[บันทึกการเดินทาง] APOLLYON the DESTROYER

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-7-24 04:34:58 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-9-29 02:01

X
ในวัน (คืน) ที่ไฟดับ
Dean Eilwyn Alvarez Neal

- 22.05.2025 / 2.00 P.M. -
เรือโบอิ้งแมรี่, มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ

ปัญหาเรื่องเดมิก็อดและเทพแห่งกาลเวลาหายไปดูเหมือนว่าจะอยู่นอกเหนือความควบคุมของดีน แมคเคนซี และชาร์ล็อต ผู้อำนวยการไครอนจึงบอกให้พวกเขาตั้งใจเดินทางไปทำภารกิจ

…ซึ่งคงต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าเราเสียสมาธิไประหว่างการเดินทางที่แสนอันตราย ไม่แน่คนหายคนต่อไปอาจจะเป็นพวกเราเอง...

ดังนั้นจึงต้องมีสมาธิ

“เฮ้ พวก! ใจลอยเชียว นายได้ฟังที่ฉันพูดเมื่อกี้หรือเปล่า!”

“ฟัง– ฟังซี่ เมื่อกี้คุณเล่าไปถึงไหนแล้วนะลุคส์ เอ่อ.. เรื่องที่ไปได้สาวแซ่บ ๆ มาจากบาร์เซโลน่าน่ะเหรอ... ใช่ไหม?”

“ก็ใช่ แต่เรื่องสาวแซ่บน่ะจบไปแล้ว กำลังเล่าเรื่องใหม่อยู่ต่างหาก”

และคนที่กำลังพูดไม่หยุดอยู่นี่คือ ลุคส์ ฟิวส์มังก์ ช่างเครื่องของเรือที่มีวัยหยุดตรงกับวันนี้พอดี เขาเป็นคนอัธยาศัยดีและมีประสบการณ์เดินเรือมามากกว่าสิบปี เลยไม่พลาดที่จะแบ่งปันข้อแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ในฐานะรุ่นพี่ให้กับเด็กใหม่ในช่วงพัก แม้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังอยู่บนเครื่องออกกำลังกายในห้องฟิตเนสของเรือสินค้าก็ตาม

“เรื่องที่มีคนลักลอบขึ้นเรือมาน่ะ”

ลุคส์เกริ่นด้วยน้ำเสียงน่าสะพรึงเหมือนกำลังจะเล่าเรื่องผี ทำเอาดีนที่กำลังปั่นจักรยานออกกำลังกายชะงักเท้า บุตรแห่งโพไซดอนเสมองไปทางแฟนหนุ่มทันทีพร้อมกับเหงื่อหยดติ๊งลงปลายคาง แต่มั่นใจได้ว่านี่ไม่ได้มาจากอาการเหนื่อย


แมคเคนซีที่เพิ่งวิ่งออกกำลังกายบนลู่วิ่งเสร็จกำลังใช้ผ้าขนหนูซับเหงื่อที่ซึมตามใบหน้าหันมามองตอบคนรัก เขาเองก็ฟังเรื่องที่ช่างเครื่องเล่ามาตั้งแต่ต้นเพียงแค่ไม่ค่อยได้ออกความเห็นอะไร ปล่อยให้ดีนช่างจ้อรับหน้าที่นี้ไปแทน แต่เรื่องนี้กลับดึงดูดความสนใจเขาไม่น้อย

“เรื่องเป็นยังไง คุณเล่าต่อสิ”


“ได้ซี้ย์!”

ช่างเครื่องสายกล้ามตบอกตัวเองดังป้าบ จากนั้นเขาเล่าเหตุการณ์ต่อด้วยความภาคภูมิใจ (ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน)

“ตอนนั้นเรือที่ฉันไปลงเป็นเรือสินค้าสายอเมริกา-แอฟริกา ขาไปน่ะไม่มีอะไร แต่ขากลับเนี่ยสิได้ของแถม ดันไปเจอผู้อพยพห้อยต่องแต่งอยู่ที่แรมป์เรือในสภาพใกล้ตาย น่าจะเป็นวันที่ห้าหลังจากเรือออกจากท่าที่เคปทาวน์”

“ห้าวันหลังออกจากเคปทาวน์…”

ดีนทวนคำก่อนจะทำตาโต จากประสบการณ์เดินทางด้วยเรือฮิปโปแคมปัส ถ้าบอกว่าห้าวันจากเคปทาวน์ไปอเมริกานี่มันอยู่กลางมหาสมุทรแอดแลนติสเลยนี่นา แล้วที่บอกว่าเกาะตรงแรมป์เรือน่ะ…

‘แรมป์เรือ’ หรืออธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือส่วนหนึ่งของประตูทางเข้า-ออกที่พวกเราเข้ามา เป็นช่องที่ค่อนข้างกว้างสามารถขับรถเข้าไปได้ โดยปกติเมื่อขึ้นเรือจะผ่านเข้ามาบนทางลาดที่อาจจะทำจากเหล็ก (บางทีก็ทำด้วยไม้หากเป็นท่าเรือเล็กและชนบท) เหมือนสะพานที่ปูเชื่อมระหว่างเรือและท่าเรือ ทั้งหมดนั้นเรียกว่า ‘แรมป์’ เมื่อชักรอกเอาทางเชื่อมนั้นออกจะเหลือเพียงพื้นที่แคบ ๆ อาจจะมีราวเหล็กให้เกาะนิดหน่อย คนอพยพน่าจะเพิ่งมาเกาะหลังจากที่ประตูเรือปิด ตรงกันข้ามกับพวกเขาที่วางแผนกันมา (ไม่กล้าพูดว่าเป็นอย่างดี) ลิบลับ
                                                
“โอ้ พระเจ้า!”
                                                
“ตกใจล่ะสิใช่ไหม” ลุคส์หลิ่วตาให้พร้อมกับยิ้มกว้าง ถูกใจเหลือเกินที่ผู้ฟังมีรีแอคชั่นตอบสนอง
                                                
“ใช่ แต่ว่าเขาอยู่ตรงนั้นห้าวันเลยเหรอครับ แล้วสัมภาระล่ะ?” ดีนถาม
                                                
“ก็เกือบตาย… หมอนั่นมีแค่กระเป๋าเป้ใบเดียวที่ข้างในไม่เหลืออาหาร ถ้าเจอช้ากว่านี้อีกนิดคงหมดแรงเกาะแล้วก็ตกตุ๋มลงทะเลไปแน่ ๆ”

                                                
แมคเคนซีเองที่ได้ฟังมาถึงตรงนี้ก็แอบลอบกลืนน้ำลาย ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าพวกเขาลอบขึ้นเรือมาในแบบที่ไม่ได้เป็นคณะทีมดูแลสัตว์อย่างที่เป็นอยู่นี้ ตอนนี้เขาทั้งสามคนจะไปอยู่ตรงส่วนไหน หากสำเร็จก็คงต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ กันอยู่ในคอกสัตว์ แต่หากผิดแผนก็อาจจะต้องเกาะแรมป์เรือเหมือนผู้ลักลอบขึ้นเรือคนนี้ก็เป็นได้
                                                
“แล้ว…พอพวกคุณเจอเขาแล้วทำยังไงต่อ”
                                                
ถึงอย่างนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ เรือก็ล่องอยู่กลางมหาสมุทร และไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้นมาประจำบนเรือ หากเจอกรณีแบบนี้แล้วพวกคนบนเรือจะจัดการอย่างไร

                                                
“อยู่ที่กัปตันแต่ละคนจะจัดการ ในตอนนั้นเขาจับคนลักลอบขังไว้ในห้องลูกเรือที่ว่าง ปล่อยให้ใช้ชีวิตอยู่ในนั้นจนกว่าจะถึงฝั่ง เวลาอาหารเมด (ผู้ช่วยพ่อครัว) ก็เปิดประตูเอาอาหารมาส่ง พอถึงท่าเรือตำรวจก็เข้ามารวบตัวทันที”
                                                
ลุคส์ยื่นมือทั้งสองข้างออกมาข้างหน้าทำท่าเหมือนคนถูกใส่กุญแจมือ
                                                
“ดีที่หมอนั่นว่าง่าย หรือไม่มีแรงก็ไม่รู้ เลยไม่ต่อสู้ขัดขืน แต่ไม่ขัดขืนน่ะดีแล้ว มีปัญหาบนเรือน่ะหายตัวไปได้ง่าย ๆ”
                                                
“หายตัวไปได้ง่าย ๆ หมายถึง…” ดีนถาม ไม่รู้ว่าที่ลุคส์พูดจะใช่ในแบบที่เขากำลังคิดอยู่หรือเปล่า
                                                
คราวนี้ช่างเครื่องเล่าโดยเบาเสียงลง
                                                
“จะว่าไงดี.. บนเรือมันเหมือนกับที่ปิดดี ๆ นี่แหล่ะ คนที่ใหญ่ที่สุดก็คือกัปตัน มีอำนาจในการตัดสินใจทุกอย่าง ฉันเคยเจอเหตุการณ์ที่มีคนทะเลาะกันรุนแรงด้วยนะ หมอนั่นทำตัวแย่ ๆ กับคนไปทั่ว แล้วอยู่ ๆ วันหนึ่งก็หายตัวไปจากเรืออย่างเป็นปริศนา แน่นอนว่าถูกทำให้หายไป แต่ไม่รู้ว่าใครทำ กัปตันเรือในตอนนั้นมีคำสั่ง ‘เขาคงพลัดตกทะเลไปในเวลาที่ไม่มีใครเห็น ให้ทุกคนทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ซะ’ พวกนายคิดว่าไงล่ะ…”

                                                
“…………”
                                                
บุตรแห่งเทพีมนตราถึงกับกลั้นหายใจไปชั่วขณะ เรื่องนี้มันน่ากลัวพอ ๆ กับเรื่องสยองขวัญสุดสะพรึงหลายเรื่องที่เคยฟังมา หากโดนจับขังในห้องเล็ก ๆ แล้วรอส่งตัวให้ทางการก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าเป็นกรณีหลังล่ะ…
                                                
เขาได้แต่ภาวนาให้การเดินทางของพวกเขานั้นราบรื่น ไม่ความแตกไปซะก่อน
                                                
“แล้ว…คุณเคยเห็นคนลักลอบขึ้นเรือลำนี้ไหม กัปตันเรือจัดการยังไงบ้าง”

                                                
“เรือลำนี้เหรอ? ไม่รู้หรอก พวกเราไม่ได้ทำงานประจำเรือเดิมไปตลอดเหมือนกัปตัน พอหมดรอบก็เปลี่ยนเรือไปเรื่อยตามที่บริษัทจัดสรร ก็มีบ้างที่วนมาเจอลำเดิม เพราะงั้นเด็กใหม่อย่างพวกนายก็อย่าลืมเก็บของให้หมดตอนที่เรือวกกลับไปนิวเจอร์ซีย์ล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า ถึงจะไม่มีคำตอบให้นายนะมาร์ค แต่บอกตามตรงเลยนะ ลักลอบขึ้นเรือไม่ได้ทำได้ง่าย ๆ”
                                                
ลุคส์เริ่มยกดัมเบลขึ้นมาเล่นกล้ามต่ออีกเซ็ต หลังจากพักเมาท์มอยจนน้ำลายแห้ง แต่ก็ยังไม่วายที่จะเล่าต่อคล้ายติดการโม้
                                                
“ที่ฉันเล่าน่ะโชคดีที่มีคนบังเอิญไปเห็น อาจจะมีคนที่ไม่ได้โชคดีหมดแรงเกาะแรมป์ตกทะเลไปบ้างก็ได้ มีอีกบางพวกที่แอบเข้าไปหลบอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์สินค้า รู้อีกทีคือเปิดตู้ออกมาศพกำลังบวมได้ที่ ก็อย่างว่าในตู้นั้นมันไม่มีอากาศ เข้าไปจะเอาอะไรไปรอด”
                                                
“พระเจ้า!”
                                                
ดีนอุทาน เขาโล่งใจที่ไม่ได้ใช้แผนเข้าไปหลบในตู้คอนเทนเนอร์กันสามคนตั้งแต่คืนวันที่โหลดตู้ แต่เหมือนว่าช่างจะเข้าใจไปอีกแบบ
                                                
“เรื่องนี้ไม่เคยเจอกับตัวแต่ได้ยินเขาเล่ามาอีกทีน่ะ”
                                                
“ไม่เป็นไร ถือว่าผมฟังไว้เป็นความรู้” บุตรโพไซดอนปั่นจักรยานต่อบ้าง หลังจากที่เขาเริ่มรู้ตัวว่าหยุดปั่นไปพักใหญ่ “แล้วคุณรู้จักกัปตันโรเจอร์สไหม พอจะรู้ไหมว่าเขาเป็นคนยังไง?”
                                                
“กัปตันชื่อ สตีฟ โรเจอร์ส ใช่ไหม? นิสัยก็เหมือน สตีฟ โรเจอร์ส... มีอย่างเดียวที่ไม่เหมือนคือหน้าตาและหุ่น”
                                                
แน่นอนล่ะกัปตันเรือของพวกเขาเป็นคนผิวดำ หากเหมือนคงเหมือน กัปตันแซม วิลสัน มากกว่า…

                                                
ฟังมาถึงตรงนี้แมคเคนซีก็ไม่รู้จะถามอะไรต่อ จากที่สรุปมาทั้งหมดก็รู้สึกว่าคนบนเรือโหดใช่เล่น หากโดนจับได้โทษอย่างเบาสุดก็โดนจับขังรอส่งตัวให้ทางการ ส่วนโทษอย่างหนักที่สุดก็คือ…โดนจับโยนลงทะเลเป็นอาหารให้ปลา ซึ่งแบบไหนก็ไม่ส่งผลที่ดีต่อภารกิจของพวกเขาทั้งนั้น
                                                
ทั้งคู่ฟังลุคส์เล่าเรื่องอื่น ๆ ต่ออีกหน่อย ก่อนที่จะขอตัวกลับห้องพักเพื่อมาเตรียมตัวไปทำงานช่วงเย็นพร้อมกับชาร์ล็อตที่รออยู่ในห้องพัก ซึ่งงานดูแลสัตว์วันนี้ก็เป็นเหมือนทุก ๆ วัน นั่นคือแมคเคนซีกับชาร์ล็อตให้อาหาร ให้น้ำ เก็บกวาดทำความสะอาด ส่วนดีนก็คอยดูสัตว์ตามคอกว่ามีตัวไหนป่วยหรือมีอาการผิดปกติ จากนั้นลงบันทึก ส่วน ‘ฟลัฟฟี่’ เจ้าแกะขาหัก ตอนนี้ขาที่หักของมันเริ่มหายบวมบ้างแล้ว
                                                
หลังจากทำงานช่วงเย็นเสร็จ ทั้งสามคนก็กลับห้องไปทำธุระส่วนตัวแล้วไปทานมื้อเย็น ซึ่งตั้งแต่วันที่โดนพ่อครัวประจำเรือดุไปพวกเขาก็รักษาเวลาเป็นอย่างดี จนกระทั่งอิ่มจากมื้อเย็นแล้ว ภารกิจวันนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น เดมิก็อดทั้งสามคนจึงพากันกลับมาพักผ่อนที่ห้อง
                                                

.
.
.
                                                
-08:00 P.M.-
                                                
ระหว่างที่ดีนกับแมคเคนซีกำลังอิงแอบแนบชิด นั่งพิงหลังกับหัวเตียงขนาดสามฟุต เช็คสมาร์ทโฟนของแต่ละคนนั้น อยู่ ๆ ไฟในห้องก็ดับลง เหลือเพียงแค่แสงสว่างจากหน้าจอสมาร์ทโฟนทั้งสองเครื่องเท่านั้น
                                                
“เกิดอะไรขึ้น”
                                                
แมคเคนซีขยับตัวนั่งดี ๆ เขาปิดบทความที่กำลังอ่านอยู่แล้วเปิดไฟฉายจากแฟลชมือถือแทน

                                                
“ไฟดับเหรอ หรืออะไร?”
                                                
บุตรเจ้าสมุทรขมวดคิ้ว ฝ่ามือหนาจับคลำกำไลอัจฉริยะบนข้อมือข้างขวา ทว่าไร้ปฏิกิริยาแจ้งเตือนภัยใต้สมุทรจากอัญมณี แม้แต่สมาร์ทโฟนไฮโดรเอ็กซ์ก็ไม่ร้องวี้ดเหมือนกับตอนสู้ศึกคราเคน แปลว่านี่คือเหตุสุดวิสัยทางเทคนิค
                                                
‘ขออย่าให้เรือชนภูเขาน้ำแข็งก็พอ—’
                                                
ก็ยังจะอุตริคิด…
                                                
ซ่า… ฟุ่ด ๆ วอ.สาม เรียก วอ.หนึ่ง เปลี่ยน’

ซ่า… ฟุ่ด.. วอ.หนึ่ง รับ เกิดอะไรขึ้น เปลี่ยน’

ซ่า… ฟุ่ด ๆ ฟุ่ด… ขณะนี้ระบบจ่ายไฟฟ้ามีปัญหา ฟุ่ด…  กำลังตรวจสอบ เปลี่ยน’

ซ่า… ฟุด.. ฟุ่ด ๆ เปิดใช้ระบบไฟสำรอง เปลี่ยน’

ซ่า… รับทราบ ฟุ่ด ๆ

กึก..

รู้สึกได้ถึงแรงสั่นไหวเล็กน้อยของเรือ ขณะระบบไฟฟ้าสำรองเริ่มทำงาน ตอนนี้ห้องพักของชาวเรือยังคงมืดสนิท หากไม่เปิดผ้าม่าน จึงมีเพียงแสงจากโถงทางเดินที่ไฟค่อย ๆ ติด ส่องลอดเข้ามาทางช่องใต้ประตู

เมื่อครู่คือเสียงพูดคุยผ่านวอล์กกี้ทอล์กกี้ระหว่าง วอ.สาม หรือรหัสย่อของวิศวกรเรือ กับ วอ.หนึ่ง กัปตันเรือโรเจอร์ส ส่วนกลุ่มของผู้ดูแลสัตว์ถูกตั้งรหัสไว้ที่เลขห้า


โดยปกติแล้วในแต่ละวันจะมีเสียงวอล์กกี้ทอล์กกี้ดังขึ้นบ้างประปราย บางวันก็เงียบสงบ บางวันก็หนึ่งครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่กัปตันเป็นคนแจ้งเมื่อเข้าเขตมรสุม และไม่มีเลยสักครั้งที่วิทยุสื่อสารจะเกี่ยวข้องกับพวกเดมิก็อดคนเถื่อนที่ทำหน้าที่ดูแลสัตว์ พวกเขาเพียงแค่พกติดตัวไว้ตามคำสั่ง ไม่ให้ดูน่าสงสัย

ซึ่งถ้าเป็นเรื่องระบบไฟฟ้าขัดข้องคงไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา—

ซ่า… ฟุ่ด ๆ วอ.สอง เรียก วอ.ห้า เปลี่ยน’

คิดว่าไม่เกี่ยวกับตัวเองไม่ทันไร วอ.สอง หรือก็คือรหัสของรองกัปตันเจคอป เป็นคนเรียกให้ วอ.ห้า ตอบ

“เดี๋ยวนะ.. วอ.ห้านี่มันของเรานี่แมคซี่?”

ดีนแสดงความล่กออกมาอย่างเห็นได้ชัด นาทีนี้เขาไม่รู้ว่าจะต้องจัดการปัญหาอย่างไร


หนุ่มอังกฤษมองหน้าคนรักด้วยความฉงนเช่นกัน แต่เมื่อเห็นสีหน้าตระหนกของอีกฝ่ายแล้วเขาเลยหยิบวอล์กกี้ทอล์กกี้ที่มีเสียงคลื่นสัญญาณดังแทรกเป็นช่วง ๆ มากดปุ่ม PTT เพื่อตอบกลับเอง

“วอ.ห้า รับ เปลี่ยน”

ซ่า… ฟุ่ด ๆ ขณะนี้ระบบจ่ายไฟทางเรือมีปัญหา คาดใช้เวลาซ่อมสองถึงสามชั่วโมง ฟุ่ด ๆ… ทีมดูแลสัตว์ประจำการที่ห้องขนส่งสัตว์ เปลี่ยน’

“รับทราบ”

เสียงจากเจคอปเงียบหายไปเล็กน้อยก่อนจะดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เป็นการสื่อสารกับฝ่ายอื่น

“ดูท่าจะงานเข้าพวกเราแล้ว คุณเจคอปบอกให้เราไปที่คอกสัตว์ ฉันจะไปบอกชาร์ล็อตก่อน นายแต่งตัวเสร็จแล้วไปเจอกันหน้าห้องนะ”

แมคเคนซีบอกคนรักที่มักจะนอนเปลือยกายจนเป็นนิสัยแล้วหยิบเสื้อเชิ้ตแขนสั้นที่แขวนไว้มาสวมทับเสื้อนอน

“นายเอาวอล์กกี้ทอล์กกี้ติดไปด้วยนะ เผื่อจำเป็นต้องใช้”

เขาหันมาบอกดีนอีกครั้งแล้วหยิบเครื่องมือสื่อสารประจำตัวบนเรือมาเหน็บไว้กับขอบกางเกง แม้ยามปกติจะใช้วอล์กกี้ทอล์กกี้ของแมคเคนซีเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นจึงต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน จากนั้นเขาก็เอาสมาร์ทโฟนเดดาลัสไปเก็บในล็อกเกอร์แล้วออกไปแจ้งข่าวน้องสาวที่พักอยู่ห้องถัดไปอีกสองห้องเพื่อให้เธอได้มีเวลาเตรียมตัวสักหน่อย


“โอเคได้”

ดีนรับปากจากนั้นก็รีบแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วหยิบวอล์กกี้ทอล์กกี้ที่วางคาไว้บนแท่นชาร์จแต่ไม่ได้เปิดสวิทช์ตั้งแต่วันแรกขึ้นมา ร่างสูงทำใจเล็กน้อยพร้อมกับเป่าปากก่อนกดปุ่มเปิดเครื่องมือสื่อสารระยะใกล้ เสียงพูดคุยโต้ตอบรายงานการตรวจเช็คระบบไฟฟ้า ระหว่าง วอ.สาม (วิศวกรเรือ) และ วอ.สี่ (ช่างเครื่องเรือ) ดังขึ้นทันที

“เอาวะ…”

บุตรเจ้าสมุทรดันแว่นตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะรีบตามไปสมทบกับแมคเคนซีและชาร์ล็อตที่ทางเดิน เขาเห็นคนรักกำลังอธิบายเหตุการณ์ให้น้องสาวได้เตรียมตัว

“โอเคกันไหม?”


สองพี่น้องบุตรเฮคาทีหันมองดีนที่ตามมาก่อนพยักหน้ารับแทบพร้อมกัน

“โอเค ชาร์ล็อตเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เราไปกันเลย”

แมคเคนซีตอบแทนเด็กสาวที่ตอนนี้เปลี่ยนจากชุดนอนมาเป็นชุดที่ดูกระฉับกระเฉง แล้วทั้งสามก็พากันไปยังห้องขนส่งสัตว์ท่ามกลางทางเดินที่มีแสงไฟสลัว


เมื่อมาถึงคอกสัตว์ใต้เรือทั้งสามก็รีบสวมใส่อุปกรณ์สำหรับทำงานในทันที

“พวกเราต้องทำอะไรบ้างคะ” ชาร์ล็อตถาม

“ตามโปรโตคอล หากมีเหตุฉุกเฉินระบบไฟฟ้าขัดข้อง เครื่องปั่นไฟจะถูกเปิด เครื่องจักรจะสามารถใช้ได้เพียงแค่ไม่กี่อย่าง ระบบระบายอากาศอาจถูกเปิดเพียงบางเครื่อง”

ดีนอธิบายพร้อมกับเปิดคู่มือที่ได้รับตอนอบรมก่อนเรือออก ดีที่เขาเปิดศึกษาอ่านมาบ้างในวันแรก ๆ เผื่อเวลาถูกเรียกถามจะได้ไม่โป๊ะแตก แต่ก็ไม่ถือว่าจำได้แม่นยำจึงต้องทบทวนเสียหน่อย

“สิ่งที่พวกเราต้องทำคือเปิดช่องระบายอากาศเพิ่มเพื่อให้อากาศภายในหมุนเวียน และตรวจเช็ครางน้ำสัตว์ เปิดปิดมันด้วยมือเนื่องจากระบบอัตโนมัติไม่ทำงาน”

ช่องระบายอากาศที่ว่าคือหน้าต่างสี่เหลี่ยมที่ทำจากเหล็กแผ่นใหญ่อยู่ด้านนอกลูกกรงคอกสัตว์ โดยปกติแล้วพวกเขาจะเปิดทิ้งไว้ในตอนกลางวันเพื่อระบายอากาศ ให้เหล่าสัตว์รับลมทะเลและแสงธรรมชาติจากด้านนอกส่องเข้าถึง แล้วค่อยมาปิดมันในตอนเย็นเพื่อบังแสงแดดที่สาดส่องลงมาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ตามโปรโตคอลรับมือกับ ‘วิกฤตการณ์อีเทอนัลซันไชน์’ 


แม้จุดประสงค์เริ่มแรกของการสร้างช่องระบายอากาศนี้ มีไว้สำหรับป้องกันความหนาวเย็น เมื่อเรือเข้าเขตภูมิประเทศแถบเหนือ หรือล่องเรือสินค้าในฤดูหนาวก็ตามที แต่ก็ประยุกต์ใช้ได้ดีในยามที่โลกผิดปกติแบบนี้ด้วยเช่นกัน

โดยปกติผู้ดูแลสัตว์จะกดสวิตช์เปิด-ปิดช่องระบายอากาศด้วยระบบไฟฟ้า แต่ตอนนี้ไฟฟ้าขัดข้องจึงต้องเปลี่ยนไปใช้ระบบอัตโนมือแทน ซึ่งพวกเขาจำเป็นต้องออกไปเปิดจากด้านนอก ตรงแคทวอล์กข้างตัวเรือ

“ฉันว่าเราต้องแยกงานกันทำ ถ้าช้าพวกสัตว์ต้องแย่แน่ ๆ... ชาลีนายเปิดวาล์วน้ำให้พวกสัตว์สดชื่น ส่วนฉันกับมาร์คซี่จะไปเปิดช่องระบายอากาศที่สองฝั่งนอกตัวเรือ โอเคไหม?”

ดีนถามสมาชิกทั้งสอง เขาคิดว่าชาร์ล็อตคุ้นเคยกับงานนี้อยู่แล้ว แค่เพียงต้องออกแรงทำด้วยตนเอง แต่ก็ดีกว่าออกไปนอกลำเรือบนแคทวอล์คตอนกลางคืน…ที่ถึงตอนนี้จะไม่มืดแต่ก็เป็นงานอันตรายสำหรับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แถมหน้าต่างระบายอากาศยังยาวเป็นพืดเกือบเต็มลำเรือหนึ่งพันสองร้อยฟุต


“ได้ค่ะ หนูทำได้ พวกพี่ออกไปข้างนอกก็ระวังด้วยนะคะ”

ชาร์ล็อตตอบรับอย่างแข็งขันแต่ก็ยังเป็นห่วงพี่ชายทั้งสองคนอยู่

“โอเค เธอก็เหมือนกัน ถ้าเสร็จงานแล้วมารอตรงหน้าห้องนี้นะ แล้วก็ถ้ามีปัญหาอะไร….”

แมคเคนซีเงียบไปเล็กน้อยด้วยความลังเลใจ แต่สุดท้ายก็ชี้ไปยังวอล์กกี้ทอล์กกี้ที่น้องสาวถืออยู่

“ติดต่อพวกพี่ทางนี้ แล้วพวกพี่จะรีบมา”

“ได้ค่ะพี่แมค”

เมื่อชาร์ล็อตรับคำและผละไปทำหน้าที่ของเธอแล้ว แมคเคนซีกับดีนก็ปลีกตัวมาเพื่อไปยังส่วนนอกตัวเรือ

“เราควรแยกกันไปคนละฝั่งเพื่อให้งานเสร็จไวขึ้นไหม แต่นายก็ต้องเปิดเจ้าเครื่องนั้นเหมือนกัน…นายโอเคหรือเปล่า”

บุตรเทพีแห่งม่านหมอกหันมาถามคนรัก เขารู้ว่าดีนค่อนข้างเป็นกังวลเรื่องสัญญาณเครื่องมือสื่อสารด้วยสายเลือดมหาเทพที่ไหลเวียนในร่างกายสามารถดึงดูดพวกอสุรกายให้เข้าหาได้มากกว่าบุตรมินิก็อดหลายเท่าตัว

“แต่ถ้านายไม่สบายใจ เราไปด้วยกัน ฉันจะไปกับนายเอง แล้วเปิดแค่เครื่องของฉันเหมือนเดิม”


“โอเคสิ ฉัน… ฉันโอเค ดีนรีบรับปากแม้มีความตะกุกตะกักในน้ำเสียง ก็แค่เปิดหน้าต่างนี่นา ทำให้เสร็จเร็ว ๆ ดีกว่า ขืนช้าแล้วสัตว์เป็นอะไรไป มีหวังเจคเล่นพวกเราเละแน่”


แมคเคนซีอาจสังเกตเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของดีนได้ชัดเจนขึ้น หลังจากที่พวกเขาออกจากแสงสลัวในเรือ สู่ด้านนอกที่แสงตะวันไม่มีวันดับ แม้คลื่นลมในยามนี้จะสงบ แต่ใจของบุตรเจ้าสมุทรสั่นไหวราวกับพายุเข้า เมื่อเขามองลงไปยังท้องทะเลเบื้องล่าง มันควรเป็นบ้านที่ปลอดภัยของลูกโพไซดอน...


แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ชายหนุ่มรู้ว่าใต้น้ำนั้นมีอภิมหาสัตว์ประหลาดอาศัยอยู่หลายชนิดจึงไม่อาจวางใจได้

“แมคซี่ นายเอาม้าน้ำกระเป๋าติดตัวมาด้วยไหม?”


ดวงตาสีฮาเซลคอยมองทุกการกระทำของอีกฝ่าย เขารู้ว่าดีนน่าจะมีอะไรบางอย่างในใจ อย่างน้อยก็เรื่องการเปิดเครื่องมือสื่อสารของมนุษย์เรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องอื่นแม้ไม่อาจคาดเดาได้ แต่แมคเคนซีก็ตั้งใจว่าจะรีบทำงานส่วนของตนให้เสร็จแล้วรีบกลับมาหาดีนทันที

“หืม…อ้อ เอามาสิ นายจะเอาไปเก็บไว้ก่อนไหม”

พอถูกถามถึงของที่เพิ่งได้รับมาเมื่อวันก่อน แมคเคนซีก็หยิบ ‘ม้าน้ำกระเป๋า’ ออกมาจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้ทันทีเผื่อว่าอีกฝ่ายต้องการที่จะใช้มัน ดีนรีบกุมมือของอีกฝ่ายไว้ แล้วดันกลับไปไม่ให้ส่งคืน


“ไม่ ๆๆๆ ฉันแค่ถามเฉย ๆ นายพกติดตัวไว้ตลอดเวลาเลยนะ อย่าให้เจ้านี้อยู่ห่างตัวเด็ดขาด มันคือตัวแทนความรักของฉัน จะตั้งชื่อมันว่า ‘ดีนสอง’ ก็ได้”

หนุ่มเท็กซัสรัวคำด้วยความลนลานชนิดที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นการพูดเกินจำเป็น

“เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วพวกเรารีบกันเถอะ ก่อนที่เจ้าตัวน้อยหลายร้อยตัวในเรือจะหายใจไม่ออก”

ดีนมองเข้าไปในดวงตาสีฮาเซลของแมคเคนซี ริมฝีปากสีอ่อนเม้มเข้าหากันสนิทแน่น ต่อจากนั้นอีกไม่กี่วินาทีเขาก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามา สวมกอดไว้แน่นด้วยหัวใจที่เต้นรัวเหมือนหมาตื่นพลุ

“ไม่เป็นไรแมคซี่ พวกเราแยกกันแค่แป๊บเดียว เปิดหน้าต่างพวกนี้เสร็จแล้วก็จบงาน”


ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าประโยคหลังสุดดีนกำลังบอกตัวเองมากกว่าบอกเขา แมคเคนซีสวมกอดอีกฝ่ายตอบทั้งที่มือยังกำม้าน้ำกระเป๋าที่เพิ่งมีชื่อว่า ‘ดีนสอง’ เอาไว้

“อืมฮึ แน่นอน มันจะไม่เป็นไร ทุกอย่างต้องโอเค”

ปลายจมูกกดหอมที่แก้มคนรักเบา ๆ เป็นการปลอบโยนและให้กำลังใจ ฝ่ามือใหญ่ตบแผ่นหลังกว้างเบา ๆ แล้วจึงค่อย ๆ คลายกอดออก

“ถ้ามีอะไรนายวอเรียกทันทีเลยนะ ฉันจะรีบไปหา”


“โอเคได้”

คล้ายกับได้พลังใจคืนกลับมาบางส่วน… จากนั้นทั้งสองก็แยกกันไปจัดการงานของตัวเองทันที

.
.
.

“ฮึบ! ไอ้นี่มันหนักใช่เล่นเลยแฮะ”

ครืดดดด กึง!

ดีนบ่นอุบขณะที่ยกแผ่นระบายอากาศเปิดออกได้หนึ่งแผ่น เขามองไปตามแนวเรือ ยังมีอีกหลายสิบแผ่นที่ต้องเปิด

“ปวดกล้ามเนื้อแน่คืนนี้…”


ทางด้านแมคเคนซีก็เริ่มเปิดแผ่นระบายอากาศฝั่งของตัวเอง

“ฮึบ…อื้อ !”

เขาถึงกับต้องออกแรงเยอะกว่าปกติ น้ำหนักของมันชวนให้นึกถึงตอนเข้าคลาสเรียนการใช้ดาบและโล่ที่ต้องยกโล่อัสพิสซึ่งหนักถึง 7 กิโลกรัม ดีที่ว่าช่วงหลังเขาเริ่มหันมาออกกำลังกายแล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้แขนล้าตั้งแต่เปิดแผ่นระบายอากาศไม่ถึง 3 บาน

“แบ๊ะ..แอ๊ะ ๆๆๆๆๆ !!”

“เหวอ !”

หลังจากเปิดแผ่นระบายอากาศไปได้ประมาณหนึ่ง แสงแดดจากปรากฏการณ์รัตติกาลสาบสูญก็ส่องผ่านเข้าไปในคอกสัตว์ แน่นอนว่าเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ที่กำลังนอนหลับกันอย่างสงบสุข เมื่อถูกแสงจ้าราวกับไฟหน้ารถยนต์สาดใส่เข้าเต็ม ๆ ก็เกิดอาการตกใจตื่น บางตัวก็ร้องเสียงดัง บางตัวก็ลุกขึ้นเดินวนไปมาเบียดเสียดกันอยู่ในคอกด้วยความแตกตื่น เมื่อมองลอดผ่านแผ่นระบายอากาศเข้าไปแล้ว เหตุการณ์ค่อนข้างกลลาหลทีเดียว

“วอ.ห้า มาร์ค เรียก วอ.ห้า….ชาลี เปลี่ยน”

หนุ่มอังกฤษรีบหยิบวอล์กกี้ทอล์กกี้ขึ้นมาติดต่อหาน้องสาวที่ทำงานอยู่ในส่วนห้องขนส่งสัตว์ทันที

ซ่า..ฟุ่ด ๆ วอ.ห้า ชาลีรับ เปลี่ยน’

รอเพียงไม่นานก็มีเสียงตอบรับจากชาร์ล็อตกลับมา เด็กสาวจงใจดัดเสียงให้ทุ้มต่ำกว่าปกติเล็กน้อย

“ห้องขนส่งสัตว์เป็นยังไงบ้าง”

แมคเคนซีถามพลางมองหาน้องสาวผ่านแผ่นระบายอากาศที่เปิดไว้แล้วไปด้วย

ซ่า….ฟุ่ด ห้องขนส่งสัตว์ ปกติค่ะ’

“รับทราบ….”

เสียงฝูงสัตว์นานาชนิดเงียบลงพร้อมกับการสิ้นสุดบทสนทนา เขาเห็นเหมือนว่าชาร์ล็อตกำลังใช้คทาจำลองอันเล็กร่ายเวทบางบท เพียงไม่นานสัตว์เล่านั้นก็สงบลง เมื่อสถานการณ์น่าวางใจขึ้นแล้วแมคเคนซีก็ทำหน้าที่ของตนเองต่อ


ตัดกลับมาทางฝั่งดีน…

ชายหนุ่มเห็นความตื่นตระหนกของฝูงแกะในคอกผ่านลูกกรงแล้วยิ่งล่กกว่าเดิม ดีที่แมคเคนซีและชาร์ล็อตแก้ไขสถานการณ์กันทันก่อนที่จะเกิดความโกลาหล

ตอนนี้เขาเปิดช่องระบายอากาศได้ครึ่งนึงแล้ว เป็นงานที่ใช้แรงใช่เล่นทำเอาเหงื่อออกตามใบหน้าจนแว่นตากรอบหนาลื่นออกจากดั้งจมูก แม้ตอนนี้เวลาจะล่วงเลยมาจนเกือบสามทุ่มแล้วทว่าแสงแดดของต้นฤดูร้อนยังแผดเผาไม่หยุด จนตอนนี้ชายหนุ่มเกิดอาการหน้ามืด

“น้ำ ๆ ขอน้ำหน่อย”

ดีนใช้พลังควบคุมน้ำจากรางน้ำแกะให้ลอยขึ้นมาเป็นลูกบอล แกะซุกซนตัวหนึ่งพยายามไล่งับมัน บุตรโพไซดอนปล่อยน้ำจืดให้รดลงบนศีรษะของตนเองเพิ่มความสดชื่นดับร้อน และเพียงไม่ถึงครึ่งนาทีน้ำที่เปียกชุ่มไปตามเสื้อผ้าก็แห้งสนิทจากพลังคุ้มครองเปียก

“เอาล่ะลุยต่อ”

น่าจะเหลืออีกเพียงแค่ห้าบานสุดท้ายถึงจะเสร็จสิ้นในแถบของเขา ระหว่างนี้ได้ยินเสียงรายงานการซ่อมแซมระบบไฟฟ้าอยู่เนือง ๆ จากวอล์กกี้ทอล์กกี้

ซ่า…. ฟุ่ด วอ.สาม เรียก วอ.หนึ่ง เปลี่ยน ฟุ่ด

ซ่า…. ฟุ่ด…ฟุ่ด วอ.หนึ่ง รับ เปลี่ยน’

ซ่า…. ตรวจพบสาเหตุ เครื่องปั่นไฟหลักดับเพราะไส้กรองน้ำมันตัน ต้องเปลี่ยนใหม่ ไล่ลมทั้งระบบ คาดว่าใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงในการแก้ไขพร้อมทดสอบระบบและรีเซ็ตเครื่องครับกัปตัน เปลี่ยน’

ซ่า…. ฟุ่ด ๆ รับทราบ วอ.สอง ออกประกาศเตือนลูกเรือทุกคน ใช้ไฟฉุกเฉินเท่าที่จำเป็น ห้ามเปิดระบบอัตโนมัติเด็ดขาด เปลี่ยน’

ซ่า…. ฟุ่ด รับทราบ กำลังดำเนินการ ฟุ่ด

ความจริงกัปตันไม่ต้องให้ วอ.สองออกประกาศเตือนก็ได้เพราะทุกคนที่มีวอล์กกี้ทอล์กกี้ย่อมได้ยินเรื่องนี้กันหมดแล้ว… เอาล่ะ แล้วก็มาถึงช่องระบายอากาศบานสุดท้ายที่ดูเหมือนจะฝืดกว่าปกติ

“ฮึบ! หนักจังว้อยยย” บ่นสร้างพลังระหว่างออกแรงดันขึ้นไปจนสุด “เฮ้อ… เห็นทีต้องบอกลุคส์ให้มาหยอดน้ำมันสักหน่อยแล้วมั้ง”

เมื่อเสร็จงานทางฝั่งนี้ดีนก็เดินกลับไปหาแมคเคนซีโดยไม่คิดจะสื่อสารผ่านวิทยุ


ฝ่ายแมคเคนซีเองก็พยายามรีบเปิดแผ่นระบายอากาศให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้กลับไปหาดีนและชาร์ล็อตตามที่นัดกันไว้ ตอนนี้เขารู้สึกปวดล้าตามแขนไปหมด แถมมือทั้งสองข้างที่ใช้ออกแรงดันก็ชาจนแทบไม่รู้สึกอะไร

“เสร็จแล้วเหรอ เรียบร้อยดีไหม”

“เรียบร้อยดี” ดีนยกนิ้วโป้งที่อยู่ใต้ถุงมือผ้าขึ้นมา แต่ดูเหมือนว่ากล้ามเนื้อของเขาจะเต้นระริกจนสั่นไปหมด หากในตอนนี้มีอสุรกายโผล่ออกมาก็ไม่คิดว่าจะสู้ไหว “พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ ตรงนี้ร้อนมาก”

จูงมือแมคเคนซีเข้าไปในตัวเรือ แต่เมื่อเดินเข้ามาก็ต้องรีบปล่อยมือออกเพราะเห็นใครบางคนที่คุ้นเคยกำลังเดินมาทางนี้ เจคอป แพร์โรว์ รองกัปตันที่รับหน้าที่มาแจ้งข่าวจากกัปตันเรือ

“ทางพวกนายเป็นไงบ้าง?” เจคอปถาม

“เพิ่งเปิดช่องระบายอากาศกันเสร็จครับ ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้ บางบานฝืดเกิน คุณช่วยให้ช่างมาดูหรือหยอดน้ำมันหน่อยได้ไหม” พอได้โอกาสก็ฟ้องทันที

“ได้สิคุณหมอ เดี๋ยวจะแจ้งให้ช่างดูแล.. แต่ต้องหลังจากที่ซ่อมไฟฟ้าเสร็จแล้วล่ะนะ” รองกัปตันรับเรื่องจากนั้นเข้าธุระ “ว่าแต่.. แล้วพวกสัตว์ล่ะ มันโอเคกันดีไหม?”

เจคอปชะโงกหน้าเข้าไปดูในคอกสัตว์ เป็นจังหวะที่ชาร์ล็อตวิ่งออกมา เธอคงเห็นว่าเจ้านายมาตรวจงาน

“ให้น้ำแกะเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ พวกมันตกใจนิดหน่อย แต่ว่าหนูช่วยทำให้สงบลงแล้ว”

เจคอปทำหน้าปุเลี่ยนระหว่างที่ชาร์ล็อตในคราบ ‘ชาลี กะเทยน้อย’ รายงานผล ชายร่างท้วมมองสาวน้อยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

“ก็ทำมาเหมือนเกิ๊น” เขาพึมพำ จากนั้นกระแอม “งั้นฝากพวกนายดูสัตว์ต่อจนกว่าระบบไฟฟ้าจะซ่อมเสร็จด้วย ถึงจะเปิดช่องระบายอากาศเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่พัดลมยังไม่ทำงาน แดดร้อนขนาดนี้เดี๋ยวพวกมันจะเป็นฮีทสโตรกกันไปก่อน”

“รับทราบครับ จะดูแลอย่างดีเลย” ดีนรับปาก ก่อนที่เจคอปจะไป เขาก็ยังมิวายเหลียวมองชาร์ล็อตอยู่เรื่อย ๆ


“หนูดูไม่เนียนเหรอคะ”

ชาร์ล็อตหันมาถามพี่ชายทั้งสองคน เธอคงสังเกตได้ยามถูกสายตาของคนในเรือจ้องมอง

“ก็…จะว่ายังไงดี”

แมคเคนซีเหลือบมองดีนเล็กน้อย คาดเดาว่าอีกฝ่ายคงคิดไม่ต่างกัน

“พวกนั้นน่าจะคิดว่าเธอสวยเหมือนผู้หญิงเลย”

คนเป็นพี่บอกแล้วยิ้มน้อย ๆ หากให้พูดในฐานะผู้ชายคนนึง เขาก็คิดว่าธิดาเฮคาทีคนนี้งดงามไม่น้อย เพียงแต่ตอนนี้เธอดูโทรมลงนิดหน่อยจากการถูกพวกลัทธิเดอะวอชเชอร์จับขังไว้เป็นเวลานาน หากได้แต่งหน้าแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบที่เธอชอบ ได้ทำสีผมและทรงผมแบบที่เธอชอบทำ เธอก็จะดูสวยและสดชื่นมากกว่านี้


“น่าจะใช่ เมื่อกี้ฉันได้ยินเขาพูดว่า ‘ทำมาเหมือนเกิน’

ดีนให้ความคิดเห็นเพิ่ม เขายังไม่อยากคิดในแง่ร้ายว่า ‘ถูกจับได้แล้ว’ เพราะงั้นช่างมันก่อน เพราะว่างานที่ต้องจดจ่อยังไม่จบจนกว่าระบบไฟฟ้าจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ เดมิก็อดทั้งสามจึงกลับมาประจำการในส่วนคอกสัตว์

น้ำในรางอาจไม่ช่วยให้เกิดความสดชื่นมากนัก ดีนจึงใช้พลังควบคุมน้ำ คอยพรมน้ำแก่เหล่าสัตว์เหมือนกับที่เขาทำให้ตัวเอง พวกมันจะได้ไม่ต้องแย่งน้ำดื่มกันมากเกินไป ระหว่างนี้ก็คอยฟังคำสั่งจากวิทยุสื่อสารไปพลาง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการคุยกันของช่างเครื่องล้วน ๆ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับทั้งสามเลยสักนิด

เวลาผ่านไปราว ๆ ชั่วโมงครึ่งการซ่อมแซมจึงเสร็จสิ้นพร้อมทดสอบระบบไฟฟ้า

ซ่า…. ฟุ่ด วอ.สาม เรียก วอ.สอง... รายงานสถานะครับ เปลี่ยน’

ซ่า…. ฟุ่ด ๆ วอ.สอง รับ ซ่า… รายงานมาเลย เปลี่ยน’

'ซ่า…. ไส้กรองน้ำมันใหม่ติดตั้งเรียบร้อย ระบบไล่ลมเสร็จสมบูรณ์ ฟุ่ด… เครื่องปั่นไฟหลักกลับมาเดินเครื่องปกติแล้วครับ ซ่า… ไฟฟ้าทั่วเรือกำลังทยอยเชื่อมกลับเข้าสู่ระบบ ฟุ่ด ๆ

ซ่า…. รับทราบ วอ.สาม วอ.สี่ ทำได้ดีมาก ต่อจากนี้ให้ตรวจสอบโหลดระบบในแต่ละโซน ถ้ามีสัญญาณกระตุกหรืออุปกรณ์รีเซ็ตไม่สมบูรณ์ให้รีบแจ้งทันที เปลี่ยน’

ซ่า…. ฟุ่ด ๆ รับทราบ จะเดินตรวจตามลำดับโซนจากท้ายเรือขึ้นหัวเรือ รายงานผลทุกสิบห้านาที เปลี่ยน’

ซ่า…. วอ.สอง รับ.... ฟุ่ด

ดูเหมือนว่ารองกัปตันจะรับหน้าที่ดูแลงานต่อจากกัปตันเรือเมื่อสถานการณ์ไม่ได้เลวร้าย ไฟฟ้าหลักกลับมาทำงานตามปกติ ตามมาด้วยเสียงของเครื่องกลเรือ ประตูช่องระบายอากาศที่เปิดอย่างยากเย็นด้วยแรงแขน ถูกปิดอย่างง่ายดายด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว

ซ่า… ฟุ่ด วอ.ห้า ได้ยินไหม สถานการณ์คอกสัตว์เป็นยังไงบ้าง เปลี่ยน’

พอคิดว่าจบเรื่องแล้วก็ถูกเรียกถามทุกที ไว้ใจไม่ได้เลยเชียว ดีนหันไปมองแมคเคนซีอย่างชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจยกวอล์กกี้ทอล์กกี้ขึ้นมากดปุ่มตอบเอง

“วอ.ห้ารับครับ เอ่อ… สถานการณ์ปกติดีครับ ไฟติดแล้ว ระบบเครื่องระบายอากาศกลับมาทำงานปกติ สัตว์ปกติไม่มีอาการตกใจ และไม่ได้ขาดน้ำ เดี๋ยวจะเดินเช็คอีกทีครับ…. เปลี่ยน”

‘ซ่า…. รับทราบ ซ่า…. เรียก วอ.หก เปลี่ยน….’

เจคอปวิทยุเช็คหน่วยต่าง ๆ หลังจากแผนกสัตว์ไปอีกสิบสองหน่วยหลังจากนี้ จนเช็คแล้วว่าเหตุการณ์กลับมาปกติดี ทั้งเรือก็ได้รับวิทยุแจ้งสุดท้ายจากกัปตันโรเจอร์ส

ซ่า…. ฟุ่ด ๆ ขอบคุณทุกฝ่าย ทุกคนทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยม แจ้งลูกเรือทั่วไปว่าเรือกลับเข้าสู่สถานะปกติแล้ว เปลี่ยน’

จากนั้นวิทยุสื่อสารก็เงียบสนิทเป็นสัญญาณอันดีของการจบโอทีที่ไม่ได้เงิน

“เฮ้อ… ได้เวลากลับไปพักกันจริง ๆ สักทีสินะ” ดีนเป่าปาก เขาทำท่าคล้ายจะหมดแรง “เพิ่งอาบน้ำมาเอง สงสัยต้องไปอาบอีกรอบแล้วสิ”


“ก็คงต้องอย่างนั้น…”

แมคเคนซีบอกแล้วฉวยวอล์กกี้ทอล์กกี้ในมือดีนมาปิดเครื่องแล้วส่งคืนให้ ภารกิจในฐานะคนดูแลสัตว์ของพวกเขาในค่ำคืนนี้จบลงแล้ว ดีนกับชาร์ล็อตไม่จำเป็นต้องเปิดมันอีก

“ไปพักผ่อนกันเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีก”

เขาบอกพลางหันไปดูพวกสัตว์ภายในห้องอีกที คราวนี้พวกมันน่าจะกลับมานอนได้อย่างสงบสุขโดยไม่โดนแสงอาทิตย์แยงตาอีก

.
.
.

-10:15 P.M.-

“ราตรีสวัสดิ์นะคะพี่ ๆ พรุ่งนี้พบกันค่ะ”

ชาร์ล็อตบอกพี่ชายทั้งคู่เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องพัก ใบหน้าน่ารักของเธอดูเหนื่อยเล็กน้อยจากการทำงาน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มได้อยู่


“ราตรีสวัสดิ์นะชาลี” ดีนยิ้มหน้าง่วงโบกมือบ๊ายบายน้องสาวแฟน “นี่ก็ดึกแล้ว ฉันว่าเดี๋ยวฉันแยกไปอาบน้ำก่อนดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา แล้วเดี๋ยวตามไปนะ”

เขาบอกกับแมคเคนซีก่อนจะไขกุญแจห้องพักที่ใช้เก็บของเดินเข้าไป ไม่นานมากเสียงซูซ่าของฝักบัวก็ดังตามมา


“โอเค”

แมคเคนซีพยักหน้าให้ดีนแล้วหันมาเรียกรั้งชาร์ล็อตที่กำลังจะเดินเข้าห้องนอนของเธอไว้

“เดี๋ยวชาร์ล็— ชาลี คือ…พี่ว่าจะเขียนจดหมายไปบอกแม่สักหน่อยว่าพวกเราปลอดภัยดี แล้วก็ว่าจะบอกเรื่องจูลี่ด้วย อยากฝากบอกอะไรเธอหน่อยไหม”

ถึงจะมาอยู่ตรงหน้าห้องแล้วแต่สถานการณ์ก็ยังไม่น่าวางใจเลยต้องเรียกนามแฝงกันไว้ก่อน จากที่ประเมินอาการน้องสาวของเขาก็ถือได้ว่าแข็งแรงขึ้นมาระดับนึงแล้ว ประกอบกับมีเรื่องของจูลี่ขึ้นมา แมคเคนซีจึงตั้งใจจะส่งข้อความหาผู้เป็นแม่เพื่อให้เทพีแห่งมนตร์คาถาคลายความกังวลเรื่องลูกสาว…แต่อาจจะกังวลเรื่องลูกชายอีกคนที่เพิ่งหายตัวไปแทน

“อืมมมม…มีค่ะ ๆ อ้อ พี่แมครอหนูแป๊บนึงนะคะ”

ดูเหมือนว่าชาร์ล็อตจะนึกอะไรออก เธอเข้าไปในห้องสักพักแล้วกลับออกมาพร้อมของสิ่งนึง

“นี่เป็นของที่หนูพกติดตัวไว้ใช้ตลอด พี่แมคส่งให้แม่นะคะ แม่จะได้รู้ว่าหนูปลอดภัยจริง ๆ ส่วนข้อความ หนูฝากบอกว่า…”

ชาร์ล็อตฝากข้อความสั้น ๆ เนื่องจากเธอยังไม่สามารถจับดินสอหรือปากกาเขียนได้อย่างคล่องแคล่ว คงต้องให้เวลาอีกสักพักเพื่อให้มือทั้งสองข้างใช้งานได้ปกติ จากนั้นสองพี่น้องนักเวทก็แยกกันกลับเข้าห้องของตนเอง

เมื่อมาถึงในห้องแมคเคนซีก็จัดการอาบน้ำให้เรียบร้อย ก่อนหน้านี้เขาอาบน้ำมาแล้วรอบนึง การล้างตัวจากการทำงานไม่กี่ชั่วโมงที่มีเพียงแค่คราบเหงื่อจึงไม่ได้พิถีพิถันมากนัก ส่วนทางดีน... ว่าจะรีบอาบน้ำให้ไวเพราะว่าดึกแล้ว แต่เขาก็เผลออาบน้ำนานเหมือนทุกครั้งอีกจนได้ ดีนะที่ขอปลีกตัวไปอาบน้ำก่อนไม่อย่างนั้นต้องต่อคิวกันนานแน่


กระนั้นก็มีเรื่องที่น่ากังวลอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ… แมคเคนซีจะหลับไปแล้วหรือยัง หรือว่าเขาต้องกลับไปนอนโดดเดี่ยวแย่งที่กับกระเป๋าใส่อาหารกระป๋องกันนะ

ก๊อก ๆ


หนุ่มอังกฤษที่ตอนนี้อยู่ในชุดนอนอีกชุด เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจึงเดินมาเปิดให้

“เสร็จแล้วเหรอ ถึงนายจะตัวหอมแต่คืนนี้ฉันไม่มีแรงทำอะไรหรอกนะ”

แกล้งพูดแหย่คนรักยิ้ม ๆ แต่งานที่เพิ่มมาในคืนนี้ดันทำเอาเหนื่อยจริง ๆ อีกอย่างเขายังมีเรื่องที่ต้องทำ แทนที่จะไปนอนที่เตียง แมคเคนซีจึงไปนั่งตรงโต๊ะทำงานที่มีของวางเตรียมไว้ครบแล้ว


พอได้ยินประโยคนั้นดีนก็ยู่หน้า เหลือจะเชื่อกับความคิดของอีกฝ่ายจริง ๆ !

“มีแรงทำก็ยอดมนุษย์แล้ว”

หลังจากที่เข้ามาในห้อง บานประตูถูกปิดล็อค ดีนก็ชะโงกหน้ามองข้ามไหล่ของแมคเคนซีที่กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะทำงาน

“นายทำอะไรน่ะ จะส่งของเหรอ?”


“ใช่ ฉันว่าจะเขียนจดหมายบอกแม่เรื่องชาร์ล็อตสักหน่อย นายก็เห็นใช่ไหมว่าเธอดูห่วงชาร์ล็อตมากถึงขนาดส่งร่างเงามาช่วยที่บูเลอร์วาร์ด แล้วก็ว่าจะบอกข่าวจูลี่ด้วย”

แมคเคนซีพยักหน้ารับแล้วก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมายถึงมารดาต่อโดยไม่คิดปิดบังเนื้อหาในจดหมายกับคนรัก


“อ้อ.. ก็ดีนะ ของจูลี่ไม่เกี่ยวกับภารกิจนี้ บางทีแม่นายอาจมีคำตอบให้ก็ได้”

ดีนบอกก่อนจะทิ้งตัวลงเอกเขนกบนที่นอน ที่ต้องพูดแบบนี้เพราะเทพเจ้าชอบกั๊กข้อมูลใด ๆ ก็ตามที่เป็นประโยชน์เมื่อเดมิก็อดกำลังทำภารกิจเดินทางนั้นอยู่ ซึ่งจนทุกวันนี้ยังไม่เข้าใจ…เป็นกฎที่ติ๊งต๊องฉิบเป๋ง

และเมื่อชายหนุ่มหยิบสมาร์ทโฟนเดดาลัสสไลด์ขึ้นก็พบว่ามีข้อความเด้งเข้ามา ไม่ใช่รายชื่อที่ชวนให้ใจหายใจคว่ำ แต่ถูกส่งเข้ามาโดย ‘ระบบ’ เมื่อกดเข้าไป กุหลาบสีทองของจริงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

“ฉันฝากนี่ให้แม่นายด้วยได้ไหม?”

ดีนยื่นกุหลาบสีทองให้แมคเคนซี และนี่คือเคล็ดลับนางฟ้า…

“ฉันไปกดเช็คชื่ออะไรก็ไม่รู้กับแอปเดดาลัส บางทีก็ส่งไอ้นั่นไอ้นี่มาให้ ส่วนวันนี้ได้กุหลาบสีทอง เอาถวายให้แม่นาย เธอจะได้ไม่โกรธที่น้องหายไปอีกคน แล้วก็เผื่อช่วยอวยพรให้เราเดินทางปลอดภัยด้วย”


“อืม…ถ้าเธอมีเบาะแสเกี่ยวกับจูลี่บ้างก็คงดี”

แมคเคนซีพึมพำเบา ๆ คล้ายพูดกับตนเอง หากเทพีผู้เป็นมารดามีข่าวคราวน้องชายคนเล็กของบ้านก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่อย่างไรนางก็ควรรู้ข่าวเรื่องบุตรของตนเองอยู่ดีในฐานะที่เป็นแม่

“หืม…อ้อ ได้สิ แล้วนายมีข้อความอะไรอยากฝากบอกแม่ฉันไหม ฉันจะได้เขียนลงไปทีเดียว”

เขารับดอกกุหลาบจากดีนมาวางลงด้านข้างของของชาร์ล็อต แล้วเขียนข้อความต่ออีกหน่อยจนส่วนของตนเองกับน้องสาวเสร็จ

“ฝากบอกว่าอะไรดี ฉันนึกไม่ค่อยออก…”

ปลายนิ้วที่กลับมาสไลด์หน้าจอชะงักไปเล็กน้อยตอนใช้ความคิด

“เอางี้ล่ะกัน ฝากความคิดถึงสั้น ๆ ไปถึงเธอ” เขากล่าวก่อนเว้นวรรคเพื่อพูดเนื้อหาที่อ้างว่าสั้น…

“สวัสดีครับคุณแม่เฮคาที ผมดีน นีล แฟนของแมคซี่ลูกชายคุณแม่… ผมขอแสดงความห่วงใยไปถึงคุณ แม้ว่าผมไม่เคยมีลูก แต่ก็มีพี่น้อง… ลูก ๆ ของคุณแม่ก็เหมือนกับพี่น้องของผม ทั้งชาร์ล็อต จูลี่ ซิลเวอร์ และนิโคไลที่เพิ่งเจอกันได้ไม่นาน เขาเป็นเด็กดี เป็นคนเก่งที่มีอนาคตไกลกันทุกคน ไม่ควรจะต้องถูกลักพาตัวไปให้มีบาดแผลในใจ ผมเองก็ห่วงใยจูลี่เช่นกัน”

“ผมหวังว่ากุหลาบสีทองดอกนี้จะทำให้คุณผ่อนคลายขึ้น หากมีเรื่องอะไรให้ช่วยเหลือก็ขอให้บอกเพราะว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันครับ… ส่วนตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ในภารกิจเดินทาง ถึงช่วยชาร์ล็อตได้แล้วแต่ก็ยังไม่ปลอดภัย ยังไงก็ช่วยอวยพรให้พวกเราด้วยครับ ผมสัญญาว่าจะดูแลลูกทั้งสองของคุณแม่ให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ขอแสดงความนับถือ… ดีน”

“นายคิดว่าไง? ไม่สั้นไปใช่ไหม?”


“…………”

จากที่ค่อย ๆ เขียนตามคำบอกของคนรัก อยู่ ๆ ก็เหมือนว่าต้องเขียนให้ไวขึ้นซะอย่างนั้น ความรู้สึกของแมคเคนซีในตอนนี้เหมือนกำลังจดเลคเชอร์ในคาบเรียนไม่มีผิด

“ให้ตาย ยาวกว่าของฉันกับชาร์ล็อตรวมกันอีกมั้ง ดูท่าฉันต้องเขียนใหม่ นายจะนอนก่อนไหม”

สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วหยิบกระดาษที่ตอนนี้รีบจดข้อความเสียจนลายมือไม่ต่างจากไก่เขี่ยให้อีกฝ่ายดู


“นายแน่ใจนะว่าแม่จะอ่านออก”

บุตรโพไซดอนหยีตาอ่านลายมือคนรักผ่านแว่นตากรอบหนา ก่อนจะส่ายหน้าดิ๊ก ๆ

“ไม่เอา รอนอนพร้อมกับนาย แต่ว่าไม่ต้องรีบล่ะ ฉันกำลังศึกษาการฝากเงินธนาคารออนไลน์อยู่”

พูดจบก็หันกลับมาจดจ่อที่หน้าจอ เขากะว่าจะฝากดีนาเรียสเขาบัญชีสักเล็กน้อย ค่าเงินนี้ก็ได้มาจากกดเช็คอินรายวันโทรศัทพ์เดดาลัส ยังไงก็ไม่ได้ใช้ทำอะไรอยู่แล้ว เอาไปฝากให้ดอกงอกเงยสำหรับอนาคตอันไกลดีกว่า


“ไม่ออกน่ะสิ ฉันถึงบอกว่าจะเขียนใหม่ไง”

พอเห็นดีนหันไปสนใจโทรศัพท์ แมคเคนซีจึงฉีกหน้ากระดาษเดิมออกแล้วคัดลอกข้อความลงในกระดาษอีกแผ่น

‘สวัสดีครับแม่

ผมมาส่งข่าวเรื่องชาร์ล็อต ก่อนอื่นขอโทษนะครับที่ติดต่อมาช้า ผมกับดีนช่วยเธอออกมาจากบูเลอร์วาร์ดได้แล้วตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง แต่พวกเราต้องวางแผนเดินทางเพื่อทำภารกิจกันต่อ จนตอนนี้พวกเราอยู่บนเรือสินค้าที่กำลังมุ่งหน้าไปโคลอมเบีย ชาร์ล็อตสุขภาพแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ อาจจะยังไม่เต็มร้อยแต่เธอร่างเริงและเข้มแข็งมาก พวกผมจะดูแลเธอให้ดีตลอดการทำภารกิจและพาเธอกลับค่ายอย่างปลอดภัย

ชาร์ล็อตฝากมาบอกคุณด้วยว่า “ขอบคุณคุณแม่มากค่ะที่พยายามาช่วยหนู  แม้จะเป็นร่างเงาแต่หนูก็ดีใจมาก หนูจะพยายามแข็งแรงไว ๆ แล้วกลับค่ายไปฝึกฝนตัวเองให้เก่งขึ้นนะคะ”

เรื่องต่อมาเป็นข่าวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เมื่อสองวันก่อนพวกเราได้ข่าวจากทางค่ายว่ามีเดมิก็อดหายไปสามคน หนึ่งในนั้นมีจูลี่ด้วยครับ นอกจากข้อมูลที่ว่าทั้งสามคนคือกลุ่มที่ไปทำภารกิจด้วยกันก็ยังไม่มีเบาะแสอื่นเพิ่มเติม หากคุณพอจะรู้หรือมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง ผมหวังว่าคุณจะช่วยจูลี่เหมือนที่ช่วยชาร์ล็อตนะครับ’

เขียนมาถึงตรงนี้แมคเคนซีก็หยุดไปเล็กน้อย เรื่องของน้องชายกลับมากวนใจเขานิดหน่อย แต่อย่างที่คุณไครอนบอกไว้ว่าพวกเขาควรจดจ่อกับภารกิจตรงหน้าก่อน หนุ่มอังกฤษพรูลมหายใจบาง ๆ แล้วเขียนข้อความต่อ

‘แล้วก็…ดีนฝากข้อความมาถึงคุณด้วยครับ เขาฝากบอกว่า…’

แล้วเขาก็เริ่มคัดลอกข้อความที่บุตรเจ้าสมุทรบอกก่อนหน้านี้อีกครั้งจนครบถ้วน ก่อนจะเขียนประโยคลงท้าย

‘เรื่องที่ผมจะบอกก็มีเท่านี้ รักษาสุขภาพด้วยนะครับ

ปล. นี่เป็นน้ำหอมของชาร์ล็อตที่เธอฝากให้ผมส่งให้คุณ เพื่อยืนยันว่าเธอปลอดภัยดีครับ

แมคเคนซี’


จากนั้นแมคเคนซีก็นำสิ่งของทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นจดหมาย น้ำหอม และดอกกุหลาบสีทองวางเรียงในกล่องให้เรียบร้อย จากนั้นก็ใช้เทปเฮอร์มีสคาดปิดผนึกฝากล่อง แล้วพัสดุที่จ่าหน้าถึงเทพีเฮคาทีผู้เป็นมารดาก็หายวับไปทันที

รวดเร็วว่องไวสมเป็นเทพเฮอร์มีสจริง ๆ

เมื่อเสร็จธุระแมคเคนซีก็บิดขี้เกียจให้คลายความเมื่อยล้าแล้วเตรียมลุกไปหาคนรักที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง

『แมคเคนซี และ ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล』

เสียงทรงอำนาจอันคุ้นเคยดังขึ้นในหัว ราวกับสะกดไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ดวงตาสีฮาเซลเบิกกว้างเล็กน้อยแล้วมองไปที่ดีนเป็นเชิงถามว่า ‘นายได้ยินเหมือนกันไหม’


ดีนพยักหน้าตอบหงึก ๆ แต่ไม่กล้าส่งเสียง นี่น่าจะเป็นครั้งที่สอง (ไม่นับเงาเฮคาที) ที่ดีนได้สัมผัสถึงเทพีแห่งมนตราติดต่อเข้ามาโดยตรง หวังว่านางจะไม่โกรธเนื้อความในจดหมายที่เขาฝากแมคเคนซีเขียนนะ มือที่กุมมือถือจึงเลื่อนมาแตะแขนคนรักด้วยความสั่นกลัว


ดูท่าว่าดีนคงไม่อยากขัดจังหวะผู้เป็นมารดาของตน ส่วนแมคเคนซีเองก็สงสัยเสียเหลือเกินว่าเหตุใดอยู่ ๆ นางถึงตอบกลับมาเวลานี้  เลยตอบกลับไปเพียงสั้น ๆ

“ครับ แม่…?”

『ข้าขอบใจพวกเจ้าที่ช่วยชาร์ล็อต พวกเจ้าทำสิ่งที่สมควรแล้ว…นั่นคือการช่วยเหลือเพื่อนพ้องและคนในครอบครัว หากแต่ภารกิจครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก พวกเจ้ายังต้องเผชิญอุปสรรคอีกมากมาย และพลังของพวกเจ้ายังไม่พอที่จะต่อกรกับศัตรู』

เรียวคิ้วขมวดมุ่น ก่อนจะถามคำถามต่อไป

“ถ้าอย่างนั้นพวกผมควรทำยังไง…”

เสียงของเทพีแห่งมนตราเงียบไปขณะหนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง

『นอกจากสติสัมปชัญญะแล้ว พวกเจ้าต้องแข็งแกร่งกว่านี้ จงทำพิธีกรรมรับพรแห่งมหาเทพซุสเสีย…』


“รับพรจากอาซุส ยังไงนะครับ?”

ตอนนี้ความสงสัยอยู่เหนือความกลัวในใจ อย่างน้อยนี่คือความปรารถนาดีจากเทพีแก่ลูกชายของนาง หากคิดเข้าข้างตัวเองนิดหน่อย นางอาจจะเป็นห่วงเขาด้วยก็ได้ หรือหากไม่ใช่ก็ขอแตะศอกรับประโยชน์ด้วยคนก็ยังดี

『ภาวนาต่อราชันย์แห่งโอลิมปัส อัญเชิญพลังแห่งซุสสู่ตัวเจ้า ศักยภาพที่ถูกซ่อนเร้นจะถูกกระตุ้นด้วยสายฟ้า』

“โอ๊ะโอ..” ดีนอุทานออกมาเบา ๆ นึกภาพออกมาเป็นฉาก ๆ เลยว่าต้องโดนสายฟ้าผ่าสักเปรี้ยงแน่ ๆ “ถ้างั้น… พวกเราต้องไปยืนให้ฟ้าผ่าเหรอครับ?”

ได้ยินเสียงทอดถอนหายใจมาจากราชินีแม่มด หากนางปรากฏกายอยู่ตรงนี้อาจเห็นว่าเทพีกลอกตาไปแล้วสามตลบ

『ไม่จำเป็น』


ส่วนแมคเคนซีก็ฟังคำแนะนำจากมารดาเพียงเงียบ ๆ แล้ววิเคราะห์ตามไปด้วย

“ถ้าอย่างนั้น…ก็แค่ตั้งสมาธิแล้วอธิษฐานจิตถึงมหาเทพซุส แบบนั้นหรือเปล่าครับ”

『แทนที่พวกเจ้าจะมัวถามข้าว่าสิ่งใดผิดหรือถูก เหตุใดจึงไม่ลองหาคำตอบเสียเองเล่า…』

แล้วเสียงของมารดาก็หายไป เหมือนจงใจทิ้งปริศนาให้พวกเขาทั้งคู่หาทางกันเอง แมคเคนซีจึงหันไปถามความเห็นดีน

“เหมือนว่าเธอจะไม่อยู่แล้ว เราลองดูกันสักหน่อยไหม”


“เอ่อ.. สงสัยคงต้องอย่างนั้น อย่างน้อยก็ดีนะที่ไม่ต้องวิ่งออกไปเกาะสายล่อฟ้าให้ฟ้าผ่าลงมา”

ดีนดันตัวขึ้นนั่งหลังตรง จากนั้นเรียบเรียงคำแนะนำของเทพีเฮคาทีในหัว ต้องทำยังไงบ้างนะ? ภาวนาต่อซุส ขอเชิญพลังสายฟ้าเพื่อปลดศักยภาพที่ซ่อนเร้น

บุตรแห่งทะเลหลับตา สูดหายใจเข้าลึก ๆ

‘ข้าแต่ราชันย์เทพซุส ผู้ทรงอำนาจแห่งท้องฟ้าและสายฟ้า ข้าขออัญเชิญพลังของท่านมาสถิตในกาย เพื่อปลดล็อกขีดจำกัดและก้าวสู่ศักยภาพที่แท้จริง ขอให้พรแห่งท่านนำพาข้าไปสู่ความแข็งแกร่งอันไร้ขีดจำกัด!’

ภายในห้องปิดที่ใช้ระบบปรับอากาศตามปกติ ทว่าดีนกลับรู้สึกได้ถึงกระแสลมแรงพัดผ่านร่างกายคล้ายกับว่าตนเองลอยอยู่เหนือเวหา เสียงคำรามของสายฟ้าดังขึ้นในหูเหมือนส่งผ่านมาจากที่ไกล ๆ ก่อนจะเข้าใกล้เรื่อย ๆ จนร่างกายซึมซับกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านกระตุ้นจุดไหลเวียนของเลือด ...ราวกับว่าพันธนาการบางอย่างหลุดออกไป

คล้ายกับตอนที่ปลดพลังจากเจ้าสมุทร ชายหนุ่มกำลังคิดว่าตอนที่เอมีเลียธิดาแห่งซุสรับพรแห่งเทพ เธอคงรู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน

และเขาก็นึกอะไรได้อีกอย่าง… ตอนนี้ซุสกำลังเชื่อมต่อกับพวกเขาอยู่

‘คุณอาครับ ผมอยากขึ้นเครื่องบิ—..’

เปรี๊ยะ!

ไฟฟ้าสถิตย์เกิดขึ้นอย่างแรงที่ขนแขนบุตรแห่งโพไซดอน เล่นเอาจเจ้าตัวสะดุ้งโหยง

คล้ายกับการหยอกเย้าของอาที่มันเขี้ยวหลานชายจากพี่ชายที่ไม่ชอบหน้าจึงแอบดึงขนแขนเด็ก ดีนไม่รู้สึกถึงเทพสายฟ้าอีก ทว่าร่างกายเบาหวิวเหมือนขีดจำกัดถูกปลดปล่อยขึ้นมาอีกนิด

“อูย.. หยอกทีแขนแทบไหม้”


.
.
.

เมื่อเห็นดีนหลับตาลง แมคเคนซีจึงลองทำบ้าง หลังจากที่ปิดเปลือกตาลงแล้วตั้งสมาธิให้แน่วแน่ถึงมหาเทพซุสแห่งโอลิมปัส จากนั้นก็เริ่มภาวนาภายในใจ

‘ข้าแต่ราชันย์เทพซุส ผู้ทรงอำนาจแห่งท้องฟ้าและสายฟ้า ข้าขออัญเชิญพลังของท่านมาสถิตในกาย เพื่อปลดล็อกขีดจำกัดและก้าวสู่ศักยภาพที่แท้จริง ขอให้พรแห่งท่านนำพาข้าไปสู่ความแข็งแกร่งอันไร้ขีดจำกัด!’

เกิดความเงียบชั่วครู่จนแมคเคนซีคิดว่าอาจไม่ได้ผล แต่ทันใดนั้นก็เหมือนมีสายลมพัดผ่าน ซึ่งเขาแน่ใจว่าไม่ใช่ระบบปรับอากาศภายในห้องแน่ ๆ ตามมาด้วยเสียงคำรามของฟ้าที่ดังขึ้นในโสตประสาทราวกับกำลังจะเกิดพายุฝนในไม่ช้านี้แต่ในความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ จากนั้นที่ปลายนิ้วก็รู้สึกได้ถึงกระแสไฟฟ้าที่ค่อย ๆ แล่นริ้วตามแขนขึ้นมาเรื่อย ๆ จนไหลเวียนอยู่ทั่วร่าง คล้ายช่วงเวลาที่ได้รับทักษะใหม่จากผู้เป็นมารดา เพียงแต่พลังจากมหาเทพนั้นแม้จะน้อยนิด แต่เขากลับรู้สึกว่าพลังในร่างกายกลับถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

แล้วดวงตาสีฮาเซลก็ค่อย ๆ ลืมขึ้น สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกคือบุตรแห่งเจ้าสมุทรที่กำลังดูแขนของตนเอง

‘หวังว่าสิ่งที่แม่แนะนำจะใช้ได้ผล’

“นอนกันไหมดีน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”

แมคเคนซีบอกแล้วก็มานอนบนเตียง เขาพร้อมแล้วที่จะนอนเบียดคนรักบนเตียงสามฟุต หลับใหลไปพร้อมกันเพื่อตื่นมาในวันรุ่งขึ้น

.
.
.

ขณะที่ลูกเรือบางส่วนกำลังเข้าสู่นิทราและช่างเรือกะกลางคืนเข้ากะทำงาน พวกเขาไม่รู้เลยว่ามีภัยร้ายใต้น้ำกำลังคืบคลานเข้ามาที่ ‘เรือโบอิ้งแมรี่’





ครืนนนน...





ซ่า.... ฟุ่ด

...มันกำลังตามสัญญาณที่กะพริบอยู่บนวอล์กกี้ทอล์กกี้ที่อยู่ในครอบครองของเดมิก็อด…




ความคิดเห็นผู้บันทึก
โชคดีชะมัดที่ไม่ได้ใช้แผนแอบเข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์เพื่อขึ้นเรือ ไม่งั้นนะซี้แหงแก๋
ถ้าใครจะลักลอบขึ้นเรือสินค้าแบบพวกเรา อ่านบันทึกตอนนี้น่าจะได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย

สรุปสถานการณ์
- รับฟังเรื่องที่น่าสนใจจากลูกเรือผู้มากประสบการณ์
- ระบบไฟฟ้าในเรือขัดข้องจึงต้องแก้ไขปัญหาตามหน้าที่ของตนเอง
- แมคเคนซีเขียนจดหมายถึงเทพีเฮคาทีพร้อมแนบจดหมาย (เนื้อหาตามโรลเพลย์)
- เทพีเฮคาทีติดต่อกลับมาด้วยเสียง แนะนำเรื่องปลดศักยภาพเพิ่มเติมจากซุส

DEAN


ความสัมพันธ์ต่อ [เทพีเฮคาที]
มอบ [กุหลาบสีทอง] โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +50

+5 โบนัสความโปรดปรานจากการใส่ [กุหลาบสีน้ำเงินทอง]
HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25
รวม +80 ความโปรดปราน

ความสัมพันธ์ต่อ [เทพซุส]
+5 โบนัสความโปรดปรานจากการใส่ [กุหลาบสีน้ำเงินทอง]

HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25
รวม +30 ความโปรดปราน


เลื่อนระดับ LV. MAX

+2 Point


ฝากประจำ Online ธนาคารนิวโรม
487 ดีนาเรียส

MACKENZIE

ความสัมพันธ์ต่อ [เทพีเฮคาที]
มอบ [เทปเฮอร์มีส] และ [น้ำหอมสตรี] 
โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +15

+5 โบนัสความโปรดปรานจากการใส่ [กุหลาบสีน้ำเงินทอง]
HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25
รวม +45 ความโปรดปราน


ความสัมพันธ์ต่อ [เทพซุส]
+5 โบนัสความโปรดปรานจากการใส่ [กุหลาบสีน้ำเงินทอง]

HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25
รวม +30 ความโปรดปราน

เลื่อนระดับ LV. MAX

+2 Point



 ▼กดปิดเสียงข้างล่าง▼

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-01-1] ซุส เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2025-7-24 10:13
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-21-1] เฮคาที เพิ่มขึ้น 80 โพสต์ 2025-7-24 10:12
โพสต์ 153614 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-7-24 04:35
โพสต์ 153,614 ไบต์และได้รับ +7 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ จาก Anker PowerCore  โพสต์ 2025-7-24 04:35
โพสต์ 153,614 ไบต์และได้รับ +13 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +25 ความกล้า +18 ความศรัทธา จาก หมวกคอรินเธียน  โพสต์ 2025-7-24 04:35
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
Anker PowerCore
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่อัสพิสขัดเกลา
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x10
x2
x3
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x3
x1
x3
x1
x1
x4
x6
x1
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x6
x2
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-8-4 02:57:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-18 00:44

XI
ทีมเวิร์คสุดเจ๋ง กับ  'เอ็กซ์คาลิเบอร์' อะไรกันเนี่ย !?
 Mackenzie Claude Lincoln 

- 23.05.2025 / 8:10A.M. - เรือโบอิ้งแมรี่, มหาสมุทรแอตแลนติกใต้


หลังผ่านเหตุการณ์ไฟฟ้าขัดข้องเมื่อคืนวานมาได้ เช้าวันนี้กิจวัตรของเหล่าคนบนเรือขนส่งสินค้าโบอิ้งแมรี่ก็ยังดำเนินไปปกติดังเช่นทุกวัน หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ ลูกเรือประจำหน่วยต่าง ๆ ก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน แน่นอนว่าเดมิก็อดทั้งสามเองก็เช่นกัน

ที่ห้องขนส่งสัตว์วันนี้บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ยังคงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเช่นเคย หลังจากที่กินอิ่มแล้ว พวกมันก็เริ่มพักผ่อนนอนหลับ เจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์จำเป็นทั้งสามจึงไม่ต้องรับภาระหนักเท่าที่ควร

“พรุ่งนี้เรือจะเข้าฝั่งที่โคลอมเบียแล้ว เราก็จะไม่ได้ดูแลพวกน้อง ๆ แล้วสินะคะ”

ชาร์ล็อตเอ่ยขณะมองเจ้าฟลัฟฟี่ที่ตอนนี้แม้จะยังมีเฝือกพันขาที่หักอยู่ แต่เจ้าแกะก็เริ่มกินอาหารได้เยอะขึ้น เธอคงเหงานิดหน่อยที่ต้องบอกลาเจ้าพวกขนฟูนุ่มนิ่มพวกนี้

“ใช่แล้วชาลี นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะได้เล่นกับพวกมันก่อนถูกส่งไปที่คาร์ทาเจน่า”

หลังจากตรวจดูอาการของฟลัฟฟี่เสร็จแล้วสัตวแพทย์เถื่อนก็จดบันทึก ตอนนี้รายงานทั้งหมดยังไม่มีคนมาตรวจทาน ภายนอกดูเนียนก็จริงแต่หากส่งไปถึงลูกค้าต้องรู้ว่าโป๊ะแตกแน่ ๆ ทว่ากว่าจะถึงตอนนั้นพวกเขาทั้งสามคงเผ่นไปไกลแล้ว

“หนูต้องคิดถึงพวกน้องมากแน่ ๆ เลย”

ชาร์ล็อตที่ตอนนี้ถูกเรียกว่า
‘ชาลี’ พึมพำเบา ๆ แล้วเธอก็หันไปสนใจฟลัฟฟี่ต่อ

ดีนเลือกจะไม่พูดถึงแผนการหลบหนีออกจากเรือเมื่อถึงท่าเรือคาร์ทาเจน่าตรงนี้ เพราะไม่รู้ว่ากัปตันกำลังดูกล้องวงจรปิดของพวกเขาอยู่หรือเปล่า แต่หากพูดถึงการจากลาพวกสัตว์ก็ถือว่าปกติ เพราะสินค้ามีชีวิตจะถูกส่งลงท่าเรือที่โคลอมเบียก่อนไปต่อทางฝั่งทะเลแปซิฟิก

“แต่ว่านะ.. ฉันมีความสุขจังที่ได้ทำงานนี้ พอจะมีประสบการณ์ไปทำฟาร์มที่กลอสเตอร์แล้วหรือยังนะ?”

