ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาดใจ แสงแดดสาดส่องเข้ามาที่ใบหน้า แต่ก็ไม่ได้รู้สึกร้อนแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะเรือมินิบานาน่า ที่มีเวทมนตร์ปกป้องพวกเราอยู่
ฉันมองไปรอบๆ รีชานั่งอยู่บนหัวเรือ เธอไม่ได้หลับเลย เธอคอยปลอบประโลมฮิปโปแคมปัสทั้งสองตัวอย่างอ่อนโยน ส่วนรูบี้ก็ยังคงหลับสนิทอยู่ข้างๆ ฉัน...ฉันนึกถึงเรื่องเมื่อวานที่เราต้องต่อสู้กับลูซก้าใต้ทะเล มันน่าหวาดเสียวมาก...แต่เราก็ผ่านมันมาได้
ฉันลุกขึ้นนั่งแล้วยื่นมือไปแตะที่ไหล่ของรีชาเบาๆ "ไม่ได้นอนเลยเหรอ?"
เธอหันมายิ้มให้ฉัน "ไม่เป็นไรค่ะพี่เดม่อน หนูอยากให้พี่ๆ ได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่"
ฉันรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไม่ได้ช่วยอะไรเธอเลย แต่เธอก็ทำหน้าที่ของเธอได้ดีเยี่ยมจริงๆ
รีชาเริ่มเล่าเรื่องที่เธอสัมผัสได้ถึงพลังงานประหลาดใต้น้ำ "มันเหมือนมีเกาะที่ถูกซ่อนไว้ค่ะพี่เดม่อน หนูไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่หนูรู้สึกว่าเราควรจะลองไปดู"
ฉันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ถ้ามันไม่ใช่เกาะปกติ ก็อาจจะเป็นกับดัก"
"แต่เราก็ต้องหาที่เติมเสบียงไม่ใช่เหรอคะ?" รีชาถาม
ฉันพยักหน้า "ใช่...แต่เราจะเสี่ยงเข้าไปในที่ที่ไม่รู้จักไม่ได้"
รูบี้ตื่นขึ้นมาพอดี เธอฟังเรื่องที่เราคุยกันแล้วพูดขึ้นมาว่า "เราเข้าไปดูเถอะ ถ้ามันเป็นกับดัก เราก็แค่สู้"
ฉันมองหน้ารูบี้แล้วก็ถอนหายใจ "นั่นไม่ใช่แผนที่ดีที่สุดหรอกนะรูบี้"
"แล้วเราจะทำยังไงล่ะเดม่อน? มัวแต่ลังเลอยู่อย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่จะไปถึงแอนตาร์กติกากันล่ะ?" เธอถามกลับอย่างฉุนเฉียว
สุดท้ายแล้วฉันก็ยอมแพ้ในความดื้อรั้นของทั้งสองคน "โอเค...เราจะลองไปดู"
เราให้ฮิปโปแคมปัสทั้งสองตัวลากเรือไปตามทิศทางที่รีชาบอก ผ่านไปหลายชั่วโมงก็ยังไม่เจอเกาะอะไรเลย แต่รีชาบอกว่าเราใกล้จะถึงแล้ว
"อยู่ข้างล่างนั่นเองค่ะ!" เธอชี้ลงไปในน้ำ "หนูรู้สึกถึงมันได้ชัดเจนเลย!"
เรามองตามลงไป แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากผืนน้ำสีครามที่ลึกสุดลูกหูลูกตา "เราจะลงไปกันยังไง?" ฉันถาม
รีชายิ้มก่อนจะใช้พลังฟองอากาศแห่งชีวิตสร้างฟองอากาศขนาดใหญ่ห่อหุ้มพวกเราทั้งสามคนไว้ จากนั้นเธอก็สั่งให้ฮิปโปแคมปัสดำดิ่งลงไปใต้น้ำ
เราดำลงไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความมืดมิดของท้องทะเลลึก จนกระทั่งเราเห็นแสงสว่างจางๆ อยู่ข้างหน้า
เมื่อเข้าไปใกล้ขึ้น เราก็เห็นว่ามันคือ อาณาจักรใต้น้ำที่ถูกซ่อนไว้ มันเป็นเมืองที่สร้างจากปะการังและหินสีสวยงาม มีสิ่งก่อสร้างต่างๆ มากมาย แต่ที่น่าแปลกใจคือมันดูเหมือนจะเป็นเมืองร้าง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ เลย
"นี่มันคืออะไรกันแน่?" ฉันถาม
แต่ก่อนที่รีชาจะตอบ ทันใดนั้นประตูเมืองก็เปิดออก มีเงาดำๆ เคลื่อนไหวอยู่ข้างใน
"รีบไปเถอะ!" รูบี้พูดขึ้นมาอย่างกังวล "นี่ไม่ใช่ที่ที่เราควรอยู่!"
