BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 11 : โคตรละครไทย
วันที่ 19 - 20 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงดึก เวลา 22.00 น. เป็นต้นไป เส้นทางระหว่าง เขตทุนดราทางเหนือ นูนาวุต จนถึง เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา
เสียงประตูเครื่องบินเล็กปิดลงตามหลังทั้งสามคน ลมหนาวด้านนอกถูกตัดขาดทันที ความอุ่นภายในลำเครื่องทำให้โมนีก้าที่สั่นจนฟันกระทบกันค่อย ๆ คลายแรงกอดตัวเอง เธอนั่งลงบนเบาะด้านหลังแล้วห่อไหล่แน่นพ่นลมหายใจออกมาเป็นไอสีขาวที่ค่อย ๆ จางหายไปในอากาศอุ่น เลสเตอร์วางกระเป๋าอุปกรณ์ลงบนเบาะฝั่งตรงข้าม ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขากางแผนที่ดิจิทัลที่เชื่อมต่อกับระบบนำทางของเครื่องบิน ดวงตาสีฟ้าเข้มกวาดไปตามเส้นพิกัดอย่างเงียบงัน
คุณนักบินหนุ่มยืนพิงกรอบประตูห้องนักบิน มือกอดอกพลางมองสองคนที่ยังมีร่องรอยหิมะติดตามเสื้อโค้ต “สรุปว่าเราต้องหาสถานีวิจัย…อะไรนะ อัคนีทมิฬ?” เขาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “ชื่อฟังดูไม่ค่อยเป็นมงคลเลยนะ”
โมนีก้าเอนตัวไปข้างหน้า ยกมือขึ้นกอดเข่า พลางทำปากยู่ “ก็จริง ชื่อโคตรจะหลุดมาจากหนังไซไฟทุนต่ำ แต่ถ้าคิดดูดี ๆ เหมืองเก่าในเขตนูนาวุตมีตั้งเยอะนะ ถ้าพวก LoNex จะซ่อนอะไรสักอย่างก็น่าจะเลือกที่นั่นแหละ” เธอหันไปมองเลสเตอร์ ดวงตาสีเทาเงินเป็นประกายจากความคิด “อย่างน้อยก็อยู่ใกล้กว่าเราจะไปไกลถึงขั้วโลกเหนือ”
ระหว่างนั้นเลสเตอร์เลื่อนนิ้วบนจอไปยังเขตนูนาวุต คิ้วเข้มขมวดแน่น “ก็มีเหตุผล…นูนาวุตเต็มไปด้วยเหมืองที่ปิดไปนาน หลายแห่งไม่มีการเฝ้าระวังด้วยซ้ำ” เขาพยักหน้าช้า ๆ ก่อนเหลือบมองนักบิน “ถ้าเราต้องเข้าใกล้เขตนั้น จุดลงที่ปลอดภัยที่สุดคงเป็นเมืองเยลโลว์ไนฟ์” นักบินหนุ่มพยักหน้าตอบทันที “ถูกต้อง เยลโลว์ไนฟ์มีสนามบินหลักของนอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ และมีเส้นทางเชื่อมต่อไปยังเขตเหมืองหลายสาย เราสามารถลงเติมเชื้อเพลิงและหาทางติดต่อข้อมูลท้องถิ่นได้”
โมนีก้าพยักหน้าแรงราวกับกลัวใครจะไม่เห็นด้วย “งั้นก็ไปที่นั่นเลยสิ ฉันไม่อยากทนหนาวกลางทุนดรานานกว่านี้อีกแล้ว” เธอสั่นไหล่จนเสื้อโค้ตขนสัตว์ขยับไปทั้งตัว “แค่คิดว่าต้องนอนค้างอีกคืนในพายุหิมะก็จะเป็นลม”
เลสเตอร์เงยหน้ามองเด็กสาวแล้วหัวเราะเบา ๆ “เธอนี่นะ…บ่นเก่งตลอดแต่ก็ยังเดินตามฉันมาได้ถึงนี่” เขาเก็บของเข้ากระเป๋า แล้วเอื้อมไปตบบ่าของนักบิน “งั้นเรามุ่งหน้าไปเยลโลว์ไนฟ์ เตรียมเครื่องได้เลย” นักบินหนุ่มคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องนักบิน “รับทราบ กัปตันเลสเตอร์”
โมนีก้าถลึงตาใส่เลสเตอร์ทันทีก่อนที่จะกรอกตาใส่เข้าด้วย “นายก็แค่ผู้โดยสารพิเศษ ไม่ใช่กัปตัน”
“ก็แล้วแต่จะเรียก” เลสเตอร์ตอบพลางยักไหล่ แต่แววตาเปล่งประกายมุ่งมั่น “แค่รู้ว่าเรายังมีเส้นทางที่จะไปต่อ…ก็พอแล้ว” โมนีก้าสบตาเขา เธอเห็นประกายความหวังที่ไม่เคยดับในดวงตาของเขา จึงพึมพำเบา ๆ ราวกับให้กำลังใจทั้งเขาและตัวเอง “งั้นไปกันเถอะ ก่อนที่ความหนาวจะฆ่าฉันตายคาเครื่องบิน” เลสเตอร์หัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นไปช่วยนักบินตรวจสอบอุปกรณ์ เสียงเครื่องยนต์ของเครื่องบินรุ่น Cessna ค่อย ๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของทุนดราที่กว้างใหญ่ ทั้งสามเตรียมตัวสู่เส้นทางใหม่ มุ่งหน้าไปยังเยลโลว์ไนฟ์ จุดเริ่มต้นของภารกิจช่วยเหลือที่อาจเปลี่ยนชะตากรรมทั้งหมด
