12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป

[บันทึกการเดินทาง] ทวงคืนราชรถมาเซราติ

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2024-7-17 01:04:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด








ราชรถในรูปของรถบัสเวียนตามวิถีของดวงอาทิตย์จนวนรอบโลกเกือบจะครบหนึ่งรอบ แน่นอนว่าการเที่ยวรอบโลกครั้งนี้ไม่วนรอบเดียวแน่นอนตราบใดที่เหล่าเดมิก็อดยังไม่อยากกลับ ท่านเทพอะพอลโลก็คงต้องพาพวกเขาเที่ยวต่อไปเรื่อย ๆ รอบนี้ทุกคนวางแผนจะมาเที่ยวทางแถบเอเชียซึ่งเป็นเหมือนเมืองลับแลที่ทุกคนไม่เคยพบเจอ พวกเขาเติบโตและใช้ชีวิตทางแถบตะวันตกมาทั้งชีวิตการได้เปิดหูเปิดตาในที่ใหม่ ๆ จึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นไม่น้อย

“เที่ยวเมืองไหนกันดีเด็ก ๆ ?” 

“นั่นสิคะ ตอนนี้เริ่มหิวแล้วด้วยเอาเป็นว่าเราไปเมืองที่ของกินอร่อยดีไหมคะ?”

“โอซาก้าไหมได้ยินว่าของอร่อยเยอะ” รอฟีอัสเสนอ

“เยี่ยมเลย!”

“โอเคได้ งั้นเราไปโอซาก้ากัน พวกเจ้าเปิดเพลงให้มันเข้าธีมหน่อยซิ รถมันเงียบเกินไปถ้าไม่เปิดเพลง” เทพอะพอลโลหันไปบอกเหล่าม้า AI ก่อนที่เพลงจะถูกเปิดขึ้นพร้อมเสียงร้องคลอของเจ้าม้าทั้งหลาย

“Makudonarudo Guguru Toiletto~♪”

“Kitto Katto Dizunilando~♪”

“Takushi go Hoteru Sebun Elebun Miruku~♪”

“Basu Biru Sutabakkusu~♪”
 
พอได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกเอโลอิสก็งงนิดหน่อยว่าเพลงนี้มันเป็นภาษาอะไรกันแน่ ฟังดูอังกฤษก็ไม่ใช่ญี่ปุ่นก็ไม่เชิง จึงได้หันไปถามเจ้าพวกม้าที่กำลังร้องเพลงอย่างเมามันส์

“ขอโทษนะคะ นี่เพลงญี่ปุ่นเหรอทำไมฟังดูแปลก ๆ”

“เขาเรียกว่าภาษา Japanglish เป็นการออกเสียงภาษาอังกฤษสไตล์คนญี่ปุ่นน่ะ จำไว้ก็ดีนะเพราะพอถึงที่นั่นพวกเธออาจจะเจอคำพวกนี้เยอะเลยล่ะ”

“อะ…อ๋อค่ะ” เอโลอิสพยักหน้ารับรู้ไว้แต่ถามว่าเข้าใจไหม…ก็ไม่

“จับแน่น ๆ นะเด็ก ๆ พวกเราจะแลนดิ้งแล้ว” เทพอะพอลโลที่อยู่ในตำแหน่งที่นั่งคนขับค่อย ๆ แลนดิ้งรถมินิบัสลงจอดยังพื้นดินจนนิ่งสนิท เมื่อเสร็จแล้วก็ยกแท่งไฟขึ้นมาสองอัน

“นั่นเอามาทำอะไรเหรอคะ?” เอโลอิสงงนิดหน่อยว่าแท่งไฟนั่นมีไว้ทำอะไร

“มันไม่ใช่ของพวกเจ้าหรอก ของข้าต่างหาก”

“เอ๋?” สาวน้อยเอียงคอสงสัย

“ยินดีต้อนรับสู่ย่านนัมบะ เชิญเที่ยวตามสบายแล้วเราจะมานัดเจอกันที่รถเช่นเคย นี่เงินเยนของพวกเจ้ารับไว้แล้วไปเที่ยวซะ ส่วนข้าใกล้ได้เวลาการแสดงเธียร์เตอร์แล้ว ข้าจะไปดู NMB48”
เหล่าเดมิก็อดรับเงินมาทั้งสามมีท่าทีงงวงยอย่างเห็นได้ชัด จนมีม้า AI ตัวหนึ่งในรถบัสกระซิบว่า

“วงไอดอลน่ะ” เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนถึงได้เข้าใจ

“รออะไรกันล่ะพวกเจ้า ลงรถได้แล้ว!”

ทุกคนทยอยลงจากรถท่านเทพนั้นลงมาหลังสุดก่อนจะแยกไปคนเดียวพร้อมกับฮัมเพลง Durian Shounen ไปด้วยตลองทางจนหายวับไปกับฝูงชน

“บอกตามตรงฉันไม่ค่อยอินกับพวกไอดอลหญิงเท่าไหร่แฮะ ถ้าผู้ชายก็ว่าไปอย่าง…” เอโลอิสพูดขึ้นในขณะที่มองท่านเทพจากไป

“อยากให้พวกเจ้าได้เห็นสภาพท่านเทพสมัยที่ริริป้งประกาศแต่งงานกลางงานเลือกตั้งเสียจริง” ม้า AI อีกตัวพูดขึ้น

“นึกว่าท่านเทพจะไปแย่งมาอะไรแบบนั้นเสียอีก พวกเทพกรีกนี่รู้จักศีลธรรมด้วยเรอะ— #@*$^*&$ (โดนปิดปากจนฟังไม่รู้เรื่อง)”

“เธอน่ะเงียบปากไปเลย พวกปากไม่สร้างสรรค์ รักษาชีวิตไว้เถอะน่า!” เอโลอิสโดนรอฟีอัสจับปิดปากก่อนจะพูดอะไรไปมากกว่านี้

“กว่าการแสดงเธียร์เตอร์จะจบผมว่าคงอีกนาน เราโบกแท็กซี่เที่ยวกันดีไหม?” ฟีโอดอร์เสนอ

“เข้าท่าดีไปกันเถอะ อย่าเสียเวลาเลย” รอฟีอัสเห็นด้วย

ทั้งสามโบกรถแท็กซี่แล้วพากันไปที่ปราสาทโอซาก้าเป็นที่แรก มาถึงโอซาก้าคงจะพลาดสถานที่แห่งนี้ไปไม่ได้หรอกเดินเที่ยวกันจนทั่วก็ไปต่อที่ศาลเจ้าสุมิโยชิ ไทชะ แล้วกลับมาที่ย่านโดทงโบริเพื่อดูป้ายกูลิโกะแต่ไม่กล้าถ่ายรูปเพราะกลัวพวกอสุรกายจะแห่กันมาหา ทริปในครั้งนี้ทุกคนเห็นตรงกันว่าจะไม่ไปเที่ยว USJ เพราะชีวิตทุกวันนี้โลดโผนแฟนตาซียิ่งกว่าสวนสนุกเสียอีก การเล่นเครื่องเล่นคงไม่ได้ทำให้เหล่าเดมิก็อดเลือดสูบฉีดเหมือนก่อนอีกแล้วล่ะ เลยเดินทางกลับมาหาอะไรกินที่ร้านอาหารซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจุดที่รถมินิบัสจอดอยู่เพื่อจะได้คอยมองดูว่าท่านเทพอะพอลโลเดินทางกลับมาถึงรถหรือยัง

“กินอะไรกันดี” เอโลอิสพูดขึ้นหลังจากหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ของร้าน