หนุ่มเท็กซัสหันไปยิ้ม.. เขายิ้มให้กับหนุ่มอังกฤษคนรักของเขา ส่วนแมคเคนซีที่กำลังมองฝูงแกะคอกข้าง ๆ ก็หันมายิ้มตอบ

“ถ้าให้ประเมินล่ะก็ นายทำได้ดีเลยที่รัก แต่บ้านฉันตอนนี้ไม่มีฟาร์มวัวแล้วนี่สิ นายคงต้องทำงานฝ่ายพัฒนาวิจัยผลิตภัณฑ์ไปก่อน”

“เหลือวัวแค่สองตัวก็นับเป็นฟาร์มได้—”
วูบบบบ
จู่ ๆ อัญมณีสีฟ้าบนสร้อยข้อมืออัจฉริยะของดีนก็เปล่งแสงสีแดงพร้อมกะพริบเป็นจังหวะช้าเนิบ มันค่อย ๆ เพิ่มจังหวะเหมือนกับสัญญาณเตือนที่น่ากลัว ชายผู้เป็นเจ้าของชะงัก เขามองการแจ้งเตือนด้วยใบหน้าซีดเผือด
กุกกัก… นี่คือกัปตันโรเจอร์สพูด…’
คราวนี้เสียงของกัปตันโรเจอร์สดังขึ้น ไม่ได้ดังมาจากวิทยุสื่อสารทว่าดังมาจากลำโพงที่ติดอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของเรือโบอิ้งแมรี่

‘ขณะนี้เราตรวจพบฝูงวาฬหลังค่อมกำลังว่ายเข้ามาใกล้เส้นทางของเรือ เพื่อความปลอดภัยของทุกคนบนเรือและเพื่อไม่รบกวนวาฬ ขอให้ลูกเรือทุกนายประจำตำแหน่ง เตรียมปรับทิศทางเรือไปทางทิศเหนือทันทีและลดความเร็วลงครึ่งหนึ่ง กรุณาปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด และขอให้ผู้โดยสารหลีกเลี่ยงการออกมาบริเวณดาดฟ้าชั้นบนในเวลานี้ ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ’

“ว้าววว ฝูงวาฬเหรอคะ หนูอยากออกไปดูจัง”

ถึงแม้ไม่ใช่สัตว์โลกปุกปุยแบบที่ชาร์ล็อตชอบ แต่การได้ชมวาฬหลังค่อมในมหาสมุทรก็ถือเป็นเรื่องยาก ธิดาเฮคาทีจะสนใจคงไม่ใช่เรื่องแปลก และใช่.. หากกำไลอัจฉริยะของดีนไม่เปล่งแสงแจ้งเตือนสีแดง เขาคงเป็นอีกคนที่พร้อมจะแหกกฎที่กัปตันสั่งไว้

แต่นี่มันไม่ใช่น่ะสิ…

หลังจากพักบทสนทนาอันผ่อนคลายและตั้งใจฟังประกาศจากกัปตันเรือกันแล้ว แมคเคนซีก็มุ่นคิ้วเล็กน้อย

“เขาสั่งห้ามไม่ให้ขึ้นไปบนดาดฟ้านี่สิ ว่าแต่เวลาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเราต้องทำอะไรบ้างไหม หรือต้องคอยดูแลไม่ให้สัตว์พวกนี้ตกใจอีก”

หากวิเคราะห์ตามประกาศของโรเจอร์สแล้ว แม้จะปรับทิศทางเรือแต่ลดความเร็วลงครึ่งหนึ่งคงไม่ได้ทำให้ฝูงสัตว์ตื่นตกใจ แต่ดูท่าว่าคนที่มีอาการนั้นคือแฟนหนุ่มข้างกายต่างหาก

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า สีหน้าดูไม่ค่อยดีนะ”

ความหวาดกลัวในใจเข้าคืบคลานบุตรเจ้าสมุทร ฉากวินาศกรรมบนเรือคาตามารันหวนกลับมาอีกครั้ง ภาพของฮิปโปแคมปัสสี่ตัวร่างสลายไปต่อหน้าต่อตา สัมผัสของหนวดหมึกขนาดยักษ์ที่บีบรัดร่าง เสียงของกระดูกค่อย ๆ แตกร้าวเป็นเสี่ยง ๆ ความเจ็บปวดอย่างสาหัสจนแทบจะสิ้นลมหายใจ

หากดีนไม่ใช่บุตรแห่งโพไซดอนคงตายในน้ำเค็มไปแล้ว ทว่าพรแห่งน้ำเยียวยาทำให้เขารอดพอจะไปฟื้นฟูร่างกายได้ที่แอตแลนติส…

ดีนค่อย ๆ หันไปมองคนรักด้วยใบหน้าตื่นตระหนก ก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ในลำคอจนรู้สึกหายใจไม่สะดวก

เขาน่ะเป็นบุตรแห่งโพไซดอน.. ทว่าแมคเคนซี ชาร์ล็อต และคนอื่น ๆ บนเรือไม่ใช่ ความกลัวจึงครอบครองจิตใจยิ่งกว่าเดิม

“มันไม่ใช่วาฬมันเป็นอสุรกา–...”

ยังพูดไม่ทันจบ เสียงประกาศที่ดังกว่าก็แทรกขึ้น

‘นี่คือกัปตันโรเจอร์ส รายงานสถานการณ์ฉุกเฉิน—... วาฬหลังค่อมเปลี่ยนทิศกะทันหัน กำลังพุ่งเข้าหาเรือโดยตรง ทุกหน่วยเตรียมรับแรงปะทะทันที! ขอให้ลูกเรือทุกนายยึดจุดประจำการแน่นหนา ปิดระบบที่ไม่จำเป็นทั้งหมด ผู้โดยสารโปรดย้ายไปยังพื้นที่ปลอดภัยตามที่ระบุไว้ในคู่มือฉุกเฉิน นี่ไม่ใช่การฝึกซ้อม  ย้ำ! นี่ไม่ใช่การฝึกซ้อม! เตรียมตัวให้พร้อม!’
โครมมมม
ไม่กี่วินาทีหลังการประกาศรอบสองของกัปตัน เรือก็ถูกแรงปะทะมหาศาลชนเข้าที่ท้ายเรือ ร่างของเดมิก็อดทั้งสามที่ยืนอยู่ล้มลง จากนั้นก็กลิ้งไถลไปกับพื้นเหล็กตามทางของห้องคอกสัตว์ เมื่อ ‘อะไรบางอย่าง’ พยายามที่จะปีนจากท้ายเรือขึ้นมาจนหัวเรือเชิดขึ้น

“อึก!”

ดีนซึ่งหลุดออกมานอกห้องหาที่เกาะได้ก่อนที่จะไถลไปจนตกทะเล ดวงตาสีเปลือกไม้ค่อย ๆ หันไปทางท้ายเรือด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ และสิ่งที่เขาเห็นก็คือกรงเล็บยักษ์ขนาดใหญ่เกาะท้ายเรือเอาไว้ ตามด้วยหัวมังกรทั้งหก… ไม่สิ เจ็ด โผล่พ้นขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า

เหมือนทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แมคเคนซียังจับใจความคำพูดของดีนไม่ทันได้ด้วยซ้ำ เสียงตามสายของเรือก็ประกาศขึ้นมา จากนั้นเรือก็โคลงอย่างแรงราวกับชนเข้ากับอะไรบางอย่าง ความลาดเอียงของเรือทำให้แมคเคนซีและชาร์ล็อตเองก็ทรงตัวไม่อยู่เช่นกัน ทั้งคู่เสียหลักล้มลงและไหลตามแรงโน้มถ่วงไป

“พี่แมค ช่วยด้วย!”

เสียงของชาร์ล็อตดังขึ้น ร่างของเธอไถลตามพื้นเรือจนพ้นออกไปนอกห้องขนส่งสัตว์ตามดีนไปติด ๆ แมคเคนซีที่ตามมาเป็นคนสุดท้ายหลังกระแทกกับกำแพงทางเข้าห้อง เขาจึงรีบคว้าบานประตูด้านหนึ่งที่เปิดอ้าค้างพร้อมกับคว้าข้อมือน้องสาวไว้ได้ทันพอดี

“โอเคหรือเปล่าชาร์ล็อต”

ด้วยความตกใจจึงไม่ได้สนใจเรียกนามแฝงของเธออีกต่อไป เมื่อเด็กสาวพยักหน้าแทนคำตอบแล้ว แมคเคนซีจึงหันถามดีนที่อยู่ห่างออกไปไม่มากเป็นลำดับถัดไป

“ดีน นายเป็นไงบ้าง!”

แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย ดีนที่หันหลังให้นิ่งงันเหมือนถูกสาปให้เป็นหิน จนบุตรเทพีแห่งม่านหมอกต้องพยายามหยัดตัวขึ้นมองไปทางท้ายเรือเช่นกัน แล้วเขาก็ได้เห็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เรือต้องตกอยู่ในสภาพนี้

“มอนสเตอร์!?”

“นั่นมัน ไฮดร้า!”

ชาร์ล็อตที่เห็นอสุรกายร่างยักษ์ร้องออกมา ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตระหนก

“กร๊าซซซซซ”

ไฮดร้าเจ็ดหัวคำรามลั่นเหมือนฉากเปิดตัวสัตว์ประหลาดในหนังไคจู แถมขนาดของมันยังใหญ่โตเป็นหลายเท่าของไฮดร้าทุกตัวที่เคยปะมือมา หัวหนึ่งของไฮดร้าทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นลูกเทพในอากาศ ก่อนที่มันจะจดจ้องมายังบุตรเจ้าสมุทรที่ใกล้ปากมากที่สุด มันแสยะยิ้มพร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปากมังกร ไม่คาดคิดว่าอาหารที่ตามหาจะปรากฏอยู่ตรงหน้าเร็วขนาดนี้ ส่วนของหวานอีกสองเอาไว้ค่อยจัดการหลังจากรับประทานมื้อหลักเสร็จ

“ซวยล่ะ..!”

หลังจากตะลึงพรึงเพริดไปนานดีนก็ได้สติ แต่เป็นสติที่เตลิดเปิดเปิง ดีนออกวิ่งสุดกำลังเพื่อที่จะกลับเข้ามาในตัวเรือตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมนุษย์ ในจังหวะที่ไฮดร้าจอมตะกละอ้าปากจะงาบลูกโพไซดอน ไฮดร้าอีกหัวที่หิวโหยกว่าก็กัดคอเพื่อนเพื่อแย่งอาหารทำให้ดีนรอดตายได้อย่างหวุดหวิด แม้ว่าพวกมันจะเป็นตัวเดียวกัน แต่หัวทั้งเจ็ดมีสมองสั่งการของใครของมัน และตอนนี้พวกมันกำลังเปิดศึกแย่งชิง ‘ลูกเทพแสนอร่อย’ กันเอง

ดีนไม่มีเวลาเหลียวหลังหันไปมองเพียงแต่รู้ถึงแรงลมที่พุ่งผ่านหัวของเขาไปไม่กี่ฟุต
ครืนนนน
เครื่องยนต์เรือเร่งกำลังเต็มพิกัดเพื่อหลีกหนีจากฝูงวาฬหลังค่อมจอมบ้าคลั่ง (ที่มนุษย์เห็น) ทำให้ไฮดร้าที่มัวแต่กัดกันเองเสียหลักตกลงไปจากท้ายเรือ

‘นี่กัปตันโรเจอร์ส ถึงทุกคนบนโบอิ้งแมรี่ ฟังให้ดี เราถูกชนแล้ว... และพวกมันไม่ปล่อยเรา ไม่รู้มันทำได้ยังไง เรากำลังเร่งเครื่องเต็มพิกัด ถ้ามันอยากลากเราไป ก็ต้องสู้กับแรงม้าเรือทั้งลำนี้ก่อน! ลูกเรือประจำที่ ย้ำ! ลูกเรือประจำที่ห้ามออกนอกตัวเรือเด็ดขาด!’

กัปตันโรเจอร์สประกาศ ไม่นานจากนั้นเสียงของวอล์กกี้ทอล์กกี้ก็ดังขึ้น เป็นการประสานงานกันตรวจสอบความเสียหายของหลายฝ่าย และหนึ่งในนั้นมีเสียงส่งมาถึง วอ.ห้า
ซ่า… ฟุ่ด ๆ วอ.สอง เรียก วอ.ห้า เปลี่ยน… ซ่า… ฟุ่ด วอ.สอง เรียก วอ.ห้า ได้ยินไหม วอ.ห้า เปลี่ยน… ซ่า… วอ.ห้า!’
แมคแคนซีที่ช่วยพยุงชาร์ล็อตให้ลุกขึ้นมองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง เขาอยากวิ่งเข้าไปช่วยดีนที่กำลังหนีคมเขี้ยวของไฮดร้าเสียเดี๋ยวนั้น แต่เขาไม่มีอาวุธอะไรติดตัวมาเลย แทนที่จะไปช่วยก็อาจกลายเป็นภาระ แต่ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือภาพอสุรกายเจ็ดหัวกำลังกัดหัวของตัวมันเองเพื่อแย่งอาหารกัน และที่น่าพรั่นพรึงอย่างที่สุดก็คือ หัวที่ขาดออกไปของไฮดร้าตนนั้นมีหัวงอกขึ้นมาแทนที่อีกสองหัว!

เสียงจากเครื่องมือสื่อสารประจำเรือดังขึ้นมา แม้มีสิ่งอื่นที่ควรทำยิ่งกว่าแต่แมคเคนซีที่เปิดวอล์กกี้ทอล์กกี้คนเดียวในกลุ่มก็จำเป็นต้องตอบกลับอย่างขัดไม่ได้

“วอห้า รับ เปลี่ยน”
ซ่า… ฟุ่ด.. ฟุ่ด ๆ ห้องขนส่งสัตว์เป็นยังไงบ้าง เปลี่ยน’
เมื่อถูกถามถึงส่วนที่พวกเขาดูแลอยู่ แมคเคนซีก็โผล่หน้าเข้าไปดูด้านใน

“แบ๊ะ แอ๊ะ ๆๆๆๆ !! แบ๊แอ๋ !!”

“มออออออ ม๊อออออออ !!”

เสียงร้องระงมของสัตว์เล็กใหญ่ทำให้เขาแทบกุมขมับ พวกมันคงตกใจตอนที่ท้ายเรือเอียงลงไปจากการพยายามปีนขึ้นมาของไฮดร้าจนไหลลงไปกองรวมกันที่มุมนึงของแต่ละคอก

“พวกมันตกใจนิดหน่อย พวกผมจะดูแลตรงนี้เอง คุณไม่ต้องห่วง”
ซ่า.. ฟุ่ด ๆ รับทราบ’ น้ำเสียงที่ดูร้อนรนและเร่งรีบของแมคเคนซีทำให้รองกัปตันเรือเข้าใจได้ว่าทีมดูแลสัตว์คงกำลังสาละวนช่วยกันทำให้พวกมันสงบลงอยู่ เขาจึงไม่ถามอะไรต่อและเปลี่ยนไปถามสถานการณ์ของหน่วยถัดไป
“พี่แมคไปช่วยพี่ดีนเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูดูแลพวกน้อง ๆ เอง”

ชาร์ล็อตบอกพร้อมกับหยิบคทาเวทพกพาของตนเองออกมา

“ฝากด้วยนะชาร์ล็อต”

แมคเคนซีพยักหน้ารับแล้วรีบออกไปดูสถานการณ์ของคนรัก แต่ก่อนอื่นเขาต้องไปเอาอาวุธประจำตัวก่อน

“ดีน! นายโอเคไหมถ้าจะถ่วงเวลามันไว้แป๊บนึง  ฉันจะไปเอาคทาเวทที่ห้องพักแล้วรีบกลับมา!”

“ถะ..ถ่วงเวลา!?”

ดีนเพิ่งวิ่งมาถึงห้องคอกสัตว์ จากคำพูดของแมคเคนซีพอจะเรียกสติที่เตลิดเปิดเปิงให้กลับมาได้เล็กน้อย เขาหันกลับไปมองด้านหลัง เห็นว่าเรือออกวิ่งทิ้งห่างจากอสุรกายยักษ์ใต้ทะเลมาหนึ่งช่วงตัว ซึ่งระยะห่างขนาดนี้ยังไม่ถือว่ารอดพ้นจากจังหวะการออกตัวของไฮดร้าเลยด้วยซ้ำ เขาภาวนาให้พวกมันกัดกันเองนาน ๆ… 

แต่ความคิดนั้นเป็นอันต้องสะดุดลงเมื่อดีนนับจำนวนหัวมังกรทะเลแล้วพบว่ามันเพิ่มขึ้นมาเองอีกหนึ่งหัว
‘ฉิบหอง! ยังไม่ทันทำอะไรเลยมันก็มีแปดหัวแล้วเหรอ!?!!’
“ได้ ๆ ฉันจะถ่วงเวลาเอาไว้ นายรีบมานะ!”
ดีนร้องบอกคนรัก “ส่วนชาร์ล็อต เธอสแตนบายเอาไว้แล้ว ‘อิกนิส พาร์วัส’ ใส่มันเลยนะถ้าเผื่อว่ามันหัวขาดอีก”

“ได้ค่ะ”

ชาร์ล็อตพยักหน้ารับหลังจากที่เธอใช้คาถางงงันเพื่อเสกให้ฝูงสัตว์ภายในห้องสงบลง

.

.

.


ทางด้านแมคเคนซีที่รีบวิ่งกลับไปยังห้องพัก เมื่อหยิบอาวุธประจำกายอย่างคทาคบเพลิงกับกริชจันทราสีเลือดมาแล้ว เขาก็แวะไปที่ห้องพักของชาร์ล็อตเพื่อร่ายเวทสะเดาะกลอนประตูเพื่อไปเอาคทาเวทแบบเดียวกันกับของตนเองซึ่งผู้เป็นมารดามอบให้ ก่อนออกจากห้องเพื่อกลับไปสมทบกับอีกสองคนโดยไม่ลืมที่จะล็อกประตูไว้เช่นเดิม

“เฮ้! มาร์ค นายกำลังจะไปไหนน่ะ?”

คนที่หยุดแมคเคนซีไว้คือลุคส์ ช่างเครื่องเรือช่างจ้อที่กำลังวิ่งไปซ่อมช่องท่อหล่อเย็นสำรองซึ่งดูเหมือนว่าจะเกิดปัญหาจากการพุ่งชนจนหลุดออกตามที่ได้ฟังจากวิทยุสื่อสาร แม้กัปตันจะบอกให้อย่าออกไปนอกเรือในสถานการณ์คับขัน ทว่างานนี้ไม่เหมือนกัน หากไม่รีบซ่อมระบบหล่อเย็นให้เสร็จภายในไม่กี่นาที เครื่องยนต์เรืออาจโอเวอร์ฮีทได้

“แล้วนั่น.. นายถือไม้นวดแป้งกับกระบอกไฟฉายทำไมน่ะ ตกใจจนสติเสียแล้วเหรอ”

ช่วงหลายวันมานี้แมคเคนซีถูกเรียกด้วยชื่อ ‘มาร์ค’ จนเริ่มชินหู ดังนั้น ฝีเท้าของเขาจึงชะงักลงทันทีเมื่อช่างเครื่องประจำเรือเอ่ยชื่อนั้น

“อ..เอ่อ…คือ….”

แมคเคนซีมองคทาเวททั้งสองด้ามในมือพลางหาเหตุผลดี ๆ จนภายในหัวตีกันยุ่งไปหมด

“อ้อ ผมว่าจะเอาไฟฉายไปส่องในคอกสัตว์สักหน่อยว่ามีตัวไหนบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเมื่อกี้ไหม มันอยู่เบียดกันเลยดูยากนิดหน่อย ส่วนนี่…”

ดวงตาสีฮาเซลหลุบลงมองคทาคบเพลิงของตนเองที่มนุษย์ทั่วไปรวมถึงลุคส์เห็นเป็นไม้นวดแป้ง เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มซึมออกมาตามขมับ

“เมื่อคืนผมเมื่อยหลังสุด ๆ ก็เลยไปยืมเจ้านี่จากคุณวินสตันมานวด ๆ ทุบ ๆ หลังน่ะ นี่ก็เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้เอาไปคืน ผมเลยว่าจะเอาไปคืนที่ห้องครัวน่ะ ฮ่ะ ๆๆ”

แมคเคนซีบอกแล้วหัวเราะ แต่เขารู้ดียิ่งกว่าใครว่าเป็นเหตุผลที่แปลกประหลาดสุด ๆ ใครเชื่อก็คงบ้าเต็มที

“ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?”

ลุคส์กลอกตาคิดตาม แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาซักไซ้เนี่ยสิ…

“เอาไว้ค่อยคุยกันไอ้น้อง ตอนนี้ฉันต้องรีบไปปิดวาล์วหล่อเย็นก่อน ไปนะ!”

ช่างเครื่องสายกล้ามตบหลังแมคเคนซีหนึ่งป้าบก่อนที่เขาจะรีบวิ่งไปทำหน้าที่ของตัวเองที่แคทวอล์กนอกตัวเรือ ถือเป็นงานอันตรายอยู่เหมือนกันเมื่อมนุษย์ธรรมดาไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่คืออสุรกายหลายหัวตัวมหึมา

“โอเคลุคส์ แล้วคุยกัน”

แมคเคนซีแค่นยิ้มเล็กน้อยเมื่อถูกฝ่ามือหนาตบเข้าที่ไหล่ มันแรงพอ ๆ กับซิลเวอร์พี่ชายร่วมบ้านหมายเลข 20 จนเขานึกถึงขึ้นมาเลยทีเดียว

มองจากสายตาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้เชื่อคำโกหกไม่เนียนนั่น แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่มีจึงไม่มีเวลามาใส่ใจคำพูดของเขามากกว่า ซึ่งก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดี แมคเคนซีจึงรีบวิ่งกลับมาสมทบกับดีนและชาร์ล็อตทันที

.

.

.


หลังจากที่ไฮดร้าทั้งแปดหัวเคลียร์ใจกันได้พวกมันก็ออกว่ายตามเรือสินค้าอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอาหารแสนอร่อยกำลังจะหลุดมือ มันว่ายน้ำตามด้วยความเร็วสูงไม่ทันไรก็ไล่ตามเรือโบอิ้งแมรี่ทัน เจ้ายักษ์ใหญ่พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาบนเรือ แต่ด้วยร่างอันเทอะทะของมันจึงไม่อาจปีนขึ้นมาบนเรือสินค้าที่สูงจากผืนน้ำถึงสามสิบฟุตได้ หลายหัวคำรามอย่างหัวเสีย บางหัวพยายามพุ่งชนลำเรือ จนเรือที่วิ่งเต็มกำลังโคลงไปเคลงมาอย่างน่าหวาดเสียว ในตอนนี้เพียงแค่ยืนยังทำได้ยาก

“โธ่เว้ย! ยังไงก็ต้องกำจัดสินะ”

ดีนกัดฟันกรอดขณะจับส่วนหนึ่งของเรือไว้มั่นไม่ให้ล้ม

ชายหนุ่มพยายามหาหนทางที่จะจำจัดมัน โดยปกติแล้วการตัดหัวไฮดร้าในแต่ละครั้งจำเป็นต้องออกแรงฟันสองถึงสามครั้งหัวถึงจะขาด แต่เจ้าตัวที่อยู่ตรงหน้ามีขนาดใหญ่กว่านั้นหลายเท่าตัวคงเพราะการเติบโตอย่างอิสระในท้องทะเล ทำให้ไม่รู้เลยว่าดาบตรีศูลที่อันเท่าไม้จิ้มฟันจะชำแรกผ่านเกล็ดหนา ๆ นั่นไหวไหม ตอนนี้ลำพังแค่ยืนให้อยู่ด้วยลำแข้งของตัวเองโดยไม่เกาะอะไรเลยยังยาก
‘ยืนบนเรือไม่ได้ก็ต้องยืนบนอย่างอื่น’
เพียงแค่ความคิดจุดประกายก็เหมือนกับได้หนทาง…

“ชาร์ล็อต พี่จะควบคุมน้ำแล้วพยายามบินขึ้นไปตัดหัวมัน”

“บะ..บินขึ้นไปเหรอคะ!?”

ชาร์ล็อตทำตาโต บุตรแห่งโพไซดอนเนี่ยนะจะโบยบิน? ดีนไม่ได้ให้คำตอบ แต่เขาทำให้เด็กสาวประจักษ์ด้วยตาตนเอง
‘ตรีศูลน้อย’
มวลน้ำทะเลหลอมขึ้นกลายเป็นตรีศูลวารี อาวุธประจำกายของบุตรโพไซดอนที่บิดาเทพมอบให้ ตรีศูลของโพไซดอนมีพลานุภาพมากเท่าไหร่ พลังของตรีศูลน้อยเป็นรองน้อยกว่านั้น แต่โดยรวมแล้วก็สามารถควบคุมสายน้ำได้ทุกอย่าง

ปกติแล้วดีนไม่ค่อยใช้พรนี้เท่าไหร่เพราะว่ามันกินพลังงานมากไปและจำเป็นจะต้องมีสมาธิในการควบคุมน้ำตลอดเวลา แต่นี่คือเหตุการณ์คับขันที่ต่อให้ต้องแลกกับการสลบไปหนึ่งวันเต็ม ๆ ก็ต้องยอม ชายหนุ่มกุมตรีศูลน้ำเอาไว้ในมือพร้อมกับย่อตัวลง เขาหล่อมวลน้ำล้อมไว้ใต้เท้า เมื่อกระทุ้งตรีศูลน้อยลงพื้นเหล็ก น้ำใต้ขาก็พุ่งสูงส่งให้ร่างลอยขึ้นเหนือเวหาราวกับว่าเขากำลังเล่นฟลายบอร์ด

“กินน้ำซะ!!”

คลื่นน้ำอีกส่วนกลายสภาพเป็นหอกวารีขนาดยักษ์นับสิบเล่มพุ่งแทงไฮดร้าแปดหัว ด้วยแรงน้ำมหาศาลทำให้หัวหนึ่งกระเด็นหลุดออกจากร่างในทันที ส่วนหัวอื่นที่โดนใบมีดทะเลกรีดแทงค่อย ๆ ฟื้นตัว

“อิกนิส พาร์วัส!!”

ชาร์ล็อตร่ายเวทเสริมด้วยปากกาเวทมนตร์ฟรุ้งฟริ้งเผาเซลล์ที่ฟื้นตัวจนไหม้เกรียมสยบหัวไฮดร้าได้ไปหนึ่ง!

แมคเคนซีที่วิ่งออกมายังท้ายเรือทันเห็นฉากการต่อสู้ระหว่างไฮดร้าตัวเขื่องกับคนรักและน้องสาวของตนพอดี หากจำไม่ผิดเขากับดีนเคยต่อสู้กับอสุรกายตนนี้มาแล้วเมื่อครั้งติดสอยห้อยตามไปบ้านอีกฝ่ายที่ซานอันโตนิโอ ในความทรงจำนั้นทั้งคู่ร่วมกันสังหารมันโดยดีนเป็นคนตัดหัวและเป็นเขาเองที่ใช้เวทไฟเผาส่วนคอเพื่อไม่ให้หัวใหม่ของมันงอกออกมา

“ชาร์ล็อต เอาคทาเวทนี่ไป พี่หยิบมาให้เธอด้วย”

“โอ๊ะ เยี่ยมเลยค่ะพี่แมค ขอบคุณนะคะ”

เด็กสาวยิ้มดีใจพร้อมรับคทาคบเพลิงซึ่งมีพลังเวทสูงส่งกว่าคทาพกพาของเธอมาถือไว้ จะต่อกรกับอสุรกายร้ายก็ต้องใช้คทานี้เท่านั้น

“ดีน ! ฉันมาแล้ว !”

แมคเคนซีตะโกนเรียกบุตรเจ้าสมุทรที่ใช้พลังน้ำพาตัวเองขึ้นไปบนอากาศ ใบหน้ายุ่งขึ้นมา
‘หมอนั่นทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว’
“แมคซี่! เหวอ—!!”

เสียสมาธิหันไปดูคนรักแค่แว้บเดียวพลังน้ำที่บงการไว้ใต้ขาก็อ่อนปวกเปียกทำให้บุตรเจ้าสมุทรเกือบตกทะเล แต่ยังดีที่เขากลับมามีสมาธิจดจ่อกับสายน้ำได้ทัน สองมือกุมตรีศูลน้อยไว้มั่นจากนั้นดึงสายน้ำผลักดันตัวเองให้ลอยสูงเทียบเท่าเครนเรือเพื่อไปยืนอยู่บนนั้น

อยู่บนที่สูงกว่าย่อมได้เปรียบ

ดีนสังเกตการณ์จากเบื้องบน เล็งเห็นแล้วว่าหากอยู่บนเรือแบบนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตัดคออสุรกายเปลือกหนาลงได้ จะรอให้มันโฉบหัวลงมาเห็นทีจะยาก จังหวะเอย ความเร็วเอย ไหนจะแรงที่ส่งผ่านอีก หากพลาดขึ้นมาผลลัพธ์อาจแย่กว่าเก่า เขากัดปากพยายามคิดหาวิธีการต่อสู้จนกระทั่งได้แผน

“แมคซี่! นายฆ่ามันไหวไหม!?”

ดีนป้องมือไว้ที่ปากพร้อมกับตะโกนลงไปด้านล่าง พยายามย่อตัวให้ต่ำมากที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่พลัดตกตอนเรือส่ายไปมา

ดวงตาสีฮาเซลมองตามคนรักที่ใช้พลังสายเลือดแห่งมหาเทพขึ้นไปยืนอยู่ตรงจุดสูงของเรือ ถึงจะอยู่ไกลแต่ก็ยังพอจับใจความได้อยู่ แมคเคนซีจึงตะโกนกลับไป
“ฉันจะลองดู ! นายมีแผนอะไรไหม !”
“มี!”

ดีนตะโกนตอบ แต่ยังไม่ทันที่จะวางแผนการรบ ไฮดร้าตัวร้ายก็ไม่อยู่เฉย หัวหนึ่งโก่งคอรวบรวมพลังพ่นพิษใส่เรือ

“ฉิบหายแล้ว!! กำแพงน้ำ!!”

บุตรโพไซดอนควบคุมน้ำเป็นกำแพงคลื่นยักษ์ขนาดใหญ่ขวางไม่ให้ไอพิษแสนอันตรายได้สัมผัสลำเรือ ชายหนุ่มชูตรีศูลขึ้นเหนือหัวก่อนจะโบกบังคับให้น้ำทะเลที่ซึมซับพิษไฮดร้าถูกขว้างไปไกล ๆ ดีนไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบอะไรทางทะเลไหม แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าให้เรือถูกกัดกร่อน

เสียงกุกกักจากลำโพงดังขึ้นอีกครั้ง

‘ถึงลูกเรือทุกคน… เมื่อครู่มีคลื่นขนาดใหญ่เคลื่อนตัวเข้าหาเรืออย่างผิดธรรมชาติ ระบบเรดาร์ไม่สามารถตรวจจับได้ล่วงหน้า แต่... เรือไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น’

เสียงของกัปตันสตีฟ โรเจอร์สเงียบลงหนึ่งอึดใจ หลังจากผ่านเหตุการณ์ชวนอึ้งเหนือธรรมชาติไป จากนั้นเขาพูดต่อ

‘เอ่อ… ผมไม่รู้ว่าเราโชคดี... หรือมีบางอย่างคุ้มครองเราอยู่ แต่ทุกคนต้องอยู่ในตำแหน่ง พร้อมรับคำสั่งต่อไป เราจะไม่เสี่ยงโดยไม่จำเป็น ฝ่ายช่างจัดการท่อหล่อเย็นให้เรียบร้อย และประเมินแรงกระแทกสำรอง ฝ่ายแพทย์ ตรวจลูกเรือที่บาดเจ็บ’

“กร๊าซซซซ!!”

ด้านเจ้าสัตว์ประหลาดดูจะหัวเสียไม่น้อย มันคำรามลั่นเมื่อพิษที่รวบรวมมาจนลำคอแทบไหม้ถูกน้ำเค็มหอบหายไปหมด หัวหนึ่งพุ่งคอโฉบไปยังแมคเคนซี

“แมคซี่ระวัง!!”

ดีนรีบตวัดตรีศูลน้อยควบคุมน้ำทะเลให้โอบล้อมตัวคนรักแล้วพุ่งขึ้นสูง ตอนนี้กลายเป็นแมคเคนซีกำลังลอยอยู่บนฟลายบอร์ดพลังลูกเทพ

“…..! เหวออออ!!”

ท่ามกลางความวุ่นวาย ทั้งเสียงเกลียวคลื่น เสียงประกาศของกัปตันเรือ เสียงขู่คำรามของอสุรกายยักษ์ต่างตีกันจนยุ่งเหยิง แต่ถึงอย่างนั้นแมคเคนซีกลับได้ยินเสียงของดีนอย่างชัดเจนยิ่งกว่าเสียงใด บุตรเทพีแห่งมนตราย่อตัวลงต่ำแล้วยกแขนขึ้นกันตนเองไว้ตามสัญชาตญาณ แต่แทนที่จะถูกไฮดร้าเล่นงาน กลับกลายเป็นว่ามีมวลน้ำปรากฏขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าพร้อมกับยกร่างทั้งร่างขึ้นไปกลางอากาศจนตอนนี้เขามาอยู่ในความสูงระดับเดียวกันกับสายเลือดแห่งมหาเทพเจ้าสมุทรแล้ว

“นี่คือแผนของฉัน! ฉันจะควบคุมเซิร์ฟบอร์ดน้ำนี้ให้นายพุ่งไปจัดการหัวของไฮดร้า นายเชื่อใจฉันไหมแมคซี่!!”

“แน่นอน ฉันเชื่อใจนาย”

หลังจากฟังแผนการสู้รบของดีนแล้ว แมคเคนซีก็พยักหน้าตอบรับอย่างมุ่งมั่น  จากนั้นค่อย ๆ ขยับยืนบนผืนน้ำที่ตอนนี้แปรสภาพเป็นเซิร์ฟบอร์ดด้วยทักษะเฉพาะของบุตรแห่งโพไซดอน ด้วยความที่ไม่ค่อยได้เล่นกีฬาทางน้ำจึงค่อนข้างยากพอสมควรสำหรับการทรงตัว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวกังวลหรือหวาดกลัว หากไม่สู้พวกเขาก็ต้องตาย ผู้คนในเรือเองก็จะพลอยไม่ปลอดภัยไปด้วย

แต่ที่นี่มันไม่ใช่จุดจบสำหรับพวกเขา

หน้าที่คราวนี้คือการตัดหัวไฮดร้า ไม่ใช่การเผาช่วงคอของหัวที่ถูกตัดไปแล้วอย่างครั้งก่อน เขาจำเป็นต้องใช้อาวุธที่สามารถต่อกรกับมันได้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาดเพื่อไม่ให้การต่อสู้ครั้งนี้ยืดเยื้อจนเกินไป แมคเคนซีตัดสินใจเก็บคทาเวทลงในกระบอกซูมสะพายหลัง ดวงตาสีฮาเซลปิดลง พยายามตั้งสมาธิให้แน่วแน่ท่ามกลางความมืดมิดทั้งปวง ฉับพลันไอหมอกจาง ๆ ส่วนนึงก็ก่อตัวขึ้น เพียงแค่สะบัดฝ่ามือเล็กน้อย หมอกควันเหล่านั้นก็กลายสภาพเป็นดาบทองคำจักรพรรดิเล่มงามส่องประกายล้อกับแสงอาทิตย์

“ชาร์ล็อต! ช่วยร่ายเวทไฟเผาคอที่ถูกตัดของมันเหมือนเดิมนะ!”

แมคเคนซีตะโกนบอกน้องสาวที่ยังอยู่ด้านล่าง ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่ถูกไฮดร้าโจมตีเพราะร่ายเวทสร้างเกราะกำบังไว้ได้ทัน

“ได้ค่ะ! หนูร่ายคาถาผู้พิทักษ์ให้พวกพี่ด้วยแล้ว สู้ให้เต็มที่เลยนะคะ!”

ชาร์ล็อตตะโกนกลับขึ้นมา มองจากมุมด้านบนแล้วร่างของเธอดูเล็กลงจากเดิมมากทั้งที่ปกติก็ตัวเล็กอยู่แล้ว เด็กสาวรีบไปหาจุดที่คิดว่าปลอดภัยจากการโดนจู่โจมและสามารถยิงเวทเพลิงได้ถนัด

“ขอบคุณชาร์ล็อต ระวังตัวด้วย!”

แมคเคนซีตะโกนบอกน้องสาวอีกครั้งแล้วหันกลับมาหาดีน ฝ่ามือใหญ่กระชับดาบในมือแน่น

“ฉันพร้อมแล้วที่รัก ส่งฉันไปตัดหัวมันได้เลย”

“จัดไป!”

ดีนหลับตาลงเสริมแกร่งแรงตึงผิวไปที่น้ำให้แมคเคนซีสามารถทรงตัวได้ง่าย พอสมาธิเพ่งไปที่เพียงแค่จุดเดียวก็ง่ายต่อการควบคุมน้ำมากยิ่งขึ้น ซึ่งผืนน้ำที่แข็งราวกับแผ่นกระดานช่วยให้แมคเคนซีทรงตัวได้ดีขึ้น เขาย่อตัวลงเล็กน้อยทิ้งน้ำหนักลงที่ขาทั้งสองข้างเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ตนเองตามภาพจำในคลิปเล่นเซิร์ฟบอร์ดที่เคยดูผ่านตามา การบังคับพลังน้ำของดีนช่วยหลบหลีกบรรดาหัวของไฮดร้าที่จ้องจะโจมตีเขาได้เป็นอย่างดี

“กร๊าซซซซซ!!”
ไฮดร้าที่ตอนนี้มีเจ็ดหัวโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก มันคำรามเสียงดังคล้ายสายฟ้าฟาด เจ้ามังกรหลายหัวไล่งับแมคเคนซีที่อยู่กลางอากาศ ดีนบังคับบอร์ดน้ำให้คนรักหลบหลีกเหมือนควบคุมเกมสามมิติโดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน หัวหนึ่งโก่งคอทำท่าจะพ่นพิษ แต่ก็ได้การโจมตีทางบกสกัดกั้นไว้ก่อนที่พิษจะออกมา
“อิกนิส พาร์วัส!!”

ลูกไฟจากคทาคบเพลิงพุ่งชนลำคอเขียวจนไฮดร้าหัวนั้นจำต้องกลืนพิษกลับลงคอ

“โอ้กกกกก!”

เหมือนมันกำลังสำลักก้อนอะไรสักอย่างหลังจากที่ชาร์ล็อตใช้คาถาลูกไฟ แมคเคนซีเห็นช่องโหว่นั้นแล้ว สองมือประสานกุมดาบทองคำจักรพรรดิในมือมั่น แล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีฟันลงไปทันทีอย่างไม่ลังเล

“กร๊าซซซซซ!!”

คมดาบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทองคำจักรพรรดิได้สำแดงฤทธิ์เดชให้เห็น อาวุธทรงพลังในตำนานที่ถูกเคลมว่าสามารถตัดเกราะเป็นสองท่อนได้ราวกับตัดเนยบั่นหัวของไฮดร้าหลุดออกจากคอได้ในครั้งเดียวเหมือนตัดกระดาษ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังระงมขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งธิดาเฮคาทีก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไป

“อิกนิส พาร์วัส!!”

คาถาลูกไฟถูกเปล่งออกมาอีกครั้ง เปลวเพลิงขนาดเท่ากำปั้นพุ่งตรงไปยังลำคอที่เพิ่งถูกตัดขาดอย่างไม่พลาดเป้า จนแมคเคนซีต้องหรี่ตาลงให้กับความร้อนและความเจิดจ้าของมัน ยังดีที่ดีนคอยควบคุมพลังน้ำไว้ให้เขาถอยออกมาได้ทันก่อนจะถูกเผาไหม้ไปด้วย

“ดีน! พาฉันไปตรงหัวที่อยู่ริมสุดหน่อย!”

แมคเคนซีตะโกนบอกคนรัก เขาเล็งเห็นว่าหากเข้าปะทะตรง ๆ จากตรงกลางมีโอกาสที่จะโดนโจมตีจากหลายหัวพร้อมกันและยากต่อการจัดการ

“หัวริมสุดสินะ ได้!!”

ดีนตะโกนบอกก่อนจะควบคุมบอร์ดน้ำที่พุ่งขึ้นจากทะเลไปยังหัวไฮดร้าริมซ้ายสุด โดยบังคับให้หลบหลีกอสุรกายไปด้วยพร้อมเสียงพากย์จากกัปตันโรเจอร์ส (ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่) ประกอบอยู่ด้านหลัง

‘...นี่คือกัปตันโรเจอร์ส รายงานสถานการณ์ต่อเนื่อง.... ขณะนี้ คลื่นสูงเกือบเท่าตึกสามชั้นกำลังโถมวนรอบตัวเรือเรา แต่ยังไม่มีลูกไหนซัดเข้าตัวลำโดยตรง เหมือนมัน… ล้อมเราไว้ ไม่ได้มุ่งทำลาย’

เสียงประกาศนิ่งไปชั่วอึดใจ เพราะป่านนี้เหล่าออฟฟิศเซอร์คงกำลังหัวหมุนอยู่กับสถานการณ์ชวนปวดหัว ทั้งต้องเร่งขับเรือหนี ไหนจะตรวจสอบความผิดปกติต่าง ๆ

‘หอควบคุมไม่สามารถตรวจจับคลื่นต้นกำเนิดได้ ทะเลโดยรอบ... กำลังเปลี่ยนรูป บางอย่างใต้ผิวน้ำกำลังยกตัวขึ้น เอ่อ.. ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะบรรยายยังไง.... แต่เอาเป็นว่าลูกเรือทุกคน ประจำการ ตรวจสอบรอยรั่ว ระบบขับเคลื่อน และบันทึกทุกวินาที’

มีผู้บรรยายสถานการณ์ให้ฟรีแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ช่วยคลี่คลายข้อสงสัยให้เดมิก็อดอย่างพวกเขาได้เข้าใจแจ่มแจ้งว่ามนุษย์ธรรมดาเห็นศึกนี้เป็นอย่างไรผ่านหมอกเวทมนตร์บังตา

จะบอกว่าแปลก… ก็คงงั้น รู้แต่ที่แน่ ๆ ลุคส์คงมีเรื่องไปโม้ให้คนอื่นฟังอีกเยอะแน่ ๆ หลังจากปฏิบัติการบนเรือโบอิ้งแมรี่จบลง

นอกจากดีนจะคอยสนับสนุนบังคับบอร์ดพลังน้ำหลบการโจมตีจากบรรดาฝูงหัวไฮดร้าให้แล้ว แมคเคนซีเองก็ต้องทั้งเอี้ยวตัวและก้มหลบทั้งพิษและคมเขี้ยวเองด้วย แต่ละหัวของมันค่อนข้างว่องไวไม่น้อยเมื่อเทียบกับลำตัวที่ใหญ่เทอะทะ แต่สิ่งที่พวกมันทั้งหมดไม่มีก็คือการทำงานเป็นทีมเวิร์คแบบพวกเขา

เซิร์ฟบอร์ดของดีนพาแมคเคนซีมาถึงตำแหน่งริมซ้ายในที่สุด คลื่นสูงในสายตาของกัปตันเรือและคนทั่วไปพาเขามาที่ด้านข้างซึ่งเป็นจุดอับสายตาของมัน บุตรเทพีแห่งมนตราตั้งสมาธิอีกครั้ง จากนั้นก็บังเกิดม่านหมอกหนารวมตัวไปทั่วบริเวณ มันคือทักษะการควบคุมหมอกระดับสูงที่มีเพียงแค่สายเลือดของเทพีเฮคาทีเท่านั้นที่มองเห็นทุกสิ่งในอาณาเขตที่พวกเขาสร้างขึ้น และแน่นอนว่าเจ้าไฮดร้าตรงหน้าก็กำลังงุนงงอยู่เช่นกัน กว่าหัวริมสุดของมันจะสังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมจากหางตาที่ใกล้เข้ามา ภาพสุดท้ายของมันคือเดมิก็อดที่ถือดาบส่องประกายสู้แสงอาทิตย์สะบั้นคอมันจนหัวหลุดลอยขึ้นไปกลางอากาศ

น้องสาวนักเวทร่วมสายเลือดเองก็มองเห็นภาพในหมอกเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงใช้เวทยิงลูกไฟได้อย่างแม่นยำ สกัดการงอกหัวใหม่ของเจ้าอสุรกายร้ายได้ทันท่วงที ส่วนบุตรมหาเทพแห่งเจ้าสมุทรแม้ว่าจะมองไม่เห็นสถานการณ์ภายในหมอกเวทแต่ก็อาศัยฟังเสียงของแมคเคนซีบอกทิศทางที่ต้องการแล้วบังคับมวลน้ำไปตามนั้น วิธีนี้ช่างดูง่ายดายเหลือเกินกับการต่อกรกับมัน ท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่ไม่มีใครเห็นภาพ หัวไฮดร้าก็ถูกตัดและเผาออกไปแล้วถึงสามหัว

“กร๊าซซซซซซซซ!!”

เพียงแต่ทุกสิ่งไม่ได้ราบรื่นเสียขนาดนั้น ขณะที่แมคเคนซีตัดหัวที่สี่ได้สำเร็จ ก็เหมือนว่าเจ้าไฮดร้าหัวที่เหลือจะเริ่มเรียนรู้คำว่า ’สามัคคี’ ขึ้นมา ไม่เช่นนั้นมันอาจรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้ หัวหนึ่งของมันพุ่งมาจากทิศทางที่ไม่อาจคาดเดาพร้อมกับพ่นพิษใส่ แต่เนื่องจากแมคเคนซีมีคาถาผู้พิทักษ์เป็นเกราะป้องกันอยู่ พิษของมันจึงไม่อาจฝ่าเข้ามาทำอันตรายเขาได้ แต่ถึงอย่างนั้นอสุรกายร้ายก็ยังไม่ลดละ 

หัวอันใหญ่โตของมันพุ่งชนร่างบนบอร์ดพลังน้ำเข้าอย่างจัง แม้เวทคุ้มกันจะทำให้ไม่ได้รับการปะทะโดยตรงจนบาดเจ็บแต่แรงกระแทกนั้นก็ทำให้แมคเคนซีเสียหลักร่วงลงมาจากบอร์ด เมื่อสมาธิถูกทำลายหมอกอาคมที่สร้างไว้ก็หายไป ปรากฏเป็นภาพให้เห็นอย่างแจ่มชัด

“พี่แมค!”

ชาร์ล็อตที่กำลังจะร่ายเวทเผาหัวไฮดร้าที่เพิ่งถูกตัดร้องออกมาด้วยความตกใจ ขณะที่จะเปลี่ยนเป้าหมายมาช่วยพี่ชายของเธอ ไฮดร้าอีกหัวกลับอ่านเกมทัน คอยาว ๆ ของมันพุ่งลงมาแยกเขี้ยวใส่ธิดาเฮคาทีจนเธอต้องรีบหาที่กำบัง และนั่นคือโอกาสให้หัวที่เพิ่งถูกตัดไปงอกเพิ่มมาอีกสองหัว!

“แมคซี่! แย่แล้ว!!”

ดีนเองก็ไม่ต่างจากชาร์ล็อต เขาร้องเสียงหลงเมื่อเห็นคนรักกระเด็นร่วงลงมาหลังหมอกบังตาจางลง สายน้ำเค็มล้อมรับร่างสูงอย่างอ่อนโยนราวกับเตียงนอนน้ำก่อนที่ร่างนั้นจะหล่นกระแทกพื้นลงมาจากความสูงกว่าสามสิบฟุต

แม้การช่วยชีวิตคนรักจะลุล่วงในเบื้องตนทว่าลางไม่ดีได้มาเยือนบุตรเจ้าสมุทร หัวไฮดร้าสองหัวฝั่งขวาจ้องมองขึ้นไปบนเครนที่ดีนเกาะอยู่ด้านบนด้วยสายตาเคียดแค้น หนึ่งหัวจ้องเขม็งไปทางชาร์ล็อตที่ใช้ตู้คอนเทนเนอร์เป็นเครื่องกำบังกาย ส่วนอีกหัวมุ่งหมายไปทางแมคเคนซี กรงเล็บหนาของอสุรกายเกาะเกี่ยวเรือเดินสมุทรได้อีกครั้ง คราวนี้มันออกแรงเขย่าให้เรือโคลงเคลงไปมาอย่างน่าพรั่นพรึง คนบนเรือทรงตัวแทบไม่อยู่ หากกัปตันโรเจอร์สเผลอเปิดไมค์ทิ้งไว้คงได้ยินเสียงเหล่าออฟฟิศเซอร์กรีดร้องเหมือนสัตว์ในคอกไปแล้ว

ดีนเกาะคานเครนสูงอย่างหมิ่นเหม่ที่ร่างกายของเขาจะร่วงหล่นลงไป จากบนนี้เขาเห็นแกะจำนวนหนึ่งกระเด็นออกนอกลำเรือจากแรงเหวี่ยง ไม่เพียงแค่แกะแต่ยังมีช่างเรือหนึ่งคนที่หลุดจากแคทวอล์กข้างเรือลงไปด้วย

“ว้ากก ช่วยด้วยยยย!!”

แม้เสียงจะคุ้นหูแต่ดีนไม่รู้ว่าคือใคร เขารีบใช้น้ำช่วยเหลือทุกชีวิตไว้ก่อน

‘ควบคุมน้ำ!!’

ตรีศูลน้อยเปล่งประกายแสงเรืองรอง บงการม่านน้ำครอบคลุมไว้ทั้งลำเรือ แรงตึงผิวอันหนาแน่นเบียดให้แกะที่โชคร้ายกลับเข้าไปในคอกนอนของมันพร้อม ๆ กับช่างเครื่องเรือ

“กร๊าซซซซซ!!”

ยังไม่ทันจะเรียกได้ว่าปลอดภัยสองหัวของไฮดร้าที่จ้องมาทางดีนก็ปล่อยลำแสงพิษใส่บุตรแห่งโพไซดอนอย่างไม่ออมมือ ละอองพิษลอยคละคลุ้งเหนือม่านน้ำเต็มไปหมด บุตรแห่งโพไซดอนกุมตรีศูลน้อยไว้แน่นเขาไม่รู้เลยว่าจะต้านแรงพิษนี้ได้ไปอีกถึงเมื่อไร
แหมะ..
ของเหลวสีแดงสดหลั่งออกมาจากปลายจมูก เป็นสัญญาณว่านี่ถึงขีดจำกัดที่ร่างกายจะรับไหวแล้ว
‘ไม่ได้.. ฉันมาล้มตรงนี้ได้ยังไง..’
ดวงตาสีเปลือกไม้มองลงไปยังเบื้องล่าง แมคเคนซีกับชาร์ล็อตยังไม่ปลอดภัย รวมถึงทุกคนบนเรืออาจเป็นอันตรายหากไฮดร้าตนนี้รอดไปได้ เขาจำเป็นต้องปิดเกมในนาทีนี้

ทว่า… พลังไม่มากพอ

ดีนข่มตาลงอย่างสิ้นหวัง ทว่าสุ้มเสียงของเทพีเฮคาทีที่ให้คำแนะนำเรื่องเมื่อคืนได้ดังขึ้นในใจจากความทรงจำ 
ใช่.. ขีดจำกัดของลูกเทพน่ะไม่ได้มีแค่นี้!
‘ข้าแต่ราชันย์เทพซุส ผู้ทรงอำนาจแห่งท้องฟ้าและสายฟ้า ข้าขออัญเชิญพลังของท่านมาสถิตในกาย เพื่อปลดล็อกขีดจำกัดและก้าวสู่ศักยภาพที่แท้จริง ขอให้พรแห่งท่านนำพาข้าไปสู่ความแข็งแกร่งอันไร้ขีดจำกัด!’ เปรี๊ยะ
กระแสไฟฟ้าสถิตย์ก่อขึ้นกลางอากาศ ท่ามกลางคลื่นลมที่ซัดสาดอย่างบ้าระห่ำจากการคุกคามของอสุรกาย ดีนซึมซับพลังที่มากขึ้นจากสายฟ้าเมื่อขีดจำกัดของลูกเทพถูกปลดปล่อยอีกหนึ่งระดับ

ได้เวลาปิดเกมแล้ว!

หนุ่มโพไซดอนลุกขึ้นมายืนบนเครนเรืออีกครั้ง เขากัดริมฝีปากตนเองจนเลือดซิบ ก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นปาดกำเดาที่ไหลอาบบนไรหนวด บงการม่านน้ำที่คลุมเรือทั้งหมดออก ไล่ตั้งแต่หัวเรือไปจนท้ายเรือ แล้วห่อหุ้มร่างกายอันใหญ่โตของไฮดร้าไว้ จากนั้นยกมันขึ้นมาเหนือเส้นขอบน้ำถึงได้เห็นว่าร่างของมันมหึมาแค่ไหน ตอนนี้มวลน้ำที่ใช้กักขังถูกย้อมไปด้วยพิษสีเขียวของเจ้าตัวใหญ่ยักษ์ที่กำลังดิ้นทุรนทุราย

“…แมค! พี่แมคคะ!”

“……เฮือก! แค่ก ๆ! อึก…ชาร์ล็อต”

ทางด้านแมคเคนซีหลังจากที่ถูกมวลน้ำของดีนช่วยรองรับไว้ได้ทันจนร่างไม่ตกลงมากระแทกพื้นแข็ง ๆ ดับอนาถเสียก่อน แต่จากการใช้ทักษะทางสายเลือดซ้อนทับกันเป็นเวลานานทำให้เขาใช้พลังงานมากเกินจนหมดสติไปชั่วระยะหนึ่ง กว่าที่ดวงตาสีฮาเซลจะปรือเปิดขึ้นมาอีกครั้ง ก็คือตอนที่ได้ยินเสียงของน้องสาวร่วมสายเลือดมาช่วยปลุกนั่นเอง

“เธอเป็นยังไงบ้าง แล้วดีนล่ะ…ดีนอยู่ไหน ไฮดร้ามันตายหรือยัง”

ร่างที่เปียกซ่กรีบยันตัวลุกขึ้นนั่งยิงคำถามรัวเร็วโดยไม่ได้สนใจสุขภาพตัวเอง 

“หนูไม่เป็นไรค่ะ แต่พี่ดีน หลังจากที่ช่วยพี่แล้ว ตอนนี้เขากำลังสู้กับไฮดร้าอยู่”

ชาร์ล็อตอธิบายสถานการณ์แบบรวบรัด ดวงตากลมโตมองขึ้นไปด้านบนตรงจุดที่บุตรแห่งมหาเทพโพไซดอนอยู่ เมื่อมองตามขึ้นไป แมคเคนซีก็เห็นร่างของคนรักยังอยู่บนเครนเรือที่เดิม ชั้นบรรยากาศด้านบนถูกหมอกพิษสีเขียวจาง ๆ แผ่ปกคลุมอยู่ แต่ด้วยกฎของควัน มันจึงไม่ลอยตัวลงต่ำมายังด้านล่าง ส่วนอีกด้านคือร่างของไฮดร้าที่ถูกขังอยู่ในลูกบอลน้ำเท่าขนาดตัวของมัน หากประเมินด้วยสายตาแล้วเท่ากับว่าตอนนี้ดีนเป็นต่ออยู่

‘พระเจ้า! วาฬหลังค่อมกำลังกระโดดข้ามลำเรือเราไป! ขนาดของมัน… ใหญ่มาก ใหญ่ในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน..’
นั่นคือภาพที่ปุถุชนคนธรรมดาในเหตุการณ์นี้มองเห็น

ดีนชูตรีศูลน้อยขึ้นจับให้มั่นทะมัดทะแมงด้วยท่วงท่ากระบวนหอกในแบบฉบับคิดใหม่ของเขา
‘จะบ้าเหรอ หอกไม่ได้ใช้ทำแบบนั้น นายทำท่าเหมือนฟันดาบไปได้ เอาใหม่!’
เสียงของโซเฟียครูหอกคนแรกดังขึ้นในหัวเมื่อดีนใช้งานหอกผิดประเภท แต่ใครจะไปฟังล่ะ ในเมื่อเขาทำแบบนี้แล้วรอดมาได้ทุกครั้ง และคราวนี้ก็ต้องเป็นแบบนั้นด้วย…

ตรีศูลน้อยสูบน้ำทะเลขึ้นมาเคลือบสามง่ามให้กลายเป็นใบง้าววารีขนาดใหญ่ยักษ์ เขายอมทุ่มเทพลังทั้งหมดนี้เดิมพันความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตทั้งลำเรือ

อยากจะตะโกนท่าเท่ ๆ อยู่นะ ถ้างั้นก็เอาเป็น..

“เอ็กซ์.. คาลิเบอร์!!!”

พลังแรงอัดมหาศาลของมวลน้ำถูกปลดปล่อยออกมาหลังจากที่ดีนสะบัดตรีศูลน้อยไปด้านหน้า ฟันร่างและคอของไฮดร้าในคุกน้ำขาดสะบั้น หัวที่ถูกตัดโดนพิษของตนเองเล่นงานจนไม่อาจงอกหัวใหม่

ร่างบนเครนสูงโงนเงน เขามองลงไปเบื้องล่างยังจุดที่แมคเคนซีอยู่ด้วยสายตาอ่อนแรง ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนสายตามองภาพของอสุรกายที่ตนเพิ่งจัดการอีกครั้ง คุกน้ำที่เคลือบไปด้วยพิษระเบิดออกพร้อม ๆ กับตรีศูลน้อยสลายไป ร่างใหญ่โตของอสุรกายไฮดร้ายังคงเหลืออีกหนึ่งหัวกับหนึ่งตอของคอที่ปนเปื้อนพิษเล็กน้อยกำลังฟื้นคืนงอกกลับมาอีกสองหัว

“เชี่ย.. ยังไม่ตายอีกเรอะ นั่นเอ็กซ์คาลิเบอร์เชียวนะ…”

ดีนพึมพำเพียงแค่นั้นก่อนที่ภาพทั้งหมดจะดับวูบลงและร่วงลงมาจากเครนเรือสูงเกือบเท่าตึกสามสิบชั้น

สองพี่น้องสายเลือดเฮคาทีดูฉากการต่อสู้ตรงหน้าด้วยใจลุ้นระทึกท่ามกลางเสียงพากย์ของกัปตันโรเจอร์สที่รายงานสถานการณ์ให้ลูกเรือทั้งหมดฟังเป็นระยะ ภายหลังจากที่ดีนตะโกนถ้อยคำพิศวงชวนให้คิดว่า ‘เป็นพลังใหม่ของสายเลือดแห่งโพไซดอนหรือเปล่า’ ให้ได้ยินแว่ว ๆ แล้ว ใบมีดขนาดใหญ่ซึ่งแปรสภาพจากมวลน้ำทะเลก็พุ่งเข้าฟาดฟันร่างของไฮดร้าจนบอลน้ำแตกกระจายกลางอากาศ ตามมาด้วยร่างของอสุรกายร้ายและบุตรมหาเทพที่ร่วงลงมาพร้อมกัน

“ว้าย!”

“ดีน!”

ดวงตาสีฮาเซลเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างคนรักร่วงหล่นจากเครนราวกับขนนก ฝ่ามือใหญ่รีบคว้าคทาเวทประจำตัวที่เก็บไว้ในกระบอกซูม ใช้พลังที่ยังพอมีเหลืออยู่ร่ายเวททันที

“โมลเลส เซโรบุส!”

ปลายคทาคบเพลิงชี้ไปยังตู้คอนเทนเนอร์ เมื่อร่างของบุตรโพไซดอนตกลงมา โลหะแข็งแรงที่ถูกพลังแห่งมนตราก็แปรสภาพในทันใด มันรองรับร่างของดีนไว้อย่างนุ่มนวลราวกับก้อนเยลลี่ที่อ่อนนุ่ม ก่อนจะกลายสภาพมาเป็นตู้คอนเทนเนอร์ดังเดิม
ตูมมมม!!!
ส่วนร่างของไฮดร้าก็ตกลงสู่มหาสมุทร แรงกระแทกทำให้เกิดคลื่นขนาดย่อมจนทำให้เรือโคลงไปมาเล็กน้อย แต่ก็อย่างว่า กัปตันโรเจอร์สรวมถึงคนในเรือก็ยังคงเข้าใจว่าเป็น ‘วาฬกระโดดน้ำ’ อยู่ดี

“จบแล้ว…สินะคะ”

ชาร์ล็อตพึมพำมองผืนน้ำราบเรียบตรงหน้าแล้วถอนหายใจบาง

“ก็คงอย่างนั้น ตอนนี้เราต้องพาดีนลงมาก่อน”

แมคเคนซีบอกพลางค่อย ๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้น ตอนแรกเขาเข้าใจว่าอาจเป็นเพราะใช้พลังมากเกินไปจนทำให้ยืนได้ไม่มั่นคง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เช่นนั้น
ซ่าาาาาาา!!!
“กร๊าซซซซซ!!”

อสุรกายตนเดิมโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง ตามลำตัวมีแผลจากการโดนพิษของตัวมันเองกัดกร่อนพร้อมกับหัวอีกสามหัว ซึ่งคราวนี้มันดูเกรี้ยวกราดกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แน่นอนว่าเป้าหมายหลักของพวกมันก็ยังคงเป็นสายเลือดของมหาเทพที่ตอนนี้ยังสลบไสลไม่ได้สติอยู่ และคราวนี้มันไม่รอจังหวะอะไรทั้งนั้น หัวนึงพุ่งลงมาหวังลิ้มรสอาหารอันโอชะ แต่กลับถูกบุตรเทพีแห่งมนตราช่วยกันยิงเวทไฟสกัดไว้ แม้ว่าเปลวเพลิงจะไม่อาจแผดเผาหนังที่หนาเหมือนหุ้มเกราะนั้นได้ แต่ก็คงสร้างความรำคาญใจให้มันไม่น้อย

ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ไฮดร้าทั้งสามหัวเปลี่ยนเป้าหมายจากดีนมายังสองพี่น้องนักเวท ราวกับตกลงกันเองได้แล้วว่าจะเปลี่ยนให้บุตรแห่งมินิก็อดทั้งสองเป็นออเดิร์ฟแทนที่จะเป็นของหวานหลังอาหารจานหลัก

“ดูท่าว่าเราต้องใช้แผนเดิมกันแล้วชาร์ล็อต พี่จะฟันหัวมัน ส่วนเธอก็เผา”

“ได้ค่ะพี่แมค”

เมื่อน้องสาวรับคำแล้วแมคเคนซีก็หลับตาลง ใช้สมาธิทั้งหมดที่มีพยายามเรียกดาบทองคำจักรพรรดิออกมาจากหมอกอีกครั้ง

แต่คราวนี้กลับไม่มีแม้กระทั่งดาบหรืออาวุธชิ้นใดปรากฏขึ้นมาในมือเขาเลย

“พี่แมคระวังค่ะ!”

เสียงของชาร์ล็อตทำให้เขารีบลืมตาขึ้นมอง หัวหนึ่งของไฮดร้ากำลังพุ่งตรงมาที่เขา แมคเคนซีรีบเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างได้ทันเวลาก่อนจะคว้ากริชจันทราสีเลือดแทงเข้าไปที่ดวงตาของอสุรกายอย่างรวดเร็วจนมันกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

“วินคิโอ เทเนไบ!”

สายโซ่ตรวนสีดำสนิทปรากฏขึ้นและรัดตรึงหัวทั้งสามรวมถึงร่างของไฮดร้าไว้ทันทีที่ธิดาแห่งเฮคาทีร่ายเวทจบ ส่งผลให้อสุรร้ายชะงักงันไปชั่วขณะ

เมื่อเห็นดังนั้นแมคเคนซีก็รีบอาศัยจังหวะนี้เรียกดาบจากหมอกอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่เป็นผลเช่นกัน และเขาเริ่มรู้แล้วว่าเป็นเพราะอะไร
‘ภาวนาต่อราชันย์แห่งโอลิมปัส อัญเชิญพลังแห่งซุสสู่ตัวเจ้า ศักยภาพที่ถูกซ่อนเร้นจะถูกกระตุ้นด้วยสายฟ้า’
ถ้อยคำของมารดาดังขึ้นมาในห้วงความคิด ก่อนหน้านี้เขาเสียพลังมากมายไปกับการต่อสู้ ถึงเวลาแล้วที่ต้องเรียกมันกลับคืนมา ดวงตาสีฮาเซลปิดลงอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้กลับไม่ใช่การรวบรวมสมาธิเพื่อใช้ทักษะแต่เป็นการภาวนาถึงราชันย์แห่งทวยเทพทั้งปวงในโอลิมปัส
‘ข้าแต่ราชันย์เทพซุส ผู้ทรงอำนาจแห่งท้องฟ้าและสายฟ้า ข้าขออัญเชิญพลังของท่านมาสถิตในกาย เพื่อปลดล็อกขีดจำกัดและก้าวสู่ศักยภาพที่แท้จริง ขอให้พรแห่งท่านนำพาข้าไปสู่ความแข็งแกร่งอันไร้ขีดจำกัด!’
ทันทีที่กล่าวถ้อยคำในหัวจบ ความรู้สึกเช่นเดียวกันกับเมื่อคืนวานก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เขารู้สึกราวกับว่าพลังที่หดหายฟื้นฟูกลับขึ้นมาใหม่ ดาบทองคำจักรพรรดิปรากฏขึ้นในมือและคราวนี้เปล่งแสงเรืองรองราวกับมีพลังแห่งเทพสถิตอยู่

“พี่พร้อมแล้วชาร์ล็อต ร่ายเวทไฟให้ด้วย”

“ได้ค่ะ”

เมื่อแมคเคนซีลืมตาขึ้น หมอกควันก็กระจายตัวหนาคลุ้งไปทั่วบริเวณ เขากลับมาใช้ทักษะควบคุมหมอกได้อีกครั้ง และครั้งนี้คือการจบศึกอย่างแท้จริง

ทันทีที่โซ่ตรวนเวทสลายไป เจ้าไฮดร้าหัวที่ถูกกริชปักที่ตาซึ่งพังพาบอยู่กับขอบท้ายเรือก็เริ่มขยับเขยื้อนเล็กน้อย แต่แมคเคนซีไม่รอให้มันได้เคลื่อนไหวไปมากกว่านี้ คมดาบสีทองตวัดฟันหัวมันจนขาดทันที ส่วนชาร์ล็อตก็ร่ายเวทยิงลูกไฟเผาส่วนคอที่ถูกตัดตามมาติด ๆ ทัศนวิสัยด้านการมองเห็นที่ถูกหมอกเวทบดบังสร้างความพรั่นพรึงให้กับอีกสองหัวที่เหลือ คราวนี้มันจึงโฉบหัวโจมตีลงมาแบบสุ่ม ๆ ซึ่งก็เข้าทางเหล่าสายเลือดเฮคาทีที่เป็นผู้ได้เปรียบในสนามรบนี้ สองมือที่กุมอาวุธทรงพลังในตำนานออกแรงลงดาบฟาดฟันตัดหัวอีกสองหัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นแมคเคนซีก็รีบสะบัดมือเก็บอาวุธมีคมแล้วคว้าเอาคทาเวทจากกระบอกซูมชี้ไปยังคอหนึ่งที่สะบัดไปมาทั้งที่ไร้หัว

“อิกนิส
พาร์วัส!”

เสียงร่ายคาถาจากพี่น้องนักเวทดังขึ้นประสานกัน ลูกไฟโลกันต์ทั้งสองลูกถูกยิงออกจากปลายคทา เผาผลาญคอทั้งสองที่เหลือจนมอดไหม้ไปพร้อมกับร่างใหญ่โตของไฮดร้าที่สลายกลายเป็นฝุ่นผงกลับลงสู่ทาร์ทารัส

“สำเร็จแล้ว..สำเร็จแล้วใช่ไหมคะ”

ชาร์ล็อตหันมาถามพี่ชายที่ยืนเคียงข้างกัน แมคเคนซีที่หอบบาง ๆ เพียงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ หมอกเวทจางลงแล้วแต่ภาพตรงหน้าของเขากลับยิ่งเลือนลาง ก่อนที่จะได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเองจากน้องสาวเป็นสิ่งสุดท้าย แล้วทุกอย่างก็มืดดับลง

‘เมื่อครู่ผมเห็นมีคนร่วงลงมาจากเครน แต่ละหน่วยรายงานด้วย แต่ละหน่วยรายงาน สมาชิกอยู่กันครบหรือเปล่า ช่างที่ออกไปซ่อมท่อหล่อเย็นกลับมาแล้วหรือยัง’

เสียงกัปตันโรเจอร์สประกาศชัดแจ๋วผ่านทางลำโพง จากนั้นแต่ละหน่วยก็เริ่มรายงานจำนวนสมาชิกในเรือ
ซ่า… ฟุ่ด.. วอ.สามเรียกวอหนึ่ง ฝ่ายวิศวกรครบครับ’ ซ่า… ฟุ่ด.. ซ่า… วอ.สี่เรียกวอหนึ่ง ฝ่ายช่างกลับมากันครบแล้ว เปลี่ยน’
ทว่าไร้การตอบกลับจากวอ.ห้า จนกระทั่ง วอ.สองแจ้งให้รายงาน
ซ่า… ฟุ่ด ๆ วอ.สอง เรียก วอ.ห้า เปลี่ยน… วอ.ห้า… ตอบรับด้วย…วอ.ห้า…’ ซ่า… ฟุ่ด วอ.สี่ครับ ผมลุคส์ ช่างเรือที่ไปซ่อมท่อหล่อเย็น เมื่อกี้ผมตกเรือแต่จู่ ๆ ก็มีคลื่นยักษ์ซัดผมให้กลับเข้ามาในคอกสัตว์ แต่เอ่อ… หัวหน้า’
เสียงของลุคส์เงียบไปราวกับเขาหาสาเหตุบางอย่างมาอธิบายเรื่องของตัวเองไม่ได้
ซ่า… ฟุ่ด ๆ นายตกเรือเหรอ โชคดีจริง ๆ ที่ปลอดภัย แต่…ว่าไงต่อ? เปลี่ยน’ ซ่า… ผมไม่เจอพวกหมอสัตว์เลยสักคน ไม่รู้ว่าพวกเขาตกทะเลไปตั้งแต่แรกแล้วหรือเปล่าเพราะว่าประตูคอกถูกเปิดทิ้งไว้ ซ่า… แต่ผมไม่ได้ออกไปดูที่ฟรีบอร์ด ซ่า.. เรือมันโคลง อันตรายเกินไปครับ ก็เลยรีบกลับไปที่ห้องเครื่อง’ ซ่า… พระเจ้า ฟุ่ด…’ 
เสียงของรองกัปตันเจคอปขาดช่วงลง แต่กลับได้ยินเสียงฮือฮาของเหล่าออฟฟิศเซอร์ผ่านวิทยุสื่อสารเข้ามาแทน จากนั้นเสียงวอล์กกี้ทอล์กกี้ก็เงียบลง พวกออฟฟิศเซอร์รีบปรึกษากันอย่างเร่งด่วน จากนั้นเสียงสายสัญญาณของเจคอปก็ดังขึ้นอีกครั้ง
‘เดี๋ยวผมจะไปตรวจที่คอกสัตว์ ซ่า… ฝ่ายอื่น ๆ รายงานตัวต่อ.. เปลี่ยน’
จากนั้นเสียงของวอล์กกี้ทอล์กกี้ก็รายงานจำนวนสมาชิกกันต่อจนครบสิบสองหน่วย ทุกคนดูจะปลอดภัยดียกเว้นฝ่ายดูแลสัตว์ที่ติดต่อไม่ได้ทั้งสามคน




ความคิดเห็นผู้บันทึก

ไม่น่าเชื่อว่าในมหาสมุทรจะมีไฮดร้าด้วย แถมเจ้านี่ยังตัวใหญ่กว่าที่ผมเคยเจอที่ซานอันโตนิโอ้หลายเท่าตัวเลย ตอนที่ตกลงมาจาก เอ่อ…อะไรนะ เรียกว่า ‘เซิร์ฟบอร์ดน้ำ’ แล้วกัน ผมนึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว ถ้าดีนช่วยผมไว้ไม่ทันผมคงไม่ได้มาเขียนบันทึกหน้านี้แน่ ๆ ส่วนที่ผมประทับใจที่สุดก็คือการร่วมแรงร่วมใจของเราสามคน เพราะพวกเราเป็นทีมเวิร์ครอดจากอันตรายครั้งนี้มาได้ มันเจ๋งชะมัด !


สรุปสถานการณ์

- ทีมทำภารกิจทั้งสามคนทำงานหน้าที่เจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ตามปกติ - เรือถูกไฮดร้า 7 หัวโจมตี - ทีมทำภารกิจต่อสู้กับไฮดร้าจนสังหารมันได้ในที่สุด - ดีนกับแมคเคนซีหมดสติ ส่วนชาร์ล็อตบาดเจ็บเล็กน้อย

พิชิตอสุรกาย ไฮดร้าแห่งเลอร์เนีย (7 หัว) [LINK] สินสงคราม [LUK มากกว่า 60] เกล็ดไฮดร้า 5 ea แก่นวิญญาณไฮดร้า 1 ea ทับทิมขนาดมหึมา 2 ea (ตัดหัวไฮดร้าเลอร์เนียเกิน 11 หัว) (ตัดหัวในโรลเพลย์ 13 หัว สร้างร้านโดนัท 3 ร้าน)

DEAN


+2 ตื่นรู้จากการพิชิต [ไฮดร้าแห่งเลอร์เนียครั้งแรก] ครั้งแรก

โบนัสชนะจ่าฝูง 50 ความกล้าหาญ


ความสัมพันธ์ต่อ [เทพซุส]

+5 โบนัสความโปรดปรานจากการใส่ [กุหลาบสีน้ำเงินทอง]

HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25

รวม +30 ความโปรดปราน


เลื่อนระดับ LV. MAX

+2 Point



MACKENZIE

+2 ตื่นรู้จากการพิชิต [ไฮดร้าแห่งเลอร์เนียครั้งแรก] ครั้งแรก

โบนัสชนะจ่าฝูง 50 ความกล้าหาญ


ใช้คาถาอ่อนนุ่ม

สื่อนำเวทมนตร์ [น้ำตานิมฟ์]


ความสัมพันธ์ต่อ [เทพซุส]

+5 โบนัสความโปรดปรานจากการใส่ [กุหลาบสีน้ำเงินทอง]

HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25

รวม +30 ความโปรดปราน


เลื่อนระดับ LV. MAX

+2 Point



แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-01-1] ซุส เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-8-4 03:13
God
คุณได้รับ +50 ความกล้า โพสต์ 2025-8-4 03:12
God
หัวไฮดร้าจะอยู่ในการสุ่มกับเกล็ด หากโชคดีก็จะได้หัวแทนเกล็ด  โพสต์ 2025-8-4 03:11
God
LUK 60+ เฉพาะสินสงครามปกติ (เกล็ดไฮดร้ากับหัว)  โพสต์ 2025-8-4 03:10
โพสต์ 151855 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-8-4 02:57

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เหรียญนกฮูก
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x5
x1
x10
x2
x1
x2
x2
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
โพสต์ 2025-8-12 00:20:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-9-29 00:28

XII
สืบสวน
Dean Eilwyn Alvarez Neal

- 23.05.2025 / 11:23 A.M. -
เรือโบอิ้งแมรี่, มหาสมุทรแอตแลนติกใต้


ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนกว่าที่ดวงตาสีฮาเซลจะปรือเปิดขึ้นมา ภาพเพดานห้องไม่คุ้นตาคือสิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรก แมคเคนซีค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วสำรวจไปรอบ ๆ ตอนนี้เขาอยู่บนเตียงขนาดสามฟุตแต่ไม่ใช่เตียงในห้องพักคนงานที่นอนอยู่กับคนรักทุกคืน ตามร่างกายมีรอยฟกช้ำปะปรายหลงเหลือความปวดระบมทิ้งไว้ พอแตะตรงใบหน้าก็มีพลาสเตอร์ติดอยู่บางจุด ที่เตียงข้าง ๆ ก็มีหนุ่มหน้าละตินบุตรแห่งมหาเทพนอนหลับใหลยังไม่ได้สติอยู่ ลมหายใจที่เข้าออกสม่ำเสมอของดีนทำให้แมคเคนซีเบาใจว่าอีกฝ่ายเพียงสลบไปเท่านั้น

การต่อสู้กับอสุรกายขนาดใหญ่แสนดุร้ายก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขาใช้พลังกายมากเสียยิ่งกว่าออกกำลังกายหลายชั่วโมงติดกันเสียอีก

“เอ้า มัวยึกยักอยู่นั่น เราตรวจร่างกายกับทำแผลให้สองคนนั่นเสร็จแล้ว คราวนี้ก็ถึงตานายแล้วชาลี”

เสียงหนึ่งดังแว่วมาจากตรงจุดที่ไม่ห่างจากเขานัก พอมองไปก็เห็นชาย 1-2 คนกำลังคุยกับน้องสาวของเขาอยู่

“เอ่อ…ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่เป็นไรจริง ๆ”

แล้วก็ตามมาด้วยเสียงของชาร์ล็อต ฟังจากน้ำเสียงแล้วเธอดูลำบากใจไม่น้อย

‘เมื่อกี้สองคนนั่นว่ายังไงนะ’

เมื่อทบทวนประโยคก่อนหน้าของคนเรือแล้ว แมคเคนซีก็ถึงกับตกใจเล็กน้อย คนพวกนั้นกำลังจะตรวจร่างกายน้องสาวของเขา ถ้าหากเรื่องที่เธอเป็นผู้หญิงความแตกขึ้นมาล่ะ

‘เวรล่ะ’

แมคเคนซีรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วพาร่างกายที่ยังรู้สึกหนักอึ้งเดินไปยังวงสนทนานั้นทันที

“อ้าว มาร์ค ฟื้นแล้วเรอะ เป็นไงบ้างล่ะ”

โลแกน นายท้ายสามผู้ดูแลอุปกรณ์ความปลอดภัย หนึ่งในเจ้าหน้าที่สองคนนั้นเห็นแมคเคนซีเข้าพอดีจึงพักเรื่องตรงหน้าไว้แล้วหันมาถามไถ่อาการ

“ผมไม่เป็นไร พวกคุณทำแผลให้ผมเหรอ ขอบคุณมากนะ”

หนุ่มอังกฤษกล่าวขอบคุณชายสองคนตรงหน้า เขาไม่ค่อยเห็นทั้งคู่ออกมาทำงานในตัวเรือเท่าไหร่ คงจะเป็นเจ้าหน้าที่ออฟฟิศเซอร์บนหอบังคับการเรือ

“เรื่องเล็กน่า แล้วนายไปทำอีท่าไหนถึงเปียกขนาดนั้น คงไม่ได้ตกเรือไปอย่างที่ลุคส์บอกหรอกนะ”

“บ้าน่า ถ้าตกเรือไปคงไม่ใช่แผลแค่นี้หรอก เผลอ ๆ ไม่รอดแล้วมั้ง สูงตั้งขนาดนั้น”

พอถูกทักเรื่องตกเรือถึงเริ่มจำความได้ ก่อนหน้านี้เขาตัวเปียกโชกไปหมดทั้งจากการขึ้นไปบนฟลายด์บอร์ดพลังน้ำที่ดีนสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับไฮดร้า แล้วยังมีเตียงน้ำที่บุตรแห่งเจ้าสมุทรใช้รองรับร่างเขาตอนเสียหลักร่วงลงมาจากความสูงประมาณเก้าเมตรอีก ด้วยความที่ไม่ได้มีสกิลภูมิคุ้มกันเปียกเหมือนเหล่าลูกเทพสมุทร จึงจำต้องใช้เวลาปล่อยให้น้ำระเหยแห้งไปตามธรรมชาติ

ซึ่งแมคเคนซีก็เพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้เองว่า ชุดของเขาถูกเปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว

“อ้อ นั่นมัน…อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะครับ ว่าแต่พวกคุณกำลังจะทำอะไรเหรอ”

เขาเลือกที่จะบอกเพียงผ่าน ๆ แล้วรีบทำทีเปลี่ยนเรื่อง โดยใช้สายตามองไปยังชาร์ล็อตแทนการพูดตรง ๆ

“เรากำลังจะตรวจร่างกายชาลีน่ะสิ แต่ทำยังไงเด็กนี่ไม่ยอมท่าเดียว”

ริค หรือ ริชาร์ด พ่อบ้านประจำเรือตอบพลางกอดอกมองผู้ที่กำลังถูกพูดถึงซึ่งเพียงแค่ยิ้มให้พวกเขาเจื่อน ๆ

“ชาลีเขาค่อนข้างขี้อายน่ะ เดี๋ยวผมทำแผลให้เขาเอง พวกคุณทำงานต่อเถอะ”

แมคเคนซีบอกพลางเนียน ๆ ขยับตัวมาบังชาร์ล็อตไว้เล็กน้อย ซึ่งน้องสาวของเขาก็รีบพยักหน้ารับรัวเร็วจนเจ้าหน้าที่สองคนหันมามองหน้ากันแล้วยักไหล่

“เอางั้นก็ได้ ฝากด้วยแล้วกัน ถ้าจะใช้อะไรเพิ่มก็ไปหยิบตรงชั้นวางนั่นล่ะ”

โลแกนชี้นิ้วหัวแม่มือไปยังเชลฟ์เก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาล ก่อนที่ทั้งคู่จะผละไปจากตรงนั้นเพื่อดูอาการลูกเรือคนอื่นต่อ

“ฟู่ว…หนูนึกว่าจะไม่รอดแล้ว ขอบคุณค่ะพี่มาร์ค”

ชาร์ล็อตถอนหายใจยาวอย่างโล่งใจ แม้จะคุยกันเพียงสองคนแต่ในสถานที่ที่ไม่เป็นส่วนตัวเช่นนี้เธอจึงเลือกที่จะเรียกผู้เป็นพี่ด้วยนามแฝง

“นั่นสิ ดีที่ตื่นมาทัน แล้วเราเป็นอะไรหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนไหม”

แมคเคนซีพาชาร์ล็อตมานั่งตรงเก้าอี้ว่างมุมหนึ่งของห้องก่อนจะเริ่มสำรวจบาดแผลตามร่างกายให้

“มีแค่แผลถลอกกับรอยช้ำนิดหน่อยค่ะ ไม่มีแผลใหญ่”

ธิดาเฮคาทีรายงานพี่ชาย เธอรู้สภาพร่างกายของตนเองดี เผลอ ๆ บาดแผลเล็ก ๆ พวกนี้อาจหายไปในคืนนี้ด้วยซ้ำหากนักเวทผู้ชำนาญด้านการฮีลอย่างเธอใช้เวทรักษา แต่เพื่อความแนบเนียนและไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตเด็กสาวจึงไม่ทำเช่นนั้น

“ช่วงที่พวกพี่สลบไปมีอะไรเกิดขึ้นบ้างไหม”

หนุ่มอังกฤษถามขณะใช้น้ำเกลือชุบสำลีเช็ดแผลฆ่าเชื้อโรคให้ ผิวของชาร์ล็อตขาวเนียนละเอียดเหมือนน้ำนม ทั้งร่างกายก็บอบบางมีทรวดทรงองค์เอว ตามเนื้อตัวก็นุ่มนิ่มไร้มัดกล้ามเนื้อแข็งแรงต่างกับผู้ชายชัดเจน หากเมื่อครู่เธอถูกตรวจร่างกายขึ้นมาแล้วถูกจับสังเกตได้คงแย่แน่ ๆ

“มีเยอะแยะเลยค่ะ เริ่มจากตอนที่หลังจากล้มไฮดร้าได้แล้ว คุณเจคอปก็ออกมาเจอพวกเรา เขาบอกว่าเขาไปหาพวกเราที่คอกสัตว์แล้วไม่เจอ แล้วเราก็ไม่รายงานสถานการณ์ด้วย ตอนเขาเห็นพี่นอนสลบอยู่ก็ตกใจกันแทบแย่นึกว่าพี่เป็นคนที่ตกเรือไป หนูเลยบอกว่าหนูไปเอาของที่คลัง พอกลับมาก็เห็นพวกพี่อยู่ตรงนั้นแล้วเลยจะเข้าไปช่วยแต่พวกคุณเจคอปมาเจอซะก่อน พวกเขาเลยไม่ถามอะไรหนูมากแล้วรีบช่วยกันพาพวกพี่มาที่ห้องพยาบาลค่ะ”

เด็กสาวเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้ฟังโดยสรุป ซึ่งแมคเคนซีเองก็รับฟังพลางพยักหน้ารับน้อย ๆ เป็นครั้งคราวขณะทายาแก้ฟกช้ำตามแขนเล็ก ๆ ให้ เขาคิดว่าดีแล้วที่ชาร์ล็อตบอกไปแบบนั้น อย่างน้อยก็ถือเป็นการเอาตัวรอดที่ดีที่จะได้ไม่ถูกคนบนเรือซักไซ้ไล่ความในขณะที่พวกเขาไม่ได้สติ

“ส่วนพี่ดอม ตอนแรกหนูไม่รู้ว่าจะช่วยพี่เขายังไง แต่บางอย่างในกระเป๋ากางเกงของพี่มันเรืองแสงขึ้นมา…”

ธิดาเฮคาทีหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเธอ มันคือ ‘ม้าน้ำกระเป๋า’ ที่ดีนให้แมคเคนซีพกติดตัวเก็บไว้นั่นเอง

“พอหนูหยิบมันออกมา ก็มีฟองน้ำขนาดใหญ่ถูกยิงออกมาแล้วมันก็ลอยขึ้นไปห่อหุ้มร่างพี่ดอมเอาไว้แล้วพาเขาลงมาพอดีกับที่คุณเจคอปมาเลยค่ะ”

พอมาถึงตรงนี้เธอเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย แมคเคนซีรับเครื่องรางรูปม้าน้ำสลักลายงดงามมาแล้วมองเงียบ ๆ ก่อนจะยิ้มออกมาบาง ๆ

เขาเข้าใจได้ในทันทีว่า ของชิ้นขึ้นอยู่กับเจตจำนงของผู้ใช้ บิดาเทพผู้มอบเครื่องรางคงตั้งใจให้ลูกชายเก็บไว้ใช้ยามคับขันแม้ในยามที่ตนเองไม่ได้อยู่เคียงข้าง ซึ่งความตั้งใจอันแรงกล้านี้ก็ตรงกับแมคเคนซีเช่นกัน

นั่นคือความตั้งใจที่จะช่วยชีวิตคนสำคัญของตนเอง

“หนูได้ยินพวกออฟฟิศเซอร์คุยกันว่าพี่ดอมไม่เป็นอะไรมากค่ะ แค่ร่างกายอ่อนเพลียเฉย ๆ เขาตีความกันว่าพี่ดอมอาจเป็นลมแดด อ้อ ส่วนเรื่องคทาเวทไม่ต้องห่วงนะคะ หนูเอาไปซ่อนแล้ว รับรองไม่มีใครหาเจอค่ะ”

“อืม…ขอบคุณนะชาลี ช่วยได้เยอะเลย”

หลังจากที่เสียงเจื้อยแจ้วเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดจบ แมคเคนซีก็เก็บม้าน้ำกระเป๋าลงในกระเป๋ากางตามเดิมแล้วลูบผมนุ่มมือของน้องสาวเบา ๆ เธอช่วยเขากับดีนไว้เยอะจริง ๆ

.
.
.