เสียงเครื่องยนต์เครื่องบินคำรามทุ้มสม่ำเสมอขณะที่ลำเครื่องเล็กพุ่งผ่านท้องฟ้าเหนือผืนทุ่งน้ำแข็งอันเวิ้งว้าง ระหว่างการเดินทาง 4 ชั่วโมงเต็มนั้น โมนีก้านั่งนิ่งผิดปกติ ไม่ใช่เพราะเธอหมดเรื่องจะบ่น แต่เพราะความหนาวจัดทำให้แม้แต่ลมหายใจยังกลายเป็นไอสีขาว เธอกอดเสื้อโค้ตขนสัตว์แน่น ฟันกระทบกันเป็นเสียงกึก ๆ ทุกครั้งที่เครื่องบินสั่นตามแรงลม
เลสเตอร์ที่นั่งข้างนักบินเหลือบตาไปมองทางเบาะหลังเป็นระยะ พลางถอนหายใจเงียบ ๆ “โมนีก้า เธอเป็นภูติหิมะปลอมตัวมาหรือเปล่า หนาวขนาดนี้ยังไม่คิดจะบ่นสักคำ?” น้ำเสียงกึ่งล้อกึ่งห่วงใย
เด็กสาวที่กำลังซุกหน้าลงกับฮู้ดเสื้อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงแก้มแดงระเรื่อจากความเย็น “พูดไม่ไหว ฟันสั่นพูดไม่ออก…แค่นี้ก็เหมือนกัดน้ำแข็งแล้ว” ฟันยังคงกระทบกันเป็นจังหวะให้ได้ยิน นักบินหนุ่มหัวเราะเบา ๆ พลางปรับความแรงของฮีตเตอร์ให้กับโมนีก้า “อดทนหน่อย อีกสักพักจะออกจากเขตทุนดราแล้ว อากาศจะอุ่นขึ้นเอง”
คำพูดนั้นเหมือนแสงสว่างในความหนาว โมนีก้าตาเป็นประกายทันที แม้ริมฝีปากยังซีด เธอเอียงตัวมองออกไปนอกหน้าต่าง จ้องเส้นขอบฟ้าและผืนดินเริ่มมีเงาสีเทาเข้มแทนที่ขาวโพลน
ไม่นานหลังจากนั้น เครื่องบินก็พ้นแนวเมฆหนาวเข้าสู่ชั้นอากาศที่อบอุ่นกว่า ความแตกต่างชัดเจนจนเหมือนเปลี่ยนโลก โมนีก้าถึงกับส่งเสียง “โอ้โห” ออกมาแล้วเอนตัวพรวดไปทางช่องฮีตเตอร์ทันที “สวรรค์ของจริง!” เธอครางอย่างมีความสุข ก่อนจะยกสองมือประคองช่องลมร้อนเหมือนเจอเครื่องทำความอบอุ่นที่ตามหา “อุ่นโคตร ๆ ฮือออ…ขออยู่ตรงนี้ตลอดไปได้ไหม”
เลสเตอร์เอียงคอพิงเบาะ มุมปากยกขึ้นอย่างขำ ๆ “นี่ฉันต้องเดินทางกับสาวไฮสคูลที่ดีใจได้แค่กับฮีตเตอร์เครื่องบินสินะ”
โมนีก้าหันมาค้อนเลสเตอร์อย่างเห็นได้ชัด “ก็ฉันเกลียดความหนาวนี่นา นายลองเป็นฉันดูสิแล้วจะรู้ว่าแค่นี้มันคือสวรรค์ของจริง” นักบินหัวเราะพรืด ขณะเอื้อมมือไปจับวิทยุสื่อสาร “พูดไปก็กัดฟันไปนะคุณหนูไฮสคูล เดี๋ยวผมติดต่อสนามบินเยลโลว์ไนฟ์แจ้งขอลงจอดก่อน” เขาหันไปยิ้มให้ทั้งคู่ “เตรียมตัวอีกไม่นานเราก็ได้เหยียบพื้นอุ่น ๆ กันแล้ว”
โมนีก้าพยักหน้าหงึกหงัก รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าที่เริ่มกลับมามีสีเลือด “รีบเลยค่ะ คุณกัปตัน ถ้าได้ลงก่อนฟันฉันจะสั่นหลุดซี่ก็ดี” เลสเตอร์กลั้นหัวเราะไม่อยู่ตอนที่โมนีก้าเริ่มหายหนาวก็เริ่มบ่นเสียแล้ว “เธอนี่นะโมนีก้า…ยังไงก็ยังเป็นเด็กขี้บ่นเหมือนเดิม” แต่แววตาเขาแฝงความอ่อนโยนอย่างปิดไม่มิด รู้สึกทั้งเอ็นดูและชื่นชมที่เธออดทนต่อการเดินทางอันโหดร้ายนี้ได้อย่างไม่ยอมแพ้
ไม่นานเกินชั่วโมงลมหนาวจากพื้นรันเวย์เยลโลว์ไนฟ์พัดกระแทกใบหน้าในทันทีที่เครื่องบิน Cessna 172 ร่อนลงอย่างนุ่มนวล เสียงล้อแตะพื้นตามมาด้วยแรงสั่นสะเทือนเบา ๆ ที่สะท้อนขึ้นมาตามพื้นโลหะของลำตัวเครื่องบิน โมนีก้าสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ทันทีที่สายรัดนิรภัยถูกปลดออก กลิ่นน้ำแข็งผสมกลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิงตลบอบอวล เธอรีบคว้าเสื้อโค้ตขนสัตว์ที่พาดอยู่แล้วสวมทับอีกชั้นทันที ขณะที่เลสเตอร์ก้าวตามออกมาด้วยสีหน้าสงบนิ่งแต่สายตายังคงกวาดมองรอบพื้นที่รันเวย์ราวกับกำลังประเมินทุกความเสี่ยง
