ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรกจริงๆ
โรบินซดซุปเต้าเจี้ยวหอยลายที่เริ่มเย็นชืด รสเค็มปะแล่มกับความเผ็ดปลายลิ้นแทบไม่ช่วยปลอบประโลมความกระอักกระอ่วนในใจได้เลย สมองของเธอหมุนเร็วจี๋ พยายามหาทางออกจากสถานการณ์ที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง…
เธอไม่เคยแม้แต่จะจินตนาการว่าครั้งหนึ่งจะต้องมานั่งทำอะไรที่ใกล้เคียงกับการเป็นสตอล์กเกอร์ หรือแย่กว่านั้น... คนโรคจิต แต่ตอนนี้ กลับต้องมานั่งนิ่งๆ ในโรงอาหาร จ้องมองกลุ่มคนที่นั่งหัวเราะและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ไม่ไกล
สายตาของเธอหยุดที่หญิงสาวผมดำ หน้าตาออกไปทางเอเชียคนหนึ่งในกลุ่มคนจากบ้านพักหมายเลขสิบห้า เธอดูผ่อนคลายและกำลังขยับตัวไปตามจังหวะเพลงในหูฟังอย่างไร้กังวล โรบินจำได้ทันทีว่านั่นแหละคือเป้าหมายของเธอ เฟเรีย เฮย์ส
นอกจากเพื่อนร่วมบ้านฮิปนอส โรบินเลื่อนสายตาผ่านไปยังสิ่งที่ยิ่งทำให้เธอรู้สึกแย่กว่าเดิม…ก็อบลินตัวเล็กๆ ที่นั่งข้างๆ เฟเรียกำลังหัวเราะร่า ภาพนั้นดูเหมือนกลุ่มเพื่อนมนุษย์ธรรมดา แต่โรบินรู้ดีว่าอมนุษย์ตนนั้นพร้อมพุ่งเข้าใส่ถ้ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น
‘กางเกงในไดโอนีซุสเหอะ ฉันเกลียดงานนี้จริงๆ’
คืออย่างนี้ ทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อสิบห้านาทีก่อน ตอนที่เงาร่างซีดขาวของสตรีนางหนึ่งปรากฏขึ้นจากกรวยหมอกหมุนวนสีดำทั้งสามทิศของโถงรูปปั้นในบ้านพักหมายเลขสิบเอ็ด ตอนที่โรบินกำลังภาวนาถึงเฮอร์มีส...พ่อผู้หายสาบสูญ และก็เป็นอีกครั้งที่นอกจากจะไม่เจอคนที่ต้องการแล้ว เธอยังต้องเจอกับความสยองสุดขีดเมื่อเงาทั้งสามสายเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ มารวมกันเป็นร่างของหญิงสาวในชุดราตรีสีดำที่สวยจนน่าใจหายตรงหน้า
“โรบิน มิไคเลอร์วิช” ผู้หญิงคนนั้นเปล่งเสียงเข้ามาในสมองของเธอโดยไม่ขยับปาก โรบินอยากวิ่งหนีจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดเพราะดวงตาสีดำขลับ… ที่แม้แต่ตาขาวก็เป็นสีดำคู่นั้นกำลังจ้องมาราวกับได้อ่านเรื่องราวทั้งชีวิตของเธอมาแล้วประมาณล้านรอบ
แต่เธอขยับขาออกไปไม่ได้เลย
“คุณ… เอ่อ ท่าน…ท่านคือใครคะ?” โรบินน้ำตาแทบไหลเมื่อพบว่าเสียงของเธอนั้นทั้งเล็กทั้งแหลมราวกับหมูโดนเชือด คนคนนี้ไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ แต่เธอไม่รู้จริงๆ ว่าสิ่งนี้คืออะไร เทพเจ้า อมนุษย์ หรือจะเป็นอสุรกายฤดูหนาวที่ยังไม่ถูกกำจัดหรือเปล่า เป็นไปได้ว่าอาจจะมีสักตัวที่หลบซ่อนอยู่ในค่ายโดยที่ไม่มีใครรู้
“โอ้…” นางหัวเราะเสียงเรียบ หมอกควันเล็กๆ ที่วนเวียนข้างเท้าของนางก็ดูเหมือนจะมีชีวิต มันขยับยุกยิกอย่างสนุกสนานราวกับกำลังกลั้นหัวเราะไปพร้อมกับเจ้าของ ทันใดนั้นคบเพลิงแบบโบราณก็ปรากฏขึ้นในมือทั้งสองข้างของผีสาวนางนี้ “ถ้าไม่มีเรา เจ้าก็คงจะไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ เราคือเฮคาที เทพีแห่งเวทมนตร์ จงใช้พรสวรรค์ที่เจ้าได้รับจากบิดาของเจ้าช่วยเหลือเรา สาวน้อย”
โรบินได้แต่ยืนทำปากพะงาบๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร เทพีแห่งเวทมนตร์คนนี้รู้อะไรมากันแน่ถึงได้ปรากฏตัวด้วยฉากจั๊มสแกร์ที่สามารถทำให้คนหัวใจวายตายได้ แถมยังพูดอะไรเอาแต่ใจอยู่คนเดียวอีก
“พรสวรรค์… อะไรคะ?”
