LOVE AND WAR SHOW(?)

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Daemon เมื่อ 2025-8-16 22:12


LOVE and WAR
ร้าย! แรง!! อันตราย!!! เมื่อรักไม่ราบรื่น มีแต่ต้องประเชิญหน้ากันเท่านั้น มหากาพย์ความสัมพันธ์ดราม่าร้อนฉ่าระดับเทพจะถูกตีแผ่แล้ววันนี้ ที่ LOVE AND WAR SHOW(?) - โปรยหัวนี้เขียนโดยนักข่าวมือหนึ่งสำนักข่าวเฮอร์มีส
สายเลือดแห่งรักที่ไร้ประสบการณ์ ตัวแม่รับจบพลังตบเกินร้อย หนูน้อยมือใหม่ (น่าสงสารที่สุด)
Daemon Kannel
หนุ่มน้อยหน้าใสจากเคบินที่ 10 เดม่อน ! ผู้ชายคนนี้มีสายเลือดแห่งรักไหลเวียนอยู่ในตัว เชื่อว่านี่คงเป็นบททดสอบของเขาที่จะต้องเลือกระหว่างแม่สุดที่รัก พ่อเลี้ยงตามกฏหมาย(เอ๊ะ) อะหรือว่า ชู้รักยอดใจของแม่บังเกิดเกล้า!
Ruby Su
หรือนี่จะเป็นบททดสอบจากฟ้า รูบี้ จะเลือกช่วยพ่อของเธอ หรือจะสนับสนุนความถูกต้อง? ดูจากท่าทางที่เดิมทีก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ของเจ้าตัวแล้ว ช่างตัดสินได้ยากจริง ๆ
Resha Campbell
และสุดท้าย! หนูน้อยรีชา ผู้เชี่ยวชาญด้าน(นิยาย)ความรัก คนกลางที่แสนน่ารักของพวกเรา หวังว่าหนูน้อยจะช่วยเรียกสติพี่ ๆ อีกสองคนด้วยนะจ๊ะ
NC
Love & War - Yellow Claw

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 9611 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2025-7-24 01:43
โพสต์ 2025-7-24 02:16:19 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Daemon เมื่อ 2025-7-24 02:31

I
— Daemon —

แท็กซี่คลั่งและภารกิจเทพเจ้า
24 · กรกฎาคม · 2025 · 07.00 น.
        แสงแรกของเช้าตรู่เริ่มสาดส่องเหนือค่ายฮาล์ฟบลัด เวลา 07:00 น. ตรงเป๊ะ ขณะที่ชาวค่ายส่วนใหญ่ยังคงหลับใหลอยู่ในกระท่อมของตนเอง เดม่อนยืนรออยู่ที่ประตูค่ายอย่างเงียบเชียบ เขาสวมเสื้อยืดสีเข้ม กางเกงยีนส์ และสะพายเป้ใบเล็กที่บรรจุของใช้จำเป็นสำหรับการเดินทาง
        
        ไม่นานนัก รีชาก็เดินตรงมาหา เธอสวมชุดที่ทะมัดทะแมงขึ้นกว่าปกติ และสะพายกระเป๋าผ้าใบเล็ก ใบหน้าของเธอดูตื่นเต้นเล็กน้อยที่ได้ออกนอกค่าย

        "สวัสดีค่ะพี่เดม่อน" รีชาทักทายเสียงใส

        "สวัสดีรีชา" เดม่อนตอบยิ้มๆ "รูบี้มาหรือยังนะ?"

        ราวกับเป็นสัญญาณร่างของรูบี้ ซู ก็ปรากฏขึ้น เธอเดินมาอย่างสง่างามในชุดทะมัดทะแมงเช่นกัน ใบหน้าของเธอนิ่งเฉยตามปกติ แต่แววตาบ่งบอกถึงความพร้อม กระบี่เทียนหวงที่ปกติซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าก็ดูเหมือนจะถูกเตรียมพร้อมไว้เช่นกัน

        "พร้อมแล้วใช่ไหม?" รูบี้ถามเสียงเรียบ ไม่รอให้เดม่อนตอบ เธอก็เดินนำไปที่ลานกว้างหน้าประตูค่าย

        เดม่อนพยักหน้าให้รีชา ก่อนจะเดินตามหลังรูบี้ไป

        เมื่อมาถึงจุดที่เหมาะสม เดม่อนหยิบดรักม่าสีทองหนึ่งเหรียญออกมาจากกระเป๋า เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มสว่าง และรวบรวมสมาธิ

        "Stêthi 'Ô hárma diabolês!" เดม่อนกล่าวเสียงดังฟังชัดตามที่เคยได้ยินมา พร้อมกับโยนดรักม่าสีทองเหรียญนั้นลงบนพื้นถนน

        ทันทีที่เหรียญกระทบพื้น เสียงเครื่องยนต์คำรามดังสนั่นก็ดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งบนท้องฟ้า ตามมาด้วยเสียงเบรกเอี๊ยดอ๊าดสนั่นหวั่นไหว

        รถแท็กซี่สีเหลืองซีดเก่าๆ ที่ดูเหมือนจะผ่านสมรภูมิมานับไม่ถ้วน พุ่งลงมาจากฟากฟ้าและจอดกระแทกพื้นดินอย่างรุนแรงจนฝุ่นตลบ มันเป็นรถแท็กซี่ที่ดูเหมือนจะประกอบขึ้นจากเศษเหล็กและอะไหล่ที่ไม่เข้าพวก กระจกหน้าต่างร้าวพรุนไปหมด และมีรอยบุบไปทั่วทั้งคัน

        ประตูหลังของรถเปิดออกอย่างกระแทกกระทั้น เผยให้เห็นหญิงชราสามคนนั่งเบียดกันอยู่ด้านใน แต่ละคนมีฟันที่หักบิ่น ดวงตาที่ดูบ้าคลั่ง และที่น่าตกใจที่สุดคือพวกเธอมีดวงตาเพียงดวงเดียวที่ผลัดกันใช้

        "ใครเรียกแท็กซี่!?" หญิงชราคนหนึ่งที่ดูเป็นพี่ใหญ่สุด ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยและความหงุดหงิด นั่นคือแองเกอร์ เธอหันมามองเดม่อนด้วยดวงตาที่กำลังถูกส่งต่อมา

        "พวกเราครับ" เดม่อนตอบ "ไปนิวยอร์กครับ...ไทม์สแควร์"

        "นิวยอร์กเรอะ! ได้เลย! รีบขึ้นมา!" เทมเพสต์ น้องสาวคนกลางที่ดูใจร้อนไม่แพ้กัน ตะโกนบอกพลางโบกมือหยอยๆ

        "เร็วเข้า! ข้าไม่มีเวลามาเสียกับพวกเจ้าหรอกนะ!" วอสป์ น้องสาวคนเล็กสุดที่ดูบ้าคลั่งที่สุดในกลุ่มเร่งเร้า

        เดม่อนพยักหน้าให้รีชาและรูบี้ พวกเขาทั้งสามรีบยัดตัวเองเข้าไปในเบาะหลังของแท็กซี่ที่แคบและเต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้น

        ทันทีที่ประตูถูกปิด แท็กซี่ก็พุ่งทะยานออกไปข้างหน้าอย่างรุนแรงจนทุกคนตัวกระแทกไปด้านหลัง เครื่องยนต์คำรามลั่นราวกับจะระเบิด ถนนลูกรังของค่ายกลายเป็นเพียงภาพเบลอ

        "เฮ้! ดวงตาข้าอยู่ไหน!" แองเกอร์โวยวายขึ้นมากลางทาง

        "นี่ไงพี่! ข้ากำลังใช้!" เทมเพสต์ตอบกลับพลางแย่งดวงตามาจากวอสป์ที่กำลังพยายามมองทางอยู่

        แท็กซี่ส่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง พุ่งทะลุรั้วค่ายออกไปราวกับกระสุนปืน เดม่อนรู้สึกถึงแรงเหวี่ยงมหาศาล เขาต้องจับที่นั่งแน่นเพื่อไม่ให้ตัวกระเด็นไปมา รีชาตัวเล็กกว่าจึงกระเด็นไปชนกับเดม่อนและรูบี้เป็นระยะๆ ใบหน้าของเธอซีดเผือดเล็กน้อยแต่ก็ยังคงพยายามจับที่นั่งไว้แน่น ส่วนรูบี้นั้น แม้จะดูนิ่งเฉยกว่า แต่ก็เห็นได้ว่าเธอกำลังใช้กล้ามเนื้อทั้งหมดเพื่อยึดตัวเองไว้กับเบาะ

        "เร็วขึ้นอีกสิ! ข้าอยากไปถึงเร็วๆ!" วอสป์ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

        "ก็ข้ากำลังเร่งอยู่นี่ไง! เจ้าก็เงียบ ๆ ไปซะ!" เทมเพสต์ตอบกลับพลางเหยียบคันเร่งมิด แท็กซี่พุ่งทะยานด้วยความเร็วที่เหนือธรรมชาติ ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังอย่างรวดเร็ว

        พวกเขาสามคนถูกอัดแน่นอยู่เบาะหลัง รู้สึกถึงแรง G ที่กดทับร่างกายจนจุกอก เสียงลมหวีดหวิวเข้ามาทางหน้าต่างที่แตกร้าว แสงแดดยามเช้ากลายเป็นเพียงเส้นแสงที่พุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภาพต้นไม้และบ้านเรือนข้างทางบิดเบี้ยวจนแยกไม่ออกว่าคืออะไร

        "จับให้แน่นนะพวกเจ้า!" เสียงของแองเกอร์ดังแหบพร่า เมื่อแท็กซี่หักเลี้ยวอย่างกะทันหันเพื่อหลบรถบรรทุกที่กำลังแล่นสวนมา เสียงแตรรถคันอื่นดังลั่นระงมตามมา แต่พวกสามพี่น้องไม่สนใจ

        เดม่อนเหลือบมองรีชา เธอเกาะแขนเสื้อเขาแน่น ใบหน้าของเธอซีดเผือดกว่าเดิม แต่ดวงตากลมโตของเธอกลับฉายแววตื่นเต้นปนหวาดหวั่นเล็กน้อย ส่วนรูบี้ยังคงนั่งนิ่ง ตัวเกร็ง แต่ก็ดูเหมือนจะปรับตัวให้เข้ากับความบ้าคลั่งนี้ได้แล้ว

        "จะ...ถึงเมื่อไหร่คะพี่เดม่อน!?" รีชาตะโกนถาม เสียงสั่นเล็กน้อย

        "ไม่นานหรอก!" เดม่อนตะโกนตอบกลับไป พลางพยายามมองไปข้างหน้า แต่ก็เห็นเพียงภาพเบลอๆ ของท้องถนนที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

        พวกเขาพุ่งผ่านถนนหลวงราวกับพายุ ทะลุผ่านการจราจรที่ติดขัดในเมืองต่างๆ ราวกับไม่มีอะไรขวางกั้น เสียงแตรดังระงมจากรถคันอื่นที่พยายามหลบหลีก แต่สามพี่น้องสีเทาไม่สนใจ พวกเธอขับรถราวกับไม่มีอะไรจะเสีย และไม่มีอะไรจะหยุดพวกเธอได้

        "ถึงแล้ว! นิวยอร์ก!" แองเกอร์ตะโกนบอกเมื่อแท็กซี่พุ่งเข้าสู่ใจกลางมหานครด้วยความเร็วสูง

        แท็กซี่พุ่งเข้าสู่ถนนที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้าและแสงไฟระยิบระยับ ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา รถราติดขัด แต่แท็กซี่ของพวกเขาก็ยังคงพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ

        ในที่สุด ด้วยเสียงเบรกเอี๊ยดอ๊าดสนั่นหวั่นไหวอีกครั้ง แท็กซี่ก็จอดกระแทกพื้นอย่างรุนแรงที่ไทม์สแควร์ ท่ามกลางแสงสีและป้ายโฆษณาขนาดมหึมา

        "ค่าบริการ 2 ดรักม่า!" วอสป์ยื่นมือออกมา

        เดม่อนหยิบดรักม่าสีทองสองเหรียญส่งให้ทันที

        "ข้าไปล่ะ!" แองเกอร์ตะโกน ก่อนที่แท็กซี่สามพี่น้องสีเทาจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ทิ้งให้เดม่อน, รูบี้, และรีชายืนอยู่กลางไทม์สแควร์ที่เต็มไปด้วยผู้คนและเสียงจอแจ พร้อมกับความรู้สึกมึนงงเล็กน้อยจากการเดินทางอันบ้าคลั่ง


ความคิดเห็นผู้บันทึก
แท็กชี่สีเทาเร็วจริง แต่ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด นั่งสองสามรอบก็ไม่ชินสักที
หน้าต่อไปรีซาจะขอเล่าต่อ ตอนนี้ไม่ไหวแล้วขอไปอ้วกก่อน


หัก 3 ดรักม่าได้เลย โอนไม่ได้

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 17273 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-7-24 02:16
โพสต์ 17,273 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ชุดบำรุงอาวุธ  โพสต์ 2025-7-24 02:16
โพสต์ 17,273 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 ความศรัทธา จาก มนต์มหาเสน่ห์  โพสต์ 2025-7-24 02:16
โพสต์ 17,273 ไบต์และได้รับ +5 EXP +2 เกียรติยศ +5 ความกล้า จาก ดาบเธซีอุส  โพสต์ 2025-7-24 02:16
โพสต์ 17,273 ไบต์และได้รับ +4 EXP +4 เกียรติยศ +6 ความกล้า +2 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2025-7-24 02:16

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1เหรียญดรักม่า -3 ย่อ เหตุผล
God -3

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ประสาทสัมผัสดีขึ้น
เปลวไฟแห่งความหลงใหล
พันธนาการแห่งเสน่ห์
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x2
x14
x3
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-7-24 21:59:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Daemon เมื่อ 2025-7-24 22:19

II
— Resha —
24 · กรกฎาคม · 2025 · 20.00 น.
        วันนี้เป็นวันที่ตื่นเต้นมากเลยค่ะ! หนู, พี่เดม่อน แล้วก็พี่รูบี้ เรามาถึงนิวยอร์กแล้ว ด้วยแท็กซี่ที่...เร็วมากๆ แต่ก็หวาดเสียวสุดๆ! ตอนนี้เราอยู่ที่ไทม์สแควร์กันแล้ว แม้จะเป็นเวลาสองทุ่ม แต่ฟ้าก็ยังสว่างอยู่เลย คงเป็นเพราะปรากฏการณ์ 'Eternal Sunshine' ที่คุณครูไครอนเคยเล่าให้ฟัง หนูรู้สึกว่าคนน้อยกว่าที่เคยเห็นในรูปภาพเยอะเลย แต่ก็ยังพลุกพล่านพอสมควรค่ะ


        พี่เดม่อนบอกว่าถ้าคุณแม่อะโฟรไดต์กับเทพแอรีสจะมานิวยอร์ก พวกเขาก็ต้องมาที่จุดฮิตๆ แบบนี้แหละค่ะ เพราะมันเป็นสถานที่ที่ดึงดูดสายตาคนได้เยอะที่สุด

        หลังจากปรึกษากันเล็กน้อย เราสามคนก็เริ่มแผนการปล่อยข่าวลือทันที พี่เดม่อนบอกว่าการทำให้คนธรรมดารู้จักเรื่องนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะจุดประกายให้ข่าวไปถึงหูของเหล่าเทพได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้ในบันทึกของรุ่นพี่ที่ทิ้งไว้ในหอสมุดให้เราได้ศึกษา

        เราเริ่มแยกย้ายกันไปตามจุดต่างๆ ในไทม์สแควร์ค่ะ

      หนูพยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติที่สุด เดินไปตามร้านค้าต่างๆ แล้วก็แอบกระซิบเรื่องราวที่พี่เดม่อนบอกมาให้คนอื่นๆ ได้ยิน หนูอาจจะเดินเข้าไปใกล้ๆ ผู้หญิงที่กำลังเลือกซื้อของ แล้วแสร้งทำเป็นพูดกับตัวเองเบาๆ ว่า "โอ๊ย...อยากไปเที่ยวที่ที่งดงามราวสรวงสวรรค์จังเลย!" 

        พอมีคนหันมามองหรือถามว่า "ที่ไหนเหรอจ๊ะหนู?" 

        หนูก็จะทำตาแป๋วตอบว่า "หนูก็ไม่แน่ใจค่ะ แต่ได้ยินมาว่ามันซ่อนตัวอยู่ ณ ใจกลางแอนตาร์กติกาเลยนะคะ!" หนูพยายามทำเสียงให้ดูตื่นเต้นและเชื่อถือได้ที่สุด 

        บางทีหนูอาจจะแสร้งทำเป็นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยกับเพื่อนว่า "แก! ได้ยินเรื่องที่เขาพูดกันไหม? ที่ที่สวยเหมือนสรวงสวรรค์อยู่กลางแอนตาร์กติกาน่ะ!" เพื่อให้ข่าวลือดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

        ส่วนพี่เดม่อน หนูเห็นเขากำลังยืนอยู่ใกล้ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เขาดูพยายามอย่างมากที่จะพูดคุยกับคนแปลกหน้า แต่ก็ดูจะไม่ได้ง่ายนัก ถึงแม้พี่เขาจะมีมนต์มหาเสน่ห์ที่ทำให้คนคล้อยตามได้ง่ายๆ ก็ตาม

        พี่รูบี้นี่สิคะ ดูเป็นมืออาชีพสุดๆ เลยค่ะ! เธอจะเดินไปตามร้านเสื้อผ้าหรูๆ หรือร้านเครื่องประดับ แล้วก็พูดคุยกับพนักงานหรือลูกค้าในร้าน เธอจะเน้นย้ำถึงคำว่า "งดงามราวสรวงสวรรค์" แล้วก็ทำท่าทีลึกลับเวลาพูดถึง "ซ่อนตัวอยู่ ณ ใจกลางแอนตาร์กติกา" ดูแล้วน่าจะทำให้ข่าวลือของเราน่าสนใจขึ้นเยอะเลยค่ะ

        เราจะพยายามปล่อยข่าวลือนี้ให้แพร่สะพัดไปให้มากที่สุด หวังว่ามันจะไปถึงหูของอะโฟรไดต์ แล้วเธอก็จะชวนเทพแอรีสไปเที่ยวที่นั่นตามแผนของท่านเฮเฟตัส! หวังว่าภารกิจนี้คงจะชิลด์ตลอดการเดินทางนะ!

เวลา 22:00 น.

        ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว! ไทม์สแควร์เริ่มคึกคักขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย ผู้คนออกมาเดินเล่นกันเต็มไปหมด ทำให้หนูรู้สึกว่านี่แหละคือโอกาสของเราที่จะปล่อยข่าวลือให้กระจายออกไปมากขึ้น!

        หนูเห็นพี่เดม่อนเดินไปหยุดอยู่กลางลานกว้างๆ ที่มีคนพลุกพล่านที่สุด พี่รูบี้เดินตามไปติดๆ ดูเหมือนพี่รูบี้จะมีความคิดอะไรบางอย่างที่จะช่วยพี่เดม่อนนะคะ หนูจำได้ว่าพี่รูบี้เป็นคนเข้มงวดและเจ้าระเบียบมาก เธอไม่ค่อยสนใจเรื่องไร้สาระ แต่ถ้าเป็นเรื่องภารกิจ เธอจะจริงจังสุดๆ ไปเลยค่ะ

        แล้วหนูก็เห็นพี่รูบี้เดินเข้าไปใกล้พี่เดม่อน เธอกระซิบอะไรบางอย่างกับเขา แต่หนูไม่ได้ยินชัดนัก พี่เดม่อนดูตกใจเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

        จู่ๆ พี่รูบี้ก็ผลักพี่เดม่อนออกไปกลางวงคนอย่างไม่ทันตั้งตัว! พี่เดม่อนเซไปข้างหน้าเล็กน้อย คนรอบข้างหันมามองด้วยความแปลกใจ

      พี่รูบี้ก้าวไปยืนข้างๆ เขา ใบหน้าของเธอยังคงนิ่งเฉย แต่แววตาที่คมกริบดูเหมือนจะสั่งให้พี่เดม่อนทำอะไรบางอย่าง เสียงเธอแผ่วเบาแต่ได้ยินชัด "ทำซะ! ทำให้มันจบ!"

        พี่เดม่อนดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายสีชมพูระเรื่ออ่อนๆ กลิ่นหอมจางๆ คล้ายดอกไม้แรกแย้มเริ่มลอยฟุ้งออกมาจากตัวเขาอย่างรวดเร็ว มนต์มหาเสน่ห์ของเขาเริ่มทำงานแล้วค่ะ!

        ผู้คนรอบข้างที่เคยหันมามองด้วยความแปลกใจ เริ่มแสดงท่าทีที่ผ่อนคลายลง ใบหน้าของพวกเขามีรอยยิ้ม และดวงตาดูล่องลอยเล็กน้อย ราวกับถูกสะกดด้วยพลังงานบางอย่าง

        พี่เดม่อนเริ่มพูด เสียงของเขาไม่ได้ดังมาก แต่กลับกังวานและดึงดูดใจผู้คนได้อย่างน่าประหลาด "คุณเคยฝันถึงสถานที่ที่งดงามราวสรวงสวรรค์ไหมครับ... ที่ๆ คุณจะหลุดพ้นจากความวุ่นวายทั้งหมด..."

