[บันทึกการเดินทาง] Beamed into Duty: Saving Mr. Freckles

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-9-25 15:29:42 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-9-25 15:31

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 10 : ต้องดึงสติกันสักหน่อย
วันที่ 19 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงเย็น เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ณ จุดสัญญาณสุดท้ายของเรือเหาะ - แคมป์คนงานร้าง เขตทุนดราทางเหนือ นูนาวุต แคนาดา

หลังจากเดินกันมาจนถึงจุดสัญญาณสุดท้ายของเรือเหาะสิ่งที่เลสเตอร์หวังก็แทบพังทลาย ลมหนาวพัดแรงจนเกล็ดหิมะกระแทกใบหน้า เลสเตอร์หยุดก้าวแทบจะทันทีที่เห็นภาพเบื้องหน้า ซากเรือเหาะสีงามที่ซีดและโดนฝังตัวอยู่กลางทุ่งน้ำแข็ง รอยแตกบนลำตัวบอกชัดว่าไม่มีทางเหลือใครรอด เสียงเครื่องติดตามสัญญาณดังติ๊ดเบา ๆ แต่กลับฟังเหมือนระฆังสั่นใจ เขายืนนิ่งราวถูกตรึงเอาไว้กับพื้นสายตาเหม่อลอยกับภาพที่รอคอยมานานแต่กลับเจอเพียงซากปรักหักพัง 


“ไม่…นี่มัน…” เสียงเขาแทบกลืนหายไปในลม


โมนีก้าที่เดินตามมาติด ๆ ถึงกับเบิกตาเมื่อเห็นแสงสีแดงกระพริบเคลื่อนไหวอยู่รอบเรือเหาะ “เลสเตอร์…ข้างบนนั่น” เธอเอ่ยเสียงเบาที่สุด นิ้วชี้ไปยังกลุ่มจุดดำที่บินวนอยู่เหนือท้องฟ้า ฝูงโดรนขนาดเล็กนับสิบตัวกำลังเคลื่อนไหวอย่างมีแบบแผน เสียงปีกกลโลหะดังหึ่ง ๆ สอดประสานกับเสียงลมจนแทบแยกไม่ออก


เลสเตอร์สะดุ้งเฮือกกลับมามีสติ ดวงตาเปลี่ยนจากความตกตะลึงเป็นความตระหนักอันเยือกเย็น เขาก้าวถอยหลังสั้น ๆ แต่ยังจ้องซากเรือเหาะอย่างไม่วางตา แต่โมนีก้าไม่รอให้เขาลังเล เธอสอดแขนดึงชายเสื้อของเขาแล้วลากไปด้านหลังแท่งหินน้ำแข็งที่พอจะบังสายตาได้ ก่อนจะกดตัวเองลงชิดพื้นพร้อมกับดึงมือเลสเตอร์มากุมไว้แน่น ความเย็นจากมือเธอส่งผ่านมาจนเลสเตอร์ชะงักไปเล็กน้อย เขาหันมามอง เห็นดวงตาสีเทาเงินที่เต็มไปด้วยทั้งความกลัวและความเป็นห่วง แม้จะไม่เปล่งเสียงสักคำ แต่แรงบีบที่ส่งมานั้นพูดแทนได้หมด สติของเขาต้องกลับมา เดี๋ยวนี้


เลสเตอร์ค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าลึก ปล่อยให้เสียงโดรนและลมหนาวค่อย ๆ จางลงไปในโสตประสาท เขาก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการตอบรับ กุมมือโมนีก้ากลับแน่นขึ้นเพียงชั่ววินาทีเหมือนจะสัญญาว่า ฉันยังอยู่กับเธอ ก่อนจะค่อย ๆ ชะโงกศีรษะออกจากกำบังเพื่อสำรวจเส้นทางหลบหนี โมนีก้านิ่งสนิท แม้หัวใจจะเต้นแรงจนได้ยินชัดในอก แต่เธอไม่ปล่อยมือเขาแม้แต่น้อย ปลายนิ้วทั้งคู่แนบกันท่ามกลางหิมะและเสียงเครื่องจักรที่วนเวียนอยู่เหนือฟ้า รอให้เขาเป็นฝ่ายตัดสินใจว่าก้าวต่อไปจะเป็นเช่นไร


ในขณะนั้นลมหิมะพัดหนาวจัดจนเกล็ดน้ำแข็งแทงผิวหน้า แต่เลสเตอร์ยังคงก้มตัวต่ำหลังแท่งหินน้ำแข็ง ดวงตาสีน้ำเงินเข้มวาววับในความมืดจับจ้องไปยังฝูงจุดดำเล็กที่ลอยวนรอบซากเรือเหาะ เขาเพ่งมองอยู่ครู่เดียวก็รู้ทันทีว่าพวกมันไม่ใช่โดรนสำรวจธรรมดา “LoNex…” เขากัดฟันพูดเสียงต่ำแทบไม่ให้ลมหลุดออก “พวกหุ่นสอดแนมของมัน ฉลาดกว่าที่เห็นเยอะ”


โมนีก้าเบียดเข้ามาใกล้เล็กน้อย ดวงตาสีเทาเงินเบิกกว้างจ้องตามสายตาเขา “มันดูเหมือน…แมลงเหรอ? ทำไมบินเงียบขนาดนี้” เสียงกระซิบสั่นเพราะทั้งหนาวและความตื่นเต้น


“มันถูกออกแบบมาให้กลมกลืน” เลสเตอร์ตอบพลางเหลือบมองไปยังฝูงเล็ก ๆ ที่เคลื่อนเป็นระเบียบราวกับมีสมองเดียว “ขนาดเล็กเท่าแมลงปีกแข็ง แต่ทุกตัวมีเซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อนและอินฟราเรด ถ้ามันจับอุณหภูมิร่างกายเราได้แม้เศษเสี้ยวเดียว พวกมันจะส่งสัญญาณเตือนไปยังหน่วยโจมตีทันที” โมนีก้าขยับมือบีบแขนเขาแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว “พูดแล้วหนาวกว่าเดิมอีก…แล้วเราจะทำยังไง ไม่ให้มันส่งสัญญาณ”


เลสเตอร์หันมามองเธอ ดวงตาที่เคยล้อเลียนเสมอคราวนี้กลับนิ่งลึกจนเห็นประกายของความมุ่งมั่น “ต้องทำลายให้หมดก่อนที่มันจะสื่อสารได้แม้แต่วินาทีเดียว” เขาก้มลงเปิดกระเป๋า หยิบธนูและลูกศรพิเศษที่หัวศรเคลือบสารตัดสัญญาณออกมา เสียงลูกศรเสียดสีกับซองดังแผ่วจนโมนีก้าได้ยินชัด


“เธอคอยจับตาพวกที่อยู่รอบนอก” เขากระซิบ “มันเคลื่อนเป็นฝูง แต่ตัวกลางมีหน่วยสื่อสารหลัก ฉันจะจัดการพวกนั้นทีละชุด ใช้ลูกศรสกัดสัญญาณก่อน แล้วค่อยยิงทำลาย อย่าให้มันเห็นเงาเรา” โมนีก้าพยักหน้าช้า ๆ พยายามกดเสียงหัวใจที่เต้นแรงจนแทบจะดังกว่าลม เธอเลียริมฝีปากที่แห้งผากแล้วกระซิบตอบ “โอเค…ฉันจะคอยสังเกต ถ้าเห็นมันเปลี่ยนรูปแบบจะเตือนทันที”


เลสเตอร์ยิ้มมุมปากบาง ๆ แม้สถานการณ์จะตึงเครียด “ดีมากโมนีก้า เธอทำได้แน่” เสียงเขานุ่มแต่หนักแน่นราวกับพลังอุ่น ๆ ที่ไหลผ่านความหนาวเย็นเข้ามาในใจเธอ เด็กสาวสูดลมหายใจลึก พยายามทำตามคำสั่ง ขณะที่เลสเตอร์ค่อย ๆ ขยับออกจากกำบัง ศรดึงจนสายธนูตึงราวกับเส้นแสงเล็ก ๆ ท่ามกลางหิมะ เขาเหลือบตามองโมนีก้าที่คอยส่งสัญญาณมือเล็ก ๆ ให้เตรียมพร้อมสำหรับการเป็นคู่หูจำเป็นที่ต้องก้าวผ่านความกลัวไปพร้อมกัน ก่อนที่ลูกศรแรกจะพุ่งออกไปอย่างเงียบกริบ เพื่อตัดขาดเสียงเตือนของฝูงล่าเลือดให้สิ้นซาก


เสียงสายธนูของเลสเตอร์ดีดออกอย่างแม่นยำ ลูกศรพิเศษพุ่งเฉือนลมหนาวกระแทกเป้าหมายทีละตัวจนไฟสัญญาณที่แฝงอยู่ในลำตัวของพวกมันดับวูบ เขาเคลื่อนตัวอย่างสงบเย็นราวกับเป็นส่วนหนึ่งของหิมะ จังหวะการยิงเฉียบคมทุกระยะไม่มีพลาดแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนโมนีก้าที่หลบอยู่หลังก้อนน้ำแข็งมองตามสายตาคมกริบของเขา ใจหนึ่งก็โล่งที่มีเทพธนู (ที่เธอคิดว่าเป็นเดมิก็อด)คอยคุมเกม แต่สายตาอีกคู่หนึ่งก็จับได้ว่ามีโดรนตัวหนึ่งแตกฝูงลอยออกไปทางด้านซ้ายราวกับระบบเอ๋อ ก่อนที่เลสเตอร์จะทันเห็น เด็กสาวก็ขยับร่างเล็ก ๆ ของตัวเองอย่างรวดเร็ว ควักมีดสั้นพูจิโอจากแหวนดาราจรัสด้วยความเคยชินแล้วหมุนมีดในมือหนึ่งรอบเพื่อตั้งน้ำหนัก


“ตัวนั้น…” เธอพึมพำกับตัวเองก่อนเหวี่ยงมีดออกไป เสียงหวีดของโลหะฉีกอากาศหนาวพุ่งตรงไปยังเป้าหมายเหมือนการปาโป่งในงานวัดที่เธอเคยเล่นสมัยอยู่เมืองใหญ่ มีดสั้นปักกลางตัวโดรนอย่างจังประกายไฟกระจายก่อนมันจะร่วงลงบนหิมะพร้อมเสียงแตกแหลก เศษชิ้นส่วนกระเด็นเป็นละอองน้ำแข็งระยิบระยับในแสงจันทร์เทียม


เลสเตอร์ที่กำลังจะง้างศรต้องชะงัก เขาหันกลับมามองด้วยคิ้วยกขึ้นเล็กน้อย “โมนีก้า…นั่นแม่นกว่าที่ฉันคาดนะ” น้ำเสียงกึ่งทึ่งกึ่งหัวเราะ


เด็กสาวยักไหล่ พลางถูมือกับเสื้อโค้ตขนสัตว์แก้หนาว “สมัยก่อนปาเป้าเก่งน่ะ งานวัดเวลามีงานไทยเฟสที่เมือง ฉันไม่เคยพลาดเป้าเลยสักครั้ง” เธอแสยะยิ้มเล็ก ๆ แม้ปลายนิ้วจะเริ่มชา


เลสเตอร์หัวเราะในลำคอ เสียงทุ้มแผ่วแทรกผ่านลมหนาว “จำไว้ล่ะว่าฉันต้องชวนเธอเล่นเกมยิงเป้าที่ค่ายบ้างแล้ว แบบนี้ไม่แพ้ใครแน่” เขากระตุกยิ้มมุมปากอย่างเอ็นดู พลางกวาดตามองฝูงโดรนที่ค่อย ๆ ดับแสงไปทีละตัวด้วยความพึงพอใจจนมันตกหมดในที่สุด โมนีก้าหันมามองค้อนเขาที่บอกเธอแบบนั้น “อย่ามาล้อ ฉันก็แค่ไม่อยากให้ตัวนั้นหนีไปแจ้งเตือน เข้าใจไหม”


“เข้าใจครับคนเก่ง” เลสเตอร์ตอบพลางเก็บลูกศรสุดท้ายลงซอง “แต่ต่อจากนี้เธอจะได้สิทธิ์เลือกเป้าเป็นคนแรกทุกครั้งเลย ถือว่าเป็นรางวัลแชมป์งานวัดของทีมเรา” โมนีก้าหลุดหัวเราะทั้งที่ยังหอบน้อย ๆ จากความตื่นเต้น ลมหนาวพัดกรรโชกแรงขึ้นทุกย่างก้าว เสียงหิมะบดอัดใต้รองเท้าบูทดังกรอบแกรบเป็นจังหวะเดียวที่คอยเตือนว่าทั้งสองยังคงเคลื่อนไหวอยู่ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปสำรวจซากเรือเหาะที่กลายเป็นเพียงเศษไปเสียแล้ว


ระหว่างนั้นโมนีก้าดึงเสื้อโค้ตขนสัตว์ให้รัดแน่นกว่าเดิม มือสั่นเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้นพลางกวาดตามองซากเรือเหาะขนาดใหญ่ที่จมอยู่กลางทุ่งน้ำแข็ง “เรือเหาะนี่ใหญ่กว่าที่คิดเยอะเลยนะเลสเตอร์…ทีมของนายมีกี่คนกันแน่”


เลสเตอร์ก้าวข้ามเศษซากเหล็กที่แตกหัก ขณะหันมาตอบเสียงเรียบแต่แฝงความขม “ห้าคน รวมผมด้วย” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มกวาดมองเศษซากรอบตัวราวกับกำลังนับลมหายใจของเพื่อนร่วมทีมที่อาจจะยังอยู่ที่ไหนสักแห่ง


เด็กสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเหลือบไปยังพื้นน้ำแข็งที่กระจัดกระจายไปด้วยเศษอุปกรณ์ “แต่ไม่มีศพ…ไม่มีแม้แต่เศษเสื้อผ้า หรือของส่วนตัว เอิ่ม ที่ฉันไม่ได้หมายถึงแปรงสีฟันตรงนั้น หมายถึงของติดตัวของทีมเลยน่ะ” เธอกัดริมฝีปากคิด ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้กำลังใจ “ถ้าไม่มีร่องรอยแบบนั้น…ก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีใช่ไหม? อย่างน้อยก็แปลว่าพวกนั้นไม่ได้ถูกฆ่าตายตรงนี้ พวกมันคงต้องการตัวทีมของนายมากกว่า ไม่งั้นคงไม่ส่งกองกำลังตามล่านายมาถึงขนาดนี้แน่”


เลสเตอร์ชะงักฝีเท้า หันมามองเธอ ดวงตาที่มักจะสว่างเหมือนตะวันกลับเต็มไปด้วยแววหม่นลึก “โมนีก้า…เธอพูดถูก” เขาลอบสูดลมหายใจลึก ราวกับคำพูดของเด็กสาวได้ปลุกความหวังขึ้นมาอีกครั้ง


โมนีก้าสบตาเขาแล้วรีบเบือนหน้าหนี “ฉันก็แค่เดาสุ่มมั่ว ๆ อย่าไปคิดว่าฉันฉลาดนักสิ” เธอพูดพลางย่อตัวลงใช้มือปัดหิมะออกจากเศษแผ่นเหล็กเหมือนจะหาเบาะแส “แต่เราลองเดินสำรวจรอบ ๆ เถอะ บางทีอาจจะเจออะไรที่ช่วยตามรอยเพื่อนนายก็ได้”


เลสเตอร์พยักหน้ารับ ดวงตาที่เคยว่างเปล่าของเขากลับมีประกายอีกครั้ง “ก็จริง…เธอพูดถูก เราจะไม่กลับมือเปล่าแน่” เขากระชับสายธนูบนบ่า พลางก้าวขึ้นนำ เสียงของเขาแม้จะนิ่งแต่ก็มีแรงมุ่งมั่น “ตามมาใกล้ ๆ นะโมนีก้า ถ้ามีอะไรผิดปกติฉันจะคุ้มกันเธอก่อนเสมอ” เด็กสาวพ่นลมหายใจเบา ๆ แล้วเดินตามร่างสูงไปอย่างไม่ปริปาก แม้ลมหนาวจะพัดจนแก้มแดงจัด แต่ในอกกลับอบอุ่นขึ้นจากคำรับรองที่ฟังดูจริงจังเกินกว่าจะเป็นแค่คำพูดลอย ๆ ของเดมิก็อดตัวปลอมผู้แสนโอหัง


เสียงหิมะที่ถูกย่ำเบา ๆ คล้ายจะกลืนกินทุกสิ่งรอบกาย ทว่ากลับมีเสียงกระซิบบางเบาเล็ดลอดเข้ามาในหูของโมนีก้า มันคล้ายเสียงสายลมพัดผ่านยอดไม้ แต่มีจังหวะและความถี่ที่ต่างออกไป เด็กสาวชะงักก้าว หันหน้าสบตากับผืนป่าที่อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ราวกับต้นไม้กำลังเรียกหาเธอ


เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนพยักหน้าเบา ๆ เหมือนยืนยันกับตัวเอง “เลสเตอร์…” เสียงของเธอต่ำจนแทบกลายเป็นกระซิบ “ทางนั้น มีแคมป์คนงานร้างอยู่”


เลสเตอร์ที่กำลังตรวจสอบเศษอุปกรณ์บนพื้นหันขวับมาทันที คิ้วเข้มยกขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “เธอรู้ได้ยังไงกัน” น้ำเสียงเจือแววระแวง แววตานิ่งกริบราวกับพยายามอ่านความคิดของเธอ โมนีก้ากะพริบตาปริบ ๆ ตอนที่เห็นเลสเตอร์ทำแบบนั้นก่อนที่เธอจะทำหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้ “ก็…เอ่อ…รู้สึกเฉย ๆ น่ะ” เธอหลุบสายตาลงอย่างเก้อ ๆ เหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าลืมทำการบ้าน “ลืมไปว่าฉันมีพลังเสียงกระซิบแห่งพงไพรจากแม่…พึ่งนึกออกเองจริง ๆ นะ อย่ามองแบบนั้นสิ ใครมันจะไปรู้ว่านับป่าสนด้วยอ่ะ”


เลสเตอร์หรี่ตา จ้องเธอด้วยสายตาที่มีทั้งขำและดุ “ลืมพลังของตัวเองอีกแล้วสินะ เธอนี่…” เขาส่ายศีรษะเบา ๆ พลางถอนหายใจ “บางทีฉันควรผูกเชือกเตือนความจำไว้ที่ข้อมือเธอ เผื่อจะจำได้ว่าตัวเองเป็นลูกเทพีเซเรสไม่ใช่เด็กหลงป่าธรรมดา”


โมนีก้าย่นจมูกใส่ทันที “ก็ฉันลืมจริง ๆ นี่นา ไม่ต้องมาล้อเลยนะ” เธอพูดเสียงดุแต่แก้มกลับขึ้นสีแดงจากความหนาวผสมความเขิน “จะไปดูหรือจะยืนด่าฉันอยู่นี่” รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของเลสเตอร์ เขาพยักหน้าอย่างยอมแพ้ “ก็ได้ ๆ นำทางไปเลยโมนีก้า แต่คราวนี้อย่าลืมว่าตัวเองมีพลังอีกล่ะ เผื่อจะต้องใช้”


“ค่ะคุณพ่อ” เธอประชดกลับทั้งที่ปากสั่นเพราะลมหนาว แต่ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับได้พลังใจคืนมาจากเสียงกระซิบของพงไพรและคำบ่นที่แฝงความห่วงใยของเขา


เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ ตามทิศที่โมนีก้าบอก ก็ปรากฎแคมป์ของคนงานที่ร้างไร้ผู้คนเสียแล้ว ลมหนาวพัดกรรโชกผ่านโครงไม้ผุพังของแคมป์ร้าง เสียงกระพือเบา ๆ ของผ้าใบขาดวิ่นดังระงมราวกับเตือนว่าไม่มีใครใช้ที่นี่มานานแล้ว โมนีก้าก้าวเข้ามาในเพิงเก่าที่ดูเหมือนจะเป็นห้องทำงานกลาง ก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วโต๊ะไม้ที่เต็มไปด้วยเศษกระดาษและแฟ้มเอกสารที่ถูกน้ำแข็งจับเป็นคราบ เธอหยิบแฟ้มหนึ่งขึ้นมา ปัดหิมะออกแล้วเปิดดู


“นี่…เลสเตอร์” เด็กสาวเอ่ยเรียกเสียงตื่นเต้นปนระแวง พลางยกกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นให้เขาเห็น “มันมีบันทึกการทำงานของพวกเอนฟอเซอร์ LoNex อยู่ในนี้…ดูสิ เขียนไว้ชัดเลยว่าทีมของนายถูกนำตัวไปที่…สถานีวิจัยอัคนีทมิฬ” เธออ่านชื่อแล้วเบ้หน้า “โห ชื่อโคตรลิเกมาก แบบพวกบ้าหนังไซไฟเปล่าเนี้ย”


เลสเตอร์ที่ยืนพิงเสาไม้สภาพเกือบพังข้าง ๆ ขยับเข้ามาใกล้ สายตาสีเข้มกวาดอ่านตัวอักษรอย่างรวดเร็ว แววตาคมกริบสั่นไหววูบเดียวก่อนเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “มันไม่ใช่แค่ชื่อเล่นหรอก โมนีก้า” เขาตอบเสียงต่ำ “Station of the Dark Flame เป็นรหัสชื่อสถานที่เฉพาะที่คนใน LoNex ใช้กัน สถานีนี้ซ่อนอยู่ในเหมืองเก่า ถ้าเราหาไม่เจอเราจะไม่มีทางเข้าไปช่วยเพื่อนฉันได้”


โมนีก้าเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อ “เหมืองเก่า? ฟังดูเหมือนเกมล่าขุมทรัพย์เลยนะ จะให้ฉันไปขุดทองหรือไง” เธอส่ายหัว พลางกอดอกแน่นเพราะความหนาว “แต่ถ้าพวกมันไม่ทิ้งศพ ไม่ทิ้งอุปกรณ์ส่วนตัวไว้ ก็แปลว่าเพื่อนนายยังมีหวังใช่ไหมล่ะ” เลสเตอร์มองใบหน้าที่แม้จะซีดจากความเย็นแต่ยังฉายแววเด็ดเดี่ยว เขาพยักหน้าช้า ๆ “ใช่…นั่นหมายความว่าพวกเขายังมีชีวิต และ LoNex ต้องการตัวพวกเขามากพอจะเสี่ยงพาไปที่ฐานลับ”


เด็กสาวถอนหายใจยาว พ่นไอสีขาวหนาออกมา “งั้นเราก็ต้องหาว่าแถวนี้มีเหมืองเก่าอยู่ตรงไหนก่อนสินะ ถึงจะตามไปได้”


“ถูกต้อง” เลสเตอร์ตอบทันควัน “เราต้องใช้ข้อมูลนี้ไปเช็กพิกัดจากภาพถ่ายดาวเทียมหรือแผนที่เก่า แล้วค่อยหาทางแทรกซึมเข้าไป” เขามองท้องฟ้าสีเทาที่เริ่มหนาทึบด้วยหิมะ “แต่ตอนนี้เราควรกลับไปที่เครื่องบินก่อน อากาศกำลังจะแย่และเธอกำลังสั่นเหมือนลูกนกแล้ว”


โมนีก้าทำหน้าบึนเล็กน้อย “ก็หนาวจะตายอยู่แล้วนี่! ถ้าจะคุยแผนก็ไปคุยบนเครื่องบินเถอะ ฉันขออุ่นก่อนค่อยพูดเรื่องแผนบุกเหมืองอะไรนั่น” เลสเตอร์หัวเราะในลำคอยื่นมือมาคว้าแขนเสื้อโค้ตของเธอเบา ๆ “ตกลง กลับไปขึ้นเครื่องกันก่อน เจ้าหญิงขี้บ่น”


“ใครเจ้าหญิงไม่ทราบยะ!” โมนีก้าประท้วงเสียงแข็งแต่ก้าวตามเขาไปอย่างว่าง่าย ใบหน้าแดงจัดทั้งเพราะลมหนาวและเพราะคำล้อเลียนที่แฝงความห่วงใยของชายหนุ่มในคราบเดมิก็อดที่เธอยังไม่รู้ตัว

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

ตอนแรกเลสเตอร์แทบสิ้นหวังตอนเขาเห็นแค่ซากของเรือเหาะ แต่ได้โมนีก้าดึงสติเพียงแค่การจับมือ อย่างน้อยเธอก็ทำให้เขาได้สติแหละ หลังจากจัดการกับพวกฝูงหุ่นยนต์สอดแนมเสร็จเรียบร้อยแล้วเลสเตอร์กับโมนีก้าก็สำรวจพื้นที่และเรือเหาะ พวกเราเจอแคมป์คนงานร้างและได้เบาะแสต่อไป ตอนนี้ความหวังของเลสเตอร์เต็มเปี่ยมเพราะเพื่อน ๆ ในทีมของเขามีชีวิตอยู่ทั้งหมดแน่ ๆ 

[ถึงจุดสุดท้ายของเรือเหาะ พบเรือเหาะเป็นซาก]

[จัดการกับ ฝูงหุ่นยนต์สอดแนม LoNex ก่อนที่พวกมันจะส่งสัญญาณเตือน]

[พบข้อมูลจากแคมป์คนงานร้างว่าเพื่อน ๆ ในทีมโดนพาตัวไปที่ "สถานีวิจัยอัคนีทมิฬ" (Station of the Dark Flame) ]

[เดินทางกลับเครื่องบินเพื่อเตรียมแผนการณ์ต่อไป]


[จบ ช่วงที่ 1-5: การเดินทางสู่ขั้วโลก (The Tundra Trail)]

avatar

Moneka M. Blossom

เอาตรง ๆ โมนีก้าค่อนข้างเข้าใจความรู้สึกเลสเตอร์แล้วล่ะ เธอไม่รู้หรอกว่าเขาสนิทกับคนในทีมขนาดไหนแต่ตอนที่เขาเห็นซากเรือเหาะนั้นโมนีก้าแทบไม่ต้องคิดอะไรนอกจากการจับมือเขาไว้แน่น ๆ และตอนที่สำรวจเลสเตอร์เริ่มมีความหวังและมันก็มาจริง ๆ เมื่อได้เบาะแสต่อไป เอาเป็นว่าหากเป็นแบบนี้ภารกิจคงจบเร็วมากกว่าที่คิด หรืออาจจะมีเรื่องใหญ่กว่านั้นรออยู่ แต่ตอนนี้โมนีก้าไม่ไหวแล้ว หนาวโว้ย!! กลับเครื่องบินไปเตรียมแผนการณ์ก่อน มันหนาว รับไม่ไหวหรอก


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5

(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-9-25 15:39
โพสต์ 82520 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-25 15:29
โพสต์ 82,520 ไบต์และได้รับ +4 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-9-25 15:29
โพสต์ 82,520 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความศรัทธา +9 ความกล้า จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-9-25 15:29
โพสต์ 82,520 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความศรัทธา +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-9-25 15:29
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-26 07:04:09 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-9-26 07:06

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 11 : โคตรละครไทย
วันที่ 19 - 20 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงดึก เวลา 22.00 น. เป็นต้นไป เส้นทางระหว่าง เขตทุนดราทางเหนือ นูนาวุต จนถึง เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา

เสียงประตูเครื่องบินเล็กปิดลงตามหลังทั้งสามคน ลมหนาวด้านนอกถูกตัดขาดทันที ความอุ่นภายในลำเครื่องทำให้โมนีก้าที่สั่นจนฟันกระทบกันค่อย ๆ คลายแรงกอดตัวเอง เธอนั่งลงบนเบาะด้านหลังแล้วห่อไหล่แน่นพ่นลมหายใจออกมาเป็นไอสีขาวที่ค่อย ๆ จางหายไปในอากาศอุ่น เลสเตอร์วางกระเป๋าอุปกรณ์ลงบนเบาะฝั่งตรงข้าม ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขากางแผนที่ดิจิทัลที่เชื่อมต่อกับระบบนำทางของเครื่องบิน ดวงตาสีฟ้าเข้มกวาดไปตามเส้นพิกัดอย่างเงียบงัน


คุณนักบินหนุ่มยืนพิงกรอบประตูห้องนักบิน มือกอดอกพลางมองสองคนที่ยังมีร่องรอยหิมะติดตามเสื้อโค้ต “สรุปว่าเราต้องหาสถานีวิจัย…อะไรนะ อัคนีทมิฬ?” เขาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “ชื่อฟังดูไม่ค่อยเป็นมงคลเลยนะ”


โมนีก้าเอนตัวไปข้างหน้า ยกมือขึ้นกอดเข่า พลางทำปากยู่ “ก็จริง ชื่อโคตรจะหลุดมาจากหนังไซไฟทุนต่ำ แต่ถ้าคิดดูดี ๆ เหมืองเก่าในเขตนูนาวุตมีตั้งเยอะนะ ถ้าพวก LoNex จะซ่อนอะไรสักอย่างก็น่าจะเลือกที่นั่นแหละ” เธอหันไปมองเลสเตอร์ ดวงตาสีเทาเงินเป็นประกายจากความคิด “อย่างน้อยก็อยู่ใกล้กว่าเราจะไปไกลถึงขั้วโลกเหนือ”


ระหว่างนั้นเลสเตอร์เลื่อนนิ้วบนจอไปยังเขตนูนาวุต คิ้วเข้มขมวดแน่น “ก็มีเหตุผล…นูนาวุตเต็มไปด้วยเหมืองที่ปิดไปนาน หลายแห่งไม่มีการเฝ้าระวังด้วยซ้ำ” เขาพยักหน้าช้า ๆ ก่อนเหลือบมองนักบิน “ถ้าเราต้องเข้าใกล้เขตนั้น จุดลงที่ปลอดภัยที่สุดคงเป็นเมืองเยลโลว์ไนฟ์” นักบินหนุ่มพยักหน้าตอบทันที “ถูกต้อง เยลโลว์ไนฟ์มีสนามบินหลักของนอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ และมีเส้นทางเชื่อมต่อไปยังเขตเหมืองหลายสาย เราสามารถลงเติมเชื้อเพลิงและหาทางติดต่อข้อมูลท้องถิ่นได้”


โมนีก้าพยักหน้าแรงราวกับกลัวใครจะไม่เห็นด้วย “งั้นก็ไปที่นั่นเลยสิ ฉันไม่อยากทนหนาวกลางทุนดรานานกว่านี้อีกแล้ว” เธอสั่นไหล่จนเสื้อโค้ตขนสัตว์ขยับไปทั้งตัว “แค่คิดว่าต้องนอนค้างอีกคืนในพายุหิมะก็จะเป็นลม”


เลสเตอร์เงยหน้ามองเด็กสาวแล้วหัวเราะเบา ๆ “เธอนี่นะ…บ่นเก่งตลอดแต่ก็ยังเดินตามฉันมาได้ถึงนี่” เขาเก็บของเข้ากระเป๋า แล้วเอื้อมไปตบบ่าของนักบิน “งั้นเรามุ่งหน้าไปเยลโลว์ไนฟ์ เตรียมเครื่องได้เลย” นักบินหนุ่มคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องนักบิน “รับทราบ กัปตันเลสเตอร์”


โมนีก้าถลึงตาใส่เลสเตอร์ทันทีก่อนที่จะกรอกตาใส่เข้าด้วย “นายก็แค่ผู้โดยสารพิเศษ ไม่ใช่กัปตัน”


“ก็แล้วแต่จะเรียก” เลสเตอร์ตอบพลางยักไหล่ แต่แววตาเปล่งประกายมุ่งมั่น “แค่รู้ว่าเรายังมีเส้นทางที่จะไปต่อ…ก็พอแล้ว” โมนีก้าสบตาเขา เธอเห็นประกายความหวังที่ไม่เคยดับในดวงตาของเขา จึงพึมพำเบา ๆ ราวกับให้กำลังใจทั้งเขาและตัวเอง “งั้นไปกันเถอะ ก่อนที่ความหนาวจะฆ่าฉันตายคาเครื่องบิน” เลสเตอร์หัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นไปช่วยนักบินตรวจสอบอุปกรณ์ เสียงเครื่องยนต์ของเครื่องบินรุ่น Cessna ค่อย ๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของทุนดราที่กว้างใหญ่ ทั้งสามเตรียมตัวสู่เส้นทางใหม่ มุ่งหน้าไปยังเยลโลว์ไนฟ์ จุดเริ่มต้นของภารกิจช่วยเหลือที่อาจเปลี่ยนชะตากรรมทั้งหมด


เสียงเครื่องยนต์เครื่องบินคำรามทุ้มสม่ำเสมอขณะที่ลำเครื่องเล็กพุ่งผ่านท้องฟ้าเหนือผืนทุ่งน้ำแข็งอันเวิ้งว้าง ระหว่างการเดินทาง 4 ชั่วโมงเต็มนั้น โมนีก้านั่งนิ่งผิดปกติ ไม่ใช่เพราะเธอหมดเรื่องจะบ่น แต่เพราะความหนาวจัดทำให้แม้แต่ลมหายใจยังกลายเป็นไอสีขาว เธอกอดเสื้อโค้ตขนสัตว์แน่น ฟันกระทบกันเป็นเสียงกึก ๆ ทุกครั้งที่เครื่องบินสั่นตามแรงลม 