เทพีพ่นลมออกจากจมูกด้วยความเหนื่อยหน่าย แสงจากเปลวเพลิงส่องสะท้อนในดวงตาสีดำขลับ “คงต้องมีคนบอกเจ้าเสียที...ว่าถึงจุดหนึ่ง รูปปั้นของเทพบิดาหรือมารดาของเจ้า จะมอบพลังให้บุตรของตนเมื่อพวกเขาพร้อม” เทพีวางคบเพลิงของนางลงบนขาตั้งทำจากหมอกที่โผล่ออกมาจากพื้นตอนไหนไม่รู้
โรบินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “แล้วทำไมถึงตอนนี้…”
เฮคาทียกมือขึ้นขัดจังหวะ ไม่ปล่อยให้โรบินพูดจบ “สิ่งที่เจ้าทำ เราหมายถึงการสัมผัสมือกับรูปปั้น คือการแสดงความเคารพต่อชะตากรรมของสายเลือด” เปลวไฟจากคบเพลิงไหวระริก แต่ไม่ได้ช่วยให้ห้องที่อุณหภูมิต่ำจนเข้าขั้นติดลบอุ่นขึ้นมาได้เลย
“เมื่อสักครู่ เจ้าเพิ่งจะปลดปล่อยศักยภาพทางด้านร่างกายของตัวเองที่ิติดตัวมาแต่กำเนิด สัมผัสอันเฉียบคม ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ สายลมรอบตัวที่โอบล้อมร่างกายจะช่วยให้เจ้าพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว” เทพีเดินวนรอบตัวของโรบินช้าๆ
“แล้ว…คุณต้องการให้หนูทำอะไร?”
