[บันทึกการเดินทาง] พลังเหมันต์อ่อนแรง

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Eloise เมื่อ 2025-1-22 15:30


















ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 2265 ไบต์และได้รับ 1 EXP!  โพสต์ 2024-12-29 21:56
โพสต์ 2025-1-22 15:59:49 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Eloise เมื่อ 2025-4-26 23:16





เอโลอิสและผองเพื่อน(?) มารวมตัวกันที่บริเวณโรงอาหารของค่ายถึงแม้ว่าที่จริงกำหนดการเดินทางที่ตั้งใจไว้จะเป็นวันนี้เพื่อไปหารุ่นพี่แอนนาเบ็ธ แต่ข่าวดีที่ไม่คาดฝันก็ได้มาถึงหูของเอโลอิสจนได้ตอนนี้รุ่นพี่แอนนาเบ็ธกลับมาค่ายชั่วคราวถึงจะอยู่ไม่กี่วันแต่เธอก็คิดว่ารนี่คือโอกาสอันดีที่จะมาพบรุ่นพี่เพื่อสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลของลูกเทพนอร์สผู้ที่จะสามารถพาคณะของเธอไปยังโยธันไฮม์ได้


“โชคดีจริง ๆ ที่รุ่นพี่แอนนาเบ็ธกลับมาค่าย แบบนี้พวกเราก็ไม่ต้องถ่อไปหาเขาถึงในเมืองแล้ว” เอโลอิสพูดขึ้นพร้อมเดินนำแจสเปอร์และป้าคาเรนไปยังโรงอาหาร โชคดีที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์จะนั่งโต๊ะไหนก็ได้เลยเป็นบริเวณที่สะดวกต่อการพูดคุยเป็นอย่างยิ่ง ก็ไม่รู้ว่าเป็นดวงดีของเธอหรืออานิสงฆ์จากดวงของป้าคาเรนกันแน่


“แบบนี้ก็ประหยัดเวลาเดินทางไปได้เยอะเลยนะขอรับ” เคอร์ติสพูดพร้อมเดินตามทุกคนด้วยขาสั้น ๆ ของมัน


“แล้วแบบนี้จะเรียกว่าผจญภัยได้ยังไงล่ะพี่สาว” แจสเปอร์ถาม ดูเหมือนว่าเขาจะโหยหาการผจญภัยอย่างยิ่ง ถ้าให้เธอเดาก็คงเป็นเพราะไม่ต้องกลับไปเข้าเรียนอย่างน้อยก็ระยะนึงจนกว่าภารกิจจะเสร็จ


“แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าคนที่เธอจะพบเขาอยู่ที่นี่” ป้าคาเรนถามขึ้นอีกคน


“เดี๋ยวนายได้ผจญภัยสมใจจนต้องร้องขอชีวิตเลยล่ะ ส่วนเรื่องรู้ได้ยังไงว่ารุ่นพี่อยู่ที่นี่ก็เพราะหนูบอกคุณไครอนให้เป็นธุระให้แล้วล่ะค่ะ ว่าให้ช่วยบอกรุ่นพี่มาเจอกันที่นี่” เอโลอิสทยอยตอบคำถามทุกคน


“โอ๊ะ! นั่นไงขอรับ” 


ทันทีที่ทุกคนเดินทางมาถึงโรงอาหารก็ดูเหมือนจะเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะของบ้านอะธีน่าไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั่นน่าจะเป็นรุ่นพี่แอนนาเบ็ธเพราะตอนนี้ทั้งโรงอาหารก็มีโต๊ะนี้อยู่โต๊ะเดียวที่มีคนนั่งอยู่


“สวัสดีค่ะ ใช่รุ่นพี่แอนนาเบ็ธไหมคะ?” เอโลอิสสูดหายใจเข้าลึกและตัดสินใจที่จะเริ่มทักไปก่อนแม้ว่าจะมีความประหม่าอยู่บ้าง


“ใช่แล้ว เธอคือ…?” รุ่นพี่ขมวดคิ้วเหมือนไม่แน่ใจว่ารู้จักกันเหรอ?


“ฉันชื่อว่าเอโลอิส เพจค่ะ ส่วนนี่แจสเปอร์ ป้าคาเรน และเคอร์ติสค่ะ พวกเราเป็นคนนัดรุ่นพี่มาเจอที่นี่” เอโลอิสผายมือแนะนำสมาชิกแต่ละคนให้รุ่นพี่ได้รู้จัก เธอยิ้มรับเล็กน้อยแล้วเริ่มเข้าเรื่อง


“วันนี้ที่เรานัดรุ่นพี่มาก็เพราะเรื่องคำพยากรณ์น่ะค่ะ พวกเราต้องการหาลูกเทพนอร์สสักคนที่จะช่วยเราไปยังโยธันไฮม์ได้”


“คุณไครอนบอกฉันมาคร่าว ๆ แล้วล่ะ” แอนนาเบ็ธดูไม่ได้ตกใจกับสิ่งที่เอโลอิสถามสักเท่าไหร่ กลับกันเหมือนว่าเธอจะเตรียมตัวมาอย่างดีสำหรับการช่วยเหลือในส่วนของข้อมูลแล้วด้วย


“คนที่ฉันคิดว่าพอจะช่วยพวกเธอได้ก็มีอยู่คนนึงนะ”


“ใครเหรอคะ?” เอโลอิสรีบถามอย่างสนอกสนใจ


“แม็กนัส เชส” 


พอสิ้นเสียงแอนนาเบ็ธทุกคนก็หันหน้ามองกันไปมา ชื่อมันก็คุ้นอยู่หรอกนะแต่ไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาคนนั้นเป็นใคร ลำพังแค่ลูกหลานเทพกรีกทุกวันนี้เดินผ่านหน้ากันในค่ายยังไม่รู้จักชื่อเลยด้วยซ้ำไปแล้วนับประสาอะไรกับลูกหลานเทพนอร์สกันล่ะ?


“อ๋อ! แม็กนัส เชส…ใครอะ?” แจสเปอร์หันไปถามคนอื่น ๆ

 

“เขาคือบุตรแห่งเฟรย์ เขาน่าจะช่วยพวกเธอได้” แอนนาเบ็ธล้วงกระดาษออกมาจากกระเป๋าแต่ไม่ทันจะได้เริ่มเขียนอะไรป้าคาเรนที่เงียบอยู่นานจู่ ๆ ก็ถามบางอย่างออกมาแบบไม่สนจังหวะเลยว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรกันอยู่


“อายุเท่าไหร่แล้วล่ะเราน่ะ”


“เดี๋ยวนะคำถามนี้มันเกี่ยวกับการเดินทางของเรายังไงคะ?” เอโลอิสหันไปถามป้าคาเรน แต่ป้าเองไม่ได้สนใจที่จะฟังคำถามเธอเลยด้วยซ้ำ มัวแต่ใจจดใจจ่อโฟกัสไปที่แอนนาเบ็ธเรียกได้ว่าเรื่องของชาวบ้านนั้นสำคัญกว่าการกอบกู้โลก 


“32 ค่ะ” แอนนาเบ็ธตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังคงราบเรียบ


“ทำงานทำการอะไร” ป้าคาเรนถามต่อโดยไม่ทันจะรู้ตัวว่าเวลานี้ทุกสายตากำลังจับจ้องอยู่ที่เธอ


“สถาปนิกค่ะ” แอนนาเบ็ธตอบด้วยความอดทนต่อไป ส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นคำถามทั่ว ๆ ไปไม่ใช่เรื่องที่เธอจะตอบไม่ได้


“ที่ออกแบบบ้านน่ะเหรอ? เออดี ๆ เก่ง ลูกคนเล็กป้าก็เป็นสถาปนิกเหมือนกัน เนี่ย! ไม่อยากจะคุย ฐานเงินเดือนลูกป้าน่ะสูงมากมีแต่ลูกค้าดัง ๆ” ป้าคาเรนพูดออกมาโดยไม่สนใจว่าใครจะฟังหรือไม่ ฟังแล้วเหมือนจะเล่าเรื่องของลูก ๆ ของตัวเองมากกว่าที่จะสนใจเรื่องการขอความช่วยเหลือในการเดินทางที่กำลังจะเกิดขึ้น


“ว่าแต่หนูเงินเดือนเท่าไหร่ล่ะ?” ป้าคาเรนถามต่อด้วยความสนใจในรายละเอียดส่วนตัวของชาวบ้านประหนึ่งเป็นวาระแห่งชาติของตนเอง


“...”


แอนนาเบ็ธเงียบไปชั่วขณะ คำถามนี้ทำให้เธอรู้สึกสะดุดเล็กน้อยเพราะมันเป็นเรื่องที่เธอไม่อยากพูดถึงตอนนี้ ทั้งที่คำถามนั้นอาจจะไม่เกี่ยวกับภารกิจที่พวกเขากำลังจะทำเลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็เลือกที่จะเงียบไป ปล่อยให้เสียงเงียบเป็นคำตอบแทน


“มันใช่เรื่องที่ควรถามไหมคะป้า! นี่มันเรื่องส่วนตัวของพี่เขานะ” เอโลอิสแย้งขึ้นเสียงดัง นั่นคือสิ่งที่เธอคิดและไม่อยากให้ป้าคาเรนถามเรื่องที่มันไม่ควรถาม


“ทำไมกัน ก็แค่ถามเรื่องเงินเดือนผิดตรงไหน” ป้าคาเรนสวนกลับราวกับว่าเธอไม่เห็นปัญหาในการถามเรื่องเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย


“ผิดตรงมารยาทไงป้า!” เอโลอิสตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว นี่มันไม่ใช่แค่การถามไถ่แบบปกติแต่ป้าแกกำลังทำนิสัยมนุษย์ป้าเบบี้บูมเมอร์ใส่คนอื่นอยู่


“ช่างเถอะ…แล้วอายุปูนนี้แล้ว แต่งงานหรือยัง?” ป้าคาเรนเปลี่ยนคำถามใหม่ทันที ราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของเอโลอิสและยังคงวนเวียนอยู่ในโลกของคำถามเรื่องส่วนตัวชาวบ้าน


ยัง…ยังไม่สำนึก…


“แต่งแล้วค่ะ” แอนนาเบ็ธตอบสั้นๆ เหมือนไม่อยากจะให้การสนทนายืดเยื้อไปมากกว่านี้


“ดีแล้ว ๆ ถึงวัยสร้างครอบครัว แล้วนี่มีลูกหรือยัง วัยนี้ควรมีได้แล้วนะอย่าปล่อยไว้นาน ผู้หญิงเรายิ่งอายุมากยิ่งเสี่ยง เดี๋ยวไข่จะฝ่อไปเสียก่อน ลูกเป็นเอ๋อ—”


ทันใดนั้น เอโลอิสก็รีบยื่นมือไปปิดปากป้าคาเรนอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ป้าแกจะพูดอะไรที่ฟังดูเสียมารยาทไปมากกว่านี้ ในใจก็แอบคิดว่าป้าคาเรนนี่อยู่มาถึงอายุ 60 ได้ยังไงกัน?


“ขอโทษด้วยนะคะรุ่นพี่ คนแก่วัยกำลังคันปากก็แบบนี้อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ” เอโลอิสรีบขอโทษขอโพยรุ่นพี่แอนนาเบ็ธพร้อมส่งยิ้มเจื่อน ๆ ไปให้หนึ่งที


ป้าคาเรนดิ้นไปดิ้นมาดูเหมือนว่ามือของเธอจะปิดปากปลาร้าของป้าได้ไม่นาน ป้าคาเรนพยายามแกะมือเธอออกจากปากของตัวเองจนสำเร็จ ก่อนจะสวนกลับแบบไม่มีความสำนึกเลยแม้แต่นิดเดียว


“ใครว่าฉันเสียมารยาท ป้าก็แค่เป็นห่วงเกิดแก่เฒ่าไปใครจะเลี้ยงดู!”


“เลี้ยงตัวเองไงครับป้า” แจสเปอร์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตอบขึ้น 


“เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักวางแผนอนาคต!” ป้าคาเรนทำหน้ามุ่ยแต่ไม่วายชี้หน้าสอนเอโลอิสและแจสเปอร์


“พอเถอะป้ากลับเข้าเรื่องสักทีค่ะ ไม่งั้นออกอ่าวไปมากกว่านี้แน่” เอโลอิสรีบตัดบทเพื่อให้กลับเข้าสู่ธุระหลักที่ทุกคนมารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้โดยเร็ว


“คือ…ฉันพูดต่อได้แล้วใช่ไหมคะ?” แอนนาเบ็ธหันไปถามทุกคน


“เชิญเลยค่ะรุ่นพี่ พวกเราจะไปเจอคนชื่อแม็กนัส เชสได้ที่ไหน?”


“เดี๋ยวฉันจะเขียนที่อยู่ให้ พวกเธอลองไปมี่สวนสาธารณะบอสตัน บนถนนบีคอน เมืองบอสตัน ฉันจะหาทางติดต่อแม็กนัสให้ ที่ตรงนั้นจะทางเข้าไปยังโรงแรมวัลฮัลล่า เขาจะออกมาเจอพวกเธอ ทันทีที่ฉันติดต่อให้ได้น่ะนะ…” ไม่พูดเปล่าแอนนาเบ็ธยังเขียนรายละเอียดลงในกระดาษที่เธอนำออกมาตอนแรกให้ด้วยเผื่อว่าเดมิก็อดทั้งสามจะเผลอลืมเรื่องที่พูดไป จริง ๆ แล้วเหมือนว่าแอนนาเบ็ธจะพูดอะไรมากกว่านั้นแต่เอโลอิสไม่ทันได้ฟังเลยพลาดข้อมูลบางอย่างไปเล็กน้อยเพราะมัวแต่โฟกัสคำว่า ‘บอสตัน’ อยู่


“ให้ตายสิบอสตันอีกแล้วเหรอ!” เอโลอิสพึมพำเสียงดังออกมา จนเผลอหลุดคำพูดที่ทำให้ทุกคนหันมามอง


“มีอะไรหรือเปล่าพี่สาว?” แจสเปอร์ถามด้วยความสงสัย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคำว่า ‘บอสตัน’ ถึงทำให้เอโลอิสตกใจขนาดนี้


“พอดีว่าภารกิจล่าสุดของพวกเราเกิดที่บอสตันน่ะขอรับ ก็เลยมีโจทก์เก่าอยู่บ้างแต่คิดว่าน่าจะเข้าคุกไปหมดแล้ว…มั้ง?” เคอร์ติสอธิบาย แต่ใจจริงมันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคดีของท่านนายพลไปถึงขั้นไหนแล้วเพราะไม่ได้ตามติดคดีนี้อย่างใกล้ชิดเท่าไรนัก


“อะไรกันนี่ไปสร้างเรื่องสร้างราวไว้ที่บอสตันเหรอ!” ป้าคาเรนถึงกับตกใจ เธอไม่อยากเชื่อเลยว่ายัยเด็กผมแดงนั่งอยู่ตรงหน้าเธอจะเคยมีปัญหากับเมืองบอสตันมาก่อน


“ก็ไม่เชิงน่ะ” เอโลอิสปฏิเสธเสียงเบา แต่ก็ยังไม่อาจปฏิเสธได้ทั้งหมด


“พวกนักเลงท้องถิ่นสินะครับ แบบนั้นก็ไม่น่าจัดการยากสักเท่าไหร่” แจสเปอร์พูดตามประสาคนไม่ค่อยจะรู้เรื่องมากนัก ถ้าเป็นแค่พวกจิ๊กโก๋ทั่วไปลำพังลูกเทพสงครามอย่างเขาก็จัดการได้สบายหายห่วง


“กะ…ก็…ใหญ่กว่านั้นนิดนึง” เอโลอิสตอบเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย 


“ใหญ่นิดนึงจะแค่ไหนกันเชียว” แจสเปอร์ถามพลางกระดกขวดโคล่าขึ้นดื่มอย่างสบายๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้เลยว่ากำลังจะได้ยินอะไรที่ทำให้เขาถึงกับสะดุ้ง


“ก็แค่…นายพลน่ะ”


พรวด!!!


