเดินเท้าไปยังสถานีมอนทอกใช้เวลาเกือบชั่วโมง แต่พอขับรถมาเองแบบนี้แล้วใช้เวลาแค่สามนาที คุยกันไม่ถึงไหนซิลเวอร์ก็พาผู้กล้าทั้งสองมาส่งที่หน้าสถานีรถไฟแอลไออาร์อาร์แล้ว


“เฮ้อ… ไม่อยากลงรถเลยแฮะ”

เพราะว่าถ้าลงจากรถมัสแตงคันงามไปแล้ว หมายความว่าวินาทีต่อจากนี้ไปทั้งสองจะต้องไปเผชิญหน้ากับความยากลำบากอันแสนสาหัส

“ถ้ายังไงพวกเราขอยืมรถไปต่อ—”


“ไม่ได้เฟ้ย!”

ซิลเวอร์โวย มาส่งน่ะได้ แต่ให้ยืมน่ะไม่ บางทีบุตรแห่งเฮคาทีคนนี้อาจจะยังเข็ดที่ดีนขอเอารถหรูไปขนอุปกรณ์ก่อสร้างอยู่ก็เป็นได้


“ก็ได้ ๆ งั้นขอบคุณนะลูกพี่” ดีนยกสองมือขึ้นยอมแพ้


แมคเคนซีหลุดหัวเราะเล็กน้อยเมื่อพี่คนโตของบ้านโวยวาย เรื่องนี้เขาเข้าใจดี คงไม่มีใครให้คนอื่นยืมรถง่าย ๆ ยิ่งเป็นรถคลาสสิคราคาสูงลิ่วแบบนี้ด้วยแล้ว ถึงแม้เกิดอีกฝ่ายจะบ้าจี้ให้ยืมจริง เวลาขับเขาคงเกร็งน่าดู ก็คิดดูสิ ค่าซ่อมมันถูกซะที่ไหน


“ขอบคุณซิลเวอร์ พวกผมไปก่อนนะ”


“เดินทางปลอดภัยเจ้าพวกเด็ก พาเจ้าเด็กชาร์ล็อตกลับมาให้ได้ล่ะ อย่ามัวแต่กระหนุงกระหนิงกันจนลืมทำภารกิจ ไม่งั้นฉันจะจับพวกนายนอนแยกกันซะให้รู้แล้วรู้รอด”


ซิลเวอร์โบกมือให้แล้วขับรถกลับค่าย แมคเคนซีถอนหายใจบาง ๆ กับคำขู่แปลก ๆ นั่นแล้วหันมาหาดีนพลางพูดติดตลก


“ได้เวลาเริ่มเดินทางตามวิถีเกียรติยศแห่งเทพแล้วสิ”


อดที่จะขำไม่ได้กับคำขู่ของซิลเวอร์ แต่ก็นั่นแหล่ะ… เขาไม่ยอมให้ใครมาแยกเตียงนอนของเขากับแมคเคนซีหรอก เว้นแต่ดีนจะเป็นคนไล่อีกฝ่ายให้ไปนอนนอกห้องเอง…


“เหอะ เกียรติยศไร้สาระน่ะสิ ฉันแค่อยากจะช่วยชาร์ล็อต แต่ถ้าจำเป็นต้องกู้โลกพ่วงไปด้วยก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”


อดคิดไม่ได้ว่าทำไมงานกู้โลกต้องเป็นหน้าที่ของบุตรแห่งโพไซดอนทุกทีเลยนะ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยของเพอร์ซีย์ แจ๊คสัน พี่ชายต่างมารดาของดีนแล้ว


ส่วนเรื่องเกียรติยศอะไรนั่นชายหนุ่มไม่สนใจ เขาเลือกมีชีวิตอยู่อย่างสำราญโดยไร้เกียรติ ดีกว่ามีเกียรติแต่อายุสั้นหรือไม่ก็ต้องเดินอยู่บนเส้นทางแสนบัดซบที่ไครอนกับไดโอนีซุสฝังหัวเด็ก ๆ ในค่ายว่า ‘เกียรติยศน่ะของดี’


เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านั้น ทั้งสองจึงไปซื้อตั๋วรถไฟขึ้นขบวนรถไปจนถึงใจกลางของนครนิวยอร์ก


แมคเคนซียักไหล่ยิ้ม ๆ เขาเองก็คิดไม่ต่างกัน นอกจากช่วยน้องสาวร่วมมารดาให้กลับมาโดยปลอดภัยแล้วเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก…นอกจากว่าขออัดเจ้าพวกที่มันจับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ไปกักขังไว้สักหน่อยน่ะนะ


.

.

.


รถไฟจากสถานีมอนทอกใช้เวลากว่าสามชั่วโมงกว่าจะถึงสถานีเพนซิลเวเนียร์ พวกเขาจึงใช้เวลานี้นอนหลับเอาแรงกันอีกหน่อย ก่อนจะไปขึ้นรถไฟใต้ดินต่อเพื่อไปยังสถานีรถบัสที่จะมุ่งหน้าสู่บลูเลอวาร์ดอีกทอดหนึ่ง


“รอบนี้รู้สึกใกล้ขึ้นมาหน่อย ตอนฉันนั่งรถไฟไปทำภารกิจที่แคนาดานี่นานมาก น่าเบื่อชะมัด”


อยู่ ๆ ก็นึกถึงการเดินทางของภารกิจก่อนหน้า แมคเคนซีเลยบ่นขึ้นมาหลังจากที่รถบัสออกเดินทางได้สักพัก


“ก็แค่ตอนนี้แหล่ะ นายอย่าลืมสิว่าพวกเราต้องไปถึงเอกวาดอร์กันเลย”


ย้อนนึกถึงคำทำนายที่ได้รับกันมามีท่อนหนึ่งระบุไว้ว่า ‘มุ่งหน้าสู่แดนเอกวาดอร์ ดินแดนแห่งภูเขาไฟ’ แค่คิดก็เหงื่อตกแล้วให้ตายสิ..


“อยากให้ช่วยชาร์ล็อตเสร็จก็กลับกันได้เลยชะมัด แล้วยกให้ทีมอื่นไปกู้โลกกันที่เอกวาดอร์กันแทน”


บุตรแห่งโพไซดอนคันปากยิบ ๆ อยากจะบ่นเหลือเกิน เดินทางก็ไปได้ยาก เครื่องบินก็นั่งไม่ได้ สถานีเฮเฟตัสก็ไม่มี บางทีเทพเจ้าก็เอาแต่ใจเกินไป อยากให้ลูกหลานเป็นฮีโร่แต่ไม่คำนึงถึงอันตรายที่พวกเขาต้องเจอ ป่านนี้คงนั่งปรบมือเมื่อดูความรันทดของเดมิก็อดลงมาจากสวรรค์


“อา…จริงด้วย นี่มันแค่เริ่มต้นนี่นะ”


พอดีนพูดถึงสถานที่ที่ต้องไปต่อหลังจากช่วยชาร์ล็อตเรียบร้อยแล้วก็โคลงศีรษะไปมา ของจริงมันน่าจะหลังจากนี้ต่างหาก


“เป็นแบบนั้นก็ดีสิ ทำไมตอนรับคำพยากรณ์นายไม่ต่อรองคุณเรเชลสักหน่อยล่ะ”


แกล้งพูดหยอกอีกฝ่ายเล่น ทำได้จริงก็แย่แล้ว


“เราลงป้ายหน้าแล้วใช่ไหม”


เมื่อเหลือบไปเห็นจอบอกสถานีตรงด้านหน้ารถบัสจึงจำเป็นต้องหยุดการคุยเล่นไว้เพียงเท่านี้แล้วเตรียมตัวลงจากรถกัน


“ฉันไม่ใช่นายนี่ ต่อรองกับเทพฉ่ำ”


แกล้งแซวแมคเคนซีกลับไป เขาได้อ่านบันทึกการเดินทางของอีกฝ่ายแล้วต้องอุทานว่า ‘เหลือจะเชื่อ! นายต่อรองโมมุสจนเทพหนี!’


หลังได้ยินที่อีกฝ่ายทักดีนก็ชะโงกหน้ามองป้ายถนนที่อยู่ข้างทาง เขาเห็นป้ายถนนสี่เหลี่ยมสีเขียวสองป้ายไขว้กัน ‘นอร์ธอีฟ’ และ ‘เอลม์สตรีท’

“ใกล้แล้วป้ายหน้านี่ล่ะ ลงกันเถอะ”


เมื่อรถบัสจอดสนิททั้งสองก็พากันลงมาพร้อมด้วยสัมภาระใบใหญ่ และเมื่อรถบัสคันนั้นแล่นผ่านไปจึงเห็นแผ่นป้ายสีซีดที่ปักไว้บนฝั่งตรงกันข้าม ‘ถนนบูเลอวาร์ด’


ดีนกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่จากนั้นเดินข้ามถนนสายหลักไปยังถนนซอยย่อย เมื่อมองออกไปก็พบกับถนนคอนกรีตที่ทอดยาวห้อมล้อมด้วยบ้านเรือนขนาบไปทั้งสองข้างในบรรยากาศเย็นยะเยือก ราวกับมีพลังชั่วร้ายแผ่กระจายออกมาปกคลุมไปทั่วทั้งถนน


“นี่มันเหมือนกับที่ฉันฝันเห็นเลย…“





ความคิดเห็นผู้บันทึก

ตอนนี้การเดินทางยังไม่ลำบากเท่าไหร่ ต้องขอบคุณซิลเวอร์ที่ช่วยขับรถมาส่งตรงสถานีมอนทอก ทางเข้าถนนบูเลอวาร์ดค่อนข้างวังเวงแปลก ๆ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าหมู่บ้านนี้ร้างไปหรือยัง


สรุปสถานการณ์

- ออกเดินทางจากค่ายฮาล์ฟบลัดด้วยรถของซิลเวอร์ไปยังสถานีมอนทอก

- ขึ้นรถไฟจากสถานีมอนทอกไปยังสถานีเพนน์

- ขึ้นรถไฟใต้ดินจากสถานีเพนน์เพื่อขึ้นรถบัสต่อไปยังบูเลอวาร์ด

- เดินทางถึงบูเลอวาร์ด


แสดงความคิดเห็น

God
ระหว่างนั่งบนรถไฟคุณพบชายหนุ่มคนหนึ่งดูท่าทางสะบัดสะบอม เขาแนะนำตัวชื่อ รัสเซล บุตรแห่งเฮคาที สภาพเขาร่อแร่ เขามองหน้าคุณพอมีเนคทาร์ให้สักอันไหม   โพสต์ 2025-5-15 23:25
โพสต์ 154060 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-5-15 23:02
โพสต์ 154,060 ไบต์และได้รับ +20 EXP +1 Point +20 ความกล้า +40 ความศรัทธา จาก เขตแดนเฮคาที  โพสต์ 2025-5-15 23:02
โพสต์ 154,060 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Hydro X  โพสต์ 2025-5-15 23:02
โพสต์ 154,060 ไบต์และได้รับ +15 EXP +25 เกียรติยศ +25 ความศรัทธา จาก คบเพลิงเวท  โพสต์ 2025-5-15 23:02

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส
น้ำหอมเฮคาที
เหรียญนกฮูก
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x7
x10
x10
x7
x2
x9
x6
x4
x3
x70
x4
x10
x6
x12
x6
x18
x3
x55
x9
x189
x14
x14
x12
x45
x18
x5
x5
x5
x2
x5
x2
x11
x20
x10
x10
x2
x2
x2
x4
x1
x3
x12
x6
x2
x5
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x13
x2
x5
x4
x2
x1
x16
x145
x192
x10
x6
x10
x10
x16
x55
x80
x1
x1
x1
x4
x3
x1
x1
x1
x1
x5
โพสต์ 2025-5-19 21:52:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-9-29 00:06

 

II
ศึกย่อยบนถนนบูเลอวาร์ด
Dean Eilwyn Alvarez Neal


-15.05.25 / 11:55AM-
ถนนบูเลอวาร์ด, เวสต์ฟิลด์, รัฐนิวเจอร์ซีย์

หลังลงจากรถบัสและข้ามถนนกันมาแล้ว ดวงตาสีฮาเซลมองเข้าไปในถนนสายย่อยซึ่งมีป้ายสีซีดจางเขียนไว้ว่า ‘ถนนบลูเลอวาร์ด’ ถึงแม้ว่าแมคเคนซีจะไม่ใช่คนที่เซ้นส์ดีมาแต่ไหนแต่ไร แต่เมื่อเขาได้ก้าวข้ามมายังฝั่งโลกแห่งทวยเทพแล้วก็เริ่มสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาดจากอีกมิติที่มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถรับรู้ได้มากขึ้น

และครั้งนี้แมคเคนซีเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากดีนเช่นกัน…หรืออาจจะมากกว่า ด้วยทักษะ ‘ควบคุมหมอก’ ซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะของเหล่าบุตรแห่งเทพีเฮคาทีทำให้เขาเห็นได้ชัดว่ามนต์บังตาที่ใช้ซ่อนเร้นเหล่าอสุรกายของสถานที่แห่งนี้ดูไม่เข้มข้นเท่าที่อื่น ๆ

หากอธิบายให้ดูเป็นวิชาการหน่อยก็คงเปรียบได้กับชั้นบรรยากาศของโลกที่เบาบางลงเรื่อย ๆ จนรังสียูวีส่องทะลุผ่านลงมาได้จนกลายเป็นปัญหาโลกร้อนในปัจจุบัน จึงไม่น่าแปลกหากผู้คนที่นี่จะเห็นพวกอสุรกายเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมดเช่นเดียวกันกับพวกเขาที่เป็นเดมิก็อดจนไม่กล้าออกจากบ้าน

“นี่มันเหมือนกับที่ฉันฝันเห็นเลย…”

แม้เป็นตอนกลางวันที่ตะวันสว่างจ้า ทว่ากลับมีบรรยากาศบางอย่างแผ่ปกคลุมทำให้หายใจได้ไม่ทั่วท้อง ความไม่น่าไว้วางใจแบบนี้อย่างกับจะมีเหตุการณ์ร้าย ๆ บางอย่างเกิดขึ้นเหมือนในหนังเรื่อง ‘มิดซอมมาร์’

“แมคซี่… ฉันรู้สึกไม่ดี ใจหวิว ๆ เหมือนอยากจะอ้วกยังไงก็ไม่รู้”

ดีนเบะปากหันมองไปทางคนรักด้วยสายตาอ้อนวอนแบบ ‘ปลอบฉันทีที่รัก’

“ไหวหรือเปล่า นายคงไม่ได้เมารถใช่ไหม ฉันโอเคนะถ้านายอยากจะพักก่อน”

ฝ่ามือใหญ่ลูบหลังคนรักเบา ๆ เห็นหน้าหงอย ๆ ของดีนแล้วก็ไม่อยากพูดให้ใจเสียเลยทำทีเป็นชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อเบี่ยงประเด็น

“หรือบางทีฉันอาจจะแค่หิวจนน้ำตาลตก”

ดีนลูบท้องตัวเองปอย ๆ ตอนนี้ได้เวลามื้อเที่ยงแล้วก็จริง แต่ชายหนุ่มอาจจะแค่หาข้ออ้างเพื่อประวิงเวลาอย่างเช่นทุกครั้ง การช่วยชาร์ล็อตสำคัญแต่ว่าเขารู้สึกยังไม่พร้อมเท่าไรนี่นา

“ตรงนั้นมีคาเฟ่ด้วยเราแวะหาอะไรกินเพิ่มพลังกันก่อนดีไหม? เผื่อแวะซื้อเสบียงไปให้ชาร์ล็อตกินด้วย”

บุตรแห่งโพไซดอนชี้ไปที่คาเฟ่ต้นซอยบูเลอวาร์ดที่เปิดอยู่ร้านเดียวท่ามกลางบรรยากาศวังเวง

“ก็ดีเหมือนกัน แต่ขอร้องเลย นายอย่าดื่มกาแฟหวานตัดขาแบบนั้นอีกได้ไหม”

แมคเคนซีรีบพูดดักคอไว้ก่อน ถึงแม้รู้ว่าห้ามเท่าไหร่ดีนก็ไม่ค่อยฟังเสียที พอมองตามที่อีกฝ่ายชี้ไปแล้วก็เห็นคาเฟ่อยู่ไม่ไกล ไม่รู้ว่าเวลาเที่ยงวันแบบนี้จะมีลูกค้าเยอะหรือเปล่า แต่หากดูจากสภาพแวดล้อมโดยรวมแล้วก็น่าจะไม่ ส่วนเรื่องเจอชาร์ล็อต…เขาคิดว่ามันคงไม่ง่ายดายขนาดนั้น แต่ก็ไม่อยากขัดคนรักให้เสียอารมณ์

“ไหงงั้นล่ะ คนเราจำเป็นต้องใช้แคลอรีเป็นพลังงานให้ร่างกายนะ ซึ่งน้ำตาลน่ะให้แคลอรีเยอะสุด ๆ”

ดีนใช้ความรู้ที่เคยเรียนมาเข้าแถ แต่เหมือนจะเป็นการใช้วิชาอย่างผิด ๆ

“แต่ถ้านายไม่อยากให้กินสองร้อย งั้นฉันเอาหวานร้อยห้าสิบก็ได้”

พูดจบก็ยิ้มแป้นข่มความกลัวก่อนจะเดินนำเข้าไปในคาเฟ่ที่ต้นซอย

“แคลอรีหรือกลูโคสกันแน่…”

ผิดไปจากที่คิดที่ไหน หนุ่มอังกฤษกลอกตาไปหนึ่งรอบถ้วนเมื่อดีนบอกว่าจะลดความหวานลงมาเหลือแค่ ‘ร้อยห้าสิบ’ เท่านั้น ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายเข้าร้านไป

กรุ๊งกริ๊ง

กระดิ่งโมบายที่ถูกแขวนไว้เหนือประตูกระจกแกว่งไกวส่งเสียงเมื่อพวกเขาผลักบานประตูเข้ามาในร้านอาหาร 
ภายในร้านไม่มีลูกค้าแม้แต่โต๊ะเดียว จะมีก็แค่พนักงานคนนึงที่หน้าตาเหมือนอดนอนมาหลายคืน และแม้ว่าเสียงกระดิ่งจะดังก้องทว่าเสียงนั้นไม่อาจเรียกสติอันเหม่อลอยของบาร์ริสต้าหนุ่มสภาพโทรม ดวงตาลึกโบ๋อย่างกับยืนเฝ้าที่นี่จนไม่ได้หลับไม่ได้นอนยังไงยังงั้น ริมฝีปากของเขาพึมพำ

“ชีส…เบอร์เกอร์…. ชีส…เบอร์เกอร์….”

ราวกับไร้วิญญาณหรือไม่ก็สติหลุดลอยไปไกล แม้ว่าเดมิก็อดทั้งสองยืนต่อหน้าอีกฝ่ายก็ไม่ได้รู้สึกตัวขึ้นมาเลย

“เอ่อ.. ขอสั่งอาหารหน่อยครับ” ดีนเอ่ยขึ้น

“ชีส…เบอร์เกอร์…. ชีส…เบอร์เกอร์….”

ยิ่งคำว่า ‘ชีสเบอร์เกอร์’ ที่พูดซำไปซ้ำมาราวกับแผ่นเสียงตกร่องนั่นก็ด้วย 
จนดีนต้องหันไปมองหน้ากันกับแมคเคนซี

“……ฉันว่ามีบางอย่างไม่ปกติ”

นี่คือประโยคแรกที่แมคเคนซีพูดขึ้นเมื่อหันไปสบตากับดีน

“นะ.. นั่นสิ มันจะไม่ปกติตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอ ยังไม่ทันเข้าไปถนนบูเลอวาร์ดเลย–….”

ยังไม่ทันที่ดีนจะพูดจบประโยคดี บาร์ริสต้าก็แสดงปฏิกิริยาอื่นออกมา เขาไม่ได้คืนสติ แต่กำลังแสดงท่าทางหวาดกลัวแล้วกรีดร้องออกมาอย่างเสียสติ

“เหวอ!!! ผมรู้แล้วชีสเบอร์เกอร์!”

จากนั้นบาริสต้าก็มุดลงไปใต้เคาน์เตอร์แคชเชียร์

“เฮ้ คุณ! ใจเย็นก่อน พวกเรายังไม่ทันสั่งอะไรเลย”

ท่าทางตื่นตระหนกของชายคนนั้นทำให้แมคเคนซีขมวดคิ้ว ครั้นพอจะชะโงกหน้าไปดูคนที่หลบลงไปใต้แคชเชียร์ก็รู้สึกได้ถึงเงาดำขนาดใหญ่ที่ทาบทับพวกเขาจากด้านหลังซะก่อน

‘กลิ่นเดมิก็อด…’

‘จริงด้วย…กลิ่นเดมิก็อด เหมือนเหยื่อใต้ดินนั่น’

เสียงคุยกันของสิ่งมีชีวิตบางอย่างดังก้องในหัว พร้อมกับเสียงหายใจฟืดฟาดฟุดฟิดราวกับกำลังดมกลิ่นอยู่ตรงเหนือศีรษะ ดูท่าพวกเขาจะโดนต้อนรับแบบไม่เต็มใจซะแล้ว

“นายได้ยินเหมือนฉันไหมดีน”

แมคเคนซีทำทีขยับมายืนชิดดีนมากขึ้นแล้วถามเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน ดวงตาหรี่ลงแล้วปรายมองไปด้านหลังเพื่อบอกเป็นนัย

“อ๊ะ! จริงด้วย!”

ในระหว่างที่มัวแต่ตกใจกับท่าทางหลอน ๆ ของบาริสต้า ทำให้พวกเขาไม่ได้ทันรู้ตัวเลยว่ามีอสุรกายมาด้านหลัง พวกมันเงียบเชียบไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของกระดิ่งที่แขวนเหนือประตู

ดีนรีบหันกลับไปแต่ความเคลื่อนไหวของอสูรร้ายนั้นไวกว่า ไซคลอปส์เงื้อขวานจามลงมาใส่ทั้งสอง

“ระวัง!!”

บุตรแห่งสายน้ำพุ่งตัวกอดเอวของคนรักไว้พร้อมกับผลักไปอีกทางทำให้ทั้งคู่หลบคมขวานไปได้อย่างหวุดหวิด ทว่ากลิ้งล้มกันไปไม่เป็นท่า

โครม!!!

เคาน์เตอร์กาแฟแยกออกเป็นสองส่วน กระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ แล่นปราบไปทั่วซากปรักหักพัง ตอนนี้พนักงานร้านคาเฟ่ไร้แท่นกำบังกายแถมเขายังเกือบจะถูกขวานสายฟ้าผ่าแยกร่างพร้อมไปกับโต๊ะ ด้วยความหวาดกลัวสุดขีดเขาจึงกรีดร้องโหยหวน ล้มลุกคลุกคลานหาที่กำบังใหม่

“ว้ากกกกก!!”

“อึ้ก! แค่ก ๆ!”

ร่างของแมคเคนซีที่ถูกดีนกอดไว้แล้วพุ่งไปด้านข้างกลิ้งกระแทกกับกำแพงร้านเข้าอย่างจัง เขารีบยันตัวเองลุกขึ้นนั่งแล้วมองคู่ต่อสู้เพื่อประเมินสถานการณ์

“นั่นมันไซคลอปส์ ดีน นายโอเคไหม”

แมคเคนซีรีบช่วยพยุงคนรักให้ลุกขึ้นมา ภายในหัวก็คิดไปด้วยว่าจะจัดการเจ้าสองตัวนี้ยังไงดี

“ช่วยด้วยยย!! ผมยังไม่อยากตายยยย!!”

“เงียบหน่อยได้ไหม! มีสติแล้วก็รีบหาทางออกจากที่นี่ไปซะ!”

แมคเคนซีตะโกนบอกบาริสต้าที่อยู่อีกฟากหนึ่งของร้าน หมอนั่นรบกวนสมาธิของเขาเกินไปจนเกรงว่าจะใช้พลังเวทย์จัดการกับอสุรกายพวกนี้ไม่ได้

“ไม่ ฉะ..ฉันไม่เป็นไร”

เพราะว่าล้มอยู่บนตัวของแมคเคนซีเลยทำให้ดีนจุกน้อยกว่าแต่แค่เสียวหลังนิดหน่อย ดีนทำตรงข้ามกับคนรัก เขาตะโกนบอกชายที่กำลังแหกปากอย่างเสียสติจนเสียงตีกัน

“ใจเย็น ๆ นะคุณ ทุกอย่างจะโอเค!”

แต่พนักงานร้านดูเหมือนจะไม่ฟังพวกเขาเลย ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ฟังตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในร้านแล้ว ทำเหมือนกับว่าสองหนุ่มเป็นเพียงแค่อากาศ

“ช่วยไม่ได้แฮะ!”

บุ๋ง!

ดีนดึงหางม้าน้ำกระเป๋าของขวัญระดับเทพที่ได้รับมาจากโพไซดอนในช่วงวันเกิด ให้มันพ่นฟองอากาศขนาดใหญ่ห่อหุ่มชายคนนั้นเอาไว้ กะจะให้ช่วยป้องกันลูกหลง (ซึ่งไม่รู้ว่ากันได้จริงไหม) แต่ผลดีอีกอย่างก็คือฟองอากาศช่วยทอนเสียงโวยวายให้เบาลงไปได้เยอะ

ปุ้ง!

กลุ่มหมอกที่ควบแน่นจนเป็นลูกบอลขนาดย่อมพุ่งอัดเข้าใส่ไซคลอปส์ตนนึงที่เงื้อขวานวิ่งตรงมาทางดีนจนมันหน้าหงายล้มตึงไปกับพื้นร้าน

'ให้ตายสิ ยังจะห่วงคนอื่นอีก ทั้งที่ตัวเองนั่นแหละจะถูกไซคลอปส์พวกนี้เขมือบอยู่แล้ว’

ถึงจะอยากดุแค่ไหนแต่ก็ทำได้เพียงแค่เก็บไว้ในใจแล้วแสดงออกมาทางสีหน้าที่ดูหงุดหงิดแทน ไม่รู้ว่าดีนลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเองเป็นลูกมหาเทพ สายเลือดที่มีพลังเข้มข้นจนเป็นที่หมายตาของพวกอสุรกายมากกว่าเขาหรือบาริสต้าที่เป็นมนุษย์ธรรมดาซะอีก

“ฉันว่าเราต้องแบ่งงานกัน จัดการคนละตัว”

แมคเคนซีบอกพลางรีบหยิบคทาเวทออกมาจากกระบอกซูมที่สะพายหลังอยู่มาถือไว้จนแสงจากอาวุธเวทย์ส่องสว่างไปทั่วบริเวณร้าน

“โอ๊ะ โอเค!”

ดีนรับด้วยสีหน้าทึ่งจัดใจสกิลของเฮคาทีที่เขาไม่เคยเห็น

ในเมื่อคนรักชักอาวุธแล้วตัวเองก็ควรเอาอาวุธออกมาบ้าง เพียงแค่จิตปรารถนาอัญมณีบนกำไลอัจฉริยะบนข้อมือขวาก็เรืองแสง โลหะเปลี่ยนแปรงรูปร่างยืดออกกลายเป็นมีดดาบสามง่ามที่มีคมสีน้ำทะเล

‘แก ตาย!!’

ไซคลอปส์อีกตนพุ่งตัวเข้าหาสองเดมิก็อดหลังจากที่มันเห็นเพื่อนถูกหมอกจู่โจมจนล้มลง แต่ด้วยความไวของบุตรแห่งเจ้าสมุทรเองที่พุ่งตัวเข้าหาในจังหวะเดียวกัน ดีนหมุนตัวเพิ่มความแรงส่ง ตวัดปลายดาบสามง่ามฟันกลางลำตัวของไซคลอปส์ตนนั้นขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดายราวกับมีดตัดเนย

ก่อนออกเดินทางดีนเสริมแกร่งอาวุธทั้งหมดด้วยหินแร่จากการถวายความกล้าหาญแก่เทพซุส จากอาวุธที่ทรงอานุภาพอยู่แล้วจึงยิ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

ร่างใหญ่โตของยักษ์ตาเดียวสลายเป็นธุลีในทันทีก่อนที่ร่างของมันจะล้มตึงลงสู่พื้นเสียอีก

ทางด้านแมคเคนซีเอง หลังจากที่บอกดีนแล้วก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลา เขาชี้ปลายคทาไปยังไซคลอปส์ที่ยังนั่งสะบัดหัวไปมาด้วยความงุนงง จากนั้นก็ตวัดข้อมือขึ้นลงทันที

“อิกนิส พาร์วัส!!”

ลูกไฟขนาดย่อมแต่ร้อนแรงเทียบเท่าแมกมาถูกยิงออกมาจากคทาเวท แผดเผาร่างของไซคลอปส์ตนนั้นจนไหม้เป็นจุณ แม้จะเป็นเวทบทเดิมแต่หลังจากที่แมคเคนซีกลับมาจากการทำภารกิจที่แคนาดา เขาก็ซุ่มซ้อมทั้งทักษะการต่อสู้และการใช้เวทอย่างจริงจัง จนตอนนี้มีความคล่องตัวมากกว่าแต่ก่อน สามารถใช้เวทได้อย่างรวดเร็วว่องไว ทั้งยังควบคุมพลังของตนเองได้ดียิ่งขึ้น

หลังการต่อสู้จบลง ดวงตาสีฮาเซลก็มองไปยังร่างของบาริสต้าหนุ่มที่ยังนั่งกอดเข่าคุดคู้ตัวสั่นงันงกอยู่ในฟองอากาศขนาดใหญ่ที่ดีนสร้างขึ้น

“หมอนั่น…ไหวไหมเนี่ย”

“เขาดูเหมือนคนจิตพังไปแล้วเลย…”

ดีนชั่งใจว่าจะปล่อยพนักงานร้านออกมาดีไหม แต่คิดอีกทีปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ในนั้นต่อไปอีกสักพักอาจจะดีกว่า อย่างไรเสียเมื่อพวกเขาเว้นระยะห่างออกมาฟองอากาศก็น่าจะสลายไปเองได้อยู่ดี

“เราคงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้หรอก เผลอ ๆ คนที่นี่อาจมีอาการคล้ายแบบนี้กันไปหมดเพราะพวกเขาเจอมอนสเตอร์มานานเกินไป…”

แมคเคนซีเงียบไปเล็กน้อยพลางสังเกตอาการของมนุษย์ตรงน้าอย่างถี่ถ้วน ที่เขาพูดนั้นไม่เกินจริง หากนับช่วงเวลาที่ชาร์ล็อตกับทีมทำภารกิจของเธอมาที่นี่ก็เป็นเวลาเกือบปีแล้ว มนต์บังตาที่เสียหายตั้งแต่ตอนนั้นจนมาถึงตอนนี้อาจขยายวงกว้างมากกว่าเดิม ซึ่งนั่นก็เปรียบเหมือนประตูมิติที่เปิดกว้างขึ้น ส่งผลให้โอกาสที่มนุษย์ละแวกนี้จะเห็นอสุรกายเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

บุตรแห่งโพไซดอนเก็บอาวุธให้คืนในรูปแบบของกำไลเหลียวมองไปรอบ ๆ ร้าน เคาน์เตอร์พัง ข้าวของกระจัดกระจาย โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาดได้รับความเสียหาย จนต้องเปลี่ยนมาเป็นท่ายืนกุมหัว

“โอ้ตายล่ะ! ดูร้านสิ แบบนี้ขายของกินให้เราไม่ได้แน่ ๆ”

โครก…

เสียงท้องร้องของคนอนามัยแจ้งเตือนเบา ๆ แต่ช่างเถอะ…

“แมคซี่นายทนหิวไหวไหม? ฉันคิดว่าเรารีบไปช่วยชาร์ล็อตออกมาแล้วค่อยหาอะไรกินหลังปิดงานดีกว่า”

ดวงตาสีฮาเซลเหล่มองคนรักด้วยหางตาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงท้องร้องโครกครากที่ไม่ได้ดังมาจากตนเอง

“นิดหน่อย แต่ฉันทนได้ เอาตามที่นายว่าเลยที่รัก พอจัดการเรื่องนี้เสร็จ ทุกอย่างที่บูเลอวาร์ดอาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ได้”

‘ยกเว้นร้านนี้ที่โดนเรากับพวกไซคลอปส์พังไปแล้ว…’

แมคเคนซีคิดเช่นนั้นก่อนพยักหน้ารับพลางกระชับคทาเวทในมือแน่นแล้วพากันเดินออกจากคาเฟ่ไปพร้อมดีน บรรยากาศตึงเครียดทำให้ลืมความรู้สึกหิวไปได้ชั่วครู่ หากช่วยชาร์ล็อตได้สำเร็จจะกินให้เต็มคราบเลยคอยดู

ถึงแม้ว่าแสงแดดสว่างจ้า ทว่าซอยถนนกลับดูอึมครึมและแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายออกมาผิดปกติ ทั้งที่ดีนไม่ได้มองเห็นเขตเฮคาทีที่กำลังพังทลายเกิดรอยแยกขนาดใหญ่ก็ตามที กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่าตนถูกความชั่วร้ายคุกคามจนรู้สึกมวนท้องแปลก ๆ

หรือไม่ก็แค่หิว…

เพียงแค่ต้นถนนก็ได้จัดการกับไซคลอปส์ไปแล้วตั้งสองตัว แล้วกว่าจะไปถึง ‘บ้านเลขที่หกห้าเจ็ด’ ที่อยู่อีกตั้งไกล ไม่รู้เลยว่าบนเส้นทางข้างหน้าพวกเขาต้องเจอกับอะไรอีกตั้งเท่าไร

“พ่อหนุ่มมาหาใครเหรอจ๊ะ?”

เสียงทักดังมาจากหญิงวัยเกษียณที่กำลังรดน้ำทำสวนตอนเวลาเกือบบ่ายโมงจากบ้านหลังหนึ่งฝั่งซ้ายมือที่ดีนและแมคเคนซีกำลังเดินผ่าน ทำเอาเดมิก็อดหนุ่มสะดุ้งจนชะงัก

แว้บแรกที่ผุดขึ้นมาในมโนสำนึกคือ ‘แปลก’ แต่เอาเข้าจริงพอโลกมีสภาพเหมือนยามเที่ยงตลอดเวลาจะรดน้ำทำสวนตอนไหนก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย

“อ้อ พอดีแวะมาหาเพื่อนแถวนี้น่ะครับ” ด้วยความเป็นคนเฟรนด์ลี่ดีนจึงตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตร ก่อนจะหันกลับไปกระซิบกับแมคเคนซี “แถวนี้มีคนอยู่ด้วยแฮะ คิดว่าจะเป็นเมืองร้างไปแล้วซะอีก”

แต่ในขณะที่บุตรแห่งโพไซดอนหันหน้าไปหาคนรัก สายลมวูบหนึ่งพัดพาทำเอาวิกสีขาวที่อยู่บนศีรษะของหญิงชราเกือบปลิว นางรีบคว้าเอาไว้ก่อนที่วิกจะหลุดออกจากศีรษะ เป็นจังหวะที่ดวงตาทั้งสองข้างของหญิงชราไหลมารวมกัน ก่อนจะแยกตัวเป็นตาสองข้างอีกครั้งแบบคนธรรมดา

เมื่อจัดวิกผมเสร็จเรียบร้อยเธอก็ยิ้มหวานให้หนุ่มต่างถิ่นด้วยริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีแดงสดเหมือนเลือดนกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นั่นสิ หรือว่ามันจะไม่ได้ร้ายแรง—”

แมคเคนซีที่กำลังซุบซิบตอบอยู่ ๆ ก็เงียบไปราวกับโดนดูดเสียงไปเสียอย่างนั้น เมื่อเขาดันเห็นภาพตรงหน้าเข้าอย่างจัง

‘เชร้ดดด ! นึกว่าโดนผีหลอกกลางวันแสก ๆ’

บุตรเฮคาทีซึ่งมีสกิลสื่อสารกับวิญญาณแต่ยังไม่ชินกับการเห็นผีสักทียกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจแล้วรีบคว้าไหล่คนรักข้างนึงบีบไว้เบา ๆ

“ไม่ ๆ ดีน ฉันว่าไม่ใช่…เธอ-ไม่ใช่-คน”

แมคเคนซีจ้องเข้าไปในดวงตาสีเปลือกไม้ของดีนแล้วบอกประโยคหลังช้า ๆ ชัด ๆ ก่อนจะเพยิดหน้านิด ๆ เป็นเชิงบอกให้มองกลับไปยังหญิงชราตัวต้นเรื่องที่ยังยิ้มค้างให้

ซึ่งตอนนี้เหมือนจะกลายเป็นแสยะยิ้มเสียมากกว่า

“ห๊ะ! ไม่ใช่คน? นายจะบอกว่าคุณป้าเธอเป็นไซคลอปส์เหมือนที่เราเจอกันตะกี้เหรอ?”

บุตรแห่งโพไซดอนหน้าตาตื่น ซึ่งความจริงอาจจะเป็นอสุรกายอย่างอื่นก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นผี…

ดีนเหลือบสายตากลับไปมองหญิงชราที่กำลังเหยียดยิ้มหลอน ๆ มาให้ เธอไม่ได้พุ่งเข้ามาจู่โจมอย่างบ้าเลือด เพียงแต่แค่ยินยิ้มเป็นรูปปั้นสวัสดีเฉย ๆ จะเป็นไปได้ไหมว่าต่อให้เป็นอสุรกาย ก็อาจเป็นอสุรกายที่ดีแบบไทสันหรือเจ๊ ๆ ฮาร์ปี้ในค่ายฮาล์ฟบลัด

เอาเป็นว่าดูท่าทีไปก่อน ถ้าบุกมาก็ค่อยสวน…

“แหะ ผมรีบ เดี๋ยวขอตัวก่อนนะครับ”

หนุ่มใบหน้าละตินยิ้มตอบให้เธอนิดนึงพร้อมกับค้อมหัวให้ จากนั้นเขาก็ควงแขนแมคเคนซีเดินลิ่ว ๆ ต่อ

“ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่เมื่อกี้ตอนลมพัด เหมือนฉันเห็น…”

แมคเคนซีเงียบไป ชั่งใจว่าจะพูดให้ดีนฟังดีไหม สภาพที่เขาเห็นเมื่อกี้มันออกแนวเหมือนหนังสยองขวัญไปหน่อย แต่ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วคงต้องเจออะไรอีกเยอะ บอกไปเลยก็แล้วกัน

“ตาของผู้หญิงคนนั้น…ไหลมารวมกันตรงกลาง แล้วก็แยกออกมาใหม่”

หนุ่มอังกฤษอธิบายสิ่งที่เห็นขณะที่ดีนพาเขาเดินออกไปจากตรงนั้น พอเหลือบตาไปมองอีกครั้ง เธอยังยิ้มยิงฟันให้เช่นเดิมพลางมองตามพวกเขาตาไม่กระพริบเลยด้วย

“ตาไหลมารวมกันตรงกลาง ไซคลอปส์อีกแล้วเหรอ!?”

ดีนรีบปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าเผลอเสียงดังเกินไปหน่อย ภาพแบบนี้ดีนเห็นไทสันทำบ่อย ๆ ตอนที่เขาเผลอหลุดการจำแลงกาย เขาเหลียวมองไปทางป้าคนนั้นอีกครั้ง เธอยังคงยืนส่งยิ้มสยองมาให้จากหน้าบ้านหลังเดิม

‘นี่มันฉากของหนังค่ายเอ-ทเวนตี้โฟร์หรือไงฟะ?!’

บ้านเลขที่หกสี่เก้า หกห้าศูนย์ หกห้าหนึ่ง…

เมื่อดีนและแมคเคนซีเดินไปถึงกลางซอย อีกไม่กี่เมตรก็จะถึงเป้าหมายคือบ้านหมายเลขหกห้าเจ็ด หญิงชราต้องสงสัยก็ผิวปาก

‘วิ้ด~’

ประตูของบ้านหมายเลข หกห้าสาม หกห้าสี่ และหกห้าห้าเปิดออก จากนั้นชายและหญิงร่างสูงใหญ่ก็ก้าวเท้าดาหน้ากันออกมาดักทางไว้ กลุ่มคน (?) จ้องเดมิก็อดทั้งสองหน้าตาถมึงทึง ครั้นจะถอยหลังตั้งหลักใหม่ ประตูบ้านหมายเลขหกห้าหนึ่ง หกห้าศูนย์ และหกสี่เก้าก็เปิดออก มีกลุ่มคนอีกกลุ่มล้อมหลังของพวกเขาไว้ไม่ให้หนี

“โอ๊ะโอ..”

“ยังไงดี…แบ่งกันไปจัดการอีกดีไหม”

แมคเคนซีจ้องกลุ่มคน (?) ที่ล้อมรอบพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นี่มันดงไซครอปส์หรือยังไงกัน ปกติเคยได้ยินแต่คำว่า ‘หมาหมู่’ แต่วันนี้ได้เจอ ‘ไซครอปส์หมู่’ ซะงั้น

“เราคอยระวังหลังให้กันจะดีกว่าหรือเปล่า”

“พวกมันเยอะเกินไป ถึงแยกกันจัดการฉันว่าก็โดนรุมอยู่ดี พวกเราคอยระวังหลังให้กันแล้วกันนะ”

ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดาหรือไซคลอปส์ แต่เอาอาวุธออกมารอไว้ก่อนดีกว่าอย่างน้อยถ้าเอามาฟาดคนก็ไม่ทำให้พวกเขาถึงตาย กำไลอัจฉริยะที่ข้อมือดีนเปล่งแสงจากนั้นเปลี่ยนมาอยู่ในรูปแบบของตรีศูลสีน้ำทะเล

“โอเค…”

แมคเคนซีพยักหน้ารับ พร้อมกับที่ได้ยินเสียงดังก้องในหัวมาจากอสุรกายสักตนที่ล้อมพวกเขาอยู่

‘กลิ่นของสายเลือดมหาเทพ.. หอมเหลือเกิน’

แต่จากกระแสเสียงงึมงำที่ส่งออกมาดูเหมือนว่ากลุ่มคนทั้งหกจะไม่ใช่เพียงแค่ชาวบ้านบูเลอวาร์ดเสียแล้ว

‘จงมาเป็นเครื่องสังเวย!!!’

ชายหญิงร่างยักษ์กระโจนเข้ามาแทบจะในเวลาเดียวกัน หนึ่งตัวพุ่งเข้าใส่แมคเคนซี ส่วนที่เหลือมุ่งแต่จู่โจมสายเลือดแห่งเจ้าสมุทร ระหว่างที่พวกมันกระโจนเข้าใส่ร่างมนุษย์ของพวกมันก็กลายร่างเป็นยักษ์ตาเดียวร่างกำยำพร้อมกับอาวุธสายฟ้าหลากหลายประเภทในมือ ตอนนี้แยกไม่ออกแล้วว่าตัวไหนตัวผู้ตัวไหนตัวเมีย

“หนอย…กล้ามาดมกลิ่นแฟนฉันงั้นเหรอ ฉันดมได้คนเดียวไม่รู้หรือไง!”

ถึงจะเป็นไซคลอปส์แต่พอฟังประโยคแทะโลม (ที่ตีความไปเองคนเดียว) แล้วมันเลือดขึ้นหน้า เขาตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้เมื่อคนกลุ่มนั้นกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดอย่างที่ดีนบอก

“อิกนิส พาร์วัส!!”

ลูกไฟขนาดใหญ่กว่าในคาเฟ่ยิงออกจากปลายคทาใส่ไซครอปส์ตนนึงที่กระโจนใส่เขาเข้าอย่างจัง แรงปะทะนั้นทำให้มันกระเด็นไปด้านหลังแล้วร่วงลงกับพื้นก่อนจะกลายเป็นฝุ่นผง

ตัดสลับมาทางบุตรเจ้าสมุทรที่กำลังโดนรุม เขากวาดตรีศูลไปด้านหน้าเพื่อรักษาระยะต่อสู้ในวงกว้าง

ไซคลอปส์บางตัวกระโดดหลบ แต่มีตัวหนึ่งที่พ้นวิถีหอก มันฟาดค้อนสายฟ้าเข้าใส่ทำให้ดีนต้องเปลี่ยนอาวุธในมือเป็นโล่สีทองรูปเพกาซัส ทว่าโล่กันได้แต่แรงแต่ไม่อาจกันสายฟ้า ร่างสูงจึงถูกไฟช็อตเข้าอย่างจัง ทั้งแสบ ทั้งร้อน ทั้งชา ทว่าไม่อาจกรีดร้องออกมามีเสียง

“อะห์!!”

หลังจากจัดการไปได้หนึ่งแมคเคนซีก็ได้ยินเสียงโลหะกระทบกัน เมื่อหันกลับไปดูก็เห็นดีนใช้โล่รับค้อนไซคลอปส์อีกตนอยู่ จากกระแสไฟฟ้าที่ออกมาจากค้อนนั้น คงไม่ใช่ว่าดีนจะโดนไฟช็อตไปแล้วหรอกนะ

“ดีน!”

แมคเคนซีตะโกนเรียกชื่อคนรักลั่น เขาต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่กระแสไฟฟ้าจากไซคลอปส์ตนนั้นจะทำให้บุตรโพไซดอนหัวใจหยุดเต้นไปซะก่อน เขารีบชี้คทาไปทางดีนทันที

“โพรเทโก อานิ—เฮ้ย! บ้าเอ๊ย ตัวอะไรอีก!”

ยังไม่ทันร่ายเวทย์เกราะป้องกันถูกขัดกลางคัน เมื่อตัวอะไรสักอย่างโฉบร่างของเขาบินขึ้นไปบนฟ้า พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเป็นอสุรกายที่มีรูปร่างคล้ายคน แต่มีปีกเหมือนค้างคาวและเขาแพะที่งอกออกมาจากหัว

.
.
.

ส่วนการต่อสู้ที่พื้นราบ...

“อึก! มีตัวอะไรมาเพิ่มอีกเนี่ย!?”

ดีนกัดฟันกรอด เขาพยายามตั้งหลักยืนให้อยู่หลังจากที่สลัดการจู่โจมด้วยไฟฟ้าจากไซคลอปส์ถือค้อนออกไปได้ ทว่าไม่มีเวลามัวพะวงถึงคนอื่น ไซคลอปที่ใส่อาวุธสนับก็พุ่งเข้าชกรัวหมัดใส่บุตรแห่งโพไซดอนที่ยกโล่ขึ้นมากันหน้าเอาไว้ โดยไม่สนว่าจะเจ็บมือ

“โอ๊ย!! ใจเย็น ๆ ซี่!!”

แม้จะร้องขอทว่าไซคลอปส์สายลุยก็ไม่หยุด มิหนำซ้ำตัวที่ถือค้อนและดาบยังวิ่งเข้ามาโจมตีซ้ำพร้อม ๆ กัน

“เหวอ!!!”

ดีนหมุนตัวหลบก่อนจะตบโล่ใส่อสุรกายบ้าเลือดทั้งสามตัวนั้น ในจังหวะที่มีช่องว่างไซคลอปส์จอมฉวยโอกาสตัวที่สี่ก็หวดกระบองสายฟ้าใส่ดีนจนเดมิก็อดหนุ่มกระเด็นขลุก ๆ ไปบนพื้นถนน

‘ฮึก! ไม่ไหว… โดนรุมแบบนี้สู้ไม่ได้เลย!’

‘....’

ในขณะที่ไซคลอปส์สี่ตัวกำลังรุมสกรัมบุตรแห่งเจ้าสมุทร ไซคลอปส์ตัวที่ห้าที่วิ่งแห่มารุมดีนในตอนแรกก็ได้แต่ยืนเกาหัวแกรก ๆ เพราะว่าเพื่อนร่วมลัทธิเดอะวอชเชอร์ไม่เปิดช่องให้มันแทรกเข้ารุมยำสายเลือดมหาเทพได้เลย

มันมองซ้ายมองขวาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเดมิก็อดมาด้วยอีกคน จึงเปลี่ยนเป้าถือหอกทัณฑ์นภาเปล่งพลังของสายฟ้าไปจัดการบุตรแห่งเฮคาทีที่กำลังถูกอสุรกายแห่งเจอร์ซีย์รังควานแทน

.
.
.

“เฮ้! ปล่อยฉันลงนะ เจ้าค้างคาวครึ่งแพะ!”

แมคเคนซีตะโกนพลางดิ้นไปด้วยเพื่อหวังให้เจ้าอสุรกายที่กำลังบินอยู่ปล่อยเขาลง แต่เหมือนว่าจะไม่ได้ผล มันดูไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย แขนทั้งสองข้างที่ถูกหิ้วปีกอยู่ทำให้ไม่สามารถใช้คทาเวทได้ ไหนจะดีนที่ถูกฝูงไซคลอปส์รุมอยู่ด้านล่างอีก ความร้อนใจนั้นทำให้เขากัดฟันกรอด

ฟึ่บ!

“กร๊าซซซซซ !”

เสียงกรีดร้องดังขึ้นเมื่อบุตรเทพีแห่งมนตราใช้พลังควบคุมหมอกให้กลายสภาพเป็นใบมีดบินคมกริบนับสิบฟันเข้าที่ตามตัวของอสุรกายนั้น ความเจ็บปวดทำให้มันปล่อยร่างแมคเคนซีทันทีก่อนที่จะสลายหายไป

“ว้ากกกก!!”

แมคเคนซีร้องลั่นขณะที่ร่างกำลังร่วงลงมาจากที่สูง ถ้าตกลงไปกระแทกพื้นได้เละกับเละศพไม่สวยแน่ ๆ ดวงตาสีฮาเซลรีบหลับลงแล้วพยายามรวบรวมสมาธิอีกครั้ง

ตุ้บ!

หมอกที่เป็นใบมีดบินในคราแรกกลับมารวมตัวกันแล้วควบแน่นแปรสภาพเป็นเบาะหนานุ่มขนาดใหญ่รองรับร่างแมคเคนซีที่ตกลงมาได้ทันพอดี

“ฟู่ว…..”

ริมฝีปากได้รูปเป่าลมออกมาอย่างโล่งใจ ในขณะเดียวกันกับที่เสียงฝีเท้าหนัก ๆ กำลังวิ่งมาทางนี้

.
.
.

หลังจากถูกไล่บี้อยู่นาน ดีนได้แต่วิ่งหลบหรือไม่ก็ยกโล่ขึ้นมากันโดยไม่อาจจู่โจมกลับสาวกเดอะวอชเชอร์ได้เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ชายหนุ่มมีสภาพไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว กลิ่นสนิมคละคลุ้งไปทั่วโพรงปาก เนื้อตัวก็เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ กำลังวังชาค่อย ๆ ถดถอยไปเรื่อย ๆ

‘ให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้!!’

เขาจึงใช้พลังของสายเลือดทำสมาธิขั้นสูงใช้กระแสจิตรวบรวมน้ำที่อยู่ใกล้ ๆ ให้ออกมา

ครืนนนนน ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!!

น้ำใต้ดินตอบรับมนตรามหาสมุทร มันแย่งตัวกันโพยพุ่งออกมาจากพื้นพิภพ ดันฝาท่อระบายน้ำจนกระเบิดออกจากนั้นกระเด็นตกสู่พื้นไปไกลอีกหลายเมตร

“ฉันยอมพวกแกมามากพอแล้วนะ!”

ด้วยแรงโทสะผสมกับความหิวบุตรแห่งโพไซดอนควบคุมมวลน้ำมหาศาลยิงอัดไซคลอปสี่ตัวที่มารุมกินโต๊ะเขาด้วยน้ำแรงดันสูง ร่างทั้งสามกระเด็นอัดติดกับผนังบ้านบ้าง ไม่ก็พื้นถนนบ้าง แต่ดีนไม่หยุดพลังแต่เพียงเท่านั้น เขาเพิ่มแรงดันน้ำโถมใส่จนกว่ามันจะสลายไป

เหลือเพียงไซคลอปแค่ตัวเดียวที่ยังหนีปืนฉีดน้ำของดีนไปได้ แต่ว่าตอนนี้บุตรแห่งโพไซดอนหมดแรงไล่ตาม เขาทรุดตัวลงบนพื้นคอนกรีตพร้อมด้วยลมหายใจที่หอบหนัก

.
.
.

แมคเคนซีลุกขึ้นยืนดี ๆ  ได้ไม่ถึงนาที ไซคลอปส์ร่างยักษ์อีก 2 ตนก็วิ่งมุ่งหน้ามาทางนี้แล้ว นี่มันเรียกว่าหนีปีศาจเจอร์ซีย์มาปะไซคลอปส์ชัด ๆ!

‘จะไม่ให้พักสักหน่อยเลยหรือไง !’

“ฮึ้ย!”

แมคเคนซีรีบเบี่ยงตัวไปด้านหลังหลบคมดาบของไซคลอปส์ตนนึงที่ฟันลงมาได้เฉียดฉิว ไซคลอปส์อีกตนเห็นว่าได้ทีก็ถือโอกาสแทงหอกซ้ำเข้ามาจนต้องแอ่นหลังหลบมากขึ้นราวกับกำลังเล่นลิมโบแดนซ์ก็ไม่ปาน

‘รุมกันเลยงั้นเรอะ’

แม้จะมีรูปร่างใหญ่เทอะทะแต่ไซคลอปส์พวกนี้ก็ว่องไวไม่ใช่น้อย อาวุธที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าของพวกมันคือจุดอันตราย หากพลาดพลั้งขึ้นมาอาจบาดเจ็บหนักได้ อีกอย่างไม่รู้ว่าตอนนี้ดีนเป็นยังไงบ้าง เขาจึงไม่มีเวลามาต่อกรกับอสุรกายตรงหน้านี้มากนัก

“อื๋อ…?”

ไซคลอปส์ที่กำลังตั้งใจจะรุมเล่นงานเหยื่อตรงหน้าถึงกับชะงักไปเมื่ออยู่ ๆ บริเวณรอบ ๆ ที่เคยสว่างกลับถูกความมืดมิดปกคลุมราวกับบถูกสีดำเทใส่ พวกมันมองรอบ ๆ อย่างงุนงง จนกระทั่งหันกลับมาอีกที เดมิก็อดที่ตกเป็นเป้าหมายก็หายไปแล้ว

“ถึงตาฉันล่าพวกแกบ้าง”

แมคเคนซีโผล่ออกมาจากมุมหนึ่งของความมืด ทักษะเขตแดนเฮคาทีทำให้เขาหลอมรวมตนเองเข้ากับอนธกาลและกลับกลายมาเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในการต่อสู้ กริชจันทราสีเลือดวาววับอยู่ภายในมือราวกับแววตาของสัตว์ร้ายที่ซุ่มจ้องจะขย้ำเหยื่อได้ทุกเมื่อ กว่าไซคลอปส์พวกนั้นจะรู้ตัว ก็ถูกกริชเงินแทงเข้าที่จุดสำคัญอย่างลูกตาดวงโตกับตรงขั้วหัวใจซะแล้ว

ความมืดสลายหายไปพร้อมกับร่างอสุรกายที่กลายเป็นฝุ่นธุลี เมื่อจัดการคู่ต่อสู้ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว แมคเคนซีก็รีบวิ่งกลับไปยังจุดที่ดีนอยู่

“ดีน! พระเจ้า…นายโดนเจ้าพวกนั้นรุมหนักขนาดนี้เลย”

พอเห็นสภาพคนรักแล้วก็รีบเข้าไปประคองอีกฝ่ายไว้ ทั่วบริเวณเปียกชุ่มไปหมดราวกับฝนเพิ่งตกลงมาห่าใหญ่ ดีนคงจะใช้พลังไปมากทีเดียว

“นาย..นายโอเคหรือเปล่า ให้ฉันทำแผลหรือใช้เวทรักษาให้ก่อนไหม”

จะตอบแฟนหนุ่มว่าไม่เป็นไรก็ดูจะเป็นการโกหก เพราะว่าตอนนี้ดีนน่วมไปทั้งตัว


“เจ็บอ่าาาา”

เขาโอดโอยก่อนจะเข้าไปโผกอดคนรักแนบแน่นพร้อมกับเอาหน้าถูไถวงแขนแกร่ง

หนทางการรักษาบาดมีอยู่ไม่กี่อย่าง ปฐมพยาบาลพื้นฐานช่วยห้ามเลือดได้ แต่ไม่อาจบรรเทาความเจ็บปวด ครั้นจะใช้น้ำทิพย์หรืออาหารเทพก็ไม่เหมาะสม บาดแผลของดีนไม่ได้หนักหนาพอที่จะใช้ของวิเศษในการรักษามิฉะนั้นมันจะเผาผลาญกำลังกายอย่างสาหัส อีกทั้งพวกเขามียาวิเศษในจำนวนที่จำกัดมาก เอาไว้ใช้ในเหตุฉุกเฉินกว่านี้ย่อมดีกว่า

สำหรับบุตรแห่งโพไซดอน วิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือการแช่ตัวลงไปในแหล่งน้ำธรรมชาติ แต่อยู่กลางหมู่บ้านจะไปหาแหล่งน้ำธรรมชาติจากที่ไหน ดังนั้นจึงเหลือวิธีสุดท้ายในการรักษาให้ได้ผลอย่างชะงักงันเพื่อจะได้ไปต่อ

“สงสัยต้องใช้เวทรักษาแล้ว มันเป็นยังไง ฉันจะเจ็บไหมแมคซี่”

ถึงจะเจ็บแต่ก็ไม่วายที่จะอ้อนแฟนสุดฤทธิ์

“ไม่เจ็บสิ เวทรักษานะ นายจะเจ็บได้ไง”


“ฉันกลัวเจ็บเหมือนตอนที่หมอฉีดยา...”

