[บันทึกการเดินทาง] ทวงคืนราชรถมาเซราติ

[คัดลอกลิงก์]































ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-09] อะพอลโล เพิ่มขึ้น 100 โพสต์ 2024-6-2 15:42
God
คุณได้รับ 50 EXP โพสต์ 2024-6-2 15:42
God
คุณได้รับ +200 เกียรติยศ +100 ความกล้า +100 ความศรัทธา โพสต์ 2024-6-2 15:42
โพสต์ 2928 ไบต์และได้รับ 1 EXP!  โพสต์ 2024-5-12 20:44

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1เหรียญดรักม่า +40 ด้านมืด +30 ย่อ เหตุผล
God + 40 + 30

ดูบันทึกคะแนน

โพสต์ 2024-5-16 01:03:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Eloise เมื่อ 2024-5-16 01:07








เวลา 7 โมงเช้า เอโลอิสและสมาชิกทีมร่วมภารกิจ ประกอบด้วย รอฟีอัส ฟีโอดอร์ พ่วงด้วยเคอร์ติสเดินออกมานอกประตูค่ายพร้อมกัน หลังจากที่ทำการนัดแนะให้มาเจอกันที่หน้าประตูค่าย สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความว่างเปล่า พวกเขาไม่รู้เลยว่าทางข้างหน้าจะมีอะไรรอพวกเขาอยู่…

“เราจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี?” 

เอโลอิสเริ่มเปิดประเด็น ดูเหมือนสมาชิกทุกคนในทีมจะไม่มีใครเป็นอเมริกันสักคน ทักษะความชำนาญทางจึงน่าจะอยู่ในเลเวลที่พอ ๆ กัน แต่คงไม่ใช่กับฟีโอดอร์ที่เจ้าตัวดูจะชำนาญเรื่องพวกนี้เป็นพิเศษราวกับว่าเคยเป็นสายลับมาก่อนยังไงอย่างงั้น

“จากคำพยากรณ์ผมว่าเราต้องไปใจกลางของนิวยอร์ก” ฟีโอดอร์เริ่มการวิเคราะห์คำพยากรณ์

“แล้วใจกลางอยู่ที่ไหน…เทพีสันติภาพเหรอ?” เอโลอิสเอียงคอสงสัย

“เซ็นทรัลพาร์กไงยัยโง่! เธอตกภูมิศาสตร์หรือไง? อีกอย่างเทพีเสรีภาพไม่ใช่เทพีสันติภาพ” รอฟีอัสพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าหัวหน้าทีมที่ฝากความหวังแทบจะไม่ได้กำลังจะพาพวกเขาเป๋ไปไกล

“นี่ให้มันน้อย ๆ หน่อย เป็นเด็กเป็นเล็กมาพูดจาแบบนี้กับผู้ใหญ่ได้ยังไงกัน อีกอย่างนายควรจะเรียกฉันว่าพี่สาวคนสวยนะ”

“เธอแก่กว่าฉันแค่ 2 ปีและไม่ได้น่าเคารพขนาดนั้น แล้วก็เรื่องคนสวย…เธอรู้ตัวใช่ไหมว่าเธอลูกใคร…” รอฟีอัสละไว้ในฐานที่เข้าใจเขาไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น

“หยาบคายที่สุด!” เอโลอิสเบะปาก

“พอ…พอ…ทั้งคู่นั่นแหละ ยังไม่ทันเริ่มเดินทางก็จะตีกันแล้วเหรอ ผมว่าเราควรมาเริ่มวางแผนการออกเดินทางจากจุดนี้ดีกว่า” ฟีโอดอร์ที่เห็นท่าทีว่าจะไม่ดีจึงรีบห้ามมวยเด็กทั้งสอง ข้อดีของการพกผู้ใหญ่มาร่วมทีมด้วยมันก็ดีแบบนี้แหละ

“นั่นสิขอรับพวกเราต้องเป็นทีมนะขอรับ รักกันไว้เถิด~” เคอร์ติสพูดเสริม

“ดูจากระยะทางจากค่ายฮาล์ฟบลัดไปที่เซ็นทรัลพาร์กน่าจะใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 45 ชั่วโมง ถ้าพวกเราใช้เวลาเดินทางเฉพาะตอนกลางวันก็น่าจะถึงภายใน 3-4 วัน” ฟีโอดอร์เริ่มอธิบายแผนการเดินทาง

“หาาาาา! 4 วัน! เดินเท้างั้นเหรอคะ?” เอโลอิสแทบไม่อยากจะเชื่อหู ให้เดินจากค่ายไปเซ็นทรัลพาร์กคงได้ขาลากกันพอดี

“หรือเธอคิดว่าจะมีรถลีมูซีนมาจอดรับพวกเราไปส่งที่เซ็นทรัลพาร์กแล้วปูพรมแดงให้เธอลงรถกันล่ะ?” รอฟีอัสพูดขึ้น

“ชิ!” เอโลอิสเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างไม่สบอารมณ์

“ช่วงแรกผมว่าเราควรเดินเท้าไปก่อนเพื่อความปลอดภัย ไม่ไกลจากค่ายมีเส้นทางเดินป่าพวกเราเดินไปทางนั้นก็ได้ จนกว่าจะเจอถนนใหญ่แล้วค่อยว่ากันอีกที” ฟีโอดอร์เสนอไอเดีย

“กระผมเห็นด้วยขอรับ” เคอร์ติสพยักหน้า

“โอเคงั้นเอาตามนั้น เช็คความเรียบร้อยกันก่อนว่าลืมอะไรหรือเปล่า ถ้าลืมจะได้กลับเข้าไปเอาในค่ายทัน” เอโลอิสไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้เลยรีบสรุปตัดจบยึดตามไอเดียที่ฟีโอดอร์เสนอ

“ของฉันครบ”

“ผมก็ครบ”

“กระผมก็ครบขอรับ!”

“ถ้างั้นก็ออกเดินทางกันเล้ยยยยย!!!” เอโลอิสกำปั้นขึ้นฟ้าเป็นสัญญาณว่าการผจญภัยได้เริ่มขึ้นแล้ว

ทั้งสี่เดินลัดเข้าไปในป่าโดยยึดเส้นทางที่มีคนเดินผ่านไปมาอยู่ประจำเป็นหลัก เพราะการที่เป็นเส้นทางเดินป่าแสดงว่ามันคือจุดที่ปลอดภัยที่สุดที่จะเดินทางของคนที่สัญจรยังไงล่ะ! สัมภาระของทุกคนมีเพียงกระเป๋าเป้คนละใบเท่านั้น ไม่มีอะไรอย่างอื่น แม้กระทั่งแผนการเดินทาง… แต่นั่นแหละที่ทำให้มันสนุก การไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปข้างหน้าทำให้ทุกย่างก้าวเซอร์ไพรส์เสมอ 

การเดินเท้าใช้เวลาประมาณ 30 นาทีในที่สุดก็พบถนนใหญ่…

“แฮ่ก ๆ ๆ เรานั่งพักกันก่อนได้ไหมขาจะลากแล้วนะ!” เอโลอิสเสนอขึ้นหลังจากที่ได้บริหารน่องมาตลอดทาง ทางในป่ามันไม่ได้เรียบเนียนเหมือนถนนหลักเลยทำให้กินพลังงานมากกว่าปกติ เธอล้มตัวลงนั่งข้างทางหยิบขวดน้ำจากในกระเป๋าเป้มาดื่ม

“เราพักกันก่อนก็ได้” ฟีโอดอร์ นั่งลงถัดจากเอโลอิส

“ตรงนี้ดูไม่น่าจะมีอสุรกาย น่าแปลกจริง ฉันคิดว่าจะเจอพวกมันในป่าเสียอีก” รอฟีอัสพูดขึ้นขณะที่เขานั่งพักบ้าง

“ไม่มีก็ดีแล้วไง นับเป็นการเริ่มต้นที่ดี วันนี้อาจจะมีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับพวกเราก็ได้”

“แล้วหลังจากนี้เราจะเดินไปทางไหนต่อเหรอขอรับ?” เคอร์ติสถามขึ้น

“ฉันขอเสนอ” เอโลอิสยกมือขึ้นสูง หลังจากที่โดนฟีโอดอร์พาเดินมาราธอนมาครึ่งชั่วโมง คราวนี้เธอจะต้องเป็นคนคุมแผนการเดินทางบ้างเพื่อความสะดวกสบายขึ้น ขืนให้ฟีโอดอร์นำต่อเธอคงได้เดินต่ออีกหลายสิบกิโลแน่ ๆ 

“ว่ามาเลย” ฟีโอดอร์รอฟัง

“ในเมื่อเรามาถึงถนนใหญ่แล้วจะมาเสียเวลาเดินต่ออีกทำไม นั่นมันใช้เวลาตั้ง 4 วันเลยนะ ฉันขอเสนอให้พวกเราเดินทางด้วยรถ มันจะช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางได้เยอะเลยล่ะค่ะ”

“แล้วพวกเราจะไปหารถจากไหน แถวนี้ไม่มีรถโดยสารหรอกนะ?”

“โบกรถไง! เรื่องปกติจะตายที่อเมริกาใคร ๆ ก็โบกรถทั้งนั้นแหละ ไม่เคยเห็นในหนังเหรอ?” 

“มันจะได้ผลเหรอ?” รอฟีอัสดูท่าทางไม่ค่อยแน่ใจกับแผนการของเอโลอิสสักเท่าไหร่แต่ในใจเขาก็ไม่ได้อยากจะเดินเท้าต่อเช่นกัน

“เชื่อมือฉันเถอะน่า! ฉันดูหนังบ่อย ถ้าเป็นผู้หญิงโบกเปอร์เซ็นการจอดรับจะมากขึ้น ฉะนั้นฉันจะเป็นคนโบกรถให้เอง!”

“ระวังด้วยนะขอรับ” เคอร์ติสพูดด้วยความเป็นห่วง มันจับจ้องมองเอโลอิสที่ลุกขึ้นจากพื้นเดินไปข้างถนนเพื่อมองหารถที่ขับผ่านไปมาสักคัน

เอโลอิสยืนรอรถผ่าน เหมือนว่าเส้นนี้รถจะมีไม่มาก เธอลองโบกอยู่หลายคันแต่ก็โดนขับผ่านไปอย่างไม่ไยดี สองหนุ่มได้แต่นั่งมองสาวน้อยเพียงคนเดียวของทีมยืนโบกรถอยู่เงียบ ๆ พวกเขาไม่ใช่คนที่จะยอมมาทำอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว และคนที่เสนอไอเดียก็ควรจะจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง

เอี๊ยดดดดดดด…

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อมีรถคันหนึ่งจอดจริง คนขับด้านในเป็นชายที่ดูรุ่นราวใกล้เคียงกับฟีโอดอร์ เขาเลื่อนกระจกรถลง ก่อนจะเริ่มสนทนากับเอโลอิส

“จาปายทางหนายคราบบบบบ?”

“เอ่อ…พวกหนูจะไปแมนฮัตตันค่ะ ผ่านทางนั้นไหมคะ?”

“ช่างบังเอิญอารายเช่นนี้ โผมกำลังจาปายทางน้านพอดีเลยคราบ”

เอโลอิสแอบรู้สึกในใจว่าสำเนียงผู้ชายคนนี้โคตรจะแปลกหูเลยราวกับไม่ใช่คนพื้นที่ แต่อเมริกามันก็เป็นดินแดนเสรีนี่เนอะ มีคนจากหลากหลายเชื้อชาติก็ไม่ได้แปลกอะไร เขาคนนี้ก็อาจเป็นผู้อพยพก็ได้ เลยไม่ได้ติดใจกับสำเนียงการพูดของเขามากนัก

“งั้นขอติดรถไปด้วยคนนะคะ มีกัน 3 คน”

“ขึ้นมาเลยคราบ” ผู้ชายคนนี้ใจดีจริง ๆ เขายิ้มรับและยินดีให้ทุกคนโดยสารไปด้วยกัน

“สักครู่นะคะขอไปบอกเพื่อนก่อน”

เอโลอิสวิ่งกลับไปหาสามหนุ่มที่กำลังนั่งรอเธออยู่ เธอคว้าคอของทุกคนมาสุมหัว เพื่อเตี๊ยมกันให้เนียนที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ผู้ชายคนนี้เขาจะขับผ่านแมนฮัตตันเราจะติดรถเขาไป เคอร์ติส! คนที่นี่เขาไม่คุ้นกับนกกระทาพูดได้กันหรอกนะ ฉะนั้นนายต้องเงียบปากไว้ห้ามเผลอพูดภาษามนุษย์ออกมาเข้าใจไหม? ท่องไว้ว่านายเป็นแค่นกกระทาสัตว์เลี้ยงของฉัน”

“การหยุดพูดช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นสำหรับกระผม แต่เพื่อภารกิจแล้ว…กระผมจะเล่นให้เนียนที่สุดขอรับ!” เคอร์ติสรับคำ

“ส่วนพวกนายสองคนเราจะเล่นบทวัยรุ่นโบกรถเที่ยวกัน”

ทั้งสองคนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เมื่อทำการตกลงกันเรียบร้อยแล้วเอโลอิสก็เดินกลับไปที่รถคันที่จอดรออยู่ แล้วพากันขึ้นรถโดยฟิโอดอร์นั่งด้านหน้าคู่กับคนขับ ส่วนเอโลอิส รอฟีอัส และเคอร์ติสนั่งด้านหลัง ไม่นานนักรถก็เล่นออกไป 

“มาเที่ยวกานเหรอคราบเด็ก ๆ” ผู้ชายสำเนียงแปร่งมองผ่านกระจกมองหลังเพื่อสนทนากับพวกเธอ

“ใช่ค่ะ โบกรถเที่ยวไปเรื่อย ๆ แบบค่ำไหนนอนนั่น”

“ฟังดูน่าซาหนุกดีหนาคราบ โผมเกิดและโตที่นี่มาท้างชีวิต ไม่เคยได้ออกเที่ยวเลย”

เอโลอิสกระทุ้งศอกเบา ๆ ไปที่รอฟีอัสที่นั่งอยู่ข้างเธอพร้อมกระซิบคุยกัน

“อเมริกันแน่นะวิ?” 

“ฟังก็รู้ว่าไม่ใช่ สำเนียงยังกะคนบ้านเดียวกัน” รอฟิอัสกระซิบตอบกลับไป แล้วทำเนียนมองออกไปชมวิวที่หน้าต่างรถ เขาไม่ได้อยากจะสนทนาอะไรกับคนแปลกหน้าให้มากความ ลำพังตีกับพวกที่มาด้วยกันก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว

“โผมเพิ่งเห็นว่าเอาสัตว์เลี้ยงมาด้วยเหรอคราบ ม่ายค่อยเห็นโคนเลี้ยงนกกระทาเป็นสัตว์เลี้ยงเลย” ชายคนนั้นทักขึ้นเมื่อมองผ่านกระจกมองหลังแล้วเห็นเคอร์ติสนั่งอยู่บนตักของเอโลอิส

“อ๋อ พอดีเลี้ยงไว้กินไข่น่ะค่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” เธอหัวเราะแห้ง เจ้าตัวนี้จะออกไข่ให้กินได้ยังไงกัน เพราะมันเป็นตัวผู้!

“น่าโสนจายคราบ โผมยากเลี้ยงบ้างเลย มานเสียงดังรบกวนหมายคราบ?”

“ไม่รบกวนนะคะ ก็ร้องแบบนกกระทาทั่วไปไม่ได้น่ารำคาญอะไรค่ะ”

“ปกกาติ นกกระทามันร้องยางงายเหรอคราบ?”

สายตาทุกคนหันมามองเคอร์ติสที่นั่งนิ่งตัวแข็งด้วยความเกร็งมาสักพักแล้ว มันพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะไม่พูดภาษามนุษย์ออกมา และตอนนี้มันกำลังถูกกดดันให้ส่งเสียงแบบที่นกกระทาปกติเขาทำกัน สายตาทุกดวงจับจ้องมาที่เคอร์ติสจนตัวมันเริ่มสั่นและตัดสินใจที่จะส่งเสียงออกไปให้เหมือนนกกระทาทั่วไปให้มากที่สุด

“กะ…กระท๊าาาาา!”

“...” / “...” / “...” / “...” 

โคตรจะไม่เนียนเลย!

บรรยากาศในรถเงียบกริบในทันใด เจ้าเคอร์ติสสอบตกการเป็นนกกระทาอย่างเห็นได้ชัด มันเงยหน้ามองลูกพี่เอโลอิสของมันที่กำลังส่งสายตามองมันอย่างมีนัยยะว่า ‘นกกระทาบ้าอะไรร้องแบบนั้น!’ มันหันไปมองขอความช่วยเหลือจากรอฟีอัสที่นั่งข้าง ๆ แต่ปรากฏว่า…รอฟีอัสแกล้งหลับหนีไปแล้ว!...

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ร้อนจังเลยนะคะพี่ช่วยเร่งแอร์ให้หน่อยได้ไหมคะ?” 

เอโลอิสหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วเบนความสนใจของคนขับรถเรื่องนกกระทาไปเรื่องอื่น เสียงถอนหายใจของฟิโอดอร์ที่นั่งอยู่ด้านหน้าทำให้เอโลอิสรู้เลยว่าอีกฝ่ายเหนื่อยใจแค่ไหนกับวีรกรรมของเจ้าเคอร์ติส ทุกคนไม่ได้สนทนาอะไรกันต่อแล้วปล่อยให้รถเดินทางวิ่งต่อไป…

1 ชั่วโมงผ่านไปทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นไปได้ด้วยดี พี่ผู้ชายคนขับดูเป็นคนสุภาพและน่าเชื่อถือ(?) ในตอนนี้ทุกคนหมดความคลางแคลงใจ รถกำลังวิ่งบนถนนซันไรส์ไฮเวย์ถือได้ว่ามาเกือบครึ่งทางแล้ว รอบข้างมีแต่ป่ากับป่า ช่างเป็นถนนเส้นยาวที่ไม่มีอะไรน่าชมเลยจริง ๆ

เอี๊ยดดดดด…

ในขณะที่ทุกคนกำลังเคลิ้มจะหลับจู่ ๆ รถก็จอดเข้าข้างทางแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจนเอโลอิสและรอฟีอัสหันมามองหน้ากันด้วยความงงงวย รอบข้างก็ยังเป็นป่าเหมือนเดิม

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” ฟีโอดอร์ที่นั่งข้างคนขับเป็นคนเปิดสนทนาก่อน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ดี ๆ ก็จอดรถ

“เหมือนว่ารถจามีปัญหาหนาคราบ ขอโผมโลงปายดูสักครู่” พูดจบชายคนนั้นก็เปิดประตูลงจากรถไปเปิดฝากระโปรงรถดู

เอโลอิสที่ได้ยินว่ารถมีปัญหาก็เลยลงรถตามไป เนื่องจากเธอพอจะมีทักษะในการซ่อมอยู่บ้างจากพลังที่บิดาของเธอได้มอบให้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อการเดินทางในครั้งนี้มาก สองหนุ่มที่เห็นว่าเอโลอิสลงจากรถก็เลยตามลงมาบ้าง รวมถึงเคอร์ติสที่ยังคงต้องทำตัวเป็นนกใบ้ก็เดินลงมาด้วย

“ให้ฉันช่วยดูไหมคะ? ฉันพอที่จะซ่อมรถเป็น”

“รบกวนด้วยหนาคราบ ขอโผมโทรตามช่างก่อน” ชายคนนั้นเดินปลีกตัวออกไปจากพวกของเอโลอิสเพื่อไปโทรศัพท์ จังหวะเดียวกันนั้นทั้งสี่คนก็มาสุมหัวกันอยู่หน้ากระโปรงรถ

“เธอซ่อมได้แน่เหรอ?” รอฟีอัสถามขึ้น

“อย่าได้ดูถูกความสามารถของฉันเชียวเดี๋ยวนายก็จะรู้เอง” 

เอโลอิสยื่นมือไปแตะที่รถก่อนจะเริ่มตั้งสมาธิหลับตาใช้พลังกลศาสตร์ของตนเองเพื่อตรวจหาข้อบกพร่องของรถ จะได้ซ่อมได้ถูกจุด เธอไล่หาสาเหตุตามชิ้นส่วนต่าง ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ 

“พวกนาย ฉันว่ามันเริ่มแปลก ๆ แล้วล่ะ” เธอทักทุกคนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ยังไงเหรอครับ?” ฟีโอดอร์ถามขึ้น

“รถคันนี้ไม่ได้เสีย ระบบทุกอย่างยังทำงานดีฉันสัมผัสได้” เอโลอิสบอกสิ่งที่พบหลังจากใช้พลังกลศาสตร์ของตัวเองตรวจสอบ

“งั้นก็หมายความว่า—” 

“ทุกคนระวังขอรับ!!!” 

ยังไม่ทันทีรอฟีอัสจะพูดจบมีดก็บินมาจากไหนไม่รู้เฉียดทุกคนไปนิดเดียว ยังดีที่ก้มหลบกันทัน จังหวะนี้เคอร์ติสไม่สามารถหุบปากของตัวเองได้อีกต่อไป มันรับรู้ได้ว่าเหล่าเดมิก็อดกำลังตกอยู่ในอันตรายแล้ว

“ใครมันบ้าปามีดมาเนี่ย!” รอฟีอัสบ่นอย่างหัวเสีย

“ทางนั้นขอรับ!” 

เคอร์ติสชี้จะจงอยปากไปทางขวามือของทุกคน กลุ่มคนแปลกหน้าวิ่งกรูออกมาจากป่าข้างทางเหมือนสถานการณ์นี้ได้ถูกจัดฉากไว้ตั้งแต่แรก

“@#!@%&^%*&**&! (จัดการพวกมัน!)”

จู่ ๆ พี่ผู้ชายคนขับที่โดยสารมาด้วยกันตลอดทางก็พูดภาษาต่างดาวอะไรก็ไม่รู้ที่เอโลอิสไม่รู้จักเลยสักนิด พูดจบก็ดูเหมือนพวกที่โผล่มาจากป่าก็ตั้งท่าจะโจมตีกลุ่มของเธอ

“%$%*&$*#%&*”

“@$%^&%$&*&”

เอโลอิสและเคอร์ติสทำหน้าเอ๋อรับประทานเพราะฟังไม่รู้เรื่องผิดกับฟีโอดอร์และรอฟีอัสที่ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายสิ่งที่คนพวกนั้นพูดเป็นอย่างดี

“พวกนายจะไม่อธิบายหน่อยเหรอว่ามันเกิดอะไรขึ้น? พวกนี้มาจากดาวดวงไหน พูดอะไรก็ไม่รู้ฉันฟังไม่รู้เรื่อง!”

“ภาษารัสเซีย” รอฟีอัสพูดสั้น ๆ 

“และพวกเขาได้รับคำสั่งมาเพื่อฆ่าพวกเรา” ฟีโอดอร์เสริม

“ฆ่าพวกเรางั้นเหรอ!” 

เอโลอิสตกใจอย่างมาก คนพวกนี้ไม่ใช่อสุรกายเสียหน่อยทำไมต้องคิดจะฆ่าแกงกันด้วย เธอคว้าเอาธนูของเธอออกมาก่อนที่จะดึงสายธนูเตรียมยิง แต่ก็โดนเคอร์ติสเบรกไว้เสียก่อน

“ไม่ได้นะครับ อาวุธของค่ายไม่สามารถทำมาใช้ทำร้ายมนุษย์ธรรมดาได้!” 

“แล้วจะให้ทำไง?”

“สู้โดยไม่ใช้อาวุธค่ายขอรับ” 

คำตอบของเคอร์ติสฟังเหมือนง่ายแต่แท้จริงแล้วทำยาก เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็ต้องเก็บอาวุธของตัวเองลงแล้วสวมวิญญาณบรูซ ลี ใส่นัวกับเหล่าคนรัสเซียปริศนาพวกนี้ เอโลอิสวิ่งเข้าข้างทางเจอก้อนหินใหญ่จึงหยิบมาเขวี้ยงใส่หัวเฮดช็อตไปหนึ่ง ขณะเดียวกันรอฟีอัสก็กระโดดเตะก้านคออีกคนไปเรียบร้อยแล้ว ฟีโอดอร์เลือกที่จะจัดการสองคนในคราวเดียว ฝีมือของเขาช่ำชองในการต่อสู้เป็นอย่างมากเหมือนได้รับการฝึกมาอย่างดี ทั้งสามคนช่วยกันจัดการกับเหล่าแก๊งรัสเซียปริศนานี้จนลงไปนอนกองอยู่กับพื้นด้วยหกมือละหกตีน ส่วนด้านหลังมีเคอร์ติสคอยเชียร์มวยอยู่ข้างสนาม

“%^$#%@? (ใครส่งแกมา?)” รอฟีอัสถามเป็นภาษารัสเซียแล้วคว้าคอเสื้อชายหนุ่มที่เป็นคนจอดรับพวกเขาขึ้นมาและเป็นคนเรียกแก๊งให้มารุมสหบาทา เขาคิดว่าจะต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ ๆ 

“#$...^*&%&*#$^#&$^*& ู$+— (คะ…คนที่ฉันทำงานให้ก็คือ—)” 

พลั่ก!

เอโลอิสใช้ไม้ท่อนใหญ่ที่หยิบมาจากป่าข้างทางฟาดไปที่หัวของเจ้ารัสเซียนั่นจนสลบไป คราวนี้ก็ไม่ได้รู้ละว่าใครบงการ...

“ยัยบ้า! กำลังจะรู้เรื่องอยู่แล้วเชียวไปฟาดมันทำไมกันหา!” รอฟีอัสขึ้นเสียงใส่เอโลอิสอย่างหัวเสีย เขาคิดว่าเอโลอิสนั้นชอบทำให้เสียเรื่องอยู่เรื่อย

“นี่! นายช่วยแหกตาดูที่มือของหมอนั่นหน่อยว่ามีมีดกำลังจะแทงนายน่ะ ที่ฉันทำก็เพราะจะช่วยหรอกย่ะ รู้งี้ปล่อยให้โดนแทงเสียก็ดี!”

“...” รอฟีอัสมองไปที่มือของชายรัสเซียพบว่าหมอนั่นถือมีดอยู่จริง ๆ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ

“ทุกคนขอรับตอนนี้เราควรเลิกเถียงกันก่อนเพราะงานใหญ่กำลังจะมาขอรับ!” 

เคอร์ติสชี้จงอยปากของตัวเองไปทางด้านหลังของรถ ปรากฏแก๊งรัสเซียกลุ่มใหญ่กำลังมาอยู่ไกล ๆ ขืนยังยืนอยู่ตรงนี้มีหวังได้ขิตหมู่แน่ ๆ 

“ขับรถเป็นไหม?” ฟีโอดออร์ถามเอโลอิส

“เป็น เพิ่งสอบใบขับขี่ผ่านปีที่แล้ว”

“งั้นคุณไปขับกุญแจยังเสียบค้างอยู่ในรถ ส่วนผมกับรอฟีอัสจะนั่งด้านหลังคอยเคลียร์ศัตรู”

เอโลอิสพยักหน้าแล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนรถพร้อมเคอร์ติส ส่วนสองหนุ่มก็รีบขึ้นรถไปนั่งที่ด้านหลัง รถออกตัวอย่างรวดเร็ว แต่โย้ไปเย้มาขับเร็วบ้างช้าบ้าง กุก ๆ กัก ๆ ในขณะที่แก๊งรัสเซียก็ใกล้เข้ามาทุกที

“ขับรถบ้าอะไรของเธอเนี่ย! ไหนบอกว่าขับรถเป็นไง!” รอฟีอัสตะโกนขึ้นมาหลังจากที่เขาจะหน้าคะมำอยู่หลายรอบกับการขับรถอันน่าหวาดเสียวของเอโลอิส

“ก็ที่ไอร์แลนด์บ้านฉันขับรถพวงมาลัยขวา แต่รถที่นี่มันพวงมาลัยซ้าย!” เอโลอิสบอกเหตุผลที่แท้จริงออกมา เธอรู้สึกไม่ค่อยถนัดเมื่อต้องมาขับรถด้านที่ไม่คุ้นเคยทำให้มันเต็มไปด้วยความลำบาก

“ตอนนี้จะเปลี่ยนคนขับก็คงไม่ทันแล้วล่ะ พวกเราต้องสู้ในขณะที่คุณเอโลอิสขับรถ” รัสเซียคนหนึ่งกระโดดขึ้นเกาะหลังรถได้ทันแล้วทั้งสองทำอะไรไม่ได้นอกจากกำจัดคนพวกนี้ออกไปให้หมด 

“หาเรื่องตายชัด ๆ” รอฟีอัสถอนหายใจแต่ก็ต้องเปิดหน้าต่างรถยื่นตัวออกไปใส่หมัดไม่ยั้งกับเจ้าพวกที่เกาะรถอยู่ให้กลิ้งตกลงข้างทาง อีกด้านหนึ่งฟีโอดอร์ก็จับหัวของรัสเซียอีกคนโขกกับรถแล้วโยนตัวมันลงไปเช่นกัน ตอนนี้ดูเหมือนจะจัดการพวกที่ตามมาได้หมด พวกที่เหลือก็น่าจะตามมาไม่ทันแล้วเพราะรถวิ่งด้วยความเร็วไปไกลมากแล้ว

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด ทุกคนเอาหัวเข้ามาในรถ!!!” 

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!” เคอร์ติสร้องลั่นด้วยความหวาดเสียว

เอโลอิสกรี๊ดสุดเสียงเมื่อเธอเสียหลักขับรถตกข้างทางพุ่งเข้าไปในป่า สองหนุ่มรีบเอาตัวเองกลับเข้ามาแล้วปิดหน้าต่างรถคาดเข็มขัดนิรภัยในทันใด เธอยังคงไถลเข้าป่าลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ด้านข้างชนกับต้นไม้จนกระจกมองข้างกระเด็นหลุดไป เอโลอิสพยายามบังคับพวงมาลัยหลบต้นไม้ไม่ให้หน้ารถประสานงา กว่าจะเหยียบเบรกได้ก็ทำเอารถยับเยินเสียหายมากพอสมควร แต่ก็มาจอดในลานโล่งกลางป่าได้ในที่สุด

“ทุกคนลงรถเร็ว”

“อะไรอีก”

“พลังกลศาสตร์ของฉันสัมผัสได้ว่าถังน้ำมันรั่ว”

“ว่าไงนะ!”

ชิบหายล่ะ ทุกคนรีบถอดเข็มขัดนิรภัยแล้วพากันวิ่งหนีตายออกมาจากรถแบบไม่มองไปที่ด้านหลังเลยสักนิด ตอนนี้ต้องสวมวิญญาณเดอะแฟลชวิ่งออกให้ห่างตัวรถมากที่สุด เมื่อวิ่งมาได้ไกลมากแล้วเสียงดังเหมือนระเบิดก็ดังขึ้นจากจุดที่พวกเอโลอิสเพิ่งจะวิ่งมา

บึ้มมมมมมมมมมม!!!




ทุกคนก้มลงต่ำด้วยความตกใจเสียงระเบิดทั้งที่สะเก็ดมันคงไม่ได้กระเด็นมาไกลถึงตรงนี้ได้หรอก สภาพของทุกคนในตอนนี้มอมแมมแบบสุด ๆ บางทีก็แอบงงว่านี่มาตามหาราชรถหรือมาเล่นหนังอาหลองกันแน่ ทำไมมันระเบิดภูเขาเผากระท่อมกันตั้งแต่วันแรกแบบนี้นะ…

“แล้วที่นี้จะทำยังไงพวกเราอยู่ที่ไหนกันเนี่ย” รอฟีอัสมองไปรอบ ๆ ที่มีแต่ป่าเขา พวกเขารู้สึกมืดแปดด้าน

“อย่าห่วงเลยขอรับ มีกระผมอยู่ทั้งคน!”

“นายรู้เหรอว่าเราอยู่ที่ไหน?”

“ไม่รู้ขอรับ”

“...” / “...” / “...”

“แต่กระผมจะใช้สัญชาตญาณของสัตว์ป่านำทางไป ธรรมชาติจะนำพาเราไปได้แน่ขอรับ”

ในเมื่อทุกคนไม่มีแผนที่ดีไปมากกว่านี้จึงต้องออกเดินป่าอีกครั้งโดยมีเคอร์ติสเป็นคนนำทาง พวกเขาเดินไปอย่างไร้จุดหมายและฝากความหวังไว้ที่นกกระทาตัวเดียวที่ก็ไม่รู้จะพึ่งได้จริงหรือไม่ การเดินทางล่วงเลยมาหลายชั่วโมง ทุกคนเริ่มเหนื่อยล้า

“เริ่มตกเย็นแล้วนะเคอร์ติส เจออะไรบ้างหรือยัง?เอโลติสถามไปอย่างอ่อนแรง แต่ก็ยังบังคับขาตัวเองให้เดินต่อไป

“เจอแล้วขอรับ!”

เหมือนเสียงสวรรค์มาโปรดในที่สุดพวกเขาก็เดินมาจนเจอถนนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นั้นไม่ธรรมดาตรงที่บริเวณที่พวกเขาโผล่มาดันเป็นจุดตั้งแคมป์สำหรับนักท่องเที่ยว ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวกันสักเท่าไหร่

“Sears Bellows County Park” เอโลอิสอ่านป้ายด้านหน้า

“ถ้าอย่างงั้นวันนี้พวกเราพักกันที่นี่ไหมครับ คงเดินไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ เก็บแรงไว้วันพรุ่งนี้ดีกว่า” ฟีโอดอร์เสนอขึ้น

“ก็ดีเหมือนกัน” รอฟีอัสเห็นด้วย

ทั้งสี่คนเห็นตรงกันว่าควรพักเสียทีก่อนที่จะเป็นลมเป็นแล้งกันไปเสียก่อน แค่การออกเดินทางวันแรกยังวายป่วงขนาดนี้ วันถัดไปพวกเขาไม่อยากจะคิดเลยให้ตายเถอะ ขอวันสบาย ๆ สักวันนึงจะได้ไหมมมมม!









แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 69309 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2024-5-16 01:03
โพสต์ 69,309 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ทักษะยิงธนู  โพสต์ 2024-5-16 01:03
โพสต์ 69,309 ไบต์และได้รับ +2 EXP +7 ความกล้า จาก สัมผัสกับดัก  โพสต์ 2024-5-16 01:03
โพสต์ 69,309 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก กลศาสตร์  โพสต์ 2024-5-16 01:03
โพสต์ 69,309 ไบต์และได้รับ +3 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก ธนู  โพสต์ 2024-5-16 01:03
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2024-5-17 00:45:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Eloise เมื่อ 2024-5-17 11:55







ผ่านวันแรกมาได้อย่างยากลำบากแบบหืดขึ้นคอ คืนที่ผ่านมาจะว่ายาวนานก็ยาว มันไม่ได้สะดวกสบายอะไรนัก ทั้งสามคนไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อนอนเต้นท์เลยด้วยซ้ำ พวกเขาไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ เลยต้องแอบเนียนไปนอนเต้นท์ชาวบ้าน พอเจ้าของกลับมาก็ทำเป็น ‘อ๊ะ! ขอโทษค่ะ เข้าผิดเต้นท์' ทำแบบนี้วนไป แต่ก็ได้นอนหลับชาร์จพลังมากพอสมควรเนื่องจากเต้นท์สุดท้ายที่ไปลงหลักปักฐานเจ้าของไม่ได้กลับมาทั้งคืนเพราะไปเล่นจ้ำจี้จิ้มจุ่มอยู่กับคนเต้นท์อื่นที่ห่างออกไป ต้องขอบคุณไฟรักที่จุดติดได้ถูกที่ถูกเวลาทำให้เหล่าเดมิก็อดมีที่นอน พอเช้ามืดพวกเขาก็พากันย่องออกจากเต้นท์ก่อนที่จะมีใครกลับมาเห็นจากนั้นก็เดินทางออกจาก Sears Bellows County Park 


“ฉันบอกเลยนะว่าหลังจากนี้จะไม่ใช้วิธีการโบกรถของเธอแล้ว!” รอฟีอัสพูดขึ้น


“ก็ใครมันจะไปรู้ว่าคนจอดรับจะเป็นพวกมือสังหารอะไรทำนองนั้นล่ะ” เอโลอิสก็อยากเถียงกลับแต่ลึก ๆ แล้วก็รู้ตัวว่าเธอคือต้นเรื่องที่พาทุกคนมาลำบากตอนนี้


“ผมว่าเราลองเดินไปเรื่อย ๆ ดูไหม ถ้าคราวนี้ไม่โบกรถก็หาป้ายรถบัสก็ได้นะ” ฟีโอดอร์เสนอไอเดียอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมไอเดียของเขาถึงเป็นไอเดียที่ดีที่สุดเสมอเลย


“ดีเลย พอถึงป้ายรถบัสก็ลองถามคนแถวนั้นดูว่าเราต้องนั่งสายไหนไปเซ็นทรัลพาร์ก!” 