เลสเตอร์ที่นั่งข้างนักบินเหลือบตาไปมองทางเบาะหลังเป็นระยะ พลางถอนหายใจเงียบ ๆ “โมนีก้า เธอเป็นภูติหิมะปลอมตัวมาหรือเปล่า หนาวขนาดนี้ยังไม่คิดจะบ่นสักคำ?” น้ำเสียงกึ่งล้อกึ่งห่วงใย


เด็กสาวที่กำลังซุกหน้าลงกับฮู้ดเสื้อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงแก้มแดงระเรื่อจากความเย็น “พูดไม่ไหว ฟันสั่นพูดไม่ออก…แค่นี้ก็เหมือนกัดน้ำแข็งแล้ว” ฟันยังคงกระทบกันเป็นจังหวะให้ได้ยิน นักบินหนุ่มหัวเราะเบา ๆ พลางปรับความแรงของฮีตเตอร์ให้กับโมนีก้า “อดทนหน่อย อีกสักพักจะออกจากเขตทุนดราแล้ว อากาศจะอุ่นขึ้นเอง”


คำพูดนั้นเหมือนแสงสว่างในความหนาว โมนีก้าตาเป็นประกายทันที แม้ริมฝีปากยังซีด เธอเอียงตัวมองออกไปนอกหน้าต่าง จ้องเส้นขอบฟ้าและผืนดินเริ่มมีเงาสีเทาเข้มแทนที่ขาวโพลน


ไม่นานหลังจากนั้น เครื่องบินก็พ้นแนวเมฆหนาวเข้าสู่ชั้นอากาศที่อบอุ่นกว่า ความแตกต่างชัดเจนจนเหมือนเปลี่ยนโลก โมนีก้าถึงกับส่งเสียง “โอ้โห” ออกมาแล้วเอนตัวพรวดไปทางช่องฮีตเตอร์ทันที “สวรรค์ของจริง!” เธอครางอย่างมีความสุข ก่อนจะยกสองมือประคองช่องลมร้อนเหมือนเจอเครื่องทำความอบอุ่นที่ตามหา “อุ่นโคตร ๆ ฮือออ…ขออยู่ตรงนี้ตลอดไปได้ไหม”


เลสเตอร์เอียงคอพิงเบาะ มุมปากยกขึ้นอย่างขำ ๆ “นี่ฉันต้องเดินทางกับสาวไฮสคูลที่ดีใจได้แค่กับฮีตเตอร์เครื่องบินสินะ”


โมนีก้าหันมาค้อนเลสเตอร์อย่างเห็นได้ชัด “ก็ฉันเกลียดความหนาวนี่นา นายลองเป็นฉันดูสิแล้วจะรู้ว่าแค่นี้มันคือสวรรค์ของจริง” นักบินหัวเราะพรืด ขณะเอื้อมมือไปจับวิทยุสื่อสาร “พูดไปก็กัดฟันไปนะคุณหนูไฮสคูล เดี๋ยวผมติดต่อสนามบินเยลโลว์ไนฟ์แจ้งขอลงจอดก่อน” เขาหันไปยิ้มให้ทั้งคู่ “เตรียมตัวอีกไม่นานเราก็ได้เหยียบพื้นอุ่น ๆ กันแล้ว”


โมนีก้าพยักหน้าหงึกหงัก รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าที่เริ่มกลับมามีสีเลือด “รีบเลยค่ะ คุณกัปตัน ถ้าได้ลงก่อนฟันฉันจะสั่นหลุดซี่ก็ดี” เลสเตอร์กลั้นหัวเราะไม่อยู่ตอนที่โมนีก้าเริ่มหายหนาวก็เริ่มบ่นเสียแล้ว “เธอนี่นะโมนีก้า…ยังไงก็ยังเป็นเด็กขี้บ่นเหมือนเดิม” แต่แววตาเขาแฝงความอ่อนโยนอย่างปิดไม่มิด รู้สึกทั้งเอ็นดูและชื่นชมที่เธออดทนต่อการเดินทางอันโหดร้ายนี้ได้อย่างไม่ยอมแพ้


ไม่นานเกินชั่วโมงลมหนาวจากพื้นรันเวย์เยลโลว์ไนฟ์พัดกระแทกใบหน้าในทันทีที่เครื่องบิน Cessna 172 ร่อนลงอย่างนุ่มนวล เสียงล้อแตะพื้นตามมาด้วยแรงสั่นสะเทือนเบา ๆ ที่สะท้อนขึ้นมาตามพื้นโลหะของลำตัวเครื่องบิน โมนีก้าสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ทันทีที่สายรัดนิรภัยถูกปลดออก กลิ่นน้ำแข็งผสมกลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิงตลบอบอวล เธอรีบคว้าเสื้อโค้ตขนสัตว์ที่พาดอยู่แล้วสวมทับอีกชั้นทันที ขณะที่เลสเตอร์ก้าวตามออกมาด้วยสีหน้าสงบนิ่งแต่สายตายังคงกวาดมองรอบพื้นที่รันเวย์ราวกับกำลังประเมินทุกความเสี่ยง


นักบินหนุ่มเดินเข้ามาหาทั้งคู่ เขาถอดหมวกไหมพรมที่สวมเล็กน้อยออกเผยผมสีน้ำตาลเข้มที่เริ่มมีน้ำแข็งเกาะตามขมับ “จากตรงนี้ถือว่าผมทำหน้าที่เสร็จแล้วนะ” น้ำเสียงอบอุ่นแต่แฝงความเด็ดขาด “ผมคงไม่ตามพวกคุณเข้าไปในเหมืองหรอก ที่นั่นอันตรายเกินไป ถ้าผมไปด้วยคงมีแต่จะถ่วงพวกคุณ”


โมนีก้าที่กำลังจัดกระเป๋าอยู่ชะงักทันที เงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเทาเงินบริสุทธิ์เบิกกว้าง “หา…คุณนักบินจะไม่ไปด้วยกันจริงเหรอ” เสียงเธอมีทั้งความประหลาดใจและความไม่สบายใจ “พวกเราต้องบุกเข้าเหมืองที่ LoNex ใช่ไหม คนเยอะ ๆ ก็น่าจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ”


นักบินส่ายหน้า ยกมือขึ้นตบไหล่เด็กสาวเบา ๆ “ไม่เสมอไปนะ ผมรู้ขีดจำกัดของตัวเองดี โม…เอ่อ หนูโมนีก้า ถ้าผมไปจะเป็นภาระมากกว่าเป็นกำลังเสริม ที่สำคัญผมต้องคอยทำให้เครื่องบินให้ปลอดภัย ถ้าเกิดเรื่องขึ้น พวกคุณจะได้มีทางกลับถ้าต้องการก็บอกเลสเตอร์เขารู้วิธีติดต่อผมอยู่แล้ว” เสียงฟันกระทบกันเบา ๆ ของโมนีก้าหยุดลง เธอเม้มปากก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ แม้ในใจยังรู้สึกตึง ๆ “ก็ได้ค่ะ…แต่ระวังตัวด้วยนะคะ”


เลสเตอร์ที่ยืนข้าง ๆ ยกมือขึ้นแตะศีรษะเธอเบา ๆ ราวกับบอกให้ใจเย็น “โมนีก้า รออยู่ตรงนี้สักครู่ได้ไหม” ดวงตาสีฟ้าลึกของเขามีประกายจริงจังจนน่าประหลาด “ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว” เด็กสาวผมสีม่วงครามขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารับ “ก็ได้…แต่รีบนะ หนาวจะตายอยู่แล้ว” เธอกอดตัวเองแน่นขึ้นอีกครั้งก่อนจะถอยไปยืนรอข้างเครื่องบิน


เลสเตอร์หันกลับมาทางนักบินทันทีเมื่อโมนีก้าก้าวถอยห่างออกไป สายลมเย็นจัดพัดผ่านปลายผมหยิกสีเข้มของเขา ดวงตาสีฟ้าคมส่องประกายเย็นในแสงสลัว “ขอบใจที่ช่วยพวกเราได้มาถึงตรงนี้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่หนักแน่น “แต่ต่อจากนี้จะอันตรายกว่าที่ผ่านมา ถ้ามีอะไรผิดพลาด…ดูแลตัวเองให้ดี”


นักบินสบตากับเลสเตอร์ พลางยกคิ้วเล็กน้อยคล้ายจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็เพียงยิ้มบาง ๆ แล้วตบบ่าเด็กหนุ่มผิวขาวที่เขารู้ดีว่าไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา “ฉันรู้ว่านายจะทำสำเร็จ…เทพแห่งแสงอาทิตย์” เลสเตอร์เพียงยักไหล่เล็กน้อยโดยไม่ตอบ ยังคงรักษาหน้ากากของเด็กหนุ่มธรรมดาเอาไว้ เขาหันไปมองโมนีก้าที่กำลังยืนซุกตัวอยู่ข้างลำเครื่องบิน แก้มสีชมพูจากไอหนาวและดวงตาเทาเงินจับจ้องมาทางนี้อย่างระแวดระวัง รอยยิ้มบางคลี่ขึ้นบนใบหน้าเลสเตอร์


นักบินหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างลำเครื่องบินที่เริ่มถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งบาง ๆ รอยยิ้มกวนเล็ก ๆ ปรากฏบนใบหน้าคมสัน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสบกับดวงตาสีฟ้าของเลสเตอร์ที่เดินกลับมาหาเขาในเงียบงัน “เด็กคนนั้น…” นักบินพยักพเยิดไปทางโมนีก้าที่กำลังยืนซุกตัวหลบลมอยู่ไม่ไกล “ยังเป็นแค่สาวไฮสคูลนะ นายคงไม่ได้คิดอะไรใช่ไหม” น้ำเสียงติดแซวแต่ก็แฝงความเป็นห่วง


เลสเตอร์ยกคิ้วเล็กน้อย รอยยิ้มเจือความหยิ่งผยองแตะมุมปาก “นายก็รู้ว่าฉันไม่ใช่พวกโรคจิตล่าเด็ก” เสียงทุ้มตอบกลับเรียบง่ายแต่แฝงทิฐิ “เธอยังเด็กเกินไป ฉันไม่คิดอะไรกับเด็กสาวที่ยังต้องกังวลเรื่องสอบปลายภาคหรอก”


นักบินหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหัว “พูดเหมือนจะเชื่อได้ง่าย ๆ นะเจ้าเทพพระอาทิตย์”


เลสเตอร์กอดอกพลางยักไหล่ สีหน้าดูไม่ใส่ใจแต่แววตาวาวขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำเรียกเก่าที่อีกฝ่ายจงใจเอ่ย “นายก็ยังชอบย้ำอดีตอยู่สินะ” เขาตอบเสียงเรียบแต่แฝงความท้าทาย “ก็จริง…ครั้งหนึ่งเราเคย…ทำไมคิดถึงหรือไง” นักบินมองเขานิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาว “ยังคงเก๊กเหมือนเดิม…แต่ก็เห็นชัดว่าตอนนี้นายไม่เหมือนเมื่อก่อน” เขาเอ่ยเสียงเบา “เมื่อก่อนนายจะไม่ปล่อยให้ใครมาสั่งอะไรได้ แต่ตอนนี้…นายยอมให้ตัวเองปกป้องคนอื่นได้โดยไม่ต้องอวดว่าเป็นวีรกรรมบ้าบอคอแตกแล้วนี้”


เลสเตอร์หัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะแผ่วแต่แฝงรอยเศร้าลึก ๆ “อย่าคิดว่าฉันเลิกอวดแล้วนะ ฉันยังคงเป็นฉัน…เทพผู้ยิ่งใหญ่ผู้สร้างบทกวีและดนตรี ผู้ยิงธนูแม่นกว่าใคร และหล่อเกินกว่ามนุษย์จะจินตนาการได้” เขาเอ่ยอย่างขี้เล่น พลางยกมือเสยผมหยิกที่ถูกลมหนาวพัดจนยุ่งเหยิง “แต่ใช่…ฉันเริ่มรู้แล้วว่าการปกป้องคนอื่นสำคัญกว่าการประกาศว่าฉันยิ่งใหญ่แค่ไหน”


นักบินยิ้มบาง ๆ ดวงตาเปล่งประกายความเข้าใจที่ไม่ได้ต้องการคำพูดใด ๆ เพิ่ม เขายกมือขึ้นตบบ่าเลสเตอร์แน่น ๆ หนึ่งครั้ง “งั้นก็ไปทำในสิ่งที่ต้องทำเถอะ เลสเตอร์…หรือต้องเรียกอะพอลโล่ หรืออะไรก็ตามที่นายอยากให้ฉันเรียก” เลสเตอร์ยกมุมปากขึ้นอีกครั้ง แต่สายตากลับทอประกายจริงจัง “ขอบใจที่ยังเรียกฉันว่าเพื่อน” น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความอบอุ่นอย่างที่ไม่ต้องการให้ใครได้ยิน


ทั้งสองยืนสบตากันท่ามกลางลมหนาวเพียงครู่เดียว ก่อนเลสเตอร์จะผละออกอย่างสง่างามราวกับไม่เคยมีความลังเลใด ๆ เขาเดินกลับไปหาโมนีก้าที่กำลังยืนกอดตัวสั่นอยู่ รอยยิ้มเล็ก ๆ ยังคงประดับอยู่บนใบหน้า รอยยิ้มของเทพผู้เคยรัก เคยสูญเสีย และยังคงมีหัวใจที่พร้อมจะปกป้องโลกใบนี้แม้ในคราบมนุษย์ธรรมดา


แสงอาทิตย์สีซีดที่ไม่เคยลาลับยังคงคลุมทั่วเมืองเยลโลว์ไนฟ์ ราวกับโลกนี้ลืมไปแล้วว่ากลางคืนมีอยู่จริง โมนีก้าก้าวขาลงจากฟุตพาธ หันข้อมือขึ้นมองนาฬิกาดิจิทัลสีดำที่สวมติดไว้ตลอด ดวงตาสีเทาเงินไล่จับตัวเลขบนหน้าปัดแล้วขมวดคิ้ว “ตี 2 กว่าแล้วนะ…ใกล้ตี 3 เข้าไปทุกที” เธอบ่นพลางเงยหน้ามองเลสเตอร์ที่ยืนกอดอกหลบลมหนาวข้างตัว “เราควรพักก่อนเถอะ นอนห้องจริง ๆ ดี ๆ สักที ไม่ใช่แค่แคมป์หรือเครื่องบิน ฉันอยากนอนเตียงนิ่ม ๆ แล้ว”


เลสเตอร์เหลือบมองท้องฟ้าที่สว่างเหมือนเที่ยงวัน ริมฝีปากยกขึ้นนิดหนึ่งเหมือนจะประชดโชคชะตาที่ไม่รู้จักเวลากลางคืน “ก็จริง…” เขาพึมพำแล้วกวาดสายตามองรอบเมืองที่ยังมีผู้คนเดินไปมา “แต่เราคงต้องหาที่พักถูก ๆ หน่อยล่ะ แถวนี้ถ้าจะเอาโรงแรมใหญ่คงไม่ไหว สลัมรอบนอกอาจพอหาที่ซุกหัวได้”


โมนีก้าหันขวับทันทีตอนที่เลสเตอร์พูดแบบนั้น ใบหน้าที่ซีดเพราะหนาวฉายแววตกใจ “หา? สลัม?! นายบ้าปะเนี้ย!” เธอเบิกตากว้าง “นี่นายไม่มีเงินเลยเหรอ เลสเตอร์?” เด็กหนุ่มผิวขาวผมหยิกสีเข้มกระพริบตาปริบ ๆ ใส่โมนีก้า ดวงตาสีฟ้าสดเหมือนกำลังซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ “เอ่อ…” เสียงเขาเนิบช้าลงอย่างแปลกประหลาด “พอดี…ฉันอาจจะไม่ได้พกเงินสดมาด้วยสักเท่าไร”


โมนีก้ากระพริบตาตอบกลับเป็นจังหวะเดียวกัน “นาย…ไม่ได้พก?”


“อืม” เลสเตอร์ยักไหล่ราวกับเรื่องนั้นเป็นเพียงฝุ่นผง “บางทีฉันก็ลืมว่าต้องใช้เงินสกุลปกติน่ะ ชีวิตที่ผ่านมาไม่ค่อยต้องจ่ายค่าอะไรเองเท่าไร”


เด็กสาวจ้องหน้าเขาน้ำเสียงผสมระหว่างหงุดหงิดกับไม่อยากหัวเราะ “ลืม? ใครมันจะลืมเอาเงินมาเดินทางวะ…นี่มันสมองอะไรของนาย! ถึงลืืมพื้นฐานของการใช้จ่ายเนี้ย!” เธอส่ายหน้าแรง ๆ ก่อนจะถอนหายใจยาว “บอกมาตรง ๆ เถอะ นายเป็นเดมิก็อดสายไม่จ่ายเงินสดใช่ไหม ถึงได้ลืมเตรียมเงินแบบนี้”


เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ เสียงทุ้มก้องในลำคอ “…ฟังดูน่าสนใจดีนะ” เขาเอียงคอเล็กน้อย ยกคิ้วขึ้นอย่างท้าทาย “แต่ไม่ต้องห่วง ฉันมีวิธีหาที่พักโดยไม่ต้องพึ่งกระเป๋าสตางค์อยู่แล้ว” แต่ทว่าโมนีก้ากลับเพ่งตาใส่เขา “ฟังดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด”


“เชื่อฉันเถอะ โมนีก้า” เลสเตอร์ก้าวเข้ามาใกล้เล็กน้อย รอยยิ้มผสมความมั่นใจเกินเหตุประดับอยู่บนใบหน้า “ฉันเคยเอาตัวรอดในป่าโรมัน ในค่ายเทพ ใต้ดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยลับ ฉันไม่ปล่อยให้เธอต้องนอนกลางถนนหรอก”


โมนีก้าเท้าสะเอวแล้วหันไปมองเลสเตอร์ที่ยืนกอดอกเหมือนคนไม่เดือดร้อน เสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มลายเก่า ๆ กับกางเกงยีนส์ซีด ๆ ดูไม่ต่างอะไรจากคุณหนูตกอับที่พยายามทำตัวเท่ เธอกวาดสายตาตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหรี่ตาหนัก ๆ อย่างเอาเรื่อง “นี่…นายรู้ตัวมั้ยว่าตัวเองดูยังไง” เธอหมุนรอบตัวเขาเหมือนกำลังตรวจเครื่องแบบนักเรียน “เจ้าสำอางค์ เสื้อเก่าไม่มีเงินซื้อใหม่ แล้วจะให้ฉันเชื่อว่านายมีเงินพอจะจ่ายค่าโรงแรมหรอ? โอ๊ย ไม่ไว้ใจเลยจริง ๆ”


เลสเตอร์ยกคิ้วอย่างไม่สะทกสะท้าน “โอ้ ขอบคุณสำหรับคำชมเรื่องความสำอางค์นะ โม-นี-ก้า” เขาลากเสียงเรียกชื่อเธออย่างจงใจ “แต่เสื้อเก่ามันเป็นสไตล์ รู้จักคำว่าวินเทจหรือเปล่าเถอะ”


“วินเทจบ้าอะไร ดูยังกับคนตกอับ” เธอตัดบทแล้วคว้ามือเขาแบบไม่ถามความสมัครใจ “ไป! โรงแรม!”


“เฮ้ เดี๋ยวสิ—” เลสเตอร์แทบสะดุดตามแรงลากของเด็กสาว “นี่มันเยลโลว์ไนฟ์นะ รู้ค่าโรงแรมมั้ย นี่ไม่ใช่ค่ายเดมิก็อดนะที่จะให้คนพักฟรี ๆ นะ” โมนีก้าเดินลากอีกฝ่ายไปไม่แม้แต่จะเหลียวกลับ “ไม่สน! ฉันจะนอนโรงแรมดี ๆ วันนี้ ฉันไม่สนว่าค่าห้องเท่าไหร่ ขึ้นแท็กซี่!” เธอเปิดประตูรถที่จอดรออย่างคล่องแคล่วแล้วผลักเขาเบา ๆ ให้ขึ้นไปก่อนเพราะอีกคนมันไม่ชอบนั่งแท็คซี่ให้เดินไปเธอไม่เอาด้วยหรอก!


เลสเตอร์ถอนหายใจแต่จำใจตามขึ้นไป นั่งลงข้าง ๆ พร้อมสายตาที่เหมือนจะบ่นแต่ปากกลับยกยิ้มบาง “ก็ได้ ๆ แต่ถ้าค่าโรงแรมแพงจนต้องขายธนู ฉันจะให้เธอชดใช้นะ” โมนีก้าหันมามองค้อนเลอสเตอร์ “ฝันไปเถอะ” ไม่นานแท็กซี่ที่เคลื่อนตัวไปบนถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะเพียงห้านาที เส้นไฟถนนส่องสะท้อนหิมะเป็นประกายจนดูเหมือนละอองดาว ไม่ทันไรทั้งสองก็มาถึงหน้าโรงแรม Explorer Hotel Yellowknife ตัวอาคารสามดาวสีอุ่นตัดกับท้องฟ้าที่สว่างตลอดวันราวกับยั่วล้อโลกที่ลืมกลางคืน


โมนีก้าลงจากรถก่อน สูดลมหายใจเข้าลึกเหมือนจะประกาศชัยชนะ “นี่ไง โรงแรม! เห็นไหมเลสเตอร์ แค่ห้านาทีเอง ไม่ตายหรอก” เลสเตอร์ก้าวลงรถตามอย่างจำยอม ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองป้ายโรงแรมแล้วถอนหายใจ “หวังว่าเตียงจะนิ่มพอจะคุ้มค่ากับการขายศักดิ์ศรีตัวเองให้เด็กสาวลากมา”


โมนีก้าได้ยินก็หันมายักคิ้วให้มองแรงเลสเตอร์อย่างหนัก “ขายศักดิ์ศรี? นายลืมเหรอว่าใครไม่มีเงิน” เลสเตอร์กลอกตาแต่ก็เผลอหัวเราะ “โอเค เธอชนะรอบนี้” ก่อนจะก้าวตามเธอเข้าไปในล็อบบี้อุ่นสบาย เสียงรองเท้าผ้าใบเหยียบพื้นไม้ดังกรอบแกรบ ท่ามกลางแสงไฟสีทองที่ทำให้ค่ำคืนไร้กลางคืนดูอ่อนโยนกว่าที่เคย


โมนีก้าก้าวตรงไปยังเคาน์เตอร์ต้อนรับโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง ดวงตาสีเทาเงินที่ยังมีรอยหม่นจากความเหนื่อยล้าฉายประกายดื้อรั้น เธอวางกระเป๋าลงบนพื้นแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ขอห้องพักหนึ่งคืนพร้อมอาหารเช้าค่ะ อ้อ...แล้วก็ขอเตียงแยกด้วย” พนักงานสาวยิ้มสุภาพตอบกลับทันที “ขออภัยค่ะ ทางโรงแรมเราตอนนี้มีเพียงห้องดีลักซ์เตียงคิงไซส์ และห้องสแตนดาร์ดเตียงคิงไซส์ค่ะ หากต้องการอาหารเช้าจะมีค่าบริการเพิ่ม แต่บรรยากาศห้องดีมากค่ะ มีอุปกรณ์ครบครัน ม่านกันแสงแน่นหนา และมีวิวทะเลสาบด้วยนะคะ”


โมนีก้าเลิกคิ้วไม่ถามราคาแม้แต่นิด “แล้วเพิ่มเตียงเสริมได้ไหมคะ”


พนักงานระบายยิ้มตอบคำถถามตามหน้าที่ “สำหรับผู้เข้าพักสามคนขึ้นไปสามารถเพิ่มเตียงเสริมได้ค่ะ แต่ถ้าสองคน…ไม่สามารถเพิ่มเตียงเสริมได้ค่ะ” คำตอบนั้นทำให้โมนีก้าหันกลับมาช้า ๆ สายตาแข็งทื่อไปยังเลสเตอร์ที่ยืนกอดอกพิงเสาอย่างผู้ชนะในศึกนิ่งเงียบ ริมฝีปากของเธอกระตุกอย่างเห็นได้ชัด “หมายความว่า…ฉันต้องนอนเตียงเดียวกับเขาใช่ไหมคะ”


เลสเตอร์ยกคิ้วสูง ยักไหล่อย่างกวนประสาทเพราะเอาตรง ๆ มันก็เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เขารู้สึกว่ากวนตีนโมนีก้าแล้วสนุกดี “ก็…ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นนะ โม-นี-ก้า” น้ำเสียงของเขามีประกายขบขันที่ตั้งใจยั่ว


“บ้า-บอ-ที่สุด” เธอกัดฟันพูดทีละคำ ก่อนหันกลับไปทางพนักงาน “งั้นเอาห้องดีลักซ์ค่ะ รับอาหารเช้าด้วย” พนักงานยิ้มหวานเหมือนไม่รู้เรื่องความขัดเขินของลูกค้าหรืออาจจะรู้แต่เลือกที่จะเมินเฉยไป “ค่าห้องรวมอาหารเช้าคืนนี้ 200 ดอลลาร์ค่ะ” โมนีก้าล้วงกระเป๋าสตางค์สีม่วงครามของตัวเองแล้วจ่ายเงินทันที


เลสเตอร์มองภาพตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มเอือมปนขำ ดวงตาสีฟ้าเป็นประกาย “โอ้…เด็กสาวไฮสคูลคนนี้ใจใหญ่กว่าที่คิดนะ ไม่แม้แต่จะถามราคาก่อนจ่าย” โมนีก้าหันกลับมาอย่างหงุดหงิด “ฉันมีเงิน ไม่ได้จนเหมือน ใครบางคน ที่ลืมแลกเงินดอลลาร์ติดตัว”


เลสเตอร์แสร้งทำหน้าภูมิฐาน “ขอโทษด้วยนะ คุณหนูเงินหนัก แต่เท—เอ๊ย! คนธรรมดาแบบผมไม่จำเป็นต้องใช้เงินบ่อย ๆ”


โมนีก้ากัดริมฝีปากกลั้นรอยยิ้มแต่ไม่ได้สนใจคำพูดผิดของอีกคนด้วยซ้ำไปเพราะเธอไม่คิดมาก “ก็ใช่สิ…ไอ้ลูกคุณหนูตกอับ” ไม่นานพนักงานก็ยื่นคีย์การ์ดห้องมาให้ด้วยรอยยิ้มเก็บอาการ ทั้งคู่รับคีย์การ์ดแล้วเดินไปยังลิฟต์ที่กำลังเปิดรอ เสียงรองเท้าบู๊ตของโมนีก้าดัง ตึก ตึก บนพื้นพรม เธอกอดอกแน่นพลางพึมพำเสียงเบา “อย่าแม้แต่จะคิดว่าฉันจะนอนใกล้นาย…” เลสเตอร์แกล้งโน้มตัวลงมากระซิบใกล้หูเธอ “ผมไม่คิดหรอก…แต่เตียงมันกว้างนะ เผื่อเธอกลิ้งมาตรงกลางก็ช่วยไม่ได้นะ โม-นี-ก้า”


“เลสเตอร์!” 


เมื่อถึงห้องพักประตูห้องปิดลง ตัดโลกทั้งเมืองให้เหลือเพียงแสงโคมสีอุ่น กลิ่นน้ำยาถูพื้นและผ้าปูที่เพิ่งซักใหม่ลอยจาง ๆ โมนีก้ากวาดตามองเตียงคิงไซส์ผืนเดียวก่อนถอนหายใจยาว ยาวแบบบอกโลกว่าจบกัน แล้วก็ไม่เสียเวลาบ่นซ้ำ เธอปลดเสื้อโค้ตขนสัตว์ ถอดชั้นนอกชั้นในวางพาดพนักเก้าอี้เป็นชั้น ๆ เปิดฮีตเตอร์สุดคันเลื่อน “ฟื้ดด—” ให้ลมร้อนพุ่งกระทบหน้าแข้งจนผิวอุ่นขึ้นทันที จากนั้นเดินฉิวเข้าห้องน้ำราวกับมีไฟนรกไล่หลัง ไม่สนใจสายตาเลสเตอร์แม้แต่นิด


เสียงฝักบัวกระทบกระเบื้อง “ซ่…าา” สม่ำเสมอไม่นาน ช้าหน่อยตรงที่โมนีก้าต้องสระผม เธอปล่อยให้ฟองครีมนุ่มกลิ่นผลไม้คลี่ไปตามผมสีม่วงครามจนเงาไฟในกระจกสะท้อนระยิบ เธอซับตัวเร็ว ใส่เสื้อยืดนุ่ม ๆ กับกางเกงวอร์มยืดตัว แล้วผลักประตูออกมาอย่างคนอยากหลับเต็มที เลสเตอร์เงยจากกระเป๋าใส่ธนูของเขาที่คลี่บนโต๊ะ เขากำลังจัดของเป็นระเบียบแบบคนเจ้าสำอาง ลูกธนูถอดหัวศรเก็บ, ผ้าพันธนูพับเหลี่ยม, แท็บเล็ตวางชาร์จ แนบกับกระดาษเก่าที่เขาเจอในแคมป์ “อาบไวผิดคาด” เขาเอ่ยยิ้มมุมปาก


โมนีก้าหน้างอใส่หนึ่งทีเป็นพิธี “ฉันจะนอน ไม่สนว่านายจะอาบน้ำหรือจะทำพิธีเรียกเทวดาอะไรของนายในห้องน้ำทั้งนั้น” เธอปีนขึ้นเตียง ดึงผ้าห่มฟู ๆ มาซุกครึ่งตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเหลือบมองผมหยิกสีน้ำตาลเข้มของเขาแล้วทำจมูกฟึดฟัด “ห้ามขยับมาฝั่งฉัน จำไว้”


“ครับ คุณหนูโมนีก้า” เลสเตอร์ตอบเนียน ๆ แต่ไม่เสียดสีเพิ่มนอกจากเรียกเธอด้วยคำว่าคุณหนู เขาหยิบหมอนสี่ใบมาก่อเป็นกำแพงปลอดภัยที่กั้นกลางเตียงแบบตั้งใจเกินเหตุ “เห็นไหมฉันทำแนวกันชนให้แล้ว ต่อให้เธอกลิ้งมากฎแรงโน้มถ่วงก็จะหยุดตรงนี้”


“ดี…ก็ทำแบบนั้นแหละ” เธอตอบห้วน ๆ แต่หางเสียงคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เปลือกตาหนักอึ้งจวนจะปิด


เลสเตอร์หยิบผ้าเช็ดตัว คว้าชุดนอนสะอาด เดินเข้าห้องน้ำบ้าง เขาไม่อาบน้ำนานเหมือนทุกที ตัดพิธีครึ่งหนึ่งเพราะคนข้างนอกกำลังจะหลับจริง ๆ เพียงฟอกล้างให้หายกลิ่นลมหนาวแล้วกลับออกมาพร้อมกลิ่นสบู่สะอาดจาง ๆ ผมยังเปียกเล็กน้อย โมนีก้ากึ่งหลับกึ่งตื่น มองเขาผ่านม่านผมเปียกที่ทาบแก้ม “…อย่าเสียงดัง ฉันจะนอน” น้ำเสียงติดบ่น แต่ดวงตาเทาเงินพร่า ๆ ดูไว้ใจขึ้นมากกว่าตลอดวัน


“รับทราบ” เลสเตอร์หรี่ไฟลงเหลือเพียงโคมหัวเตียงด้านเขา แสงอุ่นไหลคลุมห้องเหมือนผ้าห่มอีกชั้น เขาไปนั่งที่โต๊ะเปิดเช็คแผนที่เหมืองเก่ารอบเยลโลว์ไนฟ์ นิ้วไล่ตามสันภูมิ เส้นทางรถบรรทุกในอดีต และตำแหน่งปล่องระบายอากาศร้าง เขาจดโน้ตสั้น ๆ ลงกระดาษพอแน่ใจว่าแผนพรุ่งนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เขาจึงปิดทุกอย่าง วนกลับมาที่เตียง ค่อย ๆ ล้มตัวลงตรงฝั่งของตน โดยระวังกำแพงหมอนอย่างกับเป็นเขตแดนระหว่างสองอาณาจักร


ความเงียบอุ่น ๆ ทาบทับมีเพียงเสียงฮีตเตอร์ที่หายใจและเสียงลมเมืองที่ยังสว่างเหมือนเที่ยงวันลอดม่านกันแสงมาเบาบาง สักพัก เลสเตอร์ได้ยินเสียงเด็กสาวพึมพำที่งัวเงียเบามากจนแทบกลืนไปกับผ้าห่ม “เลสเตอร์…ขอบใจ…ที่วันนี้ไม่ปล่อยฉันไว้ข้างหลัง” คำพูดขาดห้วงเพราะง่วงจัด แต่จริงใจจนคนฟังนิ่งไปวูบ


เขามองเพดานที่เงาไฟเต้นระริกบนปูนแล้วตอบแผ่ว ๆ “ฉันบอกแล้ว โมนีก้า…ฉันจะคุ้มกันเธอก่อนเสมอ” เสี้ยววินาทีหนึ่ง เงาเก่า ๆ แว้บในหัว ใบหน้าที่เขาเคยรัก ความสูญเสียที่ยังแทงใจของเทพพระอาทิตย์แต่เขาหายใจยาว เลสเตอร์สลัดมันออก เหลือเพียงปัจจุบันที่มีเด็กสาวหัวดื้อซุกตัวอยู่อีกฝั่งของกำแพงหมอน ไม่นาน ลมหายใจของโมนีก้าก็สม่ำเสมอ เธอหลับสนิทจริง ๆ เลสเตอร์เหลือบดวงตาของตนเองไปทางเธอขยับมือเอื้อมไปที่เธอเหมือนต้องการทำอะไรบางอย่าง ทว่ากลับหยุดก่อนถึงหมอนกั้น เสมือนสาบานเงียบ ๆ กับตัวเองแล้วดึงผ้าห่มฝั่งเธอขึ้นคลุมบ่าให้มิด เขาเอนศีรษะลง หลับตา ทิ้งร่างมนุษย์ที่อ่อนล้าให้ได้พักชั่วครู่


ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ไม่รู้จักคำว่ากลางคืน เมืองทั้งเมืองยังสว่าง แต่ในห้องเล็ก ๆ นี้ บนเตียงอุ่นสีครีมอ่อนหวาน ความมืดสบายตาที่ม่านหนาทำไว้เพียงพอให้สองนักเดินทางได้หลับ หนึ่งคือเทพที่เรียนรู้จะอ่อนโยนในคราบมนุษย์ และอีกหนึ่งคือสาวไฮสคูลที่เกลียดการต่อสู้แต่ยังดื้อดึงจะไปต่อ

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

เลสเตอร์และโมนีก้าปรึกษากันสรุปแล้วต้องไปที่เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ เดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง กว่าจะถึงก็วันใหม่แล้ว เลสเตอร์และโมนีก้าแยกกับนักบิน เขาได้พูดคุยกับนักบินเล็กน้อย และตอนที่จะพักผ่อนโมนีก้ากลับงอแงจะนอนโรงแรมเพราะเธอเหนื่อยแต่เขาไม่มีเงิน แต่โมนีก้าดันจ่ายค่าโรงแรมเอง เขาเห็นว่าภายในกระเป๋าของเธอมีเงินดอลลาร์เป็นพัน ๆ เลสเตอร์รู้สึกเหมือนอยู่กับน้องสาวคนหนึ่งและหวังว่าความรู้สึกมันจะไม่เปลี่ยน อย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้เขาจะได้เจอมิตรภาพใหม่ ๆ เหมือนครั้งก่อน


[เดินทางจากนูนาวุตมาที่เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์]

[แยกกับนักบิน]

[พักผ่อนที่โรงแรม the explorer hotel yellowknife] 


[เริ่มต้น ช่วงที่ 6-10: การแทรกซึม (The Infiltration)]

avatar

Moneka M. Blossom

ตอนออกมาจากนูนาวุตโคตรดีใจ แต่เมืองนี้ก็หนาวชิบหายเหมือนกัน 0 องศา บ้าบอที่สุด เอาเถอะอย่างน้อยก็ไม่ได้หนักหนาขนาดนั้น แต่โมนีก้าไม่ค่อยพอใจที่ต้องนอนเตียงเดียวกับเลสเตอร์ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรอกนะ เขิน เกิดมาชาตินี้ยังไม่เคยนอนเตียงเดียวกับผู้ชายคนอื่นนอกจากพ่อเลย ถ้าพ่อรู้นะโกรธตายห่า โมนีก้าเชื่อใจว่าเลสเตอร์จะไม่ทำอะไรเธอแน่นอน แค่มันเขินอ่ะเข้าใจไหม?!!  