“เอาอันนี้” รอฟีอัสชี้ในเมนู

การสั่งอาหารเป็นไปด้วยราบรื่นอย่างน่าเหลือเชื่อ แม้พนักงานจะไม่ค่อยได้ภาษาอังกฤษเพราะทุกคนใช้วิธีการชี้รูปอาหารกันอย่างเดียวโดยไม่พูดอะไร ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ เหล่าเดมิก็อดรับประทานอาหารกันอย่างเพลิดเพลิน อย่างไรเสียมื้อนี้ก็ไม่ได้จ่ายเองท่านเทพสปอนทั้งหมด จนกระทั่งเมื่อถึงตอนเช็คบิล…

“อิ่มมากเลยแฮะ” รอฟีอัสลูบพุง

“งั้นกินเสร็จแล้วก็คิดเงินกันเลยดีกว่าเนอะ”

“อืม”

“บิลพลีสสสสส” เอโลอิสยกมือขึ้นเพื่อเรียกพนักงานให้มาคิดเงินค่าอาหาร

“บีรุ?” พนักงานเลิกคิ้วถาม

บีรุ…อะไรวะ?...เอโลอิสแอบงงเล็กน้อย แต่ก็นึกถึงคำพูดของเหล่าม้า AI ได้ตอนที่พวกมันร้องเพลง หรือว่านี่จะเป็น Japanglish ใช่ไหมล่ะ!!! แหมรู้ทันนะจะบอกให้ แสดงว่าบีรุมันต้องแปลว่าบิลแน่ ๆ เลย เมื่อมั่นใจดังนั่นจึงตอบพนักงานไปว่า

“เยส บีรุ!”

“ออล?”

“เยส ออล…ทุกคนเลย” คิดตังค์ทุกคนเลยสิคะ…

พนักงานเผยรอยยิ้มบนใบหน้า พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ว่าเข้าใจสิ่งที่เอโลอิสกำลังสื่อ จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปที่หลังร้านสักพัก แล้วกลับมาพร้อมกับเบียร์แก้วใหญ่สามแก้วเสิร์ฟบนโต๊ะของเหล่าเดมิก็อดแล้วเดินจากไป

เอ๋?...

เดี๋ยวนะ…

ต้องมีอะไรผิดพลาดตรงไหน…

“เอ่อ…ทำไมเขาเอาเบียร์มาเสิร์ฟ?” เอโลอิสหันไปถามสามหนุ่ม

“ไม่รู้สิ เธอบอกเขาว่าไงนะ?” รอฟีอัสถาม

“ก็เขาถามว่าบีรุใช่ไหม บีรุไม่ได้แปลว่าบิลเหรอ?”

“บีรุมันแปลว่าเบียร์ไม่ใช่เหรอครับ?” ฟีโอดอร์เอ่ยปากถาม ด้วยความที่เคยเป็นสายลับมาหลายที่ ไม่แปลกที่เขาจะพอรู้คำศัพท์ง่าย ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ มาบ้าง

“...”

“...”

บรรยากาศเงียบไปครู่หนึ่ง…พร้อมสายตาจากเอโลอิสและรอฟีอัสมองไปที่ฟีโอดอร์ประมาณว่าแล้วทำไมเพิ่งมาบอก!

“เอ่อ…แล้วทำไมเพิ่งมาบอกคะ…”

“ผมก็นึกว่าพวกคุณรู้อยู่แล้ว”

“หน้าฉันมันดูฉลาดขนาดนั้นเลยเหรอคะพี่?”

“เอ่อ…ก็ไม่ครับ”

“ขอบคุณค่ะ” เหมือนโดนหลอกด่าแปลก ๆ…

“เอาเป็นว่าสั่งมาแล้วจะคืนก็คงไม่ได้ งั้นพวกจัดการให้หมดก็แล้วกัน”

“นายยังเป็นเยาวชนอยู่นะรอฟีอัส” แน่นอนว่าทั้งสองคนยังไม่บรรลุนิติภาวะกันเลยด้วยซ้ำไป

“นี่พวกเราอยู่ญี่ปุ่นนะ ไม่มีใครรู้หรอกว่าพวกเราอายุไม่ถึงน่ะ ลำพังชาวตะวันตกอยากพวกเราก็หน้าไปไกลกว่าอายุอยู่แล้ว ใครเขาจะมาเช็คอายุกันเล่า!” รอฟีอัสพูดขึ้น

“เออก็จริง”

“ดื่ม ๆ ไปเถอะ ไหน ๆ ก็ต้องจ่ายเงินแล้วน่ะ”

“งั้นก็ได้!” 

อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอโลอิสดื่มเบียร์อยู่แล้วล่ะ มันก็ต้องเคยมาบ้าง เอโลอิสคว้าแก้วของตัวเองขึ้นมา กำลังจะยกดื่มให้มันหมด ๆ ไป แต่แล้วก็พบว่าไม่มีของเหลวใด ๆ ไหลเข้ามาในปากเลยเมื่อกระดกแก้ว…

“เอ๋?”

เธอมองดูแก้วของเธอแล้วพบว่ามันว่างเปล่า…

“รอฟีอัสนี่นายชวนฉันคุยแล้วขโมยแก้วของฉันไปดื่มงั้นเหรอ!”

“จะบ้าหรือไงฉันก็หันไปคุยกับเธอมันจะเป็นฉันได้ไงที่ขโมยเบียร์ของเธอน่ะ!”

ก็จริงของเขา…

“งั้นเธอเอาของฉันไปก็ได้ ขี้บ่นจริง…อะ…เอ๋?”

แก้วที่รอฟีอัสหยิบขึ้นมาก็กลายเป็นแก้วเปล่าไปเช่นกัน…

“พี่ฟีโอดอร์!” / “คุณฟีโอดอร์!” ทั้งสองพูดพร้อมกันแล้วหันไปมองฟีโอดอร์พร้อมกัน

“ผมเปล่า แก้วของผมก็เบียร์หายไป”

“แล้วมันหายไปได้ยังไงคะ?”

“ผมไม่รู้ก็หันไปมองพวกคุณคุยกัน รู้ตัวอีกทีเบียร์ก็หายไปแล้ว”

“ขอกระผมพูดอะไรหน่อยได้ไหมขอรับ?” เสียงของเคอร์ติสดังออกมาจากกระเป๋าเป้ของเอโลอิส

“ว่ามาเคอร์ติส”

“กระผมคิดว่าได้กลิ่นของอสุรกาย…”

“อย่าบอกนะว่า…”

“อาจเป็นอสุรกายที่ขโมยเบียร์ของพวกคุณไปก็ได้นะ ขอรับ”

“อสุรกายอย่างงั้นเหรอ เอาเถอะตราบใดที่มันไม่ได้ขโมยของมีค่าก็ไม่จำเป็นต้องตามมันไปหรอก—”

จังหวะที่พูดเอโลอิสมองออกไปนอกร้านผ่านกระจกซึ่งจะเห็นราชรถจอดอยู่ได้อย่างชัดเจนแล้วก็พบว่ามีตัวอะไรไม่รู้ลงมาจากรถบัสพร้อมลังเบียร์กินเนสส์ของท่านเทพอะพอลโล จากนั้นมันก็วิ่งออกไป

“เฮ้ย!” รอฟีอัสโพล่งออกมาก่อนคนแรก

“แย่ล่ะ! มีขโมย” ฟีโอดอร์พูดเสริม

“เราต้องรีบตามไปนะ เกิดลังเบียร์อยู่ไม่ครบแล้วท่านเทพกลับมาได้ระเบิดลงแน่!” เอโลอิสไม่อยากจะคิดภาพของเทพพิโรธเลย ถึงแม้จะเป็นเบียร์ลังเดียวก็เถอะ แต่พวกเทพกรีกน่ะนิสัยงี่เง่าเกินกว่าใครจะคาดเดา

“งั้นรีบคิดเงินแล้วไปกันเถอะ!”

