“นี่ยัยขี้เซาตื่นได้แล้ว”
เสียงอันแสนคุ้นเคยดังขึ้นปลุกให้เอโลอิสตื่นจากห้วงนิทราไม่ใช่ใครอื่นนอกจากรอฟีอัสสหายคู่กัดคนเดิม เดาได้เลยว่าหลังจากกลับไปถึงค่ายเขาคงไม่คิดที่จะมาร่วมภารกิจกับเอโลอิสอีกแน่ ดูจากความน่าปวดหัวที่สาวเจ้าสร้างไม่เว้นแต่ละวันแล้วแต่ละคนคงจะเข็ดน่าดู
“ถึงแล้วเหรอ?”
“ถึงแล้ว”
“ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน—”
ตาของสาวน้อยเบิกกว้างเมื่อพบว่าด้านนอกหน้าต่างของรถมินิบัสเป็นภาพของทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา มองไปทางไหนก็มีแต่ทรายกับภูเขาหินทราย เธอลองขยี้ตาดูอีกทีเพื่อความแน่ใจแล้วเพ่งออกนอกหน้าต่างอีกครั้งก็ยังคงเป็นภาพของทะเลทรายอยู่ดี
“ท่านเทพอะพอลโลพาพวกเราออกนอกโลกมาดาวอังคารเหรอ?”
“นี่สาวน้อยคิดว่าข้าจะพาพวกเจ้าไปตะลุยอวกาศกันหรืออย่างไร ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกโลกยังต้องการแสงอาทิตย์ จงเพ่งสายตามองออกไปให้ดี ๆ เรายังอยู่กันบนโลก”
“เพ่งแล้วค่ะ แต่ข้างนอกมีแต่ทราย” เอโลอิสหันไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง
“ถูกต้องมาทะเลทรายก็ต้องมีแต่ทรายสิ” ท่านเทพอะพอลโลตอบอย่างอารมณ์ดี
“ทะเลทรายเหรอคะ?”
“ใช่ ยินดีต้อนรับสู่ทะเลทรายวาดิรัมเด็ก ๆ”
เอโลอิสหัวเราะแห้ง ก่อนที่เธอจะรีบคว้าคอรอฟีอัสให้ก้มลงไปคุยกันที่หลังเบาะรถ ท่านเทพจะได้ไม่ทันสังเกตว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน
“นี่ใครเป็นคนบอกท่านเทพว่าอยากมาทะเลทรายฮะ?”
“ใครจะไปรู้ตอนที่เธอหลับก็แค่คุยกับคุณฟีโอดอร์ว่าทะเลทรายของจริงมันหน้าตาเป็นยังไง ท่านเทพได้ยินเข้าพวกเราก็เลยมาจบอยู่ที่นี่ ประเทศจอร์แดน” รอฟีอัสเล่าสาเหตุให้เอโลอิสฟัง
“จอร์แดน!!!”
เธอทำตาโตอีกครั้งอันที่จริงประเทศนี้มีที่เที่ยวที่น่าสนใจมากมายหลากหลายแต่เธอไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าได้มาจอร์แดนทั้งทีกลับถูกส่งมายังทะเลทราย แถมท่านเทพคงไม่อยากให้มีผู้ใดรบกวนเลยพามาจอดที่โซนซึ่งไร้นักท่องเที่ยวเสียด้วย แล้วแบบนี้จะมาทำไมก่อน?
“เด็ก ๆ ไปนั่งทำอะไรอยู่ที่พื้นลุกขึ้นมาเร็ว” เสียงท่านเทพอะพอลโลร้องเรียกเมื่อพบว่าเดมิก็อดทั้งสองแอบไปนั่งคุยกันบนพื้นรถหลังเบาะ เอโลอิสหัวเราะแห้งอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นมาทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้แอบคุยอะไรลับหลังแม้แต่น้อย
“ว่าแต่ด้านนอกมีแต่ทะเลทรายแล้วเราจะเดินเที่ยวยังไงเหรอคะ?”
