BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 3 : วันนี้มันวันวินาศสันตะโรอะไรวะเนี้ย
วันที่ 18 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงบ่าย เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ณ ท่าอากาศยานนานาชาติแวนคูเวอร์
เมืองริชมอนด์ บนเกาะซีไอแลนด์ รัฐบริติชโคลัสเบีย แคนาดา
อาคารผู้โดยสารหลักของสนามบินสว่างวาบด้วยแถบไฟสีขาวน้ำนมบนเพดานสูง เส้นเหล็กไขว้กันเป็นโครงเหมือนซี่ธนูยักษ์ เสียงล้อกระเป๋ากระทบพื้นกระเบื้องดังลากยาวเป็นจังหวะ โมนีก้าชะลอฝีเท้า หรี่ตาให้กับแสงที่สะท้อนจากป้ายดิจิทัลเหนือแถวเช็กอิน ผู้คนขวักไขว่ทั้งในชุดท่องเที่ยวและชุดทำงาน ไม่ได้น่ากลัวอะไรแต่ความรู้สึกบางอย่างใต้ผิวกลับคันยิบ ๆ เหมือนมีใครแอบมองอยู่เสมอ
เลสเตอร์เดินเคียงข้างโมนีก้าไปอย่างเป็นธรรมชาติ มือซ้ายล้วงกระเป๋า มือขวาถือกระเป๋านุ่ม ๆ ใบเล็กที่โมนีก้ามีมาเป็นพร๊อบเหมือนนักเดินทางทั่วไป ทว่าการก้าวเท้าของเขานิ่งอย่างประหลาด ไม่มีจังหวะสะดุดสักก้าว ดวงตาสีฟ้ากวาดตรวจจุดสะท้อนเงาตามกระจกและหลังคาเหมือนวัดสายลมก่อนยิงลูกศร เขาเอียงหน้าเล็กน้อยแล้วโน้มตัวพูดใกล้หูพอให้ได้ยินในความพลุกพล่าน “อย่ามองซ้ายสามวินาทีนะ ตรงร้านกาแฟมีใครบางคนสนใจเราเกินพอดี”
“โอเค จะไม่มอง” โมนีก้าก้มลง แตะริมแหวนที่นิ้วกลางข้างซ้ายเบา ๆ เหมือนเช็กว่าอาวุธยังพร้อมอยู่หรือเปล่า ดวงตาเทาเงินกวาดไปที่ป้ายแผนผังจงใจทำทีเหมือนนักท่องเที่ยวหาทาง เธอชี้หน้าจอสัมผัส “แล้วเราจะไปหาเครื่องบินของเพื่อนนายจากไหนกันแน่”
“เที่ยวบินภูมิภาค ส่วนใหญ่ไม่ขึ้นจากอาคารนี้” เลสเตอร์ลากนิ้วบนผังแล้วแตะจุดวงกลมสีอำพัน “อาคารผู้โดยสารใต้ South Terminal เครื่องเล็กจอดฝั่งนั้น พวกขนส่งคาร์โก้กับเช่าเหมาลำใช้กัน เราจะไปที่ชานชาลารถรับส่งแล้วออกทางประตูตะวันตกเฉียงใต้”
เมื่อเขาบอกแบบนั้นโมนีก้าก็เธอก็พยักหน้ารับง่าย ๆ แล้วกระซิบแบบคนง่วงสะสม “แล้วเราไปพักได้หรือยังอ่ะ…แค่นอนสักสิบนาทีบนเก้าอี้ก็ยังดี”
เลสเตอร์เหลือบมองใต้ตาคล้ำของเธอ แววตาเขาอ่อนลงนิดเดียวก่อนจะกลับมาวาวแบบอวดดีตามบุคลิก “อดทนอีกหน่อย เด็กใหม่ เราจะมีเวลาพักบนเครื่องบินยาวพอที่คุณจะฝันถึงอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คำพยากรณ์ แต่ตอนนี้ขอให้ระวังตัวไว้ก่อน สนามบินคือที่รวมกลิ่นทุกแบบ ถ้าอสุรกายได้กลิ่นพวกเรา มันจะเลือกมุดโผล่จากที่ที่เราคิดว่าปลอดภัยที่สุดเสมอ”
“อืม…โอเค ๆ เข้าใจแล้วก็ได้” เธอตอบพลางกลืนน้ำลาย รู้สึกได้ว่าความคันยิบ ๆ ใต้ผิวนั้นจริงจังขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล เธอเดินชิดไหล่เขามากกว่าปกติเล็กน้อยเพราะอีกคนบอกให้ระวังตัว และโมนีก้าเองก็ไม่อยากจะเจอเรื่องอีก ทั้งสองแสร้งเป็นนักเดินทางทั่วไป เดินไปตามลูกศรทางออก ลัดผ่านกลุ่มผู้โดยสารที่ยืนต่อแถวเช็กอิน เลสเตอร์ใช้จังหวะที่ผู้คนแออัดบังตัว ดึงฮู้ดเสื้อขึ้นครึ่งหัวให้กล้องรับภาพได้ยากขึ้น ขณะเดียวกันการก้าวเท้าและการหายใจของเขากลับนิ่งจนน่าประหลาด นิ่งแบบนักดนตรีที่นับจังหวะในใจไม่เคยหลุดสักบีต
หน้าจอผังสนามบินบอกทิศไปยังรถรับส่งอาคารใต้ เขาจิ้มหน้าจอเหมือนนักท่องเที่ยวงงทางอีกครั้ง แล้วเหลือบมองเงากระจกที่เสาซึ่งสะท้อนภาพด้านหลัง ชายสวมแจ็กเก็ตสีเทาเข้มคนหนึ่งหันหน้าหนีเร็วเกินไปเมื่อสายตาของเลสเตอร์เลื่อนผ่าน “ยังตามอยู่หนึ่ง” เขาพึมพำเบาพอให้ลมหายใจกลืนคำ โมนีก้าพยักหน้าช้า ๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
เมื่อถึงโถงกว้างก่อนทางออกสู่ชานชาลารถรับส่ง ลมเย็นจากประตูอัตโนมัติพัดปะทะหน้าอย่างสุภาพ เลสเตอร์ชะงักเสี้ยววินาทีแต่มากพอให้เปลี่ยนแผนเนียน ๆ “เปลี่ยนทาง เลี้ยวซ้ายเข้าทางบันไดหนีไฟ ชั้นล่างมีทางเดินเชื่อมฝั่งขนส่ง เราจะข้ามไปขึ้นชัทเทิลอีกจุดหนึ่ง ให้คนด้านหลังหลงรอยไปกับกลุ่มผู้โดยสารหลัก”
“รับทราบจ้า” โมนีก้าทำตาโตเล็กน้อยแต่ไม่มีคำถาม เธอยกชายโค้ท นับก้าวตามเขาในบันไดคอนกรีตสีเทา เสียงฝีเท้าทั้งคู่สั้นและเบาเหมือนกลองมือในห้องซ้อมดนตรี เมื่อลงมาถึงชั้นล่างเป็นโถงทางเดินยาวที่เงียบกว่ามาก กล้องโดมจับภาพเล็กน้อยแต่ไม่มีคนพลุกพล่าน เลสเตอร์ชี้ป้ายเล็กสีเขียว “South Terminal Shuttle ตรงไปอีก 50 เมตร” แล้วก็เหลือบตามองเธอ “ยังไหวไหม?”