“ไงมาร์ค โลแกนไปบอกฉันว่านายฟื้นแล้ว โอเคดีไหม”


เจคอปที่คงจะเพิ่งตรวจการตามหน่วยต่าง ๆ เสร็จมาที่ห้องพยาบาล ขณะที่สองพี่น้องกำลังนั่งดูอาการดีนอยู่ตรงข้างเตียง

“พวกเราไม่เป็นไรมากครับ ชาลีเล่าให้ผมฟังแล้ว ขอบคุณที่ช่วยพวกผมไว้”

รองกัปตันเรือเพียงแค่พยักหน้ารับคำขอบคุณเล็กน้อย ใบหน้าเรียบนิ่งนั้นยากแก่การคาดเดาว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ร่างท้วมเงียบไปเพียงอึดใจก่อนจะกล่าวขึ้นมา

“ถ้าดีขึ้นแล้วก็ไปกินมื้อเที่ยง แล้วไปตรวจสอบที่ห้องขนส่งสัตว์หน่อยว่ามีอะไรเสียหายหรือเปล่า แล้วช่วยเขียนบันทึกส่วนนี้ส่งแทนดอมด้วย ส่วนดอม…ถ้าเขาฟื้นเมื่อไหร่ฉันจะให้คนไปแจ้งข่าว”

“ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอตัวก่อน”

สองพี่น้องร่วมมารดาลุกขึ้นแทบจะพร้อมกัน แมคเคนซีหลุบตาลงมองดีนที่ยังคงหลับสนิทอีกครั้ง แม้ว่าจะยังเป็นห่วงอีกฝ่ายมากก็ตาม แต่การพาตนเองไปทำงานที่ห้องขนส่งสัตว์ซึ่งไม่มีผู้คนพลุกพล่านน่าจะเป็นการหลบเลี่ยงการถูกซักถามข้อสงสัยต่าง ๆ ได้ดี  
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครมาแจ้งเรื่องดีนตื่นจนพวกแมคเคนซีต้องกลับมานั่งเฝ้าที่ห้องพยาบาลด้วยกันเอง

.
.
.

- 7 ชั่วโมงผ่านไป (05:43 P.M.) -

ดวงตาสีเปลือกไม้เปิดปรือขึ้นมาหลังจากที่ดีนหลับไปนานเกือบแปดชั่วโมง เป็นการพักผ่อนเต็มแม็กซ์ของการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ ทว่าผิดเวลาอาการปวดจี๊ดในหัวจึงตามมาติด ๆ

“อูย… ปวดหัวชะมัด”

ฝ่ามือหนายกขึ้นนวดขมับและหว่างคิ้วเพื่อปรับสภาพของร่างกาย เมื่อประสาทสัมผัสตอบสนอง สิ่งแรก ๆ ที่รู้สึกได้คือกลิ่นของอาหาร  หากให้เดา คาดว่าเป็นซุป แล้วพอคิดถึงซุปเสียงท้องก็ร้องท้วงหิว

โครก….

“ดีน ! โอ้..นาย…น..นายฟื้นแล้ว นายเป็นยังไงบ้าง”


แมคเคนซีที่นั่งเฝ้าคนรักอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นแพขนตางอนหนาของร่างที่หลับมาเกือบครึ่งวันกระพริบถี่ ตามมาด้วยเจ้าของร่างที่เริ่มรู้สึกตัวก็รีบลุกขึ้นมาคว้ามือใหญ่กุมไว้แล้วถามไถ่อาการทันทีด้วยความเป็นห่วง

หลังจากทานมื้อเที่ยงและดูอาการสัตว์ในห้องขนส่งสัตว์เรียบร้อยแล้ว สองพี่น้องก็มีเวลาว่างมานั่งเฝ้าดีนนิดหน่อยก่อนจะไปทำงานในช่วงเย็นอีกครั้งแล้วรีบไปทานมื้อเย็นตามเวลา หลังจากจัดการหน้าที่ประจำวันเสร็จเรียบร้อย แมคเคนซีก็ให้ชาร์ล็อตกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนด้วยวันนี้เธอคงเหนื่อยมามาก ส่วนเขาก็กลับมานั่งเฝ้าบุตรแห่งเจ้าสมุทรต่อเหมือนเดิม

“แมคซี่…”


บุตรโพไซดอนขยับตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อตื่นเต็มที่ แม้ยังอยู่ในอาการเมาขี้ตานิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วดีกว่าที่คิด มึนหัวอยู่บ้าง ปวดกล้ามเนื้อเล็กน้อย ส่วนบาดแผลไม่มี เพราะคลื่นที่สาดเป็นฝอยเข้ามาในตัวเรือระหว่างการต่อสู้ได้ช่วยบรรเทาแผลถลอกและฟกช้ำจากการห้อยโหนตัวไปมากระแทกกับเหล็กบนเครนจนหมดแล้ว นอกจากร่างกายที่ฟื้นฟู พลังของลูกเทพก็ด้วยเช่นกัน

นี่แหล่ะความน่ากลัวของบุตรแห่งสามมหาเทพ อึด ถึก และทนทายาด

“แมคซี่ เมื่อกี้ฉันฝันด้วยล่ะ เป็นฝันที่เกี่ยวกับแม่ของนาย และพวกเรา…”

ใบหน้าละตินหันไปสบตากับหนุ่มอังกฤษด้วยสีหน้าจริงจัง ซิลเวอร์เคยบอกเขาว่าลูกเทพมักจะฝันถึงลางบอกเหตุที่เกิดขึ้นจริง ไม่แน่ว่าฝันของดีนนั้นมันก็อาจจะ….

“แต่ฉันหิวมากเลยอ่ะ ขอกินก่อนเล่าได้ไหม?”

“อ..อ้อ ได้สิ ฉันเก็บซุปกับขนมปังมาให้นาย ดีจริงที่นายฟื้นพอดี ซุปยังอุ่นอยู่เลย”


แมคเคนซีค่อย ๆ ช่วยพยุงให้ดีนนั่ง แม้จะติดใจสงสัยเรื่องความฝันที่อีกฝ่ายเกริ่นไว้ แต่เสียงท้องร้องที่ดังชัดเจนก็ทำให้เขาเห็นด้วยว่าดีนควรทานอะไรก่อน

“กินเองไหวไหม หรือให้ฉันป้อนดี”

หนุ่มอังกฤษหยิบถาดตรงตู้เก็บของเล็ก ๆ ข้างหัวเตียงที่มีชามซุปมะเขือเทศส่งกลิ่นหอมและขนมปังซาวร์โดว์จำนวนหนึ่งมาวางบนเตียงตรงที่ว่างด้านข้างคนที่เพิ่งได้สติ หลังทานมื้อเย็นเสร็จเขากับน้องสาวก็ขออนุญาตวินสตันว่าจะนำอาหารเย็นมาให้ดีนที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่เผื่อว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมา ซึ่งผู้เป็นพ่อครัวประจำเรือคงเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแล้วจึงยอมอนุญาตแต่โดยดี

“ฉันไ—...”


กำลังจะลั่นปากบอกว่า ‘ไหวสิ แค่นี้จิ๊บ ๆ’ แต่เมื่อคำนวณความคุ้มค่าดี ๆ แล้ว ทำเป็นกระเสาะกระแสะให้แฟนป้อนซุปให้ดีกว่า หนุ่มลูกทะเลจึงปั้นหน้าไม่ไหว ...แต่ในใจยิ้มกริ่ม

“ไม่ไหวอ่า นายช่วยป้อนฉันหน่อยนะ ฉันไม่มีแรงแม้แต่จะยกช้อน–...”

นัยน์ตาหวานส่งสายตาออดอ้อนคนรักเหมือนหมาหงุง

“แน่นอน ได้เลยที่รัก”


ส่วนแมคเคนซีที่เห็นใบหน้าและแววตาราวกับเจ้าหมาหงอยก็คิดว่าดีนอาจจะยังเจ็บปวดช่วงกล้ามเนื้อหรือมีแผลภายในที่มองไม่เห็นจึงรีบพยักหน้ารับเต็มใจทำให้ทันที เขาตักซุปที่อุ่นกำลังดีป้อนอีกฝ่ายเป็นคำแรกโดยระวังไม่ให้หยดเลอะผ้าปูหรือผ้าห่มบนเตียง

“งั้นระหว่างนี้นายเล่าความฝันที่ว่าให้ฉันฟังด้วยได้ไหม”

“ได้สิที่รัก”


ดีนอมยิ้มพร้อมกับรับปาก เขารับประทานซุปมะเขือเทศที่คนรักป้อนให้ อุณหภูมิของมันอุ่นกำลังดี ส่วนรสชาติก็อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ถือว่าอร่อยสำหรับเกรดโรงอาหาร โดยการปรุงรสของพ่อครัวเพียงคนเดียวเพื่อเลี้ยงลูกเรือหลายสิบชีวิต แต่ก็ยังไม่มีพ่อครัว-แม่ครัวคนไหนที่ดีนประทับใจเท่ากับเจ๊สกายลาร์อยู่ดี

และช่วงเวลานี้ทำให้หนุ่มเท็กซัสหวนนึกถึงคืนวันเก่า ๆ สมัยที่ยังเป็นเพื่อนกับแมคเคนซี...

จำได้เลยว่าวันนั้นเป็นวันเกิดของ ‘วิลเลียม เอ็ดเวิร์ด’ เพื่อนต่างมหาวิทยาลัยที่เจอกันในงานวิ่งมารธอนประจำเมืองนิวยอร์กบ่อย ๆ และยังมีความสนใจในทางเดียวกันหลายประการจนเรียกได้ว่าสนิท งานเลี้ยงวันนั้นเป็นงานที่เรียบง่ายไร้แอลกอฮอล์เหมือนกับงานเลี้ยงนักกีฬา รายละเอียดเรื่องนั้นช่างมัน ส่วนสำคัญคือขากลับซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลืมไม่ลง…

ดีนถูกพวกขี้ยาไร้บ้านที่สถานีซับเวย์กระทืบจนคางเหลือง เพื่อปล้นเอานาฬิกาข้อมือสุดหรูกับเงินที่เหลือติดกระเป๋าเพียงหยิบมือ โชคดีที่แมคเคนซีบังเอิญผ่านมาเจอแล้วช่วยเหลือเขาไว้ จากนั้นพาไปปฐมพยาบาลที่ห้อง ฟูมฟักอย่างดีเป็นเวลาสองวันสองคืน และแล้วความสัมพันธ์แบบบาร์เทนเดอร์กับลูกค้า หรือแค่เพื่อนที่กดไลค์ให้กันในโซเชียลมีเดียก็เปลี่ยนไปเป็นอะไรที่พิเศษกว่านั้น โดยยังคงคำว่า ‘เพื่อน’ เอาไว้จนกระทั่งถึงเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว

‘ว่าไปก็คบกันมาเกือบจะปีนึงแล้วแฮะ ขอให้การครบรอบหนึ่งปีของเรา เป็นช่วงเวลาที่พิเศษมากกว่าการสู้รบกับอสุรกายกลางภารกิจคำพยากรณ์…’

เมื่อกินซุปและขนมปังนุ่มไปได้หลายคำดีนก็เริ่มเล่าความฝันของเขา

“คืองี้… ฉันฝันว่าเราทำภารกิจเดินทางสักอย่างกันสำเร็จ จากนั้นแม่นายก็ ปุ้ง! ปรากฏตัวออกมาเหมือนนางฟ้าแม่ทูนหัวในเรื่องซินเดอเรลล่าแต่ว่าใส่ชุดดำทั้งตัว เธอชมเรา… ‘พวกเจ้าทำได้ดีมากที่ช่วยชาร์ล็อตและจูลี่’ดีนพยายามดัดเสียงให้เหมือนผู้หญิงแต่ยังคงความมีอำนาจของราชินีแม่มด “จากนั้นเธอก็ให้พรพวกเรา…”

ดีนหยุดอยู่แค่นั้น แม้สิ่งที่เขาฝันจะยังไม่จบก็ตาม

แมคเคนซีตั้งใจฟังสิ่งที่คนรักเล่าพลางป้อนซุปกับขนมปังไปด้วย ดูท่าว่าดีนจะหิวจริง ๆ อาหารที่เขานำมาให้จึงพร่องไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าหากทานจนหมดแล้วจะอิ่มหรือเปล่า


“ทำภารกิจงั้นเหรอ หมายถึงภารกิจนี้หรือเปล่า…แต่ก็ไม่น่าใช่ซะทีเดียว นายบอกว่าแม่ฉันพูดถึงจูลี่ด้วยนี่ ใช่ไหม”

เรียวคิ้วมุ่นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องน้องชายที่หายตัวไป หรือว่าสิ่งที่ดีนฝันกำลังบอกใบ้อะไรบางอย่าง

“จบแล้วเหรอ มีต่อไหม”

“มีสิ นี่ยังไม่ถึงช่วงไฮไลท์เลย” ดีนเว้นวรรคก่อนกล่าวต่อ “เธอให้พรพวกเราโดยการเสกฉันกับนายเป็นหมาปอมฯ นายเป็นหมาสีขาวส่วนฉันเป็นหมาสีน้ำตาล ในฝันพวกเราวิ่งเล่นกันสนุกเลย จนฉันคิดว่า…”


ดวงตาสีเปลือกไม้หลุบลงอย่างใช้ความคิดครู่หนึ่ง ริมฝีปากสีนู้ดเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนจะเงยสบหน้าคนรักอีกครั้ง

“ทำไมฉันถึงดีใจที่ถูกสาปให้เป็นหมาหว่า?”

“…………”


ช้อนที่ตักซุปถูกยกค้างไว้กลางอากาศหลังจากที่ฟังบุตรแห่งมหาเทพเจ้าสมุทรเล่าจบ ดวงตาสีฮาเซลมองตอบคนตรงหน้าที่ทำหน้าสงสัยราวกับว่าเป็นเรื่องที่สุดแสนจะจริงจัง

“ให้ตายสิดีน ฉันนึกว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายซะอีก แต่นายดันฝันว่าพวกเรากลายเป็นหมาปอมฯ เนี่ยนะ”

จะดุก็ดุไม่ลง เพราะนี่คือหลักฐานว่าดีนได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่จนร่างกายฟื้นตัวสมบูรณ์ดีแล้วถึงได้ตื่นมาจ้อเรื่องแบบนี้ได้ ดังนั้นเขาควรดีใจถึงจะถูกกว่า

‘อย่างน้อยนายก็ไม่ฝันร้ายล่ะนะ’

คิดในใจแล้วถือโอกาสส่งช้อนซุปเข้าปากดีนแบบไม่ทันตั้งตัวซะเลย

“แหงอยู่แล้วที่นายจะดีใจ นายอยากเป็นหมามาตั้งนานแล้วนี่”

แมคเคนซีบอกพลางป้อนซุปกับขนมปังให้ต่อ พลันหรี่ตาลงมองคนรักที่ชอบทำนิสัยเหมือนสุนัขตัวโตไปด้วย เพียงไม่นานมื้อเย็นที่เขานำมาให้ดีนก็หมดเกลี้ยง

ก๊อก ๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนา จากนั้นริชาร์ดพ่อบ้านประจำเรือก็เปิดประตูแล้วชะโงกหน้าเข้ามาในห้องพยาบาล

“สวัสดี คนป่วยตื่นแล้วสินะ กัปตันให้ผมมาแจ้งน่ะว่าถ้ากินอาหารกันเสร็จแล้วให้ไปพบที่ห้องประชุมหน่อย คุณโรเจอร์สมีเรื่องอยากจะคุยกับพวกนาย…”

พ่อบ้านเว้นช่วงไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าทีมดูแลสัตว์อยู่กันไม่ครบสามคน

“ฝากไปเรียกคนดูแลสัตว์อีกคนด้วยล่ะ แล้วก่อนไปก็ช่วยเอาชามซุปไปคืนที่ครัวด้วย ขอบคุณ”

เมื่อแจ้งข่าวเสร็จพ่อบ้านก็ปิดประตูห้องแล้วจากไป

“เอ่อ.. กัปตันเรียกคุยเหรอ… คงไม่ใช่ไล่พวกเราออกนะ ตอนที่เขารับบทผู้บรรยายก็น่าจะไม่เห็นการต่อสู้หรอกเนอะ ใช่ไหม?”

ดีนถามด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก เพราะว่าเขาไม่รู้เลยว่าถูกพบในสภาพไหนและถูกช่วยเหลืออย่างไร พวกสัตว์ในคอกได้รับความเสียหายอะไรบ้าง


“ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่คงไม่ถึงกับไล่ออกหรอกมั้ง อย่างน้อยตอนนี้เราก็อยู่กลางมหาสมุทร ถ้าพวกเราไม่ทำแล้วใครจะทำ”


หลังจากมองบานประตูที่ปิดลงแล้ว แมคเคนซีก็หันมายักไหล่แล้วหยิบขวดน้ำดื่มที่มีน้ำเปล่าอยู่เต็มขวดส่งให้ดีน

“ฉันจะเอาชามไปคืนคุณวินสตันเอง นายช่วยไปตามชาร์ล็อตให้หน่อยได้ไหม แล้วเราไปเจอกันที่ห้องประชุม”

แมคเคนซีจำได้ว่าเมื่อวันแรก ๆ ที่พวกเขาทั้งสามคนโดนพ่อครัวประจำเรือดุเรื่องการรักษาเวลา ดีนถึงกับหน้าเจื่อนไปถนัดตา หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้คนรักต้องไปเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนั้นตรง ๆ อีก หนุ่มอังกฤษบอกแล้วเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ร่างบนเตียงจนใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันไม่ถึงคืบ

“ให้เธอเอาคทาพกพาติดตัวมาด้วย ฉันสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

แม้จะอยู่ใกล้กันแค่นี้แต่แมคเคนซีก็ยังเลือกที่จะพูดเสียงเบา ไม่รู้ว่าเพราะความเป็นสายเลือดแห่งมนตราเริ่มจะเข้มข้นขึ้นหรือเปล่า เขาถึงเริ่มจับได้ถึงเค้าลางเรื่องต่าง ๆ และเริ่มเชื่อในลางสังหรณ์และสัญชาตญาณของตนเองมากขึ้น

“คทาเหรอ จะมีอะไรงั้นเหรอ?”


ดีนมีสีหน้าตื่นตระหนกเป็นกระต่ายตื่นตูม แม้ว่าทั้งสามอาจจะไม่ถูกไล่ออกตามที่แมคเคนซีบอกจริง แต่ให้เอาคทาพกติดตัวมาด้วยแบบนี้แปลว่าอาจมีเรื่องเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน

ขอแค่ความอย่าแตกก็พอ เขาไม่อยากหายไปกลางทะเลเหมือนเรื่องที่ช่างเครื่องเล่าให้ฟัง… แต่ในเมื่อกัปตันเรียกพบ รีบไปหาอาจดีกว่าจะได้ไม่ดูน่าสงสัย

“ฉันก็ไม่รู้ อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ได้ ก็แค่เตรียมไว้ เผื่อฉุกเฉิน”


แมคเคนซีบอกด้วยท่าทีใจเย็นก่อนจับมือทั้งสองข้างของคนรักมากุมไว้แล้วบีบเบา ๆ เพื่อให้คลายความกังวล มันอาจไม่มีอะไรเลยอย่างที่เขาพูด โรเจอร์สอาจแค่เรียกไปคุยอะไรเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นมา อย่างน้อยก็ยังมีชาร์ล็อตที่ใช้เวทได้อยู่

“โอเคที่รัก ถ้างั้นเจอกันที่ห้องประชุมนะ”


ลมหายใจพรูออกมายาวเพื่อข่มความกังวล ดีนกับแมคเคนซีแยกทางกันชั่วคราว แมคเคนซีเอาถาดอาหารไปเก็บ ส่วนดีนไปตามชาร์ล็อตที่ห้องพักพร้อมกับย้ำให้เธอแอบนำคทาเวทมนตร์ฟรุ้งฟริ้งติดมือมาด้วย

หลังจากที่แมคเคนซีทำความสะอาดจานชามเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอาภาชนะทั้งหมดไปคืนให้วินสตันที่ห้องครัวโดยไร้เสียงบ่นใด ๆ จากผู้เป็นพ่อครัวประจำเรือ จากนั้นก็รีบตามมายังห้องประชุมซึ่งเป็นจุดนัดหมาย


ก๊อก ๆ!

“มาร์คครับ”

“เชิญเข้ามา”

เสียงอนุญาตของกัปตันเรือดังขึ้นแทบจะทันทีหลังแมคเคนซีเคาะประตูและรายงานตัว เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็พบว่าดีนกับชาร์ล็อตมาถึงก่อนแล้ว

“เชิญนั่ง”


โรเจอร์สผายมือให้แมคเคนซีได้นั่งเรียงหน้ากระดานต่อจากดีนและชาร์ล็อต ซึ่งตอนนี้ทั้งสองมีอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ดีนนั่งตัวตรงหลังแข็งทื่อราวกับรูปปั้นโมอาย ส่วนชาร์ล็อตก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตามองโต๊ะที่ว่างเปล่าตรงหน้าราวกับกำลังตั้งใจนับรอยขูดชีดที่เกิดขึ้นบนหน้าโต๊ะ

เบื้องหน้าของเหล่าคนดูแลสัตว์เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเรือประกอบด้วยกัปตันสตีฟ โรเจอร์ส รองกัปตันควบต้นหนเจคอป แพร์โรว นายท้ายเรือสามคนที่จำชื่อได้เพียงคนเดียวคือโลแกน ฮาวเล็ต

‘บรรยากาศอย่างกับตอนสอบธีสิส…’

ดีนคิดในใจ เขาไม่ชอบบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแบบนี้เอาเสียเลย ขนาดเจคอปที่เคยคุยเล่นด้วยตอนมาตรวจงานยังดูเคร่งขรึมผิดปกติ ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงกัปตันเรือที่ดูเป็นคนเคร่งครัดตรงหน้าเลย รังสีอำมหิตบางอย่างส่งออกมาจนทำเอาเขาไม่กล้าสบตา

“เอาล่ะ อย่างที่พวกคุณทราบ วันนี้มีเหตุการณ์ผิดปกติหลายอย่างโดยเฉพาะในส่วนงานของพวกคุณ มีใครพอจะเล่าให้ผมฟังได้บ้างไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนนึงไปสลบอยู่แถวตู้คอนเทนเนอร์ ส่วนอีกคนสลบที่ฟรีบอร์ด”

กัปตันโรเจอร์สยิงคำถามทำลายความเงียบ สายตาคมกริบประดุจเหยี่ยวกวาดมองผู้ดูแลสัตว์ทั้งสามของเรือ

“เอ่อ..”

ดีนเสตาไปทางแมคเคนซีด้วยใจร้อนรน เขาลืมไปเสียสนิทว่าควรจะเตี๊ยมคำตอบกับทุกคนก่อน เพื่อให้การตอบคำถามเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ผู้ที่มาหลังสุดอย่างแมคเคนซีมองสบกับดวงตาสีเปลือกไม้ของดีนเล็กน้อยก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเริ่มตื่นตกใจไปก่อนแล้ว และเมื่อเลื่อนสายตามองไปยังน้องสาวก็เห็นเธอบีบมือที่ประสานกันอยู่ตรงหน้าตักจนแน่น ดูท่าทั้งสองคนนี้คงไม่พร้อมตอบคำถามแน่ ๆ

แล้วเขาพร้อมเหรอ…ก็ไม่นะ

“ผม…ขอเป็นคนชี้แจงเหตุการณ์เองครับ”

แต่สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่หันมาบอกกัปตันเรือ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงอนุญาต

“ก่อนเกิดเหตุการณ์จนถึงตอนที่คุณโรเจอร์สประกาศว่าพบฝูงวาฬหลังค่อมพวกเรากำลังทำงานกันในห้องขนส่งสัตว์ตามปกติครับ จนถึงตอนที่มีประกาศอีกครั้งแล้วเรือก็ถูกชน ตอนที่เรือเอียงพวกผมก็ล้มลงไปรอบนึง พอเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติ พวกผมก็รีบไปตรวจสอบสัตว์ในคอกตามคำสั่งว่ามีสัตว์ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า”

แมคเคนซีมองไปยังรองกัปตันเรือขณะพูดประโยคท้ายสุด สาบานว่าเขาไม่ถนัดโกหกเลยแม้แต่น้อย แต่นี่เป็นการแต่งเรื่องเท็จที่ยาวที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมา

“อืม…มาร์ควอ.ตอบกลับผมในช่วงเวลานั้นจริง ๆ ผมยืนยันได้”

เจคอปนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับเมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น

“ใช่ พวกเราทั้งหมดได้ยินวอ.ห้าตอบกลับตอนนั้น แล้วหลังจากนั้นล่ะ”

นายท้ายเรือคนหนึ่งที่เขาจำชื่อไม่ได้ถามขึ้นมาต่อ

“จากนั้น…พวกเราก็ดูแลความเรียบร้อยในห้องขนส่งสัตว์ต่อ แต่ระหว่างนั้นผมกลับมาเอาไฟฉายที่ห้องพัก ระหว่างที่กำลังจะกลับไปห้องขนส่งสัตว์เรือก็เริ่มโคลงเคลงไปมาอีกรอบ แล้วผมก็เสียหลักล้ม ผมไถลออกไปตรงฟรีบอร์ดจนเกือบจะตกเรือ แล้วดอมก็มาช่วยผมไว้ได้ทัน ตอนนั้นผมหมดแรงแล้วก็สลบไป ส่วนดอม…ผมมารู้จากชาลีทีหลังว่าเขาเองก็ล้มไปช่วงเรือโคลงเหมือนกันแล้วคงไปกระแทกกับตู้คอนเทนเนอร์เข้าเพราะเป็นลมแดด”

แมคเคนซีพยายามเอาสิ่งที่ได้รับฟังจากชาร์ล็อตและเหตุการณ์ทุกอย่างมามัดรวมปะติดปะต่อจนเป็นเรื่องเดียวกัน เขาต้องพยายามเป็นอย่างมากทีเดียวที่จะรักษาความเยือกเย็นของตนเองไว้จนไม่พูดติดอ่างเหมือนที่เคยเป็นเวลารู้สึกล่กขึ้นมา นี่เรียกได้ว่าสกิลการโกหกของเขาพัฒนาขึ้นหรือเปล่านะ…แต่มันใช่เรื่องน่าชื่นชมที่ไหนกัน

“งั้นที่ลือกันว่ามีคนตกเรือก็คือหมอนี่น่ะสิ”

“ตัวเปียกขนาดนั้นก็คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้มั้ง”

“แล้วที่ว่ามีคนตกจากเครนล่ะ”

“…….อันนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

เสียงพูดคุยเบา ๆ ดังมาจากนายท้ายทั้งสามคน โรเจอร์สจึงกระแอมไอเบา ๆ เป็นเชิงบอกให้เงียบลงก่อน

“แล้วช่วงเกิดเหตุคุณอยู่ที่ไหนชาลี”

หลังจากที่แมคเคนซีเล่าจบแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งห้าก็มองหน้ากันก่อนที่กัปตันเรือจะหันไปถามชาร์ล็อตที่นั่งก้มหน้าอยู่จนเธอสะดุ้งน้อย ๆ

“เอ่อ..น..หนูไปเอาของที่คลังค่ะ พอออกมาก็เจอพวกพี่เขาอยู่ตรงนั้นแล้ว”

เด็กสาวตอบตามที่บอกพี่ชายเอาไว้ก่อนหน้านั้นไม่ผิดเพี้ยน

“ส่วนนายล่ะดอม ก่อนที่นายจะเจอมาร์คตกเรือแล้วเป็นลม นายทำอะไรอยู่”

หลังจบคำถามของเจคอป สายตาทั้งห้าคู่ก็หันมามองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น  ‘คุณหมอผู้ดูแลสัตว์’ เป็นตาเดียว

ตอนนี้ดีนต้องคิดว่าเขาจะโกหกยังไงให้แนบเนียน...

“ผม.. ตอนนั้นผมดูแลสัตว์ที่เจ็บอยู่ครับ มีหลายตัวเลยที่ตัวไปกระแทกคอกเหล็กตอนที่เรือโคลงครั้งแรก พอผมเห็นว่ามาร์คตกเรือก็รีบไปช่วย จากนั้นผมก็ล้มหน้ากระแทกพื้นแล้วก็สลบไปเลย”

ดีนตอบแบบตัดวงจรของตัวเอง คำตอบของเขาทำเอาหลายคนในห้องประชุมหรี่ตามมองด้วยสายตาไม่อยากเชื่อเพราะว่ามันขัดกับหลักฐานที่ได้มาหลายอย่าง

“บอกตามตรง เรื่องที่พวกคุณเล่าขัดแย้งกับหลักฐานกล้องวงจรปิดที่เรามี”

กัปตันกล่าวพร้อมกับเปิดฉายสไลด์ภาพกล้องวงจรปิดในนาทีที่เกิดเหตุวาฬชนเรือ

ภาพที่ฉายบนผ้าใบสีขาวเป็นภาพของคนดูแลสัตว์ทั้งสามกำลังทำงานในช่วงสายในห้องขนส่งสัตว์ จากนั้นภาพก็สั่นอย่างรุนแรง ดอมเป็นคนแรกที่กระเด็นออกไปกระแทกประตูห้องสัตว์จนเปิดออก แล้วอีกสองคนก็หลุดตามออกไป แต่มาร์คจับประตูและชาลีเอาไว้ได้ทันเลยไม่หลุดไปตรงฟรีบอร์ด ก่อนจะเห็นมาร์ควิ่งออกจากเฟรม และเห็นเพียงแค่ชาลีที่กำลังทำอะไรบางอย่างตรงประตู ท่าทางเหมือนคนทำท่ากายบริหาร ผ่านไปครู่หนึ่งมาร์คก็กลับมาพร้อมกับกระบอกไฟฉายสองกระบอก แล้วทั้งหมดก็พากันออกไปจากห้องดูแลสัตว์

“น่าเสียดายที่เรามีแค่ภาพบริเวณในตัวเรือ กล้องวงจรปิดที่ฟรีบอร์ดทุกตัวจับได้แต่ภาพหยดน้ำเกาะหน้ากล้องถึงไม่เห็นเหตุการณ์จริง”

ชายผิวดำผู้เคร่งขรึมวางมือไว้บนโต๊ะ สายตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม

“ผมไม่เข้าใจ ทำไมพวกคุณไม่เล่าความจริงว่าหลุดออกจากห้องสัตว์ไปตั้งแต่แรก แล้วคนที่หลุดออกไปคือดอม ไม่ใช่มาร์ค ส่วนชาลี..คุณออกไปห้องคลังตอนไหน?”

“…………”


แมคเคนซีนั่งดูภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วนิ่งเงียบไป จริงอยู่ที่ว่าการล้มลงจากเหตุการณ์เรือโคลงในรอบแรกเป็นเรื่องจริงและเขาพยายามไม่ใส่รายละเอียดลงไปมากเพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกจับผิด แม้จะสามารถโต้แย้งได้ว่าดีนกลับมาอยู่ตรงหน้าประตูห้องขนส่งสัตว์ แต่หลังจากนั้นทั้งดีนและชาร์ล็อตก็ออกไปต่อสู้กับอสุรกายตรงส่วนฟรีบอร์ด นั่นเท่ากับว่าไม่มีใครสามารถยืนยันที่อยู่ของทั้งสองคนระหว่างที่เขากลับมาเอาคทาเวทที่ห้องพักได้

อีกทั้งเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าการขึ้นเรือของพวกเขาในครั้งนี้ไม่ต่างอะไรจากการลักลอบขึ้นเรือ หากรั้นแต่จะโต้แย้งไปก็คงเหมือนยิ่งเอาเชือกมามัดพันตนเองให้แน่นขึ้น ไม่เป็นผลดีเสียเปล่า ๆ

“เอ่อ…คือหนู…..”

ส่วนชาร์ล็อตเองก็คงจนต่อหลักฐานที่ปรากฏทางกล้องวงจรปิด เธอจึงพูดได้เพียงแค่นั้นแล้วก้มหน้างุดยิ่งกว่าเดิม

“นอกจากนั้นผมยังมีข้อสงสัยหลายเรื่องตั้งแต่ที่พวกคุณขึ้นเรือมา”


โรเจอร์สเว้นช่วงไม่กี่วินาทีแต่กลับเป็นความเงียบที่รู้สึกเหมือนกับว่ายาวนานชั่วกัลป์

“ก่อนเรือออกไม่กี่ชั่วโมงพวกเราได้รับแจ้งว่าคนดูแลสัตว์สามคนล้มป่วยกะทันหันทำให้ไม่สามารถขึ้นเรือมาได้ ให้เรือช่วยรออีกหน่อยจะส่งพนักงานชุดใหม่มาแทน แต่รู้อะไรไหม พวกคุณสามคนปรากฏตัวที่แรมป์เรือทันทีหลังจากที่ผมวางสายลง ตอนแรกก็ไม่ได้เอะใจเท่าไรคิดว่าบริษัทจัดหาพนักงานมาได้ทันที”

“หลังจากนั้น… หนึ่งชั่วโมงหลังเรือออก เจ้าหน้าที่ชายฝั่งวิทยุเข้ามาบอกว่าเจ้าหน้าที่ตัวสำรองมาแทนแล้วแต่หาเรือไม่เจอ ผมสนทนากับเขาอยู่นานจนนึกสงสัยว่าแล้วพนักงานสามคนที่อยู่บนเรือคือใครกันแน่ ผมจึงให้รองกัปตันคอยจับตาดูพวกคุณไว้เป็นพิเศษ แต่พวกคุณก็ทำงานได้ค่อนข้างดีในฐานะมือใหม่ ข้อสงสัยเรื่องมีคนลักลอบขึ้นเรือจึงถูกปัดตกลงไป…”

ดีนที่กลั้นหายใจมานานถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก

“...ชั่วคราว”

แต่แล้วบุตรเจ้าสมุทรต้องกลับมานั่งตัวเกร็งอีกครั้งเพราะกัปตันเว้นวรรคได้เ*ี้ยมาก

“นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมสองจิตสองใจ โดยเฉพาะเรื่องของชาลี”

ดวงตาคมมองไปทางหญิงสาวผมสองสี เธอสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกจับจ้องก่อนจะพยายามหลบสายตา

“ถึงคุณจะบอกว่าคุณเป็นทรานส์ แต่ในที่นี้ไม่มีใครคิดว่าคุณเคยเป็นผู้ชายมาก่อน”

ถึงตอนนี้ดีนแอบเห็นว่าเจคอปเสตามองไปทางอื่น

“คุณอยากจะพูดอะไรหน่อยไหม?”

“คือหนู……”


ชาร์ล็อตเอ่ยเสียงเบา สีหน้าดูหงอยยิ่งกว่าเดิม เด็กสาวขบริมฝีปากล่างแล้วตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด

“หนูขอโทษค่ะ ถึงหนูจะเป็นผู้หญิง แต่ว่าหนูไม่ได้ตั้งใจจะหลอกพวกคุณทุกคนนะคะ พวกเรามีความจำเป็นต้องไปที่โคลอมเบียจริง ๆ แต่พวกเราหาเรือโดยสารไม่ได้เลยค่ะ”

จากคำสารภาพจนหมดเปลือกของเธอทำให้แมคเคนซีหลับตาลงแล้วถอนหายใจยาว

‘จบสิ้นกันแล้วคราวนี้’

ไม่รู้ว่าเขาควรรู้สึกยังไง ควรภูมิใจที่ชาร์ล็อตเป็นเด็กดี ไม่ใช่เด็กเลี้ยงแกะชอบโกหกใคร หรือควรหนักใจที่ในที่สุดแผนก็แตกก่อนถึงที่หมายเพียงแค่วันเดียว แต่นอกจากบอกความจริงแล้ว…มันยังมีวิธีไหนที่ดีกว่านี้อีกล่ะ

‘ฉิบหายตายหอง!’


ดีนที่นิ่งเงียบตลอดยกเว้นตอนตอบคำถามเหงื่อไหลบ่าเป็นน้ำตะโกนสบถในใจเป็นหมื่นล้านคำ ตอนนี้เขาอยากจะร้องไห้โวยวายแล้ววิ่งไปรอบเรือสักรอบเพื่อสงบอารมณ์ สถานที่ที่พวกเขาอยากไปคือเอกวาดอร์ ไม่ใช่เรือนจำในเอลซัลวาดอร์! (เรือนจำในประเทศเอลซัลวาดอร์ มีชื่อเสียงในเรื่องของความเข้มงวด มักใช้จำคุกกลุ่มแก๊งอันธพาลและนักโทษคดีร้ายแรง ปัจจุบันทางการสหรัฐฯ ส่งผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้เรือนจำแห่งนี้ควบคุมดูแลอีกด้วย)

ทว่าความสิ้นหวังยังไม่จบอยู่เพียงแค่นั้น เมื่อเสียงเคาะประตูห้องประชุมดังขึ้น แล้วพ่อบ้านริชาร์ดกับพ่อครัววินสตันก็หอบหิ้วสัมภาระของพวกเขาเข้ามาในนั้น ไม่ใช่สิ่งของทั้งหมดแต่เป็นกระเป๋าที่ใส่อาหารกระป๋องและเอกสารส่วนตัว

“กัปตัน เราตรวจสอบสัมภาระของพวกเขาแล้ว มีกระเป๋าใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยอาหารกระป๋อง เต็นท์ และส้วมพกพา ส่วนนี่พาสปอร์ตของผู้ชายสองคน ส่วนของเด็กผู้หญิงเราไม่เจออะไร”

กระเป๋าเป้ใบโตและพาสปอร์ตปกสีน้ำเงินสองฉบับวางแหมะอยู่กลางโต๊ะ เล่มหนึ่งเป็นตราสัญลักษณ์สิงโตและยูนิคอร์นของสหราชอาณาจักร ส่วนอีกเล่มเป็นตรานกอินทรีคีบรวงข้าวและกิ่งมะกอกของสหรัฐอเมริกา

“ของพวกนี้ดูไม่เหมือนกับเป็นของที่คนมาทำงานจะพกพาเลยว่าไหม?”

“เฮ้! นั่นมันสัมภาระของเรานะ พวกคุณไม่มีสิทธิ์มารื้อค้น!”

ดีนโวยวายออกมา การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่งของเขา

“โดยทั่วไปน่ะใช่ แต่ตอนนี้พวกคุณต้องรู้ไว้ว่าผมคือกฎ และพวกคุณกำลังละเมิดการขึ้นเรือโดยไม่ได้รับอนุญาต”

ความเฉียบขาดของโรเจอร์สทำให้ดีนหมดหนทางจะเถียง เขานึกถึงเรื่องที่ลุคส์เล่าขึ้นมา กัปตันมีอำนาจในการปิดปากทุกคนบนเรือเรื่องคนหาย แล้วถ้าคนหายที่ว่ากลายเป็นพวกเขาเสียเองล่ะ? ถูกส่งตัวไปเรือนจำอาจดีกว่าถูกทำให้ตายแล้วโยนลงทะเล

แมคเคนซีเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งขึ้นเมื่อกลุ่มคนในเรือนำสัมภาระส่วนตัวของพวกเขามาไว้ที่นี่ กับดีนที่เป็นพลเมืองชาวอเมริกันอาจโดนโทษตามกฎหมายคือโดนปรับรวมถึงจำคุก แต่กับเขาและชาร์ล็อตที่เป็นคนต่างประเทศซ้ำยังทำผิดกฎหมาย ดีไม่ดีนอกจากจะโดนปรับและจำคุกแล้วก็อาจโดนโทษสถานหนักถึงขั้นถูกให้ออกนอกประเทศและติดแบล็คลิสต์ได้


แต่ตอนนี้พวกเขาซึ่งถือว่าเป็นคนผิดไม่มีสิทธิ์โต้แย้งใด ๆ หนุ่มอังกฤษวางมือบนบ่าคนรักแล้วบีบเบา ๆ เพื่อให้ใจเย็นลงก่อนที่กัปตันเรือจะหมดความอดทนและลงโทษพวกเขาสถานหนักตามกฎที่เขาเป็นคนตั้งเองขึ้นมา

“ผมขอยืนยันอีกคนว่าพวกเราไม่ได้มีจุดประสงค์ไม่ดีในการลักลอบขึ้นเรือ ในเมื่อพวกเราโดนจับได้แล้ว ผมขอให้คุณลงโทษพวกเราตามกฎหมาย…ที่เป็นไปตามหลักมนุษยธรรมได้ไหม”

ในเมื่อมาถึงขึ้นนี้แล้ว แมคเคนซีจึงเลือกใช้การต่อรองแบบสุภาพ อย่างน้อยก็หงายการ์ดให้อีกฝ่ายรู้ว่าพวกเขารู้เกี่ยวกับด้านมืดของคนบนเรือและอ้างหลักมนุษยธรรมบังหน้า เพื่อที่ว่าโรเจอร์สจะได้ไม่ตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นมา สิ่งที่ควรทำมากที่สุดในตอนนี้ก็คือรักษาชีวิตเอาไว้ก่อน

‘ส่วนหลังจากนี้…ค่อยไปคิดต่อแล้วกัน’

“ในที่สุดก็รับสารภาพ
” กัปตันเรือถอนหายใจหนักกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตรงหน้า จากนั้นรับปากแมคเคนซีด้วยน้ำเสียงจริงจัง แน่นอน พวกเราไม่ใช่คนป่าเถื่อนอยู่แล้ว” 

ดีนได้แต่ขบริมฝีปากของตัวเองไว้แน่น แมคเคนซีกับชาร์ล็อตดูจะจำยอมรับการลงโทษตามกฎหมาย ตรงกันข้ามกับคนหัวขบถอย่างบุตรแห่งโพไซดอนที่มักจะขี้กลัว แต่เขาไม่ยอมให้อนาคตของตัวเองไปจบอยู่ที่เรือนจำแล้วรอวันที่โลกระเบิดเพราะภารกิจล้มเหลวหรอก

และไม่ใช่แค่อนาคตของตนเองเพียงคนเดียว ทั้งแมคเคนซีและชาร์ล็อตคือคนสำคัญของเขา คือครอบครัว ที่รับปากเทพีเฮคาทีไว้มาจากความตั้งใจจริง ไม่ใช่แค่พูดให้ตัวเองดูหล่อ

เพียงแต่ตอนนี้ต้องทำยังไง? บุกเดี่ยวซัดทุกคนให้หมอบแล้วยึดเรืออย่างนั้นเหรอ?

‘โอ้ ไม่.. แบบนี้โดนจำคุกแบบขังลืมแน่ ๆ’

ในจังหวะที่กัปตันกำลังจะเปิดพาสพอร์ตของแมคเคนซีขึ้นมาดูนั่นเอง ทำให้ดีนต้องรีบทำอะไรบางอย่าง

‘น้ำ! น้ำมาช่วยหน่อย!!’

พลังควบคุมน้ำทำงานทันทีโดยไม่ต้องใช้บทร่ายอย่างสองพี่น้องพ่อมดแม่มด สปริงเกอร์ดับเพลิงกลางห้องถูกแรงน้ำดันจนระเบิดออก สร้างความชุ่มฉ่ำไปทั่ว เหล่าออฟฟิศเซอร์ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ดังกล่าวจนเปลี่ยนความสนใจ

“วอ.สองเรียกวอ.สาม มีเหตุขัดข้องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า? เปลี่ยน”

เจคอปรีบใช้วิทยุสื่อสารติดต่อไปยังฝ่ายวิศวกรเรือในทันที หากสปริงเกอร์ทำงานหมายถึงตรวจจับควันได้ แต่ตอนนี้ไร้สัญญาณแจ้งเตือนไฟไหม้ในตัวเรือ จึงไม่มีทางที่หัวดับเพลิงจะทำงานเอง

ซ่า… วอ.สามรับ เหตุการณ์ปก—...’

ยังไม่ทันที่วิศวกรเรือจะรายงานจบดีนก็ชิงระเบิดหัวดับเพลิงอื่น ๆ ที่ใช้น้ำจากสายเดียวกันจนเกิดความโกลาหลไปทั่วเรือ

ซ่า… จู่ ๆ สปริงเกอร์ก็ทำงานครับ ผมจะรีบตรวจสอบ เปลี่ยน’

“รีบตรวจสอบ เปลี่ยน” เจคอปรับเรื่องน้ำเสียงเครียด ก่อนที่เขาจะหันไปทางกัปตัน “เอาไงต่อดีกัปตัน”

“แก้ไขปัญหาเบื้องหน้าก่อน ให้สัญญาณแดง อาจมีเหตุเพลิงไหม้ ส่วนสามคนนี้เอาไปขังไว้ในห้องพักสักห้อง ฝากคุณสองคนด้วย”

โรเจอร์สมอบหมายงานให้กับวินสตันและริชาร์ดรับเรื่อง จากนั้นเหล่าออฟฟิศเซอร์ก็รีบออกไปประจำการที่ห้องสะพานเรือ

“รับทราบกัปตัน” พ่อครัวขานรับ ก่อนที่เขาจะรีบเข้ามาประกบดีนกับแมคเคนซีแล้วดึงตัวให้ลุกขึ้นยืน “อย่าตุกติกเชียว ถึงกัปตันจะใจดีพร้อมทำตามกฎหมาย แต่สำหรับฉัน… ไม่”

พ่อครัวสุดโหดพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่ต่างจากตอนดุทั้งสามที่มากินมื้อเย็นไม่ตรงเวลา ทว่าน้ำเสียงนั้นแฝงความอำมหิตมากกว่าเยอะ

“ระ.. รู้แล้วน่า”

จังหวะที่กำลังจะถูกพาออกจากห้องดีนรีบกระซิบบอกชาร์ล็อตที่มีคทาปากกาจิ๋วอยู่ในมือ

“เอ็กซิโอ พาสปอร์ต ชาล็อต”

“เอ๋?” สาวน้อยเอียงคอทำตาปริบ ๆ หากจำไม่ผิดนั่นคือชื่อคาถาเรียกของจากเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ ภาพยนตร์จากนิยายดังที่ใคร ๆ ก็รู้จักแม้ไม่ได้เป็นแฟนคลับ แม้จะงงในตอนแรกทว่าธิดาแห่งเฮคาทีก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว “แอ๊กเซอร์โซ อ็อบเจ็กตุ้ม”

พาสปอร์ตสองเล่มที่เปียกโชกไปด้วยน้ำลอยฉิวเข้ามือของสาวน้อยอย่างแม่นยำ ก่อนที่บานประตูห้องประชุมจะปิดลงโดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น




ความคิดเห็นผู้บันทึก
น่าเจ็บใจชะมัดที่ความดันมาแตกว่าพวกเราเป็นผู้ลักลอบขึ้นเรือก่อนที่เรือสินค้าจะเข้าท่าเรือแค่หนึ่งวัน
แล้วจะต้องทำยังไงต่อดีล่ะ!?
ก็รีบติดตามบันทึกบทต่อไปเลยสิ พลิกไปที่อีกหน้าโลด อิอิ

สรุปสถานการณ์
- แมคเคนซีและดีนฟื้นขึ้นที่ห้องพยาบาลของเรือหลังจากที่เพิ่งสู้ศึกไฮดร้า 7 หัว (แต่งอกเพิ่มเป็น 13 หัว) เมื่อเช้า ส่วนชาร์ล็อตไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก
- ช่วงค่ำวันนั้นกัปตันเรียกทั้ง 3 เข้าพบ เพื่อถามไถ่เหตุการณ์ตามแบบที่เขาเข้าใจ แต่ว่าคำให้การของกลุ่มคนดูแลสัตว์ขัดกับหลักฐานกล้องวงจรปิดหลายอย่าง
- กัปตันเรือตัดสินใจเล่าความจริงให้ฟังว่าเขาพบพิรุธว่าทั้ง 3 คน เป็นผู้ลักลอบขึ้นเรือตั้งแต่วันแรก แต่ยังไม่ได้เรียกมาลงโทษ แค่ให้รองกัปตันเรือจับตาดูเอาไว้
- สุดท้ายทั้งสามจำนนต่อหลักฐานจึงรับสารภาพ ในช่วงที่ตรวจสอบเอกสาร ดีนควบคุมน้ำจากหัวดับเพลิงสร้างความวุ่นวายก่อนการตรวจสอบ ทำให้ทั้ง 3 คน ถูกเอาไปขังไว้ในห้องพักของชาร์ล็อตก่อนเพื่อควบคุมระบบที่มีปัญหาเบื้องหน้า

แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
God
ดี: 5
  โพสต์ 2025-8-12 00:29
โพสต์ 101639 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-8-12 00:20
โพสต์ 101,639 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก กางเกงเดินป่า  โพสต์ 2025-8-12 00:20
โพสต์ 101,639 ไบต์และได้รับ +7 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ จาก Anker PowerCore  โพสต์ 2025-8-12 00:20
โพสต์ 101,639 ไบต์และได้รับ +13 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +25 ความกล้า +18 ความศรัทธา จาก หมวกคอรินเธียน  โพสต์ 2025-8-12 00:20
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
Anker PowerCore
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่อัสพิสขัดเกลา
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x10
x2
x3
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x3
x1
x3
x1
x1
x4
x6
x1
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x6
x2
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-8-15 22:42:01 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-29 00:11

XIII
แผนบี-บอกลา"โบอิ้งแมรี่"
 Mackenzie Claude Lincoln 

- 23.05.2025 / 19:38 P.M. -
เรือโบอิ้งแมรี่, ทะเลแคริบเบียน, มหาสมุทรแอตแลนติกใต้

“อยู่ในนี้กันไปก่อน อย่าคิดทำอะไรตุกติก ไม่งั้นหาอย่าว่าฉันไม่เตือน”

ร่างของเดมิก็อดทั้งสามถูกผลักเข้ามาในห้องพักของชาร์ล็อตที่อยู่ห้องริมสุด ตามด้วยเสียงปิดประตูดังลั่นไล่หลัง


“หนูขอโทษนะคะ พวกเราเลยถูกจับได้เลย”

ชาร์ล็อตบอกเสียงอ่อยด้วยความรู้สึกผิด แต่แมคเคนซีกลับส่ายหน้าแล้วลูบผมเธอเบา ๆ

“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดของชาร์ล็อตหรอก พวกเขาจับตาดูเรามาตั้งแต่แรกแล้ว”

หากเป็นอย่างที่กัปตันเรือบอก พวกเจ้าหน้าที่บนเรือบางส่วนก็แค่กำลังรวบรวมหลักฐานแล้วรอเวลาอันเหมาะสมที่จะใช้มันมัดตัวพวกเขา ซึ่งก็คือเวลานี้นั่นเอง

แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า หากวันนี้ไม่มีไฮดร้าตนนั้นมาก่อกวน โรเจอร์สและคนอื่น ๆ จะตัดสินใจกับเหตุการณ์นี้ยังไง จะทำเป็นหลับหูหลับตาแล้วปล่อยพวกเขาไปไหม หรือจะยังแจ้งข้อหาพวกเขาทันทีที่เรือเทียบท่าเรือโคลอมเบีย

คงมีแต่กัปตันเรือสตีฟ โรเจอร์สและเหล่าทวยเทพเท่านั้นที่ล่วงรู้

“นายก็ใจร้อนใช่เล่นนะ”

หลังจากปลอบน้องสาวแล้ว แมคเคนซีก็หันไปหาบุตรมหาเทพแห่งเจ้าสมุทรที่ยังอยู่ในห้องด้วยอีกคน เขารู้ดีว่าที่สปริงเกอร์ทั่วลำเรือทำงานผิดปกติเช่นนั้นไม่ใช่เพราะระบบขัดข้อง แต่เป็นความสามารถในการควบคุมน้ำของดีนต่างหาก

“ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกชาล็อต เมื่อกี้พวกเราก็บ้งกันทุกคน” 

ดีนพยามปลอบน้องสาว แต่ปลอบแบบนี้ไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า จากนั้นก็หันไปตอบแมคเคนซี

“ทำไงได้ ฉันไม่อยากโดนจับหมดอนาคตนี่ อีกอย่างสัญญากับแม่นายไว้แล้วว่าฉันจะดูแลนายกับชาร์ล็อตอย่างดี ทั้งเรื่องความปลอดภัยแล้วก็ไม่ให้เข้าไปนอนในซังเตด้วย”

ดีนบ่นยาวก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างแรงจนสปริงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดดึ๋งดั๋ง ทั้งที่เขานอนมาแล้วกว่าเจ็ดชั่วโมง โดยไม่สนว่านั่นคือที่นอนของชาร์ล็อต

“ฉันว่าได้เวลาที่พวกเราต้องขุดแผนบีมาใช้แล้ว”

บุตรแห่งโพไซดอนเสนอ ‘แผนบี’ ที่ล่องลอยในอากาศ ใช่… เขาเพิ่งคิดว่าควรใช้แผนบีเมื่อกี้นี้เอง ก่อนจะหันไปมองทั้งสองพร้อมกับขมวดคิ้ว

“แต่ก่อนอื่น ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนไหม ทั้งสองคนเปียกมะล่อกมะแล่กอย่างกับลูกหมาตกน้ำ”


ในที่นี้มีแค่ดีนคนเดียวที่ไม่ได้เปียกปอนจากสายน้ำที่กระจายออกจากสปริงเกอร์ดับเพลิง พูดให้ถูกก็คือ ‘เคยเปียก’ แต่กลับมาตัวแห้งในพริบตาด้วย ‘พรภูมิคุ้มกันเปียก’ หากพวกเขาต้องหนีตายกันกลางทะเลจริงไม่ควรให้ร่างกายเปียกจนก่อให้เกิดอาการหวัด

‘แต่ถ้าต้องกระโดดลงทะเลจริงก็ต้องเปียกอยู่ดีนี่หว่า โอ๊ยยย ปวดหัว!’

เขาหยุมหัวตัวเองกับความคิดที่ตีกัน

สองพี่น้องนักเวทมองบุตรเจ้าสมุทรที่นอนแผ่ลงไปบนเตียงแล้วหันมามองหน้ากันตาปริบ ๆ เหมือนทั้งคู่กำลังคิดอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน แต่พอได้ฟังเหตุผลที่ดีนหัวร้อนขนาดนี้แล้วก็ได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“ชาร์ล็อตไปเปลี่ยนชุดเถอะ แล้วค่อยมาฟังแผนบีของดีนกัน”

แมคเคนซีหันไปบอกน้องสาว เธอจึงขอตัวไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ ส่วนหนุ่มอังกฤษที่ตอนนี้กระเป๋าเสื้อผ้าแยกอยู่อีกห้องก็ถอดเสื้อออกมาพาดไว้กับพนักพิงเก้าอี้แล้วนั่งลงตรงนั้น

“เปียกทั้งวันเลยวันนี้ ใครจะไปนึกว่าฉันจะได้เปลี่ยนชุดสองรอบติดต่อกัน”

ดวงตาสีฮาเซลมองไปยังร่างที่นอนจนเกือบเต็มพื้นที่เตียง

“พวกฉันก็ไม่ได้บอกนี่นาว่าจะยอมไปนอนในคุกกันง่าย ๆ แต่ก็ขอบคุณนายที่ดูแลฉันกับชาร์ล็อตเป็นอย่างดีนะ”

ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไง แต่ภายในหัวแมคเคนซีตอนนี้มีแต่คำชมว่า ‘หมอนี่น่ารักชะมัด’ เต็มไปหมดตามประสาคนคลั่งรักแฟน


“พวกนายน่าจะมีเวทเสกเสื้อให้แห้งได้นะ”

เนตรสีเปลือกไม้เหลือบมองผิวกายขาวราวกับหินอ่อนกอปรกับกล้ามเนื้อสมส่วนที่ทำให้แมคเคนซีดูคล้ายกับรูปปั้นอดัม (ย้ำว่าแค่ช่วงลำตัวไม่รวมใต้กางเกง) เป็นภาพที่เห็นจนชินตา แม้ทุกครั้งที่เรือนกายนี้จะทำให้ชายหนุ่มเลือดลมสูบฉีด แต่ด้วยความเครียดที่มีทำให้ดีนไม่มีอารมณ์มาคิดถึงเรื่องอย่างว่า

ทว่าเขาเกิดไอเดียอย่างหนึ่ง…

ชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่งถอดเสื้อของตัวเองออกก่อนจะลองนำผ้าเปียกของแมคเคนซีมาสวมใส่ ฉับพลันเสื้อของอีกฝ่ายก็แห้งเป็นปลิดทิ้ง

“ทำแบบนี้ได้ด้วยแฮะ ฉันน่าจะมีพลังที่แค่แตะตัวนายก็ทำให้หายเปียกได้”

ไม่รอช้าที่จะเปลือยท่อนล่างจนล่อนจ้อน จากนั้นก็ส่งมอบเสื้อผ้าอุ่น ๆ ที่เพิ่งถูกถอดออกจากตัวโยนให้อีกฝ่ายเหมือนส่งบอล จากนั้นกระดิกมือให้คนรักทำแบบตน

“อาจมีในตำราแต่ฉันยังอ่านไม่ถึงหน้านั้นก็ได้มั้ง แล้วถ้านายมีพลังถึงขั้นนั้น ต่อไปพวกเราอาจไม่ต้องใช้ผ้าเช็ดตัว เฮ้ นายทำอะไร”

พอรับเสื้อผ้าจากดีนมาแล้วก็ทำตาโตเมื่ออยู่ ๆ อีกฝ่ายก็ถอดกางเกงต่อหน้าต่อตา

“หนูเสร็จแล้วค่ะ ว้าย! พวกพี่ทำอะไรกันอะ”

ชาร์ล็อตที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เปิดประตูห้องน้ำออกมาหลังจากที่เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ทันได้มาเห็นภาพบุตรมหาเทพโพไซดอนในชุดวันเกิดพร้อมกับพี่ชายที่เปลือยท่อนบนอยู่พอดี เด็กสาวรีบปิดตาตัวเองไว้แล้วปิดประตูห้องน้ำ เข้าไปอยู่ในนั้นอีกรอบทันที

“เดี๋ยวชาร์ล็อต! มันไม่ใช่แบบนั้น”

แมคเคนซีรีบแก้ตัวแล้วใส่เสื้อที่ดีนเพิ่งส่งมาให้ ก่อนก้มลงมองกางเกงตนเองแล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองหนุ่มใบหน้าละติน

“นี่นาย…เอาจริงดิ”

“โอ้ ขอโทษทีชาร์ล็อต ถ้าเธอเห็นก้นฉันก็ลืม ๆ ไปซะเถอะนะ”

ดีนเคาะประตูห้องน้ำบอกเด็กสาวที่หลบเข้าไป จากนั้นค่อยหันกับมาคุยกับแฟน

“แน่ใจสิ เปลี่ยนกางเกงซะถ้านายไม่อยากไข่เปียกไปอีกเป็นชั่วโมง”

“อ..โอเคค่ะ ม..เมื่อกี้หนูไม่เห็น ไม่เห็นอะไรเลยค่ะ พวกพี่ทำธุระกันให้เสร็จก่อน เดี๋ยวหนูออกไป”

เสียงของธิดาเฮคาทีดังมาจากในห้องน้ำ ไม่รู้ที่เธอบอกว่า ‘ไม่เห็นอะไรเลย’ นั้นจริงหรือไม่ แต่ดูจากปฏิกิริยาตกใจสุดขีดนั้นแล้วก็ค่อนข้างยากที่จะเชื่อ

“งั้นก็รีบทำเลย นายนี่นะ…คราวหน้าจะทำอะไรแบบนี้ก็บอกล่วงหน้าก่อน อย่าลืมสิว่ามีชาร์ล็อตอยู่ด้วย”

เมื่อน้องสาวเปิดทางสะดวกให้ แมคเคนซีจึงวางใจที่จะถอดกางเกงของตนออกแล้วโยนให้ดีน แล้วเอากางเกงอีกฝ่ายมาสวมแทนแต่ก็ยังไม่วายบ่นไปด้วย

“ไม่ได้ลืม ใครจะคิดล่ะว่าเด็กผู้หญิงจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็ว”

ความจริงอาจเป็นใครจะคิดว่าผู้ชายอย่างดีนเข้าห้องน้ำแต่ละทีนานกว่าผู้หญิงเสริมสวยมากกว่า…

บุตรเจ้าสมุทรสวมใส่เครื่องแต่งกายท่อนล่างที่เคยเป็นของแมคเคนซี เพียงแค่ช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งอึดใจกางเกงที่เปียกชุ่มก็แห้งสนิท

ข้อดีของการเป็นลูกโพไซดอน และข้อดีของการมีแฟนตัวเท่า ๆ กัน…

ดีนเดินไปส่องช่องตาแมวตรงประตู ภาพที่เห็นเป็นเพียงทางเดินที่ว่างเปล่าและสายน้ำที่ค่อย ๆ ไหลซึมผ่านช่องว่างใต้ประตูตามแรงโน้มถ่วง เขายกนิ้วชี้ขึ้นราวออกคำสั่ง จากนั้นแอ่งน้ำน้อย ๆ ก็ค่อย ๆ ไหลออกจากห้องพักของทั้งสามคน แล้วจึงกลับมาเคาะประตูห้องน้ำเรียกสาวน้อยอีกรอบ

“พวกเราทำกันเสร็จแล้วชาร์ล็อต เธอออกจากห้องน้ำมาได้เลย”

หลังเสียงเรียก ธิดาแห่งเฮคาทีค่อย ๆ แง้มประตูห้องน้ำออกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ จนเมื่อเห็นว่าห้องนี้ปลอดภัย ทั้งอสรพิษและลูกพีชถูกเก็บอยู่ในที่เหมาะสมจึงออกมานั่งที่ปลายเตียง

“เอาล่ะ เรามาเริ่มประชุมแผนบีกันเลย” ดีนปรบมือเบา ๆ เรียกความฮึกเหิมกลับคืนมา “ลักกี้! พวกนั้นเอาสัมภาระของพวกเราไปแต่ดันลืมเอาไอ้นี่ออกไปด้วย”

เขาหยิบวอล์กกี้ทอล์กกี้ของชาร์ล็อตมาเปิดเสียงเพื่อฟังสถานการณ์ในลำเรือ การที่พ่อครัวและพ่อบ้านลืมเก็บวิทยุสื่อสารกลับไปแบบนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการจับขโมยมาขังไว้

‘วอ.สี่อลัน เรียก วอ.สาม สปริงเกอร์บริเวณทางเดินหน้าห้องสะพานเรือซ่อมเสร็จแล้ว เปลี่ยน’

“ซ่อมเสร็จเร็วไปแล้ว”

ดีนพึมพำก่อนหลับตาลง สัมผัสถึงสายน้ำบนท่อเหนือหัวที่หล่อเลี้ยงทั้งลำเรือ เป้าหมายอยู่ไกลแต่ก็พอจะจับจุดได้ ‘ระเบิดมันซะ!’ จากนั้นเสียงโวยวายก็ออกมาจากวิทยุสื่อสารอีกรอบ

‘วอ.สี่อลัน เรียก ท่อน้ำแตกอีกแล้ว มันอะไรกันเนี่ย!’

พี่น้องนักเวทนั่งฟังสถานการณ์ภายในเรือจากเครื่องวอล์กกี้ทอล์กกี้ไปด้วย ตอนนี้ทุกคนกำลังหัวหมุนอยู่กับการซ่อมสปริงเกอร์และท่อน้ำแตกกันอยู่

จากตัวการที่นั่งอยู่ในห้องนี้ยังไงล่ะ

“แล้วแผนบีที่นายว่าคืออะไร คงไม่ใช่แค่ตั้งใจจะระเบิดท่อน้ำถ่วงเวลาไปเรื่อย ๆ หรอกใช่ไหม”

แมคเคนซีถามขณะที่เกยคางอยู่กับพนักพิงเก้าอี้

“แน่นอนว่าต้องไม่ใช่อยู่แล้ว แผนบีที่ว่าก็คือ ‘การโดดทะเลหนี’ กันยังไงล่ะ” ดีนเสนอแผนด้วยน้ำเสียงที่ทำเป็นมั่นใจ

“โดดทะเลเหรอคะ!?”

ชาร์ล็อตร้องเสียงหลงเมื่อได้ฟังแผนการของดีน ส่วนแมคเคนซีก็ขมวดคิ้วเป็นปม ตีหน้ายุ่งไปแล้วเรียบร้อย

“นายกำลังล้อเล่นหรือไง เรือนี่มันสูงตั้งเก้าเมตร คิดว่าโดดลงไปแล้วพวกเราจะรอดเหรอ”

“ฉันก็รับประกันไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะไม่มีใครเจ็บตัว แต่ถ้าลองคำนวณดูไว ๆ ฉันสามารถใช้พลังควบคุมน้ำสร้างสไลเดอร์ให้พวกเราสไลด์ลงทะเลกันได้ เสริมความหนาแน่นของน้ำให้เพิ่มขึ้นด้วยตรีศูลน้อย ทีนี้ก็น่าจะไม่มีใครบ๋อมลงไประหว่างที่กำลังสไลเดอร์อยู่” 

“อืม… คราวนี้เราน่าจะต้องขโมยแพชูชีพสักลำที่ติดอยู่ตรงท้ายเรือ ไม่รู้ว่ามันปลดล็อคยังไง แต่เครื่องมือชูชีพต้องทำให้ใช้งานง่ายอยู่แล้ว”

นี่คือแผนอันบรรเจิด (ไม่รู้ในทางไหน) ของบุตรแห่งโพไซดอน พูดก็พูดง่ายแต่ทำจริงได้ไหมไม่ทราบ กระนั้นดีนก็ยังไม่อยากละทิ้งความหวัง

“แต่กว่าจะไปถึงช็อตนั้น พวกเราจะหนีกันไปที่ท้ายเรือยังไงก่อน ที่พักของพวกเราอยู่ชั้นสาม จากที่นี่ต้องลงลิฟต์ไปชั้นหนึ่ง ฉันพอจะควบคุมน้ำถ่วงเวลาพวกช่างได้ แต่นอกจากนั้นต้องใช้เวทมนตร์ของพวกนายเสริมในการสะเดาะกลอนประตู แล้วไหนยังต้องไปเอากระเป๋าที่ถูกยึดไว้ที่ห้องประชุมอีก ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังอยู่ตรงนั้นไหม หรือมีใครหิ้วไปห้องกัปตันหรือโรงครัวไปแล้ว”

ดีนกุมคางไปพร้อมกับสั่นขาอย่างใช้ความคิด

“ก่อนอื่นเลยพวกนายพอจะมี ‘เวทอาโลโฮโมร่า’ กันไหม?

เหล่าบุตรเทพีแห่งมนตราต่างก็นั่งเงียบฟังพลางขบคิดตามไปด้วย จากนั้นแมคเคนซีก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น

“สรุปสั้น ๆ คือ เรื่องสไลเดอร์กับการควบคุมพลังน้ำให้เป็นหน้าที่ของนาย ส่วนเรื่องการใช้เวทให้พวกฉันจัดการ ที่พวกเราต้องทำคือสะเดาะกลอนใช่ไหม แน่นอนว่าเรามีเวทนั้น แต่ไม่ใช่ ‘อะโลฮ่า’ อะไรนั่นหรอกนะ”

เสียงหัวเราะคิกคักของชาร์ล็อตดังขึ้นมาเบา ๆ ก่อนที่เธอจะพูดต่อ

“เรื่องเวทปลดล็อคหนูช่วยได้ค่ะ หนูพกสื่อนำเวทมาด้วย คิดอยู่แล้วว่าน่าจะจำเป็นต้องใช้”

“ถ้างั้นเรื่องสัมภาระที่ถูกยึดไปฉันจะใช้หมอกพรางตัวแล้วเป็นคนไปเอามาให้เอง….…”

พูดมาถึงตรงนี้แล้วแมคเคนซีก็เงียบไปเล็กน้อย หากกระเป๋าสัมภาระถูกย้ายที่ไปอย่างที่ดีนสันนิษฐานเอาไว้จริง นั่นแปลว่าเขาต้องเสียเวลาตามหาของพวกนั้นอย่างนั้นเหรอ…หวังว่าจะไม่ยุ่งยากขนาดนั้น

“ส่วนเรื่องที่ว่าจะไปท้ายเรือได้ยังไง…สำหรับพวกนายก็คงต้องให้ชาร์ล็อตควบคุมหมอกหรือไม่ก็ควบคุมความมืดแทน ชาร์ล็อตโอเคใช่ไหม”

เขาหันไปถามน้องสาวที่นั่งอยู่ปลายเตียง แม้ว่าสภาพร่างกายของชาร์ล็อตตอนนี้ฟื้นฟูขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบเป็นปกติแล้ว แต่วันนี้เธอก็ใช้พลังเวทไปเยอะจนน่าเป็นห่วงว่าพลังงานจะหมดเอาหรือเปล่า

“หนูไหวค่ะ หนูจะพาพี่ดีนไปเอง”

ชาร์ล็อตพยักหน้ารับแข็งขันจนแมคเคนซียิ้มให้บาง ๆ กับความใจสู้ของเธอ ก่อนจะหันมาถามดีน

“นายคิดว่าไง โอเคกับแผนนี้ไหม”

“โอเคสิ ไม่มีข้อโต้แย้ง”

บุตรโพไซดอนยกมือสองข้างขึ้นเหนือหัว

“เรื่องสัมภาระฉันต้องฝากความหวังไว้ที่นายด้วย ส่วนกล้องวงจรปิด… จากที่เดินเล่นบ่อย ๆ ฉันพอจำได้นะว่ามีกล้องอยู่มุมไหนบ้าง ทีนี้เส้นทางหลบหนีที่คาดว่าเลี่ยงคนได้มากที่สุดคือ ‘คอกสัตว์’ ระหว่างนั้นฉันจะควบคุมน้ำเล่นงานหัวดับเพลิงถ่วงเวลาไปเรื่อย ๆ ให้พวกเขาซ่อมกันจนหัวหมุนเลย”

ดีนเป่าปาก แอบรู้สึกผิดนิด ๆ ที่ต้องสร้างสถานการณ์ก่อความวุ่นวาย ทั้งซ่อมระบบน้ำเอย ทำความสะอาดพื้นทั้งหมดหลังจากซ่อมเสร็จแล้วเอย เขาเคยอยู่ในสถานการณ์ไฟดับมาก่อนเลยรู้ว่าเจ้าหน้าที่เรือเหน็ดเหนื่อยกันแค่ไหน ก็หวังว่าตนจะไม่ทำอะไรรุนแรงจนเรือไปต่อไม่ได้

ช่างน่าเสียดาย หากความไม่แตกขึ้นมาเสียก่อน พรุ่งนี้เรือคงเทียบท่าโคลอมเบียตามเป้าหมายโดยสวัสดิภาพ หลังส่งพวกสัตว์เสร็จเดมิก็อดทั้งสามก็จะหายตัวไปราวกับควันโดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน (หวังว่านะ…) และเรื่องคงไม่เป็นแบบนี้

บางทีเดลฟีอาจบอกว่า ‘การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นเกินไป’ ก็ได้ เลยต้องส่งสถานการณ์ชวนปวดหัวจี๊ด ๆ มาวัดใจกันเป็นช่วง ๆ

“เอ้อ จริงสิ เอางี้มะ เดี๋ยวพอไปเอาโทรศัพท์มือถือในห้องกลับมาได้ พวกเราโทรรายงานสถานการณ์กันโดยใช้หูฟัง นายไปถึงตรงไหนแล้วก็บอก ฉันจะได้ช่วยอั้นน้ำจากสปริงเกอร์เอาไว้ให้จะได้ไม่เปียก แต่ว่าฉันไม่รับรองนะว่าจะปิดน้ำให้นายได้ถูกจุด คือ… ฉันอยากเล่นแบบหนังสายลับมานานแล้วน่ะ”


พูดไปก็ถูมือไปด้วย ถ้าไม่มีใครท้วงต้องได้เล่นคอลจากห้องปฏิบัติการภาคสนามแน่ ๆ ดีนวางแผนเป็นตุเป็นตะ ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่รู้เลยว่าโทรศัพท์มือถือเดดาลัสถูกกวาดเก็บไปด้วยไหม

แมคเคนซีฟังที่ดีนพูดพลางนึกถึงจุดต่าง ๆ ในเรือตามไปด้วย ซึ่งเขาก็พอเห็นภาพแล้วว่าจะใช้เส้นทางไหนได้บ้าง จนมาถึงแผนการสุดท้าย

“ดีน…ฉันว่างานนี้เราควรแบ่งเป็นสองทีม ฉันอยากให้นายโฟกัสกับจุดที่นายอยู่แล้วพาชาร์ล็อตไปถึงท้ายเรืออย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องกังวลเรื่องฉัน…”

แมคเคนซีลุกมานั่งตรงขอบเตียงด้านข้างบุตรเจ้าสมุทร พอทุกคนมาอยู่บนเตียงกันหมดแล้ว เตียงขนาดสามฟุตก็ดูคับแคบลงไปถนัดตา ฝ่ามือใหญ่กุมมือสีน้ำผึ้งของคนรักที่ถูกันอยู่ เขารู้…ที่ดีนบอกว่า ‘อยากเล่น’ นั่นก็ส่วนนึง แต่ความเป็นจริงแล้วอีกฝ่ายคงกังวลและอยากช่วยเขาที่ต้องบุกเดี่ยวไม่น้อย ซึ่งแมคเคนซีก็ไม่อยากให้ดีนคอยห่วงหน้าพะวงหลัง นี่อาจเป็นโอกาสในการหลบหนีเพียงครั้งเดียว ถ้าหากพลาด พวกคนในเรือคงไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำสอง

“ฉันจะรีบไปตรงจุดนัดพบให้เร็วที่สุด ส่วนฉากหนังแนวสายลับ ไว้เราค่อยไปเล่นกันตอนที่ไม่อันตรายเท่านี้โอเคไหมที่รัก”

เขามองเข้าไปในดวงตาสีเปลือกไม้ของดีน แม้จะปฏิเสธแต่ก็ยังไม่ถึงกับดับฝันอีกฝ่ายเสียทีเดียว และเขารู้ว่าคนตรงหน้าพร้อมรับฟังเหตุผลผู้อื่นเสมอ

“แน่ใจนะ ฉันเป็นห่วงนายจัง แต่ถ้านายบอกว่างั้นก็ได้”

จำใจต้องปัดตกแผนสำรองนี้ทิ้งไป แม้ว่าในสถานการณ์แบบนี้ดีนจะไม่อยากห่างจากแมคเคนซีเลยสักวินาทีเดียว

“อืม ฉันแน่ใจ นายไปรอเจอฉันตรงแพชูชีพเลย”

แมคเคนซีพยักหน้ารับยืนยันอีกครั้ง ถึงจะรู้ว่ามันค่อนข้างเสี่ยง แต่ก็ไม่อยากให้ดีนเป็นกังวล

“ถ้างั้นเราเริ่มกันเลยไหม ระหว่างที่ลูกเรือคนอื่นกำลังหัวหมุน พวกเราต้องรีบทำเวลากัน ฉันเองก็ไม่อยากจะพังสปริงเกอร์ไปเรื่อย ๆ จนเรือพรุนด้วย”

แถมการระเบิดหัวดับเพลิงที่อยู่ไกลเพื่อล่อให้พวกช่างอยู่ห่างจากเส้นทางหลบหนีจำเป็นต้องใช้พลังในการเดาสุ่มสูงมาก ดีนเกรงว่าเขาจะระเบิดผิดจุดกลายเป็นดันน้ำออกมาจากส้วมแทน

แต่ทันใดนั้นวิทยุก็แจ้งเตือนอีกครั้ง

ซ่า… ฟุ่ด ๆ วอ.สามเรียก วอ.หนึ่ง ตรวจสอบทุกจุดบนเรือเรียบร้อย ไม่พบเหตุเพลิงไหม้ใด ๆ คาดว่าแรงดันน้ำจากหัวจ่ายดับเพลิงเสียครับ ซ่า…. ขออนุญาตปิดวาล์วน้ำจืดจากแท็งค์เป็นการชั่วคราว เพื่อดำเนินการซ่อมแซมระบบหัวจ่ายดับเพลิง เปลี่ยน ฟุ่ด

ซ่า… ฟุ่ด วอ.หนึ่งรับทราบ ดำเนินการได้เลย’

พวกวิศวกรหัวกะทิตรวจสอบความเสียหายไวกว่าที่คิด ในเมื่อน้ำจากท่อสปริงเกอร์ถูกปิด เห็นทีว่าแผนการถ่วงเวลาที่ใช้น้ำเป็นอันต้องยกเลิกไปด้วย

“โอเค แผนถ่วงเวลาใช้ไม่ได้แล้ว พวกเราต้องรีบยิ่งกว่าเดิม ไปเถอะรีบเก็บของกัน”


ดีนลุกขึ้นคนแรกก่อนจะเปิดตู้ล็อกเกอร์แล้วหิ้วกระเป๋าของชาร์ล็อตออกมาแบกสะพายหลังเอาไว้เอง ให้เด็กสาวที่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงดีหนีตัวเปล่าน่าจะคล่องตัวกว่า

“มีของที่เธอลืมทิ้งไว้อีกไหม เก็บมาให้หมดเลยชาร์ล็อต

ชาร์ล็อตรีบไปหยิบของที่ตรงหัวเตียงมา ซึ่งส่วนมากเป็นของกระจุกกระจิกของผู้หญิง แล้วใส่ลงในกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กอีกใบ

“ของหนูหมดแล้วค่ะ ไม่มีอะไรแล้ว พวกพี่พร้อมกันหรือยังคะ หนูจะร่ายคาถาปลดล็อกแล้วนะ”

ธิดาเฮคาทีถามพี่ชายทั้งสองขณะที่เธอไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องที่ถูกไขกุญแจล็อกไว้จากด้านนอก

แผนการหลบหนีกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

“เซอร์เพนส์ เคล้าส์ตรา”

กริ๊ก


เสียงปลดล็อกประตูดังขึ้นทันทีหลังจากที่ธิดาแห่งเฮคาทีร่ายคาถา ดีนจับลูกบิดประตูค่อย ๆ แง้มออกไปมองด้านนอกทั้งซ้ายและขวา ทางเดินหน้าห้องพักปลอดคน น้ำจากสปริงเกอร์ที่ค้างท่อไหลหยดบางเบาไม่ซู่ซ่าเหมือนกับตอนแรก ทางเดินเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ไม่รู้ว่ามันไหลเข้าห้องใครไปบ้างแต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ในห้องนี้

บุคลากรภายในเรือส่วนใหญ่เป็นช่างเครื่อง แม้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาพักผ่อนแต่คาดว่าพวกเขาน่าจะกำลังทำงานกันหัวหมุนจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น

ดีนพยักหน้าให้ทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังก่อนจะรีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องพักของแมคเคนซีอย่างรวดเร็วจากนั้นก็ปิดประตู

“ฟู่ว เข้ามาได้ห้องนึงแล้ว ดีนะที่พวกนั้นลืมล็อคประตูพวกเราเลยไม่ต้องเสียเวลาสะเดาะกลอนใหม่” ดีนยืนหลังพิงประตูถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “พวกเรารีบเก็บของกัน”


เดิมทีห้องพักของแมคเคนซีเอาไว้เก็บของอยู่แล้ว และตอนนี้กระเป๋าส่วนหนึ่งที่ใส่เสบียงอาหารแห้งก็ถูกริบไป ฉะนั้นสิ่งที่พวกเขาเก็บได้จึงมีเพียงแค่เสื้อผ้า โชคไม่ดีนักที่เมื่อวานไฟดับแถมวันนี้ก็เกิดเรื่องจนไม่ได้เอาชุดที่ใส่แล้วไปซัก พวกเขาจึงเหลือชุดสะอาดอยู่ไม่กี่ตัว ส่วนผ้าที่ใส่แล้วก็ยัดใส่ถุงลวก ๆ มันเกะกะพอควร แต่ไม่มีเวลามาจัดระเบียบกระเป๋า