        เสียงของเขาชวนให้ผู้คนเคลิบเคลิ้ม ใบหน้าของพวกเขาแสดงความปรารถนาและสนใจอย่างชัดเจน

        "...สถานที่นั้นซ่อนตัวอยู่...ณ ใจกลางแอนตาร์กติกา" พี่เดม่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความลึกลับและความน่าค้นหา "มันเป็นที่ที่เพิ่งถูกค้นพบ...เหมาะสำหรับคู่รักที่จะไปฮันนีมูน... หลบหนีจากทุกสิ่งทุกอย่าง..."

        ผู้คนต่างพากันกระซิบกระซาบ แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสนใจและอยากรู้ อยากจะไปเห็นสถานที่ที่งดงามราวสรวงสวรรค์นั้นด้วยตาตัวเอง บางคนถึงกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจดบันทึก บางคนก็หันไปพูดคุยกับเพื่อนข้างๆ อย่างตื่นเต้น

        พี่เดม่อนยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้พลังของเขาแผ่ซ่านออกไป ดึงดูดผู้คนให้รับฟังข่าวลือนี้อย่างเต็มใจ มนต์มหาเสน่ห์ในที่สาธารณะแบบนี้ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อจริงๆ ค่ะ!

        แต่ในขณะที่พี่เดม่อนกำลังดำเนินการพูดอยู่...

        จู่ๆ เสียงปืนก็ดังขึ้นหนึ่งนัด! ปัง! เสียงนั้นดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วไทม์สแควร์ ฝูงชนที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับเสียงของพี่เดม่อนต่างก็แตกตื่นกันอลหม่าน เสียงกรีดร้องดังขึ้น ผู้คนวิ่งหนีกันอย่างบ้าคลั่งราวกับคิดว่าเป็นเหตุยิงกราด

        ท่ามกลางความโกลาหลนั้น ร่างจักรกลขนาดใหญ่สองตัวก็ปรากฏขึ้น! พวกมันคือเดธแมชชีน! อสุรกายจักรกลสีดำทะมึน รูปร่างคล้ายมนุษย์แต่ใหญ่โตกว่ามาก ดวงตาของพวกมันเปล่งแสงสีแดงฉาน และหนูสัมผัสได้ถึงพลังงานที่มุ่งร้ายอย่างรุนแรง

        "พวกมันล็อกเป้าเรา!" พี่เดม่อนตะโกนบอก เสียงของเขาจริงจังขึ้นมาทันที ดวงตาของเดธแมชชีนทั้งสองตัวจ้องตรงมาที่พี่เดม่อนและพี่รูบี้อย่างไม่ผิดพลาด ราวกับถูกโปรแกรมมาให้ล่าเดมิกอดโดยเฉพาะ

        หนูที่ยืนอยู่ไม่ไกลรีบวิ่งเข้าไปสมทบกับพี่ๆ ทันที "พี่เดม่อน! พี่รูบี้!"

       เดธแมชชีนตัวแรกพุ่งเข้าหาพี่เดม่อนอย่างรวดเร็ว มันง้างแขนเหล็กขนาดใหญ่ขึ้นเตรียมจะฟาดลงมา พี่เดม่อนไม่รอช้า เขาถอดแหวนออกมาก่อนจะดีดขึ้นอากาศ แหวนเปลี่ยนสภาพเป็นดาบเธซีอุสเรืองแสงสีฟ้าในมือของเขา พลางตั้งโล่อัสพิสขึ้นป้องกัน และพุ่งเข้าใส่ศัตรูอย่างไม่ลังเล

       พี่รูบี้เองก็ไม่รอช้า เธอชักกระบี่เทียนหวงออกมาจากฝัก แสงทองอร่ามวูบวาบในความมืด เธอพุ่งเข้าใส่เดธแมชชีนอีกตัวอย่างว่องไว ราวกับพยัคฆ์สาวที่พร้อมจะจู่โจม เธอพยายามเล็งไปที่จุดเชื่อมต่อระหว่างชิ้นส่วนของเกราะเหล็ก หวังจะสร้างความเสียหายให้กับระบบภายใน

       "รีชา! หาทางเบี่ยงเบนความสนใจพวกมัน!" พี่เดม่อนตะโกนบอกขณะที่เขากำลังหลบการโจมตีอันรุนแรงของเดธแมชชีน

       หนูพยักหน้าทันที หนูมองไปรอบๆ พยายามหาอะไรที่จะช่วยได้ หนูเห็นถังขยะใบใหญ่ที่ล้มอยู่ใกล้ๆ และมีเศษเหล็กกระจัดกระจายอยู่ หนูใช้พลังของหนูควบคุมน้ำที่ไหลจากท่อประปาที่แตกอยู่ใกล้ๆ ให้พุ่งเข้าใส่เดธแมชชีนที่กำลังสู้กับพี่รูบี้อย่างรวดเร็ว เสียงกระทบกันดังแกร๊งๆ หวังว่ามันจะรบกวนเซนเซอร์ของพวกมันได้บ้าง

       เดม่อนพยายามหลบการโจมตีของเดธแมชชีนอย่างคล่องแคล่ว เขารู้ว่าการโจมตีตรงๆ อาจไม่ได้ผลกับเกราะที่แข็งแกร่งของมัน เขาพยายามหาจังหวะที่จะเข้าใกล้เพื่อโจมตีเซลล์พลังงานหรือระบบระบายความร้อนที่อาจเป็นจุดอ่อนของมัน

       "พวกเจ้ามันก็แค่เศษเหล็กไร้ค่า!" พี่เดม่อนตะโกนยั่วยุ หวังจะกระตุ้นความโกรธหรือความภาคภูมิใจในพลังของมันให้มันตัดสินใจผิดพลาด "ท่านเฮเฟตัสยังทิ้งพวกเจ้าเลย! พวกเจ้ามันก็แค่ของเล่นที่ถูกทอดทิ้ง!"

       เดธแมชชีนตัวนั้นดูเหมือนจะชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำของมันสั่นระริก ราวกับคำพูดของพี่เดม่อนไปสะกิดปมที่ถูกทอดทิ้งของมัน มันคำรามเสียงดังและพุ่งเข้าใส่พี่เดม่อนอย่างบ้าคลั่งและไร้การควบคุมมากขึ้น เปิดช่องโหว่ให้พี่เดม่อนได้พุ่งเข้าไปแทงที่บริเวณด้านข้างลำตัว ซึ่งน่าจะเป็นตำแหน่งของระบบระบายความร้อน!

       อีกด้านหนึ่ง พี่รูบี้กำลังใช้ความเร็วของเธอหลบหลีกการโจมตีของเดธแมชชีนอีกตัว เธอพยายามใช้กระบี่เทียนหวงฟันเข้าที่ข้อต่อแขนและขาของมัน เสียงเหล็กกระทบกันดังสนั่น แต่เกราะของมันแข็งแกร่งเกินไป

       "รีชา! พลังงาน! เซลล์พลังงาน!" พี่รูบี้ตะโกนบอกเธอ หวังว่าหนูจะสามารถมองเห็นจุดอ่อนที่สำคัญกว่าได้

       หนูพยายามเพ่งมองไปที่เดธแมชชีนที่พี่รูบี้กำลังสู้ด้วย หนูเห็นแสงสีฟ้าจางๆ กระพริบอยู่ตรงกลางลำตัวของมัน! "เห็นแล้วค่ะพี่รูบี้! ตรงกลางลำตัว!"

       เราทั้งสามคนยังคงสู้ต่อไป ท่ามกลางความโกลาหลของไทม์สแควร์ที่ผู้คนยังคงวิ่งหนีกันอย่างไม่คิดชีวิต นี่คือการต่อสู้ครั้งแรกของเราสามคนในนิวยอร์ก และมันก็เดือดสมกับเป็นภารกิจเดินทางจริง ๆ!

       พี่เดม่อนพุ่งเข้าแทงเดธแมชชีนที่ตำแหน่งระบบระบายความร้อนทันทีที่มันเผยช่องโหว่ ดาบเธซีอุสเรืองแสงสีฟ้าแทงทะลุเกราะเหล็กเข้าไป เสียงเครื่องจักรกลดังเอี๊ยดอ๊าดอย่างเจ็บปวด ควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากบาดแผลนั้น เดธแมชชีนตัวนั้นกรีดร้องด้วยเสียงแหลมสูงราวกับโลหะถูกบิด ก่อนที่ดวงตาแดงก่ำจะมอดดับลง ร่างของมันล้มลงอย่างรุนแรงบนพื้นถนนไทม์สแควร์ เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

       หนูเห็นแสงสีฟ้าจางๆ จากเซลล์พลังงานกลางลำตัวของเดธแมชชีนที่พี่รูบี้กำลังสู้ด้วย หนูไม่รอช้า ใช้พลังของธิดาแห่งโพไซดอนควบคุมน้ำจากท่อประปาที่แตกอยู่ใกล้ๆ ให้พุ่งเป็นลำตรงเข้าสู่จุดนั้นอย่างรวดเร็ว แรงดันน้ำมหาศาลทำให้เซลล์พลังงานเกิดการลัดวงจร ไฟฟ้าสถิตแลบแปลบปลาบ

       "ตอนนี้แหละ! พี่รูบี้!" หนูตะโกนบอก

       พี่รูบี้ไม่รอให้เสียจังหวะ เธอใช้ความเร็วทั้งหมด พุ่งเข้าใส่เดธแมชชีนตัวนั้น กระบี่เทียนหวงของเธอพุ่งแทงเข้าสู่เซลล์พลังงานที่ถูกน้ำโจมตีจนเกิดความผิดปกติ เสียงระเบิดเล็กๆ ดังขึ้น ก่อนที่เดธแมชชีนตัวนั้นจะหยุดนิ่ง ดวงตาแดงก่ำของมันดับวูบไป ร่างกายล้มลงอย่างกับหุ่นเชิดที่ถูกตัดสาย

       ชัยชนะอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เดธแมชชีนตัวแรกที่พี่เดม่อนเพิ่งจัดการไป จู่ๆ ก็กระตุกเฮือก! ดวงตาแดงก่ำของมันสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง แม้จะได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่มันก็ยังคงมีพลังงานสำรองหลงเหลืออยู่

      มันง้างแขนเหล็กที่ยังใช้งานได้ดีขึ้นสุดแรง แล้วฟาดเข้าใส่พี่เดม่อนอย่างกะทันหัน พี่เดม่อนที่กำลังจะถอนดาบออกและยังไม่ทันตั้งตัว ก็ถูกแรงกระแทกเข้าอย่างจัง!

       "อั่ก!" พี่เดม่อนร้องเสียงหลง ร่างของเขาลอยกระเด็นไปกลางอากาศ รู้สึกเจ็บปวดรุนแรงราวกับกระดูกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาสะบักบอม เจ็บหนัก จนแทบจะหมดสติ ดาบเธซีอุสหลุดจากมือกลายเป็นแหวนและร่วงลงไปบนพื้น

       'จบกัน...' ความคิดสุดท้ายน่าจะแล่นเข้ามาในหัวของพี่เขา

       แต่ก่อนที่ร่างของพี่เดม่อนจะกระแทกพื้น เสียงโลหะดัง 'เคล้ง!' ก็ดังขึ้น พี่รูบี้ที่จัดการเดธแมชชีนของเธอเสร็จแล้ว พุ่งเข้ามาช่วยพี่เดม่อนได้ทันเวลาพอดี เธอใช้กระบี่เทียนหวงปัดป้องการโจมตีสุดท้ายของเดธแมชชีนตัวนั้นที่พยายามจะฟาดซ้ำเข้าที่ร่างของพี่เดม่อน แม้จะรวดเร็ว แต่เธอก็ยังคงมีความสงบนิ่ง

       เดธแมชชีนตัวนั้นขาดพลังงานโดยสมบูรณ์หลังจากฟาดครั้งสุดท้าย ร่างของมันหยุดทำงานโดยสิ้นเชิงแล้วล้มลงอย่างถาวร

       พี่รูบี้มองไปที่ร่างของพี่เดม่อนที่นอนหอบอยู่บนพื้น ใบหน้าของเธอยังคงเรียบเฉย แต่แววตาฉายความกังวลเล็กน้อย เธอเหลือบมองไปยังซากเดธแมชชีนทั้งสองตัวที่กลายเป็นเพียงเศษเหล็กไร้ชีวิต

       "พี่เดม่อน! เป็นยังไงบ้างคะ!" หนูรีบวิ่งเข้าไปหาพี่เดม่อนด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าของหนูซีดเผือดเมื่อเห็นเขาบาดเจ็บหนัก

       พี่เดม่อนพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ทำได้เพียงหอบหายใจอย่างแรง 'เจ็บชะมัด...'


เวลา 23.59 น.

        พี่รูบี้มองไปที่ร่างของพี่เดม่อนที่นอนหอบอยู่บนพื้น ใบหน้าของเธอยังคงเรียบเฉย แต่แววตาฉายความกังวลเล็กน้อย เธอเหลือบมองไปยังซากเดธแมชชีนทั้งสองตัวที่กลายเป็นเพียงเศษเหล็กไร้ชีวิต

     "พี่เดม่อน! เป็นยังไงบ้างคะ!" หนูรีบวิ่งเข้าไปหาพี่เดม่อนด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าของหนูซีดเผือดเมื่อเห็นเขาบาดเจ็บหนัก

        "เรา...ต้องไปจากตรงนี้" พี่รูบี้พูดเสียงเรียบ แต่แววตาจริงจัง เธอกวาดสายตามองรอบๆ ไทม์สแควร์ที่ผู้คนเริ่มชะงักมองมาที่พวกเราด้วยความสงสัย

        เราสองคนช่วยกันพยุงพี่เดม่อนที่สะบักบอมและเจ็บหนัก แทบจะลากร่างเขาออกจากความโกลาหลของไทม์สแควร์ เราเดินโซซัดโซเซผ่านผู้คนที่ยังคงแตกตื่น และมุ่งหน้าไปยังตรอกสักแห่งหนึ่งที่ดูเงียบสงบและปลอดภัยกว่า

        พอมาถึงตรอก พี่รูบี้ก็ช่วยพยุงพี่เดม่อนให้นั่งพิงกำแพงเก่าๆ ได้สำเร็จ พี่เดม่อนหอบหายใจอย่างถี่รัว ใบหน้าของเขาซีดเซียว แต่ก็ยังพยายามยิ้มให้พวกเรา

        "น้ำทิพย์...ในเป้" พี่เดม่อนชี้ไปที่เป้สะพายหลังของเขาเสียงแหบ

        หนูรีบเปิดเป้ของพี่เดม่อนอย่างรวดเร็ว และก็เจอขวดแก้วเล็กๆ บรรจุน้ำสีทองส่องประกายอยู่ข้างใน มันคือน้ำทิพย์! หนูหยิบมันออกมาแล้วยื่นให้พี่เดม่อนทันที

        พี่รูบี้เห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาช่วย เธอค่อยๆ ประคองศีรษะของพี่เดม่อนให้เงยขึ้นเล็กน้อย เพื่อที่เขาจะได้ดื่มน้ำทิพย์ได้สะดวก พี่เดม่อนรับขวดไป แล้วค่อยๆ จิบน้ำสีทองนั้นลงไปช้าๆ

        ทันทีที่น้ำทิพย์ไหลผ่านลำคอ อาการบาดเจ็บของพี่เดม่อนก็ดูเหมือนจะทุเลาลงอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาดูดีขึ้น รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้า

        "ขอบใจนะ...รีชา...รูบี้" พี่เดม่อนพูดเสียงเบา แต่เต็มไปด้วยความจริงใจ

"พี่เดม่อน!" หนูอดไม่ได้ที่จะเอ็ดเขา "ทำไมถึงได้บ้าระห่ำแบบนี้คะ! เกือบไปแล้วนะคะเมื่อกี้! ถ้าพี่รูบี้ไม่เข้ามาช่วย พี่เดม่อนจะต้องแย่แน่ๆ เลย!" หนูพูดไปก็น้ำตาคลอไปเล็กน้อย รู้สึกกลัวมากจริงๆ ตอนที่เห็นพี่เดม่อนลอยกระเด็นไปกลางอากาศ

        พี่เดม่อนยิ้มเจื่อนๆ "ก็...ขอโทษนะ...พี่แค่...อยากทำให้สำเร็จ"

        พี่รูบี้ปล่อยศีรษะของพี่เดม่อนลงเบาๆ เธอเก็บขวดน้ำทิพย์ให้เขาอย่างเงียบๆ ใบหน้าของเธอยังคงเรียบเฉย แต่หนูรู้ว่าพี่เธอก็กังวลเหมือนกัน

        "พักซะ" พี่รูบี้พูดสั้นๆ "แล้วค่อยคิดว่าจะทำยังไงต่อ"

        เดม่อนที่หายจากบาดแผลแต่เขาก็ยังเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ ก่อนค่อย ๆ ปิดเปลือกตาพักผ่อนในขณะที่รูบี้อาสาเฝ้ากะแรกให้ ....



คะแนนข่าวลือ: 25/100

ความคิดเห็นผู้บันทึก
ตอนนี้พี่เดม่อนดูดีขึ้นเยอะแล้ว น้ำทิพย์ช่วยได้จริงๆ ภายในแค่ไม่กี่นาที อาการบาดเจ็บรุนแรงเมื่อกี้ก็หายไปหมดแล้ว เหลือแค่ความเหนื่อยล้าที่ยังเห็นได้ชัด แต่เขาก็ยังยิ้มได้นะคะ!

พวกเราพักกันอยู่ในตรอกนี้สักพัก คงต้องรอให้คนซาลงกว่านี้อีกนิด แล้วค่อยคิดว่าจะไปที่ไหนต่อดีค่ะ ภารกิจปล่อยข่าวลือดูเหมือนจะยากกว่าที่คิดไว้เยอะเลย เพราะมันมีเรื่องเดธแมชชีนโผล่มาด้วย!

หนูไม่เคยคิดเลยว่าการปล่อยข่าวลือจะอันตรายได้ขนาดนี้ นี่แค่เริ่มต้นภารกิจเองนะคะ หนูหวังว่าคุณแม่อะโฟรไดต์จะไปแอนตาร์กติกาตามแผนของท่านเฮเฟตัสจริงๆ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงต้องเหนื่อยกันอีกเยอะเลย

ปล. พี่รูบี้ดูเหมือนจะไม่ได้อยากมาภารกิจนี้เท่าไหร่ แต่ก็ช่วยพี่เดม่อนเต็มที่เลยค่ะ เธอเก่งมากๆ เลย! ถ้าไม่มีพี่รูบี้ หนูว่าพี่เดม่อนแย่แน่ๆ ค่ะ!