“ไม่เลย…ถ้าอีกห้านาทีไม่ให้ฉันกินอะไร ฉันจะงอแงระดับเทพีเก็บเกี่ยวบุกฤดูหนาว” เธอทำปากยื่นแต่ตาเป็นประกายขำเพราะความเครียดเล็กน้อยที่เกิดขึ้น
“ขู่ผิดคนแล้ว แต่ก็ได้ผลอยู่” เขาตอบขำ ๆ ก่อนจะหยุดหน้าตู้ขายของอัตโนมัติ ควักเหรียญหย่อน กดช็อกโกแลตรสนมหนึ่งแท่งกับน้ำดื่มขวดเล็ก ยัดใส่มือของโมนีก้า “กินนี่ก่อน เดี๋ยวบนเครื่องจะไม่มีอะไรให้กิน”
“ขอบใจ” โมนีก้าแกะช็อกโกแลต กัดคำเล็ก ๆ แล้วหลับตาเหมือนโลกนุ่มขึ้นทันที “โอ้โห…นี่แหละความสุขของการที่ควรมีกลางคืน เพราะมันกินหวานแล้วไม่ละลายเป็นแสงอาทิตย์”
“คำพูดใช้ได้” เลสเตอร์แกล้งยืดอกอย่างภูมิใจราวกับเป็นคนสอนเธอเองให้พูดอะไรแบบนี้ เขาเดินนำต่อจนถึงป้ายชัทเทิลเล็ก ๆ ที่มีผู้โดยสารสองสามคนยืนรออยู่ ลมจากช่องลมพัดเอื่อย ๆ พาเอากลิ่นน้ำมันเครื่องจาง ๆ มาด้วย ก่อนเขาเหลือบสำรวจรอบสุดท้าย ตอนนี้ไม่มีคนสวมแจ็กเก็ตสีเทาตามมาถึงจุดนี้ แรงตึงในไหล่เขาคลายลงหนึ่งส่วน “ปลอดภัย เราไปต่อได้” ไม่นานรถชัทเทิลขนาดเล็กก็เทียบจอด ทั้งสองขึ้นไปนั่งแถวกลาง เลสเตอร์นั่งชิดทางเดินปล่อยให้โมนีก้านั่งริมหน้าต่างให้ได้พิงบานกระจกเย็น ๆ เธอดึงฮู้ดขึ้นปรับที่นั่งแล้วหันมากระซิบ “ถึงอาคารใต้แล้วค่อยพักได้ใช่ไหม”
“ใช่ แต่พักแบบลืมตานะ” เขาชี้ไปที่ป้าย South Terminal ที่ติดอยู่หลังเบาะคนขับ “พอถึงแล้วเราจะตรงเข้าล็อบบี้ง่าย ๆ ฉันมีคนรู้จักรออยู่ที่เคาน์เตอร์เช่าเหมาลำ ถ้าเขายิ้มเมื่อเห็นผม แปลว่าเรายังมีเพื่อนบนโลกนี้อีกหนึ่งคน” ไม่นานรถชัทเทิลก็เคลื่อนออกจากอาคารหลัก ภาพรันเวย์กับปีกเครื่องบินเรียงรายกว้างไกลสะท้อนแดดสายจาง ๆ เข้ามา โมนีก้าพิงหน้าต่างหลุบตาลง ริมฝีปากยังอมรสช็อกโกแลตจาง ๆ ในขณะที่เสียงของเลสเตอร์ข้างหูแผ่วลงเป็นจังหวะที่ทำให้ใจสงบ “จำไว้นะ ถ้ามีอะไรผิดปกติกดนิ้วแตะแหวนหนึ่งครั้ง ผมหันมาเสมอ”
โมนีก้าเธอยิ้มมุมปากตอนได้ยิน “อืม…อย่าลืมสัญญาเรื่องนอนบนเครื่องด้วยล่ะ”
“ผมจำทุกสัญญา โดยเฉพาะกับคนที่ทำเสื้อผมเปียก” เขาตอบหน้าตาเฉยแต่หางเสียงหัวเราะชัดเจน แม้ว่าโมนีก้าจะหันมามองค้อนเขาเล็กน้อยก็ตาม ไม่นานรถก็เลี้ยวเข้าสู่เขตอาคารผู้โดยสารใต้ เสากระจกเตี้ย ๆ รองรับหลังคาเรียบง่ายกว่าอาคารหลัก ผู้โดยสารน้อยกว่ามาก เงียบและคล่องตัวกว่าหลายเท่า เลสเตอร์ลุกก่อนเมื่อรถจอดสนิท ส่งสัญญาณมือสั้น ๆ ให้เธอตาม จากนั้นทั้งคู่ก้าวลงไปสู่ล็อบบี้เล็กที่มีกลิ่นน้ำมันเครื่องเจือกาแฟอุ่นรอคอย
ภายในอาคารผู้โดยสารใต้ เสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่งคลอไปกับเสียงประกาศเที่ยวบิน แต่บรรยากาศกลับแน่นตึงจนผิดสังเกต เจ้าหน้าที่สนามบินในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มหลายสิบคนยืนเรียงเป็นแนวตามทางเดิน ร่างสูงบางคนยืนขวางประตูเข้าออกอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เลสเตอร์ชะงักทันทีที่ก้าวเข้าสู่เขตเชื่อมต่อ สัญชาตญาณนักล่าในตัวเทพดวงอาทิตย์บอกชัดว่าผิดปกติ ดวงตาสีฟ้าของเขาหรี่ลง กวาดมองป้ายบัตรประจำตัวที่ติดเสื้อแต่ไม่เห็นเงาโลโก้สนามบินแม้แต่คนเดียว
“โมนีก้าหยุด” เขาพึมพำเสียงต่ำพอให้โมนีก้าได้ยิน ข้อมือขวาขยับดึงคันธนูสั้นจากสายสะพายหลังในจังหวะเดียวกับที่สายตาเหลือบจับเงาเหนือศีรษะ “พวกนั้น…ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ ระวังตัวและอยู่ด้านหลังผมไว้” โมนีก้าหันไปมองทันทีที่ได้ยิน เส้นผมสีม่วงครามสะบัดตามแรงหมุน เธอเห็นชายในเครื่องแบบสามคนเดินตีวงล้อมเข้ามาเป็นจังหวะก้าวเป๊ะเกินกว่าจะเป็นพนักงานสนามบิน “ทหาร?” เธอถามเบา ๆ มือขยับเข้าใกล้แหวนที่นิ้วกลาง
เลสเตอร์ยิ้มมุมปากที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้ “ไม่เชิง…น่าจะพวกเอนฟอร์เซอร์ของ LoNex ที่ผมหนีมา มันคงได้เบาะแสแล้วว่าผมอยู่ที่นี่” ดวงตาเทาเงินของโมนีก้าหรี่ลง เธอยกมือแตะวงแหวนจนประกายแสงจุดเล็กส่องวาบ กราดิอุสสั้นปรากฏขึ้นในมือทันที “ถ้าพวกนี้เป็นคนธรรมดา ฉันช่วยได้…แค่ทำให้สลบพอใช่ไหม”
เลสเตอร์เหลือบตามุมปากยกขึ้นแม้จะตึงเครียดเพราะเขาบอกให้เธอหลบหลังแต่โมนีก้ากลับเป็นคนบอกเองว่าจัดการได้อย่างงั้นหรอ? “ใช่ แค่สลบก็พอ เราไม่ต้องฆ่าชีวิตใคร” โมนีก้าขยับไหล่ให้เสื้อโค้ทคลายลงเล็กน้อย เธอกระซิบพลางก้าวเข้ามาชิดหลังเขา “ตอนเดินทางมาที่ค่ายจูปิเตอร์ฉันก็โดนทหารรับจ้างเล่นงานตั้ง 12 คน ไหนจะก๊อบลิน 32 ตัวตั้งสองกลุ่ม แถมมิโนทอร์อีกหนึ่ง ทั้งหมดในวันเดียวเพราะงั้นนายไม่ต้องเป็นห่วงโอเคปะ”
เลสเตอร์เหลือบตามาทางไหล่ตอนที่โมนีก้าเล่าให้เขาฟัง พลางคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ทั้งที่ดึงสายธนูเตรียมยิง “เนื้อหอมไม่เบาเลยนะคุณสาวน้อย พวกสัตว์ประหลาดชอบของดีสินะ”
“ฮึ!” โมนีก้าหลุดหัวเราะสั้น ๆ ทั้งที่ยกดาบสั้นขึ้นตั้งการ์ดเล็กน้อย “พูดมาก ระวังจะได้เห็นของดีจริง ๆ ตรงหน้า” เลสเตอร์ยักคิ้วให้เป็นคำท้าทายส่งตรงถึงโมนีก้า “ผมรอชมอยู่แล้ว” เขากระชับคันธนูในมือ ลมหายใจนิ่งสนิท แผ่นหลังแกร่งกำบังเด็กสาวไว้ขณะเหล่าเอนฟอร์เซอร์เริ่มเคลื่อนเข้ามาในรัศมีการยิง
เสี้ยววินาทีถัดไป เสียงสายธนูดึงตึงก็กลบเสียงประกาศเที่ยวบินจนหมดสิ้น!!!
