[บันทึกการเดินทาง] พ่อคะ แม่คะ หนูไม่ได้หนีตามผู้ชาย...แค่ไปเป็น 'ความรับผิดชอบสูงสุด' ของอะพอลโลที่ยุโรปค่ะ!

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-10-22 14:43

Hero ภาพเดียวเต็มเฟรม (GIF OK) • ปรับสูงเอง

                                                                               













ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 6158 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-22 02:07
โพสต์ 2025-10-22 14:41:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

Hushsong of the Gods

💟 หนีตามผู้ชายสไตล์ มนก บซ 💟
ตอนที่ 0 : เริ่มต้นมาก็เหนื่อยใจ
วันที่ 20 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงเช้า เวลา 06.00 น. ณ ค่ายจูปิเตอร์ ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา

             แสงอรุณแรกของวันส่องลอดผ่านม่านขาวบางในห้องพักของกองร้อยที่ 2 ของค่ายจูปิเตอร์ เสียงลมเช้าพัดเบา ๆ ผ่านยอดสนจนเกิดเป็นเสียงพึมพำอันอบอุ่น โมนีก้า บลอสซัม ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ขนตาเรียวยาวสะท้อนแสงอาทิตย์ที่ลอดเข้ามา เธอหาวน้อย ๆ ก่อนลุกขึ้นจากเตียง ผมสีม่วงครามที่มักจะจัดทรงอย่างประณีตในวันเรียน ปล่อยยุ่งระไปตามแรงลมตอนนี้ก็ยังสวยอยู่ดี ร่างเล็กเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำด้วยกลิ่นไลแลคที่คุ้นเคย แล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อครอปสีดำตัดกับเบลเซอร์ขาวกึ่งคลุมสะโพก กางเกงขายาวทรงสวย รองเท้าส้นสูงเสียงกระทบพื้นเบา ๆ ทุกย่างก้าวบ่งบอกถึงความมั่นใจแม้ในใจจะไม่มั่นใจเลยก็ตามที


             เพราะวันนี้... ครบ 16 วันแล้วที่เลสเตอร์ไม่โผล่มาหาตามคำบอกของเขา


             เธอเดินออกจากตัวอาคารของกองร้อย ลมหายใจแรกของเช้าวันใหม่ทำให้หัวใจเหมือนจะโล่ง แต่ความรู้สึกที่ค้างอยู่ในอกกลับแน่นขึ้นกว่าเดิม ตั้งแต่เขาพูดว่าจะมาหา แล้วหายไปแบบนี้... มันไม่ต่างอะไรกับการโดนลอยแพเลยใช่ไหมนะ เธอคิดพลางเดินไปทางถนนหินอ่อนที่ทอดยาวไปยังโรงอาหารของค่าย


             เสียงฝีเท้าของเด็กฝึกที่เริ่มทยอยกันไปเรียนดังแว่ว ๆ ปะปนกับเสียงนกในสวนมะกอก เธอถอนหายใจพลางมองท้องฟ้าที่เริ่มกลายเป็นสีทอง “อย่าบอกนะว่าเขาลืม...” เธอบ่นในลำคอเบา ๆ แล้วเม้มปาก เดินต่ออย่างหมดแรงใจ ทว่าก่อนถึงโรงอาหาร เสียงบางอย่างแทรกเข้ามา ไม่ใช่เสียงหัวเราะของพวกเพื่อน ไม่ใช่เสียงประกาศเรียกพลฝึก แต่เป็นเสียงพิณ


             เสียงพิณโบราณ ที่ก้องกังวานอ่อนโยนราวสายลม แต่แฝงความเศร้าร้าวในแต่ละจังหวะ โน้ตแต่ละตัวไม่ใช่แค่เสียงดนตรี หากเป็นเหมือนคำพูดของใครบางคนที่กำลังภาวนาอยู่ในความเงียบ มันเป็นทำนองที่เธอไม่เคยได้ยินในค่ายนี้มาก่อน ละเมียดละไมเกินไปสำหรับผู้เริ่มต้น และมีบางอย่างในเสียงนั้นที่ดึงหัวใจเธอราวกับมีด้ายเส้นบางพันอยู่


             โมนีก้าก้าวเท้าไปช้า ๆ ตามเสียงพิณที่มาจากลานหินอ่อนด้านหน้า ใต้ต้นซีเปรสเก่าแก่ซึ่งปกติจะมีเพียงพวกกองร้อยที่ 5 มาพัก เธอชะงักเมื่อเห็นว่าผู้เล่นคือชายหนุ่มในชุดสีเข้มที่สะท้อนแสงอรุณบาง ๆ ดวงตาสีฟ้าจางลึกล้ำราวทะเล เอียงศีรษะเล็กน้อยขณะปลายนิ้วเคลื่อนไหวบนสายพิณทองเหลือง


             “เลสเตอร์...?” เสียงของเธอแผ่วลงอย่างไม่ตั้งใจ ราวกลัวว่าหากพูดดังเขาจะหายไปในอากาศ


             เขาอยู่ตรงนั้นจริง ๆ เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส คนที่เธอรอมาเกินครึ่งเดือน ชายที่พูดว่าจะมาหาแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนนี้นั่งอยู่ตรงหน้าในสภาพที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงตาของเขาไม่ได้มีประกายโอหังหรือรอยยิ้มยียวนแบบที่เคย แต่กลับดูเหนื่อยล้าเหมือนคนที่เดินทางไกลจากแดนไกลจนแทบหมดแรง เสื้อคลุมยาวของเขาขาดนิด ๆ ที่ปลายชาย ผมสีน้ำตาลเข้มหยักศกหล่นลงข้างขมับ และที่สำคัญ... พิณในมือเขา มันไม่ใช่เครื่องดนตรีทั่วไปของค่าย…ของที่อยู่ในห้องเก็บของในกองร้อยที่ 5 ใช่ไหมนะ?


             เสียงพิณยังดำเนินต่อ บทเพลงนั้นไพเราะเกินมนุษย์ แต่ในความงดงามกลับมีความเศร้าแผ่วลึก บางวรรคสะท้อนความโดดเดี่ยวและการสูญเสีย โมนีก้ายืนฟังเงียบ ๆ รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่กำลังรัดแน่นอยู่ในอก เธอจำได้ว่าเสียงแบบนี้เคยได้ยิน... จากตอนที่เขาเล่นกีตาร์บนดาดฟ้าโรม วันนั้นคือคำตอบของคำสารภาพรักของเธอ แต่วันนี้... เสียงนี้ต่างออกไป มันคือบทเพลงแห่งคำสาปและการพลัดพราก เสียงของคนที่พยายามจะตัดขาดจากบางสิ่ง ทั้งที่ใจยังร้องไห้ไม่หยุด


             เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเริ่มก้าวเข้าใกล้ทีละนิด ลมหายใจของเธอเบาเสียจนแทบไม่กล้าหายใจแรง กลัวว่าความจริงตรงหน้าจะสลายไป “เลสเตอร์...” เธอเรียกอีกครั้ง คราวนี้เสียงแทบไม่เป็นเสียง


             ชายหนุ่มเงยหน้าช้า ๆ ดวงตาสีฟ้าของเขาสบเข้ากับแววตาสีเทาเงินของเธอทันที ความเงียบแผ่ซ่านครู่หนึ่ง ราวกับเวลาทั้งหมดหยุดลงระหว่างสองคนที่ไม่ได้พบกันนานเกินไป และบทเพลงก็ขาดห้วงลงกลางคัน ปลายนิ้วของเขาหยุดนิ่งบนสายพิณ เขาจ้องเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงแหบต่ำ “เธอตื่นเช้าจังนะ... โมนีก้า” เสียงของเขาแฝงความอ่อนล้า แต่แผ่วอบอุ่นจนหัวใจเธอสั่น ความรู้สึกที่พยายามซ่อนมาตลอด 16 วันเหมือนถูกปลดล็อกออกในคราวเดียว เธอกัดริมฝีปาก หัวใจเต้นแรงเกินจะตอบกลับได้ในทันที


             โมนีก้าก้าวเท้าเข้าหาเขาอย่างไม่รีรอ เสียงส้นสูงกระทบพื้นหินดัง "แกรก" เบา ๆ แต่หนักแน่นพอให้รู้ว่าอารมณ์เธอไม่ใช่เรื่องเล่น ใบหน้าเธอยังงดงามแต่สายตานั้นแหลมคมจนเหมือนจะเฉือนอากาศได้ “อันนี้คือที่บอกว่าจะมาหางั้นหรอ หืม?” น้ำเสียงเธอประชดปนโกรธ ทั้งเท้าเอว ทั้งขมวดคิ้วจนคนที่เคยเป็นเทพยังต้องเลิกคิ้วเล็กน้อย “นายคิดว่านายทำเรื่องบ้าบอกับฉันไว้ที่โรมแล้วมานั่งดีดพิณอยู่ตรงนี้มันเท่รึไง เลสเตอร์?”


             ชายหนุ่มชะงัก สายพิณยังสะท้อนแผ่วอยู่ในอากาศแต่ปลายนิ้วของเขาหยุดนิ่ง เลสเตอร์เงยหน้าขึ้น ดวงตาสีฟ้าที่เคยสะกดคนได้ทั้งค่ายตอนนี้มีแววเหนื่อยปนละอายเจืออยู่นิด ๆ แต่เขาก็ยังยกยิ้มมุมปากอย่างคนที่ไม่ยอมแพ้ “ผมก็มาถึงตั้งแต่วันที่สิบหกแล้วไง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงการโอ้อวดในจังหวะสุดท้าย “แต่เธอน่ะเอาแต่ทำงานแล้วก็สอบ ผมจะทำอะไรได้ นอกจากฝึกพิณรอเธออยู่นี่ล่ะ”


             โมนีก้าเบ้ปากทันที “อ๋อเหรอ งั้นไม่คิดจะโผล่หน้าให้เห็นบ้างเลยรึไง”


             เขายักไหล่ “แล้วตอนนี้ผมไม่โผล่หรือไง” ประโยคนั้นพูดง่าย ๆ แต่ด้วยน้ำเสียงแบบเลสเตอร์ มันฟังเหมือนคำเชิญชวนให้เธอใจอ่อนมากกว่าขอโทษเสียอีก 


             เธอจ้องตาเขาแน่น “นายจะเล่นสนุกกับฉันหรอเลสเตอร์? ยังหลงตัวเองเหมือนเดิมใช่ไหม ถึงคิดว่าฉันจะรอได้น่ะ คิดจะลอยแพฉันอ่ะสิ”


             คำพูดนั้นเหมือนคมมีดบางที่ฟันโดนใจเขา เลสเตอร์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “พูดแรงจังเลยนะ โมนีก้า แต่เปล่าหรอก...” น้ำเสียงเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เงียบลง ลึกขึ้น จนความอวดดีที่เคยมีเหมือนถูกปิดบังไว้ชั่วขณะ “ผมแค่... ถูกจับได้บางเรื่อง และมันไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดในค่ายนี้”


             เธอเลิกคิ้ว “จับได้? เรื่องอะไรของนายอีกล่ะ?”


             เลสเตอร์เบือนหน้าไปทางสายลมที่พัดผ่าน พิณในมือเขาสะท้อนแสงอรุณเหมือนจะเตือนให้เขาเงียบไว้ แต่ปากของเขากลับเริ่มขยับ “มีบางสิ่ง... ที่ผมพยายามจะปิดไว้ คำสาปที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้า...” ทันทีที่คำว่าเทพเจ้าหลุดออกจากปากแบบยังไม่ทันจะพูดจบ เสียงแผ่วในอากาศกลับแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ลมที่เคยอุ่นพลันกลายเป็นเย็นยะเยือก เสียงคลื่นพลังบางอย่างแหวกอากาศจนผืนหญ้ารอบลานสั่นสะเทือน


             “เลสเตอร์!” โมนีก้าร้องเรียก เขาหันขวับมาทันทีดวงตาสีฟ้าฉายแสงวาวราวมีประกายเทพหลุดรอดมาเล็ก ๆ “ถอย!”


             สิ่งนั้นโผล่มาจากเงาต้นซีเปรส เงาดำขนาดใหญ่ที่รูปร่างบิดเบี้ยวจนดูไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตใดที่ควรจะอยู่ในโลกนี้ มันเคลื่อนไหวเร็วอย่างไม่ปกติ เสียงครางต่ำดังราวเหล็กเสียดหิน เลสเตอร์ผลักโมนีก้าออกทันทีแล้วเหวี่ยงพิณในมือฟาดเป็นเส้นแสงสีทองพุ่งออกไปรอบตัว “นี่มัน…” เขาพึมพำ ก่อนจะใช้ร่างตัวเองตรึงมันไว้โดยไม่ลังเล ร่างเขาถูกแรงกระแทกจนถอยหลังสองก้าวแต่ก็ยังกัดฟันแน่น “โมนีก้า! อยู่ห่าง ๆ นั่นมันไม่ใช่...”


             “ไม่ใช่เวลามาห่วงแล้วเลสเตอร์!” เธอตะโกนสวน ร่างเล็กพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เธอแตะข้อมือซ้ายที่สวมกำไลสุริยุปราคาไว้ เพียงพริบตา แสงสีทองแดงผสานม่วงครามระเบิดออกจากกำไล ดาบยาวรูปทรงพิลึกแปลบปลาบในมือเธอ ดาบสุริยคตินนั่นเอง เงาสัตว์ประหลาดคำรามก้องมองไปทางพิณโบราณและเลสเตอร์ขณะโมนีก้ายกดาบขึ้นขวาง มันพุ่งเข้าหาเธอด้วยแรงมหาศาลจนเกิดคลื่นแรงอัดกระแทกทั่วลาน


             เสียงโลหะปะทะพลังมืด “ฉัวะ!” แสงเจิดวาบจนตาพร่าทั้งคู่ และเมื่อแสงนั้นดับลงเงาดำก็หายไปในอากาศเหลือเพียงกลิ่นกำมะถันและไอเย็นที่ค้างอยู่ โมนีก้าหอบหนัก เหงื่อซึมทั่วแผ่นหลัง มือยังถือดาบที่สั่นเบา ๆ ก่อนเธอจะค่อย ๆ หันกลับมามองเลสเตอร์ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล เสื้อคลุมขาดเป็นรอยเล็กตรงหัวไหล่แต่เขากลับยิ้มออกมาอีกครั้งรอยยิ้มบ้า ๆ แบบคนที่ยัง (ที่คิดว่า) หล่อทั้งที่เกือบตาย 


             “ผมบอกแล้วใช่ไหม...” เขาพูดพลางเอามือปัดฝุ่นที่ไหล่ “…ว่าผมมาถึงแล้วจริง ๆ”


             โมนีก้ากะพริบตามองเขาเหมือนสมองยังประมวลผลไม่ทัน เธอมองดาบในมือ มองเลสเตอร์ แล้วเผลอหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ทั้งที่ใจเต้นรัวไม่หยุด “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย... ฉันแค่จะมากินข้าวเช้าเองนะ...”


             “อย่างน้อยก็น่าตื่นเต้นดีไม่ใช่เหรอ” เขายักคิ้วตอบ ก่อนเสริมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมบอกแล้ว ชีวิตที่มีผมอยู่จะไม่มีคำว่าน่าเบื่อแน่นอน คนมันเนื้อหอมจะมีอะไรตามมามันก็เรื่องปกติไม่ใช่หรอ?”


             “อืม... นั่นสินะ” เธอพ่นลมหายใจแรง ยกมือแตะขมับ “แต่ถ้านายยังหลงตัวเองแบบนี้ ฉันจะโยนพิณนั่นลงทะเลให้ดูเลย คอยดูเถอะ เลสเตอร์” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ เสียงต่ำละมุน “กล้าเหรอ แม่สาวดอกไลแลคของผม?”


             “ใครดอกไลแลคของนาย ไอ้คนหลงตัวเอง!” โมนีก้าสวนแทบจะทันที เสียงของเธอมีทั้งความขุ่นเคืองและความประหม่าแปลก ๆ ผสมกัน เธอยกดาบขึ้นฟาดเบา ๆ ให้เกิดเสียงแกร๊งก่อนมันจะค่อย ๆ สลายกลายเป็นแสงสีทองและกลับกลายเป็นกำไลเรืองแสงอยู่บนข้อมือซ้ายเหมือนเดิม ผิวขาวซีดของเธอสะท้อนกับโลหะเงางามนั้นอย่างพอดี เธอถอนหายใจแรงเดินเข้าไปใกล้เลสเตอร์ พลางกอดอกแน่นจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นน้อย ๆ แล้วเอียงศีรษะมองเขาแบบที่พร้อมดุ “มีเรื่องอะไรที่ต้องบอกฉันใช่ไหมเลสเตอร์”


             เลสเตอร์ยังคงยืนพิงต้นซีเปรสอยู่ ท่าทางเหมือนคนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาเชิดคางขึ้นเล็กน้อย สายตากึ่งเยาะกึ่งหล่อประหลาดอย่างที่มีแต่เขาเท่านั้นที่ทำได้ “ผมบอกแล้วว่าผมมาถึงตั้งแต่วันที่สิบหก แล้วก็…ก็แค่มีเรื่องให้จัดการนิดหน่อย” เขาเล่นสายพิณในมือสองสามครั้ง คล้ายคนตั้งใจจะอวดมากกว่าจะอธิบาย “พิณนี่แหละเป็นกุญแจสำคัญในการทำลายสัตว์ประหลาดแบบนั้น เห็นไหม พวกมันไม่ได้ถูกฆ่าหรอก แค่สลายไปเพราะเรายังอยู่ในขอบเขตของค่ายจูปิเตอร์เท่านั้น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจเต็มเปี่ยม จนโมนีก้าอยากจะเอากำไลในมือขว้างหน้าเขา


             “โอ้แน่นอน... แสนจะน่าประทับใจ” เธอพูดลากเสียง “แต่นายไม่คิดจะบอกแต่แรกเลยรึไงว่ามีอะไรแบบนี้เกิดขึ้น นายหายไปเกือบครึ่งเดือนนะเลสเตอร์” เขาหัวเราะในลำคอแบบเนือย ๆ “ผมมีงานครับคุณโมนีก้า และตอนนี้ผมก็มาหาคุณแล้วไง เห็นไหม? ตามคำพูดเลยนะ”


             เธอจ้องตาเขาแบบที่อยากปามะเขือเทศใส่หน้าจืด ๆ ที่มั่นหน้านั่นสักลูก “แล้วพักอยู่ที่ไหนไม่ทราบหรือว่าตั้งเต็นท์อยู่แถวนี้เพราะขี้เกียจเดินไกล?”


             เขายักคิ้วตอบยียวน “ผมพักอยู่ที่กองร้อยห้านี่แหละ สบายดี อากาศดี มีวิวน้ำพุด้วยนะ” 

             “อ้อ ก็ดีสิ” เธอกอดอกแน่นกว่าเดิม “แล้วนายจะบอกฉันได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือจะยืนหน้าโง่เล่นแสงแดดอยู่ตรงนี้ไปจนเที่ยง”

             เลสเตอร์ถอนหายใจยาวอย่างกับคนที่ต้องจำใจจะพูดอะไรจริงจัง ดวงตาสีฟ้าของเขาเงยขึ้นเล็กน้อยเหมือนมองผ่านอะไรบางอย่างไปไกลกว่าขอบค่าย “ก็แค่... พอโดนตามล่า มันก็เหนื่อยน่ะสิ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลงและจริงจังขึ้นเล็กน้อย “ผมต้องตามหาคริสตัลแห่งเสียงก้อง มันถูกซ่อนไว้ในสถานที่แห่งความทรงจำของเทพอะพอลโล ถ้าไม่หามันเจอ ผมก็จะเจอเจ้าสัตว์ประหลาดเงานั่นเล่นงานซ้ำแล้วซ้ำอีกไปเรื่อย ๆ”


             โมนีก้าขมวดคิ้วทันที “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเทพพระอาทิตย์เหรอ?”

             เลสเตอร์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองหน้าเธอเต็ม ๆ สีหน้าของเขาเหมือนโดนสาดน้ำเย็น “...อะไรนะ?”

             “ฉันถามว่า มันเกี่ยวอะไรกับเทพอะพอลโล” เธอตอบเรียบ ๆ


             เขาเงียบไปอึดใจ ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นค่อย ๆ คลายออกจากความตกใจ แล้วมุมปากของเขาก็ยกขึ้นอย่างช้า ๆ เหมือนคนที่กำลังหาความสนุกในเรื่องไม่ควรสนุก “เธอไม่รู้เหรอว่าเทพอะพอลโลเป็นใครน่ะ?”


             “เอ่อ... ก็เทพพระอาทิตย์ไม่ใช่เหรอ?”


             “โธ่... ไม่ใช่แค่พระอาทิตย์! เธอนี้นะควรตั้งใจเรียนมากกว่านี้นะช่างไร้ความรู้อะไรอย่างนี้!” เขาเอามือทาบอกตัวเอง ทำเสียงโอ้อวดอย่างภาคภูมิ “ฟังผมให้ดีนะ โมนีก้า หรือแม่สาวน้อยคนอื่น ๆ ที่โชคดีพอจะได้ยิน... เทพอะพอลโลเนี่ยคือเทพแห่งคำพยากรณ์ เทพแห่งบทเพลงที่ไพเราะไร้ที่ติ (แน่นอนว่าพิณของผมดีกว่าทุกคนในสามโลก!) เทพแห่งการยิงธนูที่แม่นยำจนน่ากลัว! เทพแห่งความงามอันไร้ที่ติ (คุณคงเห็นแล้วว่าในร่างมนุษย์ที่แสนธรรมดานี้ ผม ก็ยังดูดีขนาดไหน!) เทพแห่งแสงสว่าง! เทพแห่งการรักษา! เทพแห่ง…เอ่อ…ทุกสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่จักรวาลคิดได้เลยก็ว่าได้!”


             โมนีก้าถอนหายใจ “โอ้พระเจ้า เริ่มแล้วสินะ...”


             “และยังไม่จบนะ! ฟังต่อก่อน! เทพอะพอลโลเป็นชายยอดชาย! เป็นชายเหนือชาย! เป็น ต้นแบบของความสมบูรณ์แบบที่ซุสควรจะภาคภูมิใจมากที่สุด! ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน แสงสว่างและความงามก็ติดตามผมไปที่นั่น... คุณคงรู้สึกถึงรัศมีเทพเจ้าที่แผ่ออกมาได้ใช่ไหมล่ะ? อย่าปฏิเสธนะ!” เหมือนเลสเตอร์จะหลุดคำที่บ่งบอกว่าตัวเองคือเทพอะพอลโลไปเสียแล้วแต่โมนีก้าก็นึกว่าเขาแค่หลงตัวเองเทียบเทพเฉย ๆ 


             “พอได้แล้ว!” เธอยกมือขึ้นปิดหูแทบไม่ทัน “ขอร้องเถอะ ฉันไม่อยากฟังประวัติชีวิตของเทพที่นายซิ่มอยากจะเป็นแล้วเอามายกหางตัวเองอีกแล้วนะ!” เลสเตอร์หัวเราะเสียงดังเหมือนจะภูมิใจที่ได้กวนเธอสำเร็จ “เอ้า ก็แค่ให้ความรู้พื้นฐานนิดหน่อยเอง เธอควรจะรู้ไว้บ้างสิ เกี่ยวกับ... เรื่องพวกนี้”


             “สรุป...” เธอย่นคิ้วเอานิ้วเล็ก ๆ นวดระหว่างขมับ “นายจะบอกว่าจะออกตามหาคริสตัลแห่งเสียงก้องเพื่อซ่อมพิณนั่น จะได้ไม่มีปีศาจตามมาราวีอีก ใช่ไหม?” เลสเตอร์หยุดนิ่ง แล้วจงใจยักคิ้วให้ดูเท่ที่สุดในค่าย “ใช่เลย นั่นแหละที่ผมจะบอก” โมนีก้ากอดอกแน่นขึ้นอีก ริมฝีปากยกยิ้มมุมหนึ่ง “ดีมาก นายคงไม่คิดว่าจะลากฉันเข้าไปในเรื่องบ้า ๆ ของนายด้วยอีกใช่ไหม?” เขายิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม เสียงหัวเราะต่ำของเขาดังแผ่ว “ผมยังไม่ได้พูดซักคำเลยนะว่าไม่อยากให้เธอมา...”


             โมนีก้าเบิกตากว้าง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาแต่กัดฟันชัด “เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส นายมันบ้าแน่ ๆ” เขายกมือขึ้นทำท่าทางล้อเล่น “และหล่ออย่างน่าทึ่งด้วยครับ ขอบคุณที่ยอมรับในที่สุด” เธอหันหลังแทบจะทันที “ถ้านายยังพูดอีกคำเดียว ฉันจะโยนให้พิณนั่นกลายเป็นไม้ตีหัวนาย ฉันจะไปกินข้าวแล้ว!” 


             เสียงหัวเราะของเลสเตอร์ดังตามหลังมา “นั่นสิ... ถ้าเป็นเธอ สงสัยพิณคงยอมด้วยนะ” ลมหายใจของโมนีก้าแรงขึ้นนิดหนึ่ง เธอกัดริมฝีปากไว้แน่นพยายามไม่ให้ยิ้ม แต่ใบหูของเธอกลับแดงขึ้นชัดเจนกว่าเดิม และชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอก็เห็นมันทุกวินาที


             แสงแดดอุ่นยามสายสาดลอดกระจกบานสูงของโรงอาหารค่ายจูปิเตอร์ เสียงช้อนกระทบจานดังเป็นจังหวะ สลับกับเสียงหัวเราะของเหล่าเดมิก็อดที่ทยอยกันมากินข้าวเช้า กลิ่นเบคอน กาแฟ และขนมปังปิ้งอบกรอบลอยฟุ้งไปทั่ว โมนีก้านั่งตรงข้ามเลสเตอร์ที่ยังไม่เลิกพิจารณาหน้าตัวเองจากเงาในถ้วยน้ำ เธอกินแพนเค้กผลไม้ไปพลางเอียงคอถามเสียงเรียบแต่แฝงแววระอา “สรุปนะ เราต้องเดินทางไปไหนอ่ะ?”


             เลสเตอร์เงยหน้าขึ้น ยกคิ้วพร้อมรอยยิ้มที่เหมือนจะมีแต่เขาคิดว่าหล่อ “แน่นอนว่าต้องเป็นกรีซสิ กรีซน่ะ! แดนแห่งเทพเจ้า เทพแห่งบทเพลง และที่สำคัญเป็นต้นกำเนิดของผมผู้เลอโฉ—”


             “พอ” เธอสวนแทบจะทันทีโดยไม่ต้องคิด “ฉันแค่ถามว่าไปไหน ไม่ได้ขอให้บรรยายสถานที่ท่องเที่ยวจากนาย” เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเริ่มตักซีเรียลเข้าปาก “ก็แค่จะบอกว่า มันเหมาะกับการเดินทางของเราน่ะสิ”


             โมนีก้าไม่สนใจจะต่อคำกับเขา เธอหยิบแท็บเล็ตรุ่นใหม่ของเดดาลัสออกมาวางบนโต๊ะ หน้าจอสีเงินสว่างขึ้นทันทีเมื่อเธอแตะปลายนิ้ว สัญลักษณ์รูปขนนกปรากฏก่อนระบบดูสายของรถไฟเดินทาง Hephaestus Express โผล่ขึ้นมาในไม่กี่วินาที เธอจิ้มหน้าจอไปพลางอธิบายเสียงเรียบ “เราต้องนั่งรถไฟเฮเฟตัสจากสถานีนิวโรมไปแกรนด์เซ็นทรัล นิวยอร์ก แล้วค่อยต่อสายยุโรปไปสถานีเอเธนส์ที่กรีซนะ นายจะได้ไม่งง”


             เลสเตอร์เท้าแก้มมองเธอแบบครุ่น ๆ แต่ปากยังยกยิ้ม “เธอนี่ฉลาดเกินความจำเป็นจังนะสำหรับคนที่เขี่ยผักใบเขียวทิ้งทุกมื้อ... อ้อ! แต่คงเป็นเพราะเธอเป็นลูกเซเรสสินะ เลยสนใจแต่ของอร่อย ๆ อย่างเห็ดหรือไก่ทอด”


             “อย่าให้ฉันเอามีดปาดหน้านายแทนมีดหั่นผักก็แล้วกัน” เธอพูดอย่างไม่แม้แต่จะเงยหน้า แต่ปลายนิ้วกลับแตะหน้าจออย่างคล่องแคล่ว “มีแต่สายประหยัดนะ นายจะต้องนั่งข้างฉันแน่ ๆ ห้ามเรื่องมากเด็ดขาด รถไฟออกสี่โมงสิบห้า ตอนสี่โมงเราต้องขึ้นขบวนให้ทัน” เลสเตอร์ทำท่าคิด ก่อนจะพูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “แปลว่าเรามีเวลา...ให้ผมไปทำธุระส่วนตัวอันสำคัญได้ทั้งวันสิ”


             “อืม แต่เช้านี้ฉันต้องไปรายงานที่พรินซิเปียก่อน” เธอเอ่ยพลางเก็บแท็บเล็ตใส่กระเป๋า “พอดีได้รับตำแหน่งเป็นเซ็นจูเรี่ยนร่วมกับลูคัส ต้องแจ้งขออนุญาตออกนอกค่ายให้เรียบร้อย” เลสเตอร์เลิกคิ้วนิด ๆ แล้วพยักหน้า “อืม เซ็นจูเรี่ยนเหรอ ยินดีด้วยนะ...ตำแหน่งที่ดูธรรมดาสำหรับอัจฉริยะแบบเธอ แต่ก็ถือว่าไม่เลว” น้ำเสียงเขาไม่ได้ประชด แต่แฝงความจริงจังแปลก ๆ ที่ทำให้โมนีก้าชะงักไปชั่วครู่ 


             เธอเงยหน้าขึ้นเห็นรอยยิ้มของเขาที่ดูอบอุ่นกว่าเดิมเล็กน้อยเลยพูดเบา ๆ “ขอบคุณนะ...” แล้วรีบหันกลับไปจิ้มส้อมใส่แพนเค้กอย่างไม่กล้ามองตรง ๆ นานเกินไป “งั้นเราจะออกเดินทางตอนสี่โมงเย็นนะ รถไฟออกสี่โมงสิบห้าเป๊ะอย่ามาช้าเด็ดขาด” เธอย้ำพลางชี้นิ้วใส่เขา


             “ผม? มาสาย? เป็นไปไม่ได้น่า” เขาตอบเสียงมั่นอย่างกับตัวเองเป็นตารางเวลาอวกาศของโครโนส “ผมคือคนแห่งความสมบูรณ์แบบ! ผมมีสัญชาตญาณแห่งความตรงต่อเวลาอยู่ในสายเลือ—”


             “เงียบเลย ก่อนฉันจะโยนโกโก้ร้อนใส่หน้า” เธอตัดบททันที ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยต่อ “หลังจากนี้ฉันจะไปรายงานพรินซิเปีย แล้วก็จะแวะไปไหว้แม่กับทวดที่วิหารบนเนินเทมเพิล” เลสเตอร์ฟังเงียบ ๆ แม้จะพยายามทำหน้าสบาย ๆ แต่แววตานั้นกลับมีประกายสนใจจริง “แม่กับทวดของเธอเหรอ…อ้อ”


             โมนีก้ายิ้มจาง ๆ เพราะอย่างน้อยเลสเตอร์ก็ไม่ได้หัวสมองปลาทองพอที่จะลืมว่าเธอเป็นลูกสาวของใคร “อืม ใช่แล้วล่ะแล้วก็ฉันต้องไปถวายของให้กับเทพเวสเปอร์ด้วย ท่านส่งสารมาว่าขอให้ถวายความศรัทธาทุกเดือน เพื่อให้พลังของท่านพอจะตรึงช่วงพล่ำค่ำไว้แทนกลางคืนที่หายไปน่ะ” เลสเตอร์วางช้อนลง จ้องหน้าเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดเสียงเบาแต่แฝงแววจริงใจ “เธอนี่ละเอียดจังนะ”


             “ไม่เรียกละเอียด เรียกว่ามีความรับผิดชอบต่างหาก” เธอสวนแบบไม่ต้องคิด “ไม่เหมือนบางคน ที่เวลาเทพอื่นพูดยังเอาแต่ชมตัวเอง” เขายักคิ้วพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าเธอหมายถึงเทพอะพอลโลล่ะก็ เธอพูดถูกนะ เขาหล่อจนเทพอื่นต้องเสียสมาธิไปหมดเลยแม้แต่เทพเวสเปอร์เองก็อาจจะแอบมองอยู่ก็ได้!”