“โอเค งั้นคิดเงินเลยเนอะ ขอบิลด้วยค่าาาาาาาาา!!!!” เอโลอิสยกมือเรียกพนักงานอีกครั้ง ด้วยความเร่งรีบ

“ไฮ้! บีรุ!” พนักงานพูดพร้อมยกเบียร์มาอีกแก้ว

“ไม่ใช่โว้ยยยยย!!!”

เอโลอิสตัดสินใจส่งรอฟีอัสวิ่งตามขโมยล่วงหน้าไปก่อน ส่วนเธอกับฟีโอดอร์ก็เคลียร์กับร้านอยู่นานกว่าจะเข้าใจกันว่าบิลของฉันและเธอนั้นความหมายต่างกัน ในที่สุดทั้งสองก็สามารถจ่ายเงินค่าอาหารได้สำเร็จลุล่วงเล่นเอาเหงื่อตกไม่น้อย ครั้นจะหยิบกูเกิ้ลทรานสเลทมาแปลก็กลัวว่าใช้สัญญาณเน็ตแล้วพวกอสุรกายจะแห่ตามกันมาเลยต้องใช้ภาษามือบวกการสื่อสารแบบงู ๆ ปลา ๆ จนสามารถสื่อสารกันได้ในที่สุด หลังจากที่เดินออกจากเอโลอิสและฟีโอดอร์ก็รีบวิ่งไปสมทบรอฟีอัส ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเวลานี้ที่ต้องตามเพื่อนไปเธอจะต้องยอมใช้โทรศัพท์จนได้ เมื่อได้รับการแชร์โลเคชั่นจากรอฟีอัสแล้วก็มุ่งหน้าไปตามทางทันที ทั้งที่รู้ว่าวิธีนี้นั้นเสี่ยงที่จะเรียกอสุรกายมาเพิ่มเป็นที่สุดก็เถอะ

“ไหน ๆ เจ้าตัวหัวขโมยนั่นอยู่ไหน รอฟีอัส”

“ทางนั้น” รอฟีอัสชี้ไปที่เจ้าตัวการที่กำลังถือลังเบียร์วิ่งหนีไปยังซอกตึก

“นี่มันแรคคูนนี่!”

“ไม่ใช่หรอกขอรับ เจ้าตัวนี้ไม่ใช่แรคคูน แต่เป็นบาเกะดานูกิขอรับ” เคอร์ติสช่วยแก้ให้

“ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่บาเกะดานูกิหรอกนะครับที่พวกเราตามหา แต่อย่างอื่นด้วยที่ตามเรามา…” ฟีโอดอร์พูดพร้อมเงยหน้าขึ้นของสิ่งมีชีวิตที่ลอยอยู่เหนือพวกเขา

“ขุ่นพระ! นั่นตัวอะไรน่ะ?” 

“เจ้านั่นเรียกว่า เท็งงุ ขอรับแต่แปลกจัง ปกติมันจะอยู่ในป่านะขอรับ หรือว่ามีอะไรที่ทำให้มันตามมา?”

“มีใครได้ใช้สัญญาณมือถือถตามฉันมาหรือเปล่า?” รอฟีอัสหันไปถามทั้งสองคน

“เอ่อ…ก็ใช่…” เอโลอิสและฟีโอดอร์ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด

“ชัดเลย!” 

“แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกน่า ตอนนี้ที่พวกเราต้องทำคือกำจัดอสุรกายพวกนี้แล้วเอาลังเบียร์กลับไปที่รถก่อนที่ท่านเทพจะกลับมาแล้วพบว่าเบียร์หายไปลังนึงแล้วพิโรธ สร้างภัยพิบัติขึ้นมา”

ฟังดูเหตุผลออกจะกิ๊กก๊อกแต่สาเหตุเล็ก ๆ พวกนี้พังโลกมานักต่อนักแล้วถ้าส่วนประกอบของสมการมันมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เทพกรีก’ อยู่ในนั้นด้วย

“งั้นรีบจัดการให้เสร็จเถอะ”

“เคอร์ติสปกป้องลังเบียร์อย่าให้แตก พวกฉันจะจัดการกับพวกอสุรกายเอง!” เอโลอิสหันไปบอกกับเคอร์ติส

“รับทราบขอรับ!” เคอร์ติสรับคำแล้วรีบเดินไปเฝ้าลังเบียร์ที่เจ้าอสุรกายวางไว้หลังจากที่มันจนมุมอยู่แถวซอกตึก

การต่อสู้เริ่มขึ้นเหล่าเดมิก็อดแต่ละคนชักอาวุธของตัวเองออกมา นอกจากที่เคอร์ติสจะเฝ้าลังเบียร์แล้วสายตาของมันยังต้องคอยดูต้นทางเอาไว้ด้วยเผื่อมีใครผ่านมาเห็นฉากการต่อสู้ในซอกหลืบบริเวณนี้ ทางฝั่งฟีโอดอร์ที่มีอาวุธประจำกายเป็นปืนเขาเลือกที่จะโจมตีไปทางเท็งงุเพราะเป็นตัวที่น่าจะต่อกรยากกว่า ที่สำคัญคือมันมีปีกจึงใช้อาวุธคู่กายกำจัดจุดแข็งของมันเสียก่อน

ปุ ปุ ปุ!

เสียงปืนไม่ได้ดังลั่นทั่วบริเวณแต่อย่างใด เนื่องจากฟีโอดอร์ฉลาดพอที่จะใส่ที่เก็บเสียงก่อนการลั่นไกในนัดแรกเพื่อไม่ให้บริเวณโดยรอบผิดสังเกต ระหว่างนั้นเอโลอิสและรอฟีอัสก็กำลังต่อสู้กับเจ้าบาเกะดานูกิด้วยอาวุธที่มี รอฟีอัสทำการต่อสู้ระยะประชิดด้วยการเตะต่อยส่วนเอโลอิสเองก็พยายามเล็งธนูของตัวเองให้แม่น แต่พอเพื่อนตัวเองกำลังใส่นัวอยู่เธอก็เกรงว่าจะยิงไม่แม่นพอจึงต้องตะโกนบอกอีกฝ่ายให้ถอยไป

“รอฟีอัสนายช่วยผละออกจากมันหน่อยได้ไหม ฉันเล็งยิงไม่ได้!”

“ฝีมือเธอมันง่อยขนาดนั้นเลยหรือไง?”

“อยากตายหรือไง ถ้าไม่ลบแล้วธนูปักฉันไม่รู้ด้วยหรอกนะยะ!”

“ก็อย่ายิงให้โดนฉันเซ่!” 

พูดน่ะมันง่ายแต่ทำยากชะมัด…

“ก็ได้วะ…” เธอพูดกับตนเองเบา ๆ ก่อนจะเริ่มตั้งสมาธิเอาเทคนิคทุกอย่างที่เคยฝึกฝนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในใจก็ภาวนาขอพรจากเทพเฮเฟตัสและเทพซุสบิดาของอีกฝ่ายให้ช่วยคุ้มครองลูกตัวเองจากธนูที่เธอกำลังจะยิงออกไปด้วย…เอโลอิสดึงสายธนูจนตึงก่อนปล่อยออกไป สายตาของเธอลุ้นอย่างหนักเบื้องหน้ารอฟีอัสกับบาเกะดานูกิยังคงฉุดกระชากลากดึงกันอย่างหนัก ลูกธนูที่ยิงออกไปอย่างรวดเร็วกลับดูช้าไปหมดเมื่อเป็นสถานการณ์ที่ลุ้นระทึกเช่นนี้มันเฉี่ยวหน้าของรอฟีอัสไปแบบฉิวเฉียดก่อนจะไปเฮดช็อตกลางหน้าผากของบาเกะดานูกิ ขิตคาที่…

ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าปาฏิหารย์มีจริง…


“นายมีของขลังอะไรกันนะ…”

“ฉันน่ะไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า!”