เสียงปืนเก็บเสียงดัง ฟึ่บ! แทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงล้อกระเป๋ากระทบพื้น พนักงานสนามบินตัวปลอมหลายคนล้วงอาวุธรูปร่างประหลาดออกมาจากเสื้อคลุม บางกระบอกมีลำแสงสีแดงวิ่งตามขอบรางเหมือนปืนเลเซอร์ โมนีก้าชะงักกึก ตาเบิกโพลงตอนเธอเห็นอะไรแบบนั้น นี้มันอะไรกันวะเนี้ย?! “นี่มัน…หนังไซไฟรึไงวะเนี่ย!” เธอบ่นลอดไรฟันพลางยกกราดิอุสขึ้นตั้งการ์ด “จะให้ฉันไปสู้ไอ้ของเล่นไฮเทคพวกนี้ยังไง!”
เลสเตอร์เหลือบตามองเธอเพียงเสี้ยววินาที ดวงตาสีฟ้าวาววับด้วยความคมกริบแบบเทพนักยิง “ก็ทำเหมือนที่คุณเคยทำ แค่ต้องทำเร็วกว่าเดิม!” เขายกคันธนูขึ้น ดึงสายจนตึงสุด เสียงสายดีดดัง ปัง ลูกธนูพุ่งฉับตัดอากาศไปกระแทกปากกระบอกปืนของศัตรูสองคนแรกจนกระเด็นหลุดตามแรงระเบิดแม่เหล็ก เสียงประกาศเที่ยวบินถูกกลบด้วยเสียงธนูฉีกลม เลสเตอร์หมุนมืออีกครั้ง ยิงซ้ำอย่างแม่นราวกับกำหนดเส้นทางลูกธนูได้เอง อาวุธเลเซอร์ของอีกสามคนแตกเป็นเศษไฟก่อนจะได้ยิง โมนีก้าอ้าปากค้างไปชั่ววูบ เก่งเกินไปแล้วคุณพี่!
“ยืนตะลึงอยู่ทำไม ไปสิ!” เสียงเลสเตอร์ดังลอดควันไฟ เขายิงลูกต่อไปโดยไม่ต้องเล็ง “ประชิดเข้าไป!”
“เออ! ก็ได้!” โมนีก้ากัดฟันพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างคล่องแคล่ว เธออาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเสียขบวนจากการถูกเลสเตอร์ยิงกดไว้ พุ่งไปด้านหลังชายในเครื่องแบบแล้วใช้สันมีดสั้นกระแทกเข้ากลางต้นคอ เสียง กึก! ดังสะท้อน ร่างนั้นทรุดลงกับพื้นหมดสติทันที อีกสองคนหันมาพร้อมปืนพก เธอสไลด์ต่ำหลบกระสุนที่เฉียดผ่านผมสีม่วงคราม เงยหน้าขึ้นอีกครั้งก่อนหมุนตัวเอาสันดาบฟาดซ้ำไปที่ข้อมือจนปืนหลุด “ขอโทษนะ แค่สลบพอ!”
เลสเตอร์เคลื่อนไหวไม่หยุด ลูกธนูสีเงินพุ่งออกจากคันธนูเป็นสายเหมือนฝนดาวตก ตัดสายปืน เก็บพลังงานเลเซอร์ก่อนมันจะระเบิด ทุกครั้งที่เขาปล่อยสายธนูเสียง ฟึ่บ! ดังสั้น ๆ แต่แม่นยำจนดูเหมือนภาพสโลว์โมชั่น
โมนีก้าหอบแรงแต่ยังยืนได้ เธอสบตากับเลสเตอร์กลางหมอกควัน “พวกมันยังมาไม่หยุดเลย!”
เลสเตอร์ยิ้มมุมปากแบบเทพผู้เคยอวดดี “งั้นก็ซ้อมยิงเป้าไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมด!” เขาดึงสายธนูอีกครั้ง ลำแสงสีเงินพุ่งฉับ ทำลายปืนเลเซอร์อีกกระบอกที่เพิ่งชูขึ้นเหนือศีรษะของศัตรู “นายมันบ้าไปแล้ว!” โมนีก้าร้องลั่นเพราะเขาทำเหมือนเป็นเรื่องเล่น ๆ หรือไงกันเนี้ย แต่ก็ใช้จังหวะนั้นพุ่งเข้าประชิดคนข้างหลังอีกคน กระแทกสันมีดสั้นใส่ต้นคอให้ร่างนั้นทรุดลงตามแรงกระแทก
เสียงฝีเท้าของเอนฟอร์เซอร์ยังดังเข้ามาเป็นระลอก แต่มุมปากของเลสเตอร์กลับยกขึ้นเล็กน้อย แววตาสีฟ้าฉายประกายดื้อรั้น เข้ามาเลยถ้าคิดว่าจะหยุดลูกธนูของเทพพระอาทิตย์ได้
เสียงปะทะยังดังสะท้อนก้องไปทั่วโถงเชื่อมของอาคารใต้ พื้นกระเบื้องเต็มไปด้วยร่างของคนชุดเครื่องแบบปลอมที่นอนกองสลบเป็นหย่อม ๆ โมนีก้าหอบถี่แต่ยังไม่ปล่อยกราดิอุสจากมือ เธอสไลด์ตัวต่ำหลบเงาแขนของชายอีกคนก่อนจะใช้สันมีดกระแทกเข้าที่ต้นคอ กึก! ร่างนั้นทรุดลงไปกองกับพื้นโดยไม่ทันร้องสักคำ ส่วนเลสเตอร์ก็เคลื่อนตัวเร็วราวกับคำนวณทิศลมได้ เขายิงธนูอีกดอกทำลายปืนเลเซอร์ในมือศัตรูที่กำลังยกขึ้น แล้วพุ่งตามเข้าไปใช้สันคันธนูฟาดเข้าที่กรามอีกคนจนร่วงไปกับพื้น เสียง ปึก! ดังแน่นเต็มไปด้วยน้ำหนัก
โมนีก้าหันมองร่างที่ล้มไปแล้วหลายสิบคน เหงื่อซึมตามไรผมแม้อากาศจะเย็นจัด “องค์กรบ้าอะไรกันเนี่ย!” เธอเผลอตะโกนพลางถอยไปประจันหน้ากับคนใหม่ที่เพิ่งกรูกันเข้ามา “นี่มันจะเอากันทั้งกองร้อยรึไง!”