             “ฉันจะกินไม่ลงเพราะคำพูดนายจริง ๆ” เธอตอบทั้งที่กลั้นหัวเราะไว้เต็มที่ “ขอร้องอย่าทำลายความสงบในมื้อเช้าของฉันด้วยความมั่นหน้าแบบนั้นเลย” เลสเตอร์เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เอียงศีรษะอย่างคนที่พอใจเต็มที่ “ก็ดีแล้วที่ผมยังมีผลกระทบต่อจิตใจคุณบ้างน่ะนะ” โมนีก้ากลอกตา “ผลกระทบเดียวที่นายมีคือความดันฉันจะขึ้นตอนเช้า”


             เขาหัวเราะนุ่ม ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งลงเล็กน้อย “งั้นก็รีบจัดการธุระของเซ็นจูเรี่ยนมือใหม่ให้เสร็จเถอะ เดี๋ยวตอนสี่โมงผมจะไปดักรอที่สถานีนิวโรม อย่ามาช้านะ...เพราะถ้าผมไปรอใครนานเกินกว่าสิบนาที โครโนสจะต้องอิจฉาในความเสียสละของผม”


             “ฉันน่ะไม่เคยช้าอยู่แล้ว” เธอพูดพร้อมลุกขึ้น หยิบเสื้อคลุมมาสวม “จำไว้ด้วยนะเลสเตอร์ ถ้าฉันต้องนั่งสายประหยัดไปกับนาย ฉันจะไม่ยอมให้ใครต้องมานั่งฟังนายหลงตัวเองอีกเด็ดขาด” เขายิ้มบาง ๆ แล้วตักขนมปังคำสุดท้ายเข้าปาก “โมนีก้า... ผมจะพยายามลดระดับความเปล่งประกายลงบ้าง แต่คำว่าโอ้อวดสำหรับผม มันคือ 'การบอกความจริงด้วยความถ่อมตน' ต่างหาก”


             “นายควรหัดนิยามคำว่า ‘ถ่อมตน’ ใหม่สักที” เธอตอบก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากโรงอาหาร ทิ้งให้เสียงส้นสูงค่อย ๆ ห่างออกไป เลสเตอร์มองตามแผ่นหลังนั้นด้วยสายตาอ่อนโยนกว่าเดิมเล็กน้อย รอยยิ้มเขาเล็กลงแต่ลึกกว่าเก่า ก่อนจะพูดกับตัวเองเบา ๆ “แม่สาวดอกไลแลค... เธอช่างเป็นบทกวีบทใหม่ที่ทำให้ผมต้องฝึกแต่งไพเราะกว่าที่เคยจริง ๆ”

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

เลสเตอร์พบโมนีก้า ในที่สุดก็จะได้ไปทำภารกิจบ้า ๆ นี้สักที

avatar

Moneka M. Blossom

หมอนี้เจอหน้าก็มีแต่เรื่อง เห่อ ต้องรีบเคลียร์งานก่อน 16.00 น. แล้วสินะ!


+2 ตื่นรู้ จากการกำจัด ผู้กลืนกินเสียงกระซิบ ครั้งแรก


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 94,219 ไบต์และได้รับ +9 EXP +8 เกียรติยศ +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก สัมภาระเต็มรูปแบบ  โพสต์ 2025-10-22 14:41
โพสต์ 94,219 ไบต์และได้รับ +9 EXP +12 เกียรติยศ +12 ความศรัทธา จาก เข็มทิศ  โพสต์ 2025-10-22 14:41
โพสต์ 94,219 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก รากพันธนาการ  โพสต์ 2025-10-22 14:41
โพสต์ 94,219 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก หนังสือนิยาย  โพสต์ 2025-10-22 14:41
โพสต์ 94,219 ไบต์และได้รับ +20 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2  โพสต์ 2025-10-22 14:41

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-10-23 03:47:38 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

Hushsong of the Gods

💟 หนีตามผู้ชายสไตล์ มนก บซ 💟
ตอนที่ 1 : เริ่มต้นมาก็เหนื่อยใจ
วันที่ 20 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงเช้า เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ ค่ายจูปิเตอร์ ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา

อาคารพรินซิเปียตั้งตระหง่านกลางค่ายจูปิเตอร์ เสาหินอ่อนสีขาวขนาดมหึมาสะท้อนแสงเช้าแวววับราวกับมีเทพโรมันมาสถิตอยู่ กลิ่นอากาศภายในอบอวลด้วยกลิ่นหนังสัตว์ใหม่และแว็กซ์ที่ใช้ขัดพื้นหินอ่อน เสียงส้นรองเท้าของโมนีก้าดังก้อง “ตึก ตึก ตึก” ไปตามทางเดินก่อนจะหยุดที่หน้าประตูบานใหญ่ประดับตรา S.P.Q.R สีทอง เธอสูดลมหายใจ ตั้งท่าตรง แล้วเคาะสามครั้ง “ขออนุญาตค่ะ”


เสียงทุ้มอบอุ่นของควินตัสดังจากข้างใน “เข้ามาได้”


เธอเปิดประตูเข้าไป กลิ่นหอมของเจลลี่บีนในชามบนโต๊ะกลางลอยมาแตะจมูก ภายในห้องยังคงงดงามเหมือนเดิม เพดานโมเสกภาพลูปากับฝาแฝดผู้ก่อตั้งโรมส่องประกายราวกับเคลื่อนไหวได้จริง แม่ทัพทั้งสองนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ยาว ยาสมินก้มอ่านเอกสารบนแท็บเล็ต ส่วนควินตัสเงยหน้ามองเธอด้วยรอยยิ้มที่มีทั้งความเป็นมิตรและความพร้อมจะรับมือกับทุกอย่าง “มาแต่เช้าเลยนะ มีเรื่องด่วนเหรอ?” เขาถาม


โมนีก้าเดินเข้าไปหยุดตรงกลางห้อง ยืนตรงตามระเบียบก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน “ค่ะ พอดีดิฉันจะมารายงานเรื่องเหตุการณ์เมื่อเช้านี้” เธอสูดลมหายใจ “อสุรกายผู้กลืนกินเสียงกระซิบที่ปรากฏกลางค่าย มันมาตามพิณโบราณของกองร้อยที่ห้า เพื่อนของฉัน…เลสเตอร์เขาบอกว่าพิณอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ จึงดึงดูดพวกนั้นมา”


ยาสมินเงยหน้าขึ้นทันที “พิณของกองร้อยที่ห้าเหรอ? นั่นมันของเก่าตั้งแต่สมัยก่อตั้งค่ายเลยนะ ใครไปยุ่งกับมัน?”


“เลสเตอร์ค่ะ...” โมนีก้ายอมรับเสียงแผ่วแต่มั่นคงบ่งบอกว่ามีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวของเขา “เขาไม่ได้ตั้งใจ แต่มันตอบสนองต่อบางสิ่งในตัวเขา ฉันคิดว่าถ้าไม่จัดการเรื่องนี้พวกมันอาจกลับมาอีกครั้ง ถึงค่ายจะมีการคุ้มครองแน่นหนาแต่ก็ไม่มีอะไรแน่นอน” ควินตัสพยักหน้า สีหน้ากลายเป็นจริงจัง “เข้าใจแล้ว เธอจะขออนุญาตออกนอกค่าย?”


“ค่ะ ฉันตั้งใจจะออกเดินทางไปพร้อมเลสเตอร์ เพื่อไปจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย เขาบอกว่าต้นเหตุอยู่ที่กรีซ”

ยาสมินมองหน้าควินตัส พยักหน้าน้อย ๆ “เป็นการตัดสินใจที่ดี ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้มันจะบานปลายแน่”

“งั้นพวกเราจะเบิกเสบียงและอุปกรณ์พิเศษให้ไว้ใช้ระหว่างเดินทาง” ควินตัสพูดพร้อมเอื้อมมือไปหยิบม้วนเอกสาร “เดี๋ยวขอประชุมเจ้าหน้าที่ก่อน—”


“ไม่ต้องหรอกค่ะท่านแม่ทัพ” โมนีก้ายกมือขึ้นขัดจังหวะเบา ๆ เธอพูดอย่างนอบน้อมแต่หนักแน่น “ฉันกับเลสเตอร์จะจัดการเดินทางกันเองค่ะ ไม่ต้องเสียทรัพยากรของค่ายโดยไม่จำเป็นหรอกค่ะแค่จะมารายงานเพื่อให้ทราบ เราจะนั่งรถไฟเฮเฟตัสออกจากสถานีนิวโรมตอนสี่โมงเย็น ไปต่อสายยุโรปที่แกรนด์เซ็นทรัลตรงถึงเอเธนส์เลยค่ะ แค่ตั๋วสายประหยัดก็พอไม่จำเป็นต้องเบิกของ”


ควินตัสกับยาสมินมองหน้ากันเงียบ ๆ สักพัก ก่อนชายหนุ่มจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ถ้าเป็นเธอล่ะก็ ฉันเชื่อใจได้อยู่แล้ว” ยาสมินยิ้มบาง ๆ “แต่เธอจะต้องระวังตัวให้มากนะโมนีก้า เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของค่ายแบบนี้มันมักมีเบื้องหลังซับซ้อนกว่าที่เห็น อย่าห้าวไปก่อนฟังเลสเตอร์ให้ดี”


“ค่ะ ฉันจะระวัง” เธอตอบพร้อมโค้งศีรษะเล็กน้อย


ควินตัสลุกขึ้น เดินอ้อมโต๊ะมาวางมือลงบนบ่าของเธออย่างเป็นมิตร “ขอให้โชคดีนะเซ็นจูเรี่ยนบลอสซัม เราจะดูแลกองร้อยที่สองให้จนกว่าเธอจะกลับมา มีลูคัสด้วยเขาจัดการงานได้ดีอยู่แล้ว” โมนีก้าเงยหน้าขึ้น ยิ้มบาง ๆ ดวงตาเทาเงินสะท้อนแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดกระจก “ขอบคุณค่ะคุณควินตัส คุณยาสมิน ฉันจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”


“แล้วอย่าลืมเก็บตัวอย่างพลังของสัตว์ประหลาดมาด้วยนะ” ยาสมินพูดแซว น้ำเสียงกึ่งจริงกึ่งเล่น “อยากรู้เหมือนกันว่าพวกมันโดนดึงดูดจากคำสาปแบบไหน”


“ได้เลยค่ะ ถ้ามันไม่พยายามจะจับฉันทำซอยจุ๊เนื้อสดก่อนนะคะ” เธอตอบพร้อมหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะทำความเคารพ แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้อง เสียงรองเท้าส้นสูงของโมนีก้าค่อย ๆ จางลงตามทางเดินยาวหินอ่อน เหลือไว้เพียงแสงแดดยามสายที่ส่องลอดหน้าต่างกระทบกำไลสุริยุปราคาให้เป็นแสงวาบวับราวกับเตือนว่า เส้นทางข้างหน้ากำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง


เนินเทมเพิลยามบ่ายคล้อยถูกอาบด้วยแสงอาทิตย์สีทองอมม่วง เส้นทางหินที่ทอดขึ้นไปยังยอดเนินดูราวกับถูกแต่งแต้มด้วยแสงของเวสเปอร์เอง เทพแห่งพลบค่ำที่เธอกำลังจะไปพบในวันนี้ ลมอุ่นพัดผ่านกระโปรงโค้ทยาวของโมนีก้าให้พลิ้วไปตามจังหวะก้าว แหวนดาราจรัสบนนิ้วกลางข้างขวาส่องประกายบางเบา ราวกับรู้ดีว่าผู้เป็นเจ้าของกำลังจะออกเดินทางไกลอีกครั้ง


ก่อนหน้านั้น เธอแวะไปยังอาคารกองร้อยที่สอง แจ้งกับลูคัส เซ็นจูเรี่ยนคู่หูของเธอว่าเธอจะไม่อยู่ช่วงหนึ่ง เขาเพียงพยักหน้าและเอ่ยสั้น ๆ เกี่ยวกับเรื่องทุกอย่าง น้ำเสียงมั่นคงและอบอุ่นของเขาทำให้เธอโล่งใจขึ้นเล็กน้อย หลังจากเก็บสัมภาระสำคัญและจัดกระเป๋าเสร็จ เธอก็ออกจากค่ายตรงสู่เนินเทมเพิลในทันที ทางเดินขึ้นเนินเรียงรายด้วยต้นไซเปรสสูง เสียงใบไม้เสียดสีกันคล้ายเสียงกระซิบจากอีกโลกหนึ่ง เมื่อก้าวถึงยอดเนิน วิหารของเทพเวสเปอร์ก็ปรากฏตรงหน้า อาคารหินแกรนิตสีเทาเข้มผสานหินอ่อนม่วงหม่น เสาแบบทัสคันเรียงรายรองรับหลังคาจั่วที่ดูเรียบง่ายแต่สง่างาม แสงแดดสุดท้ายสาดกระทบผิวหินให้กลายเป็นสีระเรื่อราวกับพลบค่ำถูกตรึงไว้กลางวัน


เธอเดินขึ้นบันไดอย่างเงียบงัน ภายในวิหารอบอวลด้วยกลิ่นกำยานและแสงเทียนที่ส่องสว่างไหวระริก เธอคุกเข่าลงตรงหน้าแท่นหิน ผิวหินเย็นแต่นุ่มละมุนเมื่อสัมผัสราวกับมีชีวิต “ข้า...โมนีก้า เอ็ม. บลอสซัม มาตามคำสัตย์ที่ให้ไว้” เธอกล่าวเสียงแผ่ว แต่ชัดเจน ดึงของถวายจากกระเป๋าออกมา เป็นช่อดอกไลแลคแห้งผูกด้วยเส้นไหมสีเทา และขวดแก้วเล็กที่บรรจุหินซันสโตนแทนแสงอาทิตย์ยามอัสดงที่เธอเก็บไว้จากวันหนึ่งในค่าย


“ท่านเวสเปอร์...” เธอเอ่ยพลางหลับตา “ขอบคุณที่เหนื่อยยาก ขอให้ท่านรับศรัทธาของข้าไว้ แล้วมีพลังในทุกเดือนด้วยเถิด เพื่อจะตรึงแสงของพลบค่ำไว้แทนรัตติกาลที่หายไป จนกว่าคืนจะกลับมาอีกครั้ง”


เสียงลมสงัดลงในทันที ก่อนคลื่นพลังอ่อนโยนจะแผ่ซ่านไปทั่ววิหาร แสงเทียนส่องวาบขึ้นราวกับมีใครมาช่วยเติมเชื้อไฟใหม่ ดอกไลแลคในมือเธอกลายเป็นประกายแสงระยิบแล้วสลายเป็นผงทอง ลอยวนรอบตัวราวกับคำตอบรับจากเทพ โมนีก้าก้มศีรษะ “ขอบพระคุณท่าน...” เสียงเธอสั่นเล็กน้อย เมื่อเงาแห่งเทพจางหายไปพร้อมกับแสงราตรีแรกที่เริ่มแตะขอบฟ้า เธอยืนขึ้น สูดลมหายใจลึก บัดนี้ ยังคงมีพลบค่ำที่เทพเวสเปอร์ตรึงไว้โอบล้อมเธอราวกับผ้าคลุมแห่งพรจากสวรรค์ในทุกเย็นและค่ำคืน เธอหันหลังกลับจากวิหาร มุ่งหน้าไปทางเดินที่ทอดลงจากเนิน เทมเพิล ต่อไปยังวิหารของเทพีเซเรส มารดาผู้กำเนิดชีวิต เพื่อกล่าวคำลาครั้งสุดท้ายก่อนการเดินทางอันยาวไกลที่จะนำเธอและเลสเตอร์ไปถึงแผ่นดินแห่งเทพกรีกในไม่ช้า


วิหารของเทพีเซเรสตั้งอยู่กลางลานพฤกษา แสงแดดยามบ่ายส่องลอดหลังคาหินอ่อนสีงาช้างจนทุกสิ่งดูอบอุ่นนุ่มนวล รอยสลักรูปรวงข้าวและเถาวัลย์ปกคลุมเสาแต่ละต้น เหมือนสิ่งมีชีวิตกำลังหายใจในอาณาจักรของผู้ให้กำเนิดชีวิต โมนีก้าเดินเข้ามาเงียบ ๆ ราวกลัวรบกวนความสงบของสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะหยุดตรงแท่นบูชากลางห้องแล้วค่อย ๆ คุกเข่าลง 


“สวัสดีค่ะ แม่” เธอกล่าวเสียงอ่อน พลางยกมือไหว้อย่างเคารพ ดวงตาเทาเงินสะท้อนเปลวเทียน “หนูจะออกเดินทางกับเลสเตอร์นะ...” เสียงเธอแผ่วลงราวกับกลัวว่าคำพูดจะกลายเป็นคำสัญญาที่หลุดพ้นไม่ได้ เธอเงียบไปพักหนึ่ง สูดลมหายใจช้า ๆ ก่อนพูดต่อ “หนูไม่รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่หนูรู้แค่ว่า...หนูคงชอบเลสเตอร์จริง ๆ” เธอยิ้มบาง ๆ ที่มีทั้งความสับสนและจริงใจ “หนูไม่รู้ว่ามันดีหรือเปล่า หรือจะเป็นยังไง แต่หนูทนไม่ได้ถ้าเขาต้องโดนตามล่าไปตลอดเวลา ขอให้แม่เข้าใจลูกด้วยนะคะ”


โมนีก้าก้มศีรษะต่ำจนปลายผมม่วงครามไหลลงคลอไหล่ เธอหยิบช่อกุหลาบสีขาวออกมาวางบนแท่นหินอ่อน กลีบดอกสะท้อนแสงราวกับมีแสงจากภายในตัวเอง แล้วหลับตาแน่นเพื่อส่งความศรัทธาให้ผู้เป็นมารดา แสงอบอุ่นปกคลุมไปทั่ววิหารในชั่วอึดใจ กลีบกุหลาบเริ่มลอยขึ้นช้า ๆ หมุนวนรอบร่างของเธออย่างมีชีวิต เสียงเหมือนลมหายใจของแผ่นดินดังอยู่ในหัว เสียงของพลังที่เคลื่อนไหวจากพื้นขึ้นสู่ร่างเธอ เธอรู้สึกถึงแรงบางอย่างที่แทรกเข้ามาในเลือด ในหัวใจ และในจิตสำนึก มันไม่เจ็บไม่ร้อนแต่มันมีชีวิต เหมือนพลังของผืนดินทั้งผืนมอบให้เธอเพียงลำพัง


เธอเบิกตากว้าง สีตาเทาเงินแปรเปลี่ยนเป็นประกายสีเขียวระเรื่อชั่วขณะ ก่อนที่พลังจะซึมเข้าสู่ร่างกายจนทุกอย่างกลับสู่ปกติ เสียงลมหายใจของเธอสั่นเล็กน้อย “พลังนี้...ของแม่เหรอ?” เธอพึมพำออกมาเบา ๆ แล้วเข้าใจในทันที นี่คือของขวัญจากเซเรส เพื่อให้ลูกสาวใช้ปกป้องตนเองและผู้คนที่เธอรัก 


เธอแตะอกตนเอง รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจที่เชื่อมโยงกับเสียงแผ่วเบาของรากไม้ใต้พื้น มันคือพลังควบคุมพืชขั้นสูง ความสามารถที่จะสั่งให้ธรรมชาติตอบสนองต่อเจตจำนงของเธอ เถาวัลย์สามารถงอกขึ้นได้ภายในพริบตา ดอกไม้สามารถกลายเป็นระเบิดเกสร และที่สำคัญที่สุดเธอสามารถเดินทางผ่านพืชเหมือนส่วนหนึ่งของธรรมชาติเอง รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนริมฝีปากของโมนีก้า “เข้าใจแล้วค่ะ แม่... แม่อยากให้หนูเอาพลังนี้ไปใช้จริง ๆ สินะ” เธอลุกขึ้นยืน ค้อมศีรษะอย่างเคารพอีกครั้ง “งั้น...ขอตัวก่อนนะคะ รักแม่มากที่สุดเลย”


ทันทีที่เธอก้าวออกจากวิหาร แสงอาทิตย์ยามบ่ายปลายวันก็สาดผ่านต้นข้าวสาลีรอบวิหารให้เอนตัวตามทางเดิน เหมือนธรรมชาติกำลังโบกมือลูกสาวของเทพีผู้ยิ่งใหญ่ โมนีก้าก้าวเดินเร็วขึ้น มุ่งหน้าลงจากเนินทางตะวันตกเฉียงใต้ สู่เส้นทางที่นำไปยัง นิวโรมปลายทางที่เลสเตอร์รออยู่ และจุดเริ่มต้นของการผจญภัยที่อาจเปลี่ยนชะตาของเธอไปตลอดกาล


ช่วงเวลาบ่ายสามกล่าว ๆ นครนิวโรมทอแสงเหมือนโลหะเฮเฟตัสเพิ่งปล่อยจากเตา สถานีรถไฟตั้งตระหง่านกลางเมืองด้วยสถาปัตยกรรมโรมันผสานกลไกสีฟ้าเรืองที่ไหลผ่านท่อแก้วเหมือนลำธารสายสายฟ้า หน้าต่างกระจกสีเล่าเรื่องวีรชนของกองพันที่สิบสอง ความยิ่งใหญ่ของเพดานโค้งทำให้ทุกย่างก้าวของผู้มาเยือนกลายเป็นจังหวะในมหาศาลาลูกครึ่งเทพ โมนีก้าก้าวลงจากมินิบัสจัดชายเบลเซอร์ให้เข้าที่ แล้วลากกระเป๋าสีเข้มผ่านโถงที่มีกลิ่นน้ำมันหล่อลื่นอ่อน ๆ ปะปนกับกลิ่นโลหะร้อน เธอมองหาคนสูงหนึ่งเก้าหนึ่งผมหยิกสีเข้มอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เจอ จึงตรงไปเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วที่ประดับตราค้อนเพลิงของเฮเฟตัส


“ขอที่นั่งรถไฟสายประหยัดจากนิวโรมไปแกรนด์เซ็นทรัล นิวยอร์ก สองที่ค่ะ” เธอเอ่ยมั่นคง พนักงานสาวในชุดยูนิฟอร์มมีเกียร์ทองติดไหล่เงยหน้าขึ้นยิ้ม “สองที่นั่ง ที่นั่งละห้าดีนาเรียส สามารถจ่ายเป็นดรักม่าได้ค่ะ”


“งั้นจ่ายเป็นดรักม่าค่ะ” โมนีก้าหยิบเหรียญเงินสิบดรักม่าออกจากกระเป๋าสตางค์ ส่งให้แบบตรงเป๊ะไม่มีเศษ


เครื่องประทับตั๋วส่งเสียงกริ๊กพร้อมควันประกายสีฟ้าลอยบาง ๆ บนบัตรโลหะ เธอรับตั๋วสองใบพอดีกับที่เงาร่างคุ้นตาทอดยาวทับพื้นหิน เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอสโผล่มาอย่างกับตั้งใจให้แสงกระทบมุมหน้าให้มันดูหล่อพอดีแม้ว่าเขาจะไม่ได้หล่อในสายตาของโมนีก้าเลยก็ตาม ด้านหลังของเขายังคงมีธนูคู่ใจแผ่นหลังตรงราวกับคนที่ชอบทำตัวว่าตัวเองหล่อเหมือนเทพพระเจ้า “ตื่นเต้นที่จะได้เดินทางกับคนที่มีความงามอันเป็นนิรันดร์อย่างผมอีกแล้วหรือเปล่าครับ คุณบลอสซัม ผู้โชคดี” เขายิ้มกว้าง น้ำเสียงเจือสำเนียงคนเคยมีคู่รักสี่สิบสี่คนและยังจำรายละเอียดได้ทุกกรณี 


“ไม่ใช่สักหน่อย” เธอตอบสั้นเรียบ แล้วชูตั๋วในมือ “ฉันแค่เป็นห่วงนายต่างหาก อย่าทำอะไรชวนตายกลางขบวนรถไฟก็พอ”


“โอ้ ผมชอบเวลาที่คุณสารภาพว่าห่วงใยผมแบบนี้จัง” เขาทำท่าจะวรรคทอง “การเดินทางคือบทกวีที่ร่ายยาวถึงความยอดเยี่ยมของผม ส่วนผมคือผู้ร่ายยาวของสุริยัน ผู้เป็นดวงใจของทุกการผจญภัยที่คู่ควร—”


“หยุดเลย ก่อนที่ฉันจะคืนตั๋วแล้วส่งนายไปเดินไปเอง” โมนีก้าชี้นิ้วเตือน แต่หางตาเธอยังเผลอมองรอยถลอกเล็ก ๆ ที่ไหล่เสื้อคลุมของเขาแล้วใจหวิวอยู่ดี ทั้งคู่ก้าวสู่ชานชาลาที่หนึ่ง เส้นอักษรรูนสีทองวิ่งตามรางราวกับมีสิ่งมีชีวิตใต้พื้น เครื่องกลทรงกระบอกสั่นเบา ๆ ก่อนชะลอลงเมื่อหัวรถสีดำน้ำหมึกปักตราเฮเฟตัสแล่นเทียบ เสียงหวีดแหลมสะอาดดังรับเวลา 16.00 นาฬิกาตรงตามที่เธอบอก พนักงานโบกป้าย เหล็กล็อกสลักงับเข้าที่เหมือนสิงห์เฝ้าประตูที่พอใจในพิธีการ


“ไปกัน” โมนีก้าไม่เปิดช่องให้เขาเล่นคำอีก เธอสอดมือไปจับข้อมือเลสเตอร์แล้วดึงพาร่างสูงหนึ่งเก้าหนึ่งทะลุฝูงชนขึ้นบันไดเหล็กสู่โบกี้สายประหยัด เบาะผ้าสีน้ำเงินเข้มเรียงสองฝั่ง หน้าต่างกรอบทองสะท้อนทิวทัศน์นิวโรม พลับพลาและสระน้ำกลางเมืองวาบผ่านสายตา ข้างเพดานมีท่อแก้วพลังงานไหลพร่างเหมือนแม่น้ำดาว กลิ่นโลหะอุ่น ๆ ผสมอบเชยลอยอ่อน ๆ เป็นลายเซ็นของทางรถไฟเฮเฟตัส เธอสไลด์เข้าที่นั่งคู่ ริมหน้าต่าง เบียดให้เลสเตอร์นั่งด้านในเพื่อกันเขาโผล่หัวไปทักคนทั้งโบกี้ “ห้ามร้องเพลงจนเด็กร้อง เดี๋ยวคนทั้งขบวนหลงตัวเองตามนาย” เธอบอกพลางเก็บตั๋วลงกระเป๋า