“นี่พวกคุณน่ะ ถ้ากำจัดเจ้าตัวนั้นได้เลยก็มาช่วยทางนี้หน่อย ผมยิงปีกมันทั้งสองข้างแล้วที่เหลือก็แค่เก็บมันซะ” ฟีโอดอร์ตะโกนเรียกทั้งสองคนที่ยังคงยืนคุยกันมองดูซากบาเกะดานูกิสลายหายไป

“อ๋อโอเคค่ะ” เอโลอิสเมื่อเห็นว่าเท็งงุบาดเจ็บที่ปีกจนไม่สามารถบินได้เธอก็รีบยิงธนูไปอีกหลายดอกปักไปที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายของมัน โดนบ้างไม่โดนบ้าง เมื่อเน้นที่ความแม่นไม่ได้ก็จงเน้นที่ปริมาณ เธอยิงไปหลายต่อหลายลูกจนกระทั่งมันทนพิษบาดแผลไม่ไหวและร่างสลายไปในที่สุด

“จบสักทีสินะ”

“ลังเบียร์ทางนี้ปลอดภัยดีขอรับ” เคอร์ติสตะโกนบอกทุกคน

“ในเมื่อกำจัดมันได้แล้วพวกเราก็รีบกลับไปที่รถเถอะครับผมว่าท่านเทพอาจจะใกล้ถึงแล้ว” ไม่พูดเปล่าเขายังชี้ไปที่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้าซอกตึกที่ดูเหมือนจะมีแท่งไฟแบบเดียวกับท่านเทพซึ่งน่าจะเพิ่งกลับมาจากงานเดียวกัน แสดงว่าการแสดงอาจจะจบแล้วจริง ๆ

ทั้งสี่รีบแบกลังเบียร์วิ่งกลับไปยังรถมินิบัสอย่างเร่งรีบ ก่อนจะวิ่งเอาลังเบียร์กลับขึ้นไปวางบนรถได้ทันเวลาก่อนที่ท่านเทพจะเดินทางมาถึงรถแค่เพียง 5 นาที นับว่าฉิวเฉียดเอาเรื่อง

“มากันแล้วเหรอเด็ก ๆ”

“ใช่ค่ะ การแสดงเป็นยังไงบ้างคะ?” เอโลอิสทักทายท่านเทพราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่จริงเธอเหนื่อยแทบแย่กับการวิ่งมายังรถเมื่อสักครู่

“ยอดเยี่ยมทีเดียว สาว ๆ น่ารักกันมาก พวกเจ้าน่าจะได้เห็น”

“ดีใจที่ท่านมีความสุขค่ะ”

“ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นหรอกใช่ไหม?”

“ไม่มี๊!” เอโลอิสตอบเสียงสูง

“งั้นก็ดีขึ้นรถกันเถอะเราต้องออกเดินทางต่อแล้ว”

ทุกคนทยอยกันขึ้น ก่อนที่ท่านเทพจะเริ่มสตาร์ทรถยังมีแอบหันมาท้ายรถเพื่อนับจำนวนลังเบียร์ที่วางอยู่ เมื่อพบว่ามันอยู่ครบจึงหันกลับไปแล้วเริ่มออกรถเดินทางทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง เดมิก็อดทั้งสามรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่ทุกอย่างกลับมาเข้ารูปเข้ารอย แต่การเดินทางจุดหมายถัดไปจะเป็นอย่างไรคงต้องลุ้นกันต่อไป....













แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 58828 ไบต์และได้รับ 30 EXP!  โพสต์ 2024-7-17 01:04
โพสต์ 58,828 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-7-17 01:04
โพสต์ 58,828 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ทักษะยิงธนู  โพสต์ 2024-7-17 01:04
โพสต์ 58,828 ไบต์และได้รับ +2 EXP +7 ความกล้า จาก สัมผัสกับดัก  โพสต์ 2024-7-17 01:04
โพสต์ 58,828 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก กลศาสตร์  โพสต์ 2024-7-17 01:04

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +8 ย่อ เหตุผล
God + 8

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x3
x1
x1
x3
x3
x9
x3
x1
x10
x10
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x58
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x344
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x2
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x67
โพสต์ 2024-10-2 01:31:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด










“นี่ยัยขี้เซาตื่นได้แล้ว”

เสียงอันแสนคุ้นเคยดังขึ้นปลุกให้เอโลอิสตื่นจากห้วงนิทราไม่ใช่ใครอื่นนอกจากรอฟีอัสสหายคู่กัดคนเดิม เดาได้เลยว่าหลังจากกลับไปถึงค่ายเขาคงไม่คิดที่จะมาร่วมภารกิจกับเอโลอิสอีกแน่ ดูจากความน่าปวดหัวที่สาวเจ้าสร้างไม่เว้นแต่ละวันแล้วแต่ละคนคงจะเข็ดน่าดู

“ถึงแล้วเหรอ?”

“ถึงแล้ว”

“ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน—”

ตาของสาวน้อยเบิกกว้างเมื่อพบว่าด้านนอกหน้าต่างของรถมินิบัสเป็นภาพของทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา มองไปทางไหนก็มีแต่ทรายกับภูเขาหินทราย เธอลองขยี้ตาดูอีกทีเพื่อความแน่ใจแล้วเพ่งออกนอกหน้าต่างอีกครั้งก็ยังคงเป็นภาพของทะเลทรายอยู่ดี

“ท่านเทพอะพอลโลพาพวกเราออกนอกโลกมาดาวอังคารเหรอ?”

“นี่สาวน้อยคิดว่าข้าจะพาพวกเจ้าไปตะลุยอวกาศกันหรืออย่างไร ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกโลกยังต้องการแสงอาทิตย์ จงเพ่งสายตามองออกไปให้ดี ๆ เรายังอยู่กันบนโลก”

“เพ่งแล้วค่ะ แต่ข้างนอกมีแต่ทราย” เอโลอิสหันไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง

“ถูกต้องมาทะเลทรายก็ต้องมีแต่ทรายสิ” ท่านเทพอะพอลโลตอบอย่างอารมณ์ดี

“ทะเลทรายเหรอคะ?”

“ใช่ ยินดีต้อนรับสู่ทะเลทรายวาดิรัมเด็ก ๆ”

เอโลอิสหัวเราะแห้ง ก่อนที่เธอจะรีบคว้าคอรอฟีอัสให้ก้มลงไปคุยกันที่หลังเบาะรถ ท่านเทพจะได้ไม่ทันสังเกตว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน

“นี่ใครเป็นคนบอกท่านเทพว่าอยากมาทะเลทรายฮะ?” 

“ใครจะไปรู้ตอนที่เธอหลับก็แค่คุยกับคุณฟีโอดอร์ว่าทะเลทรายของจริงมันหน้าตาเป็นยังไง ท่านเทพได้ยินเข้าพวกเราก็เลยมาจบอยู่ที่นี่ ประเทศจอร์แดน” รอฟีอัสเล่าสาเหตุให้เอโลอิสฟัง

“จอร์แดน!!!” 

เธอทำตาโตอีกครั้งอันที่จริงประเทศนี้มีที่เที่ยวที่น่าสนใจมากมายหลากหลายแต่เธอไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าได้มาจอร์แดนทั้งทีกลับถูกส่งมายังทะเลทราย แถมท่านเทพคงไม่อยากให้มีผู้ใดรบกวนเลยพามาจอดที่โซนซึ่งไร้นักท่องเที่ยวเสียด้วย แล้วแบบนี้จะมาทำไมก่อน?