เลสเตอร์ปล่อยลูกธนูอีกดอกจนประกายเงินแลบวาบ ยักคิ้วให้เธอแม้จะยังอยู่กลางสมรภูมิ “เห็นทีผมจะเนื้อหอมกว่าคุณแล้วล่ะโมนีก้า…ดูสิ มากกว่า 12 คนแน่ ๆ” โมนีก้าหันค้อนเขาทันทีที่เลสเตอร์พูดแบบนั้นใส่เธอ ดวงตาเทาเงินวาววับ “นี่ใช่เวลามากวนรึไง!” เธอตวัดสันมีดอีกครั้งฟาดเข้าที่ต้นคอชายที่พุ่งเข้ามาด้านซ้ายจนร่างนั้นทรุดฮวบ “ฉันนับไม่ทันแล้วนะ จะ 20 หรือ 30 ก็มาเถอะ!”
เลสเตอร์หัวเราะในลำคอทั้งที่ยังง้างธนู “นั่นแหละสิ ผมเลิกนับตั้งแต่ 16 คนแล้ว” เขากระโดดหลบปืนพกที่ยิงสวนมา แล้วใช้สันคันธนูฟาดเข้ากับหน้ากากอีกคนเสียงดัง ผัวะ! ให้ร่างนั้นสลบคาที่ ทั้งสองคนยังคงเคลื่อนไหวประสานกันอย่างเป็นจังหวะเกินกว่าคนที่พึ่งรู้จักกัน ธนูเงินพุ่งตัดอาวุธจากระยะไกล ขณะที่ดาบสั้นและแรงกระแทกของโมนีก้าจัดการประชิดตัว ไม่มีทีท่าว่าฝูงกลุ่มเอนฟอร์เซอร์จะลดจำนวนลงแม้แต่น้อย แต่ประกายในแววตาของทั้งคู่กลับเต็มไปด้วยความดื้อรั้น
หลังจากนั้นพวกเขาก็จัดการกลุ่มสุดท้ายเสร็จจนได้ เสียงก้องของพื้นโลหะยังสะท้อนอยู่ในโถง แม้พวกเอนฟอร์เซอร์จะนอนกองสลบกันหมดแล้ว แต่บรรยากาศกลับหนาวเย็นขึ้นอย่างประหลาด โมนีก้าหอบหายใจแรง ๆ ก่อนพ่นลมออกมาเป็นสายยาว เธอหันไปมองเลสเตอร์ที่ยังยืนตัวตรงและคันธนูยังอยู่ในมือ แต่แทบไม่มีร่องรอยเหน็ดเหนื่อยบนใบหน้าเลย “นาย…ยังหายใจปกติได้ไง ฉันจะตายอยู่แล้ว” เธอพูดพลางกุมอกตัวเอง
เลสเตอร์ยกคิ้ว ยักไหล่อย่างคนไม่คิดจะปิดบัง “ฝึกมา…จำไม่ได้หรือไง” จากนั้นเสียงเข้มก็แทรกความขี้เล่น “แต่เราต้องรีบออกไปก่อนที่พวกตำรวจจะมา ไม่งั้นงานเข้าแน่”
“เห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นต์” โมนีก้ายกดาบกลับเข้าปลอกแต่ยังไม่ทันก้าวออกไป จู่ ๆ ก็เกิดอะไรบางอย่างขึ้น เสียง ครืดดดด เหมือนเหล็กเสียดสีกันก็ดังขึ้นจากทางเชื่อมด้านในที่กำลังตรงดิ่งมาทางที่โมนีก้าและเลสเตอร์อยู่ เธอหันขวับไปตามเสียงแล้วก็แข็งค้าง ดวงตาเทาเงินเบิกกว้าง “เดี๋ยว…นั่นอะไร!”
สิ่งที่โผล่ออกมานั้นคือเงามหึมาปรากฏขึ้นจากม่านควัน โลหะดำขลับแซมไฟสีแดงวาบเป็นจุดสว่างบนเกราะรูปหัวกระโหลก เขาแหลมโค้งคล้ายปีศาจ สองแขนหนามีปืนยักษ์ติดอยู่กับบ่าที่เปล่งแสงเหมือนมีลาวาไหลอยู่ภายใน “นี่ฉันอยู่จักรวาลเดมิก็อดหรือว่าจักรวาลทรานส์ฟอร์เมอร์กันแน่!?” โมนีก้าหันไปสบตาเลสเตอร์ สีหน้าทั้งตกใจทั้งประชด “บอกทีว่านี่ไม่ใช่ของจริง!”
เลสเตอร์ไม่เสียเวลาอธิบายยืดยาวให้โมนีก้าฟัง เสียงของเขาแฝงแรงตึงเครียด “เดธแมชชีน…อสุรกายจักรกลสังหาร ผลงานล้มเหลวของเฮเฟสตัส ถูกสร้างมาแต่ตอนนี้มันมีชีวิตอยู่เพื่อกำจัดเดมิก็อด มันไร้ความปราณี ไม่มีจิตสำนึก ทำได้แค่ตามโปรแกรมเดียว ล่าเรา”
“แม่งเอ้ย…” โมนีก้าสบถเสียงต่ำ ดวงตาเทาเงินยังจ้องร่างโลหะที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับเสียงโลหะครูดพื้น “พวกเทพนี่มันบ้าบอจริง ๆ ชอบสร้างแต่เรื่องวุ่นวายชิบหาย!”
ทว่าไม่นานเกินรอเสียง ครืดดด ก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นร่างที่สองโผล่ตามออกมา โมนีก้าที่เห็นแทบอยากกรี๊ดสลบ “สองตัว!? นี่มันบ้าไปแล้ว!” เลสเตอร์ขยับเข้ามาบังหน้าเธอ คันธนูยกขึ้นเล็ง “ฟังนะโมนีก้า เล็งไปที่เซนเซอร์ของมันดวงไฟสีแดงที่หัวนั่น! จากนั้นเราจะยิงซ้ำไปที่เซลล์พลังงานกับระบบระบายความร้อน ถ้าพังพร้อมกันมันจะล่ม”
โมนีก้าขมวดคิ้วทันที “เซน…เซลล์อะไรนะ!? นายพูดภาษาเทคโนโลยีอยู่ใช่ไหม!” เธอส่ายหัวแรง ๆ “ฉันไม่เข้าใจสักคำเลยนะ!” เลสเตอร์กัดฟันกรอดกับความไม่เข้าใจของโมนีก้า เธอก็ไม่ได้สมองหมาปัญญาควายทำไมเข้าใจอะไรยากจัง แต่เขาก็ยังคงสายตานิ่งบนเป้าหมาย “ก็เล็งตามผมไปเลย! ไฟแดงตรงหัว ยิง!”