“อูฐไงไม่ต้องห่วงข้าเตรียมไว้ให้พวกเจ้าแล้ว ทำเวลาหน่อยเดี๋ยวต้องรีบไปกันต่อเราจะแวะที่นี่ไม่นานอากาศร้อนแบบนี้ข้าไม่อยากจอดที่นี่นานเท่าไหร่”
แม้จะยังงง ๆ ที่โดนพามาเที่ยวกลางทะเลทรายแต่ทุกคนก็ยอมลงรถมินิบัสแต่โดยดี อูฐสามตัวยืนน้ำลายยืดรออยู่ข้างรถมินิบัส พอพวกเขาหันไปหาเทพอะพอลโลก็พบว่าอีกฝ่ายหายไปไหนก็ไม่รู้ หมายความว่าเจ้าอูฐพวกนี้มีไว้เพื่อเฉพาะเดมิก็อดสามคน ทั้งสามถอนหายใจแทบจะพร้อมกัน
“แล้ว…อูฐมันขี่ยังไง?” เอโลอิสเปิดประเด็น
“ผมก็ไม่รู้” ฟีโอดอร์ตอบ
“ก็ลองดู”
สุดท้ายแล้วด้วยความที่ขี่อูฐไม่เป็นสักคนแทนที่การเดินเที่ยวกลางทะเลทรายครั้งนี้จะเป็นการโดยสารอูฐอย่างที่ควรจะเป็น แต่ภาพที่เห็นกลับกลายเป็นเดมิก็อดสามคนเดินลุยทรายจูงอูฐท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้าง พวกเขาพยายามขีดสัญลักษณ์ไว้ตามหินทรายเพื่อที่จะได้ไม่หลงทางในตอนกลับมา บอกตามตรงว่ามันไม่มีอะไรให้ดูเลยสักนิด
ตุ๊บ!!!
“โอ๊ยยยยย!” เอโลอิสสะดุดล้มหน้าจุ่มทรายเชือกที่จูงอูฐหลุดออกจากมือโชคดีที่เจ้าอูฐไม่ได้เตลิดหนีไปไหน
“เดินยังไงให้สะดุดทราย เธอนี่มันเกินเยียวยาจริง ๆ” รอฟีอัสส่ายหัว
เอโลอิสไม่ได้สนใจสิ่งที่รอฟีอัสพูดเพราะรู้สึกว่าเท้าของเธอไม่ใช่การสะดุดทรายแน่นอน หากแต่มีบางสิ่งฝังอยู่ใต้ทรายนั้น เธอก้มลงแล้วขุดทรายที่กลบหน้าของมันออกจนพบเข้ากับตะเกียงเก่าที่ฝังตัวอยู่ใต้ผืนทรายแห่งนี้มาเนิ่นนาน
“ตะเกียงอะไรเนี่ย?”
“คงเป็นของพวกพ่อค้าที่เดินทางค้าขายผ่านทางนี้” ฟีโอดอร์ลองวิเคราะห์ความเป็นไปได้
“ฝังในทรายมานานเขรอะเชียว”
สาวน้อยใช้มือปัด ๆ ฝุ่นออกจากตะเกียงหมายจะทำให้มันสะอาดขึ้นแต่จู่ ๆ ตะเกียงก็เกิดการสั่นสะเทือนควันสีน้ำเงินคละคลุ้งเดมิก็อดทั้งสามไอค่อกแค่ก ควันนั้นค่อย ๆ เลือนหายไปก่อนจะปรากฏร่างของสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์แต่ดูเพียงแว่บเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่มนุษย์ปกติแน่
“ลุง…เป็นใคร?...”
เอโลอิสขมวดคิ้วมองดูชายปริศนาที่โผล่มาจากตะเกียงราวกับนิทานอาละดินไม่มีผิด ทั้งสามคนมองเขาตาไม่กะพริบ ดูเหมือนว่าชายคนนั้นก็รู้สึกตกใจไม่น้อยที่ทั้งสามมองเห็นเขาโดยปกติแล้วคนทั่วไปจะไม่สามารถมองเห็นได้ยกเว้นว่าจะเป็นพวกมีเซ้นส์
“พวกเจ้า…มองเห็นข้าหรือ?”
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ แกเป็นญินใช่ไหมล่ะ?” เคอร์ติสถามโพล่งออกไป
“แล้วทำไมนกกระทานั่นถึงพูดได้?”