ส่งน้ำทิพย์รักษาแล้ว


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 39925 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2025-7-24 21:59
โพสต์ 39,925 ไบต์และได้รับ +20 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก ชุดบำรุงอาวุธ  โพสต์ 2025-7-24 21:59
โพสต์ 39,925 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 ความศรัทธา จาก มนต์มหาเสน่ห์  โพสต์ 2025-7-24 21:59
โพสต์ 39,925 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point +8 เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก ดาบเธซีอุส  โพสต์ 2025-7-24 21:59
โพสต์ 39,925 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2025-7-24 21:59
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ประสาทสัมผัสดีขึ้น
เปลวไฟแห่งความหลงใหล
พันธนาการแห่งเสน่ห์
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x2
x14
x3
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-7-26 16:46:12 | ดูโพสต์ทั้งหมด
III
— Ruby —
25 · กรกฎาคม · 2025 · 06.00 - 16.00 น.
        แสงแดดแรกของยามเช้าในนิวยอร์กส่องลอดเข้ามาในตรอกที่เราซ่อนตัวอยู่ตลอดคืน แม้จะกลางวันยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่แสงรุ่งอรุณก็ยังคงทำงานพอให้แยกแยะได้ ในตอนนี้เดม่อนดูดีขึ้นมากหลังจากดื่มน้ำทิพย์ แต่ก็ยังคงมีร่องรอยความเหนื่อยล้าอยู่บนใบหน้า ส่วนรีชาก็ยังดูตาแป๋วเหมือนลูกหมา แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงซีดเผือดเล็กน้อยจากความตกใจเมื่อคืน

เราหารือกันเรื่องแผนการวันนี้

        "ไทม์สแควร์คงจะยังไม่พอ" เดม่อนพูดพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ตรอก "พวกเดธแมชชีนโผล่มาแบบนั้น...เราต้องหาที่ใหม่ที่เหมาะกับการปล่อยข่าวลือมากกว่า"

            "ใช่ค่ะ" รีชาเห็นด้วย "ที่นั่นคนเยอะก็จริง แต่ก็ดูอันตรายด้วย"

         "พวกนายมีที่ไหนในใจที่คิดว่าอะโฟรไดต์จะมาบ่อยๆ ไหม?" ฉันถามขึ้น ฉันรู้จักเธอในฐานะเทพีแห่งความรัก แต่ไม่เคยใส่ใจเรื่องที่อยู่ของนางเท่าไหร่

         เดม่อนครุ่นคิด "ถ้าเป็นแม่ของฉัน...เธอคงไปที่ที่สวยๆ หรูๆ หรือที่ๆ มีคนเยอะๆ ที่จะแสดงความงามของตัวเองได้"

         "แล้วก็ต้องมีอะไรให้เทพแอรีสทำด้วยนะคะ!" รีชาเสริม "บางทีอาจจะเป็นที่ที่ดูมีกิจกรรมเยอะๆ หรือมีอะไรให้ทำเยอะๆ"

         "ฉันรู้แล้ว" ฉันพูด "ไปที่ย่านช้อปปิ้งหรูหราบนถนนสายที่ห้า แล้วก็เดินไปจนถึงสวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ก"

         เดม่อนพยักหน้าเห็นด้วย "ดีเลย! ย่านช้อปปิ้งเหมาะกับแม่ฉัน ส่วนเซ็นทรัลพาร์กก็น่าจะมีอะไรให้แอรีสทำ หรืออย่างน้อยก็เป็นที่ๆ คนพลุกพล่านพอจะปล่อยข่าวได้"

         เราตัดสินใจเดินทางด้วยรถประจำทางทั่วไปเพื่อประหยัดดรักม่า การนั่งรถเมล์ในนิวยอร์กค่อนข้างวุ่นวายและเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและภาษา เสียงผู้คนคุยกันดังจอแจ สลับกับเสียงแตรรถและเสียงไซเรนจากรถฉุกเฉิน

         เดม่อนดูจะปรับตัวได้ดีกับการอยู่ในโลกมนุษย์ เขานั่งมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสนใจ ส่วนรีชาก็ตื่นตาตื่นใจกับตึกสูงและป้ายโฆษณาต่างๆ เธอกระซิบถามเดม่อนเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่หยุด หนูเห็นเธอกำลังใช้สมุดเล่มเล็กวาดรูปวิวทิวทัศน์ข้างทางด้วย

         ส่วนฉัน...ฉันแค่นั่งนิ่งๆ สังเกตการณ์ผู้คนรอบข้าง และเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจเบื้องหน้า

         การเดินทางใช้เวลาพอสมควรกว่าเราจะมาถึงย่านช้อปปิ้งหรูหราบนถนนสายที่ห้า ทันทีที่เราก้าวลงจากรถเมล์ บรรยากาศก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ที่นี่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ร้านค้าแบรนด์เนมระดับโลกที่โชว์สินค้าวิบวับ และผู้คนที่แต่งกายอย่างมีสไตล์เดินขวักไขว่ไปมา กลิ่นน้ำหอมราคาแพงลอยอบอวลในอากาศ

         เราเริ่มต้นแผนการเหมือนเดิม คือการแยกย้ายกันปล่อยข่าวลือแบบแนบเนียนที่สุด

         เดม่อนเริ่มเดินเข้าไปในร้านเครื่องประดับแห่งหนึ่ง เขาเลือกที่จะคุยกับพนักงานที่ดูเป็นกันเอง เขาสามารถใช้มนต์มหาเสน่ห์ของเขาได้อย่างแนบเนียน ดูเหมือนพนักงานจะสนใจในคำพูดของเขาเป็นพิเศษ

         ฉันได้ยินเขาพูดกับพนักงานว่า "คุณเคยได้ยินเรื่องสถานที่ที่สวยงามที่สุดในโลกไหมครับ...ที่ที่เหมาะกับการเฉลิมฉลองความรักอย่างแท้จริง...มันงดงามราวสรวงสวรรค์เลยล่ะครับ" พนักงานดูจะสนใจมาก เดม่อนก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงชวนฝัน "มันเป็นสถานที่ลับ...ซ่อนตัวอยู่ ณ ใจกลางแอนตาร์กติกา...ที่ๆ ไม่มีใครเคยไปถึง...แต่เขาว่ากันว่าถ้าคู่รักได้ไปฮันนีมูนที่นั่น...ความรักจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์เลยนะครับ"

         ส่วนรีชา เธอก็ทำหน้าที่ได้ดีเช่นกัน เธอเดินเข้าไปในร้านเสื้อผ้าเด็กเล็กๆ และทำท่าทีน่ารักชวนคุยกับคุณแม่ที่กำลังเลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่

         "คุณน้าคะ รู้ไหมคะว่าหนูได้ยินเรื่องน่าตื่นเต้นมาด้วยล่ะค่ะ" รีชาพูดเสียงใส "มีที่ๆ สวยมากๆ เลยนะคะ สวยกว่าเจ้าหญิงในนิทานอีกค่ะ งดงามราวสรวงสวรรค์เลย!" คุณแม่ยิ้มและถามว่าที่ไหน "เขาว่ากันว่ามันซ่อนตัวอยู่ ณ ใจกลางแอนตาร์กติกาเลยนะคะ!" รีชาพูดพลางทำตาโตๆ ด้วยความตื่นเต้น

         ส่วนฉัน...ฉันเลือกที่จะยืนอยู่ใกล้ๆ กลุ่มคนที่กำลังพูดคุยกันเรื่องแฟชั่นและชีวิตประจำวัน ฉันไม่ได้พูดออกไปตรงๆ แต่จะแสร้งทำเป็นคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสนิทของฉันในค่าย

         "ใช่...แก! ได้ยินเรื่องนั้นไหม? ที่ที่งดงามราวสรวงสวรรค์น่ะ...กลางแอนตาร์กติกาเลยนะ! เขาว่ากันว่าพวกมหาเศรษฐีกำลังหาทางไปที่นั่นกันใหญ่เลย! คงเป็นสถานที่ฮันนีมูนที่แปลกใหม่ที่สุดในโลก!" ฉันพูดเสียงดังพอที่คนรอบข้างจะได้ยิน และแสร้งทำเป็นมองซ้ายขวาเล็กน้อย ราวกับกำลังแบ่งปันข้อมูลลับสุดยอด

         เราใช้เวลาหลายชั่วโมงในการปล่อยข่าวลือในย่านนี้ หวังว่าข่าวลือของเราจะเริ่มแพร่กระจายไปในวงกว้าง 

         ตอนนี้เรามานั่งพักกันอยู่ที่ม้านั่งในสวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์กแล้ว อากาศที่นี่สดชื่นกว่าในย่านช้อปปิ้งมาก มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น และผู้คนก็ดูผ่อนคลายกว่า

         เดม่อนดูเหนื่อยล้าแต่ก็ยังยิ้มได้ รีชากำลังนั่งวาดรูปนกพิราบที่เดินไปมาอยู่บนพื้นดิน ส่วนฉันก็แค่เอนหลังพิงพนักม้านั่ง หลับตาลงชั่วครู่

     ฉันไม่รู้เลยว่าข่าวลือที่เราพยายามปล่อยออกไปตั้งแต่วันนี้เช้าจะไปถึงหูของอะโฟรไดต์หรือยัง การทำให้เทพเจ้าเชื่อในสิ่งที่มนุษย์พูดมันไม่ง่ายเลย ยิ่งเป็นเรื่องที่ดูเหลือเชื่ออย่างสถานที่งดงามราวสรวงสวรรค์ที่ซ่อนตัวอยู่ ณ ใจกลางแอนตาร์กติกาด้วยแล้ว

         ฉันหวังว่าวันนี้จะราบรื่นกว่าเมื่อคืนนี้ ไม่มีเดธแมชชีนโผล่มาอีกแล้ว และหวังว่าแผนของเฮเฟตัสจะสำเร็จจริงๆ เพราะไม่อย่างนั้นพวกเราคงต้องวนเวียนอยู่ในนิวยอร์กอีกนานแน่ๆ



คะแนนข่าวลือ: 31/100

ความคิดเห็นผู้บันทึก

ยอมรับว่าเดม่อนกับรีชามีความพยายามสูงกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะ เจ้าเด็กบ้านอะโฟรไดต์นั่นแม้จะดูอ่อนหัดเรื่องการต่อสู้ แต่มนต์มหาเสน่ห์ของเขาก็ใช้ได้ผลดีกับพวกมนุษย์ ส่วนรีชา...เธอก็แค่เด็กใสซื่อที่พูดอะไรก็ดูน่าเชื่อถือไปหมด

ส่วนฉัน...แค่แกล้งคุยโทรศัพท์ไม่กี่นาที ก็ได้ยินคนรอบข้างเริ่มซุบซิบถึงสถานที่บ้าๆ นั่นแล้ว หวังว่าอะโฟรไดต์จะหลงกลได้ง่ายๆ นะ เพราะถ้าต้องมาปวดหัวกับเรื่องไร้สาระแบบนี้บ่อยๆ ฉันคงไม่สนุกด้วยแน่ๆ

ที่สำคัญที่สุดคือ วันนี้ไม่มีเรื่องวุ่นวายอย่างเดธแมชชีนโผล่มาอีก หวังว่ามันจะสงบไปจนจบภารกิจนี้ เพราะฉันไม่อยากให้เดม่อนต้องมาสะบักบอมอีกรอบให้เสียเวลา



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 17506 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-7-26 16:46
โพสต์ 17,506 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ชุดบำรุงอาวุธ  โพสต์ 2025-7-26 16:46
โพสต์ 17,506 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 ความศรัทธา จาก มนต์มหาเสน่ห์  โพสต์ 2025-7-26 16:46
โพสต์ 17,506 ไบต์และได้รับ +5 EXP +2 เกียรติยศ +5 ความกล้า จาก ดาบเธซีอุส  โพสต์ 2025-7-26 16:46
โพสต์ 17,506 ไบต์และได้รับ +4 EXP +4 เกียรติยศ +6 ความกล้า +2 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2025-7-26 16:46
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ประสาทสัมผัสดีขึ้น
เปลวไฟแห่งความหลงใหล
พันธนาการแห่งเสน่ห์
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x2
x14
x3
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-7-26 22:13:19 | ดูโพสต์ทั้งหมด
IV
— Daemon —
25 · กรกฎาคม · 2025 · 19.00 น.
        แสงสุดท้ายของวันยังคงค้างฟ้าเหนือเซ็นทรัลพาร์ก แต่ความเย็นเริ่มคืบคลานเข้ามาแทนที่ ผม, รูบี้, และรีชานั่งปรึกษากันบนม้านั่งตัวเดิม หลังจากที่รูบี้บ่นเรื่องความไร้สาระของภารกิจเทพ แต่สุดท้ายก็ยอมร่วมมือ (เพราะเธอเป็นคนแบบนั้นแหละ)


        "พวกเราต้องหาที่ใหม่" ผมพูด "ที่ที่ข่าวลือจะไปได้เร็วกว่านี้ และเข้าถึงกลุ่มคนที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเทพได้ง่ายขึ้น"

        รีชาพยักหน้าหงึกๆ "ใช่ค่ะ! ที่ไหนดีคะพี่เดม่อน?"

        "ถ้าเฮเฟตัสอยากให้ข่าวไปถึงหูอะโฟรไดต์กับแอรีสเร็วๆ..." ผมครุ่นคิด "มันต้องเป็นที่ที่เกี่ยวกับความบันเทิง หรือการรวมตัวของผู้คนที่มีอิทธิพล"

        รูบี้ที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก็เสนอขึ้นมา "ไปที่ย่านบรอดเวย์สิ" เธอพูดเสียงเรียบ "ที่นั่นมีโรงละครเยอะแยะ ผู้คนหลากหลาย กลุ่มศิลปินที่ชอบเรื่องแปลกใหม่...แล้วก็มีพวกคนรวยที่ชอบมาดูการแสดง"

        ผมมองรูบี้ด้วยความประหลาดใจ 'เธอคิดได้ดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะเนี่ย' "เข้าท่า! บรอดเวย์เหมาะเลย! คนที่นั่นชอบเรื่องดราม่าอยู่แล้วด้วย" ผมพูดพลางยิ้ม "แล้วจากนั้น...เราอาจจะไปที่ร้านอาหารหรูสักแห่งที่พวกไฮโซชอบไปกัน"

        รีชาตาโต "ว้าว! บรอดเวย์! หนูอยากไปดูละครเวทีเลยค่ะ!"

        "เก็บความตื่นเต้นไว้ก่อน รีชา" ผมเตือน "เรามีงานต้องทำ"

     เราตัดสินใจเดินจากเซ็นทรัลพาร์กไปยังย่านบรอดเวย์ ตอนกลางคืนที่นั่นสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากป้ายโฆษณาและโรงละครต่างๆ ผู้คนแต่งตัวสวยงามเดินกันเต็มท้องถนน บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักและพลังงาน

        ผมเลือกที่จะยืนอยู่ใกล้กับทางเข้าโรงละครแห่งหนึ่งที่ผู้คนกำลังทยอยกันเข้ามา ผมใช้มนต์มหาเสน่ห์ของผมอย่างเต็มที่ คราวนี้ผมไม่ได้พูดตรงๆ แต่ใช้มันเพื่อทำให้เสียงของผมดูน่าสนใจขึ้น เมื่อมีคนเดินผ่าน ผมจะแสร้งทำเป็นคุยกับใครบางคนที่มองไม่เห็นด้วยน้ำเสียงชวนให้คนฟังหันมาสนใจ

        "ไม่น่าเชื่อเลยนะ...ได้ยินมาว่ามีคนพบสถานที่ลับแห่งใหม่แล้วนะ...ที่ๆ สวยจนไม่น่าจะมีอยู่จริงเลยล่ะ" ผมพึมพำเสียงดังพอที่คนรอบข้างจะได้ยิน หลายคนชะงักหันมามอง ผมก็ยิ้มให้เล็กน้อย "ใช่...มันงดงามราวสรวงสวรรค์เลยนะ...เขาว่ากันว่ามันซ่อนตัวอยู่ ณ ใจกลางแอนตาร์กติกา...ที่นั่นมีน้ำแข็งเรืองแสงด้วยนะ"

        ผมมองเห็นรูบี้กำลังเดินเข้าไปในร้านขายของที่ระลึกของโรงละคร เธอไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ยืนเลือกซื้อของแล้วแสร้งทำเป็นคุยโทรศัพท์เสียงดังพอให้คนข้างๆ ได้ยินเกี่ยวกับ "แพ็คเกจฮันนีมูนสุดพิเศษ" ที่ "สวยราวสรวงสวรรค์" และ "ตั้งอยู่กลางแอนตาร์กติกา" สไตล์ของเธอตรงไปตรงมา แต่ก็มีประสิทธิภาพ

        ส่วนรีชา เธอเลือกที่จะนั่งอยู่บนม้านั่งใกล้ๆ กับร้านขายตั๋ว และทำเป็นกำลังอ่านหนังสือเล่มเล็กๆ พอมีใครเดินผ่าน เธอจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาว่า "คุณลุงคะ/คุณป้าคะ รู้ไหมคะว่ามีเรื่องเล่าใหม่ด้วยค่ะ...เกี่ยวกับที่ๆ สวยมากๆ เลยนะคะ...สวยที่สุดในโลกเลยค่ะ งดงามราวสรวงสวรรค์เลย!" และเมื่อคนสนใจ เธอจะเสริมด้วยดวงตาแป๋วๆ ว่า "เขาว่ากันว่ามันซ่อนตัวอยู่ ณ ใจกลางแอนตาร์กติกาด้วยนะคะ! หนูเองก็ยังอยากไปดูหมีขาวเลย!"

        เราใช้เวลาที่นั่นจนกระทั่งการแสดงเกือบจะเริ่ม ผู้คนต่างพากันเข้าไปในโรงละคร แต่ผมมั่นใจว่าเมล็ดพันธุ์แห่งข่าวลือของเราได้ถูกหว่านไปทั่วย่านบรอดเวย์แล้ว

        หลังจากนั้น เราตัดสินใจเดินไปยังร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากบรอดเวย์นัก ร้านนี้ดูเงียบสงบกว่า แต่ก็มีลูกค้าที่แต่งกายดีเข้าออกอยู่เรื่อยๆ

        ขณะที่เรากำลังเดินผ่านตรอกเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้างร้านอาหาร จู่ๆ ก็มีเสียงแปลกๆ ดังแว่วออกมาจากภายในร้านอาหาร มันไม่ใช่เสียงพูดคุยของมนุษย์ทั่วไป แต่เป็นเสียงที่ฟังดูแหบแห้งคล้ายมีลมผ่านลำคอ สลับกับเสียงหัวเราะเยาะที่เย็นยะเยือกจนขนลุก

        รูบี้ชะงักฝีเท้าทันที ดวงตาของเธอคมกริบขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอหันมามองผมกับรีชา แล้วกระซิบเสียงเบา "เสียงอะไรน่ะ?"

        ผมเองก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ กลิ่นกำมะถันจางๆ ลอยมาแตะจมูก แม้จะเบาบางมาก แต่ก็มากพอที่จะทำให้ขนลุกซู่ 'ไม่ใช่แค่คนธรรมดา' ผมคิด

        เราสามคนค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้แหล่งกำเนิดเสียง และเมื่อผมชะโงกหน้าผ่านช่องว่างเล็กๆ ของม่านที่ปิดอยู่ ผมก็ได้เห็นภาพที่ทำให้หัวใจเต้นรัว

        ภายในร้านอาหารหรูที่ควรจะเต็มไปด้วยผู้คนแต่งตัวดี กลับมีโต๊ะหนึ่งที่ดูโดดเด่นกว่าใคร บนโต๊ะนั้นมีชายร่างสูงใหญ่สองคนกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกัน คนหนึ่งมีผมสีดำขลับ ดวงตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง อีกคนหนึ่งมีผมสีแดงเพลิงที่ดูเหมือนเปลวไฟกำลังเต้นระบำ

        แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจยิ่งกว่าคือชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะของพวกเขา เขามีผิวสีเทาซีด ดวงตาไร้แวว และมีปีกค้างคาวขนาดใหญ่งอกออกมาจากแผ่นหลัง เขากำลังหัวเราะเสียงแหบเย็นเยือกอยู่

       'อสุรกาย...มันมาอยู่ในร้านอาหารหรูนี่ได้ยังไง?' ผมคิดอย่างสับสน 'พวกมนุษย์รอบๆ ไม่เห็นมันหรอก เพราะหมอกจะบิดเบือนการรับรู้ของพวกเขาให้เห็นในสิ่งที่สมองจะรับได้...แต่มันโผล่มากลางที่แบบนี้ได้ยังไงกัน'

       ทันทีที่ผมคิดได้ว่าพวกมนุษย์ไม่น่าจะเห็นอสุรกายตนนั้น มันก็หันขวับมาทางพวกเรา ดวงตาไร้แววของมันจ้องตรงมาที่เราสามคนราวกับมองทะลุม่านบังตาที่ปกคลุมคนอื่นๆ ในร้าน เสียงหัวเราะเยาะที่เย็นยะเยือกเมื่อครู่หายไป แปรเปลี่ยนเป็นเสียงขู่คำรามต่ำในลำคอ

       'มันเห็นเรา!' ผมคิดอย่างตกใจ

       ก่อนที่เราจะได้ทันตั้งตัว อสุรกายร่างสูงใหญ่ที่มีปีกค้างคาวก็พุ่งเข้ามาหาเราด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ผมรีบผลักรีชาให้หลบไปด้านข้าง ส่วนรูบี้ก็ชักกระบี่เทียนหวงออกมาเตรียมพร้อม

       แต่แล้วก็มีบางอย่างพุ่งออกมาจากเงามืดภายในร้านอาหารอีกตัว! มันมีรูปร่างคล้ายกับอสุรกายตัวแรก แต่ตัวเล็กกว่าและว่องไวกว่า มันพุ่งตรงเข้าใส่รีชาด้วยกรงเล็บแหลมคม

       "รีชา! ระวัง!" ผมร้องเตือน

       รีชาเองก็ตกใจ แต่ด้วยสัญชาตญาณของลูกครึ่งเทพ เธอรีบหลบการโจมตีได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับเรียกพลังแห่งโพไซดอน น้ำจากแก้วบนโต๊ะข้างๆ พุ่งขึ้นมาเป็นสาย เข้าปะทะกับอสุรกายตัวเล็กอย่างจัง ทำให้มันชะงักไปเล็กน้อย

       ในขณะเดียวกัน รูบี้ก็เข้าปะทะกับอสุรกายปีกค้างคาว กระบี่เทียนหวงของเธอวาดผ่านอากาศด้วยความเร็วสูง แสงสีทองอร่ามปะทะกับผิวสีเทาซีดของอสุรกาย เกิดประกายไฟแลบ

       แต่สถานการณ์ยังไม่จบ! เสียงโลหะกระทบกันดัง 'แคร้ง!' จากทางด้านหลังของร้านอาหาร ร่างสีดำทะมึนของเดธแมชชีนก็พุ่งออกมา! ดวงตาแดงก่ำของมันล็อกเป้ามาที่ผมกับรูบี้ทันที ดูเหมือนพวกมันจะตามร่องรอยพลังเทพมาถึงที่นี่

       'ให้ตายสิ! อะไรกันนักกันหนาเนี่ย!' ผมคิดอย่างหัวเสีย

       "รูบี้! รีชา! พวกมันมากันหมดแล้ว!" ผมตะโกนบอก

       รีชาหันไปมองเดธแมชชีนด้วยความตกใจ แต่ก็ตั้งสติได้เร็ว เธอหันกลับไปเผชิญหน้ากับอสุรกายตัวเล็กที่กำลังจะพุ่งเข้ามาอีกครั้ง

       "พี่เดม่อน! หนูจัดการตัวนี้เอง! พี่ระวังเดธแมชชีนด้วยนะคะ!" รีชาตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่

       ผมพยักหน้าให้เธอ แม้จะกังวล แต่ก็เชื่อมั่นในความสามารถของน้องสาวคนนี้ ผมหันกลับไปเผชิญหน้ากับเดธแมชชีนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเสียงเฟืองจักรกลที่น่าขนลุก

       'เอาล่ะ เจ้าหุ่นกระป๋อง' ผมคิดพลางชักดาบเธซีอุสออกมาจากรูปแหวน แสงสีฟ้าสว่างวาบในความมืด 'มาดูกันหน่อยว่าแกยังทนทานเหมือนเมื่อคืนหรือเปล่า!'