แมคเคนซีกอดดีนตอบพลางลูบหลังเพื่อปลอบขวัญ ถึงดีนจะตัวโตกล้ามล่ำมองแล้วเพลินตาเป็นที่สุดสำหรับเขาก็ตาม แต่เวลาหมอนี่อ้อนก็อย่างกับเจ้าหมายังไงอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่ว่ากำลังมาทำภารกิจกันคงจับฟัดสักทีให้หายมันเขี้ยว

“ไหน ให้ฉันดูแผลนายหน่อย อืมมม…แผลไม่ได้รุนแรงมาก ใช้พลังเวทย์ไม่เยอะหรอก นายอยู่เฉย ๆ ก่อนนะ”

หนุ่มอังกฤษค่อย ๆ คลายกอดแล้วขยี้ผมหยักศกสีเข้มเบามือก่อนจะหยิบคทาเวทย์ออกมาจากกระบอกซูมแล้วชี้มาที่ดีน

“ซานาเท อุมบรา”


เสียงทุ้มบริกรรมคาถาพร้อมกับวาดไม้คทาเป็นสัญลักษณ์รูปไม้กางเขนไปด้วย ลำแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาจากรูปสัญลักษณ์และปลายคทาเวทย์ครู่หนึ่งก่อนจะหายไป

ใบหน้าคมคายตำหรับหนุ่มเท็กซัสโดยกำเนิดหลับตาพริ้มรับเวทมนตร์รักษาอันอบอุ่นไม่ต่างไปจากอ้อมกอดของอีกคน

เพียงไม่นานหลังจากที่มนตราซึมเข้าไปตามบาดแผลและรอยฟกช้ำรอบร่างกายก็ค่อย ๆ สมานเข้าด้วยกันเป็นอย่างดี ความเจ็บปวดค่อย ๆ หายไป เหลือทิ้งไว้เพียงแค่แผลเป็นนูนบนหางคิ้วจาง ๆ คราบเลือดเปรอะเล็กน้อยบนใบหน้า และฝุ่นที่ติดอยู่บนเนื้อตัวตอนที่ถูกสกรัมจนกลิ้งไปกับพื้น

“เป็นไงบ้าง ดีขึ้นไหม”


แมคเคนซีถามพลางมองสำรวจดีนไปด้วย สภาพภายนอกของอีกฝ่ายยังเหมือนเดิม แต่อาการบาดเจ็บนี่สิ

ดีนลืมตาขึ้นก่อนจะโผเข้าสวมกอดคนรักอีกครั้งนึง ฝากของแถมด้วยจุมพิตซ้ายขวาที่ข้างแก้ม


“ขอบคุณนะแมคซี่ ฉันหายเจ็บแล้วล่ะ เวทมนตร์ของสายเลือดเฮคาทีนี่สะดวกดีชะมัด”

อยากจะอ้อนแฟนต่ออีกนิดถ้าไม่ติดว่าตอนนี้อยู่กลางถนนที่แดดเผาหัวจนอาจเป็นฮีทสโตรกขึ้นมาได้ และต้องไม่ลืมจุดประสงค์หลักของการมาที่บูเลอวาร์ดนั่นคือการ ‘ช่วยชาร์ล็อต’

อ้อมกอดถูกคลายออกเปลี่ยนเป็นช่วยประคับประคองกันและกันให้ยืนขึ้นแทน

“เอาล่ะพวกเราลุยกันต่อ บ้านเลขที่หกห้าเจ็ดอยู่ข้างหน้าอีกสามหลังนี่เอง”

มือข้างหนึ่งถืออาวุธ อีกข้างกุมมือกันและกัน สายตามองตรงไปยังเป้าหมาย จากนั้นสองเดมิก็อดก็ออกเดินต่อมุ่งหน้าไปยังบ้านเดี่ยวหลังหนึ่งที่แผ่ออร่าชั่วร้ายปกคลุมออกมาอย่างน่ากลัว



ความคิดเห็นผู้บันทึก
แค่บทที่สองก็บู๊กันแหลกอย่างกับหนังมาร์เวลองค์แรก
ถ้าแมคซี่ไม่มาด้วยผมคงแค่ช่วยชาร์ล็อตแล้วหนีกลับบ้าน
มีแฟนมาด้วยนี่ฮีลทั้งกายฮีลทั้งใจได้ดีจริง ๆ เลย อิอิ

สรุปสถานการณ์
- เดินทางมาถึง ถนนบูเลอวาร์ด เมืองเวสต์ฟิลด์ รัฐนิวเจอร์ซีย์
- ถูกไซคลอปส์ (สาวก The Watcher) จู่โจมที่คาเฟ่หน้าปากซอย
- เดินเข้าซอยมาก็ถูกไซคลอปส์ดักตีหัว (+1 ปีศาจเจอร์ซีย์เข้ามาแจม)
- ชาร์ล็อตรอก่อนนะ
- รัสเซลก็รอก่อนนะ ยังไม่ถึงบทของนาย

สรุปผลการต่อสู้

DEAN

สาวกลัทธิ The Watcher Lv.65 [1] ไซคลอปส์กลุ่ม 4 ตน Lv.65 (จัดการได้ 3 ตัว) [2-3-4]

สินสงคราม

ตาไซคลอสป์ 4 ea

**หินตีบวกตามเลขไบต์หลังสุด**


MACKENZIE

สาวกลัทธิ The Watcher Lv.65 [1] [2] [3] [4]

ปีศาจเจอร์ซีย์ Lv.91 [5]


สินสงคราม

+2 ตื่นรู้จากการพิชิต [ปีศาจเจอร์ซีย์] ครั้งแรก 

ตาไซคลอสป์ 4 ea

เขาปีศาจ 2 ea


แสดงความคิดเห็น

God
โดยร่างเงาจะพูดวนลูป ช่วยซาร์ล็อต ๆๆ ทำให้พวกคุณรู้ว่าเทพีก็มีความรักลูก แม้จะไม่รู้ว่าร่างเงานี้เกิดอะไรขึ้น  โพสต์ 2025-5-19 22:24
God
แต่เมื่อล้มเหลวและมนต์บังตาพังทำให้เธอแยกมิตรสัตรูไม่ได้ มีเพียงแต่ต้องทำลาย  โพสต์ 2025-5-19 22:21
God
บ้านหลังที่ 2 คุณได้พบเจอร่างเงาเฮคาทีที่คลุ้มคลั่งจากมนต์บังตาที่ผิดปกติ เดิมเธอถูกส่งมาช่วยชาร์ล็อตก่อนที่เธอจะถูกจับ ฃ  โพสต์ 2025-5-19 22:21
God
เผชิญหน้าร่างเงาเฮคาที Level 51  โพสต์ 2025-5-19 22:18
โพสต์ 88427 ไบต์และได้รับ 48 EXP!  โพสต์ 2025-5-19 21:52

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
Anker PowerCore
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่อัสพิสขัดเกลา
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
แว่นตา
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x2
x2
x3
x2
x1
x3
x3
x1
x1
x3
x11
x2
x7
x2
x4
x8
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-5-23 01:54:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-18 00:34

III
แม่ที่คลุ้มคลั่งกับน้องสาวที่หายไป
 Mackenzie Claude Lincoln 

-15.05.25 / 01:00PM- บ้านเลขที่ 657 ถนนบูเลอวาร์ด, เวสต์ฟิลด์, รัฐนิวเจอร์ซีย์


“บ้านหลังนี้ใช่ไหม…”


แมคเคนซีหันมาถามดีนหลังพวกเขาเดินมาจากจุดที่เพิ่งต่อสู้กับกลุ่มไซคลอปส์ได้ระยะหนึ่ง หน้าบ้านมีป้ายเขียนบอกเลขที่ 657 ชัดเจน จากภายนอกดูไม่ต่างจากบ้านหลังอื่น ๆ เท่าไหร่ แต่กระนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงรังสีและพลังเวทย์บางอย่างที่แข็งแกร่งซึ่งแผ่ออกมาจากภายใน


ดีนมองไปที่บ้านสองชั้นทรงอเมริกันโคโลเนียลมุงหลังคาทรงยุ้งฉาง ผนังบ้านไม้สีเทาอมฟ้าตีเกล็ดทับแบบยอดนิยมช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ สนามหญ้าหน้าบ้านกว้างขวางเหมาะกับการอยู่อาศัยเป็นครอบครัวใหญ่และเลี้ยงหมาสักตัว


ทว่าดีนไม่ได้รู้สึกถึงความอบอุ่นจากบ้านหลังนี้แม้แต่น้อย แม้ตัวบ้านจะสวยงามแต่กลับไม่ได้รับการดูแลมาระยะใหญ่ หญ้าหน้าบ้านขึ้นสูงไม่เป็นระดับ ใบไม้แห้งโปรยเกลื่อนกลาดไปทั่ว พุ่มไม้ดอกไม้ที่ปลูกล้อมบ้านแห้งตาย หากจะบอกว่าบ้านในถนนบูเลอวาร์ดโทรมแล้ว บ้านเลขที่ 657 น่าจะเป็นบ้านหลังที่โทรมมากที่สุด


แล้วยังความรู้สึกขมุกขมัวเหมือนกับตอนที่ไปเฮติอีก…


“ใช่ บ้านหลังนี้แหล่ะที่ฉันฝันเห็น แล้วคุณไครอนก็รับรองด้วยว่าพวกชาร์ล็อตมาแก้ปัญหากันที่บ้านหลังนี้”


ยิ่งมาถึงต้นตอแล้วดีนยิ่งบีบมือของแมคเคนซีแน่นขึ้นไปอีก ถ้าอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงมือที่ชื้นเหงื่อคงรู้ได้ว่าเขากำลังตื่นเต้นมากแค่ไหน


“งั้นเรารีบเข้าไปข้างในกัน”


เมื่อดีนยืนยันอย่างนั้นก็ยิ่งร้อนใจ ป่านนี้ชาร์ล็อตจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ไม่ว่าข้างในจะเป็นยังไงวันนี้ก็ต้องช่วยเธอออกมาให้ได้


“รู้ไหม ตอนนี้นายมือเย็นเฉียบเลย อยากตั้งหลักสักหน่อยไหม…”


ถึงจะอยากบุกเข้าไปแค่ไหน แต่แรงบีบที่ฝ่ามือกับสัมผัสเปียกชื้นทำให้แมคเคนซีต้องพยายามใจเย็นไว้ก่อน เขาก้มลงมองมือที่จับกันไว้แล้วมองไล่ขึ้นมายังใบหน้าคมคายของดีนที่ตอนนี้ก็เริ่มมีเหงื่อซึมออกมาตามไรผมเช่นกัน ริมฝีปากได้รูประบายยิ้มบางหวังให้คนรักคลายความกังวล


“ไม่เป็นไรแมคซี่ ฉันแค่ตื่นเต้นนิดหน่อย แต่ชาร์ล็อตกำลังรอให้พวกเราช่วยเหลือทุกวินาที”


ดีนหลุบสายตามองมือที่กุมกันไว้ แม้ถูกทักแต่ว่าเขาไม่ยอมปล่อย กระนั้นจิตใจของบุตรเจ้าสมุทรก็ไม่ได้กล้าแกร่งขนาดนั้น เขาช้อนตาขึ้นมองคนรักที่สูงกว่าเล็กน้อย เรียวปากสีนู้ดเม้มเข้าหากัน ในขณะที่แววตาสีเปลือกไม้มีแต่ประกายของความอกสั่นขวัญแขวน


“แมคซี่.. คือ… คือฉันยังกลัวอยู่นิดหน่อย จะเป็นไรไหมถ้านายเป็นคนที่นำเข้าไปข้างในนั้น“


คิดไว้ไม่มีผิด…สายตาของดีนไม่เคยโกหกเขาได้แม้แต่น้อย


“ได้แน่นอนที่รัก เราจะเข้าไปในนั้นด้วยกัน นายห้ามอยู่ห่างจากฉันเด็ดขาดเลยรู้ไหม”


แมคเคนซียกมือที่กุมกันไว้ขึ้นมา แล้วประทับริมฝีปากแตะลงไปที่หลังมือของดีนเบา ๆ ก่อนจะมองรอบ ๆ ให้แน่ใจว่าแถวนั้นไม่มีพวกอสุรกายเพ่นพ่านอยู่อีก แล้วจึงจับมือเดินนำดีนไปยังตัวบ้านหมายเลข 657 อย่างระมัดระวัง


ให้ตายสิที่แมคเคนซีทำอยู่ตะกี้กำลังทำให้หัวใจของดีนกระโดดโลดเต้น!


มันก็ดีแหล่ะนะเพราะว่าความมั่นใจที่อีกฝ่ายมอบให้ทำให้ลดความกลัวไปได้มาก


“ฉันไม่มีทางอยู่ห่างนายอยู่แล้ว”


บ้าเอ๊ย! หุบยิ้มไม่ได้ แต่ก็ต้องพยายามปั้นหน้าปรับโหมดเข้าสู่เรื่องจริงจังที่กำลังจะเกิดเมื่อพวกเขาเดินไปถึงบานประตู


ออกจะค่อนข้างผิดปกติไปสักหน่อยที่บ้านหลังนี้ดูเงียบเชียบกว่าที่คิด แต่ก็ไม่แน่ที่ว่าพวกลัทธิอะไรนั่นอาจอยู่ในบ้านก็ได้ แมคเคนซีจับลูกบิดประตูบ้านที่ทำจากโลหะ จากนั้นก็ค่อย ๆ หมุนมันโดยพยายามให้ไร้เสียงที่สุดแล้วค่อย ๆ แง้มบานประตูไม้ให้เปิดออกก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน


.

.


ภายในบ้านหมายเลข 657 มืดตื๋อ มีเพียงแสงแดดที่สาดเข้ามาตามซอกหลืบของหน้าต่างที่ถูกตีแผ่นไม้ปิดและประตูที่เปิดอ้าออก

ภายในมีสภาพไม่ต่างจากบ้านร้างที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยมานาน แต่กลับมีร่องรอยบางอย่างของผู้บุกรุก ขยะจากร้านสะดวกซื้อกลาดเกลื่อนไปหมด ขวดเครื่องดื่มถูกวางระเกะระกะไปตามพื้น ไหนจะรอยขี้บุหรี่อีก หากเป็นบ้านร้างธรรมดาคงสันนิษฐานได้ว่าถูกคนเร่ร่อนหรือไม่ก็เด็กเกเรเข้ามามั่วสุมกันในนี้ ทว่าเมื่อทราบเบื้องหลังของบ้านแล้ว…


‘ไซคลอปส์พวกนั้นสูบบุหรี่ด้วยเหรอ?’


อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ เพราะพวกมันดูพยายามใช้ชีวิตกลมกลืนกับมนุษย์กันอยู่


“ถ้าตามความฝันชาร์ล็อตจะถูกจับขังอยู่ใน เอ่อ.. คุกใต้ดิน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเดินไปทางนั้น”


ดีนชี้ไปทางห้องครัวจะเห็นบันไดทางลงไปห้องใต้ดิน


“แต่นายต้องระวังเส้นเชือกที่ขึงไว้ด้วยนะ เหมือนว่าพวกมันจะเป็นกับดัก แต่ว่าในนี้มืดชะมัด เฟลมมา มาจิก้าของนายใช้แทนไฟฉายได้ไหม”


“บ้านแบบนี้มีคุกใต้ดินด้วยเหรอ โอ้ว !”


แมคเคนซีมองตามที่ดีนชี้ขณะค่อย ๆ ลากเท้าคลำทางมืด ๆ ที่เต็มไปด้วยของวางระเกะระกะเพื่อเดินไปยังบันไดที่ว่านั้น นี่มันบ้านคนหรือรูหนูกันแน่ สถานีรถไฟใต้ดินในเมืองที่ว่ากันว่าสกปรกยังสะอาดกว่านี้ แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเผลอไปเตะขวดใบหนึ่งล้มลงจนส่งเสียง ‘เกร๊งงง !’ ดังก้องไปทั่วบ้าน


“ลูเมน อุมบราเอ”


ดวงไฟลูกเล็กสว่างวาบขึ้นจากปลายคทาเวทย์แล้วลอยค้างในอากาศเมื่อแมคเคนซีร่ายคาถาและสะบัดข้อมือเพียงเล็กน้อย แม้จะเป็นแสงเล็ก ๆ แต่ก็ช่วยให้ทั่วบริเวณนั้นสว่างขึ้นราวกับเปิดไฟฉาย


“ถ้าใช้คาถาเปลวเพลิงฉันกลัวว่าบ้านหลังนี้จะโดนเผาจนวอดซะก่อนที่เราจะเจอชาร์ล็อต นี่สินะ…กับดักที่นายพูดถึง”


หนุ่มอังกฤษพูดติดตลก พลางเพยิดหน้าไปยังทางเดินที่ปรากฏเชือกบาง ๆ หลายเส้นซึ่งถูกขึงอยู่ทั้งตำแหน่งสูงและต่ำเมื่อยามต้องแสงไฟจนกระทั่งถึงหน้าบันไดทางลงห้องใต้ดิน ตอนแรกเขาไม่อยากใช้เวทย์ส่องแสงสว่างเพราะหากมีศัตรูแอบซุ่มอยู่ในบ้านหลังนี้จริง ๆ วิธีนี้จะเป็นการบอกตำแหน่งของทั้งคู่ไปโดยปริยาย แต่เขาอาจระแวงมากเกินไป


“ก็จริง ฉันไม่รู้นี่ว่านายมีลูมอสใช้ด้วย”


บางทีเวทมนตร์ของเหล่าเฮคาทีอาจมีหลายบทที่เหมือนกับในแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ แต่อาจแตกต่างนิดหน่อยตรงคำร่ายก็ได้ ดีเหมือนกันเพราะว่าดีนจินตนาการไม่ออกหากอีกฝ่ายใช้ลูกไฟใหญ่เบิ้มแทนไฟฉาย


“อ่า… เชือกพวกนั้นน่าจะโดนไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่ามันทำลายยังไงด้วยสิ เราอย่าเสี่ยงดีไหม พยายามเดินเลี่ยง ๆ เอา”


เจ็บใจตัวเองชะมัดที่จำไม่ได้ว่าไซคลอปส์ในฝันทำยังไงกับกับดัก


“มีเวทย์อีกเยอะแยะเลยล่ะ ถ้านายได้เข้าไปในห้องสมุดบ้านฉันแล้วจะทึ่ง หนังสือเกี่ยวกับเวทมนต์คาถาเต็มไปหมดอย่างกับหลุดไปอยู่ในโลกแม่มดจริง ๆ ก่อนหน้านั้นฉันไม่ค่อยสนใจฝึกฝนการใช้พลังเวทย์เท่าไหร่ เพิ่งได้มาฝึกจริงจังก็ตอนช่วงที่นายไปทำธุระต่อที่แอตแลนติสนั่นแหละ”


แมคเคนซีเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้พลางเดินเลี่ยงกับดักเชือกตามที่ดีนบอกไปด้วยโดยให้ดวงไฟจากเวทย์ส่องแสงสว่างคอยนำทาง นึกไปถึงหนังแนวสายลับที่ต้องค่อย ๆ เยื้อง ย่อง ยก ย่างพยายามหลบลำแสงเลเซอร์แล้ว พอมาเจอกับตัว…มันก็น่าตื่นเต้นดี


“ไม่เอาล่ะ ขอให้หนังสือที่ฉันอ่านยาว ๆ เป็นอย่างสุดท้ายคืองานวิจัย ‘จุลินทรีย์ใต้ทะเลลึกที่สามารถผลิตเอนไซม์กลุ่มไฮโดรเลสชอบอุณหภูมิสูง และมีความเสถียรในตัวทำละลายอินทรีย์ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้เป็นแหล่งผลิต ตัวเร่งปฏิกิริยาทางชีวภาพชนิดใหม่’ เถอะ”


แค่ชื่อก็รับประกันความหนาของรูปเล่มวิทยานิพนธ์ได้เป็นอย่างดี


ดีนเดินตามหลังของแมคเคนซีไม่ห่างด้วยใจระทึก เขามองไม่ค่อยเห็นเส้นด้ายที่ขึงไว้เป็นกับดัก ถ้าเหยียบไปแล้วจะเป็นยังไงนะ สัญญาณเตือนจะดังแล้วมีเลเซอร์ออกมาตัดครึ่งตัวแบบในหนังเรซิเดนต์อีวิลเหรือเปล่า


“เชื่อเลย นายยังจำชื่องานวิจัยได้อีก เหวอ ! ดีนระวัง !”


ถึงจะมีแสงสว่างแต่ด้วยความรก สุดท้ายแมคเคนซีก็พลาดไปเหยียบกระป๋องที่ล้มอยู่บนพื้นจนเท้าลื่นพรืดไปโดนเชือกเส้นนึงที่ขึงไว้เข้าอย่างจัง เขารีบหันกลับมากอดดีนเพื่อเอาตัวบังไว้ เตรียมพร้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้


“ว้ากกก!! อะไรนะ ไม่จริง พวกเราจะตายกันแล้วเหรอ!?!”


ดีนหลับหูหลับตากอดกับคนรักจนตัวกลม อย่างน้อยหากพวกเขาต้องถูกเลเซอร์ตัดกลางตัวก็ขอให้ร่างกายครึ่งบนได้กอดกันไว้ก็ยังดี


ทั้งคู่กอดกันอยู่นานสองนานแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรจนเริ่มผิดสังเกต แมคเคนซีจึงค่อย ๆ คลายกอดจากคนรักแล้วลองเอานิ้วไปจิ้ม ๆ แตะ ๆ แล้วจบลงด้วยเดินเข้าไปชนทั้งตัว ซึ่งผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม


“ไม่เห็นมีอะไรเลย หรือนี่จะเป็นกับดักหลอก…”


ให้ตายสิ…พวกเขาโดนไซคลอปส์เล่นซะแล้วงั้นเหรอ


“อะ เอ๋?”


ดีนได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาลองไล่สายของเส้นด้ายนั้นดู มันคือเชือกที่ใช้มัดกล่องไปรษณีย์ที่ปลายอยู่ด้านหนึ่งและใจเชือกอยู่อีกทาง


“เวรเอ๊ย! ตกใจเก้อหมด ถ้าหัวใจวายตายไปจะทำไง”


บุตรโพไซดอนพ่นลมหายใจหนัก ๆ ออกมาพร้อมกับทำหน้ายุ่ง แต่ก็ดีแล้วที่ไม่ใช่กับดักจริง ทั้งคู่จึงเดินลงไปที่ชั้นใต้ดินต่อโดยไม่ต้องสนใจเชือกที่ขวางทางอยู่อีก


“เอ่อ… แล้วนั่นน่ะใช่กับดักหรืออะไรทำนองนั้นหรือเปล่า?”


ดีนชี้นิ้วไปที่ประตูห้องเก็บของใต้ดิน เบื้องหน้าของเขาคือบานประตูไม้ธรรมดา ๆ ที่เขียนอักขระเวทมนตร์จารึกไว้เต็มบาน แมคเคนซีมีสายเลือดราชินีแห่งแม่มดหมอผีจะเข้าใจสัญลักษณ์ดังกล่าวหรือเปล่านะ


“ขอฉันดูหน่อย”


แมคเคนซียืนจ้องบานประตูไม้ที่มีทั้งตัวหนังสือและสัญลักษณ์แปลก ๆ แม้จะยังจดจำทุกอย่างในตำราได้ไม่หมด แต่ก็พอจะรู้ความหมายอยู่บ้าง


“นี่มันเหมือน…อาคมเวทย์ที่ไว้ใช้กักขังอสุรกายหรือพวกที่มีพลังฤทธิ์เดชสูง แปลกจริง…แค่ขังชาร์ล็อตถึงกับต้องใช้เวทย์นี้เลยเหรอ”


ถึงจะอยากช่วยน้องสาวมากแค่ไหนแต่ก็ยังแคลงใจอยู่ แมคเคนซีจึงยังไม่ลงมือทำอะไรในทันที ท่ามกลางความเงียบนั้น เหมือนจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากด้านในจนต้องหันมาถามคนข้าง ๆ


“นายได้ยินเสียงอะไรไหม…“


ดีนเงี่ยหูฟังเสียงที่เล็ดรอดออกมาจากเบื้องหลังบานประตู คล้ายกับเสียงกรีดร้องของผู้หญิงที่เกือบคุ้นหู ความสยองขวัญนั้นทำเอาขนแขนลุกซู่จนต้องชูให้แมคเคนซีดู


“คงไม่ใช่ว่าชาร์ล็อตถูกขังจนเสียสติ แล้วเวทระเบิดเหมือนสกาเล็ตวิชท์ในซีรี่ย์วานด้าวิชั่นหรอกนะ ไอ้พวกนั้นเลยต้องจับเธอผนึกไว้ด้วยอาคมเหล่านี้…”


นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าจะเป็นอย่างอื่นนอกจากนี้ไปได้ ซึ่งบุตรโพไซดอนระแวงตราเวทอย่างถึงที่สุด เขากลัวว่าจะเผลอไปปลดผนึกอสุรกายบิ๊กบึ้มอะไรสักอย่างเข้าเหมือนกับที่เกิดเมื่อตอนทำภารกิจค้นหาตรีศูลฯ แต่ในฝันของเขานำพามาที่ห้องนี้นี่นา หรือจะเป็นฝันลวงหลอกแบบที่สายเลือดเทพหลอกลวงชอบทำ


ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังไตร่ตรอง บานประตูที่ถูกผนึกก็ถูกซัดพะเงิบพะงาบ ผนึกที่ตราไว้ใกล้สลายเต็มแก่


ปึง ! ปึง !


แมคเคนซียกแขนขึ้นกันดีนไว้ด้านหลังเมื่อรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย พลางคิดไปด้วยว่าควรจะชิงพังประตูบานนี้หรือปล่อยให้สิ่งที่อยู่ด้านในพังประตูออกมาเองดี


‘แต่ถ้าชาร์ล็อตอยู่ข้างในล่ะ’


เรียวคิ้วขมวดมุ่นขึ้นมาทันที ครั้นจะใช้คาถาสลายมนต์สะกดก็ใช้ไม่ได้เนื่องจากไม่มีสื่อนำเวทย์ คิดแล้วก็ชวนให้หงุดหงิดอยู่ไม่น้อย


ปึง ! ปึง !


เสียงประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้อาคมที่ลงไว้ด้านหน้าประตูเริ่มอ่อนจางลงไปทุกที กลอนประตูเองก็ทำท่าจะพังแหล่มิพังแหล่อยู่แล้ว มัวแต่รอก็คงเสียเวลาเปล่า ๆ


‘ก็เปิดมันเข้าไปเลยสิ !’


ปัง !


แมคเคนซีถีบประตูอย่างแรง ประตูใกล้พังกับอาคมที่ใกล้เสื่อมหรือจะสู้ความใจร้อนของเขาในยามนี้ได้ เมื่อบานประตูเปิดออกก็เผยให้เห็นร่างร่างหนึ่งที่อยู่ภายในนั้น เรือนผมและชุดคลุมสีดำนั่น…


ไม่ใช่เพียงคล้าย…แต่แมคเคนซีคุ้นเคยเป็นอย่างดี


“คุณ……”


ดวงตาสีฮาเซลเบิกกว้างด้วยไม่นึกมาก่อนว่าจะเจอผู้เป็นมารดาของตนที่นี่


“เทพีเฮคาที…?”


“โอ๊ะโอ…”


ดีนที่หลบอยู่ด้านหลังของแมคเคนซีตลอดเวลาหลุดอุทานเสียงเบาเมื่อเห็นบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาไม่ใช่ไซคลอปส์ ไม่ใช่อสุรกาย และไม่ใช่ชาร์ล็อต ไม่มีอะไรที่เหมือนกับนิมิตในฝันที่เขาเห็น ถึงจะเป็นกลลวงแล้วทำไมคนที่อยู่หลังประตูถึงเป็นเทพีเฮคาทีไปได้ล่ะ


แถมยังมาสคาร่าเยิ้มอีกต่างหาก…


“แมคซี่… ไม่ใช่ว่านี่คือชาร์ล็อตที่โตแล้วเลยหน้าเหมือนแม่นายใช่ไหม?” เขาแอบกระซิบ


แมคเคนซีหันมามองดีนด้วยสีหน้าเหมือนจะถามว่า “นายคิดงั้นจริงดิ…?”


“ชาร์ล็อตเพิ่งหายจากค่ายไปเกือบปีเอง น้องคงไม่ดูมีอายุขึ้นมาขนาดนี้หรอกมั้ง”


ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอารมณ์ซุบซิบนินทาระยะเผาขนอยู่ แม้มาสคาร่านั่นจะเปรอะเปื้อนใบหน้าไปบ้าง แต่แมคเคนซีมั่นใจมากว่านี่คือแม่ของเขาไม่ผิดแน่ ถึงจะเคยพบกันเพียงไม่กี่ครั้งก็ตาม


“ชาร์ล็อต..ช่วย…ต้องช่วยชาร์ล็อต…”


เมื่อได้ยินสองเดมิก็อดหนุ่มพูดชื่อชาร์ล็อต เทพีเฮคาทีก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอพึมพำคำเดิมวนซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนเสียสติ จนพวกเขาต้องหยุดเม้าท์มอยกันไว้เท่านี้ก่อน


“เมื่อกี้คุณบอกว่าอะไรนะครับ มาช่วยชาร์ล็อตเหรอ แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหน”


แมคเคนซีถามขึ้นมา เมื่อมองไปด้านในห้องนั้นแล้วไม่เจอใครนอกจากเทพีแห่งมนตราผู้นี้


“ชาร์ล็อต..ชาร์ล็อต…ชาร์ล็อตไม่ได้อยู่ที่นี่ ! พวกมันเอาตัวชาร์ล็อตไปแล้ว ! ช่วย…ต้องช่วยชาร์ล็อต !”


เหมือนจะตอบคำถามแต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เมื่อเทพีเฮคาทีกลับไปพูดประโยคเดิมแบบวนลูปอีกครั้งราวกับถูกสะกดจิต


“ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ พวกเรามาช่วย— อุ๊บ !”


ยังพูดไม่ทันจบประโยค แมคเคนซีก็ถูกแรงมหาศาลผลักไปกระแทกเข้ากับกำแพงแล้วล้มลงไปกับพื้น


‘แรงเยอะชะมัด แต่เหมือนมีอะไรแปลก ๆ’


แมคเคนซีเงยหน้ามองร่างผู้เป็นแม่ที่มีบางอย่างต่างไปจากเดิม ความสงบเยือกเย็นที่สัมผัสไม่ได้ดังเช่นทุกครั้งที่พบกัน เหมือนกับคนคลุ้มคลั่งครองสติไม่อยู่ไปแล้ว


“ดีน ระวัง !”


เขารีบตะโกนบอกคนรักเมื่อเทพีเฮคาทีชี้คทาเวทย์ไปทางอีกฝ่ายแล้วร่ายคาถาบางอย่าง


“แมคซี่!!”


ดีนตะโกนร้องด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าคนรักของเขาถูกเวทมนตร์บางอย่างผลักกระเด็นไปต่อหน้าต่อตา ยังไม่ทันตั้งตัวเขาก็เห็นว่าเทพีเฮคาทีชี้ปลายคทาเวทมนตร์มาทางนี้แล้ว


“อิกนิส....พาร์วัส”


แม้แต่เทพีแห่งมนตราก็ยังต้องร่ายคาถาอย่างนั้นเหรอ!? แต่นาทีนี้ไม่มีเวลามาสนใจ ดีนรีบหลบก่อนที่ลูกไฟร้อนราวกับลาวาจะมาปะทะถึงตัว ความรุนแรงของบอลเพลิงทำให้เพลิงร้อนเริ่มลุกลามไปตามผนังบ้านที่ทำจากไม้


“แย่ล่ะ! น้ำ! ขอน้ำหน่อย!!!”


เมื่อเรียกหาน้ำ ๆ ก็มา มวลน้ำใต้ดินลำเลียงตัวกันดันหัวก๊อกห้องครัวออกจนก๊อกแตก น้ำจำนวนมากลอยละล่องลงมายังชั้นใต้ดินราวกับว่ามีใครฉีดสายยางลงมาใส่ ไฟที่ลุกลามมอดดับไปหลายส่วน


“แมคซี่ พวกเราถอยกันก่อน ตรงนี้แคบเกินไป!”


‘แปลก…นี่มันแปลกเกินไป’


ท่าทางไร้เหตุผลนั้นทำให้แมคเคนซียิ่งสงสัย แต่ก็ไม่มีเวลาให้มัวไตร่ตรองมากไปกว่านั้น เขารีบพยุงตัวเองลุกขึ้นทันทีที่ดีนบอกแล้วคว้ามืออีกฝ่ายวิ่งกลับขึ้นบันไดไปชั้นบนโดยมีร่างของเทพีเฮคาทีตามมาติด ๆ


“ฉันว่านี่มันไม่ปกติ แม่ที่ฉันเคยเจอไม่ใช่แบบนี้ แต่ร่างของเธอก็ไม่ได้ถูกมนต์บังตาบังเอาไว้ แปลว่านี่ไม่ใช่อสุรกาย”


แมคเคนซีบอกสิ่งที่ประมวลผลออกมาได้ให้ดีนฟัง อีกฝ่ายอาจมีความเห็นอะไรบ้าง


“นายกำลังจะบอกว่า…”


จะว่าไปเทพีเฮคาทีที่ดีนพบในครั้งแรกไม่ใช่แบบนี้จริง ๆ ด้วย ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินพวกแซเทอร์เม้ามอยภารกิจเดินทางของธิดาฮิปนอสที่คอกเพกาซัสตอนที่เขาไปหาควีน


“หรือว่าจะเป็นร่างแยกของแม่นาย ฉันเคยได้ยินมาว่าเด็กที่ชื่อเฟเรียเคยสู้กับร่างเงาของเฮคาทีด้วย”


แต่แล้วในสถานการณ์นี้มันคืออะไรกันแน่ล่ะ ไม่ใช่เทพีที่มุ่งร้ายอยากจัดการกับศัตรู แต่เหมือนมารดาที่เป็นบ้าตอนหาลูกไม่เจอ

“หรือแม่นายจะ—..”


พูดไม่ทันจบเทพีเฮคาทีหลอน ๆ ก็ตามมาทัน จากนั้นก็ยิงลูกไฟใส่รัว ๆ จนดีนต้องเรียกมวลน้ำมาเป็นม่านขวางกั้นจนพอจะลดทอนความรุนแรงไปได้บ้าง แต่จากที่สังเกต เธอไม่โจมตีใส่แมคเคนซีเลยนอกจากที่ผลักอีกฝ่ายออกในตอนแรก เพราะว่าเธอยังมีความเป็นแม่อยู่ สมมติฐานจึงค่อนข้างลงล็อค


“แม่นายจะมาช่วยชาร์ล็อตแต่หาเธอไม่เจอก็เลยคลั่งแบบนี้อ่ะ! อั่ก!”


ร่างกายของดีนถูกเวทมนตร์ยกตัวขึ้นไปชนกับเพดานบ้าน จากนั้นร่างของเขาก็ร่วงลงมากระแทกพื้นจนจุกไปพร้อมกับฝุ่นที่ร่วงกราว


จากที่ดีนพูดก็ดูมีความเป็นไปได้ เป็นถึงเทพีแห่งเวทมนต์ทั้งทีคงไม่ถึงกับต้องมาลงไม้ลงมือจัดการเอง แต่ก็น่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย มารดาที่ไม่เคยแสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ให้เห็น เวลาพบกันก็พูดจาแข็งทื่อราวกับแม่ผู้เข้มงวดจนแทบสัมผัสความรักความโอบอ้อมอารีไม่ได้จะมีความห่วงใยต่อบุตรสาวที่ถูกจับตัวไปจนถึงขนาดต้องส่งร่างเงามาช่วยเลยหรือ


ดูท่าเขาคงต้องมองผู้เป็นแม่ใหม่ซะแล้ว


‘แต่การที่ร่างเงาของเธอถูกขังไว้ที่นี่จนเกิดอาการคุ้มคลั่งขึ้นมาขนาดนี้…มันผิดพลาดตรงไหนกันนะ’


“ร่างเงางั้นเหรอ…อะ ดีน !”


แมคเคนซีรีบหันกลับไปมองเมื่อมือของพวกเขาที่จับกันอยู่หลุดออกจากกัน ก่อนจะรีบวิ่งกลับมาช่วยพยุงดีนให้ลุกขึ้น


ปัง !


เสียงประตูบ้านถูกเปิดออกอย่างแรง ปรากฏร่างของไซคลอปส์ยักษ์สี่ตนที่ขนาดของมันเพียงตนเดียวก็สามารถยืนบังกรอบประตูได้มิดแล้ว


“ไม่จบไม่สิ้นสักทีแฮะ นายโอเคไหมดีน”


แมคเคนซีเริ่มมีสีหน้าตึงเครียด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังห่วงดีนมากกว่า


“ฉัน..ได้”


ดีนกัดฟันพูดก่อนจะค่อยยันตัวเองขึ้นมา ตอนนี้จะมามัวสำออยไม่ได้แล้ว ข้างหน้าก็เป็นเงาของเทพีเฮคาที หลังก็เป็นไซคลอปส์อีกตั้งสี่ตน


“ฉันรับมือกับเงาแม่นายเองแมคซี่ นายไม่อยากทำร้ายเธอ แล้วเธอก็ไม่อยากทำร้ายนาย แต่นาย.. สู้พวกมันสี่ตัวไหวไหม?”


“……โอเค ถ้างั้นฉันฝากด้วยนะ ส่วนไซคลอปส์พวกนั้นไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมากวนใจนายสักตัว”


แมคเคนซีพยักหน้ารับ ถึงจะไม่พูดแต่ดีนก็คงเข้าใจดีว่าเขาไม่อยากปะทะและต่อสู้กับผู้เป็นแม่ แม้จะเป็นเพียงร่างเงาก็ตาม


“ระวังตัวด้วยนะ”


ฝ่ามือใหญ่ของแมคเคนซีตบไหล่คนรักเบา ๆ แล้วเดินแยกไปยังกลุ่มไซคลอปส์ที่พยายามเบียดเสียดกันเพื่อเข้าประตู


“ส่วนพวกแก…มาเจอฉันนี่”


“นายก็ระวังตัวด้วยแมคซี่”


เป็นอีกครั้งที่ต้องแยกกันต่อสู้ แถมคราวนี้ยังต้องเผชิญหน้ากับเทพีแห่งมนตราที่เป็นแม่ของแฟนอีกซะนี่ ความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจเมื่อดีนนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เฮติ มือที่ถือดาบตรีศูลสั่นไหวอย่างควบคุมไม่อยู่ จนต้องใช้มืออีกข้างช่วยประคองด้ามดาบ


‘ไม่สิ จะมาสั่นตอนนี้ไม่ได้!’


ดีนสูดหายใจเข้าลึก อย่างไรนี่ก็เป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นรีบสู้ให้มันจบ ๆ ไปเลยดีกว่า


“ชาร์ล็อต…ลูก… ลูกสาวฉัน… แก.. คืนเธอมา…”


น้ำตาสีดำไหลออกมาจากดวงตาของร่างเงา เธอดูทรมานมากจนเขาอยากเบือนหน้าหนี หรือบางทีควรเจรจาดีไหม…


“ไอ้พวกที่จับลูกคุณแม่ไปกำลังสู้กับแมคซี่อยู่ข้างหลัง เอาเป็นว่าพวกเราร่วมมือกัน—.. อั่ก!”


พูดไม่ทันจบดีนก็ถูกพลังลึกลับจับยกเขย่าไปมา ลำตัวลอยฟาดตัวบ้าน 657 อย่างมั่วซั่ว แรงสะเทือนทำเอาดาบตรีศูลกระเด็นหลุดออกจากมือ

“อะ.. โอ๊ยยย คุณแม่ใจเย๊นนนน”


ชายหนุ่มพยายามยกแขนขึ้นมากันหัว ไม่ให้ส่วนที่สำคัญที่สุดได้รับความเสียหาย แต่ไม่ว่าจะร้องขอแค่ไหนเงาเฮคาทีก็ไม่ยอมปล่อยเขาลงสักที


“โธ่เว้ย! ผมไม่อยากทำแบบนี้เลยจริง ๆ นะ!”


มวลน้ำที่ท่วมขังในชั้นใต้ดินถูกพลังลูกเจ้าสมุทรยกลอยขึ้นมา ดีนเปลี่ยนมันเป็นหนามแหลมแล้วซัดเข้าหาเงาร่างของเทพี


ฉึก! ฉึก! ฉึก!


ถึงจะเป็นเพียงเงาแต่ดูเหมือนว่าเธอจะสะท้านจากการโจมตีเมื่อครูอยู่ไม่น้อย ร่างของดีนถึงได้ถูกปล่อยร่วงลงพื้น ชายหนุ่มใช้วิชาพละศึกษาที่เรียนมาตอนเกรดหนึ่ง ม้วนหน้าลงพื้นไม่หล่นตุ้บเสียฟอร์มอย่างครั้งแรก เขารีบพุ่งไปหยิบดาบประจำตัวก่อนเปลี่ยนรูปร่างเป็นตรีศูลแล้วพุ่งแหลนใส่กลางอกของเงาเทพี

“ผมขอโทษนะคุณแม่!”


จากนั้นก็ตามเข้าไปผลักเธอจนหลังติดข้างฝา ฝังหอกตรีศูลไปสุดคม จนปลายหอกเสียบแน่นกับผนังไม้


“ฮึก!! อาห์!!” เงาเทพีเฮคาทีครวญครางอย่างอ่อนแรง เธอเอ่ยคำพูดสุดท้ายก่อนที่พลังจะสลายไป “ช่วย…ชาร์…ล็อต”


“ไม่ต้องห่วงครับคุณแม่ ผมกับแมคซี่ต้องช่วยเธอออกมาให้ได้เลย”


ส่วนทางด้านแมคเคนซีก็เสียเวลาอยู่ครู่นึงเพื่อยืนรอให้พวกไซครอปส์เข้ามาภายในบ้านจนครบ เจ้าอสุรกายร่างยักษ์พวกนี้ดูท่าว่าจะไม่เฉลียวฉลาดเท่าไทสันที่เป็นพี่น้องของดีน เมื่อเข้ามาในบ้านได้ตนหนึ่งแล้ว มันก็ยังอุตส่าห์ช่วยกันดึงเพื่อนที่เหลือให้เข้ามาภายในบ้านอย่างทุลักทุเล แน่นอนว่าบุตรแห่งเฮคาทีไม่คิดจะขัดจังหวะนั้น เพราะเขาเองก็รอที่จะจัดการพวกมันทีเดียวพร้อมกันเพื่อไม่ให้หลุดรอดสายตาแล้วไปป่วนการต่อสู้ของคนรักกับร่างเงาของแม่ตนเอง


“ฮ่าาาา !!”


เมื่อจัดระเบียบกันเรียบร้อยแล้ว ไซคลอปส์ตนนึงก็หันมาเห็นแมคเคนซี มันเงื้อค้อนขนาดใหญ่ในมือขึ้นแล้ววิ่งนำฝูงของมันซึ่งแต่ละตนต่างก็มีอาวุธครบมือมาทางนี้ ซึ่งก็เข้าทางเขาพอดี


ความมืดประดุจราตรีกาลโอบคลุมห้อมล้อมแมคเคนซีกับฝูงไซคลอปส์ไว้ จากที่ภายในบ้านมืดอยู่แล้ว เวลานี้กลับยิ่งมืดมิดทบทวี และปฏิกิริยาของอสุรกายกลุ่มนี้ก็ไม่ต่างกับกลุ่มแรกที่เจอด้านนอก พวกมันต่างยืนงุนงงเมื่อทัศนวิสัยรอบตัวเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน รวมถึงเหยื่อที่หมายตาไว้ก็หายไปด้วย


ฉึก !


เสียงกริชเงินปักเข้าที่ข้างลำคอของไซคลอปส์ตนนึงจนมิดด้าม หากเปรียบเทียบกับมนุษย์แล้วตรงนั้นก็คือจุดเส้นเลือดใหญ่ข้างลำคอซึ่งถือเป็นจุดสำคัญจุดนึงของร่างกาย ทันทีที่ชักมีดออกร่างใหญ่โตก็ล้มตึงลงกับพื้นทันที ขณะเดียวกันกับที่ร่างเงาอีกสองร่างซึ่งแมคเคนซีสร้างขึ้นในเขตแดนนี้ก็ลงมือสังหารไซคลอปส์อีกสองตนจนสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้วเช่นกัน


“จะไปไหน !?”


“โฮรกกกก !!”


ดวงตาสีฮาเซลตวัดมองไซคลอปส์ที่เหลืออีกตนซึ่งกำลังจะวิ่งหนีแล้วกระโดดสกายคิกเข้าใส่กลางหลังของมันเต็มเปาจนล้มหน้าคะมำไปกับพื้น จากนั้นก็รีบจับร่างนั้นให้พลิกนอนหงายแล้วขึ้นคร่อมนั่งทับไว้ แมคเคนซีจำได้ขึ้นใจว่าการใช้มือเปล่าต่อยอสุรกายไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ นอกจากมันจะไม่ระคายผิวแล้วก็เป็นเขาเองที่เจ็บมือไปหมด แต่เวลานี้เขามีเครื่องทุ่นแรงแล้ว


เขตแดนมืดมิดรอบ ๆ หายไป กลับกลายเป็นหมอกควันบีบอัดตัวห่อหุ้มมือทั้งสองข้างของแมคเคนซีไว้ราวกับสวมนวมสีเทา เขามองเห็นดีนจากตรงที่ไม่ไกลออกไปนัก ดูจากสถานการณ์อีกฝ่ายคงจัดการร่างเงามารดาของตนเรียบร้อยแล้ว


“บอกมา พวกแกเอาตัวชาร์ล็อตไปไว้ที่ไหน”


คำถามมาพร้อมกับหมัดหนัก ๆ ที่ชกเข้าหน้าของไซคลอปส์ซึ่งตกเป็นสนามอารมณ์ไม่ยั้ง มือที่ถูกหุ้มด้วยหมอกทำให้แมคเคนซีไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย ช่างเป็นทักษะสานฝันคนที่อยากต่อยอสุรกายด้วยมือเปล่าอย่างเขาจริง ๆ


“ขะข้า.. ไม่บอกเจ้าหรอก แอ่ฟ!”


ในเมื่อไม่ยอมเปิดปากพูดมันจึงโดนหมัดหลุน ๆ ซัดเข้าไปอีกที ดีนเพิ่งจัดการกับเงาของเทพีเฮคาทีเสร็จรีบมาหาแมคเคนซี เขาชะงักนิดหน่อยเมื่อเห็นคนรักเข้าโหมดโหดราวกับเอาอย่าง ซิลเวอร์ ควินน์ พี่ชายของบ้านมา

ใจนึงก็อยากจะบอกว่า ‘รีบ ๆ จัดการมันดีไหม ดูน่าสงสาร’ แต่อีกใจก็คิดว่า ‘ไซคลอปส์พวกนี้เจ้าเล่ห์ไว้ใจไม่ได้ ถ้าไม่ได้ที่ซ่อนของชาร์ล็อตก็ไม่ควรมอบความตายให้มันไปสบาย’


เออ.. สงสัยว่าดีนจะแอบติดความคิดแบบซิลเวอร์มาอีกคน


ฉะนั้นเรื่องรีดความจริงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแฟนดีกว่า เขาเพียงแค่เข้าไปอยู่ข้าง ๆ ให้รู้ว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยแล้ว


เจ้าไซคลอปส์ตนนี้ปากแข็งใช่ย่อย ขนาดโดนแมคเคนซีซ้อมจนอ่วมแล้วก็ยังไม่ปริปากบอกแม้แต่น้อย หรือไม่ก็คงเจ็บระบมไปหมดเสียจนพูดไม่ไหว ในเมื่อไม้แข็งไม่ได้ผลก็คงต้องใช้ไม้ซุง


“แย่ชะมัด ซ้อมไปก็เสียเวลาเปล่า บ้านแค่ไม่กี่หลังพวกฉันหาเองก็ได้ ได้เวลาส่งแกไปทาร์ทารัสแล้ว”


หมอกที่ปกคลุมมืออยู่หายไป แมคเคนซีหยิบกริชจันทราสีเลือดออกมา คมมีดส่องประกายในความมืดราวกับบอกว่าพร้อมที่จะทำหน้าที่แล้ว


“บอกแล้ว ! ข้ายอมบอกแล้ว ! ธิดาเฮคาทีคนนั้น…อยู่ถัดจากบ้านหลังนี้ไปอีกเก้าหลัง”


อาจเป็นเพราะความตายที่มาจ่อตรงหน้าและชื่อ ‘ทาร์ทารัส’ จึงทำให้สุดท้ายแล้วไซคลอปส์ตนนี้ยอมคายความลับออกมา แมคเคนซีหันไปมองดีนเล็กน้อยก่อนจะเก็บมีดสั้นลงแล้วค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นยืนโดยปล่อยให้อสุรกายร่างยักษ์นอนพะงาบอยู่อย่างนั้น


“นายเจ็บตรงไหนไหมดีน แม่ฉันรุนแรงกับนายหรือเปล่า”


เขาจับไหล่ทั้งสองข้างของคนรักหันไปมาเพื่อตรวจสอบร่องรอยบาดแผล ราวกับปีศาจที่สิงสู่ก่อนหน้านั้นออกจากร่างไป กลับมาเป็นแมคเคนซีที่อบอุ่นปานไมโครเวฟเหมือนเคย


“ฉันไม่เป็นไร แค่จุก ๆ นิดหน่อยแต่แค่นี้ยังไหว”


ดีนหัวเราะเสียงแห้ง บอกยังไหวก็จริงแต่ใจก็คือ ‘พอแล้วได้ไหม!’ ยังหาชาร์ล็อตไม่เจอก็ยังรับประกันไม่ได้ว่าต้องบู๊แหลกอีกกี่รอบ ร่างกายร้าวพอ ๆ กับตอนที่โลกิบุกค่าย… มีหวังคืนนี้ได้สลบเหมือดจนถึงเช้าแน่ ๆ


เนตรสีเปลือกไม้เสมองไปทางไซคลอปส์ที่นอนพังพาบอย่างหมดสภาพอยู่บนพื้น


“เจ้านี่ไว้ใจได้ไหม จะอยู่ในบ้านอีกเก้าหลังถัดไปจริงหรือเปล่า หรือเราควรลากคอมันไปด้วยถ้าโกหกค่อยเชือดทิ้ง”


แกล้งพูดขู่ไปงั้น ๆ แต่คนที่มาด้วยอาจจะทำจริงก็ได้ มันจึงได้แต่สั่นสะท้านด้วยความกลัวตาย


แมคเคนซีเพียงแค่ยิ้มบาง ดูจากสีหน้าดีนแล้วเหมือนมีคำว่า ‘ไม่ไหวบอกไหว’ เขียนอยู่บนหน้าผากชัด ๆ มาจนถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่าคิดถูกแล้วจริง ๆ ที่เดินทางมาทำภารกิจด้วยกัน อย่างน้อยก็ยังพอช่วยแบ่งเบาภาระดีนได้


“สภาพแบบนี้พาไปด้วยน่าจะไม่สะดวกพวกเรา ทิ้งไว้ที่นี่เถอะ อีกแค่เก้าหลังเอง…”


เขาปรายตามองไซคลอปส์ตนนั้น หากนับบ้านเลขที่ถัดไปอีกเก้าหลังก็มีความเป็นไปได้สูง ‘บ้านเลขที่ 666’ เลขสวยเสียด้วย


‘ผิดคาดนิดหน่อยแฮะ’


ก่อนหน้านี้แมคเคนซีดูโหดสลัดกลอสเตอร์แท้ ๆ แต่กลับยอมปล่อยไซคลอปส์ไปง่าย ๆ ส่วนดีนไม่ได้มีปัญหาอะไร เขามองเข้าไปในดวงตาอันใหญ่โตเพียงหนึ่งเดียวกลางใบหน้าของสาวกลัทธิบูชายัญ แค่นี้ก็รู้ว่ามันกลัวจนไม่กล้าลุกขึ้นมาซ่าอีก

“โอเคที่รัก ถ้านายว่าแบบนั้นฉันก็เห็นว่าดี”


ส่วนหนึ่งเพราะว่าไซคลอปส์บางตัวอาจมีสายเลือดโพไซดอนด้วยเนี่ยแหล่ะเลยรู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นมา ถึงแม้ที่ผ่านมาจะสังหารไปหลายตัวแล้วก็ตาม… ไม่รู้สิ ช่างเป็นอะไรที่ย้อนแย้งในใจบุตรเจ้าสมุทรเหลือเกิน


“ไปกันต่อเถอะ อย่าเสียเวลาตรงนี้เลย”


เรียวแขนพาดกอดคอคนรักไว้แล้วพากันออกจากบ้านหมายเลข 657 หากแต่สมาธิของแมคเคนซียังคงจดจ่ออยู่กับไซคลอปส์ตนนั้น เมื่อบานประตูไม้ปิดลง หมอกควันหนาทึบก็โอบล้อมอสุรกายเพียงหนึ่งเดียวในบ้าน ก่อนที่ร่างใหญ่ยักษ์จะหายไปในนาทีต่อมา




ความคิดเห็นผู้บันทึก

ค่อนข้างเหนือความคาดหมาย ไม่สิ…ต้องบอกว่าเหนือความคาดหมายไปมากที่เจอร่างเงาของเทพีเฮคาทีที่นี่ ถึงขนาดส่งร่างเงามาช่วยชาร์ล็อต นั่นก็แปลว่า…ไม่ใช่แม่ที่ไม่สนใจไยดีลูกไปซะทีเดียวหรอก ใช่ไหม แต่ใด ๆ ก็คือ…ดีนเห็นด้านที่น่ากลัวของผมเข้าแล้วนี่สิ ไม่นะ ดีนจะกลัวหรือเปล่า คราวหน้าผมต้องควบคุมตัวเองให้ดีกว่านี้แล้ว


สรุปสถานการณ์

- มาถึงบ้านเลขที่ 657 แต่ไม่พบชาร์ล็อต

- พบร่างเงาของเทพีเฮคาทีแทน ดีนต่อสู้กับร่างเงา

- แมคเคนซีต่อสู้กับฝูงไซครอปส์

- ได้รับเบาะแสเพิ่มเติมว่า ชาร์ล็อตถูกนำไปไว้ที่บ้านเลขที่ 666

- รัสเซลรออีกนิดนะ ใกล้ถึงบทของนายแล้ว


สรุปผลการต่อสู้

DEAN

ร่างเงาเทพีเฮคาที Lv.51 [1]


MACKENZIE

สาวกลัทธิ The Watcher Lv.65 [1] [2] [3] [4]


สินสงคราม

ตาไซคลอปส์ จำนวน 4 **หินตีบวกตามเลขไบต์หลังสุด**


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 192471 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-5-23 01:54
โพสต์ 192,471 ไบต์และได้รับ +20 EXP +1 Point [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +20 ความกล้า +40 ความศรัทธา จาก เขตแดนเฮคาที  โพสต์ 2025-5-23 01:54
โพสต์ 192,471 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก กริชจันทราสีเลือด  โพสต์ 2025-5-23 01:54
โพสต์ 192,471 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +88 ความกล้า +88 ความศรัทธา จาก มาลาแห่งอัสสัมชัญ  โพสต์ 2025-5-23 01:54
โพสต์ 192,471 ไบต์และได้รับ +18 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ จาก Hydro X  โพสต์ 2025-5-23 01:54
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส
น้ำหอมเฮคาที
เหรียญนกฮูก
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x7
x10
x10
x7
x2
x9
x6
x4
x3
x70
x4
x10
x6
x12
x6
x18
x3
x55
x9
x189
x14
x14
x12
x45
x18
x5
x5
x5
x2
x5
x2
x11
x20
x10
x10
x2
x2
x2
x4
x1
x3
x12
x6
x2
x5
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x13
x2
x5
x4
x2
x1
x16
x145
x192
x10
x6
x10
x10
x16
x55
x80
x1
x1
x1
x4
x3
x1
x1
x1
x1
x5
โพสต์ 2025-5-27 00:21:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-9-29 00:08

IV
บุตรแห่งเฮคาที VS บุตรแห่งโพไซดอน
Dean Eilwyn Alvarez Neal

- 15.05.2025 / 3:10 PM - ถนนบูเลอวาร์ด, เวสต์ฟิลด์, รัฐนิวเจอร์ซีย์


หลังจากที่กำจัดสาวกเดอะวอชเชอร์ไปได้หนึ่งฝูงใหญ่ ๆ จากนี้ก็ไม่มีตัวอะไรโผล่มาอีก ราวกับว่าเราฆ่าล้างบางพวกมันกันไปหมดแล้ว


แต่ดีนจำได้… ยังมีไซคลอปส์ตัวป้าที่ยิ้มสยองต้อนรับพวกเขาทั้งสองตั้งแต่เดินเข้ามาในซอย ถ้าไม่ถูกกำจัดไปพร้อมกับเพื่อนพ้องน้องพี่แล้วล่ะก็ เจ้านั่นอาจจะยังหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง รอเปิดตัวอย่างอลังการเพื่อมาเซอร์ไพรส์พวกเราอีกรอบ เพราะว่าดีนรู้สึกได้ถึงออร่าความไม่ธรรมดาจากป้าคนนั้น


ทั้งที่จริงก็อาจจะเป็นแค่ ‘คาเรน’ (ป้ามหาภัย) ธรรมดา ๆ คนนึง แต่ด้วยความที่เป็น ‘คาเรน’ นั่นแหละถึงได้ไม่ธรรมดา


จนพวกเขาทั้งสองได้มาหยุดอยู่หน้าบ้านเลขที่หกหกหก ที่อยู่ถัดมาอีกเก้าหลังจากบ้านหกห้าเจ็ด


“อื้อหือ… เลขที่บ้านเป็นมงคลมาก” เหมือนว่าดีนจะเพิ่งเอะใจ

“ปกติเขาจะข้ามเลขนี้ไปหรือเปล่า…”


แมคเคนซีมองบ้านตรงหน้าอย่างไม่วางใจนัก ขนาดโรงแรมยังละเลขห้องบางเลขไว้แล้วข้ามไปเลขถัดไป บ้านเลขที่ก็น่าจะเหมือนกัน แถมยังไม่มีอะไรคุ้มกันอีก ยิ่งน่าสงสัยไปกันใหญ่

“นั่นสิ แถวบ้านฉันข้ามนะ แต่คนนิวเจอร์ซีย์คงไม่ถือมั้ง”

ดีนมองสแกนเข้าไปในบ้านเลขที่ตองหกอีกครั้ง ดูเผิน ๆ ก็คล้าย ๆ กับบ้านหกห้าเจ็ดที่เพิ่งไปลุยกันมา มีเพียงบางส่วนที่แตกต่างออกไปนิดหน่อยคือสีบ้านและการจัดสวน ซ้ำยังมีประตูข้างบ้านบานหนึ่งเปิดทิ้งไว้ ดูแล้วเหมือนเป็นทางลงห้องเก็บของชั้นใต้ดินที่อยู่นอกตัวบ้าน


“ประตูนั่น…”


ดีนชี้ให้แมคเคนซีดู พลันนึกเอะใจขึ้นมาจึงรีบวิ่งไปที่ประตูนั้น มีรอยเท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามา แต่ขาออกกลับมีรอยเท้าสองคู่ที่มีร่องรอยของการขัดขืน ยื้อยุดฉุดกระชากกันด้วย แถมยังเป็นรอยเท้าสดใหม่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วอีกต่างหาก

“แมคซี่ หรือว่าชาร์ล็อตจะถูกพาหนีไปอีกแล้ว!?”

แมคเคนซีรีบวิ่งตามดีนไป มองจากร่องรอยแล้วก็ดูจะเป็นอย่างที่ดีนว่า มีทั้งรอยเท้าใหญ่และเล็ก ซึ่งรอยเท้าเล็ก ๆ นั้นคงจะเป็นของชาร์ล็อต น้องสาวต่างมารดาของเขาอย่างแน่นอน


“พวกนั้น…คราวนี้ฉันไม่ปล่อยให้หนีไปอีกแน่”


หากเป็นรอยที่เพิ่งเกิดขึ้น แน่นอนว่าฝ่ายนั้นคงยังพาชาร์ล็อตหนีไปได้ไม่ไกล หากรีบตามไปตอนนี้จะต้องเจอตัวแน่ ๆ


“ไปกันดีน ทนอีกหน่อยนะ เดี๋ยวพวกเราก็ได้พักแล้ว”


เขาหันมาบอกดีนที่ตอนนี้สีหน้าดูเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะออกวิ่งตามรอยเท้านั้นไป แม้จะเป็นลูกมหาเทพแห่งพื้นสมุทร มีทักษะมากมายเหลือล้น แต่การใช้สกิลแต่ละอย่างเห็นแล้วก็ชวนให้เสียพลังงานไปไม่น้อย จบจากภารกิจนี้แมคเคนซีจึงสัญญากับตนเองว่าดีนกับชาร์ล็อตจะต้องได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ในที่ที่สะดวกสบาย


“อื้ม! ถ้าปล่อยให้หนีไปได้อีกทีคราวนี้แย่แน่ ๆ”


.
.
.



ทางด้านหนึ่ง...

“อื้อ! อื้อ!”

ชาร์ล็อตกำลังยื้อยุดฉุดกระชากอยู่กับป้าแก่ที่หลังตรอกซอยถนนบูเลอวาร์ด ที่ลำตัวของหญิงสาวถูกมัดด้วยโซ่ขนาดใหญ่ราวกับโซ่ล่ามสัตว์ โดยเฉพาะบริเวณมือที่ถูกพันจนมิดไม่เห็นปลายนิ้ว ทำให้ธิดาเฮคาทีไม่อาจใช้เวทมนตร์ได้ ปากก็ถูกมัดไว้ด้วยผ้าทำให้ไม่สามารถส่งเสียงร้องออกมาถนัด


“อย่าขัดขืนน่านังหนู!”


หญิงชราริมฝีปากสีเลือดนกเปล่งเสียงดุ เป็นน้ำเสียงผสมผสานระหว่างหญิงและชายรวมกัน เมื่อเห็นว่านักโทษไม่ยอมจำนน มันจึงอุ้มเธอขึ้นพาดบ่าแล้วออกวิ่ง กระโดดข้ามรั้วสูงด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลไม่สมกับรูปร่างหญิงชราผู้บอบบาง


ฝ่ายดีนและแมคเคนซีตามมาไม่ห่างจนพอเห็นภาพตรงหน้า พวกเขาปีนรั้วสูงข้ามตามมาได้ แต่ก็เห็นว่าคนร้ายอุ้มชาร์ล็อตวิ่งหนีไปได้ไกลแล้ว


“บ้าเอ๊ย! เจ้านั่นวิ่งเร็วชะมัดเลย”


ดีนย่อตัวลงหายใจหอบ ขนาดว่าตนวิ่งจ๊อกกิ้งแทบทุกเช้ายังเหนื่อยอ่อนขนาดนี้ ร่างกายคงใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มแก่


“ทำไงดีแมคซี่ แบบนี้เราจับมันไม่ได้แน่ นายพอจะมีเวทสักบทที่เพิ่มความเร็วหรือไม่ก็จับมันได้ไหม”


“ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี…”


แมคเคนซีที่หอบหายใจหนักไม่แพ้กันมองจ้องร่างคนที่อุ้มน้องสาวของตนหนีตาไม่กระพริบ เขาอยากใช้เวทโซ่ตรวนจัดการกับหญิงชราคนนั้นซึ่งมีพละกำลังเหลือล้นผิดมนุษย์เหลือเกิน แต่ก็ติดที่ว่าชาร์ล็อตอาจเป็นอันตรายไปด้วย


“ฉันจะใช้สกิลควบคุมหมอก ถ้านายเห็นภาพอะไรก็อย่าตกใจไป มันเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น”


บุตรเฮคาทีเอ่ยเตือนคนรักไว้ก่อนเพื่อให้เตรียมตัวรับมือกับทักษะที่กำลังจะใช้ อีกฝ่ายจะได้ไม่สติแตกไปเสียก่อน การสร้างภาพลวงตาจากหมอกไม่ได้มีผลเพียงแค่กับอสุรกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมนุษย์ทั่วไปและเดมิก็อดด้วยกันเองด้วย


จากนั้นแมคเคนซีก็รวบรวมสมาธิ เพ่งกระแสจิตไปยังหญิงสูงอายุนั้น ฉับพลันภาพเปลวเพลิงโหมกระหน่ำราวกับไฟป่าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าและล้อมรอบตัวของเธอไว้จนหยุดชะงัก ไม่สามารถวิ่งไปทางใดได้อีก


“ได้ผล ไปกันดีน เราต้องคว้าโอกาสนี้ไว้”


เมื่อเห็นว่าแผนของตนประสบผลสำเร็จ แมคเคนซีก็รีบวิ่งแบบลืมเหนื่อยไปยังร่างนั้นที่พยายามใช้มือนึงปัดป้องเปลวไฟปลอมส่วนอีกมือก็ยังคอยอุ้มร่างชาร์ล็อตไว้


“สมจริงชะมัด… นี่แค่ภาพลวงตาใช่ไหม”


ดีนเอ่ยเสียงแผ่ว หากแมคเคนซีไม่เกริ่นออกมาก่อนว่าอาจเห็นภาพแปลก ๆ เขาคงแหกปากโพล่งออกมาลั่นแล้วว่า ‘นายถึงขนาดเผาหมู่บ้านเพียงเพราะจะจับคนที่ลักพาตัวน้องสาวนายไปเลยเหรอแมคซี่!’

“ฉันจะรีบไปดักหน้ามันเอาไว้!”


บุตรสายน้ำบอกคนรัก จากนั้นก็เร่งความเร็วเต็มฝีเท้าวิ่งฝ่าเปลวไฟปลอมไปดักหน้าหญิงแก่ ยกหอกตรีศูลชี้หน้ามันไว้

“หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้เลยแก.. ยัยป้าแก่!”


เสียงที่เปล่งเหินขึ้นกลืนไปกับลมหายใจหอบเหนื่อย ตอนนี้แทบไม่มีแรงเหลือจนต้องย่อตัวลงยันแขนข้างที่ว่างไว้กับหน้าขา


“หึ! ดูสภาพเจ้าสิน้องชาย เจ้าคงเหนื่อยเต็มทน ไหน ๆ เราก็เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดบิดา ทำไมเจ้าไม่เข้าร่วมกับข้าแล้วขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของโลกใบนี้ด้วยกันล่ะ”


หญิงชราเอ่ยด้วยสองน้ำเสียงผสมกัน นั่นยังสร้างความงงไม่เท่ากับสิ่งที่มันพูด


“อะไรนะ.. พี่น้องกัน?”


“อื้อ! อื้อ ๆ!”


ชาร์ล็อตเมื่อเห็นดีนก็ยิ่งดิ้น มือที่ถูกมัดไว้ทุบหลังร่างที่อุ้มเธออยู่อย่างแรง รวมถึงขาทั้งสองก็เตะปัดป่ายไปมา แต่น่าแปลกที่หญิงสูงอายุคนนี้กลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่น้อย


ภาพลวงตาเลือนลางหายไปกลับกลายมาเป็นถนนหลังซอยบูเลอวาร์ดเช่นเดิมเมื่อแมคเคนซีตามมาถึง


“ชาร์ล็อต…มัวแต่พูดพล่ามบ้าบออะไร ปล่อยน้องสาวฉันเดี๋ยวนี้!”


แน่นอนว่าเขาได้ยินที่อีกฝ่ายพูด ถึงจะสงสัยเช่นกันว่าหมายความว่าอะไร แต่ชาร์ล็อตเองก็สำคัญ


“เช่นนั้นขอแนะนำตัวเสียหน่อย ข้าธาลาโคลน บุตรแห่งโพไซดอนกับเนเรียดแห่งท้องทะเล รองผู้นำเหล่าสาวกเดอะวอชเชอร์”


ระหว่างที่ยายแก่แนะนำตัวมันก็กลับร่างเดิมเป็นไซคลอปส์ตาเดียวรูปร่างใหญ่โต วิกผมสีขาวร่วงหล่นลงมาจากศีรษะใหญ่ล้าน


หลายสิ่งประดังประเดคล้ายถูกรถบรรทุกพุ่งชน บุตรแห่งโพไซดอนอีกคนที่กำเนิดจากมนุษย์หญิงมัวแต่อึ้ง ในหัวคิดอะไรไม่ออก ความจริงเขาก็เตรียมใจไว้บ้างนิดหน่อยว่าไซคลอปส์ที่ต่อสู้อาจมีสักตัวที่สายเลือดเดียวกัน ดังนั้นดีนจึงเลือกถามสิ่งสำคัญที่สุดที่เด่นชัดในใจก่อน

“บุตรงั้นเหรอ? ฉันนึกว่าแกเป็นผู้หญิงซะอีก”

“ช่างเขลาจริง ๆ น้องชายข้า เจ้าเคยเห็นไซคลอปส์ตนไหนในตำนานปกรนัมเป็นหญิงบ้าง เผ่าพันธุ์เราไม่มีเพศเมีย!”

แมคเคนซีถึงกับผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหญิงชราแท้ที่จริงแล้วคือไซคลอปส์ปลอมตัวมาอย่างที่ดีนบอกไว้แต่แรก แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือไซคลอปส์ตนนี้ก็เป็นบุตรของมหาเทพโพไซดอนเช่นเดียวกันกับคนรักของเขา


‘เมื่อกี้ก็เจอร่างเงาของแม่ นี่ยังมาเจอไซคลอปส์พี่น้องดีนอีก ให้ตายสิ นี่มันศึกสายเลือดหรือไง’


“ไม่อ่ะ… ฉัน… ไม่เคยอ่าน”

หนุ่มเท็กซัสตอบตามตรงไปอย่างซื่อ ๆ จนธาลาโคลนเกือบทำชาร์ล็อตที่อุ้มอยู่ร่วง ดีนหวนนึกถึงไซคลอปส์ที่เคยกำจัด หญิงแจกใบปลิวที่ปารีส ไซคลอปส์คู่รักคนไร้บ้านที่ชิคาโก แล้วก็ยังฝูงที่เจอเมื่อกี้นี้...


‘ปลอมตัวให้กลมกลืนหรือว่าใจรักกันล่ะนั่น’

“จะยังไงก็ช่าง! หากเจ้าไม่เข้าร่วมกับเราก็ถือว่าเป็นผู้ทรยศต่อสายเลือด จักต้องถูกกำจัด!!” ธาลาโคลนคำรามราวกับสัตว์ร้ายที่มีตาเดียว

คำว่าผู้ทรยศต่อสายเลือดทำเอาจิตใจของดีนหวั่นไหวไม่ใช่น้อย จนมือที่ชูอาวุธขู่ลดลงชั่วครู่

“อื้อ! อื้อ!”

แต่เสียงร้องของชาร์ล็อตเรียกสติของเขาให้กลับคืนมา ไปเข้าพวกกับมันสิถึงเรียกว่าทรยศต่อพวกพ้อง!

“แกไม่รู้อะไรซะแล้ว ขนาดว่าเทพพิทักษ์ธีซีอุสฉันยังตบคว่ำมาแล้วเลย นับประสาอะไรกับรองผู้นำลัทธิโนเนม ฉันไม่อยากนับญาติกับแกด้วยซ้ำ!”

ดีนแค่นยิ้มมุมปาก ซ้ำยังปากดีใส่แม้ท้ายเสียงจะสั่น ทว่าคล้ายจะได้ผล สีหน้าของธาลาโคลนซีดลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของธีซีอุส


‘แล้วยังธีซีอุสอะไรนั่นอีก…’


เหมือนว่าตอนนี้ทั้งสองคนนั่นกำลังพูดถึงบุคคลที่แมคเคนซีไม่รู้จัก แต่ฟังจากชื่อที่เป็นภาษากรีกแล้วแถมยังมีตำแหน่งเทพพิทักษ์อะไรนั่นอีก คงเดาได้คร่าว ๆ ว่าเหตุการณ์นั้นคงเกิดขึ้นตอนที่ดีนไปทำภารกิจล่ะมั้ง


“เขาก็บอกแล้วว่าไม่นับแกเป็นญาติ เพราะงั้นรีบปล่อยชาร์ล็อตซะ ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว”


ซึ่งแน่นอนว่าแมคเคนซีหมายความตามนั้นจริง ๆ


“เรื่องอะไรต้องปล่อย ธิดาแห่งเทพีเฮคาทีคนนี้คือของสำคัญในพิธีบูชายัญของพวกข้า!”


ไซคลอปส์ร่างยักษ์คำรามลั่นแล้วทำท่าจะพาชาร์ล็อตหนีไปอีกรอบ


“เดี๋ยว! ฉันมีข้อเสนอ ฉันเองก็เป็นลูกเทพีเฮคาทีเหมือนกัน แกปล่อยชาร์ล็อตแล้วมาสู้กับฉัน ถ้าฉันแพ้ก็เอาตัวฉันไปทำพิธีแทนได้เลย และดีนก็จะจบภารกิจนี้ทันที ตกลงไหม”


แมคเคนซีออกมายืนด้านหน้าดีนแล้วรีบรั้งไว้ก่อนที่อสุรกายจะพาน้องสาวของตนไป เขาชูคทาคบเพลิงซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวของบุตรเทพีแห่งมนตราขึ้นมาให้ดูเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดตนเอง


“เดี๋ยว! นายยกข้อเสนออะไรเนี่ยแมคซี่ ฉันไม่เห็นด้วย!” ดีนค้าน


“แล้วมีประโยชน์อะไรที่ข้าต้องเอาเจ้าไป….ไม่สิ จะว่าไปก็น่าสนใจดี ถ้าข้าชนะเจ้า น้องชายของข้าก็จะยุติภารกิจนี้ แล้วก็จะไม่มีเดมิก็อดหน้าไหนมาขัดขวางพวกข้าอีก…..”


ธาลาโคลนมองคทาเวทในมือแมคเคนซี ดวงตาลูกโตไล่มองผู้ที่ได้ชื่อว่าพ่อมดหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับกำลังประเมินคู่ต่อสู้ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าตนนั้นได้เปรียบกว่าเห็น ๆ


“หึ ๆ แล้วเจ้าจะเสียใจที่ยื่นข้อเสนอนี้กับข้า ตกลง ข้ารับคำท้าเจ้า”


หลังจบประโยคนั้น ธาลาโคลนก็ปล่อยร่างชาร์ล็อตลงแล้วเสกค้อนขนาดยักษ์ที่มีกระแสไฟฟ้าแล่นดังเปรี๊ยะ ๆ มาไว้ในมือ


“เฮ้! เดี๋ยว พวกนายสัญญาอะไรกัน ฉันขอคัดค้าน!!”

ดีนหันมองแมคเคนซีทีนึง หันมามองธาลาโคลนทีนึง ทว่าทั้งสองต่างเอาแต่จ้องตากันเปรี๊ยะ ราวกับมีกระแสไฟฟ้าประชันกันแบบในฉากการ์ตูนญี่ปุ่น ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครที่สนใจเสียงของดีนที่ยืนหัวโด่จนชายหนุ่มได้แต่กำหมัด


‘จบงานนี้นายกับฉันได้คุยกันแมคซี่!’

“อื้อ! อื้อ!”

เห็นทีว่าคนที่สนใจหนุ่มเท็กซัสอยู่เพียงคนเดียวคือ ชาร์ล็อต ลิเลี่ยน ที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ

“โธ่เว้ย!”

ดีกว่าช่วยอะไรใครไม่ได้เลย ดีนเก็บอาวุธให้อยู่ในรูปแบบของกำไลอัจฉริยะ รีบพุ่งตัวไปอุ้มชาร์ล็อตออกมาจากสนามประลองก่อนที่การดวลกันระหว่างไซคลอปส์บุตรโพไซดอนและเดมิก็อดสัญชาติอังกฤษบุตรแห่งเฮคาทีจะเกิดขึ้น


สิ่งแรกที่ทำคือแก้มัดที่ปากออกก่อน จากนั้นทำลายโซ่ที่พันธนาการสาวน้อยเอาไว้ ผิวเนื้อสีขาวที่เคยนวลผ่องช้ำเป็นรอยโซ่ตามเนื้อตัวเหมือนถูกงูรัด หนักหนาที่สุดคือบริเวณมือทั้งสองข้างที่ถูกพันรัดแน่นจนนิ้วมือแทบจะกางออกไม่ได้ เนื่องจากถูกรัดอยู่ในท่าเดิมนานเกินไป

ส่วนชุดที่ใส่… ไม่ใช่ชุดเจ้าสาวแต่เป็นชุดนางพยาบาลแฮะ

“ชาร์ล็อตเธอเป็นอะไรไหม บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ดีนเอ่ยถามน้ำเสียงเป็นห่วง

“หนู..”

ชาร์ล็อตพยายามตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่าราวกับคำพูดนั้นกลืนหายไปในลำคอจากการที่ไม่อาจส่งเสียงพูดมาเป็นเวลานาน

“โอ้ เธอต้องกินน้ำก่อน ค่อย ๆ นะชาร์ล็อต”

บุตรแห่งโพไซดอนเปิดขวดน้ำที่พกพามาให้แก่น้องสาวของแฟน ได้พักสักครู่อาการของเธอน่าจะดีขึ้น ใจนึงก็ห่วงน้องสาวในค่ายอีกใจก็ห่วงแฟน หนุ่ม ดีนที่ได้แต่มองดูการต่อสู้อยู่ตรงนี้เฉย ๆ รู้สึกเจ็บใจชะมัด!

.
.
.


หลังจากที่ดีนพาชาร์ล็อตหลบไปยังที่ปลอดภัยและห่างไกลจากสนามต่อสู้ชั่วคราวแล้ว แมคเคนซีก็กระชับคทาเวทในมือแน่น ดวงตาสีฮาเซลมองจ้องไซคลอปส์ตรงหน้าตาไม่กระพริบ เขามีเพียงโอกาสเดียว หากพ่ายแพ้ก็เท่ากับว่าส่งตัวเองไปตายและดีนก็จะทำภารกิจไม่สำเร็จ ซึ่งเขาไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเป็นอันขาด


“มาเป็นเหยื่อบูชาให้ลัทธิข้าซะ!”


ธาลาโคลนเองก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ค้อนขนาดใหญ่ถูกฟาดลงมาโดยมีแมคเคนซีเป็นเป้าหมาย ซึ่งความไวของบุตรแห่งโพไซดอนตนนี้จัดว่าเหนือชั้นกว่าฝูงไซคลอปส์ที่เขาจัดการได้อย่างง่ายดายก่อนหน้านี้มากนัก แมคเคนซีรีบกระโดดหลบไปด้านข้างแต่ก็ถูกเศษคอนกรีตที่ถูกค้อนทุบแตกกระเด็นมาโดนใบหน้าจนเลือดซิบ ดูจากถนนที่แตกละเอียดจนเป็นหลุมแล้ว หากเมื่อครู่หลบไม่ทันคงเป็นเขาที่หัวแบะแน่ ๆ


“ใครจะไปยอม เตรียมกลับไปมือเปล่าซะ อุ๊บ !”


ดูเหมือนธาลาโคลนจะไม่เปิดช่องว่างให้เขาได้สวนกลับแม้แต่น้อยทั้งคำพูดและการต่อสู้ ค้อนยักษ์ที่มีกระแสไฟแล่นถูกเหวี่ยงมาทางแมคเคนซีอีกครั้ง ดูยังไงก็เหมือนค้อนปอนด์ชัด ๆ แต่ไซคลอปส์ตนนี้กลับใช้งานมันได้อย่างคล่องแคล่วราวกับค้อนของเล่น


“โพรเทโก อานิมุส!”


กำแพงเวทโปร่งแสงถูกกางกั้นระหว่างแมคเคนซีที่ล้มลงไปและค้อนที่ฟาดลงมาห่างจากเขาเพียงไม่กี่เซนฯ พอดี แรงปะทะนั้นมากพอที่จะทำให้เห็นบาเรียกระเทือนได้ด้วยตาเปล่า ดูท่าว่าหากถูกโจมตีด้วยความรุนแรงเท่านี้ซ้ำกันหลายรอบเข้า เวทป้องกันของเขาคงจะถูกทำลายไปก่อน


“อิกนิส พาร์วัส!”


แมคเคนซีรีบใช้โอกาสนี้ร่ายคาถาเปลวเพลิงต่อทันที ลูกไฟขนาดเท่าลูกฟุตบอลพุ่งออกมาจากปลายคทา แต่ธาลาโคลนกลับหลบทัน อสุรกายตาเดียวถอยออกไปเพื่อตั้งหลัก ส่วนแมคเคนซีเองก็รีบลุกขึ้นมาเช่นกัน


“ไม่เลวบุตรแห่งเฮคาที แต่ข้าเบื่อจะเล่นกับเจ้าแล้ว เตรียมตัวรับความพ่ายแพ้ซะ!”


ร่างใหญ่โตนั้นวิ่งเข้ามาอีกครั้งด้วยความเร็วพร้อมกับเงื้อค้อนในมือขึ้น ซึ่งแมคเคนซีเองก็เตรียมพร้อมจะรับมือกับอาวุธอันตรายนั่นอีกครั้ง


พลั่ก!


“อ้อก! …แค่ก ๆ!”


จากที่คิดว่าจะโดนค้อนสายฟ้าโจมตี แต่แมคเคนซีกลับถูกหลอกเข้าอย่างจัง ร่างของเขาทรุดลงไปกองกับพื้นจากกำปั้นที่ชกเข้าท้องเต็มแรง


“ฮ่า ๆๆ คิดว่าข้ามีดีแค่ค้อนงั้นเรอะ ประมาทเกินไปแล้วเดมิก็อด”


ธาลาโคลนยกค้อนขึ้นพาดบ่ายืนหัวเราะเยาะขบขันแมคเคนซีที่นอนตัวงอกุมท้องอยู่ หมัดนั้นหนักใช่เล่น อารมณ์อย่างกับถูกเตะบอลอัดใส่หนัก ๆ ไปหลายทีจนจุกไปหมด


“อย่าลืมสัญญาที่เจ้าให้ไว้กับข้าล่ะ…”


ดวงตาตรงกลางหน้าเหลือบมองไปยังดีนและชาร์ล็อตก่อนจะยิ้มหยัน


“ความผิดของเจ้าเองนะน้องชายที่ไม่ร่วมมือกับข้า ภารกิจของเจ้าสิ้นสุดที่ตรงนี้แหละ”


ค้อนยักษ์ถูกยกขึ้นสุดแขน กระแสไฟฟ้าแล่นเปรี๊ยะเป็นประกายพร้อมจะจัดการเหยื่อบูชายัญรายใหม่

“แมคซี่!!”


ดีนทนดูเฉย ๆ ไม่ได้อีกต่อไป เขารีบลุกขึ้น หน้าปัดอัญมณีบนกำไลอัจฉริยะเรืองแสงสีฟ้าก่อนที่มันจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นอะไรสักอย่าง ซึ่งตอนนี้จิตใจของผู้ใช้งานไม่มั่นคง มันจึงเดี๋ยวเป็นดาบ เดี๋ยวยืดออกเป็นตรีศูล แล้วก็แผ่ออกกลายเป็นโล่


เขาพยายามวิ่งไปสุดแรงที่มีแต่เหมือนหนทางข้างหน้าช่างไกลเหลือเกินจนเห็นเป็นภาพช้า


“แกเองก็อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับฉันล่ะ”


ฉึก!


“อ๊ากกกก !”


กริชจันทราสีเลือดถูกปาออกไป คมมีดนั้นปักเข้าที่ลูกตากลางใบหน้าของธาลาโคลนจนมันร้องลั่น มีดลงอาคมที่เปี่ยมไปด้วยพลังของเทพีแห่งมนตราสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้ไซคลอปส์ตนนั้นจนไม่อาจทานทนได้ ร่างใหญ่ยักษ์นั้นค่อย ๆ สลายเป็นเถ้าธุลีและจางหายไป


“ฉันก็ไม่ได้ใช้แค่คทาเวทไหมล่ะ แค่ก ๆ”


แมคเคนซีมองอาวุธประจำกายอีกชิ้นที่ร่วงลงสู่พื้น ความจุกเสียดที่ท้องยังคงอยู่จนไม่มีแรงแม้แต่จะขยับไปเก็บกริชนั้นมาไว้กับตัว เป็นอีกเรื่องที่ต้องขอบคุณซิลเวอร์พี่ใหญ่ของบ้านที่ช่วยสอนทักษะใช้มีดสั้นให้


เมื่อเห็นว่าร่างของธาลาโคลนพี่ชายร่วมสายเลือดสลายไป ในใจของดีนรู้สึกวูบหวิวนิดหน่อยทว่ากลับโล่งใจมากกว่าเพราะคนรักเอาชนะมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด

“แมคซี่!”

ดีนโผเข้าไปสวมกอดแมคเคนซีคนรักก่อนที่จะประทับจูบหนัก ๆ ลงไปที่เรียวปากอิ่มได้รูป กัดริมฝีปากนั้นแรง ๆ เป็นการลงโทษ แล้วจึงถอนจูบออกหลังรับรสของสนิม

“ไอ้บ้า! นายสัญญาอะไรของนาย!”

หงุดหงิดจนทนไม่ไหว กุมกำปั้นทุบไหล่ของอีกฝ่ายไปอีกตุ้บ


“อื้ม…ดีน เจ็บ เบา ๆ หน่อย”


ถึงจะบอกแบบนั้นแต่แมคเคนซีกลับหลุดขำน้อย ๆ ก่อนจะมุ่นคิ้วเมื่อยังรู้สึกเจ็บที่ท้องอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็กอดดีนที่กำลังโกรธไว้แล้วเลื่อนมือขึ้นไปขยี้ผมหยักศกสีเข้มเบามือ พยายามปลอบให้อีกฝ่ายใจเย็นลง ให้ตายสิ พอเจ็บตัวแล้วได้รับจูบจากดีนแบบนี้ช่างชวนเคลิ้มอย่างกับได้ขึ้นสวรรค์ เขาเลียริมฝีปากที่เพิ่งถูกคนรักกัดไปแล้วอมยิ้มเล็กน้อย


“ใจเย็นสิ ฉันก็แค่ต่อรอง ถ้าฉันไม่พูดแบบนั้นแล้วไซคลอปส์นั่นจะยอมปล่อยชาร์ล็อตเหรอ แล้วต่อให้ฉันแพ้…นายก็จะไม่มีทางยกเลิกภารกิจนี้หรอกใช่ไหม”


ก่อนที่ดีนจะหัวร้อนไปกว่านี้ แมคเคนซีเลยรีบอธิบายแผนการของตนเองให้ฟัง แล้วคว้ามือที่กำอยู่ของดีนข้างนึงมากุมไว้แล้วจูบที่กำปั้นเบา ๆ


“และสุดท้าย…ฉันไม่มีทางแพ้”


ดวงตาสีฮาเซลมองเข้าไปในตาสีเลือกไม้ของดีนอย่างจริงจังก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้


“ชาร์ล็อตล่ะ ชาร์ล็อตอยู่ที่ไหน เธอปลอดภัยดีใช่ไหม”


มัวแต่หวานแหววกับแฟนจนเกือบลืมน้องสาวไปซะได้


“ยกเลิกสิ ถ้านายไม่อยู่ฉันก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปทำอะไรต่อทั้งนั้นแหล่ะ...”

ดีนบุ้ยปากเอ่ยเสียงแผ่ว จากที่โมโห ๆ อยู่ก็เป็นต้องใจอ่อนทุกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเอาความหวานเข้ากลบจนผิวหน้าร้อนผ่าว

“ชาร์ล็อตปลอดภัยแต่ว่าเธอยังไม่แข็งแรง ฉันว่าก่อนจะเป็นห่วงคนอื่นนายเป็นห่วงตัวเองก่อนไหม? ที่ถูกชกเมื่อกี้เจ็บมากหรือเปล่า”

คิ้วเข้มขมวดเป็นปม ดีนวางมือลงบนท้องของแมคเคนซีเบา ๆ ไม่อยากให้คนรักของเขาเจ็บเพิ่ม ฟังจากเสียงของการปะทะกันเมื่อครู่นี้แล้วคงจะถูกชกแรงน่าดู หากกระดูกซี่โครงไม่หักก็ดีไป กระนั้นก็ยังวางใจไม่ได้ว่าจะช้ำในหรือเปล่า


“ถ้าจะยกเลิกอย่างน้อยก็พาชาร์ล็อตกลับค่ายด้วยนะ”


พูดอย่างกับสั่งเสีย ก่อนจะไล่สายตามองตามมือดีนที่วางอยู่ตรงหน้าท้อง


“อา…เจ็บสิ เจ็บชะมัด ตอนโดนชกฉันรู้สึกเหมือนเครื่องในทุกอย่างแทบจะปนกันเลย”


ไซคลอปส์ตนนั้นแรงเยอะจริง ๆ ถ้าตอนนั้นเขาโดนชกอีกสักที ป่านนี้คงได้ไปนอนอยู่โรงพยาบาลแน่ ๆ


“แย่กว่าที่คิด…..”


พอลองเลิกเสื้อขึ้นดูก็เห็นรอยช้ำสีม่วงแดงขนาดใหญ่ตามกำปั้นของธาลาโคลนตัดกับหน้าท้องขาว ๆ คราวนี้แมคเคนซีเลยได้แค่ยิ้มเจื่อน


“ไว้ฉันมีแรงกว่านี้จะลองใช้เวทรักษาดู เราไปหาชาร์ล็อตกันก่อนเถอะ นายช่วยพยุงฉันหน่อยได้ไหม”


‘ฉันน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้…’

ทั้งที่ตัวเองเป็นบุตรแห่งสามมหาเทพสูงสุดของกรีกอย่างโพไซดอนแล้วแท้ ๆ แต่ดีนกลับคิดว่าตัวเองช่างกระจอกงอกง่อยเสียเหลือเกิน ในเคสนี้เขาทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าฉีดน้ำ แล้วถ้าที่ไหนไม่มีน้ำเขาก็แทบจะทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากหยิบอาวุธขึ้นสู้ พลังในการรักษาก็ช่วยได้แค่ตัวเอง แถมยังต้องพึ่งพาแหล่งน้ำธรรมชาติอีกต่างหาก

แม้แรงธรรมชาติจะทรงพลังจริงแต่มันก็เท่านั้นถ้าใช้ประโยชน์ไม่ได้ในยามนี้ ฉะนั้นการเป็นบุตรแห่งโพไซดอนจึงแม่งโคตรจะเปล่าประโยชน์…

“ได้ ถ้านายรู้สึกไม่ดีรีบบอกฉันห้ามฝืนเด็ดขาดเลยนะ”


แมคเคนซีพยักหน้ารับแล้วพยายามยันตัวขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ก่อนจะไปก็ยังไม่ลืมใช้เวทเรียกของเก็บกริชจันทราสีเลือดให้กลับมาหาตนเองด้วย


ดีนตามประกบประคองแมคเคนซีให้ลุกขึ้น จากนั้นหิ้วปีกอีกฝ่ายไปหาชาร์ล็อตที่รออยู่ เมื่อหญิงสาวเห็นพี่ชายของเธอน้ำตาก็ไหลพรากลงมาจากดวงตาคู่งามทันที พร้อมกับเปล่งเสียงเรียกชื่อพี่ชายได้ยังไม่เต็มเสียง

“พี่..แม…”

“ชาร์ล็อต…เจ็บมากหรือเปล่า ขอโทษนะ พี่มาช้าไปมากเลย”


พอเห็นสภาพน้องสาวร่วมมารดาชัด ๆ แล้ว แมคเคนซีก็ฝืนร่างกายตนเองผละจากดีนไปกอดเธอไว้แน่น


หญิงสาวดูผอมไปจากเดิมนิดหน่อย แต่ผมสองสีที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของเธอบัดนี้ยาวขึ้นจากเดิมมาก เนื้อตัวก็เปื้อนฝุ่นเปื้อนดินจนดูมอมแมมไปหมด เขาค่อย ๆ ลูบแผ่นหลังที่สั่นเทาของชาร์ล็อตอย่างปลอบประโลม เธอคงจะหวาดกลัวมาโดยตลอด ท่าทางของชาร์ล็อตในตอนนี้ทำให้แมคเคนีนึกย้อนไปถึงกลุ่มน้อง ๆ ของเขาเมื่อตอนไปทำภารกิจที่แคนาดา


ความเจ็บปวดจากเหตุการณ์นั้นกลับขึ้นมาเกาะกุมจิตใจจนน้ำใส ๆ รื้นขึ้นมาที่ดวงตา แต่ก็จำเป็นต้องสะกดกลั้นเอาไว้จนตาทั้งสองข้างแดงก่ำไปหมด


ส่วนดีนได้แต่ปล่อยให้สองพี่น้องได้ใช้เวลาด้วยกันครู่ใหญ่ เขาเพียงแค่ลูบหลังปลอบโยนทั้งสองให้ได้รู้ว่าไม่ได้เผชิญหน้ากับเรื่องแย่ ๆ กันเพียงลำพัง


ใช้เวลาสักพักเลยทีเดียวชาร์ล็อตถึงรู้สึกดีขึ้น แล้วยอมผละกอดออกมาจากพี่ชาย

“ต้อง..ซ่อม…เขตแดนต่อ..คะ”

หญิงสาวพยายามแค่นเสียงพูด เหมือนน่าเสียงของเธอค่อย ๆ ดีขึ้นหลังจากได้พูดคุยกับมนุษย์ด้วยกัน

“หนูซ่อน…สินสงคาม… ในบ้านหมา..แค่ก หกห้าเก้า”

“ใจเย็น ๆ นะชาร์ล็อต เธออยากดื่มน้ำอีกไหม?”

ดีนเอ่ยถามแต่หญิงสาวส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ เป็นการขอบคุณ เขาจึงหันไปถามแมคเคนซีแทน ชาร์ล็อตน่าจะเหนื่อยที่ต้องพูดยาว ๆ แล้ว ไม่แน่ว่าบุตรแห่งเฮคาทีที่เอาแต่ศึกษาตำราและการใช้เวทมนตร์ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้อาจพอรู้อะไรบางอย่าง

“สินสงครามที่เธอพูดถึงหมายถึงอะไรน่ะแมคซี่?”


“ชาร์ล็อตคงหมายถึงสินสงครามที่ใช้เป็นสื่อนำเวทมนตร์…ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ที่ชาร์ล็อตมาร่วมทีมทำภารกิจนี้ก็เพื่อมาซ่อมมนตร์บังตา จากที่ฉันอ่านในตำราเวท เหมือนว่าจะใช้ของสามอย่าง ก็คงเป็นของที่ชาร์ล็อตเอาไปซ่อนไว้นั่นแหละ ใช่ไหม”


แมคเคนซีหันไปถามน้องสาวเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนเองคิดอีกที ซึ่งเธอก็พยักหน้าแทนคำตอบ แล้วหันกลับมาบอกดีน


“เราคงต้องไปเอาของที่บ้านหกห้าเก้าก่อน ไม่งั้นคงซ่อมมนตร์บังตาไม่ได้แน่”


“งี้นี่เอง ถ้างั้นไปกัน พวกนายเดินกันไหวใช่ไหม?”

สองพี่น้องสายเลือดเฮคาทีพยักหน้า จากนั้นทั้งสามก็ช่วยประคับประคองกันและกันไปที่บ้านหกห้าเก้า ซึ่งหน้าบ้านหลังนั้นมีบ้านสุนัขเล็ก ๆ อยู่จริง ทว่าไม่มีสุนัขหรือร่องรอยของชีวิตอื่นอยู่เลย สมาชิกในบ้านรวมถึงสุนัขอาจถูกไซคลอปส์จับกินไปเมื่อปีที่แล้ว แต่ดีนภาวนาขอให้บ้านหลังนี้เป็นบ้านร้างมานานก่อนพวกไซคลอปส์จะมาถึง

“เจอกระเป๋าแล้ว ฉันขอเปิดออกมาหน่อยนะ”

ชาร์ล็อตพยักหน้าลงเป็นการอนุญาต จากนั้นดีนจึงลงมือหาของที่เหมือนกับสินสงครามท่ามกลางสมบัติของหญิงสาวโดยพยายามไม่แตะต้องสิ่งของอื่น

“อันนี้หรือเปล่า?”

ชายหนุ่มนำห่อผ้าแพรสีม่วงเข้มอย่างดีออกมาจากกระเป๋า มันดูเป็นของต้องสงสัยที่ไม่เข้าพวกมากที่สุดเมื่อเทียบกับสารพัดเครื่องใช้กุ๊กกิ๊กและชุดสีพาสเทล สิ่งที่พอจะเข้าคู่ได้มีเพียงอย่างเดียวคือคบเพลิงเฮคาทีที่ซุกอยู่ใต้ก้นกระเป๋า

“ใช่…ค่ะ”

ดีนส่งมอบถุงผ้าแพรและคบเพลิงเฮคาทีให้กับชาร์ล็อต เธอรับมันมา แต่มือที่ถูกรัดอยู่ในรูปทรงเดิมมานานแกะสินสงครามออกจากถุงผ้าได้อย่างยากลำบาก จึงเป็นหน้าที่ของแมคเคนซีในการช่วยเหลือ สินสงครามในนั้นประกอบด้วย เกล็ดฮิปนาลิส น้ำมันคบเพลิง และไขกระดูกอัลกูลที่บรรจุในหลอดแก้วอย่างดี

หลังจากนี้ก็ได้เวลาของสองพี่น้องเฮคาทีจัดการงานหลัก เปลวเพลิงปลายคทาลุกโชติช่วงอีกครั้งเมื่อสายเลือดแห่งมนตราทั้งสองจับไปที่คบเพลิงเดียวกัน

“อะเพอริเร่ โอคูลุส คลาวิส เวริทัส”

สินสงครามทั้งสามถูกมนตราดึงดูดขึ้นมาลอยเหนือไฟคบเพลิง เปลวเพลิงแห่งเฮคาทีเผาผลาญจนของทั้งสามผสานไปกับเวทมนตร์ระดับสูง จนเกิดเป็นลำแสงสีม่วงจากเวทอาณุภาพสูงพุ่งออกจากปลายคทา มุ่งสูงสู่ฟากฟ้าที่ครอบคลุมอยู่เหนือบูเลอวาร์ด ชั่วพริบตาเดียวที่ไอเวทมนตร์ครอบคลุม รอยแตกร้าวขนาดใหญ่เหนือน่านฟ้าก็ถูกฉาบเคลือบ รูโหว่ปิดสนิท เขตแดนแห่งมนตราถูกซ่อมแซมอย่างเสร็จสมบูรณ์

เวทมนตร์บทนี้กินพลังงานของเดมิก็อดหนุ่มสาวไปอย่างมาก พวกเขาเหนื่อยอ่อนกันอย่างเห็นได้ชัดแม้จะช่วยส่งพลังไปด้วยกันทั้งคู่

“โอเคกันไหม?” ดีนที่เฝ้ามองมาโดยตลอดถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง


“ฉัน…โอเค แต่ชาร์ล็อต…น่าจะต้องการพักผ่อนสักหน่อย”


ขนาดแมคเคนซีทีเจ็บแค่ร่างกายแต่สามารถใช้พลังเวทได้เต็มเปี่ยมเมื่อใช้คาถาบทนี้ไปยังรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาอย่างกับไปวิ่งมาราธอนมาหลายสิบกิโลเมตร ชาร์ล็อตที่ตอนนี้สภาพร่างกายไม่สมบูรณ์แข็งแรงคงจะเหนื่อยอ่อนกว่าหลายเท่า  สังเกตได้ชัดจากใบหน้าที่เริ่มซีดลงของเธอ


“ตอนนี้ก็ซ่อมมนตร์บังตาเสร็จแล้ว อีกไม่นานที่นี่คงกลับเข้าสู่สภาพเดิม พวกเราออกจากที่นี่ไปหาที่พักกันก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยกันว่าจะเอายังไงต่อ”


ไม่ใช่แค่ชาร์ล็อต แต่ตอนนี้ทั้งดีนและแมคเคนซีต่างก็ได้แผลกันมาจากการต่อสู้ พวกเขาควรไปจากที่นี่ก่อนที่จะเจออสุรกายอะไรอีกก็ไม่รู้ เมื่อตกลงกันได้เช่นนั้นแล้ว ทั้งสามคนจึงพากันออกจากถนนบูเลอวาร์ดอันร้างไร้ผู้คน


.
.
.


[เพลงประกอบ กด ► ฟังเพื่อเพิ่มอรรถรส]


ดวงตาอันใหญ่โตยังสลายไปสู่ทาร์ทารัสไม่ทันหมด ภาพสุดท้ายที่เห็นคือภาพของเดมิก็อดสามคนที่เพิ่งพิชิตมันได้พากันเดินจากไป


‘ข้าแพ้แล้ว… ข้าทำไม่สำเร็จ… ท่าน…พ่อ’


ก่อนที่วิญญาณจะกลับสู่ทาร์ทารัสไปทั้งหมดธาลาโคลนหวนนึกถึงภาพในอดีต

‘ท่านแม่ ท่านพ่อของพวกเราคือท่านโพไซดอนจริงเหรอฮะ?’


‘จริงสิจ๊ะ โคลลินน์ลูกรัก… เมื่อเติบโตขึ้นไปเจ้าจะยิ่งใหญ่เหมือนบิดาของเจ้าอย่างแน่นอน’

‘สักวันหนึ่งข้าจะยิ่งใหญ่เหมือนท่านพ่อ…’

เนเรียดสาวผู้งดงามโอบกอดลูกไซคลอปส์น้อยสุดที่รักในอ้อมแขนของเธอ ทั้งสองอาศัยอยู่ในถ้ำใต้หน้าผาแห่งหนึ่งของทะเลแคริบเบียน บนเนื้อตัวของอสุรกายเด็กเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากบาดแผล กระนั่นดวงตาอันใหญ่โตเพียงหนึ่งเดียวก็ยังใสซื่อ

ทว่าโลกใบนี้กลับโหดร้ายกับโคลลินน์น้อยเหลือเกิน…

‘กรี๊ดดด ตัวอะไรช่างอัปลักษณ์เหลือเกิน!?’


‘นั่นมันอสุรกายไซคลอปส์ที่ดุร้าย!’

‘ออกไปจากหมู่บ้านของพวกเรานะ!’


เด็ก ๆ รุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาต่างรุมพากันขว้างปาก้อนหินใส่บุตรแห่งโพไซดอนด้วยความรังเกียจ ต่างเผ่าพันธุ์ มิหนำซ้ำยังอันตราย ผิวกายของไซคลอปส์เด็กนับว่ายังอ่อนแอกว่าช่วงโตเต็มวัยมากนัก แม้ไม่อาจทำให้เขาถึงตายแต่ก็สร้างความเจ็บปวดและรอยบาดแผลให้ทั้งทางกายและใจ


‘เดี๋ยวก่อน! ข้าก็แค่! ข้าก็แค่อยากจะเล่นด้วยกับพวกเจ้า!’


ด้วยเหตุนี้ข้าจึงได้ชิงชังเหล่ามนุษย์!


วันเวลาผ่านไป โคลลินน์ในช่วงวัยรุ่นอธิษฐานต่อหน้าวิหารของโพไซดอน เขาคลุมผ้าปิดหน้าแต่งกายเยี่ยงมนุษย์เสี่ยงตายมาที่นี่เพื่อภาวนา


‘ข้าจะโตขึ้นไปยิ่งใหญ่แบบท่านพ่อได้จริงหรือ? แล้วไฉนบุตรแห่งเจ้าสมุทรจึงได้ถูกรังแกเช่นนี้! ท่านพ่อ ท่านพ่อขอรับ ได้โปรดทรงช่วยลูก เมตตาลูก’


ทว่ากลับไร้เสียงตอบกลับจากบิดาผู้ให้กำเนิด ราวกับเรื่องเล่าของมารดาคือนิทานหลอกเด็ก

ในเมื่อไม่ได้รับเสียงตอบกลับจากบิดาไซคลอปส์จึงจำเป็นต้องหาหนทางด้วยวิธีการอื่น


‘แม่มดแห่งท้องทะเล โปรดทรงเมตตา จะมีวิธีใดบ้างที่ข้าสามารถเข้าสู่แอตแลนติสได้’

‘เจ้าอยากมุ่งสู่แอตแลนติสอย่างนั้นรึ? เป็นเรื่องยากที่ผู้ถูกเนรเทศจะกลับไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ก็พอจะมีวิธี…’

‘ถูกเนรเทศ ท่านหมายความว่าอะไร?’ โคลลินน์เอ่ยถามแม่มดด้วยความสงสัย


‘อุ๊ปส์! นี่เจ้าไม่รู้ถึงชาติกำเนิดของตนเองอย่างนั้นหรือไซคลอสป์หนุ่มน้อย หากอยากรู้ล่ะก็…’


แม่มดแห่งท้องทะเลร่ายมนต์คาถาเสกลูกแก้วให้เรืองแสง ฉายภาพในอดีตออกมา เป็นภาพของ ‘เอฟีเมร่า’ มารดาของโคลลินน์ ไซคลอปส์หนุ่มกำลังจะอ้าปากเอ่ยถาม ทว่าแม่มดกลับยกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปาก จากนั้นชี้ไปที่ลูกแก้วให้ชมภาพไม่ขัดจังหวะ


‘ท่านแม่มดแห่งท้องทะเล โปรดช่วยข้า ความรักของข้ามิอาจห้ามใจ’


‘เอฟีเมร่าผู้งดงาม ชายใดเล่าคือผู้ที่ได้ครอบครองหัวใจของเจ้า’


‘ท่านราชาโพไซดอนเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เจ้าค่ะ ท่านแม่มด’ เนเรียดสาวเอ่ยนามเจ้าสมุทร จนแม่มดแห่งท้องทะเลยกมือทาบอกพร้อมกับอุทานออกมาว่า ‘อุ๊ต๊ะ!


‘เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าต้องการคือ?’


‘ความงามของข้ามิอาจเทียบเท่าเทพีแอมฟิไทรต์หรือนางนิมฟ์ระดับสูงตนอื่นได้ ท่านโพไซดอนจึงมิชายตามอง ทว่ารักของข้าคือรักจริง เช่นนั้นข้าจึงมาขอยาเสน่ห์จากท่านเจ้าค่ะ’


ภาพในอดีตจบลงเพียงเท่านี้ นั่นสร้างความตกตะลึงแก่ไซคลอปส์หนุ่มเป็นอย่างมาก

‘ท่านแม่ก็เลยใช้ยาเสน่ห์กับท่านพ่อหรือขอรับ…’


‘เจ้าเดาได้เก่ง พ่อกับแม่ของเจ้าแบบว่า อะหื้ม…. น่ะ’

แม่มดยิ้มอย่างมีเลศนัย นางชูนิ้วชี้ทิ้งสองมือมาชิดกัน เป็นอันเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายความหมาย

‘จนมีเจ้าถือกำเนิดขึ้นมานี่แหล่ะ แต่ความน่าเศร้าก็คือ วันนึงมีผู้ค้นพบการเล่นคุณไสยของแม่เจ้า ท่านเจ้าสมุทรจึงได้พิโรธ โทษของเอฟีเมร่าที่รักคือทัณฑ์ประหาร ทว่าในตอนนั้นนางตั้งครรภ์เด็กในท้อง...ซึ่งก็คือเจ้า จึงเป็นเรื่องยากที่เจ้าสมุทรจะตัดสินพระทัย ราชินีแอมฟิไทรต์ผู้มีเมตตาเสนอลดโทษประหาร เปลี่ยนให้พวกเจ้าสองแม่ลูกถูกเนรเทศออกจากแอตแลนติสไปตลอดกาล’

‘เพราะเหตุนี้ข้าจึงมีชีวิตตกต่ำเช่นนี้…’ โคลลินน์กำหมัด ในแววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น


‘แล้วเจ้ายังอยากจะกลับไปแอตแลนติสอยู่หรือเปล่าล่ะ… โอ๊ะ ไม่ต้องตอบข้า นั่นคือเรื่องที่นอกเหนือจากคำขอ เอาเป็นว่าหากเจ้านำลมหายใจสุดท้ายของเนเรียดมาให้ได้ล่ะก็ หนทางสู่แอตแลนติสก็อยู่ไม่ไกลเกินไขว้คว้า’

โคลลินน์หนุ่มไม่ได้ตอบกลับแม่มด แต่หลังจากนั้นเขาได้พรากเอาลมหายใจสุดท้ายของเอฟีเมร่านำมาใส่ขวดเพื่อเป็นบันไดสู่อำนาจในนครใต้น้ำ

แม้ว่าเขาจะไปถึงแอตแลนติสได้จริง แต่การไปถึงบัลลังก์เจ้าสมุทรก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด ไซคลอปส์หนุ่มพ่ายแพ้แก่ทหารยามและฮิปโปแคมปัสเพียงไม่กี่หยิบมือตั้งแต่หน้าประตูเมือง

เขาควรจะตายตั้งแต่ตอนนั้น ทว่ากลับได้เห็นแสงสว่างเหนือผิวน้ำ

‘โคลลินน์ผู้น่าสงสาร ท้องทะเลทอดทิ้งเจ้า โลกมนุษย์ทอดทิ้งเจ้า ท่านแม่ทอดทิ้งเจ้า ท่านพ่อก็ชิงชังเจ้า’

‘แต่อย่ากลัวไปเลย จากนี้เจ้าจะไม่อยู่อย่างเดียวดาย จงมาร่วมกันก่อตั้ง The Watcher’


‘ท่าน… คือใครกัน?’


‘จำนามนี้ไว้ให้ดี จากนี้ไป  ▓▓▓▓▓▓▓▓ จักเป็นบิดาของเจ้า มารดาของเจ้า และนายเหนือหัวสูงสุดของเจ้า จงละทิ้งนามเก่าไปเสีย แล้วเกิดใหม่ในชื่อ ‘ธาลาโคลน’ ผู้โกรธเกรี้ยวท้องทะเล’


‘ขอรับ ท่านพ่อ’

ภายใต้นามองค์กรเดอะวอชเชอร์ ธาลาโคลนรวบรวมมิตรสหายไซคลอปส์จำนวนมาก พวกเราอยู่กันเหมือนพี่น้อง เหมือนญาติมิตร กลมเกลียวกันเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกวันมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ สุขสบายด้วยการล่ามนุษย์กินกันจนอิ่มหนำ

ประกายความสุขปรากฏขึ้นบนดวงตาเพียงหนึ่งเดียว ทว่าภาพนั้นผันเปลี่ยนเป็นมืดมนในพริบตา เพราะดวงตาที่ถูกกรีดแทงกำลังจะตายอย่างสมบูรณ์ น้ำตาหยดสุดท้ายไหลคลอเบ้า


‘โปรดอภัย… ให้ข้า ทะ..ท่านพ่อ ▓▓▓▓▓▓▓▓’


จนทั้งหมดสูญสลายไปกับอากาศ ไม่เหลือทิ้งร่องรอยเจ้าของนาม ‘ผู้โกรธเกรี้ยวท้องทะเล ธาลาโคลน’ หรือแม้แต่ ‘ไซคลอปส์น้อยผู้อ่อนโยน โคลลินน์’



ความคิดเห็นผู้บันทึก
ผมบันทึกบทนี้ในฐานะผู้สังเกตการณ์
ตอนที่แมคซี่ทำข้อตกลงแลกตัวประกัน ตอนนั้นผมโกรธมากจริง ๆ นะ
หลังจากนี้หมอนั่นยังมีหน้ามาบอกว่ารู้สึกดีที่ผมกัดปากอีก
รู้งี้มันน่าจะลงโทษจูบปากสวย ๆ นั่นให้ช้ำจนพูดอะไรไม่ออกไปเลยจริง ๆ!

สรุปสถานการณ์
- มาที่บ้าน 666 ตามคำสารภาพจากสาวก The Watcher ตัวสุดท้ายที่เหลือ
- ชาร์ล็อตอยู่ที่นั่นจริงแต่เธอกำลังถูกยายแก่พาหนี ซึ่งยายคนนั้นความจริงคือรองหัวหน้ากลุ่มที่ชื่อว่า ธาลาโคลน
- แมคเคนซีท้าธาลาโคลนประลองเพื่อแลกเปลี่ยนตัวประกัน ทั้งสองต่อสู้กัน ผลออกมาคือชัยชนะของแมคเคนซี
- ก่อนร่างสลายธาลาโคลนนึกถึงเรื่องราวในอดีตแบบที่อสูรข้างขึ้นชอบทำกัน
- สายเลือดแห่งเฮคาทีทั้งสองทุ่มพลังในการซ่อมแซมเขตแดนบังตาให้กลับมาสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
- ดีน แมคเคนซี และชาร์ล็อต ออกจากถนนบูเลอวาร์ด ไปหาที่พักแรมในตัวเมืองเวสต์ฟิลด์
- รัสเซลรอก่อน เกือบจะถึงบทแล้ว อีกนิดส์เดียว

สรุปผลการต่อสู้

DEAN


**หินตีบวกตามเลขไบต์หลังสุด**

MACKENZIE

รองผู้นำลัทธิ The Watcher Lv. 85 [1]


สินสงคราม 

ตาไซคลอสป์ 1 ea

แก่นวิญญาณไซคลอปส์ 1 ea

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 133661 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-5-27 00:21
โพสต์ 133,661 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก เข็มกลัดโพไซดอน  โพสต์ 2025-5-27 00:21
โพสต์ 133,661 ไบต์และได้รับ +4 เกียรติยศ +4 ความกล้า +4 ความศรัทธา จาก ล็อคเก็ตรูปหัวใจ  โพสต์ 2025-5-27 00:21
โพสต์ 133,661 ไบต์และได้รับ +20 EXP +40 เกียรติยศ +40 ความศรัทธา จาก กุหลาบสีน้ำเงินทอง  โพสต์ 2025-5-27 00:21
โพสต์ 133,661 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Hydro X  โพสต์ 2025-5-27 00:21

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
Anker PowerCore
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่อัสพิสขัดเกลา
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
แว่นตา
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x2
x2
x3
x2
x1
x3
x3
x1
x1
x3
x11
x2
x7
x2
x4
x8
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-6-1 23:14:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-18 00:37

V
เรื่องกังวลใจของบุตรแห่งจ้าวสมุทร
 Mackenzie Claude Lincoln 

-17.05.2025-
โรงแรมเวสต์ฟิลด์, เวสต์ฟิลด์, รัฐนิวเจอร์ซีย์

“สวัสดีครับ ผมอยากทราบข้อมูลการเดินเรือจากท่าเรือนิวยอร์กหรือว่านิวเจอร์ซีย์ก็ได้ ผมอยากจองห้องบนเรือสินค้าไปเอกวาดอร์ในช่วงอาทิตย์นี้หน่อยครับ ……… ไม่เป็นไรครับ ไปลงที่โคลัมเบียก็ได้ ………. โอ้! มีเหรอครับ ………… เรือออกจากท่าวันที่สิบเก้า ตอนสิบเอ็ดโมงสินะครับ แล้วถ้าผมจะจองห้องพักสำหรับสามคน ………. อะไรนะ? ต้องจองล่วงหน้าสามเดือนเลยเหรอครับ ………. อ่า… เดี๋ยวถ้าจองผมไปลงทะเบียนหน้าเว็บก็แล้วกันครับ ขอบคุณครับ บาย”

หลังตัดสายสมาร์ทโฟนดีนก็โยนมันทิ้งลงบนเตียงนอนของโรงแรมในเมืองเวสต์ฟิลด์อย่างไม่สนใจใยดี ใบหน้าหล่อเหลาบึนปากทำหน้ายุ่ง

นี่เป็นบริษัทเดินเรือแห่งที่สามแล้วที่ดีนโทรไปสอบถามข้อมูลการเดินทางโดยสารด้วยเรือสินค้า แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีบริษัทใดเลยที่เปิดรับจองคิวในเวลาเร่งด่วน ถ้าไม่ติดว่าภารกิจกู้โลกเป็นเหตุฉุกเฉิน เขาคงจองคิววันนี้ กลับไปค่าย แล้วรออีกสามเดือนค่อยออกมาขึ้นเรือ แต่หากทำแบบนั้นโลกอาจถึงคราวสูญสิ้นจากราชาแห่งปีศาจตั๊กแตนคืนชีพไปแล้วก็เป็นได้

“ฉันว่าเราคงต้องตัดใจจากเรือขนส่งสินค้าแล้วหาวิธีอื่นแทน”

แมคเคนซีที่นั่งฟังดีนเจรจากับบริษัทเดินเรืออยู่นานสองนานเสนอขึ้นมา ถึงจะบอกให้ลองคิดหาวิธีอื่นแต่ก็อาจใช้เวลานานพอ ๆ กันกับจองห้องพักบนเรือล่วงหน้าสามเดือน เพราะพวกเขามีข้อจำกัดด้านการเดินทางเรื่องการขึ้นเครื่องบินอยู่

“วิธีอื่นยังไง? นอกจากขึ้นเรือสินค้าก็มีเดินทางทางบก ซึ่งเราจะไปสุดกันได้แค่ปานามาแล้วก็ติดป่าที่กว้างร้อยไมล์  มีพวกแก๊งค้ายากับสัตว์ร้ายยุบยับคอยดักสอยพวกเราอยู่”

ไม่ใช่ว่าไม่เคยคุยเรื่องแผนการเดินทางกันมาก่อน มันเลยทำให้ดีนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาจากที่แย่เป็นทุนเดิม

“ไม่งั้นนายกับชาร์ล็อตก็ขึ้นเครื่องบินกันไปสองคน แล้วฉันหาวิธีเดินทาง ๆ น้ำเองคนเดียว กับแค่ว่ายน้ำหรือขอเกาะครีบโลมาไปมันคงไม่ได้ยากเย็นนักหรอก”

ที่น่าโมโหที่สุดก็คือการมีสายเลือด ‘โพไซดอน’ กลายเป็นตัวถ่วงของทุกคน เขารู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้ว

“ใจเย็น ๆ ดีน ฉันเข้าใจว่านายขึ้นเครื่องบินไม่ได้ และฉันก็ไม่ได้บอกว่าเราจะต้องขึ้นเครื่องบินไป…”

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอารมณ์เสียเรื่องอะไร แต่ตั้งแต่ออกมาจากบูเลอวาร์ดจนมาเข้าพักที่โรงแรม ดีนก็ดูไม่ร่าเริงเท่าไหร่ แมคเคนซีเองก็ยังไม่ได้มีโอกาสถามสักที แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากให้ดีนรู้สึกสงบกว่านี้จึงลุกไปกอดศีรษะของคนรักให้แนบกับตนเองไว้แล้วลูบผมเบา ๆ

“ฉันแค่คิดว่าถ้าไปเรือส่งสินค้าไม่ได้ เราลองไปด้วยเรือแบบอื่นแทนไหม ส่วนการเดินทางทางบกมันก็อันตรายอย่างที่นายว่า ถ้าไม่มีการปะทะ กว่าจะออกจากป่ามาได้เราก็อาจเป็นไข้ป่าไปก่อน”

จริง ๆ ก็แอบคิดว่าถ้าเช่าเรือสปีดโบ๊ทจะพอเป็นไปได้ไหม แต่ใครจะให้เช่าเรือขับไปไกลขนาดนั้น หรือจะบอกดีนว่าให้ลองไปยืมเรือยอร์ชเจโรมผู้เป็นน้องชายมันก็ดูจะเอิกเกริกไปสักหน่อย

ความอ่อนโยนของแมคเคนซีทำให้ดีนใจสงบลงไปได้หลายส่วน เขาสวมกอดเอวคนรักก่อนจะซุกหน้าซบลงไป

“เรือเช่าน่ะเหรอ… ตอนที่ลองหาคร่าว ๆ มันไม่มี….”

แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่การหาข้อมูลคร่าว ๆ จากอินเทอร์เน็ต ยังไม่ได้โทรไปสอบถามจริง ๆ เลยสักหน่อย ดีนสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะผ่อนออกยาว ๆ เขาคลายกอดจากคนรักแล้วหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาใหม่

“โอเคแมคซี่ ฉันจะลองอีกทีด้วยวิธีอื่น”

เวลานี้พวกเขาพักอยู่ในโรงแรมกันเป็นวันที่สองแล้ว เมื่อได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ร่างกายของดีนกับแมคเคนซีก็ค่อย ๆ ฟื้นฟูและแข็งแรงขึ้น แผลที่ท้องของแมคเคนซีเมื่อใช้เวทย์รักษาแล้วความเจ็บปวดก็ค่อย ๆ เบาบางลง เหลือเพียงรอยช้ำจาง ๆ ที่ต้องใช้เวลากว่าจะหายดี

ด้านบุตรเจ้าสมุทรเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยช้ำจากการถูกร่างเงาของเทพีเฮคาทีจับฟาดไปมาจนบ้านแทบจะพัง ทว่าดีนปฏิเสธเวทมนตร์รักษา เขาอยากให้คนรักเก็บพลังไว้ใช้กับมนตราบทอื่นที่มีความสำคัญมากกว่า ส่วนตัวเองบรรเทาปวดด้วยการประคบน้ำแข็งและแผ่นแปะเย็น

ส่วนชาร์ล็อตเองหลังจากได้ทานอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ นอกจากฟาสต์ฟู้ด ได้นอนบนเตียงนุ่มและมีผ้าห่มอุ่น ๆ คอยคลุมกาย ได้อาบน้ำสระผมจนตัวหอมฟุ้ง เธอก็ดูหน้าตาสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมา โดยคืนก่อนหน้านั้นเธอได้เล่าถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทีมทำภารกิจของเธอประสบพบเจอให้ฟัง


.

.

.


ย้อนความกลับไปเมื่อ 1-2 วันก่อนหน้า

สามเดมิก็อดเข้าพักโรงแรมในตัวเมืองเวสต์ฟิลด์ที่ไม่ห่างไกลจากถนนบูเลอวาร์ดมากเท่าไร ห้องพักเป็นห้องสวีทเตียงคู่ขนาดควีนไซส์พักอาศัยได้สามคนแบบสบาย ๆ สุขภาพของชาร์ล็อตยังค่อนข้างแย่ แค่เธอเดินทางมาได้ขนาดนี้คงฝืนขีดจำกัดอย่างที่สุดแล้ว จึงไม่อาจแยกห้องนอน ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดกันไปก่อน

บอกตามตรง… พอเจอของจริงแล้วก็ทำอะไรไม่ค่อยถูก

ดีนพอจะหาข้อมูลมาบ้างว่าต้องดูแลคนที่ถูกลักพาตัวมาอย่างไรหากถูกขังอยู่ที่มืดเป็นเวลานานดวงตาอาจปรับโฟกัสแสงไม่ทันเมื่อมาเจอแสงแดด การถูกมัดให้อยู่ในท่าเดียวเป็นระยะเวลานาน ๆ ทำให้การไหลเวียนโลหิตบกพร่อง เส้นประสาทถูกกดทับ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และข้อกระดูกติด จำเป็นต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกาย

ในกรณีของชาร์ล็อตสิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดคือกล้ามเนื้อการพูดและการออกเสียงฝ่อจากการถูกรัดปาก เธอน่าจะถูกปล่อยให้ปากมีอิสระแค่ตอนรับประทานอาหารเพียงเท่านั้น ไหนจะภาวะการขาดแคลนสารอาหารและผลกระทบด้านจิตใจอีก ที่ผ่านมาสาวกลัทธิเดอะวอชเชอร์ทำอะไรเธอบ้างก็ไม่รู้

“ชาร์ล็อต เธอโอเคนะ พวกมันไม่ได้ทำร้ายอะไรเธอใช่ไหม?”

สิ้นคำถามน้องสาวบ้านเฮคาทีก็สะอื้น นั่นทำให้ดีนหวนนึกย้อนไปถึงไพ่ทาโรต์ที่เปิดได้

‘ความหมายของ ไพ่เดอะเดวิล คือ การจองจำ ความยึดติด ความหลงใหล ความงมงาย เรื่องผิดศีลธรรม’

“ไอ้ไซคลอปส์เวรพวกนั้น!” ชายหนุ่มกำหมัดแน่น

“นายอย่าเพิ่งคิดไปไกลสิ ฟังชาร์ล็อตเล่าก่อน”

แมคเคนซีรีบปรามดีนไว้เมื่ออีกฝ่ายดูจะหัวร้อนขึ้นมา หากไซคลอปส์พวกนั้นทำรุนแรงจริง ๆ ค่อยไปล้างแค้นทีหลังก็ยังไม่สาย แต่ก็นั่นแหละ…รอฟังให้จบก่อนดีกว่า

“ทำไมนายยังใจเย็นอยู่ได้ นั่นน้องสาวนายนะ!”

ดีนหันไปโวยใส่แมคเคนซีแทน เหมือนว่าตอนนี้แฟนหนุ่มได้กลายเป็นเหยื่ออารมณ์แทนไซคลอปส์

“มะ.. ไม่ได้ทำค่ะ” ชาร์ล็อตรีบแทรกขึ้นก่อนที่พี่ชายทั้งสองจะตีกันโดยที่มือยังปิดหน้าร้องไห้อยู่ “พวกมัน…บังคับให้หนูใส่ชุดประหลาด ๆ … รองหัวหน้าตัวที่เป็นป้า… มันบอกว่าถ้าหนูแต่งตัวแบบนี้…แล้วจะสวย… แต่หนูว่ามันแปลก… แล้วก็…พวกมันให้หนูกินแต่ชีสเบอร์เกอร์ทุกวัน…ไม่มีเมนูอื่นให้กินบ้างเลย”

“บังคับให้แต่งตัวประหลาด… งี้เอง ในฝันถึงได้เห็นเธอใส่ชุดเจ้าสาว แล้วเธอยังอยู่ในชุดพยาบาลอีก”

ว่าไปเจ้าพวกนั้นก็ไม่ได้ทารุณกรรมเหยื่อบูชายัญมากเท่าไหร่ ถ้าสิ่งที่มันทำกับเธอจะมีเพียงแค่เท่านี้นะ..

แต่ว่าหญิงสาวยังคงร้องไห้ไม่หยุดจนแอบคิดว่ามีอย่างอื่นอีกหรือเปล่า

“..…..”

แมคเคนซีที่ฟังมาถึงตรงนี้ได้แต่เหลือบมองคนรักของตัวเองนิดหน่อย ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมการที่ต้องการรับฟังให้จบก่อนถึงโดนดุว่าใจเย็น ทั้งที่นั่นเป็นนิสัยของเขาอยู่แล้ว…แต่ก็ช่างเถอะ เขายักไหล่เล็กน้อยแล้วฟังน้องสาวเล่าต่อ

“พวกหนู…มาทำภารกิจ เรามาสำรวจ…ที่บูเลอวาร์ดกันหลายวัน พี่ไฮรี่..วางแผนนัดนายหน้าขายบ้าน..แต่เขาไม่มาค่ะ เขาบอกว่าภรรยาของเขาที่เป็นคนนัดกับ..พวกเรา ประสบอุบัติเหตุ ไม่กี่วันหลังจากนั้น พวกหนูก็…มา..สำรวจที่บ้านหลังนั้นอีก แต่พวกเราถูกพวกอสุกายลัทธิเดอะวอชเชอร์ดักโจมตี พวกมันทำร้ายพี่อาร์ตี้กับพี่ไฮรี่..ฮึก…พี่อาร์ตี้หนีไปได้ แต่พี่ไฮรี่..หนู…หนูไม่รู้..ฮึก หนูโดนจับตัวไว้…แล้วมันก็พาหนูไปขังไว้ในห้องใต้ดิน…”

พอพูดถึงสมาชิกอีกสองคนจากบ้านเฮอร์มาโฟร์ไดตัส ชาร์ล็อตก็ร้องไห้หนักกว่าเก่า ภาพเหตุการณ์นั้นคงสร้างความสะเทือนใจให้เธอเป็นอย่างมากจนแมคเคนซีต้องลูบผมเพื่อปลอบโยนน้องสาวของตนเอง ซึ่งคำบอกเล่าของชาร์ล็อตก็ตรงตามคำทำนายที่ดีนได้รับ

‘หนึ่งจมในห้วงลืมเลือนนิจนิรันดร์ หนึ่งถูกจองจำ’ และ ‘หนึ่งชีพดับสูญ’

ซึ่งเขาหวังให้คำทำนายเรื่องการดับสูญของไฮรี่นั้นไม่เป็นความจริง

“สองคนนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ เราพอจะช่วยอะไรพวกเขาได้บ้างหรือเปล่า…”

แม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ก็อดที่จะเป็นห่วงเพื่อนร่วมค่ายไม่ได้ ชะตากรรมของทั้งสองแขวนอยู่บนเส้นด้าย เผลอ ๆ อาจมีเส้นหนึ่งขาดไปแล้วด้วยซ้ำ ตามข้อความของคำทำนาย แต่มันคิดเป็นอื่นไม่ได้เลยจริง ๆ ในเมื่อเหยื่อบูชายัญมีเพียงธิดาแห่งเฮคาที แล้วแบบนี้ไฮรี่ที่ถูกทำร้ายจะไปอยู่ไหน ซึ่งพวกเขาลืมความจริงข้อหนึ่งไปไม่ได้

เดมิก็อดคือแหล่งพลังงานชั้นดีของอสุรกาย

“อาร์ตี้หนีไปได้…อาจเป็นไปได้ว่าตอนนี้คงปลอดภัยอยู่ที่ไหนสักที่ แต่ไฮรี่…”

แมคเคนซีเงียบไปเล็กน้อยเพื่อนึกอะไรบางอย่าง

“พวกเรามีทักษะติดต่อสื่อสารกับวิญญาณใช่ไหม ตั้งแต่วันที่ถูกจับ เห็นวิญญาณหรือสื่อถึงไฮรี่ได้บ้างหรือเปล่า”

เขาพยายามถามถึงความเป็นไปได้ แม้จะมีเพียงน้อยนิดก็ตาม หากสถานการณ์เลวร้ายที่สุดคือไฮรี่เสียชีวิตตามคำทำนาย ชาร์ล็อตที่ได้ชื่อว่ามีซิกเซ้นส์แรงที่สุดในบ้านอาจเห็นวิญญาณของบุตรแห่งเฮอร์มาโฟร์ไดตัสบ้างก็เป็นได้

“ไม่ค่ะ…หนูไม่เห็น ตลอดเวลามานี้…หนูติดต่อสื่อสารกับพี่ไฮรี่..หรือพี่อาร์ตี้ไม่ได้เลย”

ชาร์ล็อตส่ายหน้าไปมาช้า ๆ

“งั้นก็แปลว่า ไม่แน่ว่าไฮรี่อาจยังมีชีวิตอยู่”

ถึงความหวังจะมีเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์แต่แมคเคนซีก็ยังอยากจะเชื่อเช่นนั้น

“ต้องมีสิ ต้องมีชีวิตอยู่แหล่ะ…”

ดีนเม้มปาก แม้จะดูไม่มีหวังแต่อย่าเพิ่งละทิ้งความหวังไปก่อน

“แล้ว… เนื้อหาภารกิจของพี่ดีน…ว่ายังไงบ้างเหรอคะ?” ชาร์ล็อตถาม

“โอ้ ฉันเกือบลืมไปเลย เธอยังไม่รู้เนื้อหาภารกิจใหม่สินะ นี่คือเทปที่ฉันอัดไว้ตอนคุยกับคุณไครอน เรามาฟังกันอีกที นายอย่าเพิ่งเบื่อนะแมคซี่”

หนุ่มโพไซดอนกล่าว สำหรับชาร์ล็อตคือครั้งแรก แต่สำหรับแมคเคนซีและดีนฟังวนซ้ำตอนคิดแผนเดินทางกันมาเป็นสิบรอบ หนุ่มเท็กซัสหยิบสมาร์ทโฟนที่อัดเสียงการสนทนาออกมา จากนั้นกดเล่นให้ได้ฟังกันอีกครั้งจนจบ แล้วภายในห้องก็ปกคลุมด้วยความเงียบ…

“หนึ่งชีพดับสูญ…หนึ่งจมในห้วง…ลืมเลือนนิจนิรันดร์”

ชาร์ล็อตพึมพำด้วยริมฝีปากแห้งผาก น้ำตากลับมาคลอเบ้าอีกรอบ เธอดึงหมอนมากอดก่อนจะซุกหน้าลงไป แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้ร่วมเดินทาง แต่โศกนาฏกรรมครั้งนั้นทำให้สาวน้อยสะเทือนใจเป็นอย่างมาก

“ในภารกิจไม่ได้บอกวิธีช่วยสองคนนั้นเลยแฮะ…” ดีนพึมพำ แต่เมื่อเห็นท่าทีของชาร์ล็อตเขาก็รีบพูดเสริม “แต่ว่าตอนที่เคยไปทำภารกิจเดี๋ยวมันจะมีอะไรที่นอกเหนือคำทำนายโผล่ออกมาให้เราเจอเอง ไม่แน่ว่าเราอาจช่วยสองคนนั้นสำเร็จกลางทางก็ได้

“อืม…พี่เห็นด้วยกับดีนนะ คำทำนายบางทีก็ไม่ได้บอกทั้งหมดหรอก”

เห็นท่าทางแบบนั้นของน้องสาวแมคเคนซีก็ยิ่งไม่อยากทำตัวอ่อนแอให้เห็น เขานั่งลงข้างชาร์ล็อต มือยังคงลูบผมที่ตอนนี้ยาวเลยกลางหลังอยู่ไม่ห่าง

“พอได้ฟังคำทำนายของดีนแล้ว ชาร์ล็อตพอมีข้อมูลหรือได้ยินอะไรเกี่ยวกับภารกิจนี้เพิ่มเติมบ้างไหม”

แม้จะยังเป็นกังวลกับสองเดมิก็อดบ้านเฮอร์มาโฟร์ไดตัสแต่เวลานี้ภารกิจของพวกเขายังต้องดำเนินต่อไป ซึ่งชาร์ล็อตที่ถูกจับตัวอยู่ในถิ่นของศัตรูมาเกือบแรมปีอาจพอมีเบาะแสอะไรบ้างก็ได้

ธิดาเฮคาทีสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วพยักหน้าหงึก ๆ มือบอบบางปาดหยาดน้ำใสที่ไหลออกจากตา

“ฮื่อ…หนูได้ยิน..พวกไซคลอปส์คุยกันตอนเอาอาหารมาให้..มันบอกว่าจะเก็บหนูไว้ทำพิธีบูชายัญ…เพื่อปลุกใครสักคนให้ตื่น..ขึ้นมา…วันครีษมายัน ภูเขาไฟที่อเมริกาใต้

“ก็น่าจะเป็นอะพอลลีออน ปีศาจร้ายในภัยพิบัติสิบประการที่มาพร้อมกับฝูงแมลง ส่วนภูเขาไฟที่อเมริกาใต้… พอจะมีข้อมูลเจาะจงนอกเหนือไปกว่านั้นไหม?” ดีนถาม

“ไม่.. ไม่รู้เลยค่ะ…หนูได้ยินมันพูดแค่ว่า…ดินแดนแห่งภูเขาไฟ…ที่อเมริกาใต้”

ชาร์ล็อตตอบกลับทำเอาต้องมาขบคิดต่อ

“คุณไครอนให้เบาะแสมาแค่สามที่ซะด้วยสิ เราอาจต้องไล่หากันไปทีละที่… งานงอกของจริง หวังว่าเบาะแสจะมาระหว่างการเดินทาง…

“ตอนนี้แผนที่จะใช้ชาร์ล็อตเป็นเครื่องบูชายัญของพวกมันก็ล้มเหลวไปแล้ว คงพอถ่วงเวลาได้อีกหน่อย ตอนนี้แค่ต้องหาวิธีที่จะไปเอกวาดอร์ให้ได้เท่านั้น แต่นี่ก็ค่ำแล้ว พวกบริษัทเรือคงปิดทำการกันหมด ไว้พรุ่งนี้เราค่อยคิดกันต่อว่าจะเอายังไงก็แล้วกัน คืนนี้พักผ่อนกันก่อนเถอะ”

แมคเคนซีที่เงียบฟังอยู่สักพักบอกขึ้นมา ดูท่าว่าภารกิจและปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญตอนนี้ค่อนข้างหนักหนาเอาการ คิดมากตอนนี้ก็คงยังทำอะไรไม่ได้ สู้เอาเวลาไปพักผ่อนเอาแรงแล้วพรุ่งนี้ค่อยตื่นมาระดมสมองกันต่อดีกว่า เมื่อตกลงกันได้เช่นนั้น ทั้งสามคนก็แยกย้ายกันไปนอน (โดยที่ดีนกับแมคเคนซีแยกย้ายไปนอนเตียงเดียวกัน)


.