“ก็กระผมเป็นนกกระทาของท่านเทพเฮเฟตัส”
“ที่แท้พวกเจ้าก็เป็นครึ่งเทพนี่เองถึงได้มองเห็นข้า… ต้องขอบคุณพวกเจ้าแล้วที่ได้ปลดปล่อยข้าจากการจองจำมานานแสนนาน เห็นทีต้องให้รางวัลเสียแล้ว…เอาอะไรดีล่ะ…ความตายดีไหม?” ญินตนนั้นแสยะยิ้มออกมาดูก็รู้ว่าไม่ใช่ญินที่ดีแน่
“ถ้างั้นพวกฉันก็จะไม่ออมมือเหมือนกัน พวกเราลุย!”
ไม่ว่าเหล่าเดมิก็อดจะลงเหยียบที่ใดเป็นอันต้องเจออสุรกายทุกครั้งไปทั้งสามค่อนข้างที่จะเคยชินแล้ว จึงได้ทำการพกอาวุธของค่ายติดตัวไว้ตลอดเวลา เจ้าญินตัวนี้หลบหลีกได้อย่างรวดเร็วสมกับคำที่กล่างว่าความไวเป็นของปีศาจแถมยังบินได้ด้วย แต่มันคงไม่รู้ว่ารอฟีอัสก็บินได้เหมือนกันด้วยพลังการควบคุมลม เขารวบรวมเอามวลลมซัดใส่ญินอย่างแรงจนร่างมันร่วงลงมาที่พื้น ในขณะที่ฟีโอดอร์ก็ช่วยสร้างโล่น้ำแข็งขึ้นมาเพื่อป้องกันพลังที่ต่าง ๆ ที่ญินซัดเข้ามี มีเพียงเอโลอิสคนเดียวที่ไม่มีพลังแฟนตาซีอะไรนอกจากทนไฟซึ่งใช้ไม่ได้กับสถานการณ์นี้เลยสักนิด เธอเลยต้องใช้วิธีแมนนวลยิงธนูวนไป สามรุมหนึ่งไม่ชนะก็บ้าแล้ว…หลังจากรุมสหบาทากันอยู่พักใหญ่ศรสุดท้ายของเอโลอิสก็ยิงเข้าที่หัวใจของมันจนร่างแหลกสลายเป็นละอองไปในที่สุด
“เจอเจ้านี่เข้าไปหมดอารมณ์เที่ยวต่อเลยร้อนชะมัด”
“งั้นก็กลับไปที่รถกันเถอะ”
ทั้งสามเดินทางกลับโดยอาศัยสัญลักษณ์ที่ขีดไว้ตามหินทรายเป็นจุดระบุทิศทางจนในที่สุดก็จูงอูฐกลับมาที่รถได้สำเร็จ ท่านเทพอะพอลโลก็ดูเหมือนจะรออยู่ที่รถแล้ว ทุกคนจึงเดินกลับเข้ามาในรถ
“ทำไมกลับมาเร็วจัง”
“มันไม่ค่อยมีอะไรให้ดูเท่าไหร่น่ะค่ะ”
“ไม่มีตรงไหนนี่ไงทะเลทรายเต็มไปหมด” ท่านเทพผายมือไปรอบ ๆ
“แล้วทำไมท่านไม่ลงไปเที่ยวกับพวกเราล่ะคะ?”