เมื่อทุกคนตกลงกันได้ก็เริ่มออกเดินทางตามถนน Bellows Pond เพื่อไปยังป้ายรถบัสที่ใกล้ที่สุด แต่ป้ายที่ใกล้ที่สุดน่ะ ใช้เวลาเดินเท้าถึง 30 นาทีเชียวล่ะ จบภารกิจในครั้งนี้สมาชิกทุกคนน่าจะได้กล้ามขากลับไปเป็นของแถม เคาน์เตอร์เพนต้องเข้าแล้วนะจุดนี้


“ถามจริงเถอะทำไมเธอต้องเอาไฟฉายส่องกบคาดหัวด้วย?” รอฟีอัสเริ่มสงสัยที่เห็นเอโลอิสชอบสวมไฟฉายส่องกบทุกครั้งที่ฟ้ามืด


“ก็ฟ้ามันยังไม่สว่าง…ถ้านายไม่เป็นโรคตาบอดกลางคืนแบบฉันไม่มีวันเข้าใจหรอก”  เอโลอิสตอบไปตามความจริง ข้อบกพร่องทางร่างกายข้อนี้สร้างผลเสียเวลาเธออยู่ในที่แสงสว่างไม่เพียงพอแบบสุด ๆ เพราะเห็นอะไรก็ไม่ชัดไปเสียหมด ถ้าไม่มีไฟฉายบนหัวคอยให้ความสว่างมีหวังได้เดินชนต้นไม้สักต้นแถวนี้แน่


“หิวชะมัด ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืน” รอฟีอัสเริ่มบ่นขึ้น ปกติเขาไม่ใช่คนพูดมากอะไร เขาคงจะหิวจริง ๆ เพราะเมื่อวานหลังจากรอดพ้นเหตุการณ์ต่าง ๆ มาได้ทุกคนก็วุ่นวายกับการหาที่พักเสียจนลืมเรื่องการทานอาหารไปเสียสนิท


“ทนเอาหน่อยฉันว่าแถวป้ายรถบัสอาจจะมีร้านอาหารสักร้านให้พวกเราไปนั่งกิน”


“นี่…นกของเธอออกไข่ให้พวกเรารองท้องก่อนได้ไหม?”


“จะบ้าเหรอ! เคอร์ติสมันเป็นตัวผู้!” เอโลอิสรีบแย้งในทันทีถ้าเกิดเคอร์ติสจะมีไข่ก็คงไม่ใช่ไข่เดียวกับที่รอฟีอัสคิดแน่


“ขอโทษที่ทำให้ต้องผิดหวังนะขอรับ กระผมออกไข่ไม่ได้…จะกินเสบียงของกระผมไปก่อนก็ได้นะขอรับ”


“เสบียงนายคืออะไรล่ะ?”


“หนอนขอรับ เพิ่งล่ามาสด ๆ เมื่อตอนเช้ามืดเลยขอรับ! นกที่ตื่นเช้าหาหนอนกินก่อนได้เสมอ ส่วนหนอนที่ตื่นเช้าก็ตกมาเป็นเสบียงของกระผม”


“งั้นฉันขอผ่าน” ถึงแม้รอฟีอัสจะหิวมากเพียงใดแต่เขาก็คงไม่คิดจะกินหนอนเข้าไปหรอก


30 นาทีผ่านไป…


ฟ้าสว่างเป็นที่เรียบร้อยเวลา ณ ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 6 โมงเช้า เหล่าเดมิก็อดเดินทางมาถึงแหล่งชุมชนจนได้หลังจากที่สองข้างทางมีแต่ป่าตลอดทาง แต่สิ่งที่พวกเขาตื่นเต้นกลับไม่ใช่การเจอป้ายรถบัสแม้แต่น้อย ทว่ากลับเป็นอย่างอื่นที่ทำให้ทุกคนถึงกับตาวาว


“แมคโดนัลด์!”


“แมคโดนัลด์!!”


“แมคโดนัลด์!!!”


 เหมือนสวรรค์มาโปรดย่านนี้มีร้านแมคโดนัลด์ตั้งอยู่ เสียงท้องของทั้งสามคนร้องโครกคราก พวกเขาแทบจะกินมิโนทอร์ได้ทั้งตัว ทุกคนสับขาแหลกวิ่งกรูกันเข้ามาที่ประตูแล้วพบว่า…


“เปิด 7 โมง…” เอโลอิสอ่านป้าย


“เหลือเวลาอีกตั้ง 1 ชั่วโมงแหนะขอรับ” 


“ขอถามคำเดิม นกกระทาของเธอออกไข่ได้ไหม?…”


“ไม่โว้ยยยยย!”


เวลา 7.00 น. …


“ได้เวลาเปิดร้านแล้วออกไปเปลี่ยนป้ายหน้าร้านได้” 


เสียงผู้จัดการร้านแมคโดนัลด์พูดกับพนักงานคนหนึ่งในร้าน เขารับคำสั่งก่อนจะเดินออกจากห้องสตาฟไปยังหน้าร้านเพื่อทำการเปลี่ยนป้ายให้เป็นคำว่า ‘เปิด’ เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูก็ถึงกับผงะเมื่อพบว่ามีคนสามคนกำลังเอาหน้าแนบกระจกมองมาด้านในอย่างกดดันพนักงาน อ่านสีหน้าได้ว่า ‘ได้โปรดเปิดประตูทีหิวไม่ไหวแล้ววววว’ เขาถึงกับเหงื่อตกกับความอิหยังวะ แต่ก็ปลดล็อกประตูให้ทั้งสามคนเข้ามา ทันทีที่ประตูเปิดทั้งสามวิ่งพรวดเข้ามาด้วยความรวดเร็วตรงไปที่หน้าเคาน์เตอร์สั่งอาหารทันที


“แมคโดนัลด์ยินดีต้อนรับ รับอะไรดีคะ?” พนักงานเสียงใสกล่าวตอนรับลูกค้ารายแรกของวันที่ดูจะหิวโหยกันเป็นพิเศษ


“ขอดับเบิ้ลบิกแมคกับโค้กแก้วใหญ่” 


“ขอกาแฟดำกับแมคมัฟฟิน”


“ขอดับเบิ้ลแมคฟิชกับช็อคโกแลตเชค”


“เอาแมคนักเก็ตด้วย”


“ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ?”


“ได้ค่ะลูกค้า”


“จากนี่ไปเซ็นทรัลพาร์กต้องนั่งรถอะไรไป?”  เอโลอิสวกเข้าประเด็นหลักของภารกิจ


“ออกจากที่นี่ไปฝั่งขวามือของคุณลูกค้าเดินต่ออีกหน่อยจะเจอป้ายรสบัส นั่งสาย 92 นับไปสองป้าย แล้วเดินต่ออีกนิดจะเป็นสถานีรถไฟ Hampton Bays ที่นั่นน่าจะไปต่อได้นะคะคุณลูกค้า”


“ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ”


ได้ข้อมูลสำคัญในการเดินทางเอโลิสก็รีบจ่ายเงินค่าอาหาร แล้วยกอาหารพากันไปนั่งที่โต๊ะมุมในสุดของร้านเพื่อความเป็นส่วนตัว เพราะเธอคงไม่อยากให้คนทั่วไปมาได้ยินบทสนทนาที่แปลกประหลาดของเหล่าเดมิก็อด มันอาจจะฟังดูเหมือนคนเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลบ้า


“ในที่สุดก็ได้กินอาหาร” เอโลอิสกัดแมคฟิชเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย


“งั้นพอกินเสร็จเราก็ต้องไปที่ป้ายรถบัสสินะขอรับ”


“ใช่แล้วล่ะ แต่ตอนนี้ขอกินให้เสร็จก่อนนะ”


“ได้กาแฟดำสักแก้วรู้สึกดีขึ้นเยอะ” 


“ฉันไม่สนอะไรทั้งนั้นล่ะ แค่ได้กินอะไรสักทีก็ดีใจแล้ว” รอฟีอัสทานอาหารของเขาอย่างหิวโหย


ในขณะที่ทุกคนกำลังมีความสุขกับมื้อแรกของวัน พนักงานของร้านก็เดินมาที่โต๊ะของพวกเขาเพราะสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างที่มากับพวกเขาด้วย


“ขอโทษนะคะคุณลูกค้า แต่เอาสัตว์เลี้ยงเข้าร้านไม่ได้นะคะ” ตายล่ะ! เอโลอิสลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท แต่ยังคงหน้าด้านตีเนียนต่อไป


“อ๋อ ตัวนี้เหรอคะ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงสักหน่อย ตุ๊กตาต่างหาก!”


“ตะ…ตุ๊กตาเหรอคะคุณลูกค้า เหมือนจริงมากเลยนะคะ”


“ใช่ไหมล่ะคะ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันก็เลยซื้อมา บีบแล้วมันมีเสียงด้วยนะคะ” เอโลอิสหยิบเคอร์ติสขึ้นมาแล้วบีบโชว์พนักงาน


“กระท๊าาาาาาา!” เคอร์ติสเห็นลูกพี่ตัวเองยังคงตีเนียนก็เลยเล่นไปตามบทบาทของเอโลอิสไปด้วย ปล่อยให้รอฟีอัสกับฟีโอดอร์เอามือลูบหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ


“ถ้าอย่างงั้นต้องขอโทษด้วยค่ะ ดิฉันคงเข้าใจผิด ทานอาหารให้อร่อยนะคะ” พูดจบพนักงานก็เดินจากไป


ทั้งสี่คนพร้อมออกเดินทางอีกครั้งหลังจากที่ทานอาหารกันอิ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โชคดีที่ป้ายรถบัสประจำทางนั้นอยู่ไม่ไกล เดินเพียงไม่กี่นาทีก็ถึงที่หมาย พวกเขายืนรอรถหมายเลข 92 จนเมื่อมันมาจอดเทียบจึงพากันขึ้นไป เอโลอิสได้รับบทเรียนจากในร้านแมคโดนัลด์ คราวนี้จึงให้เคอร์ติสหลบอยู่ด้านในกระเป๋าเป้โดยแง้มซิบเล็กน้อยเพื่อให้อากาศเข้าไปด้านในได้


“คนเยอะแฮะ” เอโลอิสพูดกับรอฟีอัลและฟีโอดอร์ขณะที่ทั้งสามกำลังยืนโหนรถบัสประจำทาง 


ทุกอย่างดูเป็นไปตามแผนและราบรื่นดีอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าไม่นับเรื่องเกือบโป๊ะตอนเคอร์ติสแล้วก็ถือว่าวันนี้แทบไม่มีอุปสรรคใดเข้ามารบกวนทีมภารกิจของเธอเลย แบบนี้น่าจะทำให้ถึงเซ็นทรัลพาร์กได้ภายในวันนี้แน่ ๆ ขณะที่ทั้งสามกำลังยืนคุยกันพลางมองดูด้านนอกไปด้วยว่าถึงป้ายไหนแล้ว มือปริศนาก็ค่อย ๆ ยื่นมาที่กระเป๋าเป้ของเอโลอิสโดยที่เธอไม่รู้ตัว ซิปค่อย ๆ ถูกรูดลง ใช่แล้ว! เขาคือโจรล้วงกระเป๋า เขาอาศัยจังหวะที่เอโลอิสกำลังคุยเพลิน ๆ กับสองหนุ่มรูดซิปอย่างเบามือแล้วค่อย ๆ ล้วงเข้าไปด้านในกระเป๋าเพื่อหยิบกระเป๋าเงิน แต่แล้วก็พบกับอะไรนิ่ม ๆ ด้านใน จึงแหวกดูจนพบเข้ากับ…


“ขะ…ขโมย!!!” เคอร์ติสที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าจ๊ะเอ๋กับหน้าของโจรล้วงกระเป๋าเข้าอย่างจัง มันตกใจจนเผลอพูดภาษามนุษย์ออกมา


“เฮ้ยยยยย นกกระทาพูดได้!” โจรล้วงกระเป๋าถึงกับเหวอเมื่อเห็นนกกระทาที่พูดภาษามนุษย์


ณ ตอนนี้เอโลอิสรู้ตัวแล้ว เธอรีบหันมาดูกระเป๋าเป้ของเธอที่ถูกเปิดออก โชคดีที่โจรเจอเข้ากับเคอร์ติสเสียก่อนจะได้ขโมยอะไรไป แต่เธอจะไม่ยอมให้เขาทำเสียเรื่องเพราะเห็นเคอร์ติสพูดได้แน่ จึงรีบตะโกนออกไปลั่นรถ


“กรี๊ดดดดดดดดดด ช่วยด้วยค่ะโจรล้วงกระเป๋า!”


ทั้งรถแตกตื่นรีบช่วยกันไปชาร์จตัวคนร้ายไม่ให้หนีไปจังหวะนั้นรถบัสก็จอดหน้าป้ายที่เธอต้องลงพอดีเลยใช้จังหวะที่ทุกคนกำลังชุลมุนจับโจร ลากอีกสองหนุ่มลงรถมาด้วยกันก่อนประตูปิดได้แบบเฉียดฉิว และรถก็วิ่งออกตัวไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุด


“เฮ้อ…เกือบไปแล้วไหมล่ะ”


“กระผมขอโทษขอรับ มันตกใจนี่นา อยู่ ๆ ใครก็ไม่รู้ล้วงมือเข้ามาในกระเป๋าโดนบั้นท้ายกระผม”


“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็ลงถูกป้าย” ฟีโอดอร์พูดขึ้น


“รีบไปกันเถอะเราต้องไปดูตารางรถไฟด้วย” รอฟีอัสกลับมาโฟกัสที่ภารกิจหลักอีกครั้ง เขาไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ เพราะที่จริงมันควรจะถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเมื่อวานไว้ใจคนผิดไปหน่อย


ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 5 นาทีก็มาถึงสถานี Hampton Bays ซึ่งเป็นจุดหมายที่เหล่าเดมิก็อดจะต้องมาขึ้นรถไฟกัน ฟีโอดอร์อาสาไปเช็คตารางเดินรถไฟ ในขณะที่คนอื่นนั่งรออยู่บริเวณสถานี ไม่นานนักเขาก็กลับมาพร้อมข้อมูลการเดินรถ


“รถเที่ยวต่อไป 12.23 น.” 


“นานขนาดนั้นเชียวเหรอคะ?” เอโลอิสรู้สึกห่อเหี่ยวในทันใดเมื่อรู้ว่าต้องนั่งเปื่อยอยู่ที่สถานที่อีกหลายชั่วโมง


“ทำไงได้ รอไปอย่าบ่น” รอฟีอัสหันไปบอกเอโลอิสที่แสดงออกทางสีหน้าชัดเจนว่าเธอเซ็งสุด ๆ 


ฟีโอดอร์นั้นไม่รอฟังความเห็นใดจากใครทั้งนั้น… เขาเดินไปซื้อตั๋วสำหรับสามคนเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นทุกคนก็ใช้เวลารอรถออกอย่างมีค่าที่สุดโดยการหลับรอบนเก้าอี้ ให้เคอร์ติสเฝ้ายามและคอยปลุกพวกเขาเมื่อขบวนรถมาถึง


เวลา 12.23 น. …


“ทุกคนขอรับ ตื่นได้แล้วขอรับรถมาแล้ว!” 


เสียงเคอร์ติสปลุกทุกคนขึ้นจากห้วงนิทรา เหล่าเดมิก็อดรีบสะพายกระเป๋าแล้ววิ่งขึ้นไปบนรถไฟ พวกเขาเดินตรงไปยังตู้ที่ได้จองตั๋วไว้ซึ่งเป็นตู้สุดท้าย ช่างโชคดีเหลือเกินที่ตู้นี้มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วเพียง 4-5 คน นับว่าเป็นตู้ที่โล่งพอสมควร คนน้อยเท่ากับนั่งได้อย่างสบายใจล่ะน่ะ รถไฟเริ่มออกตัวจากสถานีเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย แผนของทีมคือต้องการจะไปลงที่สถานี Jamaica ซึ่งจะต้องใช้เวลาเดินทางนานพอสมควร แต่ก็นับว่าปลอดภัยกว่าการขับรถเองเป็นเท่าตัว รถไฟแล่นออกจากสถานีไปได้พักใหญ่ก็มีเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วเดินเข้ามาในตู้


“ขอตรวจตั๋วด้วยครับ” 


“นี่ครับ” ฟีโอดอร์ยื่นตั๋วของทั้งสามคนให้กับเจ้าหน้าที่


“ขอสอบถามหน่อยได้ไหมคะ?” เอโลอิสหันไปหาคุณเจ้าหน้าที่


“เชิญครับ” เจ้าหน้าที่ยิ้มให้และรอฟังคำถามของเธอ


“จะถึงสถานี Jamaica ประมาณกี่โมงเหรอคะ?”


“บ่ายสองยี่สิบแปดครับ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม


“ขอบคุณค่ะ คุณ…อู๋…หมิง…” เอโลอิสอ่านตามป้ายชื่อที่เขาติดไว้บนหน้าอก


ทำไมชื่อแปลก ๆ วะ?  ชื่อโคตรจะจีนแต่คนใส่หัวทองตาฟ้า เอโลอิสหันไปมองหน้ารอฟีอัสที่นั่งข้างกัน พร้อมสนทนากันทางสายตา ‘นายกำลังคิดอย่างที่ฉันคิดหรือเปล่า B1’ ‘ฉันกำลังคิดอยู่นะ B2’...


“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวไปตรวจตัวขบวนอื่นต่อก่อนนะครับ” ทั้งสามปล่อยให้พนักงานตรวจตั๋วเดินออกไปจากขบวนก่อนจะหันมาสุมหัวคุยกัน


“นายเห็นชื่อเขาป่ะรอฟีอัส” เอโลอิสถาม


“ฉันก็เห็นเหมือนเธอนั่นแหละ” รอฟีอัสตอบ


“เป็นไปได้ไหมที่เขาจะดักทำร้ายพนักงานเอเชียคนนึงแล้วขโมยยูนิฟอร์มมาใส่?” ฟีโอดอร์ตั้งข้อสงสัย


“เป็นไปได้” / “เป็นไปได้” เอโลอิสและรอฟีอัสตอบพร้อมกัน


“รอดูสถานการณ์อีกสักพักถ้ากลิ่นเริ่มไม่ดีเราค่อยหาทางหนี” 


“อืม” 


จากการเดินทางที่สุดแสนจะสบายอกสบายใจกลายเป็นความตึงเครียดในทันที ทุกคนรู้สึกระแวงว่าจะมีแก๊งคนรัสเซียมาลอบโจมตีพวกเขาอีก เอโลอิสนั้นไม่กล้าแม้แต่จะนอนหลับบนรถ เธอเกรงกว่าถ้าหลับแล้วกลัวว่าจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย ส่วนเคอร์ติสนั้นแอบโผล่หัวออกมาจากกระเป๋าเพื่อดูลาดเลาเป็นระยะ เวลาผ่านไปพักใหญ่ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งและพนักงานตรวจตั๋วคนเดิมเดินกลับเข้ามาในขบวนของเหล่าเดมิก็อดและทำการล็อกประตูทุกบานของตู้นี้เอาไว้


“เราได้รับแจ้งมาว่าพวกคุณนำสิ่งของผิดกฎหมายขึ้นมาบนขบวนรถ ขออนุญาตตรวจค้นหน่อยครับ”


ของผิดกฎหมายอะไรวะ ในกระเป๋ามีแต่เคอร์ติสนี่แหละที่ดูจะผิดกฎมากที่สุดแล้ว!


“หมายความว่าไงคะ? พวกเราไม่ได้พกของผิดกฎหมายนะพวกคุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ”


“ได้โปรดให้ความร่วมมือกับทางเราด้วยครับ ไม่อย่างนั้นพวกเราอาจต้องส่งคุณลงสถานีหน้าเพื่อไปสถานีตำรวจ” พนักงานตรวจตั๋วพูดเสริม


“ก่อนจะมาจับพวกฉันน่ะ ไปจับคนตรวจตั๋วเก๊ก่อนไหมคะคุณตำรวจ หน้าอย่างฝรั่งชื่ออย่างเจ๊กเลย!” เอโลอิสฟ้องตำรวจ เจ้าหมอนั่นน่ะมันน่าสงสัยสุด ๆ ไปเลยนี่นา


คุณตำรวจคนนั้นแสยะยิ้มออกมา


“ดูเหมือนพวกเธอจะจับได้แล้วสินะ” เขาพูดขึ้น “งั้นก็คงต้องรีบจัดการแล้วล่ะ!”


คุณตำรวจพูดจบผู้โดยสารทุกคนในตู้ก็ลุกขึ้นมาตั้งท่าเตรียมสู้ สรุปทั้งตู้รถไฟนี้พวกเดียวกันหมดเลยเรอะ! หนีเสือปะจระเข้โดยแท้ เคอร์ติสกระโดดออกมาจากกระเป๋าเป้ของเอโลอิส ณ ตอนนี้มันไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวเองอีกต่อไป


“%^&$%^&$%&%”


ภาษารัสเซียกลับมาอีกครั้ง อยากบอกว่าสำเนียงของแก๊งรัสเซียกลุ่มนี้ฟังดูธรรมชาติกว่าอีกลุ่มเมื่อวานเยอะ แต่นี่ไม่ใช่เวลามาชื่นชมสำเนียง มันคือเวลาของการต่อสู้ต่างหาก เหล่าเดมิก็อดทั้งสามทำการเปิดวอร์กับแก๊งรัสเซียอีกครั้ง เคล็ดวิชาอะไรที่ได้ร่ำเรียนมางัดออกมาให้หมด วันนี้มันต้องมีนอนกองกันไปข้างนึง! เอโลอิสใช้พลังกล้ามแขนของตัวเองต่อยไปที่หน้าของสาวรัสเซียที่แฝงตัวมาเป็นผู้โดยสารในรถ ฟีโอดอร์ยังคงขอสองเช่นเคย เขาดูเก่งด้านบู๊มากจริง ๆ ส่วนรอฟีอัสก็มีสกิลการต่อสู้ที่ดีไม่แพ้กัน ขณะที่ตู้รถไฟตู้อื่นยังคงเงียบสงบผู้โดยสารและพนักงานรถไฟคนอื่นไม่ได้สังเกตเลยว่ามีตู้สุดท้ายของขบวนที่ยังซัดกันนัวไม่เลิก


“กินข้าวดี ๆ ไม่ชอบใช่ไหมชอบกินตีนกันเหรอ?” 


เอโลอิสถีบยอดอกคนรัสเซียที่เป็นลูกกระจ๊อกคนสุดท้ายจนกระเด็นไปกระแทกเก้าอี้สลบไป ส่วนฟีโอดอร์ก็จัดการกับคนตรวจตั๋วเก๊ไปแล้วเช่นกัน เหลือเพียงแค่รอฟีอัสที่ยังไม่จัดการตำรวจเก๊คนนี้ให้เรียบร้อยไปเสียที เขายังต้องการรู้ความจริงที่พลาดไปจากคราวก่อน…คนที่บงการเบื้องหลังเรื่องนี้…


“ใครส่งแกมา!” ถามเป็นภาษาอังกฤษนี่ล่ะก็มันพูดเก่งซะจนเชื่อว่าเป็นตำรวจขนาดนั้น


“แกอยากรู้งั้นเหรอว่าใครส่งฉันมา!” ตำรวจเก๊เค่นหัวเราะออกมา


“อย่ามาลีลาให้มากความ!”


“ฉันจะบอกให้ก็ได้ว่าฉันทำงานให้กับท่าน—”


ปู๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!! (เสียงรถไฟดังกลบ)


“และถ้าฉันลากคอพวกแกไปให้เขาที่—


ปู๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!! (เสียงรถไฟดังกลบ)


“...ฉันก็จะได้รับรางวัลอย่างงาม”


“อะไรนะ? พูดใหม่ซิ เสียงรถไฟมันดั—”


ปู๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!! (เสียงรถไฟดังกลบ)


“หูหนวกหรือไงฉันจะสรุปให้ก็ได้ว่าฉันจะพาแกไปส่งหัวหน้าของฉันที่—”


ปู๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!! (เสียงรถไฟดังกลบ)


“รอให้รถไฟมันเงียบก่อนได้ไหม!!! ฟังไม่รู้เรื่องโว้ยยยยย!!!” รอฟีอัสถึงกับหัวเสียขึ้นมาทำไมรถไฟบ้านี่ต้องมาเสียงดังตอนช่วงจังหวะสำคัญแบบนี้ด้วยเนี่ย!


ทั้งคู่ยืนรอให้รถไฟหยุดส่งเสียงดังจากนั้นจึงได้เริ่มกลับมาคุยกันอีกครั้ง


“โอเครถไฟเงียบแล้วบอกมาได้เลยว่าใครส่งแกมา!”


“เออ! กว่าจะเงียบได้ พูดจนคอจะแตกแล้ว! สรุปสั้น ๆ คนที่ส่งฉันมาก็คือ—”


พลั่ก!!! 


บาทาของใครสักคนกระโดดเตะก้านคอเจ้าตำรวจเก๊จนสลบไปก่อนจะรู้ใจความสำคัญ (อีกแล้ว) รอฟีอัสหันไปมองเอโลอิสตาเขียวปั้ดก่อนใครเพราะคิดว่าเธอต้องเป็นตัวการ—


“ฉันเปล่านะ…” เอโลอิสชูมือสองข้างให้ดูว่าเธอไม่ได้มีอาวุธอะไร แล้วก็ไม่ได้ทำด้วย…


“โทษทีเสียงรถไฟมันดังไม่รู้ว่าคุยกันอยู่ก็เลยเผลอจัดการไป” ฟีโอดอร์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


“ฉันมาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย” รอฟีอัสแทบอยากจะทึ้งหัวตัวเอง เวลาเขาจะค้นพบข้อมูลสำคัญทีไรเป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า!


“ทุกคนขอรับ กระผมว่าพวกเราต้องรีบไปแล้วขอรับเจ้าหน้าที่รถไฟตัวจริงกำลังมา ตอนนี้กำลังจอดที่สถานีอะไรก็ไม่รู้แต่กระผมว่าพวกเราควรลงก่อนจะมีคนจับได้ดีกว่าขอรับ”


ทั้งที่ยังไม่ถึงสถานีที่ต้องการสุดท้ายแล้วเดมิก็อดทั้งสามก็ต้องรีบทำการปลดล็อกประตูแล้วพากันหนีลงที่สถานีที่ไม่รู้จักก่อนจะวิ่งออกจากสถานีไปให้ไกลที่สุด จากที่กำลังจะถึงเซ็นทรัลพาร์กในวันนี้ดูเหมือนว่าจะยังอีกห่างไกล การผจญภัยช่างหนักหนากว่าที่คิดไว้ แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะไปถึงจุดหมายสักทีล่ะเนี่ย!









แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 64716 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2024-5-17 00:45
โพสต์ 64,716 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ทักษะยิงธนู  โพสต์ 2024-5-17 00:45
โพสต์ 64,716 ไบต์และได้รับ +2 EXP +7 ความกล้า จาก สัมผัสกับดัก  โพสต์ 2024-5-17 00:45
โพสต์ 64,716 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก กลศาสตร์  โพสต์ 2024-5-17 00:45
โพสต์ 64,716 ไบต์และได้รับ +3 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก ธนู  โพสต์ 2024-5-17 00:45
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2024-5-18 22:43:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Eloise เมื่อ 2024-5-18 22:44









เข้าสู่วันที่ 3 ของการเดินทาง เหล่าเดมิก็อดก็ยังไปไม่ถึงเซ็นทรัลพาร์กเสียที ทั้งที่เป้าหมายอยู่นิวยอร์กเหมือนกันแท้ ๆ แต่กลับใช้เวลาไปมากกว่าที่ควรจะเป็น หลังจากที่พวกเขาลงจากรถไฟตรงสถานีที่ไม่รู้จักซึ่งมารู้ทีหลังว่ามันคือสถานี Oakdale ห่างจากสถานี Jamaica ที่ต้องการลงประมาณ 40 ไมล์ แถวนี้เป็นย่านชุมชนจึงไม่มีโรงแรมที่พักให้เช่าค้างคืนมีแต่บ้านคนเต็มไปหมดเดินหากันจนค่ำสุดท้ายทุกคนเลยต้องไปฝากท้องกับเซเว่นที่ใกล้ที่สุดเพราะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง แล้วเดินไปหาที่นอนกองกันแถวป้ายรถประจำทางจนถึงเช้าแทน

“ทุกคนเช้าแล้วนะขอรับ” เสียงเคอร์ติสเรียกปลุกทุกคนให้ตื่น

“เช้าแล้วเหรอ? หาววววว~” เอโลอิสลุกขึ้นจากที่นั่งยาวตรงป้ายรถมาบิดขี้เกียจ

“วันนี้ยังไงพวกเราก็ต้องเดินทางไปให้ถึงเซ็นทรัลพาร์ก เราเสียเวลากันมามากแล้ว ไปทางรถไฟเส้นเดิมคงยังไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ บางทีเราควรไปด้วยวิธีอื่น” ฟีโอดอร์แทบจะเป็นเหมือนสมองของทีม เขามักมีคำเสนอแนะดี ๆ มาให้คนในกลุ่มเสมอ

“งั้นขึ้นรถประจำทางไหมล่ะ? เมื่อคืนฉันลองถามพนักงานเซเว่นดู เขาบอกว่านั่งสาย 2 ไปลงที่ Amityville ได้ จากนั้นก็ค่อยหารถต่อ” เอโลอิสขอเสนอไอเดียบ้าง

“เอางั้นก็ได้พวกเราไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้วนี่” รอฟีอัสตอบ เขาไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว

ทั้งสี่นั่งรอรถประจำทางจนกระทั่งรถสาย 2 มาถึงจึงทยอยขึ้นรถกันไปโดยมีเคอร์ติสใส่ในกระเป๋าเช่นเคย แต่คราวนี้เอโลอิสเลือกที่จะระวังมากขึ้นด้วยการสะพายกระเป๋าที่ด้านหน้าแทน เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อวานขึ้นอีกแล้ว ระยะทางจาก Oakdale ไปยัง Amityville ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง โชคดีที่คราวนี้ทุกคนได้นั่งจึงถือโอกาสหลับพักผ่อนกันตลอดทาง เคอร์ติสเองก็แอบโผล่หัวออกจากกระเป๋ามาชะเง้อดูป้ายเป็นระยะในระหว่างที่ทุกคนกำลังงีบหลับจะได้ไม่เลยป้าย

“ทุกคนขอรับ ป้ายหน้าจะเป็น Amityville แล้วขอรับ” เคอร์ติสส่งเสียงเบา ๆ ออกมาจากในกระเป๋า มันดังพอที่จะทำให้เอโลอิสตื่น แต่ก็ไม่ดังถึงขนาดที่คนอื่นบนรถจะได้ยิน

“พวกนายตื่นได้แล้วจะถึงแล้ว” เอโลอิสเมื่อสร่างแล้วก็สะกิดปลุกคนอื่นให้ตื่นด้วย

เมื่อรถประจำทางมาจอดเทียบที่ป้าย Amityville ทั้งสี่ก็เดินทางลงมาจากรถประจำทางแบบหัวโล่งสุด ๆ มันถึงเวลานี้อีกครั้ง เวลาที่ทุกคนต้งตัดสินใจว่าจะเดินทางด้วยอะไรต่อ และเพื่อความยุติธรรมทุกคนจึงใช้วิธีพิจารณาแผนการเดินทางด้วยสิ่งที่เป็นเหตุผลเป็นผลมากที่สุดนั่นคือ ‘จับไม้สั้นไม้ยาว’

“ถ้าไม้ใครยาวสุดเราจะเลือกวิธีของคนนั้น ผมขอเสนอให้เรานั่งแท็กซี่ไป” ฟีโอดอร์เสนอเป็นคนแรก

“ฉันเสนอให้เราเดินทางด้วยรถไฟเหมือนเดิม” รอฟีอัสเสนอส่วนของเขา

“อะไรอะนายแย่งวิธีที่ฉันจะตอบอะ! เอาอะไรดีทีนี้…งั้น…ฉันขอเสนอให้เราต่อรถประจำทางไปอีก” เอโลอิสเสนอขึ้นเป็นคนสุดท้าย

“โอเคงั้นเรามาเริ่มจับกันเลยดีกว่า” ฟีโอดอร์กำไม้สามแท่งไว้ในมือและให้เอโลอิสกับรอฟีอัสเลือกจับก่อน ส่วนตัวเขาเองจะเป็นคนเอาแท่งที่ไม่มีคนเลือก

“นี่ไงไม้ของฉันต้องเป็นไม้ที่ยาวที่สุดแน่นอน!” เอโลอิสชูไม้ของตัวเองให้ทั้งสองคนดู

“หึ ไม้ของเธอน่ะมันคือไม้สั้นต่างหากล่ะ!” รอฟีอัสชูไม้ที่ยาวกว่าของเอโลอิสให้ทุกคนดู

“อารมณ์เสีย!” เอโลอิสเบ้ปาก

“ผมขอแสดงความเสียใจกับพวกคุณทั้งสองคนด้วย…” ฟีโอดอร์เว้นจังหวะเงียบก่อนแบมือที่มีไม้แท่งสุดท้ายให้ทุกคนดู แน่นอนว่ามันยาวสุด!

“แท็กซี่เหรอ!” เอโลอิสเบิกตากว้าง

“จากตรงนี้ถ้านั่งแท็กซี่จะใช้เวลานานไหม?” รอฟีอัสถาม

“ประมาณชั่วโมงครึ่งขอรับ” เคอร์ติสตอบคำถาม

“ชั่วโมงครึ่ง!” / “ชั่วโมงครึ่ง!” ทั้งเอโลอิสและรอฟีอัสพูดพร้อมกันเสียงดัง

“ใช่ขอรับ”

“ค่าแท็กซี่ชั่วโมงครึ่งพวกนายคิดว่าเท่าไหร่กันหาาาาา?”  แค่คิดเอโลอิสก็แทบจะเป็นลมแล้วเธอต้องกระเป๋าฉีกแน่ ๆ

“คุณหัวหน้าทีมก็อย่างกนักสิ”

“นายมาจ่ายค่าแท็กซี่ไหมล่ะห๊ะ?!”

“นกกระทาของเธอออกไข่ทองคำได้ไหม?”

“ก็บอกแล้วไงว่าเคอร์ติสเป็นตัวผู้!”

“ไม่เห็นยากเลยพวกเราก็แค่หาคลินิกเถื่อนแถวนี้แล้วก็ขายไตของเธอข้างนึง”

“นายจะให้ฉันขายไตมาจ่ายค่าแท็กซี่งั้นเรอะ!!!”

“ทุกคนไม่ต้องเถียงกันเดี๋ยวผมออกเงินให้เอง” เสียงสวรรค์มาโปรดโดยแท้ ไม่อยากจะเชื่อว่าฟีโอดอร์จะเสนอจ่ายค่าโดยสารให้ ตาของเอโลอิสถึงกับเป็นประกาย

“จะออกค่าแท็กซี่ให้จริง ๆ เหรอคะ?” ตาวิ้ง ๆ ๆ

“เดี๋ยวผมจะส่งบิลไปเรียกเก็บที่บ้านหมายเลข 9 ทีหลัง” 

“ใจร้ายชะมัด” เอโลอิสทำหน้าเซ็ง

“ในเมื่อเธอคือต้นเหตุที่ทำให้พวกเราต้องมาอยู่ที่นี่ ฉะนั้นก็ช่วยรับผิดชอบจนจบภารกิจด้วย ไปโบกรถได้แล้ว!” รอฟีอัสพูดตัดบท อย่างไรเสียเขาก็ต้องการไปถึงเซ็นทรัลพาร์กให้ทันวันนี้ให้ได้

สุดท้ายแล้วเอโลอิสก็ต้องเป็นคนเดินไปโบกรถข้างทางจนได้รถแท็กซี่มาคันหนึ่ง โชคดีที่แท็กซี่ในอเมริกาไม่มีส่งรถเติมแก๊สเธอเลยสามารถโบกแท็กซี่ได้ทุกคัน พอรถจอดเทียบเทียบโชเฟอร์ก็เลื่อนกระจกรถลง

“ไปไหนครับ?” เขาถาม

“ไม่ไปแล้วค่ะ” เอโลอิสตอบในทันใด

“อะไรเนี่ย โบกรถแล้วไม่ไป” โชเฟอร์ขมวดคิ้ว เขาคิดว่าเอโลอิสน่าจะเป็นพวกเด็กป่วนเมืองแน่

“เปลี่ยนใจแล้ว”

“เสียเวลาจริง ยัยเด็กบ้าไม่ขึ้นก็ไม่ต้องขึ้น!” พูดจบโชเฟอร์แท็กซี่คันแรกก็เหยียบคันเร่งมิดพุ่งออกตัวไปด้วยความไม่สบอารมณ์

เอโลอิสมองดูรถคันแรกขับผ่านไป ก่อนจะโบกคันที่สองจนรถมาเทียบจอดตรงหน้ายังไม่ทันที่โชเฟอร์จะเลื่อนกระจกรถลงเสร็จ ก็มีเสียงของเอโลอิสสวนเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“ไม่ไป!”

“อะไรวะ เสียเวลาถ้าไม่ไปก็ไม่ต้องโบก!” รถคันที่สองขับออกไปอีกครั้ง

รถคันที่ 3 มาจอด…

“ไม่ไป!”

รถคันที่ 4 มาจอด…

“ไม่ไป๊!!!”