นักบินหนุ่มเดินเข้ามาหาทั้งคู่ เขาถอดหมวกไหมพรมที่สวมเล็กน้อยออกเผยผมสีน้ำตาลเข้มที่เริ่มมีน้ำแข็งเกาะตามขมับ “จากตรงนี้ถือว่าผมทำหน้าที่เสร็จแล้วนะ” น้ำเสียงอบอุ่นแต่แฝงความเด็ดขาด “ผมคงไม่ตามพวกคุณเข้าไปในเหมืองหรอก ที่นั่นอันตรายเกินไป ถ้าผมไปด้วยคงมีแต่จะถ่วงพวกคุณ”
โมนีก้าที่กำลังจัดกระเป๋าอยู่ชะงักทันที เงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเทาเงินบริสุทธิ์เบิกกว้าง “หา…คุณนักบินจะไม่ไปด้วยกันจริงเหรอ” เสียงเธอมีทั้งความประหลาดใจและความไม่สบายใจ “พวกเราต้องบุกเข้าเหมืองที่ LoNex ใช่ไหม คนเยอะ ๆ ก็น่าจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ”
นักบินส่ายหน้า ยกมือขึ้นตบไหล่เด็กสาวเบา ๆ “ไม่เสมอไปนะ ผมรู้ขีดจำกัดของตัวเองดี โม…เอ่อ หนูโมนีก้า ถ้าผมไปจะเป็นภาระมากกว่าเป็นกำลังเสริม ที่สำคัญผมต้องคอยทำให้เครื่องบินให้ปลอดภัย ถ้าเกิดเรื่องขึ้น พวกคุณจะได้มีทางกลับถ้าต้องการก็บอกเลสเตอร์เขารู้วิธีติดต่อผมอยู่แล้ว” เสียงฟันกระทบกันเบา ๆ ของโมนีก้าหยุดลง เธอเม้มปากก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ แม้ในใจยังรู้สึกตึง ๆ “ก็ได้ค่ะ…แต่ระวังตัวด้วยนะคะ”
เลสเตอร์ที่ยืนข้าง ๆ ยกมือขึ้นแตะศีรษะเธอเบา ๆ ราวกับบอกให้ใจเย็น “โมนีก้า รออยู่ตรงนี้สักครู่ได้ไหม” ดวงตาสีฟ้าลึกของเขามีประกายจริงจังจนน่าประหลาด “ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว” เด็กสาวผมสีม่วงครามขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารับ “ก็ได้…แต่รีบนะ หนาวจะตายอยู่แล้ว” เธอกอดตัวเองแน่นขึ้นอีกครั้งก่อนจะถอยไปยืนรอข้างเครื่องบิน
เลสเตอร์หันกลับมาทางนักบินทันทีเมื่อโมนีก้าก้าวถอยห่างออกไป สายลมเย็นจัดพัดผ่านปลายผมหยิกสีเข้มของเขา ดวงตาสีฟ้าคมส่องประกายเย็นในแสงสลัว “ขอบใจที่ช่วยพวกเราได้มาถึงตรงนี้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่หนักแน่น “แต่ต่อจากนี้จะอันตรายกว่าที่ผ่านมา ถ้ามีอะไรผิดพลาด…ดูแลตัวเองให้ดี”
นักบินสบตากับเลสเตอร์ พลางยกคิ้วเล็กน้อยคล้ายจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็เพียงยิ้มบาง ๆ แล้วตบบ่าเด็กหนุ่มผิวขาวที่เขารู้ดีว่าไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา “ฉันรู้ว่านายจะทำสำเร็จ…เทพแห่งแสงอาทิตย์” เลสเตอร์เพียงยักไหล่เล็กน้อยโดยไม่ตอบ ยังคงรักษาหน้ากากของเด็กหนุ่มธรรมดาเอาไว้ เขาหันไปมองโมนีก้าที่กำลังยืนซุกตัวอยู่ข้างลำเครื่องบิน แก้มสีชมพูจากไอหนาวและดวงตาเทาเงินจับจ้องมาทางนี้อย่างระแวดระวัง รอยยิ้มบางคลี่ขึ้นบนใบหน้าเลสเตอร์
นักบินหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างลำเครื่องบินที่เริ่มถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งบาง ๆ รอยยิ้มกวนเล็ก ๆ ปรากฏบนใบหน้าคมสัน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสบกับดวงตาสีฟ้าของเลสเตอร์ที่เดินกลับมาหาเขาในเงียบงัน “เด็กคนนั้น…” นักบินพยักพเยิดไปทางโมนีก้าที่กำลังยืนซุกตัวหลบลมอยู่ไม่ไกล “ยังเป็นแค่สาวไฮสคูลนะ นายคงไม่ได้คิดอะไรใช่ไหม” น้ำเสียงติดแซวแต่ก็แฝงความเป็นห่วง
เลสเตอร์ยกคิ้วเล็กน้อย รอยยิ้มเจือความหยิ่งผยองแตะมุมปาก “นายก็รู้ว่าฉันไม่ใช่พวกโรคจิตล่าเด็ก” เสียงทุ้มตอบกลับเรียบง่ายแต่แฝงทิฐิ “เธอยังเด็กเกินไป ฉันไม่คิดอะไรกับเด็กสาวที่ยังต้องกังวลเรื่องสอบปลายภาคหรอก”
นักบินหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหัว “พูดเหมือนจะเชื่อได้ง่าย ๆ นะเจ้าเทพพระอาทิตย์”
เลสเตอร์กอดอกพลางยักไหล่ สีหน้าดูไม่ใส่ใจแต่แววตาวาวขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำเรียกเก่าที่อีกฝ่ายจงใจเอ่ย “นายก็ยังชอบย้ำอดีตอยู่สินะ” เขาตอบเสียงเรียบแต่แฝงความท้าทาย “ก็จริง…ครั้งหนึ่งเราเคย…ทำไมคิดถึงหรือไง” นักบินมองเขานิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาว “ยังคงเก๊กเหมือนเดิม…แต่ก็เห็นชัดว่าตอนนี้นายไม่เหมือนเมื่อก่อน” เขาเอ่ยเสียงเบา “เมื่อก่อนนายจะไม่ปล่อยให้ใครมาสั่งอะไรได้ แต่ตอนนี้…นายยอมให้ตัวเองปกป้องคนอื่นได้โดยไม่ต้องอวดว่าเป็นวีรกรรมบ้าบอคอแตกแล้วนี้”
เลสเตอร์หัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะแผ่วแต่แฝงรอยเศร้าลึก ๆ “อย่าคิดว่าฉันเลิกอวดแล้วนะ ฉันยังคงเป็นฉัน…เทพผู้ยิ่งใหญ่ผู้สร้างบทกวีและดนตรี ผู้ยิงธนูแม่นกว่าใคร และหล่อเกินกว่ามนุษย์จะจินตนาการได้” เขาเอ่ยอย่างขี้เล่น พลางยกมือเสยผมหยิกที่ถูกลมหนาวพัดจนยุ่งเหยิง “แต่ใช่…ฉันเริ่มรู้แล้วว่าการปกป้องคนอื่นสำคัญกว่าการประกาศว่าฉันยิ่งใหญ่แค่ไหน”
นักบินยิ้มบาง ๆ ดวงตาเปล่งประกายความเข้าใจที่ไม่ได้ต้องการคำพูดใด ๆ เพิ่ม เขายกมือขึ้นตบบ่าเลสเตอร์แน่น ๆ หนึ่งครั้ง “งั้นก็ไปทำในสิ่งที่ต้องทำเถอะ เลสเตอร์…หรือต้องเรียกอะพอลโล่ หรืออะไรก็ตามที่นายอยากให้ฉันเรียก” เลสเตอร์ยกมุมปากขึ้นอีกครั้ง แต่สายตากลับทอประกายจริงจัง “ขอบใจที่ยังเรียกฉันว่าเพื่อน” น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความอบอุ่นอย่างที่ไม่ต้องการให้ใครได้ยิน
ทั้งสองยืนสบตากันท่ามกลางลมหนาวเพียงครู่เดียว ก่อนเลสเตอร์จะผละออกอย่างสง่างามราวกับไม่เคยมีความลังเลใด ๆ เขาเดินกลับไปหาโมนีก้าที่กำลังยืนกอดตัวสั่นอยู่ รอยยิ้มเล็ก ๆ ยังคงประดับอยู่บนใบหน้า รอยยิ้มของเทพผู้เคยรัก เคยสูญเสีย และยังคงมีหัวใจที่พร้อมจะปกป้องโลกใบนี้แม้ในคราบมนุษย์ธรรมดา
แสงอาทิตย์สีซีดที่ไม่เคยลาลับยังคงคลุมทั่วเมืองเยลโลว์ไนฟ์ ราวกับโลกนี้ลืมไปแล้วว่ากลางคืนมีอยู่จริง โมนีก้าก้าวขาลงจากฟุตพาธ หันข้อมือขึ้นมองนาฬิกาดิจิทัลสีดำที่สวมติดไว้ตลอด ดวงตาสีเทาเงินไล่จับตัวเลขบนหน้าปัดแล้วขมวดคิ้ว “ตี 2 กว่าแล้วนะ…ใกล้ตี 3 เข้าไปทุกที” เธอบ่นพลางเงยหน้ามองเลสเตอร์ที่ยืนกอดอกหลบลมหนาวข้างตัว “เราควรพักก่อนเถอะ นอนห้องจริง ๆ ดี ๆ สักที ไม่ใช่แค่แคมป์หรือเครื่องบิน ฉันอยากนอนเตียงนิ่ม ๆ แล้ว”
เลสเตอร์เหลือบมองท้องฟ้าที่สว่างเหมือนเที่ยงวัน ริมฝีปากยกขึ้นนิดหนึ่งเหมือนจะประชดโชคชะตาที่ไม่รู้จักเวลากลางคืน “ก็จริง…” เขาพึมพำแล้วกวาดสายตามองรอบเมืองที่ยังมีผู้คนเดินไปมา “แต่เราคงต้องหาที่พักถูก ๆ หน่อยล่ะ แถวนี้ถ้าจะเอาโรงแรมใหญ่คงไม่ไหว สลัมรอบนอกอาจพอหาที่ซุกหัวได้”
โมนีก้าหันขวับทันทีตอนที่เลสเตอร์พูดแบบนั้น ใบหน้าที่ซีดเพราะหนาวฉายแววตกใจ “หา? สลัม?! นายบ้าปะเนี้ย!” เธอเบิกตากว้าง “นี่นายไม่มีเงินเลยเหรอ เลสเตอร์?” เด็กหนุ่มผิวขาวผมหยิกสีเข้มกระพริบตาปริบ ๆ ใส่โมนีก้า ดวงตาสีฟ้าสดเหมือนกำลังซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ “เอ่อ…” เสียงเขาเนิบช้าลงอย่างแปลกประหลาด “พอดี…ฉันอาจจะไม่ได้พกเงินสดมาด้วยสักเท่าไร”
โมนีก้ากระพริบตาตอบกลับเป็นจังหวะเดียวกัน “นาย…ไม่ได้พก?”