“ข้าไม่ชอบทราย…มันร่วนและหยาบทําให้ผิวหนังแสบและมันก็เข้าไปทุกที่”
“บทพูดคุ้น ๆ นะคะ…”
“ช่างเถอะเอาเป็นว่าจะไปไหนกันต่อ?” ท่านเทพหันมาถามทุกคน
“กลับอเมริกาเถอะครับ ผมว่าพวกเราเที่ยวกันมานานมากแล้ว” รอฟีอัสรีบเสนอในทันที เห็นได้ชัดว่าเขามาถึงจุดอิ่มตัวในการเดินทางเต็มทีแล้ว
“ถ้างั้นเพื่อเป็นการทิ้งท้ายข้าจะพาพวกเจ้าเที่ยวอเมริกาให้ครบทุกรัฐเลยเป็นไง ฮ่า ๆ ๆ”
เดมิก็อดทั้งสามกรอกตามองบนเมื่อรู้ชะตากรรมว่าการเดินทางนี้คงยังไม่จบสิ้นง่าย ๆ แน่ ราชรถในคราบมินิบัสทะยานขึ้นบนท้องฟ้าเดินทางออกจากประเทศจอร์แดน มุ่งตรงสู่ดินแดนแห่งเสรีภาพ ฟังจากการสนทนาของพวกม้า AI เอโลอิสก็พอจะจับใจความได้ว่าสถานที่ที่กำลังจะไปคือรัฐแคลิฟอร์เนีย ใช้เวลาเดินทางพักใหญ่นั่งหลับกันไปหลายตื่นจนในที่สุดก็ถึงน่านฟ้าเขตแคลิฟอร์เนีย
“เอ่อ…แบบว่า…” เอโลอิสยกมือขึ้นสูงเหมือนมีบางอย่างจะพูด
“มีอะไรเหรอสาวน้อย” เทพอะพอลโลหันไปถาม
“หนูปวดชิ้งฉ่อง…”
“เรายังเดินทางไม่ถึงเขตเมืองเลยนะ กำลังบินผ่านป่าเมียร์วูดส์อั้นไว้ก่อนได้ไหม” ม้า AI ตัวหนึ่งกล่าวเพราะมันเองก็เร่งเครื่องสุดกำลังแล้ว
“ลงจอดป่าก็ได้ค่ะ ไม่ไหวแล้วจริง ๆ” ไม่ว่าสุขาจะเป็นรูปแบบไหนในตอนนี้เอโลอิสไม่สนแล้ว ต่อให้ต้องนั่งปล่อยในพงหญ้าก็ไม่เกี่ยง
“งั้นก็ลงจอดในป่าเมียร์วูดส์นี่แหละ ให้สาวน้อยผู้นี้ได้ทำธุระส่วนตัว”
รถมินิบัสลงจอดที่กลางป่าอันเงียบสงบพอประตูเปิดเอโลอิสก็รีบพุ่งตัวออกไปทันที โดยมีเสียงไล่หลังของเทพอะพอลโลว่าให้ระวังสิ่งมีชีวิตบางอย่างในป่า เวน ๆ อะไรสักอย่างฟังไม่ถนัด สาวน้อยผมแดงวิ่งมาไกลพอที่จะไม่มีใครเห็นจากนั้นก็เข้าพงหญ้าที่ใกล้ที่สุดทำธุระของตัวเองให้เรียบร้อย
“เสร็จหรือยัง?”
“เฮ้ยยยยย!” เอโลอิสแทบจะสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงของรอฟีอัสทียืนหันหลังให้อยู่หน้าพงหญ้า “พวกนายมาอยู่นี่ได้ยังไง” เธอรีบใส่กางเกงในทันทีที่ทำธุระเสร็จแล้วเดินออกมาจากพงหญ้าเพื่อพบกับทั้งสองคน
“ก็ไม่ได้อยากมานักหรอกแต่เทพอะพอลโลไม่อยากให้เธอเข้าป่าคนเดียวเลยให้พวกฉันมาเป็นเพื่อน ไม่ต้องห่วงไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแล้วก็ไม่อยากดูด้วย”
“ชิ!” เอโลอิสเบะปาก
“ว่าแต่…นี่เธอมาปลดทุกข์หนักหรือไงถึงได้เหม็นขนาดนี้ไหนบอกว่ามาชิ้งฉ่องที่แท้ก็ขี้แตก”
“นายว่าไงนะ! จะบ้าเหรอ! อย่ามากล่าวหากัน จมูกนายพังหรือไงกลิ่นเน่าขนาดนี้จะเป็นขี้ไปได้ยังไง”
“พวกคุณคิดว่ามาจากเจ้าตัวนั้นไหม?”