“พูดอย่างนี้ค่อยเข้าใจหน่อย!” โมนีก้ากำกราดิอุสแน่น แม้หัวใจจะเต้นโครมคราม แต่รอยยิ้มดื้อ ๆ ก็ผุดขึ้นที่มุมปาก “เอาล่ะ ไอ้หุ่นเหล็กบ้านี่ มาดูกันว่าฉันจะฟันให้หัวไฟแดงนายดับได้กี่ครั้ง!” เลสเตอร์แค่นยิ้มบาง “ตามหลังผมให้ดี แล้วอย่าลืม เราไม่ได้อยู่จักรวาลทรานส์ฟอร์เมอร์ แต่พวกมันฆ่าจริงแน่บอกเลย” ทั้งสองประสานสายตาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนเสียงสายธนูดีดตึงดังขึ้น ก้องกังวานแข่งกับเสียงเครื่องจักรที่กำลังเคลื่อนเข้ามาอย่างช้า ๆ แต่ราวกับฝันร้ายที่มีชีวิต
เสียงโลหะครูดดังสนั่นไปทั่วอาคารใต้ ขณะที่สองร่างจักรกลยักษ์เคลื่อนเข้ามา ไฟสีแดงบนหัวของมันวาวขึ้นราวกับดวงตาปีศาจ เลสเตอร์ยกคันธนูขึ้นทันที ดวงตาสีฟ้าของเขาหรี่ลงอย่างมั่นคง ก่อนจะปล่อยลูกธนูออกไป ฟึ่บ! ปัง! ลูกศรปักตรงระบบเซนเซอร์พอดี แสงสีแดงกระพริบถี่ ก่อนดับวูบลง เครื่องจักรขยับชะงักเหมือนเสียการทรงตัว “ดีมาก!” เลสเตอร์ร้องบอก ขณะที่เขาดึงศรอีกดอกและยิงซ้ำไม่รั้งมือ “เล็งที่มีไฟกระพริบทำลายมันเข้าไปตรงนั้น!”
โมนีก้าไม่รอช้าพอเห็นหุ่นยักษ์เสียจังหวะ เธอก็กำกราดิอุสแน่น ก่อนกระโดดพุ่งเข้าใส่ทันที ใบมีดสั้นกรีดผ่านรอยต่อโลหะตรงกลางอก เผยให้เห็นประกายสีน้ำเงินเข้มที่สั่นระริก “นี่สินะ เซลล์พลังงาน!” เธอตะโกนลั่นแล้วใช้แรงทั้งหมดแทงกราดิอุสเข้าไปเต็มแรง เสียง กึก! ดังสะท้อน ก่อนที่หุ่นจักรกลจะสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ประกายไฟพุ่งกระจายออกมาเหมือนพลุระเบิด เลสเตอร์เห็นช่องโหว่นั้นพอดี เขาก้าวขึ้นหน้า ดึงสายธนูจนสุดแล้วปล่อยออก เสียงดีดดัง ตึง! ลูกศรพุ่งทะลวงเข้าที่ช่องระบายความร้อนด้านข้าง แรงปะทะทำให้ระบบเกินกำลัง ไอน้ำร้อนจัดพุ่งขึ้นจากข้อต่อทุกจุด เสียงกรีดร้องของโลหะดังก้องไปทั่วเหมือนอสูรกายกำลังสิ้นลม
“โมนีก้า! ถอยออกมา!” เลสเตอร์ตะโกนทันที เด็กสาวเบิกตากว้าง เห็นแรงดันจากไอน้ำกำลังจะระเบิด เธอกัดฟัน กระโดดกลิ้งถอยหลังออกมาอย่างฉิวเฉียด ไอน้ำร้อนจัดพุ่งออกมาพร้อมเสียงดัง ฉีดดดด! จนปะทะเข้าที่แขนและแก้มเธอเล็กน้อย
“อ๊ะ!” เธอร้องสั้น ๆ ก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้นหอบแรง ใบหน้าขาวซีดมีรอยแดงจากไอน้ำ เส้นผมสีม่วงครามเปียกชื้นและติดแก้ม เธอกัดฟันแน่น พยายามประคองตัวเองไม่ล้มไปทั้งร่าง เลสเตอร์รีบขยับเข้ามาใกล้เธอ คันธนูยังอยู่ในมือแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล “บาดเจ็บตรงไหน!” เขาก้าวเข้าประคองเธอขึ้นจากพื้น ตาเหลือบไปเห็นรอยแดงบนแก้มของเธอแล้วกัดฟันกรอด
โมนีก้าหอบหายใจสั่น ๆ แต่ยังฝืนยกยิ้ม “ไม่ตายก็ถือว่าดีแล้ว…ให้ตายสิ ไอน้ำโง่ ๆ ทำฉันเกือบกลายเป็นกุ้งนึ่งแล้ว” เลสเตอร์ถอนหายใจแรงตอนที่เห็นว่าเธอไม่เป็นอะไรมาก แต่สายตายังไม่ละจากเธอแม้แต่วินาที
“คุณบ้าไปแล้วที่พุ่งเข้าไปแบบนั้น แต่ก็…ทำได้ดี” น้ำเสียงเจือทั้งดุและเอ็นดูในคราวเดียว เธอหัวเราะแผ่ว ๆ แม้ยังทรุดอยู่กับพื้น “ก็อย่ามาให้ฉันจัดการพวกมันอีกล่ะ” เลสเตอร์ยิ้มมุมปากอย่างอดไม่ได้ แล้วหันกลับไปมองร่างจักรกลที่นอนแน่นิ่งมีไอน้ำยังพ่นออกมาเป็นสายไม่หยุด
หลังจากนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือทั้งสองก็จัดการหุ่นเดธแมชชีนไปอีกตัวได้สำเร็จจนมันสลายกลายเป็นละอองเล็กประกายทองจากร่างเดธแมชชีนตัวล่าสุดยังคงลอยพร่างพรายในอากาศเหมือนผงดาวที่ส่องแสงต้องสายฟ้า เลสเตอร์หมุนตัวมองไปรอบโถงทางเชื่อม เสียงก้องจากการต่อสู้ก่อนหน้าดังสะท้อนกลับมาเป็นระลอก โมนีก้าหอบหายใจหนักแต่ยังคงกอดกราดิอุสแน่น “ไปกันเถอะ ก่อนที่พวกตำรวจจะ—”
ทว่ายังไม่ทันจะพูดจบเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ตัดคำพูดของเธอทันที เจ้าหน้าที่สนามบินหกนายกรูกันเข้ามาจากประตูอีกฝั่ง ปืนไฟฉายเล็งตรงมาพร้อมเสียงสั่งให้หยุด เสี้ยววินาทีต่อมา แสงไฟสีแดงวาบขึ้นจากใต้ผิวหนังของพวกนั้น ชุดเครื่องแบบแตกกระจายเป็นเศษผ้าฉีกเหมือนถูกไฟดูด
“อะ…อะไรวะน่ะ!?” โมนีก้าตาเบิกโพลงตอนที่เห็นอะไรแบบนั้น
ต่อหน้าต่อตาเธอที่ร่างมนุษย์ของเจ้าหน้าที่ทั้งหกบิดเบี้ยว แผ่นโลหะสีดำทะมึนผุดขึ้นแทนผิวหนัง แขนขากางออกเป็นข้อต่อกลไก ดวงตาเปลี่ยนเป็นเลเซอร์สีแดงเพลิงทีละดวง จนยืนตรงหน้าในรูปลักษณ์ของเดธแมชชีนเต็มตัว “พวกมัน…ปลอมเป็นมนุษย์ได้ด้วยเหรอ!?” โมนีก้าร้องถามเสียงสั่น เธอก้าวถอยอัตโนมัติแม้มือจะยังยกดาบตั้งการ์ด
เลสเตอร์หันหน้ามามองเพียงครู่ ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงขณะง้างคันธนู “ใช่ พวกมันมักแฝงตัวในชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารเพื่อเข้าถึงเป้าหมายโดยไม่ต้องเปิดฉากโจมตีก่อน เป็นนิสัยสกปรกของพวกมันนั้นแหละ”
“พวกเทพเนี้ยสร้างของบ้าอะไรไว้กันแน่เนี่ย!” โมนีก้าสบถออกมาอย่างเหลืออดพลางขยับเท้าเข้าหาเลสเตอร์อย่างไม่รู้ตัว “โลกนี้มันบ้าไปแล้ว!” เลสเตอร์ยิ้มมุมปากให้กับโมนีก้าแม้จะตั้งธนูพร้อมยิง “ยินดีต้อนรับสู่ชีวิตเดมิก็อด โมนีก้า ระวังตัวไว้พวกนี้ไม่ใช่รอบซ้อม” เสียงกลไกของเดธแมชชีนทั้งหกคำรามก้องไปทั่วโถง ไฟแดงบนหัวสว่างวาบเป็นสัญญาณเริ่มล่า เลสเตอร์ย่อตัวลง เตรียมปล่อยลูกศรแรก ขณะที่โมนีก้ากระชับดาบกัดฟันแน่น เอาเถอะจะหุ่นเหล็กหรือคนก็เข้ามา!