“อืม” เลสเตอร์ยักไหล่ราวกับเรื่องนั้นเป็นเพียงฝุ่นผง “บางทีฉันก็ลืมว่าต้องใช้เงินสกุลปกติน่ะ ชีวิตที่ผ่านมาไม่ค่อยต้องจ่ายค่าอะไรเองเท่าไร”
เด็กสาวจ้องหน้าเขาน้ำเสียงผสมระหว่างหงุดหงิดกับไม่อยากหัวเราะ “ลืม? ใครมันจะลืมเอาเงินมาเดินทางวะ…นี่มันสมองอะไรของนาย! ถึงลืืมพื้นฐานของการใช้จ่ายเนี้ย!” เธอส่ายหน้าแรง ๆ ก่อนจะถอนหายใจยาว “บอกมาตรง ๆ เถอะ นายเป็นเดมิก็อดสายไม่จ่ายเงินสดใช่ไหม ถึงได้ลืมเตรียมเงินแบบนี้”
เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ เสียงทุ้มก้องในลำคอ “…ฟังดูน่าสนใจดีนะ” เขาเอียงคอเล็กน้อย ยกคิ้วขึ้นอย่างท้าทาย “แต่ไม่ต้องห่วง ฉันมีวิธีหาที่พักโดยไม่ต้องพึ่งกระเป๋าสตางค์อยู่แล้ว” แต่ทว่าโมนีก้ากลับเพ่งตาใส่เขา “ฟังดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด”
“เชื่อฉันเถอะ โมนีก้า” เลสเตอร์ก้าวเข้ามาใกล้เล็กน้อย รอยยิ้มผสมความมั่นใจเกินเหตุประดับอยู่บนใบหน้า “ฉันเคยเอาตัวรอดในป่าโรมัน ในค่ายเทพ ใต้ดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยลับ ฉันไม่ปล่อยให้เธอต้องนอนกลางถนนหรอก”
โมนีก้าเท้าสะเอวแล้วหันไปมองเลสเตอร์ที่ยืนกอดอกเหมือนคนไม่เดือดร้อน เสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มลายเก่า ๆ กับกางเกงยีนส์ซีด ๆ ดูไม่ต่างอะไรจากคุณหนูตกอับที่พยายามทำตัวเท่ เธอกวาดสายตาตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหรี่ตาหนัก ๆ อย่างเอาเรื่อง “นี่…นายรู้ตัวมั้ยว่าตัวเองดูยังไง” เธอหมุนรอบตัวเขาเหมือนกำลังตรวจเครื่องแบบนักเรียน “เจ้าสำอางค์ เสื้อเก่าไม่มีเงินซื้อใหม่ แล้วจะให้ฉันเชื่อว่านายมีเงินพอจะจ่ายค่าโรงแรมหรอ? โอ๊ย ไม่ไว้ใจเลยจริง ๆ”
เลสเตอร์ยกคิ้วอย่างไม่สะทกสะท้าน “โอ้ ขอบคุณสำหรับคำชมเรื่องความสำอางค์นะ โม-นี-ก้า” เขาลากเสียงเรียกชื่อเธออย่างจงใจ “แต่เสื้อเก่ามันเป็นสไตล์ รู้จักคำว่าวินเทจหรือเปล่าเถอะ”
“วินเทจบ้าอะไร ดูยังกับคนตกอับ” เธอตัดบทแล้วคว้ามือเขาแบบไม่ถามความสมัครใจ “ไป! โรงแรม!”
“เฮ้ เดี๋ยวสิ—” เลสเตอร์แทบสะดุดตามแรงลากของเด็กสาว “นี่มันเยลโลว์ไนฟ์นะ รู้ค่าโรงแรมมั้ย นี่ไม่ใช่ค่ายเดมิก็อดนะที่จะให้คนพักฟรี ๆ นะ” โมนีก้าเดินลากอีกฝ่ายไปไม่แม้แต่จะเหลียวกลับ “ไม่สน! ฉันจะนอนโรงแรมดี ๆ วันนี้ ฉันไม่สนว่าค่าห้องเท่าไหร่ ขึ้นแท็กซี่!” เธอเปิดประตูรถที่จอดรออย่างคล่องแคล่วแล้วผลักเขาเบา ๆ ให้ขึ้นไปก่อนเพราะอีกคนมันไม่ชอบนั่งแท็คซี่ให้เดินไปเธอไม่เอาด้วยหรอก!