เมื่อทั้งสามคนช่วยกันเก็บของที่มีอยู่ทั้งหมดเสร็จแล้วก็จบลงตรงที่ชาร์ล็อตช่วยร่ายเวท “มินิมุส เรดุกตา” เพื่อย่อส่วนสัมภาระทั้งหมดให้มีขนาดเล็กลง

“ขอบคุณนะชาร์ล็อต แบบนี้สะดวกมากเลย” ดีนยัดสัมภาระที่ถูกย่อส่วนไว้ในกระเป๋าเสื้อของแมคเคนซีที่เขาสวมอยู่ก่อนจะตบที่อกเบา ๆ

“ต่อไปก็ไปที่ห้องดีน—”

“เดี๋ยวก่อนค่ะพี่แมค รอแป๊บนึง”

เด็กสาวคนเดียวในกลุ่มแทรกขึ้นมาก่อนที่พวกเขาจะย้ายไปกันอีกห้อง เธอมุดลงไปใต้เตียงแล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมาให้ มันคือกระบอกซูมของแมคเคนซีที่ใช้สำหรับเก็บอาวุธประจำตัวนั่นเอง

“คทาเวทกับกริชของพี่ค่ะ หนูซ่อนเอาไว้แล้วใช้คาถาเปลี่ยนแปลงการรับรู้บังตาคนทั่วไปเอาไว้อีกชั้น”

“รอบคอบดีมากเลย ขอบคุณนะชาร์ล็อต”


แมคเคนซีกล่าวชมเชยน้องสาวตนเองก่อนจะรับกระบอกซูมมา หากไม่ได้ทำภารกิจร่วมกันก็คงไม่รู้ว่าชาร์ล็อตเป็นคนละเอียดรอบคอบขนาดนี้ นั่นทำให้รู้ว่าที่ผ่านมาแม้จะได้พบปะพูดคุยกันแต่เขายังค่อนข้างห่างเหินและเว้นระยะจากคนในบ้านพอสมควร นักเวทหนุ่มนำกริชจันทราสีเลือดที่เก็บในปลอกอย่างดีมาคาดเอวไว้ และสะพายกระบอกสีดำสนิทไว้ที่หลัง

“ไปอีกห้องกันเถอะค่ะ”

ชาร์ล็อตพยักหน้าแล้วยิ้มสดใส เธอชอบเวลาที่ได้รับคำชมและเป็นที่รักของคนรอบตัว เพียงแค่มีคนใจดีกับเธอก็ทำให้เด็กสาวดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

“ไม่ลืมอะไรกันแล้วเนอะ งั้นไปกันต่อ”

กล่าวจบดีนก็นำไปอีกห้องเหมือนเช่นเคย

ข้าวของในห้องของดีนมีแต่ของกระจุกกระจิกเล็ก ๆ น้อย ๆ กระจายอยู่ทั่วห้อง เช่น อุปกรณ์ในห้องน้ำ ผ้าเช็ดตัวชื้น ๆ แล้วก็ของในล็อกเกอร์อีกนิดหน่อย เขากวาดทั้งหมดมารวมกันใส่ถุงที่หาได้จากนั้นส่งไปให้สองพี่น้องจอมเวทย่อขนาด

สมาร์ทโฟนเดดาลัสของทั้งคู่ยังอยู่ดี มีแค่กระเป๋าคาดอกบางใบที่ใส่พาสปอร์ต กระเป๋าสตางค์ และใบขับขี่ที่ถูกริบไป แม้ว่าดีนจะป่วนจนกัปตันเรือไม่ทันเปิดดูพาสปอร์ตได้ชั่วคราว แต่เขาก็หวังว่าทางนั้นจะวุ่นกันจนไม่มีเวลามาค้นหาเอกสารแสดงตัวชิ้นอื่นจากกระเป๋าเป้ในห้องประชุมต่อ

“แปลกชะมัด ไม่เอามือถือไปงั้นเหรอ”

แมคเคนซีเก็บสมาร์ทโฟนเดดาลัสของตนเองใส่กระเป๋ากางเกง แล้วก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าในสายตาคนทั่วไปนั้นเห็นเครื่องมือสื่อสารของเหล่าเดมิก็อดเป็นอะไร หลังจากที่ย่อขนาดของทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยจนทุกอย่างสามารถไปอยู่ในกระเป๋าเสื้อที่ดีนสวมอยู่ได้แล้วก็ถึงเวลาเริ่มแผนการต่อไป

“เดี๋ยวค่ะพี่ดีน พี่ลืมของหรือเปล่าคะ”

ชาร์ล็อตที่ตรวจตราความเรียบร้อยทั่วห้องหยิบกล่องกระดาษใบนึงที่อยู่ตรงหัวเตียงมาให้หนุ่มละตินดู

“ศูนย์จุดหนึ่งมิลนี่…”

พอได้ยินคำนั้นแมคเคนซีถึงกับรีบหันขวับมาดูสิ่งที่อยู่ในมือน้องสาวทันที แล้วก็ตาโตขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาเผลอกลั้นหายใจ เตรียมใจยอมรับความจริงที่ต้องบอกให้เธอได้รับรู้ว่าที่ผ่านมาเขากับดีนอาศัยอยู่ร่วมห้องเดียวกันมาตลอด

“คอนแทคเลนส์แบบบางเหรอคะ ดีจังเลย ใส่แล้วสบายตาไหมคะ

“เอิ่ม…”

ไม่รู้จะพูดยังไงดีเลยได้แต่ยิ้มแห้ง มาคิดดูดี ๆ แล้วชาร์ล็อตเป็นเด็กกำพร้าอยู่สถานสงเคราะห์ตั้งแต่เกิดจนอายุสิบสองปี จากนั้นก็ถูกรับตัวมาที่ค่ายฮาล์ฟบลัดในฐานะลูกเทพ แม้ว่าตอนนี้เธอจะอยู่ในวัยเรียนรู้วิชาเพศศึกษาแล้วแต่ก็ไม่เคยได้ไปโรงเรียน ที่สำคัญคือที่มินิมาร์ทไม่มีของที่เด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดเข้าถึงได้

“ช่าย คอนแทคเลนส์ตาโตน่ะ ขยายม่านตาได้ตั้ง ‘ห้าสิบหกมิลฯ’ ด้วยนะ”

เขาหยิบกล่องคอนดอมมาเก็บไว้กับตัวอย่างรวดเร็วก่อนที่เด็กสาวจะทันได้อ่านข้างกล่องแล้วรู้ว่าคอนแทคเลนส์วิเศษที่เธอเข้าใจเอาไว้ใช้ทำอะไร

“โอ้โห พี่ดีนใช้คอนแทคเลนส์ตาโตด้วยเหรอคะ หนูสนใจจัง” เรื่องแบ๊ว ๆ ขอให้บอกชาร์ล็อตชอบหมด

“ฮ่า ๆๆๆ ก็นิดนึง แต่เธออย่าสนใจเลย ยี่ห้อนี้มันกาก ฉันว่าจะโยนทิ้งแล้ว เพราะงั้นอย่าไปใช้มันเลย

“อ๋อ…เอามาใช้แก้ขัดไปก่อนนี่เอง”

ชาร์ล็อตพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจ หลังจบเหตุการณ์วุ่นวายนี้เธอตั้งใจแล้วว่าจะให้แฟนพี่ชายช่วยแนะนำคอนแทคเลนส์ยี่ห้อดี ๆ ให้สักยี่ห้อ เพื่อที่เธอจะได้หาซื้อแบบสีตาที่เป็นธรรมชาติมาปิดบังดวงตาสองสีที่มีมาแต่เกิดของเธอยามต้องออกไปทำธุระนอกค่าย

“น..นั่นสิ พี่ว่าตอนนี้เรารีบหาทางหนีออกไปจากเรือลำนี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่ใครจะมาเจอเข้าดีกว่า”

ได้ทีแมคเคนซีก็รีบเสริมขึ้นมาทันที ดีที่น้องสาวของเขายังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ไม่อย่างนั้นคงได้มีคนหน้าแดงแป๊ดกันไปไม่คนก็สองคนแน่ ๆ (ซึ่งรับรองว่าไม่มีดีนอยู่ในนั้น)

หลังจากตรวจสอบแล้วว่าเก็บของทั้งหมดเรียบร้อยทั้งสามก็ตรงไปที่ลิฟต์ทันที แต่เมื่อกดปุ่มขึ้นลงเท่านั้นแหละ…

ไฟไม่ติด

“อ้าว…”

ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ แล้วอ้าปากหวอ จนมานึกได้ว่าก่อนหน้านี้ชาวเรือคิดว่าเกิดเพลิงไหม้ ดังนั้นลิฟต์น่าจะถูกปิดใช้งานแล้วยังไม่มีใครมาเปิด คงไม่ใช่ว่าดีนเล่นแรงไปจนเผลอทำให้น้ำซึมเข้าแผงวงจรลิฟต์เสียหรอกมั้ง

…หวังว่าจะไม่ใช่แบบนั้น

“สงสัยเราต้องลงบันไดหนีไฟ แบบนี้มีโอกาสเจอช่างที่เดินไปเดินมาซ่อมสปริงเกอร์แน่ ๆ”


แล้วถ้าเจอคนอื่นจะทำยังไงดี…

‘ใช้หลังมือฟันสันคอแบบในหนังเลยดีไหม?’ ซาตานบนไหล่ซ้ายกระซิบ

‘บ้าเหรอใครจะไปทำ!’ แต่เทวดาบนไหล่ขวาตะโกนบอก ซึ่งดีนเลือกเชื่อไอ้ตัวนี้

ตอนประชุมแผนบีพวกเฮคาทีคุยกันว่าไงนะ? มีเวทคุมหมอก คุมความมืด.. แล้วอะไรอีก? จะอะไรบ้างก็ไม่รู้ แต่ชายหนุ่มเชื่อว่าทั้งชาร์ล็อตและแมคเคนซีมีเวทมนตร์เจ๋ง ๆ ในการรับมือไม่ใช่มายากลห่วย ๆ …แต่ถึงจะเป็นมายากลห่วย ๆ เขาก็ยอมซื้อ หากว่ามันจะช่วยให้พวกเขาหลบซ่อนออกไปได้

หนุ่มเท็กซัสหันไปหาคนรักจากนั้นจับมือของอีกฝ่ายมากุมไว้

“เดี๋ยวต้องแยกกันตรงนี้ นายดูแลตัวเองด้วยนะที่รัก ฉันจะดูแลน้องสาวนายอย่างดีเองไม่ต้องเป็นห่วง แล้วอีกสิบนาทีเราไปเจอกันที่แรมป์ท้ายเรือ ฉันให้เวลานายแค่นั้น รักษาเวลาด้วยแมคซี่ ถ้านายมาไม่ตรงเวลาฉันจะย้อนกลับไปตามหานายเอง”

ทั้งน้ำเสียงและแววตาสีเปลือกไม้ส่งเจตนาออกมาอย่างจริงจัง

“โอเค ฉันจะไปให้ทัน ฝากชาร์ล็อตด้วยนะดีน”

แมคเคนซีกุมมือคนรักตอบ เขามองสบดวงตาคู่หวานปนโศกอันน่าหลงใหลของคนตรงหน้าแล้วยิ้มให้เพื่อหวังให้ดีนคลายกังวล

“ระวังตัวด้วยนะคะพี่แมค”

ชาร์ล็อตบอกพี่ชายตนเองด้วยความเป็นห่วงไม่แพ้กัน

“เธอด้วยนะชาร์ล็อต แล้วเจอกัน”

แมคเคนซีลูบผมของเด็กสาวพร้อมพยักหน้ารับ หลังจากที่ร่ำลากัน (ซึ่งเป็นการร่ำลาเพียงครู่เดียว) แล้ว เขาก็ค่อย ๆ เปิดประตูหนีไฟที่ชั้นสามออก เสียงฝีเท้ากระทบขั้นบันไดเหล็กดังขึ้นเป็นระยะ นั่นหมายถึงว่ามีคนเรือใช้เส้นทางนี้อยู่จริง ๆ หนุ่มอังกฤษสูดหายใจเข้าลึกแล้วตั้งสมาธิให้มั่น จากนั้นทั่วบริเวณก็มีไอหมอกหนาก่อตัวคละคลุ้งขึ้นมาชั่วครู่ จนเมื่อม่านหมอกจางไป ร่างของแมคเคนซีก็หายไปจากตรงนั้น

“พี่แมคขึ้นไปชั้นบนแล้วค่ะ พวกเราไปที่แรมป์ท้ายเรือกัน ตอนอยู่ในตัวเรือหนูจะใช้ควบคุมความมืดก่อน แล้วพอถึงที่กลางแจ้งหนูจะใช้ควบคุมหมอก ตอนนี้พี่ดีนห้ามอยู่ห่างจากหนูนะคะ ถ้าหลุดออกจากพื้นที่ไปล่ะก็โดนเจอตัวแน่ ๆ ค่ะ”

เมื่อเหลืออยู่แค่สองคน ธิดาเฮคาทีก็หันมาบอกแผนการของตนเองกับพี่ชายผู้เป็นบุตรแห่งเจ้าสมุทรทันที โดยไม่รอให้ดีนตอบตกลงใด ๆ เธอก็เงียบไปแล้วหลับตาลง เมื่อสมาธิกับความมืดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ทั้งเงาและความมืดรอบตัวของทั้งสองก็ยืดขยายโอบล้อมร่างของทั้งคู่ไว้ ราวกับถูกเงากลืนกินตัวตนให้หายไปจากที่ตรงนั้น เมื่อดวงตากลมโตลืมขึ้นแล้วมองไปรอบ ๆ เธอดูพอใจกับผลงานของตนเองมากทีเดียว

“เรียบร้อยแล้ว ไปกันค่ะพี่ดีน

“โอเค ฉันจะเกาะเธอแน่นเหมือนเป็นเหาฉลามเลย”

ดีนกล่าวก่อนจะขยับเข้าไปหาชาร์ล็อตจนแขนแทบจะชนกัน จากนั้นก็เป็นฝ่ายนำหน้าลงบันไดหนีไฟด้วยชำนาญเส้นทางในการเที่ยวเล่น (หลบหนี) มากกว่า

เนื่องจากดีนใช้แรงดันน้ำทำให้หัวสปริงเกอร์ดับเพลิงชำรุดไปแค่ชั้นสามและชั้นสี่ซึ่งเป็นส่วนห้องพักพนักงานและโซนห้องทำงานของเหล่าออฟฟิศเซอร์ ทางเดินลงชั้นหนึ่งของพวกเขาจึงสะดวกโยธินไม่เหมือนเส้นทางที่แมคเคนซีกำลังเผชิญ แต่กระนั้นก็ยังจำเป็นต้องพึ่งพาพลังควบคุมความมืดของชาร์ล็อตให้ช่วยพรางสายตาจากกล้องวงจรปิด ไม่รู้ว่าที่ห้องควบคุมจะเห็นภาพเป็นอย่างไร บางทีพวกเขาคงเห็นว่าไฟในห้องหรี่แสงลงกระมัง

จนสุดท้ายทั้งสองก็พากันมาถึงคอกสัตว์ที่อยู่ชั้นหนึ่งในเวลาไม่ถึงสองนาที

“จริงสิ พวกสัตว์เป็นอะไรมากไหมตอนที่พวกเราสู้กับไฮดร้า”


บุตรเจ้าสมุทรเอ่ยถามขณะเดินผ่านคอกสัตว์ ตั้งแต่ฟื้นมาเขายังไม่รู้สถานการณ์งานของตัวเองเลย รู้แค่ว่าตอนที่สู้กับอสุรกายในทะเล ทำให้เรือโคลงเคลงอย่างรุนแรง จนทำให้สัตว์บางตัวกระเด็นหลุดออกจากคอกกั้นตกเรือ (รวมทั้งมีคนอยู่ในนั้นด้วย) แต่ดีนใช้พลังควบคุมน้ำดันทั้งหมดให้กลับมาในลำเรือ ซึ่งเขาไม่รู้ว่าช่วยไว้ได้หมดหรือไม่

“ตอนกลางวันหนูกับพี่แมคมาเช็คดูแล้วค่ะ น้อง ๆ อยู่กันครบทุกตัว แต่ว่าพวกมันหวาดกลัวกันไม่น้อยเลย แล้วก็มีบางตัวที่บาดเจ็บนิดหน่อย หนูกับพี่แมคใช้เวทรักษากับเวทสงบใจช่วยเยียวยาพวกมันไปบ้างแล้วค่ะ”

ชาร์ล็อตตอบ เธอหันไปมองฝูงสัตว์ในคอกที่ส่วนใหญ่นอนหลับด้วยแววตาเศร้าโศก ตลอดเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ที่ทำงานดูแลสัตว์เธอมีความผูกพันกับพวกมันมากโดยเฉพาะกับ ‘เจ้าฟลัฟฟี่’

“พี่ดีนรอหนูแป๊บนึงได้ไหมคะ?”

“ได้สิ ทำไมเหรอ?” ดีนถาม

“หนูอยากจะบอกลาฟลัฟฟี่สักหน่อยน่ะค่ะ”

“ได้สิ เอาเลย”

ดีนไม่ห้าม เขาเข้าใจความรู้สึกของสาวน้อยดีเพราะว่าตนเองก็มีความผูกพันกับ ‘เจ้าไข่หยอย’ ไม่แตกต่างกัน มันน่าจะเป็นสัตว์ตัวแรกที่เขารักษาพยาบาลด้วยความรู้แบบงู ๆ ปลา ๆ จนเกือบหายดี (แม้ส่วนใหญ่จะมาจากเวทรักษาของชาร์ล็อตก็ตาม)

ทั้งสองจึงไปที่คอกพยาบาลสัตว์ป่วย

“ตรงนี้หลบมุมกล้องวงจรปิดพอดี เธอน่าจะคลายพลังได้นะ”

ความมืดถูกคลายออก พอฟลัฟฟี่เห็นว่าใครมาหามันก็ทำท่าทางดีใจด้วยการทักทายเสียงแกะแม้เพิ่งตื่น

“แบ๊ะ”

“ไงจ๊ะฟลัฟฟี่ คือว่า… ฉันมาเพื่อบอกลาแกน่ะ”

ชาร์ล็อตลงนั่งคุกเข่าข้าง ๆ เจ้าแกะ เธอลูบขนนุ่มฟูของมันเบา ๆ เจ้าฟลัฟฟี่ก็ตอบรับเสียงอ่อยราวกับเข้าใจที่เธอพูด มันใช้หัวดุนมือเด็กสาวก่อนจะขยับเข้ามาอ้อนเอาหัวเกยตักอย่างที่มันชอบทำ แม่มดจิตใจอ่อนโยนอย่างชาร์ล็อตใจอ่อนยวบ น้ำตาซึมออกมาจากหัวตา เธอสวมกอดเจ้าแกะราวกับว่ายังทำใจกับการจากลาครั้งนี้ไม่ได้ ทว่าเธอไม่งี่เง่า งอแง และเข้มแข็งพอที่จะปาดน้ำตาแล้วเดินหน้าต่อ

“เดี๋ยวฉันจะรักษาแกเป็นครั้งสุดท้ายนะ จากนี้แกจะไม่เจ็บขาอีกแล้ว พรุ่งนี้เรือก็จะถึงฝั่ง พอขึ้นบกแกจะได้วิ่งเล่นให้สนุกเลย”

ในขณะที่สวมกอดเธอกุมปากกาเวทมนตร์ไว้ในมือ ก่อนจะกระซิบบทร่ายแผ่วเบา “ซานาเท อุมบรา”

ประกายแสงอ่อนโยนออกจากปลายปากกา ก่อนจะห่อหุ้มร่างเจ้าแกะน้อยแล้วไหลซึมเข้าไปในกายมัน ภาพที่ดีนเห็นนั้นช่างงดงาม ไม่เหมือนเวทมนตร์จากแม่มด แต่เหมือนพรจากนางฟ้ามากกว่า


“แบ๊ะ แอ๊ะ ๆๆ”

ฟลัฟฟี่ร้องด้วยน้ำเสียงกะปรี้กะเปร่าปราศจากความเจ็บปวดอีกต่อไป

“ในเมื่อกระดูกหายดีแล้วเดี๋ยวหมอตัดเฝือกให้นะ”

ดีนนั่งยอง ๆ ลงข้าง ๆ เขาเรียกดาบตรีศูลจากกำไลอัจฉริยะ ใช้ใบดาบคมกริบค่อย ๆ ตัดเฝือกให้ฟลัฟฟี่อย่างนุ่มนวลโดยไม่ต้องกลัวว่าคมมีดของราชาเจ้าสมุทรจะบาดโดนขาทำห้เกิดแผลซ้ำสอง อาวุธของเทพเจ้าที่ประทานสู่เดมิก็อด ไม่สามารถทำอันตรายสิ่งมีชีวิตแสนบริสุทธิ์ได้อยู่แล้ว แต่ข้อดีของมันคือยังสามารถใช้ตัดผ่านวัตถุอื่น ๆ ได้ตามปกติ

ดีนปล่อยให้ชาร์ล็อตกับฟลัฟฟี่กอดลากันเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเดมิก็อดทั้งสองก็หยัดยืนขึ้นอีกครั้งก่อนจะหายเข้าไปในม่านบังตาแห่งความมืดเพื่อไปยังแรมป์ท้ายเรือ สาวน้อยเวทมนตร์ใช้หมอกช่วยกำบังกายแทนความมืดที่สลายไปเมื่อออกมายืนท่ามกลางแสงอาทิตย์ จนสุดท้ายพวกเขาก็มาถึงจุดนัดพบอย่างปลอดภัยโดยมาถึงก่อนเป็นกลุ่มแรก

“ชาร์ล็อตเหนื่อยหรือเปล่า ช่วยอะไรฉันหน่อยสิ”


ดีนกล่าวพลางสังเกตอาการของชาร์ล็อตไปด้วย วันนี้เธอเหนื่อยมาตลอดทั้งวันแถมร่างกายก็ยังไม่แข็งแรงดี แต่คำขอของเขามันจำเป็นสำหรับการเผชิญหน้ากับมหาสมุทร

“ไม่ค่ะ ให้หนูช่วยอะไรเหรอคะ?”

ดีนหยิบเอากระเป๋าน้อยที่ถูกย่อส่วนในกระเป๋าอกเสื้อออกมา

“ลืมว่าต้องเอาของออกมาใส่ก่อนน่ะ แต่ตอนนี้กระเป๋ามันเหลืออันแค่นี้”

ชาร์ล็อตหัวเราะบางเบาจากนั้นร่ายคาถาคืนสภาพกระเป๋าให้

ดีนรีบจัดการธุระของตัวเอง เอาแว่นตาว่ายน้ำค่าสายตาแปดร้อยออกมาสวมใส่แทนแว่นสายตาที่พับเก็บลงกล่องแว่นอย่างดี แม้ระหว่างการต่อสู้แว่นตามหัศจรรย์ที่ตัดจากค่ายฮาล์ฟบลัดจะไม่หลุดออกจากหน้าเขาเลยสักนิด แต่ป้องกันไว้ก่อนดีกว่าแก้

ดีนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู อีกแค่สามนาทีจะครบสิบนาทีตามกำหนด


“นี่ฉันให้เวลานายน้อยไปหรือเปล่านะแมคซี่…”

.
.
.

ทางด้านแมคเคนซี

หลังจากแยกกับดีนและชาร์ล็อตมาแล้ว เขาก็ขึ้นบันไดหนีไฟมาที่ชั้นสี่ แน่นอนว่าเมื่อเขาออกแรงเปิดบานประตูโลหะอันหนักอึ้ง เสียงเอี๊ยดอ๊าดก็ดังตามมา ยังดีที่มีเสียงซ่อมท่อที่แตกและสปริงเกอร์ตามจุดต่าง ๆ ซึ่งพอจะดังกลบเสียงของเขาไปได้ เมื่อบานประตูถูกเปิดกว้างพอที่ร่างจะผ่านไปได้แล้ว แมคเคนซีก็แทรกตัวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

“เปียกไปหมดเลยแฮะ”

เสียงทุ้มพึมพำพลางมองไปตามทางเดินที่ตอนนี้มีน้ำเจิ่งนอง ทีมช่างกำลังวุ่นวายอยู่กับการตรวจเช็คและซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ชำรุดและมีปัญหา…ที่บุตรมหาเทพโพไซดอนเป็นคนก่อ ซึ่งก็นับว่าสร้างความปั่นป่วนให้ชาวเรือได้ไม่น้อย

“มีเวลาสิบนาทีสินะ…”

หนุ่มอังกฤษดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ แค่เข้ามาที่โถงทางเดินก็กินเวลาไปกว่าหนึ่งนาทีแล้ว เท่ากับว่าเขาเหลือเวลาอีกเพียงเก้านาทีเท่านั้นกับการไปเอาสัมภาระที่เหลือซึ่งถูกกัปตันเรือริบไป ครั้งสุดท้ายที่เห็นก็คือในห้องประชุมที่พวกเขาโดนสอบสวนไปก่อนหน้านี้ แมคเคนซีจึงตัดสินใจว่าจะเริ่มจากห้องนั้นเป็นที่แรก

บุตรเทพีแห่งมนตราเลือกใช้พลังการควบคุมหมอกระดับที่ไม่รุนแรงนักเพียงแค่เพื่อบิดเบือนการมองเห็นของคนทั่วไปแบบผิวเผินแต่ไม่ส่งผลกระทบถึงทางด้านจิตใจ เขาไม่ต้องการใช้หมอกหนาทึบเพื่อปิดบังการมองเห็นโดยสิ้นเชิง ไม่เช่นนั้นอาจยิ่งเป็นการสร้างความเข้าใจผิดว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นได้ ซึ่งนั่นอาจเป็นเรื่องใหญ่เสียยิ่งกว่าท่อน้ำแตกหรือสปริงเกอร์ขัดข้อง รัศมียี่สิบเมตรนั้นถือว่าเพียงพอที่จะไม่ทำให้เขาถูกจับได้ แต่ถึงกระนั้นก็ต้องใช้สมาธิมากทีเดียว

“โอ้ วินสตัน นายมาได้จังหวะพอดี ช่วยหยิบประแจในกล่องเครื่องมือส่งให้ฉันหน่อยสิพวก”

แมคเคนซีถึงกับสะดุ้งเมื่อนายช่างที่กำลังซ่อมท่อน้ำบนเพดานคนหนึ่งตะโกนมาจากชั้นบนสุดของบันไดอลูมิเนียมที่กางอยู่ตรงทางเดิน เมื่อมองไปรอบ ๆ กลับไม่เห็นร่างของพ่อครัวประจำเรือ แต่สายตาของลูกเรือคนนั้นกลับมองมาที่เขา

‘หมอนี่เห็นเราเป็นคุณวินสตัน?’

เครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นภายในหัว แมคเคนซีพอเข้าใจกลไกการทำงานของพลังควบคุมหมอกอยู่ ผู้ใดที่อยู่ในรัศมีม่านหมอกแห่งเวทจะเห็นภาพลวงตาหรือถูกบิดเบือนการมองเห็นและการรับรู้ต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงขั้นเห็นภาพน่ากลัวจนเกิดอาการประสาทหลอน และนี่ก็คือผลกระทบของทักษะที่เขากำลังใช้อยู่ไม่ผิดแน่

“ขอบใจเพื่อน ว่าแต่เวลาป่านนี้นายมาทำอะไร— อ้าว ไปแล้วเรอะ รีบไปไหนของเขา”

หลังจากหยิบประแจส่งให้นายช่างผู้นั้นแล้ว แมคเคนซีก็รีบปลีกตัวออกมาแล้วไปยังห้องประชุมซึ่งอยู่ช่วงกลางทางเดินต่อ กว่าจะถึงก็ต้องเดินสวนกับลูกเรือมากหน้าหลายตาที่เห็นเขาเป็นคนนั้นคนนี้จนน่ากลัวว่าความจะแตกขึ้นมา แต่ในที่สุดก็มาถึงหน้าประตูห้องประชุม รอจนผู้คนเริ่มบางตาลงจึงลองหมุนลูกบิดประตูดู เมื่อเห็นว่าประตูไม่ได้ล็อกก็รีบเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว

“อา…อีกห้านาที”

ไม่น่าเชื่อว่าแค่ใช้เวลาเดินมา (และหยุดทักทายผู้คนตามทางบ้างตามบทบาทที่คนอื่นเห็น) จะทำให้เขาใช้เวลาไปแล้วครึ่งหนึ่ง ดวงตาสีฮาเซลรีบกวาดมองไปรอบห้องเพื่อหาสิ่งที่ต้องการทันที โต๊ะและเก้าอี้ที่ทั้งกลุ่มกัปตันเรือและพวกเขานั่งกันเมื่อตอนโดนสอบสวนต่างก็วางอยู่ตำแหน่งเดิม นั่นอาจแปลว่าหลังจากเกิดเหตุน้ำรั่วก็ยังไม่มีใครเข้ามาที่ห้องนี้

นั่นก็หมายความว่า...

“เยี่ยมเลย”

กระเป๋าเสบียงและสัมภาระที่ถูกยึดมายังคงวางอยู่ที่เดิม แมคเคนซีรีบตรวจสอบดูว่าทุกอย่างยังอยู่ครบหรือเปล่า เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาใช้คาถาย่อขนาดสิ่งของ

“มินิมุส เรดุกตา”

ปลายคทาเวทชี้ไปยังเป้สัมภาระใบโต เมื่อร่ายเวทจบสิ่งของก็ถูกย่อเล็กลงจนเหลือขนาดเท่าฝ่ามือ แมคเคนซีเก็บอาวุธเวทลงในกระบอกซูมดังเดิม ตอนนี้ได้เวลาไปยังจุดนัดพบที่นัดกับดีนและชาร์ล็อตไว้แล้ว

แกร๊ก

ขณะที่กำลังตั้งสมาธิจะใช้พลังควบคุมหมอกอีกครั้ง อยู่ ๆ ประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออกซะก่อน ร่างของรองกัปตันเรือที่ยืนอยู่ตรงหน้าดูตกใจระคนแปลกใจในเวลาเดียวกัน

“มาร์ค…นายมาอยู่นี่ได้ไง”

ปึ้ก!

ยังไม่ทันได้พูดอะไรไปมากกว่านั้นแมคเคนซีก็ชนไหล่ของเจคอปเข้าเต็มแรงจนร่างเซแล้วรีบวิ่งออกไปยังบันไดหนีไฟ

“เฮ้! หยุดเดี๋ยวนี้ ใครอยู่ตรงนั้นช่วยจับหมอนั่นไว้ที!”

เสียงตะโกนของเจคอปดังไล่หลังมา แมคเคนซีที่ก่อนหน้านี้สติเตลิดเปิดเปิงรีบพยายามรวบรวมสมาธิอีกครั้ง จากนั้นหมอกควันหนาก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาบดบังทัศนวิสัยการมองเห็นของเหล่าลูกเรือ

‘วอ.สองแจ้งทุกหน่วย ขณะนี้มีผู้ลอบขึ้นเรือหลบหนี ใครพบกลุ่มเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ทั้งสามคนขอให้จับกุมตัวไว้ทันที ย้ำ จับกุมทันที’

เสียงจากวอล์กกี้ทอล์กกี้ของลูกเรือสักคนแถวนั้นดังขึ้นมาขณะที่เขาวิ่งผ่าน

‘เวรล่ะ นี่มันชักจะบานปลายไปใหญ่แล้ว!’

แมคเคนซีสบถในใจขณะวิ่งลงมาตามทางหนีไฟ เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอีกครั้ง

อีกหนึ่งนาทีจะครบเวลาที่นัดหมายกับดีนไว้แล้ว

‘ป่านนี้ดีนกับชาร์ล็อตจะไปถึงตรงท้ายเรือหรือยังนะ…’

บุตรแห่งเทพีเฮคาทีคิดพร้อมวิ่งสับเท้าแตกท่ามกลางม่านหมอกที่สร้างขึ้นเพื่อลงมายังชั้นล่างสุด

.
.
.

ปัง!


ประตูหนีไฟของชั้นหนึ่งถูกเปิดออก ปรากฏร่างของแมคเคนซีที่วิ่งออกมาแล้วตรงไปยังห้องขนส่งสัตว์ซึ่งเคยเป็นที่ทำงานของพวกเขา อีกนิดเดียวก็จะถึงจุดที่นัดกับเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนแล้ว

สิบวินาทีสุดท้าย

“ดีน! ฉันมาแล้ว นายเตรียมเรือเลย พวกเราต้องรีบไปแล้ว”

แมคเคนซีที่วิ่งออกมายังแรมป์ท้ายเรือในเสี้ยวนาทีสุดท้ายตะโกนบอกคนรัก ที่ด้านหลังห่างไปประมาณห้าสิบเมตรมีลูกเรือจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ถูกผลกระทบจากรัศมีของทักษะควบคุมหมอกกำลังวิ่งไล่กวดตามมา

“พี่แมค!”

ไม่รู้ว่าแมคเคนซีไปทำอีท่าไหนลูกเรือถึงได้วิ่งตามมาเป็นพรวน ไม่มีเวลาให้คิดมากอีกต่อไป ดีนปลดล็อกสลักออก จากนั้นเปลี่ยนกำไลอัจฉริยะเป็นหอกตรีศูลตัดเชือกที่กั้นแคปซูลแพชูชีพจนขาด แล้วถีบถังแคปซูลสีขาวลงทะเล

ตู้ม!

แคปซูลชูชีพตกลงทะเลไปแล้วทว่ามันไม่ได้กางออกอย่างที่คิด ดีนรู้แค่ว่าแพชูชีพอยู่ในแคปซูลสีขาวที่ติดอยู่ข้างกาบเรือและท้ายเรือ แค่ปลดเชือกออกมันก็จะกาง หรือเมื่อเรือจมลงไปเซ็นเซอร์วัดระดับน้ำจะทำงานแล้วแพฉุกเฉินจะกางออกได้เอง นั่นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้ตอนอบรมก่อนเรือออก ทว่าก็แค่รู้แต่ไม่เคยปฏิบัติจริงเหมือนลูกเรือคนอื่น ๆ ที่ผ่านการอบรมภาคปฏิบัติจากหลักสูตรพาณิชยนาวีระยะสั้นเพื่อทำใบอนุญาตลูกเรือ

แต่เครื่องมือกู้ชีพก็ไม่น่าจะทำงานยากไปกว่านั้นสิ

‘เชี่ยละ.. คงไม่ถึงขั้นต้องล่มเรือเพื่อให้แพชูชีพกางหรอกนะ!’

แต่ตอนนี้บุตรแห่งโพไซดอนไม่เหลือสติสตังจะทำอะไรแล้ว เมื่อเขาอยู่ในภาวะกดดันถึงขีดสุด

“แมคซี่! ทำไงดี แพมันไม่ยอมกาง!!”

“ต้องกระตุกเชือกที่แคปซูลให้หลุดแพถึงจะกาง!”

ลูกเรือหน้าซื่อคนหนึ่งตะโกนตอบ ชายคนนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าวิ่งตามมาทำไม รู้แค่รองกัปตันให้ไล่จับพวกคนดูแลสัตว์ก็เลยวิ่งมาด้วย ถึงตรงนี้พวกเขาได้ยินเสียงเจคอปคำรามเหมือนสัตว์ป่าที่กำลังหัวเสีย จบงานเมื่อไรช่างคนซื่อผู้นั้นน่าจะโดนเพ่นกบาลแน่ ๆ เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกลูกเรือออกแรงวิ่งเท่าไรก็มาไม่ถึงท้ายเรือสักทีราวกับว่าพวกเขากำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่งในฟิตเนส

“อะไรนะ กระตุกเชือกเหรอ ขอบใจ!”

ได้ยินแบบนั้นดีนก็สาวเชือกยกใหญ่จนแคปซูลหลุดออกจากเชือกแล้วแพก็กางออก เพียงไม่กี่วินาทีแพชูชีพก็ลอยห่างจากท้ายเรือไปไกล

‘ตรีศูลน้อย!’

บุตรเจ้าสมุทรเรียกตรีศูลควบคุมน้ำออกมา ดึงดูดมวลน้ำทะเลก่อตัวสร้างเป็นสไลด์เดอร์จากนั้นคงแรงตึงผิวเอาไว้

ดีที่เสียงปริศนาจากกลุ่มลูกเรือตอบวิธีการกางแพชูชีพที่ถูกต้องขึ้นมา ตอนนี้ก็ถือว่าพวกเขามีพาหนะสำหรับหลบหนีเตรียมพร้อมแล้ว

“ทำไมทางไปท้ายเรือมันไกลอย่างนี้! ให้ตายสิ ฉันวิ่งจนขาจะหลุดแล้ว!”

“บ้าเอ๊ย! แล้วใครบอกว่าพวกนั้นไปทางท้ายเรือเล่า นั่น! ทางกาบเรือด้านขวา!”

เสียงโหวกเหวกจากด้านหลังทำให้แมคเคนซีหันกลับไปมอง ภาพที่เขาเห็นตอนนี้คือกลุ่มลูกเรือบางส่วนที่บ้างก็วิ่งอยู่กับที่ บ้างก็วิ่งวนแยกย้ายไปทางกาบเรือด้านซ้ายขวากันจ้าละหวั่น

เป็นความวุ่นวายที่ไม่น่าเกิดขึ้น แต่ก็ทำให้เขารู้ว่าผลกระทบจากทักษะควบคุมหมอกนั้นน่ากลัวสำหรับมนุษย์แค่ไหน

“พอลงสไลเดอร์นี่ไปแล้ว พวกเราจะไปที่แพชูชีพกันยังไงคะ”

เสียงของชาร์ล็อตเรียกให้แมคเคนซีกลับมาสนใจแผนหลบหนีตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาวางแผนกันถึงแค่ตอนที่ดีนสร้างสไลเดอร์เท่านั้น แล้วหลังจากนั้นล่ะ…พวกเขาจะไปที่แพชูชีพซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบห้าร้อยเมตรกันยังไง

แต่แล้วก็มีบางอย่างเตะตาแมคเคนซีเข้าอย่างจัง

“ดีน นายใช้ม้าน้ำกระเป๋าสร้างฟองน้ำหุ้มตัวพวกเราไว้ได้ไหม ฟองน้ำนั่นพอจะทำให้พวกเราไปถึงแพยางได้หรือเปล่า”

เขาชี้ไปยัง ‘เครื่องราง’ ที่เรืองแสงอยู่ในกระเป๋ากางเกงตนเองที่ตอนนี้ดีนสวมใส่อยู่ แมคเคนซีเพียงแค่นึกถึงตอนที่ชาร์ล็อตเล่าให้ฟังว่าฟองน้ำวิเศษพาดีนลงมาจากตู้คอนเทนเนอร์ได้อย่างไร แต่ยังไม่รู้หลักการทำงานแน่ชัดนัก

“ถ้าได้ล่ะก็ นายกับชาร์ล็อตลงไปก่อน แล้วฉันจะตามลงไปคนสุดท้าย พวกคนบนเรือจะได้ตามมาไม่ทัน”

ตอนนี้ชาวเรือโบอิ้งแมรี่กำลังติดอยู่ในบ่วงม่านหมอกบังตา เขาจำเป็นต้องใช้ระยะยี่สิบเมตรอันมีค่านี้ถ่วงเวลาไว้เพื่อให้ดีนกับชาร์ล็อตลงจากเรือไปก่อน แล้วหลังจากนั้นเขาก็จะลงจากเรือลำนี้เป็นคนสุดท้าย แม้ม่านหมอกจะสลายไปจนทุกคนตามมาที่ท้ายเรือทัน แต่ก็คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงโดดเรือตามลงมาจับพวกเขาแน่นอน

“ทำไมไม่เอาของออกจากกางเกงก่อนถอด!”

พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมแม่ถึงหัวเสียทุกครั้งตอนที่ซักกางเกงให้เขา ดีนเอาม้าน้ำกระเป๋าออกมาจากกระเป๋ากางเกงที่ตนเองสวมอยู่ก่อนจะยัดใส่มือของแมคเคนซี

“โอ้ ขอโทษที ตอนนั้นฉันรีบน่ะ”

หนุ่มอังกฤษยิ้มเจื่อนเมื่อถูกโวย แต่ตอนนั้นเขาก็รีบจริง ๆ นี่นา

“นายนั่นแหล่ะที่ต้องไปก่อน”

บุตรโพไซดอนจับไหล่สองพี่น้องเฮคาทีเอาไว้ก่อนจะบอกแผนสุดท้ายในการกระโดดลงจากเรือ

“ม้าน้ำกระเป๋ามีไว้สำหรับใช้เคลื่อนที่บนน้ำอยู่แล้ว แต่เหมือนว่ามันจะสร้างได้แค่ฟองเดียว…


“ฟองเดียว!?”

สองพี่น้องโพล่งขึ้นมาพร้อมกัน ใครจะไปรู้ว่าม้าน้ำกระเป๋านี่จะเป็นแบบตั๋วที่นั่งเดียวกันล่ะ 

ใช่ เพราะงั้นแมคซี่กับชาร์ล็อตต้องไปด้วยกัน ตั้งจิตศรัทธาถึงพ่อฉันเยอะ ๆ แล้วยิงฟองออกมาครอบตัวเอาไว้ จากนั้นค่อยสไลด์ลงไป แล้วก็กลิ้งบอลน้ำไปให้ถึงแพฉุกเฉินโอเคนะ”

ดีนรู้ว่าแมคเคนซีต้องโต้แย้งด้วยความเป็นห่วงแน่ ๆ เขาจึงพูดดักทางไว้ก่อน

“พวกนายไม่ต้องห่วงฉัน อยู่ใกล้น้ำแบบนี้ฉันได้เปรียบอยู่แล้ว

แน่นอนว่าแมคเคนซีอยากค้านเสียเต็มประดา แต่หากมามัวเถียงกันตอนนี้คงไม่ต้องไปไหนกันพอดี เรือก็จะยิ่งทิ้งระยะห่างกับแพชูชีพมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย และการที่ดีนบอกแบบนี้แปลว่าอีกฝ่ายคงมีแผนการอยู่ในหัวหมดแล้ว

“โอเค งั้นนายก็ระวังตัวด้วย รีบตามมานะ”

แมคเคนซีมองม้าน้ำกระเป๋าในฝ่ามือแล้วขยับมายืนข้างชาร์ล็อต จากนั้นก็ยิงฟองน้ำขึ้นไปบนอากาศ ฟองใส ๆ ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนคลุมร่างสองพี่น้องนักเวทไว้

“พร้อมไหมชาร์ล็อต”

“……พร้อมค่ะ”

แมคเคนซีหันมาถามน้องสาวร่วมมารดา เมื่อเธอพยักหน้ารับแล้วทั้งคู่ก็มองไปยังสไลเดอร์พลังน้ำความยาวกว่าเก้าเมตรที่ทอดตัวลงสู่ผืนมหาสมุทรแอตแลนติก

“งั้นก็ไปกัน…”

สายเลือดเฮคาทีกลืนน้ำลายพร้อมกันก่อนจะค่อย ๆ กลิ้งฟองน้ำขนาดใหญ่ลงสไลเดอร์ แล้วฟองอากาศลูกกลมเกลี้ยงก็ไหลลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก

“เหวออออออ!!”

“กรี๊ดดดดดดด!!”

เสียงกรีดร้องดังขึ้นประสานกันเมื่อบอลฟองน้ำค่อย ๆ เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ขณะกลิ้งลงไปตามทางลาด ยังไม่ทันได้ก้าวขาวิ่งอะไรทั้งนั้น ร่างทั้งคู่ก็ล้มพรืดลงไปนอนแปะไม่เป็นท่า แถมเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อฟองน้ำนั้นกระดอนกระทบพื้นสไลเดอร์อย่างรุนแรงแล้วกระเด้งขึ้นสูงลอยลิ่วไปบนอากาศ

“พี่แมคคะ! พวกเราจะตายไหม”

ชาร์ล็อตถามขณะเกาะแขนผู้เป็นพี่ชายไว้แน่นแล้วหลับตาปี๋ ตอนนี้พวกเขาดูไม่ต่างอะไรจากลูกบอลที่โดนเขวี้ยงขึ้นไปกลางอากาศ

“ไม่สิไม่ พวกเราจะไม่เป็นไร เมื่อกี้ดีนบอกว่าให้ตั้งจิตศรัทธาถึงเทพโพไซดอนไว้ เราต้องทำแบบนั้น”

จากนั้นสองพี่น้องก็ทำตามคำแนะนำของบุตรแห่งเจ้าสมุทร ทั้งคู่ตั้งจิตแน่วแน่ถึงมหาเทพโพไซดอนแล้วอธิษฐาน

‘ท่านมหาเทพโพไซดอนครับ ได้โปรดช่วยคุ้มครองให้ผมกับน้องสาว และดีนลูกชายของท่านเดินทางถึงจุดหมายโดยปลอดภัยด้วยเถอะครับ’

ตู้มมมมมม!!

แล้วฟองน้ำที่มีร่างของสายเลือดเทพีเฮคาทีอยู่ในนั้นก็หล่นลงกระทบผืนน้ำจนผิวน้ำแตกกระจายทว่านุ่มนวลเหมือนมีอะไรนิ่ม ๆ คอยรองรับแล้วลอยนิ่งอยู่อย่างนั้น

“พวกเรา…รอดแล้วเหรอคะ”

เมื่อลืมตาขึ้นมองก็พบว่าพวกเขายังอยู่ในบอลฟองน้ำกลางมหาสมุทรที่มีแต่น้ำเต็มไปหมด

“ก็…คงใช่ นั่น แพชูชีพอยู่ตรงนั้น เราต้องกลิ้งฟองน้ำนี่ไป ไหวไหมชาร์ล็อต”

แมคเคนซีชี้ไปยังแพชูชีพที่ดีนปล่อยลงน้ำก่อนหน้านี้แล้วหันมาถามน้องสาว จากการกระแทกกับสไลเดอร์เมื่อครู่ ทำให้บอลฟองน้ำกระเด้งเหมือนติดสปริงและลอยมาไกลพอสมควร ซึ่งตอนนี้พวกเขาน่าจะอยู่ห่างจากแพชูชีพประมาณสองร้อยเมตร

“ไหวค่ะ…หนูไหว”

ชาร์ล็อตพยักหน้าหงึกหงัก แมคเคนซีจึงค่อย ๆ ประคองเธอให้ลุกขึ้นยืนแล้วหันมองไปยังเรือขนส่งสินค้าโบอิ้งแมรี่เป็นครั้งสุดท้าย ทั้งคู่ก็ช่วยกันดันฟองน้ำแล้วเดินตรงไปยังแพชูชีพราวกับกำลังเล่นลูกบอลยักษ์ที่เป็นเครื่องเล่นยอดนิยมในสวนน้ำ ภายในใจแมคเคนซีก็ได้แต่ภาวนาว่าดีนจะรีบตามมาไว ๆ

และเมื่อบุตรแห่งเฮคาทีคล้อยหลังจากไป มนตราแห่งหมอกก็คลายลงทันที ลูกเรือหลายสิบคนต่างมุ่งหน้ามาทางดีน

“ได้เวลาของฉันเหมือนกันสินะ”

ดีนเสกฟองอากาศครอบคลุมตัวเองไว้ จากนั้นเขาก็ผลักตัวเองลงสไลด์เดอร์น้ำตามแมคเคนซีและชาร์ล็อตไป (เกือบ) ติด ๆ


“ยะฮู้ว! ไอ้นี่สนุกเป็นบ้า!”

ตรงข้ามกับเหล่าสายเลือดเฮคาที บุตรโพไซดอนดูจะชื่นชอบกับการหลบหนีครั้งนี้อยู่ไม่น้อยเหมือนกับได้เล่นเครื่องเล่นที่สวนน้ำและสวนสนุก แม้ว่าจะกลิ้งล้มไม่เป็นท่าและทรงตัวได้ยากเหลือเกินเมื่ออยู่ในฟองน้ำยักษ์ ดีนกระโดดลงมาหลังจากแมคเคนซีเพียงแค่ไม่กี่วินาทีทว่าตอนนี้เขาตามหลังอีกฝ่ายเป็นร้อยเมตร เขาค่อย ๆ กลิ้งฟองน้ำไปด้านหน้าฝ่ากระแสคลื่นอันเงียบสงบ ใช้พลังควบคุมน้ำช่วยเหลือพาตัวไปเกาะแพฉุกเฉินโดยเร็ว

.
.
.

“เจ้าพวกบ้า! กระโดดลงทะเลทำไม! ไม่รักตัวเองเลย!”

รองกัปตันสถบอย่างหัวเสียระคนเป็นห่วง เมื่อชะโงกหน้าลงไปดูแล้วเห็นทั้งสามชีวิตเกาะบอร์ดชูชีพ (จากหมอกบังตา) ลอยไปไกลหลายร้อยเมตร ด้วยความเร็วเรือและแรงคลื่นทำให้มองเห็นร่างทั้งสามเป็นเพียงแค่จุดเล็ก ๆ ก่อนจะลับสายตาไป

“เอาไงดีครับรองกัปตัน”

ลูกเรือคนหนึ่งถาม ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยากเย็นเหลือเกินในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ตามโปรโตคอลการช่วยชีวิตกลางทะเลสามารถทำได้แต่ก็เป็นไปได้ยากเช่นกัน แค่เข็มนาฬิกาเดินผ่านไปหนึ่งนาทีเรือก็เคลื่อนที่ผ่านจุดคนตกเรือไปแล้วเกือบกิโลเมตร กว่าจะหยุดเรือ กว่าจะหันหัวเรือกลับ โอกาสช่วยชีวิตสำเร็จมีประมาณหนึ่งเปอร์เซ็นต์

แล้วยิ่งเป็นการตัดสินใจกระโดดทะเลด้วยเจ้าตัวอีก… ช่วยชีวิตเพื่อถูกจับไปขังคุก หรือปล่อยให้พวกเขาผจญชะตากรรมหนึ่งเปอร์เซ็นต์นั้นเอง

“วอ.สอง เรียก วอ.หนึ่ง ผู้ลักลอบขึ้นเรือสามคนหลบหนีลงทะเลไปแล้วครับ เอาไงดีครับกัปตัน เปลี่ยน”

เงียบไปหลายอึดใจก่อนที่วิทยุจากกัปตันเรือจะตอบกลับ คิดว่าโรเจอร์สคงตัดสินใจได้ยากเย็นไม่แพ้เจคอป

ซ่า… ฟุ่ด วอ.หนึ่ง รับ เคารพการตัดสินใจของพวกเขา ทุกตำแหน่งกลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม เปลี่ยน’

“รับทราบ…” เจคอปพูดใส่วิทยุสื่อสารก่อนจะมองไปยังท้องทะเลอีกครั้งแล้วกลับเข้าไปในตัวเรือ “โชคดีแล้วกัน ดอม มาร์ค ชาลี”

.
.
.

เดมิก็อดทั้งสามกลิ้งฟองอากาศมาถึงแพฉุกเฉินอย่างปลอดภัยได้สำเร็จ แต่ก็เล่นเอาเหนื่อยเป็นแถบ ๆ จนแทบไม่มีแรงทำอะไรต่อ

ดวงตาสีเปลือกไม้หันไปมองเรือโบอิ้งแมรี่แล่นห่างออกไปเรื่อย ๆ จนสุดสายตา หากไม่นับเรื่องที่ถูกจับได้ว่าเป็นผู้ลักลอบขึ้นเรือ ชีวิตการเป็นลูกเรือในครั้งนี้นับว่าเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีอย่างหนึ่งของทริปกู้โลกครั้งนี้เลยก็ว่าได้

‘ลาก่อนนะโบอิ้งแมรี่ โชคดีนะทุกคนและทุกตัวบนเรือ’



ความคิดเห็นผู้บันทึก
จะว่าไงดี ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก…ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง พวกเราถูกจับในข้อหา ‘ผู้ลักลอบขึ้นเรือ’ จากนั้นพวกเราก็กลายมาเป็น ‘ผู้ต้องหาหลบหนีการจับกุม’ และมาจบตรงที่เป็น ‘ผู้ประสบภัยบนแพชูชีพกลางมหาสมุทร’ ตอนผมเจอคุณเจคอปที่ห้องประชุม หัวใจผมตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม และตอนที่บอลฟองน้ำลอยขึ้นไปบนอากาศ ผมนึกว่าผมจะหัวใจวายตายซะแล้ว นี่มันเป็นแผนการหลบหนีที่บ้าดีเดือดที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา…ซึ่งก็สมกับที่ดีนเป็นคนต้นคิด แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าแผนนี้ไม่ดีหรอกนะ น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วพวกเราจำเป็นต้อง ‘สละเรือ’ ก่อนถึงท่าเรือโคลอมเบีย แต่ผมก็ขอบคุณ ‘เรือโบอิ้งแมรี่’ มากที่พาพวกเรามาไกลได้ขนาดนี้ หากไม่นับเรื่องที่ถูกจับได้ ทั้งผู้คนบนเรือและสัตว์ในคอก พวกเขาถือเป็น ‘ประสบการณ์ที่ดี’ ที่ผมอาจหาไม่ได้จากที่ไหนอีก


สรุปสถานการณ์
- ทีมทำภารกิจถูกจับมาขังรวมกันในห้องพักของชาร์ล็อต
- ทั้งสามคนวางแผนหลบหนี โดยดีนเสนอให้โดดเรือ และใช้แพชูชีพในการหนี
- ดีนกับชาร์ล็อตไปรอที่แรมป์ท้ายเรือ แมคเคนซีแยกไปเอาสัมภาระที่ถูกริบที่ห้องประชุม
- รองกัปตันเรือเจอแมคเคนซี จึงออกคำสั่งให้เหล่าลูกเรือตามจับทั้งสามคนไว้
- ดีนปล่อยแพชูชีพลงทะเล สร้างสไลเดอร์จากพลังควบคุมน้ำ 
- ทั้งสามคนใช้ฟองน้ำวิเศษคลุมตัวไว้ จากนั้นก็โดดลงสไลเดอร์แล้วพากันไปยังแพชูชีพ
- แผนการหลบหนี สำเร็จ


MACKENZIE
ใช้คาถาหดเล็ก
สื่อนำเวทมนตร์ [เขี้ยวอัลกูล]

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 141828 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-8-15 22:42
โพสต์ 141,828 ไบต์และได้รับ +4 เกียรติยศ +4 ความกล้า จาก สร้อยคอดีไซน์เท่  โพสต์ 2025-8-15 22:42
โพสต์ 141,828 ไบต์และได้รับ +9 EXP +8 ความกล้า จาก กางเกงเดินป่า  โพสต์ 2025-8-15 22:42
โพสต์ 141,828 ไบต์และได้รับ +9 EXP +12 เกียรติยศ +12 ความศรัทธา จาก ตำราเวทมนต์เฮคาที  โพสต์ 2025-8-15 22:42
โพสต์ 141,828 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก เข็มกลัดเฮคาที  โพสต์ 2025-8-15 22:42
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เหรียญนกฮูก
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x5
x1
x10
x2
x1
x2
x2
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
โพสต์ 2025-8-20 00:16:47 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-9-29 00:30



XIV
ลงแพน้อยลอยชล
Dean Eilwyn Alvarez Neal

- 24.05.2025 -

แพชูชีพ, ทะเลแคริบเบียน, มหาสมุทรแอตแลนติกใต้


เริ่มต้นการเดินทางใหม่ในวันรุ่งขึ้นกับแพฉุกเฉิน เมื่อคืนนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายจนไม่มีเวลาทำอะไรต่อนอกเสียจากอ่านคู่มือที่อยู่ในแพชูชีพแล้วนอนหลับ ทำให้ทั้งสามพอจะรู้ข้อปฏิบัติสำหรับการใช้ชีวิตเพื่อรอให้เรือใหญ่มากู้ชีพอยู่บ้าง ทว่าขอเลือกทำเพียงแค่ครึ่งเดียวเพราะว่าพวกเขาอยากไปถึงฝั่งด้วยตัวเอง ไม่ใช่ได้รับการช่วยเหลือจากตำรวจชายฝั่งสากล


แพชูชีพมีลักษณะคล้ายเต็นท์รูปทรงแปดเหลี่ยมสีส้มมีหลังคา วัสดุทำจากยางที่หนาและมีความยืดหยุ่นสูง ทนทานต่อคลื่นลมในทะเล (หากไม่มีพายุ) และของมีคม (แต่อาจยกเว้นอาวุธเทพที่คมกริบ) ภายในบรรจุผู้โดยสารได้ราว ๆ หกคน เรียกได้ว่าทั้งสามคนสามารถนอนกลิ้งเล่นได้สบาย ๆ (ซึ่งก็คงจะทำไปแล้วหากพวกเขามาพักร้อน ไม่ใช่มาทำภารกิจ)


นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ยังชีพมากมาย ทั้งอาหารฉุกเฉินและน้ำดื่มที่สามารถประทังชีพได้หลายวัน ชุดปฐมพยาบาล เครื่องมือจิปาถะเล็ก ๆ น้อย ๆ อาทิ ไฟฉาย เชือก กรรไกร มีดพก ที่สูบลม และนกหวีด เป็นต้น นอกจากนั้นก็มีอุปกรณ์ส่งสัญญาณอย่าง พลุควัน แถบเรืองแสง และเครื่องส่งสัญญาณ ทว่าของอย่างหลัง ๆ ไม่จำเป็นต้องใช้


จะว่าโชคดีก็ได้ที่ทีมภารกิจตุนเสบียงอาหารไว้เยอะก่อนขึ้นเรือขนส่งสินค้า ด้วยชายฝั่งปานามาที่พวกเขาตั้งเป็นหมุดหมายใหม่แทนท่าเรือโคลอมเบียนั้นอยู่ห่างจากตำแหน่งปัจจุบันถึง ‘สองร้อยหกสิบหกไมล์ทะเล’ หรือใช้หน่วยให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ เกือบห้าร้อยกิโลเมตรนั่นเอง

โชคดีกับผีน่ะสิ…


“พวกเราจะถึงฝั่งในอีกสิบสองวัน หากพายเรือด้วยความเร็วสี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง…”


ดีนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงล่องลอยราวกับไร้วิญญาณ หลังจากที่เขาตรวจสอบระยะทางจากที่อยู่ปัจจุบันด้วยสมาร์ทโฟนไฮโดรเอ็กซ์ ถึงจะเป็นบุตรเจ้าสมุทรที่มีพลังควบคุมน้ำ แต่บอกเลยว่ามันไม่ง่ายที่จะใช้พลังดันแพยางให้ถึงฝั่งโดยไม่หลับไม่นอนเป็นสิบวัน


“สิบสองวันที่ว่านั่นก็คือเกือบสองอาทิตย์เลยนะ…”


แมคเคนซีบ่นออกมาด้วยสภาพไม่ต่างกัน เวลานี้พวกเขาหนีจากการโดนจับกุมข้อหาลักลอบขึ้นเรือขนส่งสินค้ามาได้ แต่แล้วยังไงต่อนะ…ก็กลายมาเป็นติดแหง็กกันกลางมหาสมุทรแทนน่ะสิ


การใช้ชีวิตบนแพชูชีพไม่ได้สะดวกสบายอย่างที่คิด แม้จะมีอุปกรณ์ยังชีพและเสบียงค่อนข้างครบครัน แต่ตัวแพซึ่งทำจากยางทั้งลำถึงจะทนทานก็มีข้อด้อยอยู่คือเรื่องการระบายอากาศที่ลมสามารถเข้าได้ทางเดียวก็คือช่องเข้าออกแพเท่านั้น ยิ่งโดยเฉพาะช่วงเวลาที่โลกตกอยู่ในสถานการณ์รัตติกาลหายสาปสูญ แสงอาทิตย์แผดแสงจ้าตลอด 24 ชั่วโมงเช่นนี้ หากไม่มีลมก็เหมือนอยู่ในเตาอบดี ๆ นี่เอง ทีมทำภารกิจไม่รู้ชะตากรรมเลยว่าภายในสิบสองวันนี้พวกเขาจะเดินทางถึงปานามาโดยสวัสดิภาพหรือร้อนตับแตกจนเป็นฮีทสโตรกกันไปก่อน ดูท่าคงได้โดดน้ำทะเลดับร้อนกันเป็นว่าเล่น


“ถ้ามีอะไรช่วยให้พวกเราไปถึงฝั่งไว ๆ ได้ก็คงดีนะคะ”


ชาร์ล็อตบอกขณะที่เธอจุ่มมือเล็ก ๆ ลงในน้ำทะเลเล่น


“ที่ใต้น้ำนี่คงมีน้องปลาเยอะแยะเลยหรือเปล่าคะ หนูเคยดูคลิปที่เขาดำน้ำกัน มีทั้งปะการัง ปลา แล้วก็สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลสวย ๆ ทั้งนั้นเลย


“อยากจะพาพวกเธอดำน้ำลงไปดูใต้ท้องทะเลอยู่นะ แต่ก็อย่าเพิ่งคาดหวังเยอะเกินไปว่าข้างใต้นั้นจะสวย แนวปะการังไม่ได้มีอยู่ทุกที่ บางทีข้างใต้บริเวณนี้อาจมีแค่พื้นทรายกับโขดหินก็ได้”


ไม่รู้ว่าเป็นการดับฝันโลกใต้ทะเลของชาร์ล็อตหรือเปล่าแต่ความจริงมันก็เป็นแบบนั้น


“จริงสิ เมื่อวานตอนค้นถุงยังชีพฉันเจอวิตามินซีด้วย ทุกคนอย่าลืมกินกันวันละหนึ่งเม็ดด้วยนะ ป้องกันโรคลักกะปิดลักกะเปิด”


‘ลักกะปิดลักกะเปิด’ โรคร้ายที่คร่าชีวิตชาวเรือสมัยก่อนเป็นจำนวนมากจากการได้รับสารอาหารโดยเฉพาะวิตามินซีจากผลไม้ไม่เพียงพอ แม้ตอนนี้การเดินเรือจะมีพัฒนาการก้าวหน้าไปมากและมีเครื่องมือเก็บถนอมอาหารได้เป็นระยะเวลานาน จนโรคลักกะปิดลักกะเปิดหายสาปสูญไปจากเหล่าคนเรือในปัจจุบัน แต่สำหรับพวกเขานั้นไม่ใช่ การถนอมตัวเองไว้ก่อนจึงสำคัญกว่า 


“อีกอย่างนึง… พยายามอย่าโดนน้ำทะเลโดยไม่จำเป็น น้ำเกลือธรรมชาติไม่ได้สะอาดจะทำให้ผิวแห้งและคัน พวกเราไม่มีน้ำจืดมากพอไว้ใช้ล้างตัว เพราะงั้นระวังกันด้วยนะถ้าไม่อยากขี้กลากขึ้น”


ได้ยินแบบนั้นชาร์ล็อตก็หน้าเจื่อนแล้วรีบเอามือที่จุ่มน้ำขึ้นทันที


แมคเคนซีมองดีนที่ร่ายยาวเหมือนอาจารย์สอนวิชาสุขศึกษาแล้วโคลงศีรษะเล็กน้อย แปลกใจอยู่เหมือนกันที่คนที่น่าจะดูชิลที่สุดในกลุ่มกลับกลายเป็นคนจริงจังขึ้นมาซะได้


“อากาศในนี้มันอบอ้าวนี่นา แค่จุ่มน้ำนิดหน่อยคงไม่เป็นไรใช่ไหม”


ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อฟังที่คนรักเอ่ยเตือน แต่บางทีอากาศร้อน ๆ แบบนี้แถมยังไม่มีแม้แต่พัดลมก็คงต้องพึ่งพาสิ่งรอบตัวไปก่อน ซึ่งก็มีแต่น้ำทะเลนี่ล่ะ


“ชาร์ล็อตเอาน้ำนี่ไปล้างมือก่อน”


เขาส่งขวดน้ำของตนเองที่เปิดดื่มแล้วให้น้องสาว เธอกล่าวขอบคุณแล้วรับไปเทล้างมือที่เพิ่งจุ่มน้ำทะเลเพียงเล็กน้อยก่อนจะส่งคืนมาให้


“ไม่เสี่ยงดีกว่า ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำแล้วเช็ดตัวเอา… จริงสิ ถ้าแบบนี้อาจจะได้”


เมื่อนึกไอเดียออกดีนก็ควบคุมน้ำขึ้นมาปกคลุมแพฉุกเฉินเป็นโดมครอบไว้ อย่างน้อยคงพอลดความร้อนของแสงอาทิตย์ได้ชั่วคราว เมื่อรู้สึกว่าภายในแพเย็นลงแล้วก็คลายสายน้ำออก จะให้คลุมไว้ตลอดคงไม่ไหวเพราะว่าเขายังต้องใช้พลังควบคุมน้ำในการดันเรือด้วยสปีดปลาพระอาทิตย์ว่ายน้ำอีก


“โอ้โห แบบนี้เหมือนอิกลูไม่ก็คริสตัลบอลเลยค่ะพี่ดีน”


ชาร์ล็อตมองแพชูชีพที่ถูกพลังน้ำโอบล้อมไว้ด้วยความตื่นเต้น แม้จะเพียงชั่วครู่แต่ก็ลดอุณหภูมิภายในที่อบอ้าวลงไปได้เยอะ


“ถ้าฉันหยุดใช้พลังเมื่อไหร่เราไปถึงช้ากว่าสิบสองวันแหงม ถ้ามีกำลังเสริมก็คงดี”


บุตรโพไซดอนถอนหายใจ ทะเลแคริบเบียนอยู่ห่างจากแอตแลนติสหลายร้อยไมล์ทะเล ไม่แน่ใจเลยว่าจะมีเพื่อนที่แสนดีอย่าง ‘ฮิปโปแคมปัส’ ไหม แต่ยังไงก็ควรจะลองเรียกดู


“วี้ด~~”


ดีนผิวปาก หวังว่าจะเรียกฮิปโปแคมปัสเหมือนกับที่เคยเรียกโลมามาได้ แต่ตอนนี้ไม่ต้องเป็นฮิปโปแคมปัสก็ได้ ขอเป็นสัตว์ทะเลสักตัวที่เป็นมิตรไม่กินคน— 


“นายเรียกกำลังเสริมที่ว่าอยู่เหรอ”


เมื่อเห็นคนรักผิวปาก แมคเคนซีจึงโผล่หน้าออกมาจากทางเข้าออกแพแล้วมองไปรอบ ๆ แต่ก็ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้นสำหรับคนที่มีอาการตาแพ้แสงแบบเขา แค่หยีตาสู้แสงอาทิตย์จ้าได้ไม่นานก็ต้องกลับเข้าไปในที่ร่มเสียแล้ว


“ใช่ แต่เหมือนว่าแถวนี้จะไม่มีตัวอะไรผ่านมา”


ดีนยักไหล่ ก็ใช่ว่าจะมีตัวอะไรโผล่มาช่วยในทันทีล่ะนะ เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้ปราณวารีควบคุมน้ำดันเรือไปก่อน บุตรเจ้าสมุทรรื้อกระเป๋า หยิบหลอดครีมกันแดดออกมาบีบแล้วชะโลมไปทั่วตัว จากนั้นทำอะไรก๊อก ๆ แก๊ก ๆ กับเบ็ดตกปลา เชือก และผ้าเช็ดตัวเน่าที่ยังไม่ได้ซัก จนออกมาเป็นเครื่องมือที่คล้ายกับใบเรือฉบับดีไอวาย


“แมคซี่นายช่วยใช้สมาร์ทโฟนตรวจสอบเส้นทางให้หน่อยนะว่าฉันควบคุมแพยางไปถูกทิศหรือเปล่า”


หนุ่มใบหน้าละตินกล่าว จากนั้นก็มุดออกจากหลังคาผ้าใบไปพร้อมกับไม้พายและใบเรือทำมือ ผูกมันไว้เหนือหลังคา ส่วนไม้พายใช้แทนหางเสือ ดีนพอมีทักษะการแล่นเรือใบมาบ้างจากกิจกรรมมหาวิทยาลัยที่เคยเข้าร่วม เขาจึงพอจะอ่านทิศทางลมออกนิดหน่อย การมีใบเรือและหางเสือช่วยทำให้แพฉุกเฉินแล่นเร็วขึ้นมาอีกนิด


แต่แดดร้อนแทบบ้า แม้จะทาครีมกันแดดไว้แล้วแต่ไม่วายต้องหาผ้ามาคลุมหัว ระหว่างทางก็ผิวปากเป็นระยะอีกหลายครั้งเรียกสัตว์ทะเลที่พอจะช่วยพวกเขาได้


“โอเค ชายฝั่งปานามาใช่ไหม”


แมคเคนซีหยิบสมาร์ทโฟนเดดาลัสมาพิมพ์ปลายทางตามที่ดีนบอกทันที ภาพผลลัพธ์ระยะทางที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอไม่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ใกล้ถึงจุดหมาย’ แม้แต่น้อย แพของพวกเขาถูกแทนที่ด้วยสัญลักษณ์เล็ก ๆ ท่ามกลางสีฟ้าซึ่งแทนผืนน้ำในมหาสมุทร แต่อย่างน้อยก็ยังถือว่ามีเรื่องดีอยู่อย่าง


“ฉันดูแผนที่แล้ว เรากำลังมุ่งหน้าไปชายฝั่งปานามา!”


หนุ่มอังกฤษตะโกนบอกคนรักที่กำลังประกอบใบเรือทำมืออยู่ การที่เรือกำลังไปยังทิศทางที่ถูกต้องอาจถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี…ล่ะมั้ง


ซู่มมม


อะไรบางอย่างว่ายน้ำเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง มันพุ่งตัวกระโดดขึ้นเหนือน้ำจนน้ำสาดกระจาย


“เหวอ!?”


ที่ปลายสายตา ดีนเห็นครีบสีดำและท้องสีขาว ขนาดตัวของมันใหญ่หนากว่าโลมาปกติ ไม่คุ้นตาว่าเป็นโลมาชนิดไหนจากที่เคยเปิดอ่านในสารานุกรมสัตว์ทะเล… ไม่สิ มีโลมาชนิดหนึ่งที่หน้าตาแบบนี้ เพียงแต่คนปกติไม่ได้เรียกมันว่า ‘โลมา’


ฟู่!


น้ำพุย่อม ๆ พรูขึ้นสูงจากรูหายใจของสัตว์ทะเลตัวนั้น ร่างอวบหนาสีดำขาวโผล่หน้าขึ้นมาทักทาย มันคือ ‘วาฬเพชฌฆาต’ หรือ ‘ออร์ก้า’ นั่นเอง


“วี้!” oO(มะนุ้ด! นั่นมันมะนุ้ดตัวเป็น ๆ เลยนี่นา!)


เสียงคลื่นความถี่สูงส่งตรงเข้าสู่สมองของบุตรโพไซดอนอย่างตื่นเต้น เขาเข้าใจภาษาของมันได้ทันที และมันก็น่าจะเข้าใจภาษาของดีนด้วยเช่นกันแม้ว่าเขาไม่ได้ทำเสียง ‘วี้’ ตาม กระนั้นก็ยังไม่มั่นใจว่าสัตว์ล่าเนื้อทางทะเลตัวนี้เป็นมิตรหรือไม่ 


จากงานวิจัยพบว่าวาฬเพชฌฆาตเป็นมิตรกับมนุษย์พอ ๆ กับโลมาที่เป็นสัตว์ในวงศ์เดียวกัน มันมีความอยากรู้อยากเห็นและสนใจในสิ่งที่มันไม่รู้จัก (เช่น มนุษย์และแพฉุกเฉิน) ยังไม่มีรายงานผู้ถูกวาฬเพชฌฆาตทำร้ายในธรรมชาติ มีเพียงคดีเดียวที่เป็นข่าวอื้อฉาว คือ ออร์ก้าในสวนน้ำคร่าชีวิตครูฝึกจากความเครียดของมัน


ชื่อ ‘วาฬเพชฌฆาต’ เป็นการแปลคำผิดจาก ‘Ballena Asesina’ (ภาษาสเปน แปลว่า ผู้พิฆาตวาฬ) ที่หมายถึงพฤติกรรมการรวมกลุ่มเป็นฝูงเพื่อล่าและสังหารวาฬที่ตัวใหญ่กว่าเป็นอาหาร แต่อย่างไรก็ดีแม้ว่าจะเรียงคำสลับหน้าหลัง สัตว์ทะเลตรงหน้าก็ยังน่าพรั่นพรึงอยู่เล็กน้อย


“อะ.. อื้ม ใช่”


กำลังจะอ้าปากพูดต่อ ออร์ก้าตัวอวบก็พูดแทรก


“วี้!” oO(มะนุ้ดไม่มีหางคุยกับวาฬได้ เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก! โฮะโหหห การค้นพบที่ยิ่งใหญ่!!)


ออร์ก้าตบครีบหนา ๆ ของมันจนน้ำกระจายไปทั่ว มนุษย์มีหางที่มันเคยเจอน่าจะหมายถึงชาวเงือกล่ะมั้ง… แปลว่าแถวนี้น่าจะมีชุมชนชาวเงือกหรือเปล่า?


“ใช่ ฉันไม่มีหาง ไม่ใช่พวกเงือกหรือชาวแอตแลนติส แต่ที่คุยกับนายได้เพราะเป็นบุตรโพไซดอนน่ะ นายน่าจะรู้จักชื่อของพ่อฉันใช่ไหม?”


“วี้!!” oO(รู้จักสิ!! รู้จักท่านโพไซดอน อะโหหหห นี่ป๋มเจอลูกปาดังเลยเหรอ สุดยอด!!!!)


ยิ่งวาฬตัวนี้ดีใจมันยิ่งกระโดดโลดเต้นในน้ำจนทำเอาแพโคลงเคลงไปหมด ดีนไม่รู้วิธีทำให้มันสงบแต่อย่างน้อยก็รู้ได้ว่าน่าจะเป็นพวกเดียวกันได้


“คือว่าพวกเราเดือดร้อนนิดหน่อย นายพอจะช่วยเราได้ไหม? แบบว่าช่วยลาก—”


“วี้!” oO(ให้ช่วยเหรอ! ให้ช่วยจินะ! มะนุ้ดรอแป๊บ!!)


ออร์ก้ารับปากจากนั้นมันก็มุดน้ำหายลงไปในทะเล…


“อ้าว… เดี๋ยวสิว้อย!! ฉันยังพูดไม่จบเลย กลับมาก๊อนนน!!”


ไม่รู้ว่าความร้อนของแสงอาทิตย์หรือเจ้าวาฬตัวนี้กันแน่ที่ทำให้ดีนปวดหัวจี๊ดขึ้นมา


ส่วนคนที่อยู่ภายใต้หลังคาแพอย่างสายเลือดเฮคาทีทั้งสอง อยู่ ๆ แพชูชีพก็โคลงเคลงไปมาอย่างแรงจนทั้งคู่ที่ไม่ได้ตั้งตัวล้มหงายเอียงกระเท่เร่ เสียง “วี้!” แหลมสูงที่ดังก้องทำให้ชาร์ล็อตรีบขยับเข้ามาใกล้พี่ชายของเธอ


“มีอสุรกายมาอีกแล้วเหรอคะ”


สีหน้าของเธอดูหวั่นวิตกอย่างเห็นได้ชัด หากเป็นบนบกพวกเขาคงหาทางหนีทีไล่และวิธีรับมือได้ แต่กลางมหาสมุทรแบบนี้สายเวทอย่างพวกเขาค่อนข้างเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งคนที่จะต่อกรกับเหล่าอสุรกายทางน้ำได้อย่างสมน้ำสมเนื้อก็เห็นจะมีแต่บุตรโพไซดอนที่อยู่นอกตัวแพเท่านั้น


“ไม่น่าใช่นะ…เหมือนดีนกำลังคุยกับมันอยู่”


ไม่ผิดแน่ แมคเคนซีได้ยินเสียงดีนจริง ๆ สองพี่น้องจึงเงียบแล้วเงี่ยหูฟังบทสนทนาที่มีแต่เสียงพูดของดีนและเสียง “วี้!” ของสิ่งมีชีวิตปริศนาโดยไม่ลืมที่จะจับขอบแพไว้เวลาที่มันโคลงเคลง จนกระทั่งการพูดคุยนั้นจบลง


“เดี๋ยวพี่ไปดูดีนก่อน”


แมคเคนซีบอกแล้วก็รีบโผล่หน้าออกไปถามคนรักทันที


“ดีน! เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น มีตัวอะไรโผล่มางั้นเหรอ!”


“วาฬเพชฌฆาตน่ะ…”


ไม่รู้เลยว่าบอกชื่อนี้กับแมคเคนซีไปแล้วอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร ยังหลอนกับคำว่า ‘วาฬ’ อยู่หรือไม่ จะกังวลกับคำว่า ‘เพชฌฆาต’ ที่ต่อท้ายชื่อของมันหรือเปล่า


“แต่เหมือนว่ามันจะมาดีนะ ท่าทางตื่นเต้นด้วยที่ฉันพูดกับมันรู้เรื่อง ก็เลยบอกให้มันช่วยหน่อย แต่ว่าเจ้านั่น….” ดีนกลั้นหายใจก่อนตัดสินใจพูดต่อ “ว่ายน้ำหนีไปไหนแล้วก็ไม่รู้"


“…………”


“น้องวาฬเหรอคะ”


ยังไม่ทันที่แมคเคนซีจะตอบอะไร ชาร์ล็อตที่ได้ยินเข้าก็รีบโผล่หน้ามาอีกคน เธอดูตื่นเต้นและในตามีประกายเหมือนตอนที่ได้เล่นกับเจ้าแกะ ‘ฟลัฟฟี่’ ในคอกสัตว์ไม่มีผิด


“หนูอยากเห็นจัง น้องจะกลับมาไหม”


เธอมองซ้ายมองขวาเพื่อหาวาฬเพชฌฆาตที่ดีนพูดถึง แต่ตอนนี้ผืนน้ำรอบตัวพวกเขากลับมานิ่งสงบอีกครั้ง


“เดี๋ยวก็คงกลับมาล่ะมั้ง นายลองเรียกอีกทีไหม”


ส่วนแมคเคนซีเองก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะกลัวอะไร คงเพราะก่อนหน้านั้นที่ต่อสู้กับไฮดร้า พวกเขาเห็นว่ามันคือไฮดร้าเจ็ดหัวจริง ๆ ไม่ใช่วาฬหลังค่อมอย่างที่คนทั่วไปเห็นผ่านหมอกบังตา


รีแอคชั่นของสองพี่น้องเฮคาทีต่างจากที่คิดเอาไว้ แต่ก็ถือว่าเป็นทางบวก อย่างชาร์ล็อตดีนรู้ดีว่าเธอคลั่งไคล้สัตว์โลกน่ารักไม่ต่างไปจากเขา ส่วนความคิดของแมคเคนซีดีนไม่อาจหยั่งถึง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้ว่าออร์ก้าไม่ใช่สัตว์อันตรายหรือปลงกับสถานการณ์ยากคาดเดาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่เว้นกันแน่ แต่ในนาทีนี้จะยังไงก็ได้ขอแค่ให้แล่นแพฉุกเฉินได้เร็วขึ้นกว่านี้อีกนิด


“ถ้านายว่างั้นฉันจะลองอีกรอบ”


ยังไม่ทันจะผิวปากเรียก ใต้น้ำก็เกิดความเคลื่อนไหว บางอย่างที่มีสีดำสนิทแหวกน้ำเป็นแนวยาว มันคือครีบหลังของวาฬเพชฌฆาตอย่างไม่ต้องสงสัย จากนั้นมันก็มุดน้ำหายไปอีกครั้ง ก่อนจะกระโดดลอยขึ้นจากน้ำสูงหลายสิบฟุตแล้วทิ้งตัวปล่อยให้น้ำหนักตัวกว่าห้าตันกระแทกลงสู่พื้นน้ำจนสาดกระจาย เล่นเอาคนที่หลบเข้าไปในหลังคาแพไม่ทันเปียกมะล่อกมะแล่ก


เจ้านี่พลังงานเต็มร้อยให้ล้านอย่างกับไปเสพพิษปลาปักเป้ามา…


ตุ้บ!


ปลาทะลตัวหนึ่งปลิวตกลงมาบนหลังคาผ้าร่ม ดิ้นกระแด่ว ๆ ร้องภาษาปลาอ้อนวอนขอชีวิต


“บ๊อม” oO(ช่วย…ด้วย…)


บุตรเจ้าสมุทรมองปลาน้อยหน้าซีดเผือด


“วี้!” oO(มะนุ้ด! ป๋มกลับมาแล้วพร้อมกับอาหารที่มะนุ้ดขอ! กินซะสิ!!)


ออร์ก้ายืดอก (?) อย่างภาคภูมิใจพร้อมกับยิ้มกว้างตามแบบฉบับของมัน


…เดี๋ยวนะ ใครขอ?


แน่นอนว่าสกิลที่ติดตัวเหล่าสายเลือดเฮคาทีมาอีกอย่างในตอนนี้ก็คือการหลบหลีกน้ำได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวกว่าเดิม พอเห็นจังหวะว่าตอนไหนจะเปียกแน่ ๆ ก็รีบหลบเข้าไปภายในแพอย่างรวดเร็ว


ก็แน่ล่ะสิ พวกเขาไม่มีทั้งทักษะภูมิคุ้มกันเปียก และคาถาเสกให้ตัวแห้งนี่นา


“เจ้าวาฬนั่นว่าพูดว่าอะไร”


จนเมื่อเรือหายโคลงเคลง หนุ่มอังกฤษจึงโผล่หน้าออกมาอีกครั้ง แล้วคราวนี้เขาก็เห็นวาฬเพชฌฆาตตัวใหญ่ยักษ์เต็มสองตา พร้อมกับคนรักที่ตัวเปียกชุ่ม…และคงจะหายเปียกในอีกไม่กี่วินาทีถัดจากนี้


“โอ้โห น้องวาฬตัวเบ้อเร่อเลยค่ะ หนูอยากคุยกับน้องได้บ้างจัง พี่ดีนช่วยแปลให้หน่อยได้ไหมคะ”


แล้วชาร์ล็อตก็โผล่หน้าตามออกมา และใช่…ตอนนี้สองพี่น้องเห็นดีนเป็นล่ามจำเป็นไปแล้ว


“วี้!” oO(อุว๊าววว มีมะนุ้ดอีกสองอัน ต้องไปหา ‘ปา’ มาเพิ่มแล้ว!)


“เดี๋ยว! หยุดเลย พวกเราไม่ไดัต้องการอาหาร”


ดีนรีบหยุดออร์ก้าตัวนี้ไว้ก่อนที่มันจะมุดน้ำหายไปอีก จากนั้นหันมาทำหน้าที่ล่ามแปลภาษาเฉพาะกิจ

“เจ้านี่บอกว่า ‘นี่อาหารที่มะนุ้ดขอ กินสิ’”


เขาพยายามดัดเสียงให้เล็กแหลมเหมือนวาฬเพชฌฆาตแต่คล้ายกับคนที่เพิ่งสูดฮีเลียมมามากกว่า ให้ตายสิ นั่นเป็นประเด็นสำคัญเสียที่ไหนกันล่ะ!