.

.

ตัดกลับมาปัจจุบัน

“.........เช่าเรือไปได้แค่บาฮามาสเองเหรอ?.. เอ่อ เดี๋ยวผมขอพิจารณาอีกทีก็แล้วกัน”

แม้แต่บริษัทเช่าเรือก็ไม่มีหวัง ด้วยความที่ระยะทางของพวกเขานั้นไกลเกินไป ไกลจนเรียกว่าข้ามทวีปก็ได้

“บริษัทนี้ก็ไม่ได้เลยแมคซี่”

ดีนกล่าวด้วยน้ำเสียงสิ้นหวังหลังจากที่เขาโทรไปบริษัทเช่าเรือแทบทุกแห่งในนิวยอร์กหรือแม้แต่นิวเจอร์ซีย์ ตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ในภาวะเครียดสุดขีดจนรู้สึกปวดไมเกรนตุ้บ ๆ เขาควรได้พักสักหน่อย การออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกน่าจะเป็นหนทางการผ่อนคลายตัวเองได้ดีกว่าอุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้

“ฉันว่าจะออกไปซื้อของ มีใครอยากได้อะไรไหม?

“กะแล้วเชียว…”

แมคเคนซีถอนหายใจ แต่ก็เข้าใจดีด้านระยะทางที่ไกลเกินไป เลยไม่ได้รู้สึกผิดหวังเท่าไหร่

“ฉันไม่เอาอะไร นายรีบไปรีบกล—”

“หนูเอาค่ะ”

ชาร์ล็อตรีบยกมือขึ้นบอกทั้งที่พี่ชายยังพูดไม่ทันจบ

“หนูอยากได้ เยลลี่รสองุ่น โยเกิร์ตรสธรรมชาติ น้ำส้ม น้ำแอปเปิ้ล ล..แล้วก็…ครัวซองก์ นมจืดกับซีเรียลค่ะ”

ถึงจะยังพูดได้ไม่เป็นปกตินักแต่หญิงสาวก็พรั่งพรูเมนูมามากมายจนแมคเคนซีมองด้วยความตกใจระคนสงสัย

“หิวเหรอชาร์ล็อต ฝากซื้อซะเยอะเชียว”

“อะ..ใช่ค่ะ คือว่ามื้อเช้าหนูกินไม่ค่อยอิ่ม แล้วก็…ไม่ได้กินอย่างอื่นนอกจากชีสเบอร์เกอร์ตั้งนาน เลยอยากกินอย่างอื่นบ้าง พี่แมค..พี่แมคไปช่วยพี่ดีนถือของหน่อยสิคะ”

ชาร์ล็อตพยักหน้ารัวก่อนจะยิ้มเล็กน้อยอย่างเขินอาย…ซึ่งพี่ชายอย่างแมคเคนซีก็เชื่อสนิทใจ

“ก็ได้ แต่อยู่ห้องคนเดียวได้เหรอเราน่ะ”

ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นห่วงน้องสาวอยู่ ด้วยสภาพร่างกายที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เธออาจยังทำอะไรไม่ถนัด

“ได้ค่ะ..หนูอยู่ได้ หนูว่าจะนอนพักสักหน่อย…พี่ ๆ ไม่ต้องห่วงนะคะ”

พอได้ยินว่าอยากพักผ่อน แมคเคนซีจึงไม่คิดเซ้าซี้เธออีก การต้องอยู่กับชายหนุ่มถึงสองคน แม้จะได้ชื่อว่าเป็นพี่ชาย แต่ชาร์ล็อตก็โตเป็นสาวแล้ว บางทีเธอคงอยากมีช่วงเวลาส่วนตัวบ้าง

“โอเค งั้นล็อคห้องดี ๆ นะ อย่าเปิดประตูให้ใครนอกจากพวกพี่ ไปกันเถอะดีน”

หนุ่มอังกฤษหันไปบอกคนรักแล้วลุกไปหยิบกระเป๋าตังค์กับสมาร์ทโฟน โดยไม่ลืมหยิบกระบอกซูมที่มีคทาเวทย์อยู่ภายในสะพายหลังไปด้วย

“แน่ใจเหรอว่าไม่ต้องอยู่คอยดูแลชาร์ล็อต ไม่รู้ยังมีเจ้าพวกนั้นหลงเหลืออยู่ในเมืองนี้หรือเปล่า”

ดีนยังรู้สึกไม่วางใจแม้ที่ผ่านมาสองวันทุกอย่างดูปกติสุขไม่มีภัยร้ายระรานตั้งแต่เข้าพักในโรงแรมแห่งนี้ แต่มันจะเป็นการเงียบเพื่อรอให้พายุใหญ่ก่อตัวขึ้นมาหรือเปล่า อสุรกายเจ้าเล่ห์เหล่านั้นมันไว้ใจได้ที่ไหนกันเชียว

“จริง ๆ ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ของเยอะขนาดนั้นนายถือไหวหรือเปล่า”

แมเคนซีที่ถูกดีนเบรคไว้ชะงักไปแล้วหันมาถาม เหมือนว่าเริ่มจะไม่รู้แล้วว่าตอนนี้ควรเอาตนเองไปไว้ตรงไหน

“หนูอยู่ได้…จริง ๆ นะคะ มินิมาร์ทก็อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง”

ชาร์ล็อตพูดยืนยันขึ้นมาอีกครั้ง แมคเคนซีจึงมองไปที่ดีนว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจอย่างไร

หนุ่มเท็กซัสโคลงหัวมองชาร์ล็อตที่ยืนยันแบบนั้น ถ้าตอนนี้หญิงสาวมีร่างกายที่ปกติ น่าจะได้เห็นภาพเธอดันหลังพี่ชายให้ออกไปแน่ ๆ บางทีชาร์ล็อตอาจจะแค่อยากมีเวลาอยู่กับตัวเองเพียงลำพังก็ได้มั้ง

“ก็ได้แมคซี่ เผื่อฉันจะซื้อเบียร์มากินซักโหลนายจะได้ช่วยถือ”

กล่าวจบเขาก็เดินออกจากห้องไปก่อนแล้วรอหน้าห้องพัก

“ชาร์ล็อตเอามือถือพี่ไว้นะ รหัสคือ $#&^!& ถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่ดีนทันทีเลยรู้ไหม”

แมคเคนซีให้สมาร์ทโฟนเดดาลัสของตนเองไว้กับน้องสาวใช้แทนของเธอที่แบตหมดไปเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วรีบตามดีนออกมา

“ไปกันที่รัก ให้ตายสิ ไม่ยักรู้ว่านายดื่มเบียร์เป็นโหลตอนทำภารกิจด้วย ระวังจะเมาเอาล่ะ”

เขากอดคอดีนไว้แล้วแกล้งพูดหยอกพลางพากันเดินไปขึ้นลิฟต์ พยายามทำตัวอเลิร์ทเข้าข่มความนิ่งเงียบอันผิดปกติของดีน

“ฉันก็แค่พูดเล่น คิดว่านายจะห้ามซะอีก งั้นเอาจริงเลยแล้วกัน”

ดีนยิ้มน้อย ๆ ให้แมคเคนซีที่เข้ามากอดคอ 

“ห้ามได้ไหมล่ะ ถ้าห้ามได้ฉันก็จะห้ามตอนนี้เลย”

พอประตูลิฟต์เปิดที่ชั้นหนึ่ง พวกเขาก็เดินออกไปยังมินิมาร์ทที่อยู่ถัดไปหนึ่งช่วงตึก


.
.
.


ตื๊อ~ตืด~

เสียงสัญญาณหน้าประตูมินิมาร์ทดังขึ้นเมื่อมันเปิดออกและทั้งสองก็เดินเข้าไป

“เมื่อกี้น้องนายบอกว่าจะเอาอะไรบ้างนะ เยลลี่? โยเกิร์ต? น้ำส้ม? นม?” 

ดีนกล่าวขณะหยิบตะกร้าขึ้นมา

“เยลลี่รสองุ่น โยเกิร์ตรสธรรมชาติ น้ำส้ม น้ำแอปเปิ้ล ครัวซองก์ นมจืด ซีเรียล”

แมคเคนซีพูดตามที่ชาร์ล็อตบอกตรงตามลำดับทุกอย่างแล้วเริ่มจากหยิบสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุดก่อนก็คือซีเรียล

“นายเอาด้วยไหม

“จำเก่งดีแฮะ”

ทั้งที่ปกติเป็นคนความจำดี แต่ดีนในตอนนี้เหมือนอยู่ในภาวะสมองตีบตัน จำไม่ได้นึกไม่ออก ขนาดจะซื้ออะไรเขายังหยุดอยู่หน้าชั้นวางของอยู่ตั้งนาน พอแมคเคนซีเรียกถามเขาก็ย่นจมูกเล็กน้อยพร้อมกับส่ายหัว

“ไม่อ่ะ กินแค่มื้อเช้าของโรงแรมก็พอแล้ว

“ตอนทำงานที่คลับฉันต้องจำออเดอร์ลูกค้าตั้งเยอะแยะ อย่างเช่นโอลด์แฟชั่น เน้นหวาน ไม่เอาเข้ม…”

อดีตบาร์เทนเดอร์บอกพลางเหลือบมองคนข้างตัวแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย เขายังจำวันแรกที่เจออีกฝ่ายได้ดี ฝ่ามือใหญ่คว้ามือคนรักพาเดินมายังโซนเบเกอร์รี่ หยิบครัวซองก์เนยสดใส่ตะกร้าแล้วจูงมือต่อมายังโซนตู้แช่เครื่องดื่มอย่างกับเจ้าของพาเจ้าหมาตัวโตมาทัวร์มินิมาร์ทไม่มีผิด

“หมู่นี้นายดูไม่ค่อยร่าเริงเลยนะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

อยู่ ๆ แมคเคนซีก็ถามขึ้นมาขณะที่เปิดตู้หยิบน้ำผลไม้ เขาเลือกที่จะถามด้วยน้ำเสียงปกติและไม่จริงจังจนเกินไปด้วยไม่อยากให้ดีนรู้สึกกดดันที่จะต้องเล่าสิ่งที่อยู่ภายในใจออกมา

เรื่องเก่า ๆ ที่แมคเคนซีขุดขึ้นมาทำให้ดีนยิ้มออก

บางทีเขาก็อยากจะหวนคืนกลับไปในช่วงเวลาก่อนรู้ว่าตัวเองคือเดมิก็อดเหมือนกัน อย่างน้อยงานวิจัยเรื่อง ‘จุลินทรีย์ใต้ทะเลลึกที่สามารถผลิตเอนไซม์กลุ่มไฮโดรเลสชอบอุณหภูมิสูง และมีความเสถียรในตัวทำละลายอินทรีย์ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้เป็นแหล่งผลิตตัวเร่งปฏิกิริยาทางชีวภาพชนิดใหม่’ ที่ทำเอาดีนน้ำตาตกไปหลายรอบก็ยังไม่บั่นทอนมากเท่าภารกิจเดินทาง

“มองออกด้วยแฮะ ฉันดีใจนะที่นายยังไม่ลืมสกิลของบาร์เทนเดอร์ไปซะหมด”

สายตาจดจ้องไปยังเบียร์ที่วางเรียงอยู่ในตู้แช่เครื่องดื่ม จากนั้นมองไปที่แมคเคนซีเหมือนหมาขอของกินเจ้าของ

“ฉันดื่มได้ไหม?”

“บอกแบบนี้แปลว่ามี ?…ยังไม่ลืมหรอก ฉันชงเหล้าให้พ่อตั้งแต่อยู่กลอสเตอร์เชียวนะ”

รอยยิ้มเล็ก ๆ ประดับตรงมุมปากให้กับเรื่องที่ไม่น่าอวดเท่าไหร่ ก่อนจะมองหน้าดีนแล้วพยักหน้า

“อืมฮึ…แน่นอน นายดื่มได้ที่รัก แต่อย่าให้ถึงขั้นเมา แค่สาม…ไม่สิ หนึ่งถึงสองกระป๋องก็พอ อย่าลืมว่าพวกเรามีเรื่องต้องทำต่อ”

เขารู้ดีว่าดีนไม่มีทางลืม แต่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายดื่มเกินขนาด ส่วนเรื่องไม่สบายใจนั้นก็ยังเลือกที่จะไม่คาดคั้นตอนนี้แม้จะสงสัยเสียเต็มประดา รอให้ดีนสบายใจที่จะเล่าออกมาเองคงดีกว่า

“อยากกินเหล้าฝีมือนายอีกจัง อุตส่าห์ได้บาร์เทนเดอร์ที่ทำโอลด์แฟชั่นได้ถูกใจทั้งที ยังใช้งานไม่คุ้มเลย”

พอแมคเคนซีอนุญาตดีนก็หยิบเบียร์ใส่ตะกร้าสามกระป๋อง โดยชูกระป๋องสุดท้ายพร้อมอ้าง

“กระป๋องนี้เอาไว้กินหลังคิดงานไม่ออกจริง ๆ”

พูดจบก็วางกระป๋องนั้นลงในตะกร้า จากนั้นหยิบเครื่องดื่มอื่นเพิ่มอีกสองสามอย่างแล้วมูฟไปที่ชั้นวางอื่น

“ไว้คุณดีจัดปาร์ตี้ที่ค่ายอีก ฉันทำให้นายได้นะ”

น่าเสียดายที่ค่ายฮาล์ฟบลัดมีแต่คาเฟ่อเมซอน ถ้ามีบาร์ด้วยก็คงดี เขาจะได้เคาะสนิมทักษะบาร์เทนเดอร์ของตัวเองสักหน่อย แต่ก็อย่างว่า ค่ายที่มีแต่เยาวชนเป็นส่วนใหญ่จะมีบาร์ไปทำไมกันล่ะ

ดวงตาสีเปลือกไม้จดจ้องแผงขายบุหรี่อยู่ครู่หนึ่ง ปกติดีนไม่ใช่คนสูบบุหรี่ แต่เขาก็เคยพึ่งพานิโคตินในช่วงเรียน สูบเล็กน้อยก่อนสอบให้สมองปลอดโปร่ง แล้วก็สูบหนักหน่อยตอนที่ปวดหัวกับงานวิจัย

“แล้วนี่… สูบได้ไหม? สัญญาว่ากลับไปห้องแล้วจะรีบอาบน้ำแล้วเอาเสื้อผ้าไปซัก น้องสาวนายจะไม่ได้กลิ่นบุหรี่แน่นอน

“…ก็…ได้ ถ้านายบอกว่างั้น แล้วก็แปรงฟันด้วย เผื่อฉันอยากจูบนายขึ้นมา”

แมคเคนซีชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นซองบุหรี่ในมือดีน ไม่ใช่ว่าไม่ชอบแต่เรียกว่าแปลกใจน่าจะถูกกว่า เมื่อตอนที่พวกเขารู้จักกันตั้งแต่ก่อนมาเจอกันอีกครั้งที่ค่ายฮาล์ฟบลัด บางครั้งดีนก็หอบงานวิจัยมาทำที่ห้องของเขา แม้บางคราวจะมีกลิ่นบุหรี่ติดเสื้อผ้ามาบ้าง พอถามเจ้าตัวก็ยอมรับแบบไม่ปิดบังว่าสูบเวลาเครียด แต่เขาไม่เคยเห็นดีนสูบมันอีกเลยหลังจากมาอยู่ที่ค่าย

‘หมอนี่เครียดเรื่องอะไรขนาดนั้นกันแน่’

พอคิดแล้วหัวคิ้วของแมคเคนซีก็ขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว

“โอเค ฉันจะขัดตัวทุกซอกทุกมุมให้สะอาดเอี่ยมเลยที่รัก”

เห็นหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของแมคเคนซีก็ยิ้มออกมาบาง ๆ ดีนพูดติดตลกไม่ให้อีกฝ่ายใส่ใจกับอาการเครียดของตัวเองมากนัก

“หรือว่านายจะช่วยมาขัดฉันก็ไม่ปฏิเสธ” ดีนยักคิ้วให้ “นายจะเอาอะไรอีกไหม จ่ายเงินกันเลยหรือเปล่า ?

แมคเคนซีมองดีนที่แกล้งทำเป็นติดเล่นแล้วถอนหายใจบาง ๆ ก่อนจะส่ายหน้า

“ฉันไม่เอา แค่มาช่วยนายถือของกับซื้อของให้ชาร์ล็อต…”

เขาวางมือบนบ่าดีนแล้วบีบเบา ๆ มองเข้าไปในดวงตาสีเปลือกไม้คู่นั้นด้วยแววตาจริงจัง

“ดีน…ฉันขออะไรอย่าง หลังนายสูบบุหรี่เสร็จแล้ว ช่วยบอกเรื่องที่นายไม่สบายใจให้ฉันฟัง…ได้ไหม”

หนุ่มอังกฤษขบฟันกับริมฝีปากล่างที่เพิ่งถูกดีนกัดจนได้แผลเล็ก ๆ เมื่อวันก่อน จากนั้นก็ฉวยซองบุหรี่ในมืออีกฝ่ายมาใส่ไว้ในตะกร้าก่อนผละไปหยิบเยลลี่กับโยเกิร์ตต่อจนได้ของที่น้องสาวฝากซื้อจนครบทุกอย่างแล้วเดินไปเข้าคิวจ่ายเงินโดยไม่รอให้คนรักตอบตกลง

เพราะไม่ว่ายังไงดีนก็ต้องเล่า ใช่…ตอนนี้แมคเคนซีแทบจะใจเย็นไม่ไหวอีกต่อไป แต่ก็ยังพยายามอดทนอยู่

“....”

ดีนนิ่งไปเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่าแมคเคนซีกำลังโมโหอยู่ ตั้งแต่คบกันมาอีกฝ่ายไม่เคยฉุนเฉียวใส่เขาเลยสักครั้งไม่ว่าเขาจะทำตัวงี่เง่าแค่ไหน แต่ครั้งนี้ตนคงทำตัวเหลือทนจริง ๆ คนใจเย็นอย่างแมคเซนซีถึงได้หน้าเครียดแบบนี้ จากทำเป็นตลกเลยสลดในทันที

“ได้สิที่รัก แล้วฉันจะบอกนายทุกเรื่องที่ไม่สบายใจเลย”

ดีนตอบเสียงเบา ไม่รู้ว่าแมคเคนซีจะได้ยินหรือเปล่า จากนั้นเดินตามไปที่แคชเชียร์เงียบ ๆ จนจ่ายเงินเสร็จก็ออกจากร้านกัน


.

.
.

“นายอยากกลับไปก่อนไหมแมคซี่ เดี๋ยวฉันสูบเสร็จแล้วจะตามไป”

ดีนยกกำปั้นขึ้นชี้นิ้วโป้งไปทางจุดสูบบุหรี่ที่อยู่ในตรอกข้างร้านสะดวกซื้อ อีกฝ่ายเคยทำงานกลางคืน น่าจะคุ้นเคยกับกลิ่นนี้ดี แต่เขาไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะชอบหรือเปล่า

“ไม่เป็นไร ฉันรอได้”

แมคเคนซีมองไปยังตรอกที่ดีนชี้แล้วส่ายหน้า เขาไม่ได้รังเกียจคนสูบบุหรี่ แต่ด้วยความเป็นคนเนี้ยบติดสะอาดเลยไม่ค่อยพึงใจเวลามีกลิ่นเขม่าควันติดเสื้อผ้า ซึ่งนั่นก็รวมถึงกลิ่นบุหรี่ด้วย

และแน่นอน…ดีนคือข้อยกเว้น


“นอกจากว่านายอยากอยู่คนเดียวเหมือนชาร์ล็อต ฉันจะรออยู่ตรงหน้ามินิมาร์ทก็ได้

“ก็ไม่ได้อยากอยู่คนเดียวขนาดนั้น งั้นก็กลับพร้อมกัน”

พูดจบก็เดินนำไปยังจุดสูบบุหรี่ หยิบพาร์เลียเมนต์ไลท์ออกมาจากถุงมินิมาร์ท เปิดซองคีบมวนบุหรี่ออกมาคาบไว้แล้วจุดไฟแช็คที่พกไว้เสมอเผื่อต้องต่อสู้กับอสุรกายอย่างไฮดร้า ดีนสูดกลิ่นหอมของใบยาสูบอ่อน ๆ ที่สะอาดเหมือนกับหน้าหนังสือ เขาไม่ชอบอ่านหนังสือแต่การได้สูดกลิ่นแบบนี้เข้าไปก็ไม่เลวนัก สารนิโคตินที่เข้าสู่ร่างกายช่วยทำให้สมองของเขาปลอดโปร่งขึ้นได้นิดหน่อย

โครมมม!!

ยังไม่ทันได้ซึมซับมะเร็งเข้าไปในปอดอย่างจุใจ บางสิ่งจากฟากฟ้าก็บินโฉบลงมาชนดีนกระเด็นล้มแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งข้าวของที่ซื้อมาและบุหรี่ในมือกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง บุตรแห่งโพไซดอนรีบลุกขึ้นมาพร้อมกับเปลี่ยนกำไลเป็นดาบตรีศูลเผชิญหน้ากับภัยร้ายที่รุกคืบเข้ามา มันคืออสุรกายไม่ผิดแน่ เจ้าสัตว์ประหลาดตรงหน้าคล้ายกับตัวที่แมคเคนซีปะทะด้วยเมื่อวันก่อนบนถนนบูเลอวาร์ด

“ตัวอะไรวะเนี่ย…

“ดีน !”

แมคเคนซีที่เดินตามเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับเบิกตาโพลงเมื่อดีนถูกสิ่งมีชีวิตบางอย่างพุ่งชนจนล้มลงไป เขารีบวิ่งจะไปช่วยพยุงแต่อีกฝ่ายกลับลุกขึ้นมาได้ก่อนทั้งในมือยังถืออาวุธประจำตัวพร้อมเข้าต่อสู้ด้วย เมื่อมองไปยังตัวต้นเหตุก็จำได้ทันที

“นั่นมันปีศาจเจอร์ซีย์ ระวังตัวด้วยนะดีน”

หลังจากเคยโดนหิ้วขึ้นฟ้าไปครั้งนึง เมื่อกลับมาพักที่โรงแรม แมคเคนซีก็ลองเปิดหาข้อมูลของอสุรกายตนนั้นในสมาร์ทโฟนดูจึงได้รู้ชื่อของมัน แม้ว่าจะเป็นปีศาจท้องถิ่นที่จัดว่าไม่มีพิษภัยระดับอันตรายก็ประมาทไม่ได้

แต่หากมองตามความเป็นจริงแล้ว คงต้องบอกว่าฝ่ายที่ชะตาขาดอาจเป็นเจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้ที่โผล่มาตอนที่คนรักของเขากำลังอยู่ในโหมดอารมณ์ไม่ดีก็เป็นได้

“ปีศาจเจอร์ซีย์…”

ริมฝีปากเอ่ยทวนชื่ออสุรกายแผ่วเบา ถามว่ารู้จักไหม ก็ไม่.. ตอนนี้ชายหนุ่มหงุดหงิดมากกว่า กำลังจะผ่อนคลายตัวเองแท้ ๆ แต่ไอ้บ้านี่ดันโผล่มาโฉบทำของที่ซื้อมาเสียหายไปหลายส่วน กลายเป็นเพิ่มระดับความโกรธให้มากขึ้นกว่าเดิม

“กร๊าซซซ”

อสุรกายเจอร์ซีย์คำรามขู่เหยื่อที่มันหมายปอง แน่นอนว่าต้องเป็นสายเลือดแห่งเจ้าสมุทรที่มีกลิ่นดึงดูดกว่าลูกเทพอื่น มันกระพือปีกบินขึ้นสูงจากนั้นก็โฉบลงมาทำให้ดีนต้นกระโดดหลบไปอีกทาง ความกวนประสาทของปีศาจที่บินได้คือมันมักจะบินหนีไปได้ก่อนทุกทีที่เขาจะโจมตีใส่

“ไอ้เวร!”

หนุ่มในอารมณ์กรุ่นสบถ เขามองตามขึ้นไปยังท้องฟ้าที่ปีศาจเจอร์ซีย์บินฉิวไปมาเพื่อหลอกล่อหาทางโจมตี ดีนสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่งจนพอจะจับทางออก ยังไงซะไอ้พวกนี้มันก็มีกระบวนท่าต่อสู้ในแพทเทิร์นเดิม ๆ คราวนี้ดีนกระโดดหลบเข้าหากำแพงตึกในจังหวะที่ปีศาจครึ่งแพะโจมตีลงมา ใช้โมเมนตัมทางฟิสิกส์ช่วยดีดตัว กระโดดขึ้นคออสุรกายแล้วแทงดาบใส่หัวแพะไม่ยั้งจนร่างปีศาจสลายเป็นธุลี

จากที่ประเมินสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว แมคเคนซีก็รู้ได้ทันทีว่าปีศาจเจอร์ซีย์ตนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อของดีน แล้วเวลาคนที่กำลังหงุดหงิดต้องทำอะไรล่ะ แน่นอนว่าก็ต้องหาสนามอารมณ์เพื่อระบายมันออกมาน่ะสิ  เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเข้าไปขัด เลยหาอะไรทำไม่ให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ดีกว่า

“กล่องแตกเลยแฮะ เสียดายชะมัด”

เขาพึมพำเบา ๆ ขณะเก็บถุงใส่ของที่เพิ่งซื้อขึ้นมาดู แล้วก็พบว่ากล่องเครื่องดื่มที่น้องสาวฝากซื้อซึ่งหล่นกระจัดกระจายแตกเลอะเทอะซะแล้ว กระป๋องเบียร์ของดีนบางกระป๋องก็บุบบู้บี้ แอบคิดไปว่าถ้าเขาเก็บมันเอาไว้แล้วให้คนรักของเขาเปิด แรงดันอากาศภายในกระป๋องคงทำให้ฟองเบียร์พุ่งมาอัดหน้าหล่อ ๆ นั่นแน่ ถึงจะสนใจว่าดีนจะตอบสนองยังไง แต่ก็ไม่เสี่ยงไปแหย่คนกำลังอารมณ์เสียจะดีกว่า แมคเคนซีจึงเก็บของที่น่าจะทานไม่ได้แล้วไปทิ้ง จากนั้นก็เข้าไปซื้อของในมินิมาร์ทอีกรอบแล้วจึงกลับออกมา

“เรียบร้อยแล้วเหรอ ฉันมาทันเวลาพอดี ได้ซัดมอนสเตอร์แล้วอารมณ์ดีขึ้นบ้างไหม”

เขากลับมายืนข้าง ๆ คนรักที่ตอนนี้ไร้วี่แววอสุรกายตนใดอีกแล้วถามเป็นเชิงหยอก

“ไม่ค่อยเท่าไหร่..”

ดีนตอบพร้อมกับหลุบสายตาลง เขาไม่อยากใช้กำลังแก้ปัญหา แต่คงเป็นนิสัยตามสายเลือดล่ะมั้งที่พอหงุดหงิดขึ้นมาก็เดือดปุดเป็นน้ำร้อน และเมื่อมองไปบนพื้น ของที่เสียหายถูกเก็บกวาดเรียบร้อยจนเผลอเลิกคิ้ว ไหนจะแมคเคนซีที่หิ้วถุงสินค้ามาใหม่อีก แบบนี้เสียเงินซื้อของสองเที่ยวเลยไม่ใช่หรือไงน่ะ

“สูบต่อก็ได้นะ คงไม่มีใครมาขัดจังหวะแล้ว”

“ฉันไม่รู้ว่าจะสูบต่อดีไหม เจ้านั่นทำเอาฉันหมดอารมณ์ไปเลย” ดีนพูดแล้วเป่าปาก “ว่าแต่นายซื้อของมาใหม่หมดเลยเหรอ

“ไม่ทั้งหมดหรอก ก็แค่ที่มันแตก”

แมคเคนซียกถุงที่มีน้ำผลไม้และเบียร์ที่ไปซื้อมาใหม่ให้ดูก่อนจะยิ้มให้เล็กน้อย

“จะสูบหรือไม่สูบก็ได้ทั้งนั้น แต่นายไม่เล่าเรื่องที่ไม่สบายใจให้ฉันฟังไม่ได้”

ถึงแม้น้ำเสียงจะยังคงราบเรียบปกติ แต่ก็แฝงความเด็ดขาดอยู่ในคำพูดนั้น

“โอเค คราวนี้ถึงเวลาที่ฉันจะถูกจัดการแทนแล้วสินะ”

ดีนยิ้มแหย ๆ ก่อนจะเก็บอาวุธแล้วอิงหลังพิงกำแพง แม้จะอยู่ในที่แจ้งแต่ตอนนี้บุตรแห่งโพไซดอนไม่กลัวอสุรกายอีกต่อไป ถ้ากล้าเข้ามาก็ซัดหมด เขานิ่งไปเล็กน้อยเพื่อเรียบเรียงภาระอันหนักอึ้งที่ตนเองแบกรับอยู่ ดวงตาสีเปลือกไม้มองสบตาสีฮาเซลของแมคเคนซีด้วยความจริงจัง 

“ฉันรู้สึกไม่โอเคกับตัวเอง เหมือนว่าในภารกิจนี้ฉันทำอะไรแทบไม่ได้เลย พลังที่ใช้ได้ก็มีแต่ควบคุมน้ำ ถ้าไม่มีน้ำก็เหมือนเปล่าประโยชน์ แถมฉันยังสู้ไม่เก่ง ถ้าต้องสู้ระยะประชิดก็เจ็บตัวบ่อยเป็นภาระให้นายต้องรักษาอีก ฉันไม่อยากเป็นภาระของนาย”

ไม่เพียงแค่เรื่องที่ตัวเองเป็นตัวถ่วง ไหนยังต้องรับผิดชอบอีกสองชีวิตที่พามาซวยด้วยอีก การที่เขาแก้ปัญหาเรื่องการเดินทางต่อไม่ได้เลยยิ่งเพิ่มความเครียดเป็นทวีคูณ

แมคเคนซีมองสบตาดีนตอบ รับฟังทุกอย่างที่อีกฝ่ายพูดตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ขัดเหมือนทุกครั้ง ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ระหว่างคนทั้งสองก่อนที่มือข้างหนึ่งของบุตรแห่งเทพีแห่งมนตราจะทาบลงแก้มของคนรักแล้วเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือกับผิวที่เริ่มมีตอหนวดขึ้นมาเล็กน้อย

“ภาระงั้นเหรอ…ฉันไม่รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้นนะ ถ้านายไม่ใช่คนที่ถูกเลือกให้รับคำพยากรณ์นี่ ป่านนี้ชาร์ล็อตอาจจะแย่กว่านี้ก็ได้ ฉันควรต้องขอบคุณนายด้วยซ้ำ ตอนนี้นายคือเจ้าของภารกิจ เป็นหัวหน้าทีม มั่นใจในตัวเองเหมือนที่ฉันมั่นใจในตัวนายสิ”

ฝ่ามือใหญ่เลื่อนลงมาวางบนบ่ากว้างของคนตรงหน้าแล้วบีบเบา ๆ

“แล้วใครบอกว่านายสู้ไม่เก่ง ตอนนี้นายเก่งขึ้นมาก ฉันถึงวางใจจนกลับเข้าไปซื้อของในมินิมาร์ทแล้วก็ออกมาไงล่ะ แล้วเห็นไหมที่รัก…นายไม่เป็นอะไรเลย ทักษะสายเลือดมหาเทพของนายคือข้อได้เปรียบทางน้ำก็จริง แต่ถึงช่วงเวลาที่นายใช้มันไม่ได้นายก็ยังมีความสามารถอื่น ๆ ในฐานะมนุษย์คนนึงอีกตั้งเยอะแยะ นายต่อสู้ระยะประชิดไม่เก่งก็ไม่เป็นไร ฉันพร้อมจะช่วยนาย และถ้านายเจ็บตัวฉันก็พร้อมรักษานาย ตอนนี้เราเป็นทีมเดียวกันนะดีน พึ่งพาฉันบ้างก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”

ให้ตายสิ ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังพูดมากกว่าที่วันนึงพูดรวมกันทั้งหมดซะอีก

“ฉันจะพยายามมั่นใจในตัวเองนะ แต่ฉันกลัวว่านายจะคิดผิด”

บอกตามตรงถ้าแข่งกันเรื่องหน้าตาดีนก็คิดว่าเขาไม่แพ้ใคร แต่ตอนนี้ดันมีความเป็นความตายมาเกี่ยวข้อง

“ก่อนหน้านี้ภารกิจแต่ละอย่างอันตรายถึงตายก็จริง แต่ว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจนกระทั่งถึงภารกิจของชาร์ล็อต… มันคงไม่ง่าย ฉันไม่รู้จะทำไงดีเลย แค่คิดว่าต้องมีใครตายไปต่อหน้าโดยเฉพาะคนสำคัญอย่างนาย หรือว่าน้องนาย ถ้าต้องสูญเสียใครไปฉันคงไปต่อไม่ไหวแน่ ๆ”

ดีนถอนหายใจ ยกมือขึ้นนวดขมับที่ดูเหมือนจะปวดตุ้บขึ้นมาอีก

“กับแค่หาทางไปต่อ… ในฐานะหัวหน้าทีมฉันยังหาทางไปไม่ได้เลย

พอได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่ดีนกำลังกลัว แมคเคนซีก็กอดอีกฝ่ายไว้แล้วลูบแผ่นหลังกว้างเนิบ ๆ เกยคางลงกับลาดไหล่สมส่วนของคนที่ตนรัก

“ถ้าเป็นเรื่องนี้ ฉันเองก็กลัวไม่ต่างจากนายหรอก เพราะงั้นฉันเลยตั้งใจว่าจะทำมันให้ดีที่สุด ต่อให้ฉันต้องสู้กับอะไร ต้องใช้เวทย์รักษานายอีกกี่สิบรอบฉันก็จะทำ ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่ยอมเสียนายไป รวมถึงคนในครอบครัวของฉันด้วย”

ริมฝีปากได้รูปกดจูบที่ไหล่ดีนผ่านเสื้อก่อนจะค่อย ๆ ผละออกมา สำหรับแมคเคนซีแล้วตอนนี้คำว่า ‘ครอบครัว’ สำหรับเขาไม่ใช่เพียงแค่พ่อที่อังกฤษหรือพี่น้องในบ้านพักหมายเลข 20 แต่เป็นผู้คนทั้งหมดที่ค่ายฮาล์ฟบลัดเลยต่างหาก

“เรากลับห้องไปช่วยกันคิดต่อเถอะ มันต้องมีสักทางที่เราจะไปถึงเอกวาดอร์ นายยังมีฉันกับชาร์ล็อตอยู่นะ”

ดีนไม่อยากจะผละออกจากอ้อมกอดอุ่นของแมคเคนซี ราวกับร่างกายของอีกฝ่ายอาบไล้ไปด้วยเวทมนตร์แห่งความอุ่นใจ ปลอดภัย เหมือนได้รับการปกป้อง ความรู้สึกด้านบวกทั้งหมดช่วยทำให้บุตรแห่งโพไซดอนรู้สึกดีขึ้นได้หลายส่วน

“ขอบคุณนะแมคซี่ ฉันจะใจเย็นกว่านี้และเชื่อมั่นใจตัวเองเหมือนที่นายเชื่อฉัน เราจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ พวกเราทั้งสามคนจะได้กลับค่ายด้วยกันอย่างปลอดภัยในตอนจบ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันไม่มีทางทิ้งนายและชาร์ล็อตไปแน่”

เพราะว่าพวกเราคือครอบครัว และครอบครัวแปลว่าเราจะไม่ทอดทิ้งกัน

“มา ฉันช่วยนายถือ”

ฝ่ามือของดีนแบรอให้แมคเคนซีส่งถุงมาให้

ริมฝีปากได้รูประบายยิ้มแล้วส่งถุงให้ดีนช่วยถือใบนึง มือที่ว่างก็จับมืออีกฝ่ายไว้พากันเดินกลับไปยังห้องพักที่โรงแรม

‘พวกเราจะผ่านมันไปได้ด้วยกันเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา’

แมคเคนซีเชื่ออย่างนั้น


.

.

.

“พวกพี่หายไปนานจัง…แอบไปจู๋จี๋กันมาเหรอคะ”

ชาร์ล็อตมาเปิดประตูให้หลังจากที่พวกเขาเคาะประตู แววตาสุกใสและรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเธอทำให้แมคเคนซีเดาออกได้ในทันที

น้องสาวตัวแสบวางแผนให้เขาออกไปปรับความเข้าใจกับคนรักนี่เอง

แมคเคนซีหยิบน้ำผลไม้ให้ชาร์ล็อตแล้วเอาเครื่องดื่มที่ซื้อมากับของอื่น ๆ ที่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นไปแช่ไว้ หยิบเบียร์ที่ซื้อมาให้ดีนกระป๋องนึงแล้วก็ถือโอกาสดื่มด้วยซะเลย

“เอาล่ะ ฉันว่าตอนนี้พวกเราต้องมาคิดแผนเดินทางไปเอกวาดอร์กันต่อแล้ว”

บุตรแห่งเทพีมนตราบอกขึ้นหลังกลับมานั่งรวมกลุ่มแล้วยกกระป๋องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดื่มไปอึกนึง





ความคิดเห็นผู้บันทึก

ถึงจะพอมองออกว่าคงมีเรื่องไม่สบายใจ แต่ผมไม่รู้มาก่อนว่าดีนจะคิดมากขนาดนี้ เขาไม่รู้ตัวบ้างหรือไงนะว่าตัวเองเก่งขึ้นขนาดไหนตั้งแต่มาอยู่ที่ค่าย ทำเรื่องบ้าระห่ำมากมายตั้งแยอะแยะจนผมอยากจะเอาคทาเวทย์บ๊องหัวสักทีแล้วบอกว่า “ระวังตัวเองให้ดีกว่านี้หน่อยได้ไหม !” แต่น่าเสียดายที่เธอคนนั้นสั่งห้ามผมไว้ว่าไม่ให้เอาคทาเวทย์ไปตีใคร ผมจำได้น่า…ไม่ทำหรอก เพราะอย่างนี้ไงล่ะ ดีนถึงจำเป็นต้องมีผมคอยอยู่ข้าง ๆ


สรุปสถานการณ์

- ทีมทำภารกิจเข้าพักที่โรงแรมในตัวเมืองเวสต์ฟิลด์

- สภาพร่างกายของทุกคนค่อย ๆ ดีขึ้น

- ดีนพยายามโทรติดต่อบริษัทเรือสินค้าเพื่อเดินทางต่อไปยังเอกวาดอร์…แต่ยังหาไม่ได้

- ดีนปะทะกับปีศาจเจอร์ซีย์ข้างมินิมาร์ทใกล้โรงแรม

- ดีนกับแมคเคนซีพูดคุยและปรับความเข้าใจกันถึงเรื่องที่ดีนกังวลอยู่

- ทีมทำภารกิจเริ่มวางแผนการเดินทางไปเอกวาดอร์ต่อ

- รัสเซลยังรออยู่ไหม…รอเถอะ นายต้องมีบทแน่ ๆ !


สรุปผลการต่อสู้

DEAN

ปีศาจเจอร์ซีย์ Lv. 91  Link


สินสงคราม

[LUK 80+]  :  เขาปีศาจเจอร์ซีย์ 8 อัน

 ตื่นรู้จากการพิชิตปีศาจเจอร์ซีย์ครั้งแรก  :  +2


แสดงความคิดเห็น

God
หากดีนเป็นคนตื่นเช้าตั้งแต่ฟ้าสางและออกมาผ่อนคลายที่สวนสาธารณะจะพบเจอคุณดีเซย์ไฮ คุณ....(เรียกชื่อผิด) คุณดีบอกไอเดียนายเมื่อวานน่าสนใจนะ (ที่เหลือดูด้านล่าง)  โพสต์ 2025-6-2 00:14
God
โชคดี คุณ (เรียกอีกชื่อ)   โพสต์ 2025-6-1 23:50
God
ฮ่าฮ่า ถึงยังไงถ้าฉันไปที่... ฉันก็ไม่ถือเป็นการแสวงหาเอง เพราะเดมี่ก็อตชงให้ฉัน ฮ่าๆ   โพสต์ 2025-6-1 23:50
God
ถ้ารอดกลับมาได้ ก็ลองดำเนินการสิ ชาวบ้านเฮเฟตัสน่าจะสร้างได้ไวอยู่กับอะธีน่าออกแบบเจ้าสิ่งนั้น นายก็คงรู้เนาะฉันพูดขอให้ทำไม่ได้ แต่รู้ไว้นะนี่นายทำเองไม่ใช่ฉันให้ทำ   โพสต์ 2025-6-1 23:49
โพสต์ 111885 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-6-1 23:14
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส
น้ำหอมเฮคาที
เหรียญนกฮูก
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x7
x10
x10
x7
x2
x9
x6
x4
x3
x70
x4
x10
x6
x12
x6
x18
x3
x55
x9
x189
x14
x14
x12
x45
x18
x5
x5
x5
x2
x5
x2
x11
x20
x10
x10
x2
x2
x2
x4
x1
x3
x12
x6
x2
x5
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x13
x2
x5
x4
x2
x1
x16
x145
x192
x10
x6
x10
x10
x16
x55
x80
x1
x1
x1
x4
x3
x1
x1
x1
x1
x5
โพสต์ 2025-6-8 20:06:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-9-18 00:01