ฟีโอดอร์ชี้ไปที่อสุรกายรูปร่างผอมแห้งลักษณะเหมือนครึ่งคนครึ่งกวาง กลิ่นของมันนั้นสุดจะบรรยายราวกับว่าไส้เน่าไปทั้งร่าง เอโลอิสรีบไปหลบหลังฟีโอดอร์ทันที เธอเอามือมาปิดจมูกเอาไว้เพราะได้กลิ่นแล้วขมคอ
“หรือนี่จะเป็นเวนดิโกที่เทพอะพอลโลบอก”
“ถามเคอร์ติสสิ…เคอร์ติส—” เอโลอิสมองหาเจ้านกกระทาที่ปกติตัวติดกับเธออย่างกับอะไร
“เคอร์ติสอยู่ที่รถครับ…หลับ…”
“เจ้านกบ้าเอ้ย มาหลับอะไรตอนนี้” เธอบ่นอุบอิบ
เวนดิโก้เมื่อเห็นเหยื่อที่เป็นเดมิก็อดกลิ่นหอมหวนก็นึกอยากที่จะจัดการแล้วจับกินเสีย มันไม่รอช้าที่จะเริ่มจู่โจม เดมิก็อดทั้งสามไม่ได้พกอาวุธอะไรลงมาด้วยเพราะตอนแรกตั้งใจแค่จะลงมาชิ้งฉ่องจึงไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาเพื่อเจออะไรแบบนี้ ทุกคนจึงจำเป็นต้องใช้พลังเทพที่มีต่อสู้กับอสุรกายกึ่งกวางที่สูงใหญ่ตัวนี้อย่างดุเดือด เอโลอิสที่ลำพังก็ไม่ได้มีพลังปล่อยลมปล่อยน้ำแข็งแบบชาวบ้านชาวช่องเขาก็เลยต้องเดินหากิ่งไม้คม ๆ มาใช้เป็นอาวุธ เธออาศัยการให้สองหนุ่มใส่นัวจนศัตรูอ่อนแรงแล้วใช้จังหวะสุดท้ายลาสคิลจนเวนดิโกสิ้นใจ จากนั้นก็ดึงแขนเพื่อนทั้งสองวิ่งกลับมาที่มินิบัสโดยเร็วเพราะกลัวว่าจะเจอเวนดิโกตัวอื่นอีก
“กลับมากันแล้วเหรอทำไมหน้าตาตื่นแบบนั้น”
“รีบออกรถเถอะค่ะ” เอโลอิสตัดบทแล้วรีบกลับไปนั่งที่ของตัวเอง
“เด็กสมัยนี้ใจร้อนเสียจริง”
เทพอะพอลโลส่ายหัวก่อนจะสั่งให้ม้า AI ออกรถอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยวในแคลิฟอร์เนีย (ที่เหล่าเดมิก็อดก็ไม่ได้อยากจะเที่ยวสักเท่าไหร่) ราชรถเดินทางมาที่ย่านแอลเอจากร่อนลงจอดที่ป้ายฮอลลีวูดไฮไลท์สำคัญของย่านนี้
“ลงไปถ่ายรูปหน่อยไหมเด็ก ๆ ไหน ๆ ก็มาแล้ว”
ท่านเทพอะพอลโลดูจะพราวทูพรีเซ้นต์มากเด็กทั้งสามจึงต้องลงไปแต่โดยดี มีเคอร์ติสตามไปอีกหนึ่งเพราะตอนหลับในรถเมื่อครู่โดนเอโลอิสเทศน์หูชาไปเสียยกใหญ่ ฐานละเลยหน้าที่ผู้ติดตาม เหล่าเดมิก็อดลงไปแชะภาพสองสามภาพพอเป็นพิธีเนื่องจากไม่อยากใช้สมาร์ทโฟนนานเกินไปเกรงว่าจะล่อตาล่อใจเหล่าอสุรกายโดยรอบ แต่แล้วสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้…
“มีเม่นบนเขานี้ด้วยเหรอ?”
“เม่นบ้าเม่นบออะไรของเธอ”
“ก็ตรงนั้น”
เอโลอิสชี้ไปที่ตัวอะไรสักอย่างที่มีหนามแหลม ๆ ที่หลังเธอมองเห็นมันไม่ชัดสักเท่าไหร่เลยชวนเพื่อน ๆ เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ จึงพบว่ามันตัวใหญ่กว่าที่คิดมากและไม่ใช่เม่นด้วยแต่เป็นอะไรที่น่ากลัวกว่านั้น…
“นี่มันชูปาคาบรานี่ขอรับ” เคอร์ติสทักขึ้น
“อะไรนะคาปิบาราเหรอ? ไม่คิดว่าตัวจริงหน้าตาน่าเกลียดแบบนี้”
“ว่าง ๆ ก็ไปเช็คหูบ้างนะชูปาคาบราไม่ใช่คาปิบารา” รอฟิอัสรีบท้วง
“จะตัวอะไรก็ช่างดูหน้ามันสิ เหมือนมันจ้องจะกินพวกเราเลย”
“กระผมคิดว่าไม่เหมือนนะขอรับ หมายถึงมันตั้งใจจะกินพวกเราขอรับ!”