โมนีก้าและเลสเตอร์ใช้เวลาจัดการกับพวกเดธแมชชีนอย่างทันที โมนีก้าพบว่าเดธแมชชีนไม่ค่อยสนใจเลสเตอร์เท่าไรนักจนสงสัยแต่ทว่าเสียงระเบิดจากลูกธนูพลังงานสุดท้ายของเลสเตอร์ก้องสะท้อนทั่วโถงใต้ดินทำให้ยังไม่ได้ถาม กลิ่นโลหะร้อนฉ่ากับควันไฟคละคลุ้งในอากาศ โมนีก้าฟาดกราดิอุสครั้งสุดท้ายใส่เดธแมชชีนตัวที่ห้า ก่อนที่ร่างเหล็กยักษ์จะล้มครืนลงกลายเป็นประกายทองกระจายรอบตัวเธอ แต่ยังไม่ทันได้ถอนหายใจ เสียงครืดหนัก ๆ ก็ดังขึ้นตรงหน้า เดธแมชชีนตัวสุดท้ายยืนตรงเธอราวกับหมายหัวเพียงคนเดียว ดวงตาเลเซอร์สีแดงเพลิงจ้องมองเธออย่างไม่กะพริบ
“ทำไมมันไม่สนใจนายเลยวะ!” โมนีก้าตะโกนถามทั้งที่ยกดาบขึ้นตั้งการ์ด เหงื่อไหลลงข้างแก้ม “เลสเตอร์! มันเล็งฉันคนเดียว!” เลสเตอร์ที่กำลังง้างธนูเหลือบมองอย่างใจร้อน แววตาสีฟ้าเข้มขึ้นด้วยประกายโกรธ “อย่าหยุด! หลบไปทางซ้าย!” แต่คำเตือนนั้นแทบจะช้าไปเสี้ยววินาที เล็บเหล็กของเดธแมชชีนฟาดผ่านอากาศเสียงหวือ กระแทกเข้าที่แขนซ้ายของโมนีก้าพอดี
“อึก!” เด็กสาวร้องสั้น ๆ ความเจ็บแล่นวาบขึ้นมาตามเส้นประสาท แขนซ้ายชาไปชั่วขณะ เลือดซึมผ่านแขนเสื้อโค้ทเป็นรอยแดงเข้ม เธอกัดฟันแน่นฝืนแรงเจ็บยกดาบขึ้นอีกครั้ง เลสเตอร์สบถในลำคอ ไม่นะ… เขาดึงสายธนูจนสุด ปล่อยลูกศรพลังงานเจาะเข้าระบบหัวเซนเซอร์ของมันอย่างแม่นยำ เสียงระเบิดแผดดัง ปัง! โลหะหนาทั้งตัวสั่นสะท้าน ก่อนมันจะทรุดฮวบลงกับพื้น กลายเป็นละอองทองลอยฟุ้งรอบตัว
โมนีก้าหอบหายใจหนักจนหน้าอกกระเพื่อม ร่างกายสั่นระริกจากทั้งความเจ็บและอะดรีนาลีนที่กำลังหลั่งออกมา “จบ…แล้วใช่ไหม” เลสเตอร์ไม่ตอบในทันที เขาสะบัดคันธนูเก็บแล้วพุ่งเข้ามาประคองเธอจากด้านหลัง “เราต้องไปเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเข้มแน่นจนแทบเป็นคำสั่ง “เสียงปะทะเมื่อกี้ดึงทุกสายตาแล้ว ถ้าอยู่ต่อเรากลายเป็นเป้านิ่งแน่”
“เดี๋ยว…ฉันยั—” โมนีก้าพยายามจะค้าน แต่แรงบีบที่ข้อมือจากมืออุ่น ๆ ของเขาตัดทุกคำพูด เขาลากเธอไปข้างหน้าอย่างเด็ดขาด “อย่าพูด แค่ก้าวตามผม” เลสเตอร์เอ่ยสั้น ๆ แต่ดวงตาสีฟ้าที่เหลือบมองแขนซ้ายของเธอเต็มไปด้วยความกังวล “เป็นแผลขนาดนี้ เราต้องหาที่ทำแผลก่อนที่พวกมันจะเรียกกำลังเสริม”
โมนีก้ากัดฟันพยายามรักษาจังหวะเดินแม้จะรู้สึกได้ถึงเลือดอุ่น ๆ ที่ไหลซึม “นาย…ไม่ต้องลากแรงก็ได้ ฉันยังเดินได้อยู่”
“ผมไม่เสี่ยง” เลสเตอร์ตอบทันควัน เสียงทุ้มก้องท่ามกลางโถงที่กำลังสั่นสะเทือน “คุณเจ็บกว่าที่คิด อย่าฝืน” เสียงไซเรนจากด้านบนเริ่มดังแว่ว เลสเตอร์เร่งฝีเท้า พาร่างของเด็กสาวผมม่วงครามที่กำลังซีดเผือดออกไปจากสนามรบที่เต็มไปด้วยละอองทอง โดยไม่เหลียวกลับไปมองซากเดธแมชชีนแม้แต่น้อย
เลสเตอร์พาโมนีก้ามาหยุดในมุมทางเดินที่มืดและอับสายตา เสียงไซเรนจากด้านบนเริ่มไกลออกไปแต่ยังคงก้องสะท้อนอยู่ราวกับคำเตือน เขารีบวางคันธนูลงข้างตัวแล้วทรุดนั่งลงตรงหน้าหญิงสาวที่กำลังหอบหายใจแรง แขนซ้ายของเธอมีรอยถลอกยาวเป็นทาง เลือดซึมผ่านเสื้อโค้ทออกมาเป็นจุดแดง “อยู่นิ่ง ๆ” เสียงของเลสเตอร์ทั้งอ่อนโยนและเด็ดขาด เขาวางฝ่ามือลงเหนือบาดแผลอย่างมั่นคง
ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสผิวหนัง แสงสีทองก็เริ่มส่องวาบออกมาจากฝ่ามือของเขา อบอุ่นราวแสงเช้าในฤดูใบไม้ผลิ รัศมีทองค่อย ๆ แผ่คลุมทั่วบริเวณแผล ความเจ็บปวดที่แล่นแปลบเมื่อครู่ค่อย ๆ จางลงเหมือนถูกลบเลือน โมเนีก้าสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสัมผัสถึงพลังนั้น มันไม่ใช่แค่ความร้อนแต่เป็นกระแสชีวิตที่ไหลรินอย่างอ่อนโยนเข้าไปในร่างกาย เธอเห็นบาดแผลที่เพิ่งฉีกขาดเริ่มสมานตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็วราวกับเวลาเดินกลับด้าน “นี่มัน…อะไรกัน” เธอกระพริบตา ดวงตาสีเทาเงินเบิกกว้าง “ไหนนายบอกว่าเป็นคนธรรมดาไง นายเป็นเดมิก็อดใช่มั้ยเนี้ย? หรือว่า…สายเลือดของอพอลโล่?”