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5

(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-9-26 10:26
โพสต์ 128586 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-26 07:04
โพสต์ 128,586 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-9-26 07:04
โพสต์ 128,586 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-9-26 07:04
โพสต์ 128,586 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-9-26 07:04

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1เงินดอลลาร์ -200 ย่อ เหตุผล
God -200

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-26 20:53:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 12 : ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน
วันที่ 19 - 20 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงเช้า เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา

แสงส้มอุ่น ๆ จากโคมหัวเตียงลอดม่านกันแสงมาเป็นริ้ว โมนีก้าขยับตัวในผ้าห่มแล้วลืมตาขึ้นแบบคนที่อยากจะนอนต่อเวลาอีกห้านาที แต่ความจริงโหดร้ายกว่าเสียงปลุกคือภารกิจที่ยังรออยู่ เธอกลิ้งตัวครืดเดียว ลุกนั่งผมยุ่งฟูเป็นรังนก ก่อนจะลากสภาพซอมบี้สาวไฮสคูลที่งัวเงียเข้าห้องน้ำไปเงียบ ๆ เสียงน้ำเปิดฉีด สลับกับแปรงสีฟันถูฟันกรอด ๆ อยู่ครู่ใหญ่ กลิ่นยาสีฟันมิ้นต์สดใหม่ค่อย ๆ ไล่ความง่วงให้ถอยไป โมนีก้าใช้น้ำลูบหน้าอีกสองสามรอบ เช็ดแก้มให้แห้ง ผมสีม่วงครามถู ๆ จนแห้งหมาด ก่อนรวบขึ้นเป็นมวยโดนัทหลวม ๆ ตรงกลางกระหม่อม ลุคพร้อมลุยแล้วค่อยเปิดประตูออกมา


เลสเตอร์กำลังนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ใกล้หน้าต่าง เสื้อยืดตัวเดิมสะอาดเอี่ยม ผมหยิกสีน้ำตาลเข้มยังมีรอยแตกปลายจากการไดร์เมื่อคืน เขาก้มเช็คโน้ตที่เขียนทับแผนที่ด้วยลายมือสวยน่าหมั่นไส้ พอได้ยินประตู เขาเงยหน้าขึ้น มุมปากยกนิด ๆ “อรุณสวัสดิ์…แม่สาวผมโดนัท” เขาแซวเสียงนุ่ม “ระดับความฟูเช้านี้สัก…แปดจากสิบ”


โมนีก้าแกล้งจิกตาใส่ แต่มุมปากอดยกยิ้มขำไม่ได้ “อย่าให้คะแนน ฉันยังไม่ตื่นเต็มที่” เธอยืดตัวจนกระดูกดังเบา ๆ แล้วฟุบหน้าลงบนปลายเตียงสามวินาที ก่อนเด้งขึ้นมาใหม่ “โอเค…ตื่นแล้วล่ะ ครึ่งหนึ่ง”


เลสเตอร์ผายมือไปทางกระดาษกองเล็กบนโต๊ะ “ฉันสรุปแผนคร่าว ๆ ไว้แล้ว หลังอาหารเช้าเราจะไปที่ข้อมูลท้องถิ่น ศูนย์สารสนเทศนักท่องเที่ยวกับออฟฟิศบันทึกเหมืองเก่า น่าจะมีแผนที่หลุมเหมืองร้าง จุดระบายอากาศ และทางเข้าที่ปิดไปนาน เราต้องเช็กพิกัดที่เข้าข่ายเหมืองเก่าที่ยังใช้งานก่อน เสร็จแล้วค่อยออกไปเดินสำรวจจริง”


“แต่สิ่งที่ฉันจะทำตอนนี้คือกินมื้อเช้าก่อน” โมนีก้าสรุปสั้น ๆ ตาเป็นประกายทันทีตอนนึกถึงอาหารที่น่าอร่อย “คิดถึงเมนูวาฟเฟิลกับไส้กรอก ฉันจะกินทุกอย่างที่ไม่ใช่สลัดคอยดูสิ”


“แน่นอน ฉันไม่คิดจะพรากผักออกจากจานเธอหรอก เพราะมันไม่เคยไปอยู่ในจานเธออยู่แล้ว” เขายิ้มกวน ๆ แต่ถอนหายใจนุ่ม ๆ ต่อท้าย “เมื่อคืนหลับดีไหม”


“ดีโคตร” เธอตอบทันที พลางเหลือบมองกำแพงหมอนที่ยังตั้งตระหง่านอยู่กลางเตียง “กำแพงชายแดนของนายได้ผล ฉันไม่กลิ้งไปเหยียบสิทธิ์มนุษยชนฝั่งนายเลยสักนิด” เลสเตอร์ที่ได้ยินแบบนั้นก็เลยทำเสียงพอใจ “พอดีฉันออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์นะ”


“อวดฉลาดตั้งแต่เช้าเลยนะนายน่ะ” โมนีก้าหัวเราะสั้น ๆ แล้วขยับมาหยิบเสื้อโค้ทมาสวมไว้ก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าไปที่หน้าประตูห้องพัก “ไปเถอะ ฉันพร้อมรับคาเฟอีนกับคาร์บแล้ว หลังจากนั้นค่อยไปล่าความลับที่เหมืองผีสิง” เลสเตอร์เลยลุกตามโมนีก้าไปพลาง เก็บโน้ตเสียบกระเป๋า ไม่ลืมคันธนูและกระบอกลูกศร “ระหว่างกิน ฉันจะเช็กแหล่งแผนที่เก่า ๆ อีกที เธอพักหายใจให้เต็มปอดก่อนก็พอ วันนี้เดินเยอะ”


โมนีก้าพยักหน้าแวบหนึ่งในดวงตาเทาเงินมีประกายมุ่งมั่น ตามด้วยความขี้เล่นแบบเดิมกลับคืน แต่ทว่าโมนีก้ากลับเรียกเขาอีก “เลสเตอร์”


“หืม?”


“ขอบใจนะเมื่อวาน…กับหลาย ๆ อย่าง” โมนีก้าเธอพูดสั้น ๆ เรียบง่ายแต่จริงใจกับเลสเตอร์อีกครั้งเธออยากให้เขารู้จริง ๆ ว่าเธอขอบคุณเขาจริง ๆ ก่อนจะยักไหล่กลบเกลื่อน “ไปกินกันเถอะ ถ้าฉันยังหิวแบบนี้อสูรอาจไม่เหลือให้เราล่าด้วยซ้ำ” เลสเตอร์ยิ้มบาง ดวงตาสีฟ้าอุ่นขึ้นแทบมองเห็น “งั้นรีบก่อนที่เธอจะกินเกลี้ยงทั้งบุฟเฟต์” เขาเปิดประตูให้ “วันนี้เราจะเริ่มจากเบาะแส และจบที่ต้องได้คำตอบ ขอให้ดวงอาทิตย์เข้าข้างเรา”


“และอาหารอร่อย ๆ ที่เข้าข้างฉันเหมือนกัน” โมนีก้าตอบพลางก้าวผ่านประตูห้องออกไป เส้นผมมวยโดนัทของเธอขยับเด้งนิด ๆ เวลาเดินไปมาพร้อมเช้าใหม่ที่เริ่มเดินเครื่องมุ่งหน้าสู่ห้องอาหารของโรงแรมที่น่าจะมีแต่อาหารแสนอร่อย


ห้องอาหารชั้นล่างอุ่นกว่าฟูกผ้าห่มเมื่อคืน กลิ่นกาแฟคั่วใหม่ฟุ้งคลุกกับเนยบนแผ่นครัวซองต์ โมนีก้าลากถาดผ่านไลน์บุฟเฟต์แบบไม่ชายตาให้สลัด โมนีก้าเริ่มเดินหยิบไข่กวน ไส้กรอก เบคอน แพนเค้ก ชีส แฮม ครัวซองต์อีกสอง ตามด้วยวาฟเฟิลหนึ่ง เธอลงนั่งปักธงโต๊ะริมหน้าต่างอย่างผู้ชนะ ก่อนงับครัวซองต์แฮมชีสคำใหญ่จนแก้มพอง


เลสเตอร์มาช้ากว่าหน่อย มือหนึ่งถือกาแฟดำอีกมือถือชามโอ๊ตมีลกับผลไม้รวม เป็นภาพหลุดโลกสำหรับคนที่เมื่อวานยิงธนูใส่หุ่นสังหารแบบแม่นโคตร ๆ “ยินดีต้อนรับสู่มื้อเช้าที่เธอเพิ่งประกาศสงครามกับผักอีกครั้ง” เขาเอ่ยพลางนั่งลง


โมนีก้าทำตาโตกลืนคำสุดท้าย “อย่ามาขัดจังหวะความรักระหว่างฉันกับแป้งและชีสสิ เออ…นั่น!” เธอชี้ไปที่มุมห้อง มีโต๊ะคอมพิวเตอร์บริการแขกสองเครื่อง “ถึงเดมิก็อดจะใช้โทรศัพท์ไม่ได้ แต่ยังเล่นเน็ตได้ใช่ไหม ไปค้นจากกูเกิลกันเถอะ ดูว่าแถวเมืองนี้มีเหมืองเก่าไหนบ้าง ใกล้ ๆ นี่แหละ เราจะได้ไม่ต้องเดินมั่ว”


เลสเตอร์ที่นั่งฝั่งตรงข้ามจิบกาแฟดำช้า ๆ ยกคิ้วขึ้นทันที “เธอบ้าเหรอโมนีก้า อยากโดนพวกมอนสเตอร์ตามสัญญาณแล้วรุมกินโต๊ะจีนใส่พวกเราหรือไง อินเทอร์เน็ตนี่เสี่ยงพอ ๆ กับมือถือเลยนะ มันดึงดูดพวกสัตว์ประหลาดยิ่งกว่าสัญญาณไฟสนามบินอีก” โมนีก้ากะพริบตาปริบ ๆ “หา? นึกว่าใช้ได้เสียอีก ก็เห็นค่ายจูปิเตอร์มีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ตั้งหลายเครื่องนี่หน่า” น้ำเสียงเริ่มติดงอแง


เลสเตอร์ถอนหายใจแล้วเอนหลังเก้าอี้ “ค่ายจูปิเตอร์เขามีระบบป้องกันขนาดนั้นไหนจะอุปกรณ์ค่าง ๆ ก็ของพิเศษที่เดดาลัสสร้าง ต่างกับคอมสาธารณะในโรงแรมเล็ก ๆ กลางเมืองแบบนี้ลิบลับ แต่คอมตรงนี้…แค่เธอพิมพ์ชื่อเหมืองก็เหมือนจุดไฟบอกตำแหน่งให้พวกมันรู้เลยว่าเราอยู่ตรงไหน”


เด็กสาวทำปากยู่ทันควัน มือยังคีบครัวซองแฮมชีสเข้าปากเหมือนระบายอารมณ์ “แล้วจะหาข้อมูลยังไงเล่า ฉันก็ไม่ได้พกสารานุกรมมาด้วยนะ”


“ห้องสมุดไง” เลสเตอร์ตอบสั้น ๆ ก่อนจะยิ้มกวน ๆ “ที่นั่นอย่างน้อยยังมีหนังสือจริง ๆ ให้เปิด ไม่ได้กระจายสัญญาณเหมือนป้ายไฟเชิญแขกแบบคอมสาธารณะ”


“ห้องสมุดหรอออ…” โมนีก้าเว้นเสียงลากยาวเหมือนคนถูกสั่งให้ไปฝึกท่องกวี “ก็ได้ แต่ฉันจะกินครัวซองอีกสองชิ้นก่อนค่อยไป” เธอประกาศพลางคีบครัวซองเพิ่มลงจานทันที เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ ตอนที่โมนีก้าบอกแบบนั้น “ตามใจเธอ แต่ถ้ากินหมดไลน์บุฟเฟต์แล้วต้องเดินไปห้องสมุด ฉันจะไม่แบกเธอนะ”


“ห้ามพูดคำว่าแบก! นี้คือข้อตกลงใหม่” เธอแกล้งทำเสียงเข้ม แต่รอยยิ้มเล็ก ๆ ก็หลุดมุมปาก ในขณะที่เสียงกรอบของแป้งครัวซองต์ยังดังกรุบกรอบเป็นจังหวะคล้ายประกาศชัยชนะเล็ก ๆ ของสาวไฮสคูลผู้ดื้อรั้น


หลังจากทานข้าวเสร็จในล็อบบี้ของโรงแรม Explorer ที่แสงแดดกลางวันตลอด 24 ชั่วโมงลอดผ่านกระจกบานใหญ่ โมนีก้าก้าวเท้าไปยังเคาน์เตอร์เช็คเอาท์พร้อมใบหน้าสดใส หลังจากคืนกุญแจและจัดการเรื่องค่าห้องเรียบร้อย เธอเอนตัวเล็กน้อยพิงเคาน์เตอร์พลางเอ่ยเสียงใสว่า “ขอโทษนะคะ ที่นี่มีห้องสมุดประชาชนไหมคะ?”


พนักงานสาวยิ้มรับอย่างเป็นมิตร “มีค่ะ ห้องสมุดประชาชนเมืองเยลโลว์ไนฟ์ (Yellowknife Public Library) ตั้งอยู่ที่ Centre Square Mall จากโรงแรมเราเดินประมาณ 700 เมตรค่ะ แค่ 9 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ วันนี้เป็นวันเสาร์ ห้องสมุดจะเปิดตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงห้าโมงเย็นนะคะ”


“ขอบคุณมากค่ะ!” โมนีก้าฉีกยิ้มกว้างส่งเสียงใสก่อนจะหันมาทางเลสเตอร์ที่ยืนรออยู่ข้างกระเป๋า ลมหายใจเธอพ่นเป็นไอสีขาวเล็ก ๆ เมื่อยักคิ้วขึ้นหนึ่งข้างแล้วส่งสายตาแพรวพราว “เป็นไงล่ะ ฉันถามคนอื่นได้เก่งปะ ไม่ต้องพึ่งลูกเทพเดินนำเลยนะ” เลสเตอร์ยกคิ้วเล็กน้อย สีฟ้าในดวงตาเป็นประกายขบขัน “เก่งมาก คุณหนูนักสืบ ฉันนี่แทบจะกราบพรสวรรค์ในการสอบถามของเธอแล้ว” เขายักไหล่ทำทีขำ ๆ แต่ปลายประโยคแฝงน้ำเสียงกึ่งประชดกึ่งเอ็นดู “อย่างน้อยก็ไม่เรียกเสียงจากพวกมอนสเตอร์ด้วยการไปเช็กกูเกิล”


“ก็ใช่น่ะสิ ใครจะไปเสี่ยงเรียกสัตว์ประหลาดมาง่าย ๆ” โมนีก้าเชิดคางเล็กน้อย “ฉันก็ฉลาดขึ้นเหมือนกันนะเนี้ย”


เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ “ฉลาดจริงในเมืองแปลก ๆ นะ แต่หนาวขนาดนี้เธอจะเดินไหวไหม เก้านาทีนี่นะ”


“ไหวสิ” โมนีก้าตอบทันควัน แก้มขึ้นสีชมพูเพราะอากาศเย็น “ถ้าฉันแข็งเป็นน้ำแข็งกลางทางก็แค่หิ้วกลับโรงแรม…แต่นายต้องจ่ายค่านวดสลายร่างน้ำแข็งให้ด้วยนะ”ลสเตอร์หัวเราะเสียงลึก “ดีล แต่เธออย่าเพิ่งคิดจะทดสอบสัญญานั่นล่ะ”


โมนีก้าหัวเราะคิกแล้วสวมถุงมือกันหยาวอย่างมั่นใจ “ไปกันเถอะ” ทั้งสองจึงก้าวออกจากประตูโรงแรมพร้อมกัน ลมหนาวพัดกรูเข้ามาทักทายทันที โมนีก้ากระชับผ้าพันคอแน่น ส่วนเลสเตอร์เดินเคียงข้างอย่างสบาย ๆ แสงแดดสีซีดของเมืองเยลโลว์ไนฟ์ส่องประกายลงบนถนนหิมะขาวโพลน ขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปยังห้องสมุดที่รออยู่เพียง 9 นาทีข้างหน้า

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

เลสเตอร์นอนกับโมนีก้าในคืนนี้ แค่นอนนัไม่ได้ทำอะไร เขาก็ไม่คิดอะไรหรอกนอกจากกะรับผิดชอบโมนีก้าให้ถึงที่สุดเพราะเขาดึงเธอเข้ามาเกี่ยวข้องเอง เลสเตอร์นั่งทานข้าวเช้าที่โรงแรมก่อนที่จะออกเดินมุ่งหน้าสู่ห้องสมุดประชาชนที่อยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 9 นาทีเท่านั้น


[พักผ่อนที่โรงแรมในเมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์]

[พักผ่อนที่โรงแรม the explorer hotel yellowknife] 

[มุ่งหน้าสู่ห้องสมุดประชาชนที่ใกล้ที่สุด 0.7 กิโลเมตร หรือเดินเพียงแค่ 10 นาทีเ่านั้น]

avatar

Moneka M. Blossom

ทำไมเดมิก็อดถึงเล่นอินเตอร์เน็ตปกติไม่ได้กัน....คร่อกกก โอ้ย ยังไม่ตื่นเต็มที่เลย 


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20



แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-9-26 23:34
โพสต์ 61149 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-26 20:53
โพสต์ 61,149 ไบต์และได้รับ +4 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-9-26 20:53
โพสต์ 61,149 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความศรัทธา +9 ความกล้า จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-9-26 20:53
โพสต์ 61,149 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความศรัทธา +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-9-26 20:53
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-27 01:58:35 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 13 : รู้สึกเหมือนกำลังเป็น Spy Kids
วันที่ 20 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงเช้า เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ณ เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา

ลมหนาวเช้าวันเสาร์พัดเบา ๆ ตามถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน โมนีก้าก้าวออกจากโรงแรม Explorer Hotel พร้อมเสื้อโค้ตขนสัตว์ที่กระชับร่างเล็กไว้แน่น เสียงรองเท้าบู๊ทของเธอกรอบแกรบไปตามทางเดิน เธอเหยียบบนหิมะอย่างสบายใจจนปากเริ่มฮัมเพลง Ashnikko – Slumber Party ออกมาอย่างอารมณ์ดี เสียงทำนองเปรี้ยวซ่าแบบที่ถ้าใครรู้เนื้อจริงคงต้องเลิกคิ้วสูง แต่เธอก็ฮัมต่อหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรต้องปิดบัง


เลสเตอร์ที่เดินอยู่ข้าง ๆ ถึงกับเหลือบตาขึ้นจากผืนถนนแล้วมองใบหน้าที่กำลังยิ้มมุมปากของเธออย่างระอาปนขำ “โมนีก้า…เธอรู้ตัวไหมว่าเพลงที่เธอฮัมอยู่นั่นไม่ใช่เพลงที่เด็กสาวผู้ใสซื่อควรจะฮัมกลางเมืองเยลโลว์ไนฟ์” เขาพูดเสียงเนิบแต่แฝงแววกลั้นหัวเราะ


โมนีก้าหันมาทำตาโตใส่เหมือนไม่รู้เรื่อง “ทำไมล่ะ ก็ทำนองมันสนุกนี่นา ฉันฮัมเฉพาะทำนองไม่ได้ฮำเนื้อสักหน่อย” เธอแกล้งทำเสียงยืด ๆ แถมส่ายหัวให้ผมมวยโดนัทขยับนิด ๆ


เลสเตอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่มุมปากกลับยกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ “เธอนี่…เป็นเดมิก็อดที่สร้างปัญหาได้ทุกสถานการณ์จริง ๆ ฮัมเพลงเรทแรงกลางเมืองที่ยังมีพระอาทิตย์ส่องทั้งวันแบบนี้ ถ้ามีใครฟังออกคงคิดว่าฉันพาเด็กไฮสคูลหนีออกจากค่ายมาทำเรื่องพิลึก”


“นายก็แค่คิดมากเองต่างหาก” โมนีก้ายักไหล่แล้วหัวเราะคิกคัก “ฉันไม่ได้ร้องสักคำ เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็ฟังเพลงนี้กันทั้งนั้น นายจะตามทันโลกบ้างก็ได้นะ” เลสเตอร์เลิกคิ้วพร้อมส่งสายตาเจ้าเล่ห์ “โอเค งั้นคราวหน้าฉันจะฮัมเพลง WAP ให้เธอฟังบ้าง ดูซิว่าใครจะหน้าแดงก่อน”


“ฝันไปเถอะ!” โมนีก้าตอบกลับทันควัน หน้าตาแดงวาบขึ้นมาเองจนต้องรีบหันไปมองเส้นทางข้างหน้า “นายกล้าฮัมเพลงนั้น ฉันจะเอามีดแทงเท้าให้เดินไม่ได้เลยคอยดู” เสียงหัวเราะของเลสเตอร์ดังคลอไปกับเสียงรองเท้าที่เหยียบหิมะกรอบแกรบ เขาส่ายหัวพลางก้าวเคียงข้างเธอไปตามทางสู่ Yellowknife Public Library โดยที่หัวใจกลับรู้สึกเบากว่าทุกครั้งที่ผ่านมาหลังการต่อสู้ แม้จะต้องตามเด็กสาวไฮสคูลผู้มีรสนิยมเพลงเรทแรงกว่าที่ควรจะเป็นก็ตาม


แต่ตอนที่เดินไปอยู่ ๆ โมนีก้าก็รับรู้อะไรบางอย่างเมื่อลมเย็นเฉือนแก้มเป็นริ้ว แต่ใต้เสียงกรอบแกรบของรองเท้าบู๊ตกับเสียงรถบัสไกล ๆ ยังมีอีกชั้นหนึ่ง กึก…กึก…เบาจนแทบกลืนหายไปกับเมือง โมนีก้าหยุดฮัมตอนที่ได้ยินแบบเนียน ๆ ก่อนกลอกตาเหมือนจะกวนประสาทเลสเตอร์ แล้ว พรวด โดดขึ้นหลังเขาเฉยเลยพลางรัดแขนรอบคอหลวม ๆ ทำทีเป็นเด็กซนขอขี่หลังกลางถนน


“อะไรของ—” เลสเตอร์ชะงักไปครึ่งจังหวะ แต่ยังรับน้ำหนักไว้ได้เนียนกว่าที่คิดมือซ้ายยันต้นขาเธอให้ทรงตัว ขณะที่ใบหน้าเอียงรับริมฝีผมสีม่วงครามที่โน้มมาตรงหู เสียงกระซิบของโมนีก้าที่ขยับมาตรงหูของเลสเตอร์นั้นเบาบางกว่าลม “มีคนตาม…สองคน เดินเนียนเป็นชาวเมือง ไม่น่าใช่สายบู๊หรอกมั้ง ฟีลสายลับมากกว่า ของ LoNex นั่นแหละ”


เลสเตอร์ไม่เหลียวหลังแม้แต่น้อย ดวงตาสีฟ้ากวาดไปตามกระจกหน้าร้านที่เรียงกันเป็นจังหวะเงาเคลื่อนไหวสะท้อนในบานหนึ่ง แล้วกลับไปนิ่งในบานถัดไป เขายักคิ้วนิดเดียวแทนคำว่า เห็นแล้ว จากนั้นยกเสียงพอให้คนรอบข้างได้ยิน คล้ายคู่รักหยอกกันกลางทาง เอ่อ…เอาความจริงมันไม่ควรเป็นคู่รักนะแต่อันนี้มันเนียนกว่า “เกาะให้แน่นสิคุณหนู ตัวเธอเบากว่าธนูฉันอีก” น้ำเสียงชิลจนคนผ่านไปมาหันมายิ้มให้ภาพแฟนหนุ่มแบกแฟนสาวกลบความผิดปกติทุกชนิด


จากนั้นคือเสียงต่ำชิดหูที่มีไว้สำหรับเธอคนเดียว “สองคนจริง ทางซ้ายหนึ่ง โค้ตยาว หมวกบีนนี เท้าขวาเตะหิมะติดจังหวะเดิมทุกสามก้าว อีกคนฝั่งเงาตึก ผ้าพันคอเทา ไม่สบตาใคร…ฉันจะพาเลี้ยวเข้าศูนย์การค้าอย่างที่พนักงานบอก เดินเป็นม้าล่อเข้า Centre Square Mall ก่อน คงต้องเช็กว่าพวกมันเข้ามาไหม”


โมนีก้าสูดลมหายใจแรงจนแก้มพองนิด ๆ สีหน้าที่เคยร่าเริงเปลี่ยนเป็นหน้างอแบบหงุดหงิดทันทีเมื่อเลสเตอร์เอ่ยเบา ๆ บอกเธอ “พวกมันคงไม่หยุดตามแน่ ต้องหาทางกำจัดพวกนั้นซะ” เสียงทุ้มต่ำของเขาฟังดูนิ่งแต่แฝงแรงกดดันชัดเจน จนเด็กสาวเผลอขยับปลายนิ้วบีบสายกระเป๋าตัวเองแน่นขึ้น เลสเตอร์โน้มตัวเข้ามาใกล้พอให้เสียงลอดผ่านลมหายใจ “ฟังดี ๆ โมนีก้า… ฉันจะล่อให้พวกมันแยกตัวออกจากกัน เธอเดินข้างฉันไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องมองซ้ายขวา พอถึงมุมตึกที่สอง เธอจะเห็นบันไดหนีไฟ ให้ก้าวขึ้นไปชั้นแรกแล้วหยุดรอ ฉันจะวกกลับไปจัดการพวกที่ตามหลัง”


“หา? ให้ฉันทิ้งนายไว้คนเดียวหรอ?” โมนีก้าเบิกตา ตาสีเทาเงินวาวเหมือนจะค้าน แต่เสียงเลสเตอร์กลับเย็นเยียบพอจะตัดลมเธอ


“นี่ไม่ใช่การต่อรอง เธอเป็นเป้าหมายเหมือนกัน ถ้าพวกนั้นรู้ว่าเราสองคนแยกกันได้ พวกมันจะตื่นตระหนกและเคลื่อนไหวผิดจังหวะ ฉันต้องใช้ช่องนั้นไง” เขากวาดตามองรอบถนน เห็นเงาเคลื่อนไหวสะท้อนในกระจกหน้าร้านไกล ๆ “ฉันจะยิงธนูเงียบใส่ตัวที่ตามซ้าย ถ้ามีอีกตัวโผล่จากซอยขวา เธอใช้มีดสั้นปามันแค่ขัดขวางไม่ต้องสู้ยืดเยื้อ เข้าใจไหม”


โมนีก้าหยีตาลง สูดหายใจลึกจนอกกระเพื่อม “โอเค…แต่ถ้านายโดนลากตัวไป ฉันจะเอามีดเสียบพวกมันทุกตัวนะ จำไว้” น้ำเสียงเธอเหมือนบ่นแต่เต็มไปด้วยความดื้อรั้นที่เลสเตอร์จำได้ดี


เลสเตอร์หัวเราะในลำคอเบา ๆ “เธอจะได้โอกาสนั้นก็ต่อเมื่อฉันพลาด…ซึ่งไม่มีวัน” เขายักคิ้วแบบกวน ๆ ทว่าดวงตาสีฟ้ากลับคมราวคันศร พร้อมกับเอื้อมมือกุมหลังมือเธอเบา ๆ เพียงเสี้ยววินาที “จำสิ่งที่ฉันบอก อย่าหันหลังจนกว่าฉันจะเรียก” โมนีก้ากัดริมฝีปากตอนที่เป็นแบบนั้นพลางลมหายใจพ่นออกเป็นไอขาว เธอพยักหน้าหนึ่งครั้ง “ไปเลยคุณหัวหน้าหน่วยยิงธนู…ฉันจะรอ”


“ดี เด็กดี” เลสเตอร์กระซิบพร้อมรอยยิ้มบางที่กวนประสาทแต่แฝงความห่วงใย ก่อนจะปล่อยโมนีก้าที่ขี่หลังลงก่อนที่เขาจะก้าวออกไปนำหน้า เป็นก้าวเท้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจราวกับคุมท้องฟ้าไว้ในมือ พร้อมเริ่มปฏิบัติการที่ทั้งเยือกเย็นและรวดเร็วในแบบที่ชายผู้ถูกเรียกขานว่าลูกชายแห่งดวงอาทิตย์เท่านั้นจะทำได้


เมื่ออีกฝ่ายทำตามแผนแล้วโมนีก้าก็ทำตามแบบไม่เล่นมุก ขึ้นไปยืนคุมมุมบนชานพักชั้นหนึ่ง เอียงตัวจนเห็นเงาสะท้อนในกระจกเล็ก ๆ เหนือถังดับเพลิง ยังเห็นชายหมวกบีนนีกำลังไล่จี้เข้ามา ระยะสิบเมตร ลดเหลือเจ็ด ส่วนทางด้านเลสเตอร์ก็เริ่มเลสเตอร์ขยับป้ายพื้นเปียกให้บังมุมกล้องตรงหัวบันได แล้วแสร้งถอยกลับเร็วครึ่งก้าว ชนไหล่ผู้ตามให้เสียหลัก ไม่แรงมาก แค่พอให้ชายคนนั้นจับราวไว้ตามสัญชาตญาณ