ฟีโอดอร์ที่ยืนมองสถานการณ์อยู่ห่าง ๆ เขาไม่ได้ยินบทสนาอะไรทั้งนั้น เพียงแต่เห็นรถแท็กซี่คันแล้วคันเล่าหยุดจอดสนทนากับเอโลอิสแล้วจบที่การขับออกไปโดยไม่รับพวกเขาขึ้นไปบนรถ ทำให้เขาเกิดความสงสัยจนต้องเดินเข้ามาหาเอโลอิสว่ามันเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่มีรถแท็กซี่จอดรับเราสักคน”

“ฉันปฏิเสธไปเองค่ะ” เอโลอิสตอบตามจริง

“แค่เรื่องค่าแท็กซี่แพงนี่ต้องถึงขนาดทำเป็นปฏิเสธแท็กซี่ทุกคนเพื่อจะได้ไม่ต้องขึ้นเลยเหรอ?” ฟีโอดอร์คิดว่ามันต้องเป็นเรื่องนี้แน่ ๆ

“ไม่ใช่เรื่องค่าแท็กซี่สักหน่อย…” 

“แล้วทำไมถึงปฏิเสธแท็กซี่ล่ะ?” ฟีโอดอร์เริ่มสงสัยถ้าไม่ใช่เรื่องค่าแท็กซี่แล้วอะไรที่เป็นสาเหตุให้เอโลอิสปฏิเสธที่จะขึ้นแท็กซี่พวกนั้น

“ก็แบบว่า…คนขับเป็นคนขาว…”

“อย่าบอกนะว่าเธอเป็นพวกเหยียดน่ะ” รอฟีอัสเดินเข้ามาสมทบพร้อมถามออกไป แต่ปกติคนขาวเขาเหยียดคนขาวด้วยเหรอ?

“ไม่ใช่สักหน่อยจะบ้าเหรอ! ฉันแค่ระแวงกลัวว่าพวกนั้นจะเป็นแก๊งรัสเซียต่างหาก!” สาเหตุหลักที่เธอเลือกจะปฏิเสธรถทุกคันที่มาจอดเพราะเห็นหน้าคนขับเป็นชายผิวขาวก็รู้สึกระแวงไม่หมด แบบนี้เธอไม่มีทางขึ้นแน่ กลัวจะโดนหลอกไปจอดกลางทางอีกรอบ

“ที่นี่คนขับก็เป็นฝรั่งตาน้ำข้าวกันทั้งนั้นแหละ! เธอคิดว่าเจอเจอแบบอาม่าหน้าหมวยมาจอดรับเธอเหรอ? หาทั้งวันก็ไม่เจอหรอกแบบนั้นน่ะ!!!...”

A few moments later…


“จาไปไหลหนู (จะไปไหนหนู)” 

“ไปเซ็นทรัลพาร์กค่ะอาม่า” 

“ขึ้งมาเลย! (ขึ้นมาเลย)”

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหลังจากรอรถแท็กซี่มาสักพักใหญ่ก็มีรถแท็กซี่มาจอดอีกคัน ที่น่าเซอร์ไพรส์คือคนขับเป็นอาม่าอเมริกันไชนิสสุดเก๋า เอโลอิสมั่นใจได้ในทันทีว่ารถคันนี้แหละที่เธอตามหา แบบนี้ไม่ใช่คนรัสเซียแน่ เลยรีบตามสองหนุ่มให้ขึ้นมาในรถ ส่วนเคอร์ติสหลบในกระเป๋าเช่นเคย ทุกคนนั่งตำแหน่งเดิม จากนั้นก็เริ่มแล่นออกไป

“ไปทำอาลายที่เซ็งทั่งพั่กล่ะ? (ไปทำอะไรที่เซ็นทรัลพาร์กล่ะ)”

“เอ่อ…ไปเที่ยวค่ะอาม่า” เอโลอิสตอบไปแบบส่ง ๆ ถ้าจะบอกว่ามาตามหาราชรถเทพอะพอลโลคงไม่มีใครเชื่อหรอก

“วัง ๆ เอาแต่เที่ยวม่ายล่ายนะหนู หักอยู่บ้านอ่านหนังสือแบบนี้จะไปสอบติดฮาร์วาร์ดล่ายยังไง? (วัน ๆ เอาแต่เที่ยวไม่ได้นะหนู หัดอยู่บ้านอ่านหนังสือแบบนี้จะไปสอบติดฮาวาร์ดได้ยังไง)” เอโลอิสถึงกับงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับการสอบเข้าฮาร์วาร์ดวะ?

“หนูไม่ได้จะสอบเข้าฮาร์วาร์ดค่ะอาม่า หนูอยู่ในช่วง Gap Year” Gap Year ที่หมายถึงฝึกอยู่ในค่ายน่ะ…

“เนี่ยลื้อรู้มั้ยเป็นเหล็กต้องเลียงหนังสือ เอาแต่เที่ยวมันช้ายม่ายล่าย ดูสิตอนนี้ลูกอั๊วเพิ่งจบหมอเกียกนิยมอันดับ 1 (เนี่ยลื้อรู้มั้นเป็นเด็กเป็นเล็กต้องเรียนหนังสือ เอาแต่เที่ยวมันใช่ไม่ได้ ดูสิตอนนี้ลูกอั๊วเพิ่งจบหมอเกียรตินิยมอันดับ 1)” บอกทำไมวะ?... ทำไมคนเอเชียถึงชอบเอาลูกมาอวดด้วย เอโลอิสไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่

ในเมื่ออาม่าพูดไม่หยุดหนทางเดียวที่จะหลีกหนีจากสนทนาไปได้มันก็ต้องแกล้งหลับเท่านั้นแหละ เอโลอิสหลับตาลงทำเป็นหลับเผื่อว่าอาม่าจะได้เงียบปากไปสักที อยากลงก็อยากแต่ถ้าลงก็คงไม่ถึงเซ็นทรัลพาร์กสักทีคงมีทางเดียวที่จะทำได้ก็คืออดทนแล้วแกล้งหลับไปสักพักเดี๋ยวก็คงหยุดพูดเอง…

เวลาผ่านไปเอโลอิสค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมานิดนึงเพื่อดูสถานการณ์

“...แล้วคงข้างบ้านนะ อีมาบ่อกว่าลูกบ้างมางลีกว่าลูกอั๊ว.. (แล้วคนข้าวบ้านนะ อีมาบอกว่าลูกบ้านเขามันดีกว่าลูกอั๊ว)” เมื่อเห็นว่าป้ายังคงเล่าเรื่องต่อไม่หยุดโดยมีผู้รับกรรมคือฟีโอดอร์ที่นั่งข้างคนขับเอโลอิสก็แกล้งหลับต่อ…

เวลาผ่านไปอีกหลายนาที…เอโลอิสแอบลืมตาขึ้นมาดูสถานการณ์อีกครั้ง…

“...จำไว้นะพ่อหลุ่ม ติ่มซำถ้าจะห้ายลีมันต้องใส่น้ำมันงา…(จำไว้นะพ่อหนุ่ม ติ่มซำถ้าจะให้ดีมันต้องใส่น้ำมันงา)”  ยังพูดไม่จบอีกเรอะ! เอโลอิสหลับตาลงอีกรอบ เพราะไม่อยากนั่งฟังอะไรพวกนี้

เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่…เอโลอิสค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอีก…แต่คราวนี้ยังไม่ทันฟังเนื้อหาอะไรที่อาม่าได้พูด รถแท็กซี่ก็เบรกเอี๊ยดดดดด อย่างแรงเสียก่อน อย่าบอกนะว่าโดนหลอกอีกแล้วน่ะ…

“นกพิราบมังมายืนขวางหน้ารถอั๊ว!” อาม่าพยายามกดบีบแตรไล่นกแต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะไป

เอโลอิสพยายามปรับโฟกัสสายตาตัวเองแล้วมองออกไปตรงจุดที่อาม่าบ่นว่ามีนกพิราบมายืนขวาง…นี่มันไม่ใช่นกพิราบแล้ว มันคืออสุรกายต่างหาก! คนธรรมดาทั่วไปอาจมองเห็นว่ามันเป็นนกพิราบแต่เหล่าเดมิก็อดกลับมองเห็นต่างออกไป เบื้องหน้ารถแท็กซี่นั้นเป็นอมนุษย์ครึ่งมนุษย์ครึ่งค้างคาวตัวเบอเร่อ แถมยังเหม็นอีกต่างหาก! 

“อาม่าคะพวกเราขอลงตรงนี้เลยแล้วกันค่ะ”

“นี่เงินครับ” 

ฟีโอดอร์รีบจ่ายเงินแล้วพากันลงรถก่อนที่จะวิ่งสุดชีวิตไปเข้าซอกตึกในเมืองเพื่อหลบผู้คน เจ้าอสุรกายนั่นก็บินตามมา เคอร์ติสกระโดดออกมาจากกระเป๋าก่อนจะบอกอธิบายให้ทุกคนฟังว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นมันคืออะไร

“เจ้านั่นมันเรียกว่า แวน มีเทอร์ จะพบได้ทั่วอเมริกายกเว้นลองไอส์แลนด์ แสดงว่าตอนนี้พวกเราอยู่แมนฮัตตันแล้วขอรับ!” 

“เจ้านี่ไม่ใช่มนุษย์งั้นเราก็ใช้อาวุธได้สินะ” ฟีโอดอร์ชักปืนของเขาออกมา

“ผิวหนังของมันทนทานต่อกระสุนมากขอรับทางที่ดีใช้อย่างอื่นจะดีกว่า” เคอร์ติสบอกข้อมูลเพิ่มเติม

“งั้นก็คงต้องรีบหาทางกำจัดด้วยวิธีอื่นดู” รอฟีอัสหันมาพูดบ้าง

ทุกคนเตรียมอาวุธถือไว้ในมือ เมื่อไม่ใช่มนุษย์อาวุธของค่ายก็น่าจะใช้ได้ แต่การจะมาสู้กันต่อหน้าธารกำนัลไม่ใช่เรื่องดีแน่ พวกเขาคงต้องจัดการมันในที่ลับตาคนเช่นในซอกตึกแห่งนี้ การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นระหว่างอสุรกายทรงพลังกับเดมิก็อด 3 คนที่พ่วงกองเชียร์นกกระทาหนึ่งตัว เอโลอิสเริ่มยิงธนูออกไป ธนูเมื่อโดนผิวหนังของอสุรกายกลายเป็นว่าปักไม่เขา

“ไปสักยันต์อาจารย์หนูมาหรือไงทำไมหนังถึงได้เหนียวนัก!”

รอฟีอัสและฟีโอดอร์ก็ต่างช่วยกันออกอาวุธ ออกอาวุธ ที่พัฒนามาเป็นชุด~ ต่อกรกับแวน มีเทอร์ความสูงสามเมตร เอโลอิสเห็นท่าจะไม่ดีหากว่ามันจะหนังเหนียวขนาดนี้เหล่าเดมิก็อดอาจจะหมดแรงก่อนที่จะปราบมันสำเร็จ เธอพยายามที่จะมองหาจุดอ่อนของมัน

“เคอร์ติส นายว่าเราจะใช้วิธีปราบแบบราชสีห์นีเมียนได้ไหม เจ้าตัวนั้นก็หนังเหนียวนี่?”

“โอ้ เป็นความคิดที่ดีนะขอรับ”

เอโลอิสไล่สายตาดูตามร่างกายของมันว่าส่วนไหนที่น่าจะแทงทะลุได้ แต่ทุกส่วนก็ดูจะปกคลุมไปด้วยหนังของมันยกเว้นบริเวณปาก บางทีถ้าเธอสามารถยิงธนูเข้าไปในปากมันได้อาจจะสังหารมันสำเร็จ คิดได้ดังนั้นเอโลอิสก็เริ่มการต่อสู้ของเธออีกครั้ง แต่แล้วมารผจญก็โผล่มา…

“#$#$&%*&%! (พวกมันอยู่นั่น!)”

รัสเซียมาอีกแล้วเรอะ!

“@#$#%^%^&? (พวกมันทำอะไรของมันวะ?)”

ภาพที่เหล่าทหารรัสเซียเห็นคือวัยรุ่นสามคนกำลังกวัดแกว่งอาวุธต่อสู้กับนกพิราบหนึ่งตัวประหนึ่งคนบ้า ส่วนนกพิราบในสายตาของพวกรัสเซียก็บินไปบินมาเหมือนกำลังโดนรังแกอยู่ทั้งที่จริงมันกำลังต่อสู้ด้วยต่างหาก!

“พวกเหล็กตัวลี! ลื้อจ่ายค่าแท็กซี่อั๊วขาดไป 1 เซ็ง!!! (พวกเด็กตัวดี! ลื้อจ่ายค่าแท็กซี่อั๊วขาดไป 1 เซนต์!!!”

อาม่าก็มาเรอะ! 

“คงบ้าอาลายไล่ตีนกอยู่นั่งแหละ พวกเหล็กใจบาป!!! (คนบ้าอะไรไล่ตีนกอยู่นั่นแหละ พวกเด็กใจบาป!!!)” 

“อาม่ารอก่อนเดี๋ยวหนูจ่ายให้ ตอนนี้ยังไม่ว่างค่ะ!!!” เอโลอิสซึ่งกำลังอยู่ในการต่อสู้กับแวน มีเทอร์อย่างเดือดไม่มีเวลาสำหรับการควักกระเป๋าเงินตอนนี้

“อี่แก่นี่ใคร?” รัสเซียคนนึงถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ

ป้าบบบบ!!!

“หนอย พวกลื้อเปงไคพูกแบบนี้กับผู้หย่ายไล้ยังงาย (หนอย พวกลื้อเป็นใครพูดแบบนี้กับผู้ใหญ่ได้ยังไง)” อาม่าไม่พูดเปล่ายังใช้มือเบิ๊ดกะโหลกรัสเซียติดคริติคอลไปหนึ่งทีแบบผู้ใหญ่สั่งสอนเด็ก

“อะ…อาม่าครับ…อะ…อย่—” ฟีโอดอร์พยายามพูดห้ามปรามอาม่าไม่ให้ไปมีเรื่องกับรัสเซียโหดพวกนี้แต่ดันโดนอาม่าพูดสวนกลับมา

“ลื้อเงียบปากปายเลย จาช่วยเพื่อนช่ายหมาย พวกลี้มังต้องถูกสั่งสอง (ลื้อเงียบปากไปเลย จะช่วยเพื่อนใช่ไหม พวกนี้มันต้องถูกสั่งสอน)”

“มะ…ไม่ใช่เพื่อนครับอาม่—” รอฟีอัสมาพูดช่วยอีกแรง

“อั๊วม่ายเชื่อหลอก มาอยู่นายตรอกแบบลี้พวกลื้อมามั่วสุมกังช่ายหมาย อั๊วจาปายแจ้งอาคุณตำหลวก! (อั๊วไม่เชื่อหรอก มาอยู่ในตรอกแบบนี้พวกลื้อมามั่วสุมกันใช่ไหม อั๊วจะไปแจ้งอาคุณตำรวจ!)”

ในขณะที่สองคนกำลังถูกอาม่าสั่งสอนอยู่นั้นทางด้านเอโลอิสขอได้จังหวะยิงธนูเข้าปากแวน มีเทอร์ได้สำเร็จจนมันร่างสลายไป แต่ภาพที่อาม่าเห็นคือเป็นภาพของเอโลอิสที่รังแกนกพิราบจนนกร่วงลงมาตายเสียนี่! 

ป้าบบบบ!!!

เอโลอิสก็หัวลั่นไปอีกคนหลังโดนอาม่าตบหัวไปหนึ่งดอก ถ้ามีตัวอักษรขึ้นบนหัวเธอได้คงเป็นคำว่า Double Kill ดีนะที่เธอผมหน้าไม่งั้นสมองคงได้ไหลออกหูแน่ ๆ 

“อาม่าตบหัวหนูทำไมคะ?” 

“รังแกสักล่ายยางงาย ลื้อดูสิแฟงมันเส้ามากเลยที่คู่มางตายเลี้ยว (นังแกสัตว์ได้ยังไง ลื้อดูสิแฟนมันเส้ามากเลยที่คู่มันตายแล้ว)” ไม่พูดเปล่าอาม่ายังชี้ไปที่เคอร์ติสที่ยืนอยู่ข้างร่างนกพิราบตายในสายตาอาม่า มันนกคนละพันธุ์กันเลยไม่ใช่เรอะ!

“ใครก็ได้เอาอีแกนี่ไปไกล ๆ ดิ๊—”

ป้าบบบบ!!! Triple Kill

อาม่าตบหัวซ้ำไปที่รัสเซียคนเดิม เหล่าเดมิก็อดพยายามห้ามแต่อาม่าก็ยังสวดสั่งสอนทุกคนไม่เลิกเสียที ทหารรัสเซียที่แฝงตัวมาพวกนี้คงจะถึงขีดจำกัดของความอดทนเลยชักมีดออกมาขู่แล้วชี้ไปที่อาม่า

“หุบปากได้หรือยัง!!!”

“มะ…มีก…ลื้อจาทำอาลายก็ทำเลยอั๊วม่ายยุ่งเลี้ยว (มะ…มีด…ลื้อจะทำอะไรก็ทำเลยอั๊วไม่ยุ่งแล้ว)” พูดจบอาม่าก็โกยแนบออกไปจากตรอกขึ้นรถแท็กซี่ขับหนีอย่างไว ทิ้งให้ทุกคนในตรอกมาตามหลังแบบอิหยังวะ?

“จบเรื่องอิแก่ ก็ถึงเวลาของพวกแกแล้ว!”

แก๊งทหารรัสเซียทั้งสามเริ่มการโจมตีในทันที เอโลอิส ฟีโอดอร์ และรอฟีอัสแบ่งศัตรูไปรับผิดชอบคนละคน การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด เอโลอิสแอบมึนนิดหน่อยจากการโดนตบหัวไปเมื่อกี๊ แต่คนที่น่าจะมึนกว่าคือคู่ต่อสู้ของเธอต่างหากที่โดนไปตั้งสองที เธอใช้เท้าเตะมีดออกจากมือของเขา ก่อนจะโดนถีบไปหนึ่งทีแต่ก็พยุงตัวเองลุกขึ้นมาสู้ต่อ และใช้ฝ่ามือฟาดไปที่หัวของเขาอย่างแรงจนสลบไป อาจเป็นเพราะโดนไปแล้วสองทีพอรอบสามก็หลับไปเลย 

“คุณเอโลอิส เป็นอะไรไหมขอรับ” เคอร์ติสวิ่งเข้ามาดูอาการ

“ฉันโอเคดี” 

เอโลอิสมองดูการต่อสู้ของสองหนุ่มที่เหมือนจะเสร็จแล้วเช่นกันยกเว้นเจ้ารอฟีอัสอย่าบอกนะว่า…

“บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าใครเป็นคนส่งแกม—”

เพล้งงงงง!!!

ยังไม่ทันจะถามจบด้วยซ้ำอยู่ดี ๆ ก็มีกระถางต้นไม้ร่วงจากด้านบนลงมาโดนหัวเจ้ารัสเซียคนสุดท้ายพอดีพร้อมเสียงของคนด้านบนที่อุทานดังก้องมาถึงด้านล่าง

“อุ๊ยกระถางร่วง!!! คงไม่มีคนอยู่ด้านล่างหรอกมั้ง”

รอฟีอัสถึงกับนิ่งไปเลย เขาไม่เคยคิดว่าฟ้าจะผ่าที่เดิมได้ถึงสามครั้ง เอโลอิสเดินมาตบไหล่เขาเบา ๆ เป็นนัยว่า ‘ทำใจซะเถอะชาตินี้ก็คงไม่รู้หรอก’

“กระผมว่าพวกเราไปกันดีกว่าขอรับ จริง ๆ เดินไปอีกไม่นานก็จะถึงจุดหมายแล้วแต่สภาพทุกคนตอนนี้กระผมว่าเราควรไปหาที่พักจริงจังเพื่อฟื้นร่างกาย และที่สำคัญอาบน้ำ! แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเริ่มหาเบาะแสกัน” 

เคอร์ติสเสนอขึ้นดูจากสภาพสามคนที่ไม่ได้อาบน้ำเลยตั้งแต่วันออกค่ายสภาพเหมือนโฮมเลสไม่มีผิด ทุกคนรู้เห็นด้วยเพราะเอโลอิสเองก็ยังมึนฝ่ามืออาม่าไม่หาย ทั้งสี่เดินทางไปหาที่พักราคาถูกสำหรับค้างคืนและคงจะอยู่พักฟื้นเตรียมร่างกายแล้วค่อยไปลุยใหม่่ในรุ่งเช้าที่ไม่รู้ว่าจะเจออะไรอีก…










แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 67720 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2024-5-18 22:43
โพสต์ 67,720 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ทักษะยิงธนู  โพสต์ 2024-5-18 22:43
โพสต์ 67,720 ไบต์และได้รับ +2 EXP +7 ความกล้า จาก สัมผัสกับดัก  โพสต์ 2024-5-18 22:43
โพสต์ 67,720 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก กลศาสตร์  โพสต์ 2024-5-18 22:43
โพสต์ 67,720 ไบต์และได้รับ +3 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก ธนู  โพสต์ 2024-5-18 22:43

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2024-5-21 23:47:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด








วันนี้คือวันที่เหล่าเดมิก็อดรอคอยนั่นคือวันที่จะเดินทางมาถึงเซ็นทรัลพาร์ก การได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มและได้อาบน้ำในรอบ 3 วันทำให้พวกเขารู้สึกมีแรงที่จะออกไปทำภารกิจขึ้นเยอะ จากจุดที่พักในปัจจุบันไปถึงเซ็นทรัลพาร์กใช้แค่การเดินเท้าก็น่าจะเพียงพอแล้ว เมื่อรุ่งอรุณมาถึงทั้งสี่ก็พากันเดินทะลุซอกซอยต่าง ๆ จนในที่สุดก็เข้าเขตเซ็นทรัลพาร์ก แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนนั่นก็คือเซ็นทรัลพาร์กมันโคตรกว้าง! กว่าจะสำรวจจนทั่วคงหมดเป็นวัน ๆ

“เพิ่งเคยมาเซ็นทรัลพาร์กครั้งแรกเลยนะเนี่ยใหญ่กว่าที่คิด” เอโลอิสถึงกับตะลึง นี่มันป่าขนาดย่อมชัด ๆ 

“คงลำบากกว่าที่พวกเราคิดไว้รีบตามหาเบาะแสกันเถอะครับ” ฟีโอดอร์พูดเสริม

“พวกนายรู้สึกไหมว่าที่นี่มันร้อนแปลก ๆ แถมต้นไม้ก็ดูเหี่ยวเฉา” รอฟีอัสสังเกตเห็นว่าต้นไม้ในสวนสาธารณะดูเฉาอย่างเห็นได้ชัด

“เป็นไปได้ว่าราชรถพระอาทิตย์อาจเคยผ่านแถวนี้มาก่อนก็ได้นะขอรับ” เคอร์ติสเริ่มวิเคราะห์ความเป็นไปได้

“หรือไม่ก็อาจจะมาจากเจ้านั่น…” 

รอฟีอัสชี้ไปทางด้านหน้า วัวทองสัมฤทธิ์ขี้โมโหที่กำลังพ่นไฟออกมาทางจมูกนั่น ทำให้เอโลอิสรู้ได้ทันทีเลยว่ามันมาจากไหน

“วัวของพ่อฉันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงเนี่ย?” เอโลอิสถึงกับงง

“อสุรกายมันก็อยู่ไปทั่วนั่นแหละ อีกอย่างที่นี่ก็ไม่ได้ไกลจากตึกเอ็มไพร์สเตตเท่าไหร่ ใครจะรู้มันอาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่พ่อเธอทิ้งลงมาก็ได้” รอฟีอัสตอบ

“ไม่ว่ามันจะโผล่มาที่นี่ได้ยังไง เราก็ต้องกำจัดมันอยู่ดีนั่นแหละครับ” ฟีโอดอร์พูดเสริม

“น่าจะยากนะขอรับ พวกคุณทั้งสองคนไม่มีอะไรกันความระดับนั้นได้เลย” เคอร์ติหันไปพูดกับรอฟีอัสและฟีโอดอร์

“งั้นฝากด้วย!” เอโลอิสถูกคนอื่น ๆ ผลักออกมาด้านหน้าเพราะเป็นคนเดียวที่ทนไฟได้

“อะไรเนี่ยพวกนาย!” บางทีเธอก็แอบคิดว่าเจ้าพวกนี้เคยคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงร่างบอบบางสุดแสนจะอ่อนแอบ้างไหม ทำไมถึงได้พร้อมใจให้เธอมาเป็นด่านหน้าแบบนี้!

“ไม่ต้องห่วงหรอกผมจะยิงปืนมาจากระยะไกลเอง” ฟีโอดอร์โชว์ปืนให้ดูว่าเขาพร้อมซัพพอร์ตอยู่ห่าง ๆ 


“เอาวะ! ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่” 

ในเมื่อคนอื่นไม่สามารถทนความร้อนของเจ้าวัวนี่ได้ก็กลายเป็นเอโลอิสนี่แหละที่ต้องเป็นคนเปิด ด้วยความสามารถในการทนทานไฟ การต่อสู้ได้เริ่มขึ้น เธอจำได้ว่าจุดอ่อนของมันคือช่องรอยต่อ จึงเริ่มยิงธนูออกไปลูกแรกไม่โดนแต่ลูกสองเข้าไปในช่องพอดี เหมือนเธอจะยิงเบาไปหน่อย

“ทุกคนเล็งตรงช่องรอยต่อนะ!”

“รับทราบ” ฟีโอดอร์เล็งปืนไปในช่องรอยต่อ่กอนจะยิงออกไป

เอโลอิสยังคงทำการปะทะกับเจ้าวัวพยายามล่อมันให้เบนความสนใจมาทางเธอให้มากที่สุดเธอยิงธนูออกไปอีกหลายลูก จนในที่สุดก็มีลูกหนึ่งแทงเข้าไปที่ช่องรอยต่อบริเวณคอทำให้ร่างของมันสลายไปในที่สุด

“ตายเสียที พี่ฟีโอดอร์รีบเก็บปืนก่อนใครมาเห็นเข้า เดี๋ยวเขาจะคิดว่าเราพกปืนในที่สาธารณะ” เอโลอิสรีบเตือนฟีโอดอร์ทันทีที่จัดการกับวัวโคลคีสสำเร็จ

ทั้งสามคนทำการเดินสำรวจเซ็นทรัลพาร์คต่อ น่าแปลกที่ถึงแม้ว่าจะฆ่าเจ้าวัวนั่นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าความร้อนมันจางหายไปเลยสักนิด ต้นไม้ในสวนก็ยังดูเฉาราวกับขาดน้ำอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งทั้งสามได้ยินเสียงของเคอร์ติสทักขึ้นมาว่าพบอะไรบางอย่าง

“ทุกคนขอรับมาดูนี่ขอรับ!”

“ก้อนอะไรน่ะ” เอโลอิสขมวดคิ้วเมื่อเห็นก้อนแสงแปลก ๆ ที่หล่นอยู่ตรงพื้นถนนในเซ็นทรัลพาร์ก

“กระผมคิดว่าสิ่งนี้อาจจะเป็นสะเก็ดแสงจากราชรถพระอาทิตย์ขอรับ” เคอร์ติสค่อนข้างมั่นใจเลยด้วยซ้ำ

“คนบ้าอะไรจะขับรถลัดสวนสาธารณะแบบนี้”

“เซ็นทรัลพาร์กมีถนนตัดผ่านมันก็ไม่น่าแปลกนักหรอกน่า” รอฟีอัสพูดขึ้น

“ถ้านี่คือสะเก็ดจากรถจริงนี่อาจจะเป็นเบาะแสแรกที่เราพบนะ บางทีอาจจะมีสะเก็ดพวกนี้หล่นอยู่บริเวณอื่นอีกก็ได้” 

“ฉันก็คิดว่างั้น” เอโลอิสเห็นด้วยกับคำพูดของฟีโอดอร์

“คำทำพยากรณ์ท่อนแรกว่าไงนะ?”

“ธิดาแห่งไฟพึงตามแสงรุ่งอรุณยามเช้า ณ ใจกลางนครมิเคยหลับใหล”

“หรือว่าแสงรุ่งอรุณที่ว่านั่นจะเป็นเจ้าสะเก็ดนี่?”

“งั้นแสดงว่าพวกเราอาจจะต้องตามสะเก็ดนี่ไปจริง ๆ สินะ”

“ก็ต้องลองดู”

ทั้งสามมีความเห็นตรงกันว่าพวกเขาควรจะตามหาเจ้าสะเก็ดแสงอันนี้ มันอาจพบที่จุดอื่นอีกเพราะเซ็นทรัลพาร์กนั้นกว้างมาก ๆ แต่พวกเจาก็ไม่มั่นใจว่าจะพบราชรถทิ้งไว้ในสวนสาธารณะหรอก มันดูโจ่งแจ้งเกินไป และคงดูง่ายเกินไป คำพยากรณ์ยังเหลืออีกหลายเหตุการณ์ที่ยังไม่ได้พบเจอ ฉะนั้นจะชะล่าใจไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เดินทางกันมาได้สักพักพวกเขาก็มาถึงบริเวณม้าหมุนของเซ็นทรัลพาร์กก่อนจะพบกับสะเก็ดแสงสะเก็ดที่สองอยู่แถวถนนบริเวณนั้น

“อย่าบอกนะว่าโจรขโมยรถแวะมาเล่นม้าหมุนด้วยน่ะ…” รอฟีอัสชักไม่แน่ใจว่าเจ้าหัวขโมยนี่เป็นเด็ก 6 ขวบหรือยังไงกัน

“แต่ฉันอยากเล่นนะ” เอโลอิสมองดูม้าหมุนด้วยความตื่นเต้น

“มันใช่เวลามาเล่นไหมห๊ะ? นี่เรากำลังทำภารกิจกันอยู่นะ!” รอฟีอัสหันไปดุเอโลอิส

“ใจร้ายชะมัด” เอโลอิสทำหน้าจ๋อย

“อยากเล่นเหรอหนู?” จู่ ๆ ก็มีหญิงคนนึงทักขึ้นมาดึงความสนใจจากทุกคนให้หันไป

“อยา—” เอโลอิสที่กำลังตอบว่าอยากค่ะ โดนรอฟีอัสจับรวบแล้วเอามือปิดปากไว้

“ไม่ครับพวกเรามีธุระต้องไปทำต่อ” เขารีบตัดบทไป

“กำลังตามหาอะไรอยู่หรือเปล่า? รถสีแดง ๆ น่ะ” คำพูดนั้นทำให้ทุกคนถึงกับชะงัก

“คุณรู้อะไรเหรอครับ?” ฟีโอดอร์รีบถามขึ้น

“ก็ไม่ได้รู้นักหรอก ฉันแค่อาจจะพอตอบได้ว่ามันไปทางไหน…”

“งั้นช่วยบอกเราทีครับ”

“แต่มันก็มีข้อแม้นิดหน่อย…”

“อะไรงั้นเหรอครับ?”

“พวกเธอต้องมาเล่นม้าหมุนกับฉันก่อน” 

สุดท้ายแล้วทั้งสามคนก็มาลงเอยบนม้าหมุน คนที่ดูจะดีใจจนออกหน้าออกตากว่าเพื่อนก็น่าจะเป็นเอโลอิสนี่แหละ เธอเลือกขี่ม้า แล้วสังเกตกลไลของม้าหมุนไปด้วย เธออยากรู้ว่าสิ่งประดิษฐ์สุดแทนมหัศจรรย์แบบนี้มันสร้างยังไงกันนะ อยากสร้างไว้ที่บ้านหมายเลข 9 บ้าง ส่วนคนอื่น ๆ ในทีมดูแล้วเหมือนนั่งด้วยความไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ พวกเขาคิดว่ามันเสียเวลาและไร้สาระเป็นที่สุด แต่ที่ยอมมานั่งก็เพราะต้องการเบาะแสของราชรถนั่นแหละ ม้าหมุนเริ่มทำการหมุนไปเรื่อย ๆ แต่ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ มันก็แรงขึ้นจนเหมือนจะไม่ใช่ความเร็วแบบปกติแล้ว ร่างของหญิงคนนั้นที่อยู่บนม้าหมุนค่อย ๆ กลายร่างเป็นอสุรกายหัวเป็นโค ตัวเป็นคน ใช่แล้วล่ะมันคือมิโนทอร์!

“วันนี้มันวันพืชมงคลหรือไงทำไมเจอแต่วัวกันนะ!” เอโลอิสที่เกาะเสาม้าหมุนแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองกระเด็นจากแรงเหวี่ยงเอ่ยขึ้น

“สรุปว่าพวกเราโดนมันหลอกสินะ!”

“ปกติแล้วมิโนทอร์มันต้องอยู่ในเขาวงกตไม่ใช่รึไง”

“เซ็นทรัลปาร์กสำหรับพวกเรามันก็เขาวงกตดี ๆ นี่ล่ะ สวนบ้าอะไรกว้างยิ่งกว่าโครงการบ้านจัดสรรเสียอีก!” 

“รีบจัดการกับมันเถอะ” 

การต่อสู้ครั้งนี้เต็มไปด้วยความทุลักทุเลด้วยความเหวี่ยงของเครื่องเล่น เจ้ามิโนทอร์นี่คิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้เร่งเครื่องแรงขนาดนี้ เอโลอิสใช้มือข้างหนึ่งเกาะเสาเพื่อพยุงตัวเอง ส่วนอีกข้างต้องควักดาบออกมาต่อสู้ด้วยมือเดียวซึ่งไม่ถนัดเลยสักนิด ในขณะที่อีกสองคนก็ต้องใช้อาวุธมือเดียวด้วยเช่นกัน 

“ตายซะเถอะ!” เอโลอิสออกแรงฟันไปที่หน้าอกของมิโนทอร์แต่ดันพลาดไปโดนเขาของมันหัก

“ยังวืดเหมือนเดิมเลยน่ะเธอเนี่ย!” รอฟีอัสหัวเราะ ก่อนจะโชว์สเต็ปฟันดาบออกไปบ้าง แต่สุดท้ายก็วืดไปโดนเขาอีกข้างของมันหักเช่นกัน

“ฮ่า ๆ นายก็วืดเหมือนกันนั่นแหละ!” เอโลอิสขำบ้างเมื่อถึงทีของเธอ 

ทั้งสองแข่งกันไล่ฟาดมิโนทอร์กันอย่างเมามันส์ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องทรงตัวไม่ให้ปลิวออกจากม้าหมุนด้วยเช่นกัน ด้วยความที่ไม่มีใครยอมใครสุดท้ายทั้งสองก็แทงดาบไปในจังหวะเดียวกันจนปักเข้าอกมิโนทอร์สู่ขิตในวันที่ดือได้ในที่สุด ร่างของมันค่อย ๆ สลายหายไป แต่ม้าหมุนก็ยังไม่หยุด สุดท้ายแล้วเอเลอิสก็ต้องพยายามขยับตัวเองเปลี่ยนจากการขี่ม้าหมุนเข้าไปหลบในรถม้าแทนเพื่อที่จะได้มีโอกาสค้นหาอุปกรณ์ในกระเป๋าจนเจอถุงอุปกรณ์งานช่างของตัวเองจากนั้นก็หลับตาใช้พลังกลศาสตร์ของตนเองเพื่อศึกษากลไกของม้าหมุนตัวนี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบกระโดดหาจุดเปิดพื้นแล้วงัดพื้นส่วนที่เป็นห้องเครื่องแล้วทำการปรับเปลี่ยนกลไลการทำงานของเครื่องจนในที่สุดม้าหมุนก็หยุดลง

“ทุกคนเป็นอะไรไหมขอรับ” เคอร์ติสที่ไม่ได้ขึ้นม้าหมุนไปด้วยรีบถามความปลอดภัยของทุกคน

“€¢$^@฿@฿@฿” เสียงรัสเซียมาอีกแล้ว

“คนนั้นแหละขอรับที่เป็นคนเร่งความเร็วม้าหมุน” เคอร์ติสชี้ไปที่ชายที่พูดภาษารัสเซีย

“@฿£$€¢@&π√€€¢฿— (อย่าคิดนะว่าจะหนีรอดไปได้—)’’

อ้วกกกกกกกกกก!

เอโลอิสที่เพิ่งลงมาจากม้าหมุนเขื่อนทลายลงเต็มหน้าชายรัสเซียคนนั้น เมาม้าหมุนไม่ไหวแล้ว บอกได้เลยว่าเธอคงจะไม่เล่นม้าหมุนไปอีกนาน เข็ดขยาดเลยทีเดียว

“@฿@# &$€¢π√§π§!!! (ยัยเด็กบ้า นี่แกทำบ้าอะไรเนี่ย!!!)