เลสเตอร์เอนพิง พยายามทำหน้าสุภาพแต่แววตายังแพรวพราว “ผมจะไม่ร้องเพลง ถ้าคุณยอมรับสามสัจธรรมที่โลกปฏิเสธไม่ได้ หนึ่ง ผมหล่อ สอง ผมยิงธนูเป้าแตกทุกยก สาม—”


“สาม คือเราออกเดินทางเพราะนายโดนมอนสเตอร์ตามฆ่าเพราะจะจับนายเป็นซอยจุ๊เนื้อสดจิ้มน้ำพริกกิน” เธอตัดบทอย่างเป๊ะ “และฉันตั้งใจจะให้เราถึงเอเธนส์แบบไม่มีข่าวฉาว เท่านี้พอ” เขาหลุดหัวเราะ แต่ก็ลดโทนลง เหมือนยอมรับการบัญชาของเซ็นจูเรี่ยนด้วยความเต็มใจ “ก็ได้ครับ แม่สาวไลแลคผู้มีเสน่ห์ดึงดูดแม้กระทั่งความวุ่นวาย” แล้วก้มลงกระซิบชิดกว่าเดิมเท่าที่มารยาทสาธารณะอนุญาต “ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ”


หัวใจเธอกระตุกวูบ เธอหันหน้ามองออกหน้าต่างทำเป็นปรับผมให้เข้าที่ พลังจากของขวัญของแม่ยังอุ่นอยู่ใต้ผิวหนัง เถาวัลย์ในจินตนาการกรีดยิ้มพร้อมจะช่วยทุกเมื่อที่จำเป็น เธอสูดลมหายใจลึกให้เสถียร ก่อนวางมือบนกำไลสุริยุปราคาเช็กสัมผัสคุ้นเคย


เสียงระฆังสัญญาณดังหนึ่งครั้ง รางใต้ท้องขบวนสว่างเป็นเส้นทอง รถไฟสั่นนุ่ม ๆ แล้วเคลื่อนออกจากสถานีนิวโรมอย่างสง่างาม เมืองโรมใหม่ค่อย ๆ ถอยหลังเป็นภาพโมเสกยักษ์ เลสเตอร์ชำเลืองกระจก มุมปากยกขึ้นเหมือนกำลังจดจำใบหน้าของคนข้าง ๆ เพื่อแต่งกลอน


“อย่าเริ่มแต่งอะไรในหัวตอนนี้นะ” โมนีก้าพูดโดยไม่หันกลับ


“แค่ไฮกุสามบรรทัด” เขากระซิบอย่างคนเสพติดบทกวี “ตั๋วชั้นประหยัด หรูเพราะคน(เทพ) นั่งอยู่ข้าง สุริยันยิ้มพอ ไงล่ะ” เธอส่ายหน้าแต่ยิ้มมุมปากโดยไม่ให้เขาเห็น “ถ้าจะทำตัวน่าหมั่นไส้ก็ทำเงียบ ๆ” แล้วซบศีรษะกับพนักเบาะ มองแสงพลังงานฟ้าเลื้อยไปตามท่อเหนือศีรษะเหมือนดาวเคราะห์เคลื่อนผ่านเส้นทางลับ


ขบวนเร่งความเร็ว เสียงล้อเหล็กกลายเป็นจังหวะสม่ำเสมอเหมือนหัวใจของยักษ์กลไก ทั้งคู่แล่นเข้าสู่เส้นทางที่พาไปยังแกรนด์เซ็นทรัล โซนชานชาลาที่เก้าซึ่งซ่อนตัวอย่างแนบเนียนกลางมหานครมนุษย์ เวลา 16.15 นาฬิกา เริ่มนับต่อจากนี้ ทุกวินาทีคือทางแยกของบทกวีและคำสาป และในที่นั่งคู่ริมหน้าต่างของโบกี้สายประหยัด เดมิก็อดผู้ห่วงคนอื่นเกินกว่าจะยอมแพ้กับเทพหนุ่มขี้หลงตัวเองที่ยังไม่ยอมบอกความจริง กำลังออกเดินทางไปยังแผ่นดินที่เสียงก้องของคริสตัลเฝ้ารอให้ถูกค้นพบ

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

ฮึ่ม... แม่สาวดอกไลแลคนี่ช่างมีอิทธิพลต่อผมเสียจริง! ดูสิ! ผมแค่โผล่มาตรงมุมตึกที่แสงกระทบองศาเหมาะสมที่สุด เธอก็แสดงออกถึงความ 'ห่วง' อย่างชัดเจนเสียแล้ว นี่แหละคือเสน่ห์ที่แผ่ออกมาจากเทพเจ้าที่แม้จะอยู่ในร่างมนุษย์ที่แสนบกพร่องก็ตาม!  เธอปฏิเสธที่จะตื่นเต้นที่จะเดินทางกับผม? โธ่เอ๊ย! เธอแค่พยายามปกปิดความตื่นเต้นที่หัวใจกำลังเต้นระรัวเท่านั้นเอง! ผมรู้ดี! เธอกลัวการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง กลัวที่จะต้องเดินทางไปโดยปราศจาก 'ความปลอดภัย' ที่ ผม มอบให้ (ถึงแม้เธอจะเรียกมันว่าการห่วงใยไม่ให้ผมไปตายก็ตาม) 


 และเรื่องรถไฟสายประหยัดนั่น! แน่นอนว่าการเดินทางของ 'เทพเจ้าแห่งแสงสว่าง' ไม่ควรจะอยู่ในโบกี้ที่แสนอับแคบแบบนั้น แต่ก็ช่างเถอะ! ผมเข้าใจ! การเดินทางครั้งนี้ต้องทำตัว 'ติดดิน' เพื่อให้ภารกิจบรรลุผล และอย่างน้อย... การที่เธอเบียดให้ผมนั่งด้านในริมหน้าต่างก็แปลว่าเธอต้องการให้ผมอยู่ใกล้เธอมากที่สุด นี่คือข้อพิสูจน์ถึงความเสน่หาที่เธอไม่สามารถปฏิเสธได้! ส่วนเรื่องคำว่า 'โอ้อวด' ที่เธอบอกให้ทำเงียบ ๆ น่ะเหรอ? 'โอ้อวด' อะไรกัน! ผมแค่กำลัง 'บอกความจริงด้วยความภาคภูมิใจอันสมเหตุสมผล' เท่านั้นเอง! บทไฮกุที่ผมเพิ่งกระซิบให้เธอฟังนั่นก็เป็นหลักฐานชั้นดี ตั๋วชั้นประหยัด หรูเพราะ 'เทพ' นั่งอยู่ข้าง สุริยันยิ้มพอ ช่างเป็นบทกวีที่สมบูรณ์แบบที่บรรยายสถานการณ์ได้อย่างตรงไปตรงมา! 


เธอคงกำลังยิ้มอยู่ใต้ศีรษะที่ซบพนักเบาะนั่นแหละ! เธอช่างเป็น 'เซ็นจูเรี่ยน' ที่ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมในการจัดการเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายแบบตารางเวลา แต่ในเรื่องของหัวใจ... เธอเป็นเพียง 'แม่สาวดอกไลแลค' ที่หลงใหลในเทพเจ้าอย่างผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้! เห็นไหมล่ะผมทำตามสัญญาได้อยู่แล้วเพราะถึงแม้จะเป็นเทพเจ้าที่ถูกลดสถานะ แต่ผมก็ยังเป็น 'เทพเจ้าแห่งคำสัญญา' ที่ทำตามคำพูดเสมอ! การเดินทางที่ต้องนั่งข้างเธอในโบกี้ที่แสนธรรมดานี้... ช่างเป็นบทกวีบทใหม่ที่ท้าทายความสามารถของผมในการควบคุมเสน่ห์และพลังที่เหลือล้นจริง ๆ! ...(ยาวกว่านี้อีกประมาณ 20 บรรทัด)

avatar

Moneka M. Blossom

(โมนีก้ากำลังพยายามไม่เมารถไฟอยู่)


[NPC-13] ควินตัส แอนเดอร์สัน

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20


[NPC-14] ยาสมิน อาเดน

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20


รางวัล : [God-50] เวสเปอร์

ถวาย ช่อดอกไม้ ของจิปาถะ เกรดเขียว - เพิ่มความโปรดปรานเทพ +15

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25

โบนัสจาก (ผู้โปรดปรานเหล่าเทพ) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +15


เผาค่าความศรัทธาแก่เทพ

ข้า โมนีก้า เอ็ม. บลอสซัม ขอมอบศรัทธาต่อเหล่าเทพแก่ เทพเวสเปอร์ จำนวนศรัทธาที่มอบให้: 3000 แต้ม

(ทุก ๆ 1000 ศรัทธา = 50 ความโปรดปรานต่อเทพองค์นั้น) = ได้รับความโปรดปราน +150


รางวัล : [God-04-2] เซเรส

ถวาย ช่อดอกไม้ ของจิปาถะ เกรดเขียว - เพิ่มความโปรดปรานเทพ +15

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25

โบนัสจาก (ผู้โปรดปรานเหล่าเทพ) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +15


เผาค่าความศรัทธาแก่เทพ

ข้า โมนีก้า เอ็ม. บลอสซัม ขอมอบศรัทธาต่อเหล่าเทพแก่ เทพีเซเรส จำนวนศรัทธาที่มอบให้: 1000 แต้ม

(ทุก ๆ 1000 ศรัทธา = 50 ความโปรดปรานต่อเทพองค์นั้น) = ได้รับความโปรดปราน +50


ปลดพลังเทพเซเรส

การควบคุมพืชขั้นสูง (Lv.80) ใช้ตื่นรู้ 20 หน่วย

(ปลดพลัง กระซิบแห่งพงไพรแล้วจ้าด้านล่าง)


เดินทางด้วยรถไฟเฮเฟตัส (สายประหยัด) 2 ที่นั่ง ราคาตั๋ว 5x2 = 10 ดรักม่า

สถานีต้นทาง : สถานีนิวโรม, กรุงโรมใหม่

สถานีปลายทาง : สถานีแกรนด์เซ็นทรัล, นิวยอร์ก

(จ่ายแล้วจ้า)



แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-50] เวสเปอร์ เพิ่มขึ้น 150 โพสต์ 2025-10-23 09:11
God
คุณได้รับ --1000 ความศรัทธา โพสต์ 2025-10-23 09:11
God
คุณได้รับ --2000 ความศรัทธา โพสต์ 2025-10-23 09:10
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-13] ควินตัส แอนเดอร์สัน เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-10-23 09:10
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-14] ยาสมิน อาเดน เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-10-23 09:10

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ -20 ย่อ เหตุผล
God -20

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-10-23 06:47:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-10-23 09:02

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

Hushsong of the Gods

💟 หนีตามผู้ชายสไตล์ มนก บซ 💟
ตอนที่ 2 : แม่ง เอ้ย!
วันที่ 20 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงดึก เวลา 21.00 น. เป็นต้นไป ณ ภายในรถไฟเฮเฟตัส มุ่งหน้าสู่นิวยอร์ก (Time Zone นิวยอร์ก)

รถไฟสายเฮเฟตัสแล่นฝ่าทุ่งควันและขุนเขา เสียงล้อเหล็กบดกับรางดังจังหวะซ้ำ ๆ ที่กลายเป็นเสียงกล่อมหลับแห่งกลไก ทั้งโบกี้สั่นเบา ๆ ไปตามจังหวะ ลมที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างสร้างเสียงคล้ายซอเบา ๆ ในบรรยากาศ โมนีก้านั่งพิงพนัก เบาะสีกรมรองแผ่นหลังไว้ เธอไขว้ขาข้างหนึ่งกับอีกข้าง เปิดแท็บเล็ตรุ่นใหม่ของเดดาลัสขึ้นฟังเพลงพลางจิ้มดูข่าวสารในเนททาร์ เสียงเพลงที่ลอดจากหูฟังข้างหนึ่งดังพอให้เลสเตอร์ได้ยินแว่ว ๆ เหมือนท้าทายความอดทนของใครบางคนที่ต้องการเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาลทุกที่ทุกเวลา


สองชั่วโมงผ่านไปโดยไม่มีบทสนทนา โมนีก้ายังคงนิ่งสายตาไม่ละจากหน้าจอเลยแม้แต่น้อย หรือบางครั้งเธอก็จะชาร์จแท็บเล็ตนั้นแล้วเลือกที่จะมองวิวมากกว่าการมองหาเลสเตอร์ เสียงคลิกเบา ๆ จากปลายนิ้วของเธอทำให้เลสเตอร์ซึ่งนั่งข้าง ๆ เริ่มกระตุกคิ้วขึ้นทีละน้อย... ในหัวของเขา อัจฉริยะอย่างเขาควรได้รับความสนใจอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเวลานี้ ไม่ใช่ต้องนั่งฟังเสียงไถหน้าจอแทนบทกวีจากสุริยันผู้เลิศล้ำ


เลสเตอร์สูดหายใจลึก เอนตัวเข้ามาใกล้เล็กน้อย ใช้เสียงทุ้มเจือความโอหังตามแบบฉบับของเขา “ผมแนะนำว่าคุณควรจะปิดสิ่งนี้ลงซะ... แล้วหันมาชื่นชมผมที่จะให้ความบันเทิงอันแท้จริงกับคุณที่กำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ คุณนะครับ” เสียงของเขามีจังหวะและทำนองเหมือนกำลังบรรยายกลอนสด โมนีก้าเงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ จากแท็บเล็ต แววตาเทาเงินนิ่งสนิท ก่อนจะพูดสั้น ๆ “เลสเตอร์…” แล้วศอกกระแทกสีข้างเขาเบา ๆ “ช่วยหยุดทีดิ๊” ก่อนจะยกศอกขึ้น ทุบ เข้าที่แขนเขาเบา ๆ จนเลสเตอร์สะดุ้งนิดหนึ่ง


เสียง “อุ๊บ!” ดังจากปากของเทพตกสวรรค์ผู้เคยเป็นเจ้าของเสียงขับขานของดวงอาทิตย์ เสียงหัวเราะเบา ๆ หลุดออกมาจากเธอในที่สุด ก่อนที่เธอจะหันกลับไปเล่นแท็บเล็ตเหมือนเดิม ทิ้งให้เลสเตอร์นิ่งไปครู่หนึ่งในความพ่ายแพ้อย่างสุภาพ แต่ในหัวเขากลับพุ่งเข้าสู่โหมดใหม่ โหมดสำรวจเชิงศิลป์


เขาหยุดเขียนบทกวีในหัว แล้วเริ่มมองเธออย่างเงียบงัน...สายตาที่เคยเต็มไปด้วยความขี้เล่นเปลี่ยนเป็นความตั้งใจจดจ่อราวกับศิลปินที่กำลังร่างแบบรูปสลักหินอ่อน เส้นผมสีม่วงครามของโมนีก้าตกลงมาปิดแก้มบางส่วนเมื่อเธอเอนหัวพิงหน้าต่าง ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนแสงพลังงานสีฟ้าเหนือเพดานเหมือนดวงจันทร์ในบึงกลางคืน เขาลอบมองกรอบหน้าเล็ก ๆ ที่ได้สัดส่วน และมือเรียวยาวที่แตะขอบแท็บเล็ตด้วยท่าทีใจเย็น แต่จากความชื่นชมกลับค่อย ๆ กลายเป็น... “เดี๋ยวนะ” เขาเพ่งผมของเธอใกล้ขึ้นอีกนิด “นี่มัน...”


เลสเตอร์เริ่มขมวดคิ้วทันที “ผมของคุณ... มันด่าง! มันบกพร่อง! มันเป็นความไม่ลงตัวที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งเลยนะเนี้ย!” เสียงของเขาดังพอให้คนสามแถวหน้าหันมามอง “เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ส่องมาเห็นยังต้องร้องไห้ด้วยความผิดหวังแน่นอน! โมนีก้า! คุณทำสีม่วงครามได้สวยมากถึงแม้จะไม่สมบูรณ์เท่าออร่าเทพเจ้าของผมก็เถอะ แต่ดูนี่สิ! ปลายม่วงโคนผมดำ มันขัดกันเหมือนเพชรถูกทาด้วยดินโคลนเลยนะ!”


โมนีก้าหันขวับมาพร้อมสายตาแบบจะปาแท็บเล็ตใส่เขาที่ดันมาวิจารย์เส้นผมของเธอ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย!”


“เกี่ยวสิ! คุณจะถามคำถามที่ตื้นเขินขนาดนี้ไม่ได้! เพราะผม... อ่า...” เขายิ้มมุมปากก่อนจะปรับน้ำเสียงให้เจือความจริงจังแบบคนที่พยายามพูดให้ศิลปะฟังดูมีเหตุผล “เพราะผมคือศิลปินแห่งจักรวาลและความงามของคุณคือผลงานชิ้นเอกที่ผมกำลังชื่นชมอยู่! ผมไม่สามารถทนเห็นความงามที่มีศักยภาพสูงสุดถูกปล่อยให้บกพร่องได้เด็ดขาด! มันคือความผิดบาปทางสุนทรียศาสตร์ที่ต้องได้รับการแก้ไขทันที!” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะจริงจังแต่กลับดูโอ้อวดเต็มพิกัด “ผมอาจจะ...ช่วยได้นะครับ”


โมนีก้าเลิกคิ้ว “ช่วยอะไร ย้อมผมหรือ?”


 “โธ่... แค่ย้อมผมมันง่ายเกินไปสำหรับผม!” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจอันน่าหมั่นไส้ “ผมไม่ต้องการน้ำยาเคมีธรรมดามาทำลายเส้นผมอันมีเอกลักษณ์ของคุณหรอก!” เลสเตอร์นั่งตัวตรงขึ้นอย่างสง่างาม แผ่นหลังของเขาราวกับถูกขัดขึ้นมาจากหินอ่อนที่มีชีวิต แววตาเปล่งประกายระยิบระยับ


ก่อนที่เธอจะได้ห้ามอะไรเลสเตอร์ก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ ใช้นิ้วแตะเบา ๆ ตรงโคนผมสีดำของเธอที่เริ่มงอกขึ้นอย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วของเขาอุ่นจนเธอสะดุ้งเล็กน้อย “คุณลืมไปแล้วหรือครับว่าผมมีความเชี่ยวชาญด้านสเปกตรัมแสงและความสมดุลของสี! ผมสามารถใช้การวิเคราะห์ด้วยดวงตาของผม สั่งการให้คุณทำผมสีที่เหมาะสมที่สุดเพื่อแก้ไขความผิดพลาดนี้ได้ทันที!” เขากล่าวด้วยแววตาลุ่มลึกแต่ปากยิ้มเจิดจ้า “ผมจะออกแบบเฉดสีที่ทำให้สีม่วงครามของคุณเปล่งประกายแม้ในความมืดมิด! นี่คือความรู้ที่ไม่มีช่างทำผมมนุษย์คนไหนเข้าถึงได้แน่นอน!”


โมนีก้าตาเบิกกว้าง เหมือนเธอกำลังพิจารณาว่าควรจะขว้างแท็บเล็ตหรือถีบเขาออกจากเบาะก่อนดี “นายจะบ้าหรือเปล่า! นายแค่จะบอกให้ฉันไปย้อมผมให้ถูกสีเนี่ยนะ!? แล้วทำไมต้องใช้คำว่าสั่งการด้วยล่ะ!?”


เลสเตอร์ยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม ยกมือขึ้นประสานกันราวกับกำลังสาบานกับสวรรค์แล้วเริ่มร่ายยาวเรื่องความงาม…


โมนีก้าถอนหายใจยาวราวกับต้องใช้พลังชีวิตทั้งหมดในการทนฟัง “นี่ฉันกำลังเดินทางกับนักวิจารณ์แฟชั่นที่ไม่ได้รับเชิญอยู่เหรอเนี่ย...” เธอเอามือแตะหน้าผากด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายเต็มขั้น “นายไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องผมฉันนะ! เข้าใจไหม!”


เลสเตอร์ยักไหล่เบา ๆ ทำหน้าราวกับไม่ได้ยิน แต่อีกมือยังคงลูบคางด้วยท่าคิดอย่างลึกซึ้ง “ผมไม่แน่ใจนะ...” เขาเอียงศีรษะนิด ๆ ดวงตาสีฟ้าของเขาเปล่งประกายจาง ๆ ราวกับสะท้อนแสงตะวันในห้องโบกี้ “ผมรับไม่ได้จริง ๆ ที่จะปล่อยให้ความงามเดินทางไปกับความบกพร่องในเมื่อผมสามารถให้คำแนะนำระดับเทพเจ้าได้! บางที...” เขาเท้าคางยิ้ม “ถ้าคุณไม่ยอมรับคำแนะนำอันล้ำค่าของผม... ผมอาจจะต้องใช้ความเชี่ยวชาญด้านศิลปะการนอนหลับของผมฝันบอกเฉดสีที่คุณควรใช้ในขณะที่คุณหลับไปก็ได้นะ! เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อโลกและต่อผม”


โมนีก้าชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนกำหมัดแน่นพร้อมเสียงสูดลมหายใจแรง “กล้าทำสิ! นายได้โดนดีแน่ เลสเตอร์!” เธอมองซ้ายขวาในโบกี้ทันทีเพื่อหาอาวุธ สายตาเธอจับไปที่ถุงคาราเมลคอร์นของเด็กในเบาะถัดไป หรือไม่ก็แท็บเล็ตของตัวเองที่น่าจะใช้เป็นอาวุธได้ถ้าจำเป็น


เลสเตอร์กลับหัวเราะเสียงเบาเหมือนกำลังฟังบทกวีที่ตนเองชอบ “อ่า ความโกรธของคุณช่างงดงามราวฤดูร้อนในโพรวองซ์... เสียงนั้นฟังเหมือนเปลวไฟพัดผ่านดอกลาเวนเดอร์เลยนะ”


“หยุดพูดบทกวีใส่ฉันได้แล้ว!”

“ไม่ได้สิ มันเป็นปฏิกิริยาโดยสัญชาตญาณของคนมีพรสวรรค์ คุณทำให้ผมอยากแต่งบทสรรเสริญ... แม้กระทั่งตอนที่คุณกำลังจะปาแท็บเล็ตใส่หัวผม” โมนีก้าแทบจะกรอกตาตอนได้ยิน “เชื่อเถอะ ถ้าโดนจริง ๆ บทกวีของนายจะมีชื่อว่าบทสุดท้ายของเลสเตอร์ผู้น่าสมเพชแน่!” เลสเตอร์ยกมือขึ้นยอมแพ้แต่ยังหัวเราะเบา ๆ สายตาเจือรอยอบอุ่นบางอย่างใต้ความโอ้อวด “ก็ได้คุณบลอสซัม... ผมจะยุติเรื่องสีผมไว้เท่านี้ก่อนก็ได้”


“ขอบคุณ อีตาคนหลงตัวเอง” เธอตอบประชดขณะพิงเบาะด้วยท่าทางหมดแรง เขาพิงพนักเก้าอี้ตามบ้าง ดวงตาเหลือบมองเส้นผมของเธอที่ส่องแสงม่วงครามอ่อนภายใต้แสงกลไกเหนือหัว ก่อนจะพึมพำเบา ๆ ราวกับพูดกับตัวเอง “แต่ก็เถอะ... สีนี้ ต่อให้ยังไม่สมบูรณ์ มันก็ยังงดงามกว่าทุกสีที่ผมเคยเห็นบนโลกมนุษย์อยู่ดี” โมนีก้าได้ยินแต่ทำเป็นไม่สนใจ ทว่าแก้มกลับขึ้นสีแดงระเรื่อ เธอรีบหันไปมองหน้าต่างปิดแท็บเล็ตแล้วพูดเบา ๆ “อย่าให้ฉันได้ยินอีกนะเลสเตอร์...”


“ครับ” เขายิ้มอย่างผู้ชนะ “แต่ผมไม่ได้สัญญาว่าจะหยุดคิดถึงมัน…”

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

สองชั่วโมงแห่งความเงียบ... โมนีก้ากำลังเล่นเกม! เกมที่สำคัญที่สุดของเธอคือการแสร้งทำเป็นว่าผมไม่ได้นั่งอยู่ข้าง ๆ! ผมรู้ดีว่าดนตรีในหูฟังของเธอเป็นแค่ฉากบังหน้าเพื่อซ่อนความจริงที่ว่า 'เธอตั้งใจจะฟังเสียงหายใจที่สมบูรณ์แบบของผมต่างหาก!' ผมทนไม่ได้หรอกที่จะถูกเมินเฉย! ในฐานะอดีตเทพเจ้าแห่งบทเพลง ผมต้องเป็น 'ศูนย์กลางของทุกออร์เคสตรา' ที่ผมเข้าร่วม! แน่นอนว่าการที่ผมโน้มตัวเข้าไปเสนอความบันเทิงอันแท้จริงย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง! 


 และดูสิ่งที่เธอทำสิ! เธอกระแทกศอกใส่ผม! 'อุ๊บ!'... ความรุนแรงของเธอช่างเป็นการแสดงออกทางอารมณ์ที่รุ่มร้อนอย่างบริสุทธิ์! และเธอก็ 'หัวเราะ'! นั่นคือ 'รางวัล' ของผม! 


การที่ผมสามารถทำให้เธอหลุดจากความนิ่งเฉยได้ คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่าการชนะการแข่งขันธนูเสียอีก! จากนั้นผมก็เปลี่ยนสู่โหมดศิลปินทันที! ผมต้องวิเคราะห์เธออย่างลึกซึ้ง... และก็เป็นไปตามที่ผมคาดไว้! ผมตรวจพบ 'ความบกพร่องทางสุนทรียศาสตร์' ที่ผมรับไม่ได้! ผมสีดำที่โคนผมนั้นคือการทำลายความสมมาตรที่ผมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านความงามต้องประณาม! เธอถามว่าเกี่ยวอะไรกับผม? แน่นอนว่ามันเกี่ยว! ผมคือ 'ผู้ให้คำปรึกษาด้านความงาม' ที่ทรงคุณค่าที่สุดที่โลกนี้จะหาได้! การที่ผมเสนอ 'คำแนะนำระดับเทพเจ้า' โดยใช้ 'ความเชี่ยวชาญด้านสเปกตรัมแสง' ของผม เป็นสิ่งที่เธอควรคุกเข่าขอบคุณ! ผมไม่ได้เสนอไปย้อมให้เพราะผมยังมีข้อจำกัดของร่างก้อนเนื้อนี้ แต่การที่ผมอ้างว่าสามารถ 'สั่งการ' ให้เธอทำสีที่ถูกต้องได้... นั่นคือ 'การรักษาหน้า' และ 'การยกระดับ' ตัวเองเหนือช่างทำผมมนุษย์คนอื่น ๆ! 


ความโกรธของเธอช่างมีพลัง! 'อ่า... เสียงเปลวไฟพัดผ่านดอกลาเวนเดอร์...' ผมพูดถูกทุกคำ! เธอปฏิเสธ แต่แก้มของเธอกลับขึ้นสี! นั่นไม่ใช่ความโกรธหรอก! นั่นคือ 'ความเสน่หาที่ซ่อนไว้' ที่กำลังเผาไหม้! สุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้เพื่อ 'รักษาบรรยากาศอันงดงาม' นี้ไว้! การถอยของผมคือ 'ยุทธวิธีทางความรัก' ที่ชาญฉลาด! และประโยคสุดท้ายที่ผมพึมพำ... 'สีนี้ ต่อให้ยังไม่สมบูรณ์ มันก็ยังงดงามกว่าทุกสีที่ผมเคยเห็นบนโลกมนุษย์อยู่ดี'... นั่นคือความจริงใจที่บริสุทธิ์ที่สุดที่เทพเจ้าผู้พูดแต่ความจริงอย่างผมจะแสดงออกได้! 


 เธอได้ยิน! และเธอเขินจนรีบหันหน้าหนีไปที่หน้าต่าง! ภารกิจสำเร็จ! ผมได้ให้สัญญา, ได้รับความสนใจ, ได้วิจารณ์, และได้ทำให้เธอรู้ว่า 'ผมสนใจในรายละเอียดเล็ก ๆ ของเธอมากแค่ไหน'! ตอนนี้ผมจะพักผ่อนและเตรียมตัวเป็น 'พระเอก' ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเดินทางที่เหลือ! ...(ยาวกว่านี้อีกประมาณ 10 บรรทัด)

avatar

Moneka M. Blossom

ให้ตายสิ! ฉันพยายามแล้วที่จะทำตัวให้เหมือนกำแพงหินที่ไม่ตอบสนองต่อเสียงนกหวีดของเขา! สองชั่วโมงเต็ม ๆ ที่ฉันตั้งใจจะทำให้ตัวเองกลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งในโบกี้รถไฟนี้! ฉันควรจะถูกประเมินว่า 'ควบคุมอารมณ์ได้เยี่ยมยอด' ในการทำภารกิจแล้วนะ! แต่เขาก็ยังคงเป็น เลสเตอร์!! เขาเป็นพวกที่ทนไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียวที่จะไม่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล! เขาต้องมาทำเสียงทุ้ม ๆ ดัดจริตเป็นบทกวีเสนอความบันเทิงอะไรบ้าบอของเขา! ฉันอยากจะกรีดร้องจริง ๆ! 