VI
แผนการ...อะไรนะ?
Dean Eilwyn Alvarez Neal

- 18.05.2025 / 5:00 A.M. - เวสต์ฟิลด์, รัฐนิวเจอร์ซีย์
เช้าตรู่ของวันที่สาม และถือเป็นวันสุดท้ายสำหรับการพักที่โรงแรมแห่งนี้ ไม่ใช่เพราะดีนและคณะคิดออกแล้วว่าจะเดินทางด้วยวิธีอะไร แต่พวกเขาจองพักไว้เพียงสี่คืน แล้วไม่อาจจองต่อได้ พนักงานแจ้งว่าห้องที่พวกเขากำลังพักอยู่ จะมีลูกค้าคนอื่นที่จองไว้ล่วงหน้าหลายเดือนมาเข้าพักแทน เป็นการบีบบังคับอ้อม ๆ ให้ดีนต้องรีบหาหนทางไปต่อให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องย้ายโรงแรม ซึ่งดีนภาวนาให้เป็นอย่างแรก เพราะตอนนี้ค่าใช้จ่ายเริ่มบานปลาย เงินที่ไครอนให้มาถูกใช้หมดตั้งแต่วันแรกที่ออกเดินทาง แม้แมคเคนซีจะเป็นลูกเศรษฐี แต่ไม่ดีแน่หากต้องพักโรงแรมต่อโดยไม่มีอะไรคืบหน้า แบบนี้สู้ช่วยกันแบกชาร์ล็อตกลับไปที่ค่ายฮาล์ฟบลัดก่อนจะดีเสียกว่า พอตารางเวลาลงล็อคเมื่อไรค่อยออกเดินทาง แต่ก็เป็นการเสียเวลาไปอีกหลายเดือน ยังไม่ต้องพูดถึงกำหนดการเดินเรือ แค่ไปกลับฮาล์ฟบลัดกับนิวยอร์กก็กินเวลาไปแล้วครึ่งค่อนวัน ดีนจึงพยายามลดความเครียดด้วยวิธีการของตัวเอง ดื่มเบียร์ที่ชอบ กินอาหารที่อร่อย กระนั้นเขาก็ยังคิดทางไปต่อไม่ออก ครั้นจะพึ่งพาพาร์เลียเมนต์ไลท์ที่ยังเหลืออยู่เกือบเต็มซองมากไปก็ไม่ดี กลิ่นของมันไม่เป็นที่พึงประสงค์สำหรับสองพี่น้องสายเลือดเฮคาทีและไม่ดีต่อสุขภาพของเขาเอง จะให้อาบน้ำแปรงฟันหอบเสื้อผ้าไปซักทุกครั้งที่สูบก็ใช่ที่ ดังนั้นจึงเหลือวิธีสุดท้ายในการระบายความเครียด นั่นก็คือการออกกำลังกายยามเช้าในวันที่ออกจะร้อนเกินไปเสียหน่อย ที่พักของพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะในตัวเมืองเวสต์ฟิลด์มากเท่าไร ดีนจึงมาวิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกายให้ได้เหงื่อสักรอบก่อนกลับไปคิดหาวิถีทางต่อ แม้เป็นใจกลางเมืองแต่สวนสาธารณะยามเช้าค่อนข้างเงียบสงบแทบไม่ต่างจากตอนอยู่ค่าย อาจมีผู้ที่รักในสุขภาพมาวิ่งก่อนไปทำงานอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครเลยที่เขารู้จัก ซึ่งนี่คือจุดต่างจากค่ายฮาล์ฟบลัดไม่ได้เหมือนกันไปเสียทีเดียว ซึ่งหากมีคนรู้จักอยู่ตรงนี้ก็คงประหลาดมาก ก็แถวนี้น่ะมีแค่ชายไร้บ้านที่นอนอยู่ ถึงเดมิก็อดจะต้องนอนกลางดินกินกลางทรายบ่อย ๆ แต่คงไม่มีใครเป็นคนเร่ร่อน… “เฮ้! ทางนี้ แด๊ง นิฟต์” จู่ ๆ ชายไร้บ้านที่นอนเอาหนังสือพิมพ์คลุมตัวก็ลุกพรวดขึ้นมา เขากะจะทำเป็นไม่สนใจแล้ววิ่งหนีให้ไวเพราะกลัวโดนปล้น แต่น้ำเสียงและวิธีการเรียกช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน ไหนแอบมองสักนิดสิ... “อ้าวเฮ้ย! คุณดี!? ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ?” ทำเอาชะงักไปเล็กน้อย กำลังคิดอยู่เลยว่าแถวนี้คงไม่มีคนรู้จักแต่ก็ดันมีออกมาเสียนี่ ทว่าดีนเคยมีประสบการณ์พบกับเดมิก็อดนอร์สที่ปลอมแปลงใบหน้าได้ คราวนี้เขาจะไม่หลงกลอีก! “อย่ามาหลอกกันซะให้ยาก! จะเป็นคุณดีได้ยังไง ผมไม่เชื่อหรอก คุณต้องยืนยันตัวตนมาก่อน หัวเสือดาวที่หน้าห้องของคุณดีมีชื่อว่าอะไร!” “เฮ้อ ทำอะไรของเจ้าน่ะแด๊ง ไร้สาระ” คุณดีกลอกตา นั่งไขว่ห้างแล้วสะบัดมือเรียกไวน์ขึ้นมาจิบ ตรงนี้อยู่นอกอาณาเขตค่ายฮาล์ฟบลัดถือว่าไม่ผิดสัญญาต่อซุส “พิสูจน์ด้วยเจ้านี่น่าจะเชื่อได้มากกว่า” คุณดีดีดนิ้วอีกครั้ง แก้วไวน์ปรากฏขึ้นตรงหน้าของดีน หนุ่มขี้เมาจากบ้านโพไซดอนรีบคว้ามาไว้ เขาลองดมกลิ่นดูก่อนชิม เป็นไวน์ชั้นเลิศที่ไม่ฉุนบาดจมูก นี่เป็นฝีมือการหมักของเทพแห่งไวน์อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะต่อให้แร๊กนาร์สร้างภาพมายาได้แต่คงไม่สมจริงขนาดนี้หรอกมั้ง... แต่ทันทีที่ดีนกำลังจะจิบไวน์แก้วนั้นเขาก็เหมือนซดอากาศ ของเหลวสีม่วงแดงทั้งหมดที่เคยมีอยู่ก่อนหน้าหายไปราวกับเป็นแค่ภาพลวงตากลางทะเลทราย “อยู่ในระหว่างภารกิจไม่ควรดื่มไวน์เทพ อยากกินนักก็ไปซบอกน้ำข้าวมอลต์ห่วย ๆ ที่เจ้าซดไปเมื่อวานแทนละกัน” “อ้าว…” คิดไปเองไหมว่าคุณดีแอบงอนที่เขาดื่มเบียร์แทนที่จะดื่มไวน์ เพิ่งบอกอยู่ว่าเงินหมดไปตั้งแต่วันแรกแล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อไวน์มาจิบกันล่ะ! แต่ก็จริงอย่างที่เทพเจ้าพูด เขายังต้องคิดงานให้ทันก่อนเช็คเอาต์ออกจากโรงแรมในวันรุ่งขึ้น ฉะนั้นเรื่องเมาเอาไว้ก่อน ชายหนุ่มจึงหันมาเผชิญหน้ากับที่ปรึกษาค่ายฮาล์ฟบลัดอีกครั้ง “แล้วที่คุณดีมาหาผม…” พูดยังไม่ทันจบ ดวงตาสีเปลือกไม้ก็เบิกกว้างขึ้น ดีนเปลี่ยนท่าทีเป็นตระหนก สีหน้าซีดเซียว แสดงถึงความแพนิกเรื่องนี้จัด ๆ “หรือว่าค่ายฮาล์ฟบลัดถูกถล่มอีกแล้ว! คุณมาตามพวกเรากลับไปป้องกันค่ายเหรอครับ!?” “ม่ายช่าย” เทพเจ้าตอบด้วยท่าทางชิล ๆ “อ้าว… งั้นมาทำไมล่ะครับ? คุณออกจากค่ายทีไรเกิดเรื่องทุกทีเลย รีบกลับเข้าค่ายไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ดีนออกปากไล่พร้อมกับเดินไปดันหลังเทพน้ำเมาอย่างไม่เกรงใจอำนาจเทพ “อย่าเพิ่งไล่สิ ข้าก็กำลังจะพูดธุระอยู่เนี่ย!” คุณดีย่นจมูกพ่นลมออกมาเมื่อถูกเดมิก็อดที่ชื่อคล้ายกันขับไล่ “ก็ที่พวกเจ้าคุยกันเมื่อวานน่ะ… ถ้ารอดกลับมาได้ ก็ลองดำเนินการสิ ชาวบ้านเฮเฟตัสน่าจะสร้างได้ไวอยู่กับอะธีน่าออกแบบเจ้าสิ่งนั้น เจ้าก็คงรู้เนาะว่าข้าพูดขอให้ทำไม่ได้ แต่รู้ไว้นะนี่เจ้าทำเองไม่ใช่ข้าให้ทำ ฮ่า ถึงยังไงถ้าข้าไปที่... ข้าก็ไม่ถือเป็นการแสวงหาเอง เพราะเดมิก็อดให้ ฮ่า ๆ” “หา อะไรนะ!?” คำพูดอย่างมีลับลมคมในจากปากเทพที่พยายามละคำบางคำเอาไว้ทำให้ดีนงงเป็นไก่ตาแตก คุณดีกำลังหมายถึงอะไร เมาไวน์จนเพี้ยน? ที่พวกเขาคุยกันเมื่อวานมีแต่แผนการเดินทางนี่นา นอกจากนั้นก็เป็นตอนที่เขาปรับทุกข์กับแมคเคนซีที่รัก ‘คุณดีไปโดนตัวไหนมาวะ…’ “อุ ฉิบ! ข้าลืมไป นั่นมันแค่ความคิดในใจของเจ้าเด็กแมคโดนัลด์” “ความคิดในใจของแมคโดนัลด์…” ดีนเอ่ยทวนคำ จู่ ๆ เทพเจ้าก็เอาชื่อย่อของแฟนมาผสมกับชื่อพ่อบุญธรรมของเขา แต่นั้นไม่ใช่ประเด็น… “เดี๋ยวนะ คุณบอกว่าความคิดในใจของแมคซี่ นี่คุณแอบอ่านใจพวกเราจากระยะไกลอย่างนั้นเหรอ!?” ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วที่คุณดีงอนเรื่องแอบดื่มเบียร์ระหว่างปฏิบัติภารกิจ ไม่รู้ว่าเทพเจ้าแอบส่องช่วงเวลาส่วนตัวอะไรของเขาบ้าง แล้วเรื่องสิบแปดบวกนี่ส่องด้วยไหม… “ชะอุ๊ย ข้าไปล่ะ” ยังไม่ทันที่ไดโอนีซุสจะวาร์ปหนี ดีนก็ตะครุบตัวเทพเจ้าไว้ทัน กล้ามแขนกำยำล็อคคอเน้น ๆ “จะรีบไปไหน คุณกับผมมีเรื่องที่ต้องคุยกัน!” “เจ้าเพิ่งไล่ข้ากลับค่ายไม่ใช่รึ ข้ามาบอกธุระกับเจ้าเสร็จแล้วกำลังจะกลับอยู่นี่ไง เพราะงั้น ปล๊อยยยย” “มาเพื่อธุระแค่นี้อ่ะนะ! คุณให้เด็กบ้านไดโอนีซุสส่งข้อความมาให้ผมก็ได้ม้าง จริงด้วยสิ! ไหน ๆ คุณก็มาอยู่ตรงนี้แล้วก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ในฐานะที่ปรึกษาซะหน่อย ผมกำลังตันกับการหาทางไปต่อพอดี” “นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องหาทางเอาเอง เทพเจ้าไม่มีสิทธิ์แทรกแซงสิ่งนี้!” ดีโอนีซุสประกาศขณะดิ้นขลุกขลั่กไปมาไม่สมกับเป็นเทพเจ้า น่าหงุดหงิดชะมัด เทพเจ้าชอบอ้างแบบนี้ทุกที ทั้งที่แอบส่องภารกิจเดินทางอยู่ตลอดเวลาเนี่ยนะ! “โธ่เว้ย! ถ้างั้นเรื่องของสองคนก่อนหน้าที่มาทำภารกิจล่ะ ที่คำทำนายบอกว่าคนนึงตายอีกคนจะถูกลืมเลือน ไม่มีวิธีช่วยพวกเขาบ้างหรือไงครับ!?” “ไม่รู้ คำพยากรณ์เหล่านี้อยู่นอกเหนือเทพอย่างเรา มีเพียงเจ้าที่คำพยากรณ์เลือกให้รู้คำตอบนั้น จงใช้สัญชาตญาณของเจ้า แต่พึงจำไว้ คำพยากรณ์ไม่เคยตรงตัวเลยสักครั้ง อย่ายึดติดกับคำว่า ‘ตาย’ ดับสูญอาจมีความหมายอื่นนอกจากนั้น” “ยังไงนะ?” “ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้! ข้าไปล่ะ ปิ๊ง!” แล้วคุณดีก็หายแว้บไป กลายเป็นดีนที่กอดตัวเองไว้แน่น คล้ายจะมีปัญหาให้ปวดหัวเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างเสียแล้วสิ ‘สรุปว่าธุระอันนั้น… คุณดีให้กลับไปทำอะไรวะ?’ กระนั้นเขาก็คล้ายได้รับเบาะแสบางอย่างเพิ่มเติมแม้ตอนนี้จะยังตีความไม่ออก ทั้งเรื่องคำไหว้วานอันเป็นปริศนาของเทพแห่งไวน์ ไหนจะเรื่องการดับสูญที่ไม่ได้หมายถึงตายอีก แล้วแมคเคนซีคิดอะไรในใจ ทางเดียวที่จะคลี่คลายคงมีแต่กลับไปถามเจ้าตัวโดยตรง
.
.
.
“พี่ดีนยังไม่กลับเหรอคะ” ชาร์ล็อตถามหลังจากที่เธอออกมาจากห้องน้ำแล้วยังไม่เห็นวี่แววของพี่ชายผู้เป็นบุตรแห่งมหาเทพโพไซดอน “ยังเลย เดี๋ยวก็คงกลับมาตอนใกล้เวลามื้อเช้าล่ะมั้ง” แมคเคนซีเงยหน้าขึ้นจากจอสมาร์ทโฟนที่กำลังเซิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับการขึ้นเรือโดยสารชนิดต่าง ๆ แล้วมองตามน้องสาวที่ค่อย ๆ เดินมานั่งหวีผมตรงหน้ากระจก สองสามวันมานี้ชาร์ล็อตเดินได้คล่องขึ้นแต่ก็ยังเดินเร็วมากและเดินนาน ๆ ไม่ได้ ส่วนมือก็เริ่มหยิบจับอะไรได้มากขึ้น รวมไปถึงการสนทนาที่เริ่มพูดประโยคยาว ๆ ได้แล้วแต่ก็ยังคงต้องเว้นช่วงบ้าง ไม่เช่นนั้นเธอจะรู้สึกเหนื่อย คงต้องให้เวลาร่างกายได้ปรับตัวอีกสักพัก “แล้วเราหิวหรือยัง ถ้าหิวแล้วเราไปกินมื้อเช้ารอดีนที่ห้องอาหารก็ได้นะ” “ยังค่ะ หนูยังไม่ค่อยหิว รอพี่ดีนก่อนก็ได้” ชาร์ล็อตส่ายหน้าช้า ๆ แล้วยิ้มให้ผู้เป็นพี่ผ่านกระจกก่อนจะสางผมต่อ “โอเค…” แมคเคนซีพยักหน้ารับแล้วดูเวลาจากจอสมาร์ทโฟน จากนั้นก็หาข้อมูลเรื่องที่ค้างไว้ต่อ นี่ก็ใกล้จะเจ็ดโมงเช้าแล้ว ดีนที่บอกเขาตั้งแต่เช้ามืดว่าจะออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งคงกำลังกลับมาที่โรงแรม ปิ๊บ.. แกร่ก บานประตูห้องพักเปิดออกหลังจากที่ดีนแตะการ์ดแล้วเปิดเข้าไป ชายหนุ่มชะงักเท้านิดหน่อยเมื่อเห็นว่าทุกคนตื่นกันหมดแล้ว จนต้องยกสมาร์ทวอชขึ้นมาดูเวลา “อรุณสวัสดิ์ วันนี้ทุกคนตื่นเช้ากันจังแฮะ หรือว่าไม่ได้นอนต่อเลยหลังจากที่ฉันบอกว่าจะออกไปวิ่งน่ะ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่ดีน หนูเพิ่งตื่นสักพักเองค่ะ แต่พี่แมคตื่นก่อนหนูอีก” ชาร์ล็อตที่มัดผมทรงโปรดเสร็จหันมาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “อรุณสวัสดิ์ ฉันก็นอนต่ออีกตื่นหลังนายออกไปแล้วนั่นแหละ” ตามมาด้วยแมคเคนซีที่นั่งเอนหลังพิงหัวเตียง เขาไม่รู้เวลาแน่ชัดว่าตนเองตื่นกี่โมง แต่คิดว่าคงหลังดีนออกไปสักพัก “พักสักหน่อยแล้วค่อยไปล้างหน้าล้างตาสิ เราจะได้ไปกินมื้อเช้ากัน” พอคนรักบอกว่าพักสักหน่อยดีนก็ถลาขึ้นเตียงไปนอนกอดทันที ไม่รู้ว่าแมคเคนซีจะได้กลิ่นเหงื่อของเขาไหม แต่ตอนนี้ไม่สนแล้วล่ะ “หนูว่าจะถาม… ตอนนี้พวกพี่ เอ่อ… คือแบบ… หนูถามได้ไหมเนี่ย” ชาร์ล็อตถามพร้อมกับยกหมอนขึ้นมาปิดหน้าด้วยความเขินอายหลังจากที่เธอกลับมานั่งที่ปลายเตียง ก่อนจะถูกอาร์ตี้ชวนมาทำภารกิจ เธอรู้แค่ว่าพี่ชายและหนุ่มบ้านโพไซดอนเป็นเพื่อนสนิทที่มีกลิ่นแปลก ๆ แต่เพื่อนผู้ชายเขาอาจจะเล่นถึงเนื้อถึงตัวกันก็ได้มั้ง จนตอนนี้ผ่านมาเกือบปี กลิ่นที่ดูทะแม่ง ๆ โชยออกมาแรงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก “ถามได้สิชาร์ล็อต เธอมีอะไรสงสัยล่ะ?” ดีนหันไปถามน้องสาวแฟนโดยที่ยังกอดคนรักกลม ชาร์ล็อตทำใจอยู่นาน หากว่าเธอเข้าใจผิดไปเองทั้งสองคนคงมองหน้ากันไม่ติดแน่ ๆ เธอจึงอ้อมค้อมนิดหน่อย “พวกพี่เป็นเพื่อนที่สนิทกันจังเลยนะคะ แหะ ๆ” แมคเคนซีที่กอดดีนไว้เหมือนกอดเจ้าหมาตัวโตที่โดดขึ้นเตียงเจ้าของมองน้องสาวตาปริบ ๆ เมื่อได้ฟังประโยคนั้น แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าชาร์ล็อตที่ออกเดินทางไปทำภารกิจตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนปีก่อนยังไม่รู้เรื่องสถานะในตอนนี้ของพวกเขานี่นา “อ้อ…ก็สนิทกันจริง ๆ คือ…พี่หมายถึง พวกพี่คบกันแล้ว แบบคนรัก…” ประโยคหลังสุดพูดเบาลงจนเหมือนพูดกับตนเอง ไม่ใช่ว่าการคบกันของพวกเขาเป็นเรื่องน่าอายหรือต้องปิดบัง แมคเคนซีเต็มใจบอกให้ทุกคนรู้ด้วยซ้ำถึงสถานะของเขากับดีน แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจดีว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับความสัมพันธ์ฉันคนรักระหว่างเพศเดียวกันได้ และตอนนี้ชาร์ล็อตที่มองมายังทั้งคู่ก็ตาโตเป็นไข่ห่านไปแล้วเรียบร้อย “หนู…หนู…หนูว่าแล้วไม่มีผิด ! เรด้าของหนูยังทำงานได้ดีอยู่ !” “เอ่อ…แล้วชาร์ล็อต…อ..โอเคไหม” กลายเป็นแมคเคนซีเองที่เหวอขึ้นมาเมื่อเห็นปฏิกิริยาของน้องสาวที่กำลังเอามือปิดปากหัวเราะคิกคักอยู่ “โอเคสิคะ หนูโอเคมากเลย เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสองคนนะคะ แล้วหนูก็ดีใจมากที่เห็นพวกพี่มีความสุขแบบนี้ นี่หนูคงเป็นคนสุดท้ายในค่ายที่รู้เลยหรือเปล่า” “ขอบคุณนะชาร์ล็อต จะบอกว่าเธอรู้เป็นคนสุดท้ายของค่ายไหมก็อาจจะใช่ ก่อนหน้านี้เรื่องความรักของเราลงในหนังสือพิมพ์เทพได้ตีพิมพ์หลายฉบับด้วย คนน่าจะรู้กันไปทั้งโอลิมปัส พวกเทพนี่ขี้เผือกกันจริง ๆ” ไม่ใช่เผือกแค่ผิวเผินด้วยเนี่ยสิ แต่เป็นการเผือกไปถึงจิตใจ “จริงเหรอคะ ถ้าหนูกลับค่ายต้องไปหาอ่านย้อนหลังแล้ว อยากรู้จังว่าเขียนถึงพวกพี่ว่ายังไงบ้าง” ชาร์ล็อตมีสีหน้าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เหมือนอยากเห็นข่าวพวกพี่ชายที่กลายเป็นคนดังในนิตยสารกอซซิปยังไงยังงั้น “พูดถึงเรื่องเทพขี้เผือก เมื่อกี้ตอนที่ไปจ๊อกกิ้งมาฉันเจอคุณดีด้วย คิดว่าเป็นคุณดีตัวจริงแหล่ะเพราะว่าเสกไวน์ออกมาได้ แต่เหมือนเขาจะทักผิดคนแฮะ ความจริงเขาน่าจะอยากมาหานายน่ะแมคซี่” ดีนหันกลับมามองแมคเคนซีที่นอนเกยอยู่ “หือ…คุณดีน่ะเหรอ” แมคเคนซีที่ยิ้มกริ่มกำลังตกอยู่ในโหมดอารมณ์ดีที่น้องสาวเข้าใจในความรักของตนเองสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อดีนหันมาคุยด้วย “หาฉัน ? เรื่องอะไร” ดวงตาสีฮาเซลหลุบลงมองใบหน้าละตินหล่อเหลาพลางลูบผมดีนเล่นไปด้วย พอได้คัมมิ่งเอาท์กับน้องสาวแล้ว ทีนี้ก็โชว์หวานได้ไม่ต้องแคร์สื่อ (ถ้าชาร์ล็อตจะไม่เหม็นความรักของพวกเขาซะก่อน) แต่ก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่าเทพแห่งไวน์มีธุระเรื่องอะไรจนถึงกับต้องออกมาจากค่ายแบบนี้ “ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าที่คุณดีพูดหมายถึงอะไร” ดีนดันตัวขึ้นมานั่ง จากน้้นกระแอมไอเลียนแบบเสียงเทพไดโอนีซุสแต่เหมือนกับเสียงตัวเองตอนเมามากกว่า “ถ้ารอดกลับมาได้ ก็ลองดำเนินการสิ ชาวบ้านเฮเฟตัสน่าจะสร้างได้ไวอยู่กับอะธีน่าออกแบบเจ้าสิ่งนั้น เจ้าก็คงรู้เนาะว่าข้าพูดขอให้ทำไม่ได้ แต่รู้ไว้นะนี่เจ้าทำเองไม่ใช่ข้าให้ทำ ฮ่า ถึงยังไงถ้าข้าไปที่... ข้าก็ไม่ถือเป็นการแสวงหาเอง เพราะเดมิก็อดให้ ฮ่า ๆ… เนี่ย คุณดีว่ามาแบบนี้” “อุบ…..ให้ตายสิ พูดธรรมดาไม่ได้หรือไง” แมคเคนซีถึงกับต้องเม้มปากเพื่อกลั้นขำเมื่อดีนพูดเลียนแบบเทพแห่งไวน์ผู้นั้น ซึ่งคิดว่าแมคเคนซีคงจะงงน่าดูดีนเลยขยายความต่ออีกหน่อย “เหมือนว่าคุณดีจะแอบมาส่องพวกเราอยู่ห่าง ๆ น่ะ แล้วเขาก็อ่านใจนายแมคซี่ เพราะงั้นนายน่าจะรู้ว่าคุณดีพูดถึงอะไร” “ว่าไงนะ อ่านใจฉันงั้นเหรอ……ต่อไปนี้คงต้องระวังความคิดตัวเองซะแล้วสิ” แมคเคนซีขมวดคิ้ว พึมพำคำพูดท้ายเบา ๆ แล้วยกมือกุมคางใช้ความคิด “ว่าแต่คุณดีหมายถึงเรื่องอะไร…ดำเนินการที่ว่า พวกเราคุยกันตั้งหลายเรื่อง…..” เมื่อวานพวกเขาคุยกันมากมายหลายเรื่องจริง ๆ ตั้งแต่เรื่องวางแผนเดินทางไปเอกวาดอร์ เรื่องที่ดีนไม่สบายใจ ไปจนถึงเรื่องมื้ออาหารเย็นที่ซุปเย็นชืดไปหน่อย รวมไปถึงเรื่องเล็ก ๆ อย่างงานปาร์ตี้ของคุณดีที่ค่ายฮาล์ฟบลัด การชงค็อกเทลสูตรที่ดีนชอบและเรื่องสมัยที่เขาทำงานบาร์เทนเดอร์ที่คลับ ‘เดี๋ยวนะ….’ “ฉันว่าฉันพอจะนึกออกแล้วว่าคุณดีหมายถึงเรื่องอะไร นายจำเรื่องที่พวกเราคุยกันในมินิมาร์ทได้ไหมดีน เรื่องที่ฉันทำงานที่มิดไนท์วอลุ่ม ตอนนั้นฉันคิดว่าค่ายน่าจะมีบาร์ แต่ฉันก็แค่คิด…ไม่นึกเลยว่าคุณดีจะสนใจเข้าจริง ๆ” “แล้วนายไม่สนใจที่เขาอยู่ห่างไปตั้งแปดสิบไมล์แต่มาแอบฟังพวกเราจู๋จี๋กันเหรอ ให้ตายสิ! จะได้ลงหนังสือพิมพ์เทพซุบซิบนั่นอีกไหมเนี่ย!” ดีนล้มตัวลงนอนอีกรอบแต่คราวนี้นอนลงข้างกับแมคเคนซีแทน “เขาเอาเรื่องแบบนั้นไปเขียนข่าวเหรอคะ” ชาร์ล็อตถาม “ใช่ อะไรประมาณนั้น บอกได้เลยน้องสาว การลงข่าวกับหนังสือพิมพ์เฮอร์มีสไม่ใช่เรื่องดี บางทีแค่เดินชนใครก็ไม่รู้แล้วเผลอมองตาก็อาจเป็นข่าวได้” ดีนหันไปตอบชาร์ล็อตก่อนจะตะแคงกลับมาทางแมคเคนซี “แต่เรื่องมีบาร์ที่ค่ายฉันก็คิดว่าเป็นไอเดียที่ดีนะที่รัก” ยกนิ้วโป้งให้เลย แต่เอาจริงเรื่องนี้ผิดกฎหมายการตั้งร้านเหล้าใกล้แหล่งชุมชน โบสถ์ และสถานศึกษาของนิวยอร์กเข้าเต็ม ๆ ซึ่งค่ายฮาล์ฟบลัดก็ตรงตำราสถานที่ที่ว่า แต่ที่นี่อยู่นอกเหนือกฎหมายของสหรัฐและสภาโอลิมปัสคงไม่แคร์เรื่องนี้ (อาจยกเว้นซุสไว้องค์นึง) “มันก็…น่าอายนั่นล่ะที่อยู่ ๆ ก็มีเทพมาอ่านความคิด ดูท่าฉันคงต้องคิดเรื่องอย่างว่าให้น้อยลงหน่อย” แมคเคนซีพลิกตัวตะแคงเข้าหาดีนวางมือเท้าศีรษะไว้ ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ ที่มีใครมาอ่านความคิดราวกับฝังตัวอยู่ในสมอง แต่ใครที่ว่าก็เป็นถึงเทพซะด้วย เขาคงไม่สามารถบอกเทพทุกองค์ในโอลิมปัสได้ว่าให้เลิกส่องความคิดเขาเสียที แต่จะให้เลิกคิดเรื่องสัปดนหรือชื่นชมดีนในใจตามประสาคนคลั่งรักก็ทำไม่ได้เหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าใครแอบส่องก็ทนเหม็นความรักของเขาหน่อยแล้วกัน ส่วนเรื่องลงหนังสือพิมพ์ซุบซิบประจำค่ายแมคเคนซีก็ไม่ได้แคร์เท่าไหร่ ยังไงซะคนที่เขาตกเป็นข่าวด้วยก็มีแค่ดีนอยู่แล้ว “เรื่องอย่างว่า—” “หมายถึงเรื่องบาร์! พี่หมายถึงเรื่องบาร์” แมคเคนซีเลิกเล่นเกมจ้องตากับดีนแล้วรีบหันไปบอกความเท็จน้องสาวที่เอ่ยทวนด้วยความสงสัยก่อนขยับตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ “ถึงมันจะน่าสนใจก็เถอะ แต่ถ้ามีบาร์ขึ้นมาจริง ๆ จะมีใครรับหน้าที่ดูแลล่ะ อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่ชงเครื่องดื่มเป็นใช่ไหม ฉันคงไม่ต้องอยู่เฝ้าบาร์จนดึกดื่นค่อนคืนหรอกนะ” เขาไม่ได้คิดจะฏิเสธเรื่องดูแลบาร์หากจำเป็น แต่ถ้าต้องอยู่เฝ้าจนไม่เป็นอันทำอะไร เกรงว่าเขาคงต้องสิงสถิตอยู่ที่บาร์แทนที่จะเป็นบ้านพักหมายเลขยี่สิบน่ะสิ “นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอกที่รัก ฉันว่าเด็กบ้านไดโอนีซุสน่าจะพร้อมรับหน้าที่นั้น แต่ละคนชงเหล้ากันเก่งชะมัด” ดีนหัวเราะ ตอนไปเล่นเกมที่บ้านเทพน้ำเมาราวกับเป็นสวรรค์ แต่สาบานได้ว่าไม่มีใครที่ทำโอลด์แฟชั่นท์ได้ถูกใจเท่าที่แมคเคนซีทำแล้ว ตอนนี้ดีนนอนทับเหงื่อตัวเองจนรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว เขาจึงลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ผึ่งไว้ “ฉันว่าจะไปอาบน้ำสักหน่อย เดี๋ยวเสร็จจากนี่เราไปกินอาหารเช้ากันนะ วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่ต้องระดมสมองให้เต็มที่” “อ้อ จริงด้วย ไม่น่าล่ะนายถึงได้คอพับอย่างกับคนถูกมอมเหล้า” นึกถึงวันนั้นที่บุตรของเทพไดโอนีซุสมาเรียกเขาถึงบ้านให้ไปหิ้วดีนที่เมามายหมดสภาพกลับบ้านแล้วก็พาลอารมณ์คุกรุ่นขึ้นมานิด ๆ จนต้องกอดอกมองตามคนที่บอกว่าจะไปอาบน้ำหน้าง้ำหน้างอ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น “แหงมล่ะสิ มันคือเกมกินไวน์ใส่ยานอนหลับช่วยให้นอนได้ในช่วงที่ตะวันส่องทั้งวันทั้งคืนต่างหาก ฉันไม่ได้เมาปลิ้นว้อย” ดีนที่เข้าห้องน้ำไปแล้วชะโงกหน้าออกมาตอบแล้วปิดประตูเข้าไปใหม่ “ตอนที่หนูไม่อยู่ที่ค่าย คงมีเรื่องอะไรเยอะแยะเลยนะคะ” ชาร์ล็อตยิ้มบาง ๆ สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเสียดายช่วงเวลาที่หายไปมากเพียงใด “ก็…เยอะเหมือนกันนะ อยากฟังหรือเปล่า พี่จะเล่าให้ฟัง แต่ต้องใช้เวลาเป็นวันเลย” จบคำพูดที่เหมือนจะหยอกเล่นนั้นชาร์ล็อตก็หัวเราะออกมาน้อย ๆ “อยากค่ะ หนูฟังได้เป็นวันเลย” ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักพยักหน้ารับ แล้วแมคเคนซีก็เริ่มเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้น้องสาวฟังระหว่างรอดีนอาบน้ำ “จะว่าไป… ที่ว่าสว่างตลอดเวลานี่มัน” ชาร์ล็อตเอ่ยขึ้น ไม่แน่ใจว่าหากถามออกมาแล้วแมคเคนซีจะทราบคำตอบไหม ก่อนหน้านี้เธอถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินมาตลอด ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันมานานจนแทบจะลืมแสง ความสว่างที่พอเห็นได้เรียกได้ว่าช่างน้อยนิด เธอจึงไม่รู้เรื่องราวของโลกภายนอกแม้แต่น้อย หญิงสาวเพิ่งรู้มาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เองว่าตอนนี้ราตรีกาลได้หายไปจากโลก แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร และเพราะอะไร “เรื่องนั้น…พี่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เดือนตุลาปีก่อนแล้ว อาจจะเกิดความผิดปกติอะไรสักอย่าง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครได้รับคำพยากรณ์” แมคเคนซีบอกได้เพียงเท่าที่ตนเองรู้ เขาเคยได้ยินคุณเรเชลบ่นเรื่องนี้เหมือนกัน รวมทั้งดีนด้วย แต่ก็แอบสงสัยว่าทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่ยังไม่มีเดมิก็อดคนไหนได้รับคำพยากรณ์ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติอันแปลกประหลาดก็เป็นได้ “ยังไม่มีคำพยากรณ์ปรากฏเลยเหรอคะแปลกจัง ปกติคำทำนายมักจะออกมาก่อนเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น หรือว่าจะยังไม่มีเดมิก็อดคนไหนเหมาะสมสำหรับคำพยากรณ์นั้นกันนะ…” เดมิก็อดไม่ใช่ผู้เลือกรับคำพยากรณ์ แต่เป็นคำพยากรณ์ต่างหากที่เลือกวีรบุรุษ แม้ว่าครึ่งเทพจะเป็นฝ่ายเข้าไปหานักทำนายก่อนก็ตาม นั่นเป็นเรื่องที่ถูกลิขิตไว้อยู่แล้ว คือชะตาที่ไม่อาจเลี่ยง อย่างการที่มีคนรับภารกิจมาช่วยเหลือนี้ก็ด้วย แปลว่าวันนี้ ชาร์ล็อต ลิเลี่ยน ยังไม่ถึงที่ตาย สองพี่น้องเฮคาทีคุยกันได้หนึ่งอึดใจใหญ่ ๆ ดีนก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดใหม่ กลิ่นหอมฟุ้งแตกต่างจากตอนเข้าไป นับว่าเขาใช้เวลาในห้องน้ำน้อยลงมาก เมื่อเทียบกับการอาบน้ำที่ค่ายแล้วมีครีมบำรุงผิวมาประทินโฉมสิบกว่าตัว “ไงทุกคน รอนานไหม หิวกันแล้วหรือยัง?” เหล่าสายเลือดแห่งเวทมนต์พักเรื่องที่สนทนากันไว้แล้วหันมามองดีนเป็นตาเดียว “หิวนิดหน่อยค่ะ พี่ดีนไปออกกำลังกายมาน่าจะหิวกว่าหนูแน่เลย” ชาร์ล็อตยิ้มให้แล้วพูดตามมาด้วยประโยคขี้เล่น ส่วนแมคเคนซีก็ลุกขึ้นจากเตียง “รอจนฉันเล่าเรื่องช่วงที่ชาร์ล็อตไม่อยู่ค่ายจบไปหลายเรื่อง จะแปดโมงแล้ว ไปกันเลยไหม” กลิ่นหอมจาง ๆ จากตัวดีนลอยมาแตะจมูก หากอยู่เพียงสองคนคงได้มีการถึงเนื้อถึงตัวกันบ้าง แมคเคนซีจึงแค่เหลือบมองดีนแล้วอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพาชาร์ล็อตที่ยังเดินได้ไม่ค่อยคล่องนักออกจากห้อง อาหารเช้ามื้อที่สามของโรงแรมเหมือนเดิมทุกอย่างจนเริ่มเบื่อ ความจริง... เมื่อก่อนก็รับประทานอะไรแบบนี้แทบทุกเช้า ทว่าตั้งแต่มาอยู่ค่ายฮาล์ฟบลัดที่มีแม่ครัวฮาร์บี้คนเก่ง ขยันรังสรรค์เมนูอาหารเช้านานาชาติให้ได้เปลี่ยนรสไม่มีเบื่อ ไลน์บุฟเฟ่ต์อาหารเช้าอื่น ๆ กลายเป็นจืดชืดไปทันที แต่นั่นก็อาจถือเป็นข้อดีในเวลานี้ที่เดมิก็อดทั้งสามมีเวลาเหลืออยู่อีกไม่มากนัก พวกเขาเลยเลือกที่จะรับประทานเพื่อประทังท้องมากกว่าค่อย ๆ ละเลียดชิมแฮม ไส้กรอก และเบค่อนหอมกรุ่น กับแพนเค้กราดน้ำผึ้งจนชุ่มฉ่ำแบบในเช้าวันแรก ๆ พอกินเสร็จก็มาคิดแผนการเดินทางกันต่อ “ถ้าเอาทั้งหมดมาเรียงกันก็น่าจะได้ประมาณนี้” ดีนส่งตารางเทียบการเดินทางของเก่าที่ทำมาลวก ๆ ก่อนออกจากค่าย เปรียบเทียบกับข้อมูลการเดินเรืออัปเดตใหม่ในช่วงหนึ่งถึงสองวันนี้ให้แมคเคนซีดู “เรือสินค้าที่ออกจากท่าเร็วสุดคือของบริษัทโบอิ้งแมรี่ รอบสิบเอ็ดโมงเช้าของวันพรุ่งนี้ แต่ว่าพวกเราจะต้องแอบขึ้นเรือกันไป หรือไม่ถ้าไม่เอาแผนนี้ก็มีแผนนั่งบัส เดินทางทางบกแล้วไปหาเรือขึ้นแถว ๆ ปานามา อาจจะมีเรือไปต่อหรือไม่เราต้องเสี่ยงดวงกันอีกที” แมคเคนซีดูแผนการเดินทางทั้งสองฉบับพลางฟังดีนอธิบายไปด้วย เขาเงียบอยู่สักพักเพื่อครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “แผนหลังดูไม่ชัวร์เลย ส่วนแผนแรก…ฉันช่วยได้นะถ้าต้องแอบขึ้นเรือกันไปจริง ๆ แต่เราอาจต้องซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บสัมภาระไม่ก็คอกสัตว์ โอเคกันหรือเปล่าถ้าต้องอยู่ในนั้นเกือบสัปดาห์” หากถามตัวเองก็สามารถตอบได้ทันทีว่า ‘ไม่โอเค’ แต่ตอนนี้พวกเขามีตัวเลือกมากกันซะที่ไหน “หนู…คิดว่าได้ค่ะ” ชาร์ล็อตพยักหน้าน้อย ๆ ดูจากท่าทางแล้วเธอเองคงไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่ก็คงคิดแบบเดียวกัน “ภาวนาขอให้มีคอกสัตว์เถอะ ส่วนใหญ่ตู้เปล่าจะอยู่ด้านในสุดเลยต้องแอบเข้าไปในตู้เปล่าก่อนโหลดของเสร็จ ซึ่งเอาเข้าจริงถ้าโหลดตู้ขึ้นเรือเขาคงทำกันตั้งแต่คืนนี้” เรื่องอาหารสำหรับหนึ่งสัปดาห์คิดว่าไม่มีปัญหาเพราะว่าดีนพกอาหารฉุกเฉินมาเต็มพิกัด แต่เรื่องการขับถ่ายเนี่ยสิ… ถ้าต้องอยู่กับของเสียเหล่านั้นในตู้อับ ๆ ไร้ทางออกเพราะถูกบล็อกประตูนานเป็นสัปดาห์ ไม่จมูกตายก็ติดโรคตายก่อนจากสุขภาวะที่ไม่ดี แต่จากที่สืบมา บริษัทโบอิ้งแมรี่ เน้นการขนย้ายสัตว์มากกว่าสินค้าอยู่แล้ว จู่ ๆ คงไม่ซวยหรอกมั้ง “ไม่ก็ทำแบบหนังสายลับ ตุ้บตั้บลูกเรือสามคนแล้วเราก็ขโมยยูนิฟอร์มเขามาใส่ สวมรอยไปเลย ฮ่า ๆ ว่าไปนั่น…” ดีนหัวเราะน้อย ๆ ถึงจะปลอมตัวผ่านแต่ความคงแตกได้ในไม่ช้า ก็ใครเล่าจะจำเพื่อนร่วมงานของตัวเองไม่ได้ แถมช่างเรือหายไปสามคนการเดินทางต้องมีข้อบกพร่องแน่ ๆ “คือ.. หนูมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อยค่ะ” หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวยกมือขึ้นด้วยสีหน้าพะวง “ชาวเรือเชื่อกันว่า ‘ถ้าผู้หญิงขึ้นเรือแล้วจะซวย’ พวกเราจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?” ทำเอาดีนหันไปมองหน้ากับแมคเคนซีทำตาปริบ ๆ “โธ่เอ๊ย เรื่องแค่นี้เอง ยุคสมัยนี้คำสาปไม่ทำงานแล้วน่า อีกอย่างบนเรือสำราญมีผู้หญิงโดยสารเยอะแยะไป” “จริงนะคะ หนูค่อยสบายใจหน่อย” ได้ยินดีนพูดเหมือนเป็นเรื่องเล็กชาร์ล็อตก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “งั้นนายก็หมายความว่า เราควรออกไปกันตั้งแต่คืนนี้? ฉันกำลังคิดว่าถ้าบริษัทขนส่งที่เราจะไปมีบริการขนส่งสัตว์ เราน่าจะอาศัยจังหวะนั้นแฝงตัวขึ้นไปบนเรือพร้อมพวกมันได้” แมคเคนซีที่นิ่งเงียบไปอีกครั้งระหว่างที่ดีนกับชาร์ล็อตกำลังคุยกันเพื่อคิดถึงสิ่งที่สามารถเป็นไปได้มากที่สุดถามและเสนอขึ้นมา เขาไม่มีข้อมูลเลยว่าเรือสินค้าจะเริ่มลำเลียงสัตว์ให้เข้าไปอยู่ในเรือช่วงเวลาไหน “เรือออกสิบเอ็ดโมง มีเวลาหลายชั่วโมงอยู่…เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะเริ่มขนย้ายสัตว์เข้าเรือช่วงเช้า” “ถ้าขนตู้คอนเทนเนอร์สินค้าจะเป็นคืนนี้ ส่วนขนย้ายสัตว์น่าจะเป็นตอนเช้าตรู่ แต่ตอนนี้เวลาเช้าไม่มีแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนตารางเวลากันไหม” “คงไม่หรอก ถึงไม่มีกลางคืนแต่คนเราก็ยังต้องพักผ่อนอยู่” แม้ตอนนี้ช่วงเวลากลางวันและกลางคืนจะวิปริตแต่วันนึงก็ยังมียี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนเดิม อย่างน้อยคนทั่วไปก็น่าจะยังกินนอนใช้ชีวิตประจำวันเป็นเวลาละมั้ง ดีนขบคิดแผนการ เขาไม่อยากไปอุดอู้อยู่ในตู้แคบ ๆ ไม่มีแสงตะวันเป็นสัปดาห์ แม้จะเอาเต็นท์ เครื่องนอน และห้องน้ำพกพามาด้วยก็ตาม ดังนั้นการแฝงตัวอยู่ในคอกสัตว์อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า อาจเหม็นนิดหน่อยแต่อย่างน้อยมันก็ไม่น่าอึดอัดเท่า “เราไม่จำเป็นเข้าไปพร้อมสัตว์ก็ได้ มันอาจโจ่งแจ้งเกินไป แต่ฉันคิดว่าเราควรไปให้ถึงท่าเรือนิววาร์คกันก่อนเก้าโมงเช้า พวกเขาน่าจะยังไม่ปิดสะพานเรือ ไม่งั้นเราอาจต้องไต่โซ่ขึ้นเรือกันเข้าไป ฉันว่าฉันไม่น่าไหว” ถ้าดีนไม่ไหวชาร์ล็อตนี่ไม่ต้องสืบ เธอได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ “นายจะบอกว่าถ้าเราขึ้นไปตอนที่เขาขนย้ายสัตว์เรียบร้อยแล้วจะไม่มีใครมาเฝ้าตรงสะพานเรืองั้นเหรอ” “ก็ไม่อยู่ดี” ดีนตอบ เช้า ๆ คงมีคนป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณสะพานเรือกันให้ควั่ก ส่วนแมคเคนซีเลิกคิ้ว พยายามนึกภาพตามแล้วเปรียบเทียบว่าระหว่างใช้ทักษะควบคุมหมอกสร้างภาพลวงตาให้คนเห็นว่าพวกเขาเป็นสัตว์แล้วเดินปะปนขึ้นไปตอนขนย้ายกับปล่อยหมอกหนาออกมาแล้วใช้จังหวะนี้ขึ้นสะพานเรือไปหลังขนย้ายสัตว์เสร็จ แบบไหนจะแนบเนียนและไม่เสี่ยงถูกจับได้มากกว่ากัน “ถ้างั้น… พวกเราออกจากโรงแรมสักเจ็ดโมงดีไหมคะ ถ้าดูตามตารางของพี่ ๆ น่าจะไปถึงท่าเรือประมาณแปดโมงนิด ๆ” “เรื่องเวลาฉันโอเคนะ เรายังขาดอาหารหรือเสบียงอะไรไหม จะได้ออกไปซื้อเตรียมไว้วันนี้เลย” “งั้นเรามารีเช็คของที่ต้องใช้กันอีกทีไม่ให้มีอะไรที่ขาด” ดีนลุกขึ้นเดินไปที่กระเป๋าเดินทางจากนั้นก็เริ่มเช็คลิสต์ “เอ็มอาร์อีห้าชุด สามคนกินได้ห้าวัน.. เต็นท์หนึ่ง ถุงนอนสาม ห้องน้ำหนึ่ง ถุงขยะหนึ่งม้วน ชุด เสื้อผ้า อืม.. อยู่นี่ อ้อ แล้วฉันก็เอานี่มาให้เธอด้วยชาร์ล็อต ไม่รู้ใช้แบบนี้ไหมแต่ใช้ไปก่อนแล้วกัน” ดีนชูแพ็คผ้าอนามัยขึ้นมาโบกหวอย ๆ ทำเอาหญิงสาวเลิ่กลั่กจากนั้นเปลี่ยนเป็นยิ้มเขิน “ฉันคิดว่าเราเหลือ… อืมมม น้ำดื่ม ส่วนการเดินทางกว่าจะถึงคลองปานามาราว ๆ หกวัน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดหรือเลท เพราะงั้นเราต้องซื้ออาหารแห้งขึ้นไปตุนไว้ด้วย” สองพี่น้องบ้านเฮคาทีนั่งมองบุตรจ้าวสมุทรเช็คของแต่ละอย่างแล้วก็เริ่มตาโตขึ้นเรื่อย ๆ บางอย่างที่ไม่คิดว่าจะอยู่ในกระเป๋าเดินทางได้ดีนก็ใส่เข้ามาจนน่าทึ่ง ‘ข้างในกระเป๋านายเป็นหลุมดำเหรอ ใส่เข้ามาเยอะขนาดนี้’ พวกเต็นท์ ถุงนอนก็เหมือนว่าจะเคยเห็นดีนเอาใส่เข้าไปอยู่ แต่หมอนี่ถึงขนาดเอาส้วมพกพามาด้วยแล้วงั้นเหรอ “น้ำร้อนใช้ เฟลมมา มาจิก้า ของนายช่วยต้มได้ไหมแมคซี่?”

“ได้ ถ้าพวกสัตว์ไม่ตกใจจนร้องลั่นคอก” เขาแกล้งพูดไปอย่างนั้น ยังไงทั้งเขากับชาร์ล็อตก็สามารถควบคุมขนาดและอุณหภูมิของไฟเวทได้แล้ว “โอเค งั้นไปซื้อของกันก่อน ชาร์ล็อตอยากได้ของใช้ส่วนตัวอะไรเพิ่มเติมบอกได้เลยนะ พี่จะจดไว้” แมคเคนซีหันไปบอกน้องสาวที่ตอบรับอย่างแข็งขันแล้วเปิดแอพเมโมในสมาร์ทโฟนเพื่อลิสต์รายการของที่จะต้องซื้อเพิ่มเติม “จะซื้อกันเลยเหรอ น้ำน่าจะต้องซื้อหลายขวดเลย ห้าวันก็น่าจะต้องใช้อย่างต่ำยี่สิบลิตรเลยหรือเปล่านะ…” ดีนคิดคำนวณในหัวไว ๆ ซึ่งสำหรับคนรักสุขภาพอย่างบุตรแห่งโพไซดอนคิดว่าน้อยเกินไปด้วยซ้ำ อย่างต่ำควรดื่มน้ำให้ได้สามลิตร ไหนจะเป็นน้ำที่ใช้ล้างหน้าล้างตาอะไรอีก มีอีกทีคือขโมยน้ำแพะ (ซึ่งจะใช่แพะหรือเปล่าก็ไม่รู้) “ไม่ซื้อวันนี้แล้วจะซื้อตอนไหน พวกเราต้องเดินทางวันพรุ่งนี้แล้วไม่ใช่เหรอ” แมคเคนซีเลิกคิ้วเล็กน้อย พอดีนบอกจำนวนน้ำที่ต้องใช้ก็ก้มหน้าลงพิมพ์ข้อความต่อ ก็ซื้อพรุ่งนี้เช้าไงที่รัก ให้แบกน้ำยี่สิบกว่าลิตรไปมาก็ไม่ไหว“พรุ่งนี้เช้าจะไม่ชุกละหุกไปเหรอ” แค่คิดว่าต้องเตรียมตัวแอบขึ้นเรือก็ต้องใช้เวลาเตรียมใจนานแล้ว แต่ดีนยังดูชิล ๆ อยู่เลย หรือแมคเคนซีควรจะผ่อนคลายมากกว่านี้ดีก็ไม่รู้เหมือนกัน

“พวกนายมีเวทหลุมดำอะไรแบบนี้ไหม? หรืออย่างน้อยก็เวทยกของให้ลอยตาม” เวลาแบบนี้ทำให้ดีนคิดถึงเพื่อนที่ใช้เงาเก็บของอย่างเลนน็อคขึ้นมา บางทีเขาก็อยากได้พลังหรือไอเท็มที่เก็บของไว้ในช่องว่างของมิติได้บ้าง จะได้ไม่ต้องมาลำบากหิ้วของหนักแบบนี้ “มีเวทบังคับสิ่งของอยู่นะคะ แต่เราจะใช้เวทเสกให้ของลอยตามมาตอนไปซื้อของเหรอ” ชาร์ล็อตถามตาปริบ ๆ ดีนชูนิ้วไปทางชาร์ล็อตทำนองว่า ‘แบบนั้นล่ะใช่เลย’ ตอนนี้มนตร์บังตาในเมืองเวสต์ฟิลด์ก็แข็งแรงดีเหมือนเดิมแล้ว คนธรรมดาคงไม่พลาดเห็นตอนที่สายเลือดแห่งมนตราร่ายมนตร์บังคับของลอยเป็นเรื่องผิดปกติ แต่มันจะออกมาภาพไหนเนี่ยสิ “ถ้าใช้เวทนั้นคนธรรมดาจะเห็นภาพเป็นยังไงกันนะ? แต่ถ้าใช้แล้วไม่แปลก พวกเราไปซื้อกันตอนนี้เลยก็ได้แหล่ะ” “อาจจะเห็นเป็นอะไรสักอย่างที่ลอยได้อย่างลูกโป่ง ไม่ก็เครื่องบินบังคับค่ะ แต่ที่จริงหนูก็ไม่เคยใช้เวทนี้ต่อหน้าคนธรรมดาเหมือนกัน” ดูจากสีหน้าแล้วชาร์ล็อตเองก็คงตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย เธอเองคงสงสัยถึงข้อนี้ไม่ต่างจากดีน “ถ้างั้นเราไปซื้อกันเลยไหมล่ะ ถ้าเห็นเป็นลูกโป่งลอยได้มันก็ไม่แปลกเลย แค่ตอนเอาเข้ามาในโรงแรมต้องเปลี่ยนเป็นหิ้วกันแทน ไม่งั้นโดนห้ามเข้าแน่” อากาศที่อยู่ภายในลูกโป่งเป็นก๊าซฮีเลียมไม่ก็ไฮโดรเจนซึ่งอย่างหลังติดไฟได้ อาคารส่วนใหญ่จึงไม่อนุญาตให้นำลูกโป่งเข้าไปเสี่ยงระเบิดแล้วเกิดเพลิงไหม้ “แล้วชาร์ล็อตล่ะเอาไงดี อยากไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้างไหม ฝึกเดินหน่อยพรุ่งนี้น่าจะได้เดินเยอะเลย” ถึงพูดอย่างนั้นแต่ความจริงดีนไม่ค่อยไว้ใจให้ธิดาเฮคาทีอยู่ในห้องเพียงลำพังนานเกินไป ถึงแม้ผ่านมาสามวันแล้วจะไม่มีอะไรมารังควานนอกจากปีศาจเจอร์ซีย์ตัวเมื่อวาน กระนั้นเขาก็ยังไม่วางใจ “ไปค่ะไป หนูอยากไปด้วย เรื่องใช้เวทพี่ดีนไม่ต้องห่วงนะคะ ให้หนูจัดการเอง” สาวน้อยคนเดียวในทีมรีบตอบรับทันทีราวกับว่าถ้าช้ากว่านี้แล้วดีนจะเปลี่ยนใจ แมคเคนซีเองก็ไม่คิดจะขัดอะไร ด้วยเข้าใจว่าน้องอยู่แต่ในห้องพักอุดอู้มาหลายวันก็คงจะเบื่อแย่ ให้เธอออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้างก็ดีเหมือนกัน “ไปกันเลยก็ดี เราจะได้กลับมาจัดกระเป๋ากันต่อ ดูท่าคงพะรุงพะรังน่าดู”


.
.
.

- 19.05.2025 / 7:00 A.M. - เวสต์ฟิลด์, รัฐนิวเจอร์ซีย์
เช้าวันใหม่เริ่มขึ้นโดยที่แสงแดดภายนอกยังคงทำงานดีไม่มีตก สามเดมิก็อดตื่นกันแต่เช้าตรู่โดยไม่มีใครอิดออด พวกเขารู้แล้วว่าจากนี้ไปอาจจะไม่ได้อาบน้ำเลยอย่างต่ำหกวัน แต่ละคนจึงใช้เวลาอยู่ในห้องอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณร่างกายกันนานหน่อย จากนั้นลงไปรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับสัมภาระอันหนักอึ้งที่ซื้อตุนกันเมื่อวาน เรียกว่าแบกกันจนเอวเคล็ด… เช่นเดียวกันกับการอาบน้ำ นี่จะเป็นอาหารเช้ามื้อสุดท้ายก่อนไม่ได้กินอะไรดี ๆ แล้วต้องทนกินอาหารฉุกเฉินและอาหารสำเร็จรูปท่ามกลางกลิ่นสาบสางสัตว์อีกร่วมอาทิตย์ การรับประทานครั้งนี้จึงเป็นการเติมเต็มไม่ใช่กันตาย จากนั้นไปเช็คเอาท์แล้วออกจากโรงแรมก่อนเจ็ดโมงเช้า ถือว่าพวกเราทำเวลากันได้ดีมาก เมื่อออกมาพ้นจากโรงแรมเหล่าสายเลือดเฮคาทีก็ใช้คาถาทำให้วัตถุลอยตามมา ช่วยทุ่นแรงไปได้หลายส่วน สิ่งที่พวกเขาต้องทำต่อในเวลานี้คือการเดินทางไป ‘ท่าเรือนิววาร์ค’ หนึ่งในท่าเรือหลักของนิวเจอร์ซีย์ “แม่ฮะ ลูกโป่งยักษ์ล่ะ” เด็กชายที่เดินสวนกับแมคเคนซีกระตุกชายเสื้อผู้เป็นมารดาแล้วร้องเรียกให้ดูลูกโป่งสีพาสเทลขนาดยักษ์ที่ลอยตามหลังเขามา ดูเหมือนว่ามนตร์บังตาจะทำงานตามที่ชาร์ล็อตบอกจริง ๆ เพราะในสายตาพวกเขาทั้งสามคนมันคือถุงสัมภาระขนาดใหญ่ที่ลอยได้ต่างหาก “โอ๊ะ ว้าย ขอโทษค่ะ เป็นอะไรหรือ— อ๊ะ แย่แล้วค่ะ พี่แมคพี่ดีน มีคนบาดเจ็บ” ระหว่างกำลังจะเดินไปขึ้นรถไปที่สถานีเวสต์ฟิลด์ อยู่ ๆ ชายคนหนึ่งก็เดินโซเซออกมาจากตรอกเล็ก ๆ แล้วชนกับชาร์ล็อตเข้าก่อนจะล้มลงไป แมคเคนซีรีบมากันน้องสาวของตนเองให้ออกห่างไว้แล้วมองดูร่างที่นอนอยู่กับพื้น สัมภาระที่ลอยอยู่ร่วงตุ้บลงมากับพื้นหลังจากที่สองสายเลือดเฮคาทีหันเหสมาธิมาทางคนเจ็บ ส่วนดีนที่อยู่ใกล้กับสัมภาระที่ถูกมัดรวมพยายามประคองมันไว้ไม่ให้ทุกอย่างเสียหาย จากนั้นก็หันไปดูว่าชาร์ล็อตกับแมคเคนซีเป็นอะไรกัน “ช่วย…ด้วย…” เสียงกระซิบแผ่วเบาและแห้งผาก เมื่อลองย่อตัวลงสำรวจก็พบว่าตามเนื้อตัวมีบาดแผลเต็มไปหมด ร่างของเด็กหนุ่มตรงหน้าหายใจรวยรินเต็มที “เกิดอะไรขึ้น นายโอเคไหม เราต้องเรียกรถพยาบาล” แมคเคนซีรีบหยิบสมาร์ทโฟนออกมา แต่ก็ถูกมือที่แทบไร้เรี่ยวแรงคว้าแขนไว้ “ไม่ได้…ไม่ต้องครับ….ผมรัสเซล….เป็นเดมิก็อด เหมือนพวกคุณ…..บุตรแห่งเฮคาที….” แม้จะได้ยินไม่ชัดแต่ก็พอจับใจความได้ แล้วตอนนี้คิ้วของแมคเคนซีก็ขมวดมุ่นอีกแล้ว “เมื่อกี้นายว่าไงนะ บุตรของเฮคาที ?” “ครับ…ช่วยผม..ด้วย ได้โปรด….ขอน้ำทิพย์ให้ผม…แค่ก ๆ !” ของเหลวสีแดงกระอักออกมารดพื้นเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นไออย่างรุนแรง แมคเคนซีจึงรีบหันมามองเพื่อนร่วมทีมทั้งสอง “เขาบอกว่าต้องการน้ำทิพย์” “น้ำทิพย์.. น้ำทิพย์เหรอ! ฉันมี! ฉันมี! รอเดี๋ยวนะ!” หลังช็อคกับภาพการกระอักเลือดของคนไม่คุ้นหน้าที่อ้างตัวว่าเป็นบุตรของเฮคาที ดีนไม่มีเวลามาประมวลผลข้อเท็จจริงใด ๆ ทั้งสิ้นในเมื่อความเป็นตายของคนเจ็บสำคัญกว่า มือใหญ่ของหนุ่มโพไซดอนรูดซิปควานหาขวดน้ำทิพย์เพียงหนึ่งเดียวในกระเป๋าคาดอก เขาเปิดฝาขวดออกก่อนจะเข้าไปประคองรัสเซลแทนเสบียงทั้งหมด “ค่อย ๆ จิบนะ ถ้ากินรวดเดียวมันจะเผาผลาญภายในร่างกายนายมากไป”
ฝ่ามือเปื้อนเลือดแตะมือหนาของดีนเบา ๆ ทำเอาเขาสะดุ้งเล็กน้อย กระนั้นดีนก็ค่อย ๆ ป้อนน้ำทิพย์ให้รัสเซลดื่ม…



ความคิดเห็นผู้บันทึก
คุณดีแอบมาส่องชีวิตส่วนตัวของผมอ่ะ แย่ที่สุด!
แบบนี้ก็รู้หมดสิว่าผมน่ะรักแมคเคนซีมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่เนอะ อิอิ

สรุปสถานการณ์
- ดีนออกไปจ๊อกกิ้งตอนเช้าแล้วเจอคุณดีที่มาบอกอะไรบางอย่าง
- ดีนนำเรื่องธุระของคุณดีกลับไปบอกแมคเคนซีและชาร์ล็อตที่ห้องพัก
- วางแผนการเดินทางต่อ เมื่อตกลงแผนกันได้เลยไปซื้อเสบียง
- วันเดินทางจริง พบ [รัสเซล บุตรแห่งเฮคาที] ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
- ดีนป้อน [น้ำทิพย์] ขวดสุดท้ายให้รัสเซลอย่างไม่ลังเล

DEAN


พบเทพไดโอนีซุส 
BELIEVER (ผู้ศรัทธาเหล่าเทพ) โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +15

MACKENZIE

-


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-14-1] ไดโอนีซุส (คุณดี) เพิ่มขึ้น 15 โพสต์ 2025-6-9 13:04
God
แต่เราก็ไม่ไปหรอก เราอยู่ในสเปนมาจนชินแล้ว ช่วยเหลือคนแปลกแบบเรา เอาตัวรอดกันเอง  โพสต์ 2025-6-9 12:28
God
เขาเป็นคนกลุ่มฟอลคอน หัวหน้าเราเป็นบุตรแห่งซุสที่หนีเพราะเขาบอกว่าเป็นลูกเทพต้องห้าม พวกเราไม่เคยรู้การมีอยู่ของค่ายพวกนาย จนกระทั่งหลายปีก่อนเหล่าเทพพากันรับรองพวกเรา   โพสต์ 2025-6-9 12:27
God
เขาแนะนำตัวเอง (คุณได้รับโควต้าเสนอ รัสเชล [ห้องรวบรวม NPC เดมิกอตกลุ่มอื่น ๆ]) (ไม่นับโควต้าปกติ)  โพสต์ 2025-6-9 12:26
God
ดูเหมือนว่าเขาพูดว่าลงใต้ ไม่รู้ตอนนี้เป็นไงบ้าง แต่ดูจากการที่เขาสู้อสุรกายนับสิบคงรอดได้แหละ แค่ เขายกมือชี้สมอง ดูจิตหลุดน่ะ  โพสต์ 2025-6-9 12:25
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
Anker PowerCore
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่อัสพิสขัดเกลา
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
แว่นตา
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x2
x2
x3
x2
x1
x3
x3
x1
x1
x3
x11
x2
x7
x2
x4
x8
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-6-22 10:45:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-18 00:39

VII
แผนลอบขึ้นเรือ(?)
 Mackenzie Claude Lincoln 


- 19.05.2025 -
เวสต์ฟิลด์, รัฐนิวเจอร์ซีย์


“………”

ทีมทำภารกิจมองคนเจ็บที่บอกว่าตนเองเป็นเดมิก็อดเช่นกันซ้ำยังเป็นบุตรเทพีเฮคาทีเหมือนแมคเคนซีกับชาร์ล็อตอีกด้วย การดื่มน้ำทิพย์อาจเป็นการพิสูจน์อย่างนึงว่าเด็กหนุ่มคนนี้พูดจริงหรือไม่

“อ๊ะ แผลค่อย ๆ ดีขึ้นแล้วจริง ๆ ด้วยค่ะ” 


ชาร์ล็อตยกมือขึ้นปิดปากเมื่อเห็นว่าบาดแผลฉกรรจ์ตามร่างของรัสเซลค่อย ๆ สมานกันจนเหลือเพียงแค่แผลเป็น ลมหายใจรวยรินเมื่อครู่ก็เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เมื่อร่างกายฟื้นตัวแล้ว รัสเซลที่ถูกดีนประคองอยู่ก็ค่อย ๆ ขยับตัวนั่ง


“ขอบคุณพวกคุณมากที่ช่วยผมไว้“


พอได้เห็นคนเจ็บถูกรักษาจนหายทั้งสามคนก็เบาใจลง


“ไม่เป็นไร เอ๊ะ ! เดี๋ยวนะ…” คล้ายเพิ่งเอะใจขึ้นมาได้ว่าดีนไม่เคยเจอเดมิก็อดคนนี้มาก่อน “เมื่อกี้นายพูดว่าไงนะ ?”


หนุ่มเครื่องหน้าละตินเรือนผมสีเมล็ดกาแฟคั่วมัดยุ่ง ๆ ครึ่งหัวโคลงศีรษะเล็กน้อยกะพริบตาปริบก่อนจะพูดอีกรอบ


“ขอบคุณมาก… ที่ช่วยผมไว้”


“ไม่ ไม่ ไม่ ฉันหมายถึงก่อนหน้านั้น… ก่อนหน้านั้นไปอีก ที่นายบอกว่าเป็นบุตรของใครนะ ? ทำไมฉันไม่เคยเห็นนายมาก่อน ถึงเป็นเด็กใหม่ก็ต้องพอคุ้นหน้าบ้างสิ” ดีนอธิบายคำถามของเขาไปอีก สายตาที่มองรัสเซลเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ “หรือว่านายเป็นคนจากค่ายจูปิเตอร์ ?”


“อ้อ ผมบอกว่า ผมชื่อรัสเซล เป็นบุตรแห่งเฮคาที แล้วผมก็ขอน้ำทิพย์พวกคุณ ส่วนค่ายจูปิเตอร์… ไม่ใช่นะ“


เมื่อได้ฟังคำตอบของรัสเซลแล้วก็ยิ่งสงสัยไปกันใหญ่ แมคเคนซีที่ยืนดูอยู่เงียบ ๆ มาสักพักเอียงคอแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย


“ถ้าไม่ใช่คนจากค่ายจูปิเตอร์ แล้วนายมาจากไหน หรือว่าเป็นเดมิก็อดอิสระที่ออกมาใช้ชีวิตนอกค่ายฮาล์ฟบลัดแล้ว”

จากที่เคยคุยกับชาวค่ายจูปิเตอร์เมื่อสิ้นปีก่อนทำให้แมคเคนซีพอมีความรู้มาบ้างว่าคนจากค่ายนั้นเป็นลูกหลานเทพจากภาคโรมัน แม้จะเป็นเทพองค์เดียวกันแต่มีชื่อเรียกต่างกัน และรัสเซลเองก็บอกว่าตนเป็นบุตรแห่งเทพีเฮคาที เพราะงั้นก็ตัดเรื่องค่ายจูปิเตอร์ออกไปได้เลย


“ก็ไม่ใช่เหมือนกัน ผมมาจากกลุ่มฟอลคอน พวกคุณคงไม่รู้จักหรอกใช่ไหม แต่ว่าผมรู้จักค่ายฮาล์ฟบลัดกับค่ายจูปิเตอร์นะ พวกเราเคยส่งทรัพยากร…ผมหมายถึงสินสงครามจากอสุรกายที่กลุ่มเราล่าได้ไปให้ทั้งสองค่ายอยู่“


“กลุ่มฟอลคอน… ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแฮะ”


ไม่รู้ว่ากลุ่มฟอลคอนที่ว่านี้ลึกลับเกินไปหรือเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ค่อยอยู่ติดค่ายจึงตามข่าวสารบ้านเมืองไม่ทัน ดีนหันไปทางเพื่อนร่วมทีมทั้งสอง ชาร์ล็อตส่ายหน้าว่าไม่รู้จัก ส่วนแมคเคนซีก็น่าจะมีความรู้พอ ๆ กันกับเขาล่ะมั้ง

แมคเคนซีเองก็หลุบตาลงมองดีนกลับก่อนจะส่ายหน้าแทนคำตอบเช่นกัน แล้วหันไปคุยกับรัสเซลอีกครั้ง


“พวกเราก็ไม่รู้จักกลุ่มของนายจริง ๆ นั่นล่ะ แล้วทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้คนเดียว มาทำอะไรที่นี่”


“ผมกับเพื่อนมาจากสเปนเพื่อมาล่าอสุรกายท้องถิ่น พวกเราแยกกันไปตามจุดต่าง ๆ แต่ผมดันพลาดท่าให้พวกมันซะได้ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น”


เดมิก็อดจากกลุ่มฟอลคอนมองตามเนื้อตัวของตนเองที่เสื้อผ้ามีรอยขาดวิ่น เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและคราบเลือดที่แห้งกรัง


“มาจากสเปนเชียว..”


ถือเป็นความรู้ใหม่ หากมีโอกาสดีนน่าจะลองถามคุณไครอนเกี่ยวกับเดมิก็อดกลุ่มอื่น ๆ ดูบ้าง บางทีสายสืบเซนทอร์ของเขาน่าจะรู้ข้อมูลเรื่องนี้ดี


“อา…แล้วนายจะเอายังไงต่อ”


แมคเคนซีถามพลางทำทีเหลือบมองเวลาจากนาฬิกาข้อมือ พวกเขาเองก็ยังมีเรื่องที่ต้องไปทำ คงไม่มีเวลามาสนทนามากนัก


“ผมจะกลับไปหาเพื่อน เขาอยู่เมืองใกล้ ๆ นี้เอง”


ระหว่างนั้นที่ดีนสังเกตเห็นแมคเคนซียกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก่อนจะทำตาม

“โอ้ เกือบลืมไปเลย พวกเราก็รีบ นายจะกลับไปหาพวกนายเลยไหมรัสเซล น่าเสียดายที่พวกเรารีบจริง ๆ คงไปเป็นเพื่อนนายที่ต่างเมืองไม่ได้”


“ไม่เป็นไร” รัสเซลตอบพร้อมกับยกมือปัดไปมา ถึงเขาจะเพิ่งโดนยำใหญ่มาเมื่อกี้ แต่ฝีมือไม่ได้กระจอกถึงขนาดให้ใครตามไปปกป้อง “เอ้อจริงสิ ก่อนหน้านี้หลายเดือนมาก ๆ ผมเห็นคนใส่เสื้อสีส้มเหมือนคุณ”


บุตรเฮคาทีจากกลุ่มฟอลคอนชี้นิ้วไปทางชาร์ล็อตที่สวมเสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด


“เสื้อแบบนี้เหรอคะ”


ชาร์ล็อตชี้ที่โลโก้ม้าเพกาซัสสีดำบนเสื้อยืดสีส้ม รัสเซลพยักหน้าลงก่อนพูดต่อ


“แต่ว่าเขา เอ่อ..” ปลายนิ้วของบุตรเฮคาทีแห่งสเปนชี้วนที่ข้างขมับ ทำสีหน้าอธิบายยาก “เหมือนสมงสมองไปหมดแล้วน่ะ ปากเพ้อแต่ ‘ต้องช่วยเพื่อน ชาร์ล็อต อาร์ตี้’ อะไรสักอย่าง”

“เอ๋ ! เพ้อชื่อฉันเหรอคะ ” หญิงสาวทำตาโต เธอรีบถามจนลิ้นแทบจะพันกัน “เขา.. เขาคนนั้นลักษณะเป็นยังไงคะ” 

“นั่นชื่อเธอเหรอ” รัสเซลโคลงหัว คิดถูกแล้วเชียวที่ลองเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง “ผู้ชาย… เอ หรือผู้หญิงหว่า โทษทีผมแยกไม่ค่อยออก แต่เขาสวมแว่นกันแดดสีดำที่แตกไปครึ่งนึง แล้วก็ผมข้างหน้าสีชมพู”


“นั่นมันลักษณะตรงกับคุณไฮรี่เลยนี่นา !” ชาร์ล็อตยกมือขึ้นปิดปากน้ำตาซึม


“ไฮรี่เหรอ คนที่คำทำนายบอกว่าสูญเสียชีวิตอ่ะนะ !?” ดีนทำตาโตตาม เขาเคยได้ยินแต่ชื่อบุตรแห่งเฮอร์มาโฟรไดตัสคนนั้นแต่ไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาเสียที “นายเจอแค่คนเดียวเหรอรัสเซล“


“อื้ม ก็…เห็นเขามาคนเดียวนะ แต่ถึงจะสภาพนั้นก็…เจ๋งชะมัด จะว่าไงดี ผมเห็นเขาสู้กับพวกอสุรกายเป็นสิบตัวด้วยตัวคนเดียวจนพวกมันลงไปนอนกองกับพื้นเลย”


รัสเซลเล่าด้วยความตื่นเต้น ตรงกันข้ามกับเดมิก็อดทั้งสามจากค่ายฮาล์ฟบลัดที่ได้แต่ฟังแล้วทำตาปริบ ๆ


“…..จากลักษณะที่นายเล่ามา เขาเป็นคนจากค่ายเราจริง ๆ พอจำได้ไหมว่าตอนนั้นเจอเขาที่ไหน”


แมคเคนซีที่ลูบหลังปลอบชาร์ล็อตถามขึ้นมา แม้จะผ่านมาหลายเดือนแต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้เบาะแสของไฮรี่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี


“นิวเจอร์ซีย์นี่ล่ะ แต่ก็ตั้งแต่เมื่อต้นปีแล้วนะ ป่านนี้ไม่รู้ไปถึงไหนแล้ว ผมได้ยินเขาบอกว่าจะ ‘ลงใต้’ อะไรทำนองนี้”


รัสเซลกลอกตานึกย้อนไปถึงช่วงเวลานั้นแล้วโคลงศีรษะไปมาอีกครั้ง


“ลงใต้ ?”


เบาะแสะที่ได้เพิ่มเติมมาทำให้แมคเคนซีเลิกคิ้ว แต่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไร หนุ่มชาวสเปนก็พูดขึ้นต่อ


“พวกคุณจะเดินทางต่อแล้วใช่ไหม เอางี้ไหมล่ะ เรามาแลกคอนแทคกัน พวกคุณช่วยชีวิตผมไว้ ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็ติดต่อมาได้เลย”


“อ..โอเค ขอบคุณมาก เมมเบอร์พวกเราไว้สิ แอพแชทก็แอดจากเบอร์โทรได้เลย”


แมคเคนซีหยิบสมาร์ทโฟนเปิดหน้ารายชื่อผู้ติดต่อส่งให้รัสเซลที่รับไปบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ของพวกเขาอย่างคล่องแคล่ว


“ขอโทษที่เสียมารยาทแนะนำตัวช้าไป นั่นดีน บุตรแห่งมหาเทพโพไซดอน ส่วนผู้หญิงคนนั้นคือชาร์ล็อต และฉันแมคเคนซี พวกเราเป็นบุตรเทพีเฮคาทีเหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จัก…น้องชาย”


เรียวนิ้วที่กำลังจะกดบันทึกข้อมูลชะงักไปเล็กน้อย รัสเซลเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องร่วมมารดาของตนก่อนจะยิ้มให้แล้วส่งสมาร์ทโฟนคืน


“ยินดีที่ได้รู้จักพี่ชายทั้งสองคนและน้องสาวเช่นกัน”


หลังจากนั้นสามเดมิก็อดจากฮาล์ฟบลัดก็แยกทางกับรัสเซลแล้วเดินทางไปถึงท่าเรือนิววาร์ค

.
.
.

- 8:45AM. -
ท่าเรือนิววาร์ค, เวสต์ฟิลด์, รัฐนิวเจอร์ซีย์


ดีน แมคเคนซีและชาร์ล็อต มาถึงท่าเรือนิววาร์คก่อนเวลาออกเรือเกือบสามชั่วโมง หากเป็นการเดินทางปกติถือว่ากะเวลาได้ดี แต่สำหรับคนที่วางแผนว่าจะแอบขึ้นเรือไปโดยอาศัยตู้ขนสินค้าฟรี (ในที่นี้คือขนปศุสัตว์) เรียกว่าเกือบเลท


“เราต้องไปท่าเรือที่เก้า”


ดีนชี้นิ้วบอกพรรคพวกทั้งสองไปทางท่าหมายเลขเก้าซึ่งมีเรือสินค้าขนาดใหญ่จอดอยู่ไกลลิบ ๆ จนเห็นเรือยักษ์บนน้ำเหลือขนาดเพียงแค่รถคันหนึ่ง ซึ่งจากที่พวกเขาอยู่กันตอนนี้กว่าจะไปถึงท่าดังกล่าวก็ต้องเดินไปอีกไกลมาก ๆ

“เดี๋ยวพวกเราต้องไปเจอกับความลำบากแล้ว มีใครอยากเข้าห้องน้ำหรือซื้ออะไรเป็นครั้งสุดท้ายไหม”


“หนูขอไปเข้าห้องน้ำค่ะ”


ชาร์ล็อตยกมือขึ้นระดับศีรษะหลังจากที่มองไปยังเรือขนส่งสินค้าลำนั้น


“งั้นพวกนายไปทำธุระกันก่อน เดี๋ยวฉันเฝ้าของให้”


แมคเคนซีเสนอตัว ข้าวของเยอะแยะแบบนี้ไปพร้อมกันสามคนคงไม่สะดวกเท่าไหร่


“โอเค งั้นเดี๋ยวฉันมานะที่รัก”


ดีนตอบก่อนจะไปเข้าห้องน้ำกับชาร์ล็อต แมคเคนซีเพียงพยักหน้ารับพลางมองแผ่นหลังของคนรักกับน้องสาวเดินไปยังห้องน้ำสาธารณะที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าสัมภาระที่ดี


“ช่วยด้วยค่ะ ! ช่วยเพื่อนฉันด้วยนะคะ !”


อยู่ ๆ หญิงสาวคนหนึ่งที่มาจากไหนไม่รู้ก็มาดึงแขน พอหันไปมองก็ถึงกับต้องตะลึง เมื่อเห็นสาวสวยผมบรอนซ์ดัดเป็นคลื่นถึงกลางหลังในชุดเดรสวันพีชลายดอกเข้ารูป หุ่นอย่างกับนางแบบวิคตอเรียซีเคร็ทกำลังร้องขอความช่วยเหลือด้วยใบหน้าตื่นตกใจ


แต่นั่นใช่ประเด็นที่ไหนกันล่ะ


“อ..เอ่อ เดี๋ยวนะครับ คุณจะให้ผมช่วยอะไร”


“เพื่อนฉัน เพื่อนฉันจมน้ำค่ะ อยู่ตรงนั้น ไปช่วยเพื่อนฉันหน่อยนะคะ”


หญิงสาวชี้ไปยังร่างหนึ่งที่อยู่ห่างจากชายฝั่งออกไป หากเป็นดีนที่มีสายเลือดเจ้าสมุทรแถมเห็นสาวสวยระดับนี้คงไม่ลังเลที่จะรีบไปช่วย แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น แมคเคนซีก็ถูกดึงไปด้วยแรงมหาศาลจนต้องตามไปอย่างเสียไม่ได้


“ด..เดี๋ยวก่อนคุณ ผมว่าเรียกเจ้าหน้าที่—”


ความเย็นเยียบอันผิดปกติของมือหญิงตรงหน้าถ่ายทอดมายังแขนของแมคเคนซี เมื่อก้มลงดูก็พบว่าหลังมือของเธอมีสิ่งที่คล้าย ๆ เกล็ดขึ้นมาปกคลุมไว้ เดมิก็อดหนุ่มรีบสะบัดแขนออกทันทีจนอีกฝ่ายชะงัก เมื่อเธอหันมา ใบหน้าสะสวยนั้นก็มีเกล็ดงอกออกมาจากบางส่วนเช่นกัน

“อุ๊ยตาย รู้ตัวซะแล้วเหรอพ่อรูปหล่อ”


ส่วนขาทั้งสองข้างกลายสภาพเป็นสิ่งที่คล้ายกับหางงู ในคราแรกเขาเข้าใจว่าเธอคงเป็นลาเมียไม่ก็กอร์กอน แต่ปีกที่งอกขึ้นมากลางหลังทำให้รู้ว่าไม่ใช่

“ชักช้าจริง รีบจับโยนลงมาในน้ำเลยสิ !”


เมื่อหันไปมองตามเสียงก็เห็นอสุรกายสาวอีกตนที่มีลักษณะคล้ายกันกำลังว่ายน้ำมาทางนี้ ดูท่าคงจะเป็นคนที่ทำทีเป็นจมน้ำเพื่อล่อให้เขาไปติดกับ


“อุ๊บ โอ๊ย !”


ส่วนที่เป็นหางงูเลื้อยรัดพันข้อเท้าของแมคเคนซีไว้ด้วยความเร็วแล้วดึงอย่างแรงจนเขาเสียหลักล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้า ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากจนแมคเคนซีหยิบคทาเวทย์ในกระบอกซูมที่สะพายหลังอยู่ไม่ทัน อสุรกายครึ่งงูเริ่มเลื้อยไปรอบตัว หวังจะรัดร่างเหยื่อให้ขาดอากาศหายใจแล้วพาลงไปใต้น้ำ


ฉับพลันพื้นที่บริเวณนั้นก็เริ่มมีไอหมอกปกคลุมหนาขึ้นเรื่อย ๆ แมคเคนซีรวบรวมสมาธิบังคับให้หมอกบางส่วนควบรวมตัวกันจนเป็นลูกบอลขนาดย่อม 2-3 ลูกแล้วพุ่งโจมตีใส่อสุรกายตนนั้นอย่างแรง แม้จะไม่ถึงตายแต่ก็พอถ่วงเวลาให้เขาได้หยิบคทาเวทย์ออกมา


“จบงานนี้แล้วพวกเราไปฉลองกันเถอะ”


“พูดไปเรื่อย ค่าเช่าห้องเดือนที่แล้วฉันยังไม่จ่ายเลย ขอผ่านก่อนแล้วกัน”


“ฉันพอมีเงินเก็บบ้าง คราวนี้ฉันจ่ายส่วนของนายให้ก็ได้นะ”


“เฮ้ย เจ๋งอะ จ่ายให้ฉันด้วยสิเพื่อน”


“นายเป็นคนชวนแปลว่ามีเงิน ก็จ่ายเองเซ่”


เสียงพูดคุยกันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ปรากฏเป็นเงาราง ๆ ของคนสามคนกำลังเดินมาทางนี้

“พวกคุณทำอะไรกันน่ะ”


ชายหนุ่มคนหนึ่งทักขึ้นเมื่อเดินผ่านม่านหมอกมนตรามาแล้วเห็นฉากการต่อสู้เข้า


“เฮ้ย น..น..นั่นมันตัวอะไร สัตว์ประหลาด ! ช่วยด้วยยยย !”