แต่สายเกินไปแล้วค่ะ! ประตูเมืองปิดลงแล้ว และเราก็ถูกขังไว้ในเมืองร้างที่เต็มไปด้วยความลึกลับและเงาของใครบางคน...
วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม 2025 | 19:00 น.
ประตูเมืองปิดลงแล้ว เสียงดังสนั่นก้องไปทั่วทั้งทาลาสซา เอเทอร์นา เมืองที่ถูกทิ้งร้างแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ร้างอย่างที่คิด พวกเราทั้งสามคนยืนอยู่กลางถนนที่ปูด้วยหินปะการังที่เงียบสงัด บรรยากาศรอบตัวมันให้ความรู้สึกวังเวงและน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
"มันไม่มีทางกลับแล้ว" รูบี้พูดเสียงเรียบ เธอจับกระบี่เทียนหวงแน่น "ไม่ว่าอะไรจะอยู่ข้างใน เราก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน"
ฉันกับรีชาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ตอนนี้เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากจะต้องเดินหน้าต่อไป
เราเริ่มเดินสำรวจไปตามถนนสายหลัก พวกเราเดินเบียดกันมากขึ้นกว่าปกติ แสงจากอาทิตย์ที่ส่องลงมาไม่สามารถส่องไปถึงทุกซอกทุกมุมของเมืองนี้ได้ มันยังคงมีเงามืดที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่ในซอกซอยต่างๆ ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
"หนูรู้สึกเหมือนมีคนมองเราอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ" รีชากระซิบเบาๆ
ฉันกับรูบี้ต่างก็รู้สึกเหมือนกัน แต่พวกเราก็ต้องเดินหน้าต่อไป
เมืองนี้เหมือนจะเคยมีชีวิตชีวามาก่อน มีร้านค้าและบ้านเรือนที่ถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง แต่ตอนนี้ทุกอย่างถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำและเศษซากของความเก่าแก่ มันเป็นเมืองที่สวยงามแต่ก็เศร้าสร้อยในเวลาเดียวกัน
ทันใดนั้นเอง เราก็ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาดังมาจากข้างหลัง
"กลับไป..."
พวกเราทั้งสามคนหันกลับไปมอง แต่ก็ไม่เห็นใครเลย
"เสียงอะไรน่ะ?" รีชาถาม
"ไม่รู้..." ฉันตอบ "แต่ฉันคิดว่าเราถูกต้อนแล้ว"
เงามืดที่เคลื่อนไหวในซอกซอยต่างๆ เริ่มขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น พวกมันไม่มีรูปร่างที่ชัดเจน แต่ก็สัมผัสได้ถึงความมุ่งร้ายที่แฝงอยู่
"เตรียมตัวให้พร้อม" รูบี้พูด "ฉันว่าเรากำลังจะได้สู้แล้ว"
วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม 2025 | 19:15 น.