“วี้!” oO(ใช่! มะนุ้ดกิน!!)


“มันพูดว่า ‘ใช่ มะนุ้ดกิน!’ แต่เดี๋ยวซี่! ฉันไม่ได้ขออาหารจากแกสักหน่อย ที่อยากให้ช่วยคืออย่างอื่นต่างหาก”


“วี้?” oO(จะเอาสองอันเลยเหรอ? หูยยย ตะกละ) ออร์ก้าอวบเอียงคอ ก่อนจะพ่นน้ำออกทางช่องหายใจเหมือนกำลังขำ


“มันบอกว่า ‘จะเอาสองอันเลยเหรอ’ แล้วก็ว่าพวกเรา ‘ตะกละ’ แต่ไม่ใช่สิ! บอกว่าไม่ได้ขออาหารไง!!”


ให้ตายเถอะ คุยกับเจ้านี่แล้วปวดหัวเป็นบ้า ที่พ่อโพไซดอนเป็นไบโพลาร์เพราะคุยกับปลาไม่รู้เรื่องหรือเปล่า ระหว่างที่ดีนและโลมาพันธุ์ดำขาวกำลังสนทนากัน เหยื่อปลาที่น่าสงสารก็ค่อย ๆ กระดึ๊บลงทะเล ….รอดตายไปหนึ่งวัน


“น้องหาอาหารมาให้พวกเราเหรอคะ น่ารักจัง”


ชาร์ล็อตที่ฟังดีนคุยกับออร์ก้าไปด้วยดัดเสียงแปลไปด้วยหัวเราะคิกคักชอบใจ จากการเดินทางที่เหมือนจะตึงเครียดในตอนแรกก็กลายเป็นบันเทิงไปซะอย่างนั้น


“นายลองบอกวาฬนั่นอีกทีสิว่าอยากให้ช่วยทำอะไร”


อย่าว่าแต่น้องสาวของเขาเลย แมคเคนซีเองก็แอบขำตอนได้ยินดีนทำเสียงเล็กเสียงน้อยหมือนกัน ยิ่งรู้ว่าคนรักของเขากับเจ้าวาฬเพชฌฆาตตัวใหญ่ยักษ์กำลังเถียงอะไรกันแล้วก็ส่ายหน้ายิ้ม ๆ


“วี้?” oO(มะนุ้ดอันอื่นพูดอะไรกันน่ะ? ฟังไม่เห็นรู้เรื่องเลย)


ความซวยเลยต้องตกเป็นของลูกเทพสมุทรอีกครั้งเมื่อต้องเป็นล่ามให้สองทาง

“เธอบอกว่า ‘แกน่ารักที่หาอาหารมาให้’ น่ะ แต่ไม่เป็นไรขอบใจ ตอนนี้พวกเรายังไม่ต้องการอาหาร แล้วพวกเราก็กินปลาดิบ ๆ กันไม่ได้ด้วย โดยเฉพาะฉัน ขอไม่กินปลาที่ยังพูดได้เด็ดขาด”


“วี้” oO(หวา มะนุ้ดกากจัง กินปลาดิบก็ไม่ได้)


ถึงตอนนี้ดีนกำหมัด คล้ายเส้นเลือดข้างขมับจะปูดขึ้นมาหนึ่งเส้น เขาไม่แปลประโยคนี้แต่เลือกที่จะเข้าเรื่องตามที่แมคเคนซีบอก


“คืองี้ นายฟังนะ.. พวกเราอยากขอให้นาย ช่วยพาพวกเราไปชายฝั่งปานามาหน่อย”


“วี้?” oO(‘ปา’ หน้าม้า? อ๋อ! ได้สิป๋มรู้จัก ปาหน้าม้า!)


“รู้จักจริงใช่ไหม?” สังหรณ์ใจแปลก ๆ ว่า ‘ปานามา’ กับ ‘ปา (ปลา) หน้าม้า’ จะคนละอย่างกัน


“วี้!” oO(รู้สิรู้! ที่ ‘ฟิดบัด’ มีทั้งปาหน้าม้าแล้วก็มะนุ้ดหางปา)


ว่าแล้วเชียว.. ดีนยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองก่อนจะหันไปทางสองพี่น้องเฮคาทีที่กำลังทำหน้างงอยู่แน่ ๆ


“มันเข้าใจว่าปานามาคือ ที่ที่มีปลาหน้าม้าอยู่น่ะ ซึ่งที่นั่นหมายถึงฟิชบลัด… ฉันคิดว่า ‘ปลาหน้าม้า’ ของมันคือฮิปโปแคมปัสแน่ ๆ”


บางทีไปขอให้ฮิปโปแคมปัสช่วยอาจจะดีกว่า แต่ว่าฟิชบลัดมันอยู่ที่ไหนกันล่ะ? ดีนรู้แค่ว่าค่ายฟิชบลัดตั้งอยู่บนมหาสมุทรแอตแลนติก อาจจะห่างจากแอตแลนติสไปไม่ไกล ซึ่งหากอยู่ใกล้กับแอตแลนติสก็แปลว่าพวกเขาต้องเดินทางอีกไกลโข ไกลกว่าขึ้นฝั่งปานามาไม่รู้ตั้งกี่เท่า และที่นั่นไม่ต้อนรับลูกโพไซดอนด้วยปัญหาการเมืองบางอย่าง


“เอาไงดีล่ะ หรือว่าช่างแม่งเจ้านี่ดี?


“อา……”


แมคเคนซีฟังที่ดีนแปลแล้วก็นิ่งเงียบไปเล็กน้อย เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าพวกปลารวมถึงสัตว์ทะเลไม่มีทางรู้จักชื่อสถานที่หรือสิ่งต่าง ๆ ที่มนุษย์ตั้งไว้หรอก มันก็แค่คำแทนตัวที่มนุษย์เข้าใจกันไปเองทั้งนั้น ก่อนที่เขาจะคิดอะไรได้ขึ้นมาอีกอย่าง


“งั้นถ้าลองบอกแบบนี้ล่ะ ตอนนี้แพเรากำลังมุ่งหน้าไปทางชายฝั่งปานามาอยู่แล้วใช่ไหม ถ้านายบอกให้วาฬตัวนี้ช่วยดันเรือให้ไปทิศตรงข้ามกับหางเสือที่นายทำขึ้นมาล่ะ”


เขามองไปยังไม้พายที่ดีนนำไปติดไว้แทนส่วนหางเสือ


“แล้วเราก็ดูเส้นทางในมือถือประกอบไปด้วย ถ้าวาฬเริ่มดันแพไปคนละทิศหรือออกนอกเส้นทาง นายก็บอกหรือใช้อะไรสักอย่างเป็นสัญลักษณ์ให้ไปทางซ้ายหรือขวาเพื่อให้กลับมาเส้นทางเดิม”


ถึงดีนจะถามว่า ‘ให้ช่างมันไปดีไหม’ แต่ในเมื่อมีสิ่งทุ่นแรงมาอยู่ตรงหน้าแล้ว แมคเคนซีก็ไม่อยากปล่อยให้เสียโอกาสไปโดยเปล่าประโยชน์ และดูท่าเจ้าวาฬเพชฌฆาตขี้เหงาตัวนี้คงอยากอยู่คุยกับบุตรแห่งโพไซดอนต่อ ซึ่งก็เท่ากับว่าวินวินทั้งสองฝ่าย


“ฉันจะลองดู”


ดีนเจรจาว่าความกับออร์ก้าตัวอวบอยู่นานจนในที่สุดมันก็เข้าใจแล้วยอมเป็นสารถีลากเรือแพให้พวกเขา นอกจากนี้ยังยอมรับชื่อ ไข่อวบ’ ที่ดีนตั้งให้เป็นการชั่วคราวอีกด้วย


เริ่มแรกบุตรเทพสมุทรลองให้ไข่อวบดันเรือไปข้างหน้าตามแผนเดิมแต่ดูเหมือนจะไม่เวิร์ค จึงลองเปลี่ยนเป็นใช้เชือกผูกกับครีบหางของมันแทนแล้วให้เจ้าอ้วนนี่ลากไป ด้วยความบ้าพลังของไข่อวบจึงทำให้เรือแพแล่นฉิว


“ว้าว แพแล่นไวขึ้นเยอะเลยค่ะ แบบนี้เหมือนพวกเรากำลังเล่นบานาน่าโบ๊ทเลย”


ชาร์ล็อตดูท่าจะตื่นเต้นกับเพื่อนใหม่มาก ตอนนี้เธอมีเรื่องใหม่ให้ทำแก้เบื่อระหว่างอยู่กลางทะเลแล้วก็คือการมองออร์ก้าลากเรือแพไปด้วยความเร็วกว่าเดิม


“แบบนี้ก็ดีนะ นายจะได้พักการใช้พลังด้วย”


แมคเคนซียิ้มให้ดีน แม้อีกฝ่ายจะฟื้นตัวได้เร็ว แต่การใช้พลังติดต่อกันเป็นเวลานานก็ไม่ใช่ผลดีนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังคงต้องคอยดูทิศทางไว้ให้ดี หวังว่าเจ้าวาฬเพชฌฆาตจะไม่พาพวกเขาออกนอกเส้นทางไปซะก่อน


แล้วการเดินทางด้วยแพวันแรกก็จบลงเพียงเท่านี้




ความคิดเห็นผู้บันทึก
การใช้ชีวิตบนแพฉุกเฉินไม่ง่ายเลย ด้วยระยะทางที่ห่างไกลจากชายฝั่งทำเอาท้อเมื่อต้องพายแพยางในทะเล ทั้งที่ตามกำหนดการเดิมพวกเราจะถึงโคลอมเบียช่วงเที่ยงวันนี้อยู่แล้วเชียว... ยังดีที่มีเจ้าไข่อวบผ่านมาแล้วยอมให้เราผูกเชือกกับหางของมัน ถึงมันจะเป็นออร์ก้าที่พูดมากไปหน่อย แต่มาถึงตอนนี้ก็คิดถึงเสียงวี้ ๆ ของมันเป็นบ้า

สรุปสถานการณ์
- สามเดมิก็อดใช้ชีวิตบนแพยาง ดีนพยายามใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่ประดิษฐ์ใบเรือและหางเสือชั่วคราวให้แพลอยไปได้ไวขึ้น
- พบเพื่อนใหม่ คือ วาฬเพชฌฆาต ดีนตั้งชื่อให้มันว่า 'ไข่อวบ' แล้วเจรจาขอให้มันช่วยลากแพยางให้
- คาดว่าอีก 10 วันจึงถึงชายฝั่งประเทศปานามา

แสดงความคิดเห็น

God
ธานาทอสนั่งตกปลาบนโขดหินที่คุณกำลังผ่าน ก่อนพูดขึ้น "ความตายใกล้แค่เอื้อม" เพื่อเป็นการเตือนเดมิกอตถึงอันตรายข้างหน้า  โพสต์ 2025-8-20 01:41
โพสต์ 192561 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-8-20 00:16
โพสต์ 192,561 ไบต์และได้รับ +25 EXP +35 เกียรติยศ +55 ความศรัทธา จาก น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ  โพสต์ 2025-8-20 00:16
โพสต์ 192,561 ไบต์และได้รับ +9 EXP +8 ความกล้า จาก กางเกงเดินป่า  โพสต์ 2025-8-20 00:16
โพสต์ 192,561 ไบต์และได้รับ +7 EXP จาก Anker PowerCore  โพสต์ 2025-8-20 00:16
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
Anker PowerCore
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่อัสพิสขัดเกลา
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x10
x2
x3
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x3
x1
x3
x1
x1
x4
x6
x1
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x6
x2
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-8-23 02:07:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-29 00:15

XV
อย่าเสียใจคนเดียว
 Mackenzie Claude Lincoln 

- 25.05.2025 -

แพชูชีพ, ทะเลแคริบเบียน, มหาสมุทรแอตแลนติกใต้


หากยังใช้ชีวิตอยู่กลางมหาสมุทรเพียงเห็นแค่เส้นขอบฟ้าและเส้นขอบน้ำบรรจบกันโดยไร้วี่แววของแผ่นดินท่ามกลางพระอาทิตย์ที่ไม่มีวันตก พวกเขาต้องลืมวันลืมคืนไปแล้วแน่ ๆ ยังดีที่มีนาฬิกาและโทรศัพท์มือถือทำให้พอรู้ได้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงยาม


“เหลืออีกราว ๆ สองร้อยยี่สิบไมล์ทะเล”


ดีนอ่านค่าระยะห่างจากจุดที่พวกเขาอยู่ถึงชายฝั่งที่ใกล้ที่สุดได้ราว ๆ นี้ เมื่อวานย่นระยะทางไปได้สี่สิบกว่าไมล์ทะเล อาจโชคดีก็ได้ที่พวกเขาเจอกับเจ้าไข่อวบ วาฬเพชฌฆาตพลังงานเหลือล้นเทียบเท่ากับวาฬธรรมดาสุขภาพดีถึงสองตัว 


“หรือประมาณสี่ร้อยกิโลเมตรนิด ๆ……”


พอแปลงระยะทางมาเป็นหน่วยกิโลเมตรแล้วแมคเคนซีก็ได้แต่เป่าลมออกจากปาก พวกเขาต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในแพยางนี่กันอีกหลายวัน แค่คิดก็ทำเอาปวดเมื่อยตัวไปหมดจากที่เมื่อยมาแต่เดิมอยู่แล้ว ชาร์ล็อตเองหลังจากที่ไม่สามารถเล่นกับเจ้าวาฬเพชฌฆาตได้ ทั้งยังสื่อสารกันไม่รู้เรื่องและเกรงใจดีนที่ต้องคอยแปลภาษาวาฬให้ฟัง แมคเคนซีเลยให้เธอยืมสมาร์ทโฟนเดดาลัสเพื่อหาอะไรอ่านไปก่อนแก้เบื่อ


“ถ้าทำความเร็วได้ประมาณนี้ทุกวัน พวกเราอาจจะถึงฝั่งภายในสิบวันก็ได้นะ” 


จะว่าดีก็ได้ที่ไข่อวบเป็นวาฬพูดมาก พอมีเพื่อนชวนคุยจึงทำให้ดีนคลายเหงาไปได้บ้าง จนได้ซักประวัติของมันถึงรู้ว่าไข่อวบและฝูงอพยพมาจากทางซีกโลกเหนือช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ถึงว่าพวกเขาจึงได้พบกับออร์ก้าที่หายากในทะเลแคริบเบียนแทนที่จะเป็นเขตขั้วโลก


นั่นหมายความว่าเมื่อไข่อวบมาส่งพวกเขาถึงเขตทะเลน้ำตื้น มันก็ต้องกลับไปรวมฝูงกับพรรคพวกของมัน แล้วทีมทำภารกิจก็ต้องหาทางขึ้นฝั่งกันเอง ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ส่วนหากกลัวว่ามันจะหลงทางก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะสัตว์ตระกูลโลมาและวาฬ สามารถสื่อสารผ่านคลื่นเสียงได้ไกลหลายสิบกิโลเมตร ซึ่งดีนก็แอบได้ยินมันคุยกับสาวร่วมฝูงที่อยู่อีกฟากหนึ่งของฝั่งทะเล


.

.
.


แล่นเรือแพมาทั้งวันก็ได้เวลาพักผ่อน ดีนทอดสมอร่มน้ำลอยถ่วงลูกคลื่นมหาสมุทร จากนั้นปลดเชือกที่ผูกตัวแพยางกับครีบหางให้ไข่อวบได้ไปพักผ่อนและหาอาหารกิน ซึ่งมันออกห่างจากพวกเขาไปไม่ไกลเหมือนกับสัตว์ที่ติดคน แถมยังพยายามแนะนำปลาน้ำลึก (อาหาร) ไม่เลิก


“วี้~~” oO(นี่มะนุ้ด อันนี้อร่อยนะ)


ไข่อวบโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำหลังมื้อเย็นของมันพร้อมกับปลาแมคเคอเรลตัวหนึ่งที่ถูกทำให้ตายแล้ว อย่างน้อยมันก็แคร์ที่ดีนเคยบอกว่าเขาไม่รับประทานปลาเป็น ๆ มือหนาของบุตรเจ้าสมุทรเอื้อมไปลูบหัวมัน


“กินเถอะไข่อวบ ฉันจะเข้าไปพักข้างในแล้ว บังคับหางเสือทั้งวันรู้สึกเหมือนตัวจะไหม้”


แม้ว่าเขาจะกระโดดลงน้ำไปแช่ตัวเป็นพัก ๆ เพื่อคลายร้อนแล้วก็ตาม ยังดีที่ดีนเป็นบุตรโพไซดอน การเผชิญหน้ากับน้ำทะเลจึงไม่อาจทำร้ายผิวของเขาได้ แต่ก็ยังมิวายที่ทำให้ผิวน้ำผึ้งยิ่งกรำแดดหนักขึ้นไปอีก 


“ฝันดีไข่อวบ”


ชายหนุ่มตัดบทจากนั้นก็มุดเข้าเต็นท์ไปอยู่กับแมคเคนซีและชาร์ล็อตเพื่อรับประทานเมื้อเย็น… แมคเคอเรลกระป๋อง ปลาสายพันธุ์เดียวกันกับที่ออร์ก้าหนุ่มชวนกิน แต่ยังดีที่อย่างน้อยมันก็ปรุงสุกพร้อมรับประทาน


“ตอนนี้พวกเราอยู่ห่างจากฝั่งเท่าไหร่น่ะแมคซี่”


ดีนเอ่ยถามบุตรชายของเฮคาทีที่ทำหน้าที่เป็นต้นหนจำเป็น


“ถ้าระยะทางคร่าว ๆ ก็ประมาณสามร้อยห้าสิบกิโลเมตร…ฉันหมายถึงประมาณหนึ่งร้อยเก้าสิบไมล์ทะเล”


แมคเคนซีจำได้ว่าพวกเขาถนัดใช้มาตราหน่วยกันคนละแบบ เลยแปลงค่าให้เสร็จสรรพ ก่อนจะเงยหน้าจากจอสมาร์ทโฟนขึ้นมามองอีกฝ่าย


“นายโอเคไหม ต้องออกไปอยู่นอกแพทั้งวัน จะสลับกับฉันบ้างไหม”


ไม่รู้ว่าหากสลับหน้าที่กันแล้วตนเองจะทำได้ดีแค่ไหน แต่จากที่คอยมองการทำงานของคนรักมาเกือบทั้งวันแล้ว การบังคับหางเสือคงไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่นัก ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเอาเปรียบดีนยังไงชอบกล


“ร้อยเก้าสิบไมล์ทะเล..”


คราวนี้เป็นดีนที่เป่าปาก เหมือนว่าวันนี้จะเคลื่อนที่ไปได้ช้ากว่าเมื่อวานเสียอีก ถัวเฉลี่ยความเร็วแล้วอาจกลับมาอยู่ที่เดินทางสิบสองวันแบบเดิม


“ได้สิ ฉันโอเค ฉันเคยเข้าคอร์สเรือใบมดกับเพื่อนที่มหาลัยมาก่อนน่ะ แค่นี้สบายมาก ชิล ๆ”


ความจริงดีนโกหก...

มีประสบการณ์น่ะเรื่องจริง แต่ความรู้สึกด้านอารมณ์นั้นแตกต่างกันสุดขั้ว ตอนที่เล่นเรือใบกับเพื่อนมหาวิทยาลัย อยู่แค่สระน้ำคอนเซอร์วาทอรีในเซ็นทรัลพาร์ค มองเห็นฝั่งและจุดหมายปลายทางชัดเจน ที่นั่นมีเรือใบหลายลำบนผืนน้ำให้ความอุ่นใจว่ามีเพื่อน ไม่มีคลื่นลมทะเลเป็นอุปสรรค หากมีปัญหาใดเกิดขึ้นก็สามารถโบกมือเรียกสต๊าฟมาช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ


แต่มาอยู่ตรงนี้เขาไม่มีอะไรเป็นเครื่องมือเลยนอกจากพลังควบคุมน้ำและหายใจใต้น้ำ ดีนไม่มั่นใจว่าไข่อวบจะสามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้หากมีเหตุฉุกเฉิน อย่างเช่น ถูกอสุรกายในน้ำลอบโจมตี หรือจู่ ๆ เทพเนปจูนเกิดบันดาลโทสะใครที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วส่งพายุเฮอร์ริเคนมาทำให้พวกเขาถูกลูกหลงจนแพคว่ำ... หากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเดมิก็อดตัวเล็ก ๆ สามคนจะทำอะไรได้


แต่จากการที่ล่องเรือมาหลายวันทั้งเรือใหญ่และแพยางขนาดเล็กก็ยังไม่เจออุปสรรคด้านดินฟ้าอากาศ นั่นอาจแปลว่าเทพสมุทรยังคงฟังเสียงของเขา หรือเทพีแอมฟิไทรต์ที่เขาเคยแจ้งนางไว้อาจมีเมตตา ดีนอยากถวายศรัทธาให้เทพสององค์นั้นเหลือเกิน เพียงแต่หากเขามอบศรัทธาแก่เนปจูนมากกว่านี้ พ่อคงกลับมาช้ายิ่งกว่าเดิม

‘แล้วรีชาก็จะไม่มีคนสอนการบ้านวิชาคณิตศาสตร์...’


นอกจากความลำบากทางด้านจิตใจแล้ว ทางร่างกายก็มีผลกระทบไปด้วย แดดกลางทะเลรุนแรงขนาดนี้ ย้อมสีผิวหนุ่มเท็กซัสจากสีน้ำผึ้งเป็นคาราเมลไหม้ เมื่อวิเคราะห์กันทางด้านพันธุกรรมแล้ว ดีนมีเมลานิน (เม็ดสี) มากกว่าแมคเคนซีที่ขาวจั๊วะจนเกือบซีดหลายเท่าตัว ความทนทานต่อแดดจึงยิ่งมากกว่า เขาคงทนไม่ได้เมื่อเห็นผิวขาว ๆ ถูกแดดเผาไหม้จนเห่อแดง


ให้มันมาจากรอยจูบอย่างเดียวก็พอ


กลับเข้าเรื่อง… อย่างที่บอกว่ากลางทะเลอาจเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ แมคเคนซีไม่มีพลังควบคุมน้ำ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายว่ายน้ำแข็งแค่ไหน หากแค่ว่ายน้ำเล่นในสระว่ายน้ำได้คงไม่อาจรับประกันความปลอดภัยเมื่ออยู่ในทะเล ดังนั้นให้อยู่ภายในแพจึงปลอดภัยมากที่สุด


“หรือว่านายอยากลองขับเรือใบล่ะ? เอางี้ไหม ถ้าเราจบภารกิจนี้เมื่อไหร่ฉันจะพานายไปเล่นเรือใบในเซ็นทรัลพาร์คดีไหมที่รัก”


“ก็อยาก น่าสนใจดี…แต่เดี๋ยว ไม่ใช่สิ ฉันหมายถึงฉันอยากช่วยนายบ้างต่างหาก ออกไปตากแดดอยู่คนเดียวแทบทั้งวันจนผิวเกรียมไปหมดแล้ว”


หนุ่มอังกฤษจับแขนข้างนึงของดีนมาดู เดิมทีผิวของอีกฝ่ายเป็นสีน้ำผึ้งนวลน่าหลงใหล แต่ตอนนี้กลับถูกแดดเผายิ่งกว่าคนที่ไปนอนอาบแดดตามชายฝั่งเสียอีก ซึ่งสีผิวเฉดนี้ยิ่งทำให้บุตรเจ้าสมุทรดูคมเข้มยิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นห่วงสุขภาพคนรักอยู่ดี


“ไม่เป็นไร ฉัน… ฉันชอบสังเคราะห์วิตามินดีน่ะ”


ดีนฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับหาข้อแก้ตัวไปเรื่อย พยายามเปลี่ยนเรื่องคุยหลังจากที่ตักปลาประป๋องเข้าปาก


“เฮ้อ คิดถึงแซนด์วิชที่กดลงชักโครกชะมัด ถ้ากลางสมุทรมีร้านอาหารก็ดีสิ นี่พวกเราต้องกินแบบนี้ไปอีกเป็นสิบวันเลยเหรอเนี่ย เธออย่าเพิ่งเบื่อนะชาร์ล็อต”


“……อืม ถ้านายว่างั้นนะ”


แมคเคนซีมองรอยยิ้มดีนด้วยใบหน้าเรียบ ๆ พลางปล่อยลำแขนแข็งแรงของอีกฝ่ายแล้วหันมองไปยังผืนน้ำด้านนอก


“ไม่หรอกค่ะ ถ้าเทียบกับแฮมเบอร์เกอร์ที่ไซคลอปส์เอามาให้หนูกินทุกวัน หนูกินปลากระป๋องได้อีกเยอะเลย”


ชาร์ล็อตที่เห็นบรรยากาศเริ่มไม่ค่อยดีรีบบอกยิ้ม ๆ ด้วยน้ำเสียงสดใส ดูท่าเธอคงเบื่ออาหารจำพวกขนมปัง เนื้อบดและชีสไปอีกนาน พอได้ทานปลาเลยเจริญอาหารขึ้นมาบ้าง แต่ดูเหมือนว่าอาหารมื้อเย็นวันนี้ของพวกเขาจะกร่อยเสียแล้ว


“ถ้างั้นก็โอเค…”


ปากตอบชาร์ล็อตแต่หางตาเหลือบมองไปทางแมคเคนซีที่ดูยังไงก็มีท่าทีไม่พอใจอยู่ ความท้อแท้สิ้นหวังกอปรกับความเหนื่อยล้ามาทั้งวันบีบเค้นหัวใจ จนจู่ ๆ บุตรเจ้าสมุทรก็น้ำตาปริ่มขึ้นมา เขาได้แต่ก้มหน้าก้มตารีบกินปลากระป๋องให้หมด จากนั้นรีบขอไปทำธุระส่วนตัวข้างนอก


“เดี๋ยวมานะ”


ดีนรีบรุดออกไปที่ท้ายแพก่อนจะทิ้งตัวลงไปกับสายน้ำ พลังของสายเลือดเยียวยาบาดแผลทางกายได้ แต่มันจะบรรเทาหัวใจที่อ่อนล้าได้หรือเปล่า


ตูม!


อยู่ ๆ บุตรแห่งเจ้าสมุทรก็โดดลงน้ำไปต่อหน้าต่อตา ริมฝีปากได้รูปของแมคเคนซีเม้มแน่นจนเกือบเป็นเส้นตรง เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เสียบรรยากาศสักหน่อย เพียงแค่รู้สึกว่าเวลานี้ตนเองช่างไร้ความสามารถ ช่วยอะไรคนที่ตนเองรักไม่ได้แม้แต่น้อย ขนาดเสนอตัวว่าจะช่วยออกไปบังคับเรือให้ ดีนก็ยังบ่ายเบี่ยงแล้วยิ้มยิงฟันขาวใส่อีก


‘แย่ชะมัด…เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยเก็บอะไรไว้ในใจไว้คนเดียวสักที’


ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นคนไม่เอาอ่าว หรือว่าเขาแข็งแกร่งไม่พอกันนะ ดีนถึงไม่ยอมให้ทำอะไรเลย แม้กระทั่งออกไปตากแดด


“พี่แมคคะ…หนูว่าพี่ดีนดูเหนื่อย ๆ นะ”


สัมผัสบางเบาแตะเข้าที่ไหล่ เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าเป็นมือของน้องสาวร่วมมารดานั่นเอง น้ำเสียงนุ่มนวลของเธอทำให้แมคเคนซีใจเย็นลงมานิดหน่อย


“อืม…พี่รู้ แต่ดูสิ ชาร์ล็อตก็เห็นว่าเขาไม่ให้พี่ช่วยอะไรเลยนอกจากดูระยะทางอยู่ข้างในนี่ ผิวก็โดนแดดเผาจนเกรียมขนาดนั้นยังมาบอกว่าชอบสังเคราะห์วิตามินดี ให้ตายสิ หมอนั่นไม่ใช่พืชสักหน่อยที่จำเป็นต้องสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหาร”


ได้ทีก็บ่นเสียยืดยาวหมดภาพลักษณ์คนหล่อสุดคูลพูดน้อยไปเกือบหมด แต่ถึงอย่างนั้นสาวน้อยตรงหน้าก็ยังยิ้มให้จนเขาเริ่มแปลกใจ


“พี่สองคนนี่รักกันมากเลยนะคะ”


“ฮะ…?”


“ใช่ไหมล่ะคะ พี่แมคเป็นห่วงพี่ดีน อยากให้พี่ดีนได้พักผ่อนก็เลยอยากสลับหน้าที่บ้างทั้งที่ตาของพี่แพ้แสง ส่วนพี่ดีนเองก็ไม่อยากให้พี่แมคออกไปตากแดดจนผิวไหม้เกรียมเลยรับหน้าที่นี้เอาไว้คนเดียว พวกพี่ยอมเสียสละให้กันแบบนี้ ถ้าไม่รักกันมากจะเรียกว่าอะไรล่ะคะ”


“…………”


แล้วก็เป็นแมคเคนซีที่เงียบไป เขามองดวงตากลมโตของชาร์ล็อต แล้วหันไปมองผืนน้ำจุดที่ดีนโดดลงไปอีกครั้ง ที่น้องสาวของเขาพูดมาไม่มีตรงไหนผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย


แน่นอน…เขารักดีนมาก ความรักของเขามันไม่ได้เกิดขึ้นหลังจากพวกเขาพบกันที่ค่ายฮาล์ฟบลัด แต่มันกินเวลายาวนานยิ่งกว่านั้นเสียอีก เขารู้จักดีนมาเป็นปี ๆ รู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดียิ่งกว่าอะไร แล้วก็ใช่…ตอนนี้หมอนั่นกำลังเครียดอยู่ แล้วก็คงจะเหนื่อยมากแน่ ๆ


“อา…..”


ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นลูบหน้าแล้วถอนหายใจ ก่อนจะหันไปลูบผมเด็กสาวเบา ๆ


“ขอบคุณชาร์ล็อต ถ้าดีนขึ้นจากน้ำแล้วพี่จะคุยกับเขาดี ๆ”


“อื้อ…งั้นเรามานั่งรอพี่ดีนกันเถอะค่ะ”


ธิดาเฮคาทีพยักหน้ารับ แล้วทั้งสองก็นั่งรอให้บุตรแห่งเจ้าสมุทรขึ้นมาจากน้ำ


.

.

.


แต่จนแล้วจนรอดดีนก็ยังไม่ขึ้นมาสักที


“นี่มันนานเกินไปแล้วไหม”


จากที่เริ่มใจเย็น แมคเคนซีก็เริ่มจะใจร้อนขึ้นมาอีกแล้ว


“นั่นสิคะ ทำไมพี่ดีนหายไปนานจัง”


ชาร์ล็อตมองผืนน้ำที่นิ่งสงบไร้วี่แววว่าจะมีอะไรโผล่ขึ้นมาในเร็ว ๆ นี้


“แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ พี่ดีน— เดี๋ยวค่ะ พี่แมคจะไปไหน”


“พี่ว่าพี่ต้องไปตามดีนแล้ว”


แมคเคนซีพูดขึ้นมาแล้วก็โดดน้ำตามลงไปทั้งอย่างนั้น ปล่อยให้ชาร์ล็อตมองตามพี่ชายตาโต จะห้ามก็ห้ามไม่ทันเสียแล้ว


“พี่ดีนเขาหายใจใต้น้ำได้…นะคะ”

.

.
.

  

ภายใต้ผืนน้ำ… ไร้เสียงปลอบโยนใด ๆ จากเจ้าสมุทร มีเพียงแค่เสียงน่ารำคาญนิดหน่อยของเจ้าไข่อวบที่เอาแต่ตื๊อให้เขากินอาหารทะเลสดใหม่ที่มันหามา


“วี้~~” oO(นี่ ๆ มะนุ้ด เป็นไรอ่าดูเศร้า ๆ อาหารของมะนุ้ดไม่อร่อยล่ะสิ เดี๋ยวป๋มไปหาปลาสดใหม่มาให้เอาม้า)


‘ให้ตายสิ ขอมาแอบเศร้าสงบใจแค่คนเดียวก็ไม่ได้!’


แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเพื่อนใหม่ตัวนี้มีความห่วงใยมอบให้ มันจับอารมณ์ของมนุษย์ได้ไม่ต่างจากสุนัข สมแล้วที่ผลของงานวิจัยออกมาว่าสัตว์ตระกูลโลมามีความฉลาดเทียบเท่ามนุษย์ และเจ้าไข่อวบก็เป็นออร์ก้านิสัยดีตัวนึง ให้เดามันคงเป็นที่รักของฝูงแน่ ๆ แอบรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ให้มันมาเสียเวลากับพวกเขาแทนที่จะได้อยู่ด้วยกันกับครอบครัว แต่ทำไงได้ มันจำเป็นนี่นา


ยังไม่ทันได้ตอบกลับไข่อวบหรือทำอะไรมากไปกว่านั้น บางสิ่งที่มีน้ำหนักราว ๆ หนึ่งร้อยหกสิบเจ็ดจุดห้าปอนด์ก็ตกลงมาในทะเล …มันไม่ใช่วัตถุแต่เป็น ‘คน’ และใช่ ร่างที่ร่วงลงมานั้นคือ ‘แมคเคนซี’


‘เฮ้ย!!!’


จากความตกใจแทบจะทำให้ลืมความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจไปจนหมดสิ้นหลังเห็นว่าบุตรแห่งมนตราตกลงมาในมหาสมุทร ดีนที่ไม่ทราบเหตุการณ์ด้านบนแพรีบว่ายไปโอบรับตัวของอีกฝ่ายไว้แล้วพาตัวขึ้นสู่ผิวน้ำในทันที จากนั้นก็รีบดูอาการของคนรักหน้าตาตื่นเหมือนหมาตกใจเสียงพลุ


ทันทีที่ร่างกายปะทะผืนน้ำ แมคเคนซีก็รู้ได้ทันทีว่ากลางมหาสมุทรนั้นไม่ใช่ที่ที่ใครก็ได้จะลงมาว่ายน้ำเล่นไม่ว่าจะว่ายน้ำแข็งสักเพียงใด มวลน้ำหนาแน่นและลึกอย่างไม่มีที่สิ้นสุดต่างจากน้ำในสระน้ำเหมือนกับกำลังกดและดึงร่างของเขาลงไป ดวงตาสีฮาเซลเห็นร่างของดีนเพียงราง ๆ เท่านั้น และเหมือนอีกฝ่ายก็เห็นเขาเช่นกันจึงรีบว่ายตรงมาทางนี้แล้วคว้าร่างของเขาขึ้นสู่ผืนน้ำอย่างง่ายดายโดยที่ยังไม่ทันสำลักน้ำเข้าปอดไปแม้แต่น้อย


นี่สินะ…พลังวิเศษของบุตรแห่งเจ้าสมุทร

“แมคซี่ เกิดอะไรขึ้น!”


“ก็…นายหายไปนานไม่ขึ้นมาสักที ฉันเลยลงไปตาม”


ทันทีที่ขึ้นมาเหนือน้ำได้ แมคเคนซีก็ใช้ทักษะว่ายน้ำที่มีอยู่ลอยตัวไว้ แต่สองมือกลับกอดเอวของดีนไว้หลวม ๆ แล้วยิ้มให้เหมือนที่ชอบทำ


“ฉัน…ขอโทษ ฉันแค่เป็นห่วงนาย ไม่อยากให้นายต้องตากแดดนาน ถึงนายจะชอบสังเคราะห์วิตามินดีก็เถอะ แต่ถ้าโดนแดดนานเกินไปจะเป็นไข้ไม่ก็ลมแดดได้นะ ฉันเลยอยากช่วยนายบ้าง”


แล้วก็เป็นคนพูดน้อยอย่างแมคเคนซีนี่แหละที่ต้องเป็นฝ่ายเปิดปากพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาก่อน เขารู้ว่าดีนสามารถหายใจใต้น้ำได้แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยให้เกิดความบาดหมางนานหรือผิดใจกันกับดีนข้ามวันนี่นา


“อ๊ะ.. แมคซี่ ฉันขอโทษนะที่… ที่ทำให้นายเป็นห่วง”


รอยยิ้มอ่อนโยนของคนตรงหน้าทำให้ใจของบุตรเจ้าสมุทรอ่อนยวบลงอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่อายที่จะระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจด้วยการปล่อยโฮ ร่างสูงสวมกอดคนรักเหมือนกับที่ชอบกอดตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เพื่อใช้ฮีลใจ ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ใจดีอิมพอร์ตมาจากกลอสเตอร์ประเทศอังกฤษที่ชื่อว่า ‘แมคเคนซี’


จากการโถมใส่สุดตัวทำให้ทั้งสองจมลงไปใต้น้ำอีกรอบ แต่เพียงไม่กี่วินาทีถัดมาพวกเขาก็โผล่พ้นน้ำขึ้นมาอีกครั้งโดยนั่งอยู่บนหลังของวาฬเพชฌฆาตต้วใหญ่


“โอ๊ะ…”


จากที่ตื่นตกใจเมื่อถูกเจ้าหมาตัวใหญ่อย่างดีนทิ้งตัวใส่จนลงไปใต้น้ำกันอีกครั้ง ก็กลายมาเป็นประหลาดใจแทนเมื่อเจ้าไข่อวบช้อนร่างพวกเขากลับขึ้นมาเหนือน้ำแบบไม่ต้องรอนาน


ใครจะไปคิดล่ะว่าชาตินี้จะได้ขี่หลังวาฬเพชฌฆาต


“วี้~~” oO(มะนุ้ดอยากเล่นน้ำกันก็ไม่บอก)


“เงียบน่าไข่อวบ…” ดีนค้อนมันเสียงเบา


แมคเคนซีมองคนหน้างอใส่สัตว์ทะเลตัวยักษ์ด้วยรอยยิ้มบางแล้วใช้สองมือประคองใบหน้าคมสันของคนรักให้หันมามองที่ตน


“รู้ว่าห่วงก็อย่าทำให้เป็นห่วงสิ นายเล่าให้ฉันฟังได้ทุกเรื่องนะที่รัก”


ตอนนี้เขาอยากฟังสิ่งที่ดีนจะพูดมากกว่าอยากรู้ว่าเจ้าวาฬไข่อวบพูดอะไรเสียอีก


“ฉัน… ฉัน”


ดีนยังพูดอะไรไม่ออก เขาจับหลังมือที่ประคองใบหน้าตนเองอยู่ก่อนหลุบสายตาแล้วซบหน้าลงไปกับฝ่ามือนั้น


“ฉันเหนื่อยมากเลยแมคซี่… แล้วฉันก็มองโลกในแง่ดีไม่ออกว่าพวกเราจะรอดไปจากสถานการณ์นี้ได้ยังไง อีกตั้งสิบวันกว่าจะถึงฝั่ง พวกเราจะรอดกันจริง ๆ ใช่ไหม? ฉัน… ฉันอยากกลับบ้าน แมคซี่… ฉันกลัว”


ความในใจพรั่งพรูออกมาจนหมด หากเป็นไปได้เขาอยากจะทิ้งภารกิจนี้แล้วหาทางกลับไปที่นิวยอร์กให้เร็วที่สุดเลยด้วยซ้ำ แต่หากทำแบบนั้น พวกเขาสามคนคงมีชะตากรรมไม่ต่างจากไบร์ท จูลี่ และอีธานที่ออกเดินทางล่าช้าแล้วถูกกาลเวลากลืนกินไปใช่หรือไม่…


พอเห็นดีนด้านที่อ่อนแอแล้วแมคเคนซีก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจไปหมด นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยแก้มที่เริ่มมีหนวดเคราครึ้มเบา ๆ แล้วกดจมูกหอมตรงกระหม่อมที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมหยักศกสีดำดกหนาซึ่งตอนนี้แห้งสนิทหลังเพิ่งขึ้นจากน้ำมาไม่กี่วิ ผิดกับเขาที่ตอนนี้เปียกปอนไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า


“ฉันรู้ดีน…ฉันรู้ว่านายเหนื่อย ตอนนี้พวกเราก็แค่ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายนิดหน่อย แต่ทุกอย่างจะดีขึ้น นายยังมีฉันกับชาร์ล็อตอยู่ด้วย แล้วก็เจ้าไข่อวบอีก พวกเราต้องได้กลับบ้านกันอย่างปลอดภัย โอเคไหมที่รัก”


ริมฝีปากได้รูปจูบเข้าที่ขมับอย่างอ่อนโยนอีกครั้งเป็นการปลอบขวัญ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็มองไม่เห็นปลายทางของภารกิจนี้เลยว่าจะลงเอยอย่างไร แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาจะไปถึงชายฝั่งปานามาตามที่วางแผนกันไว้ไหม แต่ถ้าทุกคนในที่นี้มีแต่ความหวาดกลัวและวิตกกังวลก็คงจะพากันจิตตกไปหมด เขาจึงต้องพยายามเข้มแข็งและควบคุมสติเอาไว้ให้ได้มากที่สุด


แมคเคนซีค่อย ๆ ถอดแว่นตาว่ายน้ำที่ดีนใช้สวมใส่แทนแว่นตาออก แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ดวงตาสีเปลือกไม้แดงก่ำทั้งที่ไม่ได้ระคายเคืองจากการถูกน้ำทะเลเข้าตาแม้สักหยด เขาจับฝ่ามือใหญ่ของดีนมากุมไว้อีกครั้งจนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น


“ถ้ามีอะไรที่ฉันพอช่วยนายได้อีกก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ แต่ตอนนี้เราพักผ่อนกันสักหน่อยเถอะ ถ้านายรู้สึกโอเคขึ้นแล้วค่อยออกเดินทางกันต่อ”


เมื่อแว่นตาว่ายน้ำมีค่าสายตาถูกถอดออกดีนก็มองอะไรแทบไม่เห็น ภาพมัว ๆ เบลอ ๆ ตรงหน้ามีแค่แสงสว่างจากดวงอาทิตย์และเงาของแมคเคนซีที่มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจน ดีนเองก็อยากให้อีกฝ่ายมองเห็นเขาด้วยภาพมัวแบบนี้ จะได้ไม่เห็นว่าตอนนี้เขามีสภาพยับเยินแค่ไหน


เขาอยากให้สถานการณ์นี้เป็นแค่เรื่องเลวร้าย ‘นิดหน่อย’ อย่างที่แมคเคนซีว่า แต่เมื่อคิดถึงคำพยากรณ์ที่ต้องต่อสู้กับสุดยอดจอมมารอย่าง ‘อะพอลลีออน’ ที่กำลังจะถูกปลดปล่อย ความหนาวเหน็บก็เข้าปกคลุมหัวใจ พวกเขาจะไปกู้โลกกันทันจริง ๆ ใช่ไหม หรือจะได้จบชีวิตกันกลางทะเลก่อน


บางทีพวกเขาอาจวางแผนกันผิดตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ ผิดที่ดีนอยากเลี่ยงเส้นทางทางบกที่ต้องผ่าน ‘ช่องดาเรียน’ ป่าดงดิบซึ่งเป็นเส้นทางหฤโหดในปานามาที่น่าจะชุกชุมไปด้วยสัตว์ร้าย อสุรกาย และอาชญากร จึงเลือกลักลอบขึ้นเรือสินค้าที่มีความเสี่ยงในการถูกจับตัวได้แต่ใช้เวลาในการเดินทางน้อยกว่า


แต่สุดท้ายสถานการณ์ก็มาลงเอยแบบนี้ ทำให้ทุกคนลำบากกันไปหมด แถมดูเหมือนว่าเมื่อขึ้นฝั่งมาแล้วพวกเขาจะเลี่ยงที่ต้องผ่านช่องดาเรียนแสนอันตรายไม่ได้จริง ๆ


บุตรเจ้าสมุทรถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่กับสิ่งที่ต้องเผชิญอยู่เบื้องหน้า นาทีนี้คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ากำลังใจ


“ฉันอยากให้นายอยู่เป็นกำลังใจให้ฉัน… แค่นั้น… ฉันก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วที่รัก”


“มันแน่นอนอยู่แล้ว ที่ฉันตอบตกลงมาร่วมทำภารกิจนี้กับนายไม่ใช่แค่เพื่อช่วยชาร์ล็อต แต่เพราะฉันอยากอยู่กับนายไง ฉันไม่อยากปล่อยให้นายต้องเจอเรื่องอันตรายคนเดียวอีก”


แมคเคนซีเผลอบีบมือของดีนแน่นขึ้นแบบไม่รู้ตัว


“กำลังใจจากฉัน นายอยากได้เท่าไหร่เอาไปให้หมดเลย แต่คงหมดยากหน่อยนะ…เพราะมันอันลิมิต”


แล้วก็ไม่ลืมทิ้งท้ายแบบติดตลกไปนิดหน่อย แต่แมคเคนซีก็หมายความตามที่พูดจริง ๆ


“ขอบคุณนะที่รัก ฉันคิดว่านายโกรธอะไรฉันซะอีก”


แค่จับมือกันไม่พอ ดีนขยับเข้าไปสวมกอดตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ของเขาพร้อมกับซบหน้าลงไปบนบ่ากว้างที่เปียกชื้น อ้อมกอดของแมคเคนซีคล้ายกับมีเวทมนตร์ในการฮีลใจได้ทุกครั้ง คราวนี้ก็เช่นกัน... กอดอบอุ่นช่วยผ่อนคลายจิตใจของดีนให้สงบลงไปได้อย่างรวดเร็ว


“ฉันไม่ได้โกรธนาย ก็แค่…น่าจะรู้สึกเหมือนนายตอนอยู่ที่โรงแรมแถวบูเลอร์วาร์ด”


แมคเคนซีบอกเพียงแค่นั้นขณะที่กอดตอบอีกฝ่ายไว้แล้วลูบแผ่นหลังกว้างเบามือ ดีนน่าจะเข้าใจความรู้สึกของตนเองในตอนนั้นดี


“อ๊ะ.. จริงเหรอ?”


ดีนผละหน้าออกมาเล็กน้อย เขารู้ดีว่า ‘รู้สึกเหมือนตอนอยู่ที่โรงแรมแถวบูเลอร์วาร์ด’ คืออะไร… รู้สึกไร้พลัง รู้สึกไร้ประโยชน์ รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้สักอย่าง หรือบางทีในมุมมองของแมคเคนซีอาจเพิ่มเติมความเหงาไปด้วย อยู่ห่างกันเพียงผ้าใบกั้น พูดคุยกันผ่านหลังคาแพ เพราะดีนจำเป็นต้องไปควบคุมใบเรือและหางเสือที่ด้านบนแพตลอดเวลา


“ฉันขอโทษนะที่ลืมคิดในมุมมองของนาย ที่รัก…”


ระหว่างที่ทั้งสองสวมกอดกันและกันไข่อวบก็ส่งเสียงวี้ ๆ ออกมาตลอดพร้อมกับพรูน้ำพุออกมาจากรูหายใจ ทว่าดีนไม่ได้สนใจฟัง


“ไม่เป็นไร ตอนนี้เราเข้าใจกันแล้วนี่ ว่าแต่เจ้าไข่อวบร้องใหญ่แล้ว มันหนักหรือเปล่านะ”


เหมือนว่าเสียงแหลมสูงของวาฬเพชฌฆาตจะดังเข้าหูแมคเคนซีเข้า เขาเลยมองไปยังส่วนหัวของมันด้วยความสงสัย


“หือ?”


บุตรเจ้าสมุทรลองเงี่ยหูฟังเสียงของไข่อวบดี ๆ ถึงได้รู้ว่า……


“วี้…” oO(มะนุ้ดกำลังเส้า เดี๋ยวพาไปว่ายน้ำเล่นดีกว่า)


“เฮ้ย! เดี๋ยว ไข่อวบอย่าเพิ่ง!!!”


สายไปแล้ว…


วาฬเพชฌฆาตมุดลงไปใต้น้ำทันทีหลังจากความคิดในหัวของมันทำงาน ในขณะที่สองเดมิก็อดนั่งอยู่บนหลังของมัน ดีนรีบเสกฟองอากาศครอบหัวแมคเคนซีเพื่อให้มีอากาศหายใจและป้องกันแรงดันบางส่วน ตอนนี้สภาพของอีกฝ่ายจึงคล้ายกับมนุษย์อวกาศกลาย ๆ มือนึงของดีนโอบรอบเอวคนรัก อีกมือก็คว้าจับครีบข้างลำตัวของออร์ก้าเอาไว้


“เหวออออ!”


ทันทีที่เจ้าไข่อวบพุ่งตัวลงใต้น้ำ แมคเคนซีก็รีบหลับตาปี๋ จากที่นึกว่าจะต้องสำลักน้ำทะเลแน่ ๆ แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างครอบศีรษะของตนเองไว้ทัน จนตอนนี้ร่างของเขาดำดิ่งและเปียกปอน แต่กลับหายใจได้อย่างน่าประหลาดทั้งที่ตนเองเป็นบุตรเทพีแห่งม่านหมอก แมคเคนซีจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แล้วเขาก็ต้องตกตะลึงกับภาพตรงหน้า


โลกใต้สมุทร ณ ทะเลแคริบเบียนต่างจากคำบรรยายที่ดีนเคยให้ไว้กับชาร์ล็อตเมื่อวาน แม้จะอยู่ในโซนน้ำลึกทว่าแสงแดดที่ไม่เคยหมดส่องสะท้อนลงมาให้เห็นความงดงามใต้ท้องทะเลที่ยังไม่ถูกทำลาย เหนือพื้นทรายเต็มไปด้วยแนวปะการังหลากสีสันสวยงาม  ใกล้กันนั้นมีซากเรือโบราณสมัยล่าอาณานิคมอัปปางอยู่ใต้น้ำกลายเป็นบ้านใหม่แก่ฝูงปลาตัวเล็กทั้งหลาย ดีนเห็นภาพนั้นหลังจากที่เขาหยิบเอาแว่นตาว่ายน้ำขึ้นมาสวมใส่อีกครั้ง


‘นี่มัน… สวยเอามาก ๆ’


“ใต้มหาสมุทรเป็นแบบนี้เองเหรอ”


หนุ่มอังกฤษพึมพำขณะมองไปรอบ ๆ ระบบนิเวศน์ที่นี่ถือว่าสมบูรณ์มาก จึงยังคงความงามตามธรรมชาติไว้ได้อย่างครบถ้วน เผลอ ๆ อาจงดงามกว่ารายการท่องเที่ยวที่เขาเคยดูด้วยซ้ำ


‘น่าเสียดายจังที่ชาร์ล็อตไม่ได้ลงมาด้วย’


อยู่ ๆ ก็นึกถึงน้องสาวที่รออยู่ในแพชูชีพขึ้นมา แต่เธอมีสมาร์ทโฟนของเขาเป็นเพื่อนแก้เหงาแล้ว ป่านนี้เด็กสาวอาจจะกำลังเพลิดเพลินกับการเล่นเกมฝึกสมองที่เขาโหลดเก็บไว้ในเครื่องอยู่ก็เป็นได้


หากว่านี่คือในอนิเมชั่นเงือกน้อยผจญภัย ฉากต่อไปเพลง ‘ใต้ท้องทะเล’ ต้องขึ้นมาแน่ ๆ น่าเสียดายว่าชีวิตจริงไม่ใช่แบบนั้น


ดีนหันมองใบหน้าด้านข้างของแมคเคนซี เพียงแค่ได้เห็นสีหน้าผ่อนคลายของคนรักก็ช่วยให้เขาหายเหนื่อย ฟองอากาศน่าจะเก็บอากาศไว้ได้ราว ๆ ห้านาที ฉะนั้นเขาต้องใช้ช่วงเวลานี้พาอีกฝ่ายทัวร์ใต้น้ำให้คุ้ม หนุ่มเท็กซัสปล่อยมือออกจากครีบออร์ก้า จากนั้นเตะขาว่ายน้ำพาคนรักไปชมแนวปะการังใกล้ ๆ กระแสเสียงสงสัยของเหล่าปลานับพันดังระงมในหัวบุตรเจ้าสมุทรจนเขาสับสน ประชากรใต้ทะเลพลุกพล่านยิ่งกว่าไทม์สแควร์ช่วงไพรม์ไทม์เสียอีก


“บ๊อม” oO(นั่นตัวอะไรน่ะ)


“บุ๋ง” oO(นั่นมะนุ้ดนี่ ข้าเคยเจอตอนไปแถวชายฝั่ง)


“บุ๊บ” oO(มะนุ้ดเหรอ?)


“บ๊อม!” oO(มะนุ้ด!)


สัตว์ทะเลดูตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้เจอกับมนุษย์ตัวเป็น ๆ พวกมันว่ายน้ำมาดูดีนและแมคเคนซีใกล้ ๆ พอเจอแบบนี้แล้วรู้สึกเขินเหมือนกัน ดีนจึงส่งกระแสจิตพร้อมโบกมือทักทายพวกมันเสียหน่อย


‘ฮาย ฉันดีน ส่วนนี่แมคซี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะ’


น่าเสียดายชะมัดที่ตอนนี้ดีนคุยได้แค่กับปลา แต่ว่าเขาอ้าปากสื่อสารกับแมคเคนซีไม่ได้เลย


ทางด้านแมคเคนซีที่ถูกลำแขนแข็งแรงของดีนโอบเอวไว้แล้วพาว่ายน้ำมาดูความสวยงามของปะการัง มือข้างนึงกำเสื้อของอีกฝ่ายไว้ แม้ว่าดีนจะเป็นถึงลูกของเทพเจ้าสมทุร แต่ด้วยความลึกขนาดนี้ก็ยังน่ากลัวสำหรับเขาอยู่ดี ส่วนขาก็ช่วยเตะน้ำพยุงร่างกายตนเองไว้เพื่อไม่ปล่อยให้ดีนต้องรับน้ำหนักเพียงคนเดียว เบื้องหน้ารวมถึงรอบตัวตอนนี้มีแต่ฝูงปลานานาชนิดเต็มไปหมด พวกเขาคงเปรียบเสมือนของแปลกสำหรับเหล่าสัตว์ทะเลล่ะมั้ง


“…………”


พอหันมองไปยังคนรักแล้วก็เห็นว่าสีหน้าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปมา ดูท่าว่าคงกำลังสื่อสารกับพวกมันอยู่ แมคเคนซีจึงโบกมือให้เหล่าฝูงปลาตามดีนไปด้วย


แต่เมื่อทั้งสองโบกมือให้ฝูงปลามันกลับว่ายน้ำไปหลบ ท่าทางการทักทายภาษาปลาคงไม่มีธรรมเนียมการโบกครีบให้แก่กัน…


ดีนหันไปหาแมคเคนซีก่อนจะพยายามสื่อสารด้วยภาษามือ ถามไถ่ว่าอีกฝ่ายอยากดูตรงไหนเป็นพิเศษไหม หรือว่าอยากขึ้นไปด้านบนผิวน้ำแล้วด้วยการชี้โบ๊ชี้เบ๊


‘ลำบากชะมัด ทำไมฉันคุยกับคนใต้น้ำไม่ได้นะ แบบนี้ไม่เหมือนในการ์ตูนเงือกน้อยผจญภัยเลย!’


ถึงจะเป็นภาษามือแต่แมคเคนซีก็พอเข้าใจได้ว่าดีนจะสื่ออะไร แม้ว่าใต้ทะเลจะสวยงามและเย็นสดชื่นกว่าบนผืนน้ำที่มีแสงอาทิตย์สาดส่องก็ตาม แต่การดำน้ำลงมาในระดับที่ลึกแบบกะทันหันส่งผลให้แรงดันจากน้ำกับแรงดันภายในร่างกายไม่เท่ากัน อาการแรกที่เริ่มรู้สึกได้ก็คือปวดหู แม้ว่าจะทำการปรับแรงดันจากภายนอกและภายในให้สมดุลกัน หรือที่เหล่านักดำน้ำมืออาชีพมีศัพท์เฉพาะเรียกกันว่า ‘เคลียร์หู’ ด้วยการกลืนน้ำลายแล้วก็ตามก็ยังไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ (ส่วนการบีบจมูกแล้วหายใจออกเพื่อตีอากาศให้ขึ้นไปที่หูยังไม่ได้ลองทำเพราะมีฟองอากาศครอบศีรษะอยู่) 


หนุ่มอังกฤษนักดำน้ำมือสมัครเล่นจึงชี้นิ้วขึ้นไปด้านบนแทนคำตอบ


“…………”


ดีนทำมือสัญลักษณ์ ‘โอเค’ จากนั้นเขาค่อย ๆ พาแมคเคนซีขึ้นไปสู่ผิวน้ำเพื่อปรับแรงดันที่แตกต่างกัน แต่ถึงจะไม่ได้ทำเพื่อการนั้นดีนก็ว่ายน้ำช้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้แมคเคนซีคงรู้แล้วว่าเขาเป็นบุตรแห่งโพไซดอนที่ว่ายน้ำห่วยแตกแค่ไหน และก่อนจะถึงผิวน้ำไข่อวบก็ว่ายมาโฉบทั้งสองขึ้นไปจนนั่งอยู่บนหลังมันอีกรอบคล้ายกับว่าอยู่บนพรมวิเศษของอะลาดิน มันเคลื่อนที่ไปใกล้แพยางเพื่อให้ทั้งสองปีนขึ้นไป


“วี้!” oO(ฮี่ฮี่ มะนุ้ดร่าเริงขึ้นแล้ว!)


“ขอบใจมากนะไข่อวบ ตอนนี้พวกเราโอเคแล้ว แกก็เหนื่อยมาทั้งวัน ไปพักผ่อนเถอะ”


ดีนลูบหัวลื่น ๆ ของออร์ก้าเหมือนกับว่ามันคือสุนัข เจ้าวาฬเพชฌฆาตตัวใหญ่ส่งเสียง “วี้!” อีกครั้งพร้อมกับพ่นน้ำออกมาจากช่องหายใจ จากนั้นมันก็มุดลงไปใต้มหาสมุทร


“แมคซี่ นายเป็นไงบ้าง?”


ดีนกล่าวพร้อมกับลูบน้ำออกจากใบหน้า แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีตัวของเขาก็แห้งสนิทเองได้แล้ว


“ปวดหูนิดหน่อย แต่เดี๋ยวคงหาย ไม่เป็นไร”


ยังดีที่การขึ้นมาเหนือน้ำเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่อย่างนั้นแก้วหูของหนุ่มนักเวทอาจเกิดการบาดเจ็บขึ้นได้ หลังจากมองดีนร่ำลากับออร์ก้าตัวยักษ์แล้ว แมคเคนซีที่ตัวเปียกซ่กก็ตอบคำถามอีกฝ่ายแล้วทำการเคลียร์หูของตนเองอีกครั้ง


“แล้วนายเป็นไงบ้าง โอเคขึ้นไหม”


“อืม ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย ทั้งได้ไปเห็นวิวสวย ๆ ใต้ทะเล แล้วก็…” ดีนเหลือบมองแมคเคนซีเล็กน้อยก่อนจะเบนใบหน้าออกมองสายน้ำพร้อมอมยิ้ม “ได้กอดนายทำให้ฉันรู้สึกดีแบบสุด ๆ”


“…….ฉันก็รู้สึกดีเหมือนกัน”


พอเห็นดีนยิ้มได้ด้วยความรู้สึกตามที่เจ้าตัวบอกจริง ๆ ก็ทำให้แมคเคนซียิ้มออกมาได้เช่นกัน การได้มีใครสักคนเป็นความสุข และได้เป็นความสุขของใครสักคนนั้นทำให้หัวใจรู้สึกเหมือนถูกเติมเต็มขึ้นมา จะว่าไปเขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วกันนะ


“งั้นเวลานายเหนื่อยหรือรู้สึกไม่ดีก็กอดฉันไว้…แต่นายจะว่าอะไรไหมถ้าตอนนี้ฉันอยากทำมากกว่านั้น”


แม้ว่าบรรยากาศรอบตัวจะไม่เป็นใจอย่างพระอาทิตย์กำลังตกดินหรือมีแบ็คกราวน์สุดโรแมนติก แต่บุตรโพไซดอนที่อยู่เคียงข้างเขาในยามนี้ก็ยังงดงามน่าหลงใหลเสมอ


“ทะ… ทำอย่างอื่น นายหมายความว่ายังไงเหรอ”


ไม่ใช่ว่าไม่รู้ พวกเขาไม่ได้จู๋จี๋กันมานานกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงจนเกิดบรรยากาศตึงเครียด ดีนรู้ว่าแมคเคนซีหมายถึงอะไร เพราะหัวใจของเขาทั้งสองตรงกัน


แมคเคนซีวางมือทับหลังมือของดีนไว้แล้วโน้มใบหน้าเข้าหน้า หวังให้ริมฝีปากได้รูปของตนสัมผัสกับริมฝีปากสีนู้ดอย่างอ่อนโยน


“พวกพี่มากันแล้วเหรอคะ หนูเป็นห่วงแทบแย่ โอ๊ะ พี่แมคเปียกน้ำหมดเลย เดี๋ยวหนูเอาผ้าเช็ดตัวมาให้นะคะ”


เสียงของชาร์ล็อตที่ดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลังทำให้แมคเคนซีต้องรีบผละออกมานั่งหลังตรงทำเหมือนว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นไม่นานเธอก็เอามาขนหนูมาให้


“รีบเช็ดผมให้แห้งเลยนะคะ เดี๋ยวไม่สบาย”


“อ..โอ้ ดีเลย ขอบคุณนะชาร์ล็อต”


เขารีบตอบกลับน้องสาวพลางรับผ้าขนหนูมาเช็ดผมของตนเองแล้วแอบเม้มริมฝีปากอย่างเสียดาย


แต่ภาพนั้นคงไม่อาจพ้นสายตาของเด็กสาวไปได้ ธิดาแห่งเฮคาทีปริบตามองพี่ชายทั้งสองที่ต่างนั่งหลังเหยียดตรงกันอย่างมีพิรุธ


“อุ๊ย! หนูมาขัดจังหวะหรือเปล่าคะ งั้นหนู.. หนูขอตัวก่อนนะคะ”


‘ฉันล่ะชอบเด็กเซนส์ดีแบบเธอจริง ๆ…’


ดีนคิดในใจพร้อมกับยิ้มให้เป็นคำตอบ หลังจากที่หญิงสาวกลับเข้าไปในตัวแพ หนุ่มใบหน้าละตินก็ประคองใบหน้าของแฟนหนุ่มเข้ามาประกบจูบในทันที ป้อนความหวานเจือรสน้ำเกลืออย่างเร่าร้อนให้สมกับที่พวกเขาอดอยากกันมากว่าหนึ่งวัน ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยริมฝีปากอิ่มที่ซีดลงเล็กน้อยหลังการแช่น้ำออกอย่างเชื่องช้า


“ถอดเสื้อออกก่อนไหม เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”


ดวงตาสีฮาเซลปรือมองคนตรงหน้าราวกับถูกมนตร์สะกดให้เคลิบเคลิ้ม รอยยิ้มพึงพอใจระบายออกมาจากริมฝีปากที่ยังหลงเหลือรสน้ำทะเลจาง ๆ แต่ช่างหวานล้ำดั่งคาราเมลในความรู้สึก


“ถอดเสื้อเลยเหรอ โลภมากจังนะ”


พอกลับมาอารมณ์ดีแล้วก็แกล้งพูดหยอกได้ แต่ถึงอย่างนั้นแมคเคนซีก็ถอดเสื้อที่เปียกชื้นพาดตากไว้ตรงขอบแพยางตามคำแนะนำนั้น อาศัยความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้ผ้าแห้ง


“ให้นายได้รับวิตามินดีนแบบที่นายอยากได้ไง”

พอรู้ว่าถูกแหย่บุตรเจ้าสมุทรก็พุ่งเข้าตะครุบผิวเนื้อขาว ๆ อย่างมันเขี้ยว งับ ๆ ฟัด ๆ จนผิวขาวขึ้นจ้ำเป็นบางส่วน น่าเสียดายจริง ๆ ที่ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้…


“วิตามินดีนงั้นเหรอ…ฉันชอบมุกนี้ เฮ้ ใจเย็นสิ นายนี่มันซนชะมัด”


พอถูกร่างใหญ่ ๆ ของคนรักโถมเข้าใส่แมคเคนซีก็ถึงกับหงายหลัง ดีนฟัดเขาเหมือนเวลาเจ้าหมาตัวโตเล่นกับเจ้าของ เรียกเสียงหัวเราะของหนุ่มอังกฤษจนก้องไปทั่วบริเวณมหาสมุทรอันเงียบสงบนั้น แม้กระทั่งชาร์ล็อตเองที่อยู่ในเต็นท์ก็พลอยยิ้มสดใสไปด้วยที่พี่ชายของเธอทั้งคู่สามารถปรับความเข้าใจกันได้


ดีนโอบแขนทั้งสองข้างกอดเอวแมคเคนซีเอาไว้หลวม ๆ จากนั้นพิงศีรษะซบไหล่ของอีกฝ่ายก่อนจะทอดสายตามองทะเลเบื้องหน้า

“พระอาทิตย์นี่น่ารำคาญชะมัด ถ้าโลกเป็นปกติเราคงได้นั่งกอดกันดูดาวไปแล้ว”


ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นกับโลกมากมายเหลือเกิน กลางคืนหายไป กาลเวลาผิดเพี้ยน จอมปีศาจจากนรกกำลังจะถูกปลุกให้ตื่น โลกอาจจะแตกพรุ่งนี้ก็ได้ แต่อย่างน้อยหากเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตก็ขอให้ได้ชมวิวสวย ๆ กับคนที่รักหน่อยได้ไหม


“นั่นสิ ตอนนี้ดูพระอาทิตย์กันไปก่อนก็แล้วกัน เร่าร้อนเหมือนพวกเราไม่มีผิด”


เร่าร้อนเสียจนแมคเคนซีที่เอนพิงศีรษะของดีนอีกทีถึงกับต้องหลับตาลงเลยทีเดียว


“นายดูได้เหรอ ตาแพ้แสงไม่ใช่หรือไง?” เมื่อเหลือบตามองก็เห็นว่าบุตรเฮคาทีหลับตาคุยกับเขาอยู่ “นั่นไง ว่าแล้วเชียว”


ดีนจึงขยับตัวนั่งดี ๆ ก่อนจะถอดเสื้อที่แห้งสนิทของตนมาคลุมหัวให้อีกฝ่ายไว้กันแดด


“แล้วนายเหนียวตัวไหม พวกเราไม่มีน้ำจืดเพียงพอสำหรับการอาบด้วยสิ”


และหมายถึงแมคเคนซีจะต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้ไปอีกประมาณสิบวัน กว่าจะได้ขึ้นฝั่งกลิ่นของพวกเขาทุกคนคงฉุนใช้ได้


“ถึงฉันบอกทนไม่ได้ แต่ก็ต้องทนใช่ไหม”


ริมฝีปากได้รูประบายยิ้มให้ความความใส่ใจเล็ก ๆ ของอีกฝ่ายแล้วปล่อยให้เสื้อคลุมศีรษะตนเองอยู่อย่างนั้น และเขาก็พูดตามที่คิดจริง ๆ เรื่องไม่อาบน้ำไม่กี่วันยังพอทน แต่เหนียวตัวนี่พอเลย มันทำให้คนรักสะอาดอย่างเขารู้สึกไม่สบายตัวสุด ๆ แต่ทำยังไงได้ในเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลือกอะไรไม่ได้เช่นนี้ ก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้พวกเขาไปถึงฝั่งไว ๆ แล้วสิ่งที่เขาจะทำเป็นอันดับต้น ๆ ก็คืออาบน้ำนี่ล่ะ


น่าเสียดายที่ดีนมีพลังในการทราบองค์ประกอบของน้ำเพียงแค่สัมผัส แต่ดันไม่สามารถแยกแร่ธาตุที่อยู่ในนั้นออกจากน้ำบริสุทธิ์ได้  ไม่อย่างนั้นเขาคงทำฝักบัวอาบน้ำให้คนอื่น ๆ ได้ใช้กันไปแล้ว และด้วยปรากฏการณ์อีเทอร์นัลซันไชน์ทำให้พวกเขาไม่สามารถทำน้ำรองน้ำค้างไว้ใช้แบบในสารคดีเดินป่า เพราะว่าถูกแสงแดดแผดเผาจนไอน้ำระเหยหายไปหมด


แต่จู่ ๆ ดีนก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมา


“นายว่าถ้าฉันขอพรอาซุสให้ปลดขีดจำกัดของตัวเองเพิ่มอีกสักหน่อย ฉันจะใช้พลังเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืดได้ไหมนะ?”


“นายหมายถึงเรื่องที่แม่ฉันบอกน่ะเหรอ ที่ว่าขอพรเทพซุสแล้วเราจะแข็งแกร่งขึ้น”


แมคเคนซีถามแล้วนึกถึงเรื่องที่มารดาตนเองบอกและพวกเขาก็ลองทำตามไปแล้วถึงสองครั้ง และเขาคิดว่ามันค่อนข้างได้ผล แต่เรื่องการใช้พลังอย่างที่ดีนบอกนั้นเขาไม่ค่อยแน่ใจ แต่หากทำได้ก็น่าสนใจทีเดียว


“ใช่ ๆ เผื่อว่าถ้าเก่งขึ้นแล้วฉันจะบรรลุในพรที่พ่อให้มาได้อีกขั้นน่ะ”


“ลองดูไหมล่ะ ถ้าได้ก็ดีนะ”


หลังจากแมคเคนซีออกความเห็น ดีนก็ขยับตัวนั่งดี ๆ เพราะกลัวว่าถ้าซุสมาเห็นภาพหลานชายสุดที่เลิฟ (?) อิงแอบแนบชิดกับหนุ่มไปพลางขอพรไปด้วยจะเกิดอาการหมั่นไส้แล้วส่งฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา คราวนี้อาจไม่ใช่แค่ขนแขนที่ไหม้ แต่คราวนี้อาจเกรียมไปทั้งตัว


แม้ไม่ได้อิงแอบแนบชิดกันแต่อย่างน้อยดีนก็ขอกุมมือคนรักเอาไว้


“นายจำได้ใช่ไหมว่าต้องขอพรว่ายังไง”


“อืม…ได้อยู่นะ น่าจะเริ่มจาก…”


แมคเคนซีพยักหน้ารับพลางกุมมือของดีนตอบแล้วหลับตาลง ปล่อยตัวเองให้จมอยู่ในห้วงสมาธิ ก่อนจะเริ่มกล่าวประโยคที่ราวกับพูดเป็นประจำจนคุ้นเคยขึ้นมา หากแต่เต็มไปด้วยความศรัทธาหาใช่เป็นการท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทอง


“ข้าแต่ราชันย์เทพซุส ผู้ทรงอำนาจแห่งท้องฟ้าและสายฟ้า…… ข้าขออัญเชิญพลังของท่านมาสถิตในกาย เพื่อปลดล็อกขีดจำกัดและก้าวสู่ศักยภาพที่แท้จริง ขอให้พรแห่งท่านนำพาข้าไปสู่ความแข็งแกร่งอันไร้ขีดจำกัด”


ทั้งสองกล่าวคำภาวนาพร้อมกัน ส่งจิตถึงราชันย์แห่งโอลิมปัสบนสรวงสวรรค์อย่างแน่วแน่ พวกเขาได้ยินเสียงคำรามของสายฟ้าผ่านเกลียวคลื่น หลังจากที่ทำการปลดขีดจำกัดของตนเองมาแล้วถึงสองครั้ง คราวนี้เดมิก็อดทั้งสองเริ่มคุ้นชินกับความรู้สึกของกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ที่แล่นผ่านไปทั่วร่าง


เพียงเสี้ยววินาทีเสียงของสายฟ้าในหัวก็ผ่านพ้นไป เหลือแต่เพียงกระแสลมเย็นสบายพัดผ่านร่างของทั้งคู่จนรู้สึกว่าตัวเบาหวิว


“ขอบคุณครับอาซุส”


ดีนลืมตาขึ้นพร้อมกับมองใบหน้าของแมคเคนซีด้วยรอยยิ้ม


‘ขอบคุณครับเทพซุส’


แมคเคนซีกล่าวขอบคุณเพียงในใจก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วก็เห็นว่าดีนมองมาอยู่ก่อนแล้ว


“เอาล่ะ คราวนี้ได้เวลานายทดสอบพลังแล้วว่าจะสามารถทำให้น้ำทะเลกลายเป็นน้ำจืดได้หรือเปล่า”


“ได้เลยที่รัก คราวนี้พวกเราจะได้มีน้ำจืดใช้กันแบบไม่จำกัดสักที!”


ดีนตอบรับอย่างฮึกเหิม จากนั้นวักน้ำทะเลมาไว้ในฝ่ามือ รู้สึกตื่นเต้นชะมัดที่ทำอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก เมื่อก่อนเคยแต่ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทำน้ำกลั่นจากการต้ม แต่ตอนนี้เขากำลังจะทำมันด้วยสองมือจากพลังของเจ้าสมุทร


‘น้ำ… คลอไรด์… โซเดียม… ซัลเฟต… แมกนีเซียม… แคลเซียม… โพแทสเซียม… โบรไมด์… สตรอนเชียม… ฟลูออไรด์… ไอโอดีน… ออกซิเจน… คาร์บอนไดออกไซด์… ไนโตรเจน… กรดอะมิโน… วิตามิน… ฮอร์โมนจากสิ่งมีชีวิต… ซากแพลงก์ตอนและจุลินทรีย์…’


ดีนรู้สึกถึงแร่ธาตุทุกอย่างที่อยู่ในน้ำ เพียงแต่เขาจะแยกแร่ที่ไม่จำเป็นจนออกมาเป็นน้ำจืดในขั้นตอนต่อไปได้อย่างไร …บางทีอาจทำเหมือนควบคุมน้ำ


“น้ำจงจืด”


น้ำในมือสั่นไหวเล็กน้อย บางทีแร่ธาตุทั้งหมดอาจถูกดึงออกไปจากน้ำแล้วมั้ง


“แมคซี่ นายชิมหน่อย”


“หา…ฉันเหรอ”


หนุ่มอังกฤษถึงกับเลิกเสื้อที่คลุมศีรษะอยู่ขึ้นไปแล้วมองดีนตาโต เขาก้มลงมองน้ำในฝ่ามือของอีกฝ่ายแล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองหนุ่มใบหน้าละตินด้วยความระแวงอย่างปิดไม่มิด


“ให้ตายสิดีน นายเห็นฉันเป็นหนูทดลองงานวิจัยของนายหรือไง”


ตอนนี้สิ่งที่แมคเคนซีสงสัยกว่า ‘ดีนสามารถใช้พลังแปลงน้ำทะเลให้กลายเป็นน้ำจืดได้หรือไม่’ ก็คือ ‘หมอนี่สงสัยเองแล้วทำไมไม่ลองชิมเอง (ฟะ!?)’


“ไม่ใช่สักหน่อย ขอให้ช่วยชิมแค่นี้ก็ไม่ได้ นายไม่ไว้ใจฉันหรือไง”


ดีนหน้างอ จากหวาน ๆ กันเมื่อครู่ แต่ตอนนี้เขารู้สึกอยากต่อยแขนแมคเคนซีสักเปรี้ยง


“เปล่า! ไม่..ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันก็แค่….”


กำลังจะพูดถึงสิ่งที่ตัวเองคิด แต่พอเห็นดีนหน้างอเหมือนตูดอารมณ์บูดเหมือนท้องผูกมาหลายวันแล้วก็ได้แต่กล้ำกลืนคำพูดนั้นลงคอไปก่อนจะถอนหายใจอย่างยอมจำนน


“โอเคที่รัก…ฉันชิมเอง”


สุดท้ายก็เป็นฉันเองที่ยอมเธออยู่ร่ำไป…คำพูดนี้ช่างไม่เกินจริง แมคเคนซีหายใจเข้าลึก สองมือประคองซ้อนมือของดีนที่มีน้ำอยู่เต็มสองอุ้งมือไว้แล้วยกขึ้นมา


‘อย่างน้อยชาร์ล็อตก็ใช้เวทฮีลได้ล่ะวะ!’


ใช่….น้องสาวของเขาชำนาญเรื่องการใช้เวทรักษาอยู่แล้ว หากเขาเป็นอะไรไปเธอจะต้องช่วยเหลือได้ทันเวลาแน่นอน หรือหากมองในแง่ดีสุด ๆ ก็คือพลังของดีนอาจจะได้ผลก็ได้ เมื่อคิดไปในทางบวกได้เช่นนั้นแล้วก็ค่อยมีขวัญกำลังใจขึ้นมาหน่อย เขาจึงไม่รอช้า ก้มหน้าลงดื่มน้ำปลุกเสก (?) จากพลังของบุตรแห่งโพไซดอนเข้าไปทันที


ดีนลุ้นผลลัพธ์อย่างใจจดใจจ่อ แต่ในวินาทีที่แมคเคนซีดื่มน้ำจากฝ่ามือตนอยู่นั่นเองเขาก็เพิ่งรู้สึกได้ว่ายังคงมีสารพัดแร่ธาตุและสารละลายอยู่ในน้ำทะเลเต็มไปไหมเลยนี่หว่า


“แมคซี่เดี๋ย—!!”


“พรู่ดดดดดด!!!”


ทันทีที่น้ำสัมผัสภายในปากได้ไม่กี่วิ แมคเคนซีก็รีบหันหน้าออกนอกตัวเรือไปพ่นน้ำทั้งหมดทิ้งแทบจะทันที


‘เชี่ย!! โคตรเค็ม!!’


“นี่มันยังเค็มปี๋อยู่เลย พระเจ้า น้ำ! ฉันต้องการน้ำเดี๋ยวนี้!”


...ไม่ทันแล้ว แมคเคนซีดื่มน้ำที่ยังเค็มอยู่เข้าไปเต็ม ๆ คำ…


“เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำให้เดี๋ยวนี้ล่ะ!”


ดีนรีบลุกพรวดแล้วมุดลงไปในแพอย่างรวดเร็ว ทำเอาชาร์ล็อตที่กำลังเพลิดเพลินกับวิทยาการสมาร์ทโฟนเดดาลัสถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนที่ชายหนุ่มจะกลับขึ้นมาบนหลังคาผ้าใบอีกครั้งพร้อมขวดน้ำดื่มในมือ เขารีบเปิดฝาแล้วส่งมันให้แมคเคนซีหน้าหงุง ๆ หงอย ๆ แบบ ‘ดีน เจ้าหมาเลว’


“แค่ก! ขอบคุณ”


แมคเคนซีรีบรับขวดน้ำมาแล้วกลั้วปากล้างรสเค็มที่ยังค้างคาอยู่ในโพรงปากราวกับเพิ่งไปซดน้ำเกลือมาทันที (ซึ่งก็เพิ่งซดไปจริง ๆ นั่นล่ะ) จากที่ตั้งใจว่าจะประหยัดน้ำจืดไว้ใช้กันก็กลายเป็นว่าเขาใช้น้ำหมดไปหนึ่งขวดเต็ม ๆ แต่ก็ถือว่ายังดีที่ไม่ได้กลืนน้ำทะเลลงไป


“ทีนี้ก็ได้ผลลัพธ์แล้วสินะ”


แมคเคนซีกอดอกถาม ถึงจะน่าโมโหแค่ไหน แต่พอเห็นหน้าหงอยเหมือนหมาของดีนแล้วเขาก็โกรธหรือดุไม่ลงอยู่ดี


“แหม มันก็…”


ดีนยิ้มแห้งใส่ นอกจากรู้แล้วว่าพรการจำแนกน้ำของตนเองทำได้แค่ตรวจสอบแร่ธาตุและแหล่งที่มาของน้ำเท่านั้นแต่ไม่สามารถแยกองค์ประกอบต่าง ๆ ออกจากน้ำได้ ก็ยังได้ความรู้เพิ่มเติมอีกว่าการปลดขีดจำกัดของตัวเองไม่ได้เอามาใช้เพื่อการนั้น


“งั้นพวกเราอาจต้องลองใหม่ในแบบที่ใช้วิทยาศาสตร์ แต่เอาไว้ค่อยลองกันวันอื่นก็ได้ วันนี้ฉันโคตรจะเหนื่อย นายอยากกลับไปข้างในกันหรือยังแมคซี่”


“แน่นอนว่าต้องเป็นวันอื่น และคราวหน้าต้องไม่ใช่ฉันที่เป็นคนชิม”


บุตรเทพีแห่งมนตรารีบบอกดักเอาไว้ก่อนเลยก่อนจะพยักหน้ารับ


“ก็ดีเหมือนกัน ฉันว่าจะไปแปรงฟันสักหน่อย ในปากฉันยังมีกลิ่นน้ำทะเลอยู่เลย วันนี้เราควรพักผ่อนกันได้แล้วคุณนักชีววิทยา”


ถึงท้องฟ้าจะยังสว่างจ้าแต่นี่ก็เป็นเวลาค่ำแล้ว พวกเขาควรเข้าไปพักผ่อนในเต็นท์กันสักทีเพื่อเก็บแรงเอาไว้สำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้ แมคเคนซีกอดคอดีนไว้แล้วพากันเข้าไปในเต็นท์ที่มีชาร์ล็อตอยู่





ความคิดเห็นผู้บันทึก

ถึงจะบอกว่าในการทำภารกิจก็ต้องมีบางครั้งที่คนในทีมขัดแย้งกันหรือเกิดความไม่เข้าใจกันขึ้นมาบ้าง แต่ผมไม่ชอบเลยเวลาที่เกิดเรื่องแบบนี้ระหว่างผมกับดีน ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากมึนตึงใส่กันข้ามวัน อะไรที่ผมยอมเขาได้ผมก็ยอม แต่สิ่งเดียวที่ผมจะไม่ยอมอีกแล้วคือ “ผมจะไม่ยอมเป็นฝ่ายชิมน้ำทะเลจากการใช้พลังของดีนก่อนอีกเด็ดขาด!”  