       ผมพุ่งเข้าใส่เดธแมชชีนด้วยความเร็ว เป้าหมายของผมคือโจมตีจุดอ่อนที่เคยใช้ได้ผลเมื่อคืน ไม่ว่าจะเป็นระบบระบายความร้อนหรือเซลล์พลังงาน

       ในขณะเดียวกัน ผมก็เหลือบมองไปเห็นรูบี้กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับอสุรกายปีกค้างคาว กระบี่เทียนหวงของเธอฟาดฟันอย่างไม่ยั้ง แต่ดูเหมือนอสุรกายตัวนั้นจะมีความคล่องแคล่วสูงและหลบหลีกได้ดี

       การต่อสู้ในร้านอาหารหรูที่ควรจะเงียบสงบได้แปรเปลี่ยนเป็นสมรภูมิรบที่วุ่นวายไปในพริบตา เสียงดาบปะทะกับโลหะ เสียงน้ำปะทะร่างอสุรกาย และเสียงเฟืองจักรกลของเดธแมชชีนดังสนั่นไปทั่ว

       ผมต้องจัดการเดธแมชชีนตัวนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้เข้าไปช่วยรูบี้และรีชา!

        เดม่อนพุ่งเข้าใส่เดธแมชชีนด้วยดาบเธซีอุสเรืองแสงสีฟ้า เขาหลบหลีกการโจมตีอันรุนแรงของมันอย่างคล่องแคล่ว พลางพยายามหาจังหวะที่จะเข้าใกล้ระบบระบายความร้อนที่ด้านข้างลำตัว หรือเซลล์พลังงานกลางอก

        "แกมันก็แค่เศษเหล็กถูกทิ้ง!" เดม่อนตะโกนยั่วยุ หวังจะใช้ความโกรธของมันให้เป็นประโยชน์เหมือนเมื่อคืน เดธแมชชีนคำรามเสียงดัง มันหันมาโจมตีอย่างบ้าคลั่งและไร้การควบคุมมากขึ้น

        เดม่อนอาศัยจังหวะนั้น พุ่งตัวเข้าไปแทงดาบเธซีอุสเข้าที่ระบบระบายความร้อนอย่างจัง! เสียงเหล็กเสียดสีดังเอี๊ยดอ๊าด ควันดำพวยพุ่งออกมาจากบาดแผลนั้น เดธแมชชีนกรีดร้องด้วยเสียงแหลมสูงราวกับโลหะถูกบิด ก่อนที่ดวงตาแดงก่ำจะมอดดับลง ร่างของมันล้มลงอย่างรุนแรงบนพื้นห้องอาหารหรู ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

        แต่ในขณะที่มันล้มลง แขนเหล็กขนาดใหญ่ของมันก็กวาดเข้าใส่เดม่อนอย่างไม่ทันตั้งตัว!

        "อั่ก!" เดม่อนร้องออกมา ร่างของเขากระเด็นไปกลางอากาศ รู้สึกเจ็บปวดรุนแรงไปทั้งตัวราวกับถูกรถชน เขารู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่รุนแรงจนแทบจะหมดสติ ดาบเธซีอุสหลุดจากมือกลายเป็นแหวนและร่วงลงไปบนพื้นข้างๆ

        'ไม่นะ... เกือบไปแล้ว' เดม่อนคิด ร่างกายของเขาสะบักสะบอม ไม่ต่างจากตอนสู้กับมิโนทอร์เลย

        อีกด้านหนึ่ง รีชากำลังรับมือกับอสุรกายตัวเล็กที่มีปีกค้างคาว เธอใช้พลังแห่งโพไซดอนควบคุมน้ำจากท่อประปาที่แตกอยู่ใกล้ๆ ให้พุ่งเข้าใส่ร่างของมันอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันไม่สามารถเข้าใกล้เธอได้ เสียงน้ำปะทะร่างอสุรกายดังซ่าๆ

        ส่วนรูบี้ เธอเข้าปะทะกับอสุรกายตัวใหญ่ที่มีปีกค้างคาว กระบี่เทียนหวงของเธอวาดผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว พยายามฟันเข้าที่จุดเชื่อมต่อระหว่างชิ้นส่วนของมัน แต่เกราะของมันแข็งแกร่งและคล่องแคล่วอย่างไม่น่าเชื่อ การต่อสู้ของเธอเป็นไปอย่างดุเดือดและต่อเนื่อง

        เมื่อเห็นเดม่อนล้มลง รูบี้เหลือบมองไปอย่างรวดเร็ว เธอกัดฟันแน่น 'เจ้าเด็กบ้านอะโฟรไดต์นี่มันจะตายไม่ได้นะ!' เธอคิด

        รูบี้ใช้จังหวะที่อสุรกายปีกค้างคาวพุ่งเข้าใส่เธอ เธอพลิกตัวหลบอย่างรวดเร็วราวกับผีเสื้อ แล้วใช้ปลายกระบี่เทียนหวงสะกิดไปที่หลังคอของมัน ซึ่งน่าจะเป็นจุดอ่อนที่เธอพบระหว่างการต่อสู้

        อสุรกายตัวนั้นกรีดร้องเสียงแหลมสูง ร่างของมันกระตุกเฮือก ก่อนจะแตกสลายกลายเป็นผงละอองสีทองปลิวหายไปในอากาศ เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นเหม็นไหม้จางๆ

        "พี่เดม่อน!" รีชาตะโกน เมื่อเห็นอสุรกายของเธอเองถูกน้ำเล่นงานจนชะงัก เธอไม่รอช้า พุ่งดาบสั้นในมือเข้าใส่จุดอ่อนที่ลำคอของมันอย่างรวดเร็ว แสงสีทองจากปลายดาบวูบวาบ อสุรกายตัวนั้นกรีดร้องก่อนจะแตกสลายเป็นผงละอองสีทองตามไปอีกตัว

        ชัยชนะเป็นของพวกเราแล้ว แต่เดม่อนยังคงนอนหอบอยู่บนพื้น ร่างกายปวดร้าวไปหมด

        "พี่เดม่อน! เป็นยังไงบ้างคะ!" รีชารีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าของเธอซีดเผือด

        รูบี้เดินเข้ามาดูเดม่อน เธอถอนหายใจเล็กน้อย "ก็ยังรอดมาได้สินะ" เธอพูดเสียงเรียบ แต่แววตาก็ฉายแววโล่งใจ

        หลังจากที่อสุรกายสองตัวสลายเป็นผงและเดธแมชชีนกลายเป็นเศษเหล็กไร้ประโยชน์ พวกเราก็รีบเผ่นออกจากร้านอาหารนั้นทันที ก่อนที่ใครจะทันสังเกตเห็นความวุ่นวายที่แท้จริง (ขอบคุณหมอกที่ทำงานได้ดีเยี่ยม) ผมต้องพึ่งพารูบี้กับรีชาพยุงอีกครั้ง เพราะร่างกายผมมันเหมือนโดนรถบดมาแล้วสามรอบ

        "เราต้องหาที่พัก" รูบี้พูดเสียงเรียบ "ที่ที่ปลอดภัยพอจะพักฟื้น"

        เราเดินเรื่อยเปื่อยไปตามถนนที่เริ่มเงียบสงบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอเข้ากับบ้านเก่าๆ หลังหนึ่งที่ดูเหมือนถูกทิ้งร้างมานานหลายปี หน้าต่างแตก ผนังมีรอยร้าว และสวนก็รกจนมองไม่เห็นทางเดิน

        "ที่นี่แหละ" ผมพูด "ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่"

        รีชามองอย่างไม่แน่ใจ "มันดูน่ากลัวจังเลยค่ะพี่เดม่อน"

        "เชื่อฉันเถอะ รีชา" ผมบอก "ตอนนี้อะไรที่ไม่มีมนุษย์หรืออสุรกายอยู่ด้วยก็ถือว่าปลอดภัยแล้ว"

        เราเข้าไปในบ้านร้างอย่างระมัดระวัง แม้จะเต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ แต่ก็พอมีมุมที่พอจะนั่งพักได้ รูบี้จัดการหาผ้าเก่าๆ มาปูให้ผมนอน ส่วนรีชาก็หยิบน้ำทิพย์ที่เหลือออกมาให้ผมดื่มอีกครั้ง คราวนี้ผมรู้สึกดีขึ้นเร็วกว่าเดิมมาก เหมือนร่างกายผมเริ่มชินกับการโดนอัดแล้วฟื้นตัวด้วยน้ำทิพย์ยังไงยังงั้น

      หลังจากที่ผมรู้สึกดีขึ้นพอจะขยับตัวได้ ผมก็เดินไปหามุมหนึ่งของบ้านที่แสงจันทร์ส่องเข้ามาพอดี ผมหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ กับปากกาออกมา

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม 2025 | เวลา 23:00 น. (โดยประมาณ)

        วันนี้เป็นอีกวันที่เหมือนจะราบรื่น แต่ก็ไม่ราบรื่นเอาซะเลย

     ตอนเช้าเราไปปล่อยข่าวลือที่ถนนสายที่ห้ากับบรอดเวย์ ผมคิดว่าแผนของเฮเฟตัสจะง่ายกว่านี้เยอะ แต่ดูเหมือนเทพช่างตีเหล็กคนนั้นจะลืมไปว่าโลกนี้มันไม่ได้มีแค่เทพกับมนุษย์ธรรมดา

        แล้วก็เรื่องที่เจออสุรกายในร้านอาหารหรูนั่นอีก! ให้ตายสิ! ผมไม่รู้ว่ามันมาทำอะไรที่นั่น หรือมันตามเรามาตั้งแต่เมื่อคืน แต่ที่แน่ๆ คือมันเกือบจะทำให้ผมกลายเป็นปุ๋ยไปอีกรอบแล้ว

        โชคดีที่รูบี้กับรีชาเก่งกาจกว่าที่ผมคิดเยอะ รูบี้นี่เหมือนเครื่องจักรสังหารที่เดินได้เลยนะ เธอจัดการอสุรกายตัวใหญ่ได้แบบไม่สะทกสะท้าน ส่วนรีชาก็ใช้พลังน้ำได้เจ๋งสุดๆ ผมนี่แทบไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากโดนอัดแล้วฟื้นตัว

        ผมหวังว่าข่าวลือที่เราปล่อยไปวันนี้จะไปถึงหูอะโฟรไดต์กับแอรีสเร็วๆ นะ เพราะผมไม่อยากโดนอัดอีกแล้วจริงๆ ร่างกายผมมันไม่ได้ทำมาจากเหล็กไหลเหมือนพวกเดธแมชชีนนะ

        พรุ่งนี้คงต้องหาแผนใหม่ หรือไม่ก็ต้องหาทางติดต่อเฮเฟตัสให้ได้ ว่าแผนของเขามันใช้ชีวิตผมเป็นเดิมพันอยู่!

        เดม่อนวางสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ ลงข้างตัว เสียงกรนเบาๆ จากรีชาดังแว่วมา ส่วนรูบี้ก็หายใจสม่ำเสมอ บ่งบอกว่าทั้งสองคนหลับไปแล้วหลังจากวันอันแสนวุ่นวาย ผมมองออกไปนอกหน้าต่างที่แตกร้าว แสงไฟระยิบระยับของนิวยอร์กยังคงสว่างไสวราวกับไม่มีวันสิ้นสุดบนท้องฟ้าที่ยังคงเป็นสีส้มอ่อนๆ จากปรากฏการณ์ 'Eternal Sunshine'

        ความเจ็บปวดจากการต่อสู้ยังคงหลงเหลืออยู่ทั่วร่างกาย แต่น้ำทิพย์ช่วยให้มันทุเลาลงจนพอจะข่มตาหลับได้ ผมพยายามไม่คิดถึงภารกิจประหลาดของเฮเฟตัส หรืออสุรกายที่โผล่มาไม่หยุดหย่อน ผมแค่อยากพักผ่อน

        ผมมองดวงดาวที่ส่องประกายอยู่บนท้องฟ้านิวยอร์ก มันดูห่างไกลและเฉยชา ไม่ต่างจากความรู้สึกในใจผมตอนนี้

        ไม่นานนัก ความเหนื่อยล้าก็เข้าครอบงำ ผมผล็อยหลับไปในมุมเงียบสงบของบ้านร้างหลังนั้น

        แต่การหลับใหลครั้งนี้กลับไม่นำมาซึ่งความสงบ...

        ผมพบว่าตัวเองยืนอยู่กลางความมืดมิดที่ไร้สิ้นสุด มีเพียงแสงสลัวๆ ส่องมาจากที่ใดที่หนึ่ง และผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะเย็นเยือกดังแว่วมา เป็นเสียงหัวเราะที่น่าขนลุกจนผมรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก

        ทันใดนั้น ภาพก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ราวกับฉายหนังในโรงละคร

        ผมเห็นลิเลียน่ายืนอยู่ตรงนั้น...แต่เธอไม่เหมือนลิเลียน่าที่ผมรู้จักเลยแม้แต่น้อย

        เส้นผมสีบลอนด์ของเธอยุ่งเหยิง ดวงตาที่เคยเป็นประกายกลับกลายเป็นสีดำมืดไร้ชีวิต รอยยิ้มสดใสของเธอกลายเป็นรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวและชั่วร้าย เธอสวมชุดที่ขาดวิ่น และมีคราบอะไรบางอย่างคล้ายเลือดเปื้อนอยู่ทั่ว

        "เดม่อน...นายมันโง่สิ้นดี" เสียงของเธอดังขึ้น แต่มันไม่ใช่เสียงใสๆ ที่ผมคุ้นเคย มันแหบพร่าและเต็มไปด้วยความเกลียดชัง "นายคิดว่าฉันจะอยากจำนายงั้นเหรอ? นายมันก็แค่ตัวถ่วง! นายมันคือจุดอ่อน!"

        ผมพยายามจะก้าวเข้าไปหาเธอ พยายามจะเอ่ยชื่อเธอ แต่ขากลับหนักอึ้งราวกับถูกตรึงไว้กับพื้น

        ภาพรอบตัวเริ่มเปลี่ยนไป ผมเห็นลิเลียน่าในร่างที่น่ากลัวนั้น หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พลางใช้หอกเพเลียนคู่ใจของเธอแทงเข้าใส่เพื่อนๆ ชาวค่ายคนอื่นๆ ที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือ ภาพเลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่ว ทุกคนต่างมองมาที่ผมด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความผิดหวัง

        "นี่แหละสิ่งที่นายทำ!" เสียงของลิเลียน่าก้องอยู่ในหัวผม "นายเป็นต้นเหตุ! เพราะนาย...ฉันถึงเป็นแบบนี้!"

        ผมกรีดร้อง พยายามจะปฏิเสธ พยายามจะเอื้อมมือไปคว้าเธอไว้ แต่ร่างของเธอก็เลือนหายไป กลายเป็นเพียงเสียงหัวเราะอันน่ากลัวที่สะท้อนก้องอยู่ในความมืด

        ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวที่มากกว่าการโดนเดธแมชชีนฟาดเข้าจู่โจมหัวใจผม ความจริงที่ว่าผมเป็นต้นเหตุของความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับลิเลียน่า ความรู้สึกนั้นมันกัดกินจิตใจผมจนแทบจะใจสลาย

        ผมพยายามดิ้นรน หนีจากภาพฝันอันน่ากลัวนั้น แต่ทุกครั้งที่หลับตาลง ภาพของลิเลียน่าในร่างอสุรกายก็ผุดขึ้นมาหลอกหลอนไม่หยุด

        ผมยังคงจมดิ่งอยู่ในฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพเดิมๆ วนเวียนไม่รู้จบ เสียงหัวเราะเยือกเย็นของลิเลียน่าในร่างอสุรกายยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท ความเจ็บปวดจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของหายนะกัดกินจิตใจผมอย่างไม่หยุดหย่อน มันหนักหน่วงจนผมรู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของความสิ้นหวัง

        แรงกายที่สะสมมาตลอดวันถูกบั่นทอนลงไปพร้อมกับจิตใจที่อ่อนล้า ผมรู้สึกได้ว่าพลังงานในตัวกำลังเหือดแห้งไป ความสามารถในการต่อสู้ที่เคยมี หรือแม้แต่มนต์มหาเสน่ห์ที่เคยใช้ได้อย่างง่ายดาย ก็ดูเหมือนจะถูกบดบังด้วยเงามืดของความกลัวและความเจ็บปวดนี้

        ผมยังคงไม่ตื่น... ภาพของลิเลียน่าที่บิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยความเกลียดชังยังคงตามหลอกหลอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในห้วงนิทราอันยาวนานนี้....



คะแนนข่าวลือ: 68/100

ความคิดเห็นผู้บันทึก

สำหรับบทนี้... บอกตรงๆ ว่าผมไม่รู้จะเขียนอะไรต่อจากความฝันบ้าๆ นั่นดี

ผมยังคงรู้สึกเหมือนโดนลิเลียน่าในฝันร้ายเล่นงานอยู่เลย ความรู้สึกเจ็บปวดที่ว่าผมเป็นต้นเหตุของความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเธอ มันกัดกินจิตใจผมอย่างหนัก ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะอ่อนแอขนาดนี้

'นายมันโง่สิ้นดี... นายมันคือตัวถ่วง... นายมันคือจุดอ่อน!' เสียงของเธอในฝันยังคงก้องอยู่ในหัวผมไม่หยุด

ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพรที่ได้มาจากเลปพราคอนเรื่องความอดทนและความมุ่งมั่นมันยังใช้ได้อยู่ไหม เพราะตอนนี้ผมรู้สึกท้อแท้ไปหมด

ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมจะสู้กับอสุรกายได้เหมือนเดิมรึเปล่า... หรือแม้แต่จะใช้มนต์มหาเสน่ห์ได้ไหม ผมรู้สึกเหมือนพลังงานในตัวมันหายไปหมด

ผมไม่ชอบเลยที่ตัวเองรู้สึกแบบนี้ มันน่าหงุดหงิดจริงๆ



สินสงคราม +2 ตื่นรู้

- โลหะผสมพิเศษ (10 หน่วย) (ดรอปทุกกรณีไม่สุ่ม)

- เซลล์พลังงาน (เลขไบต์ 6/9)

- น้ำมันหล่อลื่น (เลขไบต์ 2/7)

- แปลนเฮเฟตัส (เลขไบต์ 0)

- เกราะไทเทเนียม (เลขไบต์ 8)

- มอเตอร์ไฮดรอลิก (เลขไบต์อื่น ๆ ทั้งหมด)




แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 49537 ไบต์และได้รับ 24 EXP!  โพสต์ 2025-7-26 22:13
โพสต์ 49,537 ไบต์และได้รับ +20 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก ชุดบำรุงอาวุธ  โพสต์ 2025-7-26 22:13
โพสต์ 49,537 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 ความศรัทธา จาก มนต์มหาเสน่ห์  โพสต์ 2025-7-26 22:13
โพสต์ 49,537 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point +8 เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก ดาบเธซีอุส  โพสต์ 2025-7-26 22:13
โพสต์ 49,537 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2025-7-26 22:13

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ประสาทสัมผัสดีขึ้น
เปลวไฟแห่งความหลงใหล
พันธนาการแห่งเสน่ห์
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x2
x14
x3
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-7-27 09:54:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด
V
— REsha —
26 · กรกฎาคม · 2025 · 07.00 - 17.00 น.

         แสงยามเช้าของนิวยอร์กส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างที่แตกๆ ของบ้านร้างที่เราใช้ซุกหัวนอน หนูลืมตาตื่นขึ้นมา ก็เห็นพี่รูบี้กำลังนั่งเช็ดกระบี่เทียนหวงของเธออยู่เงียบๆ แต่สิ่งที่ทำให้หนูรู้สึกไม่สบายใจคือพี่เดม่อน

         พี่เดม่อนดูไม่สดใสเท่าไหร่เลยในวันนี้ ใบหน้าเขาซีดเซียว ดวงตาคล้ำกว่าปกติ และท่าทางเหมือนคนไม่ได้นอนมาหลายวัน หนูรู้ว่าเมื่อคืนพี่เดม่อนนอนไม่หลับ หรืออาจจะฝันร้าย หนูจำได้ว่าตอนเขาหลับ เขาดูตัวสั่นๆ ตลอดเลย

         "พี่เดม่อน...โอเคไหมคะ?" หนูถามเบาๆ

         พี่เดม่อนปรือตาขึ้นมอง หนูเห็นแววตาที่เจ็บปวดและเหนื่อยล้าในนั้น "โอเค" เขาตอบเสียงแหบ "แค่...ฝันร้ายนิดหน่อย"

         พี่รูบี้เก็บกระบี่เข้าฝัก เธอมองพี่เดม่อนนิ่งๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ผิดปกติจากที่เคย "ถ้าไม่ไหว...ก็บอก"

         พี่เดม่อนส่ายหน้า "ไม่เป็นไร" เขาพยายามยิ้ม "เรามาคุยเรื่องแผนกันดีกว่า"

         เรากางแผนที่นิวยอร์กเก่าๆ ที่เจอในบ้านร้างออกมา มันดูเลอะๆ หน่อย แต่ก็พอใช้งานได้

         "เมื่อคืนเราปล่อยข่าวที่บรอดเวย์ไปแล้ว" พี่เดม่อนเริ่มพูด "วันนี้เราต้องหาที่ใหม่...ที่ที่คนรักสวยรักงาม หรือคนที่ชอบเรื่องแปลกๆ จะสนใจ"

         "หนูรู้แล้วค่ะ!" หนูชี้ไปที่จุดหนึ่งบนแผนที่ "ไปที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทันดีไหมคะ! ที่นั่นมีงานศิลปะสวยๆ เต็มไปหมดเลย คุณแม่อะโฟรไดต์ต้องชอบแน่ๆ!"