“เด็ก ๆ ไปนั่งทำอะไรอยู่ที่พื้นลุกขึ้นมาเร็ว” เสียงท่านเทพอะพอลโลร้องเรียกเมื่อพบว่าเดมิก็อดทั้งสองแอบไปนั่งคุยกันบนพื้นรถหลังเบาะ เอโลอิสหัวเราะแห้งอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นมาทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้แอบคุยอะไรลับหลังแม้แต่น้อย

“ว่าแต่ด้านนอกมีแต่ทะเลทรายแล้วเราจะเดินเที่ยวยังไงเหรอคะ?”

“อูฐไงไม่ต้องห่วงข้าเตรียมไว้ให้พวกเจ้าแล้ว ทำเวลาหน่อยเดี๋ยวต้องรีบไปกันต่อเราจะแวะที่นี่ไม่นานอากาศร้อนแบบนี้ข้าไม่อยากจอดที่นี่นานเท่าไหร่”

แม้จะยังงง ๆ ที่โดนพามาเที่ยวกลางทะเลทรายแต่ทุกคนก็ยอมลงรถมินิบัสแต่โดยดี อูฐสามตัวยืนน้ำลายยืดรออยู่ข้างรถมินิบัส พอพวกเขาหันไปหาเทพอะพอลโลก็พบว่าอีกฝ่ายหายไปไหนก็ไม่รู้ หมายความว่าเจ้าอูฐพวกนี้มีไว้เพื่อเฉพาะเดมิก็อดสามคน ทั้งสามถอนหายใจแทบจะพร้อมกัน

“แล้ว…อูฐมันขี่ยังไง?” เอโลอิสเปิดประเด็น

“ผมก็ไม่รู้” ฟีโอดอร์ตอบ

“ก็ลองดู” 

สุดท้ายแล้วด้วยความที่ขี่อูฐไม่เป็นสักคนแทนที่การเดินเที่ยวกลางทะเลทรายครั้งนี้จะเป็นการโดยสารอูฐอย่างที่ควรจะเป็น แต่ภาพที่เห็นกลับกลายเป็นเดมิก็อดสามคนเดินลุยทรายจูงอูฐท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้าง พวกเขาพยายามขีดสัญลักษณ์ไว้ตามหินทรายเพื่อที่จะได้ไม่หลงทางในตอนกลับมา บอกตามตรงว่ามันไม่มีอะไรให้ดูเลยสักนิด

ตุ๊บ!!!

“โอ๊ยยยยย!” เอโลอิสสะดุดล้มหน้าจุ่มทรายเชือกที่จูงอูฐหลุดออกจากมือโชคดีที่เจ้าอูฐไม่ได้เตลิดหนีไปไหน 

“เดินยังไงให้สะดุดทราย เธอนี่มันเกินเยียวยาจริง ๆ” รอฟีอัสส่ายหัว

เอโลอิสไม่ได้สนใจสิ่งที่รอฟีอัสพูดเพราะรู้สึกว่าเท้าของเธอไม่ใช่การสะดุดทรายแน่นอน หากแต่มีบางสิ่งฝังอยู่ใต้ทรายนั้น เธอก้มลงแล้วขุดทรายที่กลบหน้าของมันออกจนพบเข้ากับตะเกียงเก่าที่ฝังตัวอยู่ใต้ผืนทรายแห่งนี้มาเนิ่นนาน

“ตะเกียงอะไรเนี่ย?”

“คงเป็นของพวกพ่อค้าที่เดินทางค้าขายผ่านทางนี้” ฟีโอดอร์ลองวิเคราะห์ความเป็นไปได้

“ฝังในทรายมานานเขรอะเชียว” 

สาวน้อยใช้มือปัด ๆ ฝุ่นออกจากตะเกียงหมายจะทำให้มันสะอาดขึ้นแต่จู่ ๆ ตะเกียงก็เกิดการสั่นสะเทือนควันสีน้ำเงินคละคลุ้งเดมิก็อดทั้งสามไอค่อกแค่ก ควันนั้นค่อย ๆ เลือนหายไปก่อนจะปรากฏร่างของสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์แต่ดูเพียงแว่บเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่มนุษย์ปกติแน่

“ลุง…เป็นใคร?...”

เอโลอิสขมวดคิ้วมองดูชายปริศนาที่โผล่มาจากตะเกียงราวกับนิทานอาละดินไม่มีผิด ทั้งสามคนมองเขาตาไม่กะพริบ ดูเหมือนว่าชายคนนั้นก็รู้สึกตกใจไม่น้อยที่ทั้งสามมองเห็นเขาโดยปกติแล้วคนทั่วไปจะไม่สามารถมองเห็นได้ยกเว้นว่าจะเป็นพวกมีเซ้นส์ 

“พวกเจ้า…มองเห็นข้าหรือ?”

“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ แกเป็นญินใช่ไหมล่ะ?” เคอร์ติสถามโพล่งออกไป

“แล้วทำไมนกกระทานั่นถึงพูดได้?”

“ก็กระผมเป็นนกกระทาของท่านเทพเฮเฟตัส”

“ที่แท้พวกเจ้าก็เป็นครึ่งเทพนี่เองถึงได้มองเห็นข้า… ต้องขอบคุณพวกเจ้าแล้วที่ได้ปลดปล่อยข้าจากการจองจำมานานแสนนาน เห็นทีต้องให้รางวัลเสียแล้ว…เอาอะไรดีล่ะ…ความตายดีไหม?” ญินตนนั้นแสยะยิ้มออกมาดูก็รู้ว่าไม่ใช่ญินที่ดีแน่

“ถ้างั้นพวกฉันก็จะไม่ออมมือเหมือนกัน พวกเราลุย!”

ไม่ว่าเหล่าเดมิก็อดจะลงเหยียบที่ใดเป็นอันต้องเจออสุรกายทุกครั้งไปทั้งสามค่อนข้างที่จะเคยชินแล้ว จึงได้ทำการพกอาวุธของค่ายติดตัวไว้ตลอดเวลา เจ้าญินตัวนี้หลบหลีกได้อย่างรวดเร็วสมกับคำที่กล่างว่าความไวเป็นของปีศาจแถมยังบินได้ด้วย แต่มันคงไม่รู้ว่ารอฟีอัสก็บินได้เหมือนกันด้วยพลังการควบคุมลม เขารวบรวมเอามวลลมซัดใส่ญินอย่างแรงจนร่างมันร่วงลงมาที่พื้น ในขณะที่ฟีโอดอร์ก็ช่วยสร้างโล่น้ำแข็งขึ้นมาเพื่อป้องกันพลังที่ต่าง ๆ ที่ญินซัดเข้ามี มีเพียงเอโลอิสคนเดียวที่ไม่มีพลังแฟนตาซีอะไรนอกจากทนไฟซึ่งใช้ไม่ได้กับสถานการณ์นี้เลยสักนิด เธอเลยต้องใช้วิธีแมนนวลยิงธนูวนไป สามรุมหนึ่งไม่ชนะก็บ้าแล้ว…หลังจากรุมสหบาทากันอยู่พักใหญ่ศรสุดท้ายของเอโลอิสก็ยิงเข้าที่หัวใจของมันจนร่างแหลกสลายเป็นละอองไปในที่สุด

“เจอเจ้านี่เข้าไปหมดอารมณ์เที่ยวต่อเลยร้อนชะมัด”

“งั้นก็กลับไปที่รถกันเถอะ”

ทั้งสามเดินทางกลับโดยอาศัยสัญลักษณ์ที่ขีดไว้ตามหินทรายเป็นจุดระบุทิศทางจนในที่สุดก็จูงอูฐกลับมาที่รถได้สำเร็จ ท่านเทพอะพอลโลก็ดูเหมือนจะรออยู่ที่รถแล้ว ทุกคนจึงเดินกลับเข้ามาในรถ

“ทำไมกลับมาเร็วจัง”

“มันไม่ค่อยมีอะไรให้ดูเท่าไหร่น่ะค่ะ”

“ไม่มีตรงไหนนี่ไงทะเลทรายเต็มไปหมด” ท่านเทพผายมือไปรอบ ๆ 

“แล้วทำไมท่านไม่ลงไปเที่ยวกับพวกเราล่ะคะ?” 