สรุปสถานการณ์

- ทีมทำภารกิจเดินทางด้วยแพชูชีพไปยังชายฝั่งปานามาเป็นวันที่สอง

- ดีนกับแมคเคนซีมีเรื่องไม่เข้าใจกัน แต่ปรับความเข้าใจกันได้ในที่สุด

- ดีนกับแมคเคนซีขอพรจากเทพซุสเพื่อปลดขีดจำกัดของตนเอง

- คาดว่าอีก 10 วันถึงชายฝั่งปานามา (วันนี้เรือทำความเร็วได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่)

- ธานาธอสกำลังจะมีบทในอีก 3..2..1..ตอนหน้า (ล่ะมั้ง)


DEAN

เลื่อนระดับ LV. MAX

+2 Point

MACKENZIE

เลื่อนระดับ LV. MAX

+2 Point


แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-49] ธานาทอส (เลตัส) เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-8-30 10:11
God
ดี: 5
  โพสต์ 2025-8-23 02:29
โพสต์ 151311 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-8-23 02:07
โพสต์ 151,311 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความศรัทธา +4 ความกล้า จาก สร้อยคอดีไซน์เท่  โพสต์ 2025-8-23 02:07
โพสต์ 151,311 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความศรัทธา +8 ความกล้า จาก กางเกงเดินป่า  โพสต์ 2025-8-23 02:07
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เหรียญนกฮูก
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x5
x1
x10
x2
x1
x2
x2
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
โพสต์ 2025-8-30 06:11:49 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-9-29 00:32



XVI
ความตายใกล้แค่เอื้อม
Dean Eilwyn Alvarez Neal


- 26.05.2025 -
แพชูชีพ, ทะเลแคริบเบียน, มหาสมุทรแอตแลนติกใต้

วันที่สามสำหรับการใช้ชีวิตบนแพ แม้ว่าชายฝั่งที่ใกล้ที่สุดของประเทศปานามาจะอยู่ห่างไกลไปเกือบสองร้อยไมล์ทะเลจนรู้สึกสิ้นหวัง ทว่าสามเดมิก็อดยังพอจะมีพลังใจอยู่บ้างจากการให้กำลังใจกันเอง

“ว้าว ตอนที่พวกเราหลับแพถูกพัดเข้ามาใกล้ฝั่งอีกตั้งสามไมล์ทะเลแหน่ะ ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเราจะโชคดีนะ”

ดีนเอ่ยขึ้นขณะเช็คพิกัดจากไฮโดรเอ็กซ์ ก่อนจะขึ้นไปเก็บสมอของแพชูชีพกลับขึ้นมาจากน้ำแล้วกางใบเรือ

คนทั่วไปอาจรู้จัก ‘สมอเรือ คือเหล็กขนาดใหญ่ที่มีตะขอสองแง่งเอาไว้เกาะเกี่ยวกับโขดหินใต้น้ำ ทว่าแพชูชีพเล็ก ๆ คงไม่สามารถเก็บเชือกที่มีความยาวกว่าพันเมตรเพื่อใช้ยึดสมอให้ถึงก้นสมุทรได้อยู่แล้ว ดังนั้นสมอของแพชูชีพคือถุงผ้าร่มสีส้มคล้ายบอลลูนเล็ก ๆ ลอยต้านกระแสน้ำทำให้แพไม่ไหลตามความแรงคลื่นเร็วเกินไป หากเรียกให้ถูกควรเรียกมันว่า ‘สมอร่มน้ำ’ แต่เรียกว่าสมอเรือทั่วไปก็เข้าใจง่ายดี


ด้วยเหตุนี้ตอนเช้าจึงต้องคอยมาตรวจเช็คพิกัดอีกทีว่าแพเคลื่อนที่จากจุดพักเมื่อคืนไปไกลแค่ไหน 

 
“อืม…ก็ถือว่ามาได้ไกลอยู่”

แมคเคนซีพยักหน้าเห็นด้วย สามไมล์ทะเลที่ว่าก็คือประมาณห้ากิโลเมตรครึ่ง สำหรับพวกเขาที่หลับไปแบบไม่ต้องเสียแรงทำอะไร ระยะทางเท่านี้ก็ไม่ถือว่าแย่ แต่หากไม่ดูตัวเลขจากในสมาร์ทโฟนก็คงดูไม่ออกว่ามาไกลได้ถึงไหน ด้วยรอบตัวพวกเขายังมีแต่ท้องฟ้าและน้ำทะเลเหมือนเดิม

“แล้วอากาศวันนี้ก็แดดเปรี้ยงเหมือนเดิม ไม่มีฝน ไม่มีลมพายุ ถือว่าเป็นข่าวดีได้ไหม”

ดูระยะทางแล้วก็เช็คสภาพอากาศไว้ด้วยเพื่อจะได้รับมือทัน หลังจากที่เมื่อวานเดมิก็อดหนุ่มทั้งสองปรับความเข้าใจกันได้แล้ว วันนี้แมคเคนซีจึงเพิ่มหน้าที่ให้ตนเองด้วยการช่วยกันกับชาร์ล็อตตรวจเช็คเสบียงที่เหลืออยู่ และจัดสรรให้เพียงพอต่อจำนวนวันที่พวกเขายังต้องใช้ชีวิตอยู่กลางทะเล

ดีนยังคงยืนกรานไม่อยากให้เขาออกไปตากแดดที่ด้านนอกแพนาน ๆ แมคเคนซีจึงออกไปคุยกับอีกฝ่ายเป็นครั้งคราวและคอยส่งน้ำให้ดีนดื่มเพื่อทดแทนเหงื่อที่ร่างกายเสียไป


“ดีสิ ทะเลสงบดีกว่ามีพายุอยู่แล้ว ฉันว่าพ่อต้องแอบช่วยพวกเราอยู่แน่ ๆ ไม่งั้นคงไม่ล่องแพได้ราบรื่นแบบนี้ แต่อย่างน้อยขอให้มีฝนตกตอนกลางคืนสักหน่อยก็น่าจะ—...”

เปาะแปะ…

พูดไม่ทันขาดคำหยาดน้ำฝนก็กลั่นลงมาจากฟากฟ้า เขาขอให้ฝนตกตอนกลางคืนไม่ใช่ตกช่วงเดินทางแบบนี้สักหน่อยนึง!

“เหวอ มาตกอะไรตอนนี้!”

ดีนรีบผิวปากเรียกไข่อวบที่มาแสตนบายรออยู่แล้วอย่างรู้งาน ฝนตกแบบนี้เขาควรเก็บใบเรือลงไม่ให้สายฟ้าผ่าลงมาด้วย ใช้พลังงานลมไม่ได้แล้ว จากนี้จึงต้องพึ่งพากำลังของวาฬเพชฌฆาตเพียงอย่างเดียว

“ไปเลยไข่อวบ วันนี้ก็ขอฝากแกด้วยนะ” ฝ่ามือหนาตบไปที่หางของวาฬหลังจากที่เขาผูกเชือกกับมันเสร็จ

“วี้~~!” oO(รับแซ่บ!)

จากนั้นดีนก็รีบมุดกลับเข้ามาอยู่ในแพก่อนที่ฝนจะตกหนักไปกว่านี้


หลังจากที่ดีนรีบออกไปจัดการกับใบเรือและวาฬเพชฌฆาตด้านนอกแล้ว แมคเคนซีก็มองแอปฯ พยากรณ์อากาศในจอสมาร์ทโฟนตนเองอีกครั้ง ภาพพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งลอยอยู่เหนือก้อนเมฆยังคงปรากฏเด่นหราไม่เปลี่ยนแปลง หรือบางทีมันอาจเป็นเรื่องปกติของคำพยากรณ์ ที่บางครั้งผลลัพธ์ก็ไม่ได้ออกมาตรงร้อยเปอร์เซ็นต์ เหมือนภารกิจต่าง ๆ ที่เหล่าเดมิก็อดกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้าบ้าง

บุตรเทพีแห่งม่านหมอกมองออกไปด้านนอกแล้วยักไหล่เล็กน้อย ดีแค่ไหนแล้วที่ฝนตกเพียงแค่ปรอย ๆ ไม่ตกหนักถึงขั้นมีพายุจนกระทบกับการเดินทางของพวกเขา

“ข้างนอกโอเคไหม”

แมคเคนซีถามเมื่อดีนกลับเข้ามาข้างใน


“โอเค ฝนไม่ตกหนักมาก เหมือนเทพเจ้าฉี่ใส่”

ดีนตอบ เม็ดฝนที่เปียกตามเสื้อผ้าค่อย ๆ จางไปจนกลายเป็นแห้งสนิท 
คำเปรียบเปรยของดีนทำให้แมคเคนซียิ้มฝืดเมื่อนึกภาพตาม ว่าแต่เขาจะนึกภาพตามทำไมกันนะ

“ถ้าไม่มีพายุมาก็คงดี อย่างน้อยวันนี้พวกเราก็จะได้เย็นชุ่มฉ่ำกันนิดหน่อย แต่จากนี้ไปพวกเราทำอะไรกันดีล่ะ?”

พอว่างงานจากการคุมหางเสือและเรือใบก็กลายเป็นไม่มีอะไรทำเสียอย่างนั้น


“นั่นสินะ อยู่แต่ในแพแบบนี้ไม่มีอะไรทำเลย นอกจากเล่นมือถือ”

จะให้นั่งจ้องหน้ากันไปเรื่อย ๆ สามคนก็ดูจะแปลก ๆ ไปหน่อย ข้าวของที่ใช้ฆ่าเวลาอย่างหนังสือ บอร์ดเกม หรือเกมพกพาอะไรก็ไม่มี แค่สัมภาระที่เตรียมมาแต่แรกเริ่มก็แทบเต็มกระเป๋าแล้ว

“บรรยากาศแบบนี้…เล่าเรื่องคุณผีกันไหมคะ”

ธิดาเฮคาทีเสนอขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนบอกให้เหล่าพี่ชายเล่าเรื่องชีวิตประจำวันให้ฟัง


“ระ…เรื่อง ผะ.. ผีเหรอ”

จู่ ๆ ดีนก็เขยิบไปจนชิดกับแมคเคนซี

“หมายถึงพวกตำนานเมืองเรื่องเล่าแฟนตาซีใช่มะ ฮ่า ๆ ได้นะ ฉันพอรู้อยู่”

แน่ล่ะ คงต้องเป็นตำนานเมืองเพราะตามความเชื่อ (ปลอบใจตัวเอง) ของบุตรแห่งโพไซดอน ผีเป็นแค่พลังงานบางอย่างที่หลงเหลือจากสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้ว แม้อสุรกายจะมีจริงแต่ผีจะมีจริงไม่ได้เด็ดขาด!!!


“ตำนานเมืองเหรอคะ น่าสนใจจัง งั้นให้พี่ดีนเริ่มเล่าคนแรกเลยค่ะ”

ชาร์ล็อตมีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที เหมือนกำลังจะได้ฟังเรื่องซุบซิบของชาวบ้าน ส่วนแมคเคนซีก็นิ่งเงียบไปตั้งแต่ที่น้องสาวเสนอกิจกรรม ซึ่งเขาไม่อยากบอกเลยว่า ช่วงหลัง ๆ มานี่เขาเริ่มเห็นสิ่งที่ตนเองไม่เคยเห็นบ่อยครั้งขึ้น แต่ก็จำต้องเก็บเอาไว้ในใจเพียงคนเดียว เพราะรู้ดีว่าคนรักของตนเองกลัวผีเสียยิ่งกว่าอะไร


“ฉันคนแรกเลยเหรอ อะ..โอเค”

บุตรแห่งโพไซดอนชี้หน้าตัวเองเลิ่กลั่ก เขารักในทฤษฎีสมคบคิดและมนุษย์ต่างดาว แต่บอกเลยว่าเรื่องผีนี่ไม่สันทัดเลยจริง ๆ สงสัยต้องงัดตำนานเรื่องผีแถวบ้านมาโม้สักหน่อย

“เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่ซานอันโตนิโอบ้านเกิดฉันเอง ที่นั่นนายก็เคยไปแมคซี่ ริเวอร์วอล์คน่ะ… ที่ตอนนั้นนายกับเชมี่โดนน้ำสาดใส่เปียกเลยต้องไปหาเสื้อใส่ใหม่ แล้วฉันก็เจอกับต้นตอของปัญหา”


“อา…ใช่ ที่พวกเราพาเชมัสไเดินเล่นกันใช่ไหม”

แมคเคนซีพยักหน้ารับ เขาจำได้ว่าที่นั่นเป็นคล้ายตลาดนัดและมีของวางขายเต็มไปหมด แถมยังเจออสุรกายระหว่างที่แยกกับดีนด้วย ตอนนั้นแมคเคนซีเพิ่งได้รับคทาเวทจากผู้เป็นมารดามาใหม่ ๆ และยังไม่รู้วิธีใช้ เขาเกือบใช้มันฟาดหัวชูปาคาบราไปแล้ว และนั่นก็เป็นที่มาที่เขาโดนเทพีแห่งมนตราปรับทัศนคติไปหนึ่งยกเมื่อกลับถึงค่าย

ที่เขาจำได้ก็มีประมาณนี้

“อย่าบอกนะว่า…นายเจอผีตอนกลางวันแสก ๆ?”


“ฟังให้จบก่อนแล้วกันเดี๋ยวก็รู้ว่าที่ฉันเจอคือผีหรือเปล่า”

ดีนบอก ก่อนที่เขาจะหันกลับมาทางชาร์ล็อตที่รอฟังเรื่องผีตาแป๋ว… ‘ให้ตายสิ ทำไมเด็กผู้หญิงที่น่ารักขนาดนี้ถึงชอบฟังเรื่องผีได้ฟะ!’

“เมืองที่ฉันอยู่ขึ้นชื่อในเรื่องสยองขวัญอยู่แล้ว ถึงขนาดว่ามีโกสต์ทัวร์ตามจุดต่าง ๆ ของเมืองด้วยนะ น่าเสียดายที่ช่วงนั้นมีอีเทอร์นัลซันไชน์เกิดขึ้นพอดี ธุรกิจทัวร์ผีคงเจ๊งระนาว… เอาล่ะกลับมาเข้าเรื่องดีกว่า ผีที่ฉันจะเล่าคือวิญญาณสาวช้ำรักที่ริเวอร์วอล์ค”

ดีนกดเสียงต่ำลงให้บรรยากาศชวนน่าสยอง กอปรกับฝนตกพรำ ๆ เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกหนาวขึ้นมาเสียเอง

“ริเวอร์วอล์คก็เป็นอีกที่ในเมืองซานอันโตนิโอที่เขานิยมไปทัวร์ผีกัน จุดยอดฮิตที่สุดเลยคือบริเวณใต้สะพานหน้าร้านแผ่นเสียงเพลงเก่า เขาว่ากันว่ามีหญิงสาวช้ำรักกระโดดสะพานฆ่าตัวตายเพราะถูกคนรักทิ้งไป วันดีคืนดีจะเห็นร่างเงาสีขาวของผู้หญิงยืนอยู่ใต้สะพาน เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นทุกครั้งเมื่อบทเพลงรักอกหักถูกเปิดขึ้น”

ดีนเงียบไปหลายอึดใจจนชาร์ล็อตสงสัย และนั่นแหล่ะคือสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการ

“น่าสงสารเธอจัง พอจะรู้เรื่องของเธอไหมคะ บางทีถ้ารู้ที่มาที่ไปหนูอาจช่วยคุยกับเธอให้หายยึดติดได้”

ธิดาเฮคาทีกล่าวห่วงใยผีราวกับว่าเธอเป็นหมอชาร์ล็อตทูตสื่อวิญญาณ

“แน่นอนว่ารู้อยู่แล้ว ฉันรู้ที่มาที่ไปทั้งหมดในวันที่พาแมคซี่ไปทัวร์ เอ่อ… เธออาจจะไม่รู้ ช่วงวันขอบคุณพระเจ้าปีที่แล้วฉันกับแมคซี่ไปหาครอบครัวที่ซานอันโตนิโอน่ะ แถมพาเดมิก็อดกลับมาอีกคนนึงด้วยชื่อเชมี่ เดี๋ยวกลับไปเธอก็รู้จัก”

บุตรโพไซดอนพาออกทะเลอีกรอบก่อนเขาจะวกกลับมาที่เฉลยของเรื่องผี

“ความจริงผีสาวที่ทุกคนเข้าใจเธอคือไนแอดผู้พิทักษ์แม่น้ำซานอันโตนิโอในเวิ้งของริเวอร์วอล์คน่ะ ส่วนชื่อ… เอิ่ม ลืมไปแล้วแฮะ เธอมักจะอินกับเพลงรักเพราะว่าเคยต้องลาจากคนรักมาก่อน เลยชอบออกมาร้องไห้ฮือ ๆ ตอนเพลงรักเปิดขึ้นทุกครั้ง แล้วคนที่เห็นก็เข้าใจว่าเธอเป็นผีสาวช้ำรัก… ซึ่งก็คงจะถูกครึ่งนึงล่ะมั้ง”


“ที่แท้ก็ไนแอดนี่เอง…”

พอฟังจบชาร์ล็อตก็พึมพำเสียงอ่อน ติดจะเสียดายนิดหน่อยที่สุดท้ายแล้วเรื่องที่ดีนเล่าก็ไม่ใช่เรื่องสยองขวัญ

“งั้นนายก็เจอไนแอดที่ริเวอร์วอล์ค? ตอนนั้นฉันกับเชมัสไม่ได้อยู่ด้วยเหรอ…หรือว่านายเจอตอนที่ฉันกับเชมัสแยกไปซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยน”

ส่วนแมคเคนซีก็เกิดสงสัยขึ้นมา เพราะดีนไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังมาก่อน


“ใช่ที่รัก ขอโทษนะที่ตอนนั้นฉันไม่ได้เล่าให้ฟังน่ะ แบบว่ามันจิ๊บจ๊อยจัดเหมือนกับเจอคนรู้จักกลางทาง ฉันเจอไนแอดตอนที่นายแยกกันไปซื้อเสื้อผ้ามาเปลี่ยน ยังได้น้ำตากลับมาด้วยน่ะ เธอคงยังสะเทือนใจเรื่องคนรักมาก”

และดีนก็รู้ดีถึงสาเหตุว่าอะไรทำให้แมคเคนซีกับเชมัสถูกน้ำปริศนาสาด (ความจริงแล้วเขาก็เปียกแต่มีพรกันคุ้มกันเปียกช่วย) ฉะนั้นจึงรีบเปลี่ยนเรื่องหนีดีกว่า

“ไม่เป็นไรเลย ยังดีที่เจอแค่ไนแอด อย่างน้อยนายก็ไม่เจ็บตัว”

แมคเคนซีรีบบอกทันที ส่วนเรื่องที่เจอชูปาคราบาเขาเคยเล่าให้ดีนฟังไปแล้วเพราะมันเกี่ยวเนื่องกับความปลอดภัยของเชมัสด้วย อีกฝ่ายที่ตอนนั้นรับหน้าที่เป็นทั้งครูสอนพิเศษและผู้ปกครองระยะสั้นจึงควรรับรู้ไว้

“แล้วต่อไปใครเล่าดี หรือสองพี่น้องต้องเป่ายิงฉุบกัน?”


“หนูอยากฟังของพี่แมคบ้างค่ะ พวกเราสื่อสารกับคุณวิญญาณได้ แต่ทำไมเหมือนพี่แมคไม่เคยเห็นเลยล่ะคะ”

ชาร์ล็อตยกมือแล้วตั้งข้อสังเกต ตั้งแต่ที่ร่วมเดินทางกันมาก็เป็นเวลาเกือบครึ่งเดือนแล้ว และวันเวลาเหล่านั้นเธอก็เห็นภูติผีวิญญาณมากมายเต็มไปหมด แต่พี่ชายของเธอกลับดูนิ่งเฉยไม่ต่างอะไรกับคนไร้สัมผัสที่หกจนเด็กสาวสงสัยว่าหรือผู้เป็นมารดาจะไม่ได้ส่งมอบทักษะพิเศษนี้ให้บุตรชายอย่างแมคเคนซีกันนะ

“เอ่อ…จะว่ายังไงดี ก็ไม่เชิงว่าไม่เคยเห็นหรอก แต่ถ้าทักครั้งนึงแล้ว…คงไม่ใช่ว่าจะโดนรุมทักทายกลับหรอกนะ?”


“ห๊ะ!?”


แมคเคนซีเว้นช่วงประโยคหลังสุดไว้แล้วเหลือบมองดีนเล็กน้อยพยายามพูดอ้อม ๆ ให้อีกฝ่ายไม่เกิดอาการขวัญหนีดีฝ่อไปซะก่อน แต่ก็สงสัยอย่างนั้นจริง ๆ บ่อยครั้งที่เขาเห็นน้องสาวยิ้มให้ใครสักคนหรือพูดคนเดียว เมื่อมองตามไปก็มักจะเห็นร่างโปร่งแสงอยู่กับเธอเสมอ จนอดคิดไม่ได้ว่าหากพวกวิญญาณรู้ว่ามีผู้ที่สามารถสื่อสารด้วยได้เพิ่มมาอีกคน ชีวิตอันสงบสุขของเขากับดีนจะเป็นยังไง

ดังนั้น การแสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นจึงน่าจะดีต่อตัวเองที่สุด

“อืม…ก็อาจเป็นได้นะคะ พวกเขาค่อนข้างขี้เหงาค่ะ พอมีใครในโลกมนุษย์ที่พอจะคุยด้วยได้ก็เลยอยากหาเพื่อนคุย แต่พวกเขาใจดีกันหมดเลยนะคะ อย่างกลุ่มที่หนูเจอกลางทะเลตอนพวกพี่ลงไปในน้ำกันเมื่อวาน—”


“มะ.. หมายความว่าไงนะ?”

กลุ่มที่เจอเมื่อวานตอนที่พวกเราลงไปใต้น้ำ… ‘อะไร๊!!!’ บุตรเจ้าสมุทรขยับเข้าไปกระแซะเกาะแขนคนรักไว้ทันที


“เดี๋ยว ๆ ตาพี่เล่าแล้วใช่ไหม ให้พี่เล่าก่อนดีกว่า”

แมคเคนซีรีบพูดแทรก เขารู้ว่าน้องสาวจะพูดเรื่องอะไร ภาพซากเรืออัปปางใต้ก้นมหาสมุทรที่ดีนกับเขาเจอเมื่อวานผุดขึ้นมาทันที ซึ่ง ‘กลุ่ม’ ที่ชาร์ล็อตพูดถึงก็คงไม่พ้นมาจากเรือลำนั้น เขายังไม่อยากให้เรื่องสยองขวัญมาทำลายภาพความสวยงามและความโรแมนติกในใจของดีน

“อุ๊ย จริงด้วย งั้นฟังเรื่องของพี่แมคก่อนดีกว่าค่ะ”

ยังดีที่ชาร์ล็อตคล้อยตามไปด้วย คนเป็นพี่จึงค่อยเบาใจลงหน่อย

“งั้น…เอาเป็นเรื่องที่จำได้ไม่เคยลืมแล้วกัน เรื่องนี้เกิดตอนที่พี่กับดีนไปลอนดอน…ตอนนั้นดีนไปทำภารกิจปราบพยศเพกาซัสน่ะ พี่เลยตามกลับไปบ้านเกิดด้วย แล้วพวกเราก็ไปทำภารกิจที่ประเทศไทยต่อ…”

“เอ๋ พวกพี่ไปอังกฤษมาด้วยเหรอค่ะ ตอนนั้นหนูออกไปทำภารกิจแล้วแน่เลย”

ดวงตาสองสีของชาร์ล็อตฉายแววตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด แล้วก็เงียบไปเป็นเชิงรอให้แมคเคนซีเล่าต่อ

“อืม…น่าจะใช่นะ พวกเราไปเมื่อช่วงเดือนกรกฎาปีก่อน ใช่ไหมดีน….”

หนุ่มอังกฤษหันไปถามคนรักที่นั่งอยู่ข้างกันเพื่อขอคำยืนยันช่วงเวลา


“อืม… ใช่”

ดีนตอบรับสีหน้าซีดเผือด แล้วไหงแมคเคนซีถึงได้เล่าเรื่องผีที่เกี่ยวกับตอนที่พวกเขาไปเที่ยวกันล่ะ อย่าบอกนะว่าโรงแรมหรูใจกลางเมืองลอนดอนที่พวกเขาไปพักกัน จะมี… ผะ ผะ ผี!?


เมื่อได้รับคำยืนยันจากดีนแล้วแมคเคนซีก็เล่าต่อ

“มีวันนึงพวกเราไปเที่ยวที่หอคอยลอนดอน ที่นั่นเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ทั้งเคยเป็นที่อยู่ของราชวงศ์ในอดีต รวมไปถึงใช้กักขังและเป็นลานประหารนักโทษชั้นบรรดาศักดิ์ แต่ตอนนี้กลายเป็นที่เก็บรวบรวมทรัพย์สินมีค่าของราชวงศ์รวมถึงอาวุธต่าง ๆ ไปแล้ว”

เขาเริ่มเกริ่นนำถึงความสำคัญของสถานที่ก่อนแล้วค่อยมาเล่าส่วนต่อไป

“ช่วงแรกเราก็เดินตามกลุ่มที่มีไกด์นำไปตามจุดต่าง ๆ อยู่หรอก จนมาถึงจุดที่ใช้เป็นลานประหารในอดีต แล้วฉันก็เห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวคล้ายชุดนอนคนนึงเดินสวนไป ตอนนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจตัวเองเหมือนกัน เลยเดินตามเธอไป รู้ตัวอีกทีก็เข้าไปในเขตที่เคยเป็นคุกเก่าแล้ว ฉันเห็นว่าไม่มีคน แล้วผู้หญิงคนนั้นก็หายไปไหนแล้วไม่รู้เลยจะเดินกลับออกไปหาดีน แต่อยู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็เดินผ่านหน้าฉันเข้าไปในห้องนึง พอฉันมองเข้าไปในห้องเท่านั้นแหละ…”

แล้วแมคเคนซีก็เงียบไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้น ก่อนจะเริ่มเล่าส่วนที่เป็นจุดไคลแมกซ์ของเรื่อง

“ฉันก็เห็นผู้หญิงคนนั้น….แต่เธอไม่มีหัว แล้วเสื้อผ้าของเธอก็เปื้อนเลือดไปหมด เห็นแค่นั้นฉันก็รีบเผ่นออกมาแล้ว จนไปเจอดีนที่กำลังคุยกับเพกาซัสอยู่บนหลังคาหอคอย  เรื่องก็มีประมาณนี้ล่ะ”


“อย่างน้อยก็ไม่ใช่เรื่องผีที่โรงแรม…”

ดีนยกมือขึ้นลูบอกอย่างโล่งใจขึ้นมาได้นิดหน่อย ด้วยความเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ (เพราะกลัว) เขาจึงพยายามแย้งเพื่อหาเหตุผลมาหักล้าง

“แน่ใจใช่ไหมว่าเป็นผีจริง ๆ น่ะที่รัก หอคอยลอนดอนขึ้นชื่อเรื่องนั้นอยู่แล้วคงไม่ใช่แบบว่า… โชว์?”


“ฉันก็อยากให้เป็นแบบนั้น แต่คงไม่มีใครอนุญาตให้ทำโชว์แบบเรียกเสียงกรี๊ดของผู้ชมในเขตพระราชฐานเก่าหรอกใช่ไหม…”

แมคเคนซีหันมาบอกดีนตามข้อเท็จจริงของชาวอังกฤษที่แม้ผู้คนจะสามารถวิพากษ์วิจารณ์ราชวงศ์ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความเคารพยำเกรงอยู่ อีกอย่าง ถ้าเป็นโชว์จริง ๆ นั่นก็คงเป็นการแสดงพิเศษสำหรับเขาคนเดียว

“ฉันลืมบอกไปว่า ตอนที่ฉันไปตรงนั้นไม่มีใครเลยสักคน”

พอนึกถึงบรรยากาศตอนนั้นแล้ว ขนแขนก็ลุกชันขึ้นมาจนเขาต้องลูบแขนตัวเองป้อย ๆ

“โชคดีนะที่ฉันไม่ได้ไปตรงนั้นด้วย…”

ดีนเม้มปากจากนั้นหันไปทางชาร์ล็อต ความจริงควรพูดว่า ‘ต่อไปตาเธอแล้วชาร์ล็อต’ แต่ดีนอยากตะโกนออกมาว่า ‘พอเถอะชาร์ล็อต!’ มากกว่า

ทว่า…

“มีเกาะอยู่ตรงนั้น!?”

ดีนชี้นิ้วออกไปยังทางเข้าเต็นท์ ภาพที่เห็นค่อนข้างเลือนลางจากไอหมอกที่ปกคลุมท่ามกลางทะเลในวันฝนพรำ เบื้องหน้าปรากฏเกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่งเหมือนในการ์ตูนแก๊กติดเกาะท้ายหนังสือพิมพ์ มันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนคิดว่าถ้าไม่หักเลี้ยวตอนนี้มีหวังต้องชนเข้าแน่ ๆ

“ไข่อวบระวัง!”

โป๊ก!

แต่ไม่ทัน… วาฬเพชฌฆาตลากแพเต็มกำลังชนเกาะปริศนาจนหัวปูด

“วี้!?” oO(โอ๊ยย อะไรเนี่ย!?)

แปลกมากขนาดสัตว์ทะเลอย่างออร์ก้าที่มีคลื่นโซนาร์สแกนไกลได้หลายสิบกิโลเมตรยังหลบเกาะ ๆ นี้ไม่พ้น อีกอย่าง… พวกเขาเพิ่งจะเล่าเรื่องผีกันได้ไม่นาน ก่อนหน้านี้ยังเห็นว่าผืนน้ำยังโล่งโจ้งอยู่เลย แล้วเกาะนี่มาอยู่ตรงหน้าได้อย่างไร…

‘ระ… หรือว่านี่จะเป็นเกาะผีสิง!?’


หลังจากที่ดีนชี้ไปยังเกาะปริศนา ตามมาด้วยไข่อวบที่ว่ายน้ำชนเกาะเข้าไปจัง ๆ จนคนในเต็นท์ล้มระเนระนาดด้วยไม่ทันตั้งตัว การตั้งวงเล่าเรื่องสยองขวัญจึงจำต้องหยุดไว้ก่อนไปโดยปริยาย พอขยับตัวกลับมานั่งดี ๆ ได้แล้ว แมคเคนซีก็มองตามออกไป

“เกาะจริง ๆ ด้วยสิ แปลกชะมัด มีเกาะผุดขึ้นมาตรงนี้ได้ยังไง”


“เอาไงดี เรา… เราควรไปสำรวจไหม?”

บุตรเจ้าสมุทรกล่าวเสียงสั่น เขามองเกาะนั้นด้วยความระแวง

“หนูรู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ…”

ชาร์ล็อตเอ่ยขึ้น เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าเกาะตรงหน้าคืออะไร แต่มันช่างเป็นสัมผัสที่คุ้นเคย ราวกับว่า ‘ความตาย’ กำลังอยู่ ณ เบื้องหน้านี้

ระหว่างนั้นเองไอหมอกที่ปกคลุมก็จางลงไม่เหลือแม้แต่เม็ดฝนโปรยปราย ทัศนวิสัยเบื้องหน้าชัดเจนขึ้นจนเห็นว่าเกาะนี้มีต้นมะพร้าวเพียงหนึ่งต้น และร่างเงาของคน ๆ หนึ่งที่กำลังตกปลา เหมือนกับเกาะร้างในการ์ตูนแก๊กไม่มีผิด มันควรตลกแต่กลับรู้สึกสยองขวัญอย่างไรชอบกล


“คงไม่ได้คิดจะไปทักทายคนบนเกาะนั่นหรอกใช่ไหม”

พูดถึงลางสังหรณ์แปลก ๆ ของชาร์ล็อต แมคเคนซีเองก็ไม่ต่างกัน การที่มีคนมาอยู่เกาะกลางมหาสมุทรเช่นนี้ช่างดูไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย เขามองร่างตรงนั้นอย่างไม่ค่อยวางใจนัก


จากประสบการณ์ของเดมิก็อดพวกเขาควรจะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร? หากเป็นเกมอาร์พีจีที่มีเนื้อเรื่องเป็นทางตรง นั่นคงเป็นเอ็นพีซีที่ต้องแวะไปทักทายอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ฉัน.. ฉันคิดว่าเราควรต้องทัก แต่ว่า… อาจจะเป็นอสุรกายก็ได้ เพราะนั้นเตรียมตัวกันให้ดี”

ดีนกระซิบบอกพรรคพวกทั้งสองให้เตรียมตัวและเตรียมใจ ในฐานะที่ดีนเป็นหัวหน้าทีมคงเป็นเขาที่ต้องนำสินะ…

“วี้” oO(เกาะอะไรก็ไม่รู้ ไปต่อดีกว่า)

แล้วเจ้าไข่อวบก็ตีวงกระทันหันทำให้แพลอยห่างออกจากเกาะไป…

“เดี๋ยว ไม่ใช่แบบนี้สิ ไข่อวบหยุดก่อน!!!”


“อุ๊บ!”

ยังไม่ทันจะได้ลุกหรือก้าวขาลงจากแพ ทีมทำภารกิจก็กลิ้งไปกองรวมกันอยู่ตรงด้านหลังแพจากการดริฟตัวทิ้งโค้งของวาฬเพชฌฆาตตัวยักษ์ แล้วพอได้ยินเสียงของบุตรเจ้าสมุทร มันก็เบรคเอี๊ยดทันทีจนเหล่าเดมิก็อดไถลตัวมาทับกันตรงด้านหน้าแพ ตอนนี้พวกเขาเหมือนกำลังถูกเขย่าไปมาไม่มีผิด

“วี้~~” oO(นุดอยากลงไปเที่ยวเกาะเหรอ แล้วไม่บอกตั้งกะแรก)


บอกตามตรงในสถานการณ์แบบนี้ยังไม่รู้เลยว่าควรจะจากแพยางไปดีไหม

“แป๊บนะไข่อวบ ขอพวกเราปรึกษากันแป๊บนึง”

ดีนยันตัวขึ้นมาก่อนจะชะโงกหน้าบอกวาฬเพชฌฆาตในน้ำเค็ม มันตอบรับด้วยการพรูน้ำพุขึ้นมาเป็นสาย จากนั้นชายหนุ่มก็หันกลับมาปรึกษากับทีมก่อน

“เอาไงดีล่ะทีนี้ ฉันรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล มันไม่ควรมีเกาะขายหัวเราะนี้โผล่ขึ้นมากลางทะเลในตำแหน่งนี้ แต่นี่มันเหมือนเหตุการณ์บังคับให้พวกเราต้องลงไปหาผู้ชายคนนั้นเลย”

ดีนบุ้ยปากไปทางเงาปริศนาที่ยังคงตกปลาแบบไม่สนสี่สนแปด


“อย่าว่าแต่เกาะเลย ฉันว่าไม่ควรมีคนมาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ”

แมคเคนซีที่ปรายตามองไปยังบุคคลผู้เป็นเป้าหมายในการสนทนาก็ลดเสียงลงราวกับกลัวคนผู้นั้นจะได้ยินเข้าทั้งที่อยู่ห่างไกลกันเป็นร้อยเมตร

“ชาร์ล็อตเองก็บอกว่าสังหรณ์ใจแปลก ๆ นี่ใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ แต่ว่าเขาไม่ใช่วิญญาณนะคะ พี่ดีนเองก็เห็นแปลว่าไม่ใช่แน่ ๆ แต่หนูรู้สึกว่าเขาไม่เหมือนคนติดเกาะธรรมดาเลย”

ชาร์ล็อตพยักหน้ารับแล้วบอกเล่าความคิดตนเอง

“ถ้ามันเป็นไฟลท์บังคับจริง ๆ พวกเราคงต้องไปดูกันสักหน่อย แต่เพื่อความไม่ประมาท พวกเราเอาอาวุธไปด้วยดีไหม”

หากนี่คือเหตุจำเป็นจริง ๆ พวกเขาคงเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเป็นคนที่กำลังลำบากพวกเขาอาจช่วยเหลือได้ แต่หากเป็นอสุรกายก็จะได้รีบกำจัดให้จบ ๆ ไป พวกเขาจะได้เดินทางกันต่อเสียที


“เอาจริงใช่ไหมเนี่ย”

แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น เพราะเหมือนว่าถ้าไม่ลงไป ‘เซย์ฮาย’ ก็คงหลุดจากเวิ้งน้ำปริศนานี้ไปไม่ได้

“ไข่อวบพวกเราจะลงไปดูที่เกาะนั้นสักหน่อย แกช่วยรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”

“วี้~~” oO(รับแซ่บ) ออร์ก้าโบกครีบตอบกลับ

ดีนมองระยะห่างระหว่างแพและเกาะ มีลุ้นว่าจะขึ้นเกาะได้ด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียวแล้วผ่าน ซึ่งคำว่า ‘ลุ้น’ ก็หมายความว่าพวกเขามีโอกาสที่จะตกน้ำได้ด้วยเช่นกันหากแพเคลื่อน ซึ่งมันต้องเคลื่อนแน่ ๆ จากแรงผลักตามกฎฟิสิกส์

“แมคซี่ ฉันคิดว่าพวกเราต้องใช้ม้าน้ำกระเป๋ากันอีกรอบ”


“เอาสิ เอ่อ…มันคงไม่หวาดเสียวเหมือนคราวก่อนใช่ไหม”

แมคเคนซีหยิบม้าน้ำกระเป๋าจากในกระเป๋ากางเกงส่งให้ดีน พอนึกถึงก่อนหน้านั้นที่ฟองน้ำพาพวกเขากระเด้งกระดอนกันกลางทะเลแล้วสองพี่น้องสายเลือดแห่งเฮคาทีก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน


“ไม่อยู่แล้ว”

ดีนรับม้าน้ำกระเป๋ามาจากนั้นขยับออกไปที่บันไดแพ ก่อนจะก้าวขาลงไปในพื้นสมุทรเขาก็ใช้ม้าน้ำกระเป๋าเปิดฟองให้ครอบตัวเองเอาไว้ สองมือดันดันฟองไปถึงฝั่ง มันไม่ต่างอะไรกับเล่นเดินบอลน้ำแสนสนุกที่สวนน้ำเลย แต่ในเวลานี้ไม่ควรจะมาสนุกสิ…

“เอาล่ะ ต่อไปตาใคร หรือจะมาพร้อมกันเลยสองพี่น้อง”


นักเวททั้งสองมองหน้ากันแล้วก็ตัดสินใจได้ในทันที

“พร้อมกันเลย”

“พร้อมกันค่ะ”

แต่คำตอบยังพร้อมใจกันขนาดนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาเข็ดขยาดกับประสบการณ์การอยู่ในบอลฟองน้ำมากแค่ไหน อย่างน้อยหากใช้มันได้คล่องแล้ว ต่อไปจะแยกกันก็คงไม่มีปัญหา

เมื่อสองพี่น้องจอมเวทตกลงกันได้แล้วดีนก็ยิงฟองน้ำขนาดใหญ่ครอบคลุมทั้งสองไว้ด้วยกัน อาจเป็นเพราะเวลานี้คลื่นลมค่อนข้างสงบหลังจากที่ฝนเพิ่งตกไป พวกเขาจึงค่อย ๆ ผลักบอลฟองน้ำแล้วเดินมาถึงเกาะได้อย่างไม่ยากลำบากนัก


รวมทีมกันครบก็ถึงช่วงเวลาที่ยากลำบาก ดีนกลืนน้ำลายเหนียวลงคออึกใหญ่ ในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มผู้รับคำพยากรณ์ของภารกิจนี้มา ก็ต้องเป็นผู้นำที่เข้าไปเจรจากับชายปริศนาคนนั้นด้วย

แม้มีผู้มาเยือนไม่ทราบฝ่ายเข้ามาใกล้ ทว่าร่างสูงในสายหมอกไม่ได้มีท่าทียี่หระใด ๆ ทั้งสิ้นแสดงออกมา พูดให้ถูกควรเป็นไม่ถูกมองเห็นในสายตาเลยมากกว่า ราวกับว่าเดมิก็อดทั้งสามเป็นเพียงมดปลวกตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ควรค่าแก่การเสียเวลาปรายตามอง

กลิ่นอายของความตายแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งเกาะจนแม้แต่บุตรเจ้าสมุทรที่ไม่มีสัมผัสพิเศษยังรู้สึกได้ ความอึดอัดและความไม่สบายใจนี้ทำให้เขาอยากวิ่งไปหลบหลังแมคเคนซี แต่ขนาดดีนที่ไม่มีสัมผัสที่หกยังรู้สึกกดดัน แล้วสายเลือดเทพใต้พิภพจะจับความเข้มข้นนั้นได้มากแค่ไหนกันนะ

“ร่องรอยของวิญญาณ…เยอะมากเลย”

ธิดาเฮคาทีเอ่ยออกมาเสียงเบาหวิว เมื่อเห็นไอวิญญาณนับร้อยพันห้อมล้อมชายชุดดำคนนั้นอยู่ ถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่เดมิก็อดสุดโหดที่พรากเอาดวงวิญญาณของผู้คนไปมากมาย ก็ต้องเป็นเทพใต้พิภพสักองค์อย่างไม่ต้องสงสัย ทว่า.. จะเป็นเทพองค์ไหนกันล่ะ

“พี่แมคคะ หนูว่าคน ๆ นี้… อาจจะเป็นเทพเจ้า”

น้องสาวกระซิบบอกพี่ชาย เสียงนั้นเบาจนส่งไปไม่ถึงดีนที่เดินนำอยู่เบื้องหน้า ทว่าชายชุดดำที่อยู่ห่างไปเกือบสิบเมตรคนนั้นหันหน้ามามองเธอด้วยแววตาคมกริบอันเย็นยะเยือก ทว่าไร้จิตสังหารหรือจุดประสงค์มุ่งร้าย


“เทพ…งั้นเหรอ”

เมื่อหลุบตาลงมองน้องสาวก็เห็นว่าเธอก้มหน้าก้มตาราวกับกำลังหลบอะไรบางอย่าง จนเมื่อดวงตาสีฮาเซลสบเข้ากับชายผู้นั้น ชั่วแวบหนึ่งเขารู้สึกหนาวเข้าไปจนถึงกระดูกเหมือนวิญญาณถูกดึงออกจากร่าง บรรยากาศของคนคนนี้ดูมืดมน กดดัน น่าเกรงขามและมีอำนาจ แตกต่างจากเทพอื่นที่เคยเจอ

ไม่สิ…พอคิดดูอีกทีแล้วก็ให้ความรู้สึกคล้ายกับผู้เป็นมารดาของตนอยู่ แต่บรรยากาศไม่ชวนให้อึดอัดขนาดนี้

ม่านหมอกตรงหน้าอาจพรางร่างที่แท้จริงของชายตรงหน้าจากเหล่าเดมิก็อดได้ แต่ไม่อาจซ่อนเร้นเหล่าดวงวิญญาณที่วนเวียนอยู่ตรงที่นั้นจากสายเลือดเฮคาทีได้ แน่นอนว่าแมคเคนซีเองก็เห็นไม่ต่างจากน้องสาวของเขา เพียงแต่เขาเลือกที่จะไม่พูดเช่นเดิมด้วยไม่อยากให้ดีนตกใจกลัว

แล้วในที่สุดทั้งสามก็เดินมาอยู่ตรงหน้าของชายปริศนาผู้นั้น ในระยะห่างที่พอดีและปลอดภัย หากเป็นเทพเจ้าดังที่ชาร์ล็อตคาดเดาจริง ๆ ก็ช่างน่าสงสัยเสียเหลือเกินว่า ‘ทำไมถึงต้องเป็นที่นี่’


“ฮาย”

ดีนโบกมือทักทายชายชุดดำที่หันมามองพร้อมกับพยายามปั้นหน้าเป็นมิตรสุด ๆ ทั้ง ๆ ที่ในใจของเขามีแต่ความหวาดระแวงพร้อมที่จะชักอาวุธออกมาจากกำไรอัจฉริยะได้ทุกเมื่อหากอีกฝ่ายแสดงจุดประสงค์ร้าย

แม้ออร่าของบุคคลปริศนาจะซ่อนความน่าอึดอัดเอาไว้ทว่าดีนกลับรู้สึกคุ้นเคยแปลก ๆ เหมือนกับว่าเขาเคยเจอกับคน ๆ นี้มาก่อน บุตรแห่งโพไซดอนนึกอยู่นานว่าเหตุการณ์นั้นคือที่ไหนทว่าเขากลับนึกไม่ออกเลยสักนิดว่าเคยเจอคนหน้าตาแบบนี้ด้วยเหรอ บางทีอาจเป็นเพราะแค่คนตรงหน้ามีหน้าตาคล้ายกับ ‘ลุคส์ อีแวนส์’ ดาราชื่อดังก็เป็นได้

“....”

เงียบไปหลายอึดใจก็ยังคงมีเพียงความเงียบงันจากบุรุษร่างสูงที่ไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย หรือว่าเพราะพวกเขาไม่ได้แนะนำตัวกันก่อนนะ

“คือว่า… พวกเราลอยแพมาจนเจอเกาะนี้น่ะก็เลยลงมาสำรวจสักหน่อยเผื่อเจออะไรเจ๋ง ๆ ถ้าคุณไม่ว่าอะไรพวกเราก็เอ่อ.. ขอตัวไปก่อนนะ”

“ความตายใกล้แค่เอื้อม”

ประโยคที่ชายชุดดำเปล่งออกมาทรงพลังจนน่าพรั่นพรึง หนุ่มเท็กซัสแทบเข่าทรุด เขาก้าวถอยหลังกลับมาก้าวนึงจนเกือบจะชนแมคเคนซีที่ยืนอยู่ข้างหลัง


อย่าว่าแต่ดีนที่เกือบเสียหลักเลย แมคเคนซีเองก็ตะลึงงันไปกับประโยคนั้นเช่นกัน ส่วนชาร์ล็อตเองก็ขยับเช้ามาใกล้แล้วกำชายเสื้อพี่ชายร่วมมารดาของเธอไว้แน่นด้วยความกลัว

‘นี่มัน…ประโยคที่ใช้พูดตอนพบกันครั้งแรกงั้นเรอะ’

หากเป็นคนทั่วไป เขาคงคิดว่าเป็นการทักทายที่ช่างเสียมารยาทเหลือเกินตามประสาชชาวเมืองผู้ดีไปแล้ว แต่คนตรงหน้าพวกเขาคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา และการที่จะกล่าวประโยคสั้น ๆ ได้ใจความเช่นนี้ออกมาน่าจะเป็น ‘การเตือน’ เสียมากกว่า

“ดีน…ฉันว่าเรารีบไปกันดีกว่า”

แมคเคนซีกระซิบร่างที่อยู่ด้านหน้าแล้วดึงแขนอีกฝ่ายเบา ๆ


“ฉะ.. ฉันก็ว่างั้น”

ดีนตอบกลับแมคเคนซี หัวคิ้วขมวดเป็นปมด้วยความไม่สบายใจในระดับคูณสิบ กระนั้นเขาก็ทำใจดีสู้เสือตอบกลับไปตามฉบับคนปากเร็ว

“ขอบคุณที่เตือน แต่ผมว่า… พวกเราไม่รบกวนการตกปลาของคุณแล้วดีกว่า”

จากนั้นบุตรโพไซดอนก็รีบหันหลังกลับ เขาแทรกกลางระหว่างแมคเคนซีและชาร์ล็อตจากนั้นก็ดึงแขนทั้งสองจ้ำอ้าวออกมาจากเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ ยิงฟองม้าน้ำให้สายเลือดแห่งเฮคาทีได้กลับอยู่บนแพ

“วี้~~” oO(หาของกินกันเสร็จแล้วเหรอ?)

“แถวนี้ไม่มีอะไรน่ากินหรอก พวกเราเดินทางกันต่อเถอะไข่อวบ”

ออร์ก้าอ้วนถามคำถามแต่ละครั้งไม่พ้นเรื่องกิน ดีนได้แต่ตอบมันไปส่ง ๆ แล้วสั่งสัตว์พาหนะลากแพยางไปต่อในทิศทางที่ถูกที่ควร และเมื่อฝ่าม่านหมอกออกมาได้พวกเขาก็พบกับท้องฟ้ากระจ่างใสไร้ฝนอีกครั้ง ราวกับสถานที่เมื่อครู่เป็นเพียงแค่ความฝัน

“เมื่อกี้นั้นมันอะไรน่ะ? ผู้ชายแปลก ๆ เมื่อกี้ ไหนจะเกาะที่เรดาร์จับไม่ได้อีกต่างหาก…”

ดีนมองออกไปในทิศทางที่เกาะประหลาดเคยตั้งอยู่ ทว่าภาพที่เห็นตรงหน้า บัดนี้มีเพียงท้องน้ำอันกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา

“แล้วเขาจะทำอะไรพวกเราไหม? จู่ ๆ นึกจะโผล่ก็โผล่อย่างกับเอ็นพีซีสำคัญในเควสเนื้อเรื่อง แต่ไม่คิดจะตามพวกเรามาเนี่ยนะ”

ดีนยิงคำถามรัวเป็นชุด มีจุดที่น่าสงสัยตั้งหลายอย่าง ทั้งเกาะประหลาด แล้วยังคำเตือนหรือคำขู่ที่ได้รับมาก็ไม่อาจทราบจุดประสงค์ ถ้าไม่ได้มาร้ายก็ดีไป แต่ว่าบทมีแค่นี้? …น้อยจนงง

“คือว่า… พี่คะ” ชาร์ล็อตที่เงียบไปนานเกริ่นขึ้น “พี่แมคคิดเหมือนหนูไหมว่าท่านผู้นั้น… ถ้าไม่ใช่เทพฮาเดสก็อาจจะเป็นเทพธานาทอส”


“อืม…..”

แมคเคนซีที่นั่งใช้ความคิดอยู่ตั้งแต่กลับขึ้นมาบนแพครางในลำคอเมื่อฟังสิ่งที่ดีนกับชาร์ล็อตถามและพยายามนำข้อมูลที่มีทุกอย่างมาเชื่อมโยงกัน

“ฉันว่าคงไม่ตามมาหรอก ถ้าเขาจะทำอะไรจริง ๆ ก็คงลงมือตั้งแต่พวกเราอยู่ในแพแล้วว่าไหม”

แมคเคนซีหันมาตอบคำถามดีนก่อน

“ส่วนเรื่องที่ว่าเป็นเทพแปลงมาไหม พี่ก็ไม่แน่ใจ ถ้าใช่…เทพที่เกี่ยวข้องกับพวกวิญญาณและความตายจะมีสักกี่องค์”

ซึ่งเทพที่เกี่ยวข้องกับความตายและดวงวิญญาณโดยตรงก็เห็นแต่จะมีเหล่าเทพและเทพีที่อยู่ใต้พื้นพิภพ แต่เทพที่จะเตือนภัยถึงความตายได้อย่างแม่นยำ ก็คงมีเพียงแต่ตามที่ชาร์ล็อตบอก

“ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นเทพธานาทอส พี่ยังไม่เห็นเหตุผลอะไรที่ผู้ปกครองนรกอย่างเทพฮาเดสจะมาเตือนพวกเราถึงที่นี่ นอกซะจาก….”

ดวงตาปรายมองไปยังบุตรแห่งมหาเทพโพไซดอนเล็กน้อย แต่จากที่ได้ยินมาเหมือนว่าสามมหาเทพจะไม่ค่อยลงรอยกัน แล้วเจ้าแห่งโลกใต้ภิภพจะคิดเป็นห่วงเป็นใยบุตรเจ้าสมุทรอย่างนั้นเหรอ


ดีนที่ได้ฟังบทสนทนาของสองพี่น้องสายเลือดแห่งมนตราก็นิ่งอึ้งอ้าปากค้าง เขาไม่ได้ฉุกใจคิดเลยสักนิดว่าคนเมื่อกี้คือเทพเจ้า แม้จะรู้สึกได้ถึงพลังกดดันมหาศาลชวนให้ไม่สู้ดีก็เถอะ

“ว้า น่าเสียดายแฮะ ถ้ารู้ว่าเป็นเทพจะได้ถวายศรัทธาผูกมิตรเอาไว้สักหน่อย ว่าแต่… ธานาทอส คือเทพแห่งอะไรเหรอ?”

คำถามของดีนทำเอาชาร์ล็อตอึ้งกิมกี่ คล้ายคิดไม่ถึงว่า ‘มีคนไม่รู้จักธานาทอสด้วยเหรอ!?’

“ธานาทอส คือเทพแห่งความตายค่ะ หรือที่เรียกง่าย ๆ ก็คือยมทูต”

“ยมทูต!? ยมทูตมาเตือนเราเนี่ยนะ!?”

ดีนโพล่งออกมาเสียงดังจากนั้นกัดปาก ถึงว่าล่ะ.. ทั้งแมคเคนซีและชาร์ล็อตถึงได้มีท่าทีวิตกยิ่งกว่าบุตรเจ้าสมุทรหลายเท่า


“เอาเป็นว่า…เราแค่อย่าเพิ่งมองข้ามคำเตือนของเขาก็พอ จากนี้ไปคงต้องระวังตัวกันมากกว่าเดิม”

สุดท้ายก็เลยสรุปจบด้วยการตบบ่าดีนกับชาร์ล็อตเบา ๆ แล้วปล่อยให้วาฬเพชฌฆาตลากแพไปตามเส้นทางน้ำ


.

.

.


จากเหตุการณ์ลึกลับที่นำพาเดมิก็อดทั้งสามไปพบกับบุคคลที่คาดว่าคือ ‘เทพธานาทอส’ โดยบังเอิญ ทำให้พวกเขาใช้ชีวิตบนแพยางด้วยความหวาดระแวง แต่จนแล้วจนรอดวันนี้ทั้งวันก็ไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายใดเกิดขึ้น ‘ความตายใกล้แค่เอื้อม’  อาจจริง ทว่า ‘เอื้อม’ ที่ว่ายังมาไม่ถึง…

ดีนทอดสมอร่มน้ำพักแรมนอกชายฝั่งประเทศปานามาราว ๆ หนึ่งร้อยหกสิบเก้าไมล์ทะเล ถือว่าวันนี้พวกเขาทำเวลาได้ช้ากว่าทุกวัน แม้ความตายจะใกล้แค่เอื้อมแต่เหมือนผืนแผ่นดินอยู่ไกลเกินเอื้อมยิ่งกว่า สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือระมัดระวังตัวให้มากกว่าเดิมโดยไม่จิตแตกไปเสียก่อน

หลังจากที่ทอดสมอเรียบร้อยแล้วเขาลงน้ำไปแก้เชือกที่มัดโคนหางของวาฬเพชฌฆาตออก เชือกที่เสียดสีไปกับผิวหนังลื่นทำให้หางของไข่อวบถลอกจากการที่ถูกเชือกบาด หัวใจของดีนหล่นวูบลงไปทันทีเมื่อเห็นว่าออร์ก้าเพื่อนรักบาดเจ็บขนาดนี้แต่มันไม่ปริปากบ่นสักคำ เขาคิดน้อยไป ใช้เชือกผูกกับหางสัตว์แล้วให้มันลาก สุดท้ายย่อมเกิดบาดแผลอยู่แล้ว ทำไมถึงได้โง่แบบนี้นะ!

หรือความตายใกล้แค่เอื้อมจะไม่ได้เกิดกับเขา แต่เกิดกับวาฬเพชฌฆาตตัวนี้กันแน่ พอคิดได้แบบนั้นยิ่งรู้สึกเจ็บปวดในใจมากกว่าเดิมอีก ฝ่ามือแกร่งลูบไปตามลำตัวของออร์ก้าอย่างอ่อนโยน

“ไข่อวบ แกเจ็บมากไหมเนี่ย”

“วี้~~” oO(แค่นี้จิ๊บ ๆ หลักฐานของลูกผู้ชายที่ทำความดี)

สัตว์น้อยตัวใหญ่ยังคงตอบกลับมาด้วยความใสซื่อ แม้ดีนจะสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยในเสียงวี้ของมันก็ตาม ทว่าไข่อวบก็ยังคงร่าเริงเสมอเมื่ออยู่กับมนุษย์ที่มันชอบ

“ไม่ได้สิ เดี๋ยวรอก่อน ฉันจะไปให้ชาร์ล็อตมาช่วยรักษา”

พูดปุ๊บก็ลงมือปั๊บ ดีนปีนขึ้นจากน้ำแล้วเรียกธิดาเฮคาทีมายังด้านหน้าของแพ จากนั้นอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังพร้อมให้ดูบาดแผลของไข่อวบ


“ไข่อวบไม่สบายเหรอคะ”

ใช้เวลาไม่นานชาร์ล็อตก็รีบตามดีนออกมาที่นอกตัวแพ ดวงตากลมโตมีประกายตื่นเต้นเล็ก ๆ เมื่อได้ชมออร์ก้าใกล้ ๆ

“เอ่อ…พี่ดีนช่วยบอกให้น้องช่วยยกหางขึ้นหน่อยได้ไหมคะ หนูขอดูแผลหน่อย”

ด้วยความที่เธอสื่อสารกับปลาไม่ได้จึงต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากดีน


“โอเคได้ ไข่อวบยกหางขึ้นหน่อย” เมื่อออกคำสั่งมันก็ยอมยกหางขึ้นให้แต่โดยดี

“วี้~~” oO(ว้าววว ฉาวฉวยมาหาป๋ม ป๋มชอบมะนุ้ดฉาว ๆ ฮี่ฮี่ฮี่)

ถึงชาร์ล็อตจะฟังภาษาสัตว์น้ำไม่ออกแต่น่าจะพอสัมผัสได้ว่าเจ้าอ้วนหัวเหม่งนี่ดูดีดกว่าปกติจนทำน้ำกระฉอก อย่างไรออร์ก้าก็อยู่ในวงศ์เดียวกับโลมาจอมหื่น แต่ไม่คิดว่าจะได้นิสัยส่วนนั้นมาด้วย

“เอิ่ม.. เปลี่ยนหมอซะดีไหมนะ”

“วี้!” oO(ม่ายเอา! ป๋มจะเอาหมอฉาว ๆ)

ไข่อวบงอแงใหญ่ ท่าทางการดิ้นของมันดูเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส


“โอ๊ะ น้องดิ้นใหญ่เลย เจ็บหางเหรอจ๊ะ”

พอเห็นท่าทางแบบนั้น คนที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างชาร์ล็อตก็ตาละห้อยด้วยความสงสาร เธอสำรวจแผลที่หางของไข่อวบซึ่งยกมาพาดกับขอบแพอย่างละเอียด

“แผลไม่ใหญ่มากแค่เป็นรอยเชือกบาดนิดหน่อย หนูรักษาได้ค่ะ”

ธิดาเฮคาทีหันมาบอกดีนที่ดูท่าจะเป็นห่วงเจ้าวาฬเพชฌฆาตไม่แพ้กัน เธอยกคทาเวทฟรุ้งฟริ้งชี้ไปยังบาดแผลของออร์ก้าแล้วเริ่มร่ายมนตร์ที่ตนเองถนัด

“ซานาเท อุมบรา”

แสงเวทสีม่วงอ่อนหลอมรวมกับสื่อนำเวทมนตร์พุ่งไปโอบล้อมช่วงหางของไข่อวบไว้ เพียงครู่เดียวลำแสงนั้นก็จางหายไป พร้อมกับความเจ็บปวดทางกายของเจ้าออร์ก้าหนุ่มที่ตอนนี้ไม่มีบาดแผลใดหลงเหลืออยู่อีก

“เรียบร้อยแล้วค่ะ พี่ดีนลองถามน้องดูสิคะว่าเจ็บอยู่ไหม”


“วี้—” oO(แงงง ไม่เอารักษาด้วยปิ๊ง ๆ ป๋มอยากได้การรักษาแบบใกล้ชิด—)

ไข่อวบพูดภาษาสัตว์ทะเลด้วยน้ำเสียงสลด ถ้ารู้เจตนาของเจ้าโลมาอวบชาร์ล็อตต้องรับไม่ได้แน่ ๆ

“มันบอกว่า ‘ขอบคุณกั๊บพี่สาว ผมหายดีแล้ว แต่รู้สึกเพลียนิดหน่อย เดี๋ยวขอตัวไปหาไรหม่ำ ๆ ก่อนน้า’ มันว่างี้ล่ะ”

“วี้!” oO(ป๋มไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย!) ออร์ก้าโวยวายมันฟาดหางไปมาจนน้ำกระจาย

“ไข่อวบแกไปหาปลากินไปจะได้พักผ่อน ส่วนพวกเราก็กลับเข้าไปข้างในกันเถอะ”

ดีนตัดบทก่อนที่เขาจะรีบดันหลังน้องสาวให้เข้ามาในแพโดยไม่ต้องสนใจเจ้าออร์ก้าบ้ากาม ดีนสบตากับแมคเคนซีที่รออยู่ก่อนแล้ว ดูเหมือนตอนนี้เขาต้องบอกสิ่งที่คิดให้กับทุกคน

“ไข่อวบมันลากแพมาหลายวันจนหางเป็นแผล ถึงจะใช้เวทมนตร์รักษาให้หายได้แต่จะให้มันบาดเจ็บอีกคงไม่ดี ฉันก็เลยคิดว่า… เราไม่ควรจะเดินทางด้วยวิธีนี้กันต่อหรือเปล่านะ” หนุ่มเท็กซัสพรูหายใจหนัก “พวกนายคิดว่าเอาไงกันดี”


แมคเคนซีที่ได้ยินเสียงคุยกันจากด้านนอกก่อนหน้านี้พอเข้าใจสถานการณ์จึงพยักหน้ารับน้อย ๆ

“มันก็คงไม่ดีอย่างที่นายบอก แต่เราก็คงต้องใช้แผนเดิมคือการพายเรือเข้าฝั่ง ซึ่งมันอาจจะใช้เวลานานสักหน่อย”

นอกจากไม้พายที่มีอยู่และอุปกรณ์ดีไอวายที่ดีนใช้ดัดแปลงแพให้เป็นเรือใบ พวกเขาก็ไม่มีเครื่องมืออะไรที่จะช่วยทำให้เรือแล่นเร็วได้มากกว่านี้แล้ว จึงมีแค่แผนการนี้ที่แมคเคนซีพอจะนึกออก ส่วนชาร์ล็อตก็นิ่งเงียบด้วยยังนึกวิธีการอื่นนอกจากนี้ไม่ออกเช่นกัน


“แล้วก็พลังควบคุมน้ำของฉันด้วย” ดีนบอก “สงสัยคราวนี้ต้องขอยืมแรงของทุกคนจริง ๆ แล้ว พรุ่งนี้เตรียมกำลังแขนไว้พายเรือกันได้เลย”

ดีนหย่อนตัวลงนั่งข้างแมคเคนซี จากนั้นแจกจ่ายอาหารมื้อเย็น พวกเขาเหลืออาหารอีกครึ่งเดียวจากที่มีในตอนแรก ส่วนระยะทางเหลือเกินครึ่งเสียอีก สงสัยว่าจากนี้คงต้องประหยัดกันอีกหน่อย และคันเบ็ดตกปลาอาจได้ใช้งานจริง

.
.
.

มื้ออาหารเย็นจบลงไปเหลือแค่ถุงขยะกับเรื่องหนักใจเพิ่มพูนขึ้นมาอีกเรื่อง 


ดีนที่ปกติจะพูดมากปิดปากเงียบสนิทขณะที่เขาจมอยู่กับการคำนวนอาหารและแยกขยะเพื่อไม่ให้เกิดโรคระบาด ความจริงการแก้ไขปัญหาขยะนั้นง่ายมาก เพียงแค่โยนถุงดำลงทะเลทุกอย่างก็จบ แต่มันจะกลายเป็นการสร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมแทน สัตว์น้ำกี่ตัวที่ต้องจบชีวิตลงเพราะกินถุงพลาสติกเข้าไป ในฐานะเจ้าชายแห่งแอตแลนติสจึงไม่ควรก่อปัญหาสร้างขยะในทะเลเสียเอง

หงืด… หงืด…

เสียงสั่นแจ้งเตือนของโทรศัพท์เดดาลัสดังขึ้น ทำให้บุตรเจ้าสมุทรจำเป็นต้องละสายตาออกจากอาหารกระป๋องตรงหน้าเสียก่อน


[คุณได้รับพัสดุใหม่ จำนวน 1 ชิ้น จาก รีชา แคมพ์เบลล์]


“หืม รีชส่งอะไรมานะ ถ้าเป็นของกินก็ดีสิ”

พอกดรับของกล่องพัสดุใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ไม่รอช้ารีบแกะเปิดกล่อง สิ่งที่อยู่ด้านในคือขนมโมจิรสชาเขียวทั้งหมดสี่ชิ้น และกระปุกอะไรสักอย่างที่เขียนโพสต์อิทแปะไว้ว่า ‘เปิดใช้นอกตัวแพ’

ปกติดีนแชทคุยกันกับสมาชิกบ้านโพไซดอนทุกวันระหว่างทำภารกิจอยู่แล้ว (ถ้าว่าง) ฉะนั้นทั้งรีชา ซันซ์ เจโรม และไทสัน จะรู้อยู่สถานะการเดินทางของพวกเขาว่าเป็นอย่างไร น้องสาวคนเล็กคงรู้แหล่ะว่าอยู่กลางทะเลแบบนี้ไม่มีขนมหวานอร่อย ๆ ให้กิน นอกจากบิสกิตร่วน ๆ ฝืดคอในชุดอาหารฉุกเฉิน

ไหน ๆ แล้วก็เข้าไปแชทขอบคุณพวกเขาสักหน่อยดีกว่า


profile
CABIN 3 POSEIDON
           🌻𝓡є𝑠ℎα🌻:
ว่าง
วันนี้หนูได้โมจิชาเขียวจากพี่คลาร่ามาด้วยล่ะ
RESHA
พี่เขาบอกว่าได้รับมาจากเทพีอะมาเทราสึ
           Jerome:
ว่าง
โมจิของเทพีอะมาเทราสึเลยเหรอ ของดีเลยนี่นา
Jerome
เหมือนว่าจะไม่มีวันหมดอายุ แล้วทวยเทพก็โปรดปราน
           🌻𝓡є𝑠ℎα🌻:
RESHA
จริงเหรอคะ งั้นหนูส่งให้พี่ดีนหมดเลยดีกว่า พี่เขาน่าจะต้องใช้
           Jerome:
Jerome
ได้มาตั้ง 4 ชิ้น รีชไม่เก็บไว้กินเองบ้างเหรอ?
           🌻𝓡є𝑠ℎα🌻:
RESHA
ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าหนูเก็บไว้ต้องเผลอกินเองก่อนส่งให้ท่านพ่อแน่ ๆ
           Sanz:
ว่าง
จะส่งของให้ดีนเหรอ ฉันขอส่งกระบอกลมสี่ทิศด้วยได้ไหม
SANZ
เพิ่งไปคุยกับเด็กอะธีน่ามา เธอบอกว่าควรพกเจ้านี่ไว้ตอนพายเรือกลางทะเล
           TYSON:
TYSON
พวกนายอยู่บ้านเดียวกันยังต้องแชทคุยกันด้วยเหรอ ฮะฮะ
           Sanz:
ว่าง
เออ นั่นดิ
SANZ
มา ๆ พวกเราออกจากสังคมก้มหน้ากันได้แล้ว!
D.E.A.N.:
ได้รับของแล้ว ขอบคุณพวกนายมากนะ!



อย่างน้อยการอ่านแชทครอบครัวก็ทำให้ยิ้มได้ ดีนโพสต์ขอบคุณจากนั้นหันไปบอกเหล่าเฮคาทีว่าได้อะไรมาบ้าง

“นี่พวกเรา ที่บ้านฉันส่งของมาให้น่ะ โมจิบูชาเทพ กับกระปุกลมสี่ทิศ”


ทางด้านสองพี่น้องที่กำลังพักผ่อนกันหันไปตามเสียงของบุตรเจ้าสมุทร

“โมจิบูชาเทพเหรอคะ ที่เป็นขนมแป้งเหนียว ๆ เหมือนมาชเมลโลวแต่ว่ามีถั่วแดงหรือสตรอเบอร์รี่อยู่ข้างในใช่ไหม”

ชาร์ล็อตที่ชื่นชอบของน่ารักคงจะเคยอ่านเรื่องราวต่าง ๆ ของประเทศที่เต็มไปด้วยของน่ารักอย่างประเทศญี่ปุ่นมาบ้าง

“ใช่ ตอนที่พี่ไปญี่ปุ่นก็เห็นขนมนี่วางขายเต็มไปหมด แล้วกระปุกลมสี่ทิศนั่นเอาไว้ใช้ทำอะไร”

ส่วนแมคเคนซีกลับให้ความสนใจกับของอีกสิ่งที่เป็นชื่อไม่คุ้นหูมากกว่า


“เนี่ย หน้าตาแบบนี้ เจรี่บอกว่าใช้สำหรับบูชาเทพ แต่ถ้าเสบียงหมดจริง ๆ ก็เอาไว้บูชาเราก่อนเนี่ยแหล่ะ”

ดีนโชว์ของทั้งหมดให้สองพี่น้องดู ตอนนี้เขารู้แค่วิธีใช้งานของทั้งสองสิ่งเพียงคร่าว ๆ อย่างหนึ่งใช้บูชาเทพเจ้า แต่อีกอย่างบอกแค่เปิดใช้นอกตัวแพ

“ส่วนกระปุกลมสี่ทิศอะไรนี่ฉันก็ไม่รู้วิธีใช้งานเหมือนกัน มีแค่บอกว่าให้ใช้นอกแพ ถ้าให้เดาคงเปิดออกมาแล้วมีไอพ่นทำให้เรือแล่นฉิวล่ะมั้ง ทดลองใช้ตอนนี้อาจไม่เวิร์ค ถ้ายังไงเราลองใช้งานพรุ่งนี้กันเถอะ อาจจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องไข่อวบได้”


“มีของที่สะดวกแบบนี้ด้วย?”

แมคเคนซีเลิกคิ้วมองวัตถุที่มีชื่อว่า ‘กระบอกลมสี่ทิศ’ ตัววัตถุสร้างจากโลหะและมีลวดลายอันละเอียดละออสลักอยู่โดยรอบ พลางคิดในใจว่า ‘น่าจะส่งมาให้เร็วกว่านี้สักวันสองวัน’ แต่ก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้าให้

“อืม…พรุ่งนี้ก็ดีเหมือนกัน วันนี้เราพักผ่อนกันก่อนดีกว่า ไข่อวบจะได้พักด้วย”


“คงเริ่มวางขายตอนที่พวกเราออกเดินทางมาแล้วมั้ง ไม่รู้สิ.. ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซันซ์นี่หามาจากไหน”

เท่าที่ดูจากชื่อของแต่ละอย่างไม่น่าจะหามาได้ง่าย ๆ เลย บางทีอาจมีภารกิจกระดานหินใหม่ที่วางขายของแบบนั้นล่ะมั้ง… ไม่รู้สิ

“แต่ว่าฉันมีไอเดียอย่างหนึ่งที่จะจำกัดขยะในแพแล้ว”

ไม่ว่าเปล่า ดีนเก็บของที่เพิ่งได้รับมาใส่กระเป๋าไว้เป็นอย่างดี โดยแบ่งขนมโมจิให้แมคเคนซีกับชาร์ล็อตด้วย จากนั้นเขาก็ยัดขยะอาหารกระป๋องใส่ลงในกล่องแล้วเขียนข้อความแปะหน้าไว้ว่า [ห้ามเปิด ข้างในนี้เป็นขยะทั้งนั้น ฝากทิ้งหน่อย พี่ไม่อยากทำให้น้ำเสีย] แล้วก็สแกนกล่องใบนี้ส่งกลับไปให้รีชา น้องคงตกใจนิดหน่อย แต่ก็น่าจะเข้าใจได้เช่นกัน

“เห้อ.. ว่าไปวันนี้ก็มีหลายเรื่องเหมือนกันนะ เป็นเรื่องแปลก ๆ ทั้งนั้น”

ดีนเอกเขนกลงข้างแมคเคนซี อยากกอดคนรักเหลือเกิน แต่ติดปัญหาอย่างเดียวคืออากาศในนี้ร้อนมากและเขาก็ตัวเหนียวไปหมดจากคราบเกลือ


หลังจากที่มองดีนฝากขยะกลับไปให้ชาวสายเลือดโพไซดอนตาปริบ ๆ แล้วก็ได้เวลาเข้านอนกัน (แม้ว่าท้องฟ้าจะยังสว่างจ้าก็ตาม) ชาร์ล็อตแยกตัวไปนอนมุมของเธอ ส่วนสองหนุ่มเดมิก็อดก็นอนเคียงข้างกัน แน่นอนว่าแมคเคนซีรับรู้ได้ถึงสายตาเจ้าหมาน้อยตาละห้อยของดีน และรู้ดีว่าอากาศและบรรยากาศตอนนี้ไม่เหมาะที่จะนอนกอดกัน เขาจึงขยับมือไปกุมฝ่ามือหนาของคนข้างกายไว้ แล้วค่อย ๆ สอดประสานเรียวนิ้วของทั้งคู่เข้าด้วยกัน แล้วหันมามองดวงตาสีเปลือกไม้อันน่าหลงใหลคู่นั้นก่อนจะยิ้มให้แล้วหลับตาลง

“ราตรีสวัสดิ์ที่รัก ขอให้พรุ่งนี้เป็นวันที่ดีของพวกเรานะ”




ความคิดเห็นผู้บันทึก
วันนี้เป็นการใช้ชีวิตบนแพวันที่ 3 แล้ว แต่บอกเลยว่าไม่มีอะไรที่ทำให้ชินทั้งนั้น
แถมยังจิตตกมากกว่าเดิมหลังจากได้รับคำเตือนจากเทพแห่งความตาย
ธานาทอสมั้ง ไม่รู้สิ แมคซี่กับชาร์ล็อตสันนิษฐานไว้อย่างนั้น
แล้วไหนจะอาการบาดเจ็บของไข่อวบอีก ดีที่รีชและซันซ์นี่ส่งของดีมีประโยชน์มาให้ พรุ่งนี้พวกเราน่าจะได้ลองใช้งานจริง

สรุปสถานการณ์
- สามเดมิก็อดยังคงล่องแพต่อไปโดยใช้วาฬเพชฌฆาตลากจูง
- พบเกาะประหลาดที่เหมือนเกาะร้างในการ์ตูนขายหัวเราะ ที่นั้นมีเทพแห่งความตาย (ธานาทอส) นั่งตกปลาอยู่
เขาไม่ได้พูดอะไรนอกจากให้คำเตือน "ความตายใกล้แค่เอื้อม" จากนั้นเดมิก็อดก็รีบลงแพแล้วเผ่นอย่างไว
- ช่วงค่ำ ดีนได้รับพัสดุมาจากพี่น้องบ้านโพไซดอน คือ ขนมโมจิ (พิเศษ) และ 
กระบอกบรรจุลมสี่ทิศ

DEAN


ความสัมพันธ์ต่อ [ธานาทอส]
+5 โบนัสความโปรดปรานจากการใส่ [กุหลาบสีน้ำเงินทอง]

HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25
รวม +30 ความโปรดปราน


ส่งของด้วยสมาร์ทโฟนเดดาลัส
(ฝากรีชาทิ้งขยะบนแพ)

50 ดอลลาร์

MACKENZIE

ความสัมพันธ์ต่อ [ธานาทอส]
+5 โบนัสความโปรดปรานจากการใส่ [กุหลาบสีน้ำเงินทอง]

HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25
รวม +30 ความโปรดปราน


แสดงความคิดเห็น

God
+2 ตื่นรู้จากการพิชิต [ลูซก้า] ครั้งแรก  โพสต์ 2025-9-9 11:33
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-49] ธานาทอส (เลตัส) เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-8-30 10:11
โพสต์ 166378 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-8-30 06:11
โพสต์ 166,378 ไบต์และได้รับ +25 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +55 ความศรัทธา จาก น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ  โพสต์ 2025-8-30 06:11
โพสต์ 166,378 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก กางเกงเดินป่า  โพสต์ 2025-8-30 06:11

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
Anker PowerCore
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่อัสพิสขัดเกลา
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x10
x2
x3
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x3
x1
x3
x1
x1
x4
x6
x1
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x6
x2
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-9-9 01:37:45 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-29 00:17

XVII
แล้วเราก็มาถึงปานามาโดยสวัสดิภาพ(?)
 Mackenzie Claude Lincoln 

- 27.05.2025 / 08:00AM -
แพชูชีพ, ทะเลแคริบเบียน, มหาสมุทรแอตแลนติกใต้



วันที่สี่ของการใช้ชีวิตบนแพ หากไม่ดูนาฬิกาคงไม่รู้เลยว่าตอนนี้คือเวลาแปดโมงเช้า


เมื่อวานก่อนนอน ทีมทำภารกิจตรวจเช็คพิกัดซึ่งระบุว่าพวกเขาอยู่ห่างจากชายฝั่งที่ใกล้ที่สุดราว ๆ หนึ่งร้อยเจ็ดสิบไมล์ทะเล แต่มาเช้าวันนี้แพที่ใช้เป็นพาหนะถูกคลื่นซัดออกจากฝั่งมาไกลกว่าเดิม กลายเป็นหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองไมล์ทะเลเสียอย่างนั้น อย่างว่าการใช้ชีวิตบนผืนน้ำไม่มีอะไรแน่นอนควรต้องทำใจไว้แต่เนิ่น ๆ


น้ำสะอาดก็เหลือไม่มากพอสำหรับใช้ชำระล้าง พวกเขาต้องทนหน้ามันแผล่บ ประหยัดน้ำไว้ใช้สำหรับดื่มกินเพียงเท่านั้น กิจวัตรยามเช้าของสามเดมิก็อดจึงต้องตัดการล้างหน้าแปรงฟันหรืออาบน้ำ (ที่ทำไม่ได้อยู่แล้ว) ออกไป เหลือเพียงแค่การรับประทานอาหารและปลดทุกข์ลงข้างแพ เรียกได้ว่าเป็นวิถีชีวิตของผู้ประสบภัยโดยแท้ ไม่รู้ว่าระหว่างกู้โลกกับให้คนอื่นมากู้ชีพอย่างไหนจะเกิดก่อนกัน…


มันก็ต้องเกิดอย่างแรกก่อนอยู่แล้วสิ เพราะพวกเขาเพิ่งได้รับไอเท็มแสนวิเศษที่มีชื่อเรียกว่า ‘กระบอกบรรจุลมสี่ทิศ’ มาเมื่อวานยังไงล่ะ !!


“ลองดูกันไหมว่าเจ้านี่ใช้ทำอะไรได้บ้าง”


ดีนหยิบกระบอกโลหะที่สลักเสลาลวดลายสวยงามแต่แปะโพสต์อิทสีเหลืองนีออนสะท้อนแสงเขียนข้อความ ‘เปิดใช้นอกตัวแพ’ ออกมา และสองพี่น้องสายเลือดมนตราก็พยักหน้ารับแทบจะพร้อมเพรียง


“ก็ดี ตอนนี้นอกจากไข่อวบพวกเราก็ไม่มีตัวช่วยอื่นแล้ว”


แมคเคนซีที่สภาพตอนนี้เรียกได้ว่าโทรมเกือบสุดตั้งแต่เกิดมาสนับสนุนอย่างไม่มีอะไรจะเสีย สถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้เหมือนคนที่อยู่ก้นหุบเหวลึก หากมีใครโยนอะไรลงมาสักอย่าง แม้จะเป็นฟางเพียงเส้นเดียวก็พร้อมที่จะคว้าไว้


“แต่ว่าเขียนข้อความไว้แบบนั้น จะเป็นพลุหรือกระบอกอัดควันสำหรับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือหรือเปล่านะคะ”


เด็กสาวคนเดียวในทีมตั้งข้อสังเกต แล้วรูปร่างก็ดันคล้ายสิ่งที่เธอว่ามาเสียด้วย


“เอ่อ… มันก็เป็นไปได้”


ในโพสต์อิทเขียนว่า ‘เปิดใช้นอกตัวแพ’ แถมในแชทก็บอกแค่ ‘เด็กบ้านอะธีน่าบอกว่าควรพกเจ้านี่ไว้ตอนพายเรือกลางทะเล’ ไม่ได้บอกด้วยว่า ‘กระบอกลมสี่ทิศ’ ที่ว่านี้มีไว้สำหรับทำอะไร ครั้นพิมพ์ถามตอนนี้คงไม่ได้คำตอบเพราะไม่ใช่เวลาเล่นโทรศัพท์ของเด็กบ้านโพไซดอน


แต่ดีนเคยเล่าเรื่องอุปกรณ์ยังชีพในแพให้ซันซ์รับรู้ อีกฝ่ายคงไม่ง่าวถึงขนาดส่งพลุไฟมาให้อีกชุดทั้งที่พวกเขาไม่อยากเปิดเผยตัวตน เว้นแต่เจ้านี่จะเป็นสัญญาณเรียกสุดยอดเดมิก็อดเหาะได้บินฉิวมาช่วยเหลือเหมือนซูเปอร์แมน


“แต่เจ้านี่มีชื่อว่ากระบอกลมสี่ทิศนี่นา คงไม่ใช่ว่าชื่อกับการใช้งานไม่ตรงกันหรอกใช่ไหม?”


“จริงของนาย……”


แมคเคนซีกุมคางใช้ความคิดพลางมองกระบอกโลหะในมือบุตรเจ้าสมุทรไปด้วย หากเป็นไปตามชื่อจริงแปลว่ากระบอกนี่ก็คงจะบรรจุลมอยู่ด้านใน แล้วมันเป็นลมแบบไหนกันล่ะ คงไม่ใช่ลมจำพวกออกซิเจนหรือโอโซนอัดกระป๋องหรอกนะ


“ฉันว่ามัวเดากันแบบนี้เสียเวลาเปล่า เปิดเลยดีน”


“โอเค งั้นมาเริ่มการทดลองกันเถอะ”


ดีนขยับออกไปนั่งตรงขอบแพเผชิญหน้ากับแสงแดดร้อนระอุชวนให้ต้องหยีตาอีกครั้ง เมื่อทุกคนพร้อมแล้วเขาก็เปิดฝากระบอกโลหะ จากนั้นมวลลมมหาศาลก็พวยพุ่งขึ้นด้านบนจนแทบจะเทียบเท่าพายุทอร์นาโดขนาดเล็ก


“เหวอ!?”


ตอนนี้แค่อยากทดสอบทว่ายังไม่พร้อมออกเดินทาง ดีนพยายามต้านกระแสลมรุนแรงเพื่อปิดฝากระบอกอย่างยากเย็น กว่าจะต่อสู้กับลมแรงได้ก็เล่นเอาเหนื่อย ชายหนุ่มเม้มปากก่อนจะสบตากับสายเลือดเฮคาทีทั้งสองคน


“พวกนายคิดว่าไง… ฉันคิดว่าน่าจะเอามาแทนไอพ่นได้นะ”


มวลลมที่พุ่งทะลักออกมาทันทีที่ดีนเปิดฝากระบอกทำเอาพี่น้องสายเวทมองตาค้าง นี่มันไม่ใช่การอัดลมใส่แบบธรรมดา แต่เหมือนมีใครยัดพายุลูกย่อม ๆ เข้าไปข้างในมากกว่า


“อย่างกับสิ่งประดิษฐ์ของเทพเลยนะคะ”


ชาร์ล็อตพึมพำเบา ๆ


“นั่นสิ ถ้านายคิดว่ามันทำงานแทนไอพ่นได้จริง งั้นก็ต้องหันปากกระบอกไปทางหางเสือเรือ?”