พวกเรายืนหันหลังชนกันเป็นสามเหลี่ยม รีชาอยู่ข้างหน้าฉัน รูบี้อยู่ด้านข้าง ทุกคนอยู่ในท่าเตรียมพร้อม อากาศใต้น้ำในทาลาสซา เอเทอร์นาเย็นยะเยือกกว่าที่ฉันคิดไว้มาก และความเงียบสงัดก็ทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
เงามืดที่เคลื่อนไหวในซอกซอยต่างๆ เริ่มขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันมีรูปร่างคล้ายปลาขนาดใหญ่ แต่ก็ดูบิดเบี้ยวและผิดธรรมชาติ พวกมันไม่ได้พุ่งเข้ามาโจมตีทันที แต่กลับว่ายวนรอบๆ เหมือนกำลังล้อมพวกเราไว้
"พวกมันคืออะไรกันแน่?" รีชาถามเสียงสั่น แต่เธอก็ยังกำตรีศูลน้อยที่เธอเรียกขึ้นมาแน่น
"ฉันไม่รู้" รูบี้ตอบ "แต่มันไม่ได้มีตัวตนจริงๆ ฉันรู้สึกถึงแค่ความเย็นยะเยือก ไม่ใช่พลังชีวิต"
ฉันเห็นด้วยกับรูบี้ ฉันใช้พลังตาหลากสีของฉันมองดูรอบๆ แต่มันก็ไม่มีอะไรให้ฉันเห็นเลย นอกจากเงามืดและแสงที่ส่องมาจากภายนอกเมือง
"เราต้องหาต้นตอให้เจอ" ฉันบอก "พวกมันต้องมีคนบงการอยู่"
รีชาพยักหน้า เธอหลับตาลงและเอามือแตะลงไปในน้ำทะเล เธอใช้พลังเซ็นเซอร์น้ำเพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของน้ำและหาแหล่งพลังงานที่ผิดปกติ
"หนูรู้สึกถึง...ความเศร้าค่ะ" เธอพูด "มันเป็นความรู้สึกที่หนักอึ้งมาก...แล้วก็มี...พลังเวทมนตร์เก่าแก่บางอย่าง"
รูบี้ใช้พลังสายเลือดนักรบของเธอเพื่อรับรู้ถึงอันตราย เธอมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง "ฉันรู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่งมาก...แต่มันไม่ใช่พลังของสิ่งมีชีวิต"
จู่ๆ ฉันก็สังเกตเห็นบางอย่าง มันเป็นแสงสีเงินจางๆ ที่ส่องออกมาจากอาคารหลังใหญ่ที่สุดใจกลางเมือง รีชาสัมผัสได้ถึงพลังงานจากที่นั่น และรูบี้ก็รับรู้ได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งจากทิศทางเดียวกัน
"ตรงนั้น" ฉันชี้ไปที่อาคารหลังนั้น "ฉันคิดว่ามันคือต้นตอ"
เงามืดที่ล้อมรอบพวกเราอยู่เริ่มสลายไปเมื่อเราเริ่มมุ่งหน้าไปที่อาคารหลังนั้น แสดงว่าพวกมันไม่อยากให้เราเข้าไปใกล้ แต่เราก็ไม่สนใจ เราเดินหน้าต่อไปอย่างมุ่งมั่น พวกเราต้องรู้ให้ได้ว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้
เราเดินเข้าไปใกล้อาคารหลังใหญ่ใจกลางเมืองเรื่อยๆ เงามืดที่เคยล้อมรอบเราไว้หายไปหมดแล้ว แต่ก็มีเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ไม่ใช่เสียงของรีชาหรือรูบี้ดังขึ้นมาในหัวของฉัน
"ที่นี่ไม่ใช่ที่ของพวกเจ้า..." เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าและความโศกเศร้า "กลับไปซะ..."
"รีชา! ได้ยินเสียงนั้นไหม?" ฉันถาม
รีชาพยักหน้า "ได้ยินค่ะ...มันเป็นเสียงที่ฟังดูเศร้ามากเลย..."
รูบี้ชักกระบี่เทียนหวงออกมาเตรียมพร้อม "มันไม่ได้อยากให้เราเข้าไปในอาคารนั่น"
ฉันมองไปที่ประตูอาคาร มันเป็นประตูเหล็กขนาดใหญ่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำและหอยนางรม ดูเก่าแก่และหนักอึ้ง
"เราต้องเข้าไป" ฉันพูด "ถ้าอยากรู้ว่าอะไรคือสาเหตุของความเศร้าทั้งหมดนี้"
เราผลักประตูเข้าไปอย่างระมัดระวัง ภายในอาคารเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีรูปปั้นเทพธิดาองค์หนึ่งตั้งอยู่กลางห้อง แต่รูปปั้นนั้นแตกหักและถูกทำลายไปจนหมดแล้ว
แต่ที่น่าตกใจที่สุดคือสิ่งที่อยู่ในมือของรูปปั้นนั้น มันคือ...หีบสมบัติ!