“ขอโทษครับ” เลสเตอร์เอ่ยเสียงสุภาพ มือซ้ายแตะแผ่นหลังเหมือนพยุง แต่จริง ๆ ลื่นเข้าใต้รักแร้ ล็อกแขนก่อนหมุนสะโพกเล็กน้อย ตัดแรงให้คนโดนล็อกทรุดลงเงียบ ๆ อีกแขนสอดรัดคอหลังก่อนที่จะพูดสั้นชิดหูศัตรู “อย่าดิ้น” แค่ห้าวินาที เส้นเอ็นคลายลง คนโดนล็อกผ่อนแรง เลสเตอร์ค่อย ๆ วางร่างลงนอนตะแคงชิดผนัง ตรวจชีพจรให้แน่ใจว่ายังปกติ แล้วรูดฮู้ดขึ้นปิดหน้า “เรียบร้อย สะอาด ไม่มีรอยฟกช้ำโจ่งแจ้ง”


ก่อนขยับดวงตาไปทางโมนีก้าที่อยู่ชั้นสูงกว่า โมนีก้าพยักหน้าตาเหลือบลงซอยด้านล่าง “อีกคนยังไม่เข้ามา รอคุมปากประตูอยู่มั้ง” เธอกระซิบ ก่อนหยิบเหรียญสิบจากกระเป๋าก่อนกะระยะ แล้วดีด ติ๋ง ลงพื้นคอนกรีตด้านนอก ประตูสั่นนิด ๆ ตามแรงสะเทือน ก่อนที่ชายสายลับอีกคนหนึ่งจะขยับตามสัญชาตญาณผลักบานประตูเข้ามาครึ่งช่วงตัว เหลือบซ้ายขวาหาเสียงที่เกิดขึ้น


เลสเตอร์ถอยขึ้นชานพัก ให้โมนีก้าลงไปแทน เธอเดินผ่านเหมือนพนักงานชั่วคราวถือแก้วโกโก้ในมือ แกล้งทำหกนิดเดียวใส่ปลายรองเท้าคนที่ยื่นหัวเข้ามา “ขอโทษค่ะ!” น้ำเสียงจริงใจจนคนฟังสะดุ้งถอยครึ่งก้าว


“ไม่เป็—” ปลายประโยคยังไม่ทันหลุดดี โมนีก้าก็พลิกข้อมือ ใช้ปากแก้วดันข้อมือเขาลงตามแนวข้อต่อให้ไม่เจ็บ ไม่ส่งเสียงดังแต่ทำให้แรงจับหายไปชั่ววินาที พอให้เลสเตอร์ที่โผล่พ้นชานพักสอดแขนล็อกจากด้านหลัง ตัดแรงไหล่บิดข้อมืออีกครึ่งองศาแล้วปล่อยทันที “พอแล้ว” เลสเตอร์กระซิบ มือยังค้ำไหล่คนโดนล็อกไว้ แต่ไม่ใส่แรงเกินจำเป็น ชายผ้าพันคอเทาหยุดดิ้นตามธรรมชาติของคนที่รู้ว่าเสียเปรียบก่อนหอบแล้วสลบไปอีกราย ก่อนที่ทั้งโมนีก้าและเลสเตอร์จะลากทั้งสองไปไว้ในมุมที่ไม่มีใครเห็นรอให้พวกเขาตื่นเอง


“ไม่ได้อยากทำให้เจ็บ” เลสเตอร์พูดเสียงเรียบ “แค่อย่าตามมาอีกล่ะ”


ก่อนที่โมนีก้าและเลสเตอร์จะเดินทางออกจากตรงช่วงตรอกแคบด้านนอก อากาศหนาวจัดตัดแก้มทันที โมนีก้าก็ดึงฮู้ดคลุมหัวของตนเองพลางหายใจยาว ๆ ไล่อะดรีนาลีนที่เกิดขึ้นแล้วพูดพึมพำ “เรียบกว่าที่คิด” ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินวกขึ้นถนนซอยหลังห้าง เลี้ยวอ้อมบล็อกอาคารไปอีกฝั่งของ Centre Square Mall ก่อนค่อยผสมเข้ากับฝูงคนที่เดินเข้าทางหน้า พลางเปลี่ยนทิศไปตามป้าย Yellowknife Public Library อย่างไม่รีบร้อน เลสเตอร์ใช้หน้าต่างร้านคาเฟ่ตรวจเงาเป็นระยะและตอนนี้ก็ไม่มีใครตามแล้วล่ะ จากนั้นไม่นานก็เดินถึงหน้าห้องสมุดก่อนสิบเอ็ดโมงเล็กน้อย พวกเขาหยุดรอหน้าประตูรอคิวเข้าไป โมนีก้าซุกมือในกระเป๋า มองบัตรยืมหนังสือชั่วคราวที่โรงแรมช่วยพิมพ์ชื่อให้เมื่อคืน แล้วยิ้มบาง ๆ


“พร้อมจะไปงมหอจดหมายเหตุยังคะ คุณหัวหน้าหน่วยยิงธนู” โมนีก้าเธอหยอดเสียงกวนตีนเลสเตอร์ที่อยู่ข้าง ๆ ทางเลสเตอร์เลยเหลือบตามองโมนีก้า “พร้อมจะอ่านเอกสารยาว ๆ หรือยังครับ คุณหนูไม่กินผัก” แต่ทว่าความกวนของโมนีก้าก็ดันมีมากกว่าเธอทำท่าทางยักคิ้วใส่เลสเตอร์ “ถ้าไม่มีผักในกระดาษ ฉันโอเค”


ไฟเซ็นเซอร์เปลี่ยนเป็น OPEN เพื่อบ่งบอกเวลาเปิดทำการก่อนประตูจะเลื่อนช้า ๆ จนอากาศอุ่นกับกลิ่นกระดาษเก่าต้อนรับสองนักเดินทางเข้าไปอย่างง่ายดาย ภายในสะอาด เรียบ และจริงเท่าที่เมืองเล็ก ๆ จะมีให้ ในหัวของทั้งคู่เหลือเพียงเช็กลิสต์สั้น ๆ เหมืองร้าง


โมนีก้าและเลสเตอร์มุ่งหน้าไปที่โซนแผนที่และสังคมศึกษากับประวัติศาสตร์ทั้งที หลังจากนั้นก็หยิบหนังสือเกี่ยวกับเมืองและแผนที่ของเมืองมาดูเหมืองเก่า ห้องสมุดเงียบงันจนได้ยินเสียงพลิกกระดาษ โมนีก้าลากปลายนิ้วไล้ไปตามแผนที่กระดาษหนา เส้นถนนสีจางคดเคี้ยวรอบตัวเมือง ขณะที่เลสเตอร์นั่งเท้าศอก จรดดินสอกดทำเครื่องหมายเล็ก ๆ ไว้ตรงจุดที่น่าสงสัย “สรุปมีสองเหมืองที่เข้าเค้านะ” โมนีก้าพึมพำ ดวงตาเทาเงินกวาดจากตัวหนังสือไปยังแผนที่ “ไจแอนท์ทางเหนือ ริม Great Slave Lake…กับคอนทางใต้ที่เป็นเหมืองทองแรกของโซนนี้”


เลสเตอร์พยักหน้าตอบรับโมนีก้า “ถ้า LoNex จะซ่อนสถานีวิจัยอัคนีทมิฬมันต้องมีคุณสมบัติสามอย่าง หนึ่ง ลึกและมีโครงสร้างอุโมงค์เก่าให้ต่อยอด สอง เข้าถึงไฟฟ้าและน้ำได้โดยไม่เป็นที่สังเกต สาม มีเส้นทางขนของหนักเงียบ ๆ ได้” เขาใช้ดินสอแตะรูปถ่ายเก่า ๆ ของ Giant Mine “ฝั่งไจแอนท์ได้ข้อหนึ่งกับข้อสามขาดตัว อุโมงค์ลึกริมทะเลสาบ กับทางเลียบชายฝั่งด้านเหนือที่เงียบกว่า อีกอย่าง…หน้าหนาวมีเส้นน้ำแข็งชั่วคราวให้รถหนักวิ่งได้ ถ้าพวกมันต้องขนเครื่องมือวิจัยใหญ่ ๆ นี่สะดวก”


โมนีก้าทาบฝ่ามือกับมุมแผนที่ “แต่ไจแอนท์ก็ใกล้เมืองมาก ถ้าขยับพลาดทีเดียว คนท้องถิ่นต้องเห็นความผิดปกติแน่ ๆ” เธอขยับนิ้วไปจิ้ม Con Mine “ส่วนคอนอยู่ใต้เมือง โครงสร้างดั้งเดิมเยอะหัวบันไดลงเหมืองเก่ามีหลายจุด ถ้าซ่อนทางลงใหม่ในป่าเตี้ย ๆ แถวชานเมืองก็พอทำได้ และฝั่งนี้ออกไปทางชนบทเร็ว” เลสเตอร์ครางรับในคอ “จริง แต่คอนติดบ้านคนมากกว่าและการขนของเวลากลางวันตลอด 24 ชั่วโมงแบบโลกตอนนี้…ยากจะเนียนโดนจับได้แน่ ๆ” เขาเงยหน้ามองเธอ “ฉันเทไปทางไจแอนท์เป็นเป้าหมายหลัก คอนเป็นแผนสำรอง”


“โอเค งั้นเราจะไม่เถียงกันให้เสียเวลา” โมนีก้าก้มอ่านบันทึกประกอบอีกแผ่น “ถ้าเป็นไจแอนท์ จุดเสี่ยงคือโซนโรงแต่งแร่เก่า กับบ่อกากคนจะมีเหตุให้วนตรวจบ่อย ส่วนจุดที่คนไม่น่าชอบไป…” เธอเลื่อนสายตา “ปล่องระบายอากาศเก่าแถวแนวสน กับถนนบริการที่ปิดใช้…อืม ตรงนี่ไง”


เลสเตอร์เลยขยับมือขีดวงเล็ก ๆ สองจุด “แผนคือเดินเท้าเข้าจากแนวต้นสนตะวันตกเฉียงเหนือ ใช้แนวสโลปดินเป็นที่กำบัง ตรวจปล่องที่หนึ่งก่อน ถ้าเจอร่องรอยซ่อมแซมใหม่ หรือมีหัวสกรูเงา ฝุ่นเกาะไม่เท่ากัน เศษเทปไฟฟ้าก็ถือว่าเข้าเป้า ถ้าเงียบ เราอ้อมไปถนนบริการด้านเหนือที่ปิดป้ายไว้ ดูรอยยางแล้วก็พวกรอยลากเอา”


“เข้าไปดูแบบเงียบ ๆ แล้วค่อยต่อใช่ไหม?” โมนีก้าเอ่ยถามเลสเตอร์


“ใช่” เลสเตอร์ยิ้มมุมปาก “เธอเริ่มชอบงานเงียบแล้วนี่”


“ชอบมากกว่าไปชนเดธแมชชีนกลางสนามบินแน่” เธอสวนห้วน ๆ แต่ยิ้มบาง


ก่อนที่เลสเตอร์จะไปสนใจแผนที่ต่อเขาลากนิ้วบนขอบแผนที่ “ถ้าเป็นคอน จุดเข้าที่น่าจะยังเหลือร่องรอยคือช่องทางอุโมงค์บริการเก่าตามแนวใต้เมือง กับตะแกรงปล่องช่วยระบายแถวทุ่งโล่ง ถ้ามีฝาปิดเหล็กใหม่ ๆ แทรกในโบราณวัตถุ…ก็น่าสงสัย” เลสเตอร์ยิ้มพอใจเมื่อได้ข้อมูลอย่างชัดเจนขนาดนี้ “ครบแล้ว” เขาพับแผนที่เสียบเข้าเสื้อของตนเอง ก่อนที่ทั้งสองจะพากันออกจากห้องสมุด


ลมหนาวพัดแรงขึ้นเมื่อโมนีก้าและเลสเตอร์ก้าวออกจากประตูห้องสมุด เสียงรองเท้ากระทบพื้นหิมะกรอบแกรบเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทั้งคู่มุ่งหน้าไปตามถนนที่ทอดยาวออกสู่ชานเมืองเยลโลว์ไนฟ์ เป้าหมายคือเหมืองไจแอนท์ที่อยู่ทางเหนือของเมือง สายลมจากทะเลสาบเกรทสเลฟพัดเข้ามาเป็นระยะจนเสื้อโค้ตหนาของโมนีก้าแทบเอาไม่อยู่ เธอขมวดคิ้ว ซุกคอเข้าหาผ้าพันคอแล้วบ่นเสียงสั่น “นี่แค่เริ่มเดินเองนะ หนาวเหมือนกำลังเดินเข้าสู่แถบไซบีเรียเลยง่ะ แคนาดานี่บ้าไปแล้วหรือไง”


เลสเตอร์เหลือบมองเธอพร้อมรอยยิ้มเอือม ๆ “ก็บอกแล้วให้ใส่เสื้อเพิ่มอีกชั้น เธอดื้อเองนะโมนีก้า”


“ฉันไม่ได้ดื้อสักหน่อย ฉันแค่…ไม่คิดว่ามันจะหนาวแบบนี้ต่างหากในห้องมันอุ่นนี้หน่า” เธอสะบัดหน้าหนีแล้วซุกมือในกระเป๋าเสื้อโค้ตแน่นขึ้น “และที่ค่ายจูปิเตอร์ยังอุ่นกว่านี้ตั้งเยอะ” เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ ขณะปรับสายกระเป๋าสะพาย “ถ้าเธอหนาวมากก็ขึ้นขี่หลังฉันก็ได้นะเผื่อต้องการความอบอุ่น”


โมนีก้าหันขวับไปมองทางเลสเตอร์ค้อน ๆ เพราะเธอโดนล้อ ดวงตาสีเทาเงินเป็นประกาย “คิดจะเนียนแกล้งฉันใช่ไหม พ่อหนุ่มเดมิก็อดสายอวดดี”


“ฉันแค่เสนอทางแก้ไข ไม่ได้จะเนียนอะไร” เขายักไหล่ยิ้มกวน “แต่ถ้าเธอจะถือว่าเป็นข้อเสนอพิเศษก็ไม่ว่ากัน” เมื่อได้ฟังแบบนั้นเด็กสาวก็แลบลิ้นใส่เขาไปเต็ม ๆ “ฝันไปเถอะ” แต่ก็ขยับมาเดินชิดเขามากขึ้นเพื่อบังลมหนาวโดยไม่พูดอะไรต่อ


เมื่อพ้นเขตตัวเมือง ถนนเริ่มลดระดับลงเป็นทางลูกรังแข็ง มีป้ายไม้เก่า ๆ บอกทิศทางไปยังเหมืองไจแอนท์ที่เคยรุ่งเรืองในศตวรรษก่อน รอบด้านมีแต่ป่าสนสูงชะลูดที่ถูกหิมะปกคลุมจนขาวโพลน ลมหอบละอองน้ำแข็งฟาดหน้าเป็นระยะ เสียงเครื่องยนต์จากเมืองค่อย ๆ เลือนหาย เหลือเพียงเสียงลมและฝีเท้าของพวกเขา โมนีก้าเหลือบมองป้ายที่เริ่มผุพังแล้วพึมพำ “ที่นี่จริง ๆ สินะ เหมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางทองคำของแคนาดา ฟังดูเหมือนตำนาน แต่ตอนนี้กลับเหมือนฉากหนังผี”


เลสเตอร์ก็มองเส้นทางเบื้องหน้าที่ทอดสู่เนินหิมะไกลลิบ “ยิ่งเป็นที่ร้างยิ่งเหมาะกับพวก LoNex พวกมันชอบใช้สถานที่ที่ไม่มีใครสนใจเป็นฐานปฏิบัติการ” เขาเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “เธอต้องระวังตัวให้มากกว่าปกติ พื้นที่แบบนี้มีทั้งอสูรกับกับดักซ่อนอยู่” โมนีก้ากอดตัวเองแน่นขึ้นแล้วเหลือบมองหน้าเขา “นายพูดแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นตรงไหนเนี่ย”


“ไม่ได้จะทำให้รู้สึกดี แค่เตือน” เลสเตอร์ตอบเรียบ ๆ แต่สายตาที่เหลือบมามีแววอ่อนโยนซ่อนอยู่ “แต่ไม่ต้องห่วง ฉันอยู่กับเธออยู่แล้วนี้” โมนีก้าที่ได้ยินแบบนั้นก็หันไปมองเส้นทางเบื้องหน้าที่ปกคลุมด้วยหมอกบาง ๆ ก่อนจะยักคิ้ว “ก็หวังว่าเชื้อสายลูกเทพพระอาทิตย์สายหลงตัวเองอย่างนายจะไม่ทำให้ฉันหนาวตายกลางทางนะ”


เลสเตอร์หัวเราะในลำคอ “สัญญาได้เลย ว่าจะไม่ให้เธอต้องกลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งก่อนถึงเหมือง” ทั้งสองเดินต่อไปท่ามกลางลมหนาวที่กัดผิว ทุกก้าวเต็มไปด้วยความเงียบตึงเครียดสลับกับการหยอกล้อเล็ก ๆ ที่ช่วยให้การเดินทางไปสู่เหมืองไจแอนท์ไม่หนักหน่วงจนเกินไป แต่ในใจทั้งคู่รู้ดีว่าสิ่งที่รออยู่ข้างหน้านั้นอาจอันตรายยิ่งกว่าความหนาวของแผ่นดินเหนือเสียอีก

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

เมื่อเดินออกจากโรงแรมจะไปที่ห้องสมุดอย่างที่คิดกลับโดนสายลับสองคนตามหลังจากจัดการก็รู้ทันทีว่ามันมาจากองค์กร LoNex แน่นอน หลังจากนั้นก็ไปหาข้อมูลด้วยกัน ไม่รู้ว่าโชคดีหรือเปล่าที่คิดว่ามีแค่สองเหมืองที่ต้องตรวจสอบแต่เลสเตอร์เทใจไปให้กับเหมืองทางตอนเหนือของเมืองมากกว่า เหมืองไจแอนด์ แต่เขาก็มีแผนสำรองเสมอ อย่างน้อยรอบนี้ก็มีความหวังมากขึ้นแล้วล่ะ


[เดินทางออกจากโรงแรมเพื่อไปห้องสมุด]

[จัดการสปายขององค์กร LoNex ที่โดนส่งมา]

[ค้นหาข้อมูลเหมืองเก่าพบว่ามีสองเหมืองเลยคิดว่าจะไปที่เหมืงอไจแอนด์ก่อน]

[เดินทางออกจากห้องสมุดเมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์]

[มุ่งหน้าสู่ เหมืองไจแอนด์]

avatar

Moneka M. Blossom

ตอนที่จัดการสายลับนี้นึกว่าตัวเองจะโปะนะ อะไรเรามันจะตอแหลเก่งขนาดนั้นวะ เอาเป็นว่า นึกว่าตัวเองเป็น Spy Kids เรื่องนี้สนุกนะ เราแนะนำไปดู ๆ


[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20



แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-9-27 18:57
โพสต์ 96513 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-27 01:58
โพสต์ 96,513 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-9-27 01:58
โพสต์ 96,513 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-9-27 01:58
โพสต์ 96,513 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-9-27 01:58
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-27 08:18:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 14 : อะไรกันคับเนี้ย ปาร์ตี้ฮาร์ปี้หรอ
วันที่ 20 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงสาย เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป ณ ระยะทางจาก ภายในเมืองเยลโลว์ไนฟ์ ไปยัง เหมืองไจแอนท์ นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา

ลมหนาวจากทะเลสาบเกรทสเลฟพัดผ่านตลอดเส้นทาง แต่ถนน Yellowknife Access Rd. ที่ทอดยาวขึ้นเหนือกลับค่อนข้างเรียบและเดินง่ายกว่าที่คิดไว้ ฟ้าเหนือสว่างเหมือนกลางวันตลอดเวลา แม้จะเป็นค่ำยืดเยื้อของดินแดนขั้วโลก เส้นทางปกคลุมไปด้วยหิมะสีเงินส่องประกายระยิบระยับราวกับโรยผงเพชรบนพื้นคอนกรีต โมนีก้าเดินนำเล็กน้อยในชุดโค้ตหนาสีเข้ม มือหนึ่งกุมแก้วโกโก้ร้อนที่ซื้อจากคาเฟ่ริมทาง อีกมือซุกกระเป๋าเสื้อเอาไว้ เธอยกแก้วขึ้นเป่าลมอย่างเอาเป็นเอาตายจนแก้มพอง “ฮึ่ม…ทำไมมันยังร้อนขนาดนี้ เป่าตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วนะ”


เลสเตอร์ที่เดินข้างหลังหัวเราะในลำคอ “ก็เพราะเธอเป่าแบบนั้นแหละ มันเลยอุ่นอยู่ตลอด”


“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ” เธอเหลือบตามองเขา ริมฝีปากสีซีดจากอากาศหนาวขมุบขมิบ “จะให้ฉันซดเข้าไปแล้วลิ้นพองหรือไง”


“ถ้าจะลิ้นพองจริง ๆ ก็แค่เรียกฉันให้รักษาได้อยู่แล้วแต่อีกสักหนึ่งสัปดาห์นะ” เขาพูดเสียงเรียบแต่แฝงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ โมนีก้าหันขวับ ดวงตาสีเทาเงินวาวขึ้นมา “เลสเตอร์! อย่ามาอวดพลังต่อหน้าคนเดินถนนนะ เดี๋ยวมีใครได้ยินก็หาว่านายบ้าหรอก”


“ก็ไม่มีใครมองนี่นา” เขากวาดสายตาไปรอบถนนที่เงียบกริบ มีเพียงรถบรรทุกสองสามคันแล่นผ่านเป็นระยะ “อีกอย่าง ฉันก็พูดเฉย ๆ ไม่ได้จะโชว์ให้เห็นจริง ๆ สักหน่อย” เด็กสาวเบะปากใส่เลสเตอร์แล้วก้มหน้าลงไปเป่าโกโก้ต่อ “พูดเฉย ๆ ของนายบางทีมันก็น่าหมั่นไส้พอ ๆ กับการโชว์จริง ๆ เลยรู้ตัวไหม”


เลสเตอร์หัวเราะเต็มเสียงครั้งแรกของเช้านั้น “ฉันก็เป็นแบบนี้เอง เธอก็รู้อยู่แล้วนี่” เสียงรองเท้าบูทกระทบพื้นหิมะกรอบกราวเป็นจังหวะ ทั้งสองเดินไปเรื่อย ๆ ราวกับนักท่องเที่ยวทั่วไป โมนีก้าชี้ให้เลสเตอร์ดูบ้านไม้สีสดที่ตั้งประปรายกับทะเลสาบที่ถูกน้ำแข็งปกคลุมบางส่วน “เมืองนี้มีเสน่ห์แปลกดีนะ เหมือนโลกถูกหยุดเวลาไว้ แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่” ระหว่างที่เดินคุยกันไปเลสเตอร์เหลือบตามองเธอแววตาสีฟ้าลึกซึ้งกว่าปกติ “ใช่…เหมือนบางสิ่งบางอย่างกำลังรอให้เรามาเจอ”


“อย่าพูดเหมือนบทในหนังสือสยองขวัฐได้ปะ ฉันขนลุกนะ” โมนีก้าเธอรีบกลบเกลื่อนแล้วเป่าโกโก้อีกครั้ง “เอาเป็นว่าเดินอีกไม่กี่กิโลก็ถึงแล้วใช่ไหม” เด็กสาวเอ่ยถามทางเลสเตอร์ที่อยู่ข้าง ๆ “ประมาณนั้น” เขายิ้มบาง ๆ “ถ้าเธอไม่มัวเป่าโกโก้จนหยุดพักทุกสองนาที เราอาจถึงเร็วขึ้นอีกหน่อย” โมนีก้าเลยแสร้งทำหน้ามุ่ยแล้วเร่งฝีเท้าหนีเขาไปสองก้าว “ก็อยากให้มันเย็นพอดีแล้วค่อยกินนี่นา คนลิ้นแมวมันลำบากนะเลสเตอร์!” เสียงหัวเราะเบา ๆ ของเลสเตอร์ดังตามหลังมาในลมหนาว ทั้งสองยังคงเดินคู่กันไปบนถนนสายที่ทอดสู่เหมืองไจแอนท์ ท่ามกลางท้องฟ้าที่ไม่เคยมืดลงและอากาศเย็นจัดที่ไม่อาจดับประกายความมุ่งมั่นของพวกเขาได้เลย


ลมหนาวพัดเฉียดใบหน้าจนแก้มชา ขณะที่สองเงาเดินเคียงกันไปตามถนนลูกรังที่เริ่มมีหิมะปกคลุมหนา โมนีก้าก้าวเท้าไปอย่างระมัดระวัง มือหนึ่งกอบโกโก้ร้อนที่เป่าไม่หยุด อีกมือกำด้ามกราดิอุสไว้แน่น ดวงตาสีเทาเงินเหลือบมองรอบป่าอย่างเคยชิน จนกระทั่งเสียงฝีเท้าเล็ก ๆ แหวกความเงียบดังขึ้นจากพงหญ้าด้านข้าง เงาร่างสีคล้ำกว่าหิมะโผล่พรวดออกมา ก๊อบลินตัวเล็กหลังโก่ง ตาแดงวาว โมนีก้าแทบจะไม่ต้องคิด เธอสลัดแก้วโกโก้ลงหิมะทันทีแล้วก้าวออกข้างหนึ่ง ขยับแหวนดาราจรัสเรียกดราดิอุสออกมา เสียงกราดิอุสชักออกจากฝักแหวกอากาศคมกริบ


“ก๊อบลิน…ดีจัง มีของวอร์มอัพ” เธอพึมพำเสียงห้วนแบบประชด ๆ ก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้า


ก๊อบลินส่งเสียงกรีดแหลมพุ่งเข้ามาแต่ยังไม่ทันยกกรงเล็บ โมนีก้าก็ฟันเฉียงขึ้น กราดิอุสเฉือนลำตัวมันสะบั้นเป็นประกายทอง เลือดสีหม่นกระเซ็นเพียงเสี้ยววินาทีแล้วระเหยหายไปกับลมหนาว เลสเตอร์ยืนอยู่ด้านหลัง เงียบเกินไปสำหรับสถานการณ์นี้ เขาง้างสายธนูอย่างขี้เกียจเหมือนกำลังซ้อม ลูกศรทองพุ่งออกไปเป็นเส้นแสงเพียงครั้งเดียว เสียงแตกดังแผ่วในอากาศคือจังหวะที่หัวก๊อบลินกระเด็นเป็นฝุ่นวิบวับ


โมนีก้าเช็ดใบมีดกับเสื้อคลุมหิมะพลางหอบหายใจเบา ๆ “ง่ายจัง เหมือนปัดฝุ่นเลยเนอะ”


เลสเตอร์คลี่ยิ้มบางตอนที่โมนีก้าบอกแบบนั้นเสียงหัวเราะสั้น ๆ หลุดออกมาพร้อมไออุ่นจากลมหายใจ “ง่ายเกินไปต่างหาก ที่เจอก๊อบลินแถวนี้ แปลว่าเราใกล้เหมืองแล้ว และพวกมอนสเตอร์คงมีมากกว่านี้” โมนีก้าหันมามองทันที คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “อย่าบอกนะว่าต่อไปจะเจอฮาร์ปี้เป็นฝูง…ไม่เอานะ ขอร้อง” เธอยกกราดิอุสขึ้นพาดไหล่แล้วถอนหายใจแรง “ฉันยังอยากกินโกโก้ให้หมดแก้วมากกว่าจะสู้กับนกปากเหม็นเป็นสิบตัว”


เลสเตอร์หัวเราะในลำคอ พลางเก็บธนูเข้าที่ “ก็ภาวนาให้เป็นก๊อบลินหลงฝูงแบบนี้ต่อไปแล้วกัน ถึงเจอฮาร์ปี้ขึ้นมาจริง ๆ ฉันก็ไม่รับปากว่าจะให้เธอเป่าโกโก้ได้จนหายร้อนหรอกนะ” โมนีก้าถลึงตาใส่เขาตอนที่อีกฝ่ายพูดออกมาแบบนั้นแต่ก็กลั้นยิ้มไม่ได้ “พูดแบบนี้แปลว่ายังมีเวลาให้โกโก้เย็นลงสินะ ดี…ฉันจะเอาแก้วนั้นคืนให้ได้”


แต่ทว่าเสียงลมหนาวที่พัดมาตามแนวถนนแปรเปลี่ยนเป็นเสียงกระพือปีกแหลมสูงอย่างฉับพลัน เงาดำสิบกว่าร่างตัดผ่านท้องฟ้าสีเงินสว่างจ้าเหนือหัว โมนีก้าที่เพิ่งจัดการก๊อบลินไปหยก ๆ ถึงกับหยุดกึก เงยหน้ามองแล้วร้องเสียงหลง “นี่มันบ้าอะไรอีกเนี่ย! ฉันพูดแค่ปากไม่ใช่เชิญพวกมันมา!” เสียงกรีดร้องแหลมบาดหูแหวกอากาศหนาวเย็นมาแต่ไกล ก่อนร่างปีกสีหม่นยี่สิบกว่าตัวจะโฉบวนลงมาจากท้องฟ้า เกล็ดหิมะปลิวกระจายเพราะแรงปีกตีพัดจนโมนีก้าต้องยกแขนขึ้นบังหน้า เธอทำหน้าบูดเบี้ยวทันที "โอ๊ย บ้าบอคอแตกที่สุด! ยังไม่ทันถึงเหมืองก็มาปาร์ตี้ต้อนรับกันทั้งฝูงเลยหรือไง"


เลสเตอร์ยกคันธนูขึ้นอย่างใจเย็น สายตาสีฟ้าเข้มกวาดไปทั่วฟ้าเหมือนจะนับจำนวนศัตรูทีละตัว "ฉันบอกแล้วไง ว่าใกล้เหมืองแล้วอาจเจอมอนสเตอร์" เขายักคิ้วใส่เธอเหมือนกำลังหยอกเล่น "แต่เอาจริง ๆ แค่พวกนี้ ฉันว่ามันไม่ถึงขั้นปาร์ตี้กำจัดยากหรอกนะโมนีก้า"


"ไม่ถึงขั้นงั้นเหรอ?!" เธอหันขวับ ดวงตาสีเทาเงินแทบลุกวาว "นับให้ดี ๆ สิเลสเตอร์ 20 ตัว! 20! ฉันมีแค่มีดสั้นกับกราดิอุส แล้วฉันไม่ใช่คนชอบเล่นไล่ฟันไก่บินได้นะ!" เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ ตอนที่โมนีก้าบอกว่าเหล่าฮาร์ปี้คือไก่บินได้ ในขณะที่สายธนูในมือของเขาก็ถูกดึงจนตึง เสียงสายดังวืดก่อนลูกธนูแรกพุ่งฉีกอากาศทะลุเข้าอกฮาร์ปี้ตัวหนึ่งที่ดิ่งร่วงลงเหมือนเศษผ้าขาด "เธอบ่นไปเถอะ เดี๋ยวฉันเคลียร์ให้เกินครึ่งเอง"


โมนีก้าเบ้ปาก "พูดแบบนี้ทีไร สุดท้ายฉันก็ต้องวิ่งไปแทงตูดมันอยู่ดีทุกที!" เธอกำดาบสั้นแน่นแล้วก้าวข้างหน้า สูดลมหายใจฮึด "ก็ได้วะ! ไหน ๆ ก็หนาวจนชาปลายมือแล้ว ตีกับฝูงไก่นรกบินได้นี่ก็ช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้นหน่อยก็แล้วกัน!" เสียงปีกกระพือดังระงมรอบหัว ทั้งสองยืนหลังชนหลังตรงทางเข้าถนนสู่เหมือง หิมะถูกพัดกระจายวูบไหวเหมือนม่านที่กั้นระหว่างพวกเขากับศัตรู แต่ไม่มีใครคิดจะถอยแม้แต่ก้าวเดียว


ไม่นานเสียงแหวกอากาศของลูกธนูแรกก็ดังขึ้น เลสเตอร์ปล่อยสายคันธนูอย่างแม่นยำ ลูกธนูพุ่งทะลุอากาศเย็นเฉียบแหวกผ่านเสียงกรีดร้องของฮาร์ปี้ตัวนำ กลายเป็นละอองทองในพริบตาโดยไม่ทิ้งแม้แต่รอยเลือด โมนีก้าสบถเบา ๆ ระหว่างนั้นแต่รีบฉวยจังหวะ เธอพุ่งตัวหลบกรงเล็บของอีกตัวที่โฉบลงมาแล้วฟันกราดิอุสสวนขึ้นจากด้านล่าง เสียงโลหะกระทบเนื้ออสูรดังขึ้นพร้อมกับแสงทองที่ระเบิดพร่างพราย ตัวมันแตกสลายเป็นผงประกายเกลื่อนลมหนาว