กลับเข้ามาสู่ปัจจุบัน
‘จงพาตัวเฟเรียมาให้เรา และจงทำลายคริสตัลลูกนี้ก่อนที่เจ้าจะออกมาจากที่นั่น’
โรบินมองกระดาษโน๊ตแผ่นเล็กๆ ที่เขียนชื่อร้านค้าชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางย่านบรอดเวย์สลับกับคริสตัลสีดำในมือ
‘นั่นมันเป็นการก่ออาชญากรรมเลยนะคะ…’
‘ทางเลือก โรบิน มิไคเลอร์วิช’ เสียงของเฮคาทียังดังก้องอยู่ในหัว ไม่ว่าเธอจะพยายามไล่เสียงนั้นออกไปอย่างไร มันก็ยังชัดเจนราวกับเทพียืนอยู่ตรงหน้า ‘ตอนนี้เจ้ากำลังยืนอยู่ ณ ทางแพร่ง และเราคือเทพีแห่งทางแพร่ง’
โรบินนึกเจ็บใจที่มัวแต่กลัว เพราะก่อนที่เธอจะทันได้รวบรวมความกล้าปฏิเสธออกไป หมอกหนาที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้น ก็กลืนกินร่างของเทพีจนหายวับไปกลางอากาศเสียแล้ว
และเพราะไม่อยากเป็นศัตรูกับเทพถึงสององค์ในวันเดียวกัน แถมทั้งคู่ยังปวดหัวกับเธอในเรื่องเดียวกันอีก โรบินถึงได้เอาตัวเองออกมากินข้าวในโรงอาหารแทนที่จะกลับไปนอนพักเอาแรง
เมื่อเฟเรียกับก็อบลินของเธอผุดลุกขึ้นไปยังกองไฟเผาอาหาร โรบินถึงลุกจากโต๊ะหมายเลขสิบเอ็ด
“รีบทำให้จบๆ จะได้กลับไปนอนสักที”
[ดูโรลเพลย์เริ่มต้นของเฟเรียประกอบ]
“สวัสดีค่ะคุณเฟเรีย” โรบินสะกิดเข้าที่ไหล่ด้านหลังของหญิงสาวผู้ครอบครองใบหน้าจิ้มลิ้มแบบคนเอเชียจนยากที่จะคาดเดาอายุ พร้อมฉีกยิ้มกว้างเป็นการทักทาย
“...” @Feria [ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
วินาทีที่เฟเรียหันกลับมา และดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นสบเข้ากับสายตาของโรบิน เธอก็รู้ได้ทันทีว่าภารกิจนี้ไม่ง่ายเลย
“โรบินค่ะ โรบิน มิไคเลอร์วิชจากบ้านพักหมายเลขสิบเอ็ด” โรบินยื่นมือออกไปทักทาย
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
“ช่ายค่ะ” โรบินลากเสียงยาว “เรายังไม่เคยคุยกันมาก่อน คือฉันเพ่ิงเข้ามาอยู่ค่ายได้ไม่นานน่ะค่ะ”
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
โรบินสูดลมหายใจเข้าจนสุดปอด “คืออย่างนี้ค่ะ…ไครอนบอกว่าฉันเพิ่งได้รับพลังใหม่จากพ่อ แต่ฉันไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย นึกออกมั้ยคะ? ฉันเลยอยากลองทดสอบดู แต่คนในบ้านส่วนใหญ่ก็ทยอยกันไปข้างนอกหมดแล้ว” โรบินใช้สายตาเมียงมองไปยังโต๊ะอาหารของบ้านหมายเลขสิบเอ็ดที่ตอนนี้ว่างเปล่า “เหลือก็แต่คุณที่ฉันคิดว่าน่าจะช่วยได้...” เธอพ่นทุกอย่างที่ิเตรียมไว้ออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่เว้นให้คนที่สามารถน็อคเธอให้สลบได้ด้วยคำไม่กี่คำได้พูดแทรก ภาวนาให้เสียงไม่สั่นจนดูน่าสงสัย
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
โป๊ะเช๊ะ!
“ก็... ฉันอยากลองทดสอบพลังวิ่งเร็วค่ะ!” โรบินพูดพร้อมยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้น
“ไครอนบอกว่าไอ้พลังนี้เนี่ยมันทำให้ฉันวิ่งเร็วปรู๊ดปร๊าดเหมือนเดอะแฟลชเลยค่ะ เคยดูมั้ย?”
เธอเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนจะเสริมด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “แถมกล้ามเนื้อยังแข็งแรง วิ่งมาราธอนเป็นร้อยกิโลก็ไม่เหนื่อย เขาบอกว่าถ้าไม่เชื่อให้ลองแบกของหนักๆ วิ่งดู ฉันเลยคิดว่าถ้าคุณช่วยฉันหน่อย—”
โรบินกางไม้กางมือออกกว้างเป็นท่าทางประกอบให้ดูเหมือนตัวละครจากภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ชื่อดัง จนเธอแทบจะเชื่อเสียเองแล้วว่าตัวเธอเป็นแบร์รี่ อัลเลนในชีวิตจริง
แต่นั่นก็ทำให้เธอเริ่มรู้สึกผิดนิดๆ ที่ดึงเอาชื่อไครอน—ปรมาจารย์มนุษย์ม้าที่แสนใจดีมาเป็นข้ออ้าง ทั้งที่เขาคงกำลังวุ่นวายกับงานในค่ายจนไม่มีเวลามาไล่ถามเธอว่าไปเอาความคิดนี้มาจากไหน
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
โรบินยกมือโบกปฏิเสธทันควัน “โอ๊ย ไม่ได้หมายความแบบนั้นเลยค่ะ! แค่อยากลองแบกอะไรที่มีน้ำหนักใกล้เคียงคนจริงๆ เพื่อทดสอบความแข็งแรงดูเฉยๆ คือคุณทั้งสูงทั้งสวย รูปร่างของคุณก็ดูสมดุลตามหลักสรีรศาสตร์เอามากๆ ไหนจะมวลกล้ามเนื้อและโครงสร้างของร่างกายที่ดูเหมาะสมกับค่าดัชนีมวลกายที่สมดุลนั่นอีก เลยคิดว่าคุณจะช่วยฉันทดสอบเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยค่ะ!”
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
“ไม่อันตรายเลยค่ะ”
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
“ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ถ้าอย่างนั้นเรามาเจอกันหน้าค่ายในอีกสิบนาทีก็แล้วกัน”
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
สิบนาทีต่อมา…
โรบินยืนรออยู่หน้าค่าย ก้อนสีทองใต้ต้นสนธาเลียซึ่งเป็นร่างของเจ้ามังกรพิลีอุสกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ มันเงยหน้าขึ้นมาทำจมูกฟุดฟิดครู่หนึ่งและเมื่อเห็นว่าเป็นโรบินยืนอยู่ มันก็กลับไปหลับตาลงเหมือนเดิม โรบินยืดกล้ามเนื้อตามตัวเล็กน้อยเพื่อเตรียมความพร้อม กระชับเสื้อแจ็กเก็ตให้เข้าที่ ทันทีที่เฟเรียเดินมาถึงพร้อมถือหูฟังติดตัว เธอก็ยิ้มกว้าง
“พร้อมหรือยังคะ?”
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
โรบินย่อตัวลงให้อีกฝ่ายสามารถขึ้นมาบนหลังได้ง่ายขึ้น
“เกาะให้แน่นๆ นะคะ ฉันจะลองวิ่งแบบเต็มสปีดดู เอ่อ…ระหว่างนี้คุณจะฟังเพลงไปด้วยก็ได้นะคะ ถ้าไม่อยากคุยกับฉัน”
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
โรบินสูดหายใจเข้าเต็มปอด ข่มความตื่นเต้นที่ปะทุอยู่ในอก เธอกระชับท่าทางให้มั่นคงและเหลือบมองเฟเรียที่อยู่บนหลัง แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนตัวเบา แต่น่าแปลกที่เธอกลับแทบไม่รู้สึกถึงน้ำหนักใดๆ เลย โรบินกระโดดโหยงเหยงสองสามครั้งเพื่อปรับสมดุล ก่อนจะเริ่มออกวิ่ง
เสียงลมพัดหวีดหวิวดังก้องในโสตทันทีที่โรบินทะยานไปข้างหน้า เส้นผมสีอ่อนสะบัดไปข้างหลังตามแรงลม พื้นถนนที่เธอวิ่งผ่านเบลอเป็นเส้นสีเทาจาง ฝีเท้าที่กระทบพื้นเบาราวกับลอยอยู่ในอากาศ ขณะที่เฟเรียเกาะแน่น พร้อมเปิดเพลงในหูฟังด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับกำลังนั่งบนเครื่องเล่นสวนสนุก
‘นี่มันต้องเป็นความรู้สึกของแบร์รี่ อัลเลนเวลาวิ่งแหงๆ!’