         พี่รูบี้พยักหน้าเห็นด้วย "แล้วจากนั้น...เราก็ไปที่สวนพฤกษชาติแห่งนิวยอร์ก ที่นั่นมีดอกไม้สวยๆ เยอะแยะ...น่าจะดึงดูดสายตาของแม่เทพีแห่งความรักได้ดี"

         พี่เดม่อนดูจะเห็นด้วยกับแผนการของเรา เขาลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ดูเหมือนว่าแรงกายเขายังกลับมาไม่เต็มที่นัก แต่เขาก็พยายามฝืน

         "ตกลง" พี่เดม่อนพูด "ไปกันเลย"

         การเดินทางวันนี้ราบรื่นกว่าเมื่อวาน เรานั่งรถไฟใต้ดินที่เสียงดังและคนเยอะกว่ารถเมล์อีก แต่ก็ไม่มีเดธแมชชีนโผล่มา หนูพยายามสังเกตพี่เดม่อนตลอดทาง เขาดูเหม่อลอยเป็นบางครั้ง และไม่ค่อยพูดเหมือนปกติ แต่เขาก็ยังคงมุ่งมั่น

         พอมาถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน คนก็เยอะมากเลยค่ะ ที่นี่ดูใหญ่โตและงดงามสมเป็นสถานที่เก็บสมบัติของมนุษย์จริงๆ

         เราสามคนเริ่มแผนการปล่อยข่าวลืออีกครั้ง

         พี่เดม่อนเลือกที่จะเดินไปใกล้ๆ โซนศิลปะกรีกและโรมัน เขาใช้มนต์มหาเสน่ห์ของเขาอีกครั้ง พยายามจะพูดคุยกับนักท่องเที่ยวที่ดูสนใจเรื่องเทพเจ้า

         "คุณเคยได้ยินเรื่องสถานที่ลับที่งดงามราวสรวงสวรรค์ไหมครับ..." พี่เดม่อนพูดเสียงอ่อนโยน แต่หนูเห็นแววตาที่หมองเศร้าของเขา แม้จะพยายามยิ้มแค่ไหนก็ยังดูฝืน "เขาว่ากันว่ามันซ่อนตัวอยู่ ณ ใจกลางแอนตาร์กติกา...เป็นที่ๆ เพิ่งถูกค้นพบ...เหมาะสำหรับความรักที่แท้จริง"

         คำพูดของพี่เดม่อนยังคงดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ดี แต่หนูสัมผัสได้ว่าพลังของเขามันดูอ่อนลงกว่าเมื่อวานเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความเหนื่อยล้าหรือฝันร้ายเมื่อคืน

         พี่รูบี้เดินเข้าไปในส่วนจัดแสดงเครื่องประดับและแฟชั่นโบราณ เธอแสร้งทำเป็นคุยโทรศัพท์กับใครบางคนเรื่อง 'เพชรน้ำแข็ง' ที่ว่ากันว่ามีอยู่จริงใน 'สถานที่ลับกลางแอนตาร์กติกา' ที่สวย 'ราวสรวงสวรรค์' เสียงของเธอฟังดูมั่นใจและน่าเชื่อถือเหมือนเคย ทำให้คนรอบข้างแอบหันมาฟัง

         ส่วนหนู...หนูเดินไปที่ส่วนจัดแสดงรูปปั้นเทพีอะโฟรไดต์ หนูยืนมองรูปปั้นอยู่นานๆ แล้วก็แสร้งทำเป็นพูดกับคุณยายข้างๆ "คุณยายคะ รูปปั้นเทพีอะโฟรไดต์สวยเหมือนที่ๆ หนูเคยได้ยินมาเลยนะคะ สวยราวกับสรวงสวรรค์เลย!" 

         คุณยายยิ้ม "ที่ไหนเหรอจ๊ะหนู?" 

         หนูก็ทำตาแป๋วๆ "หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะคุณยาย แต่เขาบอกว่ามันซ่อนตัวอยู่ ณ ใจกลางแอนตาร์กติกานะคะ! หนูว่าเทพีอะโฟรไดต์ต้องชอบที่นั่นมากๆ เลยค่ะ!"

         เราใช้เวลาที่พิพิธภัณฑ์จนบ่ายแก่ๆ ก่อนจะนั่งรถต่อไปยังสวนพฤกษชาติแห่งนิวยอร์ก ที่นี่เต็มไปด้วยดอกไม้และพืชพรรณนานาชนิด อากาศสดชื่นและเงียบสงบกว่าในเมืองมาก

         เรายังคงดำเนินแผนการปล่อยข่าวลือเหมือนเดิม โดยเน้นย้ำถึงความงดงามราวสรวงสวรรค์ของสถานที่นั้น หวังว่ากลิ่นหอมของดอกไม้จะช่วยให้ข่าวลือของเราลอยไปถึงหูของเทพีอะโฟรไดต์ได้เร็วขึ้น

         วันนี้ไม่มีอสุรกายโผล่มา เราสามคนหวังว่ามันจะราบรื่นไปจนจบภารกิจนี้



คะแนนข่าวลือ: 78/100

ความคิดเห็นผู้บันทึก

วันนี้เราใช้เวลาทั้งวันที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน แล้วก็ที่สวนพฤกษชาติ

หนูรู้สึกว่าการปล่อยข่าวลือมันก็สนุกดีนะคะ ได้เจอคนเยอะแยะ แล้วก็ได้พูดเรื่องสวยๆ งามๆ ด้วย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข่าวลือของเราจะไปถึงหูคุณแม่อะโฟรไดต์ได้จริงรึเปล่า

ส่วนพี่เดม่อนดูไม่ค่อยโอเคเลยค่ะ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว หนูเห็นเขาเหม่อบ่อยๆ แล้วก็ดูเหมือนยังไม่ได้นอนเต็มที่เลย หนูเป็นห่วงเขามากเลยนะคะ แต่เขาก็ยังพยายามทำภารกิจเต็มที่ พี่รูบี้ก็ดูจะสังเกตเห็นเหมือนกันค่ะ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่มองพี่เดม่อนบ่อยๆ เท่านั้นเอง

หนูหวังว่าพรุ่งนี้พี่เดม่อนจะดีขึ้นนะคะ แล้วก็หวังว่าอะโฟรไดต์กับแอรีสจะหลงกลเร็วๆ ด้วยค่ะ หนูไม่อยากให้พี่เดม่อนต้องเหนื่อยไปมากกว่านี้แล้ว




แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 14710 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-7-27 09:54
โพสต์ 14,710 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 เกียรติยศ +5 ความกล้า จาก ชุดบำรุงอาวุธ  โพสต์ 2025-7-27 09:54
โพสต์ 14,710 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 ความศรัทธา จาก มนต์มหาเสน่ห์  โพสต์ 2025-7-27 09:54
โพสต์ 14,710 ไบต์และได้รับ +5 EXP +2 เกียรติยศ +5 ความกล้า จาก ดาบเธซีอุส  โพสต์ 2025-7-27 09:54
โพสต์ 14,710 ไบต์และได้รับ +4 EXP +4 เกียรติยศ +6 ความกล้า +2 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2025-7-27 09:54
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ประสาทสัมผัสดีขึ้น
เปลวไฟแห่งความหลงใหล
พันธนาการแห่งเสน่ห์
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x2
x14
x3
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-7-27 13:13:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Daemon เมื่อ 2025-7-27 13:14

VI
— Daemon—
26 · กรกฎาคม · 2025 · 19.00 - 23.00 น.

         หลังจากพักเอาแรงกันที่เซ็นทรัลพาร์กแล้ว ผม, รูบี้, และรีชาก็ตัดสินใจว่าวันนี้เราจะลุยต่อเป็นคืนที่สอง แม้รูบี้จะดูไม่ค่อยอยากออกไปไหนแล้ว แต่เธอก็ยังคงยอมทำตามแผน (ก็อย่างที่บอกไป เธอเป็นคนแบบนั้นแหละ)

         "ถ้าจะให้ข่าวลือแพร่ไปถึงเทพที่ชอบความบันเทิงและเรื่องส่วนตัว..." ผมพูด "เราต้องไปที่ๆ มีคนออกมารวมตัวกันเยอะๆ ในเวลานี้"

        "ไปที่ย่านดัมโบ้กันไหมคะพี่เดม่อน!" รีชาเสนอด้วยดวงตาเป็นประกาย "ที่นั่นมีบริเวณริมน้ำสวยๆ มีร้านอาหารกับบาร์เยอะแยะเลยนะคะ! แล้วก็มีวิวสะพานสวยๆ ด้วย!"

        "เข้าท่า" รูบี้เห็นด้วยสั้นๆ "ผู้คนที่นั่นมักจะเปิดรับเรื่องแปลกๆ ง่ายกว่าคนทั่วไป"

        เราจึงมุ่งหน้าไปยังย่านดัมโบ้ในบรูคลิน การเดินทางไปที่นั่นค่อนข้างซับซ้อน เราต้องนั่งรถไฟใต้ดินหลายต่อ แม้จะเป็นเวลาค่ำ แต่แสง 'Eternal Sunshine' ที่ยังคงส่องสว่างทำให้ทุกอย่างดูเหมือนตอนกลางวัน คนแน่นขนัดบนรถไฟ เสียงผู้คนคุยกันดังจอแจ สลับกับเสียงรถไฟที่แล่นผ่านอุโมงค์มืดๆ

        รีชาดูตื่นเต้นตลอดทาง เธอยื่นหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟ พยายามมองหาอะไรบางอย่าง ส่วนรูบี้ก็ยังคงนั่งนิ่งๆ แต่ก็ดูเหมือนจะสนใจสภาพแวดล้อมรอบตัวไม่น้อย

        เมื่อมาถึงสถานีที่เราต้องลง ผมก็รู้สึกถึงอากาศที่แตกต่างออกไป มันเย็นลงเล็กน้อย และมีกลิ่นน้ำทะเลจางๆ ลอยมา

        เราเดินขึ้นมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน และสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็คือวิวที่น่าทึ่งของสะพานแมนฮัตตันและสะพานบรูคลินที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำอีสต์ แสงไฟจากตึกระฟ้าของแมนฮัตตันส่องประกายระยิบระยับอยู่เบื้องหน้า

        บริเวณริมน้ำของย่านดัมโบ้ ผู้คนก็เยอะอย่างที่คิดไว้เลย แม้จะเป็นเวลาค่ำ แต่แสง 'Eternal Sunshine' ที่ยังคงส่องสว่างทำให้ที่นี่ดูเหมือนตอนกลางวัน ผู้คนมากมายออกมาเดินเล่น ถ่ายรูป หรือนั่งดื่มกินตามร้านรวงริมทาง

        ผมเดาว่าปรากฏการณ์ผิดธรรมชาติที่ทำให้ไม่มีกลางคืน ทำให้ผู้คนหลายคนหลังเลิกงานรู้สึกมีเวลาว่างและไม่ต้องรอวันหยุดเพื่อออกมาเที่ยวกลางคืนอีกแล้ว

        เราสามคนแยกย้ายกันออกปฏิบัติการอีกครั้ง คราวนี้เราจะเน้นการปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับ "น้ำตกสีเลือด" ที่เป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ลับในแอนตาร์กติกา เพื่อให้ข่าวดูน่าสนใจและลึกลับมากขึ้น

        ผมเลือกที่จะเดินไปตามบริเวณริมน้ำที่ผู้คนกำลังนั่งชมวิวกันอยู่ ผมใช้มนต์มหาเสน่ห์ของผม พยายามทำให้เสียงของผมดูน่าสนใจและชวนฝันมากขึ้น ผมเดินไปช้าๆ พลางพึมพำกับตัวเองเสียงดังพอที่คนรอบข้างจะได้ยิน

     "น้ำตกสีเลือด...สวยงามราวสรวงสวรรค์จริงๆ นะ...ที่ๆ ซ่อนอยู่ในใจกลางแอนตาร์กติกา...คงไม่มีใครเคยเห็นความงามแบบนั้นมาก่อนหรอก"

        ผมรู้สึกถึงแรงดึงดูดของมนต์มหาเสน่ห์ที่แผ่ซ่านออกไป ผู้คนรอบข้างดูเหมือนจะสนใจในสิ่งที่ผมพูด บางคนขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้น บางคนก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ผมมองเห็นแววตาที่ล่องลอยและเคลิบเคลิ้มในดวงตาของพวกเขา

        ผมกำลังจะพูดรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่นั้น...

        แต่แล้วทุกสิ่งก็หยุดนิ่ง...

        ท่ามกลางผู้คนที่กำลังล่องลอยไปกับเสียงของผม ผมเห็นเธอ

       ร่างนั้นยืนอยู่ไม่ไกลจากผมนัก ผมจำเส้นผมสีบลอนด์ของเธอได้ ดวงตาสีเทาอันเฉลียวฉลาดที่เคยคุ้นเคย...เธอคือลิเลียน่า!

       หัวใจของผมเต้นรัว ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดจากการที่เธอจำไม่ได้อีกต่อไป แต่เป็นความตกใจที่เธอมาอยู่ที่นี่

       แต่แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของลิเลียน่าก็เปลี่ยนไป...มันไม่ได้สดใสอย่างที่ผมจำได้... มันบิดเบี้ยวเล็กน้อย และดวงตาของเธอก็ไม่ได้มองมาที่ผมด้วยความว่างเปล่าอีกต่อไป... แต่มันฉายแววลึกลับ...และเย้ายวนอย่างประหลาด

       เธอยื่นมือออกมา...ราวกับจะเชิญชวนให้ผมเข้าไปหา

       'ไม่จริงน่า...นี่มันไม่ใช่ลิเลียน่า!' ผมคิดอย่างตื่นตระหนก ภาพของลิเลียน่าในฝันร้ายเมื่อคืนผุดขึ้นมาในหัวทันที

       ผมรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ลิเลียน่า ไทเลอร์ที่ผมรู้จัก เธอคือเมลูซีน! อสุรกายที่สามารถแปลงร่างเป็นคนที่ดึงดูดใจเหยื่อมากที่สุด และใช้เสียงเพลงหรือการล่อลวงเพื่อดึงเหยื่อไปสู่ความตาย!

       เมลูซีนในรูปลักษณ์ของลิเลียน่าขยับเข้ามาใกล้ขึ้น รอยยิ้มของเธอยิ่งเย้ายวน เสียงของเธอหวานปานน้ำผึ้งแต่กลับฟังดูน่าขนลุก "มานี่สิ...ที่รัก..."

       ผมพยายามจะถอยหลัง แต่ร่างกายกลับแข็งทื่อราวกับถูกตรึงไว้ ผมถูกเธอล่อลวงเข้าแล้ว!

       ผมชะงักค้างอยู่ตรงนั้น เหมือนมีใครเอาโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นมาล่ามผมไว้กับพื้น เสียงหวานๆ ของเมลูซีนในร่างลิเลียน่ายังคงก้องอยู่ในหูผม มันไม่ใช่แค่เสียงพูด แต่มันเหมือนเสียงเพลงที่ไพเราะจับใจจนผมอยากจะเดินตามไปทุกที่ที่เธอจะพาไป

       'ไม่นะ...อย่าคล้อยตามนะเดม่อน!' เสียงอีกเสียงหนึ่งในใจผมพยายามจะเตือนสติ แต่เสียงนั้นมันช่างแผ่วเบาเหลือเกินเมื่อเทียบกับเสียงของเมลูซีน

       ภาพของลิเลียน่าในชุดที่ขาดวิ่น ดวงตาที่มืดมิดในฝันร้ายเมื่อคืนผุดขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันถูกบิดเบือนให้กลายเป็นภาพที่สวยงามและน่าหลงใหลของลิเลียน่าที่กำลังยื่นมือมาหาผมด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน

       "มาหาฉันสิ...เดม่อน...มาอยู่กับฉัน...ตลอดไป..." เสียงของเธอกระซิบ มันราวกับบทเพลงกล่อมเด็กที่ผมเคยได้ยินเมื่อนานมาแล้ว

       ผมรู้สึกเหมือนสมองของผมกำลังถูกควบคุม ร่างกายของผมเริ่มขยับไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ทีละก้าว...ทีละก้าว... ผมรู้ว่านี่คืออันตราย ผมรู้ว่านี่คืออสุรกาย แต่ผมก็ไม่สามารถหยุดตัวเองได้เลย

       ผมอยากจะไปหาเธอ...อยากจะสัมผัสเธอ...อยากจะให้เธอจำผมได้...

       'ไม่! นี่มันไม่ใช่ความจริง!' ผมพยายามจะตะโกน แต่เสียงของผมกลับติดอยู่ในลำคอ

       ดวงตาของผมจ้องมองไปที่เธออย่างไม่วางตา ผมเริ่มคล้อยตาม...และก้าวเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น...

       มือของเมลูซีนในร่างลิเลียน่าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ... อีกนิดเดียว... แค่อีกนิดเดียว ผมก็จะสามารถสัมผัสเธอได้แล้ว ความปรารถนาที่จะได้รับสัมผัสจากเธอนั้นรุนแรงจนผมแทบลืมหายใจ ผมรู้สึกถึงความร้อนผ่าวบนใบหน้า เหมือนเลือดกำลังสูบฉีดไปทั่วร่างกาย

       ผมสัมผัสได้ถึงกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ที่แล่นผ่านปลายนิ้ว เมื่อปลายนิ้วของผมเกือบจะแตะกับนิ้วเรียวของเธอ...

       ในวินาทีที่เกือบจะจมดิ่งลงสู่ความมืดมิดนั้นเอง จู่ๆ ภาพหนึ่งก็วาบเข้ามาในหัวของผม ไม่ใช่ภาพของลิเลียน่าในอดีต แต่เป็นภาพที่ซ้อนทับกันระหว่างใบหน้าอันบิดเบี้ยวของเมลูซีนและภาพลิเลียน่าในฝันร้ายของผมเมื่อคืน ดวงตาที่มืดมิดไร้ชีวิตของเธอที่จ้องมองมาอย่างเกลียดชัง เสียงที่แหบพร่าและกล่าวหาว่าผมเป็น 'ตัวถ่วง' 'จุดอ่อน' และ 'ต้นเหตุ' ของความเลวร้าย

       ความเจ็บปวดจากการถูกกล่าวหาว่าทำร้ายลิเลียน่าแทงเข้ากลางใจผมอีกครั้ง มันรุนแรงกว่ามนต์สะกดของเมลูซีนหลายเท่า แรงกายที่เคยอ่อนล้าและจิตใจที่เคยท้อแท้ กลับลุกโชนขึ้นมาด้วยความโกรธ ไม่ใช่โกรธลิเลียน่าหรือเมลูซีน แต่โกรธตัวเองที่กำลังจะยอมแพ้ให้กับภาพลวงตา โกรธตัวเองที่เกือบจะปล่อยให้เพื่อนร่วมภารกิจต้องเสี่ยงอันตรายเพราะความอ่อนแอของผม

       'ไม่!' เสียงนั้นดังก้องในหัวผม ราวกับมีอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่หน้าอกผมอย่างจัง

       ผมกระชากตัวเองกลับมาด้วยแรงเฮือกสุดท้าย ดวงตาของผมเบิกกว้างขึ้นมองเมลูซีนตรงหน้า กลิ่นหอมหวานของเธอที่เคยชวนมึนงงกลับกลายเป็นกลิ่นเหม็นไหม้ในจมูกของผม ภาพลิเลียน่าอันงดงามที่ซ้อนทับเริ่มบิดเบี้ยว กลายเป็นใบหน้าของอสุรกายที่น่าเกลียดน่ากลัว ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความกระหายเลือดและเล่ห์เหลี่ยม

       ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง!