เลสเตอร์ถอนหายใจแต่จำใจตามขึ้นไป นั่งลงข้าง ๆ พร้อมสายตาที่เหมือนจะบ่นแต่ปากกลับยกยิ้มบาง “ก็ได้ ๆ แต่ถ้าค่าโรงแรมแพงจนต้องขายธนู ฉันจะให้เธอชดใช้นะ” โมนีก้าหันมามองค้อนเลอสเตอร์ “ฝันไปเถอะ” ไม่นานแท็กซี่ที่เคลื่อนตัวไปบนถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะเพียงห้านาที เส้นไฟถนนส่องสะท้อนหิมะเป็นประกายจนดูเหมือนละอองดาว ไม่ทันไรทั้งสองก็มาถึงหน้าโรงแรม Explorer Hotel Yellowknife ตัวอาคารสามดาวสีอุ่นตัดกับท้องฟ้าที่สว่างตลอดวันราวกับยั่วล้อโลกที่ลืมกลางคืน
โมนีก้าลงจากรถก่อน สูดลมหายใจเข้าลึกเหมือนจะประกาศชัยชนะ “นี่ไง โรงแรม! เห็นไหมเลสเตอร์ แค่ห้านาทีเอง ไม่ตายหรอก” เลสเตอร์ก้าวลงรถตามอย่างจำยอม ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองป้ายโรงแรมแล้วถอนหายใจ “หวังว่าเตียงจะนิ่มพอจะคุ้มค่ากับการขายศักดิ์ศรีตัวเองให้เด็กสาวลากมา”
โมนีก้าได้ยินก็หันมายักคิ้วให้มองแรงเลสเตอร์อย่างหนัก “ขายศักดิ์ศรี? นายลืมเหรอว่าใครไม่มีเงิน” เลสเตอร์กลอกตาแต่ก็เผลอหัวเราะ “โอเค เธอชนะรอบนี้” ก่อนจะก้าวตามเธอเข้าไปในล็อบบี้อุ่นสบาย เสียงรองเท้าผ้าใบเหยียบพื้นไม้ดังกรอบแกรบ ท่ามกลางแสงไฟสีทองที่ทำให้ค่ำคืนไร้กลางคืนดูอ่อนโยนกว่าที่เคย
โมนีก้าก้าวตรงไปยังเคาน์เตอร์ต้อนรับโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง ดวงตาสีเทาเงินที่ยังมีรอยหม่นจากความเหนื่อยล้าฉายประกายดื้อรั้น เธอวางกระเป๋าลงบนพื้นแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ขอห้องพักหนึ่งคืนพร้อมอาหารเช้าค่ะ อ้อ...แล้วก็ขอเตียงแยกด้วย” พนักงานสาวยิ้มสุภาพตอบกลับทันที “ขออภัยค่ะ ทางโรงแรมเราตอนนี้มีเพียงห้องดีลักซ์เตียงคิงไซส์ และห้องสแตนดาร์ดเตียงคิงไซส์ค่ะ หากต้องการอาหารเช้าจะมีค่าบริการเพิ่ม แต่บรรยากาศห้องดีมากค่ะ มีอุปกรณ์ครบครัน ม่านกันแสงแน่นหนา และมีวิวทะเลสาบด้วยนะคะ”
โมนีก้าเลิกคิ้วไม่ถามราคาแม้แต่นิด “แล้วเพิ่มเตียงเสริมได้ไหมคะ”
พนักงานระบายยิ้มตอบคำถถามตามหน้าที่ “สำหรับผู้เข้าพักสามคนขึ้นไปสามารถเพิ่มเตียงเสริมได้ค่ะ แต่ถ้าสองคน…ไม่สามารถเพิ่มเตียงเสริมได้ค่ะ” คำตอบนั้นทำให้โมนีก้าหันกลับมาช้า ๆ สายตาแข็งทื่อไปยังเลสเตอร์ที่ยืนกอดอกพิงเสาอย่างผู้ชนะในศึกนิ่งเงียบ ริมฝีปากของเธอกระตุกอย่างเห็นได้ชัด “หมายความว่า…ฉันต้องนอนเตียงเดียวกับเขาใช่ไหมคะ”
เลสเตอร์ยกคิ้วสูง ยักไหล่อย่างกวนประสาทเพราะเอาตรง ๆ มันก็เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เขารู้สึกว่ากวนตีนโมนีก้าแล้วสนุกดี “ก็…ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นนะ โม-นี-ก้า” น้ำเสียงของเขามีประกายขบขันที่ตั้งใจยั่ว
“บ้า-บอ-ที่สุด” เธอกัดฟันพูดทีละคำ ก่อนหันกลับไปทางพนักงาน “งั้นเอาห้องดีลักซ์ค่ะ รับอาหารเช้าด้วย” พนักงานยิ้มหวานเหมือนไม่รู้เรื่องความขัดเขินของลูกค้าหรืออาจจะรู้แต่เลือกที่จะเมินเฉยไป “ค่าห้องรวมอาหารเช้าคืนนี้ 200 ดอลลาร์ค่ะ” โมนีก้าล้วงกระเป๋าสตางค์สีม่วงครามของตัวเองแล้วจ่ายเงินทันที
เลสเตอร์มองภาพตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มเอือมปนขำ ดวงตาสีฟ้าเป็นประกาย “โอ้…เด็กสาวไฮสคูลคนนี้ใจใหญ่กว่าที่คิดนะ ไม่แม้แต่จะถามราคาก่อนจ่าย” โมนีก้าหันกลับมาอย่างหงุดหงิด “ฉันมีเงิน ไม่ได้จนเหมือน ใครบางคน ที่ลืมแลกเงินดอลลาร์ติดตัว”
เลสเตอร์แสร้งทำหน้าภูมิฐาน “ขอโทษด้วยนะ คุณหนูเงินหนัก แต่เท—เอ๊ย! คนธรรมดาแบบผมไม่จำเป็นต้องใช้เงินบ่อย ๆ”
โมนีก้ากัดริมฝีปากกลั้นรอยยิ้มแต่ไม่ได้สนใจคำพูดผิดของอีกคนด้วยซ้ำไปเพราะเธอไม่คิดมาก “ก็ใช่สิ…ไอ้ลูกคุณหนูตกอับ” ไม่นานพนักงานก็ยื่นคีย์การ์ดห้องมาให้ด้วยรอยยิ้มเก็บอาการ ทั้งคู่รับคีย์การ์ดแล้วเดินไปยังลิฟต์ที่กำลังเปิดรอ เสียงรองเท้าบู๊ตของโมนีก้าดัง ตึก ตึก บนพื้นพรม เธอกอดอกแน่นพลางพึมพำเสียงเบา “อย่าแม้แต่จะคิดว่าฉันจะนอนใกล้นาย…” เลสเตอร์แกล้งโน้มตัวลงมากระซิบใกล้หูเธอ “ผมไม่คิดหรอก…แต่เตียงมันกว้างนะ เผื่อเธอกลิ้งมาตรงกลางก็ช่วยไม่ได้นะ โม-นี-ก้า”
“เลสเตอร์!”