“คำพูดของนายไม่ได้ช่วยให้สบายใจขึ้นเลยเคอร์ติส”
“งั้นเรารีบไปบอกท่านเทพให้ลงมาช่วยดีกว่า—” เอโลอิสหันกลับไปมองจุดที่รถมินิบัสเคยจอดอยู่
หายไปเฉยเลย!!!
เวลาสำคัญแบบนี้คนที่มีประโยชน์ที่สุดทำไมต้องหายไปเสมอด้วยนะ…เอโลอิสถอนหายใจ แต่คราวนี้เหล่าเดมิก็อดไม่คิดจะให้เกิดความผิดพลาดซ้ำสอง พวกเขาต่างพกอาวุธติดตัวมาด้วย การต่อสู้ในครั้งนี้จึงง่ายกว่าตอนเวนดิโกอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน เอโลอิสที่ผ่านการต่อสู้จากการเดินทางในครั้งนี้มาตลอดหลายวันยิงธนูแม่นขึ้นมากเธอยิงลูกธนูออกไปสองสามดอก เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ฟีโอดอร์ใช้ปืนของเขายิงออกไปเช่นกัน ไม่นานชูปาคาบราก็ถูกปราบลงได้สำเร็จ จังหวะนั้นรถมินิบัสก็ร่อนกลับลงมารับพวกเด็ก ๆ ราวกับรู้เวลา
“ขอโทษด้วยเด็ก ๆ ข้ามีเรื่องด่วนนิดหน่อยเลยหายไปครู่หนึ่ง พวกเจ้าขึ้นมาได้แล้ว”
ทุกคนกลับขึ้นมาบนรถมินิบัส คราวนี้ทั้งสามรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเทพอะพอลโลเขาดูเหนื่อยเหมือนคนที่เพิ่งไปวิ่งรอบโลกมาทั้งที่เพียงแค่ขับราชรถ แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรออกไป เทพอะพอลโลพาพวกเขาออกเดินทางอีกครั้งสายตาของเขาเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลาดูไม่มีค่อยมีสมาธิแต่ยังคงพยายามทำหน้าที่ไกด์นำเที่ยวที่ดีต่อไปแม้จิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วก็ตาม ราชรถถูกร่อนลงจอดอีกครั้งเมื่อเดินทางถึงรัฐฮาวายบริเวณชายหาดอันเงียบสงบไร้ซึ่งผู้คน ท่านเทพไม่ได้พูดนำเสนออะไรอย่างเช่นทุกทีเอาแต่จ้องมองสมาร์ทโฟนราวกับว่ากำลังเช็คอะไรบางอย่าง เดมิก็อดทั้งสามเดินลงจากรถเงียบ ๆ พวกเขาตั้งใจว่าจะใช้เวลาที่นี่ไม่เกินครึ่งชั่วโมงและจะรีบกลับมาที่รถโดยเร็ว
“พวกนายว่าวันนี้ท้องฟ้ามันสว่างแปลก ๆ ไหม?”
“ยังไงเหรอ?”