แจสเปอร์ถึงกับพ่นโคล่าในปากออกมาใส่หน้าป้าคาเรนไปเล็กน้อย พร้อมกับท่าทางตกใจสุดขีด


“เด็กบ้า! ฉันเปียกไปหมดแล้วเนี่ย เล่นของกินได้ยังไง!!!” ป้าคาเรนตะคอกออกมาอย่างไม่พอใจพร้อมกับรีบเช็ดหน้าตัวเองด้วยมือ


“โทษครับป้าผมไม่ได้ตั้งใจ แต่…นายพลงั้นเหรอ แบบนี้พวกเราจะโดนยัดคดีไหมเนี่ย” ท่าทางตกใจของแจสเปอร์แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับรีบขอโทษป้าทันที


“ครั้งล่าสุดที่เจอกันโดนตำรวจจับไปแล้วล่ะก็ภาวนาให้อยู่ในเรือนจำน่ะนะ” เอโลอิสพยายามคาดการณ์ไปในทางที่ดี เขาเป็นทหารก็คงโดนตัดสินโดยศาลทหารซึ่งไม่น่าจะไว้ใจได้(มั้ง)


“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงเถอะย่ะ!” ป้าคาเรนกล่าว เธอไม่ค่อยอยากมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตนักเพราะจะใช้ชีวิตลำบาก


“เอาเป็นว่าขอบคุณรุ่นพี่แอนนาเบ็ธมากนะคะที่เป็นธุระให้ พรุ่งนี้เราจะเริ่มออกเดินทางทันทีค่ะ” เอโลอิสหันไปขอบคุณแอนนาเบ็ธที่นอกจากมาช่วยเขียนแผนที่ให้แล้วยังจะช่วยติดต่อแม็กนัสให้อีกด้วย


“งั้นก็ขอให้โชคดีนะคะทุกคน” แอนนาเบ็ธส่งยิ้มให้ทุกคนพร้อมกับกล่าวอวยพร


และการผจญภัยของสาวน้อยผู้สร้างศัตรูไว้ทั่ว เด็กชายจอมโง่เขลา และมนุษย์ป้าก็ได้เริ่มขึ้นจากจุดนั้น สามคนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงจะสามารถทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งไหมก็คงต้องขึ้นอยู่กับเวรกับกรรมที่ทำมาแล้วล่ะ อย่างน้อยก็หวังว่าจะกลับมาถึงค่ายแบบยังครบ 32 ส่วนทุกคนน่ะนะ…


ขอความช่วยเหลือจากแอนนาเบ็ธ เชส








แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 77447 ไบต์และได้รับ 42 EXP!  โพสต์ 2025-1-22 15:59
โพสต์ 77,447 ไบต์และได้รับ +15 EXP +30 ความกล้า +20 ความศรัทธา จาก เกราะไทเทเนียม  โพสต์ 2025-1-22 15:59
โพสต์ 77,447 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +6 ความศรัทธา จาก สร้อยไข่มุกตาฮิตี   โพสต์ 2025-1-22 15:59
โพสต์ 77,447 ไบต์และได้รับ +2 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +7 ความศรัทธา จาก ผลิตภัณฑ์กันแดด  โพสต์ 2025-1-22 15:59
โพสต์ 77,447 ไบต์และได้รับ +2 Point [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +35 ความกล้า +35 ความศรัทธา จาก ค้อนไฟ  โพสต์ 2025-1-22 15:59
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x8
x2
x7
x30
x3
x2
x1
x3
x3
x6
x4
x2
x10
x15
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x53
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x364
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x3
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x82
โพสต์ 2025-2-4 23:52:02 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Eloise เมื่อ 2025-4-26 23:34





วันนี้คือฤกษ์งามยามดีสำหรับการเดินทาง เอโลอิสและสมาชิกร่วมทีมมารวมตัวกันอยู่ที่เนินฮาล์ฟบลัดบริเวณหน้าประตูค่าย ใบหน้าของแจสเปอร์ดูกระตือรือร้นโหยหาการผจญภัยเป็นที่สุด ผิดกับป้าคาเรนที่ทำหน้าเหมือนคนโดนบังคับ(ซึ่งก็โดนบังคับจริง ๆ นั่นแหละ) เอโลอิสซึ่งมีประสบการณ์ในการเดินทางมาบ้างแล้วจึงต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำทีมการเดินทาง สิ่งแรกที่จะต้องหารือกับทุกคนก็คือการหาวิธีการไปให้ถึงบอสตันตามที่รุ่นพี่แอนนาเบ็ธได้มอบที่อยู่มาให้

“ทุกคนสัมภาระครบแล้วใช่ไหมคะ ถ้าลืมอะไรก็รีบกลับไปเอาก่อนที่เราจะเริ่มออกเดินทาง ตอนนี้ยังพอมีเวลา” เอโลอิสยกแขนซ้ายขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ ออกช้าไม่กี่นาทีคงไม่ได้ทำให้พวกเขาพลาดอะไรไปมากนัก

“ของผมครบแล้วถึงไม่ครบก็ไปหาเอาดาบหน้าได้” แจสเปอร์ตอบอย่างอารมณ์ดี ตอนนี้ใจเขาน่าจะจดจ่ออยู่กับการเดินทางเกินกว่าจะสนใจเรื่องสัมภาระเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วล่ะ

“ฉัน!” ป้าคาเรนยกมือขึ้น

“ป้าลืมของงั้นเหรอคะ งั้นก็รับกลับไปเอา พวกหนูจะยืนรออยู่ตรงนี้แหละ”

“ได้งั้นรอแป๊บ” พูดจบป้าคาเรนก็วางสัมภาระของเธอฝากเด็ก ๆ ไว้แล้ววิ่งกลับเข้าไปในค่ายเพื่อเอาของที่เธอลืมไว้

เอโลอิสและคนอื่น ๆ ก็ยืนรอบริเวณหน้าประตูค่ายอย่างไม่คิดอะไรมากนักก็แค่กลับไปเอาของ ทว่าสิ่งที่ทุกคนคิดกลับผิดถนัดเพราะจากที่คิดว่าจะรอแค่เพียงห้านาที ผ่านมาแล้วชั่วโมงครึ่งป้าคาเรนก็ยังไม่ออกมาสักที เอโลอิสเริ่มคิดแล้วว่าหรือป้าจะเบี้ยว? นานป่านนี้แล้วทำไมยังไม่มาอีก

“ป้าเขาไปเอาของที่ไหนทำไมนานจัง” เธอบ่นเล็กน้อย

“คนแก่ก็แบบนี้แหละพี่สาว อาจทำอะไรช้าไปบ้าง” แจสเปอร์ตอบอย่างไม่คิดอะไร

“แต่นี่มันหนึ่งชั่วโมงแล้วนะไม่ใช่ไปลื่นล้มหัวฟาดพื้นที่ไหนหรอกใช่ไหม?” เอโลอิสเริ่มตั้งข้อสันนิษฐาน

“อย่าพูดอะไรน่ากลัวแบบนั้นสิขอรับ” เคอร์ติสรีบขัดเอโลอิสแม้ว่าตัวมันเองก็แอบคิดอยู่ลึก ๆ เหมือนกัน

ก่อนที่เด็ก ๆ จะคิดอะไรไปไกลมากกว่านี้ป้าคาเรนก็กลับมาพร้อมของมากมายเป็นบ้าหอบฟาง ทุกคนมองท่าทางการแบกของอย่างทุลักทุเลของป้าอยู่สักครู่ด้วยความงงงวยว่าเธอจะเอาของมาเยอะแยะขนาดนี้ทำไมกัน? ทันใดนั้น ป้าคาเรนก็พูดเสียงดังลั่นให้เด็ก ๆ รีบเข้าไปช่วยเธอ

“มัวแต่ยืนมองทำไมมาช่วยผู้ใหญ่ถือของสิ!”

ทั้งเอโลอิสและแจสเปอร์รีบตรงไปที่ป้าและช่วยกันถ่ายของมาถือคนละไม้คนละมือเพื่อที่จะช่วยขนของทั้งหมดนั้นแล้วมาวางกองรวมกันไว้ที่พื้น เอโลอิสที่มองดูของเต็มพื้นอย่างไม่รู้จะเริ่มจากอะไรดี ก่อนที่จะถามออกไปด้วยความสงสัย

“ป้าคะ ขนอะไรมาเยอะแยะเนี่ย!”

“ของที่ใช้เดินทางไงถามได้” ป้าคาเรนตอบพร้อมยิ้มอย่างภูมิใจ “เนี่ยไม่ต้องห่วงเลยว่าจะอดตายกลางทาง นี่ผัดหมี่โคราช อันนี้แจ่วบอง อันนี้ข้าวเหนียว ฉันตื่นตั้งแต่ตี 4 มาทำเสบียงเชียวนะยะ ของดี ๆ ทั้งนั้นสูตรเด็ดจากโคราชบ้านเอง” ป้าคาเรนพรีเซนต์เต็มที่

“อันนี้มันคืออะไรเหรอครับป้า?” แจสเปอร์ดูท่าทางสนใจบรรจุภัณฑ์หน้าตาแปลก ๆ ที่ป้าคาเรนถือมาด้วย

“เขาเรียกว่าชะลอมเอาไว้ใส่ของ ไม่เคยดูบ้านทรายทองกันล่ะสิเด็กพวกนี้ที่พจมานถือนั่นไง”

ป้าคาเรนอธิบายอย่างภูมิใจ ซึ่งทำให้เด็ก ๆ มองหน้ากันงง ๆ ก่อนที่ทุกคนจะส่ายหัวพร้อมกัน เพื่อยืนยันว่าไม่เคยเห็นหรือรู้จักชะลอมนี้มาก่อนเลย

“พจมานคือใครกัน? เคอร์ติสนายรู้จักไหม” เอโลอิสหันไปถามเคอร์ติส

“เอ่อ…ถึงกระผมจะรู้ข้อมูลมากแต่ก็เป็นเกี่ยวกับตำนานกรีกเท่านั้นขอรับ พจมานนี่กระผมไม่รู้จริง ๆ” เคอร์ติสตอบพลางส่ายหัวไปด้วย

“ช่างเถอะ บอกไปพวกเธอก็คงไม่รู้จัก” ป้าคาเรนยักไหล่บ่นออกมาเล็กน้อย

“โหป้า เดินทางป้าต้องพกกระเป๋าแบรนด์เนมมาเลยเหรอครับเนี่ย” แจสเปอร์ตาวาวเมื่อเห็นกระเป๋าขนาดใหญ่ที่ป้าพกมา

“เอ้อ จริงด้วยนี่มันบาเลนเซียกา!” เอโลอิสเห็นด้วย

“รุ่น Barbes East-West Large Shopper Bag เสียด้วยนะขอรับ” เคอร์ติสเสริม ไม่คิดเลยว่าเจ้านกกระทาตัวนี้จะรู้เรื่องแฟชั่นด้วยหรืออาจจะแค่บังเอิญ

ทุกคนดูตื่นเต้นกับกระเป๋าแบรนด์เนมสุดหรู แต่ป้าคาเรนกลับทำหน้ามึน ๆ ก่อนจะหันไปมองกระเป๋าที่พวกเขาพูดถึงกัน แล้วก็ถึงกับนิ่งไปเล็กน้อย เพราะกระเป๋าที่เด็ก ๆ พูดถึงนั้นไม่ใช่กระเป๋าแบรนด์เนมหรูหราอะไร แต่กลับเป็น 'ถุงกระสอบสีรุ้ง' ขนาดใหญ่ใบหนึ่งที่เธอซื้อมาจากโบ๊เบ๊ตอนกลับไทย

“อะ..อ๋อ…” ป้าคาเรนก็ไม่ได้คิดปฏิเสธแล้วปล่อยให้ทุกคนคิดไปแบบนั้น

“แบบนี้ก็อันตรายน่ะสิ ข้าวของก็เยอะแยะแบบนี้ แถมยังพกกระเป๋าแบรนด์เนมอีกจะโดนดักปล้นไหมคะเนี่ย” เอโลอิสเริ่มมีความกังวลเล็ก ๆ คนสูงอายุ(?)แบบป้าคาเรนถือกระเป๋าบาเลนเซียกาแถมยังเป็นเอเชียนอีกต่างหากนี่มันครบองค์ประกอบของพวกนักท่องเที่ยวที่จะโดนมิจฉาชีพปล้นชัด ๆ !

“ถ้าจะมาบอกไม่ให้ฉันพกทั้งหมดนี้ไป ฉันก็จะไม่ไป! เธอก็ไปอธิบายกับไครอนเองก็แล้วกัน เชอะ!” ป้าคาเรนกอดออกแล้วสะบัดหน้าหนีด้วยท่าทางไม่พอใจ เพราะสำหรับเธอแล้วการเดินทางครั้งนี้ถือเป็นสิทธิ์ของเธอที่จะเลือกพกพาสิ่งที่จำเป็น(?)ไปด้วย แม้ว่าเด็ก ๆ จะกังวล แต่ป้าคิดว่าไม่มีอะไรที่ควรกังวลมากขนาดนั้น

“เอาน่า ๆ พี่สาวปล่อยให้ป้าแกพกไปเถอะ อย่างมากพวกเราก็แค่ช่วยกันแบกคนละไม้คนละมือ ที่โยธันไฮม์อาจหาของกินยากก็ได้ แถมป้ายังทำไทยฟู้ดเลยนะไทยฟู้ด!” แจสเปอร์รับบทเป็นผู้ไกล่เกลี่ยแล้วเกลี่ยกล่อมเอโลอิสแทนป้าคาเรนเพื่อให้เธอยอมอนุญาตให้ป้าเอาของพวกนี้ไปด้วย

"เฮ้อ…ช่วยไม่ได้ แต่นายต้องขนเยอะกว่าเพื่อนนะถ้าจะให้เอาไปน่ะ” เอโลอิสถอนหายใจหนัก ๆ ก่อนหันไปมองป้าคาเรนที่ยืนขึงตาใส่เธออยู่อย่างเหนื่อยใจ

“ได้เลย!” แจสเปอร์ตอบรับทันที เขารู้สึกดีที่ได้ช่วยให้ป้าและเอโลอิสเข้าใจกันได้ แม้จะดูเหมือนว่าจะเป็นการแบกข้าวของมากมายที่ลำบากไปเสียหน่อย แต่แจสเปอร์ก็รู้ว่าความสุขของป้าในครั้งนี้ก็คือการได้เตรียมเสบียงดี ๆ ให้กับพวกเขาทุกคน แม้ต้องแบกหนักก็ยอม!

“แล้วนี่จะเดินทางยังไงล่ะ แถบนี้ไม่มีรถโดยสารผ่านหรอกนะ” ป้าคาเรนถามขึ้น

“ผมได้ยินมาว่าแท็กซี่สามพี่น้องสีเทาสามารถพาเราไปส่ง—” แจสเปอร์เสนออย่างกระตือรือร้นเพราะเคยได้ยินว่าบริการนี้รวดเร็วทันใจ แม้ว่าจะไม่แน่ใจว่ามันสะดวกหรือปลอดภัยแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็อยากเสนอทางเลือกให้กับทีม ไม่ทันที่เขาจะพูดจบก็ถูกขัดขึ้นมาทันใด

“อย่าแม้แต่จะคิด!” เอโลอิสพูดแทรกดักคอแจสเปอร์ไว้ทันที เคอร์ติสเองก็ผงกหัวเอาเป็นเอาตายเพื่อยืนยันความเห็นของเอโลอิสอย่างหนักแน่น

“ทำไมล่ะ?” เขาถามกลับไปด้วยความสงสัย เพราะเขายังไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับแท็กซี่สามพี่น้องสีเทามาก่อน

“ถ้านายยังรักชีวิตตัวเองนายก็ไม่ควรจะถามฉันแบบนี้หรอก” แค่เอโลอิสจินตนาการความตีนผีของสามพี่น้องสีเทาที่เธอได้สัมผัสจากการเดินทางรอบก่อน คิดแล้วก็ขนลุก

“มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยสินะครับ แล้วทีนี้เราจะไปยังไงล่ะ?” แจสเปอร์ยังคงสงสัยและพยายามหาทางเลือกอื่น แต่ดูเหมือนว่าเอโลอิสจะเตรียมการไว้พร้อมแล้ว

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นฉันได้เตรียมการไว้แล้ว!” เธอพูดอย่างมั่นใจราวกับว่าเธอมีแผนการที่ยอดเยี่ยมอยู่ในมือ

“นี่มันอะไรน่ะ?” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเงียบ ๆ ไม่ให้ซุ่มให้เสียงใด ๆ จนกระทั่งเขาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังทุกคน แล้วพูดขึ้นมา

“อ้าวพอดีเลย พี่คริสมาแล้วเหรอคะ!” เอโลอิสยิ้มสดใสแล้วกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง ก่อนจะหันไปแนะนำให้ทุกคนรู้จัก “ทุกคนฉันขอแนะนำให้รู้จักกับพี่ชายของฉันเอง…คริสโตเฟอร์ บราวน์ เขาจะเป็นคนขับพาเราไปยังบอสตัน!”

“ดะ…เดี๋ยวนะ ใช่ฉันพูดแบบนั้นจริง แต่นี่ไม่เห็นเหมือนที่คุยกันไว้เลยนี่” คริสโตเฟอร์ทำท่าทางลังเลนิดหน่อย เขาดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อยเพราะไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนร่วมโดยสารมากขนาดนี้ และเอโลอิสเองก็ไม่ได้บรีฟเขาอย่างละเอียดจนเขาเข้าใจไปว่าแค่ต้องไปส่งน้องสาวคนเดียว

“ยังไงเหรอพี่ชาย?” แจสเปอร์ถามด้วยความสงสัย เขารู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ก็ยังอยากรู้เหตุผล

“ก็เอโลอิสบอกฉันว่าจะไปบอสตันขอให้ขับรถไปส่ง ฉันก็ตกลง แต่ไม่คิดว่าจะมีคนไปด้วยเยอะขนาดนี้” คริสโตเฟอร์พูดเหมือนพยายามที่จะปฏิเสธทางอ้อมว่าคงพาทุกคนไปไม่ได้แล้ว

“ก็นั่งไปด้วยกันจะเป็นอะไรไปทางเดียวกันไปด้วยกันไง” ป้าคาเรนพูดอย่างไม่กังวล เธอแอบคิดไปเสียด้วยซ้ำว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ช่างแล้วน้ำใจลำพังรถเก๋งคันเดียวยังไงคนสี่คนก็นั่งได้สบาย ๆ อยู่แม้จะมีสัมภาระไปด้วยก็ไม่ได้ทำให้ลำบากมากนักหรอก

“แต่…” คริสโตเฟอร์พูดพร้อมกับหยิบพวงกุญแจโมเดลรถขึ้นมาก่อนจะกดปุ่มที่ตัวพวงกุญแจแล้วทำให้มันขยายตัวขึ้นอย่างมหัศจรรย์กลายเป็นรถบูกัตติ ลา วัวตูร์ นัวร์ สองประตูคันใหญ่

“ว้าว! รถเท่มากพี่ชาย” แจสเปอร์ตาโตขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นรถหรูที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า “แต่…มันนั่งได้สองคนเหรอ?” เขาถามด้วยความสงสัย เพราะรถคันนี้ดูเหมือนจะมีที่นั่งแค่สองที่เท่านั้น

“ใช่น่ะสิ” คริสโตเฟอร์ถอนหายใจ

“นี่พี่จะเอารถบูกัตติไปส่งฉันเหรอ” ดูเหมือนว่าเอโลอิสเองก็ไม่ได้คิดว่าพี่ชายต่างแม่ของเธอจะเอารถหรูมาใช้ในวันนี้

“ก็ฉันมีรถอยู่คันเดียว นี่เธอเห็นว่าพี่มีรถหลายคันหรือไง?”