พอนึกเปรียบเทียบภาพการทำงานของเรือแล้ว แมคเคนซีจึงคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น จากนั้นก็หยิบมือถือมาเช็คดูว่าตอนนี้พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ถูกต้องหรือยัง


“ถ้าจะไปคลองปานามา…ต้องหันปากกระบอกไปทาง….เอ่อ…ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ…..หนึ่งหรือสองนาฬิกา”


เพราะไม่ใช่ต้นหนที่ชำนาญการแต่เป็นมือสมัครเล่น เขาจึงพยายามหาคำเปรียบเปรยมาใช้แทนให้ง่ายแก่การเข้าใจ


“ฝั่งอยู่ตรงนั้นสินะ…”


ดีนทอดสายตามองไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับที่แมคเคนซีบอก จากนั้นลองประเมินความแรงลมคร่าว ๆ เขาคิดว่ากระบอกใส่ลมสี่ทิศเร็ว แรง ทะลุมหาสมุทร มากกว่าแรงลากจูงของวาฬเพชฌฆาตหลายเท่าตัว เผลอ ๆ อาจเร็วกว่าเรือเดินสมุทรเลยเสียด้วยซ้ำ หากเป็นแบบนี้ออร์ก้าว่ายน้ำตามไม่ทันแน่…


“ฉันคิดว่าก่อนออกเดินทางพวกเราควรบอกลาไข่อวบกันสักหน่อย”


“ก็ดีนะ ไข่อวบช่วยพวกเรามาตั้งหลายวัน อย่างน้อยก็บอกสักหน่อย เจ้านั่นจะได้กลับฝูงอย่างสบายใจ”


แมคเคนซีพยักหน้าเห็นด้วย แม้ว่าเขาจะไม่ได้คลุกคลีกับเจ้าวาฬเพชฌฆาตตัวยักษ์มากเท่าดีน หรือไม่ได้ช่วยรักษาบาดแผลให้เหมือนชาร์ล็อต แต่การที่มันคอยช่วยเหลือซ้ำยังพาดีนกับเขาที่กำลังอยู่ในอารมณ์ดิ่งลงไปชมความสวยงามใต้ทะเลแสดงให้เห็นว่าไข่อวบค่อนข้างใส่ใจและให้ความเป็นมิตรกับพวกเขามากทีเดียว แล้วทำไมเขาจะรู้สึกเช่นเดียวกันไม่ได้ล่ะ


“ตอนนี้ไข่อวบอยู่ที่ไหนคะ พี่ดีนช่วยเรียกน้องมาหาพวกเราได้ไหม”


ชาร์ล็อตชะเง้อมองหาออร์ก้าที่วันนี้ยังไม่เห็นตั้งแต่เช้า หรือว่าจะไปหาอาหารกินแถวนี้กันนะ


“ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้มันอยู่ไหน แต่ผิวปากเรียกก็คงมาแหล่ะนะ”


พูดจบบุตรเจ้าสมุทรก็ผิวปากเรียกวาฬเพชฌฆาตตัวดีตัวเดิมเหมือนเช่นสองสามวันที่ผ่านมา ดีนหลับตาลงฟังเสียงความถี่สูงของโซนาร์ลอยเข้ามาใกล้ ไม่กี่นาทีต่อมาครีบหลังสีดำก็แหวกว่ายฝ่าสายน้ำมาหา มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นออร์ก้าเพียงตัวเดียวในเขตน่านน้ำนี้ มันมุดตัวลงใต้น้ำก่อนกระโจนขึ้นฟ้าทิ้งน้ำหนักตัวหลายตันลงมาเล่นเอาเดมิก็อดที่หลบไม่ทันเปียกปอนไปทั่ว ไข่อวบทักทายด้วยพลังงานไร้ขีดจำกัด แม้น้ำเค็ม ๆ จะกระเด็นเข้าปากจนน่าโมโห แต่ดีนก็โกรธไม่ลงเมื่อเห็นว่ามันแข็งแรงดี


“วี้!” oO(หวัดดีมะนุ้ด! วันนี้กินปาอร่อยมาด้วย!)


‘มาถึงก็ขิงใส่ทันทีเลยเจ้านี่…’


แน่นอนว่าแมคเคนซีกับชาร์ล็อตรีบหลบฉากเข้าไปในเต็นท์ทันทีที่ไข่อวบปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่อลังการตามแบบฉบับของมัน จนกระทั่งได้ยินเสียง “วี้” ทั้งคู่จึงโผล่หน้าออกมา


“สวัสดีจ้ะน้องไข่อวบ”


ชาร์ล็อตโบกมือให้ออร์ก้ายักษ์ด้วยรอยยิ้มสดใส


“ดูท่าคงต้องให้นายช่วยเป็นล่ามให้อีกทีแล้วสิที่รัก”


แมคเคนซีหันไปบอกดีนที่นั่งเอาขาจุ่มน้ำอยู่ตรงขอบแพ


“ได้อยู่แล้ว”


ดีนตอบ วันนี้เป็นวันแห่งการจากลาที่คาดว่าคงไม่ได้พบกันอีกเป็นครั้งที่สอง ดีนจึงตั้งใจจะทำหน้าที่นั้นให้ดีแม้ว่าเจ้าวาฬเพชฌฆาตตัวนี้จะพูดจาหาสาระไม่ได้แค่ไหนก็ตาม เขาแปลการทักทายทุกประโยคไม่มีบิดพลิ้ว จากนั้นทำใจครู่หนึ่งก่อนบอกเรื่องสำคัญให้ออร์ก้ารับรู้


“นี่ไข่อวบ ขอบคุณนะที่พาพวกเรามาถึงตรงนี้ แต่ดูเหมือนว่าเราต้องบอกลากันแล้วล่ะ”


“วี้?” oO(ทำไมล่ะมะนุ้ด ชายหาดอยู่ตั้งอีกไกล ป๋มคิดว่าเราจะอยู่ด้วยกันอีกหลายครั้งที่น้ำขึ้นลงเสียอีก… เพราะว่าป๋มเจ็บหางเหรอ? แต่ตอนนี้ป๋มสบายดีไม่เจ็บแล้วด้วย!)


เสียงร้องความถี่สูงดูสลดไปทันตาจนดีนเม้มปาก ช่างเป็นสถานการณ์ยากยิ่งเมื่อต้องบอกลา โดยเฉพาะกับสัตว์ที่ฉลาดและสื่อสารกันรู้เรื่อง ไข่อวบก็ไม่ต่างอะไรกับสุนัขตัวใหญ่ตัวหนึ่งเลย เขาทำใจฮึบอยู่ครู่หนึ่งก่อนแปลภาษาให้แมคเคนซีกับชาร์ล็อตฟัง


เมื่อได้ฟังสิ่งที่ดีนแปลแล้ว สาวน้อยผู้ชอบสัตว์น่ารักอย่างชาร์ล็อตก็น้ำตาคลอเล็กน้อย เธอยื่นมือไปลูบหัวไข่อวบเบา ๆ ซึ่งเจ้าวาฬเพชฌฆาตแสนรู้ก็ไม่คิดจะหลบเลี่ยง ซ้ำยังดูเต็มใจให้มือเล็ก ๆ นั้นลูบหัวลื่น ๆ ของมันด้วย


“พวกเราต้องรีบเดินทางจ้ะไข่อวบ มีเรื่องสำคัญมากรออยู่ข้างหน้า แต่พวกเราจะไม่ลืมเธอนะ เธอเองพอกลับไปที่ฝูงแล้วก็อย่าลืมพวกเรานะรู้ไหม”


แมคเคนซีพยักหน้าน้อย ๆ เขาเองก็เอื้อมมือไปลูบหัวออร์ก้าด้วยเช่นกัน


“ขอบคุณที่พาพวกเรามาไกลขนาดนี้นะ เดินทางกลับบ้านดี ๆ ล่ะ ถ้าเจอมนุษย์อีกก็ต้องดูให้ดีนะว่าเป็นมิตรหรือเปล่า มนุษย์แบบพวกเรามีทั้งคนใจดีและคนใจร้าย อย่าให้คนใจร้ายรังแกนายกับเพื่อน ๆ ได้นะ” 


“วี้…” oO(มะนุ้ดจะไปแล้วจริงเหรอ ข้างหน้าอันตะรายนะ มีฉะหลาม กับหมุก เต็มไปหมดเลย พวกมันดุมาก มะนุ้ดจะไหวเหรอ ไข่อวบไปส่งได้)


ดีนทำหน้าที่แปลภาษาก่อนจะบอกกับมัน


“ขอบคุณที่เป็นห่วงพวกเรานะไข่อวบ แกคงยังไม่ลืมใช่ไหมว่าฉันน่ะเป็นถึงลูกโพไซดอนเชียวนะ ไม่มีทางที่จะแพ้ฉะหลามกับหมุกดุ ๆ ที่นายกลัวหรอก”


“วี้~” oO(จำได้ นุ้ดเป็นลูกทั่นโพไซดอน ออร์ก้าที่เก่งที่สุด!)


ฟังแล้วก็ไม่แน่ใจว่าโพไซดอนที่มันพูดถึงคือคนเดียวกับมหาเทพเจ้าสมุทรไหม หรือแค่สัตว์ที่ไร้เดียงสาไม่รู้ว่าเทพเจ้าคืออะไรจึงคิดว่าเป็นวาฬเพชฌฆาตเช่นเดียวกับมัน


“ใช่ ฉันเอง ลูกโพไซดอนออร์ก้าสุดแกร่ง!”


ดีนทุบอกตัวเองดังปึก เล่นละครหลอกเด็กทำเหมือนกับว่าตัวเองแข็งแกร่งมาก ๆ ทั้งที่จิตใจแทบไม่ไหว เขาไม่ชอบการลาจากแบบนี้เลย


“เพราะงั้นแกไม่ต้องห่วงพวกเรานะ ฉันจะไม่ลืมแกแล้วก็จะเล่าเรื่องราวของแกให้ทุกคนฟังว่าไข่อวบเป็นเพื่อนที่แสนดีแค่ไหน ตอนนี้แกก็ว่ายน้ำกลับไปรวมกับฝูง กินปาอร่อย ๆ ให้เยอะ ๆ ไปเลย ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะไข่อวบ”


ดีนเป็นคนสุดท้ายที่วางมือแตะลงบนหัวหยุ่น ๆ ของมันก่อนจะลูบเบา ๆ พร้อมกับแปลสิ่งที่วาฬเพชฌฆาตตัว (ไม่) น้อยสื่อสารให้พรรคพวกฟัง


แมคเคนซีเหลือบมองดีนเล็กน้อยแล้วยิ้มบาง เขารู้ว่าในเวลานี้คนรักและน้องสาวคงทำใจลำบากที่ต้องแยกจากเจ้าสัตว์น้ำตัวโตแสนน่ารักนี้ เขาเองก็ใช่ว่าจะชอบการจากลาเสียที่ไหน ไม่ชอบเอามาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสิ่งที่รักมากด้วยแล้วคงถึงขั้นเรียกว่า ‘ใจสลาย’ ก็ไม่เกินจริง ดังนั้น เขาจึงป้องกันตัวเองไว้โดยการรักษาระยะห่างกับทุกคนและทุกสิ่งแบบพอดี ไม่สร้างความใกล้ชิดผูกพันจนเกินควร


แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีข้อยกเว้น


แมคเคนซีลูบหัวเจ้าออก้าร์อีกสองสามทีแล้วขยับตัวเลี่ยงออกมาเพื่อให้ ‘ข้อยกเว้นทั้งสองคนของเขา’ ใช้เวลาร่ำลาไข่อวบได้สะดวกมากขึ้นโดยไม่คิดจะเร่งเร้าใด ๆ


ผ่านไปครู่ใหญ่เลยทีเดียวกว่าจะทำใจและเกลี้ยกล่อมให้ไข่อวบยอมกลับบ้านไปรวมฝูงได้ ท่ามกลางเสียงสายน้ำดีนได้ยินเสียงร้องครางของวาฬเพชฌฆาตลอยห่างออกไป เขาไม่ได้บอกสองพี่น้องเฮคาทีว่าไข่อวบร้องไห้ ได้แต่สะกดกลั้นก้อนที่จุกแน่นอยู่ในอก


“เอาล่ะ คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เราต้องเดินทางไปต่อแล้ว แมคซี่นายช่วยบอกทิศให้ฉันเหมือนเดิม ส่วนชาร์ล็อตเธอเข้าไปอยู่ในแพแล้วเกาะดี ๆ นะ ไม่รู้คราวนี้แพจะแล่นแรงแค่ไหน”


“ค่ะพี่ดีน” ธิดาเฮคาทีขานรับ จากนั้นทำตามคำแนะนำที่ดีนบอก


บุตรเจ้าสมุทรกางใบเรือแล้วเข้าประจำที่หางเสือดีไอวาย


“ฉันจะเปิดกระบอกลมสี่ทิศแล้วนะ หนึ่ง… สอง… สาม!”


ฟู่!!


แพชูชีพพุ่งฉิวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเหมือนกับเพิ่งสตาร์ทรถได้ก็เหยียบคันเร่งมิดไมล์ ตอนนี้ไม่อาจวัดค่าความเร็วได้ว่าคือเท่าไร แต่มันเร็ว แรง ทะลุมหาสมุทรกว่าที่คิดไว้จนต้องรีบหาที่ยึดเกาะไม่ให้ร่วงลงไป


“เหวอออ!”


ก็คิดอยู่ว่าคงจะเร็วแต่ก็ไม่นึกว่าจะเร็วขนาดนี้ แมคเคนซีที่กำลังจะหยิบสมาร์ทโฟนมาดูทิศทางรีบจับขอบแพเอาไว้ก่อนที่ตัวเองจะโดนความแรงของกระบอกลมสี่ทิศเหวี่ยงตนเองจนตกแพไป


“นี่มันไวกว่าสปีดโบ๊ทอีก! พวกเราจะเมาเรือไหม!”


ใช่ เขาลืมนึกไปเลย ธรรมดาแค่ขึ้นเรือสปีดโบ๊ทเจ้าหน้าที่ยังแนะนำให้กินยากันเมาเรือ แต่ตอนนี้พวกเขาเหมือนนั่งอยู่บนเครื่องบินเจ๊ทก็ไม่ปาน ความเร็วของแพกับการกระแทกเข้ากับคลื่นจะทำให้พวกเขาท้องไส้ปั่นป่วนหรือเปล่า


“มะ.. แมคซี่นายจับเอาไว้ดี ๆ นะ! ไอ้นี่มันปรับความแรงไม่ได้หรือไง!?”


ดีนตะโกนฝ่าเสียงลม เขาอยู่ใกล้แมคเคนซีเพียงแค่เอื้อมแขนเดียวทว่าทั้งเสียงลมและเสียงคลื่นทำเอาหูแทบดับ ฝอยคลื่นสาดกระจายติดตามแว่นตาว่ายน้ำจนแทบมองไม่เห็นภาพเบื้องหน้า ออกตัวมาได้ไม่ถึงสิบนาทีก็เห็นแผ่นดินอยู่ไกลลิบ ๆ


“นั่น! พวกเราใกล้ถึงแล้ว”


ดีนชี้ไปยังเบื้องหน้า เขาไม่รู้ว่านั่นคือแผ่นดินส่วนไหนของปานามา แต่จากที่เห็นตรงนั้นไม่ใช่ชายหาดแต่เป็นท่าเรือขนาดใหญ่ บางทีอาจใกล้ถึงคลองปานามาเขตเศรษฐกิจหลักของประเทศที่ทั้งเรือสินค้าและเรือประมงต้องผ่านหากจะข้ามฝั่งจากแอตแลนติกไปแปซิฟิก


แมคเคนซีหรี่ตาลงมองไปตามที่ดีนชี้ ตอนนี้ลมมันตีเสียจนหน้าเขาชาและแสบตาไปหมด ลำพังแค่ใช้สองมือเกาะขอบแพไว้ไม่ให้ตัวเองกระเด็นตกลงไปก็ลำบากแทบแย่ อย่าหวังว่าจะดูทิศทางจากสมาร์ทโฟนได้เลย 


แต่การเดินทางไม่ง่ายขนาดนั้นเมื่อจู่ ๆ แพก็ถูกกระแทกอย่างแรงจากด้านข้างทำเอาแพฉุกเฉินที่แล่นด้วยความเร็วสูงหมุนติ้วสามร้อยหกสิบองศาอยู่หลายตลบ


“เหวออออ!”


“อุ๊บ! อะ..อะไร หินโสโครกงั้นเหรอ หรือว่าชนตัวอะไรเข้า”


แพที่ชนเข้ากับอะไรบางอย่างจนเสียหลักชะลอตัวลงเล็กน้อยแต่ก็หมุนคว้างเหวี่ยงแมคเคนซีกลิ้งเข้าไปด้านในแพจนเกือบชนเข้ากับชาร์ล็อต และเมื่อแพเริ่มหมุนช้าลง เขาจึงค่อย ๆ คลานโผล่เพียงแค่หน้าออกมาอีกครั้ง


“นายโอเคไหมดีน!? ฉันว่านายควรเข้ามาข้างในก่อน ตอนนี้มันอันตราย”


“มะ… ไม่รู้สิ”


ดีนหลับตาแน่นเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเห็นภาพหมุนจนอาเจียนออกมา ขาทั้งสองข้างก็ปล่อยราน้ำหวังจะให้มันเป็นเบรคเอบีเอสอีกทอด สิ่งที่ควรทำเป็นอย่างแรกคือปิดฝากระบอกลมสี่ทิศ แต่ไม่รู้ว่าตนเผลอทำฝาร่วงหายไปตั้งแต่ตอนไหน จึงได้แต่ชูกระบอกลมขึ้นฟ้าเพื่อไม่ให้ไอพ่นดันทิศทางไปมั่วซั่ว จนกระทั่งแพหยุดหมุนจึงค่อย ๆ ลืมตามอง


ครีบของสัตว์ทะเลจำนวนเจ็ดครีบว่ายริ่วแหวกกระแสน้ำมาด้วยความเร็ว เมื่อดูจากลักษณะแล้วมันไม่ใช่วาฬเพชฌฆาตอย่างแน่นอน แต่เป็นสัตว์ร้ายที่คุ้นเคยกันดีจากหนังสยองขวัญฉลามกินคน


“ฉะ.. ฉลาม!!”


ดีนร้องโวยวายเมื่อเห็นฝูงฉลามชัดเต็มสองตา เขารีบยกขาขึ้นเหนือน้ำทันทีซึ่งเป็นความคิดที่ถูกต้องเพราะฉลามตัวหนึ่งพุ่งตัวเข้ามางับอย่างแรง แต่สิ่งที่ฟันเลื่อยขบโดนคือตัวแพที่มีความเหนียวและยืดหยุ่น มันไม่ขาดแต่ให้ฉลามงับต่อไปแบบนี้ไม่ดีแน่


ว่าแต่ทำไมล่ะ? ฉลามเป็นสัตว์ดุร้ายก็จริงแต่มันไม่น่าจะทำร้ายคนก่อนเว้นแต่ได้กลิ่นเลือดที่เป็นอาหาร หรือนี่คือฉะหลามสุดโหดที่ไข่อวบบอกไว้?


‘หรือชาร์ล็อตจะเมนส์มา?’


“ฮะ ฉลาม!?”


แมคเคนซีตะโกนลั่น เขาทันเห็นตัวนึงในฝูงกัดเข้าขอบแพตำแหน่งที่ดีนอยู่พอดีเลยรีบดึงร่างคนรักเข้ามาด้านในแพก่อนที่พวกมันจะตามมางับขาอีกฝ่ายไปจริง ๆ


แอ๊ด! แอ๊ด! แอ๊ด!


เสียงอะไรบางอย่างคล้ายเสียงแจ้งเตือนภัยดังลั่น สมาร์ทโฟนไฮโดรเอ็กซ์ในกระเป๋ากางเกงแมคเคนซีสั่นอย่างรุนแรงจนต้องหยิบขึ้นมาดู


“นี่มัน…มันไม่ใช่ฉลามธรรมดา มันคือมอนสเตอร์ชื่อลูซก้า”


บนหน้าจอแสดงภาพอสุรกายที่กำลังไล่ตามพวกเขาอยู่พร้อมข้อมูลแบบจัดเต็ม พอปัดหน้าจอแล้วก็มีภาพพิกัดแสดงตำแหน่งแพของพวกเขา (ซึ่งคงเป็นตำแหน่งของมือถือ) แทนด้วยจุดสีเขียว และฝูงอสุรกายที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้แทนด้วยจุดสีแดง


“สอง…สาม…ห้า…หก เจ็ดตัว พวกมันมีเจ็ดตัว กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ดูสิ”


แมคเคนซีบอกแล้วเอาสมาร์ทโฟนให้ทีมทำภารกิจอีกสองคนดู


“ลูซก้า!?”


บอกตามตรงว่าไม่เคยได้ยินชื่ออสุรกายพันธุ์นี้มาก่อน เอาเข้าจริงก็คงไม่แปลกเท่าไหร่เพราะว่าดีนรู้จักอสุรกายสักกี่ตัวเชียวล่ะ ที่เคยเจอมายังไม่พ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของสายพันธุ์อสุรกายทั้งหมดในโลกนี้เลยด้วยซ้ำมั้ง ระหว่างที่กำลังอึ้งกับจำนวนของอสุรกายทางน้ำที่ตามไล่ล่า เรือแพก็วิ่งด้วยความเร็วสูงอย่างไม่รู้ทิศทางตามกระบอกลมที่ดีนชูออกไปนอกตัวแพ


“แต่พวกเราน่าจะไม่ต้องกังวลหรือเปล่านะ แพแล่นเร็วขนาดนี้อสุรกายที่ไหนจะไล่ทัน—”


พูดยังไม่ทันจบก็เห็นเงาของปากขนาดใหญ่นอกหลังคาผ้าร่มที่ด้านหลังของชาร์ล็อต แพที่วิ่งมั่วดันไหลไปเข้าปากของลูซก้าเสียอย่างนั้น แม้ฟันคมใบเลื่อยของมันจะไม่อาจเจาะทะลุส่วนที่เป็นยางได้ แต่ผ้าใบเต็นท์น่ะไม่เหลือ


แคว่ก!!


“กรี๊ดดดดดด”


ชาร์ล็อตกรีดร้องเสียงหลง เธอรีบโผเข้ามากอดพี่ชายทั้งสองทันทีก่อนที่คมเขี้ยวนับร้อยจะกัดลงมา


“เหวอ!!!”


ด้วยความตกใจที่เห็นว่าหลังคาแพถูกฉีกกระชากขาดไปแล้ว ดีนจึงยกมือขึ้นมากันศีรษะไว้ ส่งผลให้พลังแรงลมมหาศาลพุ่งผ่าร่างของฉลามลูซก้าที่อ้าปากรอรับเหยื่อ จนร่างของมันถูกผ่าเป็นสองซีกในแนวนอนแหลกเละกระจุยกระจาย


“ว้ากกกก!!”


ภาพค่อนข้างสยองขวัญ แว้บหนึ่งดีนเห็นเครื่องในของสัตว์ใหญ่แบะออก ดีที่อสุรกายไม่มีเลือดสีแดงแบบสัตว์ทั่วไป สิ่งที่เคยเป็นเลือดเนื้อของมันจึงเป็นเพียงแค่ธุลีปลิวมาติดตามตัวก่อนจะสลายไปเองทั้งหมด 


แมคเคนซีมองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึงระคนพะอืดพะอมในคราวเดียวกัน หากเป็นปลาจริง ๆ ป่านนี้เนื้อตัวพวกเขาคงเลอะเทอะไปด้วยคราบเลือดและกลิ่นคาวปลาแล้วแน่ ๆ ดีที่เขากดศีรษะของน้องสาวให้หมอบหลบไว้ ไม่อย่างนั้นเธอคงได้เห็นภาพไม่น่าดูเป็นแน่


พอหลังคาเต็นท์เปิดโล่งก็มองเห็นรอบ ๆ ได้ชัดขึ้น ฝูงลูซก้าไม่ยอมปล่อยเหล่าเดมิก็อดซึ่งถือเป็นเหยื่ออันโอชะที่ถูกเสิร์ฟมาให้ถึงกลางทะเลง่าย ๆ พวกมันยังคงว่ายตามมาอย่างไม่ลดละ แม้อาจเสี่ยงที่จะโดนแรงลมของกระบอกลมสี่ทิศยิงจนร่างแตกก็ตาม


“ดีน ฉันว่าแพนี่ทนแรงกัดพวกมันได้ไม่นานแน่ เราต้องรีบไปถึงชายฝั่งให้เร็วที่สุด นายช่วยบังคับทิศทางกระบอกนั่นกับแพได้ไหม ส่วนชาร์ล็อตช่วยบอกทิศไปปานามาให้ดีนหน่อย”


แมคเคนซีวางสมาร์ทโฟนลงในมือน้องสาวซึ่งตอนนี้แสดงผลว่าจะถึงชายฝั่งในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า จากนั้นเขาก็คลานไปหยิบคทาเวทจากในกระบอกซูมออกมาถือไว้


“ฉันจะพยายามคอยกันพวกลูซก้าไว้ไม่ให้เข้าใกล้แพ”


ไม่รู้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือเปล่า ที่จริงแล้วสมรภูมิทางน้ำควรให้บุตรแห่งมหาเทพโพไซดอนอย่างดีนลงสนามจึงจะได้เปรียบ แต่ดีนก็เป็นคนเดียวในทีมเช่นกันที่มีประสบการณ์ด้านการบังคับเรือมาก่อน และช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้หนุ่มเท็กซัสก็ใช้พลังน้ำควบคุมแพควบคู่ไปกับการให้ไข่อวบลากจูงมาโดยตลอด เวลานี้ดีนอาจกำลังเพลียได้ที่ ดังนั้น เขาไม่ควรปล่อยให้คนรักต้องรับหน้าที่หนักเพียงคนเดียว


“ดะ..ได้!!”


ดีนรีบรับปาก พยายามดึงสติสตางค์ที่เตลิดเปิดเปิงให้กลับคืนมา เขาประคองกระบอกลมสี่ทิศให้ดี ตอนนี้ดีนรู้แล้วว่าเจ้าขวดนี่มีอานุภาพรุนแรงแค่ไหน มวลลมมหาศาลราวกับบรรจุพายุลูกย่อม ๆ เอาไว้ด้านใน ส่วนตัวกระบอกน่าจะทำมาจากโลหะชนิดพิเศษที่มีอำนาจป้องกันลมนี้ได้ ไม่อย่างนั้นคงเป็นตัวเขาที่ถูกดีดออกไปตามหลักฟิสิกส์แทนที่มันจะปล่อยไอพ่นออกมา แล้วเขาก็ทำฝากระบอกปิดหายไปแล้วด้วยยิ่งต้องควบคุมให้ดีไม่ให้มันพ่นไปโดนสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่ใช่น้ำและอสุรกาย


“ฝากด้วยนะแมคซี่!”


ดีนเข้าประจำการที่ท้ายเรือโดยมีชาร์ล็อตทำหน้าที่บอกทาง


หนุ่มอังกฤษพยักหน้ารับ พยายามค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นยืนท่ามกลางความเร็วของแพที่แล่นฉิวแหวกผ่านผืนน้ำทะเลจนกระจายตัวเป็นฟอง มันค่อนข้างทุลักทุเลไม่น้อยแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ทรงตัวขึ้นมาได้ในท่าเล่นเซิร์ฟที่เหมือนตอนต่อสู้กับไฮดร้าเมื่อไม่กี่วันก่อน


ดวงตาสีฮาเซลหรี่มองครีบที่โผล่พ้นน้ำซึ่งกำลังไล่กวดแพพวกเขามาท่ามกลางแสงอาทิตย์ร้อนแรง ประเมินได้ว่ามีสองตัวที่ว่ายนำมา และมีสี่ตัวที่ว่ายตามโดยทิ้งระยะห่างไม่มากนัก


‘ต้องให้พวกมันอยู่ห่างจากแพกว่านี้ก่อน’


ในหัวคิดแผนที่จะจัดการฝูงอสุรกายตรงหน้าซึ่งตามมาอย่างไม่ลดละ หากลูซก้าเข้ามาในระยะประชิดย่อมอันตรายต่อพวกเขามากเกินไป ก่อนหน้านี้ก็เห็นแล้วว่าฟันของมันคมขนาดไหนเลยไม่ควรประมาทเด็ดขาด แมคเคนซีจึงเลือกที่จะหลับตาลงแล้วตั้งสมาธิใช้ทักษะควบคุมหมอกสร้างม่านหมอกปกคลุมพื้นที่รอบตัวแพไว้


แล้วก็ได้ผล


เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นว่าลูซก้าฝูงนั้นกำลังนิ่งงันท่ามกลางหมอกทึบ เขาไม่รู้ว่าพวกมันเห็นอะไร ภาพตรงหน้าอาจถูกบิดเบือนเป็นคลื่นยักษ์ หรือไม่ก็กำแพงน้ำขนาดใหญ่ก็ได้ แต่นี่คือข้อได้เปรียบของแมคเคนซีที่มองทะลุผ่านทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน และตอนนี้ฝูงลูซก้าก็เป็นเพียงเป้านิ่งเท่านั้น


“อิกนิส พาร์วัส!”


ลูกไฟขนาดเท่ากำปั้นถูกยิงออกจากปลายคทาตรงเข้าไปยังครีบของลูซก้าตนหนึ่งซึ่งโผล่พ้นน้ำ ความร้อนที่เผาไหม้จนกระจายไปทั่วครีบทำให้มันดีดตัวขึ้นมาเหนือผิวน้ำอย่างทรมาน นักเวทหนุ่มจึงยิงลูกไฟใส่ที่ลำตัวของมันไปอีกลูก ร่างของมันจึงถูกเผาจนค่อย ๆ เป็นฝุ่นผงก่อนที่จะได้สัมผัสน้ำอีกครั้ง


“ขอโทษที นายมองเห็นหรือเปล่า”


พอนึกขึ้นได้ว่าดีนไม่สามารถมองทะลุหมอกได้จนอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมทิศทาง แมคเคนซีจึงคลายกลุ่มหมอกให้สลายไป ตอนนี้เขาเห็นฝูงลูซก้าที่เหลืออยู่ห้าตัวในระยะทิ้งห่างจากแพมากกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่ถือว่าอยู่ในระยะที่วางใจได้


“มองอะไรแทบไม่เห็นเลย”


จากมุมมองของเจ้าสมุทรเขามองเห็นสิ่งที่ปกคลุมอยู่เป็นเพียงหมอกสีขาวที่ดูลึกลับไม่ต่างจากตอนที่เจอเทพแห่งความตายเมื่อวานนี้ แม้จะรู้ว่าเป็นพลังที่แมคเคนซีสร้างขึ้นมาก็ตามแต่ก็อดที่จะขนแขนลุกเกรียวไม่ได้ หลังม่านหมอกแห่งเฮคาทีสลายไป ชายหนุ่มก็มองไม่เห็นท่าเรือที่อยู่ไกลลิบตาเสียแล้ว


“ฉิบหาย พวกเราอยู่ตรงไหนกันแล้วเนี่ย!”


“ตอนนี้พวกเราอยู่ห่างจากคลองปานามาลงมาทางใต้สามร้อยไมล์ทะเลค่ะ” ชาร์ล็อตผู้ทำหน้าที่เป็นต้นหนจำเป็นตอบ


“พระเจ้า! เผลอแป๊บเดียวพวกเราก็อยู่ห่างจากฝั่งมาไกลขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย!?”


จากใกล้เปลี่ยนเป็นไกล ลมก็ยังแรงดีไม่มีตก แต่นึกสังหรณ์ใจอย่างไรก็ไม่รู้ว่ากระบอกลมสี่ทิศจะหมดลมก่อนวกไปที่คลองปานามา…


“เอาไงดีคะพี่ดีน” ชาร์ล็อตถาม


“อะ..เอ่อ เอาไงดีล่ะแมคซี่” แล้วดีนก็ถามต่อ โดยยังมีฝูงลูซก้าที่เหลือไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ


หัวคิ้วแมคเคนซีถึงกับขมวดเข้าหากันเมื่อรู้ว่าตอนนี้แพของพวกเขามุ่งหน้ามาคนละทิศกับที่ตั้งใจเอาไว้เสียแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการใช้หมอกเมื่อครู่ของตนหรือว่ากระบอกลมสี่ทิศมันเร็วเกินไปจนปรับทิศทางไม่ทัน แต่ดูท่าคงต้องเป็นเขาเองที่ต้องปรับกลยุทธ์การต่อสู้ใหม่


“เวรจริง สามร้อยไมล์มันไกลเกินไป เราคงต้องเปลี่ยนจุดขึ้นฝั่งใหม่ ชาร์ล็อตลองดูหน่อยว่ามีชายฝั่งที่ใกล้ที่สุดหรือเปล่า”


นอกจากปรับแผนการสู้รบแล้วก็ต้องปรับแผนการเดินทางใหม่ด้วย กระบอกลมสี่ทิศนี่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้ไปได้อีกนานแค่ไหน แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นเชื้อเพลิงแล้วย่อมต้องมีวันหมดไม่ช้าก็เร็ว


“ตรงข้างหน้ามีชายฝั่งค่ะ เขียนว่าชายฝั่งปานามาเหมือนกัน ห่างจากตรงนี้ไปประมาณร้อยกว่าไมล์ทะเล”


ชาร์ล็อตเลื่อนหน้าจอหาจุดที่เป็นแผ่นดินที่ใกล้ที่สุดแล้วรีบบอกพี่ชายทั้งสองคน


“ดี งั้นปักหมุดไว้ที่ตรงนั้นเลย”


แมคเคนซีพยักหน้ารับแล้วมองไปยังด้านหลังของแพที่มีครีบของฝูงลูซก้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ต้องยอมรับเลยว่าความพยายามของพวกมันล้นเหลือจริง ๆ


“ยังตามมาทันอีก”


บุตรเทพีแห่งมนตราพึมพำ พลางมองหาตัวช่วยที่จะทุ่นแรงได้ การยิงเวทไฟแต่ละครั้งทำให้เห็นแล้วว่าค่อนข้างช้าและอาจไม่ทันการณ์ หากต้องมาคอยเล็งยิงทีละตัวคงโดนไล่กวดมาจนถึงตัวแพแน่ ๆ


แต่แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ซุกอยู่ตรงมุมหนึ่งของแพรวมอยู่กับเสบียงที่เหลือ แมคเคนซีไม่รีรอรีบไปหยิบมาทันที มันคือ ‘พลุควัน’ ที่ใช้สำหรับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือที่ต้องมีติดไว้ในเรือทุกลำหรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘พลุแฟลร์’ ชายหนุ่มรีบไล่สายตาอ่านทั้งวิธีใช้และข้อควรระวังทั้งหมด ไม่นึกเลยว่าจะมีประโยชน์ในวันนี้


“พวกนายปิดจมูกไว้ก่อน”


แมคเคนซีบอกแล้วรอให้อีกสองคนปิดจมูกให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันกลิ่นสารเคมีไม่พึงประสงค์ที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ จากนั้นก็ดึงชนวนที่ก้นกระบอกทั้งสองของพลุแฟลร์ออก ควันสีแดงพวยพุ่งออกมาจากปลายกระบอกคละคลุ้ง เขาไม่รอช้ารีบขว้างมันจนสุดแรงเกิดไปกลางวงลูซก้าทันที


กลิ่นของเดมิก็อดที่ติดอยู่กับวัตถุทรงกระบอกทำให้พวกอสุรกายร่างฉลามครึ่งหมึกเข้าใจว่ามีเหยื่อใกล้เข้ามา พวกมันพุ่งตัวขึ้นมาจากน้ำเพื่อหวังใช้ฟันอันแหลมคมคาบเหยื่อเคราะห์ร้ายลงไปใต้น้ำ แต่หารู้ไม่ว่าเข้าทางแมคเคนซีพอดี


“อิกนิส พาร์วัส!”


เวทไฟถูกร่ายออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป้าหมายอยู่ที่พลุแฟลร์ที่เขาเพิ่งเขวี้ยงออกไป จริงอยู่ที่พลุแฟลร์ไม่สามารถระเบิดได้หากใช้อย่างถูกวิธี แต่ดินประสิวที่เป็นส่วนประกอบและข้อควรระวังที่เขียนไว้ว่า ‘ห้ามเก็บไว้ใกล้เปลวไฟ​​’ ต่างหากคือสิ่งที่แมคเคนซีต้องการนำมาใช้ประโยชน์


บึ้มมมมม!!


เมื่อเปลวไฟสัมผัสเข้ากับกระบอกพลุก็เกิดระเบิดขึ้นจนน้ำบริเวณนั้นแตกกระจายเป็นวงกว้าง ส่วนร่างของฝูงลูซก้านั้นคงไม่ต้องพูดถึง


“เฮ้อ จบสิ้นสักทีนะ”


“ฮึก!”


เสียงระเบิดของพลุควันทำเอาดีนสั่นสะท้านไปทั้งตัว ลมหายใจถี่กระชั้น อาการแพนิกเสียงระเบิดกำเริบอีกครั้งจนเขาอยากปิดหูแทนที่จะปิดจมูก ทว่าคงไม่มีอีกแล้วเมื่ออสุรกายลูซก้าถูกกำจัดจนหมดภายในการระเบิดครั้งเดียว เขาบังคับแพความเร็วสูงไปตามจุดหมายที่ชาร์ล็อตบอกโดยพยายามข่มใจไว้ จะเป็นที่ไหนก็ได้ ขอแค่ให้ได้ขึ้นบกก่อนที่ลมในกระบอกโลหะจะหมดลง อีกแค่นิดเดียว ตอนนี้เห็นชายฝั่งอยู่ไม่ไกลแล้ว


ปุด ปุด ปุด


ลมสี่ทิศหมดฤทธิ์ก่อนถึงฝั่ง จากพายุแรงมหาศาลจนตอนนี้ผายลมยังแรงเสียกว่า แพฉุกเฉินหยุดสนิทอยู่กลางทะเลห่างไกลจากหาดทรายเบื้องหน้าเพียงไม่กี่ร้อยเมตร


“โธ่เอ๊ย หมดซะได้ อีกนิดเดียวเอง” บุตรโพไซดอนถอนหายใจ แต่ยังเหลือแผนสุดท้ายที่จะนำพาพวกเขาขึ้นฝั่งได้ ดีนหยิบไม้พายที่อยู่ซ่อนอยู่ในตัวแพออกมา “ดูเหมือนว่าพวกเราต้องพายแพกันต่อ—”


พูดยังไม่ทันจบเงาใหญ่โตของสัตว์ประหลาดน่าเกลียดก็กระโจนขึ้นเหนือน้ำ มันคือฉลามหมึกลูซก้าที่เหลืออยู่ตัวสุดท้ายจากที่เข้าใจผิดว่าถูกกำจัดทิ้งไปหมดแล้ว มันใช้หนวดแปดเส้นรัดร่างบุตรศัตรูคู่แค้นของมัน ‘โพไซดอน’ แล้วดึงลงไปใต้น้ำ


“!?!!!”


“ว้าย!! พี่ดีน!!” ชาร์ล็อตกรีดร้องเกือบจะทำโทรศัพท์ร่วงลงจากมือ


ดีนพยายามขัดขืนหนวดทั้งแปดและคมเขี้ยวนับร้อยซี่ที่พร้อมฉีกกระชากโดยการซ่อนตัวไว้ใต้โล่ฮิปโปแคมปัสที่ถูกกางออกจากสร้อยข้อมืออัจฉริยะอย่างเร็วไว ชายหนุ่มพยายามใช้การควบคุมน้ำสร้างใบมีดต่อกรกับมัน ทว่าเมื่ออยู่ในน้ำแล้วดาบสายน้ำก็ถูกบั่นทอนพลังลงไปหลายเท่าจากมวลน้ำและแรงดัน เข้าทำนองที่ว่า ‘โปเกม่อนธาตุเดียวกันตีกันไม่เข้า’


‘เวรเอ๊ย!!’


ต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง.. ในเมื่อสู้ด้วยตัวเองคนเดียวไม่ได้ก็ต้องให้พรรคพวกช่วย


ดีนควบคุมน้ำอีกครั้ง คราวนี้เขาใช้ยกตัวเองและลูซก้าที่กำลังมะรุมมะตุ้มกันขึ้นมาเหนือน้ำ


“แมคซี่ ยิง!!!”


ยังไม่ทันดีใจที่มองเห็นผืนแผ่นดิน ดีนก็โดนลูซก้าอีกตัวที่เหลือจับตัวไปซะได้ ดูท่าเจ้าตัวนี้จะไม่ติดหลุมพรางระเบิดดัดแปลงของแมคเคนซีและอาศัยจังหวะที่ควันจากพลุแฟลร์คลุ้งกระจายมุดน้ำทะเลแล้วว่ายตามมา จนกระทั่งแพหยุดเคลื่อนไหวจึงสบโอกาสของมันพอดี


“ดีน!”


แมคเคนซีเรียกชื่อคนรักลั่นเมื่อดีนที่ถูกดึงตัวไปใต้น้ำแล้วโผล่ขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับร่างลูซก้าที่พร้อมจะขย้ำอีกฝ่ายได้ทุกเมื่อ ว่าแต่เมื่อกี้ดีนตะโกนว่าอะไรนะ ‘ยิง’ งั้นเหรอ


เขาก้มลงมองคทาเวทในมือตนเอง ที่ว่ายิงนั่น…หมายถึงเวทไฟน่ะเหรอ


‘บ้าจริง ใครมันจะไปกล้าใช้ของแบบนั้นกัน!’


แมคเคนซีรู้ถึงความรุนแรงของลูกไฟจากเวทเพลิงดี แม้จะมีขนาดเท่ากำปั้นแต่อุณหภูมิของมันสูงเทียบเท่าไฟนรก นอกจากจะเผาอสุรกายจนไหม้เป็นจุณแล้ว ดีนอาจไม่ปลอดภัยไปด้วย แต่ตอนนี้สถานการณ์ตรงหน้าบีบบังคับให้ต้องรีบตัดสินใจ นักเวทหนุ่มรีบส่งคทาคบเพลิงให้น้องสาว จากนั้นก็ตั้งสมาธิใช้ทักษะเรียกอาวุธจากหมอก แล้วหอกทองคำจักรพรรดิเล่มงามก็ปรากฏขึ้นในมือ


จะว่าไป…นี่เป็นการใช้หอกครั้งแรกของแมคเคนซี แน่นอนว่าเขาไม่มีทักษะการใช้อาวุธชิ้นนี้แม้แต่น้อย แต่ด้วยระยะขนาดนี้ เขากะไม่พลาดแน่


“ปล่อยดีนนะโว้ยยย!!”


หนุ่มอังกฤษเงื้อแขนไปด้านหลังจนเกือบสุดแล้วขว้างหอกออกไปเต็มแรง คมหอกทองคำจักรพรรดิปักเข้าที่ช่วงกลางลำตัวของลูซก้าจนมันคลายรยางค์ที่พันรัดร่างของบุตรมหาเทพโพไซดอนไว้ อสุรกายปลาฉลามครึ่งหมึกดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดก่อนที่ร่างของมันจะสลายไปพร้อมกับหอกในตำนานที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ


ตู้ม!


ร่างของดีนตกลงสู่ทะเลอีกครั้งหลังจากลูซก้าที่ปลุกปล้ำกันอยู่นั้นสลายไป ชายหนุ่มว่ายท่าลูกหมาตกน้ำมาเกาะแพชูชีพก่อนจะปีนขึ้นมา จากนั้นเข้าไปสวมกอดคนรักทันทีด้วยร่างที่แห้งสนิท


“ฮื่อออ แมคซี่นายเท่จัง ฉันภูมิใจในตัวนาย”


จากวันที่บุตรแห่งเฮคาทีโดนรุมสกรรมจนขาหักที่ปารีส ผ่านไปหนึ่งปี ตอนนี้อีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้นมาก เก่งพอที่จะปกป้องตัวเอง ปกป้องครอบครัว และปกป้องเขาได้


“ไม่ใช่ว่าฉันเท่อยู่แล้วเหรอ”


แมคเคนซีแกล้งยิงมุกติดตลกพลางกอดร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของดีนตอบแล้วลูบหลังเบา ๆ เพื่อปลอบขวัญ  ให้ตายสิ หมอนี่ตกน้ำก็เหมือนไม่ตก ขึ้นมาจากน้ำไม่ทันไรก็ตัวแห้งแล้ว


“ชายฝั่งอยู่ข้างหน้าแล้ว พวกเรารีบเดินทางกันเถอะ หวังว่าที่นั่นจะมีที่พักดี ๆ บ้างนะ”


พอนึกถึงเตียงนอนที่มีหมอนกับผ้าห่มอุ่น ๆ รวมถึงฟูกนุ่ม ๆ และที่สำคัญเขาจะได้อาบน้ำหลังจากที่ดองตัวเองมาถึงสี่วันเต็มแล้วก็มีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาหลายเท่า แมคเคนซีหยิบไม้พายมาอันหนึ่งเตรียมพร้อม


“นายช่วยสอนฉันพายเรือได้ไหมที่รัก เราต้องนั่งตำแหน่งไหนกันบ้าง”


“ได้สิ ทำแบบนี้…”


ดีนสอนแมคเคนซีและชาร์ล็อตพายเรือ ซึ่งเรียกให้ถูกคือแพฉุกเฉินเปิดประทุน.. เริ่มจากการจัดตำแหน่งที่นั่งให้สมดุลกันทั้งซ้ายขวาหน้าและหลัง ความจริงก็ไม่แตกต่างจากองค์ความรู้การใช้ชีวิตบนแพชูชีพเสียเท่าไร 


แล้วสูงสุดก็กลับคืนสู่สามัญในเวลาอันรวดเร็ว จากใช้กระบอกลมสี่ทิศพลังงานเทพที่พาแพวิ่งเร็วจนเลยป้าย มาสู่การใช้ไม้พายจนถึงฝั่ง หาดทรายที่เห็นว่าอยู่ไม่ไกลแต่มันกลับไกลพอที่จะทำให้คนพายเรือฝ่าคลื่นที่ซัดเข้าและออกจากชายฝั่งกล้ามแขนปูด กระนั้นสุดท้ายก็ถือว่าโชคยังเข้าข้างแม้จะผ่านเหตุการณ์สุดหฤหรรษ์มานิดหน่อยแต่สามเดมิก็อดก็เดินทางถึงแผ่นดินปานามาโดยสวัสดิภาพ


“ตอนนี้พวกเราอยู่ตรงไหนกันแล้วนะ?”


หลังขึ้นบกมาได้ก็หยุดพักเหนื่อยหนึ่งยกใหญ่ ๆ ดีนยกสมาร์ทโฟนไฮโดรเอ็กซ์ขึ้นมาดู จุดพิกัดแสดงตำแหน่งของทั้งสามใกล้กับชายแดนปานามา-โคลอมเบียห่างไปไม่ถึงสิบกิโลเมตร โชคดีอีกอย่างคือถึงจุดนี้จะใกล้ชายแดนแต่ก็น่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวตากอากาศของชาวปานามาและโคลอมเบีย เพราะหน้าจอแสดงผลรายชื่อโรงแรมในละแวกไม่ไกลจากนี้อยู่หลายแห่งแถมยังมีสนามบินเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มอีกต่างหาก ถ้าเดินทางด้วยเครื่องบินได้ก็ดี แต่ซุสไม่เคยอนุญาต...


“ดูเหมือนว่าเดินไปอีกไมล์กว่า ๆ จะถึงย่านที่พักแล้ว พวกนายเลือกกันเลยว่าคืนนี้พวกเราจะนอนที่ไหน”


ดีนยื่นโทรศัพท์มือถือของเขาให้เหล่าเฮคาทีดู อย่างน้อยก็ต้องได้รับการยินยอมจากนายทุนผู้อุปการะงบประมาณการเดินทางเสียก่อน


“แน่ใจนะว่าให้ฉันเป็นคนเลือก“


เรื่องกีฬาและการออกกำลังต้องพึ่งพาดีนจริง ๆ แค่พายเรือเข้าฝั่งแมคเคนซีก็รู้สึกปวดแขนจนล้าไปหมด เขาดูพิกัดปัจจุบันและรายชื่อโรงแรมจากสมาร์ทโฟนของดีน ซึ่งก็มีที่ที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง


”งั้นพวกเราพับวิถีเกียรติยศแห่งเทพใส่กระเป๋าได้เลย”


เรียวนิ้วจิ้มลงไปที่ชื่อโรงแรมลำดับแรกที่ได้คะแนนความนิยมสูงสุดในย่านนี้ พวกเขาทนลำบากทำงานหนักเป็นลูกเรือ นอนในห้องพักคับแคบมาหลายคืน ซ้ำยังต้องเสี่ยงภัยเดินทางด้วยแพชูชีพอยู่กลางทะเลแคริบเบียนอีกสี่วันกว่าจะได้มาเหยียบบนผืนแผ่นดินอีกครั้ง ตอนนี้ร่างกายของเดมิก็อดทั้งสามกำลังโหยหาที่นอนนุ่ม ๆ อาหารปรุงสุกใหม่ที่ไม่ใช่อาหารกระป๋อง และห้องอาบน้ำเป็นที่สุด เพราะฉะนั้นวันนี้…


พวก เขา ต้อง ได้ นอน  โรง แรม ที่ ดี  ที่ สุด เท่า นั้น !!


เมื่อเลือกจุดหมายปลายทางได้แล้วทีมทำภารกิจก็พากันไปยกกระเป๋าสัมภาระและเสบียงที่เหลืออยู่มุ่งหน้าสู่ที่พักที่อยู่ห่างไปอีกราวสองกิโลเมตรโดยทิ้งแพยางที่ส่วนหลังคาขาดวิ่นไว้ข้างหลัง




ความคิดเห็นผู้บันทึก

     หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในแพชูชีพมาสี่วัน ในที่สุดพวกเราก็มาถึงปานามากันสักที ถึงจะไม่ใช่ท่าเรือโคลอมเบียอย่างที่วางแผนกันไว้แต่แรก แต่ตรงนี้ก็ห่างจากชายแดนโคลอมเบียไม่ถึงสิบกิโลเมตรเท่านั้น ต้องขอบคุณ ‘กระบอกลมสี่ทิศ’ ของซันซ์มากที่ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางให้พวกเรา และที่สำคัญที่จะขาดไม่ได้เลยคือ ‘ไข่อวบ’ วาฬเพชฌฆาตที่ช่วยลากแพให้พวกเราถึงสามวัน ถ้าเป็นไปได้ผมอยากใส่ชื่อออร์ก้าตัวนี้ให้เป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมเราด้วย ขอบคุณมากนะไข่อวบ ! พวกเราจะไม่ลืมเพื่อนที่ดีที่สุดแบบแกเลย


สรุปสถานการณ์

- เดินทางด้วยแพชูชีพเป็นวันที่สี่

- ทีมทำภารกิจตัดสินใจใช้กระบอกลมสี่ทิศจึงต้องบอกลาวาฬเพชฌฆาต ‘ไข่อวบ’ 

- กระบอกบรรจุลมสี่ทิศพาแพมาใกล้ ‘คลองปานามา’ แต่โดนฝูงลูซก้าจำนวน 7 ตัวโจมตี

- แพออกนอกทิศทาง ต้องหาจุดหมายใหม่ ระหว่างนั้นต่อสู้กับฝูงลูซก้าไปด้วย

- จัดการฝูงลูซก้าได้สำเร็จ กระบอกลมสี่ทิศลมหมด ต้องพายเรือเข้าฝั่งแทน

- ถึงชายฝั่งปานามา ทีมทำภารกิจเดินทางเข้าที่พัก


พิชิตอสุรกาย
ลูซก้า [1] [2] [3+4] [5] [6+7]
(ผลการต่อสู้ของ 6+7 หาย แต่จด Link และของที่ได้รับเอาไว้)


สินสงคราม [LUK มากกว่า 95]

หนวดลูซก้า 2 ea

เขี้ยวลูซก้า 12 ea
ไข่มุกอสูรทะเล 2 ea


DEAN

+2 ตื่นรู้จากการพิชิต [ลูซก้า] ครั้งแรก

ใช้ [กระบอกบรรจุลมสี่ทิศ]

MACKENZIE

+2 ตื่นรู้จากการพิชิต [ลูซก้า] ครั้งแรก

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 194110 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-9-9 01:37
โพสต์ 194,110 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก เหรียญนกฮูก  โพสต์ 2025-9-9 01:37
โพสต์ 194,110 ไบต์และได้รับ +25 EXP +35 เกียรติยศ +55 ความศรัทธา จาก น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ  โพสต์ 2025-9-9 01:37
โพสต์ 194,110 ไบต์และได้รับ +4 เกียรติยศ +4 ความกล้า จาก สร้อยคอดีไซน์เท่  โพสต์ 2025-9-9 01:37
โพสต์ 194,110 ไบต์และได้รับ +9 EXP +8 ความกล้า จาก กางเกงเดินป่า  โพสต์ 2025-9-9 01:37

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เหรียญนกฮูก
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x5
x1
x10
x2
x1
x2
x2
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
โพสต์ 2025-9-17 23:39:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-9-29 00:34



XVIII
กุ๊ก กุ๊ก กู๋
Dean Eilwyn Alvarez Neal
Trigger Warning: ตอนนี้มีคำหยาบคาย และฉาก Rate R

- 27.05.2025 / 02:19PM -
ปวยร์โต้ โอบัลดิอา, กุนนายาลา, ประเทศปานามา

“คิดว่าพวกเราควรต้องเสริมหล่อเสริมสวยก่อนจะเข้าไปที่โรงแรมกันหน่อยไหม?”

ดีนเสนอความคิดเห็นระหว่างที่สามเดมิก็อดค่อย ๆ เดินเลาะริมชายฝั่งจนจวนจะถึงเมืองปวยร์โต้ โอบัลดิอา เมืองเล็ก ๆ ในจังหวัดกูนายาลาทางตอนใต้ของประเทศปานามาที่มีชายแดนติดกับประเทศโคลอมเบีย

ที่นี่ค่อนข้างเงียบสงบและไม่ค่อยมีหน่วยงานผ่านเข้ามาบุกเบิกทำถนนทางหลวงเชื่อมต่อกับจังหวัดอื่น ๆ เนื่องจากอยู่ใกล้กับช่องดาเรียนที่แสนทรหด ชาวเมืองปวยร์โต้ โอบัลดิอาจึงมักจะคบค้าสมาคมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างโคลอมเบียมากกว่าคนภายในประเทศตัวเอง

ขอขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย…

ที่ถามแบบนั้นก็เพราะพวกเขาไม่ได้อาบน้ำกันเลยสี่วันเต็ม อยู่แต่ในแพ ทั้งตากแดด ทั้งสัมผัสลมทะเลจนตัวเหนียวเหนอะ ดีหน่อยที่หลังจากขึ้นฝั่งมา ทั้งสามได้ใช้น้ำสะอาดล้างหน้าล้างตาแปรงฟันให้สะอาดเอี่ยมเพราะไม่ต้องกังวลเรื่องเสบียงอาหารและน้ำดื่มกันแล้ว (แต่ก็ยังพกส่วนที่เหลือติดมาด้วยโดยใช้เวทมนตร์ย่อส่วนจากชาร์ล็อต)

“คือแบบว่า.. สภาพพวกเราในตอนนี้ก็ดูกรังใช้ได้ ฉันกลัวว่าทางโรงแรมจะคิดว่าเราลักลอบเข้าเมืองมา ตรงนี้ยิ่งติดชายแดนอยู่ด้วย เวทมนตร์เฮคาทีมีเวทที่เสกปุ๊บสะอาดปั๊บ หรือว่าเวทที่ทำให้คนอื่นเห็นเราแต่งตัวดี ๆ บ้างไหม สภาพฉันตอนนี้เหมือนคนเพิ่งไปเดินป่ามาเลย”

ก็ถามอะไรโง่ ๆ หากมีเวทมนตร์แบบนั้น แมคเคนซีที่รักความสะอาดคงจะเสกมนตร์ใส่ทุกวันวันละสองรอบไปแล้ว

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น สองพี่น้องสายเลือดมนตราก็มองบุตรเจ้าสมุทรไล่ตั้งแต่ศีรษะลงมา เรือนผมหยักศกสีดำสนิทยาวระลำคอไม่เป็นทรง ใบหน้าละตินคมเข้มยิ่งขึ้นจากหนวดเคราที่ขึ้นครึ้มไม่ได้โกนมาหลายวัน ผิวสีน้ำผึ้งกลายเป็นคร้ามแดดจากการอยู่ใต้แสงอาทิตย์นานเกินไป ดูจากสภาพแล้วก็ไม่ต่างจากคนที่ ‘เพิ่งออกจากป่า’ มาจริง ๆ

“ก็ไม่เชิงว่าไม่มีหรอก พวกเวทตบตาคนน่ะ…”

แมคเคนซีเปรยขึ้นมาเพียงแค่นั้นแล้วก็เงียบไปเพื่อนึกถึงคาถาบทที่ว่า

“คาถาอะไรนะ…การรับรู้ที่เปลี่ยนแปลงหรือเปล่า”

“ใช่ค่ะ แต่ส่วนมากถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ค่อยได้ใช้กับคนเท่าไหร่ พี่ดีนอยากลองดูไหมคะ หนูช่วยเสกได้นะ”

ไม่ว่าเปล่าเด็กสาวยังหยิบคทาปากกาฟรุ้งฟริ้งขึ้นมาถือเตรียมไว้พร้อม จะให้แมคเคนซีหยิบคทาคบเพลิงที่พวกมนุษย์เห็นเป็นอุปกรณ์ทำเบเกอร์รี่ก็คงจะดูแปลก ๆ 

“ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ค่อยใช้กับคนเหรอ…”

ดีนอ้าปากพะงาบ ๆ งับลมอยู่หลายคำ เขาดูหนังและการ์ตูนเกี่ยวกับพ่อมดมาหลายเรื่อง เจ้าพวกเวทเปลี่ยนสภาพ เวทปลอมตัวยิ่งชอบมีข้อผิดพลาดเสียด้วยสิ อย่างเช่นจะเสกเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่กลายเป็นทำให้เราเป็นเสื้อผ้าเสียเอง

ก็ไม่ใช่ว่าไม่ไว้วางใจหรอกนะ…แต่ไม่เอาดีกว่า

“ฟังดูอันตรายจังแฮะ ฉันว่าเอาไว้ลองวันหลังแล้วกัน”  ดีนตอบพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว

“งั้นไปทั้งอย่างนี้เลยนะ?”

ถึงจะเชื่อว่าระดับชาร์ล็อตคงไม่ร่ายเวทพลาด แต่ก็ถือความสบายใจของอีกฝ่ายเป็นหลัก ดังนั้นพวกเขาจึงพากันเดินไปยังที่พักต่อ

.
.
.

เมื่อมาถึงหน้าฟร้อนต์โรงแรม…จะเรียกว่าโรงแรมก็คงไม่ถูกนัก ที่ที่พวกเขามาถึงคือรีสอร์ตเสียมากกว่า มันไม่ใช่ตึกแถวเรียงราย แต่เป็นบ้านพักที่สร้างในรูปแบบบังกะโลแยกหลังไว้เป็นสัดส่วน หากจะให้แบ่งเกรดตามระดับที่พักก็คงเทียบได้กับโรงแรมสองดาว ซึ่งสำหรับพื้นที่แถบนี้คงเรียกได้ว่าดีที่สุดแล้วล่ะมั้ง

“สวัสดีครับ พวกผมต้องการห้องพักสักคืน พอจะมีห้องว่างไหม”

แมคเคนซีถามอย่างสุภาพ แม้ว่าพนักงานสาวที่ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์จะติดสตั๊นท์ไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพของพวกเขาก็ตาม

“#$^*(&#((%$”

แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นภาษาไม่คุ้นหู (แต่อาจคุ้นด้านสำเนียงจากคนใกล้ตัว) เขาเลยยืนนิ่งทำตาปริบ ๆ แล้วหันมากระซิบกระซาบกับเพื่อนร่วมทีม

“ที่นี่เขาไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษกันงั้นเหรอ”

จะว่าโชคดีก็ได้ที่ดีนมีเชื้อสายฮิสแปนิกจากคุณแม่ ที่อยู่เก่าก่อนย้ายบ้านใหม่ก็มีแต่แรงงานชาวเม็กซิกันที่อพยพเข้ามาทำงานในเท็กซัสทำให้เขาซึมซับภาษาสเปนมาตั้งแต่เด็ก ดีนจึงพอจะสื่อสารภาษาสเปนได้ในระดับที่ต่อราคาผักในตลาดนัด หรือซื้อทาโก้จากคนขายชาวเม็กซิกันต้นตำรับแล้วพ่อค้าทำมาถูกไส้

“โอ้ ให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”

เปลี่ยนหน้าที่จากการเป็นล่ามภาษาวาฬเพชฌฆาตมาเป็นล่ามภาษาคนแทน แต่ต้องขุดสกิลการสื่อสารภาษาสเปนที่ไม่ได้ใช้มานานขึ้นมาเคาะสนิมนิดหน่อย

“Hola!, oye, necesitamos dos habitaciones. ¿Tienes por ahí? Y si se puede, que estén pegaditas.” (บ่ายสวัสดิ์ครับ พวกเราต้องการห้องพักสองห้อง มีว่างบ้างไหมครับ? ถ้าได้ก็ขอให้ติด ๆ กันหน่อยนะ)

พนักงานสาวมองพวกเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้ง แต่กระนั้นก็ยังพูดดีด้วยตามหน้าที่

“Tenemos dos habitaciones disponibles, justo las últimas, pero no están pegadas. ¿Las quiere de todas formas?” (เรามีห้องว่างอยู่สองห้องพอดีเลยค่ะ แต่ไม่ติดกันนะคะ คุณยังต้องการอยู่ไหม?)

“Mmm… un momento.” (อืมมมม… แป๊บนะครับ) ดีนหันกลับมาทางสองพี่น้องเฮคาทีก่อนจะอธิบาย “ฉันถามเขาไปน่ะว่ามีห้องว่างเหลือสองห้องที่ติดกันไหม เขาบอกว่าเหลือว่างพอดีแต่ไม่ติดกัน จะเอายังไงดี?”

ก็ว่าอยู่ว่าเคยได้ยินสำเนียงคุ้นหูนี่จากไหน พอดีนพูดเท่านั้นล่ะใช่เลย แต่ก็ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะพูดภาษาสเปนได้ด้วย 

‘แฟนเรานี่เก่งชะมัด!’

แมคเคนซีได้แต่แอบตบมือชื่นชมอีกฝ่ายอยู่ในใจ แล้วตีหน้านิ่งฟังสิ่งที่ดีนสรุปให้ฟัง

“ไม่ติดกันงั้นเหรอ…น่าเสียดายแฮะ”

หนุ่มอังกฤษหลุบตาลงมองน้องสาวตนเอง ไม่รู้ว่า ‘ไม่ติดกัน’ ที่ว่าจะห่างกันมากไหม เขายังคงระแวงอยู่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชาร์ล็อตอีกหรือเปล่า หากต้องแยกกันแล้วเธอถูกใครไม่รู้จับตัวไปอีกก็เท่ากับว่าที่เขากับดีนทำมาทั้งหมดกลายเป็นศูนย์ทันที ครั้นจะให้อยู่ห้องเดียวกันสามคนก็คงไม่สะดวกสำหรับชาร์ล็อตเองด้วย

“เอ่อ…หนูอยู่อีกห้องได้นะคะ”

ส่วนเด็กสาวเองก็คงไม่อยากรบกวนพี่ชายทั้งสองคนเลยตกลงรับข้อเสนอนี้

ดีนรู้ความกังวลใจของแมคเคนซีดี เพราะว่าเขาเองก็คิดไม่ต่างจากอีกฝ่าย ยิ่งตอนนี้เข้าใกล้ถิ่นของศัตรูเข้าไปทุกเมื่อ มีหรือสมุนของอะพอลลีออนจะไม่รู้ความเคลื่อนไหวของพวกเขา แล้วยังคำเตือนที่ว่า ‘ความตายใกล้แค่เอื้อม’ จากเทพแห่งความตายที่อุตส่าห์ผ่านทางมาบอกอีก เขาไม่รู้ว่ามันจบลงไปแล้วตั้งแต่ปะทะกับฝูงลูซก้าเมื่อเช้านี้ หรือว่าแค่เพิ่งเริ่มต้น…

“¿De verdad no hay habitaciones juntas? Es que mi hermana menor no se siente muy bien.” (ไม่มีห้องที่ติดกันเลยเหรอครับ พอดีน้องสาวของเราไม่ค่อยสบาย)

หลังดีนต่อรองพนักงานก็ทำท่าคิดหนักเหมือนกำลังนึกถึงอดีตอันแสนยาวนาน เธอพึมพำเสียงเบา

“Bueno… ya hace tiempo, seguro no pasa nada.” (เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว คงไม่มีอะไรแล้วมั้ง)

“¿Perdón?” (ยังไงนะครับ?)

“Ah, no pasa nada. Me acabo de acordar que tenemos dos habitaciones juntas disponibles. Eh… es que unos huéspedes acaban de hacer check-out y las camareras tienen que limpiarlas primero. ¿Podrían esperar un momento?” (อ๋อ ไม่มีอะไรค่ะ พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีห้องว่างที่ติดกันสองห้องพอดีเลย เอ่อ… มีแขกเพิ่งเช็คเอาท์ไป แม่บ้านต้องทำความสะอาดก่อน พวกคุณสะดวกรอไหมคะ?)

ประโยคเริ่มยาวทำเอาดีนเริ่มมึน แต่ยังพอจับใจความได้ว่ามีห้องว่างแต่ต้องรอทำความสะอาดก่อน

“¡Genial! Esperaremos entonces. Y bueno, ¿nos podría dar los detalles de las habitaciones?” (เยี่ยมไปเลย พวกเราจะรอครับ ถ้างั้นรบกวนขอรายละเอียดห้องด้วย)

ดีนอธิบายที่คุยมาเมื่อกี้ให้แมคเคนซีและชาร์ล็อตฟัง จากนั้นก็แปลรายละเอียดที่พักพร้อมกับทำสัญญาเช่าห้อง ดูเหมือนว่าพอมีเงินเป็นปัจจัยเสริมเข้ามา เรื่องทุกอย่างก็ง่ายดายขึ้นไปหมด

ทางด้านแมคเคนซีที่สื่อสารภาษาสเปนไม่เข้าใจก็รอให้ดีนเจรจากับพนักงานจนเรียบร้อย ส่วนเขาก็มีหน้าที่แค่วางเครดิตการ์ดให้พนักงานนำไปรูดและเซ็นชื่อเท่านั้น ด้วยความที่ที่นี่เป็นโรงแรมระดับสองดาวจึงไม่ได้เคร่งครัดเรื่องการตรวจเอกสารของผู้เข้าพักมากนัก 

“ต้องรอเขาทำความสะอาดก่อนใช่ไหม งั้นระหว่างนี้พวกเราไปทำอะไรกันดี”

แม้จะถามว่า ‘ไปทำอะไรกันดี’ แต่ตอนนี้จิตใจของเขาลอยไปที่สายน้ำเย็นชื่นใจของฝักบัวในห้องน้ำแล้ว

“ฉันอยากไปเดินเล่นสำรวจรีสอร์ตแฮะ”

ดีนยังคงทำตัวตื่นเต้นตามประสาดีนเมื่อได้มาท่องเที่ยว (?) ยังสถานที่ใหม่ ๆ แต่ก็ดันนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาเพิ่งเดินทางไกลกว่าหนึ่งไมล์มาหมาด ๆ ฝ่าแสงแดดร้อนฉ่าแผดเผาผิวหนังโดยไม่มีอะไรบดบังนอกจากหมวกแก๊บที่พกมา

เหล่าสายเลือดเฮคาทีน่าจะเหนื่อยกันไม่น้อย แม้ว่าแมคเคนซีจะเป็นผู้ชายที่แข็งแรงสมบูรณ์และตัวใหญ่กว่าดีน แต่ถ้าในแง่ความอึดถึกทนสมบุกสมบัน ดีนอาจมีมากกว่าจากการที่เขาออกกำลังกายยามเช้าเป็นประจำ ด้านชาร์ล็อตยิ่งแล้วใหญ่ สุขภาพของเธอเพิ่งจะฟื้นฟูมาได้หมาด ๆ การเดินระยะไกลขนาดนี้อาจสุดกำลังของเธอแล้ว

“เอ่อ… พวกนายเหนื่อยกันหรือเปล่า ถ้าเหนื่อยก็พักที่ล็อบบี้ก่อนก็ได้นะ ฉันไปสำรวจแป๊บเดียวเดี๋ยวกลับมา”

“ฉันไม่เหนื่อยหรอก รออยู่ว่าง ๆ แบบนี้ก็ไม่รู้จะทำอะไรดีเหมือนกัน” แมคเคนซีส่ายหน้าก่อนจะหันไปถามน้องสาว “ชาร์ล็อตไหวหรือเปล่า อยากเดินออกกำลังกายไหม”

“หนูอยากไปด้วยค่ะ แต่อาจจะช้านิดนึง จะลำบากพี่ ๆ ไหมคะ”

ชาร์ล็อตยิ้มให้พี่ชายทั้งสองคนเล็กน้อย เด็กสาวที่ไม่ค่อยได้ท่องโลกกว้างก็คงอยากสำรวจที่ใหม่ ๆ เช่นกัน โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ แต่เธอเองก็คงเกรงใจด้วยไม่อยากให้ปัญหาด้านสุขภาพร่างกายของตนเองมาเป็นภาระแก่ผู้อื่น

“ไม่เลย ถ้าเธออยากเดินเล่นก็มาด้วยกันสิชาร์ล็อต”

ดีนยิ้มตอบเด็กสาวเพียงคนเดียวของทีม จากนั้นหันไปสื่อสารกับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ว่าขอไปเดินเล่นดูสถานที่หน่อยจึงอยากขอฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อบบี้ก่อน ซึ่งเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร.. แหงมแหละ จ่ายเงินไปแล้วนี่นา

“พนักงานบอกว่าโอเคล่ะ พวกเราไปสำรวจกัน”

กล่าวจบก็พาบุตรธิดาเฮคาทีเดินชมรีสอร์ต พื้นที่โดยรวมของที่พักไม่ได้กว้างขวางมากเท่าไหร่ ถัดจากล็อบบี้ไปก็เข้าโซนบังกะโลแล้ว ที่นี่มีร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ขายอาหารตามสั่งท้องถิ่นและร้านสะดวกซื้อให้พอซื้อขนม เครื่องดื่ม และเครื่องใช้ส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ขาดเหลืออยู่ข้างล็อบบี้ ข้างกันนั้นมีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญไว้บริการลูกค้า แต่ไม่มีเครื่องอบผ้า ทว่านั่นไม่เป็นไรเพราะพระอาทิตย์ยามนี้พร้อมสาดแสงทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้การตากผ้าตอนดึกไม่มีปัญหาเรื่องผ้าไม่แห้งเหม็นกลิ่นอับชื้น สุดท้ายคือที่นี่ไม่มีสระว่ายน้ำคลอลีนแต่มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่เรียกว่าทะเลอยู่ด้านหลัง

ไม่รู้ว่าแมคเคนซีกับชาร์ล็อตจะเบื่อทะเลกันหรือยัง แต่ว่าดีนไม่รู้สึกเบื่อหน่ายสายน้ำเค็มเลยแม้แต่น้อย หากไม่ได้อยู่ระหว่างการทำภารกิจเขาคงไม่พลาดที่จะลงเล่นน้ำทะเลอย่างสบายใจแน่ ๆ แผนการเดินทางของพวกเขาเปลี่ยนไปมาก หลังจากเข้าที่พักแล้วก็ต้องวางแผนการเดินทางใหม่อีก บางทีพวกเขาอาจต้องเข้าชายแดนโคลอมเบียเพื่อใช้ทางบกเข้าสู่ประเทศเอกวาดอร์… 

แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดอะไรเลย ขอพักผ่อนสมองก่อนดีกว่า

“ห้องพักก็ดูไม่เล็กนะ”

ดีนกล่าวขณะเดินผ่านบ้านพักบังกะโลที่ตั้งเรียงรายหันหน้าออกไปยังชายหาด พวกเขาวอล์กอินแบบไม่รู้อะไรเลย รูปของห้องก็เห็นแค่จากรีวิวในกูเกิ้ลแมพเพียงเท่านั้น ซึ่งดูไม่แย่ ก็หวังว่าจะตรงปก แต่ถึงไม่ตรงปกอย่างน้อยคงดีกว่านอนอยู่ในแพที่ร้อนจนเหงื่อออกรักแร้

ดวงตาสีเปลือกไม้กวาดมองจนทั่วก่อนจะสะดุดที่บังกะโลแฝดหลังหนึ่งที่กลุ่มแม่บ้านเดินเข้าไป ซึ่งน่าจะเป็นห้องพักของพวกเขานี่แหล่ะ

“แต่มันใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ มากันตั้งสี่คนแน่ะ ไม่แน่ว่าอาจจะเซอร์ไพรส์กว่าที่คิดหรือเปล่านะ” 

“แบ่งทีมกันทำห้องละสองคนหรือเปล่า”

แมคเคนซีที่มองตามไปออกความเห็น ผู้พักเก่าเพิ่งเช็คเอาท์ออกไป ผู้พักใหม่ก็เช็คอินเข้ามาทันทีเลยต้องรีบทำความสะอาดอย่างเร่งด่วนล่ะมั้ง

“ถ้ามีตอนเย็นพวกเราคงเดินเลียบชายหาดได้สบายกว่านี้”

แน่นอนว่าเขาอยากเดินดูพระอาทิตย์ตกดินเคียงข้างคนรักโดยมีคลื่นทะเลเล็ก ๆ ซัดกระทบฝั่งเพิ่มบรรยากาศโรแมนติก แต่ก็อย่างที่เห็น แดดเปรี้ยงตลอด 24 ชั่วโมง

“นั่นสินะ วิวดีขนาดนี้แต่พระอาทิตย์ดันไม่เป็นใจซะงั้น”

ดีนเคยส่งเรื่องร้องเรียนไปทางเทพอะพอลโล่ในช่วงแรก ๆ ของปรากฏการณ์ฯ แต่เหมือนว่ากรณีนี้จะไม่ใช่การเล่นพิเรนทร์ของเทพแห่งแสงสว่างอย่างที่โพไซดอนเคยบอก ยิ่งเป็นภาระหนักของอะพอลโล่เสียด้วยซ้ำที่ต้องลากรถพระอาทิตย์ตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงยังไม่อยากกล่าวโทษใคร แต่ในเมื่อยังหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ก็ไม่รู้จะพูดถึงอย่างไรดี

โลกคงไม่แตกไปทั้งแบบนี้หรอกนะ

“…………”

ระหว่างที่สองหนุ่มเดินคุยกัน ชาร์ล็อตที่เดินรั้งท้ายยังคงมองเข้าไปในบังกะโลซึ่งจะกลายเป็นห้องพักของพวกเขาในอีกไม่ช้า

เมื่อเดินเล่นกันได้พักใหญ่ทั้งสามก็กลับไปที่ล็อบบี้ ห้องของพวกเขาทำความสะอาดเสร็จพอดีพนักงานคนเดิมจึงนำกุญแจห้องมาให้

“Las habitaciones son la 13A y la 13B. Pueden ir directamente ustedes mismos.” (ห้องเบอร์สิบสามเอ และสิบสามบีนะคะ ลูกค้าไปที่ห้องได้เลยค่ะ)

“¿Podemos ir solos? …Bueno, está bien.” (ไปเองได้เลยเหรอครับ? …โอเค)

ดีนรับกุญแจห้องมา เขาคิดว่าแปลกนิดหน่อยที่พนักงานไม่ไปส่งที่ห้องแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร รีสอร์ตก็เล็กแค่นี้แถมพวกเขายังเดินทัวร์มาแล้วด้วย แค่หาบังกะโลหมายเลขสิบสามคงไม่ยากเกินความสามารถ

“ดูสิ พวกเราได้เลขลัคกี้นัมเบอร์อีกแล้ว” ดีนชูกุญแจห้องที่ติดกับพวงกุญไม้สลักหมายเลขพร้อมแกว่งไปมา “เธอบอกว่าให้พวกเราไปกันได้เลยล่ะ พวกเราไปกันเถอะ”

แจ้งเสร็จก็สะพายกระเป๋าเป้ขึ้นหลังแล้วออกเดินนำไปยังโซนบ้านพักอีกรอบ

“อา……”

แมคเคนซีมองหมายเลขห้องบนพวงกุญแจไม้ในมือดีนแล้วก็ได้แต่อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดแบบนั้นจริง ๆ หรือกำลังพยายามมองโลกในแง่ดีอยู่ เพราะสำหรับชาวอังกฤษแบบเขา ‘หมายเลข 13’ คือเลขที่สื่อถึง ‘ลางร้าย’ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในทางกลับกัน เหล่าพ่อมดแม่มดมีความเชื่อว่าเลข 13 โดยเฉพาะ ‘วันศุกร์ที่ 13’ ถือเป็นวันดีซะอย่างนั้น แล้วเขาที่เป็นชาวอังกฤษต่ดันมีสายเลือดของมารดาที่เป็นต้นกำเนิดแห่งแม่มดทั้งปวงควรจะเชื่ออะไรดี

หลังจากที่ช่วยกันหอบหิ้วเป้และสัมภาระไล่เรียงบ้านพักแต่ละหลังไปตามลำดับแล้ว พวกเขาก็มาหยุดอยู่ที่บังกะโลแฝดหลังสุดท้ายที่ทำจากไม้ทั้งหลังมุงหลังคาด้วยใบจากซึ่งตั้งแยกจากหลังอื่น ๆ มาอยู่ในโซนที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าค่อนข้างดูเงียบสงบ

“นี่มัน…หลังที่พวกพนักงานเพิ่งทำความสะอาดไปเมื่อกี้จริง ๆ ด้วย”

“ใช่ไหมล่ะ ทำความสะอาดใหม่เอี่ยมอ่อง~”

พูดจบดีนก็ไขกุญแจห้องสิบสามเอ สิ่งแรกที่ต้อนรับพวกเขาคือไอเย็นยะเยือกภายในห้องที่ตีกลับออกมา “ว้าว เปิดแอร์ต้อนรับไว้ด้วยแฮะ” มือกดสวิตช์ไฟ มันกะพริบอยู่สามสี่ครั้งก่อนจะติดขึ้นมาเป็นแสงสลัว 

ภายในบังกะโลไม่ได้ใหญ่โต ตัวห้องมีรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสแสนเรียบง่าย เฟอร์นิเจอร์มีเพียงชั้นวางรองเท้า โต๊ะเก้าอี้และตู้เย็นเล็ก เตียงเดี่ยวขนาดควีนไซส์ตั้งอยู่ทางขวามือ ตรงกันข้ามเป็นโทรทัศน์ที่ไม่คิดจะเปิดดู และประตูเชื่อมไปห้องข้าง ๆ ที่ถูกขนาบข้างด้วยตู้เสื้อผ้าไม้วินเทจที่ดูแล้วน่าจะผ่านกาลเวลามาช่วงระยะเวลาหนึ่ง ด้านหลังคือประตูห้องน้ำที่ตรงกับประตูทางเข้าพอดีเป๊ะ คาดว่าห้องสิบสามบีคงมีโครงสร้างไม่แตกต่างกันแต่อาจหันสลับด้าน

ดวงตาสีเปลือกไม้มองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับเครื่องปรับอากาศที่อยู่เหนือกำแพง มันไม่ได้เปิดทำงาน

“อ้าว แอร์ไม่ได้เปิดอยู่แฮะ งี้แสดงว่าหลังคามุงจากช่วยกันความร้อนได้ดี”

ดีนยังคงมองโลกในแง่ดีได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อเข้ามาภายในห้องพักได้เขาก็สลัดรองเท้าออกจากขาแล้วกระโดดลงที่นอนทันทีทั้งที่ยังมีเป้อยู่กลางหลัง

“เฮ้อ วันนี้จะได้นอนที่นอนดี ๆ สักที”

แมคเคนซีที่ถอดรองเท้าแล้วเดินตามเข้าไปมองสำรวจรอบห้องก่อนไปหยุดตรงร่างของบุตรโพไซดอนที่พุ่งตัวลงเตียงไปแล้วเหมือนเด็ก แน่นอนว่าเขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ดีนบอกเมื่อครู่เช่นกัน เพียงแต่สำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่ความเย็นที่ทำให้สบายตัว แต่เป็นความเย็นที่ทำให้รู้สึกขนลุกชันขึ้นมาแบบหาสาเหตุไม่ได้ แต่พอได้เห็นดีนมีความสุขกับที่นอนสปริงนุ่มนิ่มแล้วเขาก็ลืมเรื่องอื่นไปหมด

“ฉันจะไปดูห้องชาร์ล็อตหน่อย นายไปด้วยกันไหม”

เขาเอ่ยปากชวนคนรักหลังจากที่วางสัมภาระลงตรงมุมหนึ่งของห้อง อย่างน้อยก็อยากไปตรวจสอบห้องพักของน้องสาวสักหน่อยว่าโอเคดี จะได้พักผ่อนอย่างสบายใจ

“นายไปดูแลเธอเลย ฉันว่า…เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำรอดีกว่า นายกลับมาจะได้เจอฉันในสภาพหอม ๆ”

ดีนยิ้มกว้างจนตาหยี จากนั้นเขาก็ส่งกุญแจห้องสิบสามบีให้อีกฝ่าย

พอได้ยินว่าแฟนจะอาบน้ำให้ตัวหอมฟุ้งรอ แมคเคนซีก็ถึงกับต้องเม้มปากพยายามกลั้นยิ้มไว้

‘ให้ตายสิ เสียดายชะมัดที่ไม่ได้อาบพร้อมกัน’

แต่นี่อาจจะดีแล้วก็ได้ ถ้าได้อาบพร้อมกันกว่าจะออกจากห้องน้ำก็คงได้ผลัดกันถูตัวถูหลังถูนั่นถูนี่ปาไปหลายชั่วโมง

“โอเค หอม ๆ เลยนะ”

หนุ่มอังกฤษกระซิบประโยคหลังให้ได้ยินกันเพียงสองคนขณะรับกุญแจมาจากดีนพร้อมส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ก่อนจะพาน้องสาวไปยังห้องข้าง ๆ

.
.
.

“อืมมมม…ไม่มีอะไรชำรุดเสียหาย ชาร์ล็อตอยู่ในห้องคนเดียวได้ใช่ไหม ไม่เป็นไรแน่นะ”

หลังจากที่ไขกุญแจห้องสิบสามบีเข้ามา บอกได้เลยว่าบรรยากาศค่อนข้างต่างจากห้องสิมสามเอนิดหน่อย แต่ก็บอกไม่ถูกว่าต่างกันที่ตรงไหน ภายหลังจากที่ตรวจตราส่วนต่าง ๆ ภายในห้องว่าอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีแล้ว แมคเคนซีก็ถามเด็กสาวด้วยความห่วงใยอีกครั้ง จะว่าเขาขี้โอ๋น้องก็เชิญ เกิดเป็นลูกคนเดียวมาตั้งยี่สิบเอ็ดปี พอมีน้องแล้วก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา ยิ่งเป็นน้องสาวด้วยแล้วก็ยิ่งห่วงมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า

“สบายมากค่ะพี่แมค ห้องเราอยู่ติดกันแค่นี้เองนะคะ”

ชาร์ล็อตยิ้มสดใสให้ นั่นทำให้แมคเคนซีรู้สึกตัวว่าน้องสาวของเขาคนนี้ก็อายุสิบแปดปีแล้ว ไม่ใช่เด็กแปดขวบสักหน่อย เขาคงกังวลมากเกินไปจริง ๆ

“โอเค งั้นถ้ามีอะไรก็เคาะคอนเน็คดอร์หรือเปิดประตูเข้ามาได้เลยนะ พี่จะไม่ล็อคไว้”

แมคเคนซีบอกพลางมองไปยังประตูที่เชื่อมต่อห้องทั้งสองไว้

“ได้ค่ะ พี่แมคพักผ่อนเถอะค่ะ พวกเราเหนื่อยกันมาหลายวันแล้ว”

หนุ่มนักเวทพยักหน้ารับน้อย ๆ แล้วค่อยกลับมาที่ห้องพักของตนเอง แน่นอนว่าคืนนี้เขาจะพักผ่อนให้เต็มที่ แล้วก็จะนอนกกกอดดีนให้สมกับที่ได้แค่นอนจับมือกันตอนอยู่ในแพด้วย

“ฉันมาแล้วที่รัก”

เมื่อเข้าห้องมาก็ไม่พบร่างของคนที่นอนเป็นเต่าอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว มีเพียงเสียงฝักบัวในห้องน้ำที่ดังขึ้นแทนคำตอบ ดีนคงกำลังอาบน้ำอยู่ แมคเคนซีรู้นิสัยการอาบน้ำแบบพิถีพิถันของอีกฝ่ายดี เขาไปห้องชาร์ล็อตมาเพียงไม่กี่นาที ซึ่งถือว่าเป็นเพียงเศษเสี้ยวเวลาการอาบน้ำของดีนเท่านั้น หนุ่มอังกฤษจึงหาอะไรทำไปพลาง ๆ ระหว่างรอ

.
.
.