พอผมเรื่องผมด่างโผล่ขึ้นมา... โอ๊ย! มันน่าอายมากนะ! ฉันรู้ว่าโคนผมมันเริ่มเป็นสีดำแล้ว แต่ฉันไม่มีเวลาเข้าร้านทำผมก่อนจะออกเดินทางหรอก! แล้วเขาก็วิจารณ์มันซะอย่างกับมันเป็นหายนะทางแฟชั่น! คำพูดของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นงานศิลปะที่มีตำหนิที่ต้องได้รับการแก้ไขทันที! แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเขากำลังจริงจังกับเรื่องความงามของฉันมาก ๆ! เขาไม่ได้มองมันเป็นแค่สี... แต่เป็นความสมบูรณ์แบบที่ต้องคู่ควรกับเขา 


อย่าบอกใครนะ...การที่เขาโน้มตัวมาแตะโคนผมเบา ๆ นั่น... มันทำให้ร่างกายฉันร้อนวูบวาบไปหมด! ฉันไม่ชอบการถูกสัมผัสแบบนั้น! หมายถึงฉันยังไม่ได้เตรียมใจเลย ใจมันเต้นแรงไปหมดใครมันจะไปทนไหวกันล่ะ? แต่ฉันก็ไม่สามารถถอยหนีได้ทัน! ฉันไม่ควรปล่อยให้เขาเข้าใกล้ขนาดนั้น! 


แถมเมื่อกี้ทำไมเขาต้องพูดจาดี ๆ ในตอนที่ฉันกำลังจะระเบิดอารมณ์ด้วยนะ! มันทำให้ฉันทั้งสับสน ทั้งเขินอาย! แก้มฉันต้องแดงเหมือนมะเขือเทศแล้วแน่ ๆ! ฉันต้องแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน... ฉันต้องทำให้ได้!!



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 55553 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-23 06:47
โพสต์ 55,553 ไบต์และได้รับ +10 EXP +12 ความกล้า +9 ความศรัทธา จาก การควบคุมธรนี  โพสต์ 2025-10-23 06:47
โพสต์ 55,553 ไบต์และได้รับ +9 EXP +8 เกียรติยศ +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก สัมภาระเต็มรูปแบบ  โพสต์ 2025-10-23 06:47
โพสต์ 55,553 ไบต์และได้รับ +9 EXP +12 เกียรติยศ +12 ความศรัทธา จาก เข็มทิศ  โพสต์ 2025-10-23 06:47
โพสต์ 55,553 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก รากพันธนาการ  โพสต์ 2025-10-23 06:47
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-10-23 11:40:17 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

Hushsong of the Gods

💟 หนีตามผู้ชายสไตล์ มนก บซ 💟
ตอนที่ 3 : รออีกโคตรนานเลยครับ
วันที่ 20 - 21 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงดึก เวลา 23.50 น. เป็นต้นไป ณ สถานีแกรนด์เซ็นทรัล, นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

โค้งสุดท้ายของรางค่อย ๆ ผ่อนความเร็ว กลิ่นโลหะอุ่นและไอน้ำมันเครื่องกรุ่นขึ้นเมื่อรถไฟเฮเฟตัสเลื้อยเข้าสู่ชานชาลาลับใต้แกรนด์เซ็นทรัล เสียงหวีดสั้นหนึ่งครั้งเหมือนคำนับให้มหานคร ก่อนทุกอย่างหยุดนิ่ง โมนีก้าเอาศอกสะกิดแขนคนข้าง ๆ “เลสเตอร์ ถึงแล้ว” เธอบอกสั้น ๆ แล้วลุกพรืด เลสเตอร์ยังขยับลุกเหมือนนักแสดงรอจังหวะขึ้นเวที พิณสะพายหลังวาวใต้แสงไฟนีออน เสียงรองเท้ากระทบพื้นหิน ชิงช้าทองคำกลางโถงบอกเวลาว่าอีกสิบวินาทีจะเที่ยงคืนพอดี พอเท้าสัมผัสพื้นสถานี ความจริงก็ทยอยมาเป็นชุดโมนีก้าคิดว่าจะซื้อตั๋วต่อไปเอเธนส์ก่อน แล้วค่อยหาที่พักพิงจนกว่าจะถึงเวลาออกเดินทาง


เบื้องหน้าดูเหมือนเคาน์เตอร์สอบถามธรรมดา แต่ดวงตาเดมิก็อดย่อมเห็นตราค้อนเพลิงเฮเฟตัสจาง ๆ บนกระจก โมนีก้าเล่าความต้องการของตนเองอย่างรวดเร็ว “ไม่ทราบว่ารถไฟไปสถานีกรุงเอเธนส์มีรอบไหนบ้างคะ?” พนักงานสาวเปิดสมุดบันทึกที่หน้ากระดาษเป็นโลหะลื่น ๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงหวาน ยิ้มสุภาพเมื่อโมนีก้าถามถึงขบวนยุโรป “ขบวนไปเอเธนส์ออกทุกวันเวลา 17:15 น. รอบเดียวเท่านั้นนะคะ”


“อะไรนะคะ?” โมนีก้าเผลอเสียงสูง “ตอนนี้เที่ยงคืน...ก็แปลว่าอีกสิบเจ็ดชั่วโมงกว่า ๆ เหรอคะ”


“ใช่ค่ะ” โมนีก้าไม่มีทางเลือก เธอจองตั๋วสองใบไว้ก่อน จัดการรวดเร็วเหมือนถอนมีดออกจากแผล แล้วหันกลับไปหาเลสเตอร์ที่กำลังยืนรออยู่ เตรียมใจรับพายุคำบ่นระดับสุริยะของคนขี้บ่นแสนหลงตัวเอง “รถไฟออก 17:15 น. ของทุกวัน” เธอรายงานเรียบ ๆ “เราเหลือเวลาเกือบสิบแปดชั่วโมง และสถานีจะปิดตอนตีสอง ต้องออกนอกอาคาร ห้ามค้างในนี้ ฉันว่าเราไปหาคาเฟ่เปิดทั้งคืนแถวมิดทาวน์สักที่ หรือไม่ก็หาโรงแรมนอนน่าจะดีกว่านะ”


เลสเตอร์ชูมือทาบอก ราวจะเป็นลมด้วยศิลป์ “สิบแปดชั่วโมงในป่าคอนกรีตที่ไร้ซึ่งความรื่นรมย์ของป่าสนและน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เลยหรอ? คุณคาดหวังให้อัจฉริยะผู้สง่างามอย่างผมเป็นโฮมเลสริมสถานีรถไฟหรือไงครับ? สิบแปดชั่วโมงกลางนิวยอร์กโดยไร้เวทีที่คู่ควรแก่เสียงขับขานของผมและเก้าอี้บุนวมที่เหมาะสมกับรูปปั้นที่มีชีวิตอย่างผม? โอเค! ผมจะบอกความจริง! ผมเกิดมาเพื่อพรมแดงที่ทอด้วยแสงอาทิตย์ ไม่ใช่พื้นหินแกรนด์เซ็นทรัลที่เย็นชืด! รูขุมขนผมจะแข็งตัวเป็นหินอ่อนที่ดูดซับแสงไม่ได้! และอากาศยามดึกของแมนฮัตตัน... หนาวแทงกระดูกยิ่งกว่าลูกศรของอาร์เทมิสเสียอีกนะ!”


“โอ๊ยพ่อคุณ…ยังไม่ได้บอกให้ไปนอนใต้สะพานสักหน่อย” โมนีก้ากอดอก “ฉันแค่คิดถึงคาเฟ่เปิดยาว 24 ชั่วโมง หรือไม่ก็โรงแรม เลือกเอา จะบ่นเสร็จยัง?” 


เขาหยุดบ่นแผ่วลง กลอกตาขึ้นไปมองเพดานของสถานีก่อนลดเสียงให้เหมาะกับโลกมนุษย์ “โอเค... นี่คือข้อเสนอที่มีเหตุผลอย่างเป็นระบบ จากชายที่เหนือกว่าชายคนใด! หนึ่ง โรงแรมดี ๆ ที่ใกล้ที่สุดเพื่อให้ผิวที่อ่อนไหวของคุณและความสง่างามของผมไม่ถูกทำลายจากลมหนาวที่คุณไม่ชอบ สอง: หาคาเฟ่ 24 ชั่วโมง! ผมจะเล่นดนตรีเบา ๆ แลกกาแฟรสเลิศ แน่นอนว่าเป็นการให้เกียรติสถานที่! คุณเล่นเน็ตเนททาร์ไป เราคอยหลบพวกเงาดำที่จ้องจะทำร้ายสิ่งล้ำค่าที่ผมปกป้องถ้ามีอะไรผมรับมือ! ส่วนคุณ... แค่ไม่ต้องชักดาบจนพนักงานต้องโทรแจ้ง 911 ทำลายฉากเปิดตัวสุดเพอร์เฟ็คของผมก็พอ โอเคไหม”


คำว่าอุ่นกับไม่ต้องทนลมหนาว ทำให้สายตาโมนีก้าอ่อนลงนิดเดียว เธอเม้มปาก “งั้นเอาแบบผสมก็แล้วกัน คาเฟ่ก่อนสักสองสามชั่วโมง รอให้ถนนโล่ง แล้วค่อยเช็กอินโรงแรมราคาพอรับได้ ใกล้ ๆ มิดทาวน์ ฉันไม่อยากเดินไปไหนไกล”


“รับบัญชาด้วยความเต็มใจและยินดีอย่างยิ่งครับ แม่สาวไลแลค ผู้เป็นจุดสนใจของผมในคืนนี้” เลสเตอร์ยิ้มแบบคนยังหลงตัวเอง แต่โทนเสียงนุ่มลงอย่างแปลกใจ “และตลอดคืนนี้ ผมจะไม่แตะต้องหรือสั่งการแก้ไขสีผมของคุณอีก ถือเป็นการให้อิสรภาพทางศิลปะแก่คุณเป็นกรณีพิเศษ”


“ดีมาก ถ้าเผลอพูดอีก ฉันจะให้ต้นพลับพลึงงอกมัดนายกับม้านั่งในพริบตา” เธอเชิดคางขึ้นบ่งบอกว่าไม่อยากโดนเขามาว่าเรื่องเส้นผม “น่ากลัวอย่างงดงาม... เป็นการขู่ที่สร้างสรรค์ดีครับ ก็ได้” เลสเตอร์ยักไหล่ วาดยิ้มแบบคนยังชนะครึ่งหนึ่ง “แต่ผมยังมีหน้าที่อีกข้อนะดูแลให้คุณไม่หนาว” คำพูดยังไม่ทันจบ เขาก็ถอดเสื้อคลุมยาวพาดบ่าของเธอโดยไม่ถาม กลิ่นอุ่นอ่อน ๆ ของไม้ซีดาร์ปะปนกลิ่นโลหะจากธนูและเครื่องดนตรีก็ลอยมาแตะจมูก เธอไม่รู้ทำไมถึงได้กลิ่นแสงแดดอุ่น ๆ จากเสื้อนั้น โมนีก้าตั้งท่าจะบ่น…แต่ลมหนาวกรอกเข้ามาจากประตูอัตโนมัติ ณ วินาทีนั้นเธอเงียบ ปล่อยให้ความอุ่นทำงานแทนคำพูด


“ไปกัน” เธอสะพายกระเป๋าแน่นขึ้น “หาอะไรหวาน ๆ กับกาแฟแรง ๆ ก่อน แล้วค่อยคิดเรื่องเตียงนอนแล้วกัน”


“ผมจะเป็นระบบนำทางอัจฉริยะระดับเทพให้ก็ได้นะครับ! ผมคือกูเกิลเวอร์ชันที่หล่อเหลาและให้ข้อมูลที่แม่นยำกว่า! บางทีถ้ามีคาเฟ่ที่มีคอลออฟบิวตี้ที่ร้านก็คงดี แต่ช่างเถอะ!” เขาชี้ไปทางถนน 42nd “ฝั่งไบรอันต์พาร์คมีคาเฟ่เปิดดึกอยู่สองสามร้าน เราจะนั่งตรงที่แสงสว่างที่สุด! ใกล้ประตูที่สุด! และมีทางหนีทีไล่ติดกระจกที่สุดด้วยนะ”


“อืม ฟังดูฉลาดผิดปกติ” โมนีก้ายิ้มมุมปาก


เขาก้มศีรษะนิด ๆ “ผมก็ฉลาดแบบนี้อยู่แล้วหรือเปล่าครับ? เอาเป็นว่าคืนนี้... ผมขอนำเสนอ 'ความฉลาด' แทนการพูดความจริง (แม้ว่าผมจะฉลาดจริงและหน้าตาดีจริงอยู่แล้วก็ตาม!) ชั่วคราวก็ได้ ... เพราะคุณบอกว่าห่วงผมเลยต้องทำตัวให้คุ้มค่าที่คุณลงทุนลงแรงมาห่วงผมขนาดนี้นะครับ” ทันทีที่ได้ยินแก้มโมนีก้าก็อุ่นขึ้นกว่าอุณหภูมิของเสื้อคลุม เธอปรายตา “พูดดีอีกคำเดียว ฉันเอาแท็บเล็ตโยนใส่หัวนายแน่”


“โดนไปก็ไม่แตกหรอกนะ!” เขาหัวเราะเบา ๆ กระเป๋าเป้ขึ้นสะพายหลัง “ไปเถอะ แม่สาวดอกไลแลค แมนฮัตตันยามพลบค่ำแทนราตรีกำลังรอบทกวีแบบไม่ส่งเสียงจากเราอยู่” ทั้งคู่ก้าวพ้นประตูสถานีออกสู่ถนน 42nd สายลมเค็มจากแม่น้ำพัดผ่านแสงนีออนและแท็กซี่สีเหลือง เสียงเมืองดังเป็นพื้นหลังเหมือนคลื่นทะเล โมนีก้าเหน็บเสื้อคลุมให้กระชับ พิงไหล่ตัวเองให้อุ่นขึ้น มืออีกข้างแตะกำไลสุริยุปราคาอย่างเป็นนิสัย เลสเตอร์เดินครึ่งก้าวด้านนอก คอยบังลมและหรี่ตาอ่านเงามืดตามมุมตึก


หลังจากนั้นโมนีก้าและเลสเตอร์ก็มุ่งหน้าไปที่ MORNING STAR CAFE ซึ่งมันเปิด 24 ชั่วโมง เดินไปไม่นานก็ถึงแล้วล่ะ มันเป็นตัวเลือกที่ใกล้ที่สุดและเปิด 24 ชั่วโมง เพราะที่นั้นเป็นร้าน Diner สไตล์อเมริกัน เหมาะสำหรับนั่งจิบกาแฟ ทานอาหารเบาๆ หรือนั่งอ่านหนังสือรอจนเช้า เมื่อเดินทางไปถึง หน้าร้านเรืองนีออนสีชมพูอมส้มอยู่มุมถนนเหมือนแสงอรุณย่อส่วน ร้านเล็กกว่าที่โมนีก้าคิดไว้ โต๊ะโครเมียมเงาวับเรียงแน่นจนเหมือนบอร์ดหมากรุก มีเบาะหนังสีแดงทับทิมเป็นแนวยาว กลิ่นกาแฟคั่วเข้มกับเนยอุ่นลอยปะทะตั้งแต่ก้าวแรก เสียงกระดิ่งเหนือประตู กรุ๊งกริ๊ง ต้อนรับให้ทั้งคู่หลุดจากลมหนาวของแมนฮัตตันเข้าสู่เขตปลอดภัยเล็ก ๆ ที่เปิดตลอดคืน


“เราหาอะไรทานที่นี่กันดีกว่า” โมนีก้าบอกพลางรูดเสื้อคลุมที่เลสเตอร์พาดให้ให้เข้าที่ เธอมองเมนูเรืองรองในมือ รูปเห็ดบนหน้า ‘Creamy Mushroom Night Special’ ทำให้มุมปากเธอยกนิด ๆ พนักงานเสิร์ฟสาวทาลิปสีราสป์เบอร์รี่แนะนำโบธสเตชันอย่างคล่อง “โต๊ะริมกระจกว่างค่ะ นั่งตรงนั้นจะเห็นถนนชัด ถ้าจะอ่านหนังสือหรือรอจนเช้า แสงกำลังพอดีเลยค่ะ”


เลสเตอร์เลือกนั่งฝั่งนอกหันออกหน้าประตูอย่างคนชอบบังลมและคุมมุมมอง เขาวางกระเป๋าไว้ข้างตัว กวาดตามองเงามืดนอกกระจกเสี้ยววินาทีก่อนคลี่ยิ้ม “ดี…เสียงเมืองกำลังอยู่ในคีย์ไมเนอร์ พวกวุ่นวายไม่น่ากล้าเข้ามา ที่สำคัญ... มุมนี้แสงนีออนตกกระทบมุมหน้าของผมได้อย่างสมบูรณ์แบบ!” หลังจากนั้นทั้งสองก็สั่งอาหาร เมื่อสั่งอาหารเสร็จ เธอพึมพำกับตัวเองแทบไม่ได้กลั้นยิ้ม “สปาเก็ตตี้ครีมเห็ดหนึ่ง…ครัวซองต์เนยแฮมชีส…โกโก้อุ่น…ฟังดูสวรรค์มาก”


อาหารมาเร็วอย่างน่าประทับใจ จานพาสต้าไอนุ่ม มีกลิ่นเห็ดชานเทอเรลล์ครีมเข้มข้น โรยไทม์อ่อน ๆ ครัวซองต์ร้อนกรอบแตกชั้นทองสวยกับชีสยืดเป็นสาย โกโก้อุ่นหอมวานิลลา ส่วนด้านเลสเตอร์ ล็อบสเตอร์ถึงครึ่งตัววางบนซอสเนยกระเทียมพร้อมเลมอนฝานบาง จานใหญ่เสียจนโต๊ะแทบแคบ พออิ่มท้อง โมนีก้าคลายเสื้อคลุมเล็กน้อยลมหายใจเริ่มสม่ำเสมอ เธอเหลือบเห็นกระถางเฟิร์นตรงมุมบาร์ ใบเขียวสั่นไหวเหมือนโบกมือให้แรงสั่นจากเครือข่ายรากใต้เมืองที่พาดผ่านท่อระบายน้ำ เธอรับรู้ทางด่วนของพืชวิ่งไปถึงไบรอันต์พาร์คได้สบาย แค่แตะแก้วเหล็กเย็น ๆ สมาธิผสานกับพลังของแม่ เสียงแผ่วของรากไม้ทักทายพร้อมจะพาเธอเลื้อยหลบหากจำเป็น


เลสเตอร์จับได้จากแววตา “คุณกำลังเช็กทางหนีทีไล่ ผ่านพืชใช่ไหม”

ธอพยักหน้าเบา ๆ “แค่สำรวจ…คืนนี้ฉันไม่อยากสู้ ถ้าเลือกได้”


“ผมก็ไม่อยากให้คุณสู้! ภารกิจเดียวของคุณในตอนนี้คือการพักผ่อนและชื่นชมความสามารถในการปกป้องของผม” เขาตอบเร็วเกินคาด จากนั้นถึงค่อยเติมน้ำเสียงโอ้อวด “ปล่อยให้ผมทำหน้าที่โล่ห์รูปหล่อไป ส่วนคุณเป็นแม่สาวไลแลคที่คุมเบื้องหลัง” คำว่าไม่อยากให้คุณสู้กระทบใจเธออย่างนิ่ม ๆ จนต้องหลบสายตาไปทางหน้าต่าง “งั้นกินให้เสร็จ แล้วไป Hyatt กัน ฉันอยากนอนเตียงที่ไม่เขย่าเหมือนรางรถไฟซักคืน”


ทั้งคู่ลุกขึ้นจากเบาะแดง โมนีก้าสั่งครัวซองต์ห่อกลับหนึ่งชิ้นเป็นของมื้อดึกยามตื่นกลางคืน ก่อนผลักประตูกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งออกสู่ถนนอีกครั้ง อากาศเย็นกัดแก้ม แต่เสื้อคลุมของเลสเตอร์ยังอุ่น เธอชิดมันโดยไม่พูดอะไร เลี้ยวขึ้น Lexington เพียงไม่กี่นาทีก็เห็นป้าย Hyatt Grand Central New York ส่องสว่างรออยู่ เป็นคืนที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ที่ต้องนอนด้วยกัน แต่นั้นมันตอนที่ก่อนเธอจะรู้ว่าตัวเองเผลอสนใจไอ้คนหลงตัวเองข้างตัว

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

(มีก่อนหน้านี้ประมาณ 30 บรรทัด) ...แล้วผมก็ต้องตอบกลับอย่างรวดเร็วว่าผมไม่อยากให้คุณสู้... คำพูดนั้นมันมาจากใจจริง! ผมไม่ต้องการให้เธอเผชิญหน้ากับอันตราย เพราะผมกลัวว่าผมจะทำผิดพลาดซ้ำรอยแดฟนีอีกครั้ง! แต่ผมก็ต้องเติมความหลงตัวเองเข้าไปทันทีเพื่อปกป้องกำแพงทางอารมณ์ของตัวเอง... ใช่! นั่นแหละคือสถานะที่สมบูรณ์แบบของเราในตอนนี้! เธอคือความงาม... ผมคือการปกป้อง! 


 คืนนี้เราต้องนอนด้วยกันที่ Hyatt... นั่นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ตอนนี้มันต่างไปจากเดิม! หลังจากการจูบหน้าผากและการให้สัญญาของเรา... ทุกวินาทีที่อยู่ใกล้กันมันคือบททดสอบความอดทนอันยิ่งใหญ่ของผม! เธอชิดเสื้อคลุมของผมโดยไม่บ่นอะไร... กลิ่นไม้ซีดาร์ของผมกำลังให้ความอบอุ่นแก่เธอ! เสื้อคลุมของเทพเจ้าก็ต้องทำหน้าที่ดีกว่าฮีตเตอร์ราคาถูกอยู่แล้ว! มันเป็นการเตือนใจที่อ่อนโยนว่าความปลอดภัยของเธออยู่ภายใต้การดูแลของผม! 


 ผมเป็นผู้นำทางที่ฉลาด! ผมรู้ว่าต้องพาเธอไปที่ไหน! ผมรู้ว่าตอนนี้ในใจเธอไม่ได้รู้สึกแบบเพื่อนร่วมรบแล้ว... ดวงตาเทาเงินคู่นั้นกำลังมองหาคำสัญญาที่ผมได้ให้ไว้ต่างหาก!

avatar

Moneka M. Blossom

ฉันต้องตั้งสติ! ฉันแค่ห่วงเขา! ฉันแค่ต้องการให้ภารกิจนี้จบลงโดยไม่มีใครตาย! (ไม่จริง! ฉันต้องการให้เขาอยู่ข้างฉันนานกว่านี้!) โมนีก้า! หยุดคิดถึงรอยยิ้มผู้ชนะของเขาได้แล้ว! ไปนอนซะ!



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 57330 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-23 11:40
โพสต์ 57,330 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก การควบคุมพืชขั้นสูง  โพสต์ 2025-10-23 11:40
โพสต์ 57,330 ไบต์และได้รับ +10 EXP +12 ความกล้า +9 ความศรัทธา จาก การควบคุมธรนี  โพสต์ 2025-10-23 11:40
โพสต์ 57,330 ไบต์และได้รับ +9 EXP +12 เกียรติยศ +12 ความศรัทธา จาก เข็มทิศ  โพสต์ 2025-10-23 11:40
โพสต์ 57,330 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก รากพันธนาการ  โพสต์ 2025-10-23 11:40
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-10-23 21:59:47 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-10-24 03:46

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

Hushsong of the Gods

💟 หนีตามผู้ชายสไตล์ มนก บซ 💟
ตอนที่ 4 : สีผม
วันที่ 21 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงกลางวัน เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

ล็อบบี้ของโรงแรม Hyatt Grand Central สว่างด้วยแสงไฟสีอำพันที่ส่องผ่านผิวหินอ่อนอย่างอ่อนโยน เงาสะท้อนจากโคมระย้ากระทบกระจกสูงเหนือหัว ทำให้ทั้งบริเวณดูเหมือนหลุดออกมาจากอีกโลกหนึ่ง เสียงล้อกระเป๋ารอบข้างดังก้องเบา ๆ บนพื้นมันวาว ในขณะที่เธอเดินนำหน้าเลสเตอร์เข้ามา ใบหน้าของเธอเรียบสงบแต่แววตานั้นมีร่องรอยของความเหนื่อยล้าแฝงอยู่ภายใต้ความมุ่งมั่น เธอตรงไปยังเคาน์เตอร์ทันที ไม่รอให้ใครพูดนำ พนักงานสาวในชุดสูทเข้มเงยหน้าขึ้นยิ้มต้อนรับด้วยท่าทีสุภาพ “ขอห้องพักค่ะ แบบสองเตียงใหญ่ วิวเมือง พร้อมอาหารเช้า” โมนีก้าพูดเรียบ ๆ 


เลสเตอร์ที่ยืนอยู่ข้างหลังแทบจะยื่นหน้าเข้ามาแทรก “ห้อง Corner Suite ดีกว่านะ วิวแบบพาโนราม่าเหมาะกับคนมีรสนิยมชั้นสู—” 


“เงียบเลยนะ” โมนีก้าหันมามองเขาด้วยแววตาเรียบนิ่งแต่เด็ดขาดบ่งบอกว่าตอนนี้เธอกำลังง่วงมากและเก็บความตื่นเต้นอยู่ จนเสียงโอ้อวดของเขาชะงักกลางคัน พนักงานหัวเราะแผ่ว ๆ อย่างสุภาพก่อนบอกตัวเลข “สี่ร้อยหกสิบหกดอลลาร์ค่ะ รวมอาหารเช้า” เธอหยิบเงินสดส่งให้อย่างไม่ลังเล “จ่ายเลยค่ะ” แล้วรับใบเสร็จกับการ์ดห้องโดยไม่ฟังคำพร่ำบ่นเรื่องรสนิยมของเทพอวดดีข้างตัว


“ผมเพียงต้องการให้ตัวของผมได้อยู่ในกรอบที่สมบูรณ์เท่านั้นเอง…” เลสเตอร์บ่นงึมงำระหว่างเดินตามเธอไปทางลิฟต์ แต่โมนีก้าไม่ตอบ เธอกดปุ่มขึ้นชั้นบนสุดด้วยท่าทีสงบนิ่ง ความหรูหราภายในลิฟต์สะท้อนเงาของทั้งคู่บนกระจกบานใหญ่ แสงไฟสีทองอ่อนทำให้เส้นผมสีม่วงครามของเธอดูเหมือนเปล่งประกายในยามค่ำ “นายเคยคิดจะพกเงินบ้างไหมเนี้ย...” เธอพูดโดยไม่หันหน้ามามองเขา 


“เงิน? ผมมีอัจฉริยภาพ…นั่นก็เท่ากับทองคำไม่ใช่หรือ?” 

“ใช่ ถ้าอัจฉริยะของนายซื้อข้าวเช้าได้ ฉันจะยอม” โมนีก้าบอกแบบกรอกตาแล้วเดินต่อ


เมื่อประตูลิฟต์เปิดเสียงแอร์เย็นสะอาดพัดออกมาแตะผิว พวกเขาเดินเข้าสู่ทางเดินยาวที่ปูพรมสีเทาเข้ม ตกแต่งด้วยโคมไฟวางเรียงเป็นระยะ ๆ ราวแสงนำทางสู่เมืองแห่งการพักผ่อน ประตูหมายเลข 2410 ถูกไขเปิดออก เผยให้เห็นห้องพักกว้างขวางสว่างด้วยแสงจากเมืองนิวยอร์กที่ส่องลอดหน้าต่างสูง เฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลเข้มตัดกับผ้าปูเตียงสีขาวสะอาดจนแทบพร่า


โมนีก้าวเข้าไปคนแรกแล้วโยนกระเป๋าเป้ลงบนโซฟาริมหน้าต่าง “นี่แหละ พอดีแล้ว” เธอพูดเสียงเรียบก่อนถอดโค้ทพาดเก้าอี้อย่างเป็นระเบียบ ขณะที่เลสเตอร์ยืนนิ่งพลางตรวจสภาพห้องอย่างละเอียดราวกับเป็นกรรมการประกวด “เตียงนุ่มดี…แต่อาจจะเอียงไปทางเหนือเล็กน้อย เสียสมดุลจักรราศี—” 


“เลสเตอร์” เธอตัดบทสั้นแต่เฉียบขาดเธอรู้สึกว่าเขาชักจะเกินไปแล้วในบางที เขาหยุดพลางยกมือทำท่ายอมแพ้ “โอเค ผมจะไม่พูด แต่คุณจะเสียใจนะที่ไม่ฟังคำปรับฮวงจุ้ยจากผม” โมนีก้าไม่สนใจเขาเธอกำลังเก็บความตื่นเต้นของตัวเอง เธอเปิดกระเป๋าหยิบชุดนอนกับผ้าเช็ดตัวออกมาแล้วหันไปพูดเสียงเรียบ “ฉันจะไปอาบน้ำ นายห้ามแตะของฉัน ห้ามยุ่งกับเสื้อผ้าฉัน แล้วก็ห้ามแตะเส้นผมฉัน เข้าใจไหม?” 