"นั่นไง!" รีชาตะโกน "เราเจอแล้ว!"
แต่ก่อนที่เราจะได้เข้าไปใกล้หีบสมบัตินั้น เงาที่ดูเหมือนจะใหญ่กว่าเงาอื่นๆ ก็ปรากฏขึ้นมาข้างหลังหีบสมบัติ มันไม่มีรูปร่างที่ชัดเจน แต่ฉันรู้สึกได้ถึงพลังที่รุนแรงและมุ่งร้าย
"ไม่มีใคร...จะเอาของของฉันไปได้!" เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของพวกเราทุกคน มันไม่ใช่เสียงกระซิบที่แผ่วเบาอีกต่อไป แต่มันคือเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธและความเคียดแค้น
"รีบไปเถอะ!" รูบี้ตะโกน "นี่ไม่ใช่ที่ที่เราควรอยู่!"
แต่ประตูอาคารที่เราเข้ามากลับถูกปิดลงอย่างแน่นหนา เราถูกขังไว้ในนี้แล้ว
"เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากสู้" ฉันบอก ดาบเธซีอุสในมือฉันส่องแสงสีฟ้าอ่อนๆ รูบี้ชักกระบี่เทียนหวงออกมาจากฝัก รีชาเองก็เตรียมพร้อมด้วยตรีศูลน้อยของเธอ
"ใจเย็นๆ นะ" ฉันพูดขึ้น "พวกมันไม่ได้มีตัวตนจริงๆ เราต้องหาทางหยุดมันด้วยพลังของเรา"
เราทั้งสามคนหันหลังชนกันเป็นวงกลม เตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเงาที่กำลังจะเข้าโจมตี เงาตัวอื่นๆ ที่ว่ายวนอยู่รอบๆ ห้องโถงก็เริ่มขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น
"รีชา! ใช้พลังของเธอดูสิว่ามันคืออะไร!" ฉันสั่ง
รีชาพยักหน้า เธอหลับตาลงแล้วใช้พลังเซ็นเซอร์น้ำเพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของเงา "มันคือ...ความเศร้าค่ะพี่เดม่อน! มันคือความรู้สึกที่หนักอึ้งมากจนก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นมาได้"
"ความเศร้า?" รูบี้ถามด้วยความสับสน
"ใช่ค่ะ! มันคือความเศร้าของคนที่ถูกทอดทิ้ง! มันเกลียดทุกคนที่เข้ามาในเมืองนี้!" รีชาตอบ
เงาที่ใหญ่ที่สุดพุ่งเข้ามาหาพวกเราอย่างรวดเร็ว ผมตั้งโล่อัสพิสขึ้นป้องกัน แต่เงาตัวนั้นกลับทะลุผ่านโล่ของฉันมาได้อย่างง่ายดาย!
"มันไม่มีตัวตนจริง!" รูบี้ตะโกน "มันเป็นแค่ความรู้สึก! การโจมตีด้วยดาบหรือกระบี่ไม่ได้ผล!"
เราทั้งสามคนต่างก็พยายามใช้พลังของตัวเองเพื่อป้องกันตัว แต่ก็ไม่เป็นผล เงาพวกนั้นทะลุผ่านพวกเราไปได้อย่างง่ายดาย แต่ความรู้สึกที่ทับถมไปด้วยความเศร้าและความเกลียดชังก็เข้าครอบงำพวกเราอย่างรุนแรง ทำให้เราเริ่มรู้สึกอ่อนแอและสิ้นหวัง
"ต้องหาทางหยุดมัน!" ฉันบอก "มันต้องมีวิธีที่สามารถหยุดมันได้!"