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป

ดีนออกจากห้องน้ำมาแบบตัวหอมฉุยจากการขัดสีฉวีวรรณทุกส่วนของร่างกายอย่างพิถีพิถัน ให้สาสมกับที่ไม่ได้อาบน้ำมาตั้งสี่วัน แล้วยังโกนหนวดเคราจนเนี้ยบกริบชนิดที่ว่าหากออกไปทักพนักงานต้อนรับ เธอต้องจำหน้าเขาไม่ได้แน่ ๆ

ชายหนุ่มในผ้าเช็ดตัวผืนเดียวคล้องผ้าขนหนูผืนเล็กไว้กับบ่าปล่อยให้เส้นผมที่เปียกชื้นลู่ไปด้านหลัง ก่อนจะเข้าไปสวมกอดคนรักที่ทำอะไรบางอย่างอยู่ในห้อง

“แมคซี่ฉันหอมไหม~”

เหมือนจงใจพรีเซนต์ความสะอาดของตัวเองด้วยการซุกไซ้ใบหน้าไปกับเถาคอของอีกฝ่าย 

พอถูกร่างใหญ่กอดแถมยังซุกไซ้เหมือนเจ้าหมาตัวโต แมคเคนซีก็รีบดันหน้าคนรักไว้เบา ๆ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบแต่เขายังไม่ได้อาบน้ำ เรื่องอะไรจะให้ดีนมาดมเขาตอนสภาพมอมแมมกันล่ะ

“หอมสิ หอมจนฉันอยากฟัดนายตอนนี้เลย นายนี่ก็ซนชะมัด ฉันตัวเหม็นขนาดนี้ยังมากอดอีก….”

บ่นพึมพำไปตามประสา แต่พอหันมาเจอแฟนหน้าตาเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครารุงรังก็แทบหยุดหายใจ นี่มันอย่างกับคนป่ากลายร่างเป็นเทพบุตร ถึงแม้ว่าหน้าตาดีนตอนมีหนวดจะหล่อคมเข้มไปอีกแบบก็เถอะ จะว่าไปเขาเองก็คงต้องไปโกนหนวดบ้างแล้วเหมือนกัน

“โอ้ นายไปอาบน้ำก่อนไหมที่รัก แต่ว่าไฟห้องน้ำไม่ค่อยดีนะ มันติด ๆ ดับ ๆ แล้วชักโครกก็กดเองได้ด้วย ไม่สิ ไม่ใช่แค่นั้น ก๊อกน้ำมันแปลก ๆ ด้วยล่ะ เปิด ๆ ปิด ๆ เอง น่าสงสัยชะมัดเลยว่าคนก่อนหน้าใช้งานยังไง เราจะให้ช่างมาซ่อมก่อนดีไหม”

จริงด้วย…คนรักของเขามีกลิ่นตุ ๆ นิดหน่อย จึงนึกได้ว่าคนรักความสะอาดอย่างแมคเคนซีน่าจะอยากอาบน้ำจะแย่แล้ว

“ฟังแล้วดู…ไม่ดีทั้งห้อง แต่ตรงฝักบัวใช้งานได้ปกติใช่ไหม งั้นฉันขออาบน้ำแป๊บนึงก่อน แล้วค่อยตามช่างมาดูให้แล้วกัน”

ฟังจากที่ดีนบอกเล่าแล้วมันก็ดูไม่กระทบกับการอาบน้ำของเขาเท่าไหร่ อย่างน้อยขออาบน้ำให้สบายตัวเสียหน่อย ไม่รู้ว่าถ้าตามช่างมาแล้วจะใช้เวลาซ่อมนานหรือเปล่า 

“อาบน้ำดี ๆ นะที่รัก ฉันจะเปลือยกายรอนายอยู่บนเตียง~”

ดีนปล่อยกอดออกก่อนจะโบกมือหยอย ๆ ให้คนรัก ระหว่างที่รอก็เลื่อนสมาร์ทโฟนหาเส้นทางสำหรับเดินทางไปต่อเป็นการฆ่าเวลา

.
.
.

แมคเคนซีหยิบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนและของใช้ที่จำเป็นเดินเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อเขาปิดประตู บรรยากาศภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ก็เปลี่ยนไปทันที

“……!”

ทุกอย่างเป็นไปตามสเต็ปที่ดีนบอก เริ่มจากไฟห้องน้ำที่อยู่ ๆ ก็ติด ๆ ดับ ๆ เหมือนฟิวส์ขาด ชักโครกที่ไม่ใช่ระบบอัตโนมัติกดได้เองทั้งที่เขายังไม่ได้หย่อนก้นลงนั่งหรือเฉียดเข้าไปใกล้ และก๊อกน้ำที่มีน้ำไหลออกมาส่งเสียงซู่ซ่าโดยที่เขายังไม่ทันหมุนวาล์ว

“……!!”

แต่ความพิศวงยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อห้องน้ำที่สะอาดเอี่ยมกลับมีคราบสีแดงเกรอะกรังปรากฏขึ้นตามพื้นและกำแพง กลิ่นคาวสนิมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตีขึ้นจมูกของแมคเคนซีอย่างรุนแรงจนต้องยกมือปิดจมูกไว้ ราวกับว่าตาของเขาถูกฉาบไปด้วยสารลูมินอลที่ใช้สำหรับตรวจคราบเลือดในงานนิติวิทยาศาสตร์ เพียงแค่ว่ามันไม่ได้แสดงผลออกมาเป็นสีน้ำเงินอมขาวเรืองแสง แต่มันคือสีเลือดสด ๆ เลยต่างหาก

จากที่คิดว่าจะได้พักผ่อนอย่างสบายใจก็กลับกลายเป็นความสยดสยองขึ้นมาทันที

แมคเคนซีรีบหมุนลูกบิดประตู แต่มันกลับเปิดไม่ออก เหมือนมีใครสักคนกำลังเล่นตลกล็อคกุญแจไว้จากด้านนอกยังไงยังงั้น

“ดีน! ดีน!! นายได้ยินไหม มาช่วยฉันหน่อย!”

สุดท้ายจึงตะโกนเรียกคนรักที่อยู่ข้างนอก แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ ตอบกลับมา ราวกับว่าตอนนี้เขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์

‘นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย!?’

‘ไม่มีใครได้ยินเสียงมึงหรอก….’

เสียงเย็น ๆ ดังลอยแทรกเข้ามาในหูจนแมคเคนซีถึงกับชะงักกึก ความรู้สึกครั้งแรกเมื่อตอนที่ดีนไขกุญแจประตูห้องกลับมาอีกครั้ง ตอนนี้ทั้งขนแขนและขนหัวของเขาลุกชันไปทั้งร่างกาย ราวกับว่าเคยเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นเมื่อนานมาแล้ว


‘หอคอยลอนดอน…อย่าบอกนะว่า…’

พอเริ่มจับต้นชนปลายถูกก็รู้ตัวแล้วว่าสิ่งที่ตนกำลังเผชิญอยู่นั้นไม่ใช่สิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติอย่างอสุรกาย แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘วิญญาณ’ ต่างหาก ทั้งนี้คงเป็นผลพวงมาจากทักษะการสื่อสารกับภูติผีที่ติดตัวเหล่าสายเลือดเทพีเฮคาทีมานั่นเอง

ว่าแต่…ทำไมต้องเป็นตอนนี้ ตอนที่เขากำลังจะได้อาบน้ำตัวหอมและไปจู๋จี๋กับแฟนต่อ!

จากความสบายใจ เปลี่ยนเป็นความกลัว และจากความกลัวก็กำลังจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเซ็ง นี่มันหนึ่งวันพันเหตุการณ์ชัด ๆ

ยอมรับเลยว่าเขาไม่ชอบทักษะนี้เอามาก ๆ ใช่…แมคเคนซีไม่รู้สึกพิสมัยสักนิดเวลาเจอภูติผี เขาไม่ได้ต้องการจะพูดคุยหรือสื่อสารกับดวงวิญญาณแม้แต่น้อย เวลาเจอแต่ละครั้งก็ยังกลัวเหมือนเดิม อาจจะน้อยลงบ้างตามความเคยชิน แต่ถ้าเลือกได้…ขอไม่เจอดีกว่า

ครั้งนี้ก็เช่นกัน แต่ดูเหมือนใครบางคนที่อยู่ในห้องนี้จะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ

บุตรเทพีแห่งมนตราค่อย ๆ เดินเข้าไปด้านในที่เป็นส่วนสำหรับอาบน้ำซึ่งมีม่านพลาสติกกั้นเอาไว้ จากนั้นก็ทำใจกล้าเลื่อนผ้าม่านนั้นให้เปิดออก ภาพที่ปรากฏตรงหน้าแทบทำเอาหัวใจของเขาหล่นวูบไปอยู่ตรงตาตุ่ม

ร่างหญิงสาวผมเผ้ารุงรังสีดำสนิทนั่งเหยียดขาทั้งสองข้างพิงหลังเข้ากับมุมกำแพงห้องน้ำ เสื้อผ้าชุดคุ้นตาเลอะเทอะเปรอะเปื้อนมีรอยฉีกขาด ตามเนื้อตัวมีบาดแผลฟกช้ำเหมือนถูกทำร้าย และเมื่อดวงตาไร้แววเหลือบขึ้นมองจ้องมาที่หน้าเขาก็ปรากฏรอยแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ที่ลำคอซีดเผือดนั้นพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุด

‘มึงกับพวกของมึง!! ออกไปจากห้องกูเดี๋ยวนี้!!’

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นภายในหัวแมคเคนซี มือซูบผอมมีเพียงหนังหุ้มกระดูกชี้นิ้วมาที่เขา แววตาราวกับสั่งสมความเคียดแค้นเอาไว้มานานนับปี

‘เอ่อ…ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ พวกผมแค่มาขออาศัยนอนแค่คืนเดียว เดี๋ยววันรุ่งขึ้นก็จะเช็คเอาท์ออกแล้ว’

ถึงจะถูกพูดใส่แบบไร้มารยาทตามแบบฉบับผีสุดเฮี้ยนแต่แมคเคนซีก็ยังเลือกที่จะเจรจาด้วยดี ๆ ก่อน ยังดีที่การสนทนากับวิญญาณสามารถสื่อสารผ่านทางจิตได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องให้ดีนมาช่วยเป็นล่ามให้ต่อ…ซึ่งมันได้ที่ไหนกันล่ะ!

‘กูไม่รับรู้! พวกมึงออกไปจากห้องกูเดี๋ยวนี้!! พวกผู้ชายอย่างพวกมึงมันก็เหี้ยกันหมด! พวกมึงทำกับกูแบบนี้ได้ยังไง!!’

ผีสาวยังคงเกรี้ยวกราดเสมอต้นเสมอปลาย เพิ่มเติมคือบ่นเรื่องอะไรก็ไม่รู้แล้วก็ร้องไห้โหยหวนออกมา ถ้าเป็นเวลาปกติแมคเคนซีคงทำเรื่องเปลี่ยนห้องเพื่อตัดปัญหาไปแล้ว แต่ตอนนี้นี่คือห้องพักที่ว่างเป็นห้องสุดท้าย และเขาเหนื่อยมามาก ดังนั้นวันนี้เขาต้องได้อาบน้ำที่นี่และนอนในห้องนี้เท่านั้น

‘ขอโทษนะ ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร แต่เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน และคุณควรรู้ว่าผมจ่ายเงินค่าห้องพักแล้ว เพราะงั้นวันนี้ผมมีสิทธิ์ที่จะเข้าพักห้องนี้ ถูกไหม อย่างน้อยคุณควรมีเหตุผลหน่อยนะ’

ให้ตายสิ…ตอนนี้เขาไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมต้องมาคุยกับผีเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ แต่ก็อย่างว่า ถ้าเธอยอมง่าย ๆ ก็ดีสิ

‘กูไม่ออก!! นี่ที่ของกู กูจะอยู่ที่นี่!!’

อยู่ ๆ ร่างนั้นก็โผล่มาในระยะประชิดจนหน้าเกือบจะชนกับแมคเคนซี ใบหน้าของเธอดูช้ำเลือดช้ำหนองและไม่เหลือเค้าโครงเดิมเท่าไหร่จนหนุ่มนักเวทถึงกับต้องหลับตาลงเพื่อไม่ให้ติดเป็นภาพจำ

‘ถ้าคุณไม่ออกผมคงต้องใช้เวทควบคุมให้คุณออกไปนะ อ้อ แล้วคืนนี้ผมก็มีกิจกรรมที่ต้องทำกับแฟนด้วย ถ้าคุณไม่พอใจหรือมีมารยาทมากพอ วันนี้คุณช่วยออกไปรอข้างนอกได้ไหม เสียงมันอาจจะดังนิดนึงน่ะ’

จากการเจรจาให้ผีออกจากห้องกลายเป็นการขิงแฟนได้ไงไม่รู้ แต่เขาก็ตั้งใจว่าอย่างนั้นจริง ๆ นี่นา

 ‘กรี๊ดดดดดดดด!! อย่ามาทำบัดสีในห้องกูนะ!! กูจะฆ่ามึงซะ!’

เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังจนแมคเคนซีปวดหัว เขารู้สึกได้ถึงมือเย็นเฉียบที่กำรอบคอของตนแล้วออกแรงบีบ จึงหยิบกริชจันทราสีเลือดที่พกไว้ตรงเอวออกมา

‘ถ้าคุณยังรั้นผมคงต้องจัดการขั้นเด็ดขาดกับคุณแล้วนะ’

‘น..นี่มัน กรี๊ดดดดดดดดด!!’

ทันทีที่คมมีดอาคมซึ่งได้ชื่อว่าสามารถสังหารวิญญาณภูติผีได้เปล่งแสงวาววับ เสียงหวีดร้องก็ดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่ทุก ๆ อย่างจะเงียบลงรวมทั้งสัมผัสอันน่าอึดอัดที่คอของแมคเคนซีด้วย เมื่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองก็พบว่าทุกอย่างรอบตัวกลับมาเป็นปกติแล้ว

“จบเรื่องแล้วล่ะมั้ง”

แมคเคนซีพ่นลมหายใจยาวแล้วจึงได้เริ่มต้นอาบน้ำสักที

.
.
.

นี่อาจเป็นการอาบน้ำที่ยาวนานที่สุดครั้งนึงของเขาเลยก็ได้ ผ่านไปเกือบชั่วโมง แมคเคนซีก็ออกจากห้องน้ำมาในสภาพใบหน้าเกลี้ยงเกลาและเนื้อตัวหอมสะอาดไม่ต่างจากดีน

“รอนานไหมที่รัก ฉันว่าเราไม่ต้องเรียกช่างแล้วก็ได้นะ ระบบมันคงรวนนิดหน่อย ตอนนี้น่าจะหายแล้ว”

หนุ่มอังกฤษบอกขณะที่มานั่งเช็ดผมอยู่ข้างคนรัก จะให้บอกได้ยังไงว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะพนักงานปล่อยห้องที่มีวิญญาณเฮี้ยนให้พวกเขาเช่า ดีนคงกลัวจนไม่ได้นอนกันพอดี 

“เห จริงเหรอ อย่าบอกนะว่านายแก้ปัญหาด้วยการทุบน่ะ”

หากไม่หลุดคำว่า ‘ผี’ ออกมาดีนก็จะคิดว่าเป็นเรื่องของความผิดพลาดทางด้านเทคนิค ส่วนการซ่อมด้วยสันมือเป็นวิธีการที่ลุงไมค์ทำเป็นประจำกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างโทรทัศน์เครื่องเก่าหรือวิทยุที่ติด ๆ ดับ ๆ ไม่ยักรู้ว่าจะใช้ได้ผลกับระบบปะปาด้วย แต่ว่าช่างมันเถอะ

“ดูนี่สิแมคซี่ ฉันลองทำแผนการเดินทางต่อคร่าว ๆ มาล่ะ”

บุตรเจ้าสมุทรกวักมือเรียกคนรักให้เข้ามานั่งข้าง ๆ พร้อมกับกดส่งข้อมูลการเดินทางจากเมืองปวยร์โต้ โอบัลดิอา ไปยังประเทศเอกวาดอร์แบบลวก ๆ

แมคเคนซียักไหล่เป็นเชิงบอกว่า ‘ทำนองนั้น’ พอเห็นว่าดีนไม่ได้สนใจขนาดนั้นก็เป็นโอกาสดีที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย เขาขยับเข้ามานั่งใกล้คนรักมากขึ้นแล้วหยิบสมาร์ทโฟนของตนมาเปิดดูแผนการเดินทางฉบับใหม่ที่อีกฝ่ายหาข้อมูลไว้และส่งมาให้

“เราต้องไปที่ท่าเรือ หาเรือเร็วไปท่าเรือกาปูร์กานาใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง แล้วก็ต่อเรือใหญ่ไปที่เมืองตูร์โบประเทศโคลอมเบีย พอไปถึงที่นั่นเราน่าจะพอหารถบัสไปต่อได้ ซึ่งจะใช้เวลารวม ๆ อีกเจ็ดวัน”

พูดแล้วก็ถอนหายใจ ช่างเป็นการเดินทางที่ใช้เวลายาวนานเสียจริงในการขยับตัวแต่ละครั้ง แต่จะว่าไปก็เริ่มชินแล้วเหมือนกัน การใช้ชีวิตบนรถบัสหนึ่งสัปดาห์เพื่อไปถึงชายแดนเอกวาดอร์คงไม่ยากลำบากเหมือนลอยแพแบบไม่เห็นฝั่ง

“นายคิดว่าแผนนี้เป็นไงที่รัก?”

“เจ็ดวันเลยเหรอ แล้วเรือใหญ่ที่ว่าคือเรือแบบไหน เหมือนโบอิ้งแมรี่หรือเปล่า”

ดูจากจำนวนวันแล้วแมคเคนซีก็เริ่มหวั่นใจว่าพวกเขาต้องลักลอบขึ้นเรือกันอีกหรือเปล่า ประสบการณ์จากคราวก่อนยังทำเอาเขาขยาดไม่หาย

“ไม่หรอก ฉันคิดว่าเรือนั่นน่าจะเหมือนเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากมากกว่า” ดีนเปิดรูปเรือโดยสารให้แมคเคนซีดู 

“ถ้าเรือแบบนี้ก็โอเคอยู่”

แมคเคนซีพยักหน้ารับน้อย ๆ จะบอกว่าเขาเต็มใจจ่ายค่าโดยสารดีกว่าขึ้นเรือแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ก็ไม่ผิดนัก การลักลอบขึ้นเรือเอาไว้เป็นตัวเลือกท้าย ๆ ก็พอ

“ออกจากเมืองนี้ไปกาปูร์ชิโน่ (กาปูร์กาน่า) ใช้เวลาสองชั่วโมง แล้วต่อเรือโดยสารอีกประมาณสามชั่วโมง รวม ๆ แล้วก็ห้าชั่วโมง เราคงใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ ไปกับการนั่งเรือที่ไม่รู้เวลาการเดินทางที่แน่นอน ก็ต้องเสี่ยงดวงเอา”

หวังว่าเทพเจ้าจะยังคงมีเมตตาให้พวกเขาไปถึงเมืองท่าเรือใหญ่ของโคลอมเบียภายในวันเดียว ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เช้าคงต้องออกกันเร็วหน่อย

“ถ้างั้นพรุ่งนี้เช้าเราควรออกจากโรงแรมไม่เกินแปดโมง เผื่อเวลาสำหรับรอรอบเที่ยวเรือด้วย ให้ตายสิ ฉันยังอยากจะนอนสบาย ๆ แบบนี้อีกสักสองวันเชียว”

“ออกไวหน่อยก็ดี จะได้รีบคืนห้องเธอ……อะแฮ่ม จะได้รีบเช็คเอาท์แล้วออกเดินทางกัน ถ้าถึงโคลอมเบียช่วงเย็นพรุ่งนี้เราอาจหาที่พักดี ๆ ได้อีกวัน”

เกือบหลุดปากไปอีกรอบเลยทำทีเปลี่ยนเรื่อง หลังจากวางแผนการเดินทางแบบคร่าว ๆ ของวันพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้ว แมคเคนซีก็กุมมือข้างที่ถือสมาร์ทโฟนของดีนไว้แล้วกดลงบนที่นอนอย่างนุ่มนวล

“หมดเวลาดูมือถือแล้วที่รัก เราควรทำธุระของเราได้แล้ว ก่อนหน้านี้ใครบอกนะว่าจะเปลือยกายรอน่ะ”

ดวงตาสีฮาเซลไล่มองตามเรือนร่างซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามของดีนที่มีเพียงผ้าขนหนูปกปิดร่างกายท่อนล่างไว้ ก่อนจะมาหยุดที่ใบหน้าคมเข้มของอีกฝ่ายด้วยแววตาเป็นประกายวาววับ

“ฉันก็เปลือยกายรอนายอยู่นี่ไงที่รัก”

บุตรแห่งโพไซดอนหัวเราะในลำคอเมื่อมือของเขาถูกกดลงบนที่นอน เลิกคิดเรื่องงาน ตอนนี้ได้เวลาน้ำชารสละมุนและขนมแสนหวานจากอังกฤษ มือข้างที่ว่างโอบรอบคอของแมคเคนซีก่อนจะโน้มลงมาแนบชิด กอดสูดดมกลิ่นหอมอ่อนสะอาดจากแชมพูและสบู่ที่คลอเคลียอยู่บนผิวกาย ทว่ามิอาจบดบังกลิ่นกายฟีโรโมนที่มีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่า

หนุ่มอังกฤษหลับตาพริ้มเมื่อปลายจมูกโด่งเป็นสันของดีนเริ่มซุกไซ้ไปตามเรือนกาย เรียวแขนอีกข้างโอบเอวสอบคร้ามแดดไว้ จากนั้นค่อย ๆ โถมน้ำหนักใส่ ประคองร่างคนรักลงนอนบนที่นอนนุ่ม ดวงตาสีฮาเซลมองเข้าไปในดวงตาสีเปลือกไม้ด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง ริมฝีปากอิ่มแตะจูบกลีบปากสีนู้ดน่าหลงใหลแล้วค่อย ๆ ผละออก

“ก่อนเราจะเริ่มกันฉันขอถามอะไรนิดหน่อยได้ไหม”

แมคเคนซีกระซิบถามแล้วจูบเข้าที่ปลายคางมนเบา ๆ

“อืม… อะไรเหรอที่รัก” ดีนครางเสียงแผ่วหลับตาพริ้ม

“เมื่อเช้าตอนที่สู้กับลูซก้า นายโอเคไหม นายดูไม่ค่อยดีตอนที่ได้ยินเสียงระเบิด”

แม้เรื่องราวจะผ่านมาแล้ว แต่ท่าทางตื่นกลัวนั้นของดีนก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาแมคเคนซีไปได้ เขาแค่ยังไม่มีโอกาสได้ถามเท่านั้น

“โอ้ นายสังเกตเห็นเหรอ?”

บุตรแห่งโพไซดอนลืมตาขยับมุมปากยิ้มเจื่อน ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะถามเรื่องนี้ โดยปกติดีนไม่ค่อยอยากให้แมคเคนซีรับรู้เรื่องราวที่เฮติเนื่องจากปัญหาของภารกิจมาจากเทพีเฮคาที (ที่มารู้ภายหลังจากบันทึกการเดินทางของเฟเรียว่าตัวร้ายที่แท้จริงคือเทพท้องถิ่น) ทำให้ประชาชนลำบากไปหมด

เขาชั่งใจระหว่างบอกความจริงกับโกหก แต่คิดดูแล้วมันไม่แฟร์เลยที่เพื่อนออกกำลังกายอย่างเอมีเลียรู้เรื่องนี้ แต่คนรักอย่างหนุ่มอังกฤษจะไม่รู้ อีกอย่างอาการแพนิกของเขามันก็ไม่ได้มีสาเหตุมาจากเทพีแห่งมนตราโดยตรง ดีนครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบเพื่อไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ของแม่และบุตรชาย

“ฉันตกใจเสียงดังน่ะ เสียงระเบิด.. เสียงปืน.. พอได้ยินแล้วใจสั่นทุกที แล้วมันก็ลามไปถึงเสียงดอกไม้ไฟด้วย”

“อย่างงั้นเอง ไม่น่า…เมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมานายถึงดูแปลก ๆ ตอนได้ยินเสียงพลุ เพราะแบบนี้เองสินะ”

ภาพดีนที่ตกใจเสียงพลุเมื่อตอนปีใหม่ผุดขึ้นมาในห้วงความทรงจำ ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะกลัวอะไรแบบนี้ด้วย แต่ความกลัวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เขาเข้าใจจุดนี้ดี

“งั้นต่อไปฉันคงต้องเลี่ยงวิธีที่ทำให้เกิดเสียงดังแล้วสิ”

ฝ่ามือใหญ่ลูบเส้นผมสีดำสนิทของคนรักแผ่วเบา ก่อนจะซุกหน้าเข้ากับลำคออุ่น เมื่อความสงสัยได้รับการคลี่คลายแล้ว ก็ได้เวลาแห่งความสุขต่อ

“แล้วเสียงแบบนี้นายโอเคไหม”

ริมฝีปากได้รูปแกล้งขบเม้มลำคออีกฝ่ายจงใจให้เกิดเสียงน่าอาย ทั้งยังทิ้งรอยจาง ๆ ไว้ก่อนจะขยับใบหน้าไล่ต่ำลงมาเรื่อย ๆ ส่วนมืออีกข้างก็เลื่อนไปปลดผ้าขนหนูที่พันช่วงเอวของบุตรเทพเจ้าสมุทรไว้แล้วดึงออกอย่างง่ายดาย

เปลือยกายมันต้องแบบนี้ต่างหาก

“อึก.. อืมมม บ้าจริง เรื่องแบบนี้นายยังต้องถามอีกเหรอ”

หนุ่มเท็กซัสตอบกลับเสียงกระเส่า บรรยากาศเร่าร้อนที่อบอวลภายในห้องขับไล่ไอยะเยือกในตอนแรกไปจนหมด

.
.
.

- 6.00 P.M. -

ตั้งใจว่าจะสั่งอาหารมาที่ห้องแต่เคาน์เตอร์บอกว่าไม่มีบริการในส่วนนั้นจึงทำให้ทั้งสามต้องออกมารับประทานมื้อเย็นกันที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ที่อยู่ติดกับล็อบบี้

ดีนประหลาดใจนิดหน่อยที่รีสอร์ตไม่มีรูมเซอร์วิส ขนาดโรงแรมหนึ่งถึงสองดาวที่เคยไปเที่ยวมาที่ประเทศไทยยังมีบริการในส่วนนี้ ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นธรรมเนียมวัฒนธรรมท้องถิ่นของชายแดนปานามาก็ได้ เพราะเท่าที่ดูแล้วแขกที่มาพักจะออกไปรับประทานมื้อเย็นกันที่ตลาดในตัวเมือง ประจวบกับช่วงเวลาพลบค่ำ (ที่ไม่มืด) พนักงานอาจไม่พอให้บริการ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นปัญหามากมายเท่าไหร่ ออกจะดีด้วยซ้ำจะได้ไม่ต้องอุดอู้อยู่แค่ภายในห้อง และได้โอกาสเอาผ้าเน่าที่หมักไว้สี่วันเต็มออกมาซักในคราวเดียว

ห้องอาหารของรีสอร์ตมีลูกค้าเพียงหนึ่งโต๊ะ ฉะนั้นสามเดมิก็อดจึงได้บรรยากาศส่วนตัวแบบสุด ๆ ในการรับประทานอาหารเย็นสไตล์ท้องถิ่นปานามา ฟังเพลงภาษาสเปนเคล้าไปกับเสียงเกลียวคลื่น

อาหารที่พวกเขาสั่งมาคือ ‘อาโรซคอนโปโย’ ที่แปลว่า ‘ข้าวกับไก่’ เป็นข้าวผัดไก่สไตล์ปานามาที่มีความใกล้เคียงกับปาเอญ่า (ข้าวผัดสเปน) ที่คุ้นเคย นอกจากนี้ยังมีซุปประจำชาติปานามาชื่อว่า ‘ซานโคโช’ ซึ่งเป็นซุปไก่ ใส่มันเทศและกล้วยดิบ ถึงส่วนผสมจะดูแปลกประหลาดไม่คุ้นชิน ทว่ารสชาติจัดว่าดี นอกจากนี้ยังมีอาหารทานเล่นอย่าง ‘ปาตาโกเนส’ ที่แม่ครัวแนะนำว่าควรกินให้ได้ มันคือกล้วยดิบหั่นแว่นแล้วนำไปทอดจนกรอบ รับประทานคู่กับน้ำจิ้มสูตรเฉพาะ …นี่ก็กล้วยอีกแล้ว

“ทั้งสองคนกินกันได้ไหม เท่าที่ดูเหมือนว่าอาหารพวกนี้จะเป็นอาหารเบสิกของประเทศแถบอเมริกาใต้แหละ”

ซึ่งหมายความว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนกว่าการเดินทางจะสิ้นสุดลงในอีกหลายสิบวันบนแผ่นดินอเมริกาใต้ พวกเขาจะต้องกิน ‘กล้วยดิบ’ ในอาหารแทบทุกมื้อ 

“ก็…แปลกใหม่ดี ไม่ได้ถึงขั้นแย่อะไร”

แมคเคนซีมองอาหารตรงหน้าที่ต่างก็พร่องไปเยอะแล้วพลางโคลงศีรษะเล็กน้อย แต่ละอย่างไม่ได้ถือว่าเผ็ดมาก แค่ใส่เครื่องเทศจนมีกลิ่นตีขึ้นมาเฉย ๆ ซึ่งก็อยู่ในเกณฑ์ที่เขารับได้ อย่างน้อยยังดีกว่าอาหารกระป๋องสำเร็จรูปที่ทานจนเริ่มเบื่อ

“หนูว่าอร่อยดีนะคะ ซุปอุ่น ๆ นี่ทานแล้วสบายท้องมากเลย”

ดูท่าว่าเด็กสาวจะชอบ ซานโคโช เป็นพิเศษ ซึ่งสำหรับแมคเคนซีแล้วก็ดูไม่ต่างจากสตูว์เท่าไหร่

“ดีแล้วนะที่ชอบ จากนี้ไปเราคงได้กินแบบนี้ไปอีกหลายวัน”

ดีนบอก ส่วนตัวเขานั้นไม่มีปัญหา ออกจะเอ็นจอยที่ได้รับประทานอาหารท้องถิ่นที่ไม่ค่อยได้ลิ้มลองเสียด้วยซ้ำ แม้ว่าเขาจะเป็นชาวเท็กซัสแท้ ๆ แต่ก็ใช่ว่าอาหารเม็กซิกันจะเหมือนกับอาหารแถบอเมริกาใต้ไปหมดเสียทุกอย่าง จะว่าไปเจ๊ฮาร์ปี้ที่ชอบทำเมนูอาหารนานาชาติเปลี่ยนรสไปเรื่อย ๆ ไม่ให้ชาวค่ายเบื่อหน่ายก็ไม่ค่อยเห็นทำอาหารละตินอเมริกาเลยแฮะ หรือว่าเธอจะไม่ถนัด?

ระหว่างมื้ออาหารดีนก็แจ้งกับชาร์ล็อตเรื่องแผนการเดินทางใหม่คร่าว ๆ ให้เธอรับทราบ เพื่อที่จะได้ทำใจล่วงหน้าว่าไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้นระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เด็กสาวตอบรับอย่างว่าง่ายโดยไม่อิดออด แม้ว่าธิดาเฮคาทีจะดูบอบบางไม่สะเทินน้ำสะเทินบกเหมือนสองหนุ่ม แต่เหมือนว่าเธอจะเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ กว่าที่คิด (หรือไม่ก็แค่อาจปลงกับชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ ของเดมิก็อดก็เป็นได้)

แล้วมื้ออาหารอันเรียบง่ายก็จบลง พนักงานร้านดูตกใจกับธรรมเนียมการให้ทิปของชาวอเมริกันจนเผลอทำตาลุกวาว พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าเลยกะว่าจะไปแจ้งพนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์เสียหน่อย รวมทั้งลองสอบถามเรื่องรถรับส่งไปท่าเรืออีกด้วย

“Disculpa, mañana vamos a hacer el check-out a las ocho de la mañana y queremos transporte al muelle. ¿El resort ofrece ese servicio?” (ขอโทษนะครับ พรุ่งนี้เราจะเช็คเอาต์ออกตอนแปดโมงเช้า แล้วก็อยากได้รถรับส่งไปท่าเรือด้วย ไม่ทราบว่าทางรีสอร์ตมีบริการนั้นไหม?)

“Sí, tenemos su check-out a las ocho de la mañana. Vamos a preparar el transporte al muelle para ustedes.” (ได้เลยค่ะ สำหรับเช็คเอาต์ตอนแปดโมงเช้า เราจะจัดเตรียมรถรับส่งไปท่าเรือให้คุณค่ะ)

“Gracias.” (ขอบคุณครับ)

ประหลาดใจนิดหน่อยที่รีสอร์ตมีบริการรถรับส่งไปท่าเรือแต่กลับไม่มีรูมเซอร์วิส… สมมติฐานที่ว่าคนแถวนี้อาจให้ความสำคัญกับการเดินทางมากกว่าบริการส่งอาหารถึงห้องพักดูจะเป็นจริงขึ้นมา

จากนั้นก็แวะเอาตะกร้าผ้าที่ซักแล้วกลับมายังห้องพัก ระหว่างที่ทั้งสามกำลังเดินกลับห้องกันก็เห็นว่ามีพนักงานยกถาดอาหารไปเสิร์ฟที่บังกะโลหลังที่เก้า

“อ้าว.. ไหนว่าไม่มีรูมเซอร์วิส…” ดีนเกาหัวแกรก ๆ หรือว่าตอนที่เขาโทรไปถามล็อบบี้เรื่องอาหารจะสื่อสารผิดจนเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนกันแน่นะ “สงสัยตอนนั้นฉันใช้คำไม่ถูก”

อืม… มันต้องเป็นแบบนั้นแหละ จะมีเหตุผลอื่นใดอีกล่ะ?

“อาจจะเป็นงั้นก็ได้ แต่ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้พวกเราก็อิ่มกันแล้วนี่นา กลับไปพักผ่อนกันดีกว่า”

น่าเสียดายที่ท้องฟ้ายังสว่างอยู่แต่พวกเขากลับไม่สามารถใช้เวลาเดินเล่นเรื่อยเปื่อยได้ด้วยพรุ่งนี้ต้องตื่นและออกเดินทางแต่เช้า หากพวกเขามีเวลาอยู่ที่นี่อีกสักวันสองวันคงได้เข้าตัวเมืองไปเปิดหูเปิดตาบ้าง

.
.
.

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ พรุ่งนี้พบกันนะคะ”

ชาร์ล็อตบอกหลังจากที่พวกเขากลับมาถึงบังกะโลหมายเลขสิบสาม แม้รอบตัวจะไม่ได้ถูกความมืดมิดโอบล้อมตามช่วงเวลา แต่ก็พูดกันจนชินปากไปแล้ว

“ราตรีสวัสดิ์ชาร์ล็อต ล็อกประตูห้องดี ๆ นะ ถ้ามีอะไรก็เคาะเรียกพวกพี่ที่คอนเน็คดอร์ได้เลย”

แมคเคนซีกำชับอีกครั้ง หลังจากที่น้องสาวรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วเธอก็เข้าห้องไป

“พวกเราก็เข้าห้องกันเถอะ”

หนุ่มอังกฤษหันมาบอกคนรักแล้วยิ้มให้เล็กน้อย


“โอเคที่รัก ฉันว่าไหน ๆ แล้วพวกเรามาทำไอ้นั่นกันอีกสักรอบไหม หลังจากตากผ้ากันเสร็จ”

ดีนไขประตูห้องด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกมือหอบตะกร้าผ้าเข้าเอว ดูเหมือนว่าจะมีไอเย็นแผ่ออกมาให้พวกเขานอนหลับสบายกันอีกแล้ว แต่เปิดเครื่องปรับอากาศดีกว่า

“หลังคามุงจากนี่ดีจังเลยเนอะ เอาไว้ถ้ากลับไปที่ค่ายแล้วทำแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน กระท่อมของพวกเราจะได้เย็นสบาย”

“นายจะเอาจากไปมุงหลังคากระท่อมอีกชั้นน่ะเหรอ…แปลก ๆ อยู่นะ”

แมคเคนซีนึกภาพตามขณะเข้าห้องมาแล้วเดินต่อไปยังระเบียงเพื่อช่วยดีนตากผ้าที่เพิ่งเก็บมาจากเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ อย่างน้อยพวกเขาก็จะมีเสื้อผ้าหอม ๆ ใส่ไปอีกหลายวัน

“ไอ้นั่นน่ะเหรอ ให้ตายสิดีน นายนี่รู้ใจฉันจริง ๆ ที่รัก เราจะจัดกันอีกสักรอบสองรอบก็ได้ แต่อย่าดึกเกินไปนะ พรุ่งนี้พวกเราต้องตื่นเช้า”

พอนึกถึง ‘ทำไอ้นั่น’ ที่ดีนว่าแล้วแมคเคนซีก็กระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันตา ริมฝีปากได้รูปพยายามเม้มซ่อนรอยยิ้มอรุ่มไว้ ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะยังเครื่องติดอยู่เหมือนกัน คิดแล้วมันก็ ฮึ้ยยย! ตอนนี้เขาควรรีบตากผ้าให้เสร็จไว ๆ ได้แล้ว

ในขณะที่แมคเคนซีกำลังคิดถึงเรื่องแบบนั้นดีนก็ติดสตั๊นท์ไปเรียบร้อย แต่เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะตามมาอย่างเอ็นดูความเสมอต้นเสมอปลายของคนรักจนต้องรีบตะครุบปากของตัวเองเอาไว้เพราะเกรงใจบังกะโลหลังข้าง ๆ แม้จะเหนื่อยแต่ดีนก็ไม่ได้รังเกียจ แบบนี้ล่ะมั้งที่คนพุทธเรียกว่า ‘ศีลเสมอกัน’

“โอเค ๆ ที่รัก อีกรอบก่อนนอนก็ได้ อย่าสลบคาอกฉันไปก่อนล่ะ”

บุตรเจ้าสมุทรขยิบตาให้ด้วยดวงตาที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตาหนา จากนั้นตั้งหน้าตั้งตาตากผ้าที่ระเบียงห้องให้เสร็จก่อนจะเฉลย

“ความจริง ‘ไอ้นั่น’ ที่ฉันหมายถึงคือปลดขีดจำกัดของตัวเองต่างหาก” หนุ่มผิวน้ำผึ้งหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะยกตะกร้าผ้าที่ตากหมดแล้วเข้าไปในห้องพักสิบสามเอ

“ฮะ ฉันเนี่ยนะจะหลับคาอกนาย”

แมคเคนซีมองตอบคนรักแล้วยิ้มให้ด้วยแววตาวาววับอย่างท้าทาย ตอนนี้เขาไม่มีทางง่วงง่าย ๆ แน่ แต่ประโยคถัดมาที่ดีนเฉลยก็ทำเอาหนุ่มอังกฤษยิ้มค้างก่อนจะรีบเดินตามเข้าไปด้านใน

“นายหมายถึงเรื่องที่แม่ฉันบอกน่ะเหรอ แล้วก็ไม่พูดให้เคลียร์กว่านี้เล่า ไม่รู้ล่ะ นายตกลงแล้ว ห้ามเปลี่ยนใจกลางคัน”

เขาบอกพลางกระแทกก้นนั่งกอดอกลงบนฟูกที่นอนควีนไซส์อย่างแรง

“ว่าแต่ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงอยากทำเรื่องนั้นขึ้นมาล่ะ”

ดีนไม่ได้ยี่หร่ะกับท่าทีอวดตัวของแมคเคนซีแล้วตามลงไปนั่งข้าง ๆ บนเตียงพร้อมกับวางตะกร้าผ้าที่ว่างเปล่าลงบนพื้นอย่างไม่เป็นระเบียบนัก พวกเขามักจะล้อกันเล่นแบบนี้อยู่เสมอ มันเป็นเรื่องท้าทายที่น่าตื่นเต้นดีว่า ‘คราวนี้ใครจะระทวยไปก่อนกัน’ ส่วนเรื่องปลดพลังนั้น..

“ว่าไงดีล่ะ ตอนที่สายฟ้าเปรี๊ยะ ๆ ในร่างกายมันทำให้พวกเราเก่งขึ้นใช่ไหม แล้วสายฟ้านั่นมันเชื่อมต่อกับคุณอาของฉันใช่หรือเปล่า ถ้าตามที่แม่นายแนะนำมา ให้ภาวนาถึงอาซุสแล้วพวกเราจะเก่งขึ้น ฉันเลยคิดว่านั่นอาจเป็นวิธีการขอพรเทพเจ้าอย่างหนึ่งก็ได้มั้ง”

ดีนเข้าใจไปแบบนั้น…

แรก ๆ เหมือนจะใช่ เขารู้สึกว่ามีแว้บนึงที่ซุสชายตามองลงมาจากโอลิมปัส แต่พักหลังเมื่อเขารู้วิธีปลดสมรรถนะของลูกเทพและปลดพลังถี่ ๆ ก็ไม่ค่อยรู้สึกถึงสายตาของซุสอีกแม้ในกายจะมีสายฟ้าแล่นผ่าน บางทีอาจเป็นเพราะเขาขอพรบ่อยเกินไปจนทวยเทพขี้เกียจใส่ใจก็ได้มั้ง แต่ถ้ามีคติ ‘ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก’ อยู่ ก็แปลว่าเขาอาจมีสิทธิ์ได้รับพรจากเทพเจ้าองค์อื่นที่ให้ความเมตตาเช่นเดียวกัน

แต่ก็ไม่มีอะไรรับรองว่าความคิดของชายหนุ่มจะถูกต้อง

“ยังไงพวกเรายังต้องเดินทางกันอีกไกลมากใช่ไหม เป็นมิตรกับเทพไว้น่าจะดีกว่า”

“อืมมมม…จะว่าอย่างนั้นมันก็ไม่ผิดนักหรอก พอภาวนาในใจแล้วก็เหมือนมีพลังเพิ่มขึ้นมาจริง ๆ”

แมคเคนซีเองก็ค่อย ๆ ทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลังจากเขาอธิษฐานในใจ หากให้เปรียบอารมณ์คงคล้าย เวลาที่กำลังจะหมดแรงแล้วได้ซดเอสเพรสโซทีเดียวสองช็อตแล้วตาสว่างขึ้นมาทันทีประมาณนั้น ส่วนเรื่องแหล่งที่มาของพลังแท้ที่จริงแล้วมาจากไหน ตัวเขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ หากให้พูดเชิงวิทยาศาสตร์ก็คงจะเข้าหลักพลังแฝงในตัวของมนุษย์ที่มีกันอยู่ทุกคน แต่สำหรับเดมิก็อดแล้วอาจจะมีอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้นก็เป็นได้

“อืมฮึ…ฉันเห็นด้วยเรื่องเป็นมิตรกับเทพ ไหน ๆ พรุ่งนี้เราก็ต้องเริ่มเดินทางกันอีกครั้งแล้ว ขอพรจากเทพสักหน่อยก็ไม่เสียหาย”

ฝ่ามือใหญ่แบอยู่ตรงเบื้องหน้าคนรักแล้วยิ้มให้

“ฉันอยากขอพรร่วมกับนายแบบคราวก่อน รู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเลย”

“ได้อยู่แล้ว นอกจากเราจะสื่อถึงเทพเจ้า ฉันยังรู้สึกว่าเราได้เป็นหนึ่งเดียวกันอีกด้วย”

ดีนยิ้มตอบ ก่อนที่เขาจะวางมือทั้งสองข้างลงบนมือใหญ่และขาวของแมคเคนซี สีผิวของทั้งสองตัดกันราวกับสีสันของศิลปะบนลัตเต บุตรแห่งสายน้ำโน้มใบหน้าเข้าหาแตะหน้าผากเข้ากับอีกฝ่ายพร้อมกับหลับตาพริ้ม ตอนนี้เขารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับคนรักมากกว่าพลังสายเลือดลูกเทพในตัวเสียอีก

“งั้นเราพูดพร้อมกันนะ”

“…..พระเจ้า”

แทนที่จะเริ่มกล่าวคำภาวนาถึงเหล่าเทพโอลิมปัส แต่ใบหน้าดีนที่เข้ามาใกล้จนหน้าผากแตะกันทำให้แมคเคนซีเผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะจนถึงกับเอ่ยนามพระคริสต์ออกมาแทน เขามองใบหน้างดงามราวปูนปั้นของคนรักที่หลับตาลงจนเห็นแพขนตางอนยาวชัดเจน ความใกล้ระยะนี้ทำให้สติของเขากระเจิดกระเจิงจนต้องรีบหลับตาลงแล้วหายใจเข้าลึกเพื่อตั้งสมาธิใหม่ แล้วเริ่มกล่าวบทบูชาทวยเทพ


“ข้าแต่ทวยเทพแห่งโอลิมปัสผู้ทรงอำนาจ…… ข้าขออัญเชิญพลังของท่านมาสถิตในกาย เพื่อปลดล็อกขีดจำกัดและก้าวสู่ศักยภาพที่แท้จริง ขอให้พรแห่งท่านนำพาข้าไปสู่ความแข็งแกร่งอันไร้ขีดจำกัด”

ทั้งสองกล่าวคำภาวนาออกมาพร้อมกัน ในเมื่อไม่ใช่ครั้งแรกก็เริ่มจะคล่องปากแม้ไม่ใช่ถ้อยคำที่ใช้ในชีวิตประจำวันจนชวนให้รู้สึกเก้อเขินนิด ๆ ก็ตามที น่าเหลือเชื่อที่เพียงแค่ตั้งจิตอธิษฐานพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังแห่งสายฟ้าอ่อน ๆ แล่นไล่ไปทั่วร่างจนรู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวเหมือนลอยล่องอยู่ในอากาศ ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบกับความจริงว่าพวกเขากำลังทำสมาธิกันอยู่บนเตียง

“ทีนี้ก็ได้เวลาทดสอบพลังแล้ว”

ดีนตะครุบคนตรงหน้าจนอีกฝ่ายหงายหลังลงไปกับเตียง ก่อนจะตามไปทาบทับฟัดซอกคอขาวเหมือนกับเป็นเจ้าหมาซุกซนที่กำลังมันเขี้ยว

“เฮ้! เดี๋ยวก่อน คนละพลังกันแล้ว”

ยังไม่ทันลืมตาขึ้นมาดีก็ถูกคนข้าง ๆ โถมตัวใส่จนจมฟูก ปลายจมูกโด่งที่ซุกไซ้อยู่ตรงลำคอทำให้แมคเคนซีจั๊กจี้จนหัวเราะออกมา มือข้างนึงขยุ้มเส้นผมหยักศกสีดำขลับไว้เบา ๆ ส่วนอีกข้างก็กอดเอวอีกฝ่ายไว้ 

ดูท่าคืนนี้เขาจะโดนบุตรเทพโพไซดอนเผด็จศึกจนหลับคาอกไปจริง ๆ สมราคาคุยแน่

.
.
.

ซ่าาาา

สายน้ำจากฝักบัวหลั่งไหลออกมาเป็นสาย จากน้ำใสกลายเป็นสีสนิม (น้ำบาดาล) ตามแรงแค้นของวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในห้องน้ำ วิญญาณสาวที่เต็มไปด้วยแรงเฮี้ยนจิกทึ้งผมตัวเองจนยุ่งเหยิง ดวงตาลึกโบ๋หลั่งน้ำตาสีเลือดออกมาไม่ขาดสายเหมือนกับท่อน้ำแตก

‘กรี๊ดดดดด พวกมึงเอากันอีกแล้ว!! กรี๊ดดดดดดดดด!!’

วิญญาณร้ายรับไม่ได้ซ้ำยังไร้หนทางสู้ เมื่อผู้บุกรุกสองคน… 

ชายคนแรกที่ต่อให้หลอกหลอนทุกกระบวนท่ามันก็มองไม่เห็น แถมคิดเองเออเองว่าอุปกรณ์ในห้องน้ำชำรุดทั้งที่ตนใช้พลังวิญญาณก่อกวนไปตั้งเยอะจนเรียกได้ว่าเป็น ‘การหลอกหลอนอันสูญเปล่า’ ส่วนชายอีกคนแม้จะเห็น แต่ก็ดันกลัวแค่ไม่กี่นาทีแรกแถมมีของดีอย่างอาวุธพิฆาตวิญญาณที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน ซ้ำยังไล่ตนออกจากห้องเพราะจะทำเรื่องบัดสีกับคนรักของมันอีกต่างหาก!

‘ถ้าพวกมึงไม่หยุดกูไปเองก็ได้ กรี๊ดดดดดดดด!!’

เสียงโหยหวนค่อย ๆ จางหายไปเมื่อวิญญาณอาฆาตทะลุหนีไปยังอีกห้องหนึ่งที่กำแพงเชื่อมติดกัน

.
.
.

“เริ่มเขียนได้แล้ว ลายมือเริ่มสวยแล้วนะเนี่ย”

เด็กสาวที่พักอยู่เพียงคนเดียวในบังกะโลห้องสิบสามบีวางปากกาลงหลังจากที่เธอเขียนไดอารี่เสร็จ ด้วยความที่ถูกจับตัวและมัดมือเป็นเวลานานทำให้เธอขยับมือได้ไม่ถนัดจนต้องฝึกหยิบจับของและเขียนหนังสือใหม่ ตอนนี้เธอเริ่มเขียนได้คล่องแล้ว ดูได้จากลายมืออันเป็นระเบียบในสมุดลายตัวการ์ตูนน่ารักที่เจ้าตัวเพิ่งกลับมาเริ่มเขียนบันทึกประจำวันช่วงที่อยู่บนเรือโบอิ้งแมรี่

ฟุ่บ!

ราวกับมีสายลมเย็นวูบหนึ่งพัดผ่านที่ด้านหลัง อยู่ ๆ ดวงไฟภายในห้องก็กะพริบติด ๆ ดับ ๆ จนเมื่อไฟในห้องติดอีกครั้ง ดวงตาสองสีอันเป็นดั่งความสามารถพิเศษแต่เป็นเหมือนคำสาปในสายตาคนทั่วไปของธิดาเทพีแห่งมนตราก็เหลือบไปเห็นร่าง ๆ หนึ่งซึ่งมีผมยาวกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าและเนื้อตัวเปรอะเปื้อนนั่งขดตัวอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ชาร์ล็อตลุกจากโต๊ะไม้เขียนหนังสือเดินเข้าไปหาร่างที่อยู่ตรงนั้นอย่างไม่เกรงกลัว

ทันทีที่ร่างซีดเผือดเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องเด็กสาวด้วยดวงตากลวงลึก เลือดจากรอยแผลที่ถูกของมีคมปาดก็ไหลทะลักออกมาจากช่วงลำคอ

ริมฝีปากสีอ่อนของชาร์ล็อตส่งยิ้มสดใสให้ราวกับกำลังต้อนรับแขกผู้มาเยือน 

“มาแล้วเหรอคะ หนูรอคุณตั้งนานแน่ะ”




ความคิดเห็นผู้บันทึก
ดีใจชะมัดเลยที่ได้นอนโรงแรมดี ๆ ห้องพักดี ๆ สักทีหลังจากที่ลำบากลำบนกลางทะเลแคริบเบียนตั้งหลายวัน
ถึงไฟห้องพักจะไม่ค่อยดีแล้วระบบปะปาจะติด ๆ ดับ ๆ ก็ตามทีเถอะ
แต่ชีวิตของเดมิก็อดก็เลือกไม่ได้แบบนี้ แค่นี้ก็นับว่าหรูมากแล้ว
อีกอย่างหนึ่งที่อยากบอก หลังคามุงจากนี่ดีจังเลยแฮะ ให้ความเย็นทั้งที่พระอาทิตย์ฉายแสงตลอดทั้งวัน
ภูมิปัญญาอันเยี่ยมยอดของประเทศแถบซีกโลกใต้ที่คนซีกโลกเหนือคิดไม่ถึง
เอาไว้กลับไปถึงค่ายเมื่อไรลองปูหลังคาด้วยใบจากดูดีกว่า แต่ปัญหาก็คือจะไปหาใบจากมาจากไหนนะ

สรุปสถานการณ์
- ดีน แมคเคนซี และชาร์ล็อต เข้าพักที่รีสอร์ตในเมือง
ปวยร์โต้ โอบัลดิอา จังหวัดกุนนายาลา ประเทศปานามา
- เปลี่ยนแผนการเดินทางใหม่โดยอ้อมประเทศโคลอมเบียลงไปยังเอกวาดอร์
- ห้องพักมีผี แต่ใครสน.....
- เตรียมตัวและพักผ่อนให้พร้อมสำหรับการเดินทางต่อในเช้าวันพรุ่งนี้

DEAN

เลื่อนระดับ LV. MAX
+2 Point

MACKENZIE

เลื่อนระดับ LV. MAX
+2 Point

แสดงความคิดเห็น

God
(ห้องครัวหลักของโรงแรม เป็นผีอดีตแม่ครัว)  โพสต์ 2025-9-18 14:48
God
ชั้นลับอยู่ในห้องครัวข้างตู้เย็น โดยเธอจะสอนแมคเปิดชั้น ภายในมีภาพ >>> ลิ้งก์ภาพปรากฎในบทเสริมหลังโรลเสร็จ   โพสต์ 2025-9-18 12:37
God
((พาร์ทเสริมแมค ไม่เกี่ยวกับบทหลัก))  โพสต์ 2025-9-18 12:36
God
((หากแมคสัญญาจะช่วย เธอจะพาเขาไปดูรูปคู่ที่เก็บไว้ในชั้นลับของห้อง))  โพสต์ 2025-9-18 12:35
God
วิญญาณมองหน้าแมค ดูเหมือนเขาจะเห็นเธอ ก่อนเธอจะขอเขาช่วยตามหาคนรักที่หายตัวไป หลังเขาหายตัวไปเธอก็ทรมานใจและตายทั้งกลม จิตใจท้อถอย  โพสต์ 2025-9-18 12:35
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
Anker PowerCore
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่อัสพิสขัดเกลา
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x10
x2
x3
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x3
x1
x3
x1
x1
x4
x6
x1
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x6
x2
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-9-22 19:21:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-23 10:19

XVIII.V
จะได้นอนกี่โมง
 Mackenzie Claude Lincoln 

- 28.05.2025 / ??:??AM -

ปวยร์โต้ โอบัลดิอา, กุนนายาลา, ประเทศปานามา


กลางดึกสงัดที่พระอาทิตย์ยังส่องแสงจนไม่รู้ว่าเป็นเวลากี่โมงยาม ภายในห้องพักของบังกะโลหมายเลขสิบสามเอมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่และเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของเดมิก็อดหนุ่มสองคนที่นอนกกกอดมอบความอบอุ่นให้แก่กันอยู่บนเตียงนุ่มขนาดควีนไซส์ พวกเขาไม่ได้นอนหลับบนที่นอนแสนสบายเช่นนี้มาหลายคืนแล้ว วันนี้จึงเป็นวันหนึ่งที่ทั้งคู่ค่อนข้างหลับลึกหลังจากที่เหนื่อยสะสมมาหลายวันกลางทะเลแคริบเบียน


“อืม…


หนุ่มอังกฤษครางต่ำในลำคอพลางกระชับกอดบุตรโพไซดอนผู้เป็นคนรักไว้ในอ้อมแขน หากเป็นไปได้ก็อยากให้ช่วงเวลานี้ยาวนานต่อไปอีกสักหน่อย


 ‘ฮึก….ฮือ…ฮือออออ’


ขณะที่กำลังหลับสบายก็เหมือนได้ยินเสียงร้องไห้แว่ว ๆ เสียงนั้นค่อนข้างแผ่วเบาแต่กลับชัดเจนอยู่ในหัวจนแมคเคนซีงัวเงียตื่น


“ร้องไห้ทำไมที่รัก ละเมอเหรอ”


ฝ่ามือใหญ่เลื่อนลงไปตบก้นกล่อมแฟนเบา ๆ เพื่อปลอบประโลม ช่วงนี้ดีนคงเครียดสะสมเลยละเมอร้องไห้ละมั้ง


‘ฮืออออออ…ฮื่อออออ’


แต่เสียงร่ำไห้โหยหวนนั้นยังคงไม่หยุด หากลองฟังดี ๆ แล้วเหมือนเสียงผู้หญิงมากกว่าจะเป็นเสียงของดีนที่ไปในโทนต่ำ


แต่นี่มันห้องพักที่มีแค่เขากับดีนสองคนนะ ถ้านอกเหนือจากนี้จะเป็นอะไรไปได้ล่ะ


ความสงสัยนี้ทำให้บุตรเทพีแห่งมนตราต้องลืมตาขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ท่ามกลางความสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่น มีร่างของใครบางคนนั่งอยู่ตรงปลายเตียง แมคเคนซีหันไปมองด้านข้างอีกครั้ง ก็ยังเห็นดีนนอนหลับสบายเหมือนเดิม ชายหนุ่มจึงหันไปมองที่ปลายเตียงอีกที ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ร่างปริศนานั้นหันมามองเขาพอดี


“เฮ้ยยย !!”


ฝ่ามือใหญ่รีบตะครุบปิดปากตัวเองไว้เพื่อไม่ให้คนรักตกใจตื่น เขารีบเด้งตัวขึ้นนั่งจนลืมไปเลยว่านอกจากผ้าห่มที่คลุมกายเพียงผืนเดียวแล้ว ตอนนี้ตนยังไม่มีเสื้อผ้าติดตัวสักชิ้นจากกิจกรรมก่อนหน้าที่ทำร่วมกับดีนก่อนนอน


‘ค..ค..ค..คุณเป็นใครเนี่ย !’


เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่คนแน่ ๆ เขาจึงเลือกที่จะสื่อสารทางจิตกับ ‘วิญญาณ’ ตนนี้แทน ร่างตรงหน้าที่มารบกวนแมคเคนซียามวิกาลตอนนี้คือหญิงสาวผิวสี เธอสวมชุดเหมือนพนักงานที่นี่แต่เสื้อผ้าไม่ได้ขาดวิ่นเหมือนดวงวิญญาณก่อนหน้าที่เจอเมื่อตอนเย็น เธอดูสงบนิ่งไม่ได้มีทีท่าเกรี้ยวกราดคุกคาม มีเพียงแค่ใบหน้าเศร้าสร้อยเท่านั้นที่มองมาที่เขา


‘คุณเห็นฉันจริง ๆ ด้วย…..’


น้ำเสียงของวิญญาณสาวดูดีใจอย่างปิดไม่มิด จากนั้นเธอก็เริ่มแนะนำตัว


‘สวัสดีค่ะ ฉันชื่อมอลลี่ เป็นพนักงานของโรงแรมนี้ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าในที่สุดก็มีคนเห็นฉันแล้ว’


‘เอ่อ…ผมแมคเคนซี ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่ ผมทับที่คุณอีกคนงั้นเหรอ’


แอบงงเหมือนกันว่าทำไมต้องแนะนำตัวเองกับผีด้วย ถือว่าเป็นไปตามมารยาทก็แล้วกัน


‘เปล่าค่ะ ไม่ใช่หรอก ถึงฉันจะตายที่นี่ แต่ก็ไม่ใช่ในห้องนี้เหมือนเพื่อนของฉัน ฉันได้ยินเสียงเธอร้องเลยคิดว่าต้องมีคนที่เห็นเธอแน่ ๆ แล้วก็ใช่จริง ๆ ที่ฉันมาที่นี่…เพราะมีเรื่องอยากให้คุณช่วยค่ะ’


ฟังมาถึงตอนนี้จากที่ตื่นเต็มตาจนเกือบขนหัวลุกด้วยความกลัวอีกรอบ ก็ถูกความสงสัยแทรกมาแทนที่ นี่เขากลายเป็นหน่วยบรรเทาทุกข์ผีตั้งแต่เมื่อไหร่ ให้ตายสิ ที่เขาจิ้มชื่อโรงแรมนี้ตอนที่ดีนให้เลือกเพราะเห็นว่าคะแนนรีวิวเยอะและดูดีที่สุดในย่านนี้ แท้จริงแล้วมันคือความบังเอิญหรือว่ามีอะไรดลใจกันแน่ พวกเขาถึงได้มาพักที่โรงแรมผีสิงนี่


‘ช่วยงั้นเหรอ คุณลองบอกก่อนได้ไหมว่าเรื่องอะไร…’


แมคเคนซียังไม่อยากรับปากในทันที หากเป็นเรื่องเหนือบ่ากว่าแรงหรือกระทบกับภารกิจของพวกเขาขึ้นมา การเดินทางก็จะยิ่งล่าช้าไปอีก ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น


 ‘ฉันอยากให้คุณช่วยตามหาคนให้หน่อยค่ะ…ฮึก..เขาเป็นคนรักของฉันเอง เขา…เขาหายตัวไปตั้งแต่ตอนที่ฉันท้อง ฮื่อออ’


แค่เกริ่นนำเธอก็เริ่มร้องไห้อีกแล้ว ส่วนคนที่ฟังก็ได้แต่ทำตาโตแล้วเลื่อนสายตาลงมองไปยังช่วงท้องของเธอจึงเพิ่งสังเกตได้ว่ามันป่องนูนขึ้นมาจริง ๆ


‘เดี๋ยวนะ…คุณท้องอยู่เหรอ งั้นก็แปลว่าคุณกับลูก….พระเจ้า’


วิญญาณสาวพยักหน้ารับทั้งน้ำตาเพื่อเป็นการยืนยันว่าข้อสันนิษฐานของเดมิก็อดหนุ่มนั้นถูกต้อง แมคเคนซีถอนหายใจหนักแล้วบอกด้วยกระแสเสียงที่อ่อนลง ‘ผมเสียใจเรื่องลูกของคุณด้วยนะ’


‘ตอนที่เขารู้ว่าฉันตั้งท้องเขาดีใจมาก แต่ไม่กี่วันต่อมาเขาก็บอกว่ามีเรื่องต้องไปจัดการ ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย เขาไม่ติดต่อมา และฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาได้ที่ไหน ฉันคิดถึงเขามาก…เฝ้ารอเขากลับมา ลูกในท้องก็โตขึ้นทุกวัน ฉันไม่มีหน้ากลับไปเจอคนที่บ้านเพราะกลัวคำนินทา เลยได้แต่ทำงานอยู่ที่โรงแรมนี้ ยังดีที่ผู้จัดการเห็นใจฉันที่แพ้ท้องอย่างหนักเลยให้ฉันย้ายจากตำแหน่งพนักงานทำความสะอาดมาเป็นผู้ช่วยแม่ครัว…..’


แล้วมอลลี่ก็เริ่มรำลึกถึงความหลัง ใบหน้าของเธอยามพูดถึงชายคนรักดูมีชีวิตชีวาแต่ก็เศร้าสร้อยไปในคราวเดียวกัน


‘เพราะความเครียดจากเรื่องต่าง ๆ ที่สะสม ทำให้ฉันมีภาวะซึมเศร้าระหว่างท้อง ฉันไม่กล้าปรึกษาเรื่องนี้กับใคร ฉันเลยหันไปพึ่งยา…แล้วสุดท้ายก็ตายพร้อมกับลูกในท้องเพราะเสพยาเกินขนาด’


 ‘หา ? คุณเสพยาตอนตั้งท้องงั้นเหรอ คุณทำแบบนั้นได้ยังไง นั่นลูกคุณนะ’


ฟังถึงตรงนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมา (ในใจ) ไม่รู้ว่าตอนจบมันหักมุมมาไม่สวยแบบนี้ได้ยังไง แต่เขาไม่ประทับใจเอาเสียเลย


‘คุณไม่เข้าใจหรอกว่าสภาพฉันตอนนั้นย่ำแย่แค่ไหน คนที่ฉันรักหายตัวไปแล้วฉันต้องอุ้มท้องโดยที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดียังไง เงินเก็บที่มีกับรายได้แต่ละเดือนก็ต้องใช้ไปกับการนั่งรถเข้าเมืองหลายกิโลเพื่อไปโรงพยาบาลจนแทบไม่เหลือ ฉันมืดแปดด้านแล้วจริง ๆ ฮืออออ…’


แล้วเธอก็ปิดหน้าร้องห่มร้องไห้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้แมคเคนซีคลายอารมณ์หงุดหงิดไปได้อยู่ดี


‘ใช่ ผมไม่เข้าใจ มันมีทางออกอื่นอีกตั้งเยอะมากกว่าจะหันไปพึ่งของพวกนั้น สิ่งที่คุณทำมันคือการทำร้ายเด็กคนนึงที่เขากำลังจะเกิดมาเป็นลูกคุณ แย่ชะมัด เอาล่ะ ผมตัดสินใจแล้ว คุณไปหาคนอื่นให้ช่วยคุณเถอะ’


ว่าแล้วเดมิก็อดหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงจนมิดศีรษะก่อนจะพลิกตัวไปนอนกอดซุกคนรักต่อ ทำเหมือนว่าก่อนหน้านี้เพียงแค่ฝันไปไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น


‘ฮือออออ ไม่นะคุณแมคเคนซี ได้โปรดช่วยฉันก่อน ฉันอยากพบเขาอีกแค่สักครั้ง เป็นครั้งสุดท้ายก็ยังดี ฮื่อออ..ฮือ ๆๆ’


…………


เมื่อถูกปฏิเสธ วิญญาณสาวช้ำรักก็ได้แต่ร่ำไห้อยู่ปลายเตียง แม้เธอจะคร่ำครวญเพียงใดก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มอีก


.

.


‘ฮื่อ ๆๆๆๆ… ฮึก…ฮืออออออ’


ผ่านไปหลายนาที เสียงร้องไห้โหยหวนก็ยังคงดังก้องในหัวแมคเคนซีอยู่อย่างนั้น ใช่…เขายังไม่ได้หลับเลยแม้แต่น้อย ถึงจะพยายามข่มตานอนแค่ไหนแต่หากถูกรบกวนขนาดนี้ใครมันจะไปหลับลง


‘โอ๊ยยยย คุณ ! ช่วยไปร้องไห้ที่อื่นได้ไหม ผมนอนไม่หลับแล้วนะ !’


สุดท้ายก็อดรนทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นมาดุผีอีกรอบ มันคงจะดีถ้าหากเขาได้ตะโกนออกไปเต็มเสียง การตะโกนดุในใจนี่มันน่าอึดอัดชะมัด


‘ฮื่อออออ ๆๆ….ฮื่ออออออ’


ส่วนมอลลี่เองก็ดูจะไม่สนใจที่โดนว่ากล่าวเช่นกัน เธอยังคงตั้งหน้าตั้งตาร้องไห้อยู่ตรงที่เดิมปานจะขาดใจ และวิธีที่จะทำให้เธอเงียบลงได้ก็คงมีอยู่แค่วิธีเดียว


‘……โอเค ตกลง ผมจะช่วยคุณ เรามาคุยกันดี ๆ ก่อนคุณมอลลี่’


‘จริงเหรอ…’


ใบหน้าเปื้อนน้ำตารีบหันขวับมาทันที แล้วเขาจะทำอะไรได้อีกนอกจากสูดหายใจเข้าลึกแล้วพยักหน้ารับ


‘ใช่ ตามหาคนรักของคุณใช่ไหม คุณพอจะมีรูปถ่ายหรือข้อมูลอะไรที่เกี่ยวกับเขาหรือเปล่า’


‘มีค่ะ ฉันมีรูปถ่ายของเขาเก็บไว้ในห้องครัว คุณแมคเคนซีช่วยไปเอามาให้หน่อยนะคะ ฉันจะพาคุณไปเอง’


พูดจบก็มีลมจากไหนไม่รู้พัดผ้าห่มที่คลุมร่างเขากับดีนอยู่ให้ปลิวขึ้นจนแมคเคนซีต้องรีบคว้าแล้วดึงกลับมาไว้ ไม่งั้นวิญญาณสาวคงได้เห็นพวกเขาล่อนจ้อนเป็นแน่


‘ไม่ต้องรีบขนาดนั้น ! คุณออกไปรอข้างนอกเลย เดี๋ยวผมตามไป’


วิญญาณสาวที่อารมณ์ดีขึ้นบ้างหัวเราะคิกคักก่อนที่ร่างนั้นจะลอยทะลุประตูห้องหายไป แมคเคนซีรีบหยิบเสื้อผ้าที่ถูกถอดกองไว้ข้างเตียงมาสวมใส่ลวก ๆ ห่มผ้าให้คนรักดี ๆ แล้วลุกตามมอลลี่ออกจากห้องไปเงียบ ๆ โดยไม่ลืมพกอาวุธประจำตัวไปด้วยเผื่อเจอเหตุการณ์ที่ยากจะรับมือขึ้นมา


.

.


แม้จะเป็นเวลาดึกสงัดแต่ท้องฟ้าก็ยังสว่างอยู่ คงไม่เหมาะสมหากแขกผู้เข้าพักจะเข้าไปในพื้นที่ของพนักงานโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ถือว่าโชคยังดีที่โรงแรมนี้ใช้เวลาเปิดปิดตามเดิมกับที่มีเวลากลางคืน ตอนนี้ร้านอาหารที่อยู่ข้างล็อบบี้จึงอยู่ในช่วงปิดบริการ


มอลลี่นำแมคเคนซีค่อย ๆ เดินลัดเลาะไปตามทางที่กลุ่มพนักงานในร้านอาหารใช้กันจนมาถึงด้านหลังร้าน แน่นอนว่าประตูถูกล็อกอยู่ แต่มีหรือที่อดีตพนักงานอย่างวิญญาณสาวจะไม่รู้ว่าลลูกกุญแจเก็บอยู่ตรงไหน เธอบอกให้เดมิก็อดหนุ่มหยิบลูกกุญแจที่ซ่อนอยู่ตรงใต้กระถางต้นไม้ตรงหน้าประตูแล้วไขเพื่อเข้าไปด้านใน


ภายในห้องเป็นครัวขนาดกลาง มีทั้งอุปกรณ์ทำครัว จานชาม และบรรดาเครื่องปรุงจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ


‘ฉันเก็บรูปเขาไว้ในชั้นเก็บของข้างตู้เย็นค่ะ คุณแมคเคนซีเปิดลิ้นชักชั้นแรกออกมาก่อน ตรงด้านข้างจะมีที่ให้ปลดกลอนเพื่อเปิดลิ้นชักชั้นอื่น ๆ จากนั้นก็เปิดลิ้นชักชั้นที่สองนะคะ ที่ลิ้นชักชั้นที่สองจะมีชั้นลับที่ดึงออกมาทางด้านข้างได้ซ่อนอยู่ ฉันเก็บรูปเขาไว้ในนั้น’


‘ต้องเก็บรูปไว้ในที่ลึกลับขนาดนั้นเลยเหรอ’


แม้จะสงสัยแต่แมคเคนซีก็ค่อย ๆ ทำตามขั้นตอนที่เธอบอก ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมถึงต้องเก็บรูปคนรักไว้ในที่ซับซ้อนขนาดนั้น ตามปกติแล้วคนเราก็น่าจะอยากเก็บรูปแฟนไว้ในที่ที่หยิบมาดูง่ายไม่ใช่เหรอ เหมือนอย่างที่เขาถ่ายรูปดีนเก็บไว้ในมือถือเป็นร้อย ๆ รูป เวลาคิดถึงจะได้หยิบมาดูได้ทันทีไงล่ะ


‘จะว่ายังไงดีนะคะ เขาเป็นผู้ชายที่หล่อที่สุดที่ฉันเคยเจอมาเลย แววตาของเขาเต็มไปด้วยพลังและมีเสน่ห์มาก เวลาที่สบตาเขาแต่ละครั้ง หัวใจของฉันเหมือนจะหยุดเต้นเลย ฉันไม่อยากให้ใครเห็นความหล่อของเขาก็เลยต้องเก็บรูปในที่ที่เป็นความลับหน่อยน่ะค่ะ’


มอลลี่เหมือนคนที่ตกอยู่ในห้วงรักอีกครั้งเมื่อพูดถึงแฟนหนุ่มของเธอ ข้อนี้แมคเคนซีเข้าใจได้เพราะเขาก็รู้สึกกับดีนแบบนี้เหมือนกัน ในที่สุดเขาก็เปิดลิ้นชักลับนั้นได้ ด้านในมีของจำพวกสมุดบันทึก สมุดฝากครรภ์ ของจุกจิก และกระดาษใบหนึ่งที่ถูกวางคว่ำไว้ซึ่งก็คงจะเป็นรูปถ่ายใบนั้น หนุ่มอังกฤษจึงไม่ลังเลที่จะหยิบขึ้นมาดูทันที


‘เอ่อ…คุณมอลลี่ คุณแน่ใจใช่ไหมว่าคนในรูปกับคนที่คุณพูดถึงเป็นคนเดียวกัน’


‘ใช่แล้วค่ะ คนนี้เลย เฮ้ออออ หลังจากฉันตายไปปีกว่าก็ไม่ได้ดูรูปเขาเลยค่ะ คิดถึงจังเลย’


แววตาเศร้าโศกของมอลลี่กลับมามีประกายสดใสขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้เห็นหน้าชายคนรัก ซึ่งตรงกันข้ามกับแมคเคนซีที่ตอนนี้คิ้วขมวดจนแทบจะชนกัน


‘ผมหมายถึง คุณมีรูปนี้แค่รูปเดียวน่ะเหรอ นี่มัน…ผมแทบมองหน้าเขาไม่ออกเลย’


ภาพในมือเขาคือชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อคอเต่าและแจ็คเก็ตหนังมิดชิด ทั้งยังสวมหมวกไหมพรมและแว่นตากันแดดสีดำสนิทอีก


 


ไหนฟะ ! ‘ดวงตาที่เต็มไปด้วยพลังและมีเสน่ห์’ น่ะ !


ไม่ว่าจะกลับหัว พลิกซ้าย พลิกขวา ตะแคงมุมทำองศาไหนก็ไม่เห็นแววตาใต้แว่นกันแดดนั้นแม้แต่น้อย มีเพียงด้านหลังรูปมุมขวาด้านล่างที่ถูกเขียนด้วยหมึกปากกาสีดำว่า ‘D.’ เท่านั้น นี่เขากำลังโดนผีหลอก ที่แปลว่า ‘หลอก’ จริง ๆ แล้วใช่ไหม


‘มีแค่รูปเดียวเลยค่ะ โดเลสให้ฉันเก็บไว้ดูต่างหน้าก่อนที่เขาจะไป คุณแมคเคนซีเอาติดตัวไปด้วยได้เลยนะคะ จะได้หาเขาเจอง่าย ๆ หน่อย’


แมคเคนซีก้มหน้าลงมองภาพในมืออีกครั้ง แทบหาลักษณะเด่นของคนคนนี้ไม่ได้เลย ในสายตาเขาคนผิวสีก็ค่อนข้างคล้ายกันไปหมดเสียด้วย ถึงจะพกรูปนี้ไปก็คงช่วยอะไรไม่ได้เท่าไหร่ ตอนนี้ในหัวมีแต่คำว่า ‘สิ้นหวังแล้ว’ เต็มไปหมด ถึงอย่างน้อยจะได้รู้ว่าคนที่เขาต้องตามหาจะชื่อ ‘โดเลส’ ก็ตาม


ชื่อคุ้นชะมัด


‘ผมจะพยายามนะ แต่ไม่แน่ใจเลยว่าจะเจอเขาเมื่อไหร่ พรุ่งนี้พวกผมก็จะเช็คเอาท์กันแล้ว คงไม่ได้อยู่เมืองนี้นานนัก ว่าแต่สมมุติถ้าผมเจอคุณโดเลสแล้ว คุณจะให้ผมทำยังไงต่อ’


ถึงอย่างนั้นเดมิก็อดหนุ่มก็ยังตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ จะให้ตัดความหวังแบบไร้เยื่อใยก็ดูจะทำร้ายใจกันจนเกินไป แม้ว่าความหวังนั้นแทบเป็นศูนย์เลยก็ตาม


‘นานเท่าไหร่ฉันก็จะรอค่ะ ถ้าคุณเจอเขา ฉันฝากคุณถามเขาให้หน่อยได้ไหมคะว่ายังรักฉันกับลูกอยู่ไหม และถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากให้เขามาพบฉันกับลูกอีกครั้ง ศพของฉันกับลูกถูกฝังอยู่ที่สุสานใกล้ ๆ นี้ ให้เขาถามจากพนักงานในโรงแรมก็ได้ พวกเขาทำพิธีให้ฉัน แต่เพราะฉันยังคงมีห่วงตัดขาดจากเขาไม่ได้ วิญญาณเลยติดอยู่ที่นี่ ถ้าได้พบเขาอีกครั้ง ฉันอาจหลุดพ้นไม่ต้องวนเวียนอยู่ที่นี่แล้วก็ได้ค่ะ’


พอได้ฟังจุดประสงค์ของวิญญาณสาวแล้วก็รู้สึกว่าน่าเห็นใจและให้ความช่วยเหลือขึ้นมา อย่างน้อยเธอจะได้ไม่ต้องติดอยู่ที่นี่อีก แมคเคนซีพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงตอบรับคำร้องขอนั้น


‘อืม…ถ้าผมเจอเขานะ แต่คุณช่วยรับปากกับผมสักข้อได้ไหม ถือว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยน’


ดวงตาสีฮาเซลสบมองดวงตาไร้แววแสนโศกคู่นั้น


‘ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็ตาม คนรักของคุณจะยังมีชีวิตอยู่ไหม หรือจะกลับมาหาคุณหรือเปล่า สุดท้ายถ้าคุณได้ไปเกิดใหม่ ขอให้คุณรักตัวเองให้มาก ๆ ถ้ามีลูกก็รักเขา ดูแลและปกป้องเขาอย่างดีที่สุด อย่าให้ใครก็ตามทำให้คุณเป็นแบบนี้อีกนะ’


ท่ามกลางความเงียบงันที่ปกคลุมไปทั่วห้องครัว วิญญาณสาวส่งยิ้มบางเบาให้ เสียงใส ๆ ดังก้องกังวานในโสตประสาทบุตรเทพีแห่งมนตราชัดเจน


‘ค่ะ….ขอบคุณนะคะ’


.

.


หลังจากนั้น มอลลี่มาส่งแมคเคนซีที่หน้าบังกะโลหมายเลขสิบสามเอแล้วร่างเธอก็หายไป หนุ่มอังกฤษกลับเข้ามาภายในห้องพักเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ ดีนยังคงหลับสบายเหมือนกับตอนที่เขาออกไปจากห้อง ซึ่งนั่นก็ถือว่าดีมากแล้ว ร่างสมส่วนสอดตัวลงใต้ผ้าห่มอย่างเงียบเชียบแล้วสวมกอดชายคนรักของตนไว้ หวังว่าคราวนี้จะได้หลับสนิทจริง ๆ โดยไม่มีใครมารบกวนอีกเสียที




ความคิดเห็นผู้บันทึก

ให้ตายสิ ที่นี่เป็นโรงแรมผีสิงหรือไงกันนะ พวกผมโดนพนักงานเปิดห้องที่มีผีดุในห้องน้ำให้พักยังไม่พอ ตกกลางคืนยังมีผีอีกตนมารบกวนการนอนอันสงบสุขของผมอีก ที่จริงแล้วเธอก็น่าสงสารไม่น้อย ตอนแรกผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจทำแบบนั้น แต่ก็มารู้จากดีนทีหลังว่า แถบปานามายาเสพติดหาง่ายและเข้าถึงได้ง่ายกว่าการได้รับการรักษาจากแพทย์และการไปโรงพยาบาลเสียอีก และถึงผมตอบตกลงที่จะช่วยตามหาคนรักให้เธอ แต่จากรูปและข้อมูลที่ผมได้มามันช่างน้อยนิดจนไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนเลยจริง ๆ ว่าแต่ชื่อ ‘โดเลส’ นี่คุ้นชะมัด เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ถึงอย่างนั้นผมควรเก็บเรื่องนี้เอาไว้สะสางทีหลัง เพราะยังมีภารกิจสำคัญรออยู่ที่เอกวาดอร์ เอาล่ะ…หวังว่าจากนี้ไปผมจะไม่เจอผีอีกนะ ครั้งแรกพอได้ ครั้งที่สองพอทน ครั้งที่สามพอก่อน ! ผมจะจู๋จี๋กับแฟนผม !


สรุปสถานการณ์

- แมคเคนซีเจอวิญญาณอีกตนกลางดึก

- วิญญาณสาวชื่อ ‘มอลลี่’ ขอให้แมคเคนซีช่วยเธอตามหาคนรัก

- แมคเคนซีตอบตกลงว่าจะช่วย

- มอลลี่พาแมคเคนซีมาเอารูปของชายคนรักที่ห้องครัวซึ่งเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ข้างโรงแรม

- ทั้งคู่แยกย้ายกัน แมคเคนซีกลับมานอนกับดีนต่อ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 132,068 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 ความศรัทธา จาก เรียกอาวุธจากหมอก  โพสต์ 2025-9-22 19:21
โพสต์ 132,068 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Hydro X  โพสต์ 2025-9-22 19:21
โพสต์ 132,068 ไบต์และได้รับ +20 EXP +35 ความกล้า +40 ความศรัทธา จาก การปลุกผี  โพสต์ 2025-9-22 19:21
โพสต์ 132,068 ไบต์และได้รับ +15 EXP +25 เกียรติยศ +25 ความศรัทธา จาก คบเพลิงเวท  โพสต์ 2025-9-22 19:21
โพสต์ 132,068 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก การร่ายคาถา  โพสต์ 2025-9-22 19:21
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เหรียญนกฮูก
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x5
x1
x10
x2
x1
x2
x2
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้