เสียงธนูสั้น ๆ ตามมาเป็นชุด เลสเตอร์เคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลราวกับกำลังร่ายรำ ลูกธนูของเขาปักลงกลางอกของฮาร์ปี้ทีละตัว ๆ ราวกับทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่มีลูกไหนพลาดเป้า ทุกครั้งที่แสงทองระเบิด โมนีก้ารู้สึกได้ถึงความร้อนอุ่นประหลาดที่ไล่ความหนาวออกจากร่าง เธอเม้มปากแน่น พยายามไล่ความคิดนั้นแล้วตั้งสมาธิกับศัตรูตรงหน้า อีกสองตัวพุ่งใส่เธอพร้อมกัน เด็กสาวหมุนตัวต่ำกว่ากรงเล็บของมัน เงื้อดาบสั้นแทงสั้น ๆ สองครั้งติด เสียงหวีดแหลมของอสูรดังลั่นก่อนที่ร่างจะกลายเป็นละอองทอง เธอหอบหายใจถี่ แต่ความร้อนจากการต่อสู้กลับทำให้เลือดสูบฉีดจนแทบลืมความหนาว


ไม่ถึงสิบนาที ละอองทองกระจายเกลื่อนผืนหิมะ ทุกอย่างกลับเงียบงันอย่างรวดเร็วเกินคาด โมนีก้าชะงัก กราดิอุสยังค้างอยู่ในท่าเตรียมต่อสู้ เธอกวาดตาไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นศัตรูสักตัว “นี่มัน…จบแล้วจริงดิ?” เสียงเธอแหบพร่าเต็มไปด้วยความงงงัน “…ปกติฉันต้องหอบเป็นหมาวิ่งหัวซุกหัวซุนกว่าจะจัดการฝูงเดียวได้ นี่ไม่ถึงสิบนาทีเอง”


เลสเตอร์ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ถอนลูกธนูออกจากคันอย่างสบาย ๆ ไม่มีแม้แต่เหงื่อซึมบนหน้าผาก ผมหยิกสีเข้มของเขาสะท้อนแสงอาทิตย์ระยับเหมือนเส้นทองคำ เขามองเธอแวบหนึ่ง แต่อมยิ้มเฉย ๆ ไม่พูดโอ้อวดสักคำ มีเพียงแววตาสีฟ้าเย็นเฉียบที่บอกชัดว่าเขา รู้อยู่แล้ว ว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้


โมนีก้าเม้มปากแน่น หัวใจเต้นตึกตักเพราะความหมั่นไส้มากกว่าความเหนื่อย "อีตาบ้า... ไม่พูดสักคำแต่ทำเป็นโชว์เหนือผ่านการกระทำนี่มันน่าเตะให้จมดินจริง ๆ" เธอบ่นพึมพำพลางชี้กราดิอุสไปที่เขาเล่น ๆ "ฉันหมั่นไส้นายที่สุดเลยนะเลสเตอร์ รู้แล้วว่าคุณชายเดมิก็อดสายเลือดอะพอลโล่โคตรเทพ! ไม่ต้องทำหน้าเหมือนสบายกว่าเดินเล่นในห้างแบบนี้ก็ได้มั้ง!" เลสเตอร์หัวเราะหึ ๆ เบา ๆ ในลำคอพอได้ยินโมนีก้าบอกแบบนั้น เขายกคันธนูขึ้นพาดบ่าอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร "ฉันไม่ได้พูดอะไรเลยนะโมนีก้า เธอเป็นคนพูดเองทั้งนั้น" เสียงทุ้มของเขาเจือแววล้อเลียนที่ทำให้เด็กสาวแทบอยากขว้างถ้วยโกโก้ร้อนที่ถืออยู่ใส่หน้า


โมนีก้าสะบัดหัวฟู ๆ ของตัวเองแล้วจ้องเขม็ง "ฉันไม่พูดด้วยแล้ว!" เธอเร่งฝีเท้าก้าวลุยหิมะไปข้างหน้าเหมือนงอน ๆ แต่ในใจกลับสั่นไหวแปลก ๆ ทั้งอุ่นและหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน โดยไม่รู้เลยว่าเธอกำลังเดินอยู่ข้าง ๆ เทพพระอาทิตย์ตัวจริง เสียงจริง ที่เพียงแค่ลดอัตตาลงมาก็ยังเปล่งประกายจนคนรอบข้างหมั่นไส้จนแทบทนไม่ไหว


หิมะยังคงโปรยบางเบาเหนือเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่เหมืองไจแอนท์ ท้องฟ้าเหนือศีรษะสว่างจ้าราวกับเป็นกลางวันนิรันดร์ แต่ความหนาวก็ยังกัดผิวไม่เว้นวาย โมนีก้ากระชับเสื้อโค้ตขนสัตว์แน่นขึ้น มืออีกข้างยังจับแก้วโกโก้ร้อนที่อุ่นขึ้นมานิดเดียวหลังจากเป่ามันไปตลอดทาง แม้ไม่กล้าจิบเพราะลิ้นแมวแต่ก็ไม่ยอมทิ้ง เสียงรองเท้ากัดหิมะดังกรอบแกรบเคียงคู่กับจังหวะลมหายใจที่เป็นไอขาว “เหลืออีกไม่เยอะเองสินะ จะถึงแล้วเนี้ย” เธอเอ่ยขึ้นเบา ๆ ดวงตาสีเทาเงินกวาดมองเส้นทางเบื้องหน้า “เดินเร็วแบบนี้คงถึงไว”


เลสเตอร์ที่เดินนำเพียงครึ่งก้าวเหลือบมองผ่านบ่ากลับมา ดวงตาสีฟ้าเข้มสะท้อนแสงอาทิตย์ระยับ “ถ้าเธอไม่เอาแต่เป่าโกโก้แล้วเดินให้เร็วอีกนิด เราอาจจะถึงเร็วกว่านี้ก็ได้นะ” น้ำเสียงเขามีแววล้อเลียนจาง ๆ


โมนีก้ากลอกตา “พูดเหมือนฉันเป็นคนถ่วงเวลา ทั้งที่คนบางคนตอนสู้ก็ทำตัวเหมือนเดินเล่นยิงธนูเหมือนเล่นเกม” เลสเตอร์หัวเราะในลำคอเสียงทุ้มผสมกับลมหนาว “ก็ฉันเก่งนี่ เธอต้องชินได้แล้ว”


“เก่งแล้วน่าหมั่นไส้ยังไงล่ะ” เธอแยกเขี้ยวใส่เล็กน้อย แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มมุมหนึ่งอย่างหงุดหงิดปนเอ็นดู “ดีนะที่ฉันไม่แพ้ความหนาวไปซะก่อน ไม่งั้นคงต้องให้คุณหนูตกอับนี่อุ้มไป”


“ฉันก็ทำได้นะถ้าจำเป็น” เลสเตอร์ยักไหล่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ แต่สายตาที่เหลือบมองเธอกลับแฝงความเป็นห่วงอยู่ลึก ๆ “แต่อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลย เธอยังมีแรงอยู่ใช่ไหมโมนีก้า”


“มีสิ แค่หนาวจนฟันกระทบกันเท่านั้นเอง” โมนีก้าพูดพลางยกแก้วโกโก้ขึ้นเป่าอีกครั้งจนรอยไออุ่นลอยขึ้นข้างแก้มซีด “ก็คนไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่ในตู้เย็นหลายเอเคอร์แบบนี้นี่” เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ ตอนได้ยินก่อนก้าวนำไปอีกสองสามก้าว “อีกไม่นานก็ถึงแล้ว เตรียมตัวไว้เถอะ เหมืองเก่าไม่ได้ต้อนรับเราด้วยดอกไม้หรออก” โมนีก้าสูดลมหายใจลึกตอนที่เลสเตอร์พูด แอบมองแผ่นหลังกว้างที่ก้าวมั่นคงอยู่ข้างหน้า ความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้เมื่อครู่ยังคงค้างอยู่ แต่เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกับฝีเท้ากลับบอกให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้เดินไปเพียงลำพัง และไม่ว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ในเหมืองที่กำลังรออยู่ข้างหน้า พวกเขาก็จะก้าวไปเผชิญมันด้วยกัน

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

ระหว่างการเดินทางเลสเตอร์และโมนีก้าพบมอนสเตอร์รายทางเป็นก๊อบลินและฝูงฮาร์ปี้ มันไม่ได้เกินความสามารถของเลสเตอร์และโมนีก้า พวกเขาเลยเดินทางต่อ และตอนนี้ก็ใกล้ถึงเหมืองแล้วหลังจากที่เดินทางมาตลอดชั่วโมง 


[ระหว่างทางกำจัดอสูรระหว่างทางเป็นก๊อบลินและฝูงฮาร์ปี้ 1 ฝูง]

[เดินทางออกจากห้องสมุดเมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์]

[มุ่งหน้าสู่ เหมืองไจแอนด์ ใกล้ถึงแล้ว]

avatar

Moneka M. Blossom

โนคอมเม้นท์...

มีค่า LUK (50 หน่วย ดรอปดาบก๊อบลินเพิ่ม 1 ชิ้น

จัดการก๊อบลินไปทั้งหมด 1 ตัว = 1 ชิ้น


รวม ได้รับดาบก๊อบลินเพิ่ม 1 ชิ้น



[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5

(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)



แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-9-27 10:01
โพสต์ 70602 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-27 08:18
โพสต์ 70,602 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-9-27 08:18
โพสต์ 70,602 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-9-27 08:18
โพสต์ 70,602 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-9-27 08:18
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-27 11:24:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 15 : ต่อสู้อีกละ เหนื่อยจริงๆ
วันที่ 20 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงบ่าย เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ณ เหมืองไจแอนท์ เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา

เมื่อเดินทางมาจนถึงเหมืองไจแอนท์ลมจากทะเลสาบเกรทสเลฟตีกระทบเนินหิมะเป็นคลื่นต่ำ ๆ แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่หยุดชะงักกลับเป็นฝูงจุดสีดำที่ไหลออกจากเงาตึกโรงแต่งแร่เก่าเหมือนฝุ่นพายุก้อนเล็กเท่าฝ่ามือ รูปทรงคล้ายแมลงปีกแข็ง เงามันวาวสีนิล ฉาบแสงเพียงเสี้ยววินาทีแล้วกลืนหายไปกับพื้นขาว ลอยเวียนเหนือซากโรงงานเหมือนชั้นเมฆมีชีวิต โมนีก้าเม้มปากทันที เธอไม่ต้องให้ใครบอกซ้ำ มือหนึ่งยกกราดิอุส อีกมือรูดมีดสั้นออกจากซองที่ต้นขา ดวงตาสีเทาเงินกวาดเร็ว “ใช่เลย พวกแมลงสายลับของ LoNex” เสียงต่ำแทบไม่ลอดลมหายใจ


เลสเตอร์ดึงคันธนูขึ้นอย่างใจเย็น แค่เหลือบดูทิศลมกับความเร็วฝูงก็พอ เขาขยับปลายนิ้วแตะบังแสงจากขอบธรณีหิมะเพียงเล็กน้อยก็พอให้ประกายสะท้อนกวนเลนส์อินฟราเรดของตัวนำฝูง พอหัวกลุ่มกระพริบเซ็นเซอร์ชั่วพริบตา ฝูงก็แกว่งแนวบินไปครึ่งองศาเหมือนฝันสะดุด “เล็งหัวหน้าฝูงก่อนเลย” เขาว่าพอให้เธอได้ยิน


ลูกธนูชุดแรกพุ่งสั้น รวดเร็ว เงียบกว่าลม ฟาดโดนตัวที่มีไฟสถานะสีแดงจุดกลางอกตัวดรอยด์กระตุกแล้วร่วงเหมือนเมล็ดถั่วตกพื้นหิมะ อีกสองตัวด้านข้างแกว่งวงตามสัญชาตญาณ AI จะเข้าประคองตำแหน่งหัวฝูง นั่นล่ะช่องว่างให้เด็กสาว โมนีก้าโยนมีดสั้นออกจากมือเหมือนกำลังปาเป้าในงานวัด ปลายมีดเฉือนบานกล้องจิ๋วตรงหัว หนึ่ง…สอง…ปะทะแห้ง ๆ แล้วหล่น เธอถีบปลายเท้าสาดหิมะขึ้นเป็นม่านขาวบังสายตาอัลกอริทึม ม้วนตัวต่ำลอดเงาโดรนที่ฉวัดเฉวียนลงมา แล้วตวัดกราดิอุสเฉียงขึ้นฟาดข้อพับปีก แผ่นใบพัดขาดกระเซ็น ร่างดำดิ่งวูบหายไปกับพงหญ้าแห้งที่โผล่เหนือหิมะ


ฝูงที่เหลือเปลี่ยนรูปขบวนเป็นกรวย ไล่ล็อกความร้อนจากร่างมนุษย์ทั้งสอง เสียงฮัมต่ำ ๆ ของมอเตอร์รวมกันเป็นเสียงเดียวคล้ายยุงมหึมา เลสเตอร์ขยับไปข้างหน้าเพียงครึ่งก้าว “ดึงมันเข้ามาแคบ ๆ” เขากระซิบพลางผายคางไปที่ซากรั้วตาข่ายพัง ๆ ริมแนวสน “ให้มันเบียดตัวเอง”


ทั้งสองล่อฝูงเข้าแนวรั้วสนิมที่ปากถนนบริการ พอพื้นที่บังคับให้ฝูงซ้อนแนวกันเอง การหลบหลีกก็เริ่มติดขัด เลสเตอร์ปล่อยธนูสั้นทีละดอกเจาะจุดเซ็นเซอร์ ตัวไหนไม่ล้มก็พร่าเลนส์จนบินเซเพื่อชนกันเอง โมนีก้าชิงจังหวะเสี้ยววินาทีที่ฝูงสับสน พุ่งขึ้นสองก้าว ฟาดสันดาบกับตะแกรงปีก เปลวสะเก็ดไฟเสี้ยววาบจากการขูดโลหะพอให้ AI ประเมินผิดว่าเป็นประกายระเบิด เธอถอยหนึ่งก้าว ปาอีกมีดเฉียง ๆ ขวางรัศมีบิน ตัดวงจรสื่อสารของตัวท้ายแถว ไม่ถึงครึ่งนาทีแรก ฝูงก็หายไปเกือบครึ่ง เลสเตอร์ไม่เอ่ยชม ไม่โอ้อวด เขาแค่ทำงานเหมือนเครื่องจักรที่รู้หน้าที่ ลูกธนูเคลื่อนเป็นเมตริกซ้ำ ๆ ดิ่งตรงเงียบและปิดจบ


โดรนสี่ห้าตัวสุดท้ายพยายามหนีขึ้นสูงเพื่อส่งสัญญาณ แต่เลสเตอร์ย่อตัว ชูมือว่างขึ้นกั้นแสงอาทิตย์เฉียง ๆ ให้สะท้อนจากผิวถุงมือไปที่กลุ่มนั้น แสงแฟลร์จิ๋วทำให้ไดโอดรับแสงเพี้ยนอีกครั้ง เซ็นเซอร์ชะงักเพียงพอให้โมนีก้ากระโดดสับสั้น ๆ ปิดเรื่องเป็นรายตัว ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบ หิมะตกเป็นเส้นเล็ก ๆ อีกครั้ง กลิ่นโลหะอุ่นจากวงจรมอเตอร์ที่ร้อนเกินยังลอยบาง ๆ ก่อนถูกลมหนาวพัดจาง


โมนีก้าหอบนิดเดียว มองพื้นขาวที่มีซากชิ้นส่วนดำจิ๋วเรียงเป็นจุด เธอยกคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อ “เอ่อ…โอเค นี่เร็วเกินไปปะ รอบก่อนพวกเรานี้ต้องวิ่งหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับพวกแมลงกระป๋องนานกว่านี้เยอะ” เลสเตอร์เก็บลูกธนูอย่างเป็นระเบียบ เสียงตอบเรียบง่าย “เราเคยเจอมาแล้วหนึ่งครั้ง สมองเลยจำทางลัดได้ไง” แล้วก็ทำเพียงยิ้มมุมปากไม่ขยายความมากกว่านี้


ท่าทางนั่นเองที่ทำให้เลือดในแก้มเธอสูบฉีดขึ้นมาจากความหมั่นไส้ “อวดเก่งผ่านการกระทำก็ยังน่าหมั่นไส้อยู่ดีนะคุณชาย” เธอพึมพำ แต่ดึงมีดสั้นกลับเข้าซองด้วยปลายนิ้วที่สั่นนิด ๆ จากอะดรีนาลีน เลสเตอร์ชำเลืองไปทางอาคารคอนกรีตเตี้ย ๆ ที่หน้าต่างถูกปิดด้วยแผ่นเหล็กใหม่แววสะท้อน “ข่าวดีคือเรามาไม่ผิดที่แน่ ๆ ข่าวร้ายคือพวกมันรู้แล้วว่ามีใครสักคนอยู่แถวนี้”


เขาชี้ไปยังรอยครูดสดบนฝาเหล็กของปล่องระบายอากาศข้างโรงแต่งแร่ สกรูหัวแฉกสะอาดเงาเข้มไม่เข้ากับบานสนิมโดยรอบ “เริ่มจากตรงนั้น ตรวจเบา ๆ ฟังเสียงจากข้างใต้ ถ้ามีก็แปลว่าทางลงอยู่ไม่ไกล”


ระหว่างนั้นโมนีก้าเสยผมให้พ้นแก้ม หัวใจยังเต้นแรง แต่ดวงตากลับนิ่งขึ้น “รับทราบจ้า คุณหัวหน้า” เธอก้มเก็บฝาครอบเล็ก ๆ ของโดรนที่ยังอุ่น จับความร้อนค้างปลายนิ้วเหมือนย้ำว่าพวกมันไม่ได้ฝันไป แล้วก้าวเคียงเขาเข้าแนวสนด้วยจังหวะเงียบสม่ำเสมอ ลมหิมะพัดผ่านหูเป็นเสียงซู่เบา ๆ ด้านหลังคือฝุ่นดำของฝูงสอดแนมที่กลายเป็นเศษ เผยทางว่างสู่หัวใจของเหมืองและสู่คำตอบของเพื่อนที่หายไปของเลสเตอร์ ที่อาจรออยู่ใต้พื้นแข็งเย็นนี่เอง


แต่ทว่าระหว่างนั้นเงาเคลื่อนไหวริมแนวสนทำให้โมนีก้าชะงัก เธอชี้เบา ๆ ไปทางปากอุโมงค์คอนกรีตเก่า ตรงนั้นมีเงาดำหลายเงาก้าวออกมาพร้อมกัน ชุดเกราะเรียบด้านสีถ่าน โลโก้รูปปีกเล็ก ๆ ที่ไหล่ซ้ายและปืนไฮเทคที่สะท้อนแสงเหมือนใบมีดน้ำแข็ง “เอาแล้วไงเป็นกลุ่มเลย” เธอกลืนน้ำลาย เสียงต่ำจนแทบไม่พ้นลมหายใจ “งานนี้ไม่รอดง่าย ๆ แน่”


“รอด” เลสเตอร์ตอบสั้น ๆ แววตาสีฟ้าเย็นลงทันที “แต่ต้องเร็วและเงียบกว่านี้”


เสียงคลิกปลดเซฟดังเรียงกันราวกับวงออเคสตราเฉพาะกิจ หนึ่งในเอนฟอร์เซอร์ยกมือทำสัญญาณรูปกรวย มืออีกข้างเทปเลเซอร์สีฟ้าเป็นเส้นจางกวาดตรวจอุณหภูมิพื้นหิมะ หยุดตรงรอยเท้าสดใหม่ที่มุ่งเข้าปล่องระบายอากาศ เลสเตอร์จับข้อศอกโมนีก้าบีบเบา ๆ สองจังหวะ เหมือนกำชับให้ย้ายตำแหน่ง เธอสูดหายใจ ตั้งไหล่ เขยิบไปทางซากรั้วตาข่ายสนิมเพื่อแบ่งไฟส่องให้คนละด้าน แล้วแกล้งยื่นหน้าออกไปพ้นขอบหินเพียงเสี้ยววินาที


ปัง! กระสุนเงียบพุ่งเฉียดหินแตกสะเก็ด โมนีก้าดึงหัวกลับพอดี หัวใจกระแทกซี่โครง เธอพ่นไอขาวออกมาทีเดียว “พวกมันยิงไวชิบ…” ยังไม่จบคำ เลสเตอร์ก็ก้าวออกไปครึ่งลำตัว ปลายคันธนูโผล่ก่อนตัว คนยิงฝั่งซ้ายเงื้อปืนขึ้นเสี้ยววินาทีพอสำหรับลูกธนูที่ฟาดกระแทกโครงปืนตรงรางเลเซอร์ทำให้พิกัดพัง เอนฟอร์เซอร์คนนั้นสบถสั้น ๆ ถอยเจ็บนิ้ว “ไป!” เลสเตอร์เฉียงคำสั่ง โมนีก้าถีบตัวจากกำแพงวิ่งเฉียงต่ำตัดเข้าด้านขวาเหมือนลูกศร เธอสไลด์เข่าลงบนหิมะ ยกกราดิอุสตีสันดาบฟาดเข้าที่ข้อมือของอีกคน เสียงโลหะกระทบเกราะดังหนัก แน่นพอให้ปืนหลุดมือ เธอพลิกข้อมือแทงสั้นเข้าช่องว่างใต้รักแร้ ไม่ลึกพอฆ่าแต่พอทำให้ชาไปทั้งแขนจนชายคนนั้นทรุดลงครึ่งเข่า


ไฟเลเซอร์จากอีกกระบอกลากผ่านพื้นหิมะตรงเข้าหาเลสเตอร์ เขาเคลื่อนตัวไม่ถึงคืบพอให้ลำแสงเฉียดปลายผ้า จากนั้นลูกธนูสั้นสองดอกซ้อนก็ปักเข้าที่ตัวขาจักรกลของอาวุธ ทำให้ระบบคิกแบ็กล็อกค้าง เอนฟอร์เซอร์ต้องโยนปืนทิ้งเองเพื่อไม่ให้ระเบิดในมือ 


กระสุนเงียบจากด้านหลังฉวัดเฉวียนอีกรอบ เลสเตอร์ย่อตัวต่ำ ใช้ป้ายเขตอันตรายที่พิงผนังอยู่เป็นโล่ชั่วคราว เสียงโลหะบาง ๆ รับแรงกระแทกจนบิดงอ เขาโผล่หัวไปอีกฝั่ง มุมมองสะท้อนในกระจกหน้าต่างแตก ๆ ของโรงงานช่วยบอกตำแหน่งศัตรูด้านหลังโดยไม่ต้องเสี่ยงชะโงก ลูกธนูดอกถัดมาเจาะตรงพินปลดแม็กกาซีน ทำให้ปืนหลุดจากระบบจ่ายกระสุน กลายเป็นเศษเหล็กไร้พิษภัยในมือ


ฝั่งโมนีก้า ชายอีกคนพุ่งเข้าใส่ด้วยท่าทางฝึกมาดี เธอถอยครึ่งก้าวให้พลาดเป้า ตั้งศอกปะทะคอเสื้อเกราะแล้วตวัดสันดาบใส่ข้อมือ เลือกที่เอ็นมากกว่ากระดูกเพื่อให้หลุดแรงจับ จากนั้นใช้ด้ามดาบกระแทกขากรรไกร เสียงกร่อกสั้น ๆ ร่างสูงเซไปชนรั้ว เธอกลับตัวรวดเร็ว ฉวยปืนที่ตกข้างเท้าโยนไกลออกอย่างไม่ลังเล


“เหลือสาม” เลสเตอร์รายงานจากอีกฟากโดยไม่หอบแม้แต่น้อย


“พอใจยัง คุณชายโชว์ฟอร์ม” โมนีก้าหอบนิด ๆ แต่ยังยิ้มไหวอยู่บ้าง


“ตั้งใจหน่อย” เขาว่า แล้วปล่อยลูกธนูดอกที่สิบเข้าโรเตอร์ระบายความร้อนของปืนพลาสม่าในมือหัวหน้ากลุ่มจนมีเสียงหวีดต่ำสะดุด เครื่องดับวูบทันที หัวหน้ากลุ่มไม่เสียเวลาเขาถอดมีดสั้นคาร์ไบด์จากปลอกที่หน้าแข้ง พุ่งเข้าระยะประชิด เลสเตอร์รับใบมีดด้วยส่วนโคนคันธนู สะบัดข้อมือเบี่ยงทิศ จากนั้นก้าวเฉียงเข้าไหล่ซ้าย ใช้บ่าเสยเข้าลิ้นปี่จนแรงและหนักพอให้คู่ต่อสู้หายใจไม่ทัน โมนีก้าเห็นช่องว่างพอดี เธอสอดตัวเข้าข้างหลัง เสยด้ามกราดิอุสเข้าที่ท้ายทอยหนึ่งทีพอดี ๆ ชายคนนั้นทรุดลงนิ่ง


อีกสองคนสุดท้ายแลกจังหวะยิงกดดัน กวาดไฟเลเซอร์ตัดเส้นหิมะเพื่อกักพื้นที่ ทั้งคู่แยกกันคนละมุมเพื่อไม่ให้โดนรวบทีเดียว เลสเตอร์แตะหลังมือกับคางเล็กน้อย เป็นสัญญาณให้สลับตำแหน่ง โมนีก้าเข้าใจทันที เธอก้มต่ำ ลัดเลียบซากลังไม้แตก ๆ โผล่ด้านข้างอย่างรวดเร็ว ชายที่คุมมุมอยู่หันตามไม่ทัน เธอปามีดสั้นเฉือนเซ็นเซอร์เล็งบนรางปืน ก่อนพุ่งเข้าไปเหยียบหน้าท้อง เกี่ยวแขน ทุ่มลงกับพื้นหิมะ ใช้สันดาบกดข้อมือแล้วสั่งเสียงห้วน “จะไม่ฆ่า แต่อย่าขยับ” เลสเตอร์ปิดบัญชีคนสุดท้ายแบบเงียบที่สุด เขาอาศัยเงาซีดของตัวเองบนกระจกแตกเพื่อกะองศา พอพวกเอนฟอร์เซอร์กวาดปากกระบอกพ้นเสา เขาก็ยิงธนูดอกสั้นเข้ากลางโกร่งไก อาวุธล็อกค้างอย่างสมบูรณ์ ชายคนนั้นชูมือปล่อยปืนทิ้งโดยไม่รอให้ระบบดับเอง


ความเงียบหวนกลับมา หิมะยังร่วงเป็นเม็ดละเอียด ทุกอย่างจบภายในเวลาไม่ถึงนาน โมนีก้าหอบสองครั้ง ยืดหลังตรง พลางมองเลสเตอร์ที่ยืนปรับสายธนูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “โอเค…ฉันยอมรับ นายโคตรน่าหมั่นไส้” เธอพูดทั้งยังยิ้มไม่หาย “แต่ดันเก่งแล้วก็ขอบใจนะคะ”


เลสเตอร์ยิ้มมุมปากเพียงชั่วครู่ “เก็บเวลาไว้เหนื่อยข้างล่างเถอะน่า เราเพิ่งเคาะประตูบ้านเขาแรงไปหน่อย คงมีแขกชุดใหญ่อีกแน่นอน” เขาเตะปืนที่เสียสภาพไปกองเดียวกัน ลากร่างที่หมดสภาพไปพิงกำแพง จัดท่าทางให้หายใจสะดวก ไม่ทิ้งเลือด ไม่ทิ้งรอยเกินจำเป็น ก่อนชี้ไปที่ฝาเหล็กปล่องระบายอากาศที่เห็นรอยขันสกรูใหม่เป็นมันเงา


โมนีก้าพยักหน้าตอบรับอีกฝ่ายดวงตาสีเทาเงินนิ่งลง เธอเหน็บกราดิอุสกลับฝัก เก็บมีดครบทุกเล่มแล้วขยับใส่ถุงมือให้แน่น “งั้นไปกันเถอะ หวังว่าข้างล่างจะมีคำตอบ…และเพื่อนของนาย”


“จะมีแน่นอน” เลสเตอร์ตอบเรียบ แต่หนักแน่นพอให้ความหนาวรอบตัวลดอำนาจลงไปนิดหนึ่ง เขาวางฝ่ามือบนขอบฝาเหล็ก สูดลมหายใจสั้น ๆ แล้วเริ่มเปิดทางลงสู่ท้องเหมืองที่มืดลึก จุดที่อัคนีทมิฬอาจยังคุกรุ่นอยู่เงียบ ๆ ใต้เมืองที่ไม่เคยมืดนี้


ในอุโมงค์เหมืองที่เย็นจัด ลมหายใจของทั้งสองกลายเป็นควันสีขาวขุ่น โมนีก้าขยับเท้าอย่างระวังเมื่อเห็นร่างชายในชุดบอดี้สูทสีดำสนิทก้าวออกจากเงา ชุดนั้นไม่เหมือนเอนฟอร์เซอร์ทั่วไป มันแนบเนื้อและส่องประกายเส้นสายพลังงานที่เหมือนจะเต้นเป็นจังหวะกับชีพจรของเขา ราวกับมีบางอย่างที่เกินกว่ามนุษย์ โมนีก้าหรี่ตาลงทันที มือเลื่อนจับกราดิอุสแน่น “เลสเตอร์…คนนี้ไม่ธรรมดา” เสียงเธอต่ำแทบเป็นกระซิบ


เลสเตอร์ก้าวมาข้างหน้าเพียงครึ่งก้าว ดวงตาสีฟ้าเข้มขึ้นราวกับดูดทุกประกายแสง “ฉันเห็น พลังงานรอบตัวเขา…ไม่ใช่เทคโนโลยีธรรมดา” ชายปริศนาไม่พูดสักคำ แต่เพียงยกมือขึ้น ลมหนาวรอบ ๆ กลับเปลี่ยนเป็นแรงดันพลังงานมองเห็นเป็นริ้วประกายไฟฟ้า พื้นหินสั่นไหวเบา ๆ ทำให้ฝุ่นผงตกจากเพดานราวฝนกรด


“ฉันจะสนับสนุน นายเป็นตัวหลัก” โมนีก้ากลั้นหายใจเมื่อความกดดันถาโถมเข้ามา เธอขยับเท้าหาช่องยิง เสียงกราดิอุสขูดกับพื้นหินแผ่วเบา เลสเตอร์พยักหน้าตอบรับโมนีก้า “คอยเปิดทางให้ก็พอ เธออย่าเข้าใกล้พลังงานมันเด็ดขาด” น้ำเสียงนั้นเด็ดขาดจนโมนีก้ารู้ว่าเขาจริงจัง


เสียงฮึ่มต่ำเหมือนคลื่นสนามแม่เหล็กดังขึ้นพร้อมกับที่ชายปริศนาสะบัดมือ วงพลังสีครามพุ่งเข้าใส่ทั้งคู่ เลสเตอร์ขยับร่างฉับพลัน ลูกธนูทองพุ่งตัดอากาศเฉียดคลื่นพลังไปอย่างแม่นยำ กระแทกเข้าที่เกราะกลางอกของศัตรูจนประกายไฟฟ้าลุกพรึบ แต่เกราะกลับดูดซับพลังงานไว้ทั้งหมด “มันดูดพลังโจมตี!” โมนีก้าตะโกน พลางวิ่งเฉียงออกด้านข้าง เปิดทางให้เลสเตอร์มีมุมยิงใหม่ เธอพลิกกราดิอุสแทงเข้าที่พื้นด้านหน้าเพื่อก่อกำแพงน้ำแข็งบาง ๆ จากพลังเสียงกระซิบแห่งพงไพร ช่วยตัดกระแสพลังงานบางส่วน


ชายในชุดบอดี้สูทยกมืออีกครั้ง คราวนี้เป็นลำแสงพลังงานสีเงินพุ่งออกมา เลสเตอร์ก้าวเฉียงหลบอย่างเฉียดฉิว เขายกคันธนูขึ้นเรียกแสงอาทิตย์ภายในร่างที่แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของเทพ แต่ยังพอให้ประกายทองจุดสว่างกลางความมืดได้ เขาปล่อยลูกธนูพลังงานผสานกับคลื่นแสงสะท้อนกลับไป กระแทกเข้ากับวงป้องกันจนเกิดเสียงแตกพรืด


เสียงปะทะของโลหะกับโล่พลังงานดังก้องไปทั่วลานน้ำแข็งในเหมือง เลสเตอร์ย่อตัวหลบคมมีดพลังไฟฟ้าที่หัวหน้าเอนฟอร์เซอร์ฟาดลงมาอย่างไม่ปรานี เขายิงธนูสายแสงสวนกลับไปแม่นยำแต่ชายชุดเกราะสีดำกลับใช้โล่พลังงานสะท้อนคืนด้วยความเร็วเหนือคาด จนแรงสะท้อนทำให้เลสเตอร์ถอยหลังชนก้อนน้ำแข็งใหญ่ ร่างสูงเซไปเล็กน้อยและรู้สึกถึงแรงกระแทกที่ไหล่ซ้าย ความเจ็บแล่นวาบขึ้นจนต้องกัดฟันกลั้นเสียงคราง


“เลสเตอร์!” โมนีก้าร้องออกมาในทันที ดวงตาสีเทาเงินวาวโรจน์ เธอวิ่งฉับเข้าไปด้านข้าง ฟันกราดิอุสปาดลำแขนศัตรูจนประกายไฟสาดกระจาย ก่อนจะถอยกลับอย่างคล่องแคล่วเพื่อเปิดทางให้เลสเตอร์ยิงต่อ เลสเตอร์สูดลมหายใจฝืนความเจ็บ รีบง้างคันธนู สายธนูเรืองแสงสีทองปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา “โมนีก้า หลอกล่อมันอีกสักวิ!”