“จะอะไรก็ช่างทำให้ยุ่งยากไปได้ก็นั่งยัด ๆ กันไปทั้งหมดนี่ล่ะ พ่อหนุ่มเลิกอิดออดได้แล้ว มา! มาช่วยกันขนของ!” ป้าคาเรนไม่สนสี่สนแปดใด ๆ ทั้งสิ้น เธอรีบตัดบทและสั่งให้ทุกคนช่วยกันขนของขึ้นรถอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากให้การเดินทางล่าช้าไปมากกว่านี้

คริสโตเฟอร์ยืนอ้าปากพะงาบ ๆ พูดไม่ออกเมื่อเห็นว่าป้าเริ่มนำทัพเด็ก ๆ ขนของเตรียมขึ้นรถ เขาเองก็ไม่ได้อยากจะทำให้เสียเรื่องเพราะการสื่อสารที่ผิดพลาดแต่แรกของเขาและน้องสาว การจะเปลี่ยนแผนตอนนี้ก็คงจะไม่ทันแล้ว เขาจึงได้แต่ยอมปล่อยให้ทุกคนทำตามใจ

“ยืนบื้ออะไรอยู่พ่อหนุ่มเปิดกระโปรงรถสิ!” ป้าคาเรนเริ่มสั่งการทุกคนโดยอาศัยความอาวุโสสุดเป็นที่ตั้ง คริสโตเฟอร์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อป้าคาเรนสั่งให้เขาเปิดช่องเก็บของ เขาทำตามคำสั่งของป้าอย่างรีบเร่งเปิดช่องเก็บของบนรถให้ป้าทันที

“รถราคาตั้งแพงช่องเก็บของมีแค่นี้เนี่ยนะ แนะนำว่าคราวหน้าซื้อรถปิคอัพนะหนุ่มเอ้ย!” ป้าคาเรนบ่นออกมาอย่างหงุดหงิดหลังจากใส่ชะลอมไปได้แค่สองอันช่องก็เต็มแล้ว ยังไม่ทันได้ใส่ถุงกระสอบสีรุ้งของป้าเลยด้วยซ้ำ

“เหมือนว่าช่องเก็บของจะเต็มแล้วนะครับป้า” แจสเปอร์ที่กำลังถือถุงกระสอบสีรุ้งที่คิดว่าเป็นกระเป๋าบาเลนเซียกาบอกกับป้าคาเรน ท่าทางของเขาเหมือนกำลังจะหาจุดที่พอจะใส่ของเข้าไปเพิ่มได้

“ช่องเต็มก็เอาไปใส่ในรถ…ป่ะ!ขึ้นรถ คนละไม้คนละมือเบียด ๆ ชิดในกันหน่อยให้ทุกคนเข้าไปได้” ป้าคาเรนสั่งเสียงเข้ม ทุกคนเมื่อได้ยินแล้วก็รีบทำตาม

ความรู้สึกของปลากระป๋องมันเป็นเช่นนี้เอง! เสียงของป้าคาเรนยังคงดังก้องในหูเด็ก ๆ ขณะที่ทุกคนเริ่มพยายามยัดตัวเองเข้าไปในรถที่แทบจะไม่มีที่ว่างเหลืออยู่แล้วด้วยของสัมภาระที่ยัดไปมากพอดู

แจสเปอร์เลือกที่จะเข้าไปก่อนเพราะเขาเป็นผู้ชายอาจพอให้ผู้หญิงนั่งตักได้อยู่ เอโลอิสเลือกเปิดเข้าไปทางฝั่งคนขับแล้วเอาตัวเองนั่งคร่อมตรงกลางบริเวณที่ไม่มีเบาะนั่งเป็นจุดของเกียร์รถและที่วางของเล็ก ๆ น้อย ๆ ของรถโดยมีเคอร์ติสเกาะไหล่เข้ามาด้วย ป้าคาเรนเองก็กระตือรือร้นที่จะเข้าไปเป็นคนที่สามโดยนั่งตักแจสเปอร์อย่างไม่ลังเล เพราะเห็นว่าที่นั่งในรถไม่พอแล้วและปิดท้ายด้วยคริสโตเฟอร์ที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับอย่างเสียมิได้ พลางถอนหายใจ

“เห็นไหมฉันบอกแล้วว่านั่งได้!” ป้าคาเรนพูดด้วยท่าทางที่ยิ้มกว้างราวกับว่าทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายดาย

“แต่มันก็ทุลักทุเลนิดหน่อยนะ” เอโลอิสกล่าว ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนที่นั่งลำบากที่สุดในรถคันนี้แล้วล่ะเพราะต้องคร่อมกลางในจุดที่ไม่มีเบาะนั่งเลยด้วยซ้ำ

“ขับแบบนี้ไปจนถึงบอสตันมีหวังโดนตำรวจหิ้วพอดี เอางี้พี่จะไปส่งพวกเธอที่สถานีรถไฟแล้วพวกเธอก็ตีตั๋วไปบอสตันเองโอเคไหม?” คริสโตเฟอร์พยายามหาทางออกให้ทุกคน

“เอางั้นก็ได้” เอโลอิสตอบรับ ส่วนคนอื่นก็ไม่ได้ติดขัดอะไรเพราะคิดว่ายังไงนั่งรถไฟก็น่าจะสบายกว่าการอัดกันเป็นปลากระป๋องแบบนี้ไปอีกหลายชั่วโมง

รถเริ่มออกตัวไปตามเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟ เสียงเครื่องยนต์คำรามขับเคลื่อนพวกเขาไปข้างหน้า แต่ทว่าในรถกลับเต็มไปด้วยความเงียบงัน พอได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองและเสียงรถที่วิ่งไปบนถนน บรรยากาษที่เหมือนจะสงบนี้กลับทำให้ป้าคาเรนรู้สึกแปลก ๆ เธอเริ่มรู้สึกไม่ชินกับบรรยากาศที่เงียบเกินไป จึงยื่นมือไปสะกิดคริสโตเฟอร์ที่กำลังขับรถอยู่

“นี่พ่อหนุ่มเปิดเพลงหน่อยสิมันเงียบเกินไปแล้ว”

คริสโตเฟอร์เหลือบตามองป้าคาเรนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วก็ยอมกดปุ่มเปิดเพลงจากเครื่องเสียงในรถ โดยไม่ถามอะไรมาก เพราะเข้าใจว่าป้าเพียงแค่ต้องการเพิ่มบรรยากาศในรถให้มีชีวิตชีวามากขึ้น เพลงที่เริ่มดังขึ้นมาเป็นเพลงฮิปฮอปสไตล์คนผิวสี จังหวะหนักแน่นและเสียงแร็ปที่ดังลั่นคันรถ เมื่อป้าคาเรนได้ยินก็ถึงกับผงะ ตาเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้วเคร่งเครียดเพราะนี่ไม่ใช่รสนิยมการฟังเพลงแบบเจนเบบี้บูมเมอร์ตอนปลายคาบเกี่ยวกับเจน X ยุคแรกเริ่มอย่างป้าจะเข้าใจได้ ในขณะที่เด็กคนอื่นในรถโยกหัวตามจังหวะเพลงอย่างเพลิดเพลิน

“เพลงบ้าอะไรเนี่ยฟังไม่รู้เรื่อง แหกปากบ่นอะไรก็ไม่รู้ปิดเลย เอานี่ไปเปิด” ป้าคาเรนยื่นแฟลชไดร์ฟที่ให้ลูกลงให้ด้านในนั้นรวมเพลงโปรดเพลงฮิตของป้าไว้อย่างอัดแน่นจุใจ คริสโตเฟอร์มองดูแฟลชไดร์ฟในมือป้าคาเรนอย่างงง ๆ แต่ก็รู้ดีว่าการเปิดเพลงตามที่ป้าต้องการคงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้ เขาจึงยอมปิดเพลงฮิปฮอปที่ยังคงเล่นอยู่และเสียบแฟลชไดร์ฟเข้าไปในเครื่องเล่นเพลงภายในรถ พร้อมกดเปิดเพลงที่บรรจุอยู่ในนั้น

ทันทีที่เสียงเพลงจากแฟลชไดร์ฟเริ่มดังขึ้นมาทุกคนในรถก็เงียบไปพร้อม ๆ กัน เพลงของป้าคาเรนเริ่มค่อย ๆ ดังขึ้น จังหวะท่วงทำนองนั้นฟังแล้วไม่คุ้นหูเลยสักนิด เอโลอิสและแจสเปอร์หันหน้ามองกันเหมือนว่าพวกเขายังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่กำลังฟัง


♫ ได้ฮักกับอ้ายเหมือนใจได้ปริญญา
ชีวิตผู้สาวบ้านนาวุฒิการศึกษามีน้อย
ขาดโอกาสเรียนเพราะจนเป็นคนเลื่อนลอย
โชคดีมีอ้ายเฝ้าคอยหยัดยืนให้โอกาสใจ ♪

ป้าคาเรนเริ่มร้องคลอไปกับเพลงในขณะที่คนอื่นนิ่งสนิท บรรยากาศโดยรอบเหมือนกลับมาอยู่ในโหมดปกติ(?) อีกครั้ง แต่ทว่าความสงบเงียบไม่นานก็ถูกทำลายไปด้วยเสียงหวอของรถตำรวจที่ดังขึ้นจากด้านหลัง เสียงนั้นทำให้ทุกคนในรถสะดุ้ง และบรรยากาศที่เคยดูสงบเริ่มเปลี่ยนเป็นความตึงเครียด

หวออออออออออออออออออ!!!

“บ้าจริง! บรรทุกคนเกินอัตราท่าทางว่าตำรวจจะเรียกเข้าแล้ว” คริสโตเฟอร์พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เขาหันไปมองกระจกหลังและเห็นรถตำรวจตามมาติด ๆ

“แล้วพวกเราจะเอายังไงดี” เอโลอิสหันไปถามพี่ชายด้วยสีหน้ากังวล

“จอดตอนนี้โดนแน่ ทุกคนหาที่เกาะไว้แน่น ๆ” คริสโตเฟอร์บอกทุกคน

จากนั้นความเร็วรถก็เพิ่มอย่างทวีคูณโดยไม่ต้องพึ่งเพลง Tokyo Drift เพื่อบิวท์อารมณ์แม้แต่น้อยป้าคาเรนกรี๊ดดังลั่นรถทำเอาเอโลอิสและแจสเปอร์ต้องเอามือมาปิดหู คริสโตเฟอร์ขับหนีรถตำรวจอย่างชำนาญ ทักษะที่เขาได้ฝึกฝนจากการเป็นสายลับที่ต้องฝ่าฟันกับการไล่ล่าหลายครั้งถูกใช้ประโยชน์เต็มที่ เขาหมุนพวงมาลัยอย่างคล่องแคล่ว เบี่ยงตัวไปทางถนนที่เงียบสงบกว่า หลีกเลี่ยงไม่ให้รถตำรวจตามทัน ก่อนที่เขาจะนำรถเบี่ยงไปเข้าป่าทึบเพื่อหลบซ่อนให้พ้นสายตา แล้วกดปุ่มหนึ่งของรถเพื่อทำการเปลี่ยนป้ายทะเบียนอย่างแนบเนียน

“เดี๋ยวนี้ทำไมรถคันนี้เปลี่ยนป้ายทะเบียนได้” เอโลอิสถามอย่างตะลึงเมื่อเห็นคริสโตเฟอร์กดปุ่มบางปุ่มในรถ แล้วทันใดนั้น ป้ายทะเบียนรถก็ถูกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากป้ายเดิมที่มีอยู่เป็นอีกหนึ่งที่แปลกตาและไม่สามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ

“ก็แค่ดัดแปลงมันนิดหน่อยเพื่อให้ง่ายต่อการทำภารกิจต่าง ๆ น่ะ” คริสโตเฟอร์ตอบพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก เขามองไปที่กระจกหลังที่ตอนนี้ไม่มีรถตำรวจอยู่แล้ว

“แบบนี้พวกเราก็รอดแล้วใช่ไหมพี่ชาย” แจสเปอร์ถาม

คริสโตเฟอร์ไม่ได้ตอบอะไรเขาเปลี่ยนเส้นทางจากกำหนดการเดิมเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงการสะกดรอยจากรถตำรวจ โดยเลือกการเปลี่ยนทิศทางไปยังเส้นทางลัดที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักและกลับเข้าสู่ถนนในจุดที่ไม่มีกล้องวงจรปิด เห็นได้ชัดว่าเขาชำนาญเส้นทางพวกนี้มากแค่ไหน

“เอาล่ะทีนี้เราก็ปลอดภัย…เฮ้ย! ป้า! คริสโตเฟอร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่อยู่ดี ๆ ใบหน้าเขาก็เปลี่ยนสีทันทีเมื่อหันไปเห็นสีหน้าของป้าคาเรน ท่าทางว่าป้าจะลมจับจากเหตุการณ์ซิ่งท้านรกเมื่อครู่

“ยาดม…” ป้าคาเรนพูดออกมาเสียงเบา ๆ แต่นั่นก็เป็นคำที่ทำให้เอโลอิสและคนอื่น ๆ รีบหันไปฟัง

“อะไรนะป้า ยาดม? มันคืออะไร” เอโลอิสถามด้วยความสงสัย เธอไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนในชีวิต

“ขอยาดม…” ป้าคาเรนชี้ไปที่ถุงสีรุ้งที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ เอโลอิส ปากก็พูดพึมพำเหมือนจะบอกให้ช่วยเอายาดมออกมาให้ เอโลอิสที่ไม่ได้โดนป้านั่งทับอยู่เหมือนกับแจสเปอร์รีบค้นหาของในนั้นอย่างรวดเร็ว สมบัติบ้าของป้าเยอะจนแทบจะไม่มีเนื้อที่ให้ของได้หายใจเลยสักนิด

“มันหน้าตาเป็นยังไงป้า?”

“กระปุกสีเขียว…” ป้าคาเรนตอบกลับอย่างอ่อนแรง มือยังคงชี้ไปที่ถุงใบเดิม

“กระปุกสีเขียว…อ้อ! เจอแล้วอันนี้ใช่ไหมป้า” เอโลอิสยื่นมือไปหากระปุกที่เธอคิดว่าใช่แล้ว แล้วหยิบมันขึ้นมาชูให้ป้าดู

“นั่นมันสังขยาใบเตย! กระปุกเล็กกว่านี้เป็นพลาสติกมีรูปหงส์! แจสเปอร์พัดให้ป้าหน่อยจะเป็นลม”

“ครับป้า” แจสเปอร์ที่รู้สึกตกใจจนถึงกับรีบพัดมือไปมาทันที เพราะเขารู้ว่าอาการของป้าไม่ดีแน่ ๆ ถ้าเธอไม่หายใจสะดวก ในขณะที่เอโลอิสหันไปค้นหากระปุกรูปหงส์ที่ว่านั่นต่อ

“หนูไม่เห็นเจอหงส์เลย มันมีแต่ตัวอะไรไม่รู้” เธอชูกระปุกสีเขียวอันหนึ่งให้ป้าดู กลิ่นมันบอกไม่ถูกเหมือนเป็นกลิ่นสมุนไพรบางอย่าง

“นั่นแหละหงส์ดูยังไงไม่ใช่หงส์ยะ เอามานี่เลย” ป้าคาเรนตวาดพลางคว้ากระปุกจากมือเอโลอิสอย่างรวดเร็วแล้วเปิดดมทันที สีหน้าของป้าดีขึ้นทันใดเหมือนรู้สึกโล่งในทันทีที่ได้สูดดมกลิ่นหอมจากยาดม

เอโลอิสยังคงทำหน้างงว่ามันเหมือนหงส์ตรงไหนเพราะหงส์ในภาพจำของชาวไอริชอย่างเธอไม่หน้าตาอย่างนี้แน่นอน มันออกจะคล้ายเป็ดที่คอยาว ๆ เสียมากกว่า หรือว่าหงส์ของประเทศไทยจะหน้าตาแบบนี้กันนะ?

หลังจากความวุ่นวายมาตลอดทางในที่สุดคริสโตเฟอร์ก็สามารถพาทุกคนมาส่งที่สถานีรถไฟได้สำเร็จในที่สุด ป้าคาเรนที่อาการดีขึ้นแล้วรีบเปิดประตูรถลงมา ส่วนแจ๊สเปอร์ก็เดินลงมาแบบขาสั่นเพราะโดนนั่งทับมาตลอดทางจนขาชาไปหมด ทุกคนช่วยกันขนของลงมาจากรถจนเสร็จ

“ขอบคุณมากเลยค่ะพี่คริสที่มาส่ง” เอโลอิสยิ้มและพูดขอบคุณพี่ชายของเธอ

“คราวหน้าคราวหลังถ้าจะให้ช่วยช่วยบรีฟให้ละเอียดกว่านี้หน่อยจะได้ไม่วุ่นวายแบบนี้” คริสโตเฟอร์บอกน้องสาวเพราะไม่อยากเจออะไรแบบนี้อีกแล้ว

“โอเค” เอโลอิสรับปาก

“เดินทางปลอดภัยนะทุกคนผมขอตัวก่อน” คริสโตเฟอร์พูดพร้อมยิ้มให้กับทุกคน ก่อนที่จะหันไปขึ้นรถหรูของเขา

“บายครับพี่” แจสเปอร์ยิ้มและโบกมือลา

“โชคดีพ่อหนุ่ม” ป้าคาเรนพูดพร้อมส่งยิ้มให้

รถบูกัตติคันหรูพุ่งออกไปจากหน้าสถานีรถไฟ ด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่เร่งเต็มที่ ทิ้งไว้แค่ฝุ่นควันที่ลอยคลุ้งไปในอากาศ เหลือเพียงเดมิก็อดทั้งสามและเคอร์ติสที่ยังคงต้องออกเดินทางต่อไป ตราบใดที่ยังไม่พบกับคนที่ชื่อแม็กนัส เชส ยังไงก็จะท้อถอยไม่ได้เด็ดขาด!








แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 68,235 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ จาก โรคสมาธิสั้น  โพสต์ 2025-2-4 23:52
โพสต์ 68235 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2025-2-4 23:52
โพสต์ 68,235 ไบต์และได้รับ +15 EXP +30 ความกล้า +20 ความศรัทธา จาก เกราะไทเทเนียม  โพสต์ 2025-2-4 23:52
โพสต์ 68,235 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +6 ความศรัทธา จาก สร้อยไข่มุกตาฮิตี   โพสต์ 2025-2-4 23:52
โพสต์ 68,235 ไบต์และได้รับ +2 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +7 ความศรัทธา จาก ผลิตภัณฑ์กันแดด  โพสต์ 2025-2-4 23:52
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x8
x2
x7
x30
x3
x2
x1
x3
x3
x6
x4
x2
x10
x15
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x53
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x364
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x3
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x82
โพสต์ 2025-2-11 18:19:19 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Eloise เมื่อ 2025-4-26 23:18





หลังจากที่คริสโตเฟอร์มาส่งเหล่าเดมิก็อตที่สถานีรถไฟพวกเขาก็ตรงปรี่ไปเช็คตารางการเดินรถเพื่อตรวจสอบเที่ยวรถที่จะพาพวกเขาเดินทางไปยังบอสตันได้ แต่ว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ เมื่อเจ้าหน้าที่บอกว่าเที่ยวรถของวันนี้เต็มหมดแล้ว อาจเพราะว่าพวกเขามัวแต่เสียเวลาไปกับการหลบหนีตำรวจ กว่าจะมาถึงสถานีก็กลายเป็นว่าไม่ทันการณ์เสียแล้วถ้าจะนั่งเที่ยวต่อไปก็คงจะต้องเป็นวันรุ่งขึ้น


ในเมื่อทุกคนไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้…อันที่จริงก็พอมี…แต่เอโลอิสสัญญากับตัวเองว่าเธอจะไม่ไปนั่งแท็กซี่สามพี่น้องสีเทานั่นแน่นอน สุดท้ายจึงตกลงกันว่าจะนอนรอรถเที่ยวต่อไปในรุ่งเช้า นอนเฝ้าที่สถานีกันไปเลยประหยัดค่าห้อง แม้ตอนแรกป้าคาเรนจะมีท่าทีไม่เห็นด้วยแต่พอเอโลอิสและแจสเปอร์บอกว่า ‘งั้นให้ป้าออกค่าห้อง’ ก็กลายเป็นว่าป้ายินยอมที่นอนรอที่สถานีด้วยในทันที

…เช้าวันรุ่งขึ้น…

“ตื่น ๆ จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนยะ?” เสียงแหลมของป้าคาเรนทำให้ทุกคนสะดุ้งตื่นอย่างไม่เต็มใจนัก

“กี่โมงแล้วเนี่ย…” เอโลอิสลืมตาขึ้นเพียงแค่ครึ่งเดียว เธอยังคงอยากฟุบหน้านอนลงกับกระเป๋าต่อแม้ว่ามันจะนอนไม่สบายนักก็ตาม

“ตีห้า” ป้าคาเรนตอบด้วยน้ำเสียงสดชื่นเหมือนกับคนที่ตื่นเวลานี้เป็นกิจวัตร

“ตีห้า! ป้าปลุกอะไรเช้าขนาดนั้น” เอโลอิสถึงกับตกใจ เธอไม่เคยตื่นในเวลานี้มาก่อน ถึงแม้ว่าจะเคยชินกับการตื่นเช้าแต่การปลุกตอนตีห้านี่มันมากเกินไปไหม

“เช้าอะไรกันล่ะ ฉันตื่นตั้งแต่ตี 4 นู่น! รถเที่ยวแรกออกไปแล้ว!” ป้าชี้ไปที่ป้ายรถเที่ยวแรกที่ออกเวลา 04:10 น.