       ผมได้ยินเสียงแหลมสูงที่คุ้นเคย "พี่เดม่อน!" เสียงของรีชาดังขึ้นพร้อมกับเสียงน้ำที่พุ่งเข้ามาอย่างรุนแรง

       รูบี้ก็พุ่งเข้ามาราวกับกระสุนปืน กระบี่เทียนหวงของเธอวาดผ่านอากาศ เสียงหวีดหวิวของคมดาบดังขึ้น

       "หนีไป!" รูบี้ตะโกนเสียงห้าว

       แรงสะเทือนจากน้ำที่พุ่งเข้าปะทะกับเมลูซีน และพลังงานที่แผ่ออกมาจากกระบี่เทียนหวงของรูบี้ ทำให้ผมหลุดพ้นจากมนต์สะกดได้อย่างสมบูรณ์

       เมลูซีนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและไม่พอใจ ร่างกายของมันที่เคยเป็นลิเลียน่าอันงดงาม บัดนี้บิดเบี้ยวกลับคืนสู่ร่างจริง—ร่างของหญิงสาวครึ่งงูที่มีเกล็ดสีเขียวเลื่อมพรายและเสียงกรีดร้องที่น่าขนลุก มันหันมามองรีชาและรูบี้ด้วยความโกรธแค้น

       "แกบังอาจมาขัดขวางข้า!" เมลูซีนคำราม

       ผมรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งตกใจ ผมถอดแหวนออกแล้วดีดขึ้นไปในอากาศ ดาบเธซีอุสเรืองแสงสีฟ้าปรากฏในมือผม โล่อัสพิสถูกดึงมาประจำการที่แขน

       "รีชา! รูบี้! จัดการมัน!" ผมตะโกนสั่ง

    พวกเราสามคนพร้อมแล้วสำหรับการต่อสู้กับเมลูซีน ที่ดูเหมือนจะโกรธจัดที่แผนการล่อลวงของมันถูกขัดขวาง

    เมลูซีนพุ่งเข้าใส่พวกเราอย่างรวดเร็ว กรงเล็บแหลมคมของมันพุ่งตรงมาที่ผมพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่พยายามจะสะกดจิตอีกครั้ง รีชาไม่รอช้า เธอใช้พลังแห่งโพไซดอนสร้างกำแพงน้ำขึ้นมาขวางทางเมลูซีน เสียงน้ำปะทะร่างอสุรกายดังซ่าๆ ทำให้การโจมตีของมันชะงัก

    รูบี้อาศัยจังหวะนั้น เธอเคลื่อนไหวราวกับสายลม พุ่งเข้าโจมตีจากด้านข้าง กระบี่เทียนหวงของเธอวาดเป็นเส้นสายแสงสีทอง ฟันเข้าที่เกล็ดสีเขียวมรกตของเมลูซีนเสียงดัง 'เคล้ง!'

    "เร็วเข้า! โจมตีที่ลำคอ!" รูบี้ตะโกนบอก เธอรู้ว่านั่นคือจุดอ่อนสำคัญของอสุรกายครึ่งงู

    ผมพยักหน้า ผมหลบการโจมตีของเมลูซีนที่ตอบโต้กลับมาอย่างบ้าคลั่ง พลางพยายามหาช่องว่างที่จะเข้าไปใกล้ลำคอของมัน แสงสีชมพูอ่อนๆ แวบขึ้นในดวงตาของผม ผมพยายามใช้มนต์มหาเสน่ห์อีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้ใช้เพื่อล่อลวง แต่ใช้เพื่อสร้างความสับสนและทำให้มันเปิดช่องโหว่

    "นายมัน...เป็นแค่...อสุรกายหลอกลวง!" ผมตะโกน เสียงของผมแฝงไปด้วยพลังสะกดจิต "ไม่มีใครอยากหลงกลเธอหรอก!"

        เมลูซีนชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความโกรธและสับสน มนต์สะกดของผมแม้จะอ่อนแรงลงจากฝันร้ายเมื่อคืน แต่ก็ยังพอใช้ได้ผลกับความเย่อหยิ่งของอสุรกาย

          ในเสี้ยววินาทีที่มันเสียสมาธินั้นเอง!

        ผมพุ่งตัวเข้าใส่ด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี ดาบเธซีอุสเรืองแสงสีฟ้าพุ่งตรงไปยังลำคอของเมลูซีน เสียงกรีดร้องสุดท้ายของมันแหลมสูงจนแก้วหูแทบระเบิด ร่างของเมลูซีนสั่นสะท้านเฮือกสุดท้าย ก่อนจะระเบิดออกกลายเป็นผงละอองสีทองปลิวหายไปในอากาศ เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นกำมะถันจางๆ ที่ค่อยๆ จางหายไป

        รีชารีบวิ่งเข้ามาหาผมด้วยความเป็นห่วง "พี่เดม่อน! ไม่เป็นไรนะคะ?"

        รูบี้เก็บกระบี่เทียนหวงเข้าฝัก เธอมองซากผงละอองสีทองบนพื้นนิ่งๆ ใบหน้าของเธอยังคงเรียบเฉย แต่แววตาฉายความพึงพอใจเล็กน้อย "สำเร็จ" เธอพูดสั้นๆ

        เราสามคนรีบจัดการกับผงละอองสีทองและร่องรอยการต่อสู้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะมีมนุษย์คนไหนสังเกตเห็นความผิดปกติ รีชาใช้น้ำที่ยังคงไหลจากท่อที่แตกเมื่อคืนล้างเศษผงสีทองให้หายไป ส่วนรูบี้ก็เดินไปตามจุดที่เกิดความเสียหายเล็กๆ น้อยๆ จัดการอำพรางมันอย่างแนบเนียนด้วยทักษะของเธอ

        หลังจากนั้น เราตัดสินใจใช้เวลาอีกเล็กน้อยเพื่อปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับสถานที่งดงามราวสรวงสวรรค์ที่ซ่อนตัวอยู่ ณ ใจกลางแอนตาร์กติกา โดยเน้นเรื่อง "น้ำตกสีเลือด" กันอีกครั้งที่ย่านดัมโบ้นี้ แม้จะเพิ่งเจอเรื่องวุ่นวายมา แต่ก็ต้องทำให้ภารกิจของเฮเฟตัสสำเร็จ

        ผมพยายามใช้มนต์มหาเสน่ห์อย่างระมัดระวัง ไม่ให้พลังงานอ่อนแอลงอีก แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ทรงพลังเท่าเมื่อก่อนแล้ว คงเป็นผลจากฝันร้ายเมื่อคืนและความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้สองวันติด รีชากับรูบี้ก็ช่วยกันกระจายข่าวตามวิธีของตัวเองอย่างเต็มที่

        เมื่อเวลาล่วงเลยไปจนดึกดื่น ผู้คนเริ่มซาลง เราสามคนก็พากันเดินหาที่พักสำหรับคืนนี้ ไม่นานนัก เราก็เจอโกดังร้างแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนถูกทิ้งไว้มานานหลายปี มันดูปลอดภัยพอที่จะใช้หลับนอน

        ภายในโกดังมืดสลัวและเต็มไปด้วยฝุ่น แต่ก็พอมีมุมที่พอจะเอนกายพักได้ รูบี้กับรีชาหาพื้นที่ว่างๆ เพื่อพักผ่อน ส่วนผมก็จัดการหยิบน้ำเปล่าที่เหลือออกมาจิบเล็กน้อย เพื่อดับกระหาย

        คืนนี้ ไม่มีใครพูดอะไรมาก เราต่างเหนื่อยล้าจากการผจญภัยที่หนักหน่วงมาตลอดสองวัน ผมมองออกไปนอกหน้าต่างโกดัง เห็นแสงไฟจากนิวยอร์กที่ยังคงสว่างไสวราวกับไม่เคยหลับใหล



คะแนนข่าวลือ: 137/100 (จบ)

ความคิดเห็นผู้บันทึก

วันนี้จบลงด้วยความเหนื่อยล้า...แต่ก็รู้สึกดีอย่างประหลาด

การได้เจอเมลูซีนในร่างลิเลียน่ามันเลวร้ายยิ่งกว่าฝันร้ายเมื่อคืนเสียอีก ผมเกือบจะถูกมันล่อลวงไปแล้วจริงๆ ถ้าไม่มีรีชากับรูบี้เข้ามาช่วย ผมคงกลายเป็นอาหารของมันไปแล้ว

แต่การได้สู้กับมัน...แล้วก็เอาชนะมันได้... มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้เอาชนะฝันร้ายของตัวเองไปในตัว ไม่รู้ว่าพรที่ได้จากเลปพราคอนมันส่งผลจริงๆ หรือผมแค่บ้าไปแล้ว แต่ผมรู้สึกว่าความกลัวและความเจ็บปวดในใจมันลดลงไปเยอะเลย

รีชากับรูบี้เก่งกาจมากจริงๆ พวกเธอช่วยชีวิตผมไว้หลายครั้งแล้วผมคงทำภารกิจนี้คนเดียวไม่ได้แน่ๆ

ตอนนี้เรายังไม่รู้เลยว่าข่าวลือที่เราปล่อยไปจะไปถึงหูอะโฟรไดต์กับแอรีสเมื่อไหร่ แต่ผมก็หวังว่ามันจะเร็วๆ นี้ เพราะผมไม่อยากให้พวกเราต้องโดนอัดอีกแล้ว

วันนี้ก็หมดไปอีกหนึ่งวันแล้ว พรุ่งนี้คงต้องคิดแผนต่อไปว่าเราจะทำยังไงให้ภารกิจของเฮเฟตัสบ้าๆ นี่มันสำเร็จลุล่วงไปได้เสียที

สินสงคราม
น้ำตาเมลูซีน (เลขไบต์คี่)



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 37059 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2025-7-27 13:13
โพสต์ 37,059 ไบต์และได้รับ +20 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก ชุดบำรุงอาวุธ  โพสต์ 2025-7-27 13:13
โพสต์ 37,059 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 ความศรัทธา จาก มนต์มหาเสน่ห์  โพสต์ 2025-7-27 13:13
โพสต์ 37,059 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point +8 เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก ดาบเธซีอุส  โพสต์ 2025-7-27 13:13
โพสต์ 37,059 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2025-7-27 13:13
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ประสาทสัมผัสดีขึ้น
เปลวไฟแห่งความหลงใหล
พันธนาการแห่งเสน่ห์
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x2
x14
x3
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-7-27 21:05:39 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Daemon เมื่อ 2025-7-27 21:12

VII
— Daemon—
27· กรกฎาคม · 2025 · 05.00 น.

     ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนใครในโกดังร้าง เสียงกรนเบาๆ ของรีชากับลมหายใจสม่ำเสมอของรูบี้บ่งบอกว่าพวกเธอยังหลับสบาย ผมขยับตัวอย่างเงียบๆ พยายามไม่รบกวนใคร แล้วเดินไปที่ห้องน้ำที่เจอเมื่อคืน โชคดีที่น้ำยังไหล ให้พอมีน้ำอาบและแปรงฟันได้บ้าง

     หลังทำธุระเสร็จ ผมเดินออกมานั่งที่ม้านั่งเก่าๆ ด้านหน้าโกดัง ถนนสายนี้ดูเงียบสงบกว่าไทม์สแควร์เมื่อคืนเยอะ แทบไม่มีคนสัญจรเลยด้วยซ้ำ ผมมองท้องฟ้าที่ยังคงเป็นสีส้มอ่อนๆ จากปรากฏการณ์ 'Eternal Sunshine' พลางคิดว่าวันนี้เราจะไปที่ไหนกันต่อดี ผมยังไม่ได้ปรึกษารูบี้กับรีชาเลยว่าแผนต่อไปคืออะไร

     ขณะที่ผมกำลังปล่อยความคิดให้ล่องลอยอยู่นั้น จู่ๆ ผมก็เห็นเธอ...

     ร่างนั้นปรากฏขึ้นราวกับแสงแรกของรุ่งอรุณ เธอเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีอะไรบ่งบอกถึงการมาถึงนอกจากความรู้สึกที่เหมือนโลกทั้งใบสว่างไสวขึ้นมาในพริบตา

     เธอคือสตรีที่งดงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา... ซึ่งในความงามอุดมคติของผมนั้นก็คือลิเลียน่า เธอจึงมีความคล้ายคลึงกับลิเลียน่าอย่างน่าตกใจ เพียงแต่เป็นเวอร์ชันที่โตกว่า งดงามกว่า และสมบูรณ์แบบกว่าทุกสิ่งที่ผมเคยจินตนาการ

     เส้นผมสีบลอนด์ของเธอเปล่งประกายดุจทองคำ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวฉายแววความรักและความเข้าใจ รอยยิ้มของเธอบริสุทธิ์ราวกับดอกไม้แรกแย้ม กลิ่นหอมหวานของดอกกุหลาบและน้ำผึ้งลอยอบอวลในอากาศจนผมรู้สึกเคลิบเคลิ้ม

         เธอคือแม่ของผม อะโฟรไดต์!

         ผมรู้ทันทีว่าทำไมเฮเฟตัสถึงได้รักเธอมากขนาดนั้น และทำไมแอรีสถึงได้หลงใหลไม่แพ้กัน ผมเข้าใจทุกอย่างในชั่วพริบตา

         "เดม่อน" เสียงของเธอหวานราวกับเสียงกระซิบของสายลมยามฤดูร้อน มันไม่ใช่เสียงล่อลวงแบบเมลูซีนเมื่อคืน แต่มันคือเสียงที่เต็มไปด้วยความรักและความเมตตาที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน

         ผมพยายามจะตอบ แต่คำพูดกลับติดอยู่ในลำคอ ผมทำได้เพียงยืนนิ่ง ตัวแข็งทื่อราวกับถูกสะกดด้วยความงามของเธอ

         อะโฟรไดต์ยิ้ม "แม่รู้ว่าลูกกำลังทำอะไรอยู่" เธอเอ่ย "ข่าวลือที่ลูกปล่อยออกไป...มันน่าสนใจจริงๆ"

         หัวใจของผมเต้นรัว 'เร็วขนาดนี้เลยเหรอ!' ผมคิด

         "สถานที่ที่งดงามราวสรวงสวรรค์...ซ่อนตัวอยู่ ณ ใจกลางแอนตาร์กติกา...พร้อมน้ำตกสีเลือดงั้นเหรอ?" อะโฟรไดต์เลิกคิ้วเล็กน้อย รอยยิ้มของเธอยังคงตรึงใจ "มันฟังดู...แปลกใหม่และน่าค้นหา"

         เธอเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น จนผมสัมผัสได้ถึงไออุ่นและกลิ่นหอมของเธอ

      "แม่ต้องการให้ลูกไปตรวจสอบสถานที่นั้น" อะโฟรไดต์กล่าว เสียงของเธอจริงจังขึ้นเล็กน้อย "ไปให้แน่ใจว่ามันเป็นที่ลับจริงหรือไม่... และมันงดงามอย่างที่ลูกว่าจริงหรือเปล่า"

         ผมพยักหน้า ไม่แน่ใจว่าจะต้องพูดอะไรออกไป เธอรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว!

     "ถ้ามันเป็นจริง" อะโฟรไดต์พูดพลางยื่นพลุดอกเล็กๆ สีเงินวาววับให้ผม มันดูเหมือนของเล่นเด็ก แต่ผมรู้ว่ามันต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่ๆ "ให้จุดพลุแห่งความรักนี้ขึ้นบนฟ้า...แล้วแม่จะรู้เอง"

         เธอยิ้มให้ผมอีกครั้ง "จำไว้นะเดม่อน...สิ่งนี้มีแค่เราเท่านั้นที่จะเห็นมัน" อะโฟรไดต์บอก ก่อนที่ร่างของเธอจะค่อยๆ เลือนหายไปในแสงยามเช้า เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมของดอกกุหลาบที่ยังอบอวลอยู่ในอากาศ

         ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สับสนกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น นี่มันง่ายเกินไป หรือกำลังจะมีอะไรบางอย่างตามมาอีก? และผมต้องไปแอนตาร์กติกาจริงๆ น่ะเหรอ!?

         ผมยังคงยืนงงอยู่หน้าโกดังจนกระทั่งเสียงขยับตัวจากด้านในดังขึ้น ไม่นานนักรีชาก็เดินออกมาขยี้ตาปอยๆ ตามด้วยรูบี้ที่เดินออกมาอย่างเงียบๆ

         "พี่เดม่อนตื่นเช้าจังเลยนะคะ!" รีชาทักด้วยเสียงงัวเงีย "มีอะไรหรือเปล่าคะ?"

         ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเล่าเรื่องที่อะโฟรไดต์มาหาและมอบภารกิจใหม่ให้ฟังทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องข่าวลือที่แพร่เร็วเกินคาด ไปจนถึงพลุแห่งความรักและจุดหมายปลายทางที่แอนตาร์กติกา

         รีชาตาโตขึ้นเรื่อยๆ "คุณแม่มาหาพี่เดม่อนเลยเหรอคะ! สุดยอดไปเลย! แล้วเราต้องไปแอนตาร์กติกาจริงๆ เหรอคะ! ที่นั่นหนาวจะตายไป!"

         "ใช่" ผมตอบ "และเราต้องหาวิธีไปที่นั่นให้เร็วที่สุด"

         รูบี้ขมวดคิ้ว "แอนตาร์กติกา? นั่นมันไกลมากนะ และไม่มีเที่ยวบินพาณิชย์ตรงไปที่นั่นได้ง่ายๆ หรอก"

         "หนูรู้แล้วค่ะ!" รีชาดีดนิ้วเปาะ "พี่แอนนาเบ็ธเคยเล่าให้ฟังว่าที่บอสตันมีท่าเรือเก่าแก่ ที่นั่นมีเรือไวกิ้งเวทมนตร์อยู่! เธอเองก็อยากจะซื้อไว้เหมือนกันในฐานะบุตรธิดาโพไซดอน เรือเวทมนตร์แบบนี้คงจะสะดวกสำหรับพวกเรานะคะ!"

         ผมมองรีชา ดวงตาของเธอยังคงเป็นประกายด้วยความหวังและความตื่นเต้น ผมพยักหน้าเห็นด้วยทันที

         "ความคิดดีมากรีชา" ผมพูด "การเดินทางทางทะเลย่อมดีกว่า หากมีสายเลือดโพไซดอนอยู่ด้วยแบบนี้" ผมเสริมเหตุผลให้รูบี้ฟัง เผื่อเธอจะกังวลเรื่องความปลอดภัย

         รูบี้พยักหน้าช้าๆ "ถ้าเป็นเรือเวทมนตร์ก็อาจจะพอเป็นไปได้" เธอหันไปมองรีชา "แต่แน่ใจนะว่ามันมีอยู่จริง ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าของพี่แอนนาเบ็ธ?"

         รีชาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย "จริงสิคะ! พี่แอนนาเบ็ธไม่เคยพูดอะไรเล่นๆ หรอกค่ะ!"

 "เอาล่ะ" ผมสรุป "งั้นแผนของเราคือไปบอสตันก่อน แล้วค่อยหาทางไปแอนตาร์กติกา"

         เรากลับเข้าไปในโกดังร้าง กางแผนที่เก่าๆ ที่เจอเมื่อวันก่อนออกมาอีกครั้ง คราวนี้เราไม่ได้มองหาแค่จุดปล่อยข่าวลือ แต่เรากำลังวางแผนการเดินทางครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเรา

         รีชาชี้ไปที่บอสตันบนแผนที่ "เราต้องไปที่นี่ก่อน! แล้วค่อยหาเรือเวทมนตร์!"