“เขาถามว่าเธอทำบ้าอะไร” รอฟีอัสแปลให้เอาบุญ เมื่อเอโลอิสหันหน้ามางงว่าเจ้ารัสเซียนั่นพูดอะไรของมัน

“คุณคงไม่เข้าใจสินะว่าฉันทำอะไร งั้นฉันจะทำให้ดูอีกครั้ง…” เอโลอิสตอบออกไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักจากความเมาหัว

อ้วกกกกกกกกกก! เขื่อนทลายรอบที่สอง

“ยัยเด็กนั่นทำบ้าอะไรวะเนี่ย!” รัสเซียอีกคนที่พูดอังกฤษได้วิ่งมาสมทบ แต่มาสมทบได้ผิดที่ผิดเวลาไปหน่อยเพราะ…

อ้วกกกกกกกกกก! เขื่อนทลายอีกรอบ

“ผมว่าพวกคุณอย่าเพิ่งไปยุ่งกับเธอเลยจะดีกว่า ท่าทางจะอีกหลายยก” ฟีโอดอร์ที่เอามือปิดจมูกอยู่หันไปบอกกับพวกรัสเซีย

“พวกนายจัดการกันไปเลยนะ ไม่ไหวขอนั่งพักแป๊บ…” เอโลอิสบอกหนุ่ม ๆ ก่อนจะนั่งลงบนพืัน หน้าของเธอซีดไปหมด

“พวกแกนี่ทนถึกชะมัด แต่วันนี้แหละจะเป็นวันตายของพวกแก” หลังจากที่รัสเซียเช็ดคราบอ้วกบนหน้าเสร็จก็ปากดีในทันที

“โอหัง! แน่จริงก็เข้ามา!”

การต่อสู้ของหนุ่ม ๆ เอโลอิสได้แต่นั่งมองบอกเลยเซียงเพียวอิ๊วก็ไม่ช่วยสิ่งเดียวที่เธอต้องการตอนนี้คือกระโถนเสียมากกว่า รอฟีอัสและฟีโอดอร์ทั้งกระโดดทั้งตีลังกา พวกรัสเซียนั่นก็พอกันเจ้าพวกนี้ต้องดูหนังจีนมากไปแน่ ๆ เผลอแป๊บเดียวรัสเซียก็ไปกองกันบนพื้นระนาว ส่วนเอโลอิสเองก็มานั่งค้นกระเป๋าอีกครั้งเพื่อหาอะไรให้ตัวเองหายมึน เธอจำได้ว่ามียาดมที่ซื้อมาจากร้านเอเชียอยู่สักส่วนของกระเป๋า


“คราวนี้ฉันจะไม่ถามแล้วว่าใครส่งพวกแกมา โคตรเสียเวล—”

ก๊องงงงงงงง!!! (เสียงของแข็งกระทบหัว)

ยังไม่ทันที่รอฟีอัสจะพูดจบด้วยซ้ำเจ้ารัสเซียคนสุดท้ายที่เขากำลังสนทนาด้วยก็สลบไป เพราะมีประแจที่ไหนก็ไม่รู้กระเด็นมาฟาดหัว อันที่จริงมันก็มาจากเอโลอิสที่กำลังค้นกระเป๋าหายาดมนั่นแหละ เธอโยนของในกระเป๋าไปทั่วเพื่อหาของ แต่ไม่คิดว่ามันดันไปโดนหัวใครเข้า

“เธออีกแล้วเรอะ!” 

“อะไร?”

“ก็นี่ไงประแจของเธอใช่ไหม?!”

“อ๋อใช่ สักครู่นะ…” เธอหยิบยาดมออกมาไว้ในมือ “เจอแล้ว!”

“คนบ้าอะไรพกประแจใส่กระเป๋าเนี่ย!”

“คนอย่างลูกเทพเฮเฟตัสไง ตะกี๊ฉันก็ช่วยนายไว้นะถ้าไม่ใช่เพราะฉันพกมาป่านนี้พวกเราคงยังติดอยู่ในม้าหมุนนั่น!” เอโลอิสสูดยาดมเข้าไปฟอดใหญ่

“ไปกันเถอะขอรับขืนใครมาเห็นเข้าต้องแย่แน่” เคอร์ติสเตือนสติทุกคน

“ไหวไหม?” ฟีโอดอร์หันไปถามเอโลอิส เธอไม่ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้า

สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นว่าสองหนุ่มต้องหิ้วปีกเอโลอิสเพื่อเดินทางกันต่อ พวกเขาเดินลัดเลาะสวนสาธารณะ ตามความน่าจะเป็นของเส้นทางเดินรถของราชรถพระอาทิตย์ โดยอาศัยการตามสะเก็ดของราชรถที่พบเจอรายทางไปเรื่อย ๆ โดยมีเคอร์ติสคอยนำทางด้วยสัญชาตญาณของนกกระทาที่ถูกฝึกมาอย่างดีเพื่อช่วยเดมิก็อด ซึ่งช่วยทำให้ทุกคนคืบหน้าไปได้มาก

“เจอสะเก็ดอีกแล้วขอรับ!”

“นี่ก็ใกล้จะพ้นเขตเซ็นทรัลพาร์กแล้วนะทำไมเรายังไม่เจอราชรถเลย?”

“ใจเย็นสิเซ็นทรัลพาร์กอาจเป็นเพียงแค่ทางผ่านของราชรถก็ได้ คำพยากรณ์ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าราชรถอยู่ที่นี่” 

“พวกนายหิ้วฉันมาตลอดทางแล้วพักก่อนไหม?” เอโลอิสรู้สึกสงสารสองหนุ่มที่ต้องหิ้วปีกเธอมาตลอดทาง อันที่จริงตอนนี้เอโลอิสดีขึ้นมากแล้วแทบจะหายเมาหัวแล้ว

“งั้นเดี๋ยวเรานั่งพักตรงเก้าอี้นี้ก่อนแล้วกัน” ทั้งสองวางเอโลอิสลงตรงเก้าอี้ ก่อนที่รอฟีอัสจะอาสาไปหาเครื่องดื่มมาให้ทุกคน

“พวกนายจะดื่มอะไรกัน ฉันว่าจะไปซื้อเครื่องดื่มเสียหน่อย”

“เอาอะไรก็ได้ที่ทำให้สร่าง” เอโลอิสตอบ

“ผมขอกาแฟดำ” ฟีโอดอร์ตอบ

เมื่อรับออเดอร์เรียบร้อยรอฟีอัสก็เดินหายไปประมาณ 20 นาที ก่อนจะกลับมาพร้อมเครื่องดื่ม แล้วทำการแจกจ่ายให้แต่ละคน เอโลอิสไม่รู้ว่าเครื่องดื่มของเธอคืออะไรพอดูดไปอึกแรกเท่านั้นแหละ

พรวดดดดดดดดด!!! 

น้ำถูกพ่นใส่หน้าฟีโอดอร์โดยที่เธอไม่ได้ตั้งใจ

“ขะ…ขอโทษค่ะพี่ฟีโอดอร์…นายเอาน้ำอะไรมาให้ฉันกินเนี่ย โคตรเปรี้ยวเลย!” เธอหันไปหารอฟีอัสที่เป็นคนซื้อน้ำมาให้

“ก็เธอบอกว่าอยากได้แบบสร่าง ๆ ฉันเลยจัดน้ำมะนาวเพียวมาให้เธอไง”

“นี่มันไม่มีน้ำตาลเลยด้วยซ้ำนะยะ!”

“แต่มันก็ได้ผลนี่ตอนนี้เธอหายมึนแล้วใช่ไหมล่ะ ถึงได้มีแรงมาเถียงฉัน”

เออว่ะ…หายจริงด้วย…

“ถ้าทุกคนหายเหนื่อยกันแล้วผมว่าพวกเราควรเดินทางกันต่อนะ”

“งั้นกระผมจะนำทางไปเองขอรับกระผมรู้สึกว่าเราควรตามสะเก็ดแสงไปที่ถนนฟิฟธ์ อเวนิว”

“อะไรที่ทำให้นายคิดว่าราชรถจะไปทางนั้นล่ะ เจ้าขโมยจะไปแวะช็อปปิ้งงั้นเหรอ?”

“อะไรก็เกิดขึ้นได้ ทีเธอยังระเบิดรถตั้งแต่วันแรกที่เดินทางเลยไม่ใช่หรือไง?”

“อย่ามาตอกย้ำย่ะ!” เอโลอิสคิดว่าตัวเองจะลืมเรื่องนั้นไปแล้วเชียวให้ตายเถอะ

ทุกคนเริ่มการออกเดินทางอีกครั้งโดยการเดินตามเคอร์ติสไป ตอนนี้ทุกอย่างฝากความหวังไว้ที่นกกระทาเพียงตัวเดียวเพราะสมองของทุกคนตอนนี้แบลงก์มากไม่รู้ว่าจะไปทางไหนนี้ พวกเขาเดินทางเข้าสู่ถนนฟิฟธ์ อเวนิวย่านช็อปปิ้งที่สุดแทนจะตระการตา แต่รู้สึกได้เลยว่าอากาศมันร้อนกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด บางทีราชรถอาจผ่านมาทางนี้จริง ๆ ก็ได้ แม้ว่าเอโลอิสอยากจะแวะดูของมากเพียงใดก็ต้องห้ามใจตัวเองเอาไว้เพราะทำให้ทุกคนเสียเวลากันมามากพอแล้ว เดินกันมาได้สักพักก็พบเข้ากับเบาะแสบางอย่างบริเวณมุมถนน…สะเก็ดแสงอีกแล้ว!

“ทุกคนขอรับ ดูนั่น!” 

ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองจุดหมายที่พวกเขาหยุดอยู่

“เดอะเพนนินซูลา” เอโลอิสอ่านป้ายที่ติดตัวเบอเร่อหน้าอาคาร

“โรงแรมงั้นเหรอ?”

“มันจะเป็นโรงแรมห้าดาวหรือเปล่า?” ฟีโอดอร์ตั้งข้อสงสัย

“ฉันก็ไม่รู้ แต่มันก็ดูหรูหราหมาเห่ามากเลยนะ สภาพพวกเราคงไม่น่าเข้าไปได้…” 

เอโลอิสมองดูสารรูปการแต่งตัวของเธอและคนอื่น ดูไม่เข้าข่ายคนมีเงินกันเลยสักนิด ออกจะมอมแมมด้วยซ้ำจากการเดินทางและการต่อสู้ ในขณะที่ทุกคนกำลังลังเลที่จะเข้าไปด้านในก็ดูเหมือนจะมีพนักงานของโรงแรมเดินเข้ามาหาพวกเขา ทำให้เคอร์ติสต้องรีบกระโดดเข้าไปหลบในกระเป๋าเป้ของเอโลอิส

“ยินดีต้อนรับสู่เดอะเพนนินซูลา นิวยอร์กครับคุณลูกค้า ไม่ทราบว่ามากันที่ท่านครับ?” พนักงานที่ดูสุภาพเข้ามาต้อนรับพวกเดมิก็อดที่ยังคงยืนงงอยู่ด้านนอก

“เอ่อพวกหนูไม่มีเงินหรอกนะคะ” เอโลอิสตอบไปตามตรงโรงแรมหรูขนาดนี้เธอไม่มีปัญญาจ่ายแน่

“คุณพอจะเห็นคนคันสีแดง ๆ ผ่านมาแถวนี้บ้างไหมครับ” ฟีโอดอร์เริ่มเปิดประเด็นถาม

“ผมต้อนรับลูกค้าวันละหลายร้อยคนเลยไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ามีรถคันที่คุณลูกค้าถามผ่านมาทางนี้ไหม เอาไว้ทางเราจะสอบถามจากเด็กรับรถให้นะครับ ก่อนอื่นเชิญดื่มเวลคัมดริ้งค์จากเราก่อน”

พูดจบก็มีหนักงานอีกคนถือถาดเครื่องดื่มมาจำนวนสามแก้ว แม้ใจนึงเหล่าเดมิก็อดจะอยากปฏิเสธเพราะพวกเขาเพิ่งดื่มมา แต่ด้วยแรงกดดันจากพนักงานรอบตัวก็เลยจำใจต้องจิบดื่มกันคนละนิดคนละหน่อยที่แปลว่าหมดแก้ว…เพราะมันโคตรจะอร่อย!แบบที่ไม่เคยดื่มมาก่อน

“ดื่มเสร็จแล้วทีนี้คุณจะบอกได้หรือยังว่ารถ—” ยังพูดไม่ทันจบรอฟีอัสก็ถึงกับร่วงสลบลงไปกองกับพื้น

“รอฟีอัส รอฟีอัส! นายเป็นอะไรหรือเปล่า! พี่ฟีโอดอร์มาช่วยที!” เธอหันไปหาฟีโอดอร์ก็พบว่าอีกฝ่ายก็สลบไปแล้วเช่นกัน

เอโลอิสพยายามรวบรวมสติเธอไม่รู้ว่าความรู้สึกในตอนนี้ของเธอมันคือการมึนม้าหมุนหรือว่าเป็นเพราะเครื่องดื่มที่เพิ่งดื่มไปภาพตรงหน้าค่อย ๆ เลือนรางหายไป สุดท้ายก็กลายเป็นดำมืดและเธอก็ไม่ได้สติอีก…












แสดงความคิดเห็น

God
+2 ตื่นรู้จากการพิชิตมิโนทอร์ครั้งแรก  โพสต์ 2024-5-22 13:58
โพสต์ 65780 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2024-5-21 23:47
โพสต์ 65,780 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ทักษะยิงธนู  โพสต์ 2024-5-21 23:47
โพสต์ 65,780 ไบต์และได้รับ +2 EXP +7 ความกล้า จาก สัมผัสกับดัก  โพสต์ 2024-5-21 23:47
โพสต์ 65,780 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก กลศาสตร์  โพสต์ 2024-5-21 23:47

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2024-5-24 00:20:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด










“คุณเอโลอิสขอรับ…”

เสียงใครกัน?...

“คุณเอโลอิสขอรับ…”

ทำไมเสียงมันอยู่ใกล้จัง…

“คุณเอโลอิสขอรับ…ได้ยินกระผมไหมขอรับ?”

เอโลอิสค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ เธอพยายามปรับโฟกัสสายตามองดูโดยรอบ สถานที่แห่งนี้ดูไม่คุ้นเคย เหมือนจะเป็นห้องเก็บของหรืออะไรสักอย่าง ก่อนที่จะเพิ่งมาสังเกตว่าเคอร์ติสเกาะอยู่ที่บริเวณไหล่ของเธอพยายามปลุกให้เธอตื่นขึ้นมา

“เคอร์ติส…”

“คุณเอโลอิส! ฟื้นแล้วเหรอขอรับ”

“ที่นี่ที่ไหน?” เธอหันไปถามเคอร์ติสและพยายามเรียกสติตัวเอง

“เราอยู่กันในห้องเก็บของโรงแรมขอรับ พวกนั้นเอาคุณเอโลอิสมาเก็บไว้ที่นี่ พอพวกนั้นออกไปกระผมเลยรีบออกมาจากกระเป๋าขอรับ”

“ฉันหลับไปนานแค่ไหนแล้ว?”

“หลับข้ามวันเลยขอรับ กระผมเรียกอยู่หลายทีก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นสักทีนึกว่าจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วเสียอีก”

“แล้วคนอื่นล่ะ?” เธอถามขึ้นหลังจากที่มองไปรอบ ๆ แล้วไม่พบใครนอกจากเธอกับนกกระทา

“กระผมไม่รู้ขอรับ เขาบอกว่าคุณเอโลอิสดูไม่ค่อยฉลาดไม่มีประโยชน์ก็เลยเอามาทิ้งไว้นี่ก่อน บอกจะมาจัดการทีหลัง”

“แรงมาก!” ที่ว่าไม่ค่อยฉลาดนั่นคืออะไรกัน!

“ยังแรงไปเหรอขอรับ! กระผมอุตส่าห์เลี่ยงคำว่า ‘โง่’ ให้แล้วนะขอรับ ปรับเปลี่ยนคำจากที่พวกมันพูดให้ซอฟต์ลง”

“เคอร์ติส…นายไม่ได้หลอกด่าฉันอยู่ใช่ไหม?”

“ไม่ได้หลอกด่าแน่นอนขอรับ! กระผมไม่กล้าด่าคุณเอโลอิสหรอกขอรับเพราะคุณเอโลอิสเป็นลูกพี่ของกระผม และถ้าสมมุติจะต้องด่าจริง ๆ ด่าว่าควายยังสงสารควายเลยขอรับ”

“เคอร์ติสนายด่าฉันเหรอ!”

“กระผมไม่ได้ด่าคุณเอโลอิสนะขอรับ กระผมแค่สมมุติสถานการณ์ขึ้นมาเฉย ๆ”

“อ๋อแล้วไป…” ค่อยโล่งใจหน่อย(?)

“เพราะถึงแม้ว่าคุณเอโลอิสจะดูไร้สาระไม่มีแก่นสาร…ชอบทำให้คนอื่นเสียแผน…พาคนอื่นมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก…เลือกช้อยส์ได้ห่วยแตก…อ้วกก็เหม็น…แต่ก็เป็นลูกพี่ที่น่ารักของกระผมเสมอ—”

“พอ ๆ ไม่อยากฟังนายพูดแล้ว! ยิ่งพูดฉันยิ่งดูแย่ ฉันว่าเราออกไปจากที่นี่ดีกว่า”

พอเอโลอิสจะลุกขึ้นก็เพิ่งสังเกตว่าตัวเองโดนมัดไว้ทั้งมือและเท้า ดีนะไม่ปิดปากอีก…ก่อนอื่นคงต้องหาทางแก้มัดตัวเองให้ได้แล้วถึงจะเริ่มออกตามหาคนอื่น ๆ ซึ่งไม่รู้ว่าจะยังอยู่ในโรงแรมแห่งนี้หรือเปล่า

“มึนหัวชะมัด พวกนั้นเอายาอะไรให้กินเนี่ย” ช่วงนี้มีแต่เรื่องทำให้มึนหัวทั้งโดนอาม่าตบหัว เจอม้าหมุนนรกแตก แถมยังมาเจอยานี่อีกร่างกายของเธอยังรับไหวได้ยังไงกันนะ 

“กระผมก็ไม่รู้ขอรับ แต่คงอร่อยมาก เพราะคุณเอโลอิสดื่มหมดแก้วเลย”

“ไม่ต้องย้ำ!” ก็เพราะดื่มนั่นแหละก็เลยต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้

“เชือกค่อนข้างหนาเลยขอรับ ลำพังจงอยปากของกระผมอย่างเดียวคงไม่แข็งแรงพอที่จะจิกให้เชือกขาดได้” อันที่จริงเคอร์ติสได้ลองพยายามจิกดูแล้วตอนที่เอโลอิสยังไม่ฟื้น แต่เชือกหนาเกินไปจึงไม่เป็นผล

“ในห้องนี้พอจะมีของมีคมบ้างไหม?”

“กระผมจะเดินสำรวจให้ขอรับ”  เคอร์ติสกระโดดลงจากตัวของเอโลอิสแล้วเตรียมที่จะสำรวจ

ยังไม่ทันที่เคอร์ติสจะได้เริ่มออกหาของเสียงตุ้บตั้บจากด้านนอกก็ดังขึ้นเหมือนกำลังมีใครต่อสู้กันอยู่ด้านหน้า เสียงดังโครมครามอยู่สักพักจากนั้นก็เงียบลง เคอร์ติสวิ่งมาหลบด้านหลังของเอโลอิสเกรงว่าจะมีคนมาพบตัวมันเข้าแล้วจะขังมันอีกตัว ถ้าเป็นแบบนั้นคงหมดหนทางช่วยเอโลอิสอย่างแน่นอน ทั้งสองมองออกไปที่ประตูอย่างลุ้นระทึกว่าคนที่จะเปิดเข้ามานั้นเป็นใคร 

แอ๊ดดดดดดดดด

ประตูถูกเปิดเข้ามาด้วยความเบามือ ก่อนร่างที่ปรากฏจะเป็นฟีโอดอร์ที่ลากร่างอันไร้สติของรัสเซียสองคนเข้ามาด้านในด้วยเพื่อไม่ให้เกิดพิรุธที่ด้านนอก 

“พี่ฟีโอดอร์มาที่นี่ได้ยังไงคะ!” เอโลอิสตกใจนิดหน่อยที่สภาพของเขายังดูปกติดีไม่ได้ถูกมัดไว้แบบเธอ

“พอดีได้ยินพวกรัสเซียบอกว่าจับผู้หญิงโง่คนนึงมาไว้ที่ห้องนี้จะรอเผาทิ้งพร้อมขยะเปียก ผมก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นคุณก็เลยมาดู”

“เอ๊ะ? ทำไมแปลก ๆ” เธอควรดีใจไหมนะที่ได้ยินว่าเขามาช่วยเพราะเหตุนี้

“ปลอดภัยดีใช่ไหมครับ?”

“ค่ะ แค่ถูกมัดไว้ แล้วพี่รอดมาได้ยังไงคะ?”

“เขาคิดว่าผมตายแล้ว…บุตรของคิโอเน่ร่างกายจะเย็นราวกับศพ ผมคิดว่าเหตุผลนั้นตอนที่สลบไปเขาเลยคิดว่าผมคงเป็นศพไปแล้วก็เลยเอาร่างผมไปซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้า”

“ตู้เสื้อผ้า?” ทำไมต้องเอาไปไว้ในตู้เสื้อผ้ากัน?

“คิดว่าห้องนั้นน่าจะเป็นห้องกบดานของพวกรัสเซีย เขาคงกะว่าจะรอกำจัดพร้อมคุณล่ะมั้ง ผมก็เลยใช้จังหวะเผลอจัดการพวกนั้นจนหมดสติแล้วตรงมาที่นี่”

“อย่างน้อยพี่ก็โดนกำจัดเพราะคิดว่าตายไปแล้ว ส่วนฉันจะโดนกำจัดเพราะเหมือนขยะเปียกสินะ…” สองมาตรฐานสุด ๆ!

“อยู่นิ่ง ๆ นะ” ฟิโอดอร์พูดจบก็หยิบมีดที่ขโมยมาจากร่างของชายรัสเซียมาเลื่อยตัดเชือกของเอโลอิสทั้งมือและขาจนขาด ปลดปล่อยเธอเป็นอิสระอีกครั้ง

“ขอบคุณค่ะ ว่าแต่รอฟีอัสอยู่ไหนคะ?” 

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“งั้นเรามัดเจ้าพวกนี้ไว้ก่อนเถอะ ก่อนที่พวกมันจะฟื้นขึ้นมา”

“หรือจะให้ผมเก็บเลยดี?” ฟีโอดอร์พูดพร้อมเอามีดไปจ่อคอร่างไร้สติของชายชาวรัสเซีย

“จะบ้าเรอะ! เดี๋ยวตำรวจก็ได้มาตามจับกันพอดี ฉันยังไม่อยากมีชื่อในประวัติอาชญากรรมนะคะ ยังไม่พร้อมให้หมอตังค์กับพี่ฟาโรห์เอาเรื่องฉันกับพี่ไปเล่าออกยูทูป!” การฆ่าคนธรรมดาตายแค่คิดก็ไม่อยากแล้ว บ้านเมืองมีกฎหมายถ้าฆ่าคนมันง่ายขนาดนั้น ป่านนี้ฆาตกรคงเกลื่อนเมือง

“งั้นก็ได้” เขาเก็บมีด จากนั้นก็เดินไปหาเชือกในห้องเก็บของมาทำการมัดทั้งสองคนเอาไว้ ส่วนเอโลอิสก็เอาเทปมาปิดปากทั้งคู่ไว้จะได้ไม่ส่งเสียงดัง คิดไปคิดมาเธอโชคดีที่ว่ามันไม่ได้ปิดปากของเธอเอาไว้ คงคาดไม่ถึงว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาก่อนที่พวกมันจะมาจัดการ

“เรียบร้อย เราไปตามหารอฟีอัสกันเถอะค่ะ”

“ขืนออกไปสภาพนี้ต้องโดนจับได้แน่ ๆ เลยนะขอรับ” เคอร์ติสพูดท้วงขึ้นมา

“แล้วจะให้ทำไงล่ะ?”

“ปลอมตัวก่อนดีไหมขอรับ ห้องเก็บของมีเครื่องแบบพนักงานที่รอซักรีดอยู่ด้วย” ไม่พูดเปล่าเคอร์ติดยังกระโดดไปบนกองเสื้อที่ยังไม่ได้ซักให้ทุกคนเห็น

เอโลอิสกับฟีโอดอร์หันมามองหน้ากันด้วยความไม่แน่ใจ ไม่ใช่ว่าไม่เห็นด้วยกับไอเดียปลอมตัวหรอกนะ แต่เสื้อพวกนั้นยังไม่ได้ซักต่างหากที่ห่วง! สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็ต้องจำใจเอาชุดมาสวมไว้ โดยฟีโอดอร์สวมชุดเบลบอยพนักงานยกกระเป๋า ส่วนเอโลอิสได้ชุดพนักงานทำความสะอาด เพราะมีแค่ชุดเดียวที่เป็นชุดของผู้หญิง

“ชุดพวกนี้เหม็นอับชะมัด ได้กลิ่นก็รู้เลยว่ายังไม่ได้ซัก” เอโลอิสดมฟุดฟิดไปที่เครื่องแบบที่ตัวเองสวม

“พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่ครับรีบออกไปดีกว่า” ฟีโอดอร์ที่ไม่อยากเสียเวลาให้เจ้าพวกรัสเซียสองคนนั่นตื่นเลยรีบชวนเอโลอิสให้รีบออกไปด้านนอก

ทั้งสองเดินเข็นรถเข็นอุปกรณ์ทำความสะอาดออกมาเพื่อที่จะให้เคอร์ติสหลบอยู่ด้านใน ตอนนี้แผนการเป็นไปได้ด้วยดี ไม่มีใครสงสัยในตัวของพวกเขาเลยสักนิด ตอนนี้เป้าหมายของทั้งคู่คือการตามหาตัวรอฟีอัสให้เจอไม่รู้ว่าพวกรัสเซียเอาเขาไปไว้ที่ไหนกันแน่ และเพื่อการตามหาก็คงต้องแวะดูทุกชั้นเท่าที่จะเป็นไปได้ เอโลอิสก็เลยใช้วิธีเข้าไปทำความสะอาดห้องของลูกค้า ในระหว่างที่เข้าไปด้านในแต่ละห้องก็ตามหารอฟีอัสไปด้วย เหมือนว่าชั้นที่เธออยู่จะไม่มีเบาะแสของรอฟีอัสเลย จึงทำการขึ้นลิฟต์เพื่อหายังชั้นอื่น ๆ อีกหลายชั้นแต่ก็ไม่ได้เบาะแสอะไรเลย เพิ่มเติมคือทำความสะอาดห้องจนกล้ามจะขึ้นอีกลูกแล้ว

“เหลืออีกกี่ชั้นนะ…” เธอหันไปพูดกับฟีโอดอร์ที่อยู่ในลิฟต์ด้วยกัน

“อีกไม่กี่ชั้นก็จะถึงดาดฟ้าแล้วล่ะ” เขาตอบเธอ

“ขืนเป็นแบบนี้ทั้งโรงแรมคงได้สะอาดด้วยฝีมือคุณเอโลอิสแน่เลยขอรับ” 

“ก็นั่นน่ะสิ!”

ทั้งสามคนสนทนากันได้ไม่นานประตูลิฟต์ก็เปิดออก เคอร์ติสกระโดดขึ้นไปหลบในหมวกพนักงานของฟีโอดอร์ ก่อนที่จะมีลูกค้าของโรงแรมเดินเข้ามาด้านในจากนั้นก็ทักฟีโอดอร์ในเครื่องแบบเบลบอยเพื่อที่จะให้กดลิฟต์ให้

“ชั้นที่ยี่สิ—”

ยังไม่ทันที่ลูกค้าจะพูดจบเอโลอิสและฟีโอดอร์ก็เดินสวนออกไปจากลิฟต์แบบไม่ทันได้สนใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ลูกค้าคนนั้นพูดคืออะไร ปล่อยให้ลูกค้ายืนงงในลิฟต์เป็นไก่ตาแตกว่าแบบโรงแรมห้าดาวแบบนี้ให้บริการแบบใด?

“ฉันจะขอสำรวจชั้นนี้เป็นฉันสุดท้ายนะ ทำความสะอาดไม่ไหวแล้ว ขนาดทำลวก ๆ ยังรู้สึกเลยว่าเหนื่อย”

เอโลอิสเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องพักอีกห้องหนึ่ง เธอลงมือเคาะประตูสองสามทีเพื่อเช็คว่ามีลูกค้าอยู่ในห้องไหม โดยปกติถ้าเคาะแล้วไม่มีถึงจะเข้าไปด้านใน ไม่ต้องถามเลยว่าเข้าไปในห้องได้ไง ฟีโอดอร์มีสกิลการงัดห้องเป็นถึงอดีตสายลับเรื่องพวกนี้ไม่ได้ยากเกินมือของเขาเลย เพียงแค่เขาเลือกที่จะไม่บอกเอโลอิสเรื่องอาชีพเก่า แค่บอกว่าเคยฝึกการงัดแงะมาบ้างก็เท่านั้น

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

แอ๊ดดดดดดดดดดด

ห้องนี้มีคนอยู่แฮะ…ลูกค้าเปิดประตูออกมาดูว่าใครมาเคาะประตูแล้วก็พบว่ามีแม่บ้านกับเบลบอยมายืนอยู่ที่หน้าห้อง พอเอโลอิสเห็นว่ามีลูกค้าอยู่ก็เลยว่าจะไม่รบกวนแล้วจะไปค้นห้องอื่นต่อแต่ก็ดันโดนลูกค้ารั้งไว้เสียก่อน

“ขอโทษค่ะคุณลูกค้า เดี๋ยวฉันไปทำห้องอื่นก่อ—”

“เดี๋ยว! ห้องน้ำกำลังสกปรกเลยมาช่วยขัดส้วมในห้องให้หน่อยจะได้ไหม?”

“ดะ…ได้ค่ะ” ด้วยความที่ไม่กล้าขัดลูกค้าเลยจำใจต้องเข้าไปด้านใน ฟีโอดอร์ก็ทำท่าว่าจะตามเข้ามาด้านในแต่ดันโดนลูกค้าเบรกไว้

“เดี๋ยวสิ! นายเป็นเบลบอยไม่ใช่เหรอ เกี่ยวอะไรด้วย?” ในขณะที่สถานการณ์หน้าห้องกำลังตึงเครียดจู่ ๆ ก็มีเสียงจากด้านในตะโกนออกมา

“%^&#*%^? (ใครมาวะ?)” นี่มันภาษารัสเซียนี่นา!

“$@%^*&$ %^%(@%&*&*&@#%^? (แม่บ้านมา แต่มีเบลบอยน่าสงสัย จัดการเลยดีไหม?” 

ฟีโอดอร์ที่เป็นคนรัสเซียอยู่แล้วฟังออกทุกคำที่พูดส่วนเอโลอิสก็ล้วงหน้าเข้าไปขัดส้วมแล้ว เขาไม่รอให้ใครมาจัดการเขาทั้งนั้น บทเรียนข้อแรกถ้าใครพูดว่าจะมาจัดเรา เราต้องจัดให้มันก่อนเลย ฟีโอดอร์ปล่อยหมัดเข้าหน้าชายรัสเซียก่อน หลังจากที่พวกด้านในได้ยินเสียงก็กรูกันออกมา แต่เพื่อไม่ให้รบกวนผู้เข้าพักห้องอื่นเขาจึงรีบเข้ามาด้านในแล้วปิดประตู เอโลอิสโผล่หัวออกมาจากห้องน้ำ เมื่อรู้ว่าหมี่เหลืองแล้วววววววว! เลยออกมาช่วยตะลุมบอนกับแก๊งรัสเซีย

“หาตัวตั้งนานพวกแกเนี่ย ปล่อยให้ฉันทำความสะอาดห้องอื่นจนมือจะเปื่อยหมดแล้ว!” เธอปล่อยหมัดไปที่หน้ารัสเซียอีกคน

“เบา ๆ ขอรับ…” เสียงเคอร์ติสดังออกมาจากหมวกของฟีโอดอร์ให้ทุกคนลดเสียงลงหน่อยเพื่อไม่ให้ห้องอื่นผิดสังเกต

“ช่วยไม่ได้นะ…” ฟีโอดอร์เดินไปหยิบแอปเปิ้ลที่วางบนโต๊ะมายัดปากรัสเซียคนละลูกไม่ให้เสียงดัง แล้วจึงทำการจัดหนักต่อ

ทั้งเอโลอิสและฟีโอดอร์โดนพวกรัสเซียตามล่ามาตลอดหลายวันเลยพอจะเข้าใจสเต็ปการต่อสู้ของเหล่าพวกลูกกระจ๊อกที่เหมือนโดนฝึกมาจากสำนักเดียวกัน สเต็ปเหมือนกันเปี๊ยบจนพวกเขารู้แนวทาง เลยสามารถหลบการต่อสู้ได้ และโค่นพวกมันในห้องหมดได้ในเวลาไม่นานนัก ทั้งสองคนทำการจับทุกคนในห้องมัดด้วยผ้าปูที่นอนโรงแรม แล้วดึงแอปเปิ้ลออกจากปากรัสเซียคนหนึ่งพร้อมเค้นข้อมูลของรอฟีอัสจากปากของมัน

“พวกนายเอาเพื่อนฉันไปไว้ที่ไหน?”

“ไม่บอกโว้ย!”

“เคอร์ติส!” เอโลอิสทำการเรียกเคอร์ติดออกมา มันกระโดดออกมาจากด้านในหมวกของฟีโอดอร์ แต่ยังคงคอนเซปต์ไม่พูดภาษาคนออกมาในที่สาธารณะ

“กระท๊าาาาา!”

“นกกระทามันร้องแบบนี้เหรอ?” รัสเซียหันมาถามเอโลอิส

“ฉันก็ไม่รู้…แต่นั่นไม่สำคัญ ถ้าพวกนายไม่บอกว่าเพื่อนของฉันอยู่ที่ไหน นายคงไม่อยากรู้แน่ว่าเจ้านกกระทาตัวนี้จะทำอะไรกับพวกนายได้บ้าง”

“เออ…ไม่อยากรู้…” ตัดบทกันเฉยเลย!

“ช่วยอยากรู้หน่อยได้ไหม ฉันไปต่อไม่ได้!” เธอหันไปบอกเจ้าคนรัสเซีย

“เออ! อยากรู้ก็ได้ว่ามา! น่ารำคาญจริงเชียว!” ในใจของรัสเซียก็แอบคิดว่าปล่อยให้มันเล่นหน่อยก็ได้วะ…

“ถ้านายไม่ยอมปริปากพูดเรื่องเพื่อนของฉันล่ะก็ เจ้านกกระทาตัวนี้น่ะเป็นนกนักกินเจ้าโลก มันจะจิกน้องชายของแกกินสด ๆ อย่างทุกข์ทรมาน วะฮะฮ่า!”

พอถึงประโยคนี้เคอร์ติสถึงกับหันหน้าไปมองเอโลอิสด้วยสายตาที่สื่อนัยยะว่า ‘ไม่ถงไม่ถามความสมัครใจของกระผมเลยเหรอขอรับ’ มันทำหน้าเลิ่กลั่ก นกกระทาอย่างเคอร์ติสนั้นเป็นสัตว์กินพืช ถึงจะกินแมลงกินหนอนอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่าหนอนที่ว่าต้องไม่ใช่หนอนนี้!

“เลอะเทอะ!” แน่นอนว่าพวกรัสเซียไม่เชื่อเรื่องนั้นอยู่แล้ว

“กระท๊าาาาาาาาาา!!!” เคอร์ติสทำการ YOLO จากหนอนน้อยอิมพอร์ตจากรัสเซียไปหนึ่งที ถ้าได้เห็นหน้าของมันตอนนี้ก็คือฝืนใจสุด โชคดีที่มีกางเกงกั้นไม่งั้นมันจะไม่ยอมทำอะไรแบบนี้แน่

“อ๊ากกกกกกกกกกก!” เอาจริงมันไม่ได้จิกเจ็บขนาดนั้นหรอก ออกจะเบาด้วยซ้ำเพราะเคอร์ติสเองก็ไม่กล้า แต่คนเรามีน้องชายแค่อันเดียวย่อมตีโพยตีพายไว้ก่อน ตอนแรกเอโลอิสเกือบจะเอาแอปเปิ้ลยัดปากมันไว้อีกทีแล้วแต่ดูท่าทางว่ามันอยากจะบอกอะไรบางอย่าง

“เป็นไงล่ะ นี่แค่น้ำจิ้มนายคงไม่อยากเจอของจริงหรอก!” 

เคอร์ติสก็ไม่อยากทำจริงเช่นกัน…

“บะ…บอกก็ได้…!”

“ว่ามา!”

“อยู่กับบอส…”

“บอสงั้นเหรอ? หมายถึงบอสที่เป็นหัวหน้าใหญ่น่ะเหรอ?”

“เออ!”

“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน?”