“อยู่ไม่ได้แล้วโว้ยยยยย !”


กลุ่มวัยรุ่นถึงกับวงแตก สองคนวิ่งกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง ส่วนอีกคนที่ดูจะกลัวมากที่สุดก็เป็นลมล้มพังพาบอยู่ตรงนั้น


“เวรล่ะ…”


แมคเคนซีสบถเบา ๆ ในยามปกติหากมนุษย์มาเห็นเดมิก็อดต่อสู้กับอสุรกายก็จะเห็นเป็นภาพคนทั่วไปกำลังทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่คนกลุ่มนี้คงถึงคราวโชคไม่ดีที่เดินผ่านมาขณะที่เขาใช้ทักษะควบคุมหมอก อานุภาพของหมอกเวทย์คงส่งผลกระทบให้มนต์บังตาแถวนี้ไม่เสถียรเท่าที่ควร พวกเขาจึงเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้าจนนำไปสู่อาการสติหลุดเช่นนี้


“พวกมนุษย์อ่อนแอเสียจริง กรี๊ดดด !”


เสียงกรีดร้องดังขึ้นเมื่อคมกริชจันทราสีเลือดแทงเข้าที่ส่วนลำตัวงูจนอสุรกายตนนั้นรีบคลายหางที่พันข้อเท้าแมคเคนซีอยู่ พอเห็นว่าเพื่อนถูกทำร้าย อสุรกายสาวอีกตนก็รีบบินขึ้นมาจากน้ำ เดมิก็อดหนุ่มจึงใช้จังหวะนี้เล็งคทาเวทย์แล้วร่ายคาถายิงลูกไฟใส่จนร่างนั้นสลายเป็นฝุ่นผงกลางอากาศ ก่อนจะตั้งสมาธิควบคุมหมอกอีกครั้งให้ปกคลุมร่างอสุรกายตรงหน้าแล้วบีบอัดจนแตกสลายเหลือเพียงสินสงครามที่ร่วงลงมากับพื้น


“อูย เจ็บชะมัด”


แมคเคนซีค่อย ๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นแล้วลูบตรงบั้นท้ายที่ยังรู้สึกเจ็บระบม หลังจากเก็บคทาเวทย์เรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบไปดูมนุษย์ผู้เคราะห์ร้ายที่เป็นลมไม่ได้สติอยู่


“เฮ้ เป็นอะไรหรือเปล่า…..หืม”


ขณะที่พยายามจะปลุกอีกฝ่าย สายตาแมคเคนซีก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อคนคนนั้น


“เจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ประจำเรือขนส่งสินค้า…”


พอไล่สายตาอ่านข้อมูลในนามบัตรนั้นจนครบถ้วน เขาก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หนุ่มอังกฤษรีบเดินกลับไปหาดีนกับชาร์ล็อตตรงจุดที่พวกเขาวางสัมภาระไว้ ป่านนี้ทั้งคู่คงกลับมาจากเข้าห้องน้ำแล้ว โดยไม่ลืมแจ้งเจ้าหน้าที่แถวนั้นให้ไปช่วยดูคนที่นอนสลบอยู่ด้วย
.
.
ทางด้านดีนและชาร์ล็อตหลังจากที่ไปเข้าห้องน้ำกันเสร็จเรียบร้อยก็ได้กลิ่นหอมฉุยลอยมา แน่นอนว่าไม่ใช่กลิ่นของห้องน้ำ พวกเขาไม่ได้หิวจนตาลายจนคิดว่าของเหม็นคือความหอม แต่เป็นเพราะไม่ไกลจากตรงนี้มีแผงขายแซนด์วิชย่างตั้งอยู่ต่างหาก

เดมิก็อดทั้งสองมองหน้ากันอย่างที่รู้ความต้องการของอีกฝ่าย

‘อย่างน้อยมื้อกลางวันและมื้อเย็นวันนี้ต้องไม่ใช่อาหารกระป๋อง !’

บุตรแห่งโพไซดอนและธิดาแห่งเฮคาทีตรงดิ่งไปซื้อแซนด์วิชย่างติดกระเป๋ามาด้วยหลายชิ้นราวกับว่าจะไปปิกนิก จากนั้นจึงกลับไปหาแมคเคนซีโดยที่ไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง

“ที่รักรอนานไหม พวกเราซื้อแซนด์วิชมื้อกลางวันมาเพิ่มด้วย”


“โอ้ ไม่ ไม่นานเลย แซนด์วิชงั้นเหรอ เยี่ยมเลยสิ อย่างน้อยมื้อนี้ก็ยังไม่ต้องกินอาหารเสบียง”


แมคเคนซีที่กลับมาก่อนรีบส่ายหน้าก่อนจะเออออเรื่องแซนด์วิชย่างที่ทั้งคู่ซื้อมา ทั้งที่ตอนนี้ภายในหัวมีเรื่องที่อยากบอกมากมายจนเลือกไม่ถูกว่าจะพูดเรื่องไหนก่อนดีในช่วงเวลาอันจำกัดเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะปิดบังเรื่องที่เจอมากับสมาชิกร่วมทีม ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม


“เอ่อ…คือว่าฉันมีเรื่องจะเล่าให้พวกนายฟัง แล้วก็อยากปรึกษาอะไรนิดหน่อย…” 


“หืม มีอะไรเหรอ”


ดีนโคลงศีรษะถาม หรือว่าช่วงที่เขากับชาร์ล็อตไม่อยู่อีกฝ่ายจะเจออะไรกันนะ ดวงตาสีเปลือกไม้จึงมองสำรวจคนรักไปทั่ว


แมคเคนซีมองใบหน้าสงสัยใคร่รู้ของดีนกับชาร์ล็อตก่อนจะเริ่มเล่า


“ตอนที่รอพวกนายไปเข้าห้องน้ำ มีมอนสเตอร์มารังควานฉันน่ะ แต่ฉันจัดการพวกมันเรียบร้อยแล้วนะ ไม่ต้องห่วง”


เขาเล่าแบบสรุปเฉพาะส่วนที่สำคัญโดยข้ามรายละเอียดไป ไม่ว่าจะเป็นมอนสเตอร์ที่มาในคราบสาวสวยเซ็กซี่ รวมถึงอาการบาดเจ็บตรงช่วงบั้นท้าย ไม่เช่นนั้นดีนคงได้ซักไซ้ไล่เรียงยาวเหยียดมากกว่าใช้ตามองเหมือนเมื่อครู่แน่


“แล้วก็ระหว่างที่ฉันต่อสู้อยู่ ดันมีคนธรรมดากลุ่มนึงมาเห็นเข้า ดูท่าว่าพวกเขาจะโดนผลข้างเคียงของทักษะควบคุมหมอกไปเลยอาจเห็นอะไรที่น่ากลัว มีสองคนวิ่งหนีไป ส่วนอีกคนเป็นลม…”


เมื่อเล่าถึงตรงนี้แมคเคนซีก็เงียบไปอีกรอบ พอได้ค่อย ๆ เรียบเรียงเหตุการณ์ทั้งหมดออกมาเป็นคำพูดแล้วก็ตระหนักได้ว่าค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่พอควร แต่ตอนนี้เรื่องที่พวกเขาต้องไปทำสำคัญยิ่งกว่า


“ฉันเรียกเจ้าหน้าที่ให้ไปช่วยดูอาการคนที่เป็นลมแล้ว ส่วนเรื่องที่ฉันอยากปรึกษาก็คือเรื่องนี้…”


บุตรแห่งเทพีมนตราหยิบบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ซึ่งนำติดมือมาด้วยออกมาให้สมาชิกร่วมทีมทั้งสองดู


“อย่างที่เห็น…พวกที่มาเจอฉันเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ของบริษัทเรือขนส่งสินค้าที่พวกเรากำลังจะไปกัน พวกนายว่าเป็นไปได้ไหมถ้าฉันจะใช้พลังควบคุมหมอกสร้างภาพลวงตาให้เจ้าหน้าที่ประจำเรือเห็นว่าพวกเรามีใบอนุญาตให้ขึ้นเรือไปในฐานะเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ได้”


ดีนกำลังจะอ้าปากโพล่งออกมาว่า ‘แล้วทำไมนายไม่เอาบัตรไปคืน !’ ตามความเป็นคนดีศรีอเมริกัน จนกระทั่งแมคเคนซีอธิบายจบความเป็น ‘คนดี’ ก็ถูกพับใส่กล่อง


“แบบนี้ก็ดีน่ะสิ ! พวกเราจะได้ไม่ต้องนอนในคอกสัตว์กันแล้ว”


บุตรแห่งโพไซดอนกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ใครจะคิดเล่าว่าจากที่เคยพูดเล่น ๆ ออกไปว่า ‘ตุ้บตั้บลูกเรือสามคนแล้วสวมรอยแทน’ จะเป็นจริงได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องออกแรงทำร้ายร่างกายผู้บริสุทธิ์เลยด้วยซ้ำ ทว่าความตื่นเต้นนั้นก็ลดลงนิดหน่อยหลังจากที่พูดคำว่า ‘พวกเรา’ ออกมา

“แต่ว่ามันมีแค่ใบเดียว… ถ้างั้นอีกสองคนก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เหรอ” มือหนายกขึ้นลูบปลายคาง “ถ้าได้ห้องเดี่ยวก็คงจะพอซ่อนอีกสองคนได้หรอกนะ”


“แล้วถ้าเกิดว่าเราปลอมบัตรอีกสองใบล่ะคะ” ชาร์ล็อตเสนอความเห็น


แมคเคนซีพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดเสริม


“พี่ว่าเราน่าจะทำได้ ตอนไปทำภารกิจที่แคนาดาพี่ก็เคยใช้หมอกสร้างภาพวีซ่าปลอมมาก่อน….”


แล้วก็ต้องเงียบไปเล็กน้อยเมื่อถูกดวงตาใสแจ๋วราวกับลูกแก้วของชาร์ล็อตมองจ้องมาเลยทำได้แค่ยิ้มเจื่อนให้ เขารู้ว่าเรื่องที่ทำมันไม่ถูกต้องและผิดกฎหมาย แต่สถานการณ์ตอนนั้นมันเร่งรีบ และครั้งนี้ก็เช่นกัน


“พี่แมคออกไปทำภารกิจมาด้วยเหรอคะ ไม่เห็นเล่าให้หนูฟังเลย”


พอรู้ว่าเธอสงสัยเรื่องอะไรแมคเคนซีก็พรูลมหายใจแล้วหลุดขำน้อย ๆ ให้ตายสิ เขานึกว่าจะโดนน้องสาวงอนที่ทำเรื่องไม่ดีเข้าซะอีก


“ไว้พี่จะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้เรามาวางแผนเรื่องขึ้นเรือกันให้ได้ก่อน ฉันคิดว่าแต่ละคนควรมีนามบัตรหรือกระดาษอะไรก็ได้ที่ขนาดเท่าบัตรพนักงานนี่ ส่วนเรื่องสร้างภาพลวงตาให้เป็นหน้าที่ของฉันกับชาร์ล็อตเอง”


“บัตรเท่ากับบัตรพนักงานนี่เหรอ…”


ดีนหยิบบัตรพนักงานที่แมคเคนซีถืออยู่มาดู เท่าที่เห็นขนาดมันก็เท่ากับนามบัตรทั่วไป เขาส่งมันคืนจากนั้นลองเปิดกระเป๋าสตางค์มาค้นดู นอกจากไอดีการ์ดและใบขับขี่ดีนยังพบนามบัตรค่ายฮาล์ฟบลัดที่คาดว่าน่าจะได้มาจากคนที่ชื่อเพอร์ซีย์ แจ๊กสัน แต่ของสำคัญแบบนี้ไม่เอามาปลอมแปลงหรอก


“ฉันว่าบัตรสองใบนี้น่าจะได้”


เขาส่งบัตรสะสมแต้มร้านอาหารสองใบที่หมดอายุตั้งแต่ปีที่แล้วเพราะมัวแต่ติดแหงกอยู่ที่ค่ายลูกเทพให้


“เลือกได้ดีนี่ที่รัก”


ดวงตาสีฮาเซลหลุบมองบัตรในมือคนรักแล้วยิ้มบาง ๆ ก่อนนำคูปองทั้งสองใบมาเก็บไว้แล้วเอาบัตรพนักงานตัวจริงวางใส่มือดีนแทน


“นายเก็บเจ้านี่ไว้แล้วกัน แค่เปลี่ยนรูปกับข้อมูลในบัตรนิดหน่อยน่าจะใช้พลังเวทย์น้อยกว่า จะได้ผ่านเข้าไปได้ง่าย ๆ”


นั่นหมายความว่าหากการใช้ทักษะควบคุมหมอกกับบัตรคูปองซึ่งต้องใช้พลังเวทย์มากกว่าเกิดปัญหาหรือไม่ได้ผลขึ้นมา อย่างน้อยดีนที่เป็นเจ้าของคำพยากรณ์ก็ยังสามารถเดินทางไปต่อได้อยู่


“โอเค ฉันจะเก็บไว้อย่างดีเลย”


ดีนรับบัตรพนักงานมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อยีนส์จากนั้นตบที่อกตัวเองเบา ๆ


“ใกล้ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ”


แมคเคนซีบอกแล้วยกกระเป๋าสัมภาระขึ้นสะพาย ก่อนจะร่ายเวทย์ย่อส่วนของที่ซื้อเพิ่มมาเมื่อวานให้มีขนาดเล็กลงด้วยเข้าใจดีว่าไม่สามารถนำพวกมันลงเรือไปในสภาพลูกโป่งลอยได้ จากนั้นพวกเขาจึงพากันเดินไปยังท่าเรือหมายเลขเก้า.


จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าการใช้มนต์ลวงตาไม่เคยเกิดข้อผิดพลาดเลยสักครั้ง กระนั้นดีนก็รู้สึกใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ทุกครั้งเมื่อต้องผ่านด่านตรวจ ด้วยความที่ตนเองมีบัตรพนักงานของจริง (แต่ข้อมูลปลอม) อยู่ในมือ เขาจึงโชว์บัตรแก่คนเรือที่อยู่บริเวณหน้าประตู

“สวัสดี ผมเป็นสัตวแพทย์ ส่วนสองคนนี้เป็นผู้ช่วยผมแล้วก็คนดูแลสัตว์ พวกเราเป็นพนักงานใหม่ที่บริษัทส่งมาน่ะต้องทำยังไงบ้างเหรอ”


“มาซะเกือบเรือออกเชียวคุณหมอ”


พนักงานเรือทักกลับเล่นทำเอาดีนยิ้มแหย ทว่าบัตรพนักงานในมือดีนไม่ได้ถูกตรวจสอบโดยละเอียดเลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายแค่มองผ่าน ๆ พอเห็นว่าเป็นบัตรที่คุ้นเคยก็ให้ผ่านไปได้ ช่างทำงานหละหลวมเสียจริง


“เข้าไปตามทางจะเจอจุดเช็คอิน รับกุญแจห้องตรงนั้น เอาของไปเก็บแล้วก็ไปที่ห้องประชุมตอนสิบโมงจะมีเซฟตี้บรีฟก่อนออกเดินทาง”


“เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะ”


ดีนยิ้มกลับตามมารยาท (หรืออาจเพื่อเล่นละครให้แนบเนียน) จากนั้นมองไปทางแมคเคนซีกับชาร์ล็อตแล้วพยักหน้าให้ ก่อนที่เขาจะรีบเดินไปตามทางเดินในเรือเพื่อไม่ให้ถูกเรียกตัวมาไถ่ถามอะไรอีก แต่พอเดินนำไปได้ไม่เกินห้าก้าว ชาร์ล็อตที่เดินตามมาก็ถูกเรียกตัวไว้ ทำเอาผู้ลักลอบขึ้นเรือสะดุ้งกันเป็นแถบ ๆ

“เฮ้ เดี๋ยวนะ ผู้หญิงงั้นเหรอ”


“อะ…เอ่อ…”


โชคดีที่การตรวจสอบข้อมูลของเจ้าหน้าที่เป็นไปแบบรวดเร็ว คูปองอาหารหมดอายุที่แมคเคนซีกับชาร์ล็อตใช้ทักษะควบคุมหมอกสร้างภาพลวงตาปิดทับไว้ให้กลายเป็นบัตรเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์จึงไม่เป็นที่ผิดสังเกต แต่รูปลักษณ์ของชาล็อตกลับไม่รอดพ้นสายตาเจ้าหน้าที่เรือไปได้ ทั้งสามคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แมคเคนซีที่ยืนอยู่ด้านหลังน้องสาวกำลังจะตอบ แต่ชาร์ล็อตก็ขัดขึ้นมาก่อน


“อุ๊ยตายยยย คุณพี่นี่ตาถึงจังเลยนะคะ กะเทยค่ะ ! หนูเป็นกะเทย หนูสวยใช่ไหมคะคุณพี่”


น้ำเสียงและท่าทางที่ถูกดัดให้มีจริตจะก้านมากขึ้นทำให้คนเป็นพี่ชายอย่างแมคเคนซีเผลอมองน้องสาวตาโต แต่ก็ต้องรีบตีหน้านิ่งไว้แล้วเสสายตามองไปทางอื่น


“…ก็…ก็สวยจริง อะแฮ่ม ! ไปเถอะ เอาของไปเก็บกันได้แล้ว”


เจ้าหน้าที่ไล่สายตามองชาร์ล็อตตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้ง แม้จะยังมีความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยแต่ก็ยังให้เกียรติไม่คิดดูถูกหรือเหยียดเพศสภาพใครในยุคที่ความหลากหลายทางเพศมีความเท่าเทียม


“ข..ขอบคุณครับ”


แมคเคนซีรีบพยักหน้าให้แล้วรุนหลังน้องสาวเบา ๆ ให้รีบเดินตามดีนไปต่อ


“เกือบไปแล้ว ฉันนึกว่าพวกเราจะความแตกตั้งแต่ต้น”


ดีนกระซิบกระซาบกับเหล่าสายเลือดเฮคาทีหลังจากที่หลุดออกมาจากด่านแรก ถึงจะเคยบอกชาร์ล็อตว่าความเชื่อเรื่องผู้หญิงกับโชคร้ายบนเรือเป็นเรื่องไร้สาระ ยุคสมัยนี้ไม่มีใครเชื่อถือโชคลางนั้นแล้ว และสตรีสามารถทำงานบนเรือได้ แต่นั่นคือเรือสำราญไม่ใช่เรือสินค้าที่แรงงานหลักยังคงต้องเป็นผู้ชายอยู่ดี


มาถึงด่านที่สองคือการเช็คอินเพื่อรับกุญแจห้อง ตรงนี้ก็ผ่านไปได้ฉลุย โชคดีกว่านั้นคือพวกเขาได้ห้องพักเดี่ยวเป็นของตัวเอง เป็นห้องพักขนาดไม่เกินสิบตารางเมตรที่มีห้องน้ำภายในตัว ในห้องมีเตียงขนาดสามฟุต โต๊ะเก้าอี้เล็ก ๆ ที่ใช้เขียนหนังสือ และตู้ล็อกเกอร์เก็บของ ส่วนห้องน้ำนั้นแคบมาก ๆ แทบจะนั่งชักโครกไปพร้อมกับอาบน้ำถูตัวได้ แต่นั่นก็ถือว่าดีมากแล้ว


ซึ่งชาร์ล็อตดูดีใจเป็นพิเศษที่จะได้นอนห้องเดี่ยวสักที เธอน่าจะเกรงใจพี่ชายทั้งสองแหละ คงไม่ได้เหม็นความรักหรอกมั้ง…


“ห้องอย่างแคบเลย แล้วเราเอาไงดีล่ะที่รัก นายคงไม่บอกว่าจะนอนคนเดียวเหมือนกับเธอหรอกนะ”


ดีนบุ้ยปากไปอีกทางหลังจากที่ชาร์ล็อตแยกตัวออกไปแล้ว


ห้องพักคนงานเรือสร้างความแปลกใจให้แมคเคนซีไม่น้อย ตอนแรกเขานึกว่าจะเป็นห้องนอนรวม ไม่ก็ต้องนอนเบียดเสียดกันในห้องใต้ท้องเรือ แต่ที่จริงแล้วกลับสะดวกสบายมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะเรื่องที่มีห้องน้ำในตัว แม้จะเล็กไปหน่อยก็ตาม


“ไม่สิ ไม่แน่นอน แต่นายแน่ใจใช่ไหมว่าจะนอนเบียดกับฉันบนเตียงสามฟุตเกือบอาทิตย์นึง”


ถ้าเป็นไปได้แมคเคนซีก็อยากนอนกับดีนอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากให้คนรักได้นอนพักผ่อนอย่างสบาย แม้ว่าพวกเขาจะเคยนอนเบียดกันบนเตียงในรถไฟมาแล้วก็ตาม

“นายพูดเหมือนว่าเราไม่เคยนอนเบียดกัน”

พูดจบดีนก็ผลักแมคเคนซีเข้าไปในห้องก่อนจะเตะประตูสปริงให้ปิด ตามไปประกบกอดจูบอย่างดูดดื่มเหมือนกับคนของขาดมานาน เขาปล่อยสัมภาระที่ถูกย่อส่วนลงพื้น ส่วนร่างกายทิ้งลงบนเตียงสามฟุต บดเบียดลูบไล้ไปตามกล้ามเนื้อที่กำยำขึ้นกว่าแต่ก่อนผ่านร่มผ้า หลังจากที่พรมจูบไปทั่วซอกคอขาวดีนก็ผละตัวออกมาด้วยท่าทีเสียดายเล็กน้อย

“อืม.. เทสแล้ว ฉันว่าเรานอนกันได้สบาย”


“อา…บ้าเอ๊ย”


แมคเคนซีถึงกับสบถออกมาเบา ๆ เมื่อถูกคนรักจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว ดวงตาสีฮาเซลปรือมองร่างด้านบนที่ผละออกไปแล้วขบริมฝีปากล่างที่แดงเห่อขึ้นมาจากจูบเมื่อครู่ ให้ตายสิ มันดีจนเขาอยากอยู่ในห้องนี้สองต่อสองกับดีนต่ออีกสักครึ่งค่อนวัน แต่ตอนนี้พวกเขาลักลอบขึ้นเรือมาในฐานะลูกเรือ ไม่ได้มาขึ้นเรือสำราญเพื่อฮันนีมูนกันสักหน่อย

“ถ้าไม่ติดว่าต้องขึ้นไปรายงานตัวสิบโมง ฉันก็อยากเทสเตียงกับนายต่อ”


เขาขยับตัวลุกขึ้นตาม ยึดคางมนของดีนไว้แล้วเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือไล่ไปตามกลีบปากสีนู้ดก่อนจะค่อย ๆ ละมือออก


“ดูเหมือนว่าฉันกับนายจะใจตรงกันอีกแล้ว”


บุตรเจ้าสมุทรหัวเราะเบา ๆ ตั้งแต่ออกเดินทางมาได้สี่วันพวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่ากอดจูบ ซึ่งดีนคิดถึงช่วงเวลาที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังมาก ฉะนั้นคืนนี้ต้องมีเรื่องสนุก ๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

“ถ้าอยากเทสเตียงทั้งวันสงสัยคราวหน้าต้องเก็บเงินซื้อเรือยอร์ชแบบเจรี่แล้วล่ะที่รัก บางทีฉันก็คิดนะว่าพวกเฮเฟตัสอาจจะสร้างยานพาหนะได้”


อย่างโซเฟียยังมีบิ๊กไบค์ที่เก็บในรูปพวงกุญแจได้เลย แต่ว่ามันต้องทำยังไงนะ ซื้อยานพานหะมาแล้วใส่สสารพิมพ์ (สารย่อยขยายส่วนจากเรื่องแอนท์แมน) ดัดแปลงให้ยืดได้หดได้อย่างนั้นเหรอ


จะอะไรก็ช่าง ตอนนี้พวกเขามีเวลาพักสงบสติอารมณ์อีกเกือบ ๆ ชั่วโมงกว่าจะถึงนัดบรีฟงาน

“ถึงกับสร้างยานพาหนะได้เลยเหรอ สมกับเป็นเทพแห่งการประดิษฐ์จริง ๆ”


ฟังที่ดีนพูดแล้วก็พยักหน้าช้า ๆ แม้จะน่าสนใจแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเรือยอร์ชลำนึงกว่าจะสร้างเสร็จต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าสายเลือดของเทพเฮเฟตัสจะเป็นผู้สร้างก็ตาม แล้วดีนจะต้องไปตามล่าหาของมาใช้สำหรับสร้างเหมือนพวกอาวุธต่าง ๆ ที่เคยเล่าให้เขาฟังอีกไหม หากต้องเป็นเช่นนั้น แมคเคนซีก็คิดว่าจองห้องโดยสารแล้วซื้อตั๋วขึ้นเรือธรรมดาซะยังจะง่ายกว่า


“ฉันว่าพวกเราใช้ห้องนี้เป็นห้องเก็บสัมภาระดีไหม แล้วห้องนายก็ไว้นอนด้วยกัน คงไม่มีใครสงสัยหรอก”


บุตรเทพีแห่งเวทมนต์บอกพลางปรายตามองไปยังสัมภาระที่ตอนนี้กลับมามีขนาดเท่าเดิมจนเกะกะห้องไปหมด เมื่อครู่ที่ทดสอบเตียงกันทำเอาซะเขาสติกระเจิดกระเจิง มนต์คาถาที่ร่ายไว้จึงสลายไปหมด

ดีนมองตามไปยังข้าวของที่ระเกะระกะเต็มห้อง เขาไม่ทันรู้ตัวเลยสักนิดว่ามันกลับมามีขนาดเท่าเดิมแล้ว แถมยังแทบจะเหมาพื้นที่ห้องไปจนหมด


“เอางั้นก็ได้ที่รัก แบ่งของที่จำเป็นไปนิดหน่อยก็พอ” เขากล่าวจากนั้นก็เริ่มจัดของ คัดแยกเฉพาะสิ่งจำเป็นใส่ไว้อีกกระเป๋าแล้วบ่นต่อ “แล้วฉันก็ซื้อแซนด์วิชมาตุนไว้ซะเยอะเลย ของแห้งเก็บไว้ได้ แต่เอายังไงกับแซนด์วิชดีล่ะเนี่ย”


ถ้ากินแซนด์วิชด้วยกินอาหารของทางเรือด้วย บอกได้เลยว่าอิ่มจุก


แมคเคนซีพยักหน้าเห็นด้วยแล้วช่วยดีนจัดของ


“แซนด์วิชนี่น่ะเหรอ ฉันว่าหอมดีนะ เก็บไว้ให้ฉันสักอันสองอันสิ แล้วถ้ากินไม่หมดแน่ ๆ เราเอาไปแบ่งพวกลูกเรือคนอื่นดีไหม พวกเขาทำงานหนักคงใช้พลังงานเยอะ ถือว่าเป็นการสร้างมิตรภาพด้วย”


เมื่อเช้าพวกเขารีบเช็คเอาท์ออกมาจากโรงแรม แมคเคนซีเลยทานมื้อเช้าเพียงแค่รองท้องแต่ไม่ได้ถึงกับอิ่ม ส่วนที่ทานไม่ไหวก็แบ่งให้คนบนเรือบ้าง อย่างน้อยยังต้องใช้ชีวิตอยู่บนเรือลำนี้กันอีกหนึ่งอาทิตย์กว่าจะถึงโคลอมเบีย พวกเขาควรสร้างมิตรไว้ดีกว่าสร้างศัตรู


“แน่นอนที่รัก ถ้างั้นฉันเก็บไว้ให้เลย”


ดีนตอบก่อนจะดูเวลา เหลือเวลาอีกราว ๆ ยี่สิบนาทีจะถึงเวลาสิบนาฬิกา


“ส่วนตอนนี้พวกเราไปแสตนบายรอก่อนดีกว่า ต้องไปหาห้องประชุมบรีฟงานอะไรนั่นอีก ไปถึงช้าจะยิ่งถูกเพิ่งเล็ง”


เขากล่าว จากนั้นนำโทรศัพท์มือถือทั้งสองเครื่องใส่ไว้ในล็อกเกอร์เหมือนกับตอนที่ทำงานร้านเวนดี้ส์เบอร์เกอร์ เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วทั้งสองก็เคาะประตูห้องชาร์ล็อตก่อนจะ (เนียน) ไปประชุมบรีฟงานเสมือนกับลูกเรือคนหนึ่ง





ความคิดเห็นผู้บันทึก

บันทึกตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย เรื่องแรก…ผมเพิ่งรู้ว่านอกจากค่ายฮาล์ฟบลัดกับค่ายจูปิเตอร์แล้วก็ยังมีเดมิก็อดรวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่มอื่น ๆ อีก อย่างรัสเซลที่อยู่กลุ่มฟอลคอน นอกจากนี้เขายังเป็นบุตรของเทพีเฮคาทีเหมือนผมกับชาร์ล็อตด้วย ผมหวังว่าเขาจะได้พบกับคนรอบข้างที่ดีกับเขานะ ไม่เพียงแค่นั้น พวกเรายังได้เบาะแสเพิ่มเติมของไฮรี่ด้วย หากเขาเดินทางลงได้จริง เป็นไปได้ไหมไฮรี่จะมีจุดหมายเดียวกันกับพวกเรา เรื่องถัดมา…ผมค่อนข้างรู้สึกผิดเลยล่ะที่ทำให้คนธรรมดาต้องถึงกับสติหลุดกับทักษะควบคุมหมอกของผม ถ้าพวกเขาได้สติกลับคืนมาก็คงจะดี เรื่องต่อไป…ทักษะการแสดงของชาร์ล็อตทำให้ผมทึ่งมาก มันค่อนข้างเสี่ยง แต่ผมกับดีนจะปกป้องเธอจนถึงโคลอมเบียแน่นอน และเรื่องสุดท้าย…จูบกับสัมผัสของดีนยังคงน่าหลงใหลและเร่าร้อนสำหรับผมเสมอ


สรุปสถานการณ์

-รัสเซลจากกลุ่มกองกำลังฟอลคอนหายจากอาการบาดเจ็บ

-ได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับไฮรี่ว่า ‘ยังมีชีวิตอยู่’ และกำลังมุ่งหน้า ‘ลงทางใต้’

- แยกย้ายกับรัสเซล

-ทีมทำภารกิจลักลอบขึ้นเรือขนส่งสินค้าในฐานะผู้ดูแลสัตว์ได้สำเร็จ


สรุปผลการต่อสู้

Mackenzie

เมลูซีน Lv. 71  Link

เมลูซีน Lv. 100 Link


สินสงคราม

น้ำตาเมลูซีน [LUK 90+]  :  7x2 = 14 

 ตื่นรู้จากการพิชิตเมลูซีนครั้งแรก   +2


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 105747 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-6-22 10:45
โพสต์ 105,747 ไบต์และได้รับ +20 EXP +1 Point +20 ความกล้า +40 ความศรัทธา จาก เขตแดนเฮคาที  โพสต์ 2025-6-22 10:45
โพสต์ 105,747 ไบต์และได้รับ +1 Point +88 ความกล้า +88 ความศรัทธา จาก มาลาแห่งอัสสัมชัญ  โพสต์ 2025-6-22 10:45
โพสต์ 105,747 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Hydro X  โพสต์ 2025-6-22 10:45
โพสต์ 105,747 ไบต์และได้รับ +20 EXP +35 ความกล้า +40 ความศรัทธา จาก เวทมนต์ [II]  โพสต์ 2025-6-22 10:45

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส
น้ำหอมเฮคาที
เหรียญนกฮูก
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x7
x10
x10
x7
x2
x9
x6
x4
x3
x70
x4
x10
x6
x12
x6
x18
x3
x55
x9
x189
x14
x14
x12
x45
x18
x5
x5
x5
x2
x5
x2
x11
x20
x10
x10
x2
x2
x2
x4
x1
x3
x12
x6
x2
x5
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x13
x2
x5
x4
x2
x1
x16
x145
x192
x10
x6
x10
x10
x16
x55
x80
x1
x1
x1
x4
x3
x1
x1
x1
x1
x5
โพสต์ 2025-7-11 05:24:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-9-29 00:22

VIII
ความรักอยู่เหนืออุดมคติและสเป็ค
Dean Eilwyn Alvarez Neal

- 19.05.2025 / 10:00 A.M. -

เรือโบอิ้งแมรี่, ท่าเรือนิววาร์ค, รัฐนิวเจอร์ซีย์


การประชุมบรีฟงานจบลงไปอย่างเรียบง่าย โดยรวมไม่มีอะไรมาก ส่วนใหญ่กัปตันจะแจ้งว่ารูทีนการทำงานในแต่ละวันมีอะไรบ้าง สถานที่ของเรือโซนไหนเข้าได้และไม่ได้ในเวลากี่โมง ทางออกต่าง ๆ ของเรือ ข้อปฏิบัติหากมีเหตุฉุกเฉิน และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรือ แต่ไม่ได้ละเอียดเหมือนจับมือสอนเด็กใหม่ เพราะลูกเรือส่วนใหญ่ (หมายถึงทุกคนนอกจากสามหน่อเดมิก็อด) ผ่านการฝึกอบรมจากโรงเรียนพาณิชย์นาวีกันมาหมดแล้ว


ส่วนเรื่องงานดูแลสัตว์ไม่มีการพูดถึงเพราะหากเป็นพนักงานตัวจริงย่อมรู้หน้าที่ของตัวเอง ดีน แมคเคนซี และชาร์ล็อตจึงสามารถทำตัวเนียน ๆ ต่อไปได้โดยไม่ถูกถามตอบ


“จบการประชุมแล้วก็ลงชื่อรับวอล์กกี้ทอล์กกี้และแท่นชาร์จแบตกันคนละตัว ค่อยเอามาคืนตอนเรือเทียบท่าที่โคลอมเบีย เมื่อจบจากตรงนี้ก็เริ่มงานของทุกคนได้”


กัปตันสตีฟ โรเจอร์ (ที่หน้าตาไม่เหมือน คริส อีแวนส์ เลยสักนิด) กล่าวก่อนปิดการประชุมบรีฟงาน ซึ่งวอล์กกี้ทอล์กกี้เป็นสิ่งที่ทำให้ดีนรู้สึกคลางแคลงใจนิดหน่อย


…เครื่องมืออิเล็กทอรนิกส์มักดึงดูดอสุรกาย…

ซึ่งนั่นน่าจะหมายเจ้าวัตถุสีแดง ๆ ดำ ๆ มีเสาอากาศสั้น ๆ ในมือเขาด้วยเช่นกัน แล้วอสุรกายที่อยู่กลางมหาสมุทรจะเป็นอะไรได้อีกนอกจากคราเคนตัวบิ๊กเบิ้ม เมื่อคิดถึงตอนนั้นที่เขาเฉียดตาย ทำเอามือบุตรเจ้าสมุทรสั่นสะท้านไปหมด

ทางด้านแมคเคนซีก็ยังคงมีสีหน้าราวกับมีคำถามตลอดเวลาหลังจากที่ฟังการบรีฟงานจากกัปตันเรือจนจบ เขาเข้าใจทุกเรื่องที่กัปตันบอก แต่งานส่วนของพวกเขานี่สิที่แทบไม่รู้อะไรเลย นอกจากจะลักลอบขึ้นเรือมาในฐานะคนดูแลสัตว์แล้ว ก็ควรจะต้องทำหน้าที่ให้แนบเนียนสมบทบาทด้วย ไม่อย่างนั้นคงถูกจับได้ตั้งแต่วันแรก ๆ


ดูท่าว่าคงต้องขุดประสบการณ์สมัยเด็กที่เคยช่วยพ่อกับปู่เลี้ยงวัวมาใช้ ถึงจะนานมาเป็นสิบปีจนแทบจำไม่ได้แล้วแต่หากได้รื้อฟื้น หยิบจับนั่นทำนี่ก็คงค่อย ๆ ชินมือขึ้นมา การเลี้ยงสัตว์ในคอกคงไม่ต่างกับเลี้ยงวัวมากนัก


“นายเป็นอะไรหรือเปล่าดีน”


แมคเคนซีถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นอาการแปลก ๆ ของคนรักภายหลังที่พวกเขารับอุปกรณ์ที่ใช้สื่อสารในเรือและพากันออกมาจากห้องประชุมแล้ว

“อะ อ๋อ เปล่า.. เอ๊ย ไม่!”


ดีนตอบกลับด้วยอาการล่กเมื่อแมคเคนซีเอ่ยถาม เขายังคงมีชนักปักหลังปิดบังโกหกแมคเคนซีเรื่องที่ถูกคราเคนทำร้ายกลางมหาสมุทรแอตแลนติกเหนืออยู่ ชายหนุ่มอ้าปากพะงาบ ๆ สามสี่ครั้งก่อนจะเรียบเรียงเรื่องราวในหัวออกมาโดยส่อพิรุธน้อยที่สุด…


“คือ.. ฉันกังวลเรื่องเครื่องมือสื่อสารนิดหน่อย ก็วอล์กกี้ทอล์กกี้พวกนี้ไม่ได้ติดตั้งชิปตัดสัญญาณเหมือนโทรศัพท์เดดาลัส มันก็น่าจะเรียกอสุรกายออกมาได้ใช่ไหมล่ะ แล้วยิ่งอยู่ในมือพวกเราแล้ว คือไงดี.. ตอนที่ไปแอตแลนติส พ่อฉันเคยเล่าให้ฟังน่ะว่าสัตว์ประหลาดในทะเลมันดุกว่าพวกตัวบนบกซะอีก พวกเราคงไม่อยากปะทะกับ ‘คราเคน’ หรือ ‘ไครอบดิส’ หรอกใช่ไหมล่ะ”


ขอบคุณความรู้พื้นฐานที่เจ้าสมุทรเคยสั่งสอนตอนไปบ้านพักตากอากาศ ดีนถึงได้โม้ชื่ออสุรกายยาก ๆ ออกมาได้แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่า ‘ไครอบดิส’ คือตัวอะไรก็ตาม

“อืม…ก็จริงของนาย”


แมคเคนซีพยักหน้าช้า ๆ เห็นด้วยกับเหตุผลของดีนแล้วหลุบตาลงมองเครื่องวอล์กกี้ทอล์กกี้ในมือ อีกฝ่ายเป็นถึงลูกเทพเจ้าสมุทร ซ้ำยังเคยไปนครแอตแลนติสซึ่งเป็นเมืองใต้บาดาลของผู้เป็นบิดามาแล้วด้วยธุระอะไรบางอย่างที่ต้องไปทำเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จากคำบอกเล่านั้นของดีน เขาจึงเชื่อสิ่งที่อีกฝ่ายบอกอย่างไม่คิดสงสัย


“งั้น…เอาไงดี เราควรเปิดแค่เครื่องเดียวเวลาอยู่ด้วยกันไหม เพื่อลดความเข้มข้นของสัญญาณ”

“ฉันก็คิดว่างั้น ยังไงพวกเราสามคนก็ตัวติดกันตลอดอยู่แล้วใช่ไหม? ถ้างั้นจะเปิดเครื่องของใครไว้ดีล่ะ”


ดีนตั้งคำถาม หากวัดกันตามตำแหน่งที่ปลอมตัวมา ดีนมีตำแหน่งสูงสุดคือสัตวแพทย์ ส่วนแมคเคนซีและชาร์ล็อตมีหน้าที่เท่ากันคือผู้ดูแลสัตว์ ฉะนั้นคนที่ควรเปิดวอล์กกี้ทอล์กกี้คือดีนหรือเปล่า กระนั้นเขายังรู้สึกระแวงที่ต้องถือเครื่องมือสื่อสารนี้ไว้กับตนเอง

“เครื่องฉันก็ได้ นายแค่พกมันติดตัวไว้แต่ไม่ต้องเปิดเครื่อง ถ้ามีใครเรียกตัวฉันจะบอกนายเอง”


ดูจากอาการคนรักแล้ว เขาเลือกเป็นคนเปิดเครื่องเองไว้จะดีกว่า แมคเคนซีไม่แน่ใจว่าระหว่างสัตวแพทย์กับคนดูแลสัตว์ ตำแหน่งไหนจะถูกเรียกตัวมากกว่ากัน แต่เขาคิดว่ายังไงซะหากสัตว์ป่วย คนที่ต้องแจ้งสัตวแพทย์ก็คือคนดูแลสัตว์ ส่วนดีนอาจจะแค่ต้องเขียนรายงานส่งทางนั้นบ้างเล็กน้อย

“ฝากนายด้วยนะแมคซี่”


ถ้าไม่ติดว่าอยู่หน้าห้องประชุมบรีฟงานที่ยังคงมีลูกเรือเดินไปมา ดีนคงดึงแมคเคนซีมากอดแน่น ๆ สักทีแล้วประเคนจูบให้อีกหนึ่งม๊วฟใหญ่ ๆ แต่เพียงแค่นี้อีกฝ่ายก็มอบความมั่นใจให้เขาเพิ่มมากขึ้นแล้ว


“โอเค งั้นพวกเราเองก็เริ่มงานกันเลยเถอะ”


ฝ่ามือหนากำมือแน่น เขาปิดทอล์กกี้วอล์กกี้ก่อนจะเหน็บมันไว้ที่ข้างเอว เดินนำเพื่อนร่วมทีมทั้งสองไปยังห้องสัตว์ใต้ท้องเรือ 

ภายในห้องขนสัตว์มีกลิ่นอับนิดหน่อยแม้ว่าจะมีช่องระบายอากาศ แต่ก่อนจะเข้ามาพวกเขาได้เปลี่ยนชุดและสวมหน้ากากอนามัยรวมถึงถุงมือและรองเท้าบูทที่ทางเรือจัดเตรียมไว้ให้แล้วตามกฎด้านสุขอนามัยอันเคร่งครัด พอค่อย ๆ เดินเข้าไปดูข้างในแล้วก็พบว่าสัตว์ที่ถูกขนมาส่วนมากเป็นสัตว์เกษตรกรรมอย่าง แกะ แพะ วัว และมีสัตว์ชนิดอื่นบ้างนิดหน่อย พวกมันถูกจับแยกใส่คอกตามชนิดในจำนวนที่เหมาะสม


“นี่น่าจะใกล้เวลาอาหารกลางวันแล้ว ฉันกับชาร์ล็อตจะเอาอาหารกับน้ำไปเติมก่อน นายอ่านเอกสารไปพลาง ๆ ก่อนก็ได้”


แมคเคนซีหันมาบอกดีน อย่างน้อยอีกฝ่ายน่าจะรู้ข้อมูลของสัตว์ที่จะถูกขนส่งในรอบนี้ไว้ อย่างเช่นจำนวนหรือสายพันธุ์ ส่วนเรื่องโรคติดต่อหรืออาการผิดปกติต่าง ๆ ไว้ค่อยไปหาข้อมูลเพิ่มเติมตอนกลับไปห้องพักก็ยังไม่สาย ก่อนสัตว์พวกนี้จะขึ้นเรือมาคงตรวจโรคเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว   

“รับทราบ”


ดีนพยักหน้ารับก่อนจะเริ่มจดจ่อกับเอกสารของตัวเอง แม้ว่าบุตรแห่งโพไซดอนไม่ได้เป็นดิสเล็กเซียทว่าตัวอักษรจำนวนมากทำให้เขามึนเบลอ


“สู้ ๆ ดีน ขนาดงานวิจัยลูกไฟยุบยับนายยังผ่านมาแล้วเลย”


เขากล่าวกับตัวเองคล้ายกับคุยกับมิตรสหาย จากนั้นก็จุ่มหน้าลงกับกองเอกสารจำนวนมากเพื่อเรียนรู้การเป็นสัตวแพทย์จำเป็น ชายหนุ่มรู้สึกขอบคุณตัวเองวัยยี่สิบปีที่ลงวิชาเลือก ‘สัตววิทยา 101’ แม้ไม่ใช่วิชาการเป็นสัตวแพทย์โดยตรงแต่ก็เกี่ยวข้องกับการดูแลสัตว์ฟาร์ม กอปรกับการเรียนด้านวิจัยจุลชีวะใต้ทะเลโดยตรงทำให้ดีนพอจะเข้าใจคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง


“ดอมเป็นไงบ้าง?”


เสียงเรียกจากด้านหลังทำเอาดีนสะดุ้ง ชายที่มาหาคือ ‘เจคอป แพร์โรว์’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘เจค’ รับตำแหน่งรองกัปตันเรือที่คอยช่วยดูแลเรื่องการโหลดสินค้า แน่นอนว่าสัตว์ทั้งหมดในความดูแลของดีน แมคเคนซี และชาร์ล็อต นับเป็นสินค้า รวมถึงอาหารสัตว์ที่พวกเขาเพิ่งเบิกมาเติมก็ด้วย ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ในหน้าที่ความรับผิดชอบของเจค


แล้วก็ลืมบอกไปอย่างหนึ่ง ตอนนี้สามเดมิก็อดใช้ชื่อปลอมตามบัตรพนักงานปลอม ๆ ที่ใช้ ‘หมอก’ ปลอมแปลง ดอม มาร์ค และชาลี ใครเป็นใครน่าจะเดาได้ไม่ยาก


“ฮ่า ๆๆ ขวัญอ่อนเหรอเราน่ะ” เจคใช้ฝ่ามืออูม ๆ ตบไหล่ดีนจนสะเทือน


“ฮ่า ๆๆ นิดหน่อยครับ พอดีว่าจดจ่อกับเอกสารมากไปหน่อย”


ดีนฉีกยิ้มกว้างพยายามทำตัวไม่ให้น่าสงสัยทั้งที่เจ้าตัวยังรู้สึกว่ามีพิรุธโคตร ๆ แต่โชคดีที่เจคไม่ได้สังเกตเห็น


“เห็นว่าเป็นพนักงานใหม่เลยมาดู ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาถามฉันได้ล่ะ ถึงไม่ได้ดูแลสัตว์โดยตรงแต่ก็พอรู้อยู่บ้างว่าคนเก่า ๆ ทำยังไง”


“ขอบคุณครับเจค สงสัยว่าผมคงต้องรบกวนคุณหลายรอบเลย” ดีนพยายามสนทนาให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด และนั่นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับบุตรเจ้าสมุทรที่ชอบเข้าสังคม


“อ้อ.. อีกสิบนาทีเรือจะออกแล้ว ข้างล่างก็โคลงเคลงหน่อยล่ะ ตอนไม่มีงานพวกนายจะกลับไปที่ห้องพักก็ได้ พวกสัตว์มันไม่ค่อยมีปัญหาอะไรหรอก ลงมาดูแค่เช้าเย็นก็พอ… แต่อย่างที่กัปตันพูด ไม่มีเหตุอะไรพยายามอย่าขึ้นไปที่ดาดฟ้าเรือ ไม่ได้ห้ามนะ แต่ว่ามันอันตราย ขืนพลัดตกไปกลางมหาสมุทรล่ะก็…”


เจคเว้นช่วง ส่วนดีนก็รู้ความหมายนั้นดี


“รับทราบครับ ถ้าตกทะเลไปล่ะก็แย่แน่ ๆ”


ดีนรับปาก ท่าทางเหมือนจะทำตามกฎ แต่บุตรแห่งเจ้าสมุทรจอมป่วนท่องในใจว่า ‘ฉันจะสำรวจเรือนี้จนทั่วเลย!’


“ส่วนเวลาอาหารกลางวันตอนเที่ยงตรงถึงบ่ายโมง ถึงจะใช้ชีวิตอิสระบนเรือได้แต่พ่อครัวของเราไม่ชอบเสิร์ฟอาหารนอกเวลาล่ะจำไว้”


“โอเคคุณเจค ผมจะจำให้ขึ้นใจเลย”


หลังจากที่แจ้งทุกอย่างเรียบร้อยกัปตันเรือก็จากไป ดูท่าว่างานบนเรือจะสบายมากกว่าที่คิดแฮะ แต่ละคนแค่รับผิดชอบงานของตัวเองตามช่วงเวลาก็พอ หลังจากนั้นก็พักผ่อนกันยาว ๆ...

ขณะที่ดีนอ่านเอกสารอยู่หน้าห้อง แมคเคนซีกับชาร์ล็อตก็ช่วยกันเติมอาหารตามรางหน้าคอกสัตว์ไปทีละคอก อาหารที่เบิกมามีทั้งหญ้าและอาหารเม็ด ชาร์ล็อตใช้คทาเวทลวดลายน่ารักที่อยู่ในรูปแบบปากกาฟรุ้งฟริ้งของเธอร่ายมนตร์ยกกระสอบอาหารให้ตามทั้งคู่มาแล้วค่อย ๆ ตักแบ่งใส่โดยเริ่มจากด้านนอกสุดไปด้านใน


“ไหวหรือเปล่าชาร์ล็อต ยืนรอก็ได้เดี๋ยวพี่ทำเอง”


แมคเคนซีถามน้องสาวขณะวางหญ้าลงในรางหน้าคอกแกะไปด้วย เขารู้ว่าเธอยังร่างกายไม่แข็งแรงดีเลยยังไม่อยากให้ใช้พลังเวทหรือออกแรงมาก


“ไม่เป็นไรค่ะ ช่วยกันแบบนี้จะได้เสร็จไว ๆ หนูก็อยากเคลื่อนไหวร่างกายด้วย ถือว่าออกกำลังไปในตัว”


ชาร์ล็อตส่ายหน้ายิ้ม ๆ มือก็คอยตักอาหารเม็ดใส่อีกรางที่แยกออกมาไปด้วย เด็กสาวเริ่มทำอะไรได้คล่องขึ้นแต่ก็ยังต้องระวังเรื่องเหนื่อยง่าย


“ถ้าเหนื่อยก็พักล่ะ ไม่ต้องฝืนนะ”


แมคเคนซีไม่อยากขัดใจน้องสาว แต่ถึงอย่างนั้นก็คอยจับตาดูเธออย่างใกล้ชิด คทาเวทที่ชาร์ล็อตใช้อยู่ตอนนี้เป็นของที่สร้างขึ้นเอง จึงไม่มีพลานุภาพเทียบเท่าคทาคบเพลิงที่ผู้เป็นแม่มอบให้ ใช้ได้เพียงแค่เวทมนตร์คาถาง่าย ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกเท่านั้น


เสียงดีนคุยกับรองกัปตันดังแว่วมาจากทางหน้าห้องจนทั้งคู่หันไปมอง ดูเหมือนว่าความมนุษยสัมพันธ์ดีของบุตรแห่งโพไซดอนจะช่วยเบี่ยงเบนความผิดสังเกตไปได้ แมคเคนซีกับชาร์ล็อตจึงต้องรีบเร่งมือกันหน่อยเพื่อให้ทันเวลามื้อเที่ยงของพวกเขาด้วย


“โอ๊ะ พี่แมคคะ แกะตัวนี้มีเขาด้วย”


เด็กสาวร้องออกมาพลางชี้ไปยังคอกแกะที่อยู่เกือบด้านในสุดของคอก


“นั่นสิ แต่ว่า…ทำไมเจ้าตัวนี้ถึงมีเขานะ ?”


แมคเคนซีมองเจ้าขนปุยตรงหน้าที่กำลังกินหญ้าอย่างกับไปอดอยากที่ไหนมาแล้วก็นึกสงสัย แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ เจ้าแกะตัวนั้นก็ทำจมูกฟุดฟิดเหมือนได้กลิ่นอะไรบางอย่าง จนมันหันมาเจอเดมิก็อดทั้งสอง ดวงตาคู่นั้นก็มีประกายสีแดงวาบขึ้น


“พี่แมคเห็นเหมือนที่หนูเห็นไหมคะ…”


ชาร์ล็อตหันมาถามแมคเคนซีที่ผงะไปเล็กน้อยแล้วพยักหน้ารับ ก่อนที่สองพี่น้องจะตาโตเมื่อเขาที่เคยเห็นเป็นเขาแกะกลายเป็นเขากวาง และแกะตัวนั้นก็กลายร่างเป็นกระต่าย


“นั่นมันแจ็คคาโลป ชาร์ล็อต หนีกันก่อน”


กึง !


เขาจำได้ว่าเคยเจอเจ้าอสุรกายตนนี้ที่แวนคูเวอร์ กลิ่นเดมิก็อดกระตุ้นให้ปีศาจประต่ายคลั่ง มันกระโดดใช้เขากวางชนประตูคอกเหล็กจนเปิดออก ด้วยความตกใจ แกะตัวอื่นในคอกพากันวิ่งกรูออกมาพร้อมแจ็คคาโลปตัวนั้น แมคเคนซีที่ไม่มีอาวุธประจำตัวติดมือเพราะเป็นกฎของทางเรือจึงไม่สามารถต่อกรกับมันได้


“ชาร์ล็อตมาเร็ว !”


คนเป็นพี่ย่อตัวลงนั่ง เรียกน้องสาวให้ขึ้นมาขี่หลัง จากนั้นแมคเคนซีก็แบกชาร์ล็อตรีบวิ่งไปหาดีนที่หน้าห้องโดยมีแจ็คคาโลปกับฝูงแกะอีก 2-3 ตัวที่ร้อง “แบ๊ะ ! แอ๊ะ..แอ๊ะ..แอ๊ะ..แอ๊ะ !” วิ่งตามมาด้านหลัง


“ดีน ! มีอสุรกายอยู่ในนี้”

“อะไรนะ!?”


ดีนร้องเหวอ เมื่อหันไปทางห้องคอกสัตว์ก็เห็นถึงความโกลาหลในนั้น ดีนจำได้ว่าแมคเคนซีเอาคทาคบเพลิงเก็บไว้ในล็อคเกอร์ตามกฎความปลอดภัย ส่วนของชาร์ล็อตอาจไม่ต่างกัน ดังนั้นคนที่มีอาวุธเพียงหนึ่งเดียวคือบุตรโพไซดอนที่เก็บอาวุธในรูปแบบของกำไลข้อมืออัจฉริยะ


อสุรกายที่วิ่งตามหลังเหล่าบุตรเฮคาทีคือกระต่ายมีเขาที่ตัวใหญ่เท่ากวาง ดีนจำชื่อของมันไม่ได้เขารู้แค่ว่าเคยเห็นอสุรกายแบบนี้ในเกมออนไลน์ที่เคยเล่น


“ปีศาจกระตุ่ยกวาง!?”


ท่าทางของมันเกรี้ยวกราดดุดันไม่เหมือนหน้าตา ดีนเบี่ยงตัวหลบให้แมคเคนซีวิ่งหนีออกมา จากนั้นเขาก็ยืนประจันหน้าขวางมันไว้ กำไลอัจฉริยะเรืองแสงมณีสีคราม ส่วนโลหะยืดออกกลายเป็นดาบตรีศูล ดีนประคองด้ามดาบด้วยสองมือ งัดคมดาบขึ้นฟันสวนกระต่ายคลั่งที่ไม่ยอมลดความเร็วลงแม้แต่เสี้ยววินาที


ฉับ!!


ศีรษะประดับเขากวางสวยงามล่องลอยขึ้นกลางอากาศก่อนจะสลายกลายเป็นธุลีสีดำพร้อม ๆ กับร่างของมันที่อยู่บนพื้น เหลือทิ้งซากสินสงครามบางอย่างตรงหน้า


ง่ายเหมือนปลอกกล้วย …แต่งานยากคือหลังจากนั้น


“แบ๊ะ ๆๆๆ แอ๊ะ ๆๆๆๆ แอ๋!!”


แกะอีกสามตัวที่วิ่งตามมาถูกแรงปะทะจากคมดาบเทพสมุทรอัดจนกระเด็นถอยหลัง โชคดีของมันที่อาวุธเทพเจ้ามิได้ถูกสรรค์สร้างขึ้นมาเพื่อทำร้ายสิ่งมีชีวิตแสนบริสุทธิ์ มิเช่นนั้นร่างกายปุกปุยของพวกมันคงได้ขาดสองท่อนตามอสุรกายหน้าขนที่สิ้นชีพไปก่อนหน้า ทว่าแรงปะทะจนกระเด็นทำให้พวกมันได้รับบาดเจ็บ แกะสองตัวเหมือนจะบาดเจ็บเล็กน้อย แต่มีตัวนึงที่ขาหักเพราะกระเด็นไปชนราวกั้นคอกที่ทำจากเหล็ก มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด


“แบ๊ะ แอออออ๋!”

“อุ๊ย น้อง”


ชาร์ล็อตที่ชอบของนุ่มฟูน่ารักพอเห็นเจ้าแกะบาดเจ็บก็ร้องขึ้นมา เธอรีบกลับเข้าไปในห้องสัตว์เพื่อจะดูอาการของเจ้าขนปุยทั้งสามตัว


“ระวังชาร์ล็อต มันกำลังตกใจอยู่”


แมคเคนซีรีบตามไปติด ๆ ด้วยความกังวลว่าแกะที่อยู่ในอาการตื่นตระหนกอาจจะยังกลัวและทำร้ายน้องสาวของตนได้


“ไม่เป็นไรค่ะ หนูจะช่วยน้องเอง คอนฟุนโด, อานิมุส”


คทาเวทขนาดเท่าปากกาชี้ไปยังกลุ่มแกะทั้งสามตัว จากที่กำลังอยู่ในอาการตื่นตกใจ อยู่ ๆ พวกมันก็สงบลง เมื่อธิดาเฮคาทีเห็นเช่นนั้นก็หันมาบอกพี่ชายทั้งสองคนทันที


“หนูร่ายคาถางงงันให้แล้วค่ะ น้องจะจำอะไรไม่ได้ชั่วขณะ พวกพี่รีบพาน้องกลับเข้าคอกก่อน แต่เรื่องทำแผลเราต้องช่วยกันแล้ว เพราะคทาเวทอันนี้ใช้ร่ายคาถาที่ต้องใช้พลังเวทมากไม่ได้”


“เข้าใจแล้ว ชาร์ล็อตรอนี่นะ”


แมคเคนซีพยักหน้ารับแล้วรีบพาแกะที่บาดเจ็บเล็กน้อยสองตัวกลับเข้าคอกไปก่อน


“เสียงดังอะไรกัน มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”


เจคที่ได้ยินเสียงปึงปังกลับลงมาอีกครั้ง ก่อนจะทันมาเห็นดีนกับแมคเคนซีกำลังช่วยกันพาแกะตัวสุดท้ายกลับคอกพอดี


“เกิดอะไรขึ้นกับแกะนั่น”

“พวกเรามีปัญหานิดหน่อยน่ะครับ”


ดีนยิ้มแหย เขารีบออกมารับหน้าทันทีพลางคิดข้อแก้ตัวอย่างว่องไว


“พอดีเมื่อกี้.. จังหวะที่เรือออกน่ะครับ มีแกะสามตัวหลุดออกมาจากคอก น่าจะคล้องตัวล็อคไม่ดี ผมตรวจดูแล้วแกะได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย ถ้ายังไงผมขอทำแผลของมันก่อนแล้วกันครับ”


“ให้ตายสิ คล้องตัวล็อคไม่ดีอีกแล้ว” เจคสบถออกมาเบา ๆ กล่าวโทษคนงานที่โหลดแกะเข้าเรือตอนเช้า “ถ้ายังไงพวกนายก็ช่วยดูความเรียบร้อยอีกทีด้วยแล้วกัน จะปล่อยให้สินค้าพวกนี้เสียหายไม่ได้ …แล้วก็เขียนเรื่องนี้ลงบันทึกด้วยนะคุณหมอ”


“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”


หลังรับเรื่องเรียบร้อยเจคก็จากไปดูงานส่วนอื่น ๆ ต่อ ทำเอาดีนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก แต่ก็แอบคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยงั้นเหรอ? เรื่องนั้นช่างมันไว้ก่อน ตอนนี้คืองานดูแลแกะที่ขาหัก


“โอ้ แย่ล่ะสิ ฉันปฐมพยาบาลคนขาหักเป็นนะ แต่ก็แค่ปฐมพยาบาล มันต้องใช้การรักษาที่ละเอียดอ่อนกว่านั้น”


หนุ่มหน้าละตินเม้มปาก พลันหวนคิดตอนที่ตัวเองแขนหักก่อนมาค่ายฮาล์ฟบลัดแรก ๆ ในการรักษาต้องหาแผ่นไม้มาดาม ประคบน้ำแข็ง ใส่เฝือกและฉีดยา แต่ก่อนหน้านั้นต้องแยกตัวที่บาดเจ็บไปพยาบาลที่คอกสัตว์ป่วย


ดีนหันไปมองหน้าแมคเคนซีและชาร์ล็อต


“คุณเจครู้เรื่องแกะเจ็บแล้ว ฉันคิดว่าพวกเราต้องรักษามันให้หายด้วยวิธีการปกติ ก่อนอื่นต้องเคลื่อนย้ายมันไปที่คอกพยาบาล”

“ได้…แล้วอีกสองตัวต้องย้ายมาด้วยไหม แต่จากที่ดูเมื่อกี้ไม่มีแผล น่าจะแค่ไปชนคอกอื่นเฉย ๆ”


แมคเคนซีประเมินอาการเบื้องต้นจากที่เห็นขณะช่วยดีนพาสัตว์เจ็บไปที่คอกสัตว์ป่วย แกะสองตัวที่เหลือถึงจะไปกระแทกเข้ากับคอกอื่น แต่ตัวของมันก็มีขนหนานุ่มรองรับอยู่เหมือนเบาะกันกระแทกชั้นดี เจ้าตัวนี้คงโชคร้ายไปหน่อย

“ย้ายมาด้วยก็ได้นะ ดูอาการไว้ก่อน เผื่อว่าพวกมันถูกกระแทกจนสมองเอ๋อ”


ดีนตอบกลับแมคเคนซี จากนั้นจึงช่วยกันพาแกะอีกสองตัวมายังคอกพักฟื้นด้วย ท่าทางของพวกมันดูสบายดี อาจแค่มีอาการตื่นตระหนกตกใจนิดหน่อยหลังมนตร์มายาสลาย เอาไว้ตอนเย็นถ้าไม่มีอะไรค่อยต้อนพวกมันกลับเข้าคอกเดิม ส่วนชาร์ล็อตให้เธอประจำที่เป็นนางพยาบาลคนสวยโอ๋แกะไปก่อน

“ถ้าอย่างนั้นรอให้น้องแผลดีขึ้นกว่านี้ก่อน แล้วหนูจะใช้เวทรักษาช่วยให้น้องหายดีขึ้นนะคะ”


ชาร์ล็อตลูบตัวเจ้าแกะเบา ๆ หลังจากที่มันเข้าคอกไปแล้ว การใช้เวทรักษาอวัยวะที่เสียหายค่อนข้างใช้พลังเวทสูง แต่หากอาการดีขึ้นแล้วน่าจะใช้เวทที่ว่าค่อย ๆ บรรเทาอาการให้หายไวขึ้นได้

“ดูท่าว่าพวกเราต้องตรวจสอบตัวล็อคเพิ่มด้วย ถึงเมื่อกี้ไม่น่าเป็นเพราะล็อคคอกไม่ดีก็เถอะ”


ดีนกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เผื่อว่าจะมีอสุรกายอะไรปะปนมาอีก ก่อนจะเป่าปาก


“ทริปนี้ไม่มีม้าเลยแฮะ”


ซึ่งอาจจะดีก็ได้ที่ไม่มีม้า เพราะถ้ามีพวกมันต้องชวนเขาจ้อจนไม่เป็นอันทำอะไร ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการอวดอ้างสมรรถนะทางร่างกายของตัวเองว่าแข็งแกร่งวิ่งเร็วแค่ไหน ทั้งที่อาจจะถูกส่งไปทำซาลามี่แท้ ๆ แต่นั่นก็มักจะเป็นอุปนิสัยของม้าล่ะนะ


หลังจากที่สั่งงานแมคเคนซีเสร็จเขาก็ไปเอากระเป๋าพยาบาลสำรองมาที่คอกพยาบาลจากนั้นก็เริ่มใส่เผือกดามขาเจ้าแกะที่โชคร้ายและฉีดยาชาให้กับมัน (อย่างน้อยดีนก็พอจะจำได้ว่า ‘ฟลูนิซิน’ คือยาชาสำหรับสัตว์ ส่วนจำนวนโดสใช้ตามจำนวนที่เขียนไว้ข้างฉลาก) มันร้องเสียงดังลั่น แต่เชื่อเถอะว่าอีกไม่นานอาการของมันจะต้องหายดีด้วยการปฐมพยาบาลอันยอดเยี่ยม และจากเวทมนตร์รักษาจากเดมิก็อดสายฮีลตัวจริงอย่างชาร์ล็อต


“แบ๊ะ! แอ๋!!!”