“คนแก่นี่ตื่นเช้าชะมัด…” แจสเปอร์บ่นพึมพำไม่ดังมากนัก แต่พอป้าคาเรนได้ยินก็หันมามองเขาทันที

“ได้ยินนะยะ!” ป้าหันไปมองแจสเปอร์ตาเขียว

“อุ๊ปส์!” แจสเปอร์รีบหลบตาแล้วหยุดพูดทันที

“อย่ามัวแต่โอ้เอ้ ไปล้างหน้าล้างตาซะจะได้ไปซื้อตั๋วกันสักที รอบนี้จะพลาดเหมือนเมื่อวานไม่ได้แล้ว” ป้าบอก

“งั้นก็ฝากป้าไปซื้อตั๋วหน่อยนะคะ เดี๋ยวพวกหนูไปล้างหน้าให้สร่างสักหน่อย”

เอโลอิสพูดจบก็เดินไปห้องน้ำกับแจสเปอร์ปล่อยป้ารับหน้าที่เป็นคนซื้อตั๋ว โดยทิ้งเคอร์ติสไว้กับป้าเพราะคิดว่าแค่ล้างหน้าแป๊บเดียวมันจะไปมีอะไรเกิดขึ้นได้กันเล่า! เอโลอิสแยกกับแจสเปอร์หน้าห้องน้ำไปเข้าห้องน้ำของใครของมันเพื่อทำธุระส่วนตัว ภายในห้องน้ำ…เอโลอิสยืนอยู่หน้ากระจกอย่างง่วง ๆ โดยเปิดน้ำเย็นให้ไหลผ่านใบหน้า เพื่อล้างความง่วงที่เกาะอยู่เต็มหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกระจกในขณะที่น้ำหยดจากใบหน้า ตาก็สะดุดเข้ากับสิ่งที่ทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย พัควัดจิ 5 ตัวกำลังยืนรายล้อมเธออยู่ด้านหลัง…

“ยังไม่ทันออกจากลองไอส์แลนด์ดีเลยก็จะเจอแล้วเหรอ…” เธอพึมพำ

เอโลอิสหายใจเข้าลึก ๆ และหยิบค้อนไฟออกมาจากกระเป๋าคาดเอวพร้อมกับโล่ เธอรู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องต่อสู้หากอยากรอดจากสถานการณ์นี้ไป

"แน่จริงก็เข้ามา!" เอโลอิสพูดอย่างท้าทาย ในขณะเดียวกันก็ฟาดค้อนไฟไปยังพัควัดจิที่อยู่ด้านขวาของเธอทันที

ค้อนไฟกระทบเข้ากับหัวเจ้าพัควัดจิเต็ม ๆ ไปหวันอย่างรวดเร็วแบบไม่ทันที่มันจะได้ออกท่าต่อสู้ใด ๆ พัควัดจิอีกตัวพุ่งเข้าโจมตีเธออย่างรวดเร็ว เอโลอิสยกโล่ขึ้นป้องกันการโจมตีอันรุนแรงของมันในทันทีถ้านับแค่ขนาดตัวยังไงตัวเธอเองก็ได้เปรียบเห็น ๆ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับการต่อกรกับพัควัดจิด้วย

"ตายซะ!" เอโลอิสตะโกนพร้อมกับหมุนตัวด้วยความเร็ว เธอเงื้อค้อนไฟขึ้นและฟาดลงไปที่พัควัดจิอีกตัวที่พยายามจะอาศัยทีเผลอจัดการเธอ ค้อนไฟพุ่งเข้าที่ลำตัวของพัควัดจิจนมันกรีดร้องออกมาเสียงดัง ก่อนที่ร่างมันจะปะทุเป็นกลุ่มละอองสีทองกระจายออกไปในอากาศ

เอโลอิสหันไปสู้กับพัควัดจิอีกตัวที่กำลังจะโจมตีเธอจากด้านหลัง เธอพลิกหลบทันทีและใช้โล่ขัดขวางการโจมตีที่พุ่งมาได้อย่างแม่นยำ ก่อนจะใช้โล่ฟาดกลับไปอย่างแรงจนสู่ขิต

พัควัดจิอีกตัวตกใจและถอยออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ทันการเอโลอิสรีบพุ่งเข้าไปจู่โจมด้วยค้อนไฟอีกครั้ง คราวนี้เธอฟาดลงไปที่ใบหน้าของมันอย่างไม่ปราณี และพัควัดจิก็สลายไปในอากาศเช่นเดียวกับตัวอื่น ๆ

“เหลือแค่ตัวเดียวแล้ว!” เอโลอิสคิดในใจ ขณะที่เธอหันไปหาพัควัดจิที่เหลือเพียงตัวเดียว

แม้จะเป็นพัควัดจิที่เหลือเพียงตัวเดียวแต่มันก็ไม่ยอมแพ้ มันสับขาหลอกเธอเหมือนมันเตรียมพร้อมที่จะโจมตีอย่างหนักหน่วง แต่ว่าเอโลอิสก็ไม่ยอมให้มันมีโอกาสนั้น เธอพุ่งเข้าไปอย่างกล้าหาญ ก่อนจะฟาดค้อนไฟออกไปเต็มแรง กระทบเข้ากับลำตัวของพัควัดจิ พัควัดจิตัวสุดท้ายระเบิดกลายเป็นละอองที่ลอยไปทั่วห้องน้ำ

ทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ ห้องน้ำที่เคยเต็มไปด้วยความตึงเครียดตอนนี้กลับเงียบสงบ เอโลอิสยืนหายใจหนักๆ มือข้างหนึ่งยังคงจับค้อนไฟและโล่เอาไว้แน่น เป็นเวลาเดียวกับที่แจสเปอร์ชะเง้อเข้ามาในห้องน้ำหญิงเพราะได้ยินเสียงแปลก ๆ

“เกิดอะไรขึ้นพี่สาว!” แจสเปอร์ถามด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ มองไปที่เอโลอิสที่ยังคงตั้งท่าหายใจหอบหนัก

“อสุรกายนิดหน่อยน่ะ จัดการไปแล้ว” เอโลอิสตอบกลับอย่างใจเย็น แม้จะรู้สึกหอบเล็ก ๆ แต่เธอก็พยายามจะไม่แสดงออกมาให้ใครเห็น

“ปลอดภัยก็ดีแล้ว งั้นเรากลับไปหาป้ากันเถอะ” แจสเปอร์พูดพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย

ทั้งสองพากันเดินออกมาจากบริเวณหน้าห้องน้ำ ไปยังทางเดินที่เงียบสงบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทว่าในขณะที่พวกเขากำลังเดินไปนั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ดังขึ้นมา พวกเขาหันไปพบเจ้านกกระทาเคอร์ติสที่วิ่งมาหาพวกเขาด้วยท่าทางหน้าตาตื่นราวกับมีเรื่องฉุกเฉิน

“แย่แล้วขอรับ!” เคอร์ติสพูดด้วยเสียงแตกตื่น พร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล

“มีอะไรเหรอเคอร์ติส” เอโลอิสถามด้วยความสงสัย

“ตอนนี้ป้าคาเรนกำลังมีเรื่องกับกลุ่มวัยรุ่นที่ต่อคิวซื้อตัวขอรับ!” เคอร์ติสตอบด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น

หา!!! / หา!!!

เสียงของเอโลอิสและแจสเปอร์ดังขึ้นพร้อมกัน ทั้งคู่หันมามองหน้ากันด้วยท่าทีตกใจ ก่อนที่ทั้งสามจะรีบวิ่งไปยังจุดขายตั๋วของสถานี ซึ่งเป็นจุดที่เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังยืนต่อคิวอย่างคับคั่ง ท่ามกลางผู้คนที่พลุกพล่านกลับได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทดังขึ้นมาอย่างชัดเจน

“อ้าวป้ามาแซงคิวแบบนี้ได้ยังไง!” เสียงวัยรุ่นคนหนึ่งดังขึ้นหลังจากที่พบว่ามีป้าคนหนึ่งแทรกแถวเข้ามาระหว่างที่เขายืนคุยกับเพื่อนอยู่

“ใช่ พวกเรามาก่อนนะทำไมมาแซงคิวหน้าด้าน ๆ แบบนี้ล่ะ” อีกคนท้วงขึ้น

“พวกเธอก็หยวน ๆ ให้กันหน่อยพอดีป้ารีบ ต่อจากป้าไปแค่คิวสองคิวไม่เป็นไรหรอก” ป้าคาเรนตอบกลับเหมือนพยายามจะอธิบายให้เข้าใจ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครฟัง

“แบบนี้มันเสียมารยาทนะป้า” เสียงของวัยรุ่นคนหนึ่งดังขึ้นอีกครั้ง ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“ก็พวกเธอไม่เดินหน้าไปสักทีฉันเห็นว่ามันว่างอยู่ฉันก็แค่มาต่อผิดตรงไหนยะ!” ป้าคาเรนพูดออกมาเสียงดัง ซึ่งทำให้กลุ่มวัยรุ่นยิ่งรู้สึกเหมือนถูกท้าทาย

“แซงแล้วยังไม่สำนึกอีกอยากมีเรื่องเหรอป้า!” วัยรุ่นคนหนึ่งตะคอกใส่ป้าคาเรน

“ซวยแล้วไง! แจสเปอร์พวกเรารีบไปห้ามทัพก่อน” เอโลอิสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก สายตาของเธอจับจ้องไปที่ป้าคาเรนที่ยังคงยืนต่อล้อต่อเถียงกับกลุ่มวัยรุ่นอย่างไม่ยอมลดละ

“โทษทีนะครับป้าแกแก่แล้ว อย่าไปถือสา” แจสเปอร์พูดด้วยท่าทางพยายามจะเข้าไปขอโทษกลุ่มวัยรุ่นที่ดูเหมือนจะโมโหมากขึ้นเรื่อย ๆ

“นี่แจสเปอร์! ไม่ต้องขอโทษ เจ้าพวกอันธพาลป่าเถื่อนแบบนี้น่ะไม่ต้องไปยอมมัน!” ป้าคาเรนตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจที่เห็นท่าทีโอนอ่อนของแจสเปอร์

“ป้าคะ เงาหัวพวกเราแทบจะไม่มีแล้วนะป้า พอเถอะ” เอโลอิสพยายามจะพูดให้ป้าหยุดมีเรื่อง แต่ป้าคาเรนดูเหมือนจะไม่ได้ฟังคำพูดของเธอเลยสักนิด

“ค่อย ๆ คุยกันดี ๆ นะครับพี่ผมขอ” แจสเปอร์พูดด้วยความใจเย็นเพื่อไล่เกลี่ย แต่เสียงของเขากลับถูกขัดด้วยเสียงก้าวร้าวจากวัยรุ่นกลุ่มนั้น

“หลีกทางไปเลยไอ้หน้าหวาน ขอสั่งสอนยัยป้าแก่นี่สักทีเถอะ!” หนึ่งในวัยรุ่นพูดพร้อมถกแขนเสื้อขึ้น

“แน่จริงก็เข้ามาสิคิดเหรอว่าฉันจะกลัว!” ป้าคาเรนพูดเสียงดัง ก่อนจะถอดรองเท้าแตะออกเตรียมที่จะปาใส่หัววัยรุ่นด้านหลังด้วยท่าทางที่โกรธจัด

ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นก้าวเข้ามาใกล้พร้อมหมัดที่กำแน่นและพร้อมที่จะออกหมัดทันที แจสเปอร์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้าขวางเพื่อขอพูดคุยให้ทั้งสองฝ่ายใจเย็นลง มันเป็นจังหวะเดียวกับที่หมัดของกลุ่มวัยรุ่นเหวี่ยงมาหมายจะอัดป้าคาเรน เมื่อแจสเปอร์เข้ามาขวางวิถีหมัด หมัดนั้นจึงไปโดนหน้าแจสเปอร์แทน

“แกจะเข้ามาขวางทำไมเนี่ย!” วัยรุ่นคนที่โดนขัดขวางตะคอกใส่แจสเปอร์ด้วยความโมโห

แจสเปอร์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดุร้าย เหมือนว่าหมัดนั้นจะกระตุกต่อมบางอย่างในตัวเขา เขารู้สึกถึงความโกรธเลือดนักสู้ของบุตรแอรีสที่อยู่ในตัวถูกปลุกขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ จึงไม่สามารถทนที่จะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยต่อไปได้ แจสเปอร์กระโจนไปข้างหน้าและเหวี่ยงหมัดกลับไปใส่กลุ่มวัยรุ่นทันที ทุกอย่างเริ่มชุลมุน ความโกลาหลเริ่มก่อตัว ตอนนี้เหมือนกับดูรายการศึกจ้าวมวยไทยไม่มีผิด จังหวะนี้ทุกคนตะลุมบอนกันจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร สถานการณ์กลับกลายเป็นความวุ่นวายที่ไม่สามารถควบคุมได้

“แจสเปอร์ใจเย็นอย่า—”

เอโลอิสพยายามจะห้ามผู้ที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง แต่กลับกลายเป็นว่าเสียงของเธอดึงดูดความสนใจของคนในวงตะลุมบอนแทน

“พวกมันเหมือนกันใช่ไหม มานี่เลย!”

ผมสีเพลิงของเธอถูกกระชากดึงเข้าไปร่วมวงด้วยในทันที สถานการณ์วุ่นวายจนคุมไม่อยู่ทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสถานีต้องแจ้งตำรวจให้รีบเข้ามาระงับเหตุ

ในเวลาไม่นานหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเดมิก็อดและกลุ่มวัยรุ่น เจ้าหน้าที่ตำรวจสองคันก็ขับมาถึงหน้าสถานีอย่างรวดเร็ว ประตูรถถูกเปิดออกพร้อมการปรากฏตัวของตำรวจหลายคนที่เดินลงมาอย่างรวดเร็วเพื่อควบคุมสถานการณ์

“ทุกคนนี่เจ้าหน้าที่ตำรวจโปรดอยู่ในความสงบ!!!” เสียงประกาศของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังก้องไปทั่วบริเวณ

พอได้ยินคำว่าตำรวจทุกคนที่กำลังวุ่นวายก็หยุดชะงักเหมือนกับกำลังประมวลผลบางอย่างก่อนที่ทั้งหมดจะวงแตกวิ่งกันไปคนละทิศคนละทางเพื่อหลบหนี

“คุณตำรวจต้องช่วยดิฉันนะ เจ้าเด็กพวกนั้นมันหาเรื่องก่อน ดิฉันไม่ได้ทำ—” ป้าคาเรนวิ่งไปเกาะแขนตำรวจรายหนึ่งอ้อนวอนขอให้ช่วย

แต่ทว่า…

แกร็ก!

เสียงของกุญแจมือดังขึ้นขัดจังหวะคำพูดของป้าคาเรน มือที่เธอเกาะแขนตำรวจถูกจับล็อกใส่กุญแจมืออย่างรวดเร็ว

“ไปคุยกันที่สถานีตำรวจ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ พร้อมกับลากตัวป้าคาเรนไปยังรถตำรวจ คนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่แถวนั้นเริ่มมองตากัน

“คุณตำรวจจับดิฉันทำไม ดิฉันไม่ได้ก่อเรื่องนะ วัยรุ่นพวกนั้นมันต่อยกับแจสเปอร์ต่างหาก!!!” ป้าคาเรนเริ่มโวยวายทันที

“คนไหนคือแจสเปอร์?” ตำรวจถามทุกคนในที่เกิดเหตุ

นิ้วทุกนิ้วชี้ไปพร้อมกันที่เด็กหนุ่มเดมิก็อดชาวเอเชียโดยมิได้นัดหมาย เมื่อเห็นดังนั้นตำรวจก็เลยไปรวบตัวแจสเปอร์ไปอีกคน เอโลอิสเห็นท่าจะไม่ดีเลยจะไปช่วย

“เอ่อ…คุณตำรวจคะ น่าจะมีเรื่องเข้าใจผิด จริง ๆ แล้ว—” เอโลอิสพยายามอธิบายแต่ยังไม่ทันพูดจบ…

แกร็ก!

เอโลอิสโดนสวมกุญแจมือเข้าให้อีกคนเพราะมุมปากของเธอมีร่องรอยการโดนต่อย แสดงว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อความวุ่นวาย สุดท้ายทั้งเหล่าเดมิก็อดและกลุ่มวัยรุ่นก็โดนรวบไปที่สถานีตำรวจทั้งหมด!