“ที่ดาดฟ้า…”

“บอสของพวกนายคือใครน่ะ”

“บอสของพวกฉัน คือ—”

“ไม่เอาดีกว่า อย่าเพิ่งบอก เจ้ารอฟีอัสอยากรู้เรื่องนี้มาตลอดแล้วก็โดนขัดตลอดเช่นกัน ฉันไม่อยากรู้ตัดหน้าเจ้าหมอนั่น เดี๋ยวจะพาลมานอยด์ฉัน”

“ก็แล้วแต่…”

“โอเคข้อมูลครบแล้ว พี่ฟีโอดอร์จัดการกันเถอะค่ะ”

ฟีโอดอร์พยักหน้าแล้วช่วยกันกับเอโลอิสใช้สันมือสับที่หลังคอรัสเซียแต่ละคนจนสลบไป ตอนนี้พวกเขาไม่น่ามีประโยชน์แล้ว ที่เหลือก็แค่ต้องเดินทางขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วตามหารอฟีอัส เผชิญหน้ากับบอส เค้นถามเรื่องราชรถ แล้วเอาไปคืนเทพอะพอลโล จากนั้นก็กลับแคมป์ ฮูเร่! จบปิ๊ง

“โล่งอกที่กระผมไม่ต้องทำแบบนั้น…” เคอร์ติสพูดอย่างโล่งอกหลังจากพวกรัสเซียสลบไปได้

“อย่าห่วงเลยฉันไม่ให้นายทำจริงหรอก แล้วฉันก็ไม่คิดเลยว่านายจะจิกหนอนเจ้านั่นจริง ๆ รู้ไหมว่าฉันหน้าเหวอเลยนะแต่ต้องรีบเปลี่ยนสีหน้าเพื่อเก็บอาการ”

เคอร์ติสถึงกับนิ่งไปเลยเมื่อรู้ว่าเอโลอิสไม่ได้คิดจะให้ทำจริง แต่เป็นเคอร์ติสเองที่ทำลงไปแล้วแม้จะน้อยนิดก็เถอะ…

“เอาน่าถือว่าฟาดเคราะห์ ออกจากห้องนี้กันเถอะ”

ทั้งสามเดินออกจากห้องพัก ก่อนจะรีบตรงปรี่ไปยังลิฟต์และเข้าไปด้านใน ในขณะที่ลิฟต์กำลังจะปิดก็มีลูกค้าคนหนึ่งตะโกนเข้ามาบอกให้รอด้วยเพราะจะโดยสารลิฟต์ไปด้วยกัน แต่เอโลอิสไม่อยากจะเสียเวลาอีกแล้วเลยทำการกดลิฟต์รัว ๆ แรง ๆ ให้รีบปิดหนีลูกค้าคนนั้นไป แล้วก็สำเร็จ!

“เกือบไปแล้วไหมล่ะ ถ้าลูกค้าคนนั้นเข้ามาด้วยคงต้องเสียเวลา—”

กึกกกกก!

ลิฟต์ค้าง…

ไม่รู้เป็นเพราะตะกี๊เอโลอิสกดลิฟต์แรงเกินไปหรือเปล่าพอลิฟต์ออกตัวไปได้ครึ่งทางเลยกลายเป็นว่ามันรวนจนค้างไปเสียอย่างนั้น ตอนนี้ทั้งสามกำลังติดอยู่ในลิฟต์อย่างช่วยไม่ได้บรรยากาศแบบนี้มันต้อง…

“อะสิบ ยี่สิบ อะสามสิบ สี่สิบ อะสิบ ยี่สิบ อะสามสิบ สี่สิบ ผมชอบขึ้นรถ ผมชอบขึ้นเรือ ผมชอบขึ้นเหนือ…”

“ผมชอบขึ้นลิฟต์”

“อะสิบ ยี่สิบ อะสามสิบ สี่สิบ อะสิบ ยี่สิบ อะสามสิบ สี่สิบ ผมชอบลงรถ ผมชอบลงเรือ ผมชอบลงเหนือ…”

“ผมก็ชอบลงลิฟต์”

“อะสิบ ยี่สิบ อะสามสิบ สี่สิบ อะสิบ ยี่สิบ อะสามสิบ สี่สิบ ผมชอบติดรถ ผมชอบติดเรือ ผมชอบติดเหนือ…”

“ผมไม่ชอบติดลิฟต์”

“อะสิบ ยี่สิบ อะสามสิบ สี่สิบ อะสิบ ยี่สิบ อะสามสิบ สี่สิบ ผมชอบออกรถ ผมชอบออกเรือ ผมชอบออกเหนือ…”

“ผมจะออกจากลิฟต์”

“อะสิบ ยี่สิบ อะสามสิบ สี่สิบ อะสิบ ยี่สิบ อะสามสิบ สี่สิบ ผมช่วยคนจน ผมช่วยคนรวย ช่วยผมด้วยยย !!!...”

“ผมติดอยู่ในลิฟต์!!!”









แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 65591 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2024-5-24 00:20
โพสต์ 65,591 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ทักษะยิงธนู  โพสต์ 2024-5-24 00:20
โพสต์ 65,591 ไบต์และได้รับ +2 EXP +7 ความกล้า จาก สัมผัสกับดัก  โพสต์ 2024-5-24 00:20
โพสต์ 65,591 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก กลศาสตร์  โพสต์ 2024-5-24 00:20
โพสต์ 65,591 ไบต์และได้รับ +3 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก ธนู  โพสต์ 2024-5-24 00:20
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2024-5-29 18:42:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด









บางทีเอโลอิสก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าการตามหาราชรถที่ไม่ควรจะเป็นอะไรที่ยากนัก ทำไมถึงได้มีอุปสรรคมากมายถึงเพียงนี้ เธอและเพื่อนร่วมทีมพบเจอเรื่องสุดพีคไม่เว้นแต่ละวันจนบางทีก็แอบคิดว่าคำพยากรณ์ที่ได้รับมามันบอกหมดหรือไม่ หรือว่าแท้จริงแล้วในตอนท้ายอาจจะมีต่อว่าทุกคนสู่ขิตกลับบ้านเก่าอะไรทำนองนั้นน่ะ

“นานแล้วนะ ทำไมไม่มีคนมาช่วยสักที โรงแรมระดับนี้มันต้องรีบแก้ไขให้เร็วที่สุดไม่ใช่เหรอตอนลิฟต์ค้างน่ะ” โรงแรมหรูเบอร์นี้ถ้าเกิดเหตุการณ์ลิฟต์ค้างก็ไม่น่าปล่อยไว้นาน มันทำให้เอโลอิสอดสงสัยไม่ได้ว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่

“นั่นสิครับ พวกเราติดมานานจนน่าจะเป็นวันแล้วมั้ง…” ฟิโอดอร์ก็ไม่แน่ใจว่าด้านนอกมันกี่โมงแล้ว เขาและเอโลอิสพยายามกดปุ่มติดต่อคนด้านนอกแต่ไม่ได้รับการตอบรับใด ๆ นาฬิกาก็ไม่มีทำให้ไม่รู้วันรู้คืน

“บางทีอาจเป็นฝีมือของเจ้าพวกนั้นก็ได้นะขอรับ พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโรงแรมนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่ขโมยราชรถไหม”

“ถ้ามันรวยขนาดนั้นซื้อรถขับเองก็ได้ไหม ไม่ต้องมาขโมยราชรถก็ได้”

“แต่มันคุณสมบัติไม่ได้เหมือนกับรถทั่วไปนี่ขอรับ ราชรถพระอาทิตย์ให้แสงสว่างแก่โลก”

“เจ้านั่นคงหิวแสงมากสินะ”

“ตอนนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรผมที่คิดเราควรจะหาทางออกจากลิฟต์นี่ก่อนนะครับ อย่าลืมสิว่าตอนนี้รอฟิอัสยังหายตัวไป แถมไม่รู้ด้วยว่าจะอยู่ที่ดาดฟ้าตามที่ได้ข้อมูลมาหรือเปล่า”

“จริงด้วยขอรับ” พูดจบทั้งฟีโอดอร์และเคอร์ติสก็หันมามองเอโลอิสด้วยสายตาที่คาดหวังจนเอโลอิสรู้สึกได้

“อะไร?” เธอเลิกคิ้วถาม เจ้าสองคนนี้ต้องการอะไรจากเธอกัน?

“คุณมีพลังกลศาสตร์ไม่ใช่เหรอ?” ฟีโอดอร์เริ่มเปิดประเด็นถาม

“แล้วไงเหรอคะ?”

“ก็ทำไมไม่ใช้พลังของคุณซ่อมลิฟต์ล่ะ?”

“มีพลังน่ะมี แต่ไม่มีเครื่องมือช่างจะซ่อมได้ยังไงล่ะคะ” 

กลศาสตร์เป็นความสามารถแรก ๆ เลยที่เอโลอิสคิดจะใช้ในยามคับขันอย่างเช่นตอนติดลิฟต์แบบนี้ แต่ปัญหาก็คือกระเป๋าของเธอถูกลืมไว้ในรถเข็นอุปกรณ์ทำความสะอาด ตอนที่ได้ข้อมูลเรื่องรอฟีอัสกับตัวการใหญ่ก็เลยรีบไปหน่อยทิ้งรถเข็นแล้วพากันขึ้นลิฟต์มาจนมาติดกันอยู่ในลิฟต์ตอนนี้

“แบบนี้ก็แย่แล้วล่ะขอรับ”

“งั้นนายลองบินขึ้นไปดูด้านบนไหมเคอร์ติส?”

“นกกระทาอย่างกระผมถนัดเดินมากกว่าบินนะขอรับบินสูงขนาดนั้นกระผมเกรงว่าจะบินไม่ไหว” ตอนนี้เอโลอิสเริ่มคิดแล้วว่าทำไมพ่อของเธอไม่ส่งอินทรีมาให้เธอกันนะ?

ขณะที่ทุกคนกำลังมืดแปดด้านอยู่ในลิฟต์อากาศด้านในก็เริ่มน้อยลงทุกที เหมือนสวรรค์จะนึกสงสารอยู่บ้าง เสียงดังขึ้นจากบนเพดานลิฟต์ทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นไปมอง เคอร์ติสเองที่คิดว่าอาจมีใครมาก็เลยกลับขึ้นไปหลบด้านในหมวกของฟีโอดอร์อีกครั้ง เสียงดังก๊อกแก๊กอยู่พักหนึ่งก่อนช่องเพดานของลิฟต์จะถูกเปิดออกมา หัวของใครบางคนโผล่ออกมาจากช่องนั้น

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด ผี!” เอโลอิสรีบลุกจากจุดที่เธอนั่งอยู่ไปหลบอยู่ด้านหลังของฟีโอดอร์

“มีใครเป็นอะไรไหม?” เสียงเจ้าของศีรษะถามขึ้น

“อ้าว…ไม่ใช่ผีนี่!”

“โวยวายอะไรแสบแก้วหูไปหมด นี่พนักงานซ่อมลิฟต์ในนี้มีกันกี่คน?”

“สองคนครับ” ฟีโอดอร์ตอบออกไป 

“ตอนนี้ลิฟต์มันอยู่ระหว่างชั้นเราไม่สามารถให้พวกคุณออกทางหน้าประตูลิฟต์ได้ในตอนนี้ ฉันเป็นหนึ่งในทีมช่างขอเข้าไปด้านในด้วยได้ไหมเพื่อทดสอบระบบนิดหน่อย”

เข้ามาทำไมวะ? แล้วจะถามทำไมกัน?

“อ๋อ เชิญค่ะ” เอโลอิสยังคงงง ๆ อยู่ว่าช่างจะเข้ามาติดลิฟต์ด้วยกันทำไม

“เดี๋ยว!” ฟีโอดอร์พูดขัดขึ้นเหมือนเขารู้สึกไม่ไว้ใจช่างสักเท่าไหร่

“อะไรกันคุณนี่เสียเวลาช่างนะ!” ช่างคนนั้นบ่น

“ผมว่าคุณพาเราขึ้นไปบนเพดานได้ไหม?” ฟีโอดอร์ถามช่างเหมือนเขามีแผนการอะไรบางอย่างในใจ

“จะขึ้นไปทำไมกันคุณ?” 

“ก็คุณลงมายังไงพวกผมก็จะขึ้นไปแบบนั้นนั่นแหละ” 

ณ จุดนี้สายตาของทั้งฟีโอดอร์กับช่างซ่อมลิฟต์จ้องกันแบบไม่มีใครยอมใครดูแล้วเอโลอิสได้แต่มองทั้งสองคนแบบสลับกันไปมา ช่างคงอยากจะตัดรำคาญเลยยอมทำตามเงื่อนไขของฟีโอดอร์ เขายื่นมือลงมาเพื่อจะดึงคนในลิฟต์ขึ้นไป

“งั้นผู้หญิงขึ้นมาก่อน” ช่างหันมาทางเอโลอิส

“ไม่!” ฟีโอดอร์ขัดขึ้นมาอีกครั้ง “ให้ผมขึ้นไปก่อนแล้วผมจะช่วยเพื่อนของผมขึ้นมาเอง”

“อะไรของพี่เนี่ย?” เอโลอิสกระซิบฟีโอดอร์เมื่อเขามีท่าทีแปลก ๆ มาตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว ใจคอเขาจะไม่ให้เลดี้เฟิร์สเลยเหรอ แบบว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเอโลอิสจะเป็นคนที่ถูกทิ้งอยู่ในลิฟต์นี้คนเดียวหรือยังไงกัน

“ผมไม่ไว้ใจเขาหรอกนะ ถ้าเกิดเอาคุณขึ้นไปก่อนแล้วมันเล่นตุกติกผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้ แต่ถ้าผมขึ้นไปก่อน เกิดอะไรขึ้นยังไงผมก็น่าจะรับมือได้แล้วช่วยคุณได้ทีหลัง” ฟีโอดอร์กระซิบกลับ

“จะคุยซุบซิบกันอีกนานไหม? เวลาเป็นเงินเป็นทองนะจะได้ซ่อมลิฟต์ต่อรีบขึ้นมาเร็ว!”

ฟีโอดอร์พยักหน้าก่อนจะยื่นมือส่งไปให้ช่างที่ห้อยตัวลงมาครึ่งตัวเพื่อดึงเขาขึ้นไปเป็นคนแรก เมื่อฟีโอดอร์ขึ้นไปด้านบนได้แล้ว เขาก็เป็นคนยื่นมือขึ้นมารับเอโลอิสขึ้นไปอีกคนจนสำเร็จ ตอนแรกเอโลอิสแอบกังวลเล็กน้อยว่ามันจะมืดเพราะเธอสายตาไม่ดีนักในตอนกลางคืนแต่พอจึ้นมายืนบนหลังคาลิฟต์ได้สำเร็จก็พบว่ามันมีไฟส่อง คงจะเป็นเพราะเรื่องการซ่อมแซมนี่แหละ 

“เราจะขึ้นไปด้านบนนั้น” ช่างชี้ช่องประตูลิฟต์ที่ถูกเปิดอ้าไว้ซึ่งสูงพอสมควรจากจุดที่ทุกคนยืนอยู่ เดาว่าน่าจะเป็นประตูลิฟต์ของชั้นดาดฟ้าหรือชั้นใกล้เคียงกัน

“เราจะขึ้นไปได้ยังไงคะ จะให้ปีนสลิงลิฟต์เหรอ?” เอโลอิสถามขึ้นเพราะดูแล้วก็ไม่ได้มีอุปกรณ์หรือเครื่องมืออะไรที่พาขึ้นไปได้เลย

“ที่สำคัญกว่านั้น ในเมื่อไม่มีอุปกรณ์อะไรเลยที่จะทำให้พวกเราขึ้นไปได้…แล้วคุณลงมาในนี้ได้ยังไง?” ฟีโอดอร์ถามช่างเสียงเข้ม

เออจริง!… มันลงมาได้ไงน่ะ…

เสียงหัวเราะหึหึดังออกมาจากปากของช่างก่อนที่จะเริ่มมีปีกงอกออกมาตามแขนของช่างซ่อมลิฟต์จนกลายร่างเป็นอสุรกายในที่สุด แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแต่อย่างใด เหล่าเดมิก็อตคือเหยื่อที่มันพร้อมที่จะกลืนกินต่างหาก

“นี่มันฮาร์ปี้นี่!”

“รู้มากนักนะเจ้าพวกเดมิก็อดเอ๋ย กลิ่นของพวกแกมันช่างดึงดูด จงเป็นมื้ออร่อยของฉันเสียเถิด!”

“กินเนื้อพวกฉันแล้วมันจะทำให้เป็นอมตะหรือไง? พวกฉันไม่ใช่พระถังซัมจั๋งนะ!”

ฟีโอดอร์ไม่อยากพูดอะไรให้มากความเขาชักปืนออกมาจากกระเป๋ากางเกง ช่างเป็นคนที่รอบคอบจริง ๆ แม้เปลี่ยนเครื่องแบบแต่ก็ไม่ได้ลืมของแบบเอโลอิส เขาเป็นมืออาชีพกว่ามาก ปืนนัดแรกถูกยิงออกไปแต่ฮาร์ปี้ก็บินหลบได้แม้ช่องลิฟต์จะไม่ได้มีพื้นที่ให้หลบหลีกมากนักมันเริ่มบินขึ้นไปด้านบน แน่นอนว่าฟีโอดอร์คงไม่ยอมให้มันบินไปตัวเดียวแน่ เขาเกาะขาของมันข้างนึงแล้วตะโกนบอกให้เอโลอิสทำเช่นกัน

“อย่ามัวแต่ยืนบื้อนะคุณ เกาะเขาอีกข้างมันไว้แน่นเตรียมเหินฟ้า”

เอโลอิสที่ทำตัวไม่ถูกก็เลยตัดสินใจเกาะขาของฮาร์ปี้อีกข้างอย่างแน่น เจ้าฮาร์ปี้บินขึ้นสูงมันพยายามจะสลัดเหล่าเดมิก็อดออกจากของของมันให้ร่วงลงไปด้านล่าง ทว่าเดมิก็อดทั้งสองเกาะแน่นอย่างกับตุ๊กแก ฮาร์ปี้บินขึ้นสูงจนถึงชั้นที่ประตูลิฟต์เปิดอยู่ จังหวะนั้นเองฟีโอดอร์ก็ตะโกนให้สัญญาณกับเอโลอิส

“หาจังหวะแล้วโดดนะ”

“โดดงั้นเหรอ?!” เธอแทบจะไม่เชื่อหูของตัวเอง ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะกระโดดถึงไหม

“ผมจะนับถึงสามแล้วคุณก็โดดโอเคไหม?”

“กะ…ก็ได้”

“สาม!!!” 

“แล้วหนึ่งกับสองไปไหน!” เมื่อได้ยินสามเจ้าฮาร์ปี้ที่พยายามสลัดขาก็แกว่งขาไปใกล้ประตูลิฟต์พอดีเอโลอิสจึงรีบกระโดดออกไปหวังจะกลิ้งออกประตูลิฟต์ไปแบบเท่ ๆ แต่สกิลของเธอมันไม่มากขนาดนั้นกะจังหวะพลาดไปสุดท้ายเลยได้เกาะขอบพื้นประตูลิฟต์ห้อยโต่งเต่งอยู่แบบนั้น เธอไม่กล้ามองลงไปด้านล่างด้วยซ้ำ มันคงจะสูงน่าดู ฟีโอดอร์เห็นท่าว่าจะไม่ดีเขาเลยใช้ทักษะที่มีมากกว่าแม่สาวผมแดงกระโดดผ่านประตูลิฟต์ไปได้อย่างสวยงามแล้วหันมาอีกอกฮาร์ปี้หนึ่งทีจนมันร่วงลงไปในช่องลิฟต์ แล้วจึงมาช่วงดึงเอโลอิสขึ้น

“ฉันเกาะจะไม่ไหวแล้ว…” มือหนึ่งของเอโลอิสลื่นเพราะเหงื่อจึงหลุดออกจากขอบลิฟต์เหลือเพียงมือเดียว

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!”

“เอามือยื่นมาจับผมไว้!” 

ฟีโอดอร์ยื่นมือให้เอโลอิส เธอรวบรวมความกล้าออกแรงยื่นมือด้านที่เพิ่งร่วงหลุดไปจับมือของฟีโอดอร์ไว้ ส่วนมือข้างที่เกาะขอบอยู่ก็โดนฟีโอดอร์คว้าข้อมือไว้ได้ เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มีดึงเธอขึ้นมาจากช่องลิฟต์ได้สำเร็จ ดูเหมือนนี่จะไม่ใช่ชั้นดาดฟ้าแต่เป็นชั้นรองลงมา

“คุณโอเคไหม?”

“ค่ะพี่ ฉันโอเค…”

ทุกอย่างเหมือนจะกลับมาสู่สถานการณ์ปกติแต่ไม่เลย! ฮาร์ปี้ที่โดนยิงอกมันยังไม่ตายและใช้โอกาสในขณะที่ฟีโอดอร์หันหลังมาดูอาการเอโลอิส ใช้กรงเล็บเท้าจับฟีโอดอร์เหวี่ยงกระแทกกำแพงจนเขาล้มลงไป

“พี่ฟีโอดอร์!!!” 

เอโลอิสร้องลั่นจนไปสะดุดความสนใจของฮาร์ปี้ให้มุ่งมาทางเธอแทน ในเมื่อไม่มีอาวุธสิ่งเดียวที่ทำได้คือหลบ! เธอพยายามหลบกรงเล็บของฮาร์ปี้ในทุกครัังที่มันพุ่งเข้ามาหา โดยพลาดท่าได้แผลข่วนที่แขนไปหนึ่งเพราะมีดอกหนึ่งที่หลบไม่ทัน เจ้าฮาร์ปี้คิดว่าเป็นที่ของมันแล้วเลยจะจัดการเอโลอิสก่อนเป็นศพแรกให้สิ้นเรื่องไป

“คุณรับนี่ไป!” 

ฟีโอดอร์สไลด์ปืนที่พื้นไปให้กับเอโลอิส เธอรีบคว้ามาไว้ในมือแล้วทำการลั่นไกไปที่หัวใจของมัน เสียงกรีดร้องดังลั่นฮอลล์หากแต่ไม่มีใครได้ยินเพราะมนุษย์ทั่วไปไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของอสุรกาย ร่างของฮาร์ปี้แหลกสลายเป็นผุยผง เอโลอิสมือไม้อ่อนไปหมดหลังจากที่กำจัดฮาร์ปี้ไปได้ หัวใจเธอแทบจะวายแม้จะเคยกำจัดฮาร์ปี้มาแล้วหลายตัว เจ้านี่มันถึกกว่าตัวอื่น ๆ มากเลยเหมือนว่าเป็นพวกที่ระดับสูงกว่า

“คุณเอโลอิสยังไหวไหมขอรับ?” เคอร์ติสวิ่งออกมาจากหมวกของฟีโอดอร์เพื่อมาดูอาการลูกพี่ของตัวเอง

“ฉันไม่เป็นไรหรอกแผลแค่นี้ไม่นานก็หาย พวกเราไปกันเถอะ” 

ฟีโอดอร์พยุงตัวเองให้ลุกขึ้น แล้วจึงไปช่วยพยุงเอโลอิสลุกขึ้นอีกแรง ทั้งสองพร้อมด้วยเคอร์ติสพากันเดินไปที่บันไดหนีไฟเพื่อขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้าของโรงแรม โดยปกติแล้วดาดฟ้าของโรงแรมมักจะเป็นโซนที่ทุกคนมาดื่มมาดริงค์กัน น่าแปลกที่วันนี้ไม่มีลูกค้าเลยสักคน กลับกันดันมีบุรุษปริศนานั่งเต๊ะท่าเท่ ๆ อยู่คนเดียวโดยมีลูกสมุนยืนขนาบข้างสองคน แถมใส่หน้ากากอีกต่างหาก

“ไม่นึกเลยว่าพวกแกจะรอดมาถึงที่นี่ได้” ชายปริศนาสวมหน้ากากแสยะยิ้ม

“นายใช่ไหมที่เป็นคนส่งพวกรัสเซียนั่นมาเล่นงานเรา?” เอโลอิสถามออกไป

“ทหารพวกนั้นถูกฝึกมาอย่างดีเพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่กลุ่มเด็กติงต๊องพวกนี้ยังจะพลาดท่าได้” 

“พวกเราต้องขอโทษด้วยครับหัวหน้า ครั้งหน้าพวกเราจะแก้ไข—” ลูกสมุนคนหนึ่งยังพูดไม่ทันจบชายปริศนาก็ลุกจากเก้าอี้มาถีบยอดอกจนกลิ้ง

“มันน่าโมโหนัก เรื่องแค่นี้ก็ยังทำไม่ได้!”

“เพื่อนของพวกเราอยู่ที่ไหน?” ฟีโอดอร์เริ่มเปิดประเด็นถาม

“เพื่อนงั้นเหรอ?” สำหรับชายปริศนาคนนี้คำว่าเพื่อนคงไม่ใช่สิ่งที่เขาคุ้นเคยนัก สำหรับเขาแล้วไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวรหรอก

“ใช่! ถึงจะทะเลาะกันบ่อย ๆ แต่ก็เพื่อนนั่นแหละ บอกมาได้หรือยังว่านายจับหมอนั่นไปไว้ที่ไหน?” 

“เอาเจ้าเด็กนั่นมาซิ!” 

ชายปริศนาหันไปบอกลูกสมุนให้นำตัวของรอฟีอัสมา ไม่นานนักรอฟีอัสที่ถูกมัดมือไว้ก็ถูกมาตัวมา และดูเหมือนว่าจะยังไม่เกิดอะไรขึ้นกับเขาเลยนอกจากแค่ถูกมัดเอาไว้เพียงเท่านั้น

“ฉันรู้ว่าพวกแกคงไม่ใช่เด็กธรรมดาแน่ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถเอาชนะกองทหารของฉันได้ ใช่ไหมล่ะเจ้าพวกเดมิก็อด…”

“นายรู้ด้วยเหรอ?” เอโลอิสรู้ได้ทันทีว่าชายปริศนาคนนี้อาจเป็นลูกเทพสักองค์

“ทำไมจะไม่รู้ในเมื่อฉันเองก็เป็นแบบพวกแก มีแต่พวกแกนั่นแหละที่อาจไม่รู้ว่าฉันคือใคร…”

“ทำตัวลึกลับ สวมหน้ากากตลอดเวลาเหมือนฮีโร่…ฉันรู้ว่านายคือใคร…” เอโลอิสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมันจะเป็นใครไปได้อีกไม่ผิดตัวแน่

“เธอรู้จักฉันงั้นเหรอ?” เขากระตุกยิ้มที่มุมปาก

“ก็คิดว่าอะนะ”

“พูดออกมาสิ…ชื่อของฉัน…ถ้าเธอรู้ว่าฉันคือใคร” ไม่นึกเลยว่าชื่อของเขาจะกระฉ่อนจนทำให้เดมิก็อดค่ายอื่นก็รู้จักเยียงนี้

“อินทรีแดง”

“หึหึ ใช่…เดี๋ยว!....อะไรนะ?!” ชายหนุ่มถึงกับเหวอเมื่อได้ยินชื่อที่สาวเจ้าพูดขึ้นมา

“โรม ฤทธิไกร หรือที่รู้จักกันในนามอินทรีแดง!”

“ไม่ใช่โว้ย!!!” ชายหนุ่มถึงกับกรอกตามองบนก่อนจะหันไปหาสองหนุ่มเดมิก็อดที่ยืนอยู่ด้วยกัน

“นี่พวกแกเอายัยนี่มาร่วมทีมได้ยังไงเนี่ย!”

“เธอเป็นหัวหน้าทีม” รอฟีอัสทำหน้าเอือมระอาเหมือนรู้อยู่แล้วว่าเอโลอิสจะต้องตอบอะไรโง่ ๆ ออกมา เขาชินแล้วล่ะ

“...” ชายหนุ่มปริศนาถึงกับนิ่งไปเลยเหมือนว่าสมองเขากำลังประมวลผล เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอคนแบบนี้

“นายก็บอกชื่อจริงของนายมาเลยเถอะน่า ก่อนที่จะได้ชื่ออื่นอีก ใครจะรู้ชื่อต่อไปอาจเป็นหน้ากากแอคชั่นก็ได้” รอฟีอัสบอกไปแบบตัดรำคาญ

“เกลียดจริงคนรู้ทัน” เอโลอิสบุ้ยปาก นั่นเป็นสิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่พอดีแท้ ๆ

“บอกให้เอาบุญก็ได้ ยังไงเสียวันนี้ก็คงเป็นวันตายของพวกแกอยู่แล้วจะได้เอาไปบอกพวกในยมโลกตอนข้ามแม่น้ำสติกซ์ว่าใครเป็นคนฆ่าพวกแก!”

“แล้วจะบอกได้ยังคะ?” เอโลอิสที่รอฟังอยู่ถามขึ้น เจ้าหมอนี่มันบ้าน้ำลายชะมัดเลย

“นามของฉันคือดีมิทรี นาวิคอฟ บุตรแห่งเทพเปรุน” เขาแนะนำตัวด้วยความภาคภูมิใจ

“ชื่อโหลชะมัดเลย…”

“ว่าไงนะ?!” ดีมิทรีแทบจะกัดฟันกรอดเมื่อได้ยินคำพูดของเอโลอิส

“ทำไมคนรัสเซียถึงชอบตั้งชื่อว่าดีมิทรีด้วย? คนรัสเซียร้อยคนชื่อดีมิทรีไปแล้วร้อยห้าสิบ พวกนายไม่คิดงั้นเหรอ?” เอโลอิสหันไปถามรอฟีอัสกับฟีโอดอร์ที่เป็นคนรัสเซียเหมือนกัน

“ยัยเด็กบ้านี่! ฉันชักจะเหลืออดกับแกแล้วนะ คนอย่างแกควรตายไปตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ รอดมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไงกัน บอกแล้วใช่ไหมว่าให้เอาไปเผารวมกับขยะเปียกน่ะ!” เขาหันไปบอกกับสมุน

“นี่คนโว้ย! ไม่ใช่ขยะ” 

พอเอโลอิสพูดจบดีมิทรีก็กระดิกนิ้วเรียกลูกสมุนของตัวเองให้ทำอะไรบางอย่าง ลูกสมุนพวกนั้นพยักหน้าก่อนจะถือแกลลอนน้ำมันมาสาดใส่เอโลอิส ดีมิทรียิ้มเยาะเมื่อเห็นร่างของเอโลอิสเต็มไปด้วยน้ำมัน แถมเพื่อนทั้งสองก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเข้ามาช่วยแม่สาวคนนี้เลยแม้แต่น้อย

“ทำบ้าอะไรเนี่ย?” เอโลอิสขมวดคิ้ว ก่อนหันไปทำหน้าตึงใส่เจ้าดีมิทรีตอนนี้ตัวเธอเหม็นน้ำมันไปหมดแล้ว

“เผาขยะยังไงล่ะ ลาก่อนยัยขยะเปียก…” พูดจบดีมิทรีก็เปิดซิปโป้จุดไฟแล้วโยนไปที่เอโลอิสจนไฟลุกท่วมทั่วตัว ดีมิทรีหัวเราะด้วยความสะใจเพราะคิดว่าในที่สุดก็สามารถกำจัดยัยขยะเปียกได้เสียที เขายืนดูร่างของเธออย่างใจจดใจจ่อว่ามือไหร่จะมีเสียงกรีดร้องหรือล้มสิ้นใจไปเสียที

“จะหัวเราะอีกนานไหมห๊ะ?” เอโลอิสถามขึ้น เธอยืนกอดอกอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่แม้ไฟจะท่วมตัวแต่ร่างกายเธอก็ไม่ไหม้เลยสักนิดเดียว

“อะ…อะไรน่ะ! แกเป็นตัวอะไรกันแน่” ดีมิทรีถึงกับตกใจเมื่อพบว่าไฟไม่สามารถทำอะไรสาวน้อยผู้นี้ได้

“โกสไรเดอร์มั้ง? จะดับไฟให้ฉันได้หรือยังเผาให้ตายฉันก็ไม่ตายหรอก มีแต่นายนั่นแหละที่จะตายก่อน” 

“ตัวเธอไม่ไหม้ไฟหรอก ดับไฟเถอะก่อนที่นายจะโดนไฟลวกเสียเองน่ะ” รอฟีอัสหันไปพูดกับดีมีทรี นั่นเป็นสาเหตุที่เขาและฟีโอดอร์ไม่คิดเข้าไปช่วยตอนที่เอโลอิสโดนไฟเผา เพราะยังไงเอโลอิสก็ไม่สามารถโดนไฟแผดเผาได้ กลับกันถ้าเขากับฟีโอดอร์เข้าไปช่วยอาจโดนไฟไหม้เสียเองมากกว่า

“มามะ...มากอดกัน” 

เอโลอิสที่ไฟท่วมตัววิ่งเข้าหาดีมิทรีหมายจะเข้าไปกอดให้ไหม้ไฟไปด้วยกัน พวกลูกสมุนเห็นท่าจะไม่ดีเลยเอาถึงดับเพลิงมาพ่นใส่ตัวเอโลอิส เกรงว่ายัยเด็กคนนี้อาจทำให้เจ้านายของพวกเขาได้รับอันตรายจากการเผาไหม้ ในที่สุดไฟก็ดับลงแลกมากับเอโลอิสที่กลายเป็นกุ้งชุบแป้งทอดตัวขาวโพลน

“เลิกเล่นเป็นเด็ก ๆ ได้แล้วยัยเด็กบ้า!” ดีมิทรีรวบรวมพลังสายลมรอบตัวเป็นก้อนพลังงานซัดใส่เอโลอิสจนกระเด็นไถลไปกับพื้น

“คุณเอโลอิสขอรับ!” เคอร์ติสรีบวิ่งไปดูอาการของเอโลอิส

ฟีโอดอร์เห็นดังนั้นก็เลยชักปืนออกมา แต่ก็โดนพลังลมปัดปืนกระเด็นและโดนมวลลมซัดเข้าไปอีกคนจนไถลไปอยู่ที่เดียวกับเอโลอิส ดีมิทรีแสยะยิ้มอีกครั้งก่อนที่จะเริ่มรวบรวมพลังลมให้มีมวลใหญ่กว่าเดิมหมายจะซัดเข้าไปซ้ำอีกลูกใส่ทั้งสองคนแต่โดนรอฟีอัสเบรกไว้เสียก่อน

“นายนี่เก่งแต่กับคนที่อ่อนแอกว่าสินะ…”

“ว่าไงนะ?” ดีมิทรีหยุดชะงักก่อนหันไปมองรอฟีอัส

“ทำไมนายไม่มาสู้กับคนที่อยู่ระดับเดียวกันล่ะ”

“แกเนี่ยนะระดับเดียวกับฉัน ฉันเป็นถึงบุตรของเทพเปรุน เทพแห่งสายฟ้า ท้องนภาและสงคราม เดมิก็อดกระจอก ๆ อย่างพวกแกจะทำอะไรฉันได้”

“นายคงจะลืมไปสินะว่าฉันคือบุตรแห่งเทพซุส”

คำพูดนั้นเบนความสนใจของดีมิทรีได้ดี เขาสลายมวลกลุ่มก้อนลมในมือทันที

“ก็ได้…งั้นแกกับฉันมาสู้กัน ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าบุตรแห่งเทพซุสคนดังจะแน่สักแค่ไหน ถอนมัดมัน!” ดิมีทรีหันไปสั่งให้ลูกน้องคลายเชือกที่มัดรอฟีอัสเอาไว้เพื่อให้มาเผชิญหน้ากันอย่างสมศักดิ์ศรี

“ไม่ได้นะรอฟีอัสมันอันตราย!” เอโลอิสตะโกนไปหารอฟีอัส

“เงียบไปเลยยัยบ้าเธอไม่เชื่อใจฉันหรือยังไงกัน?”

คำพูดนี้ของรอฟีอัสทำเอโลอิสสะอึกไปเล็กน้อย เธอกลับมาคิดว่าแท้จริงแล้วเธอเคยไว้ใจเจ้าหมอนี่มากน้อยแค่ไหน

“ผมว่าเราต้องเชื่อใจรอฟีอัส ลำพังสภาพเราสองคนตอนนี้คงไม่อาจต่อกรกับดิมิทรีได้” ฟีโอดอร์หันไปพูดกับเอโลอิส

“กะ…ก็ได้! รอฟีอัสฉันเชื่อใจนาย! ห้ามแพ้นะ! เตะก้นมันซะ!” เอโลอิสตัดสินใจที่จะลองเชื่อรอฟีอัสดูสักครั้ง ในใจก็แอบนึกเป็นห่วงว่าเขาจะไหวไหม แต่ตอนนี้เธอคงทำได้เพียงแค่เชื่อมั่นในศักยภาพของรอฟีอัส เขาเป็นถึงเด็กต้องห้ามพลังของเขาย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

รอฟีอัสและดีมิทรียืนประจันหน้ากันทั้งสองเริ่มการต่อสู้นี่เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีเพราะต่างคนต่างเป็นลูกของเทพสายฟ้าทั้งคู่ และเพื่อจะไม่ให้เจ้าดิมิทรีเล่นตุกติกในการต่อสู้ครั้งนี้ ทั้งเอโลอิสและฟีโอดอร์จึงพยายามพยุงร่างตัวเองลุกขึ้นแล้วช่วยกันเคลียร์ที่ทางให้เรียบร้อยโดยการช่วยกันเล่นงานลูกสมุนที่ยังเหลือบนดาดฟ้าโดยงัดหมัด มวยต่าง ๆ ทั้งหมดที่มีฟัดกับลูกสมุนรัสเซียจนทั้งหมดลงไปกองกับพื้นจากนั้นจึงพาร่างที่อิดโรยของกันและกันมาเฝ้าติดตามการต่อสู้ของบุตรแห่งท้องนภาทั้งสองอย่างใกล้ชิดติดขอบสนาม

“มาดูกันว่าแกมันจะสักแค่ไหน” ดีมิทรีรวบรวมมวลพลังลมซัดไปที่รอฟิอัส

“ไม่ได้กินฉันหรอก” ด้วยความที่เป็นบุตรเทพแห่งท้องนภาเหมือนกันพลังวิเศาจึงมีความใกล้เคียงกันรอฟีอัสหลบมวลลมนั้น ก่อนจะซัดมวลลมของตัวเองกลับไปบ้างซึ่งดีมิทรีก็หลบได้เช่นกัน

การต่อสู้ดูจะเป็นไปอย่างยืดเยื้อเพราะทั้งคู่เหมือนจะรู้สเต็ปของกันและนาน มันนานเสียจนเอโลอิสสามารถแวะลงบันไดหนีไฟไปเอากระเป๋าตัวเองในรถเข็นกลับมาได้ แถมยังพกป๊อบคอร์นสองกล่องกลับขึ้นมาบนดาดฟ้าแบ่งให้ฟีโอดอร์กล่องหนึ่งเพื่อให้นั่งจกป๊อบคอร์นดูลูกเทพสายฟ้าตีกันประหนึ่งอยู่ในสนามมวย

ดีมิทรีปล่อยหมัดขวา

รอฟีอัสปล่อยหมัดซ้าย

ก้อนมวลพลังลมซัดใส่กันไปมารัว ๆ

“ฉันขี้เกียจเล่นกับเด็กอย่างแกแล้ว ถึงเวลาของแกแล้ว!”