“ได้!” เธอตะโกนตอบ พุ่งเข้าประชิดด้วยความเร็ว ฟันเฉียงใส่โล่พลังงานให้เกิดแรงสั่นสะเทือนขัดจังหวะ ขณะที่เลสเตอร์ปล่อยลูกศรพลังแสงทะลุแนวป้องกัน กระแทกเข้าที่แผงควบคุมบนเกราะศัตรู เสียงระเบิดก้องลั่นโล่พลังงานแตกกระจายเป็นประกายฟ้า หัวหน้าเอนฟอร์เซอร์ชะงักร่าง ก่อนจะถูกแรงระเบิดซัดกระเด็นล้มลงกับพื้น น้ำแข็งใต้เท้าแตกร้าวเป็นวงกว้าง เศษเกราะกระจายไปทั่วอากาศ จนเหลือเพียงเสียงลมหนาวพัดโบกแทนเสียงต่อสู้


โมนีก้ารีบวิ่งตรงเข้าหาเลสเตอร์ทันที เธอทิ้งดาบลงบนพื้นก่อนจะทรุดตัวลงข้างเขา มือบางคว้าต้นแขนที่มีเลือดซึมออกมา “เลสเตอร์! นายเจ็บมากไหม ไหนให้ฉันดูหน่อย” เลสเตอร์พยายามยิ้มแม้เหงื่อผสมเลือดไหลตามขมับ “แค่ถลอกใหญ่ ๆ นิดหน่อย…ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น เธอช่วยได้เยอะเลยนะเมื่อกี้”


“ไม่เยอะหรอก นายเกือบคอขาดน่ะรู้ตัวไหม!” โมนีก้าขมวดคิ้วแน่น สายตากังวลจนลืมเก็บอาการขี้บ่น “อย่าฝืนเก่งนักสิ” เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ ทั้งที่เจ็บอยู่ “ก็ถ้าไม่ฝืน ใครจะยิงเจ้านั่นได้ล่ะ” เขายื่นมือไปแตะหลังมือเธออย่างอ่อนโยน “ฉันยังอยู่ตรงนี้เพราะมีเธอคอยปิดช่องให้ เข้าใจไหม”


โมนีก้าสูดลมหายใจลึก พยายามระงับความสั่นในใจตอนที่เห็นเลือด เธอพยักหน้าช้า ๆ “ครั้งหน้า…อย่าทำฉันใจหายแบบนี้อีกนะ” เลสเตอร์มองใบหน้าเธอที่ยังมีร่องรอยความเป็นห่วงก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน “สัญญา…แต่เธอก็ต้องอยู่ข้างฉันแบบนี้ด้วยเหมือนกันนะ เข้าไปในเหมืองที่ลึกกว่านี้ก่อนเถอะ” เสียงลมหนาวยังพัดแรง แต่ความเงียบหลังการต่อสู้ทำให้ทุกถ้อยคำชัดเจนยิ่งขึ้น โมนีก้าเลยเดินตามเขาไป


ภายในประตูเหมืองที่มืดทึบมีเพียงแสงจากโคมพกของเลสเตอร์ส่องประกายเป็นลำแสงเล็ก ๆ ท่ามกลางไอเย็นจัด โมนีก้าก้าวตามเข้ามาอย่างระวัง เธอวางกราดิอุสพิงผนังหินแล้วรีบคว้ากระเป๋าพยาบาลขนาดเล็กออกมา ก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าเลสเตอร์ที่นั่งพิงหินอยู่ ใบหน้าของเขาซีดลงเพราะเสียเลือดแต่ยังคงยกยิ้มรั้น ๆ ตามแบบฉบับเดิม โมนีก้าถอนหายใจพลางคว้าผ้าพันแผลกับน้ำยาฆ่าเชื้อออกมา “ขยับเสื้อนิดนึง ฉันต้องทำความสะอาดแผลก่อน”


เลสเตอร์ยกคิ้วล้อเลียน “พูดแบบนี้ฟังดูน่ากลัวกว่าตอนสู้เมื่อกี้อีกนะ”


“เงียบเถอะน่า” เธอค้อนใส่แต่เสียงยังสั่นเล็กน้อยจากความเป็นห่วง มือเรียวค่อย ๆ ดึงเสื้อเขาเผยให้เห็นบาดแผลที่ไหล่ซ้าย รอยถากยาวมีเลือดซึมไม่หยุด “เจ็บใช่ไหม…นี่แค่ถลอกตรงไหนล่ะ เลือดออกขนาดนี้” เลสเตอร์ยักไหล่นิดหน่อยแม้จะสะดุ้งเพราะความแสบ “ก็ไม่ถึงกับตาย เธอนั่นแหละที่ต้องพัก โมนีก้า”


“พูดอะไรของนาย ฉันไม่ได้เป็นอะไร” เธอตวัดสายตาขณะกดสำลีชุบน้ำยาลงบนแผล เลสเตอร์สูดลมหายใจเฮือกแต่ยังฝืนยิ้ม “ฉันบอกแล้วว่าไม่ต้องพัก เราต้องเข้าไปให้ถึงด้านในก่อน” น้ำเสียงจริงจังขึ้นแม้ใบหน้ายังมีรอยล้อเล่นอยู่ “เพื่อนฉันอาจอยู่ไม่ไกล” โมนีก้าชะงักมือตอนที่ได้ยินเขาบอกแบบนั้น เธอเงยหน้ามองเขา แสงจากโคมพกสะท้อนดวงตาสีฟ้าลึกของเลสเตอร์จนเห็นประกายดื้อรั้นชัดเจน “นายยังจะเดินต่อทั้งที่สภาพนี้เนี่ยนะ”


“ใช่” เขาตอบสั้น ๆ แต่หนักแน่น “ถ้าหยุดตอนนี้ พวกมันก็จะย้ายที่ เราเสียเวลาไม่ได้”


โมนีก้ากัดริมฝีปาก พยายามซ่อนความกังวลในดวงตา เธอพันผ้ารอบไหล่เขาอย่างระมัดระวังก่อนผูกปมแน่น “ก็ได้ แต่สัญญาว่าจะไม่ห้าวเกินไปอีก ถ้าเจ็บมากกว่านี้ฉันจะลากนายกลับเอง” เลสเตอร์หัวเราะในลำคอ เสียงทุ้มก้องสะท้อนในเหมือง “ลากฉันกลับเหรอ เธอคิดว่าแรงแค่นั้นจะลากได้จริง ๆ น่ะ?”


โมนีก้าเชิดคาง “อย่าท้าทาย ฉันทำได้ถ้าจำเป็น” เลสเตอร์มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดื้อไม่แพ้กันแล้วคลี่ยิ้มบาง “ตกลง…แต่เธอต้องเดินข้างฉัน ห้ามทิ้งกันเด็ดขาด” โมนีก้าสะพายกราดิอุสขึ้นบ่าเพราะจะได้ไม่ต้องเอาเข้าออกแหวนดาราจรัส ลุกขึ้นยืนพร้อมกระเป๋า “ก็ตามนั้น ไปกันเถอะ ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจให้พักจริง ๆ” ไม่นานเลสเตอร์ยันตัวขึ้นแม้แผลยังตึง เขาปรับคันธนูบนไหล่แล้วเดินเคียงข้างเธอเข้าสู่ความมืดของเหมือง เสียงฝีเท้าทั้งสองก้องสะท้อนในอุโมงค์ร้าง บอกชัดว่าการเดินทางที่รออยู่ด้านในยังอีกยาวไกล

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

พวกเรามาถึงที่เหมืองแล้ว ใช่จริง ๆ อย่างที่คิดตรงนี้คือสถานีของพวกองค์กร LoNex จริง ๆ เลสเตอร์และโมนีก้าทำการต่อสู้จนสามารถเข้าไปในเมืองได้แล้ว ดูเหมือนว่าเลสเตอร์จะบาดเจ็บเล็กน้อย โมนีก้าดูเป็นห่วงเขามากแต่เลสเตอร์สังเกตเห็นว่าโมนีก้าดวงตาสั่นตอนเห็นเลือดของเขา โมนีก้ากับเลสเตอร์จึงเดินลงไปด้านล่างเหมืองต่อเรื่อย ๆ 


[เดินทางถึง เหมืองไจแอนด์]

[ต่อสู้กับ ฝูงหุ่นยนต์สอดแนม LoNex / กลุ่มเอนฟอร์เซอร์ / หัวหน้าเอนฟอร์เซอร์]

avatar

Moneka M. Blossom

โมนีก้าค่อนข้างเป็นห่วงที่เลสเตอร์บาดเจ็บ แม้ว่าจะไม่มาก แต่เธอก็ไม่โอเคอยู่ดี แต่เลสเตอร์เป็นห่วงเพื่อนในทีมของเขา เธอเลยไม่มีทางเลือก และหวังว่าจะไม่เจอเรื่องร้าย ๆ แต่โมนีก้าคิดว่าจะช่วยเลสเตอร์ไปเรื่อย ๆ นี้แหละ 



[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20



แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-9-27 11:44
โพสต์ 94701 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-27 11:24
โพสต์ 94,701 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-9-27 11:24
โพสต์ 94,701 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-9-27 11:24
โพสต์ 94,701 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-9-27 11:24
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-27 13:30:12 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-9-27 13:34

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 16 : มากขึ้นกว่าเดิม
วันที่ 20 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงบ่าย เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป ณ อุโมงค์มืด ใต้ดินเหมืองไจแอนท์ เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา

โมนีก้าและเลสเตอร์ลงมาจนถึงชั้นใต้ดินของเหมือง ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ที่อุโมงมืดใต้ดินแล้ว อากาศในชั้นใต้ดินเย็นชื้นจนไอหายใจกลายเป็นควันขาว โมนีก้าก้าวช้า ๆ พร้อมไฟฉายที่เอาออกมาจากแหวนดาราจรัสที่ส่องเป็นลำแสงเล็ก ๆ ตัดกับความมืดรอบตัว แสงสะท้อนกับผนังโลหะเรียบเป็นประกายเย็นวาว บ่งบอกว่าที่นี่ไม่ใช่อุโมงค์เหมืองเก่า แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างจงใจ เลสเตอร์เดินข้างเธออย่างเงียบเชียบ มือหนึ่งกำคันธนูแน่น อีกมือแตะผนังตรวจความมั่นคงของพื้นทาง แม้บาดแผลที่ไหล่ยังรั้งจนเห็นท่าทางฝืน แต่เขาก็ไม่ยอมออกเสียงให้ใครได้ยินว่าเจ็บ


โมนีก้าลอบมองเลสเตอร์อยู่แวบหนึ่งสังเกตทุกก้าวของเขาในแสงสลัว หัวใจเธอเต้นถี่ขึ้นทุกครั้งที่เห็นสีหน้าซีด ๆ ของเลสเตอร์ เธอกระชับกราดิอุสแน่นในมือแม้ไม่เอ่ยคำ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยเสียงเตือน ต้องคอยระวังเขา ต้องปกป้องเขา


เสียงฝีเท้าทั้งสองคนก้องสะท้อนในทางเดินโลหะยาวราวกับเป็นสัญญาณเตือน โมนีก้าหยุดชั่วครู่แล้วหันไปกระซิบใกล้หูเลสเตอร์ เสียงเบากว่าลมหายใจ “นายโอเคนะ เดินต่อไหวไหม” เลสเตอร์หันมาสบตา รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นแม้ดวงตายังเข้มแข็ง “ฉันโอเค…ไม่ต้องห่วง เดินไปเถอะ เราต้องรู้ให้ได้ว่ามันซ่อนอะไรไว้ เพื่อนฉันอยู่ที่ไหน” โมนีก้าที่ได้ยินแบบนั้นเธอเม้มปาก ไม่ตอบอะไรแต่ก้าวเข้าไปใกล้เขาอีกครึ่งก้าว ใช้ไฟฉายกวาดไปข้างหน้า เห็นเพียงเส้นทางที่ทอดลึกลงไปในความมืดไม่มีที่สิ้นสุด กลิ่นโลหะและกลิ่นไฟฟ้าลอยคลุ้ง แสดงชัดว่าเป็นฐานลับที่ยังคงทำงานอยู่


เลสเตอร์ก้มกระซิบเสียงต่ำจนแทบเป็นลมหายใจ “จำไว้นะ ถ้าได้ยินเสียงอะไรผิดปกติ เธอต้องวิ่งก่อน ไม่ต้องรอฉัน” โมนีก้าหันมามองเขาตาขวางทันที แม้จะยังคงเสียงเบา “หยุดพูดแบบนั้นได้ปะเนี้ย ฉันไม่ทิ้งนายหรอก เข้าใจไหม”


เลสเตอร์ชะงักไปวินาทีหนึ่ง ก่อนถอนหายใจเบา ๆ แล้วยิ้มบาง “ก็คิดอยู่แล้วว่าเธอจะพูดแบบนี้” ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งในแสงไฟอุ่นที่ส่องกระทบเส้นผมสีครามของโมนีก้าและผมหยิกสีเข้มของเลสเตอร์ ก่อนจะหันกลับไปมองความมืดเบื้องหน้า ก้าวต่อไปด้วยจังหวะที่แนบสนิท หัวใจเธอเต้นเป็นจังหวะเดียวกับเสียงฝีเท้าที่ก้องสะท้อนอยู่ในอุโมงค์ลึกของฐาน LoNex ที่รอพวกเขาอยู่ข้างใน


แต่ทว่าเมื่อเดินเข้ามาเรื่อย ๆ เสียงหนัก ๆ ก็ดังขึ้นจนโมนีก้ากับเลสเตอร์ต้องหลบอยู่ด้านหลังเสา เสียงกึกกักหนักหน่วงสะท้อนก้องไปทั่วทางเดินโลหะราวกับแรงสั่นจากแผ่นดินไหว เลสเตอร์รีบคว้าแขนโมนีก้าแล้วดึงให้หลบหลังเสาตรงมุมอุโมงค์ทันที ลมหายใจของทั้งคู่ขาดเป็นช่วง ๆ ในความมืด โมนีก้าตัวแข็งทื่อขณะเงี่ยหูฟังเสียงเหล็กกระแทกพื้นทีละก้าว


โมนีก้าแอบชะโงกมองออกไปแล้วแทบกลั้นเสียงอุทาน ลำแสงสีแดงพาดไปมาราวกับดวงตาปีศาจเผยให้เห็นเงาร่างมหึมา หุ่นยนต์ลาดตระเวนสีดำด้านสามตัวเดินเรียงแถว หัวกลมเงาวาวมีเซนเซอร์สีแดงเรืองรองเหมือนดวงตาโลหะ เสียงระบบไฮดรอลิกดังหวิวทุกครั้งที่มันขยับข้อต่อ โมนีก้าพึมพำแทบเป็นลมหายใจ “นี่ฉันอยู่ในเกมเมทันเกียร์หรือไง…ไอ้บ้านั่นอย่างกับเมทันเกียร์เรย์คูณร้อย…โคตรน่ากลัว ฮิเดโอะ โคจิม่าแม่งยิ่งชอบคนอยู่ สเต๊ลไม่เคยเนียนเลยฉัน”


เลสเตอร์หันมามองหน้าด้วยแววตาขรึม จนไฟจากเซนเซอร์สะท้อนในดวงตาสีฟ้าของเขา “เบาเสียงหน่อยโมนีก้า พวกมันมีไมโครโฟนรับคลื่นสูง ถ้าได้ยินแม้แต่ลมหายใจเราจะจบ” ตอนโมนีก้าได้ยินเธอกัดริมฝีปากแน่น พยายามกดเสียงหัวใจที่เต้นแรงจนแทบหลุดออกมานอกอก “มัน…มันมีกันสามตัวด้วยนะ”


เลสเตอร์ก้มกระซิบตอบ เสียงต่ำและนิ่งจนน่าประหลาด “สามหรือสิบก็ไม่ต่าง ถ้าเราพลาดแค่ครั้งเดียว มันจะส่งสัญญาณเตือนทั้งฐาน” เขาหยิบธนูออกมาอย่างช้า ๆ ปลายนิ้วเลื่อนตามสายพร้อมดึงลูกศรขึ้นมาโดยไม่มีเสียง “รอให้มันเคลื่อนผ่านไปก่อน ฉันจะหาเส้นทางเลี่ยง” โมนีก้าพยักหน้าหงึก ๆ แทบไม่กล้าขยับ ดวงตาสีเทาเงินจ้องไปยังเงาดำสูงใหญ่ที่เดินผ่านเหมือนฝันร้ายเคลื่อนไหวได้ แสงสีแดงกรีดผ่านม่านควันเย็นยะเยือกในอุโมงค์ กลืนกลายหัวใจของเธอให้เต้นแรงกว่าที่เคยรู้สึกมาตลอดการเดินทางนี้


เสียงฝีเท้าของทั้งคู่แผ่วเบาไปตามทางเดินเหล็กเย็นชื้น เลสเตอร์เดินนำโดยคอยกวาดสายตาหาทางเลี่ยงที่ดูปลอดภัยกว่า แต่ระหว่างที่กำลังชี้ช่องแคบด้านข้าง โมนีก้ากลับก้าวพลาดไปเหยียบกับดักเซนเซอร์เลเซอร์ เสียงติ๊ดสั้นแหลมแผดขึ้นทันที แสงสีแดงพุ่งไล่ไปตามพื้นราวกับสายฟ้า เลสเตอร์สบถทันควัน “โมนีก้า! ถอย!” เขากระชากแขนเธอให้หลบหลังเสาในจังหวะเดียวที่เสียงเครื่องจักรหนัก ๆ ดังสนั่นขึ้นจากด้านใน


เสียงสัญญาณเตือนสั้นแหลมดังขึ้นกะทันหันหลังเท้าโมนีก้าเผลอเหยียบกับดักเลเซอร์ที่ซ่อนอยู่ แสงสีแดงพุ่งเป็นเส้นตัดอากาศ เสียงระบบล็อกเป้าดังกึกก้องก่อนที่หุ่นลาดตระเวนทั้งสามจะหันหัวมาพร้อมกัน ดวงตาเซนเซอร์เรืองขึ้นเข้มกว่าเดิมทันที


เลสเตอร์เขาใช้ตัวบังเธอโดยสัญชาตญาณ ก่อนชักธนูขึ้นในจังหวะเดียวกับที่หุ่นตัวแรกพุ่งมาด้วยแรงมหาศาล โมนีก้ากัดฟันแน่นกลืนน้ำลาย รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากพื้น “โถ่เอ๊ย ฉันพลาดเอง…ขอโทษนะ! ฉันไม่เห็นจริง ๆ!” เธอรีบชักกราดิอุสขึ้นรับคมแขนเหล็กที่ฟาดลงมา เสียงเหล็กกระแทกดังกึกจนแขนชาไปทั้งท่อน แต่เธอก็ยันไว้สุดแรง


เลสเตอร์เหลือบมองรอบตัว ประเมินระยะด้วยสายตาเฉียบคม “ไม่มีทางอ้อมแล้ว ต้องลุย” เขาชักคันธนูออกจากบ่า ท่าทางนิ่งเย็นราวกับทุกอย่างอยู่ในแผน แม้แสงสลัวจะเผยให้เห็นรอยข่วนเลือดบนแขนที่ยังไม่หายดี


เลสเตอร์กวาดตามองหาจุดอ่อนอย่างรวดเร็ว “ตรงข้อต่อหัวเข่าตรงนั้นมีพอร์ตพลังงาน ยิงหรือฟันให้แรงพอแล้วมันจะดับ!” เขาตะโกนสั้น ๆ พร้อมปล่อยลูกศรแรกพุ่งทะลุช่องว่างใต้เกราะ หนึ่งในหุ่นสะดุดขา เสียงไฟฟ้าช็อตแตกพร่าง โมนีก้าอาศัยจังหวะนั้นพุ่งเข้าใส่ตัวเดียวกัน ฟันกราดิอุสเต็มแรงจนข้อต่อแตกกระจาย ประกายไฟสาดเป็นฝน หุ่นยักษ์ล้มลงกระแทกพื้นกลายเป็นเศษเหล็กกองแรก


อีกสองตัวยกอาวุธขึ้นพร้อมกัน เลสเตอร์ก้าวข้างเข้าหาโมนีก้า มือที่จับคันธนูนิ่งแม้เหงื่อซึมเต็มขมับ “คุมจังหวะไว้ ฉันจะล่อมันเองโมนีก้าเธอตัดพลังตรงเอวมันให้ได้”


“รับทราบ!” เธอสูดลมหายใจลึกแล้วพุ่งตาม เขาล่อหุ่นตัวหนึ่งให้หันตาม ก่อนยิงศรเจาะเข้าช่องพลังงานที่คอ หุ่นกระตุกพร่าแสงเซนเซอร์ดับลงทันที โมนีก้าอาศัยจังหวะเดียวกันตวัดดาบฟันข้างเอวของอีกตัวหนึ่ง เสียงโลหะฉีกดังสนั่นพร้อมประกายไฟระเบิดเป็นฝอย ขาเหล็กของมันทรุดลงก่อนจะค่อย ๆ ดับสนิทเป็นกองที่สอง เสียงก้องของโลหะร่วงกระทบพื้นเงียบลงในที่สุด เลสเตอร์ลดคันธนูลง หอบหายใจแรงแต่ดวงตายังจับจ้องรอบทิศ “เหลืออีกตัวเดียว ระวังตัวไว้ อย่าประมาทแม้แต่วินาทีเดียว”


เสียงโลหะกระแทกผนังอุโมงค์ดังสะท้อนก้องทั่วความมืดที่แน่นหนา ประกายไฟจากการปะทะส่องให้เห็นเพียงเงาร่างที่เคลื่อนไหวอย่างเร่งร้อน เลสเตอร์ขยับร่างเข้ามาด้านหน้า ใช้ทั้งคันธนูและแขนเปล่ากันการโจมตีจากหุ่นเหล็กที่โถมเข้ามาไม่หยุด เขาเคลื่อนไหวแม่นยำเหมือนนักรบที่ผ่านศึกมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ในดวงตาสีฟ้าเข้มมีประกายตึงเครียดที่โมนีก้าไม่เคยเห็นมาก่อน เธอกัดฟันฟาดดาบกราดิอุสใส่ข้อต่อของหุ่นจนเสียงโลหะร้องระงม แต่แรงสั่นสะเทือนจากแขนกลทำให้มือของเธอสั่นเทา ความร้อนผสมกับกลิ่นน้ำมันไหม้คลุ้งจนแทบหายใจไม่ออก


“โมนีก้า ถอยไปข้างหลัง!” เสียงเลสเตอร์ตวาดทั้งที่หอบหนัก เขาก้าวเข้ามารับการโจมตีแทนโดยไม่ลังเล โล่พลังงานบนแขนซ้ายแตกเป็นประกายไฟ เขาสะบัดธนูอีกครั้งยิงลูกศรพลังงานใส่เซนเซอร์ของหุ่นตรงหน้าแต่มันเพียงเซไปไม่ถึงกับล้ม เธอเห็นเลือดซึมจากแขนของเขาเป็นทางยาว รอยฟกช้ำกระจายตามลำตัว แต่เขายังฝืนยืนกำบังเธอเหมือนผนังหินที่ไม่มีวันพัง เสียงเครื่องจักรของหุ่นคำรามใกล้เข้ามา


“เลสเตอร์…!” โมนีก้าร้องเรียกเสียงสั่น แต่เขาไม่หันกลับมามองเธอเลยด้วยซ้ำ


“อย่าเข้—!” คำพูดถูกกลบด้วยเสียงปะทุของระเบิดพลังงาน แขนกลขนาดใหญ่ฟาดเข้าใส่ชายหนุ่มเต็มแรง เสียงกระแทกดังสนั่น จนเลสเตอร์ตัวกระเด็นไปกระแทกผนังอุโมงค์ ร่างของเขาทรุดลงกับพื้นเหมือนสายฟ้าที่ถูกตัดขาด 


วินาทีนั้นโลกของโมนีก้าหยุดนิ่ง เธอเบิกตากว้างจนแทบลืมหายใจ ภาพเลสเตอร์ที่เคยเป็นเหมือนเสาหลัก เด็กหนุ่มผู้เก่งกาจผู้ยิงธนูได้ราวกับไม่เคยพลาดเป้ากลับล้มลงต่อหน้าต่อตา เลือดไหลซึมจากมุมปาก เขาขยับเพียงเล็กน้อยแต่ไร้เรี่ยวแรง มือที่กุมดาบของเธอสั่นจนปลายใบมีดกระทบกับพื้นส่งเสียงกรุ้งกริ้ง ความหนาวจากอุโมงค์และความกลัวปะทุขึ้นมาพร้อมกันจนหัวใจเต้นโครมคราม เธอกัดริมฝีปากจนเจ็บเพื่อกักเสียงสะอื้น ความคิดเดียวที่แล่นผ่านหัวคือ …เลสเตอร์


ทว่าในจังหวะนั้นเสียงเลสเตอร์แผ่วเบาแต่ยังชัดเจนพอจะฝ่าความโกลาหลเข้ามา “โมนีก้า…หนีไปก่อน ตั้งหลักให้ได้ ฉัน…ยังไม่เป็นไร” เขาพยายามยกศีรษะขึ้นแต่ร่างกายกลับหนักราวถูกตรึงไว้กับพื้น ความเจ็บแล่นซ่านจนมุมปากเปื้อนเลือด เขายังพยายามฝืนลมหายใจเพื่อให้เสียงนั้นไปถึงเธอ โมนีก้ายังคงนิ่งดวงตาสีเทาเงินเบิกกว้างอย่างสั่นไหวเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่ความวูบไหวทั้งหมดจะดับลง ราวกับม่านหนาทึบปิดทับแสงในนัยน์ตา ความร้อนในอกเลือนหาย ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า เงียบงันและคมกริบ


เลสเตอร์รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนั้นในทันที เสียงเครื่องจักรคำรามอยู่รอบข้างแต่สิ่งที่ทำให้เขาหนาวยิ่งกว่าความเจ็บคือตัวตนที่ก่อตัวขึ้นตรงหน้า นี่ไม่ใช่โมนีก้าที่เห็นมาตลอด


เด็กสาวยกกราดิอุสขึ้นอย่างนิ่งเรียบ ไม่มีความลังเลแม้เศษเสี้ยว ก้าวเท้าออกไปด้วยฝีเท้าที่มั่นคงอย่างกับกำลังร่ายพิธี เธอพุ่งเข้าใส่หุ่นลาดตระเวนตัวสุดท้ายราวกับเหยี่ยวตัดลม เสียงโลหะปะทะดังลั่นทุกครั้งที่ใบดาบเฉียดผ่าน แขนกลของหุ่นพุ่งเข้าโจมตีโมนีก้า แต่เธอปัดออกด้วยจังหวะเฉียบคมจนมันเสียสมดุล หุ่นเหล็กโถมเข้ามาอีกครั้ง โมนีก้าหมุนตัวหลบอย่างง่ายดายแล้วฟาดดาบลงที่ข้อต่อเข่า เสียงโลหะแตกดังสนั่นขาของมันทรุดลง เธอไม่หยุดเพียงเท่านั้น ดาบในมือเหวี่ยงต่อเนื่องราวกับรู้ตำแหน่งจุดตายทุกจุด ข้อต่อ แขน ลำคอ ถูกเฉือนอย่างเป็นระบบ


ประกายไฟแตกกระจายเมื่อใบมีดสุดท้ายเฉือนผ่านเซนเซอร์หลักของมัน ร่างยักษ์ทรุดฮวบลงต่อหน้าเธอพร้อมเสียงครืดคราดที่ค่อยๆ เงียบลง


โมนีก้ายืนอยู่ท่ามกลางเศษโลหะที่ยังคุกรุ่น ลมหายใจสม่ำเสมอ ใบหน้าเรียบนิ่งจนไร้ซึ่งอารมณ์ ดวงตาที่เคยสดใสกลับเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง ความเงียบในตัวเธอช่างแตกต่างจากเด็กสาวที่คอยบ่น คอยหัวเราะเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เลสเตอร์จ้องมองด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งประหลาดใจและสั่นสะท้าน เขาเห็นบางสิ่งที่เกินกว่าพลังของลูกเซเรสบางสิ่งที่คล้ายพลังของเจนัส เทพแห่งประตูและสองภาคหน้าที่ซ่อนอยู่ในสายเลือดของเธอ


เธอหันกลับมามองเขาในที่สุด แววตานั้นยังเย็นเฉียบ “ลุกไหวไหม” เสียงของเธอเรียบลึก ไม่ใช่โทนเดิมที่คุ้นเคย ราวกับอีกคนหนึ่งกำลังพูดผ่านร่างเดียวกัน เลสเตอร์กลืนน้ำลาย แม้ร่างกายยังเจ็บแต่หัวใจกลับเต้นแรงกว่าเดิม เขารู้ทันทีว่าสิ่งที่ตนเห็นไม่ใช่เพียงการต่อสู้ของเด็กสาว แต่คือเงาของใครบางคนที่ไม่ใช่โมนีก้า


เสียงรองเท้าของเธอกระทบพื้นคอนกรีตเย็นจัดดังขึ้นทีละก้าว โมนีก้าหรือบางสิ่งในร่างของเธอเอียงคอเล็กน้อย ดวงตาเทาเงินว่างเปล่า ริมฝีปากขยับเหมือนจะถอนหายใจจากความเบื่อหน่าย มือที่กำกราดิอุสแน่นเคลื่อนไปข้างหน้าในจังหวะที่ทำให้เลสเตอร์หัวใจเต้นผิดจังหวะ ร่างนั้นเดินตรงเข้ามาหาเขาช้า ๆ การก้าวแต่ละก้าวหนักแน่นราวกับกำลังลากความตายตามมาด้วย


เลสเตอร์กัดฟันพยายามยันตัวขึ้นแม้บาดแผลแผ่ซ่านจนแทบยกแขนไม่ขึ้น เขาจ้องตาเธอไม่กะพริบ ความเย็นวาบแล่นไปทั่วสันหลัง


กราดิอุสสะท้อนแสงไฟอ่อน ๆ ในอุโมงค์ พริบตาเดียวก่อนที่คมดาบจะมาถึงระยะอันตราย โมนีก้าก็หยุดกะทันหัน ราวกับมีบางสิ่งฉุดเธอไว้ เสียงหอบหายใจดังขึ้นแทนที่ความเงียบ มือที่กำแน่นคลายออก ดาบหล่นลงกระทบพื้นด้วยเสียงโลหะก้องกังวาน ดวงตาที่เย็นชาเริ่มสั่นระริก แววคุ้นเคยของโมนีก้าค่อย ๆ กลับคืนมา “เลสเตอร์…!” เสียงเธอแตกพร่าด้วยลมหายใจหอบ ก่อนที่ร่างเล็กจะทรุดตัวลงข้างกายเขาในทันที ใบหน้าที่เคยแข็งกร้าวกลับเปื้อนความตื่นตระหนก “ขยับไหวไหม เจ็บตรงไหนบ้าง”


เธอเอื้อมมือสั่นน้อย ๆ ลูบไหล่เขาอย่างระมัดระวังเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ดวงตาเทาเงินกวาดมองบาดแผลบนแขนและลำตัวเพื่อหาจุดที่ต้องปฐมพยาบาลก่อน “ให้ฉันดูหน่อยนะ…ขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ” น้ำเสียงสั่นไหวเต็มไปด้วยความกังวลที่แท้จริง


เลสเตอร์หอบหายใจหนักแต่ยังพอฝืนยิ้มบาง ๆ ได้ เขายกมือที่สั่นจากความเจ็บมาวางบนมือเธอเบา ๆ “เฮ้…โมนีก้า ใช่เธอแล้วใช่ไหม” โมนีก้าเธอกัดริมฝีปากแน่นพยักหน้าเร็ว ๆ พลางก้มหน้าลงตรวจบาดแผลใหญ่ที่สีข้างของเขา “ใช่…ฉันเอง ฉันกลับมาแล้ว ตอนนี้อย่าพูดมาก เดี๋ยวเลือดออกเพิ่ม” เลสเตอร์ปล่อยให้เธอทำหน้าที่ แม้ร่างกายจะปวดร้าวแต่หัวใจกลับโล่งขึ้นอย่างประหลาด เมื่อเห็นประกายคุ้นเคยในดวงตาของเด็กสาวอีกครั้ง เขารู้แล้วว่าตัวตนที่เขาห่วงใย…ยังอยู่ตรงหน้าเขาอย่างครบถ้วน


จากการที่โมนีก้าประเมินแล้วโมนีก้ารู้เลยว่ารักษาเลสเตอร์ไม่ไหวแน่นอน โมนีก้าเลยหยิบแท่งแอมโบรเซียออกมาด้วยมือที่สั่นน้อย ๆ ดวงตาสีเทาเงินของเธอฉายแววตื่นตระหนกและเต็มไปด้วยความกังวล เสียงหายใจของเธอถี่กระชั้นขึ้นเมื่อเห็นเลือดซึมตามบาดแผลของเลสเตอร์ เธอเม้มปากแน่น พยายามเก็บกลั้นน้ำตาที่กำลังจะรินออกมา แต่ก็ไม่อาจปิดบังได้ว่าเธอกำลังโทษตัวเองอยู่เต็มอก หากเธอระวังมากกว่านี้ หากเธอไม่ทำให้กับดักทำงาน เลสเตอร์ก็คงไม่เจ็บหนักถึงเพียงนี้