…ณ สถานีตำรวจ…

ภายในสถานีเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึมและเงียบสงัด เจ้าหน้าที่ตำรวจดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจจะเอาความอะไรจากเหตุการณ์นี้ เพราะมันเป็นเพียงแค่การทะเลาะวิวาทของกลุ่มวัยรุ่นสองกลุ่มที่ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงหรือมีความผิดร้ายแรงแต่อย่างใด พวกเขาทุกคนไม่มีประวัติอาชญากรรมติดตัว จึงไม่ได้ถูกบันทึกประวัติอะไรเพราะถือว่าก่อเหตุครั้งแรก

แต่มาตรการที่ตำรวจใช้ในกรณีนี้คือการสั่งสอนให้ทุกคนได้เรียนรู้จากความผิดพลาด โดยการนำตัวทุกคนไปนอนในห้องขังเป็นเวลา 1 คืน เพื่อให้พวกเขาได้ระลึกถึงความผิดที่ได้ทำและไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกในอนาคต เจ้าหน้าที่จึงแยกกลุ่มวัยรุ่นทั้งสองออกจากกันโดยให้แต่ละกลุ่มอยู่ในห้องขังแยกต่างหากเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการตีกันอีกครั้ง

“คุณตำรวจดิฉันไม่ได้ทำผิด เด็กพวกนั้นต่างหากที่หาเรื่องปล่อยป้าไปเถอะ” ป้าคาเรนยังคงร้องโอดครวญเสียงดัง มือเกาะลูกกรงห้องขังแน่น ขณะมองออกไปข้างนอกด้วยสายตาวิงวอน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอต้องนอนคุกตั้งแต่เกิดมา 60 ปี

“ยัยป้านี่น่ารำคาญชะมัดบ่นอะไรนักหนา อยู่ ๆ ไปเดี๋ยวก็ชิน ผมเข้ามาหลายรอบแล้วยังไม่เห็นรู้สึกอะไร”ชายร่วมห้องขังคนหนึ่งพูดขึ้น ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดและทำท่าทางเหมือนจะนอนพักผ่อนอย่างสงบ แต่เสียงของป้าคาเรนรบกวนโสตประสาทของเขา

“ก็ฉันไม่เคยเข้าคุกนี่ยะ ตั้งแต่เกิดมาประวัติไม่เคยแปดเปื้อนรู้ถึงไหนคงอายถึงนั่น ไม่ได้ขี้คุกแบบเธอหรอกย่ะ” ป้าคาเรนตอบเสียงแข็งด้วยความโกรธ เครียดและอับอายที่ต้องมานอนในที่แบบนี้

“อ้าวยัยป้านี่! อย่ามาซีเล็งเดี๋ยวซู้หลิ่ง!” ชายร่างใหญ่ที่นอนอยู่ตรงมุมห้องโกรธจนหน้าแดง และพยายามจะลุกขึ้นเดินไปหาป้าคาเรนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

“นี่แจสเปอร์ ไอ้ซีเล็ง ซู้หลิ่ง..มันแปลว่าอะไรอะ?” เอโลอิสที่นั่งอยู่กับแจสเปอร์ที่มุมห้องขังเริ่มกระซิบถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ไม่รู้สิ ภาษาของพวกคนคุกมั้ง พี่แกบอกเข้าออกคุกบ่อยนี่” แจสเปอร์ตอบพลางหันมองไปที่ชายคนที่กำลังพูดข่มขู่ป้าคาเรน แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่ค่อยเข้าใจภาษาเหล่านั้น แต่ดูท่าทีของชายคนนั้นแล้วคงไม่ใช่เรื่องดีแน่

“ก็เป็นไปได้…” เอโลอิสพยักหน้าเห็นด้วย

“อะไรเล็ง ๆ หริ่ง ๆ นะ พูดให้มันเป็นภาษาหน่อยคนสมัยนี้นี่ภาษาวิบัติไปหมดแล้ว!” ป้าคาเรนยังคงบ่นไม่หยุด

“ป้าผมว่าเรามานั่งดี ๆ ตรงนี้ดีกว่านะครับพรุ่งนี้ก็น่าจะได้ออกแล้ว” แจสเปอร์เห็นท่าไม่ดีอีกครั้ง จึงลุกขึ้นมาหาป้าคาเรน เพื่อพยายามพาเธอกลับไปนั่งในมุมห้องที่ห่างจากชายคนนั้น

เอโลอิสก็เข้ามาช่วยด้วยอีกแรง แต่ในขณะที่ทั้งสองคนพยายามพาป้ากลับไปที่มุมเดิม ชายร่างใหญ่ที่เดิมนอนอยู่ก็ลุกขึ้นอีกครั้งเพราะทนกับความปากดีของป้าไม่ไหวแล้ว

“ยัยป้านี่น่ารำคาญชะมัดอยากโดนสักหมัดใช่มั้ย!” เขายกมือขึ้นเตรียมจะต่อย ป้าคาเรนทำหน้าตกใจแต่ยังคงบ่นเสียงดังไม่หยุด โชคดีที่ในช่วงเวลานั้นมีชายอีกคนในห้องขังเดียวกันเดินเข้ามาจับแขนชายคนนั้นไว้ และพยายามห้ามปรามอย่างใจเย็น

“ใจเย็นพวก อย่าทำให้พวกเด็กใหม่กลัวสิ พวกเขาแค่ยังไม่ชินแค่นั้นเอง” ชายคนที่กำลังโมโหมองไปที่ชายคนที่ห้ามปรามด้วยสายตาเกรี้ยวกราด แต่ในที่สุดก็ยอมถอยหลังไปและพูดเสียงขุ่น

“อย่าให้มีครั้งที่สอง…” ชายคนนั้นยอมหยุดแล้วกลับไปนอนที่เดิม

“โห ขอบคุณมากเลยครับพี่ที่ช่วยพวกเราไว้” แจสเปอร์กล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ

“ไม่เป็นไรน้อง รู้ว่าเป็นเด็กใหม่มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้” ชายที่เข้ามาห้ามปรามยิ้มให้กับแจสเปอร์และเอโลอิส

“ขอบคุณอีกรอบครับพี่” แจสเปอร์ขอบคุณซ้ำ ก่อนที่ชายคนนั้นจะถามต่อว่า

“หิวไหมกินข้าวกินปลาหรือยัง?”

“อ๋อ ยังเลยครับพี่” แจสเปอร์ตอบเสียงอ่อน

“เอานี่ไป” เขายื่นถุงช็อกโกพายมาให้แจสเปอร์ถุงนึง

“เอ๋…ให้ผมเหรอครับ?” แจสเปอร์ถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย

“หนมน้า ๆ” ชายคนนั้นยิ้มกรุ้มกริ่ม

เชี่ยยยยย!!! / เชี่ยยยยย!!!” เอโลอิสกับแจสเปอร์ถึงกับอุทานขึ้นมาพร้อมกัน

คำนั้นแม้ไม่รู้ความหมายแต่กิริยาท่าทางมันฟ้อง แค่ได้ยินก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ทั้งสามคนรีบพากันเกาะติดกับกรงห้องขัง ยืนอยู่ในบริเวณที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเห็นพวกเขาได้เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยทัน เพราะท่าทางในคืนนี้คงไม่มีใครนอนหลับสนิทอย่างแน่นอน ความรู้สึกไม่ปลอดภัยเริ่มปกคลุมไปทั่ว เหล่าเดมิก็อดรู้ดีว่า คืนนี้อาจจะต้องเผชิญกับอะไรที่ไม่คาดคิดได้ทุกเมื่อต้องปกป้องปกป้องอธิปไตยของตัวเองไว้ เมื่อไหร่จะได้ออกห้องขังเนี่ย...ช่วยด้วยยยย!!!


หลักฐานการต่อสู้
สินสงคราม : พิษกัดกร่อน x5
(LUK 80+ ได้ตามเลขไบต์หลักสุดท้าย)







แสดงความคิดเห็น

God
ตกกลางคืนดูเหมือนในขณะทุกคนหลับจะมีคนหนึ่งตื่นเพื่อนร่วมห้องขัง.... กอร์กอนพุ่งจู่โจมคุณที่ตื่นมากลางดึก  โพสต์ 2025-2-11 18:36
โพสต์ 61012 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2025-2-11 18:19
โพสต์ 61,012 ไบต์และได้รับ +15 EXP +30 ความกล้า +20 ความศรัทธา จาก เกราะไทเทเนียม  โพสต์ 2025-2-11 18:19
โพสต์ 61,012 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +6 ความศรัทธา จาก สร้อยไข่มุกตาฮิตี   โพสต์ 2025-2-11 18:19
โพสต์ 61,012 ไบต์และได้รับ +2 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +7 ความศรัทธา จาก ผลิตภัณฑ์กันแดด  โพสต์ 2025-2-11 18:19
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x8
x2
x7
x30
x3
x2
x1
x3
x3
x6
x4
x2
x10
x15
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x53
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x364
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x3
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x82
โพสต์ 2025-4-26 23:47:18 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Eloise เมื่อ 2025-4-30 14:30





ถึงจะบอกว่าคืนนี้คงไม่มีทางหลับได้แต่ด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวันสุดท้ายเดมิก็อดทั้งหลายก็หลับเป็นตายอยู่ดี แม้ว่าจะมีความระแวงไม่ไว้ใจเพื่อนร่วมห้องขังอยู่ก็ตาม เอโลอิสกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่หลายรอบปกติแล้วจะมีเคอร์ติสช่วยเฝ้าระวังให้เธออีกแรง แต่ด้วยความชุลมุนที่เกิดขึ้นตำรวจไม่มีทางจับนกกระทามาที่สถานีตำรวจด้วยอยู่แล้ว เอโลอิสเองก็ไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้นกกระทาของเธออยู่ที่ไหน บางทีมันอาจจะกำลังหาทางช่วยเธออยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้

ในระหว่างที่เอโลอิสกำลังพยายามข่มตานอนหลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกรอบสายตาของเธอก็พลันเหลือบไปมองพื้นที่สะท้อนเงาจากแสงไฟที่ตกกระทบแม้จะไม่มีกลางคืนแต่จุดที่เป็นห้องขังนั้นไม่มีหน้าต่างจึงทำให้มันดูมืดโดยปริยายมีเพียงแสงไฟจากบริเวณที่เจ้าหน้าที่อยู่ที่ยังพอสาดส่องเข้ามาบ้าง ดูเหมือนจะมีเงาของใครบางคนค่อย ๆ ลุกขึ้นเงานั้นค่อย ๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นเงาประหลาดมีอะไรก็ไม่รู้ยั้วเยี้ยเต็มหัว เธอรู้ได้ในทันทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ

ในขณะที่เอโลอิสคิดจะหันไปเพื่อดูโฉมหน้าของเจ้าของเงาประหลาดนั้นก็มีเสียงของชายปริศนาทักเธอขึ้นมาก่อน เป็นเสียงที่มาจากนอกห้องขัง

“อย่ามองไปที่มัน” เสียงใครบางคนดังขึ้นทำให้เอโลอิสชะงักไปชั่วขณะ

“อย่ามอง นั่นเป็นกอร์กอนถ้าเธอมองมันเธอจะกลายเป็นหิน” นายตำรวจคนหนึ่งในโรงพักที่กำลังเข้าเวรทักขึ้นเขาเองก็พยายามเลี่ยงที่จะมองมัน

“คุณมองเห็นอสุรกายเหรอ?” เอโลอิสแปลกใจเล็กน้อยโดยปกติแล้วมนุษย์ทั่วไปไม่น่าจะมองเห็นมัน

“ฉันก็เป็นเหมือนกับเธอนั่นแหละ” เขาพูด

“คุณคือ—” เอโลอิสเลิกคิ้ว เหมือนเธอพอจะเดาได้แล้วว่าเขาน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

“นั่นยังไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้ ก่อนอื่นเราต้องรีบจัดการอสุรกายที่อยู่ข้างหลังเธอตอนนี้ก่อน” เขากลับเข้าเรื่อง

“แต่กระเป๋าของฉันถูกตำรวจยึดไว้หมดจะสู้มันได้ยังไงกัน?” ก่อนที่พวกเอโลอิสจะโดนยัดเข้าตารางแน่นอนว่าของทุกสิ่งของพวกเธอถูกตำรวจยึดเอาไว้จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว ซึ่งกว่าจะคืนก็คงจะเป็นวันรุ่งขึ้น

“รับนี้ไปให้ยืมชั่วคราวจัดการเสร็จก็คืนมาด้วยล่ะ” เขายื่นปืนประจำตัวยัดใส่มือของเธอ ปืนอันนี้ดูยังไงก็ไม่เหมือนปืนตำรวจธรรมดา แต่มันต้องเป็นของที่ทำขึ้นพิเศษเพื่อปราบอสุรกายแน่นอน เอโลอิสรับมันไว้ก่อนจะมองกลับไปที่เงาที่จ้องจะกินหัวเธออยู่ด้านหลัง เธอแอบมือสั่นเล็กน้อยเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี

“ละ…แล้วจะจัดการมันยังไงล่ะ ฉันมองเห็นมันโดยตรงไม่ได้นี่คะ?”

“งั้นเอานี่ไปอีก” เขายัดกระจกแบบมีด้ามถือให้กับเอโลอิสอีกอัน

“นี่มันไม่ใช่เวลามาเสริมสวยนะคะ” ดูเหมือนเอโลอิสจะไม่เข้าใจว่ากระจกนี่มีประโยชน์อะไร ทำเอาคุณตำรวจผู้นั้นถึงกับถอนหายใจแต่เขาก็ยังพยายามตอบกลับอย่างใจเย็น

“ไม่ได้ให้เอามาเสริมสวยให้เอาไปจัดการกอร์กอน!”

“ยังไงอะคะ?” เธอเอียงคอถาม ถ้าเวลานี้เคอร์ติสอยู่ด้วยมันคงช่วยอธิบายให้เธอแล้วล่ะ

“ฉันละปวดหัวกับเธอจริง ๆ เลย กอร์กอนไม่สามารถทำให้คนที่มองมันผ่านเงาสะท้อนกลายเป็นหินได้ ที่นี้เข้าใจรึยัง!”

“อะ…อ๋อแบบนี้นี่เองสินะคะ” เธอพยักหน้าเข้าใจ

“พนันได้เลยว่าเธอไม่ใช่ธิดาเทพีอะธีน่าแน่ ๆ” ตำรวจคนนั้นพูดลอย ๆ แต่ก็ดังพอที่จะให้อีกฝ่ายได้ยิน

“นี่คงไม่ได้หลอกด่ากันใช่ไหมคะ?” เอโลอิสหรี่ตาลงเล็กน้อย

“คิดม๊ากกกกกก!” เขาพูดเสียงสูง

“ถ้าตอนนั้นตั้งใจแล้วไปเข้าเรียนวิชายิงปืนบ้างก็ดีนะสิ…” เธอบ่นงึมงำกับตัวเอง เวลาไม่คอยท่าสิ่งมีชีวิตที่ถูกคาดเดาว่าเป็นกอร์กอนกำลังค่อย ๆ เข้ามาใกล้ เอโลอิสมือสั่นไปหมดเล็งผิดเล็งถูก เธอไม่ใช่นักยิงปืนมืออาชีพย่อมไม่ชินกับอะไรพวกนี้อยู่แล้ว

“มันใกล้เข้ามาแล้วเธอต้องรีบทำอะไรสักอย่างแล้วสาวน้อย” เสียงเร่งเร้าจากคุณตำรวจทำเอาเธอเสียสมาธิสุด ๆ แต่ก็พยายามรวบรวมสติเล็งไปทางด้านหลังโดยใช้กระจกเงาเป็นตัวบอกทิศทางก่อนที่จะเหนี่ยวไกเล็งยิงไป



ปัง!

HEADSHOT!!!

เงาของกอร์กอนที่เหมือนหัวจะสั่นเล็กน้อยจากแรงกระสุนค่อย ๆ กลายเป็นเงาของฝุ่นละลองสลายหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่อยากจะเชื่อว่าเสียงปืนดังขนาดนี้กลับไม่มีผู้ต้องหาคนไหนตื่นจากนิทราเลยสักนิด จะมีก็แต่ป้าคาเรนและแจสเปอร์ที่เป็นเดมิก็อดจึงรับรู้ได้ถึงอาวุธวิเศษนี้ เสียงแหลมสูงปรี๊ดที่มาพร้อมแรงสะดุ้งรุนแรงทำลายความเงียบทันที

ว๊ายยยยย! เสียงปืน ใครยิงปืน คุณตำรวจมีคนใช้อาวุธปืนนนนน!!!” ป้าคาเรนเอะอะโวยวายขึ้นทันทีที่สะดุ้งตื่นเหมือนร่างกายตอบสนองโดยอัตโนมัติว่าให้หวีดวีนไว้ก่อนอย่างอื่นค่อยถามทีหลัง เธอดิ้นพล่าน สายตาลอกแลก มือไม้ปัดป่ายไปทั่ว แจสเปอร์ที่นอนข้าง ๆ ก็สะดุ้งเฮือกตื่นตาม ก่อนจะหันซ้ายหันขวาอย่างงุนงง จนกระทั่งสายตาปะทะกับป้าแกที่กำลังตะโกนลั่นห้องขัง

เสียงหวีดของป้าคาเรนราวกับเป็นการกดปุ่มฉุกเฉินให้กับทุกคนในห้องขัง ผู้ต้องหาคนอื่น ๆ ที่ก่อนหน้านี้หลับปุ๋ยก็ลุกฮือขึ้นพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก พวกเขายืดคอ มองไปรอบห้องขังอย่างหวาดระแวง ราวกับจะมีใครสักคนพุ่งเข้ามายิงซ้ำในอีกวินาทีถัดไป เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นเกิดเป็นความโกลาหลในห้องขังขนาดย่อม ๆ เพราะใคร ๆ ก็รักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น

“ทุกคนหยุด อยู่ในความสงบ!” เสียงตำรวจที่กำลังเข้าเวรพยายามควบคุมความวุ่นวายของฝูงชนในห้องขัง “ไม่อย่างนั้นจะได้นอนคุกเพิ่มอีกคืนนึง!” สิ้นเสียงนั้นบรรยากาศในห้องขังก็กลับมาเงียบกริบอีกครั้งหนึ่งราวกับทุกคนถูกปิดสวิตช์

“ก็ยัยป้าคนนี้บอกว่าได้ยินเสียงปืนนี่คุณตำรวจ” ผู้ต้องหาคนหนึ่งท้วงขึ้น

“ก็ฉันได้ยินจริง ๆ นี่ไม่เชื่อก็ถามหนุ่มน้อยคนนี้สิ ใช่ไหมแจสเปอร์?” ป้าคาเรนหันไปหาแจสเปอร์เพื่อหาพวก