จู่ ๆ รอบร่างกายของดิมิทรีก็มีออร่าสีแดงเข้มปรากฏขึ้น ผมของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้า มีลมพายุและไฟฟ้าสถิตย์อยู่รอบตัว ตอนนี้พลังของเขาเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แต่รอฟีอัสนั้นก็ยังเลือกที่จะต่อสู้กับดีมิทรีต่อไปนี่อาจเป็นหนึ่งในพลังของบุตรแห่งเทพเปรุนที่บุตรแห่งเทพซุสอย่างเขาไม่มี นอกจากพลังของรอฟีอัสจะไม่สามารถทำอะไรดีมิทรีได้ร่างนี้ได้แล้ว เขากลับโดนสวนกลับไปอย่างแรงจนร่างทรุดลงกับพื้นมาถึงตอนนี้กล่องป๊อบคอร์นของเอโลอิสถึงกับร่วงลงพื้นเพราะลุ้นอย่างหนักว่าเพื่อนของเธอจะรอดจากการต่อสู้ครั้งนี้ได้จริง ๆ น่ะหรือ?

“ฉันไม่มีวันยอมแพ้แกหรอก” 

รอฟีอัสยังคงพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมา แต่ก็โดนดีมิทรีใช้พลังคำรามดุจฟ้าร้องทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงอันหนักอึ้งที่ทำให้รอฟีอัสพยุงตัวเองขึ้นมาลำบากยิ่งขึ้น ไม่ว่าเขาจะพยายามสักเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงกดมากยิ่งขึ้นจนแทบจะทานทนไม่ไหว แรงของเขาในตอนนี้แทบจะไม่มากพอที่จะลุกขึ้นจากแรงกดอันมหาศาลขนาดนี้ได้ด้วยซ้ำไป

“ยอมรับเสียเถอะว่าแกน่ะแพ้แล้ว”

“ไม่! ฉันยังไม่ยอมแพ้!” รอฟีอัสไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

“ฝืนไปก็เท่านั้นพลังของแกตอนนี้แค่จะลุกขึ้นมายืนยังทำไม่ได้เลย เนี่ยน่ะเธอพลังของบุตรแห่งเทพซุสผู้ยิ่งใหญ่ จริง ๆ แล้วก็ไม่เท่าไหร่นี่นา” ดีมิทรียิ้มเยาะ เหมือนว่าแม้แต่บุตรของเทพกรีกที่ว่าแน่ยังไม่อาจต้านทานพลังของบุตรแห่งเทพรัสเซียได้เลยสักนิด

“อย่ามาดูถูกพ่อของฉัน!” ตอนนี้รอฟีอัสเริ่มโมโหแล้ว

“แล้วจะทำไม? ดูสภาพของแกสิ แม้แต่พ่อแกยังไม่กล้าลงมาช่วยด้วยซ้ำ คงจะอับอายสินะที่มีลูกกาก ๆ —”

เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงง!!!

อสนีฟาดลงมาใส่ดีมิทรีอย่างแรงจนเขาล้มลงนอน เจ้าตัวไม่สามารถจะพยุงตัวเองขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ เขารู้แค่เพียงว่านี่เป็นพลังที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน สายฟ้าที่รุนแรงขนาดนี้ผ่าลงมาในครั้งเดียวกลับทำให้เขาไม่สามารถโต้ตอบใด ๆ ได้และบาดเจ็บอย่างหนัก

“นะ…นี่มันอะไรกัน?”

“พลังที่บุตรแห่งเทพเปรุนไม่มียังไงล่ะ”

“นะ…นายทำมันได้ยังไงกัน!”

“ฉันก็ไม่รู้ มันผ่าลงมาเองเมื่อฉันรู้สึกโกรธ ฉันเองก็ไม่สามารควบคุมได้” รอฟีอัสตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบในขณะที่เขาพยุงตัวเองลุกขึ้นหลังจากที่แรงกดสลายหายไปตอนที่ดีมิทรีโดนสายฟ้าฟาด

“นะ…นี่น่ะเหรอ พลังที่แท้จริงของบุตรแห่งเทพซุส…” เขาพูดขึ้นอย่างยากลำบากร่างกายนอนราบไปกับพื้นไม่มีแรงแม้จะลุกขึ้นมา

“นายแพ้แล้วดีมิทรี”

“พะ…แพ้งั้นเหรอ นี่ฉัน..พะ…แพ้เหรอ…” เขาได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้เพราะตนไม่สามารถทำอะไรได้อีก

“กลับไปรักษาเนื้อรักษาตัวซะ จะแก้มือเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้นายบอกมาก่อนว่าเอาราชรถไปไว้ที่ไหน!” ยังไม่ทันจะให้ได้พักหายใจหายคอรอฟีอัสก็เค้นถามถึงราชรถอันเป็นเป้าหมายของภารกิจต่อในทันที

“ระ..รถนั่นน่ะเหรอ…รถที่ฉันตั้งใจเอาไปสร้างภัยแล้งและความร้อนให้ทั่วโลก ยกเว้นรัสเซียบ้านของฉัน รัสเซียถูกมองว่าเป็นศัตรูกับทั้งโลกเป็นผู้ร้าย…แต่ที่นั่น…คนที่นั่นมองว่าฉันเป็นฮีโร่…ฉันต้องการให้ทั้งโลกได้เห็นความสำคัญของรัสเซีย ท้ายที่สุดรถนั่นจะสร้างภัยพิบัติจนทุกประเทศต้องมองรัสเซียเสียใหม่ เขาจะต้องพึ่งพาเรา…เราจะเป็นที่หนึ่ง…”

“พูดพล่ามบ้าอะไรของนายน่ะ นายคิดว่าทำแบบนี้คนจะมองว่าประเทศนายเป็นคนดีหรือยังไง? แล้วนายคิดว่าประเทศนายมีทรัพยากรเลี้ยงคนได้ทั้งโลกงั้นเหรอ? ก่อนจะทำอะไรช่วยใช้สมองไตร่ตรองดูก่อนได้ไหม ฉันว่านายรีบบอกที่ซ่อนราชรถมาเถอะ ท่านเทพอะพอลโลจะได้ช่วยให้เหตุการณ์ทุกอย่างกลับมาปกติเสียที ตอนนี้มันวุ่นวายมากพอแล้ว!” เอโลอิสกล่าวสั่งสอนดีมิทรี เขาไม่ได้โกรธโทษเธอในเรื่องนี้ กลับกันมันทำให้เขาได้เห็นอีกมุมมากกว่าว่ายัยขยะเปียกก็พูดอะไรที่ดูฉลาดได้เหมือนกัน

“นะ…นั่นสินะ…” ดีมิทรีถอนหายใจ “รถนั่นอยู่ไม่ไกลนักจงไปยังชั้นใต้ดิน มันเป็นที่สุดท้ายที่ฉันเห็นมัน…หลังจากที่ฉันฝากให้กับ—” พูดยังไม่ทันจบตาของดีมิทรีก็ปิดลงและนิ่งไป

“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าเขาตายแล้ว!!!” เอโลอิสไม่อยากให้ใครมาตายต่อหน้าต่อตาเธอหรอกนะ

“ใจเย็น ๆ ก่อนคุณ เขาแค่หลับไปเพราะร่างกายอ่อนเพลียจากการต่อสู้ก็เท่านั้น ผมคิดว่าอีกไม่นานลูกน้องของเขาที่เหลือในจุดใดสักแห่งของโรงแรมก็คงมาเอาร่างเขาไปรักษา”

“ค่อยยังชั่วที่ยังไม่ตาย…” เอโลอิสลองเอามือไปอังจมูกของดีมิทรีก็พบว่าเขายังมีลมหายใจอยู่ทำให้เธอโล่งอกเป็นอย่างมาก

“งั้นตอนนี้พวกเราก็ต้องไปตามหาราชรถต่อที่ชั่นใต้ดินสินะ แอบหงุดหงิดเหมือนกันนะเวลาเจอคนพูดไม่ทันจบประโยคเนี่ย” รอฟีอัสถอนหายใจ

“งั้นพวกเราเดินทางกันต่อเถอะขอรับทุกอย่างใกล้จะสำเร็จแล้วสินะขอรับ!” เคอร์ติสพูดขึ้นหลังจากไม่มีบทมานาน

สภาพของทุกคนในตอนนี้ดูมอมแมมและน่วมกันไปทั้งตัว จบเรื่องนี้เมื่อไหร่คงได้พักรักษาตัวให้ฟื้นอีกหลายวันกว่าจะกลับมารับภารกิจหนัก ๆ ได้อีก ฟีโอดอร์แบกร่างของดีมิทรีไปวางนอนบริเวณโซฟาของชั้นดาดฟ้า เขารู้ว่าอีกไม่นานลูกน้องของอีกฝ่ายก็คงจะมา หรือไม่ก็เจ้าพวกที่นอนสลบอยู่นี่ล่ะที่จะฟื้นขึ้นมาช่วย หลังจากเสร็จแล้วทั้งสามก็เดินไปยังบันไดหนีไฟ แค่เห็นก็แทบจะเข่าอ่อนแล้ว ต้องเดินลงบันไดจากชั้นดาดฟ้าไปชั้นใต้ดินเนี่ย!

ขอเป็นลมตอนนี้เลยจะได้ไหม!



รอฟีอัส บาพาเทียร์ เอาชนะ ดีมิทรี นาวิคอฟ











แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 93712 ไบต์และได้รับ 54 EXP!  โพสต์ 2024-5-29 18:42
โพสต์ 93,712 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ทักษะยิงธนู  โพสต์ 2024-5-29 18:42
โพสต์ 93,712 ไบต์และได้รับ +2 EXP +7 ความกล้า จาก สัมผัสกับดัก  โพสต์ 2024-5-29 18:42
โพสต์ 93,712 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก กลศาสตร์  โพสต์ 2024-5-29 18:42
โพสต์ 93,712 ไบต์และได้รับ +3 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก ธนู  โพสต์ 2024-5-29 18:42
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2024-6-2 01:37:02 | ดูโพสต์ทั้งหมด








“ชั้นอะไรแล้ว?”

“ชั้น 10”

“ชั้นอะไรแล้ว?”

“ชั้น 8”

“ชั้นอะไรแล้ว?”

“ชั้น 12”

“เดี๋ยว! ทำไมชั้นมันเพิ่มขึ้นล่ะ?”

“ก่อนหน้านั้นนับผิด…”

“โอ๊ยยยยยย!” 

บทสนทนาตลอดการเดินลงบันไดโรงแรมวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องการถามว่าถึงชั้นอะไรแล้ว จะโทษใครก็ไม่ได้เพราะต้นเหตุที่ทำให้ทุกคนต้องเดินลงบันไดขาลากกันแบบนี้มันก็มีต้นเหตุมาจากการที่เอโลอิสทำลิฟต์โรงแรมค้างนั่นแหละ

“สู้ ๆ กันนะขอรับทุกคน!”

“แล้วทำไมนายถึงกินแรงอยู่คนเดียวเลยล่ะเคอร์ติส!” เอโลอิสหันไปมองเจ้าเคอร์ติสที่ยืนเกาะอยู่บนไหล่ของเธอ มันไม่คิดแม้แต่จะเดินลงบันไดเองเลยด้วยซ้ำ

“บันไดออกจะสูง ขากระผมสั้นนิดเดียวไม่ไหวหรอกขอรับ”

“ชิ!” เอโลอิสเบ้ปากแต่ก็ยังยอมให้เคอร์ติสเกาะไหล่อยู่ดี

ใช้เวลาเดินลงบวกนั่งพักยกเป็นช่วง ๆ ก็กินเวลาอยู่นานจนลงบันไดมาถึงชั้นล็อบบี้ของโรงแรม ตอนแรกคิดว่าจะลงต่อแต่ปรากฏว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกคนหยุดชะงักเมื่อเห็นพนักงานทำความสะอาดของโรงแรมกำลังเอาอะไรบางอย่างไปทิ้ง 

“อ้าวไปไหนมา?”

“ใครไม่รู้มาทิ้งเศษก้อนกรวดไว้แถวหน้าโรงแรมขืนไม่ไปกวาดมาได้โดนผู้จัดการบ่นแน่ นี่โรงแรมห้าดาวนะยะ”

บทสนทนาของสองพนักงานทำความสะอาดทำให้เอโลอิสเบนสายตาของตัวเองไปมองที่ตักผงเพื่อดูก้อนกรวดที่ว่า นี่มันไม่ใช่ก้อนกรวดธรรมดาแล้วแม้คนทั่วไปจะมองว่าเป็นก้อนกรวดก็เถอะ เห็นได้ชัดเลยว่านี่คือสะเก็ดจากราชรถ แสดงว่ามันถูกขับหนีไปแล้ว!

“ไปเจอก้อนกรวดนั่นตรงไหนคะ?” เอโลอิสถามออกไปจนทำให้พนักงานสองคนหันมา

“หน้าโรงแรมตรงใกล้หัวมุมถนน” พนักงานคนหนึ่งตอบออกไปทั้งที่ยังงงว่าจะถามทำไม

“ขอบคุณมากค่ะ” พอได้รับข้อมูลเอโลอิสและคนอื่น ๆ ก็รีบเดินไปทางประตูทางออกโรงแรมเพื่อจะมุ่งหน้าไปตามสะเก็ดราชรถที่อาจพอหลงเหลืออยู่

“เดี๋ยว! จะไปไหน ทำไมไม่กลับไปทำงาน?” เอโลอิสลืมไปเสียสนิทว่าเธอกับฟีโอดอร์ยังคงสวมเครื่องแบบพนักงานของโรงแรมอยู่ก็เลยต้องใช้การแถ

“ตอกบัตรออกเวรแล้วค่ะ” 

“ใส่ชุดพนักงานออกนอกโรงแรมได้ยังไงไปเปลี่ยนชุด เด็กใหม่ใช่ไหมเราเนี่ยไม่รู้เรื่องเลย! เออแล้วตอนนี้ลิฟต์เสียถ้าพรุ่งนี้ยังซ่อมไม่ได้เดินเท้าทำงานนะยะ”

เอโลอิสกับฟีโอดอร์ได้แต่พยักหน้าแล้วยิ้มแห้งเพราะตัวการทำลิฟต์เสียน่ะอยู่ตรงนี้ ทั้งคู่ยืนฟังกันพอเป็นพิธีแล้วพากันไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นชุดเดิมในห้องน้ำ ส่วนเสื้อผ้าเครื่องแบบไม่รู้จะไว้ไหนก็เลยทิ้งไว้ในห้องน้ำนั่นแหละ จากนั้นก็ทิ้งทวนลักลอบเข้าไปจัดการแผงวงจรของโรงแรมสักเล็กน้อยพวกกล้องต่าง ๆ ทำให้เจ๊งให้หมด พอเสร็จทุกคนก็รีบเดินออกจากโรงแรมไปดูตรงมุมถนนที่อยู่ใกล้กับทางเข้าโรงแรมสะเก็ดบริเวณนี้เพิ่งโดนพนักงานกวาดไป ทุกคนพยายามมองไปรอบ ๆ เผื่อว่าจะมีสะเก็ดอื่นอีก

“ดูนั่นสิขอรับ!” เคอร์ติสพบอะไรบางอย่างจึงได้เรียกทุกคน

“นี่มันสะเก็ดของราชรถนี่” 

สะเก็ดอยู่ห่างออกไปอีกไม่ไกลจึงพอจะเดาได้ว่าราชรถอาจจะไปทางนี้ ทุกคนจึงตัดสินใจเดินไปเรื่อย ๆ ตามทางเท้า อยากรู้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วสะเก็ดไฟของราชรถจะไปหยุดอยู่ที่บริเวณไหนกันแน่ ยิ่งเดินไปก็ยิ่งเจอสะเก็ดรายทาง รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่สถานที่รับจอดรถแห่งหนึ่งในแมนฮัตตัน ทุกคนใช้จังหวะเผลอของเจ้าหน้าที่แอบลอบเข้าด้านใน ก่อนที่เอโลอิสจะใช้ทักษะที่ตัวเองมีเดินไปยังตู้แผงไฟอะไรสักอย่างทำการเล่นแร่แปรธาตุเสียบนั่นตัดนี่จนกล้องวงจรปิดในโรงจอดดับหมด เนื่องจากขี้เกียจจะมีปัญหากับพวกตำรวจแล้ว พอเสร็จก็เดินกันไปจนถึงส่วนที่ลึกที่สุดของจุดจอดรถก็พบเข้ากับรถหรูสีแดงเชอร์รี่

“เหมือนสะเก็ดไฟจะหมดอยู่แค่ที่ตรงนี้นะขอรับ”

“หรือว่านี่จะเป็นราชรถพระอาทิตย์?” 

“ก็เป็นไปได้…สมัยนี้คงไม่มีคนขับรถม้าสองล้อกันแล้วล่ะ”

“โอ้โห เทพอะพอลโลขับรถหรูขนาดนี้เลยเหรอ!”

เอโลอิสก็พอจะได้ยินจากคนในค่ายมาบ้างว่าเทพอะพอลโลแปลงราชรถเป็นรถสีแดงแต่ก็ไม่คิดว่าจะขับมาเซราติซะขนาดนี้

“งั้นพวกเรารีบเอารถไปคืนกันเถอะครับ” ขณะที่ทุกคนกำลังจะเอื้อมมือไปแตะรถ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของทุกคน

“พวกเจ้าคิดว่ากำลังทำอะไรกันอยู่!”

ทุกคนหันไปมองด้านหลังปรากฏร่างของสองคนแคระหุ่นล่ำหนวดเคราเฟิ้มและแต่งกายแบบที่มองจากยอดเขาโอลิมปัสยังรู้ว่ามาจากรัสเซีย

“รัก-ยม นี่ใคร?” เอโลอิสถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนแคระทั้งสอง บอสใหญ่ก็เอาชนะแล้วจะอะไรอีก?

“ไม่ใช่รัก-ยมโว้ย!”

“โฟรโด้กับแซมเหรอ?”

“ไม่ใช่ฮอบบิท!”

“ทีเรียน แลนนิสเตอร์?”

“พอ!!!”

“แนะนำตัวเถอะถือว่าขอ…” รอฟีอัสสุดแสนจะเหนื่อยใจ เขาเลยบอกคนแคระทั้งสองเพื่อตัดรำคาญจากการเดาของเอโลอิส

“พวกข้าคือคอซซาเอมและรุสตรอมลีผู้ภักดีต่อท่านดีมิทรี”

“อ๋อ ลูกน้องของอินทรีแดงสินะ เรื่องจบแล้วงั้นพวกเราขออนุญาตเอารถกลับไปส่งเทพอะพอลโลนะ”

“จบงั้นเหรอ? หมายความว่ายังไง?” ดูเหมือนว่าทั้งสองจะไม่รู้ว่าดีมิทรีได้พ่ายแพ้แล้ว

“ก็เจ้าอินทรีแด— เอ่อ ดีมิทรีเจ้านายของพวกนายนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่บนดาดฟ้า เขาแพ้แล้วทีนี้พวกเราไปได้หรือยัง?”

“นายท่านไม่มีทางพ่ายแพ้อย่างแน่นอน”

“ทำไมมั่นใจขนาดนั้น ตอนนี้ดีมิทรีไม่มีแรงสู้ต่อแล้ว พวกนายเป็นอิสระแล้วกลับบ้านกลับช่องไปได้ซะ ศึกจบไปแล้ว”

“ไม่! พวกข้าไม่เชื่อ!”

เจ้าพวกคนแคระนี่จริง ๆ เลย ทำไมถึงได้จงรักภักดีต่อดีมิทรีขนาดนั้น เอโลอิสพยายามจะบอกให้พวกเขากลับบ้านกลับช่องไปเพราะเธอเองก็ไม่ได้อยากมาตีกับเจ้าพวกนี้ ตัวเท่าลูกหมาบางทีเธอก็รู้สึกสงสารอยากให้พวกเขาเป็นอิสระจากเจ้านายที่ดูเหมือนพวกจูนิเบียว เอโลอิสถอดรองเท้าออกมาข้างหนึ่งก่อนจะถอดถุงเท้าแล้วยื่นให้สองพี่น้อง

“อ่ะ ฉันให้ถุงเท้า พวกนายเป็นอิสระแล้ว” มันเป็นวิธีที่ถูกต้องใช่ไหมนะ? เคยเห็นในหนัง

“พวกข้าไม่ใช่ด็อบบี้นะเฟร้ยยยยย!!!”

“หากจะเอาราชรถไปก็ข้ามศพพวกข้าไปก่อน!!!”

“งั้นก็เตรียมตัวตายได้เลย!” 

รอฟีอัสดูท่าจะคันไม้คันมือกว่าเพื่อน แต่ด้วยความที่เขาพึ่งผ่านศึกหนักมาร่างกายเลยไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เอโลอิสกับฟีโอดอร์ก็นึกเป็นห่วง หมอนี่ควรจะพักผ่อนมากกว่า เหนื่อยมาเยอะแล้วควรรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีมากกว่า ฟีโอดอร์จึงได้ห้ามเอาไว้

“อย่าเลยคุณเพิ่งบาดเจ็บจากการต่อสู้มาผมว่าคุณพักดีกว่าที่เหลือพวกผมจัดการเอง”

“กับยัยนี่น่ะเหรอ?”

“ทำไม? ทีฉันยังไว้ใจให้นายสู้กับดีมิทรีคนเดียวเลย นายไม่ไว้ใจพวกเราบ้างเหรอ?”

“...” รอฟีอัสเงียบไปเหมือนกำลังคิดไตร่ตรอง สุดท้ายก็ยอมไปยืนดูอยู่เฉย ๆ ถึงไม่ได้พูดออกมาว่าเขาไว้่ใจทั้งคู่ แต่จากการแสดงออกก็บ่งบอกได้อย่างดีแล้วว่าเขายอมไว้เนื้อเชื่อใจทั้งสองคน

“ถ้าพวกคุณไม่ถอยก็คงต้องเจอกันหน่อย” ฟีโอดอร์หันไปบอกกับคนแคระสองพี่น้อง

“ถึงพวกเจ้าไม่พูด พวกข้าก็จะจัดการพวกเจ้าอยู่ดี!”

คนแคระผู้พี่ที่รู้สึกว่าจะชื่อคอซซาเอมวิ่งพุ่งไปหาฟีโอดอร์ในทันทีพร้อมอาวุธประจำกายของเขา การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้น ส่วนเอโลอิสเองก็ไม่พ้นที่จะต้องเผชิญหน้ากับคนแคระผู้น้อง คือ รุสตรอมลี ที่วิ่งพุ่งมาหาเธออย่างรวดเร็วแล้วถีบเธอแบบไม่สนเลยสักนิดว่าจะเป็นผู้หญิงหรือไม่ นี่สินะ…การปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียม…เอโลอิสลุกขึ้นถ้านับจากการต่อสู้กับอสุรกายมาหลายตนเจ้าคนแคระหลักกิโลนี่ก็ถือว่าแรงเยอะอยู่ แต่สาวสายกล้ามอย่างเธอไม่ยอมให้ใครมาหยามง่าย ๆ แน่นอน 

“ตัวเท่าหลักกิโลเอาแรงมาจากไหนเยอะนักนะ!”

เธอล้วงหาอะไรในกระเป๋าเป้ของตัวเองที่พอจะเอามาเป็นอาวุธได้ด้วยความรวดเร็วหยิบอะไรออกมาได้ก็เอามาใช้ก่อน สิ่งที่ได้มาคือประแจ ก็เลยต้องใช้แจต่อสู้กับคนแคระด้วยความทุลักทุเลดูยังไงก็เสียเปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด

“ฝีมือกระจอกแบบนี้จะเอาอะไรมาชนะข้า!” รุสตรอมลีพูดดูถูกดูแคลนเธอเมื่อเห็นความแก้กังในการต่อสู้ที่ดูแตกต่างจากฟีโอดอร์ที่ดูเชี่ยวชาญในการต่อสู้มากกว่า

“สิ่งหนึ่งที่ฉันได้เปรียบกว่านายน่ะ…” พูดแล้วก็ปีนขึ้นหลังคารถคันหนึ่งในโรงจอด

“ทำอะไรน่ะ…”

“มันจบแล้วรุสตรอมลี…ฉันอยู่บนที่สูงกว่า” ไดอะล็อกนี้คุ้นๆ

“เจ้าประเมินพลังของข้าต่ำไป” แล้วมันก็ต่อบทด้วยนะ…

“อย่าหมายลอง” 

น่าเศร้าที่แม้จะต่อบทอนาคินกับโอบีวันอยู่แต่เจ้ารุสตรอมลีน่าจะลืมตัวไปว่าเขาเป็นคนแคระ ความสูงระดับนี้ด้วยขาสั้น ๆ ของเขายังไงก็กระโดดไม่ถึง เจ้าคนแคระพยายามทำตัวเท่จะกระโดดขึ้นมาดวลกันด้านบนแต่ก็กระโดดไม่ถึงสักที เอโลอิสเลยลงเคราะห์ให้โดยการกระโดดลงมาขี่คอเจ้าคนแคระแล้วเอาประแจเฮดช็อตไปหนึ่งทีจนเจ้าคนแคระสลบไป พอเจ้าคนแคระผู้น้องร่วงแล้ว เธอก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปช่วยฟีโอดอร์ต่อ

“พี่ฟีโอดอร์มันมาช่วยแล้ว…อุ๊ยแม่!” สะดุดขาตัวเองทำประแจหลุดมือกระเด็นไปโดนหัวคอซซาเอมจนหมดสติไปแบบงง ๆ 

“...” ฟีโอดอร์ถึงกับพูดไม่ออกเพราะเขากำลังจะปิดฉากเจ้าคนแคระที่เริ่มอ่อนแรงพอดีแต่ดันโดนเอโลอิสตัดหน้าไป

“เจ็บชะมัดเลย” เอโลอิสที่เพิ่งลงไปจับกบบนพื้นพยุงตัวเองลุกขึ้นได้แผลถลอกมานิดหน่อย

ปร๊อดดดดดดดดด (เสียงดูดน้ำอัดลม)

ทั้งเอโลอิสและฟีโอดอร์หันไปมองต้นเสียง พบว่ารอฟีอัสกำลังจกป๊อบคอร์นดูดน้ำอัดลมอยู่กับเคอร์ติส ภาพเดียวกับตอนที่เธอกับฟีโอดอร์ทำตอนดูรอฟีอัสต่อสู้กับดีมิทรีเป๊ะเลย

“จบแล้วเหรอ ไวจังป๊อบคอร์นยังไม่ทันหมด” รอฟีอัสลุกขึ้นจากพื้นก่อนจะเดินนำไปที่ราชรถ

“เราไปที่รถกันเถอะครับ” ฟีโอดอร์หันไปบอกเอโลอิส

ทุกคนเดินไปที่ราชรถมาเซราติที่จอดอยู่ ตอนนี้ไม่มีอุปสรรคใดมาขวางพวกเขาอีกต่อไป ทันทีที่เปิดประตูรถเข้าไปก็พบว่าด้านในก็มีเสียงเพลงดังออกมาเป็นเพลง The Next Episode ของ Dr. Dre พร้อมเสียงร้องเพลงคลอไปด้วยของ AI ในรถที่ฟังเสียงแล้วเหมือนคนเมาอะไรสักอย่าง โดนมากี่หลุมเนี่ยถามจริง…

“La-da-da-da-dah It's the motherfuckin' D-O-double-G”

“Snoop Dogg!”

“La-da-da-da-dah You know I'm mobbin' with the D-R-E”

“Yeah, yeah, yeah”

“เดี๋ยวนี้ AI ในรถร้องเพลงได้ด้วยเหรอ…”

“อ๋อ กระผมลืมบอกไปเสียง AI ในรถคันนี้เป็นม้าผู้ขับเคลื่อนราชรถขอรับ แต่พอท่านเทพอะพอลโลเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้เป็นรถยนต์ ม้าทั้งหมดจึงอยู่ในรูปของเอไอแทน” เคอร์ติสอธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่าทำไม AI ของราชรถถึงร้องเพลงได้

“ไปโดนตัวไหนมาเนี่ยทำไมเสียงถึงเมาปลิ้นขนาดนี้” รอฟีอัสถามอย่างนึกสงสัย

“พวกเจ้าเป็นครายยยยยยย~” เสียง AI เสียงหนึ่งถามขึ้น

“พวกเราคือทีมภารกิจที่มาตามหาพวกคุณ ไม่ต้องห่วงพวกเราจะพาคุณกลับไปส่งเทพอะพอลโลเอง”

“ภารกิจอารายยยยย เบ๋อออออ?” AI อีกตัวถามขึ้น

“พวกคุณรู้ตัวไหมเนี่ยว่าโดนขโมยมา พวกนั้นทำอะไรพวกคุณหรือเปล่าทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้”

“เจ้าเตี้ยสองคนนั้น เอาอารายใส่ถังน้ำมานนนนนไม่รู้ววววววว เหมือนจะลอยได้เลยยยยยย จะบินนนนนนนน บินนนนนนนนนน~”

“ดูท่าจะคุยไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ รีบพาไปให้เทพอะพอลโลจัดการดีกว่า”

“ลองมา ลองมา ลองมา ลองมา โจ๊ะ พรึม พรึม~” พวกม้าในคราบ AI ยังคงเมาแล้วเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย

“เอาล่ะทีนี้เราจะเอาพวกนี้กลับยังไงดี?” รอฟีอัสถามขึ้น

“งั้นฉันจะลองใช้พลังกลศาสตร์ตรวจสอบวิธีใช้เอง” ยังไม่ทันที่เอโลอิสจะเริ่มตั้งสมาธิม้าอีกตัวก็พูดขึ้นมา

“ม่ายยยยต้องงงงงใช้ พวกเราจาบอกวิธีห้ายยยยยย”

“เอาล่ะบอกมาว่าเราจะพาพวกนายไปได้ยังไง?”

“โสนจายจาขับเอง หรือห้ายพวกเราขับห้ายยยย บรึ้นนนนน บรึ๊นนนนนน~”

สภาพเมาเป๋ขนาดนี้ใครจะไว้ใจให้เจ้าม้าพวกนี้เป็นคนคุมพวงมาลัยกัน มีหวังคงได้ไปโหม่งกำแพงที่ไหนสักแห่งก่อนถึงตึกเอ็มไพร์สเตตแน่ คิดได้ดังนั้นเอโลอิสก็เลยรีบพูดอาสาออกไปอย่างน้อยเธอขับมันก็ดีกว่าม้าขับนั่นแหละ พวงมาลัยซ้ายมันจะแค่ไหนกันเชียว เธอเคยขับมาแล้ว!

“งั้นเดี๋ยวฉันขับเอง”

“ไม่!!!” / “ไม่!!!” ทั้งรอฟีอัสและฟีโอดอร์ค้านพร้อมกัน ภาพจำที่รถระเบิดในวันนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในหัวของทั้งสองคน

“แหม พร้อมเพรียงกันเชียวนะ”

“เดี๋ยวผมขับเอง” ฟีโอดอร์อาสา

“ขอพระคุณ คุณฟีโอดอร์อย่างยิ่งขอรับ!!!” เคอร์ติสพูดออกมาแบบน้ำตาไหลพรากด้วยความปิติเพราะไม่อยากเอาชีวิตน้อย ๆ ไปแขวนไว้กับลูกพี่ตัวเอง

สุดท้ายแล้วเอโลอิสก็ต้องจำยอมกระโดดไปนั่งเบาะหลังกับเคอร์ติส ส่วนฟีโอดอร์นั่งตรงคนขับ รอฟีอัสที่อายุไม่ถึงเลยไม่มีใบขับขี่ก็ต้องนั่งหน้าข้างฟีโอดอร์ รถถูกแล่นออกไปจากลานจอดอย่างง่ายดายไม่มีไม้กันอะไรทั้งนั้นเพราะโดนเอโลอิสเล่นแร่แปรธาตุกับระบบโรงจอดรถจนรวนไปหมดหมดแล้ว ทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังตึกเอ็มไพร์สเตตสถานที่ตั้งของยอดเขาโอลิมปัสเพื่อที่จะเอารถไปคืน ติดปัญหานิดหน่อยตรงที่…

“ว่าแต่ตึกเอ็มไพร์สเตตไปทางไหนเหรอคะ?” เอโลอิสถามฟีโอดอร์

“ไม่รู้…” ฟีโอดอร์ตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งสุขุม

“ห๊ะ!” / “ห๊ะ!” เอโลอิสกับรอฟีอัสอุทานพร้อมกันแทบจะในทันที ก็พอเข้าใจได้ว่าคนรัสเซียอาจไม่ชินทางอเมริกาแต่ท่าทีการขับรถที่มั่นใจแบบนั้นเป็นใครก็คิดว่าไปถูกน่ะสิ!

“ม่ายยยยต้องห่วงงงงง พวกเราเป็นม้า AI เราาจาบอกทางเองงงงง”

“ค่อยยังชั่วมี GPS สินะ แล้วไปทางไหนล่ะ?” เอโลอิสถาม

“ทางขวา” / “ทางซ้าย” / “ทางเหนือ” / “ทางใต้” AI ม้าทั้งที่ตอบพร้อมกันแต่คำตอบไปกันคนละทิศคนละทางแบบสุด ๆ ด้วยฤทธิ์ของยา

“พวกคุณไหวกันไหมเนี่ย ถามจริง?”

“เอาหม่ายยยยย”

 “ทางใต้” / “ทางเหนือ” “ทางซ้าย” / “ทางขวา” 

ไม่ต่าง…

“เอาล่ะ ฉันตัดสินใจแล้ว พวกเราจะคลำหาทางไปกันเอง!” 






“เห็นไหม! ถึงแล้วพวกเราทำได้!”

หลังจากที่ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงคณะเดินทางของเหล่าเดมิก็อดก็สามารถนำราชรถพระอาทิตย์มาจอดอยู่ด้านหน้าตึกเอ็มไพร์สเตตได้สำเร็จ ทั้งที่จริงระยะทางจากโรงจอดรถมาถึงตึกควรใช้เวลาเพียงแค่ 8 นาทีเท่านั้น ทุกคนพากันคลำทางขับรถอ้อมโลกไปหลายบล็อกกว่าจะเดินทางมาถึงจุดหมาย และหูชาไปกับการฟังเจ้าม้า AI ช่างจ้อ 4 ตัวพล่ามไม่หยุดมาตลอดทาง จนเอโลอิสก็แอบงงว่าสัตว์ของเทพทุกตัวต้องพูดมากเหรอ? เพราะเจ้าเคอร์ติสก็เป็น

“เคอร์ติสนายเฝ้ารถไว้นะ” เอโลอิสกำชับผู้ติดตามของเธอ

“รับทราบขอรับ!”

เมื่อกำชับเคอร์ติสเรียบร้อยเอโลอิสและเพื่อน ๆ ก็เดินทางเข้าไปในตึกเอ็มไพร์สเตตโดยตรงไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ในทันที

“ติดต่อชั้น 600 ค่ะ”

“พูดอะไรของพวกเธอ กรุ๊ปทัวร์ไปทางนั้น” พนักงานพูดจบก็ชี้ไปยังจุดรวมกรุ๊ปทัวร์เพราะคิดว่าเป็นพวกเด็กมาทัศนศึกษา แต่เอโลอิสก็ไม่คิดจะไป

“เราต้องการพบท่านเทพอะพอลโล เรามีข่าวมาบอกท่านว่าเราพบราชรถของท่านแล้ว และเราเอามาคืน”

สิ้นประโยคพนักงานก็ตาเบิกกว้าง ก่อนจะรีบกดโทรศัพท์ต่อขึ้นไปยังชั้นบนมีการสนทนากันเล็กน้อยซึ่งเป็นส่วนที่เอโลอิสและเพื่อน ๆ ไม่ได้ยิน เมื่อพนักงานวางสายก็หันมาบอกเหล่าเดมิก็อด

“ท่านอะพอลโลไม่ให้พวกคุณขึ้นไป…”

“อ้าว” แล้วแบบนี้จะคืนราชรถยังไงกันล่ะ

“แต่ท่านจะลงมาเจอพวกคุณที่นี่เอง”

พอได้ยินว่าเทพจะลองมาเอโลอิสก็มือเย็นเฉียบ เธอไม่เคยพบเทพแบบตัวเป็น ๆ เลยด้วยซ้ำแม้แต่คุณดีที่เป็นเทพหนึ่งเดียวที่อยู่ในค่ายฮาล์ฟบลัดเธอก็ยังไม่เคยเจอเลยด้วยซ้ำ ยอมรับว่าเธอไม่ได้ตั้งตัวสักเท่าไหร่กับการเจอเทพอะพอลโล แม้จะรู้ดีว่าท้ายที่สุดในภารกิจก็ต้องคืนราชรถและพบเขาอยู่ดี ทั้งสามคนยืนรออยู่สักพักก่อนจะมีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง

“พวกเจ้าคือเหล่าเดมิก็อดที่มาหาข้าสินะ”

ทั้งสามหันไปตามเสียงทักก่อนจะพบกับชายหนุ่มที่ดูสะอาดสะอ้านคนหนึ่งยืนอยู่ ป๊าดดดดดดดดดดดหล่อแท้! เอโลอิสถึงกับตาค้างหล่อจริงอะไรจริง พวกเทพนี่หน้าตาดีกันขนาดนี้เชียวเหรอ ถ้าไม่นับพ่อของเธอน่ะ แม้ไม่รู้ว่านี่เป็นร่างจริงหรือร่างจำแลงแต่ก็ต้องยอมรับว่าเฟิร์สอิมเพรสชั่นในครั้งนี้ดีมากเลย

“ค่ะ พวกเราคือกลุ่มที่ทำภารกิจตามหาราชรถ”

“แล้วไหนล่ะราชรถของข้า?”