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
“สนุกใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวรอบหน้าฉันจะพาเหาะข้ามเขาเลย ฮ่าๆๆ” โรบินภาวนาให้มันมีครั้งหน้าเกิดขึ้นจริงๆ ตามที่พูด คือถ้าเธอไม่ถูกสาปให้ติดอยู่ในฝันร้ายตลอดกาลไปเสียก่อนอะนะ
ทั้งคู่ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบริเวณตีนสะพานควีนส์โบโร แสงแดดยามบ่ายแสนอ่อนโยนสาดกระทบโครงสร้างเหล็กของสะพานจนเกิดประกายระยับ ราวกับโครงเหล็กนั้นกำลังเรืองแสงอย่างงดงามกลางเมืองนิวยอร์ก ผิวน้ำของแม่น้ำอีสต์ริเวอร์สะท้อนแสงแดดเป็นระลอกผสานไปกับจังหวะของคลื่นที่เกิดจากเรือโดยสารที่แล่นผ่านไป โดยมีฝูงนกนางนวลบินโฉบไปมาเหนือสายน้ำ เสียงรถยนต์ที่แล่นผ่านดังสะท้อนไปทั่วพื้นถนนเป็นสัญญาณบอกว่าทั้งคู่มาถึงในเมืองแล้ว
โรบินค่อยๆ เบาฝีเท้าลงเมื่อรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของเฟเรียที่เอนศีรษะพิงไหล่เธออย่างผ่อนคลายบนหลังและได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า ความเงียบสงบชั่วขณะนี้ทำให้เธอมีเวลารู้สึกถึงความมหัศจรรย์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
‘สี่สิบไมล์? ฉันวิ่งมาได้ไกลขนาดนี้เลยเหรอ?!’
หัวใจของเธอเต้นแรงจนแทบระเบิดเมื่อนึกได้ว่าตัวเองออกห่างจากลองไอส์แลนด์มาจนถึงย่านควีนส์ภายในเวลาไม่กี่นาที กล้ามเนื้อของเธอยังคงตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติแม้จะผ่านการทำงานอย่างหนัก เธอยืดตัวเล็กน้อยเพื่อคลายความตึงเครียดในร่างกาย หูเริ่มได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง
'นี่มัน… ชักจะบ้าบอเกินไปแล้ว'
โรบินเร่งฝีเท้าขึ้นไปบนสะพาน ค่อยๆ ไล่ระดับความเร็วในขณะที่สายตาสอดส่ายไปยังทิวทัศน์ที่งดงามของเมืองนิวยอร์ก วิวตึกสูงระฟ้าและแสงสะท้อนจากกระจกหน้าต่างทำให้ทุกอย่างดูเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ยิ่งพอข้ามสะพานมาใกล้ฝั่งแมนฮัตตัน มุมมองก็เปลี่ยนไปจนเหมือนเธอได้เห็นเมืองในอีกมิติหนึ่ง
จอทีวีที่ตั้งอยู่บนหัวมุมถนนที่ไม่ไกลจากสะพานแสดงภาพข่าวที่กำลังรายงานสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับ ‘กลางวันยาวนาน’ ซึ่งกลายเป็นประเด็นร้อนในขณะนี้ การอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์จากสำนักข่าวใหญ่เป็นหัวข้อที่ถูกยกมาพูดถึง โดยไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดจากเทพีองค์หนึ่งหายตัวไป
“เอ่อ…คุณเฟเรียคะ” โรบินชะลอฝีเท้า เธอปลุกเฟเรียที่อยู่บนหลังพร้อมกับหลบรถยนต์ที่แล่นเฉี่ยวไปมาไปด้วย
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
โรบินเปลี่ยนจังหวะจากวิ่งเร็วมาเป็นจ๊อกกิ้งแทน เพื่อให้ทั้งสองคนได้พูดคุยกันสะดวกขึ้น “เราแวะหาอะไรกินกันก่อนดีมั้ยคะ?”