“ก็แบบว่าตอนนี้มันควรจะเย็นแล้วแต่ยังสว่างเหมือนตอนกลางวันไม่มีผิด”
“ก็จริง” รอฟีอัสเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าบ้าง
บรรยากาศโดยรอบดูแปลกมากเหมือนโลกถูกหยุดเวลาไว้ที่ช่วงกลางวัน ถึงกระนั้นเด็ก ๆ ที่ไม่เคยเที่ยวในรัฐฮาวายมาก่อนก็พยายามมองโลกในแง่ดีว่าอาจเป็นเรื่องปกติของรัฐฮาวายบางที่เกาะแห่งนี้อาจจะเป็นสถานที่ที่กลางวันยาวนานกว่าปกติก็เป็นไปได้จึงไม่ได้ตั้งคำถามอะไรอีกและเดินเที่ยวเล่นเลียบชายหาดกันต่อไปจนกระทั่งมีบางอย่างมายืนขวางทางที่พวกเขาเดิน
“สวัสดีสุดหล่อ”
เบื้องหน้าของทั้งสามเป็นหญิงสาวชาวเอเชียหน้าตางามหมดจดแต่งกายด้วยชุดที่มองจากดาวอังคารยังรู้ว่าเป็นคนญี่ปุ่น สายตาของเธอหยาดเยิ้มจ้องมองไปที่ชายหนุ่มเต็มวัยที่สุดในบรรดาเดมิก็อดไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากฟีโอดอร์ เอโลอิสและรอฟีอัสหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมายเหมือนจะสื่อสารกันว่าสงสัยพ่อหนุ่มฟีโอดอร์สุดหล่อจะตกสาวเข้าให้แล้ว
“...” ฟีโอดอร์เมื่อได้ยินการทักทายนั้นกลับไม่ตอบอะไรออกไป
“นี่พี่ฟีโอดอร์อย่าเสียมารยาทสิ อุตส่าห์มีสาวมาทักเชียวนะ” เอโลอิสกระทุ้งศอกไปที่ฟีโอดอร์
“...” เขายังคงไม่ตอบอะไรและมองหญิงสาวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ที่บ้านขาดคนหุงข้าวไหมจ๊ะ ถ้าไม่รังเกียจกันขอคอนแท็คหน่อยจะได้ไหม” หญิงสาวยังคงเกี๊ยวไม่หยุด
“พอดีว่าผมกินขนมปัง” ฟีโอดอร์ตอบออกไปอย่างไร้เยื่อใยสุด ๆ
“แหม ๆ ๆ อย่าเพิ่งปฏิเสธกันสิทำแบบนี้ใจร้ายกับผู้หญิงเกินไปนะ”
“ใช่! พี่ฟีโอดอร์อย่าเสียมารยาทกับผู้หญิงแบบนี้ คนเขามาดีแค่จะมา—”
เอโลอิสพูดไม่ทันจบประโยคฟีโอดอร์ก็ชักปืนของเขาออกมายิงเข้าท้องของหญิงสาวทันทีแบบไม่บอกไม่กล่าวสร้างความตกใจให้เอโลอิสกับรอฟีอัสเป็นอย่างมาก อะไรดลใจให้เขากระทำการอุกอาจเช่นนี้
“เฮ้ยยยยยย!!!”
หญิงสาวที่โดนลูกตะกั่วไปหนึ่งนัดที่ท้องก้มหน้ากุมท้องของตัวเองเลือดสีแดงค่อย ๆ ไหลออกมาเป็นสายธารพร้อมกับเสียงหัวเราะแหลมที่ฟังดูสยองไม่น้อย เธอเงยหน้าขึ้นมานัยน์ตาเปลี่ยนไปรูปร่างค่อย ๆ กลายร่างเป็นปีศาจจิ้งจอกสีขาว ที่แม้จะบาดเจ็บแต่ยังคงไว้ซึ่งความน่าเกรงขาม
“อสุรกายหรอกเหรอ? คุณรู้ตั้งแต่ตอนไหน” รอฟีอัสหันไปถามฟีโอดอร์
“รู้ตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว” ไม่พูดเปล่าฟีโอดอร์ยังยิงซ้ำไปอีกนัด “มัวยืนเฉยกันทำไมสู้สิ จะรอให้มันมากินพวกเราก่อนหรือยังไง”
เมื่อได้ยินฟีโอดอร์พูดดังนั้นเอโลอิสกับรอฟีอัสก็รีบชักอาวุธของตนเองมาสมทบฟีโอดอร์ในทันที หางทั้งเก้าของปีศาจจิ้งจอกตวัดไปมาเพื่อโจมตีเดมิก็อด เอโลอิสพยายามหลบหลีกทุกดอกแต่ก็ไม่วายโดนปัดกระเด็น จิ้งจอกสาวตัวนี้กินลูกตะกั่วไปหลายดอกก็ยังทานทนได้แสดงว่าร่างกายทนทานไม่น้อย สามคนร่วมมือร่วมใจงัดทุกเคล็ดวิชาที่เคยเรียนมาจากค่ายทำการต่อสู้อย่างสุดกำลังจนกระทั่งเอาชนะปีศาจจิ้งจอกได้สำเร็จ