เมื่อถึงห้องพักประตูห้องปิดลง ตัดโลกทั้งเมืองให้เหลือเพียงแสงโคมสีอุ่น กลิ่นน้ำยาถูพื้นและผ้าปูที่เพิ่งซักใหม่ลอยจาง ๆ โมนีก้ากวาดตามองเตียงคิงไซส์ผืนเดียวก่อนถอนหายใจยาว ยาวแบบบอกโลกว่าจบกัน แล้วก็ไม่เสียเวลาบ่นซ้ำ เธอปลดเสื้อโค้ตขนสัตว์ ถอดชั้นนอกชั้นในวางพาดพนักเก้าอี้เป็นชั้น ๆ เปิดฮีตเตอร์สุดคันเลื่อน “ฟื้ดด—” ให้ลมร้อนพุ่งกระทบหน้าแข้งจนผิวอุ่นขึ้นทันที จากนั้นเดินฉิวเข้าห้องน้ำราวกับมีไฟนรกไล่หลัง ไม่สนใจสายตาเลสเตอร์แม้แต่นิด
เสียงฝักบัวกระทบกระเบื้อง “ซ่…าา” สม่ำเสมอไม่นาน ช้าหน่อยตรงที่โมนีก้าต้องสระผม เธอปล่อยให้ฟองครีมนุ่มกลิ่นผลไม้คลี่ไปตามผมสีม่วงครามจนเงาไฟในกระจกสะท้อนระยิบ เธอซับตัวเร็ว ใส่เสื้อยืดนุ่ม ๆ กับกางเกงวอร์มยืดตัว แล้วผลักประตูออกมาอย่างคนอยากหลับเต็มที เลสเตอร์เงยจากกระเป๋าใส่ธนูของเขาที่คลี่บนโต๊ะ เขากำลังจัดของเป็นระเบียบแบบคนเจ้าสำอาง ลูกธนูถอดหัวศรเก็บ, ผ้าพันธนูพับเหลี่ยม, แท็บเล็ตวางชาร์จ แนบกับกระดาษเก่าที่เขาเจอในแคมป์ “อาบไวผิดคาด” เขาเอ่ยยิ้มมุมปาก
โมนีก้าหน้างอใส่หนึ่งทีเป็นพิธี “ฉันจะนอน ไม่สนว่านายจะอาบน้ำหรือจะทำพิธีเรียกเทวดาอะไรของนายในห้องน้ำทั้งนั้น” เธอปีนขึ้นเตียง ดึงผ้าห่มฟู ๆ มาซุกครึ่งตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเหลือบมองผมหยิกสีน้ำตาลเข้มของเขาแล้วทำจมูกฟึดฟัด “ห้ามขยับมาฝั่งฉัน จำไว้”
“ครับ คุณหนูโมนีก้า” เลสเตอร์ตอบเนียน ๆ แต่ไม่เสียดสีเพิ่มนอกจากเรียกเธอด้วยคำว่าคุณหนู เขาหยิบหมอนสี่ใบมาก่อเป็นกำแพงปลอดภัยที่กั้นกลางเตียงแบบตั้งใจเกินเหตุ “เห็นไหมฉันทำแนวกันชนให้แล้ว ต่อให้เธอกลิ้งมากฎแรงโน้มถ่วงก็จะหยุดตรงนี้”
“ดี…ก็ทำแบบนั้นแหละ” เธอตอบห้วน ๆ แต่หางเสียงคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เปลือกตาหนักอึ้งจวนจะปิด
เลสเตอร์หยิบผ้าเช็ดตัว คว้าชุดนอนสะอาด เดินเข้าห้องน้ำบ้าง เขาไม่อาบน้ำนานเหมือนทุกที ตัดพิธีครึ่งหนึ่งเพราะคนข้างนอกกำลังจะหลับจริง ๆ เพียงฟอกล้างให้หายกลิ่นลมหนาวแล้วกลับออกมาพร้อมกลิ่นสบู่สะอาดจาง ๆ ผมยังเปียกเล็กน้อย โมนีก้ากึ่งหลับกึ่งตื่น มองเขาผ่านม่านผมเปียกที่ทาบแก้ม “…อย่าเสียงดัง ฉันจะนอน” น้ำเสียงติดบ่น แต่ดวงตาเทาเงินพร่า ๆ ดูไว้ใจขึ้นมากกว่าตลอดวัน
“รับทราบ” เลสเตอร์หรี่ไฟลงเหลือเพียงโคมหัวเตียงด้านเขา แสงอุ่นไหลคลุมห้องเหมือนผ้าห่มอีกชั้น เขาไปนั่งที่โต๊ะเปิดเช็คแผนที่เหมืองเก่ารอบเยลโลว์ไนฟ์ นิ้วไล่ตามสันภูมิ เส้นทางรถบรรทุกในอดีต และตำแหน่งปล่องระบายอากาศร้าง เขาจดโน้ตสั้น ๆ ลงกระดาษพอแน่ใจว่าแผนพรุ่งนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เขาจึงปิดทุกอย่าง วนกลับมาที่เตียง ค่อย ๆ ล้มตัวลงตรงฝั่งของตน โดยระวังกำแพงหมอนอย่างกับเป็นเขตแดนระหว่างสองอาณาจักร
ความเงียบอุ่น ๆ ทาบทับมีเพียงเสียงฮีตเตอร์ที่หายใจและเสียงลมเมืองที่ยังสว่างเหมือนเที่ยงวันลอดม่านกันแสงมาเบาบาง สักพัก เลสเตอร์ได้ยินเสียงเด็กสาวพึมพำที่งัวเงียเบามากจนแทบกลืนไปกับผ้าห่ม “เลสเตอร์…ขอบใจ…ที่วันนี้ไม่ปล่อยฉันไว้ข้างหลัง” คำพูดขาดห้วงเพราะง่วงจัด แต่จริงใจจนคนฟังนิ่งไปวูบ