เลสเตอร์เหลือบตามองก่อนส่งเงายิ้มลึกลับผุดขึ้นบนใบหน้า เขายักไหล่เบา ๆ “ก็แค่…มีพรสวรรค์บางอย่าง” เขาไม่ตอบตรง ๆ แต่แววตาสีฟ้าที่ส่องประกายภายใต้แสงทองเหมือนกำลังพูดแทนคำสารภาพ
โมนีก้าเม้มปากมองเขา แต่แรงอุ่นจากบาดแผลที่หายไปทำให้เปลือกตาเริ่มหนัก “ฉันเหนื่อยมากเลย…ทั้งเจ็บทั้งง่วง”
“ผมรู้” เลสเตอร์เอ่ยเบา ๆ พลางเก็บพลังแสงกลับเข้าฝ่ามือ “ไม่น่าจะมีใครตามเราได้ทันแล้ว แต่เราต้องไปหานักบินที่ผมรู้จักให้เร็วที่สุด พักบนเครื่องบินเอา” โมนีก้าพยักหน้าช้า ๆ แต่ทันใดนั้นแววตาก็เป็นประกายขึ้นมาอย่างคนเพิ่งคิดอะไรออก “เดี๋ยวก่อน…ฉันพึ่งนึกอะไรได้”
“อะไรอีกล่ะ” เลสเตอร์ขมวดคิ้ว แต่ยังจับมือเธอประคองไม่ให้ล้ม แต่ทว่าโมนีก้าไม่ตอบคำ เธอหรี่ตาลงก่อนร่างกายเริ่มเปล่งแสงจาง ๆ ก่อนที่รูปร่างจะหดเล็กลงอย่างรวดเร็วเหมือนภาพกำลังถูกย่อขนาด เสี้ยววินาทีต่อมา เด็กสาวร่างสูงก็กลายเป็นตุ๊กตาบาร์บี้ขนาดฝ่ามือกลิ้งลงบนพื้นแล้วกระโดดเบา ๆ ขึ้นไปบนฝ่ามือของเลสเตอร์
“เฮ้!?” เขาอุทานตาโต มองตุ๊กตาผมม่วงครามที่ยืนกอดอกอยู่กลางมือ “ทำแบบนี้ได้ตั้งแต่แรกทำไมไม่บอก ผมจะได้ไม่ต้องแบกคุณให้เมื่อยหลัง!”
โมนีก้ายกคิ้วแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ก็…ลืมไปน่ะสิ เพิ่งคิดได้ตอนเห็นนายใช้พลังเมื่อกี้เอง” เลสเตอร์กลอกตาอย่างเอือมระคนขำใส่โมนีก้า ลืมได้กระทั่งความสามารถตัวเอง “คุณนี้มัน…” เขาหันมองรอบทางเดินที่ยังคงเงียบสงัด “งั้นพักให้เต็มที่ก็แล้วกัน แต่เตรียมตัวไว้พอถึงเครื่อง ผมจะถามให้เคลียร์ว่าทำไมคุณถึงลืมพรสวรรค์บ้า ๆ แบบนี้ได้”
โมนีก้าหัวเราะคิกเบา ๆ พลางกอดอกบนฝ่ามือเขา “ดีล แต่ตอนนี้นายรีบพาฉันออกไปจากที่นี่ก่อน ก่อนที่ฉันจะเผลอหลับในกระเป๋านาย” เลสเตอร์ส่ายหน้าแต่ยิ้มมุมปาก เก็บเธอใส่กระเป๋าเป้ด้านหน้าอย่างทะนุถนอม ก่อนจะก้าวออกจากมุมอับสายตาไปสู่ทางเดินมืดด้านนอก เตรียมพาดาวดวงใหม่ของเขามุ่งหน้าสู่สนามบินเล็กที่รอคอย
เมื่อมาถึงที่สนามบินส่วนลึกเสียงเครื่องยนต์เบา ๆ ของเครื่องบิน Cessna 172 ดังก้องอยู่ในโรงเก็บเครื่องขนาดเล็ก แสงไฟบนพื้นรันเวย์ส่องลอดเข้ามาเป็นลำสีฟ้าขาว เลสเตอร์ก้าวขึ้นบันไดเหล็กอย่างไม่รีรอ คันธนูถูกสะพายไว้บนไหล่ขวา ส่วนกระเป๋าหนังใบเล็กแนบลำตัว เขาผลักประตูห้องโดยสารเข้าไปทันที ราวกับเป็นผู้โดยสารที่คุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี
โมนีก้าในร่างจิ๋วเกาะอยู่ตรงสายสะพายกระเป๋าของเขา เงยหน้ามองภายในเครื่องบินเล็กที่อบอุ่นด้วยแสงไฟสีเหลืองส้ม เธอกวาดสายตามองรอบห้องโดยสารด้วยความตื่นตาตื่นใจ เบาะหนังสีครีมเงาวับ แผงควบคุมด้านหน้ามีไฟกระพริบเรียงเป็นแถวเหมือนดวงดาว นักบินหนุ่มร่างสูงผิวเข้มในชุดแจ็กเก็ตหนังหันมาพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร “เฮ้ เลสเตอร์! มาทันเวลาพอดีเลยแต่ช้าไปหน่อยนะ เครื่องพร้อมบินแล้ว…แต่ไหนว่ามีผู้โดยสารอีกคนล่ะ?”