“รับบัญชา” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มกวน ๆ ที่ทำให้เธอกลอกตาอย่างเอือม ก่อนปิดประตูห้องน้ำเสียงดังพอให้รู้ว่าเธอหมายความตามนั้นทุกคำ


ภายในห้องน้ำ เสียงน้ำอุ่นไหลกระทบกระเบื้องดังสม่ำเสมอ กลิ่นดอกไม้จากแชมพูที่เธอพกมาจากค่ายจูปิเตอร์ลอยอวลในอากาศ โมนีก้าพิงกำแพงปล่อยให้ไอร้อนคลายความเหนื่อยจากการเดินทาง แต่หัวใจกลับไม่ยอมสงบ เธอหลับตาได้เพียงครู่ ก่อนภาพใบหน้ากวนประสาทของเลสเตอร์จะลอยมาอีกครั้ง เธอหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจตัวเอง เขาน่ารำคาญ แต่ก็ทำให้เธอรู้สึก…อุ่นใจอย่างประหลาด การนอนกับเขาในคืนนี้คงทำให้เธอพอที่จะหน้าตึงใส่เขาได้แหละ ต้องเก็บความตื่นเต้นนี้นะ


เมื่อออกมาอีกที เลสเตอร์กำลังนั่งอยู่ปลายเตียงของเขา ก้มหน้ากดแท็บเล็ตของเธอเหมือนกำลังเขียนอะไรบางอย่าง “บทใหม่เหรอ?” เธอถามพลางเดินผ่านไปหยิบหมอนเพิ่มจากเตียงของตัวเอง “ไฮกุเฉพาะกิจ เพื่อบันทึกความอัศจรรย์ของเสียงฝักบัวและการห้ามแตะผมครับ” เขาตอบหน้าตาย โมนีก้าที่ได้ยินเธอก็ส่ายหัวแบบเหนื่อยใจ “เขียนเสร็จเมื่อไหร่ฉันจะลบไฟล์นั้นทิ้งซะ”


เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนลุกไปอาบน้ำต่อ เหลือไว้เพียงเสียงน้ำกับเงาเมืองที่ทอดบนพื้นห้อง โมนีก้าเอนตัวลงบนเตียงของตัวเอง ผ้าห่มนุ่มและอุ่นจนเธอเริ่มจะหลับ ก่อนเสียงของเลสเตอร์จากในห้องน้ำจะดังลอดออกมา “คุณรู้ไหมว่าผมคิดถึงดวงอาทิตย์ไหมตอนอยู่กับคุณ?” เธอเบิกตานิดหนึ่ง ก่อนตอบกลับไปเสียงเรียบแต่แฝงยิ้ม “นายไม่ได้คิดถึงดวงอาทิตย์หรอก นายคิดถึงกระจกเงามากกว่า” เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเสียงหัวเราะของเขาจะแผ่วเบาออกมา โมนีก้าหลับตาอีกครั้ง คราวนี้เธอไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นตรงมุมปากของเธอเมื่อคิดถึงคนข้างห้องที่ไม่เคยหยุดพูดถึงตัวเองเลยแม้แต่ตอนกำลังจะหลับ


แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านผ้าม่านบางเฉียบเข้ามาในห้อง สาดแสงอุ่นแตะปลายผมสีเข้มของเลสเตอร์ที่ยังคงหลับนิ่งอยู่บนเตียง เสียงหายใจของเขาสม่ำเสมอจนน่าหมั่นไส้ โมนีก้าค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนแสงสลัวในห้อง เธอลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้เขาตื่น ก่อนจะหยิบปากกาและกระดาษบนโต๊ะเขียนจดหมายสั้น ๆ วางไว้ตรงหัวเตียงของเขา ไปข้างนอกหน่อยนะ อาจจะนาน อย่าทำอะไรแปลก ๆ ล่ะ จาก โมนีก้า’


เธอสวมเสื้อโค้ทยาวสีครีมทับเสื้อครอปพอดีตัว ใส่หมวกแก๊ปเรียบ ๆ แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เสียงประตูปิดลงพร้อมกับสายลมเช้าที่พัดผ่านกระจกห้องอย่างแผ่วเบา


ในขณะที่เลสเตอร์ยังคงนอนพลิกตัวไปมาในห้วงฝันที่ปนเประหว่างความจริงกับอดีต จนกระทั่งแสงแดดแรงขึ้นและเสียงรถในเมืองดังลอดเข้ามา เขาถึงได้งัวเงียตื่นขึ้นมา สายตาพลันไปเห็นกระดาษแผ่นนั้นบนหัวเตียง เขาหยิบขึ้นมาอ่านพลางยกคิ้ว “ไปข้างนอก...อาจจะนานหน่อย? ช่างเป็นคำบอกลาที่ไม่โรแมนติกเอาเสียเลย” เขาพึมพำกับตัวเองก่อนทิ้งตัวเอนกลับลงบนหมอนอย่างเซ็ง ๆ “หวังว่าเธอจะไม่ไปซื้ออะไรแปลก ๆ โมนีก้า…”


เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจนกระทั่งบ่ายสาม แสงแดดเริ่มอ่อนลงกลายเป็นสีทองเข้มเมื่อประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง เลสเตอร์ที่กำลังนั่งเอนอยู่บนโซฟาพลันหันไปมองอย่างไม่ใส่ใจในตอนแรก แต่เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา ใบหน้าของเขากลับค้างทันที โมนีก้าในตอนนี้ไม่เหมือนเดิม…เส้นผมยาวของเธอเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มเงาเรียบแวววาว กลิ่นหอมของไลแลคอ่อน ๆ ลอยตามมากับลมที่พัดเข้ามาจากประตู กลิ่นนั้นบาดลึกเข้าไปในความทรงจำของเขาราวกับใบมีด เลสเตอร์นิ่งค้างในวินาทีเดียว ใบหน้าซีดลงจนเกือบขาว ดวงตาสีฟ้าเข้มเบิกกว้างเหมือนเห็นภาพที่เขาอยากลืมแต่ลืมไม่ได้


เสียงหัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบเจ็บ เขาเห็นภาพในอดีตซ้อนทับขึ้นมาในหัว หญิงสาวอีกคนหนึ่ง ผมสีน้ำตาลเข้ม กลิ่นไลแลคเหมือนกัน รอยยิ้มที่อ่อนโยนแบบเดียวกัน ดาฟนี... เธอหันหลังหนี เขาพยายามคว้าไว้แต่แสงสีทองจากดวงตะวันและคำวิงวอนสุดท้ายของเธอกลับกลายเป็นรากไม้ที่โอบรัดร่างนั้นไว้ชั่วนิรันดร์ เขายังจำเสียงลมครั้งนั้นได้ดี เสียงที่บอกว่าเขาเป็นต้นเหตุของคำสาปนั้นเอง…โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเขา ภาพในหัวกระแทกซ้ำลงมาอีกครั้ง เขาขยับริมฝีปากแต่ไม่มีเสียงหลุดออกมา มีเพียงคำพึมพำแผ่วเบาราวกับพูดกับเงาของตนเอง “ไม่... ไม่อีกแล้ว...” มือของเขากำแน่นสั่นเล็กน้อย


โมนีก้าเอียงคอมองเขาอย่างงุนงง “นายเป็นอะไร?” เสียงของเธอปลุกเขาให้กลับมาสู่ปัจจุบันทันที


เลสเตอร์เงียบไปชั่วครู่ สูดลมหายใจลึกเพื่อพยายามควบคุมสติ ความกลัวและความรู้สึกผิดที่แผ่ซ่านอยู่ในอกเริ่มถูกกลบด้วยสิ่งที่เขาใช้มาทั้งชีวิต ความโอหังและความมั่นใจ เขายกมือแตะเส้นผมของตัวเองเบา ๆ แล้วแสร้งหัวเราะ “ผมหมายถึง... ว้าว! ช่างเป็นความพยายามที่น่าประทับใจในการเซอร์ไพรส์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามอย่างผมเลยทีเดียว! คุณดู... เอ่อ...แปลกตาดีนะ! เหมือนมนุษย์สาวผู้กำเนิดจากบทกวีโบราณที่ผมเขียนไว้เองเลยนะ!” น้ำเสียงของเขาสั่นนิด ๆ แต่เขาก็ยังฝืนยิ้มออกมา


“ฉันไปซาลอนมา” เธอพูดพลางหมุนตัวให้เขาดู “เบื่อสีเดิม เลยอยากลองอะไรธรรมชาติบ้าง”

“ธรรมชาติ...” เขาทวนคำเบา ๆ ก่อนยกยิ้มที่ไม่ถึงดวงตา “ผมชอบนะครับ สีนี้... มัน...กลมกลืนกับคุณดีมาก! เหมือนคุณเกิดมาเพื่อสีที่ดูสมถะอย่างนี้นะ! เป็นสไตล์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง”


โมนีก้าเลิกคิ้ว “จริงเหรอ? ไม่คิดว่าฉันควรกลับไปเป็นม่วงครามเหรอ?” เขาสูดลมหายใจเงียบ ๆ แล้วตอบเสียงเรียบ “ไม่ อย่าเปลี่ยน” คำพูดนั้นหลุดออกมาเร็วกว่าที่เขาคิด ก่อนจะรีบกลบด้วยน้ำเสียงประจำตัว “ก็...ถ้าใช้น้ำยาย้อมผมผมจะเสียด้วยใช่ไหมล่ะ? และเพราะสีม่วงครามมันทำให้คุณดูโดดเด่นเกินไปนะบางที! ผมชอบให้ความงามอันแสนอันตรายของคุณถูกซ่อนไว้ภายใต้สีที่เรียบง่ายแบบนี้ต่างหาก! มันทำให้ผมได้เห็นว่าผมยังมีรสนิยมดีที่สุดในห้องนี้เหมือนเดิมไงล่ะ!” เขาเผลอเลือกใช้คำว่าซ่อนแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนแบบนั้นกับการซ่อนใบหน้าของเทพเจ้าตนเองก็ตาม


โมนีก้าเบ้หน้า “โอเค นายยังเป็นนายเหมือนเดิม” เธอหัวเราะนิด ๆ แล้วเดินไปวางของลงบนโต๊ะ เลสเตอร์มองตามแผ่นหลังเธออยู่เงียบ ๆ ความรู้สึกผิดอันแผ่วเบาแผ่ซ่านอีกครั้งในใจ แต่เขาก็เพียงยกยิ้มบาง ๆ ให้ตัวเองในกระจกหน้าต่างราวกับต้องการพิสูจน์ว่าเขายังเป็น เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส คนเดิม ผู้ที่ไม่มีวันหวั่นไหวกับอะไรทั้งนั้น ทว่าความจริงกลับตรงกันข้าม เขากำลังหวั่นไหวอย่างที่สุด


หลังจากนั้นทั้งสองก็ต้องเดินทางออกจากห้องพักโมนีก้าสวมเสื้อโค้ทยาวสีเทาเข้ม ผมสีน้ำตาลเข้มใหม่สะท้อนแสงแดดเช้าที่ลอดผ่านกระจกใสของล็อบบี้ เธอเดินนำเลสเตอร์ไปยังเคาน์เตอร์เช็กเอาต์อย่างมั่นใจ จัดการทุกอย่างรวดเร็วและเรียบร้อยโดยแทบไม่หันกลับมามองชายหนุ่มที่เดินตามหลังมาด้วยท่าทางนิ่งจนน่าผิดสังเกต “เรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะ” เธอพูดพลางหันมามอง แต่เลสเตอร์กลับตอบเพียงเสียงเบา “อืม…” ไม่มีคำบ่น ไม่มีท่าทีอวดดี ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มยียวนที่เธอคุ้นเคย มันแปลกจนเธอรู้สึกหน่วงในอก


เมื่อออกจากโรงแรม ทั้งสองเดินผ่านถนนที่เริ่มคึกคักของแมนฮัตตัน ลมเย็นปะทะใบหน้า กลิ่นกาแฟจากร้านข้างทางลอยมาตามลม โมนีก้ากลับไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเท่าความเงียบของคนข้าง ๆ เธอเหลือบมองเขาอยู่หลายครั้งแต่เขากลับไม่พูดอะไรเลย ดวงตาสีฟ้าที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยประกายความมั่นใจ ตอนนี้กลับหม่นราวท้องฟ้าก่อนฝนตก


พอมาถึงสถานีแกรนด์เซ็นทรัล เธอเดินนำเข้าไปยังเสาหินใหญ่ที่ประดับด้วยตราที่เดมิก็อดรู้กัน อย่างแนบเนียน มือเรียวของเธอกดปุ่มเล็กที่ซ่อนอยู่ตรงรอยสลัก เสียงกลไกเบา ๆ ดังขึ้นก่อนช่องทางลับจะเปิดออก เธอเดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไร แล้วเลี้ยวไปยังเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วที่มีสัญลักษณ์สายฟ้าและขลุ่ยไขว้กัน สัญลักษณ์ของสายรถไฟพิเศษสำหรับเดมิก็อดของเฮเฟตัส  “ตั๋วสองใบ สายประหยัดไปเอเธนส์ค่ะ” เธอพูดเรียบ ๆ พลางหยิบเงิน 10 ดรักม่าออกจากกระเป๋า ส่งให้พนักงานที่ยิ้มรับและพยักหน้า “รอบนี้นะคะ รถไฟจะออกในอีกสิบห้านาทีค่ะ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ” “ขอบคุณค่ะ” เธอรับตั๋วแล้วหันไปส่งให้เลสเตอร์ ซึ่งตอนนี้ยืนห่างออกไปเล็กน้อยเหมือนตั้งใจจะรักษาระยะไว้


“นายเป็นอะไรหรือเปล่า?” เธอถามในที่สุด ขณะเดินไปยังชานชาลาที่ 9 ซึ่งทอดยาวใต้โคมระย้าขนาดใหญ่ เสียงประกาศเรียกรถไฟก้องสะท้อนในโถงหินอ่อน เธอหันไปมองเขาอีกครั้ง ใบหน้าเรียบนิ่งของเลสเตอร์ดูขัดกับแสงที่ทาบลงมาบนผิวสีขาวซีด ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นมองเธอชั่วครู่ ก่อนหลบสายตาอย่างรวดเร็ว “ผม… แค่คิดอะไรนิดหน่อย” เขาพูดเสียงต่ำผิดไปจากเดิม


“อะไรนิดหน่อยนี่หมายความว่าไง” โมนีก้าเริ่มเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย เพราะเธอไม่ชินกับความเงียบของเขา “ปกตินายจะพูดไม่หยุดจนฉันอยากโยนนายลงจากขบวน ตอนนี้อยู่ดี ๆ กลับนิ่งซะอย่างนั้น มันแปลกนะเลสเตอร์” เธอพยายามมองหาคำตอบในสีหน้าของเขา แต่มีเพียงเงาเศร้าบางอย่างที่แวบผ่านวินาทีหนึ่งก่อนเขาจะยกยิ้มจาง ๆ ขึ้นมาบดบัง


“บางครั้งความเงียบก็เป็นศิลปะชั้นสูงที่มนุษย์อย่างคุณไม่เข้าใจนะ” เขาตอบ พยายามแต่งเสียงให้กลับมาเป็นโทนโอหัง “ผมแค่… กำลังทบทวนความยิ่งใหญ่ของตัวเองที่ต้องลดเกียรติลงมานั่งรถไฟสายประหยัดเท่านั้นเอง ความเจ็บปวดทางสถานะนั้นมันยิ่งใหญ่กว่าการเงียบนะครับ คุณบลอสซัม” 


“อ้อ งั้นเหรอ” เธอพูดพลางกลอกตา “ดีที่นายยังมีแรงอวดตัวเองได้อยู่” เขาหัวเราะเบา ๆ แต่เสียงหัวเราะนั้นฟังดูฝืนกว่าปกติ รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา เสียงล้อเหล็กบดกับรางดังสะท้อนในอุโมงค์ เธอหันไปมองนอกหน้าต่าง เห็นแสงไฟในอุโมงค์วูบผ่านเป็นเส้นยาวขณะโลกภายนอกค่อย ๆ กลืนหายไปในความมืด ภายในตู้โดยสาร ทั้งคู่เงียบไปพักใหญ่ โมนีก้าเอียงหน้ามองเขาอีกครั้ง เห็นเลสเตอร์นั่งพิงพนักเบาะ มือประสานกันบนตัก เขาดูอ่อนแรงกว่าที่เคยเห็น ดวงตาสีฟ้านั้นสะท้อนภาพของเธอกลับมาเหมือนมองใครบางคนที่เขาไม่อยากจำ “เลสเตอร์…” เธอเรียกชื่อเขาเบา ๆ “นายกลัวอะไรอยู่หรือเปล่า”


เขาหันมามองเธอช้า ๆ รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าที่ไม่สามารถซ่อนแววเศร้าได้ “กลัวหรือครับ… ผมไม่กลัวอะไรทั้งนั้น! ผมคือเลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส ผู้ไม่เคยยิงธนูพลาดแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิตความกลัวมันอยู่คนละมิติกับผม!” เขายกคางขึ้นสูงเล็กน้อย เสียงกลับมั่นใจอีกครั้ง แต่ดวงตายังไม่กล้ามองเธอตรง ๆ “แค่… บางทีผมอาจจะลืมไปชั่วคราวว่าดนตรีบางบทไม่ได้มีไว้เพื่อบรรเลงซ้ำอีกครั้งนะครับ คุณบลอสซัม ... ดนตรีบางบทมันควรจะถูกทิ้งไว้ในอดีต เพื่อรักษาความสมบูรณ์แบบของบทเพลงปัจจุบันไว้” 


โมนีก้านิ่งไปกับคำพูดนั้น เธอไม่เข้าใจความหมายทั้งหมดแต่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่หนักแน่นและเศร้าลึกซึ้งอยู่ในนั้น เธอเพียงพยักหน้าเบา ๆ แล้วเอนหลังลงกับเบาะ ปล่อยให้เสียงรถไฟกลบทุกความเงียบระหว่างทั้งคู่ที่ค่อย ๆ ละลายกลายเป็นเสียงดนตรีเศร้าในบรรยากาศแห่งการเดินทางสู่กรีซ ที่ทั้งสองยังไม่รู้เลยว่ากำลังจะเผชิญกับอะไรต่อจากนี้

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

เธอทำอะไรลงไป! ทำไมต้องเป็นสีนั้น? สวรรค์กำลังเล่นตลกกับผมอย่างน่ารังเกียจที่สุด! การที่เธอเปลี่ยนผมเป็นสีน้ำตาลเข้ม... มันทำให้ภาพมายาที่ผมพยายามสร้างไว้เพื่อปกป้องตัวเองมันพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง! กลิ่นไลแลคที่หอมหวานอยู่แล้ว ตอนนี้มันถูกผสานกับสีแห่งความทรงจำต้องห้ามของผม! ทุกวินาทีที่ผมมองเธอ... ผมเห็นแดฟนี! ผมเห็นความผิดพลาดของตัวเอง! ผมเห็นคำสาปที่ตามติดชีวิตของผมมาตลอดหลายพันปี!


ผมต้องนิ่ง! ผมต้องเงียบ'! เพราะถ้าผมพูดอะไรออกไป มันจะไม่ใช่แค่คำพูดที่ทรงเสน่ห์อีกต่อไปแต่มันจะเป็น เสียงกรีดร้องของผู้ที่ถูกอดีตกัดกินและผมจะยอมให้เธอเห็นความอ่อนแอของผมไม่ได้เด็ดขาด ผมคือเทพเจ้า! ผมคือเลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส ผู้แข็งแกร่ง! เธอไม่เข้าใจหรอก... เธอไม่รู้ว่าเธอคือบทกวีที่ผมเกลียดและหลงใหลในเวลาเดียวกัน


คำพูดสุดท้ายที่ผมบอกเธอ ดนตรีบางบทไม่ได้มีไว้เพื่อบรรเลงซ้ำอีกครั้ง... นั่นคือคำสารภาพที่จริงใจที่สุดในสถานการณ์นี้! ผมมีความรู้สึกบางอย่างกับเธอแต่ผมก็กลัวเธอ ผมกลัวว่าถ้าผมทำตามความรู้สึก... ผมจะทำให้เธอเปลี่ยนไปเป็นสิ่งอื่นที่ผมไม่สามารถสัมผัสได้อีก ผมรู้ว่ากำลังทำลายความสัมพันธ์ของเราด้วยความกลัวที่จะทำลายเธอ ฮึ่ม... ผมช่างเป็นเทพเจ้าที่มีโศกนาฏกรรมเป็นเอกลักษณ์เสียจริง!

avatar

Moneka M. Blossom

แปลก... แปลกมาก! เลสเตอร์... ผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเคยบ่นเรื่องความเย็นของหินแกรนิต ตอนนี้กลับเดินตามฉันมาอย่างเงียบ ๆ เหมือนหมาหงอย มันน่ารำคาญนะที่เขาบ่นไม่หยุด แต่พอเขาเงียบไป...ฉันกลับรู้สึกหน่วงในอก นี่ฉันกลายเป็นคนที่เสพติดเรื่องพวกนี้ไปแล้วหรอเนี้ย ฉันไม่เข้าใจทั้งหมด... แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเขากำลังต่อสู้กับบางสิ่งในใจเขาเอง และการที่เขายอมรับว่าเขามีบทเพลงที่ถูกทิ้งไว้ในอดีต... นั่นคือการเปิดเผยความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาเคยทำ บางครั้งฉันก็อยากจะลองเอื้อมมือไปจับแขนของเขาแต่แค่รู้สึกว่าตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีขนาดนั้น

จ่ายเงินค่าพักโรงแรม 466 ดอลลาร์


เดินทางด้วยรถไฟเฮเฟตัส (สายประหยัด) 2 ที่นั่ง ราคาตั๋ว 5x2 = 10 ดรักม่า

สถานีต้นทาง : สถานีแกรนด์เซ็นทรัล, นิวยอร์ก

สถานีปลายทาง : สถานีรถไฟเอเธนส์, กรีซ

(จ่ายแล้วจ้า)


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 85359 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-23 21:59
โพสต์ 85,359 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก การควบคุมพืชขั้นสูง  โพสต์ 2025-10-23 21:59
โพสต์ 85,359 ไบต์และได้รับ +10 EXP +12 ความกล้า +9 ความศรัทธา จาก การควบคุมธรนี  โพสต์ 2025-10-23 21:59
โพสต์ 85,359 ไบต์และได้รับ +9 EXP +12 เกียรติยศ +12 ความศรัทธา จาก เข็มทิศ  โพสต์ 2025-10-23 21:59
โพสต์ 85,359 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก รากพันธนาการ  โพสต์ 2025-10-23 21:59
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-10-24 03:45:30 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

Hushsong of the Gods

💟 หนีตามผู้ชายสไตล์ มนก บซ 💟
ตอนที่ 5 : รออีกโคตรนานเลยครับ
วันที่ 21 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงเย็น เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ณ ภายในรถไฟเฮเฟตัส มุ่งหน้าสู่ กรุงเอเธนส์ กรีซ

รถไฟเฮเฟตัสแล่นไปอย่างราบเรียบ เสียงล้อเหล็กเสียดสีกับรางเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับหัวใจของใครบางคนที่พยายามจะนิ่งสงบ ทั้งสองนั่งอยู่ในตู้โดยสารสีทองแดงเงาวับ ซึ่งตกแต่งด้วยลวดลายค้อนและเปลวเพลิงตามแบบของเทพแห่งช่างเหล็ก กลิ่นเหล็กอุ่นผสมกับกลิ่นไม้หอมจาง ๆ ลอยอบอวลอยู่ในอากาศ 


โมนีก้านั่งพิงเบาะพลางเหม่อมองวิวภายนอกที่เปลี่ยนผ่านอย่างต่อเนื่อง ทุ่งราบที่แผ่กว้างภูเขาหินสีเทา และท้องฟ้าที่ค่อย ๆ กลืนเข้าสีทองของบ่ายแก่ ๆ เธอเหลือบมองเลสเตอร์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มาตลอดทาง เขายังอยู่ในท่าเดิม แขนยาวทั้งสองข้างพาดบนพนักเก้าอี้ ดวงตาสีฟ้าเหม่อมองออกไปข้างนอกโดยไม่พูดอะไรสักคำ เธอเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาทีละน้อยเพราะนี่ไม่ใช่เลสเตอร์ที่เธอรู้จักเลยสักนิด ปกติหมอนี่จะต้องบ่นเรื่องเบาะแข็ง เรื่องแสงไม่พอดี หรือไม่ก็เรื่องทรงผมตัวเองไม่เข้ากับอุณหภูมิในรถไฟแล้วแทบจะบ่นเป็นบทกวีประชดฟ้าดินออกมา แต่ตอนนี้...เงียบสนิท เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของเขาเบา ๆ 


โมนีก้าถอนหายใจพรืด “โอ๊ย เบื่อจะตาย นายจะทำหน้าเหมือนกำลังถูกลากไปขึ้นเขียงอีกนานไหมเนี่ย”


เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสียงล้อรถไฟดังคลอในจังหวะเดียวกับที่รถเข็นขายอาหารเลื่อนเข้ามา พนักงานชายวัยกลางคนในชุดยูนิฟอร์มเรียบหรูส่งยิ้มเป็นมิตร “รับอะไรดีครับผู้โดยสาร” เขาถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น โมนีก้าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “ขอน้ำโค้กกับพุดดิ้งวานิลลาหนึ่งที่ค่ะ” แล้วหันมาทางเลสเตอร์ “แล้วนายล่ะ จะเอาอะไรไหม?”


เขาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ สายตาเรียบเฉย “น้ำแร่พอครับ” 


“แค่น้ำแร่?” เธอเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไม่มีของหวาน ไม่มีขนม ไม่มีสลัดผลไม้เหรอ? ปกติถ้ามันไม่มีอะไรเริ่ด ๆ สำหรับนาย นายต้องวิจารณ์เมนูจนพนักงานต้องลาออกไปแล้วสิ” 


“ก็ไม่ได้หิวอาหารโลกีย์” คำตอบสั้น ๆ นั้นทำให้เธอพ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง “เฮ้อ นายมันประหลาดจริง ๆ” เธอจ่ายเงิน รับของ แล้วเปิดพุดดิ้งขึ้นทานอย่างไม่อายใคร กลิ่นวานิลลาหวานละมุนแตะปลายจมูก แต่บรรยากาศรอบตัวกลับหนืดหน่วง เธอวางช้อนลงแรงกว่าที่ตั้งใจ “เลสเตอร์” เธอเอ่ยเสียงเรียบแต่บ่งบอกว่าเป็นห่วงเขา “เราต้องเดินทางด้วยกันตลอดทั้งทริปนะ นายจะทำตัวเหมือนผีขี้กลัวหรือรูปปั้นที่แตกสลายแบบนี้ไปถึงกรีซไม่ได้หรอก ฉันถามจริงเถอะ…นายเป็นอะไร?”