เขามองเพดานที่เงาไฟเต้นระริกบนปูนแล้วตอบแผ่ว ๆ “ฉันบอกแล้ว โมนีก้า…ฉันจะคุ้มกันเธอก่อนเสมอ” เสี้ยววินาทีหนึ่ง เงาเก่า ๆ แว้บในหัว ใบหน้าที่เขาเคยรัก ความสูญเสียที่ยังแทงใจของเทพพระอาทิตย์แต่เขาหายใจยาว เลสเตอร์สลัดมันออก เหลือเพียงปัจจุบันที่มีเด็กสาวหัวดื้อซุกตัวอยู่อีกฝั่งของกำแพงหมอน ไม่นาน ลมหายใจของโมนีก้าก็สม่ำเสมอ เธอหลับสนิทจริง ๆ เลสเตอร์เหลือบดวงตาของตนเองไปทางเธอขยับมือเอื้อมไปที่เธอเหมือนต้องการทำอะไรบางอย่าง ทว่ากลับหยุดก่อนถึงหมอนกั้น เสมือนสาบานเงียบ ๆ กับตัวเองแล้วดึงผ้าห่มฝั่งเธอขึ้นคลุมบ่าให้มิด เขาเอนศีรษะลง หลับตา ทิ้งร่างมนุษย์ที่อ่อนล้าให้ได้พักชั่วครู่
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ไม่รู้จักคำว่ากลางคืน เมืองทั้งเมืองยังสว่าง แต่ในห้องเล็ก ๆ นี้ บนเตียงอุ่นสีครีมอ่อนหวาน ความมืดสบายตาที่ม่านหนาทำไว้เพียงพอให้สองนักเดินทางได้หลับ หนึ่งคือเทพที่เรียนรู้จะอ่อนโยนในคราบมนุษย์ และอีกหนึ่งคือสาวไฮสคูลที่เกลียดการต่อสู้แต่ยังดื้อดึงจะไปต่อ

Summary Cards – Burgundy
Lester Papadopoulos
เลสเตอร์และโมนีก้าปรึกษากันสรุปแล้วต้องไปที่เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ เดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง กว่าจะถึงก็วันใหม่แล้ว เลสเตอร์และโมนีก้าแยกกับนักบิน เขาได้พูดคุยกับนักบินเล็กน้อย และตอนที่จะพักผ่อนโมนีก้ากลับงอแงจะนอนโรงแรมเพราะเธอเหนื่อยแต่เขาไม่มีเงิน แต่โมนีก้าดันจ่ายค่าโรงแรมเอง เขาเห็นว่าภายในกระเป๋าของเธอมีเงินดอลลาร์เป็นพัน ๆ เลสเตอร์รู้สึกเหมือนอยู่กับน้องสาวคนหนึ่งและหวังว่าความรู้สึกมันจะไม่เปลี่ยน อย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้เขาจะได้เจอมิตรภาพใหม่ ๆ เหมือนครั้งก่อน
[เดินทางจากนูนาวุตมาที่เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์]
[แยกกับนักบิน]
[พักผ่อนที่โรงแรม the explorer hotel yellowknife]
[เริ่มต้น ช่วงที่ 6-10: การแทรกซึม (The Infiltration)]
Moneka M. Blossom
ตอนออกมาจากนูนาวุตโคตรดีใจ แต่เมืองนี้ก็หนาวชิบหายเหมือนกัน 0 องศา บ้าบอที่สุด เอาเถอะอย่างน้อยก็ไม่ได้หนักหนาขนาดนั้น แต่โมนีก้าไม่ค่อยพอใจที่ต้องนอนเตียงเดียวกับเลสเตอร์ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรอกนะ เขิน เกิดมาชาตินี้ยังไม่เคยนอนเตียงเดียวกับผู้ชายคนอื่นนอกจากพ่อเลย ถ้าพ่อรู้นะโกรธตายห่า โมนีก้าเชื่อใจว่าเลสเตอร์จะไม่ทำอะไรเธอแน่นอน แค่มันเขินอ่ะเข้าใจไหม?!!

[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส
พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5
โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20
กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5
(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)