“จริ—” ก่อนที่แจสเปอร์จะตอบอะไรสายตาก็พลันไปมองที่เอโลอิสที่กำลังทำหน้าเหมือนส่งซิกส่ายหัวเป็นสัญญาณว่า ‘อย่าเอ็ดไป’ แล้วชี้ไปที่อาวุธวิเศษในมือ เขาถึงกับทำตาโตแล้วรีบกลับคำทันที “จริงที่ไหนกันล่ะป้า! ป้าต้องฝันร้ายแล้วหูแว่วแน่ ๆ ผมยังไม่ได้ยินอะไรเลยนะ”

แม้แจสเปอร์จะยืนยันเช่นนั้นแต่ก็มีเพื่อนร่วมห้องขังคนหนึ่งเหลือบไปเห็นอาวุธในมือของเอโลอิสเข้าแล้วท้วงขึ้นมาทันที

“เฮ้ย! เอาปืนฉีดน้ำเข้ามาในนี้ได้ไง คุณตำรวจทำไมยัยนี่มีปืนฉีดน้ำทีผมยังโดนยึดของไว้หมดเลย!” เสียงท้วงดังขึ้นจากผู้ต้องหาอีกคนที่ตาดีเกินเหตุ

“ยัยหนูนี่! เธอแอบเอาปืนฉีดน้ำเข้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ส่งมานี่เลย!” ตำรวจเวรที่ได้ยินเสียงร้องท้วงรีบก้าวยาว ๆ มาจนถึงหน้ากรงห้องขัง สีหน้าแสดงออกถึงความตกใจแบบโอเวอร์แอคติ้งชัดเจน เขาชะโงกเข้ามาแล้วยื่นมือออกไปยึดปืนฉีดน้ำจากมือของเอโลอิสอย่างเร็วไว ทำเหมือนไม่เคยเห็นมันมาก่อนในชีวิต ทั้งที่ความจริงคือเขาเองที่แอบยัดมันให้เธอก่อนหน้า

“อ้าว…ก็เมื่อกี๊คุณเป็นคนให้—” เอโลอิสที่ไม่ได้ถูกเตี๊ยมมาก่อนงงเป็นไก่ตาแตกแต่ก็ยอมยื่นปืนให้คุณตำรวจยึดไว้แต่โดยดี แต่ก็อดที่จะถามไม่ได้

“อะแฮ่ม ๆ ๆ ๆ” ตำรวจเวรส่งเสียงกระแอมอย่างจงใจ พร้อมทั้งขยิบตาเล็กน้อยราวกับส่งสัญญาณลับ บอกให้เธอหยุดพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปมากกว่านี้

“อะ…อ๋อ…” เอโลอิสก็ทำทีเออออไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้

“ว่าแต่คนในห้องขังหายไปไหนคนนึงน่ะ” ผู้ต้องขังคนเดิมที่ไม่รู้ว่าชาติก่อนเป็นโคนันหรืออย่างไร เริ่มสังเกตเห็นอีกครั้งแล้วพบว่าจำนวนผู้ต้องขังในห้องลดลงไปคนหนึ่ง หายไปอย่างไร้ร่องรอย เอโลอิสเองที่รู้ตัวว่าเพิ่งกำจัดอสุรกายที่แฝงตัวเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ต้องขัง ได้แต่นิ่งเงียบสายตาของเธอมองไปที่คุณตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือ

“อะ…อ่อ…หมอนั่นมีคนประกันตัวออกไปแล้ว พวกนายหลับอยู่เลยไม่รู้เรื่อง” ตำรวจรีบตอบกลับทันที น้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย ท่าทีพยายามกลบเกลื่อนอย่างเห็นได้ชัด

“ดึกดื่นป่านนี้สถานีตำรวจยังทำการให้คนมาประกันตัวด้วยเหร—” ก่อนที่แจสเปอร์จะตั้งข้อสงสัยไปมากกว่านี้เอโลอิสก็รีบคว้าตัวของเขาแล้วเอามือปิดปากในทันทีพร้อมกระซิบข้างหูของเจ้าตัวว่า…

“อย่าพูดอะไรไปมากกว่านี้ได้ไหมเดี๋ยวเสียเรื่องหมด!”

“เอาเป็นว่าทุกอย่างคลี่คลายแล้วทุกคนกลับไปนอนซะ วันพรุ่งนี้ก็ได้กลับบ้านกันแล้ว” คุณตำรวจรีบพูดปิดบทเหมือนตัดตอนเรื่องราวไว้แค่ตรงนั้น และแล้ว...คืนประหลาดในห้องขังเล็ก ๆ ก็จบลง…


เช้าวันต่อมา…

เสียงประตูเหล็กเลื่อนเปิดออกพร้อมกับฝีเท้าหนักแน่นของตำรวจเวรคนใหม่ที่ดูเคร่งขรึมกว่าคนเมื่อคืน

“ถึงเวลาออกมากันได้แล้ว คราวหน้าคราวหลังอย่าก่อเรื่องทะเลาะวิวาทกันอีก ถ้ามีอีกครั้งจะบันทึกประวัติแน่” น้ำเสียงของตำรวจคนใหม่ราบเรียบแต่แฝงความเฉียบขาดในถ้อยคำ ไม่มีการยิ้มหรือพูดเล่นเหมือนคนเมื่อคืน ทำเอาทั้งสามคนที่อยู่ในห้องขังถึงกับยืดหลังตรงราวกับเด็กนักเรียนเจอครูฝ่ายปกครอง

“พวกเราเข็ดแล้วครับไม่ทำแล้ว” แจสเปอร์ตอบเสียงเรียบพร้อมยกมือสองข้างขึ้นเล็กน้อยแสดงความบริสุทธิ์ใจ แม้ในใจจะอยากต่อรองว่าความผิดไม่ใช่เขาทั้งหมดก็ตาม

ทันทีที่ลูกกรงเลื่อนเปิดออก ป้าคาเรนแทบจะพุ่งตัวออกมาเป็นคนแรก พลางก้มลงกราบพื้นสถานีตำรวจ

“อิสระภาพ นี่แหละ อิสระภาพ!!!” เสียงของเธอดังก้องในโถงทางเดินอย่างไม่เกรงใจใคร

“ไม่เอาน่าป้า อายเขา” เอโลอิสที่เดินตามหลังออกมารีบเข้าไปสะกิดเบา ๆ พยายามดึงตัวคุณป้าขึ้นจากพื้นก่อนที่ใครจะมองพวกเขาแปลกไปกว่านี้อีก แล้วพากันไปรับของคืน

เมื่อพ้นประตูสถานีออกมา แสงแดดภายนอกดูสว่างจ้าเสียจนแทบลืมตาไม่ขึ้น ความรู้สึกเย็นวาบของอากาศยามเช้าโบกผ่านใบหน้า ทำให้ทั้งสามคนรู้สึกเหมือนเพิ่งได้รับชีวิตคืนมาอีกครั้ง พวกเขาไม่พูดพร่ำกันมาก รีบเดินออกมาจากสถานีโดยไม่หันกลับไปมองอีกแม้แต่นิดเดียว

“โอเคตอนนี้พวกเราก็ออกจากห้องขังมาได้แล้ว ต้องหาตัวเคอร์ติส” เอโลอิสเอ่ยขึ้นทันทีที่พ้นเขตอาคาร เธอหยุดเดินและหันมามองเพื่อนร่วมชะตากรรมทั้งสองอย่างจริงจัง

“เจ้านกนั่นยังมีประโยชน์อยู่เหรอตอนพวกเรานอนในกรงมันหายหัวไปไหน?” ป้าคาเรนพูดแบบไม่สบอารมณ์

“มันอาจกำลังหาทางช่วยพวกเราอยู่ก็ได้นะครับป้า” แจสเปอร์พยายามมองในแง่ดี แม้จะไม่ได้มั่นใจนักแต่ก็อยากให้สถานการณ์ผ่อนคลายขึ้น

“มีใครกำลังคิดถึงกระผมอยู่หรือเปล่าขอรับ!” เสียงคุ้นเคยดังมาจากด้านบน ก่อนที่ร่างเล็ก ๆ ของเจ้านกกระทาเคอร์ติสจะร่อนลงมาพลิ้ว ๆ จากหลังคาสถานีตำรวจ

“เคอร์ติส ไปไหนมา! นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เอโลอิสรีบเดินเข้าไปหา สีหน้าทั้งโล่งใจและหงุดหงิดปนกัน

“สบายมากขอรับไม่มีใครสนใจกระผมเลยด้วยซ้ำ และตอนนี้กระผมมีข่าวดีและข่าวร้ายจะบอกอยากฟังเรื่องไหนก่อนดีขอรับ?” มันถามอย่างอารมณ์ดี ปีกเล็ก ๆ พับเข้าหากันราวกับจะยืนรายงานทหาร

“งั้นเอาข่าวร้ายก่อนละกัน คงไม่มีอะไรแย่กว่าไปนอนซังเตแล้วล่ะ” เอโลอิสถอนหายใจ กลั้นใจฟัง

“ข่าวร้ายก็คือรถเที่ยวต่อไปเพิ่งออกจากสถานีขอรับ”

“บ้าจริง!” เอโลอิสสบถพร้อมสะบัดหน้าไปอีกทาง หงุดหงิดขึ้นมาทันที เหมือนความหวังพังครืนลงในชั่วพริบตา

“ส่วนข่าวดี…”

“ข่าวดีคืออะไรเหรอ?” แจสเปอร์ถามด้วยแววตากล้า ๆ กลัว ๆ

“กระผมมีแผนสำรองเรียบร้อยแล้ว จะมีคนขับรถพาเราไปส่งที่บอสตันขอรับ”

“เขาเป็นใคร อยู่ไหน ไว้ใจได้ไหม คงไม่ใช่พวกมาเฟียหรือทหารรัสเซียอะไรทำนองนั้นแล้วใช่ไหม?” เอโลอิสรัวคำถามไม่หยุด ใจหนึ่งก็ดีใจที่จะมีคนพาไปส่ง แต่อีกใจหนึ่งก็แอบระแวงกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับคราวที่ไปตามหาราชรถ

“ไม่ต้องห่วงขอรับ บุคคลผู้นี้เป็นศิษย์เก่าจากค่ายฮาล์ฟบลัดเช่นกัน และเขาก็อยู่แถวนี้แล้วด้วย”

“ไหนล่ะ?” เอโลอิสหรี่ตาลง พยายามชะเง้อมองรอบ ๆ พลางพึมพำ

ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรต่อ รถคันหนึ่งก็ค่อย ๆ แล่นเข้ามาจอดข้างทางอย่างเงียบเชียบ เสียงเครื่องยนต์ดับลงก่อนที่ประตูฝั่งคนขับจะเปิดออก และชายหนุ่มในชุดลำลองเดินลงมาจากรถอย่างมั่นใจ

“นะ..นี่มันคุณตำรวจที่เข้าเวรเมื่อคืนนี่ครับ” แจสเปอร์พูดเสียงดัง

“แล้วเขาไม่ทำงานทำการแล้วเรอะ” ป้าคาเรนเสริมทันควันด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

“อ๋อ พอดีว่าผมออกเวรแล้วน่ะและพรุ่งนี้ผมหยุด ฉะนั้นก็มีเวลาพาทุกคนไปถึงบอสตันได้” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มสบาย ๆ คนละลุคกับเมื่อคืนลิบลับ

“ทุกคนขอรับนี่คือคุณแจ็คสัน ฮิลส์ บุตรแห่งเฮอร์มีสขอรับ” เคอร์ติสแนะนำอย่างเป็นทางการด้วยน้ำเสียงภูมิใจ

“ลูกเทพแห่งโจรแต่มาเป็นตำรวจเนี่ยนะ—” ป้าคาเรนยังไม่ทันพูดจบ เอโลอิสก็สะกิดศอกเข้าไปที่สีข้างเธอเบา ๆ ส่งสัญญาณให้หยุดพูด ก่อนที่ใครบางคนจะได้ยินเข้าและเปลี่ยนใจไม่พาไปส่ง

แจ็คสันหัวเราะเบา ๆ เหมือนได้ยินแว่ว ๆ แต่ก็เลือกไม่ใส่ใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “ต้องขอโทษด้วยที่เมื่อคืนพูดไปแบบนั้นนะสาวน้อย แต่คงไม่ดีแน่ถ้าคนพวกนั้นรู้ว่าเธอได้ปืนมาจากฉัน”

“อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ แล้วก็ขอบคุณที่ให้ยืมอาวุธนะคะ” เอโลอิสตอบอย่างสุภาพ พร้อมพยักหน้าเบา ๆ

“เรื่องเล็กน้อยน่ะ เฮดช็อตได้สวยมากแม่นจริง ๆ” เขาชมพร้อมยกนิ้วโป้งให้เธอด้วยท่าทีจริงใจ

“อันที่จริงหนูเล็งขาน่ะค่ะ กะว่าจะให้มันล้มลง…” เอโลอิสตอบพลางเกาหลังคอแบบเขิน ๆ

แจ็คสันหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วโบกมือ “เอาเป็นว่าช่างเถอะ อย่าเสียเวลากันมากกว่านี้เลย เชิญทุกคนขึ้นรถครับ”

ทุกคนพากันขึ้นไปนั่งบนรถที่จอดอยู่ข้างทาง ก่อนที่เสียงเครื่องยนต์จะติดขึ้นมาอีกครั้ง แจสเปอร์กระโดดขึ้นไปนั่งเบาะหน้าข้างคนขับ ส่วนเอโลอิสกับป้าคาเรนเลือกนั่งเบาะหลัง

“พี่เคยไปบอสตันมาก่อนไหมครับ?” แจสเปอร์ถามพลางหันหน้าไปหาแจ็คสันระหว่างที่รถเคลื่อนตัวออกจากลานจอดหน้าสถานีตำรวจ

“อ๋อ ไม่เคย”

“อ้าว!” แจสเปอร์อุทานเสียงสูง ดวงตาตี่ ๆ เบิกกว้างอย่างตกใจนิด ๆ

“แต่ไม่เป็นไร ไปตามทางไม่ยากนักหรอก” แจ็คสันยักไหล่เหมือนไม่ได้ใส่ใจ “ว่าแต่ที่บอสตัน พวกเธอจะไปพักกันที่ไหนล่ะ? หรือมีคนรู้จักอยู่บ้างไหม?”

เอโลอิสลังเลเล็กน้อยที่จะตอบ เธอมองออกนอกหน้าต่างราวกับกำลังคุ้ยหาความทรงจำเก่าก่อนที่เคยมีในบอสตัน “ก็…พอจะรู้จักอยู่คนนึง แต่ไม่แน่ใจว่าควรไปรบกวนเขาไหม…”

“โอ๊ยยยยย…เวลานี้มันคงไม่ใช่เวลาจะมานั่งเกรงใจกันแล้วล่ะ นี่เธอเป็นฝรั่งจริงไหมเนี่ย! โทรไปเลย! อย่างน้อยมีคนให้พึ่งพิงก็ยังดีกว่าไม่มี หรือจะให้ไปนอนซังเตอีกสักคืนหรือไง!” ป้าคาเรนบ่นเสียงดังพร้อมยกมือปัดอากาศอย่างหัวเสีย

“ก็ได้ค่ะ…” เอโลอิสพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเตรียมจะกดหมายเลข แต่ก่อนที่เธอจะกดโทรออก แจ็คสันก็เอื้อมมือมาหยิบมือถือสมาร์ทโฟนเดดาลัสจากช่องเก็บของแล้วส่งให้

“ใช้นี่ดีกว่านะจะได้ไม่เรียกแขกมาอีก” เขาว่า สีหน้าของเขานิ่งจริงจังต่างจากเมื่อครู่

“โห! นี่มันรุ่น Hydro X นี่ รุ่นล่าสุดเลยนะพี่ชาย” แจสเปอร์อุทานอย่างตื่นเต้น ตาโตเป็นประกายราวกับเด็กเห็นของเล่นใหม่

“ขอบคุณค่ะ” เอโลอิสรับมือถือมาก่อนที่จะกดเบอร์ของคุณหญิงแอนเดอร์สันที่เคยได้รับไว้ช่วงงานศพของแมคเคย์ล่าและวินสตัน

เสียงรอสายดังขึ้นในหูทีละครั้ง...หนึ่ง...สอง...สาม... เธอกดโทรใหม่อีกครั้ง และอีกครั้ง เธอเงยหน้าขึ้น สบตาเพื่อนร่วมทางอย่างงุนงง

“แปลกจังเลยไม่มีคนรับสาย…” หรือบางทีคุณหญิงอาจจะเปลี่ยนเบอร์แล้ว? หรือกำลังเดินทาง? หรือ...มีบางอย่างเกิดขึ้น?