เขานิ่ง ไม่ตอบทันที ดวงตาคู่เดิมยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับกลัวจะเผชิญกับแสงในดวงตาของเธอ โมนีก้าขยับตัวเล็กน้อย เอียงศีรษะมองหน้าเขา “หรือว่าอะไร… แค่ฉันเปลี่ยนสีผมมันทำให้นายไม่ชอบขนาดนั้นเลยเหรอ?” น้ำเสียงของเธอเริ่มแฝงความประชด แต่ในแววตากลับมีทั้งความน้อยใจและความสงสัยในสิ่งที่เธอทำ


คราวนี้เลสเตอร์หันมามองจริง ๆ ดวงตาสีฟ้าเข้มที่เคยส่องประกายตอนนี้ดูเหมือนทะเลในวันที่ไร้แสงแดด เขาเปิดปากเหมือนจะพูดแต่กลับกลืนคำทั้งหมดลงไป “ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก” เขาพูดช้า ๆ “สีผมคุณ…สวยดี มันแค่…ทำให้ผมคิดถึงโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่ผมไม่อยากให้มันถูกนำมาบรรเลงซ้ำอีกครั้ง” โมนีก้าขมวดคิ้วเล็กน้อย “โศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่?” เขาหลบสายตา ยิ้มฝืด ๆ “เรื่องในอดีตน่ะครับ ผมเคยรู้จักใครบางคนที่…เอาเถอะ เธอก็มีกลิ่นไลแลคเหมือนคุณ และผมไม่อยากจะเล่าเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ความสมบูรณ์แบบของผมได้รับการยืนยันเลยแม้แต่น้อย”


เธอมองเขาเงียบ ๆ สักพักก่อนพูดเบา “งั้นก็อย่าแกล้งทำเหมือนทุกอย่างโอเคสิ เพราะมันไม่โอเคเลยนายกำลังหลบฉันอยู่หรือไง” น้ำเสียงของเธอไม่ได้ประชดอีกต่อไป มันกลายเป็นความอ่อนโยนที่เจือเศร้าเธอหันกลับไปมองนอกหน้าต่าง ปลายนิ้วแตะกระจกเย็นเฉียบ ฉันไม่ได้อยากเป็นใครที่นายต้องกลัวที่จะแสดงความอ่อนโยนให้เห็นนะ เลสเตอร์” เขากลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ หัวใจเต้นแรงเหมือนเสียงล้อรถไฟที่บดเข้าหากันเป็นจังหวะไม่สิ้นสุด ภายในอกเขาเหมือนมีบางสิ่งสั่นสะเทือน ความผิดครั้งเก่าที่ฝังลึกกับความรู้สึกใหม่ที่เริ่มก่อตัวจนแทบจะแยกไม่ออก เขาพูดออกมาในที่สุดเป็นเสียงเบาแต่จริงใจ “ผมไม่ได้กลัวคุณ… แค่กลัวว่าจะทำความผิดพลาดทางอารมณ์ซ้ำอีก”


โมนีก้าหันมามองเขาทันที แต่เขากลับฝืนยิ้มเหมือนไม่อยากให้เธอถามต่อ “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิความเศร้ามันเป็นเครื่องประดับที่ไม่คู่ควรกับใบหน้าของคุณนะ มันจะทำให้ความสว่างไสวของคุณลดลง” เขากลับมาใช้โทนโอหังอีกครั้ง พยายามดึงตัวเองกลับสู่บทบาทที่ถนัดแต่มันเป็นเรื่องจริงที่บอกว่าเขาไม่ได้อยากเห็นโมนีก้าทำเสียใจ “ผมแค่เหนื่อย ผมไม่ได้กลัวอะไรทั้งนั้น คุณอย่าคิดมากเลยโมนีก้า เดี๋ยวผมจะกลับมาหล่อเหมือนเดิมในอีกสิบนาทีแน่ ๆ เตรียมใจชื่นชมได้เลย” 


เสียงล้อเหล็กบดกับรางยังคงเคาะจังหวะสม่ำเสมอ ดังก้องผ่านผนังโลหะและพื้นไม้ขัดมันของโบกี้สายประหยัดเป็นเหมือนเมโทรนอมของโชคชะตา ขณะที่ความตึงเครียดที่เย็นเฉียบซึ่งรั่วไหลจากเลสเตอร์ค่อย ๆ แช่แข็งอากาศโดยรอบจนแม้แต่ไออุ่นของแสงบ่ายก็ไม่กล้าฝ่าม่านเงาเข้ามา โมนีก้าเอนหลังพิงเบาะหนังสีแดงทับทิมอย่างสบายอารมณ์ ท่าทีผ่อนคลายตัดกับใบหน้าของชายหนุ่มข้างตัวที่ขมึงทึงและภายในปั่นป่วนราวพายุทราย เลสเตอร์แสร้งทำเป็นศึกษาเม็ดฝุ่นที่เต้นระบำอยู่ในลำแสงซึ่งลอดผ่านหน้าต่าง แต่ในหัวกลับแน่นทึบไปด้วยภาพผมสีน้ำตาลและกลิ่นไลแลคที่ไหลย้อนมาทิ่มแทงประสาทใจอย่างดื้อดึงไม่รู้จบ


โมนีก้าหันมามองเพียงครู่เดียว สายตาเทาเงินนั้นมีประกายของความเข้าใจปนแรงกดดันที่พอเหมาะเหมือนค้อนหนักปอนด์เดียว “อดีตมันเจ็บปวดเนอะ เลสเตอร์” เธอพูดเบาแต่ทิ่มลึก “มันชอบทำตัวเหมือนแม่เหล็กคอยลากเรากลับไปที่เดิมเสมอ” แล้วเธอก็หยุดหายใจชั่วครู่ราวกับวางระเบิดเวลา ก่อนจะวางคำสั่งอย่างเรียบเฉียบ “อยู่กับปัจจุบันสิ เราแก้ไขอดีตไม่ได้ มีแต่เดินหน้า คนอย่างนายคงฉลาดพอจะรู้ว่าต้องเดินต่อแบบไหน ใช่ไหม” ถ้อยคำนั้นพุ่งทะลุเกราะอัตตาเข้ากลางอก


เลสเตอร์จนสะดุ้งในใจ ฉลาดพอ? เขาคือผู้กำหนดแนวคิด แต่สตรีน้อยกลับใช้ตรรกะมนุษย์มาสั่งสอนเขาอย่างหน้าตาเฉยซะงั้นย ก่อนเขาจะได้ตอบด้วยถ้อยคำอวดดี เธอก็ยื่นแท็บเล็ตมาคั่นกลางอย่างไม่ใส่ใจ “เลิกทำหน้าเหมือนถูกโศกนาฏกรรมเข้าสิงได้แล้ว เรามาดูหนังกันไหม แอปฉันแน่นมาก จะได้มีอะไรไปกระทุ้งสมองที่ว่างเปล่าของนายบ้าง” นิ้วเรียวย้ำลงแบบสุ่มที่หน้าจอโปสเตอร์ Gods of Egypt (2016) สว่างวาบตรงหน้า


Gods of Egypt? เลสเตอร์กลืนน้ำลายฝืด ๆ นี่มันทรมานแบบตั้งใจชัด ๆ การบังคับให้อัจฉริยะ มนุษย์ผู้เหนือกว่าการตีความหยาบ ๆ ต้องนั่งดูประวัติศาสตร์ถูกยำใหญ่บนจอ! ทว่าโทษฐานแห่งความรักศิลป์ เขาจำต้องอดกลั้นแต่ก็ไม่สัญญาว่าจะไม่ประชด โมนีก้าเท้าคางดูอย่างเพลิดเพลิน 


หน้าตาเธอคืนสู่โหมดสบาย ๆ ทันทีที่มีสิ่งเบี่ยงความสนใจจากปมของเขา “โอ๊ย ดูเบรนตัน ทเวทส์ที่เล่นเป็นเบคสิ หล่อโคตร ๆ เลย! ผมก็สวย รอยยิ้มก็ใช่ ออร่าเจ้าชายชัด ๆ” เลสเตอร์หายใจสะดุด ออร่าเจ้าชาย? ชายผู้นั้นเป็นเพียงนักแสดงที่ฉาบเครื่องสำอาง! ออร่าที่แท้มีอยู่บนใบหน้าของเขาคนเดียวในโบกี้นี้ต่างหาก! เขาขมวดคิ้วจนแทบผูกปม “ผมแนะนำให้คุณลดความดังลงนะโมนีก้า การวิจารณ์ความหล่อที่ผิดพลาดของคุณกำลังทำลายบรรยากาศบนรถไฟ”


โมนีก้าไม่ไยดี แววตาเป็นประกายสนุกที่เห็นเลสเตอร์มีท่าทีแบบนั้น “แล้วเจอราร์ด บัตเลอร์ที่เล่นเป็นเซทก็หล่อ! ดุดัน! แกร่ง! นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคือน่าค้นหามาก! นี่สิ คนหล่อที่สมบูรณ์แบบสุด ๆ เลยอ่ะ! ทรงแด๊ดมาก” ฟางเส้นสุดท้ายขาดดังแคว๊กในหัวของเลสเตอร์ เขาดีดตัวในอารมณ์ปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง 


“ไม่จริง! โมนีก้า คุณเรียกเขาว่าความสมบูรณ์แบบเหรอ? นั่นมันภาพล้อเลียนที่โง่เขลาของความสมบูรณ์แบบ! ในเมื่อคุณกำลังนั่งข้างบุรุษผู้สง่างามที่ยังคงรักษาผิวพรรณเปล่งปลั่งอย่างไร้ที่ติ คุณยังกล้าชื่นชมผิวหยาบกร้านของมนุษย์ผู้นั้นต่อหน้าผมอีก!” เสียงเขาสูงกว่าที่ควร จนผู้โดยสารแถวหน้าเหลียวมองด้วยความงงงัน


โมนีก้าตะแคงหน้ามาพร้อมรอยยิ้มยียวน “ว้าว ได้ผล นายกลับมาบ่นแล้ว ดีใจด้วยนะ ฉันนึกว่านายจะกลายเป็นคนพูดน้อยไปซะแล้ว” 


“ผมไม่ได้บ่น ผมกำลังเสนอบทวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบทางศิลปะ!” เขาเชิดคาง “คุณกำลังลดเกียรติผมด้วยการสรรเสริญความไม่สมบูรณ์แบบต่อหน้าผม! และขอความกรุณาอย่ากล่าวหาว่าผมเป็นคนพูดน้อย ผมคือเสียงขับขานของทุกสิ่งที่งดงาม เสียงของผมไม่ควรถูกตรึงเพราะภาพซ้อนอันน่ารังเกียจในหัว!” เขาสูดลมลึก ประสานมือราวกำลังสวดภาวนาให้ความหงุดหงิดมอดดับ แล้วฟาดปัจจุบันใส่เธออย่างองอาจ 


“เอาล่ะ คุณอยากอยู่กับปัจจุบันใช่ไหม ก็ได้ ปัจจุบันตอนนี้นะ ความจริงคือคุณกำลังนั่งข้างผู้ชายที่มีเสน่ห์ที่สุด ฉลาดที่สุดในโบกี้นี้ และความจริงอีกข้อคือผมไม่สมควรต้องทนฟังคำนิยามบุรุษอื่นแม้แต่นิดเดียว! ปิดมันซะ โมนีก้า! หรือให้ผมทำลายแท็บเล็ตนั่นดี!”


เสียงหัวเราะของโมนีก้าพุ่งออกมาอย่างเปิดเผย คราวนี้เธอตั้งใจหัวเราะเยาะให้เขาเห็น “ไม่ปิด ดูให้จบ และนายจะทำลายแท็บเล็ตฉันยังไง ในเมื่อนายไม่มีแม้แต่ไม้จิ้มฟันติดตัว นักวิจารณ์ตัวจริงเขาไม่ขู่หรอกนะ” 


เลสเตอร์ชะงักงันเขาถูกจับได้คาหนังคาเขา ถ้อยคำทั้งหลายร่วงกราวอยู่หลังฟัน สุดท้ายทำได้เพียงทิ้งตัวพิงพนัก เท้าคางอย่างโกรธเคืองจ้องจอแน่วแน่ราวใช้แรงจิตเผาเบรนตันกับเจอราร์ดให้ละลายไปพร้อมกัน ขณะที่นอกหน้าต่าง แถบริ้วแสงยังไหลถอยหลังอย่างเงียบงาม ปล่อยให้ความพ่ายแพ้ชั่วคราวของสุริยันผู้หลงตัวเองกลายเป็นคอรัสเบา ๆ ในฉากรักกวนประสาทกลางโบกี้สีแดงทับทิม


เสียงล้อเหล็กบดกับรางยังคงดังอย่างราบเรียบในจังหวะเดียวกับที่บรรยากาศระหว่างทั้งสองเริ่มคลายความตึงเครียดลง โมนีก้าหันไปมองเลสเตอร์อีกครั้ง ดวงตาเทาเงินของเธอสะท้อนแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านกระจกใสของหน้าต่างรถไฟ เธอยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนเอนตัวเข้าใกล้เขาเล็กน้อย น้ำเสียงที่ใช้พลันแผ่วลงแต่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น “ถึงฉันจะชอบดาราคนหล่อในหนัง แต่ฉันก็อยู่ข้างนายนะ” เธอว่าอย่างนั้นพร้อมยักคิ้วเบา ๆ “ถ้าให้เลือกอยู่ในห้องกับดารากับนาย…ฉันก็เลือกนายนะ”


เธอพูดอย่างง่าย ๆ แต่คำพูดนั้นกลับเหมือนปลายนิ้วที่แตะลงบนหัวใจของเลสเตอร์โดยตรง จังหวะเต้นในอกของเขาสะดุดวูบ ดวงตาสีฟ้าที่เคยแฝงอารมณ์เย็นเยียบถึงกับสะท้อนประกายอบอุ่นวาบขึ้นมาในทันที ใบหน้าของเขากระตุกยิ้มแปลก ๆ เหมือนคนที่พยายามกลั้นไม่ให้ความเขินไหลออกมาเป็นคำพูด “โอ้ แน่นอนสิ” เขาตอบเสียงติดอาการอึกอักนิด ๆ “คุณเลือกได้ถูกแล้ว... ผมหมายถึงมันก็สมเหตุสมผลดีนี่! ที่อัจฉริยะผู้มีรสนิยมอย่างคุณจะต้องเลือกบุรุษผู้มีความสมบูรณ์แบบกว่าในทุกด้าน เหนือกว่าแค่ดาราหนังที่ฉาบฉวย! ถือเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุดในรอบหลายชั่วโมงของคุณเลย”


โมนีก้าอมยิ้มมองเขาเหมือนรู้ทัน เธอไม่พูดอะไรต่อ แค่หัวเราะในลำคออย่างเบา ๆ ก่อนจะหันกลับไปปิดหนังในแท็บเล็ตแล้วเลื่อนนิ้วเปิดแอปเพลงแทน “งั้นฉันไม่กวนแล้วนะ นายดูเครียดจะตาย ฟังเพลงดีกว่า”


เสียงเปียโนเปิดขึ้นอย่างนุ่มนวลเป็นท่วงทำนองของ Back in the Day จาก Brian Culbertson ท่วงดนตรีแจ๊สผสมโซลที่ละมุนเหมือนครีมวานิลลาในบ่ายวันอุ่น เสียงแซ็กโซโฟนผสานกับจังหวะกลองเบา ๆ คล้ายกล่อมให้หัวใจสองดวงในโบกี้นั้นเต้นช้าลง โมนีก้าหลับตาพริ้มปลายนิ้วเคาะตามจังหวะเบา ๆ ริมฝีปากมีรอยยิ้มอารมณ์ดีอย่างคนที่พึงพอใจในการได้ยั่วใครบางคนจนสำเร็จ


เลสเตอร์เหลือบมองเธอจากมุมตา แสงสีทองยามเย็นทอดผ่านเส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่สะท้อนประกายเหมือนรังไหม เธอเอนหัวพิงกระจกเล็กน้อย ดวงหน้าเปื้อนรอยยิ้มละมุนจนเขาแทบต้องเบือนหน้าหนีเพื่อปกปิดสีแดงจาง ๆ บนแก้ม “ให้ตายสิ…” เขาพึมพำในลำคอ “นี่เธอคิดจะใช้ความน่ารักมาทรมานผมแทนความเกลียดชังหรือไงเนี่ย จะกวนผมยังไงก็ได้แต่ทำไมต้องน่ารักขนาดนี้ด้วย”


โมนีก้าไม่ได้ยินคำที่เลสเตอร์พูด เธอเพียงขยับริมฝีปากฮัมเพลงตามเบา ๆ จังหวะดนตรีพาให้เธอโยกศีรษะไปมาอย่างเพลิดเพลิน และในขณะที่โลกภายนอกกำลังเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว รถไฟทั้งขบวนกลับดูเหมือนหยุดนิ่งอยู่ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่มีเพียงเสียงเพลง ดวงอาทิตย์ และหัวใจที่เต้นใกล้กันมากกว่าที่ทั้งคู่จะกล้ายอมรับ

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

ให้ตายสิ! ผมเกลียดเธอ! ผมเกลียดที่เธอฉลาด! ผมเกลียดที่เธอรู้ทันผม! และผมเกลียดที่สุดที่เธอใช้ความอ่อนโยนมาเป็นอาวุธทำลายเกราะป้องกันของคราบบุรุษผู้สง่างามอย่างผม! การที่เธอชมพวกนักแสดงที่มีก้อนเนื้อปลอมพวกนั้นมันทำให้ผมหงุดหงิดจนแทบระเบิด ผมต้องการใช้ความหงุดหงิดนั้นขับไล่ภาพของแดฟนีออกไปจากหัวและมันได้ผล! แต่แล้วเธอก็ยิงลูกธนูคำพูดที่แม่นยำที่สุดมาที่ผม!


นั่นมันคือคำสรรเสริญที่บริสุทธิ์ที่สุดที่ผมเคยได้รับในร่างอวตารนี้ มันไม่เหมือนคำสรรเสริญที่ผมเคยได้รับในโอลิมปัสที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์แอบแฝง คำพูดของเธอเรียบง่ายแต่ทรงพลังราวกับเสียงพิณศักดิ์สิทธิ์! ผมทำได้แค่ตอบกลับด้วยคำโง่ ๆ เสียงผมมันอึกอัก ผมกลั้นอาการเขินอายไม่ให้กลายเป็นอุกกาบาตความรักที่จะพุ่งชนและทำลายบรรยากาศนี้ได้ยังไงกัน! นี่ผมกำลังทำตัวเหมือนเด็กหนุ่มที่เพิ่งได้จูบแรกหรือไง!


ให้ตายเถอะ! ผมมองผมสีน้ำตาลของเธออีกครั้ง... และคราวนี้ความกลัวมันไม่ได้รุนแรงเท่าเดิม ผมมองเห็นโมนีก้า ที่นั่งอยู่ข้างกัน... ไม่ใช่เงาของแดฟนี ผมพึมพำออกไปอย่างไม่รู้ตัวถ้าเธอได้ยิน ผมสาบานได้เลยว่าผมจะให้งูพิษมาฉกตัวเองตายเสียยังดีกว่า ผมเกลียดที่ผมมีความรู้สึกต่อเธอและผมเกลียดที่เธอทำให้ความสมบูรณ์แบบของผมต้องถูกบดบังด้วยความรู้สึกแบบนี้! แต่ผมก็ยอมรับ... ผมชอบช่วงเวลานี้ ผมชอบที่ผมถูกเลือกเหนือกว่าใคร!ผมต้องกลับไปวางแผนใหม่! เกราะป้องกันของผมมีรอยร้าวแล้ว! ผมต้องรีบไปถึงกรีซ... ก่อนที่ผมจะยอมรับความรู้สึกนี้ออกมาทั้งหมด (บ่นออกมาเกี่ยวกับตัวเองอีกประมาณ 20 บรรทัด) 

avatar

Moneka M. Blossom

สำเร็จ! ในที่สุดเขาก็กลับมาเป็นตัวเอง! การที่ฉันชมผู้ชายคนอื่นมันได้ผลดีเกินคาด! เขาแสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน ฉันรู้ว่าคำพูดที่บอกว่าเลือกเขามันต้องทำลายกำแพงบ้า ๆ ของเขาได้สักนิดแหละน่าและดูสิ! ใบหน้าเขาแดงก่ำเลย! ในสายตาฉันเลสเตอร์นายมันก็แค่คนขี้เขินคนหนึ่งเท่านั้นแหละ!



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 76364 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-24 03:45
โพสต์ 76,364 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก การควบคุมพืชขั้นสูง  โพสต์ 2025-10-24 03:45
โพสต์ 76,364 ไบต์และได้รับ +10 EXP +12 ความกล้า +9 ความศรัทธา จาก การควบคุมธรนี  โพสต์ 2025-10-24 03:45
โพสต์ 76,364 ไบต์และได้รับ +9 EXP +12 เกียรติยศ +12 ความศรัทธา จาก เข็มทิศ  โพสต์ 2025-10-24 03:45
โพสต์ 76,364 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก รากพันธนาการ  โพสต์ 2025-10-24 03:45
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-10-25 07:49:02 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

Hushsong of the Gods

💟 หนีตามผู้ชายสไตล์ มนก บซ 💟
ตอนที่ 6 : ไม่รู้จะบอกยังไงดี
วันที่ 22 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงเช้า เวลา 09.03 น. เป็นต้นไป สถานีรถไฟกรุงเอเธนส์ กรีซ ยุโรป

แสงแดดยามเช้าที่สาดลงมาบนพื้นสถานีรถไฟกรุงเอเธนส์สะท้อนแสงสีทองอ่อนบนผิวหินอ่อนเก่าแก่ของชานชาลา หลังจากการเดินทางกว่าแปดชั่วโมงผ่านทิวเขาและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในที่สุดรถไฟเฮเฟตัสก็หยุดสนิทที่ปลายทาง เสียงหวีดล้อเหล็กจางลง เหลือเพียงเสียงนกพิราบและลมหายใจของผู้คนที่กรูออกจากตู้โดยสาร โมนีก้าก้าวลงจากรถไฟก่อนเป็นคนแรกในคู่ เธอเอามือเท้าสะโพกบิดขี้เกียจเบา ๆ แล้วบ่นพลางทำหน้าขมวด “โอ๊ย ปวดก้นจะตาย นั่งตั้งกี่ชั่วโมงเนี่ย... จะให้ขยับตัวก็เหมือนมีคนจับขังไว้ในกล่อง”


เลสเตอร์ที่เดินตามมาหลังเธอ หยุดยืดตัวเต็มความสูงอย่างสง่างามราวกับเพิ่งเดินพรมแดง ไม่ใช่เดินทางบนรถไฟสายประหยัดมาทั้งคืน เขาสูดลมหายใจเข้าลึก มองเมืองเอเธนส์ที่ทอดตัวอยู่ภายใต้แสงแดดแรกของวันด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ “อา...อากาศที่นี่มันหอมกลิ่นประวัติศาสตร์ปนความรุ่งโรจน์ของศิลปะชัด ๆ เลยนะเนี่ย มันเป็นบทเพลงที่ถูกบรรเลงเพื่อต้อนรับคนที่สมควรได้รับมันอย่างผมโดยเฉพาะ”


โมนีก้ากรอกตาแรงจนแทบม้วนกลับเข้าเบ้าตา “แน่นอนสิ นายก็คงคิดว่าทุกที่บนโลกถูกสร้างมาเพื่อให้นายได้ยืนโพสท่าเหมือนเป็นอนุสาวรีย์อยู่ตรงกลางนั้นแหละมั้ง” เธอเหน็บเข้าให้หนึ่งดอก แต่คนฟังกลับยิ้มหน้าระรื่นเหมือนได้รับคำชม “ก็ไม่เถียงน เพราะความมีเสน่ห์ของผมสามารถยกระดับทุกสถานที่ให้สวยขึ้นได้เสมอ” เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โอเค อีตาคุณชายแห่งความหลงตัวเอง งั้นเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าเถอะ เราต้องไปที่ไหนก่อนอ่ะ คิดว่าคริสตัลแห่งเสียงก้องจะอยู่ที่ไหน?”


เลสเตอร์เชิดหน้าขึ้นนิด ยืดอกเหมือนเตรียมกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้ามวลชน “พูดถึงเรื่องเสียงเพลง แล้ว...จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอัจฉริยะผู้อยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่แห่งบทเพลงและสุนทรียศาสตร์”


โมนีก้าพูดแทรกอย่างรวดเร็ว “เทพธิดาแห่งเสียงเพลงมิวส์?”


เขาชะงักไปชั่ววินาที ก่อนยิ้มมุมปาก “ผิดสิ คำตอบคือเทพอะพอลโล บุรุษผู้เป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่งที่งดงาม! ผู้เดียวที่ครองตำแหน่งเทพแห่งเสียงเพลง ศิลปะ ความงาม และความสมบูรณ์แบบทุกแขนง” แล้วน้ำเสียงของเขาก็เริ่มลื่นไหลเหมือนสายน้ำที่หาทางไม่หยุด “ลองคิดดูสิ บุรุษผู้มีผมทองส่องประกายราวแสงอาทิตย์ เสียงร้องสามารถทำให้หินยังหลั่งน้ำตาได้ ดวงตาที่เปล่งประกายความรู้ทั้งจักรวา—”


“หยุดเลย!” โมนีก้ายกมือห้ามทันที “ขอร้อง อย่าพูดยาว ฉันไม่อยากฟังนายสรรเสริญเทพคนโปรดของนายอีกสองชั่วโมง ฉันแค่อยากรู้ว่าเราต้องไปที่ไหนต่อ”


เลสเตอร์เงียบไปชั่วครู่แล้วขยับริมฝีปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ก่อนที่โมนีก้าจะพูดต่อ “แล้วก็…ฉันอยากบอกไว้นิดนะ ฉันพูดภาษากรีกไม่เป็น” เลสเตอร์เลิกคิ้ว “อะไรนะ? ไม่ได้เรียนมาเหรอ? คุณพลาดการซึมซับภาษาที่งดงามและสมบูรณ์แบบที่สุดในโลกศิลป์เนี่ยนะ? ช่างเป็นความบกพร่องทางภูมิปัญญาที่น่าตกใจที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมาเลย”


โมนีก้าแค่นหัวเราะประชดอีตาคนตรงหน้า “ฉันมาจากค่ายโรมันจำไม่ได้หรือไง คนโรมันเขาพูดละตินกันต่างหาก”


เลสเตอร์ทำหน้าเหวออยู่พักหนึ่ง ก่อนเกาศีรษะเบา ๆ แล้วหัวเราะแห้ง “เอ่อ...ว่ะ ลืมไปเลย” จากนั้นเขาก็ยืดหลังขึ้นใหม่เหมือนรวบรวมศักดิ์ศรีคืนมา “ไม่เป็นไร ผมจะอาสาเป็นล่ามให้เอง ภาษาเหล่านี้อยู่ในสายเลือดผมอยู่แล้ว กรีซนี่มัน...ถิ่นผมชัด ๆ” โมนีก้าหรี่ตามองเขาอย่างระแวงนิด ๆ “นายพูดเหมือนเคยเกิดที่นี่เลยนะ”


“โอ้ ก็ไม่แน่” เขายิ้มอ่อน แต่ในดวงตาสีน้ำเงินนั้นวูบไหวไปด้วยแสงที่เธอไม่เข้าใจ


เธอส่ายหน้า หยิบแท็บเล็ตที่ชาร์ตแบตเต็มขึ้นมาปัดฝุ่นจากหน้าจอ “งั้นช่วยถิ่นนายหน่อยละกัน ถิ่นนายมีสัญญาณไหม ฉันจะเปิดแผนที่ดูว่าที่นี่มีร้านกาแฟตรงไหนก่อนที่ฉันจะหมดแรงเดิน” เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ ก่อนทั้งสองจะเดินทางออกสู่ถนน ด้านนอกคือภาพของกรุงเอเธนส์ในยามเช้า เมืองที่อบอวลไปด้วยกลิ่นมะกอกและเสียงบทเพลงจากนักดนตรีข้างถนน เสียงนั้น...ฟังดูคล้ายกับอะไรบางอย่างที่เขาเคยได้ยินเมื่อพันปีก่อน และเขาแน่ใจว่าเสียงเรียกของคริสตัลแห่งเสียงก้อง กำลังอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เลย


แสงแดดแรงของยามสายทอแสงกระทบกระจกหน้าสถานีรถไฟกรุงเอเธนส์จนเกิดเงาสะท้อนระยิบระยับบนพื้นหินขาว โมนีก้าก้าวออกมาพร้อมเลสเตอร์ พลางยกมือบังแสงแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย กลิ่นควันจากรถยนต์และขนมปังอบสด ๆ จากร้านใกล้ ๆ ลอยมาตามลม เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางกวาดตามองหาป้ายร้านอาหารเช้าในละแวกนั้น “ขอแค่ที่ให้นั่งพักแล้วมีไข่ดาวสักสองฟองกับกาแฟร้อน ๆ ก็พอ” เธอบ่นพึมพำก่อนหันกลับไปหาเลสเตอร์ที่ยืนยืดอกมองรอบเมืองอย่างคนคุ้นเคยเกินเหตุ


“ถ้าเราจะไปหาคริสตัลแห่งเสียงก้องจริง ๆ สถานที่ที่เกี่ยวกับเทพอะพอลโลคงต้องเป็นเมืองเก่าใช่ไหม?” เธอถามพร้อมมองเขาด้วยแววตากึ่งจริงกึ่งแหย่เล็ก ๆ 


เลสเตอร์ยังไม่ตอบในทันทีแต่รอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากเขาปรากฏขึ้น เขาเหม่อมองข้ามฝูงชนราวกับกำลังเห็นภาพบางอย่างที่อยู่ไกลออกไปกว่าพันปี “เมืองเดลฟี” เขาพูดเสียงต่ำ ราวกับคำคำนั้นมาจากความทรงจำมากกว่าความคิด “วิหารเทพอะพอลโลอยู่ที่นั่น เสียงคำทำนายของไพเธียเคยสะท้อนก้องไปทั่วหุบเขาแห่งนั้น…เป็นสถานที่ที่คู่ควรแก่การค้นหาคริสตัล” น้ำเสียงของเขาเงียบลงพร้อมกับแววตาที่มืดครึ้มชั่วขณะ เหมือนคนที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางอดีตที่กลับมาหลอกหลอน


โมนีก้าขยับจะถาม แต่เขาพูดแทรกขึ้นทันที “เราต้องออกไปจากตรงนี้” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นเฉียบ “คนเยอะเกินไป ไปเถอะ”


เธอยังไม่ทันเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น เลสเตอร์ก็คว้ามือเธอแน่นแล้วลากออกจากบริเวณสถานีทันที ความแรงของการจับทำให้โมนีก้าแทบเสียจังหวะ “เฮ้ เดี๋ยวก่อนสิ นายจะรีบไปไห—” คำพูดยังไม่ทันจบ เธอก็เหลือบไปเห็นชายในเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มกลุ่มหนึ่งเดินสวนมาจากอีกฟากของชานชาลา ใบหน้าของพวกเขาเรียบสนิทเกินจริง ดวงตาไม่มีประกายชีวิตแม้แต่น้อย และในขณะที่เธอหันกลับไปหาเลสเตอร์ เขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่ต่ำลง “ไม่ใช่ตำรวจ...”