“ข้าไม่ชอบทราย…มันร่วนและหยาบทําให้ผิวหนังแสบและมันก็เข้าไปทุกที่”

“บทพูดคุ้น ๆ นะคะ…”

“ช่างเถอะเอาเป็นว่าจะไปไหนกันต่อ?” ท่านเทพหันมาถามทุกคน

“กลับอเมริกาเถอะครับ ผมว่าพวกเราเที่ยวกันมานานมากแล้ว” รอฟีอัสรีบเสนอในทันที เห็นได้ชัดว่าเขามาถึงจุดอิ่มตัวในการเดินทางเต็มทีแล้ว

“ถ้างั้นเพื่อเป็นการทิ้งท้ายข้าจะพาพวกเจ้าเที่ยวอเมริกาให้ครบทุกรัฐเลยเป็นไง ฮ่า ๆ ๆ”

เดมิก็อดทั้งสามกรอกตามองบนเมื่อรู้ชะตากรรมว่าการเดินทางนี้คงยังไม่จบสิ้นง่าย ๆ แน่ ราชรถในคราบมินิบัสทะยานขึ้นบนท้องฟ้าเดินทางออกจากประเทศจอร์แดน มุ่งตรงสู่ดินแดนแห่งเสรีภาพ ฟังจากการสนทนาของพวกม้า AI เอโลอิสก็พอจะจับใจความได้ว่าสถานที่ที่กำลังจะไปคือรัฐแคลิฟอร์เนีย ใช้เวลาเดินทางพักใหญ่นั่งหลับกันไปหลายตื่นจนในที่สุดก็ถึงน่านฟ้าเขตแคลิฟอร์เนีย

“เอ่อ…แบบว่า…” เอโลอิสยกมือขึ้นสูงเหมือนมีบางอย่างจะพูด

“มีอะไรเหรอสาวน้อย” เทพอะพอลโลหันไปถาม

“หนูปวดชิ้งฉ่อง…”

“เรายังเดินทางไม่ถึงเขตเมืองเลยนะ กำลังบินผ่านป่าเมียร์วูดส์อั้นไว้ก่อนได้ไหม” ม้า AI ตัวหนึ่งกล่าวเพราะมันเองก็เร่งเครื่องสุดกำลังแล้ว

“ลงจอดป่าก็ได้ค่ะ ไม่ไหวแล้วจริง ๆ” ไม่ว่าสุขาจะเป็นรูปแบบไหนในตอนนี้เอโลอิสไม่สนแล้ว ต่อให้ต้องนั่งปล่อยในพงหญ้าก็ไม่เกี่ยง

“งั้นก็ลงจอดในป่าเมียร์วูดส์นี่แหละ ให้สาวน้อยผู้นี้ได้ทำธุระส่วนตัว”

รถมินิบัสลงจอดที่กลางป่าอันเงียบสงบพอประตูเปิดเอโลอิสก็รีบพุ่งตัวออกไปทันที โดยมีเสียงไล่หลังของเทพอะพอลโลว่าให้ระวังสิ่งมีชีวิตบางอย่างในป่า เวน ๆ อะไรสักอย่างฟังไม่ถนัด สาวน้อยผมแดงวิ่งมาไกลพอที่จะไม่มีใครเห็นจากนั้นก็เข้าพงหญ้าที่ใกล้ที่สุดทำธุระของตัวเองให้เรียบร้อย

“เสร็จหรือยัง?”

“เฮ้ยยยยย!” เอโลอิสแทบจะสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงของรอฟีอัสทียืนหันหลังให้อยู่หน้าพงหญ้า “พวกนายมาอยู่นี่ได้ยังไง” เธอรีบใส่กางเกงในทันทีที่ทำธุระเสร็จแล้วเดินออกมาจากพงหญ้าเพื่อพบกับทั้งสองคน

“ก็ไม่ได้อยากมานักหรอกแต่เทพอะพอลโลไม่อยากให้เธอเข้าป่าคนเดียวเลยให้พวกฉันมาเป็นเพื่อน ไม่ต้องห่วงไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแล้วก็ไม่อยากดูด้วย”

“ชิ!” เอโลอิสเบะปาก

“ว่าแต่…นี่เธอมาปลดทุกข์หนักหรือไงถึงได้เหม็นขนาดนี้ไหนบอกว่ามาชิ้งฉ่องที่แท้ก็ขี้แตก”

“นายว่าไงนะ! จะบ้าเหรอ! อย่ามากล่าวหากัน  จมูกนายพังหรือไงกลิ่นเน่าขนาดนี้จะเป็นขี้ไปได้ยังไง”

“พวกคุณคิดว่ามาจากเจ้าตัวนั้นไหม?”

ฟีโอดอร์ชี้ไปที่อสุรกายรูปร่างผอมแห้งลักษณะเหมือนครึ่งคนครึ่งกวาง กลิ่นของมันนั้นสุดจะบรรยายราวกับว่าไส้เน่าไปทั้งร่าง เอโลอิสรีบไปหลบหลังฟีโอดอร์ทันที เธอเอามือมาปิดจมูกเอาไว้เพราะได้กลิ่นแล้วขมคอ

“หรือนี่จะเป็นเวนดิโกที่เทพอะพอลโลบอก”

“ถามเคอร์ติสสิ…เคอร์ติส—” เอโลอิสมองหาเจ้านกกระทาที่ปกติตัวติดกับเธออย่างกับอะไร

“เคอร์ติสอยู่ที่รถครับ…หลับ…”

“เจ้านกบ้าเอ้ย มาหลับอะไรตอนนี้” เธอบ่นอุบอิบ

เวนดิโก้เมื่อเห็นเหยื่อที่เป็นเดมิก็อดกลิ่นหอมหวนก็นึกอยากที่จะจัดการแล้วจับกินเสีย มันไม่รอช้าที่จะเริ่มจู่โจม เดมิก็อดทั้งสามไม่ได้พกอาวุธอะไรลงมาด้วยเพราะตอนแรกตั้งใจแค่จะลงมาชิ้งฉ่องจึงไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาเพื่อเจออะไรแบบนี้ ทุกคนจึงจำเป็นต้องใช้พลังเทพที่มีต่อสู้กับอสุรกายกึ่งกวางที่สูงใหญ่ตัวนี้อย่างดุเดือด เอโลอิสที่ลำพังก็ไม่ได้มีพลังปล่อยลมปล่อยน้ำแข็งแบบชาวบ้านชาวช่องเขาก็เลยต้องเดินหากิ่งไม้คม ๆ มาใช้เป็นอาวุธ เธออาศัยการให้สองหนุ่มใส่นัวจนศัตรูอ่อนแรงแล้วใช้จังหวะสุดท้ายลาสคิลจนเวนดิโกสิ้นใจ จากนั้นก็ดึงแขนเพื่อนทั้งสองวิ่งกลับมาที่มินิบัสโดยเร็วเพราะกลัวว่าจะเจอเวนดิโกตัวอื่นอีก

“กลับมากันแล้วเหรอทำไมหน้าตาตื่นแบบนั้น”

“รีบออกรถเถอะค่ะ” เอโลอิสตัดบทแล้วรีบกลับไปนั่งที่ของตัวเอง

“เด็กสมัยนี้ใจร้อนเสียจริง” 

เทพอะพอลโลส่ายหัวก่อนจะสั่งให้ม้า AI ออกรถอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยวในแคลิฟอร์เนีย (ที่เหล่าเดมิก็อดก็ไม่ได้อยากจะเที่ยวสักเท่าไหร่) ราชรถเดินทางมาที่ย่านแอลเอจากร่อนลงจอดที่ป้ายฮอลลีวูดไฮไลท์สำคัญของย่านนี้

“ลงไปถ่ายรูปหน่อยไหมเด็ก ๆ ไหน ๆ ก็มาแล้ว” 

ท่านเทพอะพอลโลดูจะพราวทูพรีเซ้นต์มากเด็กทั้งสามจึงต้องลงไปแต่โดยดี มีเคอร์ติสตามไปอีกหนึ่งเพราะตอนหลับในรถเมื่อครู่โดนเอโลอิสเทศน์หูชาไปเสียยกใหญ่ ฐานละเลยหน้าที่ผู้ติดตาม เหล่าเดมิก็อดลงไปแชะภาพสองสามภาพพอเป็นพิธีเนื่องจากไม่อยากใช้สมาร์ทโฟนนานเกินไปเกรงว่าจะล่อตาล่อใจเหล่าอสุรกายโดยรอบ แต่แล้วสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้…

“มีเม่นบนเขานี้ด้วยเหรอ?”