พอดีนแบ่งงานเรียบร้อยแล้ว แมคเคนซีก็แยกไปให้อาหารสัตว์จากที่ค้างอยู่ก่อนหน้าให้เรียบร้อย เขาให้ชาร์ล็อตคอยไปเป็นผู้ช่วยดีนเผื่อว่าอีกฝ่ายต้องการคนช่วยหยิบจับอะไร หลังจากให้อาหารสัตว์จนครบทุกคอกแล้วไปปิดก๊อกจ่ายน้ำดื่ม จากนั้นก็มาตรวจสอบตัวล็อคต่อ


อะไรที่ไม่เคยได้ทำก็ต้องมาทำ ถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ดีใหม่กัน


“ฉันดูตัวล็อคครบแล้ว อันไหนที่ดูหลวมก็ขันน็อตให้แน่นขึ้น ส่วนอันไหนที่ดูเสื่อมสภาพก็จดตำแหน่งไว้แล้ว เผื่อคุณเจคอปจะได้เบิกของมาเปลี่ยน ทางนายเป็นไงบ้าง”


เมื่อทำหน้าที่ของตนเองเสร็จแล้ว แมคเคนซีก็กลับมาดูดีนกับชาร์ล็อตที่คอกสัตว์ป่วย

“คิดว่าน่าจะโอเคนะ ทำแผลใส่เฝือกให้แล้ว ฉีดยาแล้ว อีกแป๊บนึงเจ้าแกะนี่ก็น่าจะลดปวดลงแล้วก็นอนหลับ… ถ้าฉันไม่กะโดสยาผิดอ่ะนะ”


ดีนขยับปากพูดเสียงงุบงิบในประโยคท้าย


“เมื่อกี้คุณเจคบอกว่าพวกเราพักได้จนกว่าจะถึงเวลางานตอนเช้าตรู่กับตอนเย็น ส่วนฉันน่าจะต้องคอยมาดู ‘เจ้านี่’ ทุก ๆ สองหรือสามชั่วโมง… ฮืมมม เรียกว่า ‘เจ้านี่’ ไม่ค่อยถนัดปากเลยแฮะ ตั้งชื่อให้ซะดีไหม?”


ดีนเสมองไปทางแกะขาหัก มันร้อง “แบ๊ะ” เสียงอ่อน น่าจะลดปวดไปได้บ้างแต่ตอนนี้น่าจะอยู่ในอาการซึมยา

แมคเคนซีพยักหน้าพลางฟังที่คนรักบอก เจ้าตัวขนฟูดูสงบลงจากเดิมขึ้นเยอะ ที่ด้านข้างมีชาร์ล็อตคอยลูบหัวมันอยู่


“พี่ดีนจะตั้งชื่อให้น้องเหรอคะ ดีเลยค่ะ”


เด็กสาวหันมามองดีนด้วยความตื่นเต้นราวกับได้รับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่


“คงไม่มีคำว่า ‘ไข่’ นำหน้าหรอกนะ…”


แมคเคนซีที่เท้าแขนกับคอกพูดดักดีนไว้ก่อน เขาไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องตั้งชื่อเท่าไหร่ด้วยคิดว่าอยู่ด้วยกันไม่ถึงอาทิตย์ก็ต้องแยกจากกันแล้ว เลยไม่คิดจะสร้างความผูกพันใด ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากขัดใจคนรักกับน้องสาว   

“ถ้าไม่ขึ้นด้วยไข่ฉันก็คิดไม่ออกแล้ว” เขาแย้งแมคเคนซี กระนั้นก็ยังดันทุรังตั้งชื่อให้เจ้าแกะน้อย “ไข่หยอยดีกว่าชื่อบ่งบอกตัวตนของมันดี”


“แบ๊ะะะ” แกะขานรับเสียงเอื่อย ๆ ไม่แน่ใจว่ามันชอบชื่อนี้ อยากต่อต้าน หรือแค่ร้องเพราะเจ็บแผล


“เอ่อ.. มันจะดีเหรอคะ ไข่หยอยนี่คิดดีไม่ค่อยได้เลยนะคะ” ชาร์ล็อตยิ้มแห้ง


“งั้นชื่อะไรดีล่ะ แมคซี่นายมีไอเดียไหม? ชาร์ล็อต เธออยากตั้งชื่อให้น้องหรือเปล่า?”

เขาล่ะอยากจะชกต้นแขนล่ำ ๆ นั่นสักทีกับชื่อแปลก ๆ ที่ได้ยิน ...แมคเคนซีคิด แต่ก็ทำได้แค่ส่ายหน้าแทน


“ไม่มี ตอนนี้ฉันคิดไม่ออก”


“งั้น…ชื่อฟลัฟฟี่ดีไหมคะ อย่างน้อยก็ยังปุกปุย แล้วก็…หยอย ๆ บ่งบอกตัวตนของน้องเหมือนกัน”


ชาร์ล็อตที่นิ่งเงียบไปเล็กน้อยลองเสนอชื่อขึ้นมาบ้าง

“เธอตั้งชื่อเก่งนี่นาชาร์ล็อต ถ้างั้นให้เจ้านี่ชื่อว่า ‘ฟลัฟฟี่’ ส่วนฉายาก็คือ ‘ไข่หยอย’!”


ดีนฉีกยิ้มกว้าง ส่วนชาร์ล็อตอ้าปากพะงาบ ๆ แม้ว่าเจ้าแกะน้อยแม้ได้ชื่อว่า ฟลัฟฟี่’ ก็จริง แต่ชะตากรรมยังหนีไม่พ้นฉายาที่นำหน้าว่า ‘ไข่’

นาทีนี้สองพี่น้องบ้านเฮคาทีได้แต่มองหน้ากันแล้วยิ้มเจื่อนแบบจำยอม หลังจากทำแผลให้เจ้าแกะที่ได้ชื่อใหม่มาแบบงง ๆ รวมถึงทำงานต่าง ๆ ในห้องสัตว์เสร็จแล้ว ทั้งสามคนก็ได้เวลาพักผ่อนสักที พวกเขาไปทานมื้อเที่ยงกันช้านิดหน่อย อาหารจึงพร่องไปบ้าง ส่วนรสชาติ แม้ไม่ได้จัดว่าอร่อยเหาะแบบฝีมือของคุณสกายลาร์แม่ครัวฮาร์ปี้ประจำค่าย แต่ก็จัดได้ว่าดีในระดับนึง


“หนูว่าจะไปดูฟลัฟฟี่สักหน่อย พวกพี่กลับห้องกันก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวหนูตามไป”


ชาร์ล็อตบอกกับพี่ชายทั้งสองหลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จแล้ว ดูท่าเธอยังห่วงเจ้าแกะขนปุกปุยอยู่


“จะดีเหรอ ให้พี่อยู่เป็นเพื่อนไหม”


แต่แมคเคนซียังไม่ค่อยอยากปล่อยให้เธออยู่คนเดียว ก่อนหน้านี้ยังมีแจ็คคาโลปโผล่มา คราวนี้จะมีตัวอะไรอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้


“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไปดูน้องแป๊บเดียว เสร็จแล้วจะรีบกลับห้องเลย พวกพี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”


ถึงจะได้ยินแบบนั้นคนเป็นพี่ก็ยังมีสีหน้ากังวลอยู่ เขาหันมามองคนรักเป็นเชิงขอความเห็น

“ถึงเธอจะพูดแบบนั้นแต่ว่าฉันก็ต้องไปดูแลมันเหมือนกันนี่สิ”


ดีนเคาะบอร์ดจดบันทึกอาการสัตว์ป่วยที่ตอนนี้ถือติดตัวไม่ห่างกาย ถึงแม้ว่าการเข้าดูอาการของฟลัฟพี่จะทำแค่วันละหนึ่งถึงสองครั้งก็พอ แต่ยังต้องคอยสังเกตอาการแกะอีกสองตัวที่เหลือด้วย


“เพื่อความวิน ๆ พวกเราก็ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหล่ะ ชาร์ล็อ-... ชาลี นายได้ดูแลฟลัฟฟี่หนำใจแน่ ส่วนมาร์คซี่ถ้านายยังห่วงน้องชายของนายก็อยู่ด้วยกันกับเขา ส่วนฉันต้องสังเกตอาการหลังอุบัติเหตุผ่านไปหนึ่งชั่วโมง”


ไหน ๆ จะปลอมชื่อแล้วดีนก็ตัดสินใจจะฝึกเรียกให้ชินปากไปตั้งแต่วันนี้ คนปากมากอย่างเขาจะได้ไม่ทำโป๊ะแตก


เมื่อตกลงกันได้แล้วสามเดมิก็อดผู้สวมรอยก็ตรงไปยังคอกสัตว์ใต้ท้องเรือ เจ้าฟลัฟฟี่หลับปุ๋ยจากอาการเพลียและฤทธิ์ยา ส่วนอีกสองตัวดูสบายดีจึงปล่อยพวกมันกลับไปยังคอกสัตว์ปกติได้ เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรเป็นพิเศษแล้วทั้งสามจึงแยกย้ายกันไปทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ


ดีนพาแมคเคนซีเดินสำรวจเรือตามคำแนะนำของรองกัปตันเจค การใช้ชีวิตเป็นลูกเรือคงต้องเหงามากแน่ ๆ หากไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งในเรือมีห้องนันทนาการเพื่อช่วยให้ลูกเรือได้คลายเหงา มีทั้งห้องฟิตเนสเล็ก ๆ ที่มีเครื่องออกกำลังกายอยู่สามสี่เครื่อง ห้องนั่งเล่นรวมที่มีโต๊ะแทงพูลกับตู้เกมเก่ากึก แล้วก็ยังมีห้องว่างขนาดใหญ่ที่ถูกดัดแปลงเป็นสนามฟุตซอล


หากไม่เรื่องมากและรักสันโดษถือว่าเป็นงานที่ไม่แย่ ถ้าจะขาดก็คงมีแค่สุราและนารี


เมื่อถึงรอบเย็นสามเดมิก็อดกลับมารวมตัวที่คอกสัตว์อีกรอบ ช่วยกันให้อาหารสัตว์ทั้งหมดและตรวจอาการเจ้าแกะเจ็บอีกครั้ง ประคบเย็นและให้ยา จากนี้ก็เป็นช่วงรับประทานอาหารเย็นและฟรีสไตล์ น่าเสียดายที่แซนด์วิชที่ซื้อมาตุนคงได้กลายเป็นฟู้ดเวสต์ไปแล้ว


‘พวกเฮคาทีน่าจะมีเวทคงสภาพอาหาร…’


ดีนคิด… เขาไม่กล้าเสี่ยงที่จะนำแซนด์วิชจำนวนมากไปฝากไว้ในตู้เย็นห้องครัว มันดูน่าสงสัยเกินไป


.
.
.


- 07.45 P.M. -
เรือโบอิ้งแมรี่, มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ


“โอ้ มาร์คซี่ นายมีกุหลาบน้ำเงินครบแล้วนี่”


บุตรแห่งท้องทะเลกล่าวหลังจากที่เขารื้อกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วเจอกุหลาบสีน้ำเงินสิบดอกในสัมภาระของคนรัก ส่วนกุหลาบสีทองเหมือนจะยังมีไม่ครบ…

“อืม…ถ้าจำไม่ผิดก็มีสิบดอกแล้ว ว่าแต่ครบนี่หมายถึงอะไร เอาไปแลกอะไรได้งั้นเหรอ”


ถึงจะยังไม่ชินกับชื่อใหม่ของตัวเองเวลาถูกเรียกเท่าไหร่ แต่แมคเคนซีก็ไม่ได้ขัดอะไรถ้าดีนจะเรียกอย่างนั้น เขานั่งกอดเอวคนรักแล้วเกยคางกับไหล่กว้างจากด้านหลังบนเตียงสามฟุตภายในห้องพักคนงานเรือแคบ ๆ มือเลยไม่ว่างพอจะจัดกระเป๋า จึงปล่อยให้อีกฝ่ายได้รื้อค้นได้ตามใจ ดวงตาสีฮาเซลมองดอกกุหลาบสีน้ำเงินที่ดีนพูดถึง เขาได้รับสะสมมาจากการทำภารกิจรวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ในค่าย แต่ด้วยไม่รู้ว่าจะนำไปใช้ทำอะไรจึงได้เก็บเอาไว้อย่างนั้น

“นายยังไม่รู้สินะ.. ความจริงซิลเวอร์บอกฉันมาอีกทีน่ะว่ากุหลาบพวกนี้เอาไปแลกเครื่องประดับที่พกติดไว้แล้วเทพจะเอ็นดู เหมือนกับ…” บุตรเจ้าสมุทรโคลงหัว “อืม… ตุ๊กตาวูดู”


ดีนไม่รู้จะเปรียบเปรยกับอะไรจึงเทียบกับไอเท็มที่เขาพอจะรู้จัก ซึ่งสรรพคุณของมันผิดฝาผิดตัวไปมาก

“ตุ๊กตาวูดู ? นั่นเขาไว้ใช้สาปแช่งหรือเปล่า”


ฟังคำเปรียบเปรยแล้วก็ถึงกับขมวดคิ้ว ตามตำนานที่เขาเคยอ่านมาจากห้องสมุดในบ้าน ตุ๊กตาวูดูหากไม่ใช้เป็นภาชนะสำหรับเวทมนตร์ก็ใช้เป็นตัวแทนเทพเจ้า และอีกความเชื่อหนึ่งคือใช้สำหรับสาปแช่งคนที่เกลียดโดยการนำตุ๊กตาวูดูมาทำพิธีกรรมแล้วเอาเข็มหมุดจิ้มที่ตัวตุ๊กตาซึ่งแทนตัวคนคนนั้น


“แต่สรุปว่ากุหลาบพวกนี้เอามารวมกันเป็นเครื่องประดับได้ใช่ไหม ก็น่าสนใจดี ฉันจะได้ประหยัดพื้นที่ในกระเป๋าไปได้ส่วนนึง แล้วฉันต้องทำยังไงบ้าง”

“มันมีตุ๊กตาวูดูแบบที่ดีด้วยไม่ใช่เหรอ แบบที่ทำให้คนรักคนหลงน่ะ แต่ช่างเถอะ…”


เถียงเรื่องเวทมนตร์กับคนจากบ้านแห่งมนตรายังไงคงไม่ชนะ ฉะนั้นเข้าประเด็นเลยดีกว่า


“ที่นายพูด ใช่ เอาสีทองมารวมกันสิบดอกเป็นเครื่องประดับหนึ่งชิ้น สีน้ำเงินอีกสิบทำเหมือนกัน จากนั้นเอาดอกไม้ประดับสีน้ำเงินกับสีทองมารวมกันอีกทีจะได้อันนี้ ฉันคิดว่านายน่าจะเคยเห็นแล้ว…”


ดีนหันไปหอมแก้มคนที่นั่งกอดเอวอยู่ข้างหลังจากนั้นขยับตัวเอื้อมมือเปิดกระเป๋าคาดอกของตัวเองออก สิ่งที่อยู่บนฝ่ามือของบุตรแห่งโพไซดอนคือเครื่องประดับดอกกุหลาบสีน้ำเงินทองที่มีประกายทองสุกใส กลีบดอกขยับไหวไปมาราวกับมีชีวิต


“สิ่งนี้จะทำให้ทั้งเทพและคนอื่น ๆ เอ็นดูนาย”


ดีนช้อนตามองอีกฝ่าย แม้สรรพคุณของกุหลาบสีน้ำเงินทองว่าไว้แบบนั้น แต่เขามั่นใจว่าที่อีกฝ่ายเป็นคนคลั่งรักไม่ใช่เพราะอุปกรณ์วิเศษชิ้นนี้แน่ ๆ

“อ้อ เจ้านี่เองน่ะเหรอ”


แมคเคนซีมองเครื่องประดับบนฝ่ามือคนรัก จริงอย่างที่ดีนว่า เขาเคยเห็นมันมาก่อน แต่ก็คิดว่าอาจเป็นของวิเศษที่ได้มาจากการรับจ๊อบจากเทพที่ไหว้วาน การทำเควสเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ก็รางวัลจากการจัดกิจกรรม ตั้งแต่มาอยู่ค่ายฮาล์ฟบลัดอีกฝ่ายเคยว่างเสียที่ไหน นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นแนวหน้าของค่ายแล้วยังเป็นนักสันทนาการตัวพ่ออีกด้วย


ซึ่งตรงกันข้ามกับเขาสิ้นดี

“ส่วนวิธีการ… หาสถานที่โรแมนติกแล้วภาวนาถึงเทพีอะโฟรไดท์นางจะปรากฏกายตรงหน้า จากนั้นก็ขอให้เทพีประกอบดอกกุหลาบให้”


ทว่าเรือสินค้าห่างไกลจากคำว่าโรแมนติกหลายขุม ส่วนสถานที่ที่พวกเขาล่องอยู่ในตอนนี้คือกลางมหาสมุทรแอตแลนติกที่มองไม่เห็นฝั่ง มีแค่เกลียวคลื่น เส้นขอบฟ้า และแสงตะวันสดใสแม้ยามราตรีกาลควรโรยตัว


“ท่าทางว่าเราคงต้องทำอะไรโรแมนติก ๆ อัญเชิญเทพีออกมาแทนแล้วล่ะ”

“อะไรที่โรแมนติก……”


บุตรแห่งเทพีแห่งมนตรานิ่งงันไปเล็กน้อย บนเรือขนส่งสินค้าแบบนี้ แถมพวกเขายังลักลอบขึ้นเรือกันมาอีก จะไปทำเรื่องโรแมนติกอะไรกันได้


นอกเสียจากว่า…


“เอ่อ..ฉัน..ฉันว่ามันก็น่าสนใจนะเรื่องรวมดอกกุหลาบที่นายว่า แต่ฉันว่าเราไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้นะที่รัก บ..แบบว่าฉันก็อยากจะส่วนตัวกับนายเวลาทำเรื่องอย่างว่าน่ะ”

คราวนี้เป็นฝ่ายของหนุ่มบ้านทะเลที่นิ่งอึ้งไป จากนั้นอีกไม่กี่วินาทีก็เริ่มโวย


“ไม่ใช่แบบนั้น ฉันเหลือจะเชื่อกับความคิดนายจริง ๆ แมคซี่!”


ดีนระเบิดหัวเราะออกมาก่อนจะขยับกลับไปสวมกอดคนรักพร้อมกับยีหัวด้วยความเอ็นดู แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะอยากมีความสัมพันธ์กันเต็มแก่แต่มันไม่ใช่แบบนั้น!


“เอาเป็นว่าแบบนี้แล้วกัน ฉันมีไอเดีย”


ดีนผละกอดออก เขาตรงไปที่ล็อคเกอร์แล้วหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องเก่าที่เปิดโหมดเครื่องบินไว้ออกมา โดยไม่ได้สนใจโทรศัพท์เดดาลัสที่วางเคียงกันแม้แต่น้อย จากนั้นรวบดอกกุหลาบทั้งหมดใส่เป้กระเตงขึ้นหลัง ลากแขนคนรักให้ลุกขึ้นจากเตียงออกไปนอกห้องด้วยกัน


“ที่โรแมนติกไม่ใช่ในห้องหรอก ฉันว่าเทพีอะโฟรไดท์น่าจะชอบอีกที่มากกว่า”

ค่อยยังชั่วที่ความคิดของแมคเคนซีไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เขายังไม่ต้องการเปิดออนลี่แฟนใด ๆ แม้ว่าผู้เข้าชมคนแรกจะเป็นถึงระดับวีไอพีอย่างเทพีอะโฟรไดท์ก็ตาม


“นายจะเอามือถือไปทำอะไร คงไม่ได้จะเอาไปล่ออสุรกายให้มารุมยำพวกเราใช่ไหม”


เมื่อเห็นดีนหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องที่ไม่ใช่ของเดดาลัส แมคเคนซีที่เดินออกจากห้องพักไปตามแรงคนรักเกิดสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง หากการต่อสู้กับอสุรกายคือนิยามความโรแมนติกของเทพีแห่งความรักก็นับว่ารสนิยมของเธอช่างแปลกใหม่จริง ๆ และตอนนี้เขาก็หยิบอาวุธประจำตัวไม่ทันแล้วซะด้วยสิ

ดีนไม่ตอบคำถาม เขาจูงมือลากแขนแมคเคนซีไปตามทางเดินของเรือที่เงียบสงบ ลูกเรือบางคนเข้าพักที่ห้องนอน บางส่วนเข้ากะทำงาน แต่ส่วนใหญ่รวมตัวกันที่ห้องสันทนาการ ตรงกันข้ามกับสองหนุ่มนักดูแลสัตว์ที่มุ่งหน้าสู่ดาดฟ้าเรือ


‘ไม่มีเหตุอะไรพยายามอย่าขึ้นไปที่ดาดฟ้าเรือ ไม่ได้ห้ามนะ แต่ว่ามันอันตราย’


รองกัปตันเรือว่าเอาไว้แบบนั้น แต่ว่าดาดฟ้าเรือจะไปน่ากลัวอะไรในเมื่อดีนเป็นถึงบุตรเจ้าสมุทรที่แทบจะมีกายอมตะเมื่ออยู่ในน้ำ


ร่างสูงทั้งสองมาถึงที่หัวเรือ ลมทะเลโบกพัดเย็นสบายไร้คลื่นลมแปรปรวน ให้เดาว่าตอนนี้เทพเนปจูนน่าจะอารมณ์ดีหรือไม่ก็กำลังหลับอยู่ ดีนชะโงกหัวลงไปมองด้านล่างยังผืนน้ำอันกว้างใหญ่ที่เรือเดินสมุทรแหวกผ่ากรุยทางไปด้วยระบบออโต้ไพล็อต


‘สะ.. สูง!!’


ขอถอนความคิดว่า ‘บุตรเจ้าสมุทรมีกายอมตะในน้ำ’ ไปก่อน ความสูงจากหัวเรือถึงพื้นน้ำน่าจะราว ๆ ตึกสิบชั้น แม้น้ำจะเป็นของเหลว แต่แรงปะทะดังกล่าวอาจทำให้เขาตัวเหลว ไม่ใช่แค่นั้นอาจถูกแรงเรือกดให้จมแล้วถูกใบพัดขนาดใหญ่ปั่นเป็นชิ้น ๆ จนกลายเป็นบุฟเฟต์อาหารปลา


แค่จินตนาการภาพน้ำลายในคอก็เหนียวจนกลืนยาก หากเป็นไปได้ก็ขออย่าให้เกิดเหตุการณ์ที่ต้องกระโดดลงทะเลเลย…


เลิกคิดถึงภาพสยองขวัญเพราะตอนนี้เขาต้องทำบรรยากาศให้โรแมนติก ดีนจัดแจงนำดอกกุหลาบทั้งสองสีออกมาวางเรียงกัน ชนิดไหนที่แมคเคนซีมีไม่พอดีนก็เอาของเขาเติมเข้าไปเพิ่ม 

แมคเคนซีมองอีกฝ่ายที่เอาดอกกุหลาบทั้งสองสีอย่างละสิบดอกมาวางเรียงกันราวกับกำลังเตรียมประกอบพิธีกรรมอะไรบางอย่าง…ซึ่งก็คงเป็นอย่างนั้น แถมดีนยังใช้ดอกกุหลาบสีทองของตนเองแทนส่วนที่เขาขาดหายไปให้ครบโดยไม่ได้ร้องขออีก แต่ถึงอย่างนั้นแมคเคนซีก็ไม่คิดจะใช้ของของคนรักฟรี ๆ หากมีโอกาสเขาจะต้องหามาคืนแน่นอน


“จริงสิแมคซี่ ฉันอยากให้นายเก็บนี่ติดตัวไว้ตลอดเวลา”


บุตรโพไซดอนนำสิ่งหนึ่งออกมา… ‘ม้าน้ำกระเป๋า’ อุปกรณ์ที่โพไซดอนส่งมาให้ช่วงที่ดีนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแอตแลนติส


“เจ้านี่ยิงฟองอากาศออกมาเป็นเกราะได้ ใช้เดินบนน้ำ หรืออาจจะทำแบบที่ฉันทำกับบาริสต้าที่คาเฟ่หน้าบูเลอวาร์ด มันจะทำให้นายปลอดภัยเวลาอยู่ในทะเล ขอเพียงแค่นายศรัทธาในตัวของพ่อฉัน… ถึงจะฟังดูแปลก ๆ หน่อยก็เถอะ คิดซะว่าเคารพเขาเหมือนเคารพโดนัลด์หรือลุงไมค์ก็ได้”


“……แล้วนายล่ะ ให้ฉันมาแบบนี้แล้วตัวเองไม่ต้องใช้เหรอ”


แมคเคนซีมองม้าน้ำกระเป๋าในมือดีนแล้วถึงกับตีหน้ายุ่ง นี่น่าจะเป็นของสำคัญสำหรับอีกฝ่าย ฟังสรรพคุณแล้วก็ดูมีประโยชน์ไม่น้อย แต่ของสำคัญขนาดนี้ให้เขาดีแล้วจริง ๆ เหรอ

ดีนยิ้มตอบยัดของขวัญใส่มือพร้อมกับใช้หัวแม่มือเกลี่ยหลังมือของคนรัก


“ไม่ต้องห่วง ฉันหายใจใต้น้ำได้ ควบคุมน้ำได้ แถมยังฟื้นตัวในน้ำได้ไวอีกต่างหาก ถึงโพไซดอนจะหลับอยู่แต่ฉันเชื่อว่าพ่อจะไม่ให้ฉันได้รับอันตรายจากสายน้ำแน่ ๆ แต่ตอนนี้เรามาทำพิธีกรรมอัญเชิญเทพีอะโฟรไดท์กันต่อดีกว่า”

“ถ้านายว่าอย่างนั้นก็…ขอบคุณนะ ฉันจะเก็บไว้อย่างดี”


เมื่อดีนบอกแบบนั้นก็ค่อยวางใจขึ้น แมคเคนซีเก็บของที่เพิ่งได้รับมาลงในกระเป๋ากางเกง เขาจะถือว่าสิ่งนี้คือของแทนตัวอีกฝ่ายหากวันใดวันหนึ่งต้องอยู่ห่างไกลกัน…ซึ่งคงไม่ใช่ในเร็ววันนี้แน่

หลังจัดเรียงกุหลาบทั้งยี่สิบดอกเสร็จเรียบร้อยดีนก็นำไอโฟนเครื่องเก่าออกมา เปิดเพลงที่โหลดเอาไว้ มานานแสนนาน เมื่ออินโทรขึ้นต่อให้เป็นเด็กน้อยก็รู้จักว่าเพลงนี้ชื่อว่า ‘My Heart will Go On’


ฝ่ามือสีแทนแบออกไปข้างหน้า


“มาโรส เรามาแสดงบทรักให้เทพีเห็นกัน”


[เพลงประกอบ กด ► ฟังเพื่อเพิ่มอรรถรส]


อินโทรทำนองเพลงคุ้นหูของหนังโรแมนติกสุดคลาสสิคแห่งยุค 90 ดังขึ้น ขนาดว่าเขาที่เกิดหลังจากนั้นก็ยังรู้จัก ดวงตาสีฮาเซลมองฝ่ามือคนรักที่ยื่นมาด้วยสีหน้าเหลือจะเชื่อ


“โรส…? อย่าบอกนะว่า….ดีน…นายเอาจริง ?”


ท่ามกลางบทเพลงที่เริ่มบรรเลงคลอไป และตัวเอกสองคนที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือ (แม้จะเป็นเรือขนส่งสินค้าก็ตาม) ซึ่งใช้เป็นฉากได้อย่างดี องค์ประกอบครบถ้วนขนาดนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าดีนกำลังจะชวนเขาโรลเพลย์ฉากหนึ่งของหนังรักในตำนานนั่น และเขาก็เชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่นแน่


‘ต้องทำจริงดิ…’


เหมือนกับมีถ้อยคำอยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ แต่ท้ายที่สุดแมคเคนซีก็วางมือลงบนฝ่ามือของดีน

“เอาจริง ฉันไม่ล้อเล่นเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว” ซึ่งหมายถึงจริงจังกับเรื่องเล่น ๆ


หลังจากที่แมคเคนซีส่งมือให้แล้ว ดีนก็จัดแจงท่าทางของทั้งคู่ให้เหมือนกับฉากในหนัง แมคเคนซีมองผืนน้ำทะเลที่บรรจบกับผืนฟ้า ไม่ปฏิเสธว่าภาพตรงหน้าตอนนี้สวยงามไร้ที่ติ แต่จะติดก็แค่ตรงแดดที่จ้าไปหน่อยเท่านั้น


‘หมอนี่สูงชะมัด บังวิวหมดเลยอ่ะ…’


ชายด้านหลังเขย่งปลายเท้าเล็กน้อยให้ปลายคางของเขาโผล่พ้นไหล่ของอีกฝ่าย สายลมจากทะเลตะวันออกพัดพริ้วปะทะใบหน้าส่งความรู้สึกอันสดชื่นพร้อมไอทะเลชวนตัวเหนียว บอกเลยว่าแม้วิวจะมีแต่ทะเลแต่มันก็ไม่ได้แย่ ดีนหลับตาพริ้ม อมยิ้มกับความสบายที่สัมผัส


“ฉันพอเข้าใจแล้วว่าทำไมแจ็คกับโรสทำแบบนี้แล้วไปจบในรถเต่า” ความจริงเขาเรียงลำดับฉากในหนังผิดนิดหน่อย…

แมคเคนซีมองมือทั้งสองข้างที่กางออกก่อนจะมองไปข้างหน้า


‘แล้วฉันต้องพูดว่า แจ๊ค ! ฉันบินได้ ไหมเนี่ย’


ภายในหัวตีกันไปมา แต่ก็ยังไม่วายหันไปถามคำถามสัปดนกับคนรักที่เกยคางกับไหล่ของตนเองอยู่


“เพราะว่าแจ๊คน้อยไปจิ้มก้นโรสเข้าเหมือนนายตอนนี้น่ะเหรอ”


ซึ่งเขาวิงวอนว่าอย่าให้เทพีอะโฟรไดท์มาได้ยินเข้าเลย ไม่งั้นเธออาจสาปเขาแทนที่จะมาช่วยประกอบดอกกุหลาบให้ก็เป็นได้

“คิก..”


เสียงหัวเราะเล็ก ๆ ด้วยอารมณ์ขันของสตรีเพศลอยแว่วมาตามสายลมทำเอาสะดุ้ง


บุตรแห่งโพไซดอนรีบหันไปทางต้นเสียง ตอนแรกเขาคิดว่าชาร์ล็อตแอบตามมาทว่าคนที่เห็นนั้นไม่ใช่ ความสงสัยทำให้คิ้วหนายกขึ้นสูง ดีนผละกอดออกจากแมคเคนซี ก่อนจะสลับชี้ไปทางคนรักกับหญิงในเดรสแดงสุดหรูที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนราวกั้นเหล็กโดยไม่มีทีท่าว่าจะกลัวตกเรือ

มือที่กางอยู่รีบตะครุบปิดปากตัวเองทันทีที่มีบุคคลที่สามปรากฏกายขึ้นมา แต่ว่านี่เป็นเรือขนส่งสินค้าหาใช่เรือสำราญ จึงนับเป็นเรื่องแปลกประหลาดหากจะมีสตรีสวมชุดเดรสสีแดงมาอยู่ตรงนี้


“ทำไมมีแมคซี่สองคน!?”


จะบอกว่ามีแมคเคนซีสองคนก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะว่าหญิงสาวที่ดีนเห็นคือแมคเคนซีเวอร์ชั่นผู้หญิงที่มีเรือนผมยาวดัดลอนสีบลอนด์ทองสู้แสงตะวัน รูปร่างอันอรชรมีส่วนโค้งเว้าเด่นชัดราวกับสตรีในฝัน ความงามที่เห็นทำเอาดีนอ้าปากค้างยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ


ความคิดแรกที่ปรากฏในใจคือ ‘หรือจะเป็นเทพีเฮคาที?’ แต่ดีนเคยพบเทพีในฝันครั้งนึง ต่อสู้กับเงาของนางอีกหนึ่งครั้ง ภาพลักษณ์ของราชินีแห่งแม่มดแตกต่างจากสตรีตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง เรียกง่าย ๆ ว่าไม่สวยเท่านี้


แม้รูปลักษณ์จะแตกต่างจากทุกครั้ง ทว่าดีนสัมผัสได้ว่านางตรงหน้านี้คือเทพีแห่งความรักและความงาม… อะโฟรไดท์

“เจ้าเห็นข้ามีรูปโฉมเฉกเช่นคนรักของเจ้าอย่างนั้นหรือดีน”


ร่างแบบบางที่นั่งอยู่ตรงราวกั้นเหล็กเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเจือแววขบขัน แมคเคนซีหันมองคนรักตนเองด้วยใบหน้าที่เหมือนมีเครื่องหมายคำถามอยู่บนนั้น


‘หมอนี่เมาเรือหรือเปล่าเนี่ย’


นี่คือความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวที่นึกขึ้นได้ในตอนนี้ ก็จะมีเขาสองคนได้ยังไง ในเมื่อหญิงสาวตรงหน้าเขาตอนนี้มีรูปโฉมงดงามราวหลุดออกมาจากภาพวาดผลงานชิ้นเอกของจิตรกรดังสักคนจนแมคเคนซีเริ่มฉุกคิดขึ้นมาได้


‘หรือว่าฉากหนังรักนั่นจะได้ผล’

“ใช่… เอ่อ… คุณ… อะโฟรไดท์?”


ดีนเอ่ยออกมาเป็นคำ ๆ ไถ่ถามออกมาด้วยความไม่แน่ใจ เขารู้ว่าเทพเจ้าเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตัวเองได้ตามใจนึก เหมือนกับตอนที่ดีนเห็นโพไซดอนเปลี่ยนโฉมเป็น เจสัน โมโมอา ตอนที่เคยเถียงกันว่าเจ้าสมุทรควรมีหน้าตาเป็นแบบไหน


“ใช่แล้ว ข้าเองอะโฟรไดท์ เทพีแห่งความรักและความงาม ผู้งดงามที่สุดเหนือโอลิมปัสและโลกหล้า”


อะโฟรไดท์พรายยิ้มพราวเสน่ห์ ยิ่งใบหน้างดงามของนางคล้ายคนรักยิ่งทำให้ดีนรู้สึกเขิน ซ้ำคำตอบของเทพียิ่งตอกย้ำสิ่งที่คิดอยู่ในใจ (แม้จะภูมิใจในความสวยของตัวเองเยอะไปหน่อยก็เถอะ) แต่ไหงนางถึงได้ปรากฏกายในรูปลักษณ์นี้ล่ะ? สการ์เลตต์ โจแฮนส์สันไปไหน? หรือว่านางต้องการที่จะล้อเลียนพวกเขา?


“เจ้าคงกำลังคิดว่าทำไมเห็นข้าคล้ายคนรักของเจ้าสินะ ความจริงแล้วข้าไม่ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์อะไรเลย แต่ผู้อื่นจะมองเห็นข้าในรูปแบบที่คล้ายกับความงดงามที่สุดในอุดมคติ ฉะนั้น… หากรสนิยมของเจ้าเปลี่ยนไป รูปลักษณ์ของข้าก็จะเปลี่ยนตาม”


“เปลี่ยนตามความงามในอุดมคติงั้นเหรอ…” ความสงสัยคลายไปได้ส่วนหนึ่ง ตอนนี้ดีนสงสัยในข้ออื่นต่อ เขาจึงมองไปทางแมคเคนซี “นายเห็นเทพีเป็นยังไง?”

“หะ..ฉันเหรอ”


อยู่ ๆ ดีนก็วกกลับมาถามเขาเสียได้ ทำเอาแมคเคนซีแทบตั้งตัวไปถูก


“คล้าย ๆ ภาพวาดผู้หญิงสมัยวิคตอเรีย หน้าสวยละมุน…ประมาณนี้”


แมคเคนซีสรุปตามสิ่งที่ตนเองเห็น แต่ที่รู้สึกแปลกใจหาใช่การที่แต่ละคนมองเทพีอะโฟรไดท์ออกมาในรูปลักษณ์ต่างกัน

“อ้อ”


คำตอบของแมคเคนซีทำให้ดีนผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็เข้าใจได้แหล่ะว่าถึงเป็นแฟนกันแต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นสเป็คของกันและกันเสมอไป ซึ่งก็ไม่ค่อยประหลาดใจที่สเป็คของคนรักจะเป็นคนขาวสาวยุโรป


เทพีผู้ได้รับเชิญยิ้มอ่อน ๆ คล้ายกับรับรู้ความรู้สึกในใจของเดมิก็อดทว่านางไม่ได้กล่าวอะไร

“นาย…คิดว่าฉันสวยเหรอ”


นี่ต่างหากที่ทำให้แมคเคนซีหันมามองตอบคนรักตาปริบ ๆ เมื่อได้รับรู้ข้อเท็จจริงใหม่ หากถามว่าทำไมแมคเคนซีถึงไม่เห็นเทพีอะโฟรไดท์เป็นดีนร่างสาว นั่นเพราะเขาคิดว่าดีนหล่อเหลางดงามตามแบบฉบับของผู้ชายนั่นเอง

“เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่ากับธุระของนายกับเทพีหรอกน่า”


ดีนตัดบทจากนั้นรีบดึงมาเข้าประเด็นหลัก


“คืองี้ครับเทพีอะโฟรไดท์… คือว่าแมคซี่เขารวบรวมดอกกุหลาบสีน้ำเงินและสีทองได้ครบแล้ว ผมเลยแนะนำให้เขาทำเครื่องประดับแบบที่ผมเคยรวบรวมให้คุณประกอบให้”


“เจ้าคงหมายถึงดอกกุหลาบทองน้ำเงินสินะ… ได้สิแมคเคนซี นั่นคงเป็นกุหลาบที่เจ้ารวบรวมมาให้สินะ”


อะโฟรไดท์ลงมาจากเหล็กกั้นอย่างนุ่มนวล นางเยื้องย่างไปทางกุหลาบเทพที่วางเรียงอย่างเป็นระเบียบด้วยความงามทุกท่วงท่า เมื่อนางสะบัดมือดอกกุหลาบทั้งสองชนิดก็ลอยขึ้นเหนือฟ้า หลอมรวมกันเป็นประกายแสงสีน้ำเงินทอง หมุนวนไปมาราวกับภาพเต้นระบำของคู่รัก เมื่อกระบวนการเสร็จสิ้นเกิดเป็นเครื่องประดับกุหลาบสีทองและน้ำเงินลอยพลิ้วอย่างแช่มช้าเหนือมือนาง


“รับไปเสียแมคเคนซี จากนั้นดูแลอย่างทะนุถนอม และใช้งานมันอย่างดี”


เมื่อกล่าวจบ เทพีก็เป่ากุหลาบดอกน้อยบนฝ่ามือให้ค่อย ๆ ลอยไปตรงหน้าของบุตรแห่งเฮคาที

ดูเหมือนว่าเทพีอะโฟรไดท์จะมีภารกิจที่ต้องไปทำต่อ เธอจึงรวบรวมดอกกุหลาบสีน้ำเงินและทองจนทั่งออกมาเป็นดอกกุหลาบสีแปลกตาเหมือนที่ดีนให้เขาดูเมื่อก่อนหน้านั้น ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างแบลงตรงหน้า แล้วดอกไม้ที่ถูกแปรสภาพเป็นเครื่องประดับก็ค่อย ๆ ลอยลงมาในอุ้งมือ


“ขอบคุณครับเทพีอะโฟรไดท์ ที่จริงแล้วส่วนนึงเป็นของดีน แต่ผมจะหามาคืนเขาแน่ ๆ แล้วผมก็จะเก็บรักษาเป็นอย่างดี เพราะเข็มกลัดนี่รวบรวมทั้งดอกกุหลาบของผมกับดีนเข้าไว้ด้วยกัน”


บุตรแห่งเทพีแห่งมนตราบอกทุกอย่างตามความสัตย์จริง ถึงอย่างไรแมคเคนซีก็ไม่คิดจะโกหกว่ามันคือของเขาเองคนเดียว

ถึงดีนจะไม่ใช่สเป็คของแมคเคนซีแต่อย่างน้อยคำพูดของอีกฝ่ายก็ทำให้บุตรแห่งโพโซดอนซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ เช่นเดียวกับเทพีอะโฟรไดท์เทพผู้ชื่นชอบความรัก


“แบบนั้นยิ่งต้องถนอมไว้ให้ดีกว่าเดิม” เทพีเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “หากไม่มีอะไรแล้วข้าก็ต้องไปแล้วล่ะ ซุสคงไม่พอใจแน่ ๆ หากเห็นข้าปรากฏกายต่อหน้าเดมิก็อดที่อยู่ระหว่างการทำภารกิจนานเกินไป แม้ว่าธุระของข้ากับพวกเจ้าจะไม่ใช่เรื่องภารกิจแม้แต่น้อยเลยก็ตาม”


ดีนพยักหน้ารัว ๆ ครั้งที่ทำภารกิจคราวก่อน เทพีอะโฟรไดท์พยายามจะช่วยเดม่อนผ่านดีน ท้องฟ้าก็คำรามยกใหญ่เป็นการเตือนไม่ให้เทพีแห่งความรักแทรกแซง


“แต่ถึงอย่างไรข้าก็อยากให้พวกเจ้ารู้ว่าข้ากำลังเฝ้ามองและเอาใจช่วยความสัมพันธ์ของพวกเจ้าทั้งสองอยู่” อะโฟรไดท์ขยิบตา “ข้าไม่อาจอวยพรให้ด้วยพลังของเทพ จึงได้แต่กล่าวขอให้พวกเจ้าโชคดีและปลอดภัยในภารกิจ”


สิ้นเสียงกังวาลใส ร่างมนุษย์ของเทพีอะโฟรไดท์ก็ค่อย ๆ เลือนไปกับลำแสงสีทอง เหลือแต่เพียงกลิ่นหอมของดอกกุหลาบเทพติดตรึงไว้ที่ปลายจมูก


“ไปซะแล้วแฮะ”


ดีนทอดสายตาไปเบื้องหน้า ที่ที่เห็นเพียงแค่เส้นขอบฟ้าและทะเลตัดกัน


“เธอบอกว่าคอยเฝ้ามองดูพวกเราอยู่แน่ะ เผลอ ๆ ไม่ต้องทำท่าแจ็คกับโรสเธอก็น่าจะออกมามั้งเนี่ย” เขาหันกลับมาหาแมคเคนซีพร้อมทั้งกล่าวติดตลก

แปลกใจนิดหน่อยไม่คิดว่าเทพีอะโฟรไดท์จะเฝ้าดูพวกตนอยู่ แต่ก็เกิดคำถามอีกว่าเธอคงไม่ได้เฝ้าดูแม้กระทั่งเวลาที่พวกเขาอยู่ในห้องนอนเหมือนที่เทพไดโอนีซุสแอบฟังความคิดในหัวของเขาใช่ไหม


“ก็คงอย่างนั้น ว่าแต่นายน่ะ…”


ฝ่ามือใหญ่กำเครื่องประดับที่เพิ่งได้มาไว้ พร้อมกับรับฟังและเฝ้ามองจนกระทั่งร่างของเทพีห่งความรักหายไปจากที่ตรงนี้แล้วหันมาสนใจคนที่อยู่ข้างกันแทน


“ก่อนหน้านั้นเหมือนจะหน้าหงอยนะ เป็นอะไรหรือเปล่า”


มือข้างที่ว่างกอดคออีกฝ่ายแล้วโอบไหล่กว้างไว้ คิดว่าตนเองคงไม่ได้ตาฝาดไปแน่ ๆ ที่เห็นดวงตาหวานปนโศกครู่นั้นวูบไหวไปเสี้ยววิยามได้ฟังคำตอบเรื่องภาพเทพีอะโฟรไดท์ที่ตนเองเห็น แต่ถึงถามไปอีกฝ่ายก็คงปฏิเสธเหมือนเคยเลยกำชับไว้ก่อน


“อย่าโกหกฉันนะ”


“เอ่อ..”


ดันถูกดักทางไม่ให้บ่ายเบี่ยงอ้อมค้อม ดีนกังวลเหลือเกินหากเมื่อแมคเคนซีได้ฟังคำตอบแล้วจะคิดว่าตนงี่เง่า ซึ่งความจริงอาจจะรู้มาตั้งนานแล้วว่าเขาเป็นคนงี่เง่าแค่ไหน


“ก็.. ผิดหวังนิดหน่อยที่ฉันไม่ใช่สเป็คนาย แต่ความจริงก็อาจจะไม่แปลกเพราะที่ผ่านมานายก็คบแต่สาวยุโรปมาตลอดใช่ไหมล่ะ ถึงอย่างนั้นก็เข้าใจได้ว่าคนรักไม่จำเป็นต้องตรงกับสเป็คเสมอไป แล้วถ้านายบอกว่าเห็นเทพีหน้าเหมือนฉันก็คงประหลาดอีก แล้วงี้เทพีจะมีหนวดไหม…”

“………”


ฟังที่ดีนบอกแล้วแมคเคนซีก็เงียบไปเล็กน้อย ไม่ใช่ที่โกรธเพราะคิดว่าอีกฝ่ายงี่เง่า แต่เขากำลังใส่หน้าของดีนลงไปแทนที่รูปลักษณ์เทพีอะโฟรไดท์ที่ตนเพิ่งเห็นมาต่างหาก


“อุ๊บ…แย่ชะมัด นายทำให้ฉันนึกภาพเทพีอะโฟรไดท์มีหนวด เธอจะยึดดอกกุหลาบฉันไหม”


สุดท้ายก็หลุดหัวเราะออกมาจนได้ นี่ก็น่าจะเป็นเวลาดึกแล้ว ตอนนี้เขาไม่สามารถกะเกณฑ์เวลาจากท้องฟ้าได้เลยจึงโอบไหล่พาดีนเดินกลับไปยังห้องพักก่อนที่จะมีใครมาเห็นพวกเขาตรงนี้เข้า


เมื่อมาถึงห้องพักคนงานซึ่งเป็นห้องของดีน แมคเคนซีวางดอกกุหลาบสีทองน้ำเงินกับม้าน้ำกระเป๋าที่เพิ่งได้รับมาลงบนโต๊ะ ก่อนจะมานั่งที่เตียงแล้วดึงคนรักลงมานั่งข้าง ๆ กัน


“แต่นายเข้าใจฉันผิดไปอย่างนะ ระหว่างคำว่าสเป็คกับอุดมคติ”


เขาจับฝ่ามือข้างนึงของดีนมากุมไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของตนเองแล้วลูบเบา ๆ ดวงตาหลุบมองตามลงไป


“สำหรับฉัน อุดมคติมันคือภาพในหัวทั่ว ๆ ไปที่คิดว่าต้องเป็นแบบนั้น แต่สเป็คมันคือสิ่งที่เจาะจงและคิดว่าตัวเองชอบ แต่ถ้าจะให้พูดตามตรง นายก็ไม่ใช่ทั้งคนในอุดมคติและสเป็คของฉัน…”


บุตรแห่งเทพีแห่งมนตราเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะย้ายสายตาขึ้นมาสบมองดวงตาสีเปลือกไม้ที่ตนหลงใหล


“เพราะนายคือข้อยกเว้นของฉันไงล่ะดีน นายอยู่เหนือทั้งอุดมคติที่ฉันวาดไว้และสเป็คทุกอย่างที่ฉันตั้ง ก็แค่…เพราะเป็นนาย แค่นั้นเลย”


ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มให้คนรัก ฉากวันแรกที่พบกันหวนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง ภาพดีนในวันนั้น อีกฝ่ายจัดได้ว่าเป็นคนหน้าตาดีมากคนหนึ่งจนเขาแทบละสายตาไม่ได้ แต่เมื่อได้ทำความรู้จักกันแล้วถึงได้รู้ว่าตนกับอีกฝ่ายมีนิสัยและความคิดที่เข้ากันไม่ได้หลายส่วน แต่แมคเคนซีก็ไม่สามารถตอบตัวเองได้ว่าทำไมถึงไม่อาจปล่อยมือจากคนคนนี้ได้ หรือท้ายที่สุดแล้วคำตอบมันอาจจะง่าย ๆ เพียงเพราะว่าอีกฝ่ายคือ ‘ดีน’ คนที่เขารักแค่นั้นเลยจริง ๆ

“แมคซี่…”


มีคำพูดเป็นหมื่นล้านคำก่อเกิดขึ้นในใจ แต่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความตื่นตัน’ มากดเอาไว้จนพูดไม่ออก บทสรุปเพียงข้อเดียวอันแสนเรียบง่ายจึงถูกปล่อยออกมาแทน


“ฉันรักนายเป็นบ้าเลย”


วงแขนกำยำสวมกอดคนรักที่นั่งเคียงกัน ฝังปลายจมูกโด่งที่ซอกคอขาวคล้ายกับกำลังปิดบังใบหน้าที่เห่อร้อนจนแดง มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่อาจปิดบังคือหัวใจที่เต้นโครมครามอยู่กลางอก

ปลายจมูกที่ซุกไซร้เหมือนเจ้าหมากำลังออดอ้อนเจ้าของทำให้แมคเคนซีเอียงคอด้วยความจั๊กจี้ เขากอดคออีกฝ่ายตอบแล้วเอนหลังไปเล็กน้อยจนอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน มือข้างนึงเลื่อนมาสอดสางเส้นผมดกหนาสีเข้มไว้แล้วออกแรงขยุ้มเบา ๆ ก่อนจะถามติดตลก


“ได้เวลาเด็กอนามัยนอนหรือยัง หรือว่าคืนนี้เราจะโรลเพลย์ฉากแจ๊คกับโรสในรถเต่ากันต่อดี”

“ยังมีหน้ามาถาม นายอยากจัดหนักฉันตั้งแต่ตอนก่อนออกไปที่หัวเรือแล้วนี่”


คำพูดติดตลกของแมคเคนซีช่วยลดความเขินอาย ไม่ใช่การคิลมู้ดแต่ช่วยจุดไฟราคะของบุตรเจ้าสมุทรขึ้นมา ดีนดันบุตรเฮคาทีหลังแนบลงกับเตียงนอนแสนแคบ ก่อนจะชันตัวขึ้นนั่งคร่อมทับเอวสอบเอวไว้พร้อมกับบดเบียดสะโพกลงไปจนสัมผัสกันแนบชิด


“วันนี้… แบบนี้ดีไหม?”


ชายหนุ่มยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์ฉบับของหนุ่มละติน ดีนไม่รอแมคเคนซีให้คำตอบแต่ดึงเสื้อตัวเก่งออกแล้วเหวี่ยงไปที่ปลายเตียง โน้มใบหน้าคมสันลงประทับจูบบนเรียวปากสีกุหลาบที่ไม่ผ่านการแต่งแต้ม ส่งมอบความปรารถนาอันร้อนแรงและยั่วยวนใจแก่คนใต้ร่างให้มิอาจปฏิเสธ ประทับไออุ่นจากลมหายใจไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย จนกระทั่งงานเต้นรำแห่งรักแท้ได้เริ่มต้นขึ้น


.
.
.


แสงสว่างจากหน้าจอสมาร์ทโฟนเดดาลัสรุ่นไฮโดรเอ็กซ์สว่างวาบขึ้นเป็นจังหวะในล็อคเกอร์เก็บของ

ไร้เสียงเรียกเข้า ไร้แรงสั่นเตือนเมื่อเจ้าของตั้งค่าไว้ที่โหมดเงียบ



📞 ยัยตัวเล็ก
มีสายที่ไม่ได้รับ (31 สาย)



หน้าจอส่องสว่างอยู่ชั่วขณะ จากนั้นมันจึงดับแสงลง…





ความคิดเห็นผู้บันทึก
แมคเคนซีร่างสาวโคตรสวยเลย!!

สรุปสถานการณ์
- หลังจากปลอมตัวมาเป็นคนดูแลสัตว์บนเรือสินค้าแล้วก็เข้าอบรมจากนั้นแยกย้ายกันทำงาน
- พบแจ๊คคาโลปในฝูงแกะ ดีนเป็นผู้จัดการมัน มีแกะน้อยถูกลูกหลงได้รับบาดเจ็บขาหัก (ตั้งชื่อว่า ฟลัฟฟี่) เลยต้องพยาบาล
- ช่วงเย็นดีนเห็นดอกกุหลาบสีน้ำเงินและสีทองของแมคเคนซีเลยแนะนำให้ประกอบเป็นเครื่องประดับ
- เทพีอะโฟรไดท์ปรากฏกายตามพิธีกรรมอัญเชิญ ดีนมองเห็นเป็นแมคเคนซีในร่างสาว ส่วนแมคเคนซีมองเห็นเป็นสาวสวยในรูปภาพยุควิคตอเรีย
- จบตอนที่แพนกล้องเข้าตู้ล็อคเกอร์และโทรศัพท์มือถือไฮโดรเอ็กซ์

DEAN


แจ็คคาโลป Lv.91 [1]
สินสงคราม
+2 ตื่นรู้จากการพิชิต [แจ็คคาโลป] ครั้งแรก
เขี้ยวแจ็คคาโลป จำนวน 7 ea

ความสัมพันธ์ต่อ [เทพีอะโฟรไดท์]
+5 โบนัสความโปรดปรานจากการใส่ [กุหลาบสีน้ำเงินทอง]
HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25


MACKENZIE

รวบรวม [กุหลาบสีทอง] จำนวน 10 ea และ [กุหลาบสีน้ำเงิน] จำนวน 10 ea ประกอบเป็นเครื่องประดับ [กุหลาบสีน้ำเงินทอง] ความสัมพันธ์ต่อ [เทพีอะโฟรไดท์]
HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-54] แลร์รี่ เพิ่มขึ้น 2 โพสต์ 2025-7-18 01:09
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] แอนนาเบ็ธ เชส เพิ่มขึ้น 2 โพสต์ 2025-7-18 01:09
God
MACKENZIE ได้รับความสัมพันธ์กับ [God-12-1] อะโฟร์ไดท์ เพิ่มขึ้น 25!   โพสต์ 2025-7-11 08:32
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-12-1] อะโฟร์ไดท์ เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-7-11 08:30
โพสต์ 175571 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-7-11 05:24

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
Anker PowerCore
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่อัสพิสขัดเกลา
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
แว่นตา
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x2
x2
x3
x2
x1
x3
x3
x1
x1
x3
x11
x2
x7
x2
x4
x8
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-7-16 00:33:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-18 00:41

IX
ทีมทำภารกิจที่หายตัวไป (?)
 Mackenzie Claude Lincoln 

- 20.05.2025 / 4.00 A.M. - เรือโบอิ้งแมรี่, มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ


ปิ๊บ ๆ … ปิ๊บ ๆ


เสียงของนาฬิกาปลุกหัวเตียงดังขึ้นเป็นจังหวะ ปลุกสองเดมิก็อดบนเตียงแคบ ๆ ได้ตื่นนอน การทำงานให้อาหารสัตว์ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ สองหนุ่มดีนและแมคเคนซีคิดอยากอิดออดเพราะเมื่อคืนพวกเขาทำกิจกรรมบางอย่างจนนอนดึกด้วยกันทั้งคู่ ทว่าคนที่ลักลอบขึ้นเรือก็ไม่ควรตื่นสายให้ดูผิดสังเกตใช่ไหมล่ะ

“ที่รัก นาฬิกาปลุกดัง.. พวกเราต้องตื่นนอนกันแล้ว”

ดีนเอ่ยเสียงอู้อี้อยู่หลังใบหูของหนุ่มอังกฤษ สองแขนสวมกอดคนรักเบื้องหน้าจากด้านหลัง ดวงตาคู่สวยยังไม่เปิดดี ไม่สิ.. เรียกว่าปิดเกือบสนิทเลยดีกว่า แทนที่จะเอื้อมมือไปปิดเสียงปลุก ทว่าดีนกลับกระชับกอดชายคนรักแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม มิหนำซ้ำยังถดหน้าลงไปใต้ผ้าห่มนุ่มราวกับจะให้มันช่วยบังเสียงรบกวน

ปิ๊บ ๆ … ปิ๊บ ๆ

“อืม…”

แมคเคนซีที่สะลึมสะลือตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกเช่นกันครางรับในลำคอ หลังจากเมื่อคืนได้ขึ้นสวรรค์ไปแล้ว การตื่นแต่เช้าในวันรุ่งขึ้นก็ดูเหมือนจะเป็นนรกสำหรับเขาไปเลย หากไม่ติดว่ามีหน้าที่ที่ต้องไปทำ เขาก็อยากนอนกกกอดกับคนรักอยู่บนเตียงอีกสักหน่อย
ฝ่ามือใหญ่เอื้อมควานหาสิ่งรบกวนการนอนอันแสนสุขก่อนจะกดปิดมันในที่สุดแล้วตบหลังมือดีนที่กอดตนไว้เบา ๆ

“ลุกเถอะดีน เราต้องเตรียมตัวไปทำงานกัน”

“โอเค”

หมดเวลาอิดออด มีแต่ต้องลุกขึ้นไปทำงาน แล้วกิจวัตรยามเช้าก็เริ่มต้นขึ้น แมคเคนซีกับชาร์ล็อตให้อาหารสัตว์ ส่วนดีนพยายามรักษาพยาบาลเจ้าฟลัฟฟี่

“ซานาเท อุมบรา”

ชาร์ล็อตร่ายมนตร์คาถาเวทรักษาอ่อน ๆ เป็นการช่วยเยียวยาไปในตัวไม่ให้คุณหมอ (เถื่อน) มือใหม่ ต้องรับภาระการรักษามั่ว ๆ ต่อไป ฟลัฟฟี่ยังไม่ถึงกับหายสนิทดีแต่อย่างน้อยตอนนี้มันก็น่าจะไม่ทุกข์ทรมานเมื่อยาแก้ปวดหมดฤทธิ์

.
.
.

การทำงานเช้าวันใหม่เป็นไปอย่างปกติ ทุกอย่างเสร็จสิ้นในเวลาสองชั่วโมงแรกหลังตื่นนอน ดีน แมคเคนซี และชาร์ล็อตแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวต่อเพื่อรอรับประทานมื้อเช้าช่วงเจ็ดนาฬิกา

ตอนแรกดีนกะว่าจะกลับมานอนต่อ แต่เขาดันตาสว่างแล้วเนี่ยสิ หลังจากจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองเรียบร้อยเขาก็เปิดล็อกเกอร์เอาสมาร์ทโฟนเดดาลัสออกมาแชทรายงานพี่น้องร่วมบ้านเสียหน่อย

“หือ ?”


📞 ยัยตัวเล็ก
มีสายที่ไม่ได้รับ (53 สาย)


“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ”


แมคเคนซีหันมาถามขณะรอสมาร์ทโฟนตัวเองบูตเครื่อง สำหรับคนที่ไม่ได้ติดโซเชียลมีเดียแบบเขาก็มีบางเวลาที่จะปิดเครื่องมือสื่อสารไว้อย่างเช่นเวลานอนหรือเวลาที่ต้องการความส่วนตัว โดยเฉพาะการมาทำงานในเรือขนส่งสินค้าที่ต้องเก็บทรัพย์สินเอาไว้ในล็อกเกอร์เช่นนี้ ยิ่งทำให้ไม่มีเวลาหยิบจับสมาร์ทโฟนเข้าไปใหญ่

“หืม…?”

แต่แล้วแมคเคนซีก็ต้องหลุดอุทานเสียงสูงไม่ต่างจากดีน เมื่อมีทั้งข้อความแจ้งเตือนและมิสคอลจากพี่คนโตของบ้านหมายเลข 20 เด้งขึ้นมารัว ๆ เขาจึงกดเข้าแอพลิเคชันแชทเพื่ออ่านข้อความ
และไม่เพียงแต่มิสคอล ทางดีนก็ได้รับข้อความพูดคุยในกลุ่มบ้านโพไซดอนรัว ๆ เหมือนกัน


profile
CABIN 3 POSEIDON
(M) 19 May 2025, 06:15 P.M.
           🌻𝓡є𝑠ℎα🌻:
RESHA
แง หนูโทรหาพี่ดีนไม่ติดเลย
           Sanz:
ว่าง
ใจเย็น ๆ ก่อนรีช
ว่าง
ดีนไปทำภารกิจ หมอนั่นอาจจะไม่ว่างรับสาย
SANZ
ว่าแต่.. มีอะไรถึงต้องโทรหา?
           🌻𝓡є𝑠ℎα🌻:
ว่าง
จูลี่น่ะค่ะ
ว่าง
วันนี้จูลี่หายตัวไป ไม่เรียนคาบบ่าย
ว่าง
หนูคิดว่าจูลี่อาการกำเริบอีก แต่พอตอนเย็นไปหาที่ห้องพยาบาลก็ไม่เจอ คุณพยาบาลบอกว่าจูลี่ไม่ได้มา
RESHA
หนูก็เลยถามคุณครูประจำชั้น เธอบอกไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปไหน แต่ไม่ได้ถูกพาตัวไปโรงพยาบาลแน่ ๆ


“เดี๋ยวนะ… จูลี่ไม่สบายงั้นเหรอ ?”