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
“ฉันรู้จักอยู่ร้านนึงค่ะ ตรงย่านบรอดเวย์”
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
“ใช่เลยค่ะ ร้านเวนดี้ส์” โรบินแอบร้อง เยส! ในใจเมื่อเฟเรียพูดชื่อร้านที่เธอคิดไว้พอดี แอบแปลกใจเล็กน้อยที่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้จักร้านนี้อยู่แล้ว
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
ทั้งสองวิ่งมาถึงบริเวณถนนสายห้าที่พลุกพล่าน ใกล้กับเซนทรัลพาร์ค โรบินค่อยๆ ชะลอฝีเท้าลงเมื่อพวกเธอหักเลี้ยวตรงหัวมุมบล็อกหนึ่ง และได้เห็นร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดังที่มีป้ายตัวอักษรสีแดงสะดุดตาเขียนว่า ‘Wendy’s’
โรบินหยุดลงหน้าร้านก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลงอย่างระมัดระวังเพื่อให้เฟเรียก้าวลงจากหลังได้โดยไม่ลำบาก “เป็นยังไงบ้างคะ?” เธอถามพร้อมหอบเล็กน้อย แม้จะพยายามทำเป็นว่าทุกอย่างยังสบายดีอยู่
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
“ดีจังเลยค่ะ ฉันคิดว่าคุณจะกลัวซะอีก” โรบินยิ้มกว้างด้วยความโล่งใจ “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันลองแบกคนนะคะ ถ้าคุณไม่กลัว ฉันถือว่าทดสอบผ่านเลย”
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
ประตูร้านถูกผลักเปิดออกพร้อมเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นตามหลัง โรบินสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กลิ่นหอมของเฟรนช์ฟรายส์ทอดใหม่และเบอร์เกอร์เนื้อชวนให้น้ำลายสอ เธอสอดส่ายสายตามองหาโต๊ะว่างในร้านที่มีผู้คนคึกคัก
“ตรงนั้นค่ะ” โรบินชี้ไปที่โต๊ะใกล้หน้าต่างซึ่งยังไม่มีใครจับจอง
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
และแล้วก็มาถึงเวลาที่ชวนให้ใจระส่ำ ทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์สั่งอาหาร โรบินมองเมนูไปพร้อมกับเหลือบมองปฏิกิริยาของคนข้างๆ ไปด้วย
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ]
“คุณสั่งก่อนเลยค่ะเฟเรีย” โรบินผายมือเชื้อเชิญเฟเรียไปยังพนักงานที่ยืนรอยู่ “ฉันขอไปหาห้องน้ำก่อนดีกว่า วิ่งมาตั้งนาน ดูสิคะ…เหงื่อท่วมไปหมดเลย” ว่าพลางก็กางแขนออกทั้งสองข้าง ด้วยอะไรบางอย่าง นอกจากความปวดหนึบที่น่องขา ร่างของโรบินแทบจะไม่มีเหงื่อด้วยซ้ำ เธอภาวนาว่าเฟเรียจะไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้
[ดูโรลเพลย์ของเฟเรียประกอบ ตัดส่วนข้างล่างแล้วใส่ที่เหลือจนจบได้เลย]
“ค่ะ” โรบินพยักหน้าเตรียมหมุนตัวออกจากร้าน เมื่อเห็นว่าเฟเรียหันหลังให้ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลสีดำออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต ตอนนี้มันวาววับและดูเปราะบางกว่าเดิมได้ยังไงก็ไม่รู้
และเมื่อโรบินโยนลงพื้น มันก็แตกโพล๊ะทันที กลุ่มควันสีดำพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นตรงจุดที่มีเศษซากของคริสตัลกระจัดกระจาย
โรบินคว้าประตูเปิดอย่างแรง แต่ก่อนที่ประตูจะปิดลง เธอได้ยินเสียงครึกโครมวุ่นวายดังมาจากข้างใน
“ขอโทษนะคะคุณเฟเรีย”
โรบินเม้มปาก รีบก้าวออกจากบริเวณร้าน เธอมองเงินในมือที่หยิบติดมาได้ตอนปล่อยเฟเรียลงจากหลัง หวังว่าฟิชแอนด์ชิปปลาดอรี่จากร้านอเมริกันเรโทรบาร์แอนด์กริลล์จะช่วยปลอบโยนทั้งความเหนื่อยล้าและความรู้สึกผิดที่มีต่อเฟเรียลงได้บ้าง