ในชั่วขณะที่ผมกำลังพยายามคิดหาทางออกนั้นเอง เงาตัวที่ใหญ่ที่สุดก็พุ่งตรงเข้ามาหาผมอีกครั้ง คราวนี้มันไม่ได้ทะลุผ่านไปเฉยๆ แต่มันกลับห่อหุ้มตัวผมไว้ราวกับเป็นพายุหมุน
ความรู้สึกแรกที่ผมได้รับคือความเศร้า...เป็นความเศร้าที่ท่วมท้นจนผมแทบจะหายใจไม่ออก มันไม่ใช่แค่ความเศร้าของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันคือความเศร้าของคนทั้งเมือง ความรู้สึกของการถูกทอดทิ้ง ความรู้สึกของการรอคอยอย่างไร้ความหวัง ความเจ็บปวดที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ภาพต่างๆ ผุดขึ้นมาในหัวของผมอย่างรวดเร็ว ผมเห็นเมืองที่เคยรุ่งเรืองแห่งนี้ค่อยๆ จมลงสู่ใต้ทะเล ผมเห็นผู้คนมากมายที่พยายามต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับความสิ้นหวัง ผมเห็นใบหน้าของพวกเขาที่เต็มไปด้วยความเศร้าและน้ำตา ก่อนที่ดวงตาของพวกเขาจะปิดลงไปชั่วนิรันดร์
ความรู้สึกนั้นมันหนักหน่วงเกินกว่าที่ผมจะแบกรับได้ ผมรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะแตกสลาย และภาพของลิเลียน่าที่ลืมผมไปก็กลับมาอีกครั้ง มันเจ็บปวดเหลือเกิน...
"อั่ก..." ผมร้องออกมาเบาๆ ทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น ดาบเธซีอุสในมือของผมหล่นลงจากมือ แสงสีฟ้าค่อยๆ มอดดับไป
ผมเงยหน้ามองเพื่อนร่วมทีมที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก รูบี้พยายามใช้กระบี่เทียนหวงของเธอฟันเข้าใส่เงา แต่ก็ไม่เป็นผล ใบหน้าของเธอดูซีดเผือดและเต็มไปด้วยความหงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ได้ ส่วนรีชาก็พยายามใช้ตรีศูลน้อยของเธอพุ่งเข้าใส่เงา แต่ก็ไม่เป็นผลเช่นกัน เธอเองก็มีน้ำตาคลอเบ้าอยู่เล็กน้อย
ผมมองเห็นได้ว่าพวกเขาก็โดนเล่นงานเหมือนกับผม ความเศร้าและความสิ้นหวังเริ่มกัดกินจิตใจของพวกเราทุกคน
ผมมองไปที่รีชา เธอตัวสั่นเล็กน้อย ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาที่พร้อมจะไหลออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ เธอคงสัมผัสได้ถึงความเศร้าที่รุนแรงกว่าใครในพวกเราทั้งหมด ส่วนรูบี้...เธอตัวสั่นด้วยความโกรธ ไม่ใช่ความกลัว เธอเกลียดความอ่อนแอที่กำลังคืบคลานเข้ามาในตัวพวกเรา
แล้วผมก็เห็นบางอย่างที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น...
เงาแห่งความเศร้าที่เข้ามาโจมตีผมก่อนหน้านี้กำลังย้อนกลับมา! มันพุ่งเข้ามาหาผมอีกครั้งหนึ่งในขณะที่ผมกำลังอ่อนแอและไร้เรี่ยวแรง!
"เดม่อน!" เสียงของรูบี้ดังขึ้น "ระวัง!"
ผมพยายามจะลุกขึ้น แต่ร่างกายกลับหนักอึ้งราวกับถูกตรึงไว้กับพื้น ผมทำได้เพียงนั่งมองเงาแห่งความเศร้านั้นพุ่งเข้ามาหาอย่างไม่หยุดยั้ง...