“ตายได้สักทีเหนื่อยชะมัด”
“ผมว่าเรากลับกันเถอะ ทุกคนไม่สังเกตเหรอว่าสีหน้าท่านเทพดูแปลกไป”
“ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน บางทีอาจมีบางอย่างเกิดขึ้น”
“งั้นก็รีบไปกันเถอะ”
เดมิก็อดทั้งสามเดินทางกลับมาที่รถมินิบัสใบหน้าของเทพอะพอลโลยังคงดูตึงเครียดและเหนื่อยอ่อน เขาเหมือนคิดอะไรบางอย่างครู่หนึ่งก่อนจะหันมาบอกเดมิก็อดทุกคน
“ต้องขอโทษด้วยนะเด็ก ๆ แต่ทริปเที่ยวทุกรัฐของเราคงต้องจบเพียงเท่านี้แล้วล่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” รอฟีอัสเป็นฝ่ายเปิดถามก่อน
“รู้สึกว่าพื้นที่ ๆ ควรเป็นเวลากลางคืนกลับอยู่ในช่วงเวลากลางวันน่าจะมีอะไรผิดปกติ ข้าจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากเทพพระอาทิตย์ตำนานอื่น แม้ปัจจุบันเขตแดนโลกจะเป็นเขตของข้า แต่เวลานี้ข้าไม่อาจทำคนเดียวได้ ดูเหมือนโลกจะไร้กลางคืนที่จะมาบดบังข้าเพื่อฉายแสงให้จันทราส่องสว่าง เวลานี้แม้พวกเขาจะมีพลังเพียงน้อยนิดแต่ก็พอช่วยประจำการโลกตามจุดต่าง ๆ ได้”
“พวกเราเข้าใจค่ะ ถ้าอย่างงั้นก็พาพวกเราไปส่งที่ค่ายเถอะค่ะ”
ประโยคที่อยากพูดมานานบัดนี้ได้พูดออกไปเสียที เอโลอิสแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้กลับไปยังค่ายฮาล์ฟบลัดอีกครั้งนอนเตียงแสนอบอุ่นพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ กับพี่น้องร่วมบ้าน ราชรถเริ่มออกตัวเพื่อกลับไปยังลองไอแลนด์เห็นได้ชัดว่าท้องฟ้ายังคงสว่างแม้ในเวลานี้จะล่วงเลยมาจนถึงช่วงเวลากลางคืนแล้ว ราชรถค่อย ๆ ลงเทียบจอดที่หน้าค่ายฮาล์ฟบลัด ความเด่นของราชรถทำให้เด็กในค่ายต่างพากันกรูออกมามุงดูที่หน้าค่าย ก่อนที่เด็กทั้งสามจะทยอยลงจากรถโดยมีเทพอะพอลโลตามลงมาส่ง
“ต้องขอบคุณพวกเจ้าอีกครั้ง ข้าสนุกมากที่ได้เที่ยวเล่นกับพวกเจ้าตลอดหลายวัน ตอนนี้ข้าพาพวกเจ้ามาส่งถึงค่ายแล้วก็กลับไปพักผ่อนเถอะ ส่วนข้าเองต้องขอตัวก่อนเห็นทีต้องรีบเปิดสภาเทพพระอาทิตย์โดยด่วนแล้ว แล้วพบกันใหม่นะเด็ก ๆ”
พูดจบเทพอะพอลโลก็ส่งยิ้มหวานกระชากใจให้ทั้งสามหนึ่งทีพร้อมสวมแว่นกันแดดสีดำเดินกลับขึ้นไปบนรถมินิบัส รูปร่างของมันเปลี่ยนกลับมาเป็นรถมาเซราติสุดเท่ก่อนจะเบิ้ลเครื่องสองสามทีแล้วขับออกจากค่ายอย่างรวดเร็วปล่อยให้เดมิก็อดทั้งสามยืนโบกมือลาจนรถหายลับตาไป
“ในที่สุดก็ถึงค่าย ถ้ามีภารกิจในครั้งหน้าพวกนายคิดจะมาร่วมกับฉัน—”
“ไม่!” / “ไม่!”
รอฟีอัสกับฟีโอดอร์พูดพร้อมกันแทบจะทันทีทันใดแล้วพากันเดินกลับเข้าไปในค่าย โดยมีเอโลอิสวิ่งตามหลัง ท่าทางว่าพวกเขาคงจะเข็ดหลาบกับภารกิจแนวนี้ไปอีกสักพัก อย่างน้อยก็ในช่วงนี้ล่ะนะ…