“เม่นบ้าเม่นบออะไรของเธอ”

“ก็ตรงนั้น”

เอโลอิสชี้ไปที่ตัวอะไรสักอย่างที่มีหนามแหลม ๆ ที่หลังเธอมองเห็นมันไม่ชัดสักเท่าไหร่เลยชวนเพื่อน ๆ เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ จึงพบว่ามันตัวใหญ่กว่าที่คิดมากและไม่ใช่เม่นด้วยแต่เป็นอะไรที่น่ากลัวกว่านั้น…

“นี่มันชูปาคาบรานี่ขอรับ” เคอร์ติสทักขึ้น

“อะไรนะคาปิบาราเหรอ? ไม่คิดว่าตัวจริงหน้าตาน่าเกลียดแบบนี้”

“ว่าง ๆ ก็ไปเช็คหูบ้างนะชูปาคาบราไม่ใช่คาปิบารา” รอฟิอัสรีบท้วง

“จะตัวอะไรก็ช่างดูหน้ามันสิ เหมือนมันจ้องจะกินพวกเราเลย”

“กระผมคิดว่าไม่เหมือนนะขอรับ หมายถึงมันตั้งใจจะกินพวกเราขอรับ!”

“คำพูดของนายไม่ได้ช่วยให้สบายใจขึ้นเลยเคอร์ติส”

“งั้นเรารีบไปบอกท่านเทพให้ลงมาช่วยดีกว่า—” เอโลอิสหันกลับไปมองจุดที่รถมินิบัสเคยจอดอยู่ 

หายไปเฉยเลย!!!

เวลาสำคัญแบบนี้คนที่มีประโยชน์ที่สุดทำไมต้องหายไปเสมอด้วยนะ…เอโลอิสถอนหายใจ แต่คราวนี้เหล่าเดมิก็อดไม่คิดจะให้เกิดความผิดพลาดซ้ำสอง พวกเขาต่างพกอาวุธติดตัวมาด้วย การต่อสู้ในครั้งนี้จึงง่ายกว่าตอนเวนดิโกอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน เอโลอิสที่ผ่านการต่อสู้จากการเดินทางในครั้งนี้มาตลอดหลายวันยิงธนูแม่นขึ้นมากเธอยิงลูกธนูออกไปสองสามดอก เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ฟีโอดอร์ใช้ปืนของเขายิงออกไปเช่นกัน ไม่นานชูปาคาบราก็ถูกปราบลงได้สำเร็จ จังหวะนั้นรถมินิบัสก็ร่อนกลับลงมารับพวกเด็ก ๆ ราวกับรู้เวลา

“ขอโทษด้วยเด็ก ๆ ข้ามีเรื่องด่วนนิดหน่อยเลยหายไปครู่หนึ่ง พวกเจ้าขึ้นมาได้แล้ว”

ทุกคนกลับขึ้นมาบนรถมินิบัส คราวนี้ทั้งสามรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเทพอะพอลโลเขาดูเหนื่อยเหมือนคนที่เพิ่งไปวิ่งรอบโลกมาทั้งที่เพียงแค่ขับราชรถ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรออกไป เทพอะพอลโลพาพวกเขาออกเดินทางอีกครั้งสายตาของเขาเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลาดูไม่มีค่อยมีสมาธิแต่ยังคงพยายามทำหน้าที่ไกด์นำเที่ยวที่ดีต่อไปแม้จิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วก็ตาม ราชรถถูกร่อนลงจอดอีกครั้งเมื่อเดินทางถึงรัฐฮาวายบริเวณชายหาดอันเงียบสงบไร้ซึ่งผู้คน ท่านเทพไม่ได้พูดนำเสนออะไรอย่างเช่นทุกทีเอาแต่จ้องมองสมาร์ทโฟนราวกับว่ากำลังเช็คอะไรบางอย่าง เดมิก็อดทั้งสามเดินลงจากรถเงียบ ๆ พวกเขาตั้งใจว่าจะใช้เวลาที่นี่ไม่เกินครึ่งชั่วโมงและจะรีบกลับมาที่รถโดยเร็ว

“พวกนายว่าวันนี้ท้องฟ้ามันสว่างแปลก ๆ ไหม?”

“ยังไงเหรอ?”

“ก็แบบว่าตอนนี้มันควรจะเย็นแล้วแต่ยังสว่างเหมือนตอนกลางวันไม่มีผิด”

“ก็จริง” รอฟีอัสเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าบ้าง

บรรยากาศโดยรอบดูแปลกมากเหมือนโลกถูกหยุดเวลาไว้ที่ช่วงกลางวัน ถึงกระนั้นเด็ก ๆ ที่ไม่เคยเที่ยวในรัฐฮาวายมาก่อนก็พยายามมองโลกในแง่ดีว่าอาจเป็นเรื่องปกติของรัฐฮาวายบางที่เกาะแห่งนี้อาจจะเป็นสถานที่ที่กลางวันยาวนานกว่าปกติก็เป็นไปได้จึงไม่ได้ตั้งคำถามอะไรอีกและเดินเที่ยวเล่นเลียบชายหาดกันต่อไปจนกระทั่งมีบางอย่างมายืนขวางทางที่พวกเขาเดิน

“สวัสดีสุดหล่อ”

เบื้องหน้าของทั้งสามเป็นหญิงสาวชาวเอเชียหน้าตางามหมดจดแต่งกายด้วยชุดที่มองจากดาวอังคารยังรู้ว่าเป็นคนญี่ปุ่น สายตาของเธอหยาดเยิ้มจ้องมองไปที่ชายหนุ่มเต็มวัยที่สุดในบรรดาเดมิก็อดไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากฟีโอดอร์ เอโลอิสและรอฟีอัสหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมายเหมือนจะสื่อสารกันว่าสงสัยพ่อหนุ่มฟีโอดอร์สุดหล่อจะตกสาวเข้าให้แล้ว

“...” ฟีโอดอร์เมื่อได้ยินการทักทายนั้นกลับไม่ตอบอะไรออกไป

“นี่พี่ฟีโอดอร์อย่าเสียมารยาทสิ อุตส่าห์มีสาวมาทักเชียวนะ” เอโลอิสกระทุ้งศอกไปที่ฟีโอดอร์

“...” เขายังคงไม่ตอบอะไรและมองหญิงสาวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ที่บ้านขาดคนหุงข้าวไหมจ๊ะ ถ้าไม่รังเกียจกันขอคอนแท็คหน่อยจะได้ไหม” หญิงสาวยังคงเกี๊ยวไม่หยุด

“พอดีว่าผมกินขนมปัง” ฟีโอดอร์ตอบออกไปอย่างไร้เยื่อใยสุด ๆ

“แหม ๆ ๆ อย่าเพิ่งปฏิเสธกันสิทำแบบนี้ใจร้ายกับผู้หญิงเกินไปนะ”

“ใช่! พี่ฟีโอดอร์อย่าเสียมารยาทกับผู้หญิงแบบนี้ คนเขามาดีแค่จะมา—”

เอโลอิสพูดไม่ทันจบประโยคฟีโอดอร์ก็ชักปืนของเขาออกมายิงเข้าท้องของหญิงสาวทันทีแบบไม่บอกไม่กล่าวสร้างความตกใจให้เอโลอิสกับรอฟีอัสเป็นอย่างมาก อะไรดลใจให้เขากระทำการอุกอาจเช่นนี้

“เฮ้ยยยยยย!!!”