“อยู่ด้านหน้าค่ะ แต่มีบางอย่างที่อาจไม่เหมือนเดิมไปบ้าง…แบบว่า…เหมือนพวกม้าจะเมาเป๋ ๆ…”

“พาข้าไปหาราชรถซิ”

เหล่าเดมิก็อตพยักหน้าก็จะนำเทพอะพอลโลเดินออกไปด้านหน้าตึกเอ็มไพร์สเตตที่มีรถมาเซราติสีแดงเชอร์รี่จอดอยู่ แล้วก็พบว่าเจ้าพวกม้ายังเมาเอ๋ร้องเพลงไม่หยุด

“คืนนี้พี่เป็นราชา ราชันย์อ๊กหักแห่งอาณาจักรชื่อรักสลายยยยยยยยยย~”

“ไม่มีมเหสีไม่มีหญิงใดมีแต่เพื่อนใจชื่อว่าสุราาาาาาาาา~”

“รีบชงไอ้น้องงงงงงงง คืนนี้ไม่กองไม่มีเลิกราาาาาาาาา~”

“คบคนมันมีแต่ท้อคบแอลกอฮอล์มันกว่า คำสั่งราชายกมาอีกแบนนนนนนนนน~”

ที่เดียวไอ้น้องงงง— เฮือกกกก! ท่านเทพอะพอลโล!” เคอร์ติสที่กำลังร้องเพลงอยู่กับพวกม้า AI ถึงกับสะดุ้งเมื่อพบว่าเทพอะพอลโลเดินมาถึงรถ มันรีบทำท่าทางเจี๋ยมเจี้ยมในทันที

“พวกเจ้านี่ชอบทำให้ข้าขายหน้าอยู่เรื่อย” เทพอะพอลโลได้แต่ส่ายหัว

“ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละค่ะ…” เอโลอิสพยายามจะอธิบายสภาพของเจ้าพวกนี้

“ไหนเล่าให้ข้าฟังซิว่าผู้ใดที่เป็นคนเอาราชรถของข้าไป”

“ดีมิทรี นาวิคอฟ บุตรแห่งเทพเปรุนครับ เจ้านั่นต้องการสร้างความร้อนกับความแห้งแล้งให้โลกเพื่อให้รัสเซียเป็นที่หนึ่ง” รอฟีอัสตอบอะพอลโล

“เฮ้อ…พวกเด็กไม่รู้จักโต เห็นทีข้าต้องหาเวลาไปหารือกับเทพฝั่งรัสเซียบ้างเสียแล้ว”

พูดจบเทพอะพอลโลก็เอาน้ำยาบางอย่างเดินไปยังถังน้ำมันของรถก่อนเปิดฝาถังแล้วเทน้ำยานั้นลงไป ไม่นานนักอาการของเจ้าม้า AI ทั้งสี่ก็กลับมาเป็นปกติ ที่ก็ดูไม่ปกติอยู่เพราะแม้ว่าเสียงจะหายเมาแล้วมันก็ยังคงพูดมากจนน่ารำคาญเหมือนเดิม

“ไว้เรื่องดีมิทรีข้าจะจัดการทีหลัง ส่วนเรื่องความเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น (ถ้ามี) ข้าจะจัดการให้ ขอบใจพวกเจ้าทุกคนที่นำราชรถมาคืนข้า มีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเจ้าได้บ้าง”

“ผมไม่มีครับ”

“ผมก็ไม่มีครับ”

“เอ่อ…”

“มีอะไร?”

“ถ้าหนูจะขอเจอแม่ ท่านจะสามารถทำได้ไหมคะ?” เอโลอิสถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เธอไม่ได้คาดหวังการตอบรับจากเทพอะพอลโลหรอก เพียงแต่ลองโยนหินถามทางดู

“แม่เจ้าอยู่ที่ใดล่ะ?”

“กัลเวย์ ไอร์แลนด์ค่ะ”

“ข้าเคยได้ยินจากเทพเฮเฟตัสว่าที่นั่นมีหญิงงามมากมาย เห็นทีต้องลองไปให้เห็นกับตาดูสักครั้ง” เทพอะพอลโลเผยยิ้ม

“หมายความว่า?...” เอโลอิสเลิกคิ้วถาม

“ตกลง”

“เย้!!!” 

“คุณเอโลอิสสำรวมหน่อยขอรับ นั่นท่านเทพ…” เคอร์ติสเตือนเอโลอิส

“ขอโทษค่ะ หนูดีใจไปหน่อย”

“แต่จะไปที่เดียวคงน่าเบื่อแย่ เอาอย่างงี้ข้าจะตอบแทนพวกเจ้าทุกคนที่เอาราชรถมาคืนข้า ด้วยการพาพวกเจ้าไปเที่ยวรอบโลกทุกที่ที่เจ้าต้องการ จัดโร้ดทริปกันไปเลยดีไหม?”

“จริงเหรอคะ!” เอโลอิสตาโต ส่วนอีกสองหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เพราะพวกเขายังไงก็ได้แล้ว ณ จุดนี้

“ข้าดูเหมือนคนชอบพูดเล่นเหรอ?”

“ขอโทษค่ะ”

“งั้นทุกคนขึ้นรถ” 

เทพอะพอลโลเดินไปนั่งฝั่งคนขับ ก่อนที่เหล่าเดมิก็อดจะรีบขึ้นไปบนรถเพราะไม่อยากให้เทพกริ้ว โดยเอโลอิสนั่งกับเคอร์ติสหน้าข้างคนขับ สองหนุ่มนั่งข้างหลัง หลังคารถค่อย ๆ เลื่อนลงจนกลายเป็นรถเปิดประทุน บอกได้คำเดี๋ยวว่าโคตรเท่!

“คาดเข็มขัดแน่น ๆ เด็ก ๆ เราจะออกซิ่งแล้ว” 

พูดจบเทพอะพอลโลก็สวมแว่นกันแดดสีดำเหยียบคันเร่งมิดซิ่งออกไปตามถนนด้วยความเร็วสูง ถึงการเดินทางตามหาราชรถจะจบลง แต่ต่อจากนี้จะไปการผจญภัยรอบโลกของเหล่าเดมิก็อดก็ได้เริ่มขึ้นแล้วล่ะ!...








สำเร็จภารกิจการเดินทาง : ทวงคืนราชรถมาเซราติ 

รางวัลที่ต้องการรับ
 +50 EXP , +40 ดรักม่า
+100 ความกล้าหาญ และ ความศรัทธา
+200 เกียรติยศกลับมาอย่างภาคภูมิ

ตั๋วนั่งราชรถดวงอาทิตย์กับอะพอลโลเที่ยวรอบโลก 
(+100 ความโปรดปรานจากอะพอลโล)







แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 82194 ไบต์และได้รับ 48 EXP!  โพสต์ 2024-6-2 01:37
โพสต์ 82,194 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ทักษะยิงธนู  โพสต์ 2024-6-2 01:37
โพสต์ 82,194 ไบต์และได้รับ +2 EXP +7 ความกล้า จาก สัมผัสกับดัก  โพสต์ 2024-6-2 01:37
โพสต์ 82,194 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก กลศาสตร์  โพสต์ 2024-6-2 01:37
โพสต์ 82,194 ไบต์และได้รับ +3 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก ธนู  โพสต์ 2024-6-2 01:37
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2024-6-5 23:50:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด








ขณะราชรถพระอาทิตย์เหาะอยู่บนท้องฟ้าโดยที่ไม่มีมนุษย์คนใดสังเกตเห็น ตอนแรกเอโลอิสก็นึกสงสัยว่ารถจะขับไปยังประเทศอื่นที่ต้องข้ามฟากทะเลไปได้อย่างไรกัน แต่แล้วก็ได้พบว่ารถคันนี้ค่อย ๆ ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าในที่สุด แม้เธอจะมีเป้าหมายในหัวว่าอยากไปที่ใดบ้าง แต่ผู้จัดทริปก็ยังคงเป็นเทพอะพอลโลอยู่ดีเพราะเขาต้องเลือกเส้นทางจุดหมายแต่ละที่ให้ตรงกับช่วงเวลากลางวันของโลกจากตะวันออกไปจนถึงตะวันตกดิน ฉะนั้นเวลาที่ท้องฟ้ามืดลงก็คือตอนที่ราชรถคันนี้ได้ขับออกไปจากจุดนั้นของโลกแล้ว การท่องเที่ยวและพบแม่ในครั้งนี้จึงไม่ได้มีเวลาในแต่ละที่มากนัก ทุกคนต้องทำเวลาเพื่อไม่ให้ช่วงเวลากลางวันกลางคืนของโลกปั่นป่วน

“เหมือนขึ้นเครื่องบินเลยแฮะ” เอโลอิสมองลงไปด้านล่างแอบหวาดเสียวเล็ก ๆ 

“ไม่เหมือนหรอกสาวน้อยพวกเราเจ๋งกว่าจะมีรถสักกี่คันที่บินได้ล่ะหนู” เจ้าม้า AI ตัวหนึ่งพูดขึ้น

“เอ้อจะว่าไปพวกคุณมีชื่อไหมคะ? ฉันออกจะสับสนถ้าเรียกทุกคนว่าคุณม้าน่ะ” ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นจนถึงตอนนี้เหล่าเดมิก็อดก็ยังไม่รู้ชื่อของม้าพวกนี้เลยด้วยซ้ำ

“ถ้าหากอยากรู้เรื่องราวให้กระจ่างพวกเราก็พร้อมที่จะแจ้งแถลงไข!”

“เราคืออาชาผู้แสนน่ารักและทรงสเน่ห์”

“พิโรอิส”

“อิโอส”

“เอโธน”

“เฟลโกน”

“เราสี่ตัวอาชาราชรถแห่งโอลิมปัส”

“ไวท์โฮล พรุ่งนี้ที่สดใสรอเราอยู่!”

“ส่วนกระผมก็เคอร์ติสไง!”

อิหยังวะ?...

ถึงแม้จะทำหน้างงเล็กน้อยแต่เอโลอิสก็ปรบมือสองสามแปะพอเป็นพิธีให้กับการแนะนำตัวของเหล่าม้าที่มีเคอร์ติสผสมโรงเข้าไปด้วยนิดหน่อย ส่วนสองคนข้างหลังยังคงทำหน้าอิหยังวะอยู่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“พวกเจ้าอย่าพูดมากนักสิเดี๋ยวพวกเด็ก ๆ ก็รำคาญหรอก” เทพอะพอลโลกล่าวกับพวกม้า AI

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะก็แก้เหงาดี แหะ ๆ"

“จะว่าไปตอนนี้เรากำลังจะไปไหนกันเหรอครับ?” รอฟีอัสถามขึ้น

“เรากำลังจะไปที่กัลเวย์ ประเทศไอร์แลนด์เพื่อพาสาวน้อยผู้นี้ไปเยี่ยมแม่ แต่คงจอดนานมากไม่ได้หรอกนะ เพราะเรามีที่อื่นในไอร์แลนด์ต้องแวะอีก และต้องออกจากไอร์แลนด์ให้ตรงเวลา”

“ขอแค่ได้เจอแม่ แม้ว่าจะเป็นไม่กี่นาทีก็เพียงพอค่ะ” สำหรับเอโลอิสแค่ได้เจอเธอก็พอใจมากแล้ว

“สองหนุ่มล่ะ พวกเจ้าอยากกลับไปเยี่ยมรัสเซียของพวกเจ้าไหม?”

“ไม่ครับ” / “ไม่ครับ” ทั้งสองตอบแถบจะพร้อมกัน เอโลอิสไม่รู้พื้นฐานครอบครัวของทั้งสองคน แต่ก็พอจะรู้ว่ารัสเซียสงครามยังคงคุกรุ่น เธอเองก็ยังไม่พร้อมจะไปเหยียบที่นั่นเช่นกันกลัวโดนลูกหลง

ราชรถเดินทางมาถึงกัลเวย์ตรงตามเวลาที่คาดการณ์ไว้มันค่อย ๆ ร่อนลงบนพื้นถนน เอโลอิสแอบลุ้นว่าจะมีใครพบเห็นอะไรแปลก ๆ แล้วคิดว่าเป็น UFO หรือไม่ แต่โชคดีที่ไม่มีคนสังเกตด้วยซ้ำว่ามีรถมาเซราติร่อนลงมาจากท้องฟ้าแล้ววิ่งไปตามถนนในเมือง เอโลอิสบอกทางแก่เทพอะพอลโลจนในที่สุดรถก็มาจอดอยู่ด้านหน้าทาวเฮ้าส์เก่าหลังหนึ่งที่ดูสภาพค่อนข้างคับแคบ ทุกคนเดินลงมาจากรถยกเว้นเทพอะพอลโล

“ให้เวลา 30 นาที เลทมากไม่ได้เราต้องไปที่อื่นต่อเดี๋ยวฉันจะมารับที่นี่” เทพอะพอลโลกล่าว

“ไม่เข้ามาด้วยกันก่อนเหรอคะ?” เอโลอิสอยากจะเชิญท่านเทพมาพบแม่ของเธอเสียหน่อย

“ข้าว่าเทพไม่ควรพบมนุษย์เป็นการส่วนตัวสักเท่าไหร่”

เอโลอิสพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

“เว้นเสียแต่ถ้าแม่เจ้าสวย—”

“หยุดความคิดไว้ตรงนั้นเลยค่ะ” เอโลอิสรีบดักคอเทพอะพอลโลก่อนทันที

“งั้นเดี๋ยวฉันไปหาร้านนั่งเล่นแถว ๆ นี้แล้วเจอกันตอนเวลานัดอย่าสายล่ะ”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

กล่าวจบราชรถก็เล่นออกไปจากบริเวณหน้าทาวเฮ้าส์ของเอโลอิส เธอเดินไปหน้าประตูก่อนจะเคาะสองสามที่

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เหล่าเดมิก็อดทั้งสามยืนรอหน้าประตูก่อนที่ประตูจะค่อย ๆ เปิดแง้มออกเผยโฉมหน้าของหญิงวัยกลางคนที่หน้าตายังดูอ่อนเยาว์กว่าอายุมาก เธอเบิกตากว้างเมื่อพบว่าลูกสาวคนเดียวของเธอยืนอยู่หน้าบ้านกับคนแปลกหน้าอีกสองคน

“เอโลอิส!”

“แม่!”

ทั้งสองโผเข้ากอดดันด้วยความคิดถึง นับเป็นเวลาร่วมสองเดือนที่ทั้งสองคนไม่ได้พบกันเลยอาจมีแชทหากันบ้างนาน ๆ ครั้งจากไวไฟบ้านเฮอร์มีสแต่ก็เป็นช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ โดยปกติแม่ของเอโลอิสจะค่อนข้างยุ่งอยู่กับการเข้าเวรที่โรงพยาบาลจนไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านสักเท่าไหร่ ครั้งนี้จะเรียกว่าเป็นพรหมลิขิตหรือชะตาผูกมาก็ไม่รู้ที่ดันเป็นวันหยุดของแม่ทำให้อยู่บ้านทั้งวัน

“มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วสองคนนี้ใคร แฟนเหรอ?” แม่หันไปมองชายหนุ่มสองคนสลับกันไปมา

“เดี๋ยวแม่! คิดว่าหนูจะควบสองเหรอ นี่เพื่อนหนูต่างหาก! คนนี้รอฟีอัส ส่วนคนนี้พี่ฟีโอดอร์” เอโลอิสแนะนำเพื่อนของเธอทีละคนให้แม่รู้จัก

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับยินดีที่ได้พบ”

“อย่าบอกนะว่าสองคนนี้ก็…”

“ใช่ เป็นเพื่อนจากค่าย เดมิก็อดทั้งคู่”

“งั้นเชิญเข้ามาก่อนนะ บ้านอาจรกนิดนึง ตั้งแต่เอโลอิสไม่อยู่เลยไม่ค่อยมีคนเก็บบ้านให้ ส่วนแม่เองก็งานยุ่งน่ะจ้ะ” ฟิโอน่ากล่าวเชื้อเชิญทุกคนเข้ามาในบ้านพร้อมผายมือ

ทุกคนเดินเข้ามาด้านในก่อนจะนั่งลงบนโซฟาในบ้าน เอโลอิสช่วยแม่เก็บกวาดห้องนั่งเล่นเล็กน้อยเพื่อรับแขก ฟิโอน่าปลีกตัวเข้าห้องครัวไป ก่อนจะกลับมาพร้อมชุดน้ำชาและขนมคุกกี้ที่ดูก็รู้ว่าแกะคุกกี้กล่องมาแบบรีบ ๆ ไม่ได้ลงมืออบเองแต่อย่างใดเพราะไม่ว่าง

“ขอบคุณครับ”

“ขอบคุณครับ”

เมื่อทุกคนได้รับของว่างครบแล้วฟิโอน่าจะมานั่งที่โซฟาเพื่อคุยกับทุกคน

“ไปไงมาไงกันจ๊ะทุกคน แล้วทำไมเนื้อตัวมีแผล มีรอยช้ำกันแบบนี้ ใครทำอะไรลูก?!” ฟิโอน่าดูท่าทางจะห่วงไม่น้อยเมื่อพบว่าตามเนื้อตัวของเหล่าเดมิก็อดมีรอยช้ำและแผลถลอกที่ถึงแม้ว่าแห้งระดับหนึ่งแล้วแต่ก็ยังดูรู้ว่าเป็นแผลที่เกิดขึ้นไม่นานเพราะฟิโอน่าทำงานที่โรงพยาบาล

“พอดีมาทำภารกิจของค่ายนิดหน่อยค่ะ แต่แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะพวกเราเสร็จภารกิจแล้ว ท่านเทพอะพอลโลก็เลยให้รางวัลโดยการพามาเยี่ยมแม่ไง” อโลอิสพูดด้วยรอยยิ้มในประโยคสุดท้าย

“เทพอะพอลโลมาส่งงั้นเหรอ?”

“ใช่แต่เขาไปแอ๊วสาวที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาบอกว่าเทพไม่ควรพบมนุษย์เป็นการส่วนตัว แต่หนูคิดว่าเขาก็พบอยู่ดีแหละกับสาว ๆ น่ะ” เอโลอิสป้องปากกระซิบเบา ๆ

“อะแฮ่ม ๆ” เคอร์ติสกระแอมขึ้นมาเมื่อเอโลอิสเริ่มพูดมากเกินไปแล้วถึงเทพโอลิมปัส

“นี่คือ?...” ฟิโอน่าเริ่มสังเกตการมีอยู่ของเคอร์ติสภายในห้องนั่งเล่น แม้จะแปลกใจที่นกกระแอมได้แต่มันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับโอลิมปัสสักเท่าไหร่ แม้แต่เธอเองยังมีคนรักเป็นเทพเลยนี่นา

“อ๋อ นี่คือเคอร์ติส เป็นนกกระทาผู้ติดตามของหนูเอง พ่อส่งมา”

“ขอแนะนำตัวนะขอรับ กระผมเป็นนกกระทาผู้ติดตามของคุณเอโลอิส ชื่อเคอร์ติสขอรับ กระผมสัญญาว่าจะดูแลคุณเอโลอิสเป็นอย่างดีเลยขอรับ!” พอได้จังหวะเคอร์ติสก็เริ่มจ้อในทันที

“แล้วลูกได้เจอพ่อบ้างหรือยัง?”

“รูปปั้นกับเตาไฟนับไหม?”

“ต้องไม่นับอยู่แล้วสิ!”

“งั้นก็ไม่เคย”

“สักวันนึงต้องได้เจอแน่ขอรับ!” เคอร์ติสคอนเฟิร์ม

“ว่าแต่สองหนุ่มล่ะ เป็นเดมิก็อดเหมือนกันลูกเต้าเหล่าใครล่ะจ๊ะ?”

“ผมบุตรแห่งเทพคิโอเน่ครับ” ฟีโอดอร์แนะนำตัวขึ้นก่อน

“ส่วนผมบุตรแห่งซุสครับ” รอฟีอัสแนะนำตัวตามมา

ฟิโอน่าดูจะแปลกใจเหมือนกันที่พบเด็กต้องห้ามที่กำลังนั่งอยู่ในบ้านของเธอ ที่ผ่านมาเธอก็พอจะรู้เรื่องเด็กต้องห้ามอยู่บ้างจากคำบอกเล่าของเทพเฮเฟตัสเมื่อครั้งยังเจอกันแต่ก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้พบบุตรของเทพที่มีอัตราการเกิดต่ำเช่นนี้

“ฉันคิดว่าตัวเองโชคดีเหมือนกันนะที่มีโอกาสได้เจอบุตรของมหาเทพตัวเป็น ๆ แบบนี้” ฟิโอน่ายิ้มบาง ๆ 

“แล้ววันนี้แม่ไม่มีเข้าเวรเหรอ?”

“อ๋อวันนี้หยุดจ้ะ จังหวะเหมาะมากเลยเนอะ คงมีเวลาได้นั่งคุยกันทั้งวัน ว่าแต่จะมาค้างกันไหมจ๊ะ จะได้ไปเตรียบห้องหับให้เรียบร้อย” 

“เรื่องนั้นคงไม่ได้ค้างหรอกค่ะ พวกเรามีเวลาแค่ 30 นาทีแล้วต้องไปที่อื่นต่อ พอดีกว่ารถที่มาส่งดันเป็นราชรถพระอาทิตย์ก็เลยต้องไปตามช่วงเวลาดวงอาทิตย์ อยู่นานไม่ได้”

“อย่างนี้นี่เอง เอาเถอะแค่มาเยี่ยมก็ดีใจแล้ว” พบหน้าลูกเพียงไม่กี่นาทีฟิโอน่าก็คิดว่าวันหยุดครั้งนี้คุ้มแล้วล่ะ

ทุกคนนั่งคุยถามสารทุกข์สุกดิบกันไปในห้องนั่งเล่นรู้ตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยมาจนครบเวลานัดเสียแล้ว เสียงบีบแตรรถดังเข้ามาด้านในบ้านพร้อมเสียงร้องเพลงของเหล่าม้า AI ที่ดังมาก ทำให้รู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้ราชรถพระอาทิตย์มาจอดรอที่หน้าบ้านแล้ว

“She played the fiddle in an Irish band but she fell in love with an English man~♪”

“Kissed her on the neck and then I took her by the hand said, baby, I just want to dance~♪"

“My pretty little Galway Girl~♪"

“My, my, my, my, my, my, my Galway Girl~♪"

“เสียงดังไปถึงในบ้านเลยนะคะ” เอโลอิสเดินออกมาจากบ้านพร้อมกับทุกคนโดยมีแม่ออกมาส่ง

“ได้เวลาไปต่อแล้วเด็ก ๆ และสวัสดีคุณผู้หญิง” อะพอลโลถอดแว่นมาส่งวิ้งค์ให้ฟิโอน่า

“พอเลยค่ะ อย่าลืมว่าแม่หนูมีเทพเฮเฟตัสแล้วนะคะ” เอโลอิสรีบเบรคอีกรอบ

“เซ็งเลย” เทพอะพอลโลบุ้ยปากแล้วสวมแว่นกันแดดอีกครั้ง

“เป็นเกียรติที่ได้พบค่ะ ฝากดูแลเด็ก ๆ ด้วยนะคะท่าน” ฟิโอน่ากล่าวฝากฝัง

“ไม่ต้องห่วงข้าจะพาไปส่งถึงหน้าค่ายฮาล์บลัดเลย” อะพอลโลรับปาก

เหล่าเดมิก็อดและเคอร์ติสกลับขึ้นไปบนรถอีกครั้ง เหลือเพียงเอโลอิสที่ยืนกอดร่ำลาแม่ก่อนจาก 

“ไว้เจอกันใหม่ถ้ามีโอกาสนะคะ”

“ดูแลตัวเองด้วยนะเอโลอิส”

“ไม่ต้องห่วงหนูแกร่งกว่าเมื่อก่อนอีกนะ” เธอทำท่าโชว์กล้ามให้แม่ดู

“เชื่อแล้วจ้า ไปดีมาดีนะ” ฟิโอน่าส่งลูกที่รถก่อนจะโบกมือลา

ทุกคนบนรถโบกมือลาแม่ของเอโลอิสก่อนที่ราชรถจะเคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านเหาะขึ้นฟ้าหายลับไป แม้จะออกจากกัลเวย์แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าสิ้นสุดทริปไอร์แลนด์หรอกเพราะท่านเทพอะพอลโลยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่อยากจะแวะไปอยู่ เหาะมาได้สักพักรถก็ค่อย ๆ ร่อนลงจอดที่เมืองดับลินก่อนจะมาหยุดอยู่ด้านหน้าสถานที่แห่งหนึ่ง

“โรงเบียร์กินเนสส์งั้นเหรอ?” เอโลอิสไม่คิดเลยว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่บอกจะเป็นที่นี่ ถึงจะเคยมาตอนสมัยทัศนศึกษาก็เถอะ

“น่าเสียดายที่คุณดีโดนสั่งงดแอลกอฮอล์ไม่อย่างนั้นคงจะชอบที่นี่เป็นแน่แท้” อะพอลโลหัวเราะเล็กน้อยพร้อมเดินลงจากราชรถนำทางเหล่าเดมิก็อดเข้าไปด้านใน

“เคอร์ติสมาหลบในนี้” เอโลอิสเรียกให้เคอร์ติสเข้ามาหลบในกระเป๋าก่อนเดินตามไปด้านใน

พอเดินมาถึงจุดจำหน่ายตั๋วก็มีคนเดินมาให้การต้องรับเทพอะพอลโล เหมือนว่าเขาจะเป็นแขกวีไอพีและเชิญท่านเทพไปยังห้องรับรองส่วนตัวที่จัดเตรียมไว้ ก่อนจะไปท่านเทพก็หันมาหาเด็ก ๆ 

“เดินเที่ยวเอานะเด็ก ๆ ด้านในมีของน่าดูเยอะแยะเชียว ข้าขอตัวไปธุระสักครู่จะสั่งเบียร์ดำสุดพิเศษกลับไปเสียหน่อย พวกเธอก็คงเข้าใจลูกค้ารายใหญ่น่ะ” เขาส่งวิงค์ให้เด็ก ๆ แล้วปลีกตัวออกไปปล่อยให้เหล่าเดมิก็อดยืนทำตัวไม่ถูก

“เอาไงอะ?” รอฟีอัสหันมาถามคนอื่น ๆ 

“ก็คงต้องเข้าไปฆ่าเวลาไหมครับ” ฟีโอดอร์ตอบ

“เอางั้นก็ได้ ไปซื้อตั๋วก่อนแล้วกัน” พูดจบทุกคนก็เดินไปยังจุดขายตั๋วที่อยู่ไม่ไกลกัน

“กี่ท่านคะ?” พนักงานถาม

“3 คนค่ะ” เอโลอิสตอบ

“คนละ 25 ยูโร 3 คนก็ทั้งหมด 75 ยูโรค่ะ”

พูดจบทั้งรอฟีอัสและฟีโอดอร์ก็พร้อมใจกันหันมามองหน้าเอโลอิส

“อะไร?”

“พวกเราไม่มีเงินยูโรหรอกนะมีแต่ดอลล่าห์กับรูเบิล”

“หมายความว่า…?” เอโลอิสเลิกคิ้วถาม

“เธอจ่ายไง” รอฟีอัสตอบในทันใด

สุดท้ายเอโลอิสก็ต้องเป็นคนออกค่าตั๋วให้ทุกคนเพราะดันเป็นคนไอร์แลนด์และเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ถือเงินสกุลยูโร เธอแทบน้ำตาไหลพรากค่าขนมที่สะสมมาต้องมาเสียไปให้กับการเข้ามาชมโรงเบียร์ มันก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศนั่นแหละ แต่เธอเคยมาแล้ว แถมรอบนี้ยังต้องเสียตังค์คูณสาม เธอพยายามคิดในแง่ดีว่ายังไงก็ควรเป็นเจ้าบ้านที่ดีเลยจ่ายไปแบบไม่อิดออดอะไรนัก พอได้ตั๋วก็พากันเดินเข้าไปด้านใน ทุกคนเดินไปตามชั้นต่าง ๆ โดยเริ่มที่ชั้น G ซึ่งเป็นห้องที่มีเสียงบรรยายและห้องส่วนผสม แล้วพากันไปต่อที่ชั้น 1 ที่จัดแสดงเรื่องราวของการผลิต การขนส่ง การจำหน่ายไปในพื้นที่ต่าง ๆ ของโลก ทุกคนดูอ่านข้อมูลกันอย่างสนใจราวกับมาท่องเที่ยวจริง ๆ มีก็แต่เอโลอิสที่สมาธิสั้นเกินกว่าจะตั้งใจอ่านอะไรนาน ๆ ได้ ส่วนทั้งสองนั้นเธอเดาว่าต้องมีใครสักคนเป็นดิสเล็กเซียมั่งล่ะและที่อ่านกันนานก็อาจไม่ใช่เพราะตั้งใจ แต่เป็นเพราะอ่านไม่ออกและกำลังใช้เวลาในการแกะอักขระแต่ละตัวอยู่ต่าหาก ในระหว่างนั้นเองเอโลอิสก็มองไปรอบ ๆ เรื่อยเปื่อย เธอกวาดสายตามองไปทั่วห้องแล้วผ่านอะไรเขียว ๆ เล็ก ๆ สักอย่างไป เธอนึกเอะใจเลยหันไปมองบริเวณที่เธอเห็นอะไรเขียว ๆ เมื่อครู่แล้วพบว่าสิ่งนั่นได้หายไปแล้ว

“สงสัยคงตาฝาดไป…” เธอพูดกับตัวเองเบา ๆ 

“คุณเอโลอิสเป็นอะไรไปเหรอขอรับ?” เสียงเคอร์ติสจากในกระเป๋าถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงพูดของเอโลอิส

“ไม่มีอะไรหรอก แค่ตาฝาดนิดหน่อย”

พอเสร็จทุกคนก็เคลื่อนที่กันไปต่อที่ชั้น 2 ที่เป็น The Tasting Rooms บอกเลยว่าชั้นนี้ขอผ่านอย่างรวดเร็วไม่ควรจะแวะดื่มสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่วายมีอะไรเขียว ๆ ผ่านหน้าไปอีกแล้ว เอโลอิสคิดว่าวันนี้เธอตาฝาดบ่อยมาก ไม่รู้เป็นผลกระทบจากการที่กระทบกระเทือนอะไรเยอะแยะไปหมดระหว่างการทำภารกิจหรือเปล่า เอโลอิสปล่อยผ่านความสงสัยไป แต่ก็แอบคิดว่าถ้ายังเห็นอีกเธอคงไม่ปล่อยไปอีกเป็นครั้งที่สาม ทุกคนมุ่งหน้าต่อไปยังชั้น 3 ที่เป็นห้องแสดงโฆษณากินเนสส์ที่เคยเผยแพร่ไปทั่วโลกมีโฆษณาที่เธอไม่คุ้นเคยเยอะแยะไปหมด แต่เธอไม่มีแก่ใจจะดูโฆษณาอีกแล้วเพราะในหัวยังคงสงสัยเรื่องอะไรเขียว ๆ ที่ผ่านตาเธอไปถึงสองครั้งอยู่ รอบนี้เธอกวาดสายตาแบบจริงจังชนิดที่ว่าจะไม่ยอมละสายตาจากสิ่งนั้นเด็ดขาดถ้าพบเข้า

“ทำอะไรของเธอน่ะ” รอฟีอัสหันมาพบเอโลอิสที่กำลังถลึงตาแบบไม่กระพริบมองดูรอบ ๆ อยู่เขาก็ถึงกับสะดุ้ง

“มองหาบางอย่าง”

“อะไร แล้วทำไมต้องเบิกตากว้างขนาดนั้น น้ำตาไหลออกมาแล้วนะ ตาตากลมมากไปนะ” เขาสังเกตเห็นน้ำตาที่ไหลออกมาจากตาขอเอโลอิส เนื่องจากเธอไม่กะพริบตาเลย เธอไม่อยากให้สิ่งนั้นคลาดสายตาไปจากเธอไม่งั้นมันจะหายไปอีก

“ชู่ววววววว ฉันกำลังใช้สมาธิ” เอโลอิสเอานิ้วชี้ทาบปาก

“สมาธิว่าซั่น! เธอสมาธิสั้นจะตาย—”

“เจอแล้ว!” เอโลอิสพบแล้ว! สิ่งมีชีวิตนั่นเธอยังคงจับตามองมันไว้จนตาแดงไปหมด เธอจะไม่กะพริบเด็ดขาดเพราะเดี๋ยวมันจะหนีไปอีก

“นี่มัน…” รอฟีอัสที่หันไปตามสายตาของเอโลอิสก็เลยพบสิ่งมีชีวิตตัวเท่าเด็ก 4 ขวบ มันชะงักและเริ่มลนลานเมื่อถูกจับได้แต่ก็หนีไปไหนไม่พ้นเพราะมีคนจับตัวตนของมันได้แล้ว

“เลปพราคอน!” เอโลอิสรู้จักสิ่งนี้เป็นอย่างดี แทบจะเป็นไฮไลท์ของประเทศเธอเลยด้วย ไม่มีคนไอริชคนไหนไม่รู้จักเลปพราคอนหรอก เพียงแค่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอพบมันแบบตัวเป็น ๆ 

“จัดการเลยไหม?” รอฟีอัสถาม

“ไม่! เราจะไม่ฆ่ามัน ตามตำนานบ้านฉันมันจะให้พรเราถ้าเราจับมันได้” เอโลอิสรีบบอก

“มีอะไรกันเหรอครับ?” ฟีโอดอร์ที่เห็นเอโลอิสกับรอฟีอัสยืนคุยกันอยู่ก็นึกสงสัยว่าทั้งคู่มีอะไรเห็นยืนคุยกันอยู่นานสองนาน จนเขาสังเกตเห็นเจ้าเลฟพราคอนเข้า

“อย่าเพิ่งทำอะไรนะคะพี่แผนของเราคือไล่จับมันให้ได้ ห้ามฆ่ามันเด็ดขาด!”

เมื่อทุกคนเข้าใจตรงกันการไล่ล่าก็เริ่มขึ้น เดมิก็อดทั้งสามรอจังหวะที่นักท่องเที่ยวเคลื่อนย้ายไปยังชั้นอื่นเริ่มออกวิ่งล่าเลปพราคอนที่รีบวิ่งหนี เอโลอิสยังคงไม่ยอมกะพริบตาเธอจะปล่อยให้มันหายไปไม่ได้เด็ดขาดเลย ทั้งสามวิ่งล้อมทุกจุดไปคนละทิศคนละทาง เอโลอิสต้องวิ่งแบบที่น้ำตารื้นไปหมด มันไหลออกมาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตาจนตาของเธอแทบจะมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตตรงหน้า แต่ก็พยายามไม่ละสายตาจากมัน เจ้านี่ไวไม่ใช่น้อยแต่ด้วยความที่มันตัวเล็กขาก็เลยสั้นจนในที่สุดเอโลอิสเป็นคนกระโดดตะครุบมันได้คนแรก เธอพยายามกอดรัดมันไว้ไว้ให้ไปไหน

“อย่าคิดหนีนะ!”