เงาแห่งความเศร้าพุ่งเข้ามาห่อหุ้มตัวฉันอีกครั้ง และคราวนี้มันดูดฉันให้จมดิ่งลงไปสู่ห้วงลึกของความทรงจำที่เจ็บปวดที่สุดของตัวเอง
ภาพแรกที่ผุดขึ้นมาคือใบหน้าของพ่อ คริสโตเฟอร์ แคนเนลท์ ในคืนนั้น... คืนที่ไซคลอปส์บุกเข้ามาในบ้านของเรา ฉันเห็นเขาพยายามต่อสู้เพื่อปกป้องฉัน แต่เขาก็พ่ายแพ้ให้กับสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งกว่ามากนัก ภาพที่เขาถูกอสุรกายทำร้ายยังคงชัดเจนในหัวของฉันราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ความรู้สึกผิดแล่นเข้ามาโจมตีในทันที... 'ถ้าฉันไม่เป็นลูกครึ่งเทพ...พ่อก็คงไม่ต้องมาตายเพราะฉัน!' เสียงนั้นก้องอยู่ในหัวของฉันไม่หยุด
ภาพถัดมาคือภาพของฉันกับลิเลียน่าในค่ายฮาล์ฟบลัด ฉันเห็นเธอยิ้มให้ฉันอย่างสดใส สอนฉันเรื่องการต่อสู้ และคอยปลอบโยนฉันในวันที่ฉันรู้สึกท้อแท้
แต่แล้วภาพนั้นก็เปลี่ยนไป... ผมเห็นเธออยู่ในภารกิจที่เฮติ เธอเผชิญหน้ากับความกลัวที่สุดของตัวเอง... และผมเห็นเธอใช้พลังของเธอเพื่อช่วยเหลือเพื่อนๆ และท้ายที่สุดก็ต้องยอมเสียสละความทรงจำที่มีค่าที่สุดเกี่ยวกับฉันไป เพื่อแลกกับสติของเพื่อนร่วมทีม
ผมเห็นความเศร้าในดวงตาของเธอในตอนนั้น... มันเป็นความเจ็บปวดที่ผมไม่สามารถลืมได้เลย...
'นี่แหละสิ่งที่นายทำ!' เสียงของลิเลียน่าในฝันร้ายก้องอยู่ในหัวของผม "นายเป็นต้นเหตุ! เพราะนาย...ฉันถึงต้องเป็นแบบนี้!"
ผมกรีดร้อง พยายามจะปฏิเสธ พยายามจะเอื้อมมือไปคว้าเธอไว้ แต่ร่างของเธอก็เลือนหายไป กลายเป็นเพียงเสียงหัวเราะอันน่ากลัวที่สะท้อนก้องอยู่ในความมืด
ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวที่มากกว่าการโดนเดธแมชชีนฟาดเข้าจู่โจมหัวใจผม ความจริงที่ว่าผมเป็นต้นเหตุของความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับลิเลียน่า ความรู้สึกนั้นมันกัดกินจิตใจผมจนแทบจะใจสลาย
ผมพยายามดิ้นรน หนีจากภาพฝันอันน่ากลัวนั้น แต่ทุกครั้งที่หลับตาลง ภาพของลิเลียน่าในร่างอสุรกายก็ผุดขึ้นมาหลอกหลอนไม่หยุด
ผมยังคงจมดิ่งอยู่ในฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพเดิมๆ วนเวียนไม่รู้จบ เสียงหัวเราะเยือกเย็นของลิเลียน่าในร่างอสุรกายยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท ความเจ็บปวดจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของหายนะกัดกินจิตใจผมอย่างไม่หยุดหย่อน มันหนักหน่วงจนผมรู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของความสิ้นหวัง
แรงกายที่สะสมมาตลอดวันถูกบั่นทอนลงไปพร้อมกับจิตใจที่อ่อนล้า ผมรู้สึกได้ว่าพลังงานในตัวกำลังเหือดแห้งไป ความสามารถในการต่อสู้ที่เคยมี หรือแม้แต่มนต์มหาเสน่ห์ที่เคยใช้ได้อย่างง่ายดาย ก็ดูเหมือนจะถูกบดบังด้วยเงามืดของความกลัวและความเจ็บปวดนี้
ผมยังคงไม่ตื่น... ภาพของลิเลียน่าที่บิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยความเกลียดชังยังคงตามหลอกหลอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในห้วงนิทราอันยาวนานนี้
แต่ในห้วงความมืดมิดนั้นเอง ภาพหนึ่งก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น มันเป็นภาพที่แตกต่างจากฝันร้ายอื่นๆ ที่ผมเคยเจอ
ผมเห็นตัวเองยืนอยู่ในเมืองที่คุ้นเคย...ดีทรอยต์ ผมกำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มลัทธิของจักรพรรดิโรมันที่จ้องมองมาอย่างดุดัน ผมรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่กัดกินหัวใจ และรู้ว่าผมกำลังจะพ่ายแพ้...
แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงหนึ่ง... "อย่ายอมแพ้นะเดม่อน!" เสียงนั้นสดใสและคุ้นเคยเหลือเกิน ลิเลียน่าพุ่งเข้ามาในฉากอย่างไม่ลังเล เธอสู้เคียงข้างผม สวมชุดที่สวยงามราวกับเทพธิดา และดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะปกป้องผม
ภาพนั้นช่างงดงามและจริงแท้เหลือเกิน... ลิเลียน่าในภาพนั้นคือลิเลียน่าที่ผมรู้จัก เธอไม่ได้อ่อนแอ ไม่ได้เป็นตัวถ่วง แต่แข็งแกร่งและกล้าหาญเสมอมา
แต่แล้วภาพนั้นก็เริ่มบิดเบี้ยว... ลิเลียน่าในภาพค่อยๆ เปลี่ยนไป ใบหน้าของเธอซีดเผือด ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาที่พร้อมจะไหลออกมา แต่เธอก็ยังคงยิ้มให้ผม "ฉัน...จะปกป้องนายเอง..." เธอพูด เสียงของเธอแผ่วเบา แต่ก็หนักแน่น "ไม่ต้องห่วงนะ...เดม่อน"
ภาพนั้นบีบหัวใจผมจนเจ็บไปหมด มันคือความจริงที่ผมพยายามลืม... เธอเข้ามาช่วยผมที่ดีทรอยต์ และเธอปกป้องผมเสมอมา
แต่แล้วภาพสุดท้ายก็ปรากฏขึ้น... ผมเห็นเธอในสภาพที่น่ากลัวที่สุด เธอกำลังสั่นเทิ้มด้วยความกลัว แต่ก็พยายามต่อสู้เพื่อปกป้องผม ผมมองเห็นความหวาดกลัวในดวงตาของเธอ แต่เธอก็ยังคงยิ้มให้ผม "เดม่อน...อย่ากลัวนะ..." เธอพูด เสียงของเธอแผ่วเบามาก "นายไม่เคยเป็น...ตัวถ่วงของฉันเลยนะ..."
คำพูดนั้นแทงเข้ากลางใจผมอย่างจัง...
ในขณะที่ผมกำลังจมดิ่งลงในห้วงความทรงจำอันเจ็บปวดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีอีกภาพฉายขึ้นมาในหัวของผม...
ภาพที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน...ภาพที่ผมไม่ควรจะเห็น
ผมยืนอยู่ในห้องโถงที่มืดสลัว มองเห็นลิเลียน่า, เฟเรีย, และอลิเซียกำลังยืนอยู่ด้วยกัน เฟเรียกับอลิเซียกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง แต่ลิเลียน่ากลับดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน...
เธอหันมาทางผม สายตาของเธอมองทะลุภาพมายาเข้ามาในส่วนลึกของจิตใจผม ราวกับรู้ว่าผมกำลังยืนมองเธออยู่จากที่ใดที่หนึ่ง
"ถ้าเป็นนาย...นายก็คงทำอย่างนี้เหมือนกัน..."
เสียงของเธอดังก้องอยู่ในหัวของผม มันไม่ใช่เสียงที่กล่าวหา ไม่ใช่เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ แต่มันคือเสียงที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ และความเมตตา ราวกับเธอพยายามจะบอกผมว่า 'อย่าโทษตัวเองเลยนะเดม่อน...นี่คือทางเลือกของฉันเอง...'
ภาพนั้นสลายไปในทันที ความเจ็บปวดที่ทับถมมาหลายวันพลันหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่จริง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยขึ้นสู่ผิวน้ำจากก้นทะเลที่ลึกที่สุด แสงสว่างจ้าส่องเข้ามาในดวงตา
ผมตื่นขึ้นมาด้วยเสียงหัวใจที่เต้นรัว รู้สึกถึงร่างกายที่สดชื่นราวกับได้นอนหลับเต็มอิ่มไปหลายสัปดาห์...