หญิงสาวที่โดนลูกตะกั่วไปหนึ่งนัดที่ท้องก้มหน้ากุมท้องของตัวเองเลือดสีแดงค่อย ๆ ไหลออกมาเป็นสายธารพร้อมกับเสียงหัวเราะแหลมที่ฟังดูสยองไม่น้อย เธอเงยหน้าขึ้นมานัยน์ตาเปลี่ยนไปรูปร่างค่อย ๆ กลายร่างเป็นปีศาจจิ้งจอกสีขาว ที่แม้จะบาดเจ็บแต่ยังคงไว้ซึ่งความน่าเกรงขาม

“อสุรกายหรอกเหรอ? คุณรู้ตั้งแต่ตอนไหน” รอฟีอัสหันไปถามฟีโอดอร์

“รู้ตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว” ไม่พูดเปล่าฟีโอดอร์ยังยิงซ้ำไปอีกนัด “มัวยืนเฉยกันทำไมสู้สิ จะรอให้มันมากินพวกเราก่อนหรือยังไง”

เมื่อได้ยินฟีโอดอร์พูดดังนั้นเอโลอิสกับรอฟีอัสก็รีบชักอาวุธของตนเองมาสมทบฟีโอดอร์ในทันที หางทั้งเก้าของปีศาจจิ้งจอกตวัดไปมาเพื่อโจมตีเดมิก็อด เอโลอิสพยายามหลบหลีกทุกดอกแต่ก็ไม่วายโดนปัดกระเด็น จิ้งจอกสาวตัวนี้กินลูกตะกั่วไปหลายดอกก็ยังทานทนได้แสดงว่าร่างกายทนทานไม่น้อย สามคนร่วมมือร่วมใจงัดทุกเคล็ดวิชาที่เคยเรียนมาจากค่ายทำการต่อสู้อย่างสุดกำลังจนกระทั่งเอาชนะปีศาจจิ้งจอกได้สำเร็จ 

“ตายได้สักทีเหนื่อยชะมัด”

“ผมว่าเรากลับกันเถอะ ทุกคนไม่สังเกตเหรอว่าสีหน้าท่านเทพดูแปลกไป”

“ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน บางทีอาจมีบางอย่างเกิดขึ้น”

“งั้นก็รีบไปกันเถอะ”

เดมิก็อดทั้งสามเดินทางกลับมาที่รถมินิบัสใบหน้าของเทพอะพอลโลยังคงดูตึงเครียดและเหนื่อยอ่อน เขาเหมือนคิดอะไรบางอย่างครู่หนึ่งก่อนจะหันมาบอกเดมิก็อดทุกคน

“ต้องขอโทษด้วยนะเด็ก ๆ แต่ทริปเที่ยวทุกรัฐของเราคงต้องจบเพียงเท่านี้แล้วล่ะ”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” รอฟีอัสเป็นฝ่ายเปิดถามก่อน

“รู้สึกว่าพื้นที่ ๆ ควรเป็นเวลากลางคืนกลับอยู่ในช่วงเวลากลางวันน่าจะมีอะไรผิดปกติ ข้าจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากเทพพระอาทิตย์ตำนานอื่น แม้ปัจจุบันเขตแดนโลกจะเป็นเขตของข้า แต่เวลานี้ข้าไม่อาจทำคนเดียวได้ ดูเหมือนโลกจะไร้กลางคืนที่จะมาบดบังข้าเพื่อฉายแสงให้จันทราส่องสว่าง เวลานี้แม้พวกเขาจะมีพลังเพียงน้อยนิดแต่ก็พอช่วยประจำการโลกตามจุดต่าง ๆ ได้”

“พวกเราเข้าใจค่ะ ถ้าอย่างงั้นก็พาพวกเราไปส่งที่ค่ายเถอะค่ะ”

ประโยคที่อยากพูดมานานบัดนี้ได้พูดออกไปเสียที เอโลอิสแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้กลับไปยังค่ายฮาล์ฟบลัดอีกครั้งนอนเตียงแสนอบอุ่นพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ กับพี่น้องร่วมบ้าน ราชรถเริ่มออกตัวเพื่อกลับไปยังลองไอแลนด์เห็นได้ชัดว่าท้องฟ้ายังคงสว่างแม้ในเวลานี้จะล่วงเลยมาจนถึงช่วงเวลากลางคืนแล้ว ราชรถค่อย ๆ ลงเทียบจอดที่หน้าค่ายฮาล์ฟบลัด ความเด่นของราชรถทำให้เด็กในค่ายต่างพากันกรูออกมามุงดูที่หน้าค่าย ก่อนที่เด็กทั้งสามจะทยอยลงจากรถโดยมีเทพอะพอลโลตามลงมาส่ง

“ต้องขอบคุณพวกเจ้าอีกครั้ง ข้าสนุกมากที่ได้เที่ยวเล่นกับพวกเจ้าตลอดหลายวัน ตอนนี้ข้าพาพวกเจ้ามาส่งถึงค่ายแล้วก็กลับไปพักผ่อนเถอะ ส่วนข้าเองต้องขอตัวก่อนเห็นทีต้องรีบเปิดสภาเทพพระอาทิตย์โดยด่วนแล้ว แล้วพบกันใหม่นะเด็ก ๆ”

พูดจบเทพอะพอลโลก็ส่งยิ้มหวานกระชากใจให้ทั้งสามหนึ่งทีพร้อมสวมแว่นกันแดดสีดำเดินกลับขึ้นไปบนรถมินิบัส รูปร่างของมันเปลี่ยนกลับมาเป็นรถมาเซราติสุดเท่ก่อนจะเบิ้ลเครื่องสองสามทีแล้วขับออกจากค่ายอย่างรวดเร็วปล่อยให้เดมิก็อดทั้งสามยืนโบกมือลาจนรถหายลับตาไป

“ในที่สุดก็ถึงค่าย ถ้ามีภารกิจในครั้งหน้าพวกนายคิดจะมาร่วมกับฉัน—”

“ไม่!” / “ไม่!” 

รอฟีอัสกับฟีโอดอร์พูดพร้อมกันแทบจะทันทีทันใดแล้วพากันเดินกลับเข้าไปในค่าย โดยมีเอโลอิสวิ่งตามหลัง ท่าทางว่าพวกเขาคงจะเข็ดหลาบกับภารกิจแนวนี้ไปอีกสักพัก อย่างน้อยก็ในช่วงนี้ล่ะนะ…












จบการเดินทาง





แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 66827 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2024-10-2 01:31
โพสต์ 66,827 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-10-2 01:31
โพสต์ 66,827 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ทักษะยิงธนู  โพสต์ 2024-10-2 01:31
โพสต์ 66,827 ไบต์และได้รับ +2 EXP +7 ความกล้า จาก สัมผัสกับดัก  โพสต์ 2024-10-2 01:31
โพสต์ 66,827 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก กลศาสตร์  โพสต์ 2024-10-2 01:31

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +8 ย่อ เหตุผล
God + 8

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x3
x1
x1
x3
x3
x9
x3
x1
x10
x10
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x58
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x344
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x2
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x67
12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้