“อย่าทำอะไรข้าเลยข้ากลัวแล้ว จะเอาสมบัติเหรอท จะเอาหม้อมองคำของข้าเหรอ? อย่าจับแถวรองเท้าเดี๋ยวมันไม่เงา ข้าใช้เวลาขัดตั้งนาน….” เจ้าเลปพราคอนพูดไม่หยุดอาจเพราะมันกำลังกลัวอยู่

“ไม่ต้องห่วงฉันไม่ฆ่านายแน่ตราบใดที่นายไม่พยายามดิ้นหนี” 

เลปพราคอนหยุดดื้น มันเริ่มสั่นกลัว

“พวกเจ้าต้องการอะไร ปล่อยข้าไปเถอะ”

“มีของจะให้นิดหน่อย เคอร์ติสหยิบเงินให้หน่อย!” เธอตะโกนหาเคอร์ติสในกระเป๋า

“ได้ขอรับ!” เคอร์ติสยุกยิกในกระเป๋าเป้สักครู่ก่อนจะออกมาจากกระเป๋าพร้อมเงิน 20 ดรักม่า”

“เอาไป” เอโลอิสรับเงิน 20 ดรักม่าจากเคอร์ติสแล้วยื่นให้มัน

“เหรียญทองคำ! ข้าจะเอาไปใส่หม้อของข้า พวกท่านช่างใจดี หากพวกท่านปล่อยข้า ข้าจะมอบพรให้ 1 ข้อ”

“ก็ได้” เอโลอิสปล่อยตัวเลปพราคอนอย่างช้า ๆ พร้อมดูว่ามันมีท่าทีว่าจะหนีไหม ถ้ามันคิดจะหนีเธอจะจับมันล็อกไว้อีกรอบ

“โอเค ท่านอยากได้พรอะไรจากข้าล่ะ ท่านเป็นคนให้เหรียญทองแก่ข้า”

“ข้าขอให้แข็งแกร่งเหนือผู้ใดในโลก…” เอโลอิสตอบ เคอร์ติสก็พยักหน้าอย่างภูมิใจในลูกพี่ของตัวเองว่าขอพรได้เยี่ยม แต่เอโลอิสยังพูดไม่จบ

“...ให้กับเคอร์ติส นกกระทาตัวนี้…” เธอชี้ไปที่เคอร์ติส

“ห๊ะ!!!” เคอร์ติสเบิกตากว้าง เขาไม่คิดว่าเอโลอิสจะมอบพรนั้นให้กับเขา

“ให้เจ้านกนี่สินะ ย่อมได้รอสักครู่” เลปพราคอนเริ่มร่ายพรไปที่ตัวของเคอร์ติสจนกระทั่งการมอบพรเสร็จสิ้นมันก็ป๊อบ! หายวับไปกับตา รีบจัดเหมือนกลัวจะโดนเหลี่ยมจับไว้อีกรอบ

“คุณเอโลอิสขอรับ!” เคอร์ติสแทบจะน้ำตาไหลพรากวิ่งมาคลอเคลียเอโลอิสด้วยความซาบซึ้ง มันรู้สึกได้ว่าร่างกายมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างภายใน แต่เอโลอิสไม่ได้สนใจความซาบซึ้งของเคอร์ติสมากนักเธอกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นหลังจากไม่ได้กะพริบตามานาน

“เอาล่ะ เรื่องจบแล้วใช่ไหม ผมว่าน่าจะได้เวลากลับแล้วล่ะ ท่านเทพอะพอลโลน่าจะเสร็จธุระแล้ว”

“อื้ม” เอโลอิสพยักหน้าทุกคนพากันลงไปชั้นล่าง เคอร์ติสกลับไปหลบด้านในกระเป๋าอีกครั้งจนเดินมาถึงหน้าจุดที่เคยจอดราชรถจึงได้ออกมาจากกระเป๋า

แต่…

ราชรถหาย…

“รถมาเซราติหายไปไหน อย่าบอกนะว่าโดนขโมยไปอีก!”

เบื้องหน้าของเหล่าเดมิก็อดมีแต่รถมินิบัสที่จอดอยู่ข้างหน้า ในขณะที่ทุกคนกำลังยืนอึ้งอยู่ก็มีเสียงจากด้านในรถบัสตะโกนมา 

“มาแล้วเหรอขึ้นมาเลยเด็ก ๆ ข้าเปลี่ยนรูปลักษณ์รถเล็กน้อยเพื่อการขนของน่ะ”

พอทุกคนเดินขึ้นรถก็พบว่าด้านท้ายรถบัสเต็มไปด้วยลังเบียร์ดำกินเนสส์จำนวนมหาศาล”

“รถหรูมันขนของไม่ได้ ข้าเลยต้องใช้รถมินิบัสแทน หาที่ว่าง ๆ นั่งเอานะเด็ก ๆ เราจะไปกันต่อแล้ว”

เก็บไว้ดื่มทั้งชาติเลยหรือไงนะ?...นี่คือความคิดของเหล่าเดมิก็อดตอนเก็นลังเบียร์ แต่ละคนพยายามหาที่นั่งที่ยังพอจะเหลือ ซึ่งก็ยังมีมากอยู่พอนั่งที่ของตัวเองเสร็จราชรถมินิบัสก็เคลื่อนตัวออกแล้วเหาะขึ้นฟ้าในที่สุด จบทริปไอร์แลนด์โดยพวกเขาไม่รู้เลยว่าจุดหมายต่อไปของเทพอะพอลโลจะพาพวกเขาไปที่ใด…


ขอพรให้เคอร์ติสแข็งแกร่งเหนือผู้ใดในโลก  (+2 Level) 










แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 76322 ไบต์และได้รับ 42 EXP!  โพสต์ 2024-6-5 23:50
โพสต์ 76,322 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-6-5 23:50
โพสต์ 76,322 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ทักษะยิงธนู  โพสต์ 2024-6-5 23:50
โพสต์ 76,322 ไบต์และได้รับ +2 EXP +7 ความกล้า จาก สัมผัสกับดัก  โพสต์ 2024-6-5 23:50
โพสต์ 76,322 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก กลศาสตร์  โพสต์ 2024-6-5 23:50
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
โพสต์ 2024-6-22 21:46:49 | ดูโพสต์ทั้งหมด










การเดินทางท่องเที่ยวยังคงดำเนินอยู่ หลังจากที่ทำการเยี่ยมพ่อแม่เรียบร้อยแล้วเอโลอิสและคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้มีไอเดียอะไรมากนักว่าควรจะไปเที่ยวที่ไหน สุดท้ายแล้วเจ้าม้า AI ทั้งสี่ตัวก็เสนอว่าให้ไปลองเที่ยวประเทศของกรีซดูดีไหม อย่างน้อยมันก็คือถิ่นกำเนิดตำนานเล่าขานของเหล่าเทพ ทุกคนจึงตกลงตามนั้น อย่างไรเสียตอนนี้ก็ยังอยู่ในทวีปยุโรปและเอโลอิสเองก็ไม่เคยเที่ยวกรีซเลยทุกคนจึงมุ่งหน้าไปยังจุดหมายตามที่ตั้งใจ

“อยากไปเที่ยวที่ไหนในกรีซดีล่ะเด็ก ๆ” เทพอะพอลโลเริ่มถาม

“เอเธนส์เป็นไงคะ ได้ยินว่าที่นั่นเป็นแหล่งอารยธรรม บางทีเราอาจจะแวะไปสักการะที่วิหารพาร์เธนอน—”

“โห่…ไม่เอาน่า ที่นั่นน่าเบื่อจะตาย ที่นั่นไม่มีอะไรแล้ว ถ้าจะไปสักการะก็ไปที่ค่ายฮาล์ฟบลัดสิ เขาย้ายรูปปั้นอะธีน่าไปไว้ที่นั่นแล้ว พวกเจ้านี่เป็นเด็กที่ไลฟ์สไตล์น่าเบื่อมาก เดี๋ยวข้าพาพวกเจ้าไปเที่ยวเกาะซานโตรินีดีกว่า” เทพอะพอลโลรีบบอกปัดพร้อมแนะนำเส้นทางเที่ยวอื่น เมื่อเอโลอิสเสนอเรื่องการเที่ยวตามรอยอารยธรรมประวัติศาสตร์กรีก แต่มันก็จริงอย่างที่เขาว่ารูปปั้นไม่อยู่แล้ว ไปก็คงไม่เจออะไรนอกจากสถานที่โล่ง ๆ นั่นแหละนะ บอกตามตรงคนที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้คนขับนั่นแหละที่ดูว้าวกว่าวิหารเทพเจ้าเสียอีก เพราะนี่คือเทพเจ้าตัวเป็น ๆ เลยยังไงล่ะ!

“กะ…ก็ได้ค่ะ”  เอโลอิสตอบตกลง คงไม่มีใครอยากจะขัดพระประสงค์ของเทพเจ้านักหรอกจริงไหม

เสียงเพลงบนรถถูกเปิดตลอดทางพร้อมกับเสียงร้องคลอของม้า AI และเคอร์ติสที่ช่างจ้อไม่หยุดปาก รู้ตัวอีกทีก็เดินทางมาถึงซานโตรินีแล้ว

“ถึงแล้วลงกันได้เด็ก ๆ ยินดีต้อนรับสู่กรีซอย่างเป็นทางการ”

ประตูรถมินิบัสถูกเปิดออก เหล่าเดมิก็อดที่อุดอู้อยู่ในที่นั่งมานานได้ออกมายืดเส้นยืดสายกันเสียที กลิ่นทะเลตีเข้ามาเสียเต็มปอด อาคารบ้านเรือนของที่นี่ดูสวยแปลกตา อาคารบ้านเรือนถูกสร้างบนเนินไล่ระดับ เอโลอิสจำได้ว่าเธอเคยเห็นสถานที่นี้ในหนังมาบ้างแต่ก็ไม่เคยรู้เลยว่าของจริงจะสวยกว่าที่เห็นในจอเสียอีก

“เจ้าอยากตามรอยอารยธรรมใช่ไหมล่ะ งั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าเที่ยวจุดนี้เป็นจุดแรกแล้วกัน”

เอโลอิสพยักหน้าพร้อมแบมือไปที่เทพอะพอลโล

“ทำอะไรน่ะยัยบ้า!” รอฟีอัสรีบทักขึ้นเมื่อเห็นว่ายัยผมแดงนี่อาจทำอะไรไม่เข้าท่าต่อหน้าเทพเข้า

“เจ้าต้องการอะไรงั้นหรือ?” อะพอลโลมองมือที่แบของเอโลอิสสลับกับใบหน้าของเธอ

“ขอค่าตั๋วค่ะ…” 

“หือ?”

“ประเทศที่แล้วหนูออกเงินคนเดียวทั้งหมด ทุกคนก็เห็นสภาพบ้านหนูแล้วใช่ไหมคะ หนูไม่ได้เป็นคนมีเงินถุงเงินถังขนาดนั้นหรอกนะคะ ถ้าจะพาเที่ยวโปรดกรุณาสปอนเซอร์ให้ด้วยจะได้ไหมคะ?” 

บรรยากาศโดยรอบเงียบลงจนได้ยินเสียงลมพัดผ่าน เคอร์ติสถึงกับตัวสั่นเมื่อได้ยินว่าเอโลอิสพูดอะไรต่อหน้าเทพอะพอลโล มันเองก็กลัวว่าลูกพี่จะทำให้ท่านเทพกริ้ว ถ้าเกิดเทพอะพอลโลลงโทษเอโลอิสขึ้นมา เคอร์ติสคงไม่รู้จะไปกราบทูลเทพเฮเฟตัสยังไงในเรื่องนี้ ขณะที่ทุกคนกำลังเหงื่อแตกพลั่กจู่ ๆ ท่านเทพอะพอลโลก็ระเบิดหัวเราะออกมา

“ฮ่า ๆ ใจกล้าดีนี่สาวน้อย ข้าชอบที่เจ้ามีความกล้าที่จะขอ ถ้าอย่างนั้นข้าจะพาพวกเจ้าไปซื้อตั๋วเอง อย่างไรเสียข้าก็ต้องตอบแทนพวกเจ้าที่เอาราชรถมาคืนให้อยู่แล้ว”

ทุกคนพากันเข้าไปยังส่วนจัดแสดงซากเมืองโบราณอโครทิรี ครั้งนี้เทพอะพอลโลพามาเดินชมด้วยตัวเองซึ่งเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยาก สภาพของซากเมืองทำให้นึกถึงปอมเปอีไม่มีผิด เพราะซากเมืองมีสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์

“จากที่หนูเคยได้ยินที่นี่ถูกกลบฝังอยู่ใต้ลาวาจากการระเบิดครั้งใหญ่ใช่ไหมคะ?” เธอหันไปถามเทพอะพอลโล

“ก็ใช่ แต่ข้าจะไม่ลงดีเทลหรอกนะว่าเพราะอะไร” ท่านเทพอะพอลโลตอบสั้น ๆ เอโลอิสรู้เลยว่ามันจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหล่าเทพแหง ๆ ไม่งั้นจะระเบิดกลบทั้งเมืองได้ยังไงกัน ในเมื่อเขาไม่อยากบอกเธอก็จะไม่ไปล้วงความลับของสวรรค์หรอก ปล่อยให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์อธิบายต่อไปก็แล้วกัน

“นี่รอฟีอัสนายว่าเทพตะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี่ป่ะ” เอโลอิสหันไปกระซิบถามรอฟีอัส

“ไม่รู้” รอฟีอัสตอบมาแบบสั้น ๆ 

“แล้วพี่ฟีโอดอร์คิดว่า—”

“ข้าว่าพวกเจ้าไม่ควรนินทาคนในระยะเผาขนนะ โดยเฉพาะถ้าบุคคลนั้นเป็นเทพที่หูดีเสียด้วยน่ะ”

“อุ้ย!” เอโลอิสถึงกับสะดุ้ง เธอลืมตัวไปจริง ๆ ว่าเทพอะพอลโลอยู่แถวนี้

“แต่ก็เอาเถอะวันนี้ข้าอารมณ์ดี ฉะนั้นพวกเจ้าก็แค่ระวังสิ่งที่คิดไว้เสียหน่อยก็พอ”

“ขะ…เข้าใจแล้วค่ะ” เธอรีบพยักหน้ารับคำก่อนที่ทริปนี้อาจเป็นทริปสุดท้ายของเธอ

ทุกคนเดินชมซากอารยธรรมจากทั่ว ก่อนที่จะไปต่อกันที่การชมบ้านเรือนที่แสนสวยงามของซานโตรินี คนที่นี่โชคดีจังที่ได้มีโอกาสชมวิวหลักล้านทุกวันแบบนี้ เดินเที่ยวกันได้สักพัก เทพอะพอลโลก็บอกว่าจะต้องเปลี่ยนเมืองแล้ว ทุกคนจึงกลับไปที่รถมินิบัสคันเดิม มันออกตัวเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อมองลงมาด้านล่างจะเห็นเมืองของซานโตรินีเล็กจิ๋วเหมือนเมืองของเล่น เหล่าเดมิก็อดไม่รู้ว่าสถานที่ต่อไปจะเป็นที่ไหนของกรีซ

“เราจะไปไหนต่อเหรอคะ?”

“เกาะซาคินทอส” 

“ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยค่ะ”

“เจ้าไปอยู่ที่ไหนมาเนี่ย แสดงว่าไม่เคยดูซีรีส์เกาหลีเลยสินะ”

“ปกติก็ไม่ค่อยนะคะ”

“เชื่อเถอะว่าเจ้าต้องชอบแน่หลังจากเราไปถึง”

“แล้วมันอยู่ที่ไหนเหรอคะ?”

“เอเธนส์”

“แล้วไหนว่าตอนแรกบอกจะไม่ไปเอเธนส์ไงคะ” เอโลอิสหรี่ตา

“กฎไม่ตายตัวหรอกน่า!” บางทีก็แอบคิดว่านี่เทพอะพอลโลหรือเรจิน่า จอร์จกันแน่นะ…

เทพอะพอลโลพาทุกคนค่อย ๆ ร่อนลงบริเวณหาด แม้ว่าปกติแล้วที่นี่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งที่มักมีคนแวะเวียนมา แต่วันนี้กลับกลายเป็นหาดที่ดูเงียบกว่าปกติ อย่าบอกนะว่าวันนี้เทพอะพอลโลปิดเกาะน่ะ รถมินิบัสลงจอดข้างซากเรือที่เกยตื้นซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของเกาะนี้ เมื่อรถจอดสนิททุกคนก็เดินลงมา

“ขอต้อนรับทุกคนสู่เกาะซาคินทอส บริเวณที่พวกเจ้ากำลังยืนอยู่เรียกว่าหาดนาวาจิโอ” 

“มีซากเรือด้วยแฮะ” เอโลอิสมองดูซากเรือเก่าที่อยู่บริเวณหาด

“อ๋อ เรือนี่น่ะเหรอ จอดไว้ตั้งแต่ยุค 80 แล้ว เจ้าพวกขนสินค้าหนีภาษีเอามาจอดไว้” อะพอลโลตอบ แน่นอนว่าเขารู้อยู่แล้ว เนื่องจากมีชีวิตอยู่มานานกว่ามวลมนุษย์เสียอีก

“อย่างนี้นี่เอง” เอโลอิสพยักหน้ารับรู้

“วันนี้เกาะเป็นของพวกเจ้า ข้าทำการปิดเกาะให้แล้ว ให้เวลา 1 ชั่วโมงแล้วเราจะเดินทางกันต่อ ทำอะไรก็ทำ ตรงนั้นมีจุดพายเรือเล่น ส่วนข้าขอนอนอาบแดดอยู่แถวนี้ ห้ามรบกวนข้าถ้าไม่จำเป็นเข้าใจไหม?”

เดมิก็อดทุกคนพยักหน้ารับรู้ ถึงไม่บอกพวกเขาก็ไม่คิดจะรบกวนอะไรท่านเทพอยู่แล้วแหละ ทุกคนเดินเล่นริมหาดกันจนพอใจ จึงชวนกันไปพายเรือตรงจุดที่เทพอะพอลโลได้บอกแนะนำไว้ โดยเลือกเรือลำใหญ่ที่สุด ทั้งสามเข็นเรือลงน้ำก่อนจะขึ้นเรือ โดยรอฟีอัสนั่งที่หัวเรือเป็นฝีพาย และฟีโอดอร์เป็นฝีพายท้ายเรือ ส่วนเอโลอิสและเคอร์ติสนั่งกลางมีหน้าที่นั่งเฉย ๆ และห้ามเอาเท้าราน้ำ สองหนุ่มเริ่มพายเรือออกจากฝั่ง เอโลอิสทำหน้าที่เป็นตากล้องให้ทุกคนหยิบมือถือมาถ่ายบรรยากาศแสนสวยโดยรอบ ร่วมทั้งถ่ายเพื่อนร่วมทริปทั้งสอง เคอร์ติสไม่อยากให้บรรยากาศเงียบจนเกินไปเลยทำหน้าที่เป็นคนร้องเพลงประหนึ่งกำลังพายเรือเล่นอยู่ในเวนิส

♫ Che bella cosa na jurnata 'e sole,
n'aria serena doppo na tempesta!
Pe' ll'aria fresca pare gia' na festa...
Che bella cosa na jurnata 'e sole ♪

ทุกอย่างเหมือนกำลังเป็นไปได้ด้วยดี แต่ทว่าคลื่นของมือถือและเสียงร้องของเคอร์ติสกำลังนำพาบางสิ่งบางอย่างเข้ามาหาเดมิก็อดโดยไม่รู้ตัว เมื่อพายเรือเล่นวนอยู่แถว ๆ ริมฝั่งลอดช่องหินต่าง ๆ ได้สักพักทุกคนก็เริ่มรู้สึกถึงสิ่งผิดแปลกที่เกิดขึ้นกับเรือ ความโคลงเคลงเกิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุจนเอโลอิสและเคอร์ติสต้องหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่

“ทำไมเรือมันโคลงเคลงแบบนี้ล่ะ?”

“คลื่นก็ดูไม่แรงเท่าไหร่นะครับ” ฟีโอดอร์มองโดยรอบที่คลื่นยังดูสงบ

“ฉันก็รู้สึกว่ามันโคลงเหมือนกัน” รอฟีอัสพูดขึ้น

“หรือว่าจะเป็นสึนามิ!” เอโลอิสสันนิษฐาน

“เธอนี่มันปากเสียชะมัด พูดให้เป็นลางทำไม!”

ขณะที่ทั้งสามกำลังคุยกันเรือก็เกิดอาการโคลงเคลงขึ้นอีกครั้ง ทุกคนพยายามเกาะขอบเรือไว้ให้มั่นจะได้ไม่พลัดตกลงไปด้านล่าง ถ้าไม่ได้เป็นคลื่นใต้น้ำก็ต้องมีบางอย่างอยู่ใต้ท้องเรือ หรือไม่ก็ต้องเป็นพวกกลุ่มคนที่มาดำน้ำตั้งใจมาแกล้ง ซึ่งน่าจะตัดข้อนั้นไปได้เพราะแถวนี้มีแค่เดมิก็อดทั้งสามที่มาพายเรือเล่น และเทพอะพอลโลเองก็บอกว่าวันนี้เขาปิดเกาะ

“กระผมว่าได้กลิ่นคาว ๆ นะขอรับ” เคอร์ติสพูดขึ้น

“ตรงนี้ทะเลได้กลิ่นคาวปลามันก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่หรอกมั้ง”

“เดี๋ยวนะ…” เหมือนว่ารอฟีอัสจะเห็นอะไรแว่บ ๆ เข้า

“อะไรเหรอ?”

“เหมือนว่าฉันจะเห็นหางปลาสองหางแว่บ ๆ” 

“หมายถึงมีปลาสองตัวกำลังพยายามล่มเรือเรางั้นเหรอ?”

“ก็ไม่รู้สิ”

“ผมว่าพวกเราหาเจ้าตัวต้นเหตุกันเถอะ ก่อนที่เรือพวกเราจะล่มลงจริง ๆ” ฟีโอดอร์ออกความเห็น ทุกคนจึงเริ่มสอดส่ายสายตามองหาสิ่งผิดปกติรอบเรือ

“ดูนั่นสิขอรับ!” เสียงเคอร์ติสดังขึ้น มันชี้จงอยปากไปที่จุดหนึ่งใต้น้ำที่ดูเหมือนมีเส้นผมสยายลอยอยู่ 

“ตัวอะไรน่ะ?” เอโลอิสขมวดคิ้ว

“เหมือนเงือกแต่ดูไม่น่าใช่” รอฟีอัสเสริม

ขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยร่างนั่นก็โผล่พ้นน้ำออกมาเผยให้เห็นหญิงสาวแสนสวย แถมมีปีกอีกต่างหากตัวอะไรเนี่ย? หางของนางโผล่ขึ้นพ้นน้ำมาเล็กน้อยพอให้ให้ว่ามีสองหางโผล่ขึ้นมา

“แล้วอีกตัวทำไมไม่โผล่มานะ เห็นอยู่ว่ามาหางสองอัน”

“นี่เธอซื่อหรือเธอโง่จริง ๆ กันแน่เนี่ย ลองแหกตาดูดี ๆ ว่าหางทั้งสองมาจากอสุรกายตนเดียวกัน!”

“เออจริงด้วย…” เอโลอิสลองมองอีกที มีสองหางจริง ๆ ด้วย

“ผมว่านี่คงไม่ใช่เงือกธรรมดาแน่ ๆ”

“คล้าย ๆ ตัวที่เป็นโลโก้สตาร์บัคส์อยู่นะคะ แค่มันมีปีก”

“สิ่งมีชีวิตนี้ เรียกว่า เมลูซีนขอรับ คล้ายเงือกกับไซเรนแต่ไม่ใช่ เพราะมันจะมีปีกและมีสองหางแล้วก็ชอบล่อลวงมนุษย์” เคอร์ติสสวมวิญญาณวิกิพีเดียอีกครั้ง

“สวัสดีหนุ่ม ๆ” เสียงอันทรงสเน่ห์ของอสูรกายสาวแสนสวยกล่าวทักทายรอฟีอัสและฟีโอดอร์พร้อมท่าทางหว่านสเน่ห์โดยมองข้ามเอโลอิสไปเลยราวกับว่าเธอเป็นเพียงอากาศไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนี้

“เดี๋ยวนะ นี่ไม่เห็นฉันเลยเหรอ?”

“มาเที่ยวเหรอจ๊ะหนุ่ม ๆ” เมลูซีนยังคงไม่สนใจเอโลอิส

“...” ฟีโอดอร์ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ถึงเมลูซีนจะหว่านสเน่ห์เพียงใด แต่หมอนี่ดูยังไงก็คนไร้หัวใจชัด ๆ 

“...” รอฟีอัสพยายามทำเป็นไม่ได้ยินเพราะกลัวจะหลงกลของอสุรกายสาวเข้า

“เฮ้ ๆ นี่เธอไม่ได้ยินฉันจริง ๆ ใช่ไหมยัยเงือกร้านกาแฟ!”

“เงียบปากไปเลยยัยขี้เหร่ เก็บปากไว้อมเหรียญเถอะ! เดี๋ยวฉันจะจัดการหล่อนเป็นคนแรกเลยถ้าไม่ยอมเงียบน่ะ” เมลูซีนหันมามองเอโลอิสตาเขียวเมื่อเห็นว่าสาวน้อยผมแดงพยายามขัดขวางการล่อลวงเหยื่อของเจ้าหล่อน

“โอ้โหพูดแบบนี้ขึ้นเลยนะ! นี่มันหยามกันชัด ๆ” เอโลอิสเริ่มถกแขนเสื้อขึ้นสองข้าง ชักไม่แน่ใจแล้วว่าตอนนี้ตัวเองเป็นลูกเทพเฮเฟตัสหรือแอรีสกันแน่

“สักฝุ่นมั้ยล่ะยัยขี้เหร่!”

“ก็เข้ามาเซ่!!!”

“คุณเอโลอิสอย่านะขอรับ เดี๋ยวเรือคว่ำ” เคอร์ติสพูดด้วยความเป็นห่วง

“เฮ้ย! เธอจะทำอะไรน่ะ” 

รอฟีอัสตกใจเมื่อจู่ ๆ เอโลอิสก็ทำท่าจะกระโดดลงเรือไปซัดกับเมลูซีน จนฟีโอดอร์ต้องรีบคว้าตัวเอโลอิสไว้ แต่เท้าของเอโลอิสก็ยังพยายามถีบยัยเมลูซีนที่พยายามจะปีนขึ้นมาตีกับเธอเช่นกัน 

“พี่ฟีโอดอร์ปล่อย ยัยเงือกร้านกาแฟนี่มันต้องเจอสักตั้ง!”

ตู้ม!!!

เอโลอิสพุ่งหลาวลงน้ำแบบหน้าคะมำเนื่องจากตัวเองดิ้นแรงประกอบกับพอฟีโอดอร์ได้ยินว่าให้ปล่อยเขาก็ปล่อยเลยดื้อ ๆ พอไม่มีอะไรรั้งไว้แล้วร่างเลยถลาลงน้ำไปเลยทั้งอย่างนั้น แน่นอนว่าเอโลอิสก็ไม่ได้คาดว่ามันจะเป็นแบบนี้หรอกเธอคิดว่าฟีโอดอร์จะรั้งเธอไว้มากกว่า เธอโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำก่อนจะพ่นน้ำออกมาเป็นเมอร์ไลออน

“พี่ไม่คิดจะรั้งฉันไว้หน่อยเหรอ…”

“อ้าว…ก็คุณบอกให้ผมปล่อยผมก็เลยปล่อย” ต้องยอมรับว่าครั้งนี้ฟีโอดอร์อาจซื่อไปหน่อย

“ฮ่า ๆ ไหน ๆ ก็ลงมาแล้วขอตัวยัยขี้เหร่นี่ไปเลยแล้วกันนะ” เมลูซีนหัวเราะด้วยความสมเพชก่อนจะคว้าร่างของเอโลอิสว่ายออกไป 

“มันเอาตัวคุณเอโลอิสไปแล้วขอรับ!” เคอร์ติสเริ่มเป็นกังวลพอเห็นว่าอสุรกายได้ตัวเอโลอิสไป

“อย่าห่วงเลยยัยนั่นคงไม่ยอมให้โดนเอาตัวไปได้ง่าย ๆ หรอก สิ่งที่เราจะต้องทำคือช่วยยัยนั่นจัดการเมลูซีนนี่ให้มันจบ ๆ อย่าลืมว่าเรามีเวลาอยู่ที่นี่แค่หนึ่งชั่วโมง เวลาดวงอาทิตย์ต้องเดินต่อ”

รอฟีอัสพูดขึ้นก่อนที่เขาจะมองดูเมลูซีนที่คว้าตัวเอโลอิสไปตอนแรก แต่ก็ต้องหยุดว่ายเพราะสาวน้อยผมแดงดิ้นไม่หยุดแถมพยายามขัดขืน แน่นอนว่าเธอกำลังหัวกรุ่นได้ที่เมื่อโดนหาว่าตัวเองหน้าตาขี้เหร่ เอโลอิสต่อยท้องเมลูซีนไปหนึ่งที ด้วยพลังกล้ามแขนประหนึ่งมัชคุงก็ทำเอาเมลูซีนจุกพอสมควรจนปล่อยตัวของเธอลง ทั้งสองมีการต่อสู้กันเกิดขึ้น โชคดีที่เรือพายอยู่ริมฝั่งน้ำมันเลยไม่ได้ลึกอะไรมากมาย แค่ระดับอกของเอโลอิสเพียงเท่านั้น เป็นมนุษย์การต่อสู้ในน้ำก็ทำให้เสียเปรียบเล็กน้อยเพราะเธอไม่ใช่ธิดาของโพไซดอน

“ตายซะเถอะ ยัยขี้เหร่!” 

เมลูซีนพูดก่อนจะใช้เล็บอันแหลมคมตวัดไปทางเอโลอิส ไม่ทันที่กรงเล็บจะสัมผัสกับตัวของสาวน้อย มวลลมก้อนใหญ่ก็ซัดเมลูซีนจนกระเด็นเป็นจังหวะเดียวกับที่โล่น้ำแข็งได้ผุดขึ้นมาขวางกันเอโลอิสไว้ พอเธอมองกลับไปที่เรือก็พบว่าสองหนุ่มกำลังพยายามใช้พลังของตัวเองเพื่อปกป้องเธอไว้ เอโลอิสใช้จังหวะที่เมลูซีนกระเด็นออกไปว่ายน้ำกลับไปที่เรือ ยังไม่ทันถึงเมลูซีนที่เริ่มตั้งหลังได้ก็ว่ายน้ำพุ่งมาอย่างเร็วเพื่อไม่ให้เอโลอิสหนี

“สู้แบบนี้กำจัดมันไม่ได้แน่เราต้องมีอาวุธ” เอโลอิสตะโกนคุยกับสองหนุ่มบนเรือ

“พวกเราไม่ได้เอาอาวุธขึ้นเรือมาด้วย มันอยู่บนรถบัส” รอฟีอัสตอบ

“งั้นก็หาอะไรก็ได้มาทำเป็นอาวุธสิ!” เอโลอิสพยายามถ่วงเวลาแต่สู้กับเมลูซีนเท่าที่เธอจะทำได้

“เรามีไม้พายนะขอรับใช้ได้ไหม?” เคอร์ติสกันไปถามสองหนุ่ม

ฟีโอดอร์ได้ยินดังนั้นก็หยิบไม้พายของตัวเองมาหักด้วยต้นขาของเขาให้มันหักเป็นสองท่อนเพื่อสร้างคมให้กับไม้พายเพื่อที่จะได้ใช้มันเป็นอาวุธ ก่อนจะโยนมันไปให้เอโลอิส แต่ตอนโดนจังหวะลมพัดพอดีไม้พายเลยกระเด็นออกไปทางอื่นลอยออกทะเลไปไกล รอฟีอัสเห็นท่าไม่ดีเลยต้องเอาไม้พายของเขามาหักแทน แล้วรอจังหวะลมสงบโยนให้เอโลอิสอีกครั้ง คราวนี้เอโลอิสคว้าได้เธอใช้ด้านคมของไม้พายแทงเข้าที่หัวใจของเมลูซีน เสียงกรีดร้องดังขึ้น ก่อนที่ร่างของนางจะสลายกลายเป็นละอองสีทอง

“จำไว้นะยะ สวยมักนกตลกมักได้ย่ะ!” เธอกล่าวกับละอองที่กำลังสลายก่อนจะว่ายกลับไปที่เรือ สองหนุ่มก็ช่วยดึงเธอขึ้นมาจนสำเร็จ

“คุณเอโลอิสเป็นอะไรไหมขอรับ?”

“ฉันโอเคดี เรากลับกันเถอะ น่าจะใกล้ถึงเวลาเดินทางต่อแล้ว”

“เหมือนว่าเราจะติดปัญหาบางอย่างนะ…” รอฟีอัสพูดขึ้น

“ทำไมอะ?” เอโลอิสเลิกคิ้วถาม

“เราไม่เหลือไม้พายแล้ว…” 

“ว่าไงนะ!” 

ทุกคนลืมไปเสียสนิทว่ามีไม้พายแค่สองอันและตอนนี้ทั้งสองอันก็หักลองละล่องออกทะเลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ทุกคนลอยเคว้งบนเรือ ดีหน่อยตรงที่เรือมันไม่ไกลจากฝั่งเท่าไหร่นี่แหละ

“เอาไงอะ?” เอโลอิสหันไปถามทั้งสองคน

“ก็คงต้องว่ายกลับฝั่งนั่นแหละครับ” ฟีโอดอร์พูดขึ้นก่อนเขาจะกระโดดลงเรือเป็นคนแรกแล้วว่ายออกไปก่อน

“นายล่ะ?” เอโลอิสหันไปหารอฟีอัส

รอฟีอัสไม่ได้พูดอะไร เขากระตุกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะใช้พลังควบคุมสายลมพยุงร่างของตัวเองให้ลอยขึ้นเหนือเรือแล้วบินกลับฝั่งหน้าตาเฉย เหลือแค่เอโลอิสกับเคอร์ติส เอโลอิสก็เลยจะหันไปถามเคอร์ติส

“แล้วนายล่ะเคอร์ติ—”

พูดยังไม่ทันจบเคอร์ติสก็ไม่อยู่บนเรือแล้วมันบินกลับฝั่งเช่นกัน สุดท้ายเอโลอิสก็เลยต้องยอมกระโดดลงจากเรืออีกรอบแล้วว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งด้วยตัวเอง ก่อนที่ทุกคนจะกลับไปหาเทพอะพอลโลที่รออยู่หน้ารถบัสแล้ว

“สนุกกันไหมเด็ก ๆ ทำไมตัวเปียกกันล่ะเนี่ย เล่นน้ำมาเหรอ?” เทพอะพอลโลมองดูสภาพแต่ละคนที่เหมือนลูกหมาตกน้ำยกเว้นรอฟีอัสที่ตัวแห้งสนิทอยู่คนเดียว

“ประมาณนั้นน่ะค่ะ แหะ ๆ” เอโลอิสไม่อยากให้เรื่องอสุรกายมากวนใจท่านเทพก็เลยไม่ได้เล่าเรื่องนั้นออกไป

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา เสร็จแล้วเราจะได้ออกเดินทางกันต่อ”

ทุกคนกลับไปหยิบกระเป๋าตัวเองเพื่อเอาเสื้อผ้าแห้งมาเปลี่ยนกันคนละจุดตามซอกหินที่ไม่มีใครเห็นจนเรียบร้อยแล้วจึงกลับขึ้นรถมินิบัส การท่องเที่ยวแต่ละที่ยังไม่มีที่ไหนเลยที่ไม่เจออสุรกาย แต่มันก็เป็นหนึ่งในรสชาติของชีวิตนั่นแหละมั้ง… รถมินิบัสเริ่มออกตัวอีกครั้งเหาะขึ้นฟ้าและเดินทางออกจากประเทศกรีซ

“ต่อไปเราจะไปไหนกันดีเด็ก ๆ”

“ข้ามทวีปไหมคะ?”

“จัดไปอย่าให้เสีย”

“ขอเพลงมันส์ ๆ” 

เทพอะพอลโลบอกกับม้า AI ก่อนที่เพลงสุดโจ๊ะจะบรรเลงขึ้น การเดินทางสู่ทวีปที่เหล่าเดมิก็อดไม่คุ้นเคยกำลังจะเริ่มขึ้น หวังเพียงว่าจะไม่เกิดเรื่องวายป่วงขึ้นอีกนั่นแหละนะ…









แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 64315 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2024-6-22 21:46
โพสต์ 64,315 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-6-22 21:46
โพสต์ 64,315 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ทักษะยิงธนู  โพสต์ 2024-6-22 21:46
โพสต์ 64,315 ไบต์และได้รับ +2 EXP +7 ความกล้า จาก สัมผัสกับดัก  โพสต์ 2024-6-22 21:46
โพสต์ 64,315 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก กลศาสตร์  โพสต์ 2024-6-22 21:46

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Ignis Anima
เสื้อแจ็คเก็ตบุนวม
เรือมินิบานาน่า
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ค้อนไฟ
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
กลศาสตร์
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x2
x18
x1
x4
x16
x1
x1
x3
x5
x5
x2
x4
x50
x1
x33
x1
x1
x1
x273
x2
x22
x7
x8
x2
x9
x10
x2
x52
x17
x31
x1
x1
x2
x5
x2
x8
x13
x2
x26
x7
x7
x7
x6
x44
x52
x3
x4
x11
x9
x9
x26
x18
x14
x1
x3
x6
x1
x11
x2
x2
x5
x1
x15
x5
x7
x11
x7
x15
x10
x15
x7
x25
x6
x3
x26
x1
x8
x3
x11
x69
x3
x2
x6
x10
x7
x5
x4
x5
x59
x1
x7
x25
x2
x48
x458
x24
x4
x185
x24
x1
x10
x11
x18
x7
x3
x1
x1
x2
x2369
x1
x39
x1
x1
x7
x1
x11
x3
x1
x1
x808
x25
x1
x1
x1
x3
x1
x198
x16
x16
x2
x14
x88
x13
x59
x391
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้