ความเศร้าที่เคยกัดกินจิตใจผมหายไปแล้ว...แต่ความรู้สึกผิด...มันยังคงอยู่
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยเสียงหัวใจที่เต้นรัว รู้สึกถึงร่างกายที่สดชื่นราวกับได้นอนหลับเต็มอิ่มไปหลายสัปดาห์ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ปวดร้าว... ความทรงจำที่บิดเบี้ยวของลิเลียน่าที่ผมเห็นในฝันยังคงชัดเจน
"พี่เดม่อน! เป็นอะไรไปคะ!?" เสียงของรีชาดังขึ้น
ผมเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเธอกับรูบี้กำลังถูกล้อมรอบด้วยเงามืดที่เต็มไปด้วยความเศร้า พวกมันไม่ได้โจมตีพวกเธอโดยตรง แต่ความรู้สึกสิ้นหวังที่พวกมันปล่อยออกมาก็ทำให้ทั้งสองคนดูอ่อนล้าลงไปมาก
'ไม่นะ...ฉันจะไม่ยอมให้พวกมันทำร้ายเพื่อนๆ อีกแล้ว!' ผมคิด
ความรู้สึกผิดที่ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับลิเลียน่าและภาพที่เธอปกป้องผมที่ดีทรอยต์ ทำให้ผมรู้สึกว่าผมต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องคนที่อยู่ข้างกายผมในตอนนี้
ผมรีบลุกขึ้นยืน คว้าดาบเธซีอุสและโล่อัสพิสขึ้นมาเตรียมพร้อม ผมเข้าไปยืนอยู่ข้างหน้ารีชาและรูบี้ พลางกางโล่เพื่อป้องกันพวกเธอจากความเศร้าที่แผ่ซ่านออกมา
เงามืดเหล่านั้นดูเหมือนจะประหลาดใจกับการกระทำของผม พวกมันหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ
ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะทำจะใช้ได้ผลหรือไม่ แต่ผมก็ต้องลอง ผมหลับตาลง พลางเพ่งสมาธิไปยังพลังมนต์มหาเสน่ห์ของผม
"หยุดเถอะ" ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็แฝงไปด้วยพลังที่จริงใจ "พวกเธอไม่จำเป็นต้องทนทุกข์ทรมานอีกแล้ว"
แสงสีชมพูอ่อนๆ เปล่งประกายออกมาจากตัวผม กลิ่นหอมหวานของดอกกุหลาบลอยอบอวลไปทั่วห้องโถง เสียงของผมดังขึ้นอีกครั้ง "ฉันรู้ว่าพวกเธอเจ็บปวด...ฉันรู้ว่าพวกเธอถูกทอดทิ้ง...แต่พวกเธอไม่จำเป็นต้องเกลียดชังอีกต่อไปแล้ว..."
เงามืดเหล่านั้นเริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เสียงกระซิบที่เต็มไปด้วยความเศร้าดังขึ้นในหัวของผมอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ได้เต็มไปด้วยความเคียดแค้นอีกต่อไป
ผมยังคงพยายามต่อไป...ผมจะใช้พลังมนต์มหาเสน่ห์ของผมปลอบประโลมพวกมัน...ผมจะใช้มันขับขานบทเพลงแห่งความโศกเศร้า เพื่อปลดปล่อยพวกมันให้เป็นอิสระจากความทุกข์ทรมานที่พวกมันต้องแบกรับมานานนับพันปี
พิชิต
-

ความคิดเห็นผู้บันทึกมันน่ากลัวมากที่เห็นรีชากับรูบี้กำลังอ่อนแอลงเพราะความเศร้าที่พวกวิญญาณนี่ปล่อยออกมา ผมรู้สึกผิดที่ทำให้พวกเธอต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีก
แต่การได้เผชิญหน้ากับความทรงจำที่เจ็บปวดที่สุดของตัวเอง..
.โดยเฉพาะเรื่องลิเลียน่า...มันกลับทำให้ผมเข้มแข็งขึ้นอย่างประหลาด ผมรู้ว่าผมไม่สามารถยอมแพ้ได้อีกแล้ว ผมต้องปกป้องพวกเธอ
ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังทำจะใช้ได้ผลไหม การใช้มนต์มหาเสน่ห์ปลอบประโลมวิญญาณมันฟังดูบ้าบอสิ้นดี แต่ผมก็ต้องลอง ผมต้องหาทางทำให้พวกเธอรู้สึกดีขึ้น และปลดปล่อยพวกเธอให้เป็นอิสระจากความเศร้าที่ทับถมมานาน
ผมหวังว่าผมจะทำได้...ผมหวังว่าพลังสายเลือดของแม่จะสามารถช่วยพวกวิญญาณที่น่าสงสารเหล่านี้ได้...