“เลสเตอร์ แบบนี้ไม่ไหวแล้ว…” เสียงของโมนีก้าสั่นพร่า ราวกับหัวใจของเธอกำลังถูกบีบคั้น “ฉันรักษาไม่ได้หรอกนะแผลหนักขนาดนี้ เดี๋ยวให้กินแอมโบรเซียแทนแล้วกัน” เธอขยับเข้าไปใกล้ ประคองแผ่นหลังของเขาอย่างระมัดระวัง กราดิอุสที่เธอวางลงข้างตัวกลับกลายเป็นเพียงเหล็กไร้ค่าเมื่อเทียบกับชีวิตของคนตรงหน้า แท่งอาหารเทพที่เธอถืออยู่ดูเหมือนแท่งช็อกโกแลตธรรมดา แต่เธอรู้ดีว่าคุณค่าของมันยิ่งกว่าสมบัติใด ๆ ในโลกนี้


เลสเตอร์ที่พยายามฝืนลืมตาอยู่แล้วหัวเราะเบา ๆ แม้ริมฝีปากเปื้อนเลือด “เธอไม่จำเป็นต้องใช้ของหายากแบบนั้นกับฉันก็ได้…” เสียงของเขาแหบแห้ง แต่แฝงความดื้อดึงตามนิสัยเดิม ทว่าโมนีก้าไม่ฟัง เธอส่ายหน้าแรง ๆ ดวงตาที่เริ่มมีน้ำเอ่อขึ้นสั่นไหว “ไม่หรอก ถ้าไม่ให้กินนายอาจจะไม่รอดนะ ฉัน…ฉันไม่ยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นหรอก” เธอค่อย ๆ จ่อแอมโบรเซียใกล้ริมฝีปากของเขา รสชาติของมันจะเปลี่ยนไปตามสิ่งที่เลสเตอร์รักที่สุด โมนีก้าจ้องมองรอคอย เหมือนกำลังเดิมพันชีวิตเขากับแท่งเล็ก ๆ นี้ ขณะเดียวกันภายในใจเธอก็พึมพำซ้ำ ๆ โทษฉันสิ อย่าโทษตัวเองเลย ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน…


เมื่อเลสเตอร์กัดเข้าไปความอบอุ่นจากแอมโบรเซียก็ไหลเข้าสู่ร่างกายทันที พลังงานแห่งทวยเทพพุ่งเข้าสมานบาดแผล เนื้อเยื่อที่ฉีกขาดค่อย ๆ เชื่อมตัว เลือดที่ไหลก็หยุดลง ร่างกายของเขาที่ซีดเซียวเริ่มมีสีเลือดฝาดกลับคืน ดวงตาสีฟ้าเข้มที่พร่ามัวเริ่มกลับมามีประกายอีกครั้ง


โมนีก้าสูดลมหายใจลึกเหมือนปลดปล่อยความกดดันมหาศาลที่แบกรับไว้ เธอประคองใบหน้าเลสเตอร์เบา ๆ ใช้นิ้วโป้งปาดเลือดที่เปื้อนมุมปากเขาออก “แบบนี้สิ…ดีขึ้นแล้วใช่ไหม?” น้ำเสียงยังสั่นแต่แฝงด้วยความโล่งใจ เลสเตอร์ยิ้มอ่อนเล็ก ๆ แม้ร่างกายยังอ่อนแรงแต่เขายกมือขึ้นจับมือของเธอที่สัมผัสแก้มตนไว้ “ขอบใจนะ…โมนีก้า เธอนี่ดื้อไม่แพ้ฉันเลย”


โมนีก้าก้มหน้า หลบสายตาเขาเล็กน้อยเพราะไม่อยากให้เขาเห็นความร้อนผ่าวในดวงตา เธอเม้มปากแน่นพูดเสียงเบาจนแทบจะเป็นการสารภาพกับตัวเองมากกว่า “ก็ไม่อยากให้นายเป็นอะไรไปนี่…”


ความเงียบในอุโมงค์มืดมีเพียงเสียงหายใจของทั้งคู่ประสานกัน ก่อนที่เลสเตอร์จะหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่ยังนอนพิงกำแพงหินเย็นเฉียบอยู่ “แบบนี้ฉันก็ไม่มีข้ออ้างจะปล่อยให้ตัวเองล้มอีกแล้วสินะ” โมนีก้าขมวดคิ้ว แววตาดุ ๆ แบบเด็กสาวไฮสคูลกลับมาเล็กน้อย เธอพูดสวนทันควัน “ถ้านายล้มอีก คราวนี้ฉันจะไม่ให้อะไรแล้วนะ จะปล่อยให้นอนจมกองหินไปเลย” แม้จะเป็นคำพูดที่ประชดว่าจะไม่ช่วยอีกคนแต่คำพูดนั้นกลับแฝงด้วยความห่วงใยชัดเจน จนเลสเตอร์อดหัวเราะไม่ได้


ระหว่างการนั่งพักให้เลสเตอร์ฟื้นตัวด้วยอาการทิพย์ เสียงลมหายใจในอุโมงค์ใต้ดินยังคงก้องสะท้อน โมนีก้านั่งพิงกำแพงหินข้างตัวเลสเตอร์ แสงจากไฟฉายในแหวนดาราจรัสส่องกระทบเส้นผมสีม่วงครามของเธอเป็นประกายเงินอ่อน เด็กสาวเงียบไปนาน เหมือนกำลังต่อสู้กับบางอย่างในใจ ก่อนที่เสียงของเธอจะดังขึ้นช้า ๆ น้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่นราวกับตัดสินใจมานานแล้ว


“เลสเตอร์…นายก็รู้ว่าฉันมีเชื้อสายเทพเจนัสในตัว” เธอกล่าวเบา ๆ แต่ในความเบานั้นเต็มไปด้วยความจริงที่ไม่เคยเปิดเผยให้ใครฟัง “ตั้งแต่เด็กฉันก็เป็นแบบนี้ มีหลายบุคลิกอยู่ในร่างเดียว พวกเขาไม่ใช่คนเลวร้าย…มั้งนะ…สำหรับบางคนก็ใช่…แค่…เป็นอีกด้านหนึ่งของฉันที่ฉันต้องอยู่ด้วยทุกวัน ขอเพียงแต่พวกเขาไม่ทำร้ายคนรอบข้างก็พอสำหรับฉันน่ะนะ” เธอหันมาสบตาเขา ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนแสงไฟระยิบระยับเหมือนผิวน้ำแข็ง ไม่มีสิ่งใดปิดบัง ไม่มีแม้กำแพงบาง ๆ ที่เธอเคยใช้ป้องกันตัวเองตลอดมา “ฉันไม่ค่อยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง…มันเหมือนยอมรับว่าตัวเองไม่ปกติ แต่ฉันก็อยากให้นายรู้ เพราะเรา…ผ่านอะไรมาด้วยกันขนาดนี้แล้ว”


เลสเตอร์มองเธอเงียบ ๆ ดวงตาสีฟ้าเข้มฉายประกายลึกที่ทำให้เธอรู้ว่าเขาไม่ได้ตัดสิน ไม่ได้กลัว เขาขยับมือที่ยังมีร่องรอยบาดแผลเล็ก ๆ ค่อย ๆ วางบนหลังมือของเธอ “โมนีก้า…เธอไม่จำเป็นต้องขอโทษหรืออธิบายอะไรเลย เธอคือเธอ ไม่ว่าจะกี่บุคลิกก็ตาม และไม่ว่าใครในนั้นจะเป็นแบบไหน พวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอเป็นคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้”


โมนีก้ามองหน้าของเลสเตอร์เล็กน้อย ริมฝีปากสั่นนิด ๆ เธอพยายามฝืนรอยยิ้มบางให้ตัวเอง “ฉันก็แค่…กลัวว่าบุคลิกพวกนั้นจะทำให้คนที่อยู่ใกล้ฉันเจ็บปวด” เสียงของเธอแผ่วลง “แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากปิดบังอะไรนายเลย”


เลสเตอร์บีบมือเธอเบา ๆ แรงกดนั้นไม่ใช่เพียงการปลอบใจ แต่เป็นการยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริง ๆ “เธอผ่านเรื่องโหดร้ายมามากพอแล้ว เธอไม่ต้องแบกทุกอย่างคนเดียวอีก” เขายิ้มมุมปากแบบกวน ๆ ตามนิสัย “แล้วก็เธอไม่ต้องห่วงเรื่องบุคลิกอื่นหรอกนะ ต่อให้มีสิบคน ฉันก็ยิงธนูแม่นพอจะป้องกันทุกคนที่พยายามทำร้ายเธอได้อยู่แล้ว” ประโยคนั้นทำให้โมนีก้าหลุดหัวเราะความตึงเครียดที่เกาะหัวใจค่อย ๆ คลายลง เธอเอนศีรษะพิงไหล่เขาโดยไม่พูดอะไรต่อระหว่างให้เลสเตอร์ฟื้นตัวเอง ปล่อยให้ความเงียบอบอุ่นระหว่างกันพูดแทนทุกสิ่ง ในความมืดและความหนาวเหน็บของฐานลับ ความไว้ใจที่เพิ่งก่อตัวกลับอบอุ่นยิ่งกว่าความร้อนจากไฟฉายในมือเสียอีก

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

เลสเตอร์เดินทางมาจนถึงอุโมงค์ใต้ดินของเหมือง เขาต้องปะทะกับหุ่นลาดตระเวรขององค์กร LoNex ทั้งที่ตัวเองบาดเจ็บ ตอนที่จัดการเหลือหุ่นเพียงตัวเดียว เขาบาดเจ็บหนักจนไม่ไหว ตอนแรกเขาจะให้โมนีก้าหนีไปตั้งหลักก่อน แต่โมนีก้ากลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจัดการหุ่นนั้น เขาเห็นดวงตาของเธอตอนนั้นแล้วรู้สึกแปลก ๆ แต่โมนีก้าก็กลับมาเป็นคนเดิม เธอให้แอมโบรเชียกับเลสเตอร์ทานทั้งยังสารภาพเรื่องที่ตัวเองมีโรคหลายบุคลิก เขาเห็นความรู้สึกผิดในดวงตาของโมนีก้ากับความไว้ใจที่เกิดขึ้นในช่วงระยะความเป็นความตายสั้น ๆ ของเธอ


[ต่อสู้กับ หุ่นยนต์ลาดตระเวน LoNex 3 ตัว]

[เลสเตอร์ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ได้รับการช่วยเหลือจากโมนีก้าให้กินแอมโบรเชียที่เธอมี]

[อยู่ระหว่างการนั่งพักอยู่]

avatar

Moneka M. Blossom

ฉันทำบ้าอะไรนะ...พลาดจนเกือบทำเลสเตอร์ตายแหนะ โคตรบ้าเลย พูดอะไรไม่ออกตอนเห็นเลสเตอร์มีแต่เลือด ฉันรู้สึกแย่สุด ๆ และตอนนั้นก็คงมาอีกครั้ง ถึงจะจัดการได้ฉันก็ไม่ดีใจหรอกนะ ฉันเกือบร้องไห้ตอนเห็นสภาพเลสเตอร์แบบนั้น โชคดีที่มีแอมโบรเชียติดตัวมา ฉันไม่อยากให้เขาเป็นอะไรเลย เพราะฉันแท้ ๆ ทำไมเราอ่อนแอขนาดนี้นะ...

มอบ(ยัดปาก) แอมโบรเชีย ให้ เลสเตอร์ ที่บาดเจ็บหนัก (โอนแล้ว)

(เห็นทางแอดมินบอกว่า หากช่วยเหลือ NPC จะได้รับโบนัาความสัมพันธ์เพิ่มหรอ? อันนี้นับไหม?)



[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5

(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)



แสดงความคิดเห็น

God
บทเสริม : ทำแผลเลสเตอร์  โพสต์ 2025-9-27 13:44
God
เลสเตอร์นั่งลงวางกระเป๋าก่อนหยิบผ้าก็อชยื่นให้อีกฝ่ายช่วยพันแผล ในขณะเขาใช้น้ำยาฆ่าเชื้อล้างแผล  โพสต์ 2025-9-27 13:44
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-9-27 13:39
God
เลสเตอร์ส่งคืน เขาบอกว่าเขากินไม่ได้ สิ่งนี้สำหรับเดมิกอตและเทพเจ้า  โพสต์ 2025-9-27 13:38
โพสต์ 100,214 ไบต์และได้รับ +5 EXP +6 เกียรติยศ จาก ต่างหูเงิน  โพสต์ 2025-9-27 13:30
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-27 15:55:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 17 : ....ปิดบังอะไรอยู่หรือเปล่า?
วันที่ 20 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงเย็น เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ณ อุโมงค์มืด ใต้ดินเหมืองไจแอนท์ เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา

ในอุโมงค์ที่ยังคงมืดสลัว แสงไฟจากไฟข้างทางยังส่องสะท้อนผนังหินอย่างเย็นชา โมนีก้าค่อย ๆ ยื่นแท่งแอมโบรเซียให้เลสเตอร์ด้วยมือที่สั่นน้อย ๆ แท่งช็อกโกแลตสีทองเปล่งประกายอุ่นราวกับมีชีวิตในตัวเอง “กินเถอะนะ เลสเตอร์” เสียงของเธอเต็มไปด้วยความกังวล “ถ้าไม่กิน แผลนายจะไม่ปิดทันเวลา เราไม่รู้ว่าข้างหน้ามีอะไรอีก” เลสเตอร์ที่นั่งพิงกำแพงหินอยู่ขยับมือขึ้นรับ แต่เพียงเสี้ยววินาทีเขากลับดันมันกลับคืนมา 


“ไม่ได้หรอก โมนีก้า” ดวงตาสีฟ้าของเขามีประกายจริงจังตัดกับรอยยิ้มที่พยายามจะแกล้งขี้เล่น “ฉันเป็นมนุษย์ธรรมดาจำได้ไหม แอมโบรเซียมันอันตรายถึงชีวิตสำหรับมนุษย์ กินเข้าไปนี่นะไม่ใช่แผลหาย แต่จะระเบิดตัวเองเป็นฝุ่นแทนละมั้งนั้น”

 

โมนีก้าขมวดคิ้วทันที ความตกใจผสมความหงุดหงิด “เลสเตอร์ อย่ามาล้อฉันเล่นนะ นายมีพลังแบบนี้จะเป็นมนุษย์ได้ยังไง” ดวงตาเงินของเธอจ้องเขาอย่างไม่ยอมแพ้ “นายยิงธนูได้ขนาดนั้น รักษาแผลได้ใช้พลังแสงได้อีก นายเป็นเดมิก็อดใช่ไหมอย่ามาโกหกฉันนะ มันฟังไม่ขึ้น”


เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ แต่เสียงหัวเราะนั้นมีแววเหนื่อยล้าแฝงอยู่ “เธอพูดเองว่ามีพลังไม่ได้แปลว่าฉันต้องเป็นเดมิก็อดเสมอไปสักหน่อยไม่ใช่หรอ?” เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ พูดด้วยน้ำเสียงกึ่งจริงกึ่งหยอก “ฉันเป็นมนุษย์จริง ๆ แค่…มีของติดตัวมานิดหน่อย พลังเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ฝึกมาเอง ไม่ใช่เดมิก็อดไม่ใช่เทพด้วย ถ้ากินแอมโบรเซียเข้าไป เธอคงได้เห็นฉันกลายเป็นควันหอม ๆ ลอยขึ้นเพดานภายในห้าวินาที”


“ไม่ตลกนะ!” โมนีก้าตวัดเสียง ริมฝีปากสั่นเล็กน้อยทั้งจากความหนาวและความโมโห เธอไม่อยากยอมรับคำตอบที่ฟังแล้วขัดกับทุกสิ่งที่เห็นกับตา “นายกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่ใช่ไหม เลสเตอร์”


เลสเตอร์ถอนหายใจยาวแววตาในเงามืดดูเหมือนจะมีบางอย่างซ่อนลึกเกินกว่าจะอ่านได้ แต่เขาก็ยังคงยิ้มมุมปากแบบเดิม “บางทีการที่เธอไม่รู้…อาจปลอดภัยกว่าสำหรับเธอ โมนีก้า” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม “เชื่อฉันเถอะ ฉันรับมือได้” โมนีก้าเม้มปากแน่น ความดื้อรั้นยังไม่คลาย เธอมองหน้าเขาเหมือนพยายามจะเจาะลึกลงไปในดวงตาสีน้ำทะเลคู่นั้น แต่เลสเตอร์เพียงมองกลับด้วยสายตาที่นิ่งและจริงใจเกินกว่าจะทะลวงได้ สุดท้ายเธอจึงกัดฟันเก็บแท่งแอมโบรเซียเข้ากระเป๋ “ก็ได้…แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้น นายต้องสัญญาว่าจะบอกความจริงฉันทันทีนะ”


เลสเตอร์ยิ้มบาง ๆ พยักหน้าโดยไม่ให้คำมั่นชัดเจน “ฉันสัญญาว่าจะไม่ให้เธอเป็นอะไร นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด” คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งที่โมนีก้าอยากฟัง แต่ในดวงตาของเขามีบางอย่างที่ทำให้เธอไม่อาจคาดคั้นได้ต่อแม้ว่าโมนีก้าต้องเก็บความรู้สึกสงสัยนี้ไว้ภายในหัวของเธอก็ตามที


ก่อนที่เลสเตอร์จะค่อย ๆ ลากกระเป้าสะพายที่ใส่คันธนูและลูกศรของตัวเองมาวางลงบนพื้นหิน เขาเปิดซิปแล้วหยิบอุปกรณ์ปฐมพยาบาลออกมาทีละชิ้น ทั้งผ้าก๊อซ น้ำยาฆ่าเชื้อ แผ่นซับเลือด และเครื่องมือเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนจะใช้ได้สารพัด เขายื่นผ้าก็อตให้โมนีก้าเตรียมช่วยเขาทำแผล ก่อนจะเปิดฝาน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างไม่คิดอะไร มือใหญ่ของเขาเตรียมจะราดลงบนบาดแผลที่แขนทันที 


“เฮ้! หยุดนะ!” เสียงโมนีก้าดังขึ้นแทบจะทันที เด็กสาวพุ่งเข้ามาคว้าขวดในมือเขาไว้ได้พอดี สีหน้าเธอเต็มไปด้วยความตกใจและหงุดหงิด “เลสเตอร์นายบ้าหรือเปล่า จะราดมันแบบนั้นเดี๋ยวแผลก็หายช้าลงสิ รู้ไหมว่าน้ำยาพวกนี้มันแรงแค่ไหน”


เลสเตอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ยังคงยักไหล่เหมือนไม่มีอะไร “มันฆ่าเชื้อเร็วดีนี่ เธอคิดว่าฉันจะปล่อยให้ติดเชื้อหรือไง”


“ฉันคิดว่านายจะทำให้เนื้อตายต่างหาก!” โมนีก้าดุเสียงแข็ง มือยังจับขวดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย “เอาแบบนี้ ฉันจะทำแผลให้เอง นายถอดเสื้อออกแล้วนั่งนิ่ง ๆ ไปเลย นั่งเป็นก้อนหินนั่นแหละ นั่งโง่ ๆ ไปเลย อย่าดื้อ” เลสเตอร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยตอนที่โมนีก้าบอกแบบนั้น ดวงตาสีฟ้าหยอกเย้าฉายแววขบขัน “ให้ฉันถอดเสื้อตรงนี้เหรอ เธอแน่ใจนะว่าจะไม่เป็นลม”


“เลสเตอร์!” โมนีก้ากัดฟันเรียกชื่อเขาเสียงต่ำ ตาคมเงินจ้องเขาอย่างดุร้าย “ฉันเห็นคนเจ็บมากกว่านายมาเยอะแล้ว นายก็แค่เดมิ…เอ่อ…ก็แค่คนบาดเจ็บคนหนึ่ง ไม่ใช่นายแบบหล่อลากดินขนาดนั้นฉันไม่เขินหรอก ถอด!” เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ ตอนที่โมนีก้าบอกแบบนั้นแม้จะมีรอยเจ็บแปลบจากบาดแผล “โอเค ๆ ก็ได้ อย่าฆ่าฉันด้วยสายตาก็พอ” เขาค่อย ๆ ถอดเสื้อออกอย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นรอยฟกช้ำและบาดแผลที่แลดูรุนแรงกว่าที่โมนีก้าคาดไว้


โมนีก้าสูดหายใจลึก พยายามเก็บความห่วงใยไว้หลังใบหน้าเรียบนิ่ง เธอหยิบผ้าก๊อซและน้ำเกลือมาชุบ ล้างแผลอย่างเบามือที่สุด “นายนี่มัน…ดื้อจริง ๆ” เธอบ่นพึมพำ มือยังคงเช็ดเลือดที่ซึมออกมา “ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ยังเป็นคนเลือดไหลเหมือนกัน จำไว้หน่อย” เลสเตอร์มองลงมาที่เธอด้วยรอยยิ้มมุมปากอ่อนโยน แววตาแม้จะเจ็บแต่กลับอบอุ่น “รู้ตัวแล้วครับ คุณหมอโมนีก้า” เขาปล่อยให้เธอทำแผลต่ออย่างเชื่อง ๆ โดยไม่พูดแทรกอีก แต่ยังบอกว่าเธอเป็นหมอแบบกวน ๆ ก่อนปล่อยให้เสียงหายใจและกลิ่นน้ำเกลือคละคลุ้งในอุโมงค์กลายเป็นเพียงสิ่งเดียวที่บอกว่าทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ท่ามกลางเงามืดของเหมืองลับแห่งนี้


โมนีก้าค่อย ๆ นั่งลงข้างเลสเตอร์อย่างมั่นคง เธอหยิบผ้าก๊อซผืนใหม่ขึ้นมาแล้วเริ่มพันรอบบาดแผลที่แขนของเขาอย่างระมัดระวัง มือเล็กเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วและแม่นยำเหมือนคนทำสิ่งนี้มานับครั้งไม่ถ้วน การพันไม่แน่นเกินไปแต่ก็ไม่หลวมจนเลื่อนได้ง่าย ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างมีแบบแผน เธอทำเหมือนที่พ่อของเธอแคนทัส ซึ่งเป็นเภสัชกรเคยสอนเธอมาตั้งแต่เด็ก ทั้งท่าทางนิ่งสงบและสายตาที่จดจ่อบอกได้ว่าความรู้พวกนี้ฝังอยู่ในสัญชาตญาณของเธอ


เลสเตอร์นั่งพิงผนังหินปล่อยให้เธอจัดการโดยไม่เอ่ยแทรก เขาเฝ้ามองมือของเธอที่ขยับอย่างมั่นคงแม้ในสภาพแวดล้อมที่กดดัน ดวงตาสีฟ้าคมลึกมีประกายบางอย่างผสมอยู่ระหว่างความเหนื่อยล้ากับความขอบคุณ เขาไม่คุ้นเคยกับการถูกดูแลแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืน


เมื่อพันผ้าเสร็จและเลือดที่ซึมออกมาก่อนหน้าหยุดสนิท โมนีก้าก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วระบายยิ้มเล็ก ๆ ที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูอุ่นขึ้น “เรียบร้อยแล้ว” เธอพูดเสียงนุ่ม พลางเก็บอุปกรณ์ลงในกระเป๋า “ไม่แน่นไปใช่ไหม ถ้ามันรัดหรือเจ็บกว่านี้บอกฉันได้เลยนะ” 


เลสเตอร์ขยับแขนเล็กน้อยเพื่อทดสอบ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง “พอดีเลย ฝีมือดีใช้ได้เลยหมอโมนีก้า”


“ดีละ” เธอพยักหน้ารับคำชม แต่สายตากลับจริงจังขึ้น “งั้นเราพักกันสักหน่อยนะ แล้วค่อยเดินทางต่อ ถ้านายเป็นห่วงเพื่อนในทีมฉันไม่ว่า แต่ถ้านายไม่พักนายก็ไม่มีแรงช่วยพวกเขาได้ เข้าใจไหมเลสเตอร์” เลสเตอร์สบตากับเธออยู่ครู่หนึ่ง ริมฝีปากยกยิ้มเอียง ๆ ที่มักใช้กลบเกลื่อนความรู้สึก “เธอนี่…สั่งเหมือนหัวหน้าทีมเลยนะ” เขาหยุดหายใจสั้น ๆ ก่อนพยักหน้ายอมรับ “โอเค พักก็พัก ไม่เถียงคุณหมอแล้ว”


โมนีก้าเลิกคิ้วอย่างคนไม่ยอมแพ้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม เธอแค่ขยับนั่งลงใกล้เขาอีกนิดให้ไออุ่นจากร่างกายช่วยคลายความเย็นจากพื้นหิน ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบและเสียงลมหายใจสม่ำเสมอค่อย ๆ เติมเต็มอุโมงค์ ขณะที่ในใจต่างคนต่างมีความคิดของตนเอง โมนีก้าที่พยายามเข้มแข็งเพื่อปกป้องเขา และเลสเตอร์ที่เก็บความลับของตนไว้เงียบงันเพราะรู้ดีว่าความจริงนั้นอันตรายเกินกว่าจะให้เธอรับรู้

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

เลสเตอร์คืนแอมโบรเชียให้โมนีก้า เขายังต้องเป็นมนุษย์อยู่ตอนนี้ และคิดว่าจะไม่บอกความลับของเขาให้โมนีก้ารู้โดยเด็ดขาด เขาให้โมนีก้าทำแผลให้ และค่อยนั่งพักกันก่อนที่จะไปกันต่อ 


[เลสเตอร์บาดเจ็บหนัก ทำแผลเรียบร้อย]

[อยู่ระหว่างการนั่งพักอยู่]

avatar

Moneka M. Blossom

บางครั้งฉันก็ไม่เข้าใจ... เลสเตอร์เก่งขนาดนี้จะเป็นแค่มนุษย์ได้ยังไง ไม่รู้สิ ไม่เคยเห็นความสามารถของพวกลูกอะพอลโล่เสียด้วยสิ? แต่เขาก็เหมือนจะคล้าย ๆ อยู่นะ หรือลูกเสี้ยวแล้วทะเลาะกับครอบครัวเลยไม่อยากพูดหรอ? ก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ เขาจะไม่เล่าให้ฟังอาจจะเป็นแผลใจก็ได้ (แน่นอนว่า มนก มโนเสร็จสรรพตามประสาคนขี้มโน) 



[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5

(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)



แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-9-27 18:59
โพสต์ 52294 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-27 15:55
โพสต์ 52,294 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-9-27 15:55
โพสต์ 52,294 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-9-27 15:55
โพสต์ 52,294 ไบต์และได้รับ +15 EXP +20 เกียรติยศ +20 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-9-27 15:55
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-27 18:35:18 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 19 : อะไรกันคับเนี้ย
วันที่ 20 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงเย็น เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป ณ ภายในศูนย์วิจัยชั้นบนของสถานีวิจัย องค์กร LoNex ใต้ดินเหมืองไจแอนท์ เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา

โมนีก้าและเลสเตอร์พักประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วก็เดินทางกันต่อไปยัง อุโมงค์ลึกเบื้องล่างยังคงทอดตัวเป็นเส้นทางคดเคี้ยว ความเย็นและกลิ่นเหล็กเก่าลอยปะปนกับกลิ่นน้ำมันจากเครื่องจักร โมนีก้าเดินเคียงข้างเลสเตอร์อย่างเงียบเชียบ ไฟฉายในแหวนดาราจรัสส่องลำแสงสีขาวนวลกรีดผ่านความมืดเผยให้เห็นผนังหินที่ถูกขุดเจาะอย่างเป็นระเบียบราวกับมีใครแปลงเหมืองเก่าให้เป็นฐานลับ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนแสงไฟระยับ “เลสเตอร์…องค์กรนี้มันทำอะไรกันแน่ ดูเหมือนพวกองค์กรชุดดำในโคนันยังไงไม่รู้” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมามีทั้งความสงสัยและกังวลปนกัน


เลสเตอร์ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เขาเหลือบตากลับมามองเธอ ดวงตาสีฟ้าเข้มคมกริบแต่มีเงาความกังวลแฝงอยู่ “ฉันไม่รู้เหมือนกันนะ” เขาตอบเสียงต่ำเพื่อไม่ให้เสียงสะท้อน “แต่สิ่งเดียวที่รู้คือเพื่อนฉันถูกพวกมันจับตัวไปและสิ่งที่พวกมันทำ…ไม่มีทางเป็นเรื่องดีแน่” โมนีก้าเม้มริมฝีปาก พยายามไม่ออกเสียงขณะที่เดินต่อไป ไฟฉายในมือสะท้อนเป็นวงกลมบนพื้นคอนกรีตที่เต็มไปด้วยรอยล้อเก่าและคราบสนิม “แล้วเราจะไปเจออะไรข้างหน้าอีกก็ไม่รู้” เธอพึมพำเบา ๆ ราวกับพูดกับตัวเองแต่ก็พอให้เลสเตอร์ได้ยิน


“อะไรก็ตามที่รออยู่คงไม่ปลอดภัยหรอก แต่เราต้องไปต่อ” เลสเตอร์ตอบช้า ๆ แต่หนักแน่น แม้สีหน้าจะยังมีร่องรอยความเหนื่อยล้าจากบาดแผล เขายังคงก้าวเดินนำเธอไปโดยไม่ลดความเร็ว “อย่าลืมว่าเป้าหมายของเราคือพาเพื่อนฉันออกมาให้ได้ เราจะไม่ให้สิ่งที่เจอข้างหน้าหยุดเราได้”


โมนีก้ามองเสี้ยวหน้าของเขาที่ถูกไฟฉายส่องจับเป็นแสงสลัว เธอรู้ว่าเขายังเจ็บอยู่ แต่การที่เขาไม่เอ่ยปากบ่นสักคำก็ทำให้หัวใจของเธอหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิม เธอขยับเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่อให้แสงไฟครอบคลุมเส้นทางข้างหน้า “ก็ได้…แต่ถ้านายรู้สึกไม่ไหว ต้องบอกฉันทันทีนะ ฉันไม่ได้มาเพื่อดูนายล้มอีกครั้ง” เลสเตอร์เหลือบตากลับมา สบสายตาเธอเพียงชั่ววินาทีก่อนจะพยักหน้าเล็ก ๆ 


“ฉันสัญญา” เสียงทุ้มต่ำของเขาก้องกังวานในอุโมงค์เหมืองเก่า เพียงพอที่จะยืนยันว่าต่อให้ต้องเจออะไร พวกเขาจะก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน


เสียงรองเท้าหนังแข็งกระทบพื้นคอนกรีตแผ่วเบา แต่ดังพอให้หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่ยามสองคนเดินผ่าน โมนีก้ากับเลสเตอร์กดตัวหลบหลังท่อระบายอากาศขนาดใหญ่ ความมืดและแสงไฟกะพริบสีขาวของสถานีใต้ดินส่องเป็นลายเงาซ้อนทับบนใบหน้าของทั้งคู่ กลิ่นน้ำมันเครื่องและฝุ่นเก่าในอากาศหนาแน่นจนรู้สึกเหมือนมีแรงกดทับ โมนีก้าขยับตัวชิดกำแพงมากขึ้น ดวงตาสีเทาเงินกวาดมองไปทั่วโถงกว้างที่เบื้องหน้าเป็นบานประตูโลหะขนาดมหึมาซึ่งมีสัญลักษณ์ LoNex ประทับอยู่ 


“มองยังไงก็สถานีวิจัยชัด ๆ” เธอพึมพำเบา ๆ น้ำเสียงผสมความตื่นเต้นกับความหวาดระแวง “นี่มันไม่ใช่เหมืองแล้ว มันเป็นฐานลับเต็มรูปแบบเลยนะเนี้ย”


เลสเตอร์ก้มลงชิดไหล่เธอ สายตาสีฟ้าคมเข้มจ้องไปยังกล้องวงจรปิดที่หมุนช้า ๆ บนเพดาน เขากัดฟันแน่นก่อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เราต้องเข้าไปให้ได้ เพื่อนฉันอาจจะอยู่ในนั้น หรืออย่างน้อยก็ต้องมีข้อมูลว่า LoNex กำลังทำอะไรอยู่” ลมหายใจของโมนีก้าขาดห้วง เธอกำดาบกราดิอุสในมือแน่นขึ้น “นายคิดจะลุยตรงนี้เลยเหรอ? ยามเต็มไปหมดนะเลสเตอร์ ถ้าโดนจับได้…”