“ว่าไงนะ?” โมนีก้าเอ่ยถามเพราะเหมือนกับมันคุ้น ๆ เหมือนภารกิจที่แล้วเลย

“เดธแมชชีนไง พวกมันปลอมตัวมา” เลสเตอร์เอ่ยบอก เลสเตอร์เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความรังเกียจ “เป็นความผิดพลาดทางกลไกที่น่ารังเกียจของเฮเฟตัสเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”


หัวใจของโมนีก้ากระตุกวูบเมื่อคำ ๆ นั้นหลุดจากปากเขา ผลผลิตจากการทดลองของเฮเฟตัสเครื่องจักรสังหารที่ล่าเดมิก็อดโดยเฉพาะ แถมพวกมันยังชอบมาเป็นกลุ่มจัดการก็ยาก จำได้ว่ารอบก่อนเจอพวกมันบ่อยมากเลย แม่ง ทำไมแม่งฉลาดอย่างงี้กันนะ “ทำไมพวกมันถึงรู้ว่าเรามาที่นี่?” เธอถามเบา ๆ


เลสเตอร์ไม่ตอบ เขาเพียงกระชับมือเธอแน่นขึ้นอีก ก่อนดึงเข้าไปในตรอกแคบข้างตึกเก่าแห่งหนึ่ง เสียงฝีเท้าโลหะของพวกเดธแมชชีนดังสะท้อนอยู่ข้างหลังเหมือนมีใครกำลังลากเหล็กบนพื้นหินอ่อน “ที่นี่พอได้” เขากระซิบ ดวงตาสีน้ำเงินหันมามองเธออย่างจริงจัง “ตรอกนี้กว้างพอจะสู้...แต่เงียบพอที่ไม่มีใครเห็น” โมนีก้ากลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกได้ถึงแรงเต้นของหัวใจตัวเองที่รัวแรงขึ้นทุกขณะ เธอพยักหน้ารับอย่างเร็วพลางปล่อยมือจากเขาเพื่อถอยหลังมาครึ่งก้าว เส้นผมสีน้ำตาลเข้มของเธอปลิวตามแรงลมในตรอก


เลสเตอร์หันกลับไปมองทางเข้า ดึงคันธนูที่พับอยู่ในกระเป๋าหลังเสื้อคลุมออกมาอย่างคล่องแคล่ว เสียงกลไกเล็ก ๆ ดัง แกร๊ก เมื่อเขาปลดข้อต่อออกและแสงสีทองจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนสายธนู “อยู่ข้างหลังผม” เขาพูดโดยไม่หันมา น้ำเสียงนั้นกลับกลายเป็นจริงจังในทันที มันเป็นโหมดที่โมนีก้าชอบและหลงเขาตลอดเวลาที่เห็นเขาจริงจังแบบนี้


ลมร้อนแห่งกรุงเอเธนส์พัดกรูเข้ามาในตรอกแคบจนกลิ่นโลหะจากโครงเหล็กและควันน้ำมันลอยคลุ้ง โมนีก้าเงยหน้ามองเลสเตอร์ที่ยืนข้างหน้าเขา ดวงตาสีเทาเงินของเธอฉายแววแน่วแน่ “ได้สิ เราจะสู้ด้วยกัน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง ทั้งที่ในใจยังจำได้ดีว่าภารกิจครั้งก่อนเขาคือคนที่ปกป้องเธอไว้แทบจะเอาชีวิตเข้าแลก ภาพนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำของเธอ รอยแสงจากธนูของเขา สายตาเคร่งขรึมที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ... มันทำให้หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นทุกที


แต่ครั้งนี้ เธอจะไม่ให้เขาเป็นฝ่ายเดียวที่สู้

เลสเตอร์เหลือบตามองเธอ แววตาคมสีน้ำเงินวูบไหวเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “เข้าใจแล้ว อย่าได้ทำตัวเป็นเป้าหมายที่ไม่จำเป็นให้ผมต้องกังวลเป็นอันขาด อย่าประมาทนะโมนีก้า”


โมนีก้ายกข้อมือซ้ายขึ้น สะบัดเบา ๆ ตามจังหวะที่ชำนาญ แสงสีทองสาดประกายออกมาจากกำไลข้อมือจนกลายเป็นดาบยาวเฉิดฉาย ดาบสุริยคติในมือเธอส่งเสียงสั่นคล้ายคำร่ายเรียกแสงอาทิตย์ ด้านหลังทั้งคู่ เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น พวกตำรวจทั้ง 7 คนเริ่มขยับพร้อมกัน ท่วงท่ากระตุกแปลกผิดมนุษย์ ผิวหนังของพวกมันแหวกออกเผยให้เห็นโครงเหล็กสีดำหม่น มีแสงสีแดงวิบวับในดวงตา เสียงกลไกหมุนดัง คลิ๊ก คลิ๊ก พร้อมกับการเปลี่ยนร่างอย่างสมบูรณ์เป็น 


พวกมันกลับเป็นเดธแมชชีนที่สูงกว่า 2 เมตรแต่ละตัว ลำตัวเป็นโลหะขรุขระพร้อมปืนกลติดแขนและกรงเล็บเสริมพลังพลาสม่า


“ให้ตายสิ รอบก่อนจัดการพวกมันก็แทบตายอยู่แล้ว รอบนี้เจอในตรอกอีก!” โมนีก้าพูดพลางหมุนดาบในมือด้วยท่วงท่าคล่องแคล่ว “ดีแล้ว จะได้เห็นชัด ๆ เมื่อเราชนะในที่แคบ” เลสเตอร์ตอบนิ่ง ๆ พร้อมยกคันธนูขึ้น สายธนูเปล่งแสงสีทองอบอุ่นขณะเขาดึงลูกศรออกมาจากอากาศ มันปรากฏขึ้นเองราวกับถูกสร้างจากแสงอาทิตย์ 


เสียงเครื่องยนต์ในอกของเดธแมชชีนคำรามต่ำ ก่อนที่มันทั้งเจ็ดจะพุ่งเข้ามาพร้อมกัน ความเร็วเกินกว่ามนุษย์จะมองทัน โมนีก้าพุ่งสวนเข้าหา พลังแห่งพืชพรรณทำให้ปลายดาบของเธอแผ่รังสีสีทองอมเขียว ฟันฉับเดียวขาดกลางร่างหนึ่งจนประกายโลหะแตกกระจายเป็นเศษชิ้นส่วน


เลสเตอร์ยิงธนูต่อเนื่อง ลูกศรของเขาพุ่งแหวกอากาศด้วยเสียงหวีดดังเฉียบแหลม ทุกดอกเข้าเป้าระหว่างรอยต่อเกราะตรงกลางอก จุดตายของเครื่องจักรพวกนี้ มันล้มลงทีละตัวด้วยเสียงโลหะกระแทกพื้นหนักหน่วง แต่เขาไม่เปิดเผยพลังเต็มตัว แสงของธนูยังถูกควบคุมไว้ ไม่ให้เจิดจ้าเกินมนุษย์จะเห็น “ซ้ายของนาย!” โมนีก้าตะโกน ก่อนจะหมุนตัวหลบกรงเล็บพลาสม่าที่พุ่งเฉียดหน้าผาก เธอฟันกลับอย่างเฉียบขาดแต่ไม่ทันระวังอีกตัวที่พุ่งเข้ามาจากด้านหลัง เลสเตอร์ชักธนูยิงสวนอย่างแม่นยำ ลูกศรทะลุผ่านดวงตาสีแดงของมันก่อนระเบิดเป็นแสงสีทอง ทำให้ร่างนั้นกระเด็นชนกำแพงจนสลายกลายเป็นผง


การต่อสู้ดำเนินไปยาวนานกว่า 20 นาที แสงและเสียงโลหะกระแทกดังสะท้อนในตรอกจนเหมือนเสียงฟ้าผ่า ทั้งสองหายใจหอบ เสียงกลไกของเดธแมชชีนค่อย ๆ เงียบลงราวกับหมดพลัง ร่างของมันแตกสลายกลายเป็นละอองทองลอยคละคลุ้งกลางอากาศ แล้วค่อย ๆ หายไปกับแสงแดดยามสาย


โมนีก้านั่งพิงกำแพงหิน หอบหายใจแรง แขนซ้ายของเธอมีรอยเลือดซึมบาง ๆ จากรอยข่วน เธอยกมือขึ้นแตะแล้วหัวเราะแผ่ว “ฉันลืมไปว่าฉันไม่ได้สู้ระยะไกลแบบนาย...” เลสเตอร์รีบก้าวเข้ามาหาโมนีก้า นั่งย่อตัวลงข้าง ๆ ดึงผ้าสำหรับทำแผลออกจากกระเป๋าเช็ดคราบเลือดเบา ๆ “อย่าขยับ ผมดูให้เอง คุณไม่ควรฝืนร่างกายที่บอบบางของคุณแบบนี้อีกนะ”


“โอ๊ย...ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นน่า แค่แผลนิดเดียว” เธอยิ้มจาง ๆ พยายามกลบความเจ็บด้วยความขี้เล่นตามนิสัย แต่เลสเตอร์กลับมองเธอนิ่งดวงตาสีฟ้าของเขาฉายแววบางอย่างที่อ่อนลงกว่าเดิม “ผมแค่ไม่อยากเห็นคุณเจ็บอีก เข้าใจไหม ดูสิผิวของคุณมีรอยตำหนิ มันเป็นเรื่องที่รับไม่ได้สำหรับผม”


โมนีก้าชะงักไปชั่วขณะตอนที่เลสเตอร์พูดแบบนั้นความเงียบระหว่างพวกเขาอบอุ่นแปลก ๆ ทั้งที่รอบตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหล็กและเขม่าควัน เธอยิ้มบาง ๆ ก่อนเอ่ยเบา “ก็เพราะฉันมีคนอย่างนายนี่แหละ ถึงได้ยังไม่ตายตอนนี้” เลสเตอร์ถอนหายใจแล้วลุกขึ้น ยื่นมือให้เธอจับ “แน่นอนสิแต่ตอนนี้ใช้ความระมัดระวังให้สมกับการคุ้มครองอันยิ่งใหญ่ที่ผมมอบให้ด้วยนะ ไปกันเถอะ” โมนีก้ายื่นมือขึ้นจับ รอยยิ้มบนใบหน้าผสมทั้งความเหนื่อย ความโล่ง และบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น แสงอาทิตย์ยามสายตกกระทบปลายผมของทั้งคู่เป็นประกาย ราวกับโลกกำลังเงียบฟังจังหวะหัวใจที่เต้นพร้อมกันในตรอกแห่งกรุงเอเธนส์


หลังจากนั้นแสงแดดเช้าสีทองอบอุ่นสาดลงผ่านกระจกหน้าร้านอาหารเล็ก ๆ แถวสถานีรถไฟกรุงเอเธนส์ กลิ่นขนมปังอบใหม่และชีสละลายลอยคลุ้งไปทั่ว ทั้งสองเดินทางเข้าร้านอาหารโมนีก้านั่งลงตรงโต๊ะไม้ใกล้หน้าต่าง พลางถอนหายใจโล่งหลังศึกกับพวกเดธแมชชีน เธอเอนตัวพิงเก้าอี้แล้วหยิบเมนูขึ้นมาดู แต่พอเห็นตัวอักษรกรีกเรียงรายก็ทำหน้าเหวอสุดขีด “อืม... ตัวอักษรพวกนี้มันเหมือนงูพันกันเลยอ่ะ ฉันอ่านไม่ออกซักตัว...” เธอหันมาทำตาโตใส่เลสเตอร์อย่างคนยอมแพ้


ชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าเข้มสะท้อนแสงแดดยามเช้าจนดูอบอุ่นขึ้นผิดกับเมื่อครู่ “จริงสิ ลืมไปว่าคุณไม่ได้ซึมซับภาษาที่สมบูรณ์แบบที่สุดมาตั้งแต่เกิด” เขาพูดพลางยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอนตัวมาหา “งั้นเดี๋ยวผมสั่งให้ คุณอยากกินอะไร?”


“อะไรก็ได้ที่ไม่มีผัก” เธอตอบเร็วปานสายฟ้าแล่บ “พอใจแล้วมั้ยคะคุณผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารกรีก” เลสเตอร์ขมวดคิ้วทันที “ไม่มีผักเหรอ? อีกแล้วนะโมนีก้า รสนิยมทางโภชนาการของคุณมันบกพร่องเกินกว่าจะยอมรับได้จริง ๆ คุณไม่ใช่เครื่องจักรสังหารถึงจะซดแต่สารอาหารที่ไม่มีคุณค่าพอนะ”


“ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นเครื่องจักรนี่นา แต่ผักมันเหม็นเขียว ขมก็ขม!” เธอทำหน้ายู่ พองแก้มขึ้นนิด ๆ จนเขาอดยิ้มไม่ได้


“ก็ได้ งั้นจะสั่งให้แต่คุณต้องสัญญาว่าจะกินมันบ้าง” เขาพูดพร้อมเรียกพนักงานเข้ามา สั่งอาหารชุดใหญ่ด้วยภาษากรีกคล่องแคล่วจนพนักงานยิ้มตอบอย่างชื่นชมและไม่คิดว่าเลสเตอร์เป็นคนชาติอื่นด้วยซ้ำ เสียงเขาเปล่งออกมาไพเราะราวท่วงทำนองดนตรี เมนูที่หลุดออกจากปากเขาแต่ละคำทำให้โมนีก้านั่งฟังตาปรือราวกับต้องมนต์ “ซากานาคิ, Greek salad, Avgolemono, Spanakopita, Dolmades, Baklava, Keftedes, Gigantes Plaki…” เขาพูดจบพลางหันมามองหน้าเธออย่างผู้มีชัย “แปลเป็นภาษาค่ายโรมันของคุณก็คืออาหารที่ดีต่อสุขภาพ ผักอยู่ในเกณฑ์จำเป็นที่ผมจะอนุญาตให้มี”


“ผักอยู่ในเกณฑ์จำเป็นของนาย ไม่ใช่ของฉัน!” เธอโวยทันที


ไม่นานนักอาหารทั้งหมดก็ถูกเสิร์ฟบนโต๊ะ กลิ่นมะนาวสดกับน้ำมันมะกอกลอยคลุ้งจนทำให้ท้องเธอร้องจ๊อกจ๊อก โมนีก้าจ้องจาน Greek salad อย่างหวาดระแวง ก่อนจะคว้าช้อนตักเฉพาะชีสกับแตงกวาอย่างระมัดระวังไม่ให้โดนผักใบเขียว เลสเตอร์มองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเสียงนิ่งแต่กดต่ำ “โมนีก้า...”


“อะไร?” โมนีก้าทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้พยายามทำตัวให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้


“ถ้าคุณเขี่ยผักพวกนั้นอีกคำเดียว ผมจะป้อนให้เอง และผมจะไม่ยอมรับการปฏิเสธใด ๆ ทั้งสิ้น” เสียงเขานุ่มแต่แฝงความจริงจังจนเธอเผลอหน้าแดงแจ๋ เธออึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนยกส้อมขึ้นตักผักเข้าปากอย่างเสียไม่ได้ “โอเค ๆ กินก็ได้ ยอมแล้วอีตาคนชอบบังคับ!” เลสเตอร์ยิ้มบาง ๆ อย่างพอใจ ก่อนเริ่มกินของตัวเองบ้าง ท่าทางสงบเยือกเย็นแต่แฝงความอบอุ่นแบบที่เธอไม่เคยเห็นในใครอื่น เสียงส้อมกระทบจานดังแผ่ว ๆ ท่ามกลางแสงแดดที่ลอดผ่านกระจกเข้ามาอาบแก้มของทั้งคู่


“ดีมาก” เขาพูดเบา ๆ ราวกับเอ็นดู “เห็นไหม คุณก็ทำได้”

โมนีก้าก้มหน้ากินต่ออย่างเขิน ๆ แก้มร้อนระอุแต่ปากกลับบ่นพึมพำ “อย่าทำเหมือนฉันเป็นนักเรียนที่ต้องถูกสอนมารยาทสิ...”


“คุณก็เหมือนเด็กอนุบาลนิดหน่อยตอนไม่ยอมกินผัก” เลสเตอร์รีบตอบแบบย้อนเข้าตัวโมนีก้าสุด ๆ จนเธอแทบอยากเอาดาบสุริยคติมาฟาดโต๊ะ แต่ทำได้แค่เม้มปากกลั้นหัวเราะ แล้วเงยหน้ามองเขาที่กำลังหัวเราะเงียบ ๆ ด้วยแววตาอ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา บางทีอาหารเช้ามื้อนี้... อาจจะไม่แย่เท่าที่เธอคิดเลยก็ได้

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

อืมมม...Avgolemono ของที่นี่... ดี! ผมทำเรื่องที่ถูกต้องที่สุดด้วยการสั่งอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้เธอ! ผมยังไม่อยากเชื่อเลยว่าผมต้องลดตัวลงไปใช้คำขู่ที่ไร้สาระอย่างจะป้อนให้เอง มันเป็นกลยุทธ์ที่ดูเหมือนมนุษย์จอมบงการที่ไร้รสนิยมอย่างที่สุด แต่... มันได้ผลนะ เธอหน้าแดงและเธอก็ยอมกินผัก การเห็นเธอทำหน้ายู่ใส่ผักนั้น... มันทำให้ผมหงุดหงิดในฐานะคนที่เป็นห่วงแต่ในขณะเดียวกัน... มันก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด เธอเหมือน...สัตว์เลี้ยงตัวเล็ก ๆ ที่ซนและไม่ยอมเชื่อฟัง และผมคือเจ้าของที่ต้องดูแลเธอ (หยุด! เลสเตอร์! เธอไม่ใช่สัตว์เลี้ยง!)


แต่ผมพูดความจริง เธอดูเหมือนเด็กน้อยตอนที่พองแก้มและผมชอบที่เธอโวยวายใส่ผม มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังมีอิทธิพลต่อเธอมากกว่าที่คิด ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราได้กลับเข้าสู่จังหวะที่ลงตัวแล้ว มีความขัดแย้งที่สนุกสนาน มีการควบคุมเล็กน้อยจากผม... และที่สำคัญที่สุดคือเธอปลอดภัยและยอมรับความมีเสน่ห์ของผม ตอนนี้... ผมพร้อมแล้วที่จะนำพาสหาย (ไม่แน่ใจ แต่เอาเป็นว่าประมาณนี้ไปก่อนนะ) ที่น่ารักแต่ไร้รสนิยมด้านผักคนนี้ไปยังเดลฟี

avatar

Moneka M. Blossom

ให้ตายสิ! ฉันเกลียดการถูกบังคับให้กินผัก! แต่ฉันเกลียดการหน้าแดงต่อหน้าเลสเตอร์มากกว่า!!

มีค่า LUK 100 หน่วย จะได้รับวัตถุดิบ x2

ได้รับ เซลล์พลังงาน จำนวน 2 ชิ้น 2 x 2 = 4 ชิ้น

ได้รับ โลหะผสมพิเศษ จำนวน 70 ชิ้น 70 x 2 = 140 ชิ้น

ได้รับ ชิปประมวลผล AI จำนวน 1 ชิ้น 1 x 2 = 2 ชิ้น

ได้รับ มอเตอร์ไฮดรอลิก จำนวน 1 ชิ้น 1 x 2 = 2 ชิ้น

ได้รับ น้ำมันหล่อลื่น จำนวน 2 ชิ้น 2 x 2 = 4 ชิ้น

สรุป ได้รับ เซลล์พลังงาน 2 ชิ้น, โลหะผสมพิเศษ 70 ชิ้น, ชิปประมวลผล AI 1 ชิ้น, มอเตอร์ไฮดรอลิก 1 ชิ้น, น้ำมันหล่อลื่น 2 ชิ้น



แสดงความคิดเห็น

อาเครคับ รับแซ่บ  โพสต์ 2025-10-25 09:28
God
ได้รับ โลหะผสมพิเศษ ไม่เกี่ยวกับ x2 ไม่ใช่ของสุ่มจากมอน เป็นของที่ได้ถาวรทุกครั้งที่ฆ่า  โพสต์ 2025-10-25 09:20
โพสต์ 88544 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-25 07:49
โพสต์ 88,544 ไบต์และได้รับ +25 EXP +35 เกียรติยศ +55 ความศรัทธา จาก น้ำหอมเฮคาที  โพสต์ 2025-10-25 07:49
โพสต์ 88,544 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก การควบคุมพืชขั้นสูง  โพสต์ 2025-10-25 07:49
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-10-25 14:41:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

Hushsong of the Gods

💟 หนีตามผู้ชายสไตล์ มนก บซ 💟
ตอนที่ 7 : นั้นแหละฮะ ทั่นผู้ผม
วันที่ 22 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงสาย เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป สถานีรถไฟกรุงเอเธนส์ จนถึง ชานเมืองคามาเทโร กรีซ ยุโรป

รถเมล์ประจำทางสายสีน้ำเงินค่อย ๆ เคลื่อนออกจากสถานีรถไฟกรุงเอเธนส์ เสียงเครื่องยนต์ประสานกับเสียงคุยจอแจของผู้โดยสารภายใน โมนีก้านั่งริมหน้าต่าง เอาคางเกยมือตัวเอง มองเมืองหลวงของกรีซที่เริ่มเลือนหายไปด้านหลังตาเป็นประกายราวกับเด็กได้ออกทัศนศึกษา เธอสวมแว่นกันแดดทรงกลม ปล่อยผมสีน้ำตาลเข้มให้พลิ้วตามลมจากหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ กลิ่นไลแลคและเบอร์รี่จากผิวกายเธอเจือปนอยู่ในอากาศอุ่น ๆ จนเลสเตอร์ที่นั่งข้าง ๆ ยังรู้สึกได้


“นายคิดว่าเราจะถึงเมื่อไหร่?” เธอหันมาถามอย่างอารมณ์ดี พลางจิ้มหยิบขนมปังที่ซื้อมาจากร้านใกล้สถานีเข้าปาก “ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประมาณบ่ายสาม” เลสเตอร์ตอบโดยไม่ละสายตาจากนอกหน้าต่าง น้ำเสียงของเขาฟังดูนิ่งเกินไปจนต่างจากเธอโดยสิ้นเชิง


“ทำไมพูดเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นตลอดเวลาเลยล่ะ?” เธอแกล้งบ่น “นายเนี่ยนะ พอเอะอะก็ทำหน้าเครียดเหมือนพ่อบ้านแก่ ๆ ในละครยุโรป ฉันยังไม่ได้เริ่มกังวลเลยนะ”


เลสเตอร์ถอนหายใจเบา ๆ “เธอนี้ไม่เข้าใจความซับซ้อนของการเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่หรอก โมนีก้า การเดินทางในกรีซไม่เหมือนที่อื่น นี่คือบ้านของเหล่าตำนานและความอิจฉาริษยาของพวกที่อยู่ใต้ดินมันมีอยู่จริง โดยเฉพาะกับคุณที่มีความงดงามโดดเด่น... มันเป็นเป้าหมายที่ล่อตาล่อใจพวกมีแต่จิตสังหารมากเกินไป”


“นายนี่ทำให้การเดินทางฟังดูเหมือนเข้าสงครามได้เลยนะ” เธอหัวเราะเบา ๆ แล้วเอนศีรษะพิงพนัก “โอเค ๆ ก็ได้ ฉันจะระวังไว้ ถ้ามีพวกนั้นมาอีก พวกเดธแมชชีนนั้นน่ะ ฉันจะไม่ให้มันเล่นงานนายได้แน่” เลสเตอร์เหลือบตามองเธออย่างขุ่นขัน “ผมต่างหากที่ต้องพูดแบบนั้น คุณต่างหากที่ควรหลบหลังผมเพราะความสามารถในการเอาตัวรอดของคุณยังต้องผ่านการฝึกฝนจากบุรุษผู้มีความแม่นยำสูงอย่างผมอีกมาก”


“ไม่ต้องห่วง ฉันจะหลบหลังก็เมื่อมีร้านเบเกอรี่ที่อร่อยกว่าร้านเมื่อเช้าให้หลบด้วยเท่านั้นแหละ” เธอยักคิ้วใส่ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นทำให้มุมปากของเขาเผลอยกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว รถเมล์ค่อย ๆ เคลื่อนออกสู่ถนนสายยาวที่พาเข้าสู่เขตชานเมืองคามาเทโร บ้านเรือนลดน้อยลงกลายเป็นเนินเขาแห้งแล้งตัดกับท้องฟ้าสีครามเข้ม แสงแดดสะท้อนจากกระจกหน้ารถเข้าตาเลสเตอร์จนเขายกมือบังพลางพูดพึมพำ “แสงแบบนี้... เหมือนตอนที่ผ—” แต่เขากลืนคำพูดไว้ทัน


“ว่าอะไรนะ?” โมนีก้าหันมามอง


“ไม่มีอะไร” เขาตอบสั้น ๆ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณรู้ไหม ที่เดลฟีเคยมีนักพยากรณ์เหล่าไพเธีย พวกเขาเป็นปากเสียงของบุรุษผู้มีความรู้อย่าง...อะพอลโล เทพเจ้าที่ควรค่าแก่การบูชา คำพูดของพวกเขาสามารถเปลี่ยนชะตาเมืองได้เลย เป็นศิลปะแห่งการสื่อสารที่สมบูรณ์แบบ” โมนีก้าเอียงศีรษะหันมองเขา “นายพูดเหมือนเคยรู้จักเธอเลยนะ”


เลสเตอร์ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนตอบเสียงเรียบ “แค่... เคยศึกษาประวัติศาสตร์และตำนานมาอย่างถี่ถ้วนเฉย ๆ น่ะความยิ่งใหญ่ในอดีตเป็นสิ่งที่ไม่เคยลืมเลย”


“แน่ล่ะ” เธอตอบพร้อมหัวเราะเบา ๆ แล้วเริ่มหันไปถ่ายรูปวิวข้างทางด้วยแท๊บแลตเดดาลัสอย่างสนุกสนาน “ฉันจะลงอัลบั้มชื่อเที่ยวกรีซกับคนบ่นเก่งที่สุดในโลกดีไหมนะ”


“อย่าแม้แต่จะคิดเลย...” เขาพูดเสียงต่ำ โมนีก้าหัวเราะลั่นแต่เมื่อหันมามองใบหน้าเคร่งขรึมของเลสเตอร์ก็กลับยิ้มบาง ๆ แทน “นายน่ะ...ถึงจะชอบพูดมาก ชอบบ่น บางครั้งก็ดูเครียดหรือจริงจังเกินไปเรื่องหลงตัวเอง แต่รู้ไหม…แบบนี้มันก็อุ่นดี” สิ้นคำของโมนีก้าเลสเตอร์เงียบไปชั่วขณะ เขาเบือนหน้าหนีไปมองวิวภายนอกที่เปลี่ยนเป็นท้องฟ้าสีฟ้าและภูเขาเบื้องหน้าแทน เพราะไม่อยากให้เธอเห็นสีหน้าตัวเองในตอนนั้น 'อุ่นดี?' คำนั้นแทงทะลุเกราะป้องกันของเขา 'ความอ่อนแอ' กำลังถูกเปิดโปงโดยสตรีที่มองทะลุปรุโปร่ง เขาจะไม่มีทางยอมรับมันเด็ดขาด


หลังจากนั้นทั้งโมนีก้าและเลสเตอร์ก็ถึงย่านชานเมืองคามาเทโรแล้วลมร้อนจากถนนในย่านคามาเทโรพัดผ่านราวกับเตือนว่าไม่ควรอยู่นานเกินไป โมนีก้าเพิ่งจะวางมือจากแทบแล็ตที่ใช้เปิดแผนที่หาเส้นทางไปเมืองฟิลี ทันใดนั้นเองเลสเตอร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าของเขาเปลี่ยนจากเฉยชาเป็นตึงเครียดในเสี้ยววินาที “รังสีแห่งความน่ารังเกียจกำลังเข้ามาใกล้ เราต้องรีบไปเดี๋ยวนี้” เขากล่าวเสียงต่ำก่อนคว้ามือโมนีก้าลากเข้าไปยังตรอกข้างสถานีโดยไม่ให้เธอทันถามอะไร


“อะไรของนายน่ะเลสเตอร์!” เธอร้องเรียกชื่อเขาอย่างตกใจ แต่ยังไม่ทันจบประโยค เสียงพื้นดินสั่นสะเทือนกึกก้องราวกับมีกระแทกหนักจากใต้พื้น พื้นปูนแตกออกเป็นรอยร้าว ก่อนที่ร่างยักษ์หนึ่งตาสี่ตัวจะโผล่ขึ้นจากเงามืด ร่างกายสูงเกือบสามเมตร กล้ามเนื้อเป็นเนื้อหินหนาทึบ แผดเสียงคำรามต่ำจนกระจกใกล้เคียงสั่นระรัว ไซคลอปส์!!