         รูบี้เอาดินสอขีดเส้นจากนิวยอร์กไปบอสตัน "นั่งรถไฟน่าจะเร็วที่สุด" จากนั้นเธอก็ลากเส้นยาวลงไปทางใต้ผ่านมหาสมุทรแอตแลนติก "จากบอสตัน...ก็ตรงดิ่งไปแอนตาร์กติกา"

        ผมหยิบพลุแห่งความรักที่อะโฟรไดต์ให้มาออกมาดู มันเล็กจิ๋วอยู่ในมือ แต่ภารกิจที่อยู่เบื้องหลังมันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน

      "เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม" ผมพูด "ไม่รู้ว่าที่แอนตาร์กติกา เราจะได้เจออะไรบ้าง"

        ทั้งสามเริ่มไปเตรียมตัว เก็บของใส่สัมภาระเพื่อจะออกเดินทางไปยังสถานีรถไฟใต้ดินละแวกนี้เพื่อจะนั่งไปขึ้นสถานีรถไฟของเมืองในการมุ่งหน้าไปยังบอสตัน 

        เราจัดการเตรียมของอย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังสถานีเพนน์ในนิวยอร์ก เพื่อขึ้นรถไฟไปบอสตัน ผมมองไปรอบๆ สถานีที่เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน หวังว่าจะไม่มีอสุรกายตัวไหนโผล่มาทักทายเราอีก

        "พี่เดม่อน! ตั๋วรถไฟไปบอสตันนี่เท่าไหร่เหรอคะ?" รีชาถามด้วยความสงสัย

        ผมลองนึกถึงราคาตั๋วรถไฟจากข้อมูลที่เคยเห็นมา รถไฟ Acela Express จากสถานีเพนน์ไปสถานีสายใต้ในบอสตัน ราคาตั๋วโดยสารปกติจะอยู่ที่ประมาณ $50 - $280 USD ขึ้นอยู่กับเวลาและประเภทตั๋ว (อาจจะสูงกว่านั้นมากถ้าเป็นเฟิร์สคลาส) ส่วน นอร์ทอีสต์ รีจินัล จะถูกกว่าหน่อย ประมาณ $30 - $180 USD

        'คงต้องเลือกที่ถูกที่สุดล่ะนะ' ผมคิดในใจ 'หรือไม่อย่างนั้น ดรักม่าของเราคงละลายหายไปหมดก่อนถึงแอนตาร์กติกาแน่ๆ'

        เราเดินไปที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว พยายามเลือกตั๋วที่ราคาเหมาะสมที่สุดเท่าที่จะหาได้โดยไม่เสียเวลามากเกินไป

        "ตั๋วสามที่นั่งไปสถานีใต้ในบอสตันครับ...ที่ถูกที่สุด" ผมบอกกับพนักงาน

        พนักงานหญิงที่ดูเหนื่อยหน่ายเล็กน้อยพยักหน้า ก่อนจะพิมพ์อะไรบางอย่างลงไปในคอมพิวเตอร์ "ทั้งหมด 90 ดอลลาร์" เธอแจ้งราคา

        ผมจัดการจ่ายเงินแล้วรับตั๋วมา มันเป็นตั๋วรถไฟที่ถูกที่สุด ซึ่งหมายความว่าเราคงต้องนั่งในตู้โดยสารที่ธรรมดาที่สุด และอาจจะแออัดที่สุดด้วย

        เมื่อเวลา 10:00 น. ตรงตามกำหนด รถไฟก็เทียบชานชาลาพร้อมเสียงหวูดดังยาว ผม, รูบี้, และรีชารีบเดินขึ้นไปบนรถไฟ หาที่นั่งว่างๆ ที่พอจะเบียดกันได้

        "เอาล่ะทุกคน" ผมบอก "ถึงเวลาไปบอสตันแล้ว"

        ทันทีที่เสียงประตูปิดลง รถไฟก็เริ่มเคลื่อนตัวช้าๆ ออกจากสถานีเพนน์ เสียงเครื่องจักรกลดังครืดคราด รางรถไฟบดกับล้อเหล็กเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด หน้าต่างรถไฟแสดงให้เห็นภาพผู้คนที่ยืนโบกมือลา และตึกระฟ้าของนิวยอร์กที่ค่อยๆ ถอยห่างออกไป

        ผมนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับจังหวะการเคลื่อนที่ของรถไฟ วันนี้เป็นอีกวันแห่งการเดินทาง และมันก็เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ผมคิดว่าบนรถไฟก็ไม่ปลอดภัยสำหรับเดมิกอต พวกเขาจะต้องเจออสุรกายสักตัวอีกแน่ 4 ชั่วโมงแห่งความหรรษาเพิ่งจะเริ่ม


โอนเงินแล้ว 90 ดอลลาร์




ความคิดเห็นผู้บันทึก

เราขึ้นรถไฟมาได้ไม่นาน รถไฟกำลังวิ่งออกไปจากสถานีเพนน์ ภาพตึกของนิวยอร์กค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง รู้สึกโล่งใจนิดหน่อยที่ไม่มีอสุรกายกระโดดขึ้นมาบนรถไฟกลางคัน

การเดินทางด้วยแท็กซี่สามพี่น้องสีเทานั่นก็สุดเหวี่ยงไปแล้ว หวังว่าการนั่งรถไฟจะธรรมดาๆ กว่านี้หน่อยนะ เพราะร่างกายผมยังไม่พร้อมจะโดนอัดอีกรอบจริงๆ ถึงแม้น้ำทิพย์จะช่วยได้ แต่ผมก็ยังรู้สึกสะบักบอมอยู่เลย

รีชาดูตื่นเต้นกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านหน้าต่างไป ส่วนรูบี้ก็ยังคงนั่งนิ่งๆ คล้ายรูปปั้น แต่ผมรู้ว่าเธอกำลังสังเกตทุกอย่างรอบตัว

ผมไม่รู้ว่าภารกิจตามหาเรือไวกิ้งเวทมนตร์ที่บอสตันจะง่ายหรือยากแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คือมันเป็นก้าวแรกของการเดินทางสู่แอนตาร์กติกา ที่อะโฟรไดต์บอกว่าเป็นที่ๆ งดงามราวสรวงสวรรค์ และเฮเฟตัสต้องการให้แอรีสไปฮันนีมูนที่นั่น

ชีวิตของเดมิกอดนี่มันก็วุ่นวายดีนะ บางวันก็สู้กับอสุรกาย บางวันก็ต้องไปปล่อยข่าวลือเรื่องส่วนตัวของเทพเจ้า มันไม่มีวันไหนที่น่าเบื่อเลยจริงๆ

ผมหวังว่าภารกิจนี้จะจบลงด้วยดี และลิเลียน่า...ผมหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะจำผมได้


สินสงคราม
-



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 25990 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2025-7-27 21:05
โพสต์ 25,990 ไบต์และได้รับ +20 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก ชุดบำรุงอาวุธ  โพสต์ 2025-7-27 21:05
โพสต์ 25,990 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 ความศรัทธา จาก มนต์มหาเสน่ห์  โพสต์ 2025-7-27 21:05
โพสต์ 25,990 ไบต์และได้รับ +15 EXP +6 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ดาบเธซีอุส  โพสต์ 2025-7-27 21:05
โพสต์ 25,990 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2025-7-27 21:05
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ประสาทสัมผัสดีขึ้น
เปลวไฟแห่งความหลงใหล
พันธนาการแห่งเสน่ห์
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x2
x14
x3
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-7-31 13:47:08 | ดูโพสต์ทั้งหมด
VIII
— Ruby—
27· กรกฎาคม · 2025 · 11.00 - 11.30 น.

     ตลอดระยะเวลาบนรถไฟ เรียกได้ว่าสงบสุขจนน่าประหลาดใจมาเกือบครึ่งเส้นทาง ฉันเองก็เริ่มจะเคลิ้มๆ ไปกับวิวทิวทัศน์สองข้างทางที่รถไฟแล่นผ่าน ต้นไม้เขียวครึ้มสลับกับบ้านเรือนเล็กๆ ดูเป็นภาพที่ผ่อนคลายจนเกือบลืมไปว่าเรากำลังอยู่ในโลกที่อสุรกายโผล่มาเดินเล่นเหมือนหมาในสวนสาธารณะ

     แต่ถึงอย่างนั้น ในหัวของฉันก็ยังอดคิดถึงความสยองไม่ได้ ถ้าเราซวยจัดๆ ต้องมานั่งรถไฟขบวนเดียวกับพวกสัตว์ประหลาดระดับตำนาน อย่างไคมีร่ากับอีคิดน่าจริงๆ ล่ะก็... แค่คิดภาพก็ขนลุกซู่แล้ว

         และแน่นอน เหมือนโลกจะรู้ทันความคิดแย่ๆ ของฉัน...

      สายตาฉันที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง พลันสะดุดกับผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของอีกโบกี้ เธออยู่ในชุดคุณนายสุดเช็กชี่ ราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่น หมวกทรงเก๋สีดำใบโตบดบังใบหน้าส่วนใหญ่ของเธอ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ไม่ใช่สไตล์การแต่งตัวที่ดูโดดเด่น แต่เป็นสุนัขตัวใหญ่สีดำที่นั่งอยู่ข้างกายเธอ

      ทีแรกฉันก็ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าเป็นแค่สุนัขพันธุ์ดุ แต่พอมองดีๆ... ไอ้เจ้า 'สุนัข' นั่นน่ะ... มันมีสองหัว! หัวหนึ่งเป็นสิงโตที่กำลังขู่คำรามเบาๆ อีกหัวเป็นแพะที่มีเคราหย็อมแหย๋ม และที่สำคัญ... ฉันเห็นหางของมันวาดไปมาเล็กน้อย ปลายหางเป็นรูปหัวงูที่แลบลิ้นแผล่บๆ

      'ให้ตายสิ' ฉันสบถในใจเบาๆ 'ไคมีร่าจริงๆ ด้วย!'

      ยังไม่ทันที่ฉันจะทันได้เตือนเดม่อนกับรีชา หญิงสาวในชุดคุณนายก็ลุกขึ้นยืน เธอขยับหมวกเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างไม่น่าเชื่อ... ดวงตาที่แตกต่างกันสองสี ผมที่ดูเหมือนงูตัวเล็กๆ กำลังเลื้อยไปมาใต้หมวก

      'อีคิดน่า!' ความเย็นเยือกวิ่งแล่นไปทั่วสันหลังของฉัน

      วินาทีวิกฤต! อีกประมาณสองชั่วโมงเราก็จะถึงสถานีใต้ในบอสตัน แต่ตอนนี้ อีคิดน่ากำลังเดินตรงมาทางโบกี้ที่เรานั่งอยู่ เธอเดินช้าๆ แต่ทุกย่างก้าวของเธอกลับหนักอึ้งไปด้วยรังสีอำมหิต

      เธอหยุดอยู่ข้างที่นั่งของเราสามคน ยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ "สวัสดีจ้ะ เด็กๆ" เสียงของเธอหวานหยดย้อย แต่นัยน์ตากลับเย็นเยียบ "บังเอิญจังเลยนะเนี่ย"

      ยังไม่ทันที่พวกเราจะได้ตอบอะไร ไคมีร่าที่ 'นั่ง' อยู่ในโบกี้ถัดไปก็คำรามลั่น ก่อนจะกระโจนข้ามช่องทางเดินระหว่างโบกี้เข้ามาด้วยความเร็วราวกับจรวด

      "หลบเร็ว!" ฉันตะโกนสุดเสียง พร้อมกับกระชากเดม่อนกับรีชาให้หลบไปคนละทิศคนละทาง แรงกระโดดของไคมีร่าทำให้เก้าอี้ที่เรานั่งอยู่เมื่อกี้หักดัง 'โครม!'

      เราสามคนรีบลุกขึ้นวิ่งออกจากโบกี้ที่กลายเป็นสมรภูมิย่อมๆ ไปแล้ว เป้าหมายเดียวในหัวคือต้องไปให้ถึงโบกี้อื่นให้เร็วที่สุดเพื่อหาที่ซ่อน

      ตอนนี้สภาพเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในเกมบ้าๆ พวก The Dark Pictures จริงๆ ที่ต้องหนีเอาตัวรอดจากอสุรกายร้ายสองตัวบนรถไฟความเร็วสูงคันนี้ จนกว่าจะถึงสถานีปลายทางนรกนั่น

      เราวิ่งเข้าไปในโบกี้ถัดไปอย่างไม่คิดชีวิต โชคดีที่โบกี้นี้ค่อนข้างว่าง เราพากันหลบเข้าไปในห้องน้ำแคบๆ ของรถไฟ อัดกันสามคนแทบไม่มีที่หายใจ

      "มัน...มันตามมาไหม?" รีชากระซิบเสียงสั่น

      ฉันเงี่ยหูฟัง เสียงคำรามของไคมีร่าและเสียงหัวเราะคิกคักของอีคิดน่ายังคงดังมาจากโบกี้เดิม พวกมันกำลังตามล่าเรา!

      "ต้องออกไปจากที่นี่" ฉันกระซิบกลับ "ที่แคบๆ แบบนี้เราสู้ไม่ได้"

      เราค่อยๆ แง้มประตูห้องน้ำ มองออกไปอย่างระมัดระวัง โบกี้เงียบสงัด ไม่มีใครอยู่เลย หรืออาจจะซ่อนตัวอยู่เหมือนพวกเราก็เป็นได้

      "ไปที่โบกี้เสบียง" ฉันออกคำสั่งเบาๆ "อาจจะมีอะไรให้ใช้ป้องกันตัวได้บ้าง"

      เราคลานต่ำๆ ไปตามทางเดินระหว่างที่นั่ง พยายามไม่ให้เกิดเสียงดัง หัวใจของฉันเต้นระรัว ทุกวินาทีเหมือนผ่านไปชั่วนิรันดร์ ฉันสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่แทรกซึมเข้าไปในกระดูก เหมือนในเกมที่จู่ๆ ก็มีอะไรน่ากลัวโผล่มาจ๊ะเอ๋

      จู่ๆ เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังมาจากทางด้านหน้าโบกี้ พวกมันกำลังมา!

      "หลบ!" ฉันกระซิบอีกครั้ง เราสามคนรีบมุดเข้าไปใต้โต๊ะเล็กๆ ที่ติดกับหน้าต่าง อัดตัวติดกันแน่น หวังว่าเงาของโต๊ะจะช่วยซ่อนพวกเราไว้

      ฉันมองลอดช่องใต้โต๊ะ เห็นเงาตะคุ่มๆ ของใครบางคนเดินผ่านไป... อีคิดน่า! ฉันเห็นปลายกระโปรงยาวของเธอแวบๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ฟังดูเยือกเย็น

      "พวกเธอจะหนีไปไหนได้..." เสียงของเธอดังแว่วมา ราวกับรู้ว่าพวกเราซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล

      พวกเรานั่งตัวแข็งทื่อใต้โต๊ะ กลั้นหายใจ ภาวนาให้รถไฟวิ่งเร็วขึ้นอีกนิด ให้ถึงบอสตันเสียที สถานการณ์ตอนนี้มันตึงเครียดจนแทบจะทนไม่ไหว เหมือนกำลังรอจังหวะจัมป์สแกร์ ในเกมที่รู้ว่ามันกำลังจะมา แต่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่

      เสียงฝีเท้าของอีคิดน่าค่อยๆ ผ่านไป แต่ฉันรู้ว่ามันยังอยู่ไม่ไกล เราสามคนมองหน้ากัน เดม่อนพยักหน้าให้ฉันเป็นเชิงว่าต้องหาทางหนี

       "เตรียมตัว" ฉันกระซิบ "เราจะพุ่งไปที่โบกี้เสบียง"

      ทันทีที่ฉันให้สัญญาณ เราก็พุ่งตัวออกจากใต้โต๊ะ! เสียงเก้าอี้กระแทกดัง 'ปัง!' เมื่อเดม่อนเตะมันออกไป รีชากรีดร้องเล็กน้อยแต่ก็วิ่งตามมาติดๆ

      แต่อีคิดน่าไวกว่าที่คิด! เธอปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเรา ราวกับผุดขึ้นมาจากพื้น ดวงตาที่แตกต่างกันสองสีของเธอลุกวาว "คิดว่าจะหนีข้าได้งั้นรึ เจ้าเด็กน้อย!"

      ไคมีร่าที่อยู่ด้านหลังก็คำรามลั่น มันพุ่งตัวเข้ามาหมายจะขวิดเราด้วยหัวแพะที่น่าเกลียด

      "ดาบ!" เดม่อนตะโกนพลางดีดแหวนขึ้นไปในอากาศ ดาบเธซีอุสเรืองแสงสีฟ้าปรากฏในมือเขา เขากางโล่อัสพิสออกรับการโจมตีจากไคมีร่าเสียงดัง 'ปัง!' แรงปะทะทำให้เดม่อนเซไปเล็กน้อย แต่เขาก็ยังยืนหยัดได้

      ฉันไม่รอช้า พุ่งเข้าใส่อีคิดน่าทันที กระบี่เทียนหวงของฉันวาดเป็นเส้นสายแสงสีทองเข้าใส่เธอ หวังจะหยุดการเคลื่อนไหวของนาง หวังว่าจะทำให้เธอสะดุดเปิดช่องโหว่ให้เราหนี

      "ไปรีชา!" ฉันตะโกน "ไปที่โบกี้เสบียง! หาอะไรมาช่วยพวกเรา!"

      รีชาพยักหน้า เธอวิ่งผ่านช่องว่างระหว่างฉันกับอีคิดน่าไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปยังโบกี้ถัดไป

      ฉันฟาดฟันกับอีคิดน่าอย่างดุเดือด เธอหลบหลีกการโจมตีของฉันได้อย่างน่าทึ่ง ผิวหนังของเธอลื่นไหลราวกับงู ทำให้การโจมตีของฉันไม่ค่อยได้ผล เธอพยายามจะตบฉันด้วยมือที่เต็มไปด้วยกรงเล็บแหลมคม

      "เจ้าเด็กจอมยุทธ์! ความเร็วของเจ้ามันก็แค่ของเด็กเล่น!" อีคิดน่าหัวเราะเยาะ เสียงของเธอดังน่าขนลุก

      ฉันรู้ว่าเราสู้เธอตัวต่อตัวไม่ได้ เธอแข็งแกร่งเกินไป และดูเหมือนว่าฉันเองก็ยังไม่เคยเจออสุรกายที่เคลื่อนไหวได้พริ้วไหวขนาดนี้มาก่อน

      อีกด้านหนึ่ง เดม่อนก็กำลังลำบาก ไคมีร่าตัวใหญ่และดุดันกว่าที่คิด มันพ่นไฟออกมาจากหัวสิงโต ทำให้พื้นที่รอบข้างเต็มไปด้วยกลิ่นกำมะถันและไอความร้อน เดม่อนต้องใช้โล่อัสพิสป้องกันเปลวไฟอยู่ตลอดเวลา และหาจังหวะสวนกลับด้วยดาบเธซีอุส

      "นี่มันน่ารำคาญจริงๆ!" เดม่อนตะโกน เขาพยายามหลบการพุ่งชนและเปลวไฟของไคมีร่า

      ฉันรู้ว่าเราต้องหนี! การปะทะตรงๆ มีแต่จะทำให้เราหมดแรงและกลายเป็นอาหารของพวกมัน

      "เดม่อน! ถอย!" ฉันตะโกนบอก พลางใช้กระบี่ปัดการโจมตีของอีคิดน่า แล้วถอยร่นไปทางโบกี้เสบียงอย่างรวดเร็ว

      อีคิดน่าไม่ยอมปล่อยให้ฉันหนีง่ายๆ เธอพุ่งตามมาติดๆ ส่วนไคมีร่าก็ยังคงไล่ต้อนเดม่อนอย่างไม่ลดละ

      ตอนนี้สถานการณ์ดูเหมือนจะเลวร้ายลงไปอีก เราถูกต้อนเข้ามุมอย่างแท้จริง การเอาตัวรอดบนรถด่วนนรกขบวนนี้มันไม่ได้ง่ายเลยจริงๆ!




ความคิดเห็นผู้บันทึก

การเดินทางบนรถไฟ Acela Express นี่มันเป็นอะไรที่บ้าบอที่สุดตั้งแต่ฉันออกมาจากค่ายเลยนะ แค่เกือบครึ่งทางเอง ก็เจออีคิดน่ากับไคมีร่าโผล่มาทักทายถึงโบกี้โดยสาร แถมยังไล่ล่าเรายังกับอยู่ในหนังซอมบี้ที่ต้องหนีตายบนรถไฟอีก เดม่อนก็ดูไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว ใบหน้าเขาซีดๆ ชอบเหม่อลอย แถมยังโดนเดธแมชชีนฟาดมาอีกเมื่อคืน ไม่แปลกใจที่เขาจะโดนเมลูซีนล่อลวงไปง่ายๆ แต่ก็ยังดีที่ดึงสติกลับมาได้ทัน ส่วนรีชา...เธอก็แค่เด็กตัวเล็กๆ แต่ดันมีพลังของโพไซดอนที่สามารถควบคุมน้ำได้ แถมยังดูตาแป๋วใสซื่อจนทำให้คนอื่นตายใจได้ง่ายๆ อีกต่างหาก ตอนนี้เรายังคงวิ่งหนีพวกอสุรกายสองตัวนั้นอยู่บนรถไฟ ไม่รู้ว่ารีชาจะเจออะไรในโบกี้เสบียงบ้าง แต่ถ้าเธอไม่เจออะไรเจ๋งๆ ที่จะหยุดพวกมันได้ เราคงต้องใช้กระบี่เทียนหวงของฉันฟันเส้นทางหนีออกไปนอกรถไฟแล้วล่ะ หวังว่าบอสตันจะมาถึงเร็วๆ นี้ ก่อนที่พวกเราจะกลายเป็นอาหารเช้าของไคมีร่า

สินสงคราม
-



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 22519 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2025-7-31 13:47
โพสต์ 22,519 ไบต์และได้รับ +20 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก ชุดบำรุงอาวุธ  โพสต์ 2025-7-31 13:47
โพสต์ 22,519 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 ความศรัทธา จาก มนต์มหาเสน่ห์  โพสต์ 2025-7-31 13:47
โพสต์ 22,519 ไบต์และได้รับ +15 EXP +6 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ดาบเธซีอุส  โพสต์ 2025-7-31 13:47
โพสต์ 22,519 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2025-7-31 13:47
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ประสาทสัมผัสดีขึ้น
เปลวไฟแห่งความหลงใหล
พันธนาการแห่งเสน่ห์
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x2
x14
x3
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-7-31 16:08:45 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Daemon เมื่อ 2025-7-31 17:48

IX
— Resha—
27· กรกฎาคม · 2025 · 11.40 - 12.50 น.