“ฉันรู้” เขาตัดบททันทีแต่ยังคงน้ำเสียงสงบ “แต่ถ้าเราไม่ขยับตอนนี้ พวกมันอาจย้ายทุกอย่างไปที่อื่น เราต้องหาทางแทรกซึม เข้าไปโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว” หญิงสาวกัดริมฝีปากเล็กน้อยตอนที่เลสเตอร์บอกแบบนั้น ดวงตาเหลือบไปยังร่างสูงข้างตัวที่แม้ยังมีบาดแผลจากการต่อสู้ แต่กลับยืนมั่นคงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอรู้ว่าเขายังเจ็บแต่ก็เลือกไม่พูด “งั้นเราต้องหาจังหวะให้ได้ก่อน” เธอพึมพำ “อาจต้องรอช่วงที่ยามผลัดเวรหรือมีเสียงรบกวน”


เลสเตอร์พยักหน้าเล็กน้อย แววตาเฉียบคมส่องประกายราวกับกำลังคำนวณเส้นทางทุกทางในหัว “เราจะรอดูตารางลาดตระเวนสักพัก ถ้าเจอช่องว่างแม้เพียงไม่กี่วินาที เราจะใช้มันทันทีเลยนะ”


โมนีก้าสูดลมหายใจลึก พยายามระงับความกลัวที่ไหลวนในอก เธอรู้ดีว่าไม่มีทางถอยหลังแล้ว จึงกระซิบแผ่วเบาใกล้หูเขา “ก็ได้…ฉันจะตามแผนนาย แต่สัญญาก่อนนะว่าอย่าห้าวเกินไปนายยังเจ็บอยู่นะ ตกลงไหม?” เลสเตอร์เหลือบสบตาโมนีก้า เสี้ยวรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าที่ซ่อนความกังวลเอาไว้ “ได้สิ” เขาตอบเสียงมั่นคง ก่อนหันกลับไปมองประตูเหล็กยักษ์ที่รออยู่ข้างหน้า ความเงียบกลับคืนมาอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงเครื่องจักรหมุนเบา ๆ และลมหายใจสองคนที่เตรียมพร้อมจะก้าวเข้าสู่หัวใจของฐานลับต้องห้ามนี้ร่วมกัน


โมนีก้าเหลือบมองออกไปยังแนวรั้วที่เต็มไปด้วยยามในเครื่องแบบดำสนิท พวกมันยืนเรียงรายเหมือนรูปปั้นที่มีลมหายใจ เดินตามเส้นทางเดิมซ้ำไปมาเหมือนหุ่นเชิดไร้ความคิด สายตาสีเทาเงินของเธอหรี่ลงขณะสังเกตการเคลื่อนไหว “เลสเตอร์ ฉันว่าเรารอไม่ได้แล้วมั้ง” เธอเอ่ยเสียงต่ำแทบเป็นกระซิบ ใบหน้าเคร่งเครียดตัดกับท่าทางดูสบายก่อนหน้านี้ “ดูสิ พวกนี้มันเหมือนโดนโปรแกรมไว้ ต่อให้เปลี่ยนเวรพวกมันก็ไม่ละสายตาจุดไหนเลย ถ้าเรานั่งรอคงได้รากงอกตายห่ากันพอดี”


เลสเตอร์ยืนนิ่ง ฟังเสียงหัวใจตัวเองเต้นสม่ำเสมอ เขากวาดตามองเหล่ายามอีกครั้ง ลมหายใจพ่นออกเบา ๆ เป็นไอสีขาวในอากาศเย็น “เธอหมายถึงให้ล่อพวกมันออกมาแล้วจัดการทีละกลุ่มงั้นเหรอ” น้ำเสียงของเขาเรียบแต่แฝงความระวัง


“ใช่” โมนีก้าพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาส่องประกายความแน่วแน่ “เรียกพวกมันออกมาทีละชุด ทำให้สลบเร็ว ๆ ไม่ให้พวกมันทันส่งสัญญาณ แบบนี้เราจะเก็บเรียงตัวได้ง่ายกว่า”


เลสเตอร์ขมวดคิ้วกำธนูในมือแน่นขึ้น ความเจ็บจากแผลที่เพิ่งทำให้ยังคงเตือนอยู่ใต้ผิว “เสี่ยงมากนะ ถ้าพลาดแค่คนเดียวทั้งกองก็จะกรูกันมา” เขาหันมามองเธอด้วยแววตาลึก “แต่เธอพูดถูก รอไปก็เสียเวลา” โมนีก้าขยับเข้ามาใกล้ พอให้เสียงของเธอไม่เล็ดรอดไป “ฉันจะเป็นตัวล่อเอง นายคอยดักยิงพวกที่เข้ามาใกล้ที่สุด ทำให้พวกมันสลบอย่าให้ทันส่งสัญญาณ ถ้านายเลือกจุดยิงได้แม่นพวกนี้จะหลับเป็นแมลงวันโดนยาเลยแหละ”


เลสเตอร์จ้องใบหน้าที่สะท้อนความกล้าของเด็กสาว เขาเห็นความตั้งใจที่ไม่ใช่แค่บ้าบิ่น แต่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบต่อคนที่เธอแทบไม่รู้จัก “เธอไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงแบบนั้น” เขาพูดช้า ๆ น้ำเสียงหนักแน่น “เราทำไปด้วยกัน ฉันจะเคลื่อนไหวไปกับเธอ ฉันรู้วิธีปิดการสื่อสารของพวกนี้ ถ้าจัดการเร็วพอเราจะผ่านได้โดยไม่มีเสียงเตือน”


โมนีก้าสบตาเขาแน่วแน่ “งั้นก็ตามนี้ แต่ถ้านายฝืนจนแผลแตกอีก ฉันจะลากนายกลับไปนอนจริง ๆ นะบอกไว้ก่อน” รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเลสเตอร์แม้สายตายังคงเคร่ง “ขู่ได้ดีนี่โมนีก้า” เขากระซิบตอบ ก่อนจะค่อย ๆ ขยับสายธนูเช็กความตึงพร้อมสำหรับการลงมือ แสงไฟกะพริบเหนือศีรษะสะท้อนประกายในดวงตาสีฟ้าของเขาเหมือนประกายจากคันศร การลอบโจมตีเงียบงันกำลังเริ่มต้นและพวกเขาทั้งคู่ก็พร้อมจะเสี่ยงไปด้วยกัน


โมนีก้าเริ่มแผนการโดยการเริ่มหลอกล่อโดยที่ตัวเองไม่ต้องเสี่ยง เธอทำเสียงสะท้อนเบา ๆ ในอุโมงค์หินดังคล้ายก้อนกรวดกลิ้งเล็กน้อย โมนีก้าหรี่ตาลงด้วยความพอใจเมื่อเห็นยามสองนายที่อยู่ใกล้สุดหันหน้ามองตามต้นเสียง เธอซ่อนตัวอยู่หลังตู้เก็บอุปกรณ์ ทิ้งเสียงอีกชุดไปทางมุมมืดด้านในราวกับมีใครเดินอยู่ ยามทั้งสองขยับตามสัญชาตญาณอย่างไม่ลังเล เหมือนพวกเขาเกิดมาเพื่อสงสัยทุกสิ่ง เลสเตอร์ที่คอยเฝ้าจังหวะอยู่ด้านบนเสาค้ำแค่เล็งธนูหนึ่งครั้ง เสียงลูกศรพุ่งแหวกอากาศก็ทำให้พวกนั้นล้มลงเงียบเชียบไม่ทันส่งสัญญาณ


โมนีก้าเคลื่อนไหวต่ออย่างระมัดระวัง ส่งเสียงก้องอีกด้านเรียกกลุ่มถัดไปเหมือนนักล่าที่รู้ทางสนาม พวกยามขี้สงสัยกรูกันเข้ามาเป็นชุด ๆ ไม่ทันคิดว่านี่คือกับดัก เสียงธนูสั้น ๆ ตามด้วยการโจมตีรวดเร็วจากเธอเก็บพวกเขาทีละกลุ่ม ร่างพวกยามล้มลงนุ่มนวลราวกับการซ้อม ไม่ทิ้งร่องรอยให้ใครรู้ตัว


เมื่อกลุ่มสุดท้ายล้มลง โมนีก้าถอนหายใจยาวแล้วเหลือบตามองเลสเตอร์ที่ก้าวออกมาจากเงามืด คันธนูยังตึงพร้อม แต่อากาศรอบตัวเขาเต็มไปด้วยไอเย็นและกลิ่นเหงื่อจากการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง เด็กสาวยักคิ้วพลางกระซิบเบา ๆ “พวกมันนี่ขี้สงสัยจนโง่เลยนะ เดินเข้ามาให้เราเก็บเรียงตัวง่าย ๆ แบบนี้”


เลสเตอร์ลดคันธนูลงช้า ๆ ดวงตาสีฟ้าของเขานั้นสว่างแม้ในเงามืด “ขี้สงสัยก็ดีสำหรับเราเหมือนกันนะ” เขาตอบพลางกวาดตามองร่างที่สลบไสล “แต่เสียงที่เธอสร้างนี้เนียนเกินนะเนี้ย ถ้าไม่รู้ว่าเธอแค่ทำเสียงหลอก ฉันคงคิดว่ามีใครอีกคนเดินอยู่จริง ๆ” แต่ทว่าไม่นานโมนีก้าก็เดินเข้าไปใกล้เลสเตอร์ เลิกคิ้วมองรอยขีดข่วนบนแขนเขาที่เกิดจากการลอบเร้นเมื่อครู่ “นายขยับตัวแบบนั้นไม่เจ็บหรือไง แผลก็ยังไม่หายดีนะเลสเตอร์”


เขาหันมาสบตาเธอ ยกยิ้มมุมปากที่ดูทั้งล้าและขี้เล่น “เจ็บนิดหน่อยเอง แต่ยังไหวอยู่ เธอต่างหากที่เสี่ยงมากกว่าอย่ามัวห่วงฉัน”


“ฉันห่วงก็เพราะนายเอาแต่ฝืน” โมนีก้าตอบเสียงเรียบ มือจับแขนเขาเบา ๆ ตรวจดูบาดแผล “พักหายใจก่อนสักครู่แล้วค่อยไปต่อ ถ้าแผลเปิดอีก ฉันจะด่าไม่ให้หยุด” เลสเตอร์หัวเราะเบา ๆ แม้เสียงนั้นจะกลบด้วยลมหายใจหอบ “โอเค คุณหมอโมนีก้าผมจะไม่ให้คุณได้ด่าหรอก” เขายอมถอยครึ่งก้าวเพื่อให้เธอประคองเช็กแผล แต่สายตายังคงระวังรอบด้าน พร้อมจะเคลื่อนต่อทันทีหากมีสัญญาณอันตรายอีก


หลังจากนั้นทั้งสองก็แทรกซึมเข้าไปในศูนย์วิจัย อากาศเย็นจัดภายในศูนย์วิจัยใต้ดินคล้ายกำแพงน้ำแข็งที่ซึมเข้ากระดูก เสียงเครื่องจักรเบา ๆ คล้ายลมหายใจของยักษ์กล้องสะท้อนกับผนังโลหะ โมนีก้าเดินเคียงข้างเลสเตอร์ในจังหวะที่ก้าวค่อยเป็นค่อยไป ฝีเท้าของทั้งคู่เบาจนแทบไร้เสียง ห้องทดลองที่ผ่านมีเพียงนักวิทยาศาสตร์ในชุดกาวน์ขาวที่กระจายตัวอยู่ตามโต๊ะทดลอง บางคนก้มงุดตรวจเช็กข้อมูลไม่เงยหน้ามอง บางคนถึงกับฟุบหลับบนกองเอกสารจากความเหนื่อยล้า พวกเขาเดินผ่านไปอย่างระมัดระวัง ราวกับเป็นเงาที่ลื่นไหลไปตามช่องว่างของโลก


ภายในห้องกว้างกลางศูนย์วิจัย แสงสีฟ้าส่องสว่างจากจอโฮโลแกรมกลางห้องฉายตัวอักษรและกราฟข้อมูลลอยละล่องในอากาศ ราวกับภาพฝันของเทคโนโลยีล้ำยุค เส้นกราฟพลังงานสีดำหมุนวนอยู่รอบ ๆ สัญลักษณ์ที่ทำให้หัวใจเลสเตอร์กระตุก Dark Flame Energy – Stability Protocol ตัวอักษรเรืองแสงส่องสะท้อนในดวงตาสีฟ้าของเขา


เลสเตอร์หยุดชะงักทันที ใบหน้าที่เคยเยือกเย็นกลับซีดขาวราวกับเลือดถูกดูดออกจากร่าง ดวงตาเบิกกว้างจับจ้องข้อมูลที่ปรากฏ ความทรงจำแล่นกลับมาในหัวอย่างบ้าคลั่ง ภารกิจแรกก่อนเรือเหาะของทีมจะถูกทำลาย การเดินทางไปปลุกเอเรบัส เทพแห่งความมืด เพื่อให้โลกจมสู่กลางคืนชั่วคราวเป็นแผนการที่ไม่มีใครกล้าพูด แต่ LoNex กลับกำลังพัฒนาพลังงานที่คล้ายกัน หากไม่อันตรายยิ่งกว่าหลายเท่า


โมนีก้าหันมาเห็นสีหน้าของเขา ใบหน้าที่ปกติเต็มไปด้วยรอยยิ้มกวนประสาทกลับแข็งทื่อจนเธอใจหาย “เลสเตอร์…นายเป็นอะไรไป” เสียงของเธอเบาแทบเป็นกระซิบ แต่แฝงแรงกดดันของความเป็นห่วง


เลสเตอร์เม้มปากแน่นเขาไม่รู้ว่าควรพูดยังไงกับโมนีก้าดี ก่อนที่จะกดน้ำเสียงให้ราบเรียบ “มัน…ไม่ใช่เรื่องดี” เขาขยับตัวเล็กน้อยดึงสายตาออกจากจอแต่ความตึงเครียดยังไม่คลาย “พลังงานพวกนี้อันตรายกว่าที่คิดมาก พวกมันกำลังเล่นกับสิ่งที่ไม่ควรถูกปลุกขึ้นมา”


โมนีก้าขมวดคิ้ว รู้ทันทีว่าเขากำลังปกปิดอะไรบางอย่าง แต่เธอไม่ถามต่อในทันที แค่ก้าวเข้ามายืนข้าง ๆ พลางมองข้อมูลที่ฉายอยู่ “มันคืออะไร เลสเตอร์…พลังงานของเอเรบัสงั้นเหรอ” เขาหลบสายตาเธอเพียงเสี้ยววินาที ก่อนฝืนยิ้มบาง “คล้ายกัน…แต่แย่กว่า เสถียรกว่า หมายความว่าพวกมันอาจควบคุมพลังงานนั้นได้ก็ได้” เสียงเขาแผ่วต่ำจนแทบเป็นลมหายใจ “ถ้าพวกมันสำเร็จ โลกอาจไม่เหลือแม้แต่แสงที่เรามองเห็นเลยนะโมนีก้า”


เด็กสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาสีเทาเงินสะท้อนแสงโฮโลแกรมเป็นประกายเย็น เธอยื่นมือแตะต้นแขนเขาเบา ๆ “นายจะไม่ให้มันเกิดขึ้นใช่ไหม?” คำพูดสั้น ๆ ของโมนีก้าทำให้เลสเตอร์หันมามองเธอ แววตาที่เต็มไปด้วยทั้งความกังวลและบางสิ่งที่ลึกเกินจะเอ่ย “ใช่…ฉันจะต้องหยุดมัน” เสียงของเขาเด็ดขาดขึ้น แม้ภายในยังเต็มไปด้วยความลับที่เขาไม่อาจบอก ทั้งเรื่องเอเรบัส ทั้งความจริงที่ว่าเขาไม่ใช่เพียงมนุษย์ธรรมดา แต่ในยามนี้สิ่งเดียวที่สำคัญคือการพาเธอออกไปให้ปลอดภัย และหยุดแผนการของ LoNex ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้


เลสเตอร์สูดลมหายใจยาวหลังจากนั้นก่อนที่จะกลั้นความร้อนรนไว้ใต้แววตาสีฟ้า “งั้นไปห้องควบคุมหลักก่อน ถ้ามีอยู่ที่ไหนก็น่าจะมีข้อมูลที่ถูกรวมตรงนั้น ทั้งเรื่องเพื่อนฉันอยู่ที่ไหน ทั้งเรื่องพลังงานนี่”


โมนีก้าพยักหน้าทันที เธอกวาดตามองรอบห้องโฮโลแกรมอีกครั้งอย่างใจเย็น “ไม่ไกลหรอก แถวนี้แหละ” เสียงเธอเบาแต่มั่นใจ นิ้วชี้ไปตามแนวเพดานที่เดินสายไฟสื่อสารหนาเป็นมัด “ตามท่อสัญญาณไป ส่วนใหญ่จะดึงเข้ากล่องรวมสวิตช์ตรงโถงหลัก แล้วค่อยไปลงที่ห้องควบคุม” ความรู้พวกนี้เหมือนหลุดมาจากความช่างสังเกตล้วน ๆ มากกว่าจะเป็นโชคของโมนีก้า ฉะนั้นทั้งสองคนเลยเดินทางไปตามเส้นทางที่เห็นเมื่อครู่มุ่งหน้าสู่ห้องควบคุมหลักทันทีอย่างระมัดระวัง

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

เลสเตอร์กับโมนีก้าลอบเข้ามาที่ส่วนของสถานีวิจัยขององค์กร LoNex มันไม่ได้ยากเท่าไร แต่ก็ไม่ประมาทเพราะพวกเขารอมาเกิน 1 ชั่วโมงแล้วเลยต้องต่อสู้เก็บพวกยามรักษาการแต่ละคน เมื่อเข้ามาพวกเขาลอบเข้าดูข้อมูลภายในตอนแรกหมายจะพบข้อมูลของเพื่อน ๆ แต่กลับได้พบสิ่งที่น่ากลัวพอ ๆ กัน นั้นคือการทดลองของ LoNex เลสเตอร์ไม่ได้บอกโมนีก้าว่าพวกเขาจะไปปลุกเอเรบัสในตอนแรกก่อนโดนลอบโจมตี เพราะงั้นตอนนี้เลสเตอร์ต้องรีบหาเพื่อน และเขาจะไปหยุดเรื่องนี้ด้วยตัวเองให้ได้


[เดินทางมาที่ส่วนของสถานีวิจัย]

[จัดการ กลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และผ่านพวกนักวิทยาศาสตร์มาด้วย]

[พบข้อมูลการทดลองพลังงานของเอเรบัส]

[เดินทางต่อไปหาห้องควบคุม]

avatar

Moneka M. Blossom

ตอนเราเข้ามาในห้องทดลองโมนีก้าค่อนข้างมั่นใจว่าเธอเห็นใบหน้าของเลสเตอร์ที่ซีดตอนที่เห็นการทดลอง โมนีก้ารู้ว่าเอเรบัสคือเทพแห่งความมืด แต่เธอก็ไม่รู้อะไรมากกว่านี้ เลสเตอร์อยากช่วยเพื่อนและคงอยากทำให้เรื่องนี้มันจบลงโดยไม่คาราคาซังแน่ ๆ แต่เอาเถอะ ฉันมันก็แค่เดมิก็อดหน้าใหม่ จะไปช่วยอะไรใครเขาได้นอกจากขี้เป็นห่วงไปวัน ๆ กันล่ะ



[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20

กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5

(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)



แสดงความคิดเห็น

God
(หากไม่สำรวจ จะไม่ปลดล็อกกระทู้ข้อมูลจักรพรรดิโรมัน)  โพสต์ 2025-9-27 19:23
God
เลสเตอร์รู้สึกคุ้นชื่อ โดมิ.... แต่ก็นึกไม่ออก อาจจะเพราะเป็นเทพมานานเขาอาจจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เลยปัดความคิดออกโฟกัสตรงหน้า  โพสต์ 2025-9-27 19:22
God
ลงชื่อกำกับท้ายเอกสารอักษรย่อ D.S. และบางฉบับที่ดูเป็นภาษาทางการมีการระบุ คำสั่งจากคุณ Dominic Stone  โพสต์ 2025-9-27 19:15
God
(หากสร้างพาร์ทเสริมอยู่ห้องนี้ต่อ เพื่อค้นเอกสาร จะปลดล็อก เอกสารสำคัญที่ลงชื่อ .  โพสต์ 2025-9-27 19:09
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-9-27 19:04
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 2025-9-27 23:38:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด
BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES
seal

BEAMED INTO DUTY: SAVING MR. FRECKLES

(โดนลากมาทำงาน: ช่วยคุณหน้ากระก่อนโลกพัง)
ตอนที่ 20 : ความสงสัย
วันที่ 20 เดือน กันยนยา ปี 2025
ช่วงเย็น เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ณ ภายในศูนย์วิจัยชั้นบนของสถานีวิจัย องค์กร LoNex ใต้ดินเหมืองไจแอนท์ เมืองเยลโลว์ไนฟ์, นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ แคนาดา

โมนีก้าและเลสเตอร์กำลังจะออกจากห้องวิจัยเพื่อมุ่งไปที่ห้องควบคุมแต่อยู่ ๆ โมนีก้าก็ก้าวชะงักทันที เมื่อเอกสารบางอย่างปลิวมาตกลงตรงปลายรองเท้าของเธอ เธอก้มลงหยิบขึ้นมา พลางขมวดคิ้วแน่น ตัวอักษรบนแผ่นนั้นถูกเขียนด้วยปากกาหมึกดำหนา จังหวะลายมือบิดเบี้ยวจนแทบจะอ่านไม่ออก บรรทัดถัดมามีลายเซ็นสั้น ๆ เป็นอักษรย่อ D.S. โมนีก้าหันไปมองเลสเตอร์ แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย เธอเอียงหน้าเล็กน้อยแล้วพูดเสียงเบาแทบกระซิบ 


“เลสเตอร์…ดูนี่สิ ทำไมมันถึงเป็นลายมือ? เอกสารทั้งหมดในห้องนี้เป็นแบบพิมพ์หมด แต่แผ่นนี้กลับเขียนด้วยมือ…หรือยังมีอย่างอื่นอีก”


เลสเตอร์เหลือบมองกระดาษในมือเธอ เส้นเลือดตรงขมับเต้นขึ้นมาวูบหนึ่ง เขาไม่ได้ตอบทันที แต่ก้าวเข้ามาใกล้เพื่อดูให้แน่ “มันไม่เหมือนเอกสารอื่นจริง ๆ ด้วยแฮะ” เสียงทุ้มต่ำของเขาแฝงความระแวง เขากวาดสายตาไปทั่วโต๊ะทำงานที่เอกสารถูกเรียงอย่างเป็นระเบียบ “ปกติคนพวกนี้หมกมุ่นกับความแม่นยำ ไม่มีทางปล่อยให้มีลายมือยุ่ง ๆ หลุดมา…เว้นแต่จะเป็นบันทึกส่วนตัว หรือคำสั่งลับ”


โมนีก้าไม่ได้รอให้เขาตัดสินใจ เธอหมุนตัวไปที่โต๊ะต้นทางซึ่งเอกสารน่าจะปลิวมาจากนั้น มือเรียวเริ่มเลื่อนแฟ้มทีละกอง เธอทำอย่างรวดเร็วแต่ระมัดระวัง ไม่ให้เกิดเสียงดังแม้แต่น้อย กล่องเก็บเอกสารถูกดันเปิดทีละลิ้นชัก กลิ่นกระดาษเก่าปนกลิ่นหมึกทำให้บรรยากาศตึงเครียดยิ่งขึ้น เธอสไลด์แฟ้มออกมาอีกชุด ส่องไฟฉายแหวนตรวจดู “ไม่มี…ไม่มี…นี่ก็ไม่มี” เธอบ่นพึมพำในลำคอ ดวงตาสีเทาเงินกวาดหาตามขอบโต๊ะ “แปลกชะมัด”


เลสเตอร์ตามเข้ามาข้างหลังมือข้างหนึ่งจับคันธนูแน่น อีกมือคอยเช็กทางเข้า “ระวังนะโมนีก้า จะมีใครกลับมาเมื่อไรก็ไม่รู้” น้ำเสียงของเขาไม่ได้ออกคำสั่ง แต่หนักแน่นพอให้เธอรับรู้ถึงแรงกดดันที่ซ่อนอยู่


“ฉันรู้ แต่เอกสารนี้มันผิดปกติจนน่าสงสัยนะ” โมนีก้าตอบสั้น ๆ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นขอบแฟ้มสีซีดโผล่จากช่องเล็กใต้ชั้นวาง เธอก้มลงหยิบขึ้นมา พบว่าเป็นกระดาษอีกสองสามแผ่นที่มีรอยลายมือคล้ายกัน แม้จะซีดกว่าแต่ยังมีอักษรย่อ D.S. กำกับเหมือนกัน “เลสเตอร์…ดูนี่สิ! มีอีกจริง ๆ ด้วย”


เลสเตอร์โน้มตัวลงมามองอย่างใกล้ แววตาสีฟ้าฉายประกายระวังภัย “ทั้งหมดมีแต่รหัส ไม่มีวันที่ ” เขาเลื่อนสายตามองไปยังลายเซ็น “D.S…อาจจะเป็นชื่อคนในองค์กร หรือใครสักคนที่เขียนรายงานนอกระบบ” เขาเม้มริมฝีปากเหมือนพยายามวิเคราะห์


โมนีก้าขมวดคิ้วแล้วหันมาถามทางเลสเตอร์ “D.S…ฉันไม่คุ้นเลย นายว่ามันอาจเกี่ยวกับเพื่อนนายหรือพลังงานเอเรบัสไหม” เลสเตอร์ส่ายหัวช้า ๆ แต่แววตาไม่ได้คลายลงไปจากความสงสัยเลยสักนิด


หลังจากนั้นโมนีก้าเลยหันไปทางเลสเตอร์ “งั้นฉันขอค้นอีกหน่อยนะ” เมื่อพูดเสร็จโมนีก้าหันกลับไปที่โต๊ะอีกครั้งหลังจากซ่อนเอกสารชุดแรกลงในแหวนดาราจรัส เธอสูดลมหายใจลึกแล้วก้มหน้าค้นต่อ ปลายนิ้วไล้ตามขอบแฟ้มทีละเล่ม สายตาคมสแกนทุกตัวอักษรบนปก แสงจากไฟฉายเล็กสะท้อนกับหมึกพิมพ์เป็นประกายเย็นเยียบ จนกระทั่งเธอสะดุดกับแฟ้มสีน้ำเงินเข้มแผ่นหนึ่งซ่อนอยู่ด้านในสุด ตรงมุมปกมีตัวอักษรสีแดงประทับตรา CONFIDENTIAL เด่นชัด


เธอเลื่อนแฟ้มออกมาเปิดอย่างระมัดระวัง ดวงตาสีเทาเงินเบิกกว้างเมื่อพบว่าเนื้อหาภายในเป็นภาษาทางการละเอียดถี่ถ้วน มีทั้งตราสัญลักษณ์ LoNex และคำสั่งเป็นข้อ ๆ ชัดเจน ต่างจากเอกสารอื่นที่เป็นเพียงบันทึกข้อมูลทดลอง ใจกลางหน้ากระดาษมีชื่อผู้ลงนามกำกับเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ Dominic Stone ตัวหนาชัดเจนจนแทบจะสะท้อนเข้าตา โมนีก้าสะดุ้งเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นเรียกเสียงต่ำ “เลสเตอร์…ดูนี่สิ ชื่อนี้…โดมินิก สโตน ฟังดูใหญ่โตนะ” เธอหรี่ตา พยายามเชื่อมโยงกับข้อมูลที่เคยได้ยิน “นี่มันเอกสารคำสั่งโดยตรง เขาไม่ได้เป็นแค่เจ้าหน้าที่แน่ ๆ การที่สั่งงานได้แบบนี้ แสดงว่าเป็นคนสำคัญของ LoNex ไม่ก็หัวหน้าใหญ่”


เลสเตอร์ขยับเข้ามาใกล้จนเงาของเขาทาบลงบนกระดาษ แววตาสีฟ้าฉายประกายบางอย่างที่โมนีก้าจับไม่ได้ เขาก้มลงเพ่งมองชื่อ Dominic Stone ริมฝีปากเม้มแน่นในจังหวะสั้น ๆ ชื่อนั้นดังก้องในความทรงจำราวกับเสียงสะท้อนในหุบเขา มีบางอย่างคุ้นเคยอย่างประหลาด เหมือนเศษเสียงจากอดีตกาลที่ไกลเกินกว่าจะคว้ากลับมาได้ แต่ยิ่งพยายามนึกกลับยิ่งว่างเปล่า เลสเตอร์กระพริบตาไล่ความคิดแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ชื่อดูคุ้นนิดหน่อยนะ…ไม่ธรรมดาแน่เลย แต่ฉันจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินที่ไหน”


โมนีก้าจ้องหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งเหมือนจะถามต่อ แต่เห็นประกายกังวลแวบหนึ่งในแววตาของเลสเตอร์จึงเลือกกลืนคำลงคอ เธอกลับไปจดจ่อที่เอกสารแทน “ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ฉันว่าต้องเก็บทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคนนี้ไปด้วย เผื่อจะเป็นกุญแจของทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่มีปัญหาหรอก เก็บ ๆ ไว้ก่อนเผื่อได้ใช้งาน” น้ำเสียงเธอหนักแน่นผิดกับรูปลักษณ์วัยรุ่นในตอนนี้ของเธอ


เลสเตอร์พยักหน้าช้า ๆ “เก็บไว้ให้หมด แต่ระวัง อย่าทิ้งร่องรอยล่ะ” เขาเหลือบมองประตูทางออกที่ยังคงมีเงายามเดินผ่านเป็นระยะ สายตาเฉียบคมกวาดตรวจรอบห้องเหมือนนักล่าที่คอยคุ้มกัน เงื่อนไขของภารกิจชัดเจนในใจ ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ Dominic Stone อาจเป็นหัวใจของ LoNex หรืออะไรที่เกี่ยวข้องและอาจจะเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ได้เกี่ยวกับเบาะแสที่จะพาพวกเขาไปถึงตัวเพื่อนร่วมทีมที่หายไป


โมนีก้าไม่รอช้า เธอรวบรวมเอกสารทุกแผ่นที่มีลายเซ็นหรืออักษรย่อเกี่ยวกับ Dominic Stone ใส่ลงในแหวนดาราจรัสทีละชุด เสียงคลิกเบา ๆ ดังขึ้นเมื่อช่องเก็บมิติปิดสนิท ความกังวลยังไม่คลาย แต่ในดวงตาของเธอมีประกายมุ่งมั่นชัดเจน เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเลสเตอร์ “เรียบร้อย ไปห้องควบคุมหลักกันเถอะ ยิ่งรู้ว่ามีคนแบบนี้อยู่ ฉันยิ่งอยากรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่”


เลสเตอร์ก้มศีรษะเล็กน้อย แววตายังคงลึกซึ้งแต่ปิดบังบางสิ่งไว้อย่างแนบเนียน “ไปกันเถอะ โมนีก้าทุกนาทีที่เราช้า เพื่อนฉันอาจจะยิ่งตกอยู่ในอันตราย” ทั้งคู่สบตากันสั้น ๆ ก่อนที่เลสเตอร์จะออกก้าวแรกนำไปยังประตูอีกด้าน เสียงฝีเท้าทั้งสองกลบความเงียบของห้องวิจัยที่ยังคงอบอวลด้วยกลิ่นหมึกและความลับที่เพิ่งถูกดึงออกมาเก็บไว้ในแหวนของเด็กสาว

Summary Cards – Burgundy
avatar

Lester Papadopoulos

ก่อนที่จะออกจากห้องอยู่ ๆ โมนีก้าก็พบเอกสารอะไรก็ไม่รู้ โดมิ...? ดูคุ้น ๆ แต่ทำไมถึงจำไม่ได้กันนะ อีกอย่างเขาเองก็เจอคนมาเยอะ คิดว่าชีวิตเทพมันยาวนานแค่ 1 ปีหรือไง ก็ไม่นะ? เอาเป็นว่าตอนนี้เราจะตรวจสอบเอกสารกันอีกครั้งทีหลัง แต่ตอนนี้เราเก็บมันเข้าแหวนดาราจรัสของโมนีก้าแล้วเรียบร้อย และมุ่งหน้าสู่ห้องควบคุมหลัก 


[สำรวจและค้นเอกสารเพื่อ ปลดล็อกกระทู้ข้อมูลจักรพรรดิโรมัน]

[เก็บเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องใส่ในแหวนดาราจรัส]

avatar

Moneka M. Blossom

มันแค่สงสัยน่ะ....มันแปลก ๆ ถ้าพวกเธอเป็นฉันตรงนี้พวกเธอก็คงจะแปลกใจ เอาเป็นว่า ใช้งานแหวนให้คุ้มค้าแล้วกัน ไปล่ะ



[NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส

พูดคุยกับ NPC ความสนิทสนม +5

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ รุ่นพี่ +20


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-82] เลสเตอร์ ปาปาโดปูลอส เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-9-27 23:52
โพสต์ 49441 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-27 23:38
โพสต์ 49,441 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-9-27 23:38
โพสต์ 49,441 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก พลังบงการความยาวของร่างกาย  โพสต์ 2025-9-27 23:38
โพสต์ 49,441 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-9-27 23:38
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x2
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้