ท่ามกลางความเงียบชั่วขณะ เสียงเครื่องยนต์ของรถยังคงทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง ล้อทั้งสี่เริ่มหมุนเร่งความเร็ว ค่อย ๆ พาพวกเขาแล่นออกจากย่านใจกลางเมืองเข้าสู่ถนนหลวงสายหลัก การเดินทางไปบอสตันเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งโดยไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า...สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าจะเป็นอะไรกันแน่…



หลักฐานการต่อสู้
สินสงคราม: 
- เลือดของกอร์กอน (เลขไบต์ท้าย เลขคี่)
- เกล็ดของกอร์กอน (เลขไบต์ท้าย เลขคู่)
(LUK 60+ จะมีโอกาสดรอปมากขึ้่น โดยเลขไบต์รองท้ายคือจำนวน)

+2 ตื่นรู้จากการพิชิตกอร์กอนครั้งแรก







แสดงความคิดเห็น

God
ทันทีที่เหยียบย่างเข้าบอสตัน คุณก็รู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าช็อต (เพราะสายตาพิฆาต) บางอย่างหรือเพราะใจหวิวๆแปลกๆ  โพสต์ 2025-4-28 19:24
โพสต์ 60132 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2025-4-26 23:47
โพสต์ 60,132 ไบต์และได้รับ +3 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก ปืนอัจฉริยะ L&E  โพสต์ 2025-4-26 23:47
โพสต์ 60,132 ไบต์และได้รับ +15 EXP +30 ความกล้า +20 ความศรัทธา จาก เกราะไทเทเนียม  โพสต์ 2025-4-26 23:47
โพสต์ 60,132 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +6 ความศรัทธา จาก สร้อยไข่มุกตาฮิตี   โพสต์ 2025-4-26 23:47

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x8
x2
x7
x30
x3
x2
x1
x3
x3
x6
x4
x2
x10
x15
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x53
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x364
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x3
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x82
โพสต์ 2025-6-18 23:23:11 | ดูโพสต์ทั้งหมด





ผ่านไปประมาณสี่ชั่วโมงกว่า รถยนต์ของเหล่าเดมิก็อดก็ค่อย ๆ แล่นเข้าสู่เขตเมืองบอสตัน เมืองยังคงเต็มไปด้วยชีวิต ผู้คนเดินขวักไขว่ริมถนน ร้านกาแฟเปิดประตูอ้ารับลูกค้า รถบัสเคลื่อนตัวผ่านสี่แยกพร้อมเสียงเบรกแหลม ๆ บรรยากาศโดยรวมดูเหมือนเมืองปกติทุกประการ

แต่ท้องฟ้าเหนือหัวกลับหม่นเทา เมฆต่ำราวกับก้มลงมาฟังสิ่งที่อยู่ในรถ ท่ามกลางความพลุกพล่าน เอโลอิสกลับรู้สึกว่าตัวเองใจหวิวแปลก ๆ เธอนั่งเบียดอยู่ข้างป้าคาเรนด้านหลัง มองออกไปนอกหน้าต่างเงียบ ๆ จนกระทั่งสะดุ้งเฮือกขึ้นมาเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต ร่างเธอกระตุกไปชั่ววูบ มือหนึ่งยกขึ้นจับอกซ้ายทันที

"มีอะไรเหรอพี่สาว?" แจสเปอร์หันมาจากที่นั่งข้างคนขับ

“ไม่รู้สิ แค่รู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย...แต่คงคิดไปเองมั้ง” เอโลอิสตอบ เธอยังคงจับอกอยู่หลวม ๆ พลางพยายามบังคับตัวเองให้หายใจเข้าออกช้า ๆ

เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ลองกดโทรหาเบอร์ของคุณหญิงอีกครั้ง เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่รถเลี้ยวเข้าสู่ย่านที่พักอาศัย

“ฮัลโหล คุณหญิงหรือเปล่าคะ? คือหนูเอโลอิส เพื่อนของแมคเคย์ล่าเองค่ะ พอดีว่าหนูเพิ่งมาถึงบอสตัน—”

ยังไม่ทันจะจบประโยค ปลายสายไม่มีผู้ใดตอบกลับมามีเพียงความเงียบและเสียงลมพัดเข้ามาในสาย แล้วสายก็ถูกตัด

“อ้าว ฮัลโหล ค่ะ ฮัลโหล!” เอโลอิสขมวดคิ้ว กดโทรกลับไปอีกหลายครั้ง แต่ไม่มีใครรับอีกเลย

“เขาไม่รับเหรอ?” แจ็คสันถามพลางชะลอรถที่สี่แยก

“คงงั้น...ติดต่อไม่ได้เลย เราคงต้องหาทางกันเองแล้วล่ะ” เอโลอิสพูด ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงแล้วคืนให้แจ็คสัน

“โอเค เดี๋ยวผมไปส่งพวกคุณที่ร้านอาหารใกล้ ๆ นี้ก่อนละกัน” แจ็คสันพูดพลางเหลือบมองกระจกมองหลัง "ผมต้องรีบกลับนิวยอร์กเลย วันนี้ขับรถมาตั้งแต่เช้า พรุ่งนี้ต้องเข้าเวรเช้าที่สถานี”

รถหยุดที่ริมฟุตบาทหน้าร้านอาหารเล็ก ๆ สไตล์วินเทจชื่อ Stella’s Diner ป้ายไฟนีออนกระพริบแสงสีชมพูอ่อนท่ามกลางบรรยากาศครึ้มฝนของบอสตัน

“งั้นขอบคุณมากเลยนะคะ” เอโลอิสพูด พลางเปิดประตูลงจากรถ

“ถ้ามีอะไรฉุกเฉิน โทรหาฉันได้ตลอดเลยนะ” แจ็คสันพูดพร้อมยิ้มจาง ๆ

เอโลอิสพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนที่แจ็คสันจะขับรถออกไป มุ่งหน้าสู่ทางหลวงกลับนิวยอร์ก

หลังจากนั้นเหล่าเดมิก็อดก็เดินเข้าไปในร้าน กลิ่นเบคอนทอดกับกาแฟร้อนตลบอบอวล มีเพลงแจ๊สคลอเบา ๆ จากลำโพงเพดานช่วยให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาเกินไป พวกเขานั่งโต๊ะติดหน้าต่าง ฝั่งตรงข้ามคือภาพขาวดำของบอสตันเมื่อห้าสิบปีก่อนติดอยู่บนผนัง

“รับอะไรดีคะ?” พนักงานวัยรุ่นคนหนึ่งเดินมารับออเดอร์ เธอพูดทั้งที่ยังเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ในปาก

“ผมขอแพนเค้กกับกาแฟดำครับ” แจสเปอร์พูดอย่างรวดเร็ว เปิดเมนูดูแค่ผ่าน ๆ

“ขอเบอร์เกอร์ไก่กับเฟรนช์ฟรายด์…แล้วก็โซดามะนาวค่ะ” เอโลอิสเลือกเมนู

“ส่วนฉันเอาอะไรก็ได้ที่ไขมันไม่สูงน่ะ ฉันไม่ค่อยถนัดอาหารฟาสต์ฟู้ด” ป้าคาเรนพูดขณะถือเมนูห่างออกไปสุดแขนแล้วพยายามอ่าน สไตล์คนแก่สายตายาว

“น้ำเปล่าไหมคะ?” พนักงานเสนอ

ป้าคาเรนเหลือบตามองพนักงานสาวด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ ก่อนจะพูดเสียงสั่งอาหารแบบเสียงแข็งหลังจากโดนพนักงานกวนตีน

“เอาสลัดผักก็ได้ ขอแบบไม่ราดน้ำสลัดนะ เดี๋ยวความดันขึ้น แล้วก็ขอซุปอะไรอุ่น ๆ สักถ้วย...แต่ไม่เอาอะไรที่มีชีส เข้าใจไหม?”

พนักงานสาวเคี้ยวหมากฝรั่งช้าลงทันที พยักหน้ารับแบบไม่มีอารมณ์เท่าไร แล้วจดลงในสมุดเล็ก ๆ แต่ป้าคาเรนยังไม่ละสายตาไปง่าย ๆ

“แล้วอย่าทำสลัดแบบที่หั่นผักหยาบ ๆ มาเป็นก้อน ๆ นะ บางร้านผักกาดแต่ละใบใหญ่อย่างกับใบกล้วย เคี้ยวไม่ลงเลย”

“จะรับอะไรเพิ่มไหมคะ...” พนักงานสาวถามแบบอัตโนมัติ ขณะที่พลิกกระดาษเตรียมจดต่อ

“เอ่อ…ไม่เอาเพิ่มแล้วค่ะ” เอโลอิสรีบตัดบท

“สักครู่”

พนักงานสาวจดออเดอร์ลงในกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่ติดอยู่กับแผ่นรองเมนู ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปพร้อมเสียงเคี้ยวหมากฝรั่งดัง แจ่บ ๆ ๆ

ป้าคาเรนเอนหลังพิงพนักเบาะ พลางถอนหายใจเสียงดัง

“เฮ้อ…สมัยนี้เด็กเสิร์ฟไร้มารยาทจริง ๆ เลย”

“ป้าเบาเสียงนิดนึงได้ไหมครับ” แจสเปอร์รีบเอนตัวเข้ามาพูดเบา ๆ พลางเหลือบมองรอบร้านที่เริ่มมีลูกค้าบางโต๊ะหันมามอง

“ก็ฉันพูดความจริง” ป้าคาเรนหันกลับมาพึมพำ ไม่ได้ลดเสียงเท่าไรนัก “นี่ร้านอาหารนะไม่ใช่โรงทาน เสียตังค์มากินไม่ได้มาขอกินฟรีเสียหน่อย!”

“ป้าอย่าเสียงดังจะได้ไหมคะ เดี๋ยวเราโดนไล่ออกก่อนอาหารจะมาหรอก” เอโลอิสกระซิบขัด มือแตะเบา ๆ ไปที่แขนป้าคาเรน ป้าเคลื่อนสายตากลับมาที่เอโลอิส แล้วก็ถอนหายใจอย่างระงับอารมณ์

“เอาล่ะ แล้วทีนี้พวกเราจะตามหาแม็กนัส เชสได้ที่ไหน?” แจสเปอร์เริ่มเข้าเรื่อง พลางหยิบกระดาษโน้ตที่มีลายมือของแอนนาเบ็ธออกมาคลี่ดู

“ถ้าจากที่รุ่นพี่แอนนาเบ็ธบอกก็ต้องไปสวนสาธารณะบอสตัน บนถนนบีคอน” เอโลอิสตอบ ขณะกวาดตามองออกไปนอกร้าน

“แล้วไอถนนบีคอนมันอยู่ตรงไหนกัน?” แจสเปอร์กวาดสายตามองไปรอบร้าน ราวกับคาดหวังว่าจะมีแผนที่แขวนอยู่บนผนัง หรือป้ายบอกเส้นทางแบบที่เคยเจอตามร้านในเขตนักท่องเที่ยว

เขาเหลือบมองข้างโต๊ะ มีเพียงภาพถ่ายเก่าของเมืองบอสตันยุคห้าสิบปีที่แล้ว พอจะมองเห็นตึกสภาเมืองอยู่ลิบ ๆ แต่ไม่มีชื่อถนนใดปรากฏ

“งั้นลองถามคนแถวนี้ดูดีไหม?” เอโลอิสเสนอ พลางหันมองไปรอบร้านบ้าง สายตาหยุดอยู่ที่หญิงชราคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่โต๊ะถัดไป กำลังจิบชาร้อนจากถ้วยลายดอกไม้ และมองออกไปข้างนอกเหมือนกัน ราวกับกำลังรำลึกอะไรบางอย่าง

หญิงชราดูเงียบสงบ ผมสีเงินถูกรวบขึ้นอย่างเรียบร้อยในหมวกไหมพรมสีขาวขุ่น สวมแว่นตาทรงกลม ใบหน้าแม้จะมีรอยย่นตามวัย แต่ดวงตายังวาววับเหมือนคนที่ยังตื่นตัวกับโลกอยู่

เอโลอิสสูดลมหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงสุภาพ

“เอ่อ ขอโทษนะคะ พอจะรู้ไหมว่าถนนบีคอนไปทางไหน?”

หญิงชรากำลังจะยกถ้วยชาขึ้นจิบ แต่ชะงักไป ดวงตาหลังแว่นเบิกกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว และมือเริ่มสั่นเล็กน้อย ถ้วยกระทบจานรองเบา ๆ เกิดเสียงดังกริ๊ก

เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเอโลอิสตรง ๆ จ้องอยู่นิ่ง ๆ ไม่กะพริบ ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็นตื่นตระหนก

“เธอ!” เสียงของหญิงชราเอ่ยขึ้นเสียงดัง ทำให้โต๊ะใกล้เคียงหันมามองกันทั้งร้าน


“กำลังจะมีเคราะห์… ฉันเห็นลางร้าย! ลางร้าย!” เธอแทบจะตะโกนซ้ำ มือชี้ตรงไปยังเอโลอิส พร้อมทั้งสั่นศีรษะรัว ๆ ราวกับคนผีเข้า

“ขอโทษค่ะ...อะไรนะคะ?” เอโลอิสถึงกับผงะ

หญิงชราสะบัดมือถ้วยชาหลุดจากนิ้วมือหล่นแตกคาพื้นอย่างไม่ใส่ใจ เศษกระเบื้องกระจายเต็มใต้โต๊ะ เธอลุกขึ้นพรวด เก้าอี้กระแทกพื้นเสียงดังจนลูกค้าทั้งร้านหยุดกินและเงยหน้ามองด้วยความตกใจ

“เธอ! มีบางอย่างตามหลังเธอมา…ฉันเห็น! ฉันเห็นมันอยู่ตรงนั้น! อยู่ข้างหลัง!” หญิงชราตะโกนสุดเสียงแล้วชี้นิ้วสั่นเทาไปทางหลังของเอโลอิส ราวกับมองเห็นสิ่งลี้ลับที่ไม่มีใครมองเห็น

ป้าคาเรนทำตาโต ปากอ้าค้าง แต่สุดท้ายก็พึมพำว่า

“อีนี่ผีเข้าหรือไง...”

หญิงชราหมุนตัวไปรอบ ๆ เหมือนคนหลงทิศ

“พวกแก! พวกแกต้องออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้! มันจะตามจองเวรแก พวกมันทั้งหมด!”

ลูกค้าบางโต๊ะเริ่มลุกออกจากเก้าอี้อย่างงง ๆ ส่วนพนักงานสาวที่รับออร์เดอร์ก่อนหน้านี้ตอนแรกทำหน้าเบื่อหน่าย แต่เมื่อหญิงชราเริ่มกรีดเสียงร้องคล้ายหวีดหลอนก็หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง กดหมายเลขอะไรบางอย่างอย่างรวดเร็ว

“ค่ะ ร้าน Stella’s Diner ค่ะ มีหญิงแก่คล้ายสติไม่ดีกำลังป่วนร้านอยู่…ใช่ค่ะ รบกวนส่งเจ้าหน้าที่มาเร็ว ๆ หน่อยนะคะ เธอกำลังจะปีนขึ้นโต๊ะแล้วค่ะ…”

ไม่ทันขาดคำ หญิงชราก็ปีนเก้าอี้ขึ้นไปยืนบนโต๊ะตัวเองจริง ๆ กระโปรงยาวปลิวสะบัด เสียงจานชาชุดสุดท้ายตกแตกดัง

เพล้ง!

“หายนะกำลังจะมา! ท้องฟ้า! ท้องฟ้ากำลังจะเปิด! พวกเธอทุกคนต้องหนี…” เธอแผดเสียงก่อนจะหอบหายใจหนักเหมือนหมดแรงกลางทาง

“โอ๊ย พอทีเถอะ!” ป้าคาเรนถึงกับยกมือปิดหู “ฉันไม่ได้จ่ายค่าซุปมาเพื่อมาฟังอีแก่บ้าน้ำลายพูดพล่ามไร้สาระนะยะ!”

ครู่เดียวประตูร้านก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมเสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊ง

เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายในชุดเครื่องแบบก้าวเข้ามา หนึ่งในนั้นเป็นหญิงร่างเล็กที่พูดเสียงสุภาพ

“มีใครโทรแจ้งเรื่องคนคลุ้มคลั่งใช่ไหมคะ?”

“อยู่ตรงนั้นค่ะ!” พนักงานสาวชี้ตรงไปยังหญิงชราที่ยังคงอาละวาด

หญิงชรากรีดเสียงดังลั่นอีกครั้งเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาใกล้

“อย่าเข้ามา! พวกมันส่งพวกแกมาใช่ไหม!”

เธอปัดเก้าอี้ล้มเสียงดัง กวาดแขนผลักแก้วกาแฟของโต๊ะข้าง ๆ กระเด็นหล่นแตกกระจาย ลูกค้าร้องเสียงหลงก่อนจะรีบลุกหนีไปอีกมุมของร้าน

“อย่าแตะตัวฉัน! ฉันยังไม่บอกหมด! ยังมีอีก!”

ตำรวจหญิงพยายามพูดอย่างใจเย็น

“คุณยายคะ เราแค่อยากพาคุณไปพักให้สงบก่อน ไม่เป็นไรนะคะ…”

“โกหก! แกโกหก! แกไม่ได้มาคนเดียวใช่ไหม!?” หญิงชราเงื้อกระเป๋าสะพายเก่า ๆ ฟาดใส่ตำรวจชายอีกคนเข้าที่แขนเบา ๆ แต่เพียงพอให้สถานการณ์บานปลาย

“พอแล้วครับคุณยาย!” ตำรวจชายพูดเสียงแข็ง แล้วพุ่งเข้าคว้าหญิงชราจากด้านหลัง พยายามล็อกแขนทั้งสองข้างไว้ ตำรวจทั้งสองคนช่วยกันลากหญิงชราที่กำลังดิ้นเป็นปลากระดี่ได้น้ำออกจากร้าน เธอยังคงตะโกนไม่หยุด

“ปล่อย! ปล่อยฉันนะ! ฉันยังไม่ทันเตือน! ฉันยังไม่ทันเตือนยัยเด็กนั่นเลย!”

เสียงกรีดร้องของหญิงชรายังไม่ทันจางลงดี ประตูรถตำรวจก็เปิดออก เธอถูกยัดเข้าไปในเบาะหลังอย่างทุลักทุเล ก่อนที่ประตูจะปิดดังปัง! แล้วรถหวอก็แล่นจากไปปล่อยให้เหล่าเดมิก็อดยืนงงเป็นไก่ตาแตก ดูท่าว่าวันนี้คงจะไม่ได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับถนนบีคอนนั่นแล้วล่ะ…









แสดงความคิดเห็น

God
ใบหน้าคุ้นตาเหยียดยิ้ม นายพลนั่นเองแม้ใบหน้าเขาจะมีหูยาวขึ้นและชุดเปลี่ยนไปแต่คุณจำไม่ผิด เขาบอกโจมตีจับตาย พวกทำร้ายเมียข้าจนตายและลูก (แม้เขาจะพลั้งมือฆ่าหลังกลับไปบ้าน)  โพสต์ 2025-6-18 23:33
God
ในขณะคุณกำลังเดินบนถนนก็มีทหารกลุ่มหนึ่งเปิดฉากยิง แต่กลับเป็นลูกธนูแทน และถ้าสังเกตดีๆคุณเห็นพวกเขาหูยาวกันทุกคน มีชายหนุ่มใส่ชุดหรูหราแฟนตาชีราวกับเอลฟ์สูงศักดิ์จาก LOTR   โพสต์ 2025-6-18 23:32
โพสต์ 39315 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2025-6-18 23:23
โพสต์ 39,315 ไบต์และได้รับ +3 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก ปืนอัจฉริยะ L&E  โพสต์ 2025-6-18 23:23
โพสต์ 39,315 ไบต์และได้รับ +15 EXP +30 ความกล้า +20 ความศรัทธา จาก เกราะไทเทเนียม  โพสต์ 2025-6-18 23:23
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x8
x2
x7
x30
x3
x2
x1
x3
x3
x6
x4
x2
x10
x15
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x53
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x364
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x3
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x82
โพสต์ 7 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด





รุ่งเช้าของวันใหม่ในบอสตันมาพร้อมความหม่นหมองเช่นเดิม เมฆหนาทึบยังคงปกคลุมท้องฟ้าอย่างไม่ยอมจากไป แสงอาทิตย์ลอดผ่านลงมาเพียงบางเบาราวกับไม่อยากให้เห็น โรงแรมราคาถูกที่เหล่าเดมิก็อดพักเมื่อคืนเป็นตึกแคบสามชั้น มีลิฟต์เก่าที่สั่นทุกครั้งที่ประตูกำลังจะเปิด กลิ่นผ้าห่มเก่ากับพรมชื้น ๆ ยังตามหลอกหลอนมาถึงทางเดินด้านนอก

“จากที่ถามพวกลูกค้าในร้ายเมื่อวานนี้ ถนนบีคอนน่าจะอยู่ทางโน้นนะ” เอโลอิสพูดพลางชี้ไปตามแนวถนนสายย่อยที่แยกออกไปทางขวา เธอถือกระดาษโน้ตที่มีลายมือของแอนนาเบ็ธเอาไว้แน่น ประหนึ่งว่ามันเข็มทิศเดียวที่พวกเขาพอจะพึ่งได้

“หวังว่าเราจะไม่หลงนะ” แจสเปอร์พูดพลางหาว “ถ้าเดินผิดอีก ผมจะกลับไปนอนที่โรงแรมจริง ๆ ด้วย”


“นี่ให้มันน้อย ๆ หน่อยจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนกันยะ” ป้าคาเรนบ่นเบา ๆ พลางจัดผ้าพันคอรอบคอให้แน่นขึ้น “อากาศเย็นแปลก ๆ เหมือนฝนจะตกแต่ก็ไม่ตกน่าหงุดหงิดจริง”


ทั้งสามเดินไปตามทางเท้าที่ทอดยาวเลียบอาคารเก่า ตึกแถวอิฐแดงสองฝั่งถนนดูเงียบผิดปกติ ร้านค้าแทบไม่มีใครเปิด แม้จะล่วงเข้าสู่ช่วงสายแล้วก็ตาม บรรยากาศที่เงียบขนาดนี้มันทำให้เสียงฝีเท้าฟังดูดังไปเลย


ฟิ้ว!