“ยอดเยี่ยม...” เลสเตอร์พูดพลางหัวเราะเย็น ๆ อย่างเหนื่อยหน่าย “จากเครื่องจักรที่ขาดรสนิยมกลายเป็นสัตว์ประหลาดสายคลาสสิกที่ถูกโฉลกกับผมเลยสินะ จะให้เดาว่ามาต้อนรับบุรุษผู้สง่างามที่สุดในตำนานงั้นหรอ”


“นายนี่มันพูดบ่นตอนใกล้ตายได้ตลอดเลยนะ!” โมนีก้าวางมือแตะกำไลข้อมือซ้ายทันที แสงทองระเบิดขึ้นรอบตัวก่อนกลายเป็นดาบสุริยคติในมือ เธอสบตาเลสเตอร์ที่ดึงธนูออกจากกระเป๋าอย่างสง่างาม “เอาเถอะ คราวนี้ฉันไม่ยอมให้นายปกป้องคนเดียวแน่”


“ผมไม่เคยสงสัยในความกล้าที่น่าชื่นชมของคุณอยู่แล้ว โมนีก้า” เขายิ้มมุมปากอย่างคนหลงตัวเองเต็มขั้น “แต่แน่นอนว่าคุณอาจจะต้องเสียใจที่ผมจะเป็นคนที่ส่องประกายและโดดเด่นที่สุดในสนามรบอยู่ดี นี่คือเวทีของผม” 


ไซคลอปส์คำรามพร้อมกัน เสียงสะเทือนเข้าหูจนต้องขบฟันกรามแน่น พวกมันพุ่งเข้ามาทั้งสี่ทิศ เลสเตอร์ยิงลูกศรออกไปโดยไม่ต้องเล็งทุกดอกพุ่งเข้าเป้ากลางหน้าผากของมันอย่างแม่นยำ “สมบูรณ์แบบ!”  เสียงระเบิดของพลังแสงกระจายเป็นวงกว้างขับไล่ฝุ่นละอองออกจากตรอกจนหมด ส่วนโมนีก้าเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ฟันดาบเข้าหาอีกตัวที่พุ่งมาทางเธอ ปลายคมของดาบสุริยคติสะท้อนแสงอาทิตย์จนเกิดเป็นเส้นทองตัดผ่านกลางร่างมัน อีกสองตัวกรูเข้ามาพร้อมกันจากด้านหลัง เธอหมุนตัวหลบ ขณะที่เลสเตอร์แผ่วเสียงร่ายเบาให้ลูกศรสีทองพุ่งออกมาสามดอกรวด หนึ่งสำหรับความงาม สองสำหรับเสียงเพลง และสามสำหรับความแม่นยำ! กระแทกเข้าที่ลำตัวของไซคลอปส์ทั้งคู่จนร่างยักษ์ทรุดฮวบลงกับพื้น


“ให้ตายสิ นายตั้งใจโชว์พลังใช่ไหม!” เธอตะโกนขณะฟันซ้ำใส่ร่างที่ยังไม่สลาย


“ไม่โชว์สิถึงจะผิดธรรมเนียมคนผู้มีความสามารถเหนือระดับอย่างผม ความสามารถที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องรอการร้องขอ” เขายิงธนูอีกครั้งพร้อมยิ้มกว้างราวกับกำลังอยู่บนเวทีคอนเสิร์ตไม่ใช่กลางสมรภูมิ ทั้งสองใช้เวลาเพียงยี่สิบนาทีการต่อสู้ก็สิ้นสุดลง ร่างของไซคลอปส์ทั้งสี่แตกกระจายกลายเป็นละอองทองวาบ ๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนเศษฝุ่นของตำนานที่ถูกลืม เลสเตอร์หมุนธนูเก็บเข้ากระเป๋าในท่วงท่าสง่างามเหมือนจงใจอวด “เห็นไหมผมบอกแล้ว ลูกศรของผมไม่มีคำว่าพลาดเป้า เพราะมันคู่ควรแก่การพุ่งชนความยิ่งใหญ่เท่านั้น”


โมนีก้าหอบเบา ๆ แต่ยังยืนได้อยู่ในมือมีดาบยังเปื้อนฝุ่นและรอยไหม้ เธอกลอกตาใส่เขา “ถ้านายจะห่วงหลงตัวเองมากกว่าฉัน ฉันจะฟันนายให้แผลเท่าพวกนั้นเลยรู้ไหม?” เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ “อย่าขู่สิ ผมรู้ว่าคุณไม่มีวันทำได้หรอก... สัญชาตญาณความห่วงใยของคุณมันชัดเจนกับผมเกินไป”


“พูดมาก รีบไปได้แล้ว!” เธอตัดบทพร้อมชี้ไปทางป้ายรถเมล์ 


เลสเตอร์ยักไหล่เหมือนไม่ทุกข์ร้อน แต่สายตาเขากลับกวาดรอบตรอกด้วยความระแวดระวัง ก่อนพยักหน้า “ก็ได้ ไปกันก่อนที่เพื่อนเก่าของพวกมันจะมาเพิ่มอีก” ทั้งสองรีบเดินออกจากตรอก ฝุ่นละอองทองยังคงลอยอยู่ด้านหลังราวกับเงาของสงครามที่เพิ่งผ่านไป เมื่อขึ้นรถเมล์ประจำทางคันถัดมา เสียงเครื่องยนต์ค่อย ๆ ดังขึ้นอีกครั้ง มุ่งหน้าไปทางเมืองฟิลี ท่ามกลางสายลมและแดดของกรีซที่ยังคงร้อนระอุไม่ต่างจากหัวใจของใครบางคนที่ยังไม่ยอมรับ... ว่ากำลังห่วงคนข้างตัวมากกว่าที่ควรจะเป็นกว่าที่เขาคิดไว้มากเลย

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

ฮึ่ม! ความสามารถที่น่าเบื่อของพวกไซคลอปส์พวกนี้ มันทำให้ผมต้องเสียพลังงานไปอย่างไม่จำเป็น พวกมันควรจะรู้ตัวว่าพลังอำนาจที่แท้จริงอยู่ตรงไหนแล้วถอยกลับไปอย่างสงบ แต่ก็นะ... มันช่วยไม่ได้ที่ผมจะต้องโชว์ออฟนิดหน่อยเพื่อต้อนรับพวกมันสู่ความพ่ายแพ้อันสง่างามของพวกมัน


การต่อสู้ครั้งนี้ถือเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยม! ความแม่นยำของผมมันสมบูรณ์แบบ ลูกธนูทุกดอกพุ่งตรงไปยังเป้าหมายอย่างที่บทเพลงแห่งการพิชิตได้กำหนดไว้! โมนีก้าเห็นมันทั้งหมดและแน่นอน... เธอคงประทับใจจนพูดไม่ออกล่ะสิ ช่วยไม่ได้ล่ะนะ


แต่... โมนีก้า เธอเข้าใกล้พวกมันมากเกินไป ดาบของเธอมันรวดเร็วและร้อนแรง แต่เธอกำลังทำให้ผมต้องกังวลเพราะคุณนะ ผมไม่อยากเห็นร่างกายของเธอต้องมีรอยตำหนิแม้แต่น้อย มันเป็นเรื่องที่น่าละอายที่สุด ถ้าหากผม... ผู้พิทักษ์ความสมบูรณ์แบบ...ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น


คำพูดที่เธอตะโกนว่าฉันจะฟันนายให้แผลเท่าพวกนั้นเลยรู้ไหม?... นั่นมันคือคำสารภาพรักที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความหงุดหงิด เธอห่วงผมจนเสียอาการสินะ ช่วยไม่ได้แหละ และผมชอบที่ผมสามารถควบคุมความรู้สึกของเธอได้แม้ในยามคับขัน ผมรู้ว่าเธอจะไม่ทำร้ายผม! สัญชาตญาณอันยิ่งใหญ่ของผมบอกอย่างนั้น! ผมต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น ผมจะไม่มีวันยอมให้เธอต้องเผชิญหน้ากับอันตรายโดยไม่มีแสงสว่างของผมคุ้มครอง

avatar

Moneka M. Blossom

บ้าจริง! เขาเป็นคนที่บ่นและขี้อวดที่สุดในสามโลก ฉันรู้ว่าเลสเตอร์ไม่ชอบให้ฉันต่อสู้แบบประชิดตัว เขาพยายามปกป้องฉันตลอดเวลาเลยแฮะ ใครมันจะไปอ่อนแอขนาดนั้น ฉันไม่ใช่คนเดิมแล้วนะ




แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 50,357 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก รากพันธนาการ  โพสต์ 2025-10-25 14:41
โพสต์ 50,357 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก หนังสือนิยาย  โพสต์ 2025-10-25 14:41
โพสต์ 50,357 ไบต์และได้รับ +20 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2  โพสต์ 2025-10-25 14:41
โพสต์ 50,357 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก สัมผัสแห่งชีวิต  โพสต์ 2025-10-25 14:41
โพสต์ 50,357 ไบต์และได้รับ +18 EXP +20 เกียรติยศ จาก Icarus Mirror  โพสต์ 2025-10-25 14:41
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-10-25 16:50:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-10-26 18:23

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

Hushsong of the Gods

💟 หนีตามผู้ชายสไตล์ มนก บซ 💟
ตอนที่ 8 : ไม่ต้องมีกูเกิล
วันที่ 22 เดือน ตุลาคม ปี 2025
ช่วงบ่าย เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ชานเมืองคามาเทโร จนถึง เมืองธีบส์ กรีซ ยุโรป

รถโดยสารประจำทางสายระหว่างเมืองแล่นไปตามเส้นทางโค้งชันของถนนสายเล็ก ๆ ที่ทอดผ่านเขตชานเมืองคามาเทโรเข้าสู่เส้นทางของเมืองอาโน ลิโอเซีย เสียงเครื่องยนต์เก่าดังหึ่งสม่ำเสมอ ผสมกับเสียงล้อบดไปกับทางลาดหิน โมนีก้าพิงศีรษะกับกระจก มองวิวข้างทางอย่างเพลิดเพลินท้องฟ้าสีครามเข้มตัดกับภูเขาหินสีเทาไล่เรียงสุดลูกหูลูกตา ด้านข้างมีบ้านเรือนเตี้ย ๆ ที่ดูเหมือนจะร้างกว่าครึ่ง ถนนเต็มไปด้วยกราฟฟิตีและสายไฟระโยงระยาง


“นายดูเคร่งขรึมอีกแล้วนะ” เธอหันไปพูดอย่างขี้เล่น “อย่าบอกนะว่านายกำลังจะเทศน์เรื่องการนั่งรถเมล์ในประเทศที่อารยธรรมเก่าที่สุดของโลกต้องใช้สมาธิขั้นเทพอะไรแบบนั้นอีก”


เลสเตอร์ที่นั่งไขว่ห้างอยู่ข้าง ๆ หันมามองเธอด้วยสีหน้าเหนือกว่าเต็มขั้น “ถ้าคุณตั้งใจฟัง ผมจะให้บทวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์และสังคมที่หาไม่ได้จากอินเทอร์เน็ตนะครับ โปรดให้ความสนใจกับแหล่งความรู้ที่อยู่ตรงหน้าคุณด้วย” เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่เต็มไปด้วยความมั่นใจ “อาโน ลิโอเซีย ถือเป็นเขตอันตรายที่สุดแห่งหนึ่งของกรีซ มีอัตราอาชญากรรมสูงที่สุดในประเทศ ทั้งคดีปล้น ฆ่า และคดีลึกลับที่ตำรวจยังไม่กล้าแตะ คุณเชื่อไหมว่าที่นี่คนธรรมดายังไม่อยากลงจากรถเลยด้วยซ้ำ”


“โอเค…” โมนีก้าเลิกคิ้ว “ฟังดูเหมือนสารคดีมากกว่าทริปท่องเที่ยวนะ แล้วเราจะผ่านไปเฉย ๆ ใช่ไหม?”


“แน่นอนสิ” เลสเตอร์ตอบพลางเอนหลังด้วยท่าทีสง่างามราวกับเจ้าชายที่อธิบายโลกให้ขุนนางฟัง “เราจะไม่ลงที่นี่เด็ดขาด ไปที่เมืองฟิลีอยู่ไกลออกไปนิดแต่ใหญ่กว่าปลอดภัยกว่า และแน่นอน น่าจะโชว์เสน่ห์ของผมได้มากกว่าในที่รก ๆ แบบนี้ คนระดับผมควรได้รับการจัดวางในฉากหลังที่เหมาะสมกว่านี้” โมนีก้าหันไปมองเขาอย่างเอือมระอาแต่ก็อดยิ้มไม่ได้ “พูดเหมือนว่าที่ไหนนายก็สามารถเปล่งรัศมีออกมาได้ตลอดเวลาเลยเนอะ เจ้าคนจอมหลงตัวเอง”


“ก็แน่นอนสิ” เขาตอบทันควัน “ความสง่างามระดับนี้มันควบคุมไม่ได้หรอกนะ บางทีมันอาจจะทำให้โจรในเมืองนี้สำนึกบาปและเปลี่ยนไปเป็นคนที่อ่อนโยนขึ้นมาก็ได้ เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากผม” โมนีก้าหัวเราะเสียงดัง “ถ้าโจรเห็นนายแล้วสำนึกบาปจริง ๆ ฉันจะซื้อพวงมาลัยถวายเลย”


“ผมรับเป็นคำชม” เขายิ้มพลางเอนตัวมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง แสงแดดบ่ายสายสะท้อนเข้าดวงตาสีฟ้าของเขาจนดูคล้ายแสงของอาทิตย์จริง ๆ ไม่นานรถโดยสารก็แล่นเลยอาโนลิโอเซียไป ถนนเริ่มลาดขึ้นเรื่อย ๆ สู่วิวภูเขาเบื้องหน้า โมนีก้าพึมพำเบา ๆ “ไม่ว่าจะประเทศไหน มันก็ลำบากเหมือนกันเนอะ… คนที่ต้องอยู่กับความกลัวทุกวัน”


เลสเตอร์เหลือบตามองเธอ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งแต่ทิ้งท้ายอย่างมีชั้นเชิง “ฟังดูน่าเศร้ามากนะ แต่ในทุกความลำบากก็ยังมีคนอย่างผมอยู่ให้โลกดู อย่างน้อยการมีอยู่ของผมก็ทำให้ภาพรวมดูมีความหวังขึ้นมาหน่อย และทำให้โลกใบนี้สวยงามขึ้นอีกหลายเท่าตัว”


“โอ๊ย พอเลย...” เธอหัวเราะพลางยกมือปิดหน้า “ฉันลืมไปจริง ๆ ว่านายนี่มันหลงตัวเองขั้นเทพ”

“อย่างน้อยผมก็ทำในสิ่งที่ผมทำได้ดี และอีกอย่างเรื่องพวกนี้ความจริงทั้งนั้น” เขาตอบเรียบ ๆ แต่สายตาแฝงรอยยิ้มอย่างภูมิใจ


โมนีก้าส่ายหัวเบา ๆ ขณะมองวิวที่เริ่มเปลี่ยนจากเมืองคอนกรีตเป็นเนินเขาเขียวชอุ่ม เธอยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยใจแต่พอใจในเวลาเดียวกัน เพราะถึงเขาจะบ่น จะอวด จะหลงตัวเองแค่ไหน แต่ในความจริงใจของน้ำเสียงนั้นมันทำให้การเดินทางบนถนนสายนี้ไม่รู้สึกเหงาเลยสักนิด


รถโดยสารสายยาวค่อย ๆ เคลื่อนเข้าสู่เขตเมืองฟิลี เสียงล้อบดกับพื้นคอนกรีตดังเบา ๆ คล้ายเสียงลมหายใจของเมืองเก่าแก่ที่ยังไม่ยอมหลับใหล โมนีก้าก้มมองแทบเล็ตดูแผนที่อยู่สักพักก่อนเงยหน้ามองวิวตรงหน้า อาคารเก่าผสมกับสิ่งก่อสร้างใหม่เรียงราย แสงแดดยามบ่ายสะท้อนกระเบื้องหลังคาสีแดงเป็นประกายอุ่น “ที่นี่ดู...เงียบกว่าที่คิดนะ” เธอพูดพลางยืดแขนขึ้นเหนือหัว


“แน่นอนสิ” เสียงเลสเตอร์ดังขึ้นพร้อมท่าทีภูมิใจสุดขีด เขาเริ่มบรรยายราวกับไกด์ท้องถิ่นระดับเทพ “เมืองฟิลีแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี เป็นที่ตั้งของป้อมปราการโบราณชื่อ Phyle หรือที่ออกเสียงว่า ฟีลี ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในสงครามเพโลพอนเนเซียน สถานที่นี้แหละที่กลุ่มผู้ถูกเนรเทศจากเอเธนส์ นำโดย Thrasybulus ใช้เป็นฐานในการยึดอำนาจกลับคืนในปี 404 ปีก่อนคริสตกาลมันเป็นบทเรียนที่สมบูรณ์แบบของการพิชิตของประวัติศาสตร์” เขาพูดไปพลางเชิดหน้าไปข้างหน้าเหมือนอาจารย์มหาวิทยาลัยที่พกประกายออร่าตัวเองติดอยู่ทุกอณู


“และคุณรู้ไหม ที่นี่เคยเป็นหมู่บ้านของชาว Arvanite ด้วย กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้ามาจากอัลบาเนีย แต่ตั้งรกรากอยู่ในกรีซตั้งแต่ยุคกลาง พวกเขามีภาษาของตนเอง มีวัฒนธรรมที่ผสมทั้งกรีกและอัลบาเนียช่างเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการผสมผสานอารยธรรม มันทำให้ผมรู้สึกว่าความหลากหลายทางปัญญาของผมไม่ได้โดดเดี่ยวเกินไปนัก”


โมนีก้าหันไปมองเขาพร้อมยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “นาย...ท่องจากวิกิพีเดียมาหรือเปล่า?”


เลสเตอร์ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเชิดหน้า “แน่นอนว่าไม่ใช่สิ ความรู้ระดับนี้มันฝังอยู่ในจิตวิญญาณของผมอยู่แล้ว มันคือสิ่งที่มาพร้อมกับความฉลาดระดับผม วิชาประวัติศาสตร์ของผมคงได้เต็มทุกครั้งแน่ ถ้ามีใครกล้าสอบผมจริง ๆ”


“อืมม์…” เธอครางในลำคอพลางพ่นลมหายใจ “ฉันไม่แปลกใจเลยว่านายคงตั้งใจสอบประวัติศาสตร์แค่เพราะอยากพูดเรื่องตัวเองได้เยอะขึ้น”


“ผิดถนัด!” เขาเถียงทันควัน สีหน้าจริงจังราวกับประกาศสงคราม “ผมแค่มีความรับผิดชอบทางปัญญาที่สูงส่งกว่าคนทั่วไปต่างหาก การรู้ว่าผมยืนอยู่บนแผ่นดินที่เคยเป็นของวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่มันทำให้ผมรู้สึก… เชื่อมโยง เหมือนผมเป็นเทพอะพอลโล่ที่กำลังสะท้อนกลับมาที่ผมยังไงยังงั้น” โมนีก้าเบือนหน้าหนีทั้งขำทั้งเหนื่อยใจ “โอ๊ย นายกับแสงอะไรนั่นอีกแล้วพูดเหมือนตัวเองคือเทพเจ้าเลยนะ”


“ก็ไม่แน่หรอก” เขาตอบเรียบแต่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “บางทีผมอาจจะมีแสงในตัวมากกว่าที่คุณคิด แสงที่ส่องสว่างพอจะทำให้คุณมองเห็นทางเดินที่มืดมิด”


“นายมีแต่แสงจากความหลงตัวเองต่างหาก” เธอตอบสวนเสียงเรียบ แล้วเดินนำไปข้างหน้าลงจากรถประจำทางโดยไม่หันกลับมามอง


เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ กับคำเหน็บนั้นก่อนเดินตามเธอไป “อย่างน้อยแสงแบบผมก็ทำให้คู่หูที่สวยที่สุดของผมคนนี้ไม่ต้องเปิดไฟฉายตอนเดินข้างทางไม่ใช่หรอ?” โมนีก้าหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “นายมีแต่แสงจากความหลงตัวเองต่างหาก” 


“บ้าอย่างมีศิลปะต่างหากโมนีก้า และผมจะทำให้คุณรู้สึกอบอุ่นได้เสมอ แม้ภายใต้แดดร้อน ๆ ของกรีซนี้ก็ตาม” เขาตอบอย่างมั่นใจ พลางชำเลืองมองเธอด้วยสายตาพราวระยับ แสงแดดยามบ่ายปลายวันทอดผ่านเส้นผมสีน้ำตาลเข้มของโมนีก้าเป็นประกายทอง เธอกำลังมองทางข้างหน้าที่นำไปยังวิหารบนเนินเขา ส่วนเลสเตอร์ก็กำลังมองเธอ อย่างคนที่รู้ดีว่าในประวัติศาสตร์ของเขา บางทีวันนี้... อาจจะเป็นวันที่สำคัญที่สุดอีกวันหนึ่งก็ได้


อากาศเหนือท่ารถในฟีลีเริ่มร้อนอบอ้าว แสงแดดสะท้อนบนพื้นซีเมนต์จนเกิดเงาไหวระยิบระยับ โมนีก้ากำลังถือขวดน้ำเย็นแนบแก้มอย่างหมดแรง ขณะที่เลสเตอร์ยืนกอดอกข้างเธอ มองป้ายรอรถด้วยสีหน้าเหนือกว่าคนทั้งจักรวาล “อีกสิบนาที รถจะมา” เขาพูดด้วยเสียงเบื่อหน่าย “นับว่าเป็นการรอที่ไม่สมศักดิ์ศรีของอัจฉริยะเช่นผมเลยนะ”


“จะนั่งรอเฉย ๆ ไม่ตายหรอก” โมนีก้าพูดขำ ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองฟ้า “แดดแรงแบบนี้น่าจะละลายอัตตานายได้บ้างนะ”


“อัตตาของผมไม่ละลายง่าย ๆ หรอกครับ มันเป็นแก่นแท้แห่งความสมบูรณ์แบบ อีกอย่างที่ผมพูดไปนั้นความจริงทั้งนั้น” เขาตอบอย่างมั่นใจ ทันใดนั้นเอง เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินก็ดังขึ้นอย่างไม่ปกติ จังหวะก้าวเร็วและหนักเหมือนมีแรงกระตุ้นจากบางสิ่ง หญิงสาวคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่ปลายถนน สวมผ้าคลุมยาวสีดำสนิทปักลายจันทร์เสี้ยวสีเงิน ดวงตาของเธอวาวโรจน์ในเงา แววตานั้นไม่ใช่ของมนุษย์และสีผิวก็เหมือนกัน เลสเตอร์ชะงักทันที สายตาเขาเย็นลงในเสี้ยววินาที “อย่าขยับ” เขากระซิบ “นั่นไม่ใช่คน”


โมนีก้าหันมองและเห็นสตรีตัวเขียวผู้นั้นยิ้ม รอยยิ้มที่ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย มันคือรอยยิ้มของผู้ล่าที่พบเหยื่อในตำนาน “โอ้ ที่แท้ก็คือเจ้าชายตกสวรรค์ของเฮลิออสสินะ” เสียงของนางก้องราวสายลมในอุโมงค์ “เธอคงไม่รู้ตัวหรอก ว่ามีกลิ่นของเทพติดตัวแรงขนาดไหน...”


“แม่มดดำ” เลสเตอร์พูดเสียงต่ำ ดวงตาสีฟ้าเข้มขึ้น เขาเหลือบมองโมนีก้าเล็กน้อย “เธอกระหายพลังของผม ไม่ใช่ของคุณ”


“อื้อหือ ฟังดูหลงตัวเองอีกแล้ว” โมนีก้าแสยะยิ้มประชดแต่ความจริงเธอไม่รู้เลยว่ามันคือความจริงที่ว่าพวกมันคงสนใจเลสเตอร์จนตัวสั่น แต่มือเธอก็แตะข้อมือซ้ายทันที “แต่เอาเถอะ คราวนี้ฉันจะช่วยนายล้างแค้นให้เส้นผมงาม ๆ ของตัวเอง”


“ดีมากที่คุณเข้าใจว่าผมงามจริง ๆ”ขาว่าพลางพยักหน้าให้เธอเบา ๆ แล้วก้าวถอยหลัง ทั้งคู่ถอยไปยังมุมอับสายตาในตรอกแคบข้างท่ารถ เมื่อหญิงชุดดำก้าวตามเข้ามาเงาใต้เท้าของเธอก็ขยายออกเหมือนหมึกดำไหลบนพื้น รูปจันทร์เสี้ยวผุดขึ้นจากเงานั้น และในมือของนางมีคทาไม้กาฬซึ่งเปล่งแสงม่วงเข้มสั่นระรัว


“เจ้าพระอาทิตย์น้อย” แม่มดพูดเสียงเยือก “มอบประกายแสงของเจ้าให้ข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตหญิงข้างตัวเจ้า” เลสเตอร์หัวเราะในลำคอ “คำขอที่น่ารังเกียจที่สุดที่ผมเคยได้ยินเลยล่ะขอโทษนะที่ผมเกิดมาหล่อและเปล่งประกายจนคุณอยากฆ่าเพื่อครอบครองแสงของผม แต่คุณไม่ใช่คนแรกหรอก”


“เลสเตอร์!” โมนีก้าตะโกน พลางชักดาบสุริยคติออกจากข้อมือทันที แสงสีทองพุ่งออกมาไล่เงามืดรอบตัว แม่มดพุ่งเข้าหาทั้งคู่ เลสเตอร์ควักธนูออกมาจากกระเป๋าหลัง ปลายศรเปล่งประกายสว่างราวแสงสุริยันแล้วปล่อยศรพุ่งทะลุกลางร่างของแม่มดอย่างแม่นยำ โมนีก้ากระโดดเข้าซ้ำ ดาบของเธอฟันเฉียงตัดผ่านร่างนั้นในวินาทีเดียว เสียงเหมือนกระจกแตกดังสะท้อน ก่อนร่างของแม่มดจะแตกสลายกลายเป็นละอองสีทองปลิวกระจายล่องลอยกลางอากาศ


ลมหายใจของทั้งคู่กระชั้นขึ้น โมนีก้ายกมือเช็ดเหงื่อจากหน้าผาก ส่วนเลสเตอร์เก็บธนูด้วยท่าทีเยือกเย็นราวกับเพิ่งจบงานศิลปะ ไม่ใช่การต่อสู้ “ไปกันเถอะ” เขาพูดพลางคว้ามือเธอแน่น “พวกนี้ไม่ได้มาคนเดียวแน่ การปรากฏตัวของผมมันยั่วยวนเกินไป อย่าเสียเวลาเลย”


“อืม…” เธอพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะเหลือบมองมือที่ถูกเขากุมไว้แน่น รู้สึกได้ถึงไออุ่นที่แผ่ผ่านมามากเกินกว่าจะเป็นแค่ความบังเอิญ ทั้งสองรีบวิ่งกลับมายังท่ารถ ก่อนจะขึ้นรถประจำทางคันถัดไป เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นช้า ๆ รถเคลื่อนออกจากเมืองฟีลีมุ่งหน้าสู่เมืองธีบส์ ขณะที่ลมจากหน้าต่างพัดแรงจนเส้นผมของโมนีก้าไหวสะบัด และเลสเตอร์ยังคงไม่ยอมปล่อยมือเธอเลยแม้แต่วินาทีเดียว

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

ให้ตายเถอะ! พวกมันมาเร็วเกินไปแล้ว พลังงานด้านลบที่น่ารังเกียจพวกนี้ไม่ควรจะตรวจจับความสว่างไสวระดับผม'ได้เร็วขนาดนี้! (แต่ก็ช่วยมันได้คนมันเจิดจรัส) นี่แสดงว่ามีใครบางคนกำลังวางแผนที่น่าเบื่ออยู่เบื้องหลังแน่ ๆ 

แม่มดดำ... เธอกล้าดียังไงมาเรียกร้องเอาแสงอันยิ่งใหญ่ของผม ผมทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดด้วยการตอบโต้ด้วยการแสดงความเหนือกว่าที่สมบูรณ์แบบที่สุด ลูกธนูของผมไม่เคยพลาดงานศิลปะของผมคือความแม่นยำ


แต่... โมนีก้า... เธอเกือบจะถูกเงาของแม่มดนั่นจับตัวได้ ความประมาทที่น่ารักของเธอทำให้ผมต้องเสียจังหวะ วินาทีที่แม่มดนั่นพูดว่าจะไว้ชีวิตหญิงข้างตัวเจ้าหัวใจของผม... มันสะดุดราวกับเครื่องดนตรีชั้นเลิศที่ถูกดีดผิดคีย์ ผมทำได้เพียงหัวเราะใส่เธอเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกอ่อนแอที่พุ่งพล่าน


ผมต้องคว้ามือโมนก้าไว้ มันเป็นปฏิกิริยาที่ไร้การควบคุมและไม่สมกับความสง่างามของผมเลยแม้แต่น้อย ผมไม่ควรแสดงความห่วงใยออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แต่... ผมทำไม่ได้ที่จะปล่อยมือเธอ มือเธอ... มันเล็กและอุ่นกว่าที่คิดและมันอยู่ภายใต้การคุ้มครองของผม 


ผมรู้สึกดีที่ได้ถือมันไว้มันทำให้ผมรู้สึกว่าการเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้มีไว้เพื่ออวดอ้างตัวเองเท่านั้น แต่ยังมีไว้เพื่อ ปกป้องสิ่งที่มีค่าที่ผมพบเจอในร่างอวตารที่แสนน่าเบื่อนี้

avatar

Moneka M. Blossom

โอ๊ย! เกือบไปแล้ว! แม่มดตัวเขียวนั่นน่ากลัวกว่าที่คิด! แต่เลสเตอร์... 

หากมีค่า LUK เกิน 100 หน่วย จะอิงจากเลขไบต์ 0 = 10 ชิ้น

ได้รับ น้ำยาเวทมนตร์ 10 ขวด

+2 ตื่นรู้ จากการกำจัด แม่มดดำ ครั้งแรก




แสดงความคิดเห็น

God
คนตะโกน รถสิบล้อชนแล้วหนี ชนแล้วหนี คุณกับเลสเตอร์รีบช่วยหยุดวัวโคลคีสคลั่ง ชื่อดันเจี้ยน [วัวโคลคีส]  โพสต์ 2025-10-25 18:08
God
ทางผ่านรถประจำการแล่นออกมาไม่ไกล 5 กม. รถเมล์ประจำการก็ซนกับรถเมล์อีกคันเกิดอุบัติเหตุกลางท้องถนน แต่เมื่อคุณกับเลสเตอร์ลงมากลับพบว่ามันคือ วัวโคลคีส ก่อนวัวโคลคีสมองพวกคุณ และวิ่งแล่นไปยังฝูงชน  โพสต์ 2025-10-25 18:06
God
ดูในระบบว่าได้สินสงครามอะไรเพื่อ x2  โพสต์ 2025-10-25 17:47
โพสต์ 41280 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-25 16:50
โพสต์ 41,280 ไบต์และได้รับ +15 EXP +15 เกียรติยศ +20 ความศรัทธา จาก น้ำหอมเฮคาที  โพสต์ 2025-10-25 16:50

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้