หนุ่มละตินเบิกตากว้างด้วยความกังวล แต่ยังไม่คิดตีโพยตีพายไปเอง เขารีบอ่านข้อความที่เหลือต่อ แชทยาวนานจากเย็นถึงช่วงค่ำ



profile
CABIN 3 POSEIDON
(M) 19 May 2025, 8:38 P.M.
           TYSON:
TYSON
เรื่องเด็กบ้านเฮคาทีหายว่าไงบ้าง
           Sanz:
ว่าง
เมื่อกี้ฉันกับรีชลองไปดูที่บ้าน 20 มา แต่ก็ไม่เจอจูลี่
SANZ
แล้วก็.. คนจากบ้านเฮอร์มีสก็เหมือนจะหายไปอีกคนเหมือนกัน
           TYSON:
TYSON
เด็กบ้านเฮอร์มีสก็ด้วยเหรอ?
           Jerome:
ว่าง
ความจริงก็ไม่ใช่เด็กแล้วครับ
Jerome
อีธาน ซาง กลับมาเยี่ยมโรงเรียนเก่า จากนั้นก็ไม่มีใครพบเขาอีก
           TYSON:
TYSON
น่าเป็นห่วงจัง
           Sanz:
ว่าง
คงไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดนะ
SANZ
อีธานคงไม่ได้ลักพาตัวจูลี่ไปหรอกใช่ไหม?
           🌻𝓡є𝑠ℎα🌻:
RESHA
ไม่หรอกค่ะ เลย์ลินน์กับเลย์ลาบอกว่าพี่อีธานไม่ใช่คนแบบนั้น
           Sanz:
SANZ
ไม่รู้สิ เห็นหายไปพร้อมกัน ฉันก็คิดเหตุผลอื่นไม่ออก
           Jerome:
ว่าง
.....
Jerome
ผมก็หวังว่าจะไม่ใช่นะ
           🌻𝓡є𝑠ℎα🌻:
RESHA
ที่โรงเรียนมีตำนานผีลักซ่อน หนูว่าต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ๆ เลย
           TYSON:
ว่าง
มีใครแจ้งความแล้วหรือยัง
TYSON
ฉันกลัวว่าจะเป็นอย่างอื่นมากกว่าลักพาตัวหรือว่าผีลักซ่อนน่ะสิ เพราะตอนนี้โลกเรามัน…
           Sanz:
SANZ
ปั่นป่วน
           TYSON:
TYSON
เป็นห่วงจัง หวังว่าจะคลี่คลายได้เร็วนะ


“แมคซี่ นายลองอ่านแชทของบ้านฉัน”

ดีนอ่านจนถึงแค่ตรงนี้ จากนั้นเขาก็ยื่นสมาร์ทโฟนไปให้แมคเคนซีดูโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จูลี่กับอีธานหายไปด้วยกันอย่างปริศนา ลักพาตัว เทพลักซ่อน หรืออะไรกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ ถูกหมัดใหญ่ซัดเข้ามาแบบนี้ทำเอาบุตรเจ้าสมุทรมึนตั้งแต่เช้า
“………….”
แมคเคนซีที่มีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาหลังอ่านข้อความจากซิลเวอร์จบรับสมาร์ทโฟนจากดีนมาอ่านแชทกลุ่มพี่น้องบ้านโพไซดอนต่อ ซึ่งข้อมูลที่ได้รับเพิ่มมานั้นยิ่งทำให้ความกังวลทวีคูณเพิ่มขึ้นอีก

“ซิลเวอร์ก็ส่งข้อความมาบอกฉันเรื่องนี้เหมือนกัน หมอนั่นรู้ว่าจูลี่หายไปตอนพวกรีชไปหาที่บ้าน”

บุตรเทพีแห่งมนตราบอกเล่าสถานการณ์ฝั่งตนเองพลางส่งมือถือคืนให้คนรัก

“ฉันว่าฉันควรโทรไปถามซิลเวอร์ก่อน ส่วนชาร์ล็อต…ไว้พวกเราค่อยบอกเธอทีหลัง”

ว่าแล้วแมคเคนซีก็โทรติดต่อหาผู้เป็นพี่ชายร่วมมารดาทันที เขาภาวนาให้ซิลเวอร์รับสาย ด่าเขาสักยกที่ปิดเครื่องไปจนติดต่อไม่ได้ แล้วจบที่ว่าเจอตัวจูลี่แล้ว เรื่องเมื่อวานแค่ผิดพลาดนิดหน่อย อะไรทำนองนั้น

“อืม แบบนั้นก็น่าจะดี”
ดีนนวดขมับ จากนั้นหย่อนตัวลงนอนแผ่กับเตียงอย่างอ่อนแรง ฝ่ามือกระดกเล็กน้อยเชิงบอกว่า ‘ตามสบายเลยแมคซี่ นายคุยกับลูกพี่เลย’
เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นไม่นาน เจ้าของปลายสายก็เริ่มบรรเลงสวดเขาทันทีราวกับรอการติดต่ออยู่แล้ว เสียงนั้นน่าจะดังพอจนเผื่อแผ่มาถึงดีนให้ได้ฟังด้วย
‘กว่าจะรับสายได้นะไอ้เด็กเวร ! ไปขึ้นสวรรค์กันถึงไหนมา ฉันโทรไปจนมือถือแทบไหม้ !’
ไม่ต่างจากที่คิดเท่าไหร่ แมคเคนซีพรูลมหายใจยาวยอมรับถ้อยคำผรุสวาทนั้น มันก็เป็นความผิดของเขาส่วนนึงที่ดันปิดเครื่องจนอีกฝ่ายติดต่อไม่ได้ เขารอให้ซิลเวอร์ได้ด่าจนพอใจอีกสองสามประโยคแล้วค่อยเข้าเรื่องโดยไม่ลืมกดเปิดลำโพงไว้

“โอเค ผมขอโทษที่ปิดเครื่อง ตอนนี้พวกผมอยู่บนเรือขนส่งที่กำลังจะไปโคลอมเบีย เรื่องมันค่อนข้างยาว ไว้ผมพิมพ์เล่าในแชทแล้วกัน แล้วก็ผมอ่านข้อความแล้ว เรื่องจูลี่เป็นยังไงบ้าง เจอตัวหรือยัง”

หลังจากสรุปสถานการณ์ฝั่งตนเองคร่าว ๆ ให้ผู้เป็นพี่ชายฟัง เขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจหนัก ๆ มาจากปลายสาย
‘ยังไม่เจอ ฉันถามที่โรงเรียนแล้ว ครูประจำชั้นก็บอกว่าเจ้าเด็กจูลี่ไม่เข้าเรียนตั้งแต่คาบบ่าย ครูที่ห้องพยาบาลก็บอกว่าไม่ได้มา เมื่อเย็นฉันก็นึกว่าไปอยู่เล่นกับเจ้าพวกเด็กบ้านอื่นเลยไม่เอะใจ มารู้ก็ตอนพวกเจ้าเด็กบ้านโพไซดอนมาที่บ้านนี่แหละ ให้ตายสิ แล้วเจ้าเด็กนั่นจะหายไปไหนได้’
ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูเหมือนว่าซิลเวอร์เองก็กำลังกลุ้มใจไม่ต่างกัน การหายตัวของจูลี่เป็นปริศนาเกินไปจนยากจะคาดเดา

“ผมได้ยินว่าจูลี่หายตัวไปพร้อมกับเด็กบ้านเฮอร์มีสอีกคนที่ชื่ออีธาน ซาง ตอนนี้เจอตัวหรือยัง”
‘ไม่เจอเหมือนกัน พวกเจ้าเด็กบ้านเฮอร์มีสก็ตามหากันให้ควั่ก จะว่าหายไปด้วยกันก็แปลก ๆ สองคนนี้ไม่น่าจะสนิทสนมจนไปไหนมาไหนด้วยกัน’
“อืม………”

แมคเคนซีครางรับในลำคอพลางคิดถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ ไปด้วย ที่ซิลเวอร์พูดมาก็ถูก น้องชายของเขาวัน ๆ ขลุกอยู่แต่ในห้องปรุงยา วันธรรมดาก็ไปโรงเรียนแล้วก็กลับไม่เคยเถลไถลที่ไหน ถึงจะเข้ากับคนอื่นได้ง่ายแต่ถ้าหากจะไปไหนก็น่าจะบอกคนในบ้านก่อนตามนิสัยของเจ้าตัว
‘เฮ้ออออ น่าปวดหัวชิบเป๋ง เอาเป็นว่าทางนี้ฉันจัดการเอง ฉันให้คนของฉันออกตามหาแล้ว ถ้าได้ข้อมูลเพิ่มเติมไว้จะส่งข่าวบอกอีกที นายกับเจ้าเด็กดีนไปทำภารกิจต่อเถอะ ฝากดูแลเจ้าเด็กชาร์ล็อตด้วยล่ะ แต่ถ้าเป็นกังวลมากก็รีบทำภารกิจให้เสร็จแล้วรีบไสหัวกลับมาค่ายซะ จะได้ช่วยกันหา’
“ขอบคุณมากซิลเวอร์ ฝากเรื่องจูลี่แล้วก็ฝากดูแลนิโคไลด้วย พวกผมจะพยายามยามรีบกลับ”
ประโยคหลังเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงบอกว่า ‘จะพยายามรีบกลับ’ แต่เขาก็ยังไม่เห็นจุดสิ้นสุดของภารกิจนี้เลยแม้แต่น้อย ซ้ำน้องชายอีกคนในบ้านยังมาหายตัวไปอีก จะให้ทำใจให้สบายก็คงยากเต็มที หลังจากร่ำลากันเรียบร้อยแมคเคนซีก็วางสายจากซิลเวอร์แล้ววางสมาร์ทโฟนลงตรงโต๊ะข้างเตียงก่อนจะหันมาหาดีนที่นอนอยู่
“ทางซิลเวอร์ก็ยังไม่มีข้อมูลเหมือนกัน บ้าจริง หายไปได้ยังไงนะ”

“เด็กบ้านนายจะโดนลักพาตัวบ่อยไปแล้วนะแมคซี่”

ดีนลุกขึ้นมาโอบเอวคนรักไว้หลวม ๆ ในเวลานี้แมคเคนซีน่าจะต้องการคนอยู่ใกล้ ๆ คอยปลอบใจ แม้ไม่รู้ว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้างก็ตามที ส่วนเรื่องตอบกลับแชทคนในบ้าน เขาใช้เวลาระหว่างที่บุตรเฮคาทีคุยโทรศัพท์พิมพ์รับทราบเรื่องราวแล้ว

“ฉันก็คิดว่างั้น…”

ด้วยไม่รู้จะพูดอะไร แมคเคนซีจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้าช้า ๆ แล้วถอนหายใจไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่ตั้งแต่ได้ยินเรื่องนี้

“นายลองให้ซิลเวอร์ตรวจสอบได้ไหม ตำนานโรงเรียนที่รีชว่านั่นน่ะ… คือว่าไงดี ตอนนี้สิ่งแปลก ๆ มันเป็นจริงได้หมด ถ้าเป็นฉันเมื่อก่อนคงบอกว่าไร้สาระ”

ดีนไม่อยากจะคิดถึงเรื่องการลักพาตัวแม้จะเป็นไปได้ก็ตาม…

บุตรโพไซดอนเคยได้ยินมาว่าเฮคาทีเป็นศัตรูกับเด็กบ้านฮิปนอส จนมีข่าวลือในค่ายว่าบางครั้งบางคราวจะมีเสียงกระซิบแว่วมาตามสายลมให้เดมิก็อดคนนั้นคนนี้ล่อลวงเฟเรียไปในที่อันตราย แล้วถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเด็กบ้านเฮคาทีบ้างล่ะ ถ้าอีธานถูกกระซิบจากเทพบางองค์ว่า ‘จงลักพาตัวเด็กบ้านเฮคาทีออกมา—’

“โอ้ เชี่ย !!”

“อ..อะไร”

แมคเคนซีที่กำลังพิมพ์ข้อความบอกให้ซิลเวอร์ช่วยตรวจสอบเรื่องที่ดีนบอกเพิ่มเติมถึงกับสะดุ้งเมื่ออยู่ ๆ อีกฝ่ายก็สบถออกมาเสียงดัง

“นายนึกอะไรออกงั้นเหรอ“

“อ่า…”

เรื่องแบบนี้มันยากอธิบาย ดีนผละกอดออกเปลี่ยนมาเป็นกุมมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายแทน ระหว่างนั้นก็เรียบเรียงความคิดในหัวไปด้วย

“นายเคยได้ยินข่าวลือที่ว่า.. มีเทพบางองค์ชอบปลอมตัวเป็นพ่อแม่เดมิก็อดแล้วไปกระซิบปั่นหูเด็ก ๆ ให้ทำเรื่องไม่ดีไหม ฉันกลัวว่าจะเป็นแบบนั้น… แบบที่มีเทพสักองค์อาจไม่ชอบจูลี่ หรืออาจไม่ชอบแม่นาย ก็เลยไปกระซิบอีธานให้ลักพาตัวจูลี่น่ะ”

ตอนนี้ดีนเริ่มสั่นขาด้วยอาการอยู่ไม่สุข

“อืม…นายกำลังพูดถึงแม่ฉันกับเทพโดลอส ใช่ไหม”

แมคเคนซีกุมมือของดีนตอบแล้วพยักหน้าช้า ๆ ไม่ได้มีทีท่าตกใจอะไร เรื่องนี้เขาเคยได้ยินคนในค่ายลือกันมาพักหนึ่ง ซึ่งแมคเคนซีรู้ดีว่ามารดาของตนไม่ใช่เทพีที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขัน นางคงทำไปด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่พอได้ยินหนาหูเข้าถึงได้รู้ว่าเทพีแห่งม่านหมอกก็ร้ายใช่เล่น ซึ่งก็ไม่นึกว่านางจะมีมุมเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้ด้วย ถึงจะมีความเห็นอกเห็นใจเดมิก็อดโชคร้ายคนนั้นยังไง เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะช่วยอย่างไรดี ห้ามปรามไปก็ไม่รู้ว่านางจะรับฟังหรือเปล่า

“ใช่”

ดีนพยักหน้า

“นายพอจะรู้ไหมว่าจูลี่เป็นอริกับเทพองค์ไหนหรือเปล่า เป็นไปได้ไหมที่เทพจะใช้ลูกคนโปรดในการแก้แค้นเทพอีกองค์ ไหนจะเรื่องลัทธิที่พวกเราเผชิญหน้ากันอยู่อีก หรือถ้าไม่ใช่เทพ.. ไอ้พวกวอชเชอร์ที่จับตัวชาร์ล็อตไว้น่ะ… มันทำอะไรแบบนี้ได้หรือเปล่า เด็กเฮคาทีทุกคนจะไม่ปลอดภัยจนกว่าพวกเราจะไปถล่มพิธีการของพวกมันให้ยับ”

บุตรโพไซดอนกล่าวเสียงเครียด มองลึกไปในดวงตาสีฮาเซล

“ฉันคิดว่าตอนนี้พวกเราควรปรึกษาคุณไครอน“

“…………”

แมคเคนซีเงียบไปเล็กน้อยเพื่อใช้ความคิด

“เรื่องอริฉันไม่แน่ใจ แต่จูลี่เคยเล่าให้ฟังว่าตอนเข้าร่วมกิจกรรมเทศกาลอีสเตอร์ก็โดนเทพแกล้งอยู่เหมือนกัน หนึ่งในนั้นก็มีเทพโดลอสด้วย แต่ฉันว่าน่าจะไม่ใช่เพราะไม่ชอบหน้าหรอก”

สำหรับเทพโดลอสคงเป็นการเล่นสนุกตามประสาเทพจอมโป้ปด ส่วนเทพองค์อื่นก็คงอยากเย้าแหย่เดมิก็อดผ่านงานเทศกาลของค่ายที่นาน ๆ ครั้งจะจัดขึ้น ที่สำคัญคือตั้งแต่ที่รู้จักกันมา จูลี่ก็ถือว่าเป็นเด็กดีคนนึง ซ้ำยังสภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เขานึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเด็กชายจะไปทำอะไรให้เหล่าเทพไม่พอใจ

“ส่วนเรื่องลัทธิวอชเชอร์ฉันเองก็ไม่แน่ใจ โทรปรึกษาคุณไครอนก็ดีเหมือนกัน”

เขาสบตาสีเปลือกไม้ตอบ หากเป็นฝีมือของพวกลัทธิประหลาดจริงก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ แมคเคนซีจึงยังไม่อยากคาดเดาไปเองให้จิตตก ผู้ดูแลค่ายฮาล์ฟบลัดอาจมีข้อมูลอะไรบ้างก็เป็นได้

ดีนยกสมาร์ทโฟนเดดาลัสขึ้นมาอีกครั้งเพื่อโทรหาไครอน แต่เพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้บันทึกเบอร์โทรของผู้อำนวยการเอาไว้ อันที่จริงดีนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปรมาจารย์เซ็นทอร์คนนั้นมีโทรศัพท์มือถือเหมือนคนอื่นไหม

งั้นต้องโทรหาซันซ์แทน…

ทว่ายังไม่ทันได้กดเบอร์โทรออกเสียงเคาะประตูห้องพักก็ดังขึ้น เล่นเอาคนกำลังมีสมาธิสะดุ้ง

“พี่มาร์ค พี่ดอนคะ ได้เวลาอาหารเช้าแล้วค่ะ ถ้าไปช้าเดี๋ยวอาหารหมดเอานะ”
เสียงของชาร์ล็อต ธิดาแห่งเฮคาทีแว่วมาจากหลังบานประตู

“โอเคชาลี แป๊บนึง”
ดีนตะโกนตอบก่อนที่เขาจะหันไปทางแมคเคนซีแล้วพูดเสียงเบา “นายจะบอกเรื่องนี้กับชาร์ล็อตเลยไหมแมคซี่ เด็กสองคนนั้นสนิทกันมากด้วยนี่ใช่ไหม”

“นั่นล่ะที่ฉันกำลังกังวล”

สีหน้าของแมคเคนซีแสดงออกชัดเจนว่ากำลังรู้สึกอย่างที่พูดจริง ๆ ตอนอยู่ที่ค่ายชาร์ล็อตกับจูลี่ตัวแทบจะติดกัน เด็กสาวคอยดูแลน้องชายที่ป่วยออด ๆ แอด ๆ เป็นอย่างดีจนกระทั่งชาร์ล็อตต้องออกมาทำภารกิจแล้วถูกจับตัวไว้ หากเธอรู้ข่าวว่าจูลี่โดนจับตัวไปจะเป็นยังไง เขาแทบไม่อยากคิดเลย

“แต่ถึงยังไงไม่ช้าก็เร็ว เธอต้องรู้อยู่ดี”

ริมฝีปากได้รูปเม้มเป็นเส้นตรงก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง และน้องสาวของเขาก็ยืนตาใสอยู่ตรงนั้น

“พวกพี่หน้าเครียดเชียว…มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าคะ”

พอเห็นหน้าของพี่ชายทั้งคู่ชาร์ล็อตก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ ด้วยเธอคงรับรู้ได้ถึงบรรยากาศอันไม่ไม่ชอบมาพากล

“เอ่อ……..”

แมคเคนซีพูดได้แค่นี้แล้วก็เงียบไปก่อนจะหันมามองดีนเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ

เมื่อเห็นแววตาที่คนรักส่งมาหาดีนก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาควรทำอย่างไรต่อ

“พวกพี่กำลังคิดว่าเตียงที่ห้องแข็งมากเลย นอนตกหมอนกันจนคอเคล็ด เผลอ ๆ ไมเกรนน่าจะกำเริบด้วยน่ะ”

“แย่จังเลย ถ้างั้นให้หนูช่วยรักษานะคะ เดี๋ยวขอไปหยิบคบเพลิงเวทที่ห้องก่อน—..”

“ไม่ต๊องงงง”
ดีนรีบเบรคแล้วเอาตัวมาแทรกขวางทางเดินไว้ “อย่าใช้เวทมนตร์รักษากับเรื่องไร้สาระเลย เธอเก็บพลังไว้ดีกว่านะชาร์ล็อต ทีมเราไม่เหลือน้ำทิพย์ไว้ใช้แล้วด้วย”

“อ๊ะ จริงด้วย ! แต่ว่าไม่เป็นไรแน่นะคะ ?”
ธิดาแห่งเฮคาทียังคงเป็นห่วง

“แน่ใจ 200% เลย เดี๋ยวก็หาย บางทีเราอาจต้องปรับเปลี่ยนที่นอนใหม่นิดหน่อย”

ดีนแก้ตัวเป็นพัลวัน ในขณะที่ชาร์ล็อตชะโงกหน้าเข้ามาดูสภาพห้องก่อนจะพยักหน้าหงึก ๆ ภายในหัวเด็กสาวครุ่นคิด ไม่อยากจะเชื่อว่าพี่ชายทั้งสองเอาตัวยัดลงไปในเตียงสามฟุตกันได้ ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาจะคอเคล็ดกันจนเป็นไมเกรน เผลอ ๆ อาจจะปวดเมื่อยกล้ามเนื้อส่วนอื่นกันอีกด้วย

แต่ความรักแยกออกจากกันไม่ได้ สาวน้อยจึงได้แต่ยิ้มอ่อน

“งั้นถ้าพวกพี่รู้สึกว่าไม่ไหวต้องรีบบอกหนูนะคะ ถ้าเจ็บป่วยเรื้อรังคงไม่ดี”

จากคนป่วยในตอนแรก พออาการเริ่มดีขึ้นเธอก็เทิร์นมาเป็นนางพยาบาล ดีนได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ มือสะกิดหลังแมคเคนซีให้เออออตาม
‘ไม่ใช่แล้วไหม !’
แมคเคนซีทำได้เพียงกรีดร้องในใจขณะคนรักสนทนากับน้องสาว ที่อยากให้ดีนช่วยน่ะใช่ แต่หมายถึงว่าให้ช่วยบอกเรื่องของจูลี่แทนเขาต่างหาก แต่ดันกลายเป็นจังหวะโบ๊ะบ๊ะช็อตฟีลขึ้นซะได้ ซึ่งแมคเคนซีก็ไม่ได้คิดจะโทษใคร เขารู้ดีว่าแฟนหนุ่มเป็นห่วงความรู้สึกของเขากับชาร์ล็อตมากแค่ไหนถึงได้เลือกที่จะไม่พูดความจริง

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันควรเป็นหน้าที่ของคนเป็นพี่อย่างเขานี่แหละ

เมื่อตัดสินใจได้แล้วแมคเคนซีก็สูดหายใจเข้าลึก

“ชาร์ล็อต…คือว่าความจริงแล้วพวกเรามีเรื่องจะบอก เข้ามาข้างในก่อน”

เมื่อเห็นสีหน้าตึงเครียดของพี่ชายร่วมมารดายังไม่คลายไป ชาร์ล็อตจึงเข้ามาในห้องอย่างว่าง่าย หลังจากที่ปิดประตูห้องแล้ว แมคเคนซีก็มานั่งตรงเก้าอี้โต๊ะทำงานใกล้กับน้องสาวที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียง

“เราสองคนเพิ่งได้ข่าวจากทางค่ายมา…จูลี่หายตัวไปตั้งแต่เมื่อวานช่วงบ่าย”

ดวงตากลมโตของเด็กสาวฉายแววตระหนกขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน แมคเคนซีจึงรีบพูดต่อ

“แต่ซิลเวอร์บอกแล้วว่าตอนนี้กำลังส่งคนไปสืบหาข่าวแล้วก็ตามหาตัวจูลี่อยู่ ถ้าได้เบาะแสจะรีบติดต่อมาทันที คนที่บ้านโพไซดอนก็จะช่วยอีกแรง แล้วดีนก็กำลังจะโทรไปถามข้อมูลเพิ่มเติมกับคุณไครอนอยู่”

“………จูลี่….ถ้าอย่างนั้นหนูขออยู่ฟังด้วยนะคะ”

ชาร์ล็อตพูดชื่อน้องชายคนสนิทด้วยเสียงเบาหวิว แต่ก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่แสดงความเศร้าโศกออกมา ดวงตากลมโตมองไปยังบุตรแห่งเจ้าสมุทรที่ยังถือสมาร์ทโฟนไว้คามืออยู่

“เอ้า แล้วนายไม่บอกให้ฉันพูดแทน นี่แถไปตั้งเยอะ—”
ดีนกระซิบกับแมคเคนซีก่อนจะกลับมาทำตัวเป็นการเป็นงาน “เอาล่ะ ฉันจะโทรไปแล้วนะ”

บุตรเจ้าสมุทรโทรออกหาซันซ์จากนั้นเปิดลำโพง ระหว่างที่เสียงต่อสายดังขึ้นเป็นจังหวะก็ภาวนาขอให้น้องชายตื่นขึ้นมารับสาย
‘ในที่สุดก็ติดต่อมาซะที เมื่อวานวุ่นวายแทบแย่’
ปลายสายบ่นใส่ทันทีที่รับสายแทนที่จะพูด ‘ฮัลโหล’ น้ำเสียงของซันซ์ฟังดูปกติไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน หากว่าไม่ตื่นเช้าอีกฝ่ายก็คงยังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อคืน

“โทษที พอดีกำลังเดินทางเลยวุ่น ๆ น่ะ แต่ว่าตอนนี้พวกฉันสบายดี แล้วก็น่าจะสบายแบบนี้ไปอีกพักนึง ไม่ต้องเป็นห่วง”
ดีนบอกเล่าสารทุกข์สุขดิบของคณะเดินทางแบบง่าย ๆ ไม่ใส่รายละเอียด จากนั้นจึงเข้าเรื่อง “ฉันเห็นข้อความแล้ว ที่ว่าจูลี่กับอีธานหายตัวไป…”
‘จนตอนนี้ก็ยังไม่กลับมากัน เห็นทางค่ายบอกว่าต้องผ่านไปครบ 24 ชั่วโมงก่อนถึงจะแจ้งความได้ ให้ตายสิ เรื่องลึกลับแบบนี่ยังต้องพึ่งตำรวจกันอีกเหรอ’ ซันซ์บ่น 
“ก็คงอยากดำเนินการตามขั้นตอนก่อนมั้ง แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ฉันรบกวนนายได้ไหม ช่วยถือโทรศัพท์ไปให้คุณไครอนที”
‘ได้ แต่ฉันว่าเรื่องนี้คุยวีดีโอคอลเอาดีกว่า เดี๋ยวเดินไปถึงบ้านใหญ่แล้วจะส่งข้อความมาบอก นายจะได้ไม่ต้องเสียเงินเยอะ’
“โอเค รบกวนด้วยนะซันซ์”

จากนั้นโทรศัพท์ก็ตัดสาย เกิดความเงียบหนึ่งอึดใจใหญ่ ๆ หลังจากนั้น

“อีธาน…อีธาน ซางจากบ้านเฮอร์มีสเหรอคะ เขาก็หายตัวไปเหมือนกันเหรอ”

หลังจากที่ดีนวางสายจากคนที่บ้านชาร์ล็อตก็ถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

“ใช่ หายไปทั้งจูลี่และอีธานเลย”

ดีนพูดแค่นั้น เขาไม่ได้กล่าวถึงสมมติฐานก่อนหน้าที่คุยกับแมคเคนซี เกรงว่าจะทำให้ชาร์ล็อตยิ่งใจแป้วไปกว่าเดิม อีกอย่างเพราะยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงด้วย…

ไม่ถึง 5 นาที ซันซ์ก็ส่งข้อความมาเพิ่ม
Sanz: ฉันอยู่กับคุณไครอนแล้ว นายวีดีโอคอลมาเลย
ดีนส่งกลับไปว่า ‘OK’ จากนั้นเขาก็ต่อสายกลับไปอีกครั้งด้วยโหมดวีดีโอคอลไอริส ตัวยิงแฟลชของโทรศัพท์มือถือฉายแสงขึ้นเป็นภาพโฮโลแกรมสามมิติเหมือนกับเทคโนโลยีการสื่อสารแบบล้ำ ๆ ในหนังเรื่องสตาร์วอร์ส และสิ่งที่เห็นคือภาพผู้อำนวยการนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเตรียมพร้อมแล้วสำหรับการโฟนอิน

“สวัสดีคุณไครอน”
ดีนกล่าวทักทาย

“สวัสดีคุณดีน คุณแมคเคนซี และคุณชาร์ล็อต”
เซ็นทอร์มองค้างไปที่ชาร์ล็อตพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ “ผมดีใจที่เห็นว่าคุณปลอดภัย”

“สวัสดีค่ะคุณไครอน หนูก็ดีใจที่ได้คุยกับคุณอีกครั้งเหมือนกัน”

ชาร์ล็อตแค่นยิ้มตอบ แม้จะดีใจที่ได้คุยกับไครอนที่เปรียบเสมือนพ่อสำหรับเด็กกำพร้าอย่างเธออีกครั้ง ทว่ายังคงไม่สบายใจเรื่องการหายตัวไปของน้องชายคนสนิท

“สวัสดีครับคุณไครอน”

แมคเคนซีเอ่ยทักทายเซ็นทอร์ผู้ดูแลค่ายผ่านภาพฉาย แล้วเริ่มถามทันทีด้วยความร้อนใจ

“ผมขออนุญาตเข้าเรื่องเลยนะครับ คุณพอจะมีข้อมูลเรื่องจูลี่กับอีธานที่หายตัวไปตั้งแต่เมื่อวานไหม”
‘โชคดีในความโชคร้าย พวกเรามีเบาะแสเรื่องการหายตัวไปของสมาชิกค่ายทั้งสามอยู่พอดี’
ไครอนตอบด้วยความสุขุม ตรงกันข้ามกับดีนที่เลิกคิ้วหนา ๆ ขึ้นสูง

“อะไรนะครับ หายไปสาม ไม่ใช่สองหรอกเหรอ ?”

ก่อนที่คณะเดินทางจะแตกตื่นมากไปกว่านี้ ไครอนยกนิ้วขึ้นปรามให้เงียบและฟังเรื่องที่เขากำลังจะกล่าว
‘ผมเพิ่งได้รับรายงานจากกลางดึกเมื่อคืนนี้ ในระหว่างที่แซเทอร์คนงานส่งสตรอว์เบอร์รี่ไปต่างเมืองขับรถกลับมาแถว ๆ ตลาดนัดลองไอแลนด์ เขาได้พบกับ ‘ไบร์ท เอมส์’ ที่น่าจะเพิ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัยฯ’
“ไบร์ทเหรอ.. ไบร์ทเนี่ยนะ !?”

ดีนโพล่งขึ้นมาขัดช่วง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันสับสนวุ่นวายไปหมด ไม่ได้มีแค่น้องชายของแมคเคนซีที่ถูกจับตัวไป แต่เรื่องนี้มีชื่อพี่สาวของดีนเกี่ยวข้องด้วย ด้านไครอนพยักหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ จากนั้นก็เล่าต่อ

‘ขณะที่คนงานกำลังจะเข้าไปทักทายให้เธอติดรถกลับเข้ามาในค่ายด้วยกัน กลับพบเงาลึกลับลักพาตัวเธอหายไปในห้วงมิติปริศนาพร้อมกับสัตว์เลี้ยงฮาร์ปี้’

“เงาลึกลับ.. ลักพาตัว.. หายไปในห้วงมิติปริศนา…”

ดีนเอ่ยคีย์เวิร์ดของสถานการณ์ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาในอาการของคนที่จับต้นชนปลายไม่ถูก จูลี่ และอีธานหายไปที่โรงเรียนนานาชาติลองไอแลนด์ ส่วนไบร์ทก็หายตัวไปแถวตลาดนัดที่อยู่ในละแวกเดียวกัน แม้จะคนละช่วงเวลาแต่เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นในวันเดียวกัน

ตัดเรื่องลักพาตัวกันเองโดยเทพคู่อริออกไปเป็นอันดับแรก ส่วนสมมติฐานที่สองเรื่องตำนานโรงเรียนผีลักซ่อนของรีชานี่ก็ตัดออก เพราะผีร้ายคงไม่มาลักซ่อนนอกสถานที่เว้นแต่นี่คือตำนานเมือง
‘เมื่อต้นเดือนมีการประชุมผู้ดูแลของทั้งสองค่าย ผมได้สนทนากับคุณลูปาจากบ้านหมาป่า นางเล่าให้ฟังว่าได้พบกับเทพอีออนระหว่างไปรับตัวเด็กคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าท่านกำลังมีปัญหาเรื่องมิติเวลาปั่นป่วนและตามซ่อมแซมอยู่ บางทีเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกัน’
“คุณลูปาไหน”
ไม่สิ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาถามว่า ‘ลูปา คือใคร’ “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน แต่ผมสงสัยว่ามิติเวลาที่ปั่นป่วนเกี่ยวข้องอะไรกับไบร์ท จูลี่ และอีธานหายตัวไปล่ะครับ”

ดีนซักถาม ตอนนี้เหมือนเขากำลังรวบรวมจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจายมาต่อเป็นภาพโดยที่ข้อมูลยังไม่ครบ แต่หลังจากชายหนุ่มเห็นภาพผู้อำนวยการหยิบแฟ้ม ‘แบบฟอร์มคำขอภารกิจเดินทาง’ ก็ดูเหมือนกับว่าจะเริ่มจับต้นได้แค่ยังชนปลายไม่ถูก

“จริงด้วย ไบร์ทเคยขอคำทำนายไว้นี่นา !”

เมื่อแฟ้มแบบฟอร์มถูกเปิดไปยังหน้าที่คั่นไว้ไครอนก็เริ่มอ่านข้อความในนั้นให้ฟังโดยทั่วกัน
‘ชื่อผู้ขอเปิดภารกิจเดินทาง… ไบร์ท เอมส์ รายชื่อผู้ร่วมเดินทาง… อีธาน ซาง และ จูลี่ เดรค… รายชื่อผู้ที่รับภารกิจเดินทางทั้งหมด คือบุคคลที่สูญหายไปเมื่อวานนี้’
หลังข้อสรุป… ความเงียบปกคลุมทั้งห้องทำงานและห้องพักในตัวเรือ ดีนเชื่อว่าซันซ์ที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ ในห้องทำงานของไครอนก็ต้องอึ้งกิมกี่ไม่แพ้กัน
‘คุณไครอน คำพยากรณ์กล่าวไว้ว่ายังไง’
เสียงของซันซ์ที่ลอดผ่านวีดีโอคอลถามขึ้นทำลายความเงียบ จากนั้นไครอนจึงเริ่มอ่านโองการสวรรค์
‘ความโกลาหลแห่งเวลา หลายสิ่งปรากฏและหายไปอย่างประหลาด รอยรั่วโหมกระหน่ำ โลกกำลังถูกบิดเบือน ภัยเงียบราชาแห่งไททันกำลังหวนคืน พึงจักระวัง มุ่งหน้าสู่นครแห่งแรงลม เจ้าจักพบเจอบุตรแห่งจูปิเตอร์ กรีกและโรมร่วมมือ ปลดปล่อยพันธนาการอีออน เพื่อนำสมดุลแห่งเวลากลับคืน ก่อนราชาไททันจักสิงสู่ร่างเวลา ตามสัญชาตญาณแห่งโชคชะตา เจ้าจักพบสิ่งที่ตามหา…’ ‘ปลดปล่อยพันธนาการอีออน.. แล้วที่คุณบอกว่าอีออนกำลังแก้ปัญหาช่วงเวลาอยู่ล่ะ หมายความว่ายังไง’
ซันซ์ทำหน้าที่ถามแทน
‘เทพหมาป่าพบกับเทพแห่งกาลเวลาเมื่อหลายเดือนก่อน’ ไครอนเว้นช่วง ‘เมื่อคืนหลังทราบข่าวผมได้ขอร้องให้คุณดีลองติดต่อไปทางเทพอีออน พบว่าไร้ร่องรอยของเขา’
ผู้อำนวยการค่ายฮาล์ฟบลัดตอบด้วยน้ำเสียงสุขุม แม้ในใจร้อนรุ่มอยู่ไม่น้อย

“เชี่ย… โลกกำลังจะแตก !!”

ดีนอุทานด้วยใบหน้าถอดสี บางทีไครอนก็อาจจะอยากโพล่งแบบนี้ออกมาเหมือนกัน แต่ประสบการณ์ทำให้เขาเก็บอาการได้

แมคเคนซีที่เงียบตั้งใจฟังมาตลอดมุ่นคิ้วตีหน้ายุ่งไม่แพ้กัน เหมือนเขาเองก็เริ่มคุ้น ๆ แล้วว่าน้องชายเคยเล่าให้ฟังว่ามีคนจากบ้านโพไซดอนชวนออกไปทำภารกิจ ตอนนั้นเด็กชายดูดีใจมากที่จะได้เดินทางออกไปผจญภัยนอกค่าย แต่นานวันเข้าก็ไม่เห็นทีมทำภารกิจที่ว่าจะเริ่มออกเดินทางเสียที จนเขานึกว่าภารกิจนี้ถูกยกเลิกไปแล้วเสียอีก

“ใจเย็นก่อนดีน…ฉันว่ากรณีนี้อาจจะคล้ายกับภารกิจของทีมชาร์ล็อต”

ฝ่ามือใหญ่วางบนไหล่กว้างของดีนล้วบีบเบา ๆ เรียกสติ

“นายลองคิดดูสิ ทีมทำภารกิจของอาร์ตี้ล้มเหลวกลางทางแล้วชาร์ล็อตก็ถูกจับตัว ไฮรี่ก็เสียสติ และอาร์ตี้หายสาบสูญ จากนั้นคำพยากรณ์ก็เลื่อนระดับขึ้นมาเป็นภารกิจที่พวกเรากำลังสะสางกันอยู่นี่ ฉันว่า…มันอาจเป็นไปได้ที่ภารกิจที่ไบร์ทรับมาก็ถือว่าไม่สำเร็จเหมือนกัน สุดท้ายคำพยากรณ์ก็จะถูกเลื่อนระดับและรอให้ใครสักคนมารับไป และถ้าหากจัดการได้ทันเวลา…โลกก็จะไม่แตก”

ดวงตาสีฮาเซลมองไปยังเซ็นทอร์ผู้ดูแลค่ายหลังกล่าวประโยคสุดท้ายจบ
‘ผมยังไม่อยากให้คุณคิดแบบนั้นคุณแมคเคนซี คำพยากรณ์ไม่สามารถกลืนกินเดมิก็อดได้ในเมื่อพวกเขาเหล่านั้นยังไม่ได้ออกเดินทาง’
ไครอนวางแฟ้มแบบฟอร์มลงก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นจิบ
‘คำพยากรณ์นี้ถูกรับมานานแล้วแต่ยังไม่ได้ออกเดินทาง ชาวค่ายต่างรู้เนื้อหาไปทั่ว ไม่แน่ว่าข่าวคราวนี้อาจหลุดไปถึงหูคนร้ายที่ลักพาตัวทั้งสามและเทพอีออนไป’ ‘คุณกำลังจะบอกว่าไบร์ท จูลี่ แล้วก็อีธานถูกฆ่าปิดปากงั้นเหรอ’
ซันซ์ถาม น้ำเสียงเขาฟังดูไม่ดีเอาเสียเลย ส่วนทางนี้ชาร์ล็อตยกมือขึ้นปิดปากจากนั้นเธอเริ่มสะอื้น จนไครอนกระแอม
‘อาจไม่ถึงขนาดนั้น แม้มีความเป็นไปได้ แต่เดมิก็อดอย่างพวกคุณมีค่ามากกว่าฆ่าทิ้งให้ตาย ตอนนี้เรายังไม่ทราบว่าใครคือคนร้าย มีจุดประสงค์อะไร น่าจะมีวิธีช่วยพวกเขาออกมาได้ ขอเพียงแค่ลองมีสักคนไปรับคำพยากรณ์’
ตอนนี้สายตาของไครอนมองขึ้นไปด้านบน คาดว่าเขากำลังมองไปทางซันซ์ มาเดิล เคานต์
‘ได้ ผมจะไปรับภารกิจนี้เอง’
เสียงของซันซ์ตอบรับอย่างหนักแน่นในทันทีโดยไม่มีใครขอ น้องชายของดีนแสดงความกล้าหาญออกมาอย่างน่าทึ่ง

“ซันซ์ นายโอเคใช่ไหม”

คนมีประสบการณ์มาก่อนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ซันซ์ยังไม่เคยออกไปรับภารกิจโหด ๆ แต่เขาก็พอมีฝีมือในการรับภารกิจเดินทางเล็ก ๆ น้อย จนหาใบรับรองสามใบไปเรียนนิวโรมได้
‘โอเคสิ ไบร์ทคือพี่สาวของพวกเรานี่ แถมบ้านเรากับพวกเฮคาทีก็สนิทกันจะตายไป เหมือนเป็นพี่น้องนี่แหละ อีกอย่าง พอฉันได้รู้เรื่องนี้เข้าแล้วจะให้อยู่เฉยไม่ได้หรอก นอนไม่หลับแน่ ๆ ถ้าคุยธุระจบเดี๋ยวฉันไปถ้ำของเรเชลเลย’ ‘ขอบคุณที่เสียสละเพื่อพวกพ้องและโลกใบนี้คุณซันซ์’ ไครอนกล่าวน้ำเสียงชื่นชม ‘สุดท้ายหวยก็ออกตรงที่บอกให้ไปลองรับคำพยากรณ์อยู่ดีไม่ใช่หรือไง’
แมคเคนซีกอดอกพลางเบนสายตาออกไปจากจอภาพ คำพูดไครอนทำให้เขานึกถึงประโยคที่ว่า ‘คำพูดมากมาย ความหมายเท่าเดิม’ ที่ถึงจะบอกว่ามีความเป็นไปได้มากมาย แต่สุดท้ายก็คือต้องมีคนไปลองรับคำพยากรณ์อยู่ดี แต่เขายังมีความเคารพบุคคลตรงหน้าอยู่จึงไม่ได้พูดหรือแสดงท่าทีอะไรออกไป

“ขอบคุณนะคะพี่ซันซ์”

ธิดาเฮคาทีกล่าวขอบคุณแล้วก้มหน้าลงซ่อนใบหน้าเปื้อนน้ำตาไว้ เธอรู้สึกเป็นห่วงจูลี่ขึ้นมาจับใจ

“ขอบคุณซันซ์ ถ้ามีอะไรที่ทางบ้านพวกเราช่วยได้ก็บอกได้เลย”

แมคเคนซีเอ่ยขอบคุณบุตรโพไซดอนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ถึงเวลานี้คนที่บ้านของเขาแทบจะไม่เหลือใครแต่อย่างน้อยก็ยังมีซิลเวอร์พี่คนโตของบ้านที่พึ่งพาได้และพร้อมจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่อยู่
‘แน่นอนล่ะ ถ้าได้คำพยากรณ์มาฉันจะลากซิลเวอร์ไปด้วยแล้วให้เขาจ่ายค่าเดินทางทั้งหมด’ ดูเหมือนซันซ์จะพยายามพูดติดตลกเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศน่าอึดอัดลง ‘แล้วภารกิจของทางนั้นเป็นอย่างไรบ้างคุณดีน คุณแมคเคนซี คุณชาร์ล็อต’
แมคเคนซียิ้มเล็กน้อยกับคำพูดของซันซ์ก่อนจะตอบคำถามของคุณไครอน

“อย่างที่คุณเห็นครับ พวกเราช่วยชาร์ล็อตได้แล้ว และตอนนี้กำลังขึ้นเรือขนส่งสินค้าไปที่โคลอมเบียเพื่อเดินทางไปเอกวาดอร์ต่อตามคำพยากรณ์ แต่ว่าระหว่างการเดินทางพวกเราได้ข้อมูลของไฮรี่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่แล้วกำลังมุ่งหน้าลงทางใต้เหมือนกันกับพวกเรา ถ้าโชคเข้าข้าง พวกเราอาจเจอเขา—”

ปัง ๆ !

“เฮ้ พวกนายมัวทำอะไรกันอยู่ ไม่ไปกินมื้อเช้าเรอะ !”

เสียงทุบประตูหนัก ๆ พร้อมกับเสียงรองกัปตันเรือดังขึ้นตรงหน้าห้อง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะใช้เวลากันนานเกินไปแล้ว

“เหวอ !?”

ดีนสะดุ้งจนเกือบทำโทรศัพท์ที่ถือไว้หลุดมือ เขารีบคว้ามันไว้แล้วเอามาจ่อปากจนปลายสายน่าจะเห็นแต่ปาก 

“เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ เหมือนว่าทางนี้จะงานเข้าแล้วล่ะ”

เขากล่าวแค่นั้นก่อนจะตัดสายทิ้งโดยที่ยังไม่ทันได้ร่ำลากันดี ๆ จากนั้นปั้นหน้ายิ้มสวย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเปิดประตูต้อนรับรองกัปตันเรือ

“อรุณสวัสดิ์เจค มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“จะหมดเวลาอาหารเช้าอยู่แล้วยังไม่ไปกินกันอีก ฉันเตือนแล้วนี่ว่าพ่อครัวไม่ชอบให้มาสาย”

เจคดูอารมณ์เสียกว่าทุกที ขนาดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พ่อครัวยังเดือดขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นพ่อครัวตัวจริงจะโหดขนาดไหนกันนะ ชายร่างใหญ่หัวโล้นแต่เคราดกชะโงกหน้าเข้ามาในห้อง สายตาของเขาจ้องจับผิด

“แล้วอยู่คุยอะไรกันสามคน”

ชาร์ล็อตหลบหลังแมคเคนซี เธอเพิ่งร้องไห้มาหมาด ๆ แล้วยังมาถูกตะคอกใส่อีก จิตใจสาวน้อยคงสั่นไหวน่าดู แถมแมคเคนซีดูจะหัวเสียเรื่องที่จูลี่หายตัวไปอยู่ จึงเป็นหน้าที่ของดีนอีกครั้งที่ดึงดูดความสนใจและแถแบบเนียน ๆ

“เอ่อ.. ประชุมงานเช้าหลังจากให้อาหารสัตว์เสร็จน่ะครับ พอดีกำลังหารือเรื่องแผนรักษาฟลัฟฟี่– หมายถึงแกะตัวที่ขาหักกันอยู่ แต่ดูเหมือนจะเลยเวลาไปนิด แหะ…”

“ประชุมเรื่องงานนี่เอง”
เหตุผลคล้ายจะฟังขึ้น เจคอปจึงคลายท่าทีแข็งกร้าวลงเล็กน้อย “ยังไงก็ช่าง เลิกประชุมกันก่อนแล้วรึบไปกินมื้อเช้าซะ อย่าให้พ่อครัวต้องรอเก็บของ”

“ครับ รับทราบครับ งั้นพวกผมจะรีบไปกันเดี๋ยวนี้เลย”

สุดท้ายรองกัปตันเรือก็ยอมจากไปแต่โดยดี ตอนนี้พวกเขาเหลือเวลาไม่มากในการไปรับประทานอาหารเช้า ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ต่อจากนี้ค่อยว่ากันทีหลัง

.
.
.

ห้องอาหารเวลานี้ผู้คนบางตากว่าปกติ อาจเป็นเพราะใกล้หมดเวลามื้อเช้าแล้ว คนที่ยังอยู่จึงมีเพียงคนที่เติมเบิ้ลไป 2-3 รอบ และคนที่ลุกไปเก็บถาดอาหารเพื่อเตรียมตัวไปทำงานต่อ ผิดกับกลุ่มเดมิก็อดที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง 

อาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้พร่องลงไปมาก บางอย่างก็หมดไปแล้ว แต่กับพวกเขาที่เพิ่งได้ฟังข่าวไม่ดีมาคงทานอะไรไม่ค่อยลงเท่าไหร่ 

“แค่นี้เองเหรอ กว่าจะได้กินอีกทีก็เที่ยงเลยนะ”

ชาร์ล็อตตักอาหารไปเพียงนิดเดียวจนแมคเคนซีต้องตักเพิ่มให้ เขารู้ว่าตอนนี้น้องสาวไม่มีกะจิตกะใจอยากอาหาร แต่ด้วยสภาพร่างกายที่กำลังฟื้นฟูตอนนี้ เขาก็อยากให้เธอทานมากขึ้นอีกสักหน่อย แม้จะต้องฝืนก็ตาม

“ขอบคุณค่ะพี่แมค”

เด็กสาวยิ้มให้บาง ๆ แล้วเดินไปวางจานอาหารตรงโต๊ะว่างใกล้ ๆ แมคเคนซีที่กำลังจะเดินตามไปก็รู้สึกได้ถึงสายตาบางคู่ที่จ้องมองมาจนต้องหันไปถามดีนที่อยู่ด้านหลัง

“นายรู้สึกแปลก ๆ ไหม…ประมาณว่ามีคนจ้องพวกเราอยู่“

“แน่สิ พ่อครัวของเรือมองตาเขียวปั้ดเลย”

ดีนกระซิบบอกแมคเคนซี เขาจับได้ตั้งแต่แรกที่เดินเข้ามาในโรงอาหารแล้วว่า ‘วินสตัน แซนด์’ พ่อครัวผมทองคิ้วหนาประจำเรือโบอิ้งแมรี่กอดอกมองด้วยสายตาไม่พอใจตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นว่าทั้งสามมาทานมื้อเช้าก่อนหมดเวลาเพียงแค่ห้านาที

“ฉันว่าพวกเรารีบ ๆ กินให้หมดกันดีกว่า”

หนุ่มใบหน้าละตินตามชาร์ล็อตไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะมองเบค่อน และไส้กรอกที่เหลือเพียงไม่กี่ชิ้น กินคู่กับถั่วอบในซอสมะเขือเทศที่ตอนนี้เหลือแค่วิญญาณถั่วในจาน
‘จะเอาอะไรมาอิ่ม…’
จนทำให้เขารู้สึกเสียดายเป็นบ้าที่เอาแซนด์วิชของเมื่อวานกดทิ้งลงชักโครกเพื่อทำลายหลักฐานไปแล้ว
‘เอาไว้ค่อยแก้ตัวใหม่มื้อกลางวัน…’
พอมองไปก็เห็นตามที่ดีนบอกจริง ๆ พ่อครัวบนเรือหน้าดุโหดเสียยิ่งกว่านักเลงกำลังมองมาที่พวกเขาตาเขม็งจนแมคเคนซีต้องรีบหลบตาแล้วไปนั่งทานอาหารมื้อเช้าให้จบ ๆ ซึ่งพวกเขาก็ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ ด้วยอาหารที่เหลือน้อยนิดกินไม่กี่คำก็หมด แต่ยังห่างไกลคำว่าอิ่มมากนัก

และเมื่อทานกันเสร็จแล้วดีนก็อาสารวบรวมถาดอาหารไปเก็บ เขาให้แมคเคนซีดูแลชาร์ล็อตเพราะเธอดูอาการไม่ดี

และในตอนนั้นเอง…

“พวกคนทำงานให้อาหารสัตว์นี่ดีจังนะ แค่ให้หญ้าให้น้ำสัตว์แค่วันละสองครั้งกับทำความสะอาดนิดหน่อยก็ได้พักแล้ว คิดว่าแค่เอาให้งานของตัวเองเสร็จก็ได้แล้วหรือไง ไม่ต้องสนใจงานของคนอื่นสินะที่ต้องช้าไปอีก งานของพ่อครัวไม่ได้ทำแค่สองครั้งแล้วจบหรอกนะ”

คำแดกดันทำให้ดีนยิ้มค้างตอนส่งถาดอาหารคืน เนตรสีเปลือกไม้เหลือบมองนาฬิกาติดผนัง 8:13น. เกินเวลาพักเช้าไป 13 นาที ชายหนุ่มลืมไปเสียสนิทเรื่องการบริหารเวลาแม้จะรีบมากแล้ว เพราะว่าหลังจากนี้ทีมดูแลสัตว์จะว่างยาวไปจนถึงช่วงเย็น แตกต่างจากลูกเรือคนอื่นที่ต้องเข้างาน 8:00น. พูดกันตรง ๆ หากทำงานในตำแหน่งเดียวกันถือว่าพวกเขาสายไปเยอะ…

แล้วก็หวนคิดถึงตอนที่ช่วยงานเจ๊ฮาร์ปี้ที่โรงอาหาร ต้องตื่นแต่เช้ามาคำนวณวัตถุดิบ จัดเตรียมอาหาร ปรุง และเก็บกวาด เพียงแค่นี้ก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง และใช่.. พ่อครัวจำเป็นต้องทำแบบนี้ 3 รอบต่อวัน แล้วถ้ามีคนเลทบ่อย ๆ แบบนี้ล่ะ…

“ผมขอโทษครับ”

ดีนได้แต่ตอบเสียงแผ่ว

ทางด้านแมคเคนซีที่เห็นดีนยืนอยู่ตรงนั้นนานผิดปกติเลยบอกให้ชาร์ล็อตไปรออยู่หน้าห้องก่อนแล้วเดินมาหาคนรัก จึงทันได้ยินเสียงบ่นของพ่อครัวประจำเรือช่วงท้าย ๆ พอดี

“ขอโทษครับ ครั้งต่อไปพวกเราจะรักษาเวลาให้ดีกว่านี้”

เขากล่าวต่อจากดีน 

“เฮอะ !”

แต่เหมือนว่าวินสตันจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ ร่างสูงเพรียวเดินกระแทกเท้าปึงปังพร้อมกับถือถาดอาหารเปล่าเดินกลับเข้าไปในครัว

“ไม่เป็นไรนะ”

แมคเคนซีคว้ามือข้างนึงของดีนมากุมไว้แล้วพากันไปหาชาร์ล็อตที่รออยู่ จากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็รีบย้ายก้นออกมาจากห้องอาหารอย่างรวดเร็ว

“เราซื้อเสบียงกันมาใช่ไหม จะเป็นอะไรหรือเปล่าถ้าจะแบ่งมาใช้กับอาหารมื้อนี้นิดหน่อย”

บุตรเทพีแห่งมนตราถามขึ้นขณะกลับมาห้องพักแล้ว

“เอ่อ… ถ้าแซนด์วิชก็ทิ้งไปแล้ว ฉันไม่อยากทำให้พวกเราดูน่าสงสัยที่พกอาหารไว้เยอะเกินไปน่ะ มันไม่เหมือนคนตั้งใจมาทำงานใช่ไหมล่ะ”

ดีนตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อน

“แต่ถ้าอาหารฉุกเฉินกับพวกอาหารกระป๋องก็มีนะ นายอยากได้ไหม แต่ใช้ไฟอุ่นคงไม่ได้”

เขาแหงนมองระบบป้องกันอัคคีภัยที่ติดอยู่เหนือเพดาน

“อืม…ก็จริงของนาย ฉันไม่เอาหรอก แค่กลัวพวกนายไม่อิ่มกันเฉย ๆ”

แมคเคนซีมองเพดานตามแล้วพยักหน้าน้อย ๆ เรื่องอาหารการกินเขาพอทนได้ ตั้งแต่มาใช้ชีวิตที่นิวยอร์กก็ไม่ได้ทานตรงตามเวลาสักเท่าไหร่ ห่วงก็แต่ดีนกับชาร์ล็อตมากกว่า

“หนูอิ่มแล้วค่ะ ตอนนี้รู้สึกเพลีย ๆ ว่าจะขอไปนอนพักสักหน่อย ถ้าถึงเวลางานช่วงต่อไปหนูจะมาช่วยนะคะ”

ชาร์ล็อตส่งยิ้มน้อย ๆ ให้พี่ชายทั้งสองคนแล้วขอตัวแยกเข้าห้องพักของเธอไป

“……..นี่ฉันคิดถูกไหมที่เลือกบอกเรื่องจูลี่กับชาร์ล็อต”

แมคเคนซีมองตามน้องสาวที่ดูเซื่องซึมไปด้วยแววตาห่วงใย ก่อนจะหันมาหาดีน

“แล้วนายล่ะอิ่มไหม อยากกินอะไรอีกหรือเปล่า

“ไม่ล่ะ เมื่อกี้โดนพ่อครัวด่าจนจุก”

ดีนเบ้หน้า เขาอยากหงอยเหมือนกัน แต่นาทีนี้คงไม่มีใครปลอบ ทั้งแมคเคนซีและชาร์ล็อตต่างไม่สบายใจเรื่องจูลี่กันอยู่ ดังนั้นดีนจึงควรเป็นเสาหลักของทีมในเวลานี้ อย่างน้อยก็ในฐานะคนที่รับภารกิจ 

“ฉันก็นึกว่านายจะปิดเธอไปจนกว่าจะได้เบาะแสจากไครอนหรือตอนที่อะไร ๆ เริ่มคลี่คลายก่อนเหมือนกัน …แต่ผิดคาด”

บุตรโพไซดอนกล่าวสิ่งที่คิดไว้ในใจตั้งแต่แรก ทว่าเพิ่งมีโอกาสได้พูดหลังจากเรื่องราวกระหน่ำซัดเป็นระรอกคลื่นเพิ่งผ่านไป เห็นได้ชัดเลยว่าการที่น้องถูกลักพาตัวติด ๆ กันสามคนทำให้แมคเคนซีเป๋แค่ไหน

“สุดท้ายยังไงชาร์ล็อตก็ต้องรู้ คงไม่มีใครชอบความรู้สึกที่ว่า ‘เรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมฉันถึงรู้เป็นคนสุดท้าย’ หรอกว่าไหม”

แมคเคนซียิ้มจาง แม้ภายในใจจะตีกันแค่ไหนแต่ชาร์ล็อตก็ควรได้รู้ข่าวของน้องชาย เธอคงไม่พอใจหากต้องมารู้ทีหลัง แม้เรื่องราวในตอนนี้อาจทำให้เธอเป็นทุกข์ก็ตาม

“ฉันกะว่าจะลงไปคอกสัตว์น่ะ จะไปดูไข่หยอยอีกรอบแล้วให้น้อง ๆ เยียวยาจิตใจซะหน่อย นายล่ะจะเอายังไง“

“งั้นฉันไปด้วย เผื่อนายมีอะไรให้ช่วย”

ดูเหมือนว่าดีนยังต้องไปดูอาการของเจ้าแกะที่บาดเจ็บอยู่ อย่างน้อยหากต้องทำการปฐมพยาบาลเพิ่มเติมเขาอาจพอช่วยเหลืออะไรได้บ้าง

“ได้เลยที่รัก งั้นไปกัน”

จากนั้นทั้งสองก็ลงไปดูที่คอกสัตว์อีกรอบ แน่นอนว่าทุกอย่างดูสะอาดเรียบร้อยดีเพราะว่าพวกเขาเพิ่งมาดูแลพวกมัน ทั้งให้น้ำให้อาหาร และเก็บกวาดมูลสัตว์ไปเมื่อประมาณ 2 ชั่วโมงก่อน ฟลัฟฟี่เริ่มแข็งแรง (น่าจะจากเวทมนตร์ที่ชาร์ล็อตรักษาให้) มันกินอาหารในรางหมดเกลี้ยงแถมยังทำท่าเหมือนจะขอเพิ่มอีก แต่คงให้ไม่ได้เพราะว่ามันเป็นสัตว์ฟาร์มที่ต้องควบคุมอาหารไม่ใช่สัตว์เลี้ยง เมื่อได้มาคลุกคลีด้วยบ่อย ๆ ทำให้รู้ว่าแกะน้อยนั้นขี้อ้อนแค่ไหน
‘ขอให้คนที่ซื้อแกไปเอาแกไปตัดขนขายนะ ไม่ใช่เอาไปทำสเต็กซี่โครงแกะ..’
หลังจากให้สัตว์เยียวยาโดยใช้งานบังหน้าแล้วทั้งสองก็กลับมาพักผ่อนที่ห้องในช่วงว่าง (แน่นอนว่าต้องหลังมื้ออาหารกลางวัน คราวนี้สามเดมิก็อดตรงต่อเวลา) ในที่สุดก็ได้เวลาติดตามผลงาน และเมื่อดีนยกสมาร์ทโฟนเดดาลัสขึ้นมาอีกครั้งเขาก็หลุดอุทานออกมาเสียงแผ่วเมื่อเห็นข้อความที่หน้าจอ

“โอ้… แมคซี่”

บุตรโพไซดอนพลิกหน้าจอโทรศัพท์ให้คนรักดู


profile
Sanz
(T) 20 May 2025, 10:15 A.M.
     
ว่าง
ดีน
ว่าง
เดลฟีไม่ตอบรับการขอคำทำนาย
ว่าง
เรเชลแค่ดูดวงให้ฉันแล้วบอกว่าการเรียนจะไปได้สวย
ว่าง
ทำไงดีวะเนี่ย!?



“หือ…?”


แมคเคนซีที่นั่งเท้าแขนเอนหลังพักผ่อนอยู่บนเตียงข้าง ๆ ดีนหันมาอ่านข้อความบนหน้าจอ แล้วเรียวคิ้วก็ต้องขมวดมุ่นอีกครั้ง
‘เดลฟีไม่ได้มอบคำพยากรณ์ให้ซันซ์ งั้นก็หมายความว่า…’
“เอาแล้วไง”

ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นลูบหน้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของเขากันแน่

หลังจากนี้ดีนก็โทรหาซันซ์อีกรอบเพื่อปรึกษาคุณไครอน ปัญหาทั้งหมดยังไม่ได้ข้อสรุป ตอนนี้พวกเขารู้เพิ่มมาเพียงอย่างเดียวคือ
‘ภารกิจเลือกวีรบุรุษ หากเดลฟีไม่ตอบสนองแปลว่างานนี้ไม่ใช่ภารกิจของซันซ์’





ความคิดเห็นผู้บันทึก

‘หนึ่งวันพันเหตุการณ์’ คำพูดนี้ไม่เกินจริง………


สรุปสถานการณ์

ทีมทำภารกิจทั้งสามคนทำงานหน้าที่เจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ตามปกติ

รู้ข่าวเรื่อง ไบร์ท เอมส์, จูลี่ เดรค และอีธาน ซาง หายตัวไปอย่างปริศนา

โทรปรึกษาคุณไครอนเกี่ยวกับเรื่องคนที่หายตัวไป

ซันซ์ มาเดิล เคานต์รับอาสาไปรับคำพยากรณ์จากเรเชล แต่เดลฟีไม่ตอบรับ


DEAN


ความสัมพันธ์ต่อ [ไครอน]
+5 โบนัสความโปรดปรานจากการพูดคุยประจำวัน
+5 โบนัสความโปรดปรานจากการใส่ [กุหลาบสีน้ำเงินทอง]
+10 โบนัสความโปรดปรานจากการใส่ [มาลาแห่งอัสสัมชัญ]

จ่ายค่าวีดีโอคอลไอริส (หักเงินที่ Dean)


MACKENZIE

ความสัมพันธ์ต่อ [ไครอน]
+5 โบนัสความโปรดปรานจากการพูดคุยประจำวัน
+5 โบนัสความโปรดปรานจากการใส่ [กุหลาบสีน้ำเงินทอง]
+10 โบนัสความโปรดปรานจากการใส่ [มาลาแห่งอัสสัมชัญ]



แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-01-1] ซุส เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-7-24 10:13
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-58] ไครอน เพิ่มขึ้น 20 โพสต์ 2025-7-16 01:17
โพสต์ 164,020 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Hydro X  โพสต์ 2025-7-16 00:33
โพสต์ 164,020 ไบต์และได้รับ +20 EXP +35 ความกล้า +40 ความศรัทธา จาก เวทมนต์ [II]  โพสต์ 2025-7-16 00:33
โพสต์ 164,020 ไบต์และได้รับ +15 EXP +25 เกียรติยศ +25 ความศรัทธา จาก คบเพลิงเวท  โพสต์ 2025-7-16 00:33

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1เหรียญดรักม่า -1 ย่อ เหตุผล
God -1

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส
น้ำหอมเฮคาที
เหรียญนกฮูก
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x7
x10
x10
x7
x2
x9
x6
x4
x3
x70
x4
x10
x6
x12
x6
x18
x3
x55
x9
x189
x14
x14
x12
x45
x18
x5
x5
x5
x2
x5
x2
x11
x20
x10
x10
x2
x2
x2
x4
x1
x3
x12
x6
x2
x5
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x13
x2
x5
x4
x2
x1
x16
x145
x192
x10
x6
x10
x10
x16
x55
x80
x1
x1
x1
x4
x3
x1
x1
x1
x1
x5
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้