เสียงวัตถุบางอย่างแหวกอากาศเฉียดผ่านหูของเอโลอิสไปนิดเดียว เธอสะดุ้งเฮือกหมอบลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว


ฉึก!


ลูกธนูดอกหนึ่งปักเข้ากับเสาไฟฟ้าใกล้ ๆ อย่างแรงจนไม้สะเทือน


“เฮ้ย!?” แจสเปอร์ร้อง พลางหันซ้ายขวา “ใครยิง!?”


“หมอบไว้ก่อน!” เอโลอิสตะโกน แล้วดึงป้าคาเรนลงข้างตัว พากันไปหลบอยู่หลังป้ายรถเมล์ที่พัง ๆ


เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังใกล้เข้ามาจากซอกตึกฝั่งตรงข้าม กลุ่มคนในชุดเครื่องแบบทหารเดินออกมาทีละคน ธนูในมือยังคงตรึงสายอยู่ ลูกศรแหลมวาวสะท้อนแสงเงาวับ


แต่สิ่งที่สะดุดตามากกว่าทุกอย่างคือ ‘ใบหูของพวกเขา’ เพราะมันยาว เรียว โค้งไปด้านหลังอย่างสง่างาม เอาจริง ๆ คนปกติไม่มีใครเขาหูแบบนี้กันหรอก

“พวก...เอลฟ์เหรอ?” แจสเปอร์กระซิบเบา ๆ อย่างไม่เชื่อสายตา

“ไม่ต้องกระซิบแล้วล่ะ พวกนั้นเห็นเราชัดเจนแน่นอน ถ้าจะยิงมาขนาดนี้” ป้าคาเรนพูดเสียงเครียด

ทหารหูเอลฟ์คนหนึ่งยกมือขึ้น สั่งให้ทุกคนหยุด เขาจ้องมาทางเอโลอิสตรง ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“พวกคุณเป็นใครน่ะ ยิงผิดคนแล้วฉันไม่รู้จักพวกคุณสักหน่อย…” เอโลอิสพูดพลางถอยหนึ่งก้าว

“ไม่หรอก ถูกคนแล้ว…”

ฟิ้ว!

เสียงลูกธนูดอกใหม่ดังขึ้น คราวนี้เฉียดขาแจสเปอร์ไปนิดเดียว

“โอ๊ย! พูดกันดี ๆ ไม่ได้รึไงวะ!” เขากระโดดหลบแล้วตะโกนลั่น

“หนี!” เอโลอิสไม่รอช้า พูดพร้อมคว้าแขนป้าคาเรนและวิ่งไปทางตรอกด้านหลังร้านเบเกอรี่

เสียงลูกธนูไล่ตามมาติด ๆ

ฟิ้ว! ฉึก! ฟิ้ว!

เสียงฝีเท้ากระทบพื้นปูนดังก้องในตรอกแคบ พวกเขาวิ่งผ่านถังขยะ กองลังเปล่า และรั้วไม้ที่ดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ เอโลอิสนำหน้า กำมือแน่นรอบแขนของป้าคาเรน ส่วนแจสเปอร์ตามหลังสุด พะวงทั้งทางข้างหน้าและธนูข้างหลัง

ฟิ้ว! ฉึก!

ลูกธนูดอกหนึ่งปักเฉียดหมวกของป้าคาเรนไปไม่ถึงนิ้ว

“โอ๊ย! ฉันไม่ควรมาร่วมทริปนรกนี่ตั้งแต่แรกแล้ว!” ป้าคาเรนบ่นลั่น พลางควักสเปรย์พริกไทยจากกระเป๋าถือ “ถ้าใครกล้าเข้าใกล้ฉันล่ะก็...จะพ่นมันให้ตาบอดกันไปข้างหนึ่งเลย!”

“ป้าจะไปสู้พวกเอลฟ์ได้ยังไงเนี่ย เขาใช้ธนูนะ ไม่ใช่โรคภูมิแพ้!” แจสเปอร์ตะโกนกลับพลางหันไปมองด้านหลัง ขณะที่กลุ่มทหารเอลฟ์ยังคงไล่หลังมา

“เลี้ยวขวาเร็ว!” เอโลอิสตะโกนเมื่อเห็นทางแยกอีกฝั่ง

ทั้งสามพุ่งเข้าทางเลี้ยว ทะลุออกไปยังลานด้านหลังของตึกที่เคยเป็นโกดังเก่า รั้วเหล็กขึ้นสนิมล้อมอยู่โดยรอบ แต่บางช่วงถูกแหว่งออกเป็นช่อง พอให้รอดไปได้ถ้าหลบตัวดี ๆ

พวกเขามุดผ่านรั้วสนิมนั้นอย่างทุลักทุเล กระเป๋าสะพายของป้าคาเรนขูดกับขอบเหล็กจนมีเสียงดังแกร๊ก ๆ ขณะที่แจสเปอร์หันกลับไปอีกครั้ง เห็นเงาทหารเอลฟ์กำลังไล่ตามเข้ามาไม่ห่างนัก

แต่แล้ว...

ตึก!

แจสเปอร์ชนเข้ากับกำแพงตึกอีกด้านเต็มแรง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเจอเข้ากับทางตันเสียแล้ว

“ให้ตายสิ!” เขาพูดอย่างหอบเหนื่อย “ไม่มีทางไปแล้ว!”

เอโลอิสหันซ้ายขวาก่อนจะสังเกตเห็นว่ารั้วสูงหลังโกดังพังบางจุด แต่ไม่พอให้ปีนหรือวิ่งหนีต่อไปได้เร็วพอแล้ว เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาพร้อมเสียงของลูกศรที่ถูกใส่เข้าไปในคันธนูดังขึ้นอีกครั้ง เอโลอิสหันมามองทุกคนก่อนจะตัดสินใจในทันที

“ไม่มีทางเลือกแล้ว…” เธอพูดก่อนจะคว้าค้อนไฟในกระเป๋าออกมา

ขณะเดียวกัน แจสเปอร์ก็ปลดง้าวเยี่ยนหยาที่สะพายอยู่ด้านหลังออกมา เสียงโลหะเสียดสีกันอย่างนุ่มลึกดังกังวาน สายตาของเขาเปลี่ยนไปทันทีจากเด็กหนุ่มร่าเริงที่ดูไม่มีพิษภัยกลายเป็นนักรบเต็มตัว ท่าทางนิ่งเฉียบ กล้ามเนื้อขยับอย่างแม่นยำตามจังหวะลมหายใจ

เคอร์ติสกระโดดขึ้นไปเกาะอยู่บนลังไม้ใกล้ ๆ ส่งเสียงตื่นเต้น

“สู้ ๆ ขอรับ กระผมจะขอเชียร์อยู่ห่าง ๆ”

ป้าคาเรนร้องกรี๊ด แล้วเอาหน้าซุกกระเป๋าถือในขณะที่เสียงธนูถูกปล่อยตามมาระลอกใหม่

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฉึก!

ลูกศรสามดอกพุ่งเข้ามา แจสเปอร์ยกง้าวขึ้นหมุนเบา ๆ เสียง เคร้ง เคร้ง เคร้ง! ลูกศรถูกฟันกลางอากาศทั้งหมดก่อนจะถึงตัวเขา

"เอ้า มาเลย!" เขาตะโกนเสียงต่ำ ดวงตาลุกวาว ขณะที่ร่างของเขาพุ่งเข้าใส่กลุ่มทหารเอลฟ์ราวกับพายุสงคราม

ฉัวะ!

ทหารเอลฟ์คนหนึ่งล้มลงไปทันที ร่างกลิ้งกองกับพื้น อีกสองคนที่ตามมาติด ๆ ก็โดนแจสเปอร์ไล่ฟาดเข้าข้อพับกับท้องจนหมดแรงลงไปนอนตัวงอ

เอโลอิสวิ่งตามเข้าไป เธอฟาดโล่กระแทกอกเอลฟ์คนหนึ่งอย่างแม่นยำจนเซถอย แล้วหมุนตัวฟาดค้อนเข้าด้านหลังเข่า อีกฝ่ายล้มลงทันทีเสียงดัง อั่ก!

เอลฟ์อีกคนพุ่งเข้าใส่ เธอก้มหลบแล้วเอาด้ามค้อนกระแทกเข้าหน้าอีกฝ่ายตามด้วยการเตะเข้าลำตัว อาศัยแรงส่งและเทคนิค ในระยะเวลาสั้น ๆ พวกเอลฟ์ที่เข้ามาใกล้ล้มกองระเนระนาดกับพื้น ส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด

ท่ามกลางความโกลาหลป้าคาเรนไม่ได้อยู่ตรงแนวต่อสู้เลย เธอหลบอยู่ข้างลังไม้เก่า ๆ แถวมุมกำแพง มือข้างหนึ่งกอดกระเป๋าถือแน่น อีกข้างถือสเปรย์พริกไทย พร้อมจะพ่นใส่อากาศแบบไม่มีเหตุผล

“ยะ…อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นฉันจะฉีด!”

เสียงธนู ฟิ้วววว! ดังก้องจากด้านหลัง ทหารเอลฟ์คนหนึ่งเล็งมาทางที่ป้าซ่อนอยู่ ราวกับเห็นว่าเธอคือจุดอ่อนของกลุ่ม แต่ทันใดนั้นเอง…

โครม!

ลังไม้ที่อยู่ข้างบนชั้นสองของโกดังซึ่งผุพังมานาน จู่ ๆ ก็หลุดร่วงลงมาพอดิบพอดีกับหัวของเอลฟ์คนนั้น เป๊ะมาก จนเขาทรุดลงไปกับพื้นทันที ล้มไม่เป็นท่า

ป้าคาเรนกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะย่อง ๆ หลบออกมาดู แล้วก็สะดุดเชือกที่ขึงไว้กับขอบพื้นโกดังอย่างไม่ได้ตั้งใจ พรืด!

เชือกที่เธอสะดุดไปดึงไม้ค้ำยันที่พยุงถังน้ำด้านบนให้ล้มลง ถังเหล็กกลิ้งตกลงมา แล้วเด้งไปชนกับลังอีกใบที่กลิ้งต่อไปฟาดเข้ากับเอลฟ์อีกสองคนที่กำลังวิ่งเข้ามา

โครมมมม!

เสียงกระแทกดังสนั่น แล้วเอลฟ์ทั้งสองก็ลงไปกองกับพื้นโดยไม่ทันรู้ว่าโดนอะไร

“ฉะ…ฉันเปล่านะ!” เธอรีบพูดปฏิเสธเหมือนคนกลัวความผิด

เสียงหอบหายใจยังดังอยู่ท่ามกลางลานโกดังที่เงียบลง พวกเอลฟ์นอนกองเกลื่อน ไม่มีใครลุกขึ้นมาได้อีกฝุ่นยังลอยอยู่ในอากาศ เอร์ติสลอยตัวลงจากลังไม้ด้วยความระมัดระวัง ส่วนป้าคาเรนยังยืนพัดหน้าตัวเองพร้อมเอายาดมหงส์ไทยกระปุกเขียวมาสูดดม

แล้วจู่ ๆ...

แปะ...แปะ...แปะ...

เสียงปรบมือเบา ๆ ดังขึ้นจากมุมหนึ่งของลาน แต่ฟังแล้วเหมือนเป็นการปรบมือประชดเสียมากกว่า ทุกคนหันขวับไปยังต้นเสียง ชายคนหนึ่งก้าวออกมาอย่างช้า ๆ เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำตัดทอง เส้นผมสีเข้มถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างประณีต มีรัดเกล้าสวยงาม ที่สำคัญที่สุด คือ หูของเขายาว เรียว โค้งไปด้านหลังเหมือนหลุดออกมาจากนิยายของโทลคีน

“อย่าบอกนะว่ากองถ่าย The Rings of Power อยู่แถวนี้ ห่วยขนาดนั้นยังได้ไปต่ออีกเหรอ?” แจสเปอร์พูดขึ้น

ขณะที่คนอื่นคิดว่าคนตรงหน้าเป็นนักแสดงจากซีรีส์เรื่องดัง แต่เอโลอิสรู้ได้ในทันทีทันใดว่าเป็นใคร แม้เขาจะดูต่างไปโดยสิ้นเชิง ราวกับไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังจำเขาได้

“นั่นมัน…” เอโลอิสพูดแผ่วร่างชะงักค้าง “ท่านนายพล?”

แจสเปอร์หันขวับ

“ใครนะ?”

“พ่อของแม็คเคย์ล่า สามีของคุณหญิง…แต่…เขาควรจะอยู่ในคุกไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่มีอะไรที่ข้าทำไม่ได้อยู่แล้ว...” เขาพูดช้า ๆ “ในเมื่ออำนาจเงินมันหอมหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งเสียอีก”

เขาแสยะยิ้ม แล้วก้าวผ่านร่างเอลฟ์อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหยุดยืนเหนือร่างของเอลฟ์นายหนึ่งที่กำลังครางเบา ๆ ด้วยความเจ็บ แล้วปรายตามองพวกมันอย่างเหยียดหยาม “ข้าบอกให้พวกเจ้าจับตาย ไม่ใช่มาล้มตายอย่างหมาแบบนี้!”

เขาเดินต่อ ก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าเอโลอิส เพียงไม่ก้าวเอโลอิสก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่แผ่เข้ามา

“เจ้ารู้ไหม ว่าเจ้าทำอะไรลงไป?”

“...” เอโลอิสไม่ตอบ สีหน้าเธอเริ่มตึงเครียด ริมฝีปากเม้มแน่น

เขาก้มลงเล็กน้อย เหยียดยิ้มเย็นเยียบ

“เจ้าคือฆาตกร…” เสียงเขากระซิบ “เจ้าคือคนที่ฆ่าลูกสาวของข้า…แม็คเคย์ล่า” เขาเน้นชื่อลูกสาวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “และฆ่าภรรยาของข้าด้วย…”

คำพูดนั้นทำให้เธอชะงักหยุดหายใจไปชั่ววินาที ร่างของเธอแข็งค้างอยู่กับที่ ก่อนจะพูดเสียงสั่นเครือออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“หมายความว่ายังไง ภรรยา…อย่าบอกนะว่า…คุณหญิง…?”

เธอเบิกตากว้าง สีหน้าซีดเผือดราวกับเลือดหายไปจากร่าง เธอไม่เคยได้ยินข่าว ไม่เคยรู้อะไรเลย…จนถึงตอนนี้


“ไม่นะ…” เสียงเธอสั่นสะท้าน “คุณหญิง…เธอตายแล้วงั้นเหรอ?”

นายพลแสยะยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก สะใจเล็ก ๆ กับปฏิกิริยานั้น ก่อนจะยักไหล่เหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนัก

“เพราะเจ้าไงล่ะ ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้า”

แม้ในใจเอโลอิสจะคิดว่ากูไปฆ่าคุณหญิงตอนไหนวะ? แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“ฉันไม่เคยทำร้ายพวกเขาทั้งสองคน คุณรู้ดี”

“อย่ามาทำเป็นคนดีลอยตัวไปหน่อยเลย!” เขาตะโกนลั่นจนเสียงสะท้อนก้องในลานโกดังที่เงียบสงัด “เจ้าคือคนที่ทำให้ครอบครัวข้าพังพินาศ เจ้าทำลายทุกอย่างที่ข้ารัก แล้วเจ้าก็ยังกล้าหนีไปใช้ชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ?”

เอโลอิสกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าฝ่ามือ ป้าคาเรนกับแจสเปอร์ยืนอยู่ไม่ห่าง สองคนต่างนิ่งอึ้ง ทั้งจากสิ่งที่ได้ยินและจากบรรยากาศอึดอัดที่บีบรัดเข้ามาทุกทาง

ทันใดนั้นเองนายพลหันหลังให้พวกเธอแล้วพูดเสียงเรียบ

“จับมัน”

จู่ ๆ เงาดำสามคนก็พุ่งลงมาจากด้านบนของโกดังอย่างเงียบเชียบ

ฟับ!

ฟับ!

ฟับ!

“เฮ้ย!” แจสเปอร์ร้องเสียงหลง

เงาดำเหล่านั้นกระโจนเข้าหาเอโลอิส แจสเปอร์ และป้าคาเรนอย่างแม่นยำ และในชั่วพริบตา...ผ้าสีดำสนิทถูกคลุมลงบนหัวของทั้งสามคนพร้อมกัน!

ทุกอย่างมืดสนิท…

ไม่รู้เลยว่าชะตาของพวกเขาต่อไปจะเป็นเช่นไร…


หลักฐานการต่อสู้

กลุ่มทหารนายพล









แสดงความคิดเห็น

God
แม็กนัสช่วยพวกคุณฝ่าออกไปจากจุดนั้น โดยเขาตะโกนให้พวกคุณปิดตาครู่หนึ่ง พวกนายพลที่ตกใจกับแสงจ้าของฤดูร้อนที่แม็กนัสปล่อยออกมาทำให้แสบตาไปชั่วครู่  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
God
แม็กนัสชักดาบ (แจ็ด) ออกมาพุ่งเข้