เลสเตอร์ยิ้มมุมปากหันไปมองกระเป๋าเสื้อด้านหน้า ก่อนจะคีบโมนีก้าออกมาจากสายสะพายอย่างระมัดระวัง “อยู่ในนี้ไง” เขาวางเธอบนฝ่ามือแล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงที่ผสมทั้งหยอกล้อและสั่งการ “กลับร่างเดิมได้แล้วโมนีก้า ถึงเวลาออกเดินทาง” โมนีก้าหลุบตาเล็กน้อยก่อนที่ร่างเล็กจะเริ่มเปล่งประกายจาง ๆ แล้วค่อย ๆ ขยายขึ้น เส้นผมสีม่วงครามสลวยสะบัดตามแรงลมเล็ก ๆ ในห้องโดยสาร จนกระทั่งร่างเธอกลับสู่ขนาดปกติอย่างสมบูรณ์
“โอเค…ไม่ต้องทำตาโตกันนะ” เธอพูดพลางยืดเสื้อโค้ทให้เข้าที่ ดวงตาเทาเงินยังมีประกายซน “แค่…ทริคเล็ก ๆ ของฉันเอง”
นักบินหัวเราะในลำคอ “นี่สิที่เลสเตอร์บอกว่าจะมีคนพิเศษมาด้วย” เขาพยักหน้าต้อนรับแล้วหันกลับไปเช็กมาตรวัดบนแผงควบคุม “รัดเข็มขัดด้วยครับ เราจะขึ้นเลย”
เลสเตอร์จัดเก็บกระเป๋าอย่างคล่องแคล่วก่อนจะส่งชุดอุปกรณ์นิรภัยให้โมนีก้า “สวมซะ เดี๋ยวเครื่องขึ้นแล้ว เร็ว” โมนีก้ารับมาสวมอย่างว่าง่าย แม้จะยังรู้สึกมึนจากความเหนื่อยล้าแต่เสียงเครื่องยนต์ที่เริ่มคำรามกลับทำให้หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เธอเหลือบมองเลสเตอร์ที่นั่งข้าง ๆ แล้วกระซิบเบา ๆ “นี่นายบอกนักบินล่วงหน้าแล้วใช่ไหมว่าฉันจะ…โผล่มาแบบนี้”
เลสเตอร์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาสีฟ้าสะท้อนแสงไฟจากแผงควบคุม “แน่นอน ผมไม่พาใครขึ้นเครื่องโดยไม่บอกเจ้าของหรอก” โมนีก้าหลุดหัวเราะเบา ๆ “ดีนะ ไม่งั้นคงได้ตกใจตายกันหมด”
เสียงใบพัดเริ่มหมุนเร็วขึ้น แรงสั่นสะเทือนของเครื่องส่งผ่านเข้ามาที่เบาะจนรู้สึกได้ นักบินหันมาพูดผ่านไมค์ “ทุกคนพร้อมนะ? เตรียมทะยานเหนือเมฆกันเลย” เลสเตอร์หันมามองเธออีกครั้ง แววตานั้นผสมทั้งความห่วงใยและความท้าทาย “จับให้แน่นโมนีก้า…นี่แค่การเริ่มต้นของเส้นทางจริงเท่านั้น” โมนีก้ากลืนน้ำลายหนึ่งทีตอนที่เลสเตอร์บอกก่อนที่เธอจำกำสายเข็มขัดนิรภัยแน่นเครื่องบิน Cessna 172 ค่อย ๆ เคลื่อนออกจากโรงเก็บ เสียงใบพัดดังสนั่น ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำ ทิ้งแสงไฟของเมืองริชมอนด์ไว้เบื้องหลัง พร้อมพาเดมิก็อดหนุ่มผู้เก็บงำความลับ และสาวผมม่วงครามผู้เป็นดาวดวงใหม่สู่ภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เธอเคยคิด




Summary Cards – Burgundy
Lester Papadopoulos
เมื่อมาถึงสนามบินเลสเตอร์รู้ได้ทันทีว่ามีคนตามมา พวกมันจริง ๆ ด้วยเจ้าพวกองค์กรนั้น เลสเตอร์และโมนีก้าทำการต่อสู้กับเอนฟอร์เซอร์ (Enforcer) ของ LoNex ตอนแรกเขากะว่าจะปกป้องโมนีก้าและลุยเดี่ยวเพราะโมนีก้าเป็นเด็กใหม่ แต่ตอนนี้เขาขอถอนคำพูด โมนีก้าดูเหมือนจะมีความสามารถมากกว่าที่คิดแม้ว่าเธอจะขี้บ่น และไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไรเวลาเขาสั่งบางอย่าง แต่เลสเตอร์ค่อนข้างประทับใจกับการที่โมนีก้าทำได้ดีในการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่เหมือนพวกเดมิก็อดใหม่ ๆ ที่กลัวการทำร้ายผู้คน โมนีก้าทำได้แถมดีเสียด้วย แต่ทว่าเธอดันลืมพรสวรรค์จากสายเลือดเซเรสของเธอเรื่องการยืดหดร่างกายได้ บ้าเอ้ย! แล้วเขาจะอุ้มเธอมาตลอดสองชั่วโมงทำไมเนี้ย? เขาเป็นว่าช่างมันเถถอะ ตอนนี้พวกเราขึ้นเครื่องบินกันแล้วมุ่งหน้าออกจากริชมอนด์
[เดินทางถถึงสนามบินนานาชาติแวนคูเวอร์ เมืองริชมอนด์, บริติชโคลัมเบีย]
[ปะทะ เอนฟอร์เซอร์ (Enforcer) ของ LoNex จำนวน 4 กลุ่ม + คู่หูดูโอ้เดธแมทชีน 2 ตัว]
[ปะทะ เจ้าหน้าที่ เดธแมทชีน 6 ตัว]
[ขึ้นเครื่องบินสำเร็จ มุ่งหน้าสู่ นูนาวุต]
[สถานที่เติมน้ำมันเครื่องบินครั้งถัดไป สนามบินในเมืองแอดมันตัน รัฐแอลเบอร์ตา]
Moneka M. Blossom
โมนีก้ารู้สึกว่าโลกนี้แม่งไม่ใช่โลกแห่งเดมิก็อดแต่มันคือการรำรวมทุกอย่าง ถ้ามีโรงเรียนฮอกวอตส์ขอไปได้ไหมเนี้ย? วันนี้เป็นวันที่โคตรสันตะโรสำหรับโมนีก้า ตั้งแต่เจอพวกเอนฟอร์เซอร์ (Enforcer) ขององค์กร LoNex อะไรก็ไม่รู้ จนถึงเดธแมทชีน แม่งเอ้ย นี้ฉันอยู่ในหนังจักรวารไหนวะเนี้ย ทรานฟอร์มเมอร์หรอ์ แถมมาเป็นฝูงไอ้บ้าเอ้ย พวกให้ให้ของฉันมาเยอะเลย เอาเป็นว่าถ้าขายได้จะขายแล้วกันนะ แล้วก็...ฉันรู้สึกว่าเลสเตอร์แม่งโคตรเก่งเลย คนบ้าอะไรจะยิงธนูได้เหมือนฮอว์คอายหรือเลโอลัสขนาดนั้นวะ เก่งเกินคุณพี่ เอาเป็นว่ามันน่าจะปลอดภัยแล้วล่ะเมื่อเราขึ้นเครื่องบินได้ แต่ขอโทษทีนะเลสเตอร์ที่ฉันลืมพลังของแม่น่ะ ขอโทษแม่ด้วยนะคะ แต่โมนีก้าไม่ค่อยได้ใช้ ได้โปรดให้อภัยลูกที

มีค่า LUK 100 หน่วย จะได้รับวัตถุดิบ x2
ได้รับ เซลล์พลังงาน จำนวน 4 ชิ้น 4 x 2 = 8 ชิ้น
ได้รับ โลหะผสมพิเศษ จำนวน 80 ชิ้น 80 x 2 = 160 ชิ้น
ได้รับ ชิปประมวลผล AI จำนวน 1 ชิ้น = 1 x 2 = 2 ชิ้น
สรุป ได้รับ เซลล์พลังงาน 4 ชิ้น, โลหะผสมพิเศษ 80 ชิ้น, ชิปประมวลผล AI 1 ชิ้น
+2 ตื่นรู้ จากการจำกัด เดธแมชชีน ครั้งแรก
[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส
พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5
โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20