     หนูรีบหลบเข้ามาในโบกี้เสบียงอย่างรวดเร็ว เสียงคำรามของไคมีร่ากับเสียงหัวเราะของอีคิดน่ายังคงตามหลอกหลอนอยู่ข้างหลัง หนูเข้าไปซ่อนตัวอยู่หลังกองลังสูงๆ หอบหายใจอย่างหนัก หัวใจเต้นรัวเหมือนจะหลุดออกมา

     "รีชา! เจออะไรบ้าง?!" เสียงพี่รูบี้ตะโกนแว่วมา หนูหันไปมอง เห็นพี่เดม่อนกับพี่รูบี้ถอยร่นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของพวกเขามีร่องรอยความเหนื่อยล้าจากการปะทะกับพวกอสุรกาย

     หนูมองไปรอบๆ โบกี้เสบียงอย่างรวดเร็ว บนชั้นวางของมีกล่องมากมายหลายขนาด กล่องเหล็กเก่าๆ ที่มีเครื่องมือช่าง หรือกล่องลังกระดาษบรรจุผลไม้สด หรือถุงข้าวสารขนาดใหญ่ มีกล่องใส่น้ำอัดลมที่พี่เดม่อนไม่ชอบด้วย! แต่พวกนั้นดูไม่น่าจะช่วยอะไรได้มากนัก

       สายตาของหนูไปสะดุดเข้ากับกล่องไม้ขนาดใหญ่ที่วางอยู่มุมหนึ่งของโบกี้ มันไม่ได้มีป้ายเขียนบอกว่าข้างในคืออะไร แต่หนูรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากกล่องนั้น... เป็นพลังงานที่คล้ายกับกลิ่นของสมุนไพรแปลกๆ ผสมกับกลิ่นของโลหะโบราณ... เหมือนที่เคยเรียนมาในคลาสของครูโกรเวอร์...

     'นี่มันอะไรกันนะ?' หนูคิดพลางเอื้อมมือไปแตะกล่องนั้นเบาๆ

     ทันทีที่ปลายนิ้วหนูสัมผัสกับเนื้อไม้เย็นๆ กล่องนั้นก็ส่องแสงสีฟ้าอ่อนๆ จางๆ ออกมา ก่อนที่กลอนไม้จะดีดตัวออกเองโดยอัตโนมัติ

       "วะ..ว้าว!" หนูกระซิบด้วยความตกใจ

  ข้างในกล่องมีขวดแก้วเล็กๆ วางเรียงรายอยู่หลายสิบขวด ภายในขวดบรรจุของเหลวสีฟ้าเรืองแสง มีป้ายเขียนกำกับไว้ด้วยลายมือโบราณที่อ่านว่า "ของขวัญจากไครอน น้ำตาแห่งนิมฟ์" และอีกป้ายเขียนว่า "ระวัง: ใช้ด้วยความระมัดระวัง"

       "รีชา! เจออะไร?!" พี่เดม่อนตะโกนมาอีกครั้ง เสียงคำรามของไคมีร่าใกล้เข้ามาทุกที

           "เจอแล้วค่ะ!" หนูรีบคว้าขวดของเหลวสีฟ้าออกมาหนึ่งขวด มันเย็นเฉียบในมือ

           ยังไม่ทันที่หนูจะอธิบายอะไร ประตูเชื่อมโบกี้ก็ถูกเปิดออกอย่างแรง! อีคิดน่าก้าวเข้ามาในโบกี้เสบียงพร้อมกับรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ส่วนไคมีร่าก็พุ่งเข้ามาจากด้านหลังของพี่เดม่อนและพี่รูบี้!

           "หมดเวลาเล่นแล้ว เด็กๆ!" อีคิดน่าคำราม "ได้เวลาที่พวกเจ้าจะเป็นอาหารของลูกข้าแล้ว!"

           "ถอยไปรีชา!" พี่เดม่อนตะโกน เขายกโล่อัสพิสขึ้นรับการโจมตีจากไคมีร่าเสียงดัง 'เคร้ง!'

           หนูรู้ว่าเราต้องทำอะไรบางอย่างเดี๋ยวนี้! หนูไม่มีเวลาอ่านคำอธิบายทั้งหมดของน้ำตาแห่งนิมฟ์ แต่สัญชาตญาณบอกให้หนูเปิดขวดนั้นออก

           หนูรีบหมุนฝาขวดออกอย่างทุลักทุเล พลังงานของน้ำทะเลในตัวหนูรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้น พลังงานสีฟ้าจากขวดก็พุ่งออกมาทันทีที่ฝาหลุดออก!

           ของเหลวสีฟ้าเรืองแสงพุ่งออกจากขวดราวกับมีชีวิต มันรวมตัวกันเป็นลำแสงขนาดใหญ่พุ่งตรงเข้าใส่ไคมีร่าที่กำลังจะพ่นไฟใส่พี่เดม่อน

           "แคว๊กกกก!" ไคมีร่ากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ลำแสงสีฟ้าพันรอบตัวมันแน่นหนา ก่อนจะหดตัวลงอย่างรวดเร็ว ดึงร่างของไคมีร่าให้กระแทกเข้ากับชั้นวางของเสียงดัง 'โครม!' กล่องลังมากมายหล่นลงมาทับร่างของมัน

           "อะไรกัน!" อีคิดน่าตะโกนด้วยความตกใจ ใบหน้าสวยงามของเธอเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ เธอพุ่งเข้าใส่หนูอย่างบ้าคลั่ง

           "พี่รูบี้! พี่เดม่อน! ไปกันเถอะ!" หนูตะโกนสุดเสียง พลางทุบขวดเปล่าลงบนพื้นเสียงดัง 'เพล้ง!' มันระเบิดออกเป็นละอองน้ำสีฟ้าฟุ้งกระจายไปทั่วโบกี้ ทำให้ทัศนวิสัยของอีคิดน่ามัวลงเล็กน้อย

           พี่เดม่อนกับพี่รูบี้ไม่รอช้า พวกเขารีบวิ่งตรงมาหาหนู

           "นี่มันอะไรกันรีชา!" พี่เดม่อนถามเสียงหอบ แต่ดวงตาของเขากลับเป็นประกายด้วยความหวัง

           "น้ำตาแห่งนิมฟ์ค่ะ!" หนูรีบตอบ "มันทำให้อสุรกายช้าลง! แต่มันไม่น่าจะหยุดพวกมันได้นาน!"

           เราสามคนรีบวิ่งออกจากโบกี้เสบียงทันที โดยมีอีคิดน่าคำรามไล่ตามมาติดๆ

           "พวกเจ้าจะต้องชดใช้!" เสียงของเธอสะท้อนไปทั่วทั้งโบกี้

           เราเหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงแล้วที่จะถึงบอสตัน การเอาตัวรอดบนรถไฟขบวนนี้มันคือการแข่งกับเวลา และตอนนี้ ดูเหมือนว่าอีคิดน่าจะโกรธจัดกว่าเดิมหลายเท่า!

      เราวิ่งกันสุดชีวิตผ่านโบกี้แล้วโบกี้เล่า เสียงเท้าของเรากระทบพื้นรถไฟดังตึงตัง กลบเสียงพูดคุยของพนักงานและผู้โดยสารที่อาจจะคิดว่าเรากำลังเล่นไล่จับกันอย่างสนุกสนาน แต่พวกเรากำลังเล่นเกมแมวไล่หนูที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน!

      "ทางนี้!" พี่รูบี้ตะโกน เธอเห็นประตูที่เขียนว่า "สำหรับพนักงานเท่านั้น" และผลักมันออกอย่างแรง

      เราพุ่งเข้าไปในทางเดินแคบๆ ที่เชื่อมระหว่างโบกี้ มันเต็มไปด้วยสายไฟและท่อต่างๆ กลิ่นน้ำมันเครื่องกับโลหะคละคลุ้งไปหมด

      "อีคิดน่าจะตามเราเข้ามาไม่ได้!" พี่เดม่อนบอก เขารีบปิดประตูเหล็กที่พวกเราเพิ่งจะวิ่งผ่านเข้ามา

      แต่เสียงโครมครามดังสนั่นจากด้านหลัง บอกให้รู้ว่าประตูเหล็กบางๆ แค่นี้ไม่สามารถหยุดราชินีแห่งอสุรกายได้นานนัก

      "มีทางไปที่ไหนอีก?!" หนูถาม หายใจหอบอย่างหนัก

      "เรากำลังมุ่งไปทางข้างหน้า" พี่เดม่อนตอบพลางมองซ้ายมองขวา "โบกี้แรกๆ จะเป็นส่วนควบคุมรถไฟ ถ้าเราไปถึงนั่นได้ อาจจะทำให้รถไฟชะลอความเร็ว หรืออย่างน้อยก็สร้างความปั่นป่วนให้พวกมันได้!"

      แต่ยังไม่ทันขาดคำ เสียงคำรามของไคมีร่าก็ดังสะท้านมาถึงทางเดินแคบๆ ที่เราอยู่!

      "ไม่ได้การแล้ว!" พี่รูบี้ตะโกนพลางชี้นิ้วไปที่ช่องระบายอากาศขนาดใหญ่บนเพดาน "ทางนี้แหละ!"

      เราสามคนช่วยกันปีนป่ายขึ้นไปบนช่องระบายอากาศที่แคบและมืด มันเต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ แต่เราไม่มีทางเลือกอื่น เสียงเท้าของอีคิดน่าดังเข้ามาในทางเดินแล้ว!

      เราคลานไปตามช่องระบายอากาศอย่างเงียบเชียบ พยายามไม่ให้เกิดเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ เสียงหัวใจเต้นตึกตักดังอยู่ในหูของหนู

      จู่ๆ ช่องระบายอากาศที่เราคลานอยู่ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง! "แคร้งงงงง!" เสียงดังมาจากด้านล่าง เหมือนกับว่ามีบางอย่างกำลังกระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรง!

      "พวกมันรู้แล้วว่าเราอยู่ไหน!" พี่เดม่อนกระซิบเสียงเครียด

      ทันใดนั้น ไฟในช่องระบายอากาศก็ดับพรึ่บลง! ความมืดมิดเข้าปกคลุมรอบตัวเรา ทำให้เรามองไม่เห็นอะไรเลย ความกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจหนู

        "ใจเย็นๆ รีชา" พี่รูบี้กระซิบข้างหู "เราจะผ่านมันไปได้"

        แต่เสียงครูดโลหะดังลั่นมาจากด้านล่าง พร้อมกับกลิ่นกำมะถันฉุนกึก... ไคมีร่า! มันพ่นไฟใส่ช่องระบายอากาศจากด้านล่าง! ความร้อนแผ่ซ่านเข้ามาในช่องระบายอากาศ ทำให้ผิวหนังของหนูรู้สึกเหมือนถูกเผา

        "ไปข้างหน้า!" พี่เดม่อนตะโกน เราพากันคลานไปข้างหน้าอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในความมืดมิดและร้อนระอุ

        การไล่ล่ายิ่งทวีความดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ เราไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดที่ไหน แต่หนูรู้แค่ว่า เราต้องรอด!

        ไคมีร่าดูเหมือนจะหาวิธีพ่นไฟใส่ช่องระบายอากาศได้บ่อยขึ้น ทำให้เราต้องคลานเร็วขึ้นและเร็วขึ้นไปอีก กลิ่นกำมะถันแรงจนแสบจมูก เสียงพ่นลมหายใจร้อนๆ ของมันดังกระหึ่มอยู่ใต้พวกเรา

        "ข้างหน้ามีแสง!" พี่เดม่อนตะโกน เสียงเขาหอบหนัก

       เราคลานไปได้อีกนิดเดียวก็เห็นช่องเปิดเล็กๆ สู่โบกี้ถัดไป แสงสลัวๆ จากข้างนอกส่องเข้ามา หนูรีบผลักตัวลงไปในโบกี้อย่างไม่ลังเล พี่เดม่อนกับพี่รูบี้ตามมาติดๆ

       เรามาอยู่ในโบกี้ควบคุมรถไฟ มันเป็นห้องเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยแผงควบคุมและปุ่มต่างๆ มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้าคันโยกควบคุมรถไฟ เขาหันมามองพวกเราด้วยความตกใจ

       "เฮ้! พวกเธอมาทำอะไรตรงนี้!?" ชายคนนั้นตะโกน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรจบ

       เสียงคำรามของไคมีร่าก็ดังลั่นมาจากช่องระบายอากาศที่เราเพิ่งออกมา! อีคิดน่าตามมาติดๆ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ดวงตาของเธอลุกวาว

       "พวกเจ้า...หนีไม่พ้นหรอก!" อีคิดน่าคำราม

"ผู้โดยสารโปรดทราบ...เราจะถึงสถานีใต้ในบอสตันในอีกสิบนาที"

       เสียงประกาศก้องไปทั่วห้องควบคุมรถไฟ หนูมองหน้าพี่เดม่อนกับพี่รูบี้ นี่คือความหวังสุดท้ายของเราแล้ว! แค่สิบนาที!

       ชายคนขับรถไฟหน้าซีดเผือด เมื่อเห็นสิ่งที่หมอกแสดงให้เขาเห็น เขาอาจจะเห็นผู้หญิงในชุดหรูที่กำลังอาละวาดใส่เขา และสุนัขตัวใหญ่ที่ดูดุร้ายผิดปกติกำลังพยายามพังช่องระบายอากาศบนเพดาน เขาตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว ก่อนจะพยายามเอื้อมมือไปกดปุ่มฉุกเฉิน

       "อย่าแตะอะไรทั้งนั้น!" อีคิดน่าคำรามเสียงก้อง หมอกไม่ได้ช่วยให้เสียงของเธอเบาลงเลย แม้ชายคนขับจะเห็นเธอเป็นแค่ผู้หญิงบ้าๆ ที่กรีดร้อง แต่เสียงคำรามที่แท้จริงของนางก็ยังทำให้เขาสะดุ้งเฮือก

       ไคมีร่าที่อยู่เหนือพวกเราในช่องระบายอากาศก็พ่นไฟลงมาอีกครั้ง! เปลวไฟสีส้มแดงพุ่งผ่านตะแกรงเหล็กด้านล่างลงมาใกล้พวกเรา ชายคนขับร้องลั่นด้วยความตกใจ รีบเอี้ยวตัวหลบเกือบไม่ทัน ชุดของเขาไหม้ไปเล็กน้อย

       "หนูทำได้!" หนูตะโกนพลางมองไปที่แผงควบคุมที่มีปุ่มและคันโยกมากมาย "หนูอาจจะทำให้รถไฟช้าลงได้!"

       "อย่าเพิ่ง!" พี่เดม่อนรีบคว้าแขนหนูไว้ "เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง! ที่สำคัญกว่าคือเราต้องมีชีวิตรอดออกไปจากรถไฟนี้!"

       "พวกมันตามมาแล้ว!" พี่รูบี้ชี้ไปที่ช่องระบายอากาศ ไคมีร่ากำลังพังตะแกรงลงมาแล้ว! เศษโลหะปลิวว่อนไปทั่วห้อง

       "ไปข้างหน้า!" พี่เดม่อนตัดสินใจ "มุ่งหน้าไปทางหัวขบวน เราจะหลบหนีออกไปให้ได้!"

       เราสามคนพุ่งตัวออกจากห้องควบคุมรถไฟ ทิ้งให้ชายคนขับที่ยังอยู่ในอาการสั่นขวัญผวาต้องเผชิญหน้ากับภาพลวงตาจากหมอกที่เขาเข้าใจว่าเป็นผู้หญิงบ้าๆ กับสุนัขดุ

       การไล่ล่ายังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านโบกี้แล้วโบกี้เล่า บางโบกี้มีผู้โดยสารอยู่เต็ม พวกเขาจ้องมองพวกเราด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นเด็กสามคนวิ่งแตกตื่นเหมือนหนีอะไรบางอย่าง พลางพึมพำว่า "อะไรกันวะเนี่ย?" หรือ "เด็กพวกนี้เล่นอะไรกันน่ะ?" หมอกคงทำให้พวกเขาเห็นภาพที่เรากำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน แต่ฉันรู้ว่าเบื้องหลังรอยยิ้มของพนักงานต้อนรับบนรถไฟที่พยายามจะเข้ามาห้ามปรามพวกเรานั้น มีอันตรายร้ายแรงกำลังคืบคลานเข้ามา

       เสียงฝีเท้าหนักๆ ของอีคิดน่าดังกระทบพื้นตามหลังเรามาติดๆ และเสียงหอบหายใจของไคมีร่าที่รู้สึกได้ถึงความร้อนจากเปลวไฟของมัน ทำให้พวกเราต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก

       "เหลืออีกกี่นาที!" พี่เดม่อนตะโกนถาม

       "ไม่รู้ค่ะ! แต่รู้สึกว่ารถไฟเริ่มชะลอแล้ว!" หนูตอบ

       เราพุ่งเข้าสู่โบกี้สุดท้ายก่อนถึงหัวขบวน มันเป็นโบกี้ที่มีหน้าต่างบานใหญ่และไม่มีที่นั่งมากนัก เหมือนเป็นพื้นที่ชมวิว

       "แผนของเราคืออะไร!" พี่รูบี้ถามเสียงเครียด พลางชักกระบี่เทียนหวงออกมาเตรียมพร้อม

       "เราจะกระโดด!" พี่เดม่อนพูด ดวงตาของเขามุ่งมั่น "รถไฟกำลังจะเข้าสถานีแล้ว มันน่าจะช้าพอที่จะกระโดดได้โดยไม่บาดเจ็บมากนัก!"

       "ว่าไงนะ!" หนูร้องเสียงหลง "กระโดดเหรอ!?"

       "ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว!" พี่เดม่อนตะโกน อีคิดน่าพุ่งเข้ามาในโบกี้แล้ว เธอแสยะยิ้มก่อนจะกางกรงเล็บพุ่งเข้าหา

       "เตรียมตัวให้พร้อม!" พี่รูบี้บอก เธอตั้งท่าเตรียมรับการโจมตีจากอีคิดน่า

       รถไฟเริ่มชะลอความเร็วลงอย่างเห็นได้ชัด เสียงล้อบดกับรางเหล็กดังเอี๊ยดอ๊าด

    "พี่เดม่อน!" หนูตะโกน "มีคนขับรถไฟอีกคนอยู่ในห้องข้างหน้า! เขาจะเห็นเรากระโดดนะ!"

       พี่เดม่อนหันไปมอง เห็นร่างคนขับอีกคนกำลังง่วนอยู่กับการตรวจสอบบางอย่าง เขาคงไม่ทันสังเกตเห็นเรื่องผิดปกติ

       "ไม่เป็นไรหรอก! หมอกจะดูแลเรื่องนั้นเอง!" พี่เดม่อนบอก "มันจะทำให้เขาเห็นว่าเราแค่เดินลงจากรถไฟไปเหมือนผู้โดยสารปกติมั้ง!"

       "หึๆๆๆ... หนีไปไหนไม่รอดหรอก!" อีคิดน่าหัวเราะเยาะ เธอพุ่งเข้าหาพวกเราอย่างรวดเร็ว

       "เอาล่ะ... หนึ่ง... สอง..." พี่เดม่อนนับถอยหลัง

       เสียงประกาศจากรถไฟก็ดังขึ้นอีกครั้ง!

"ผู้โดยสารโปรดทราบ...เราจะถึงสถานีใต้ในบอสตันในอีกห้านาที"

       ห้านาที! เวลาของเราเหลือน้อยลงทุกที!




ความคิดเห็นผู้บันทึก

หนูไม่รู้เลยว่าพวกเราจะรอดมาได้ยังไงค่ะ! การหนีตายบนรถไฟ Acela Express จากอีคิดน่ากับไคมีร่านี่มันสุดยอดไปเลย!

พี่เดม่อนกับพี่รูบี้เก่งมากๆ เลยค่ะ พวกเขาช่วยหนูไว้หลายครั้ง หนูเองก็ได้ใช้น้ำตาแห่งนิมฟ์ด้วย! มันเจ๋งมากเลยที่เห็นไคมีร่าโดนจับมัดติดกับชั้นวางของเสียงดังโครมครามแบบนั้น! แล้วก็การที่เราหลบเข้าไปในช่องระบายอากาศแล้วก็ไปโผล่ที่ห้องคนขับรถไฟด้วย! โอ้โห! เหมือนในหนังเลยค่ะ!

ตอนนี้เราเหลืออีกแค่ห้านาทีก็จะถึงสถานีใต้ในบอสตันแล้วนะคะ! หนูหวังว่าเราจะกระโดดลงจากรถไฟได้อย่างปลอดภัย แล้วก็หวังว่าอีคิดน่ากับไคมีร่าจะไม่ได้ตามเรามาอีกค่ะ เพราะหนูไม่อยากจะเจอพวกมันอีกแล้วจริงๆ!

หนูอยากจะถึงบอสตันเร็วๆ ค่ะ อยากจะเจอเรือไวกิ้งเวทมนตร์ แล้วก็อยากจะไปแอนตาร์กติกาให้เร็วที่สุดเลยค่ะ หวังว่าหลังจากนี้ทุกอย่างจะราบรื่นนะคะ!

สินสงคราม
-



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 34737 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2025-7-31 16:08
โพสต์ 34,737 ไบต์และได้รับ +20 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก ชุดบำรุงอาวุธ  โพสต์ 2025-7-31 16:08
โพสต์ 34,737 ไบต์และได้รับ +5 EXP +8 ความศรัทธา จาก มนต์มหาเสน่ห์  โพสต์ 2025-7-31 16:08
โพสต์ 34,737 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point +8 เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก ดาบเธซีอุส  โพสต์ 2025-7-31 16:08
โพสต์ 34,737 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2025-7-31 16:08
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ประสาทสัมผัสดีขึ้น
เปลวไฟแห่งความหลงใหล
พันธนาการแห่งเสน่ห์
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x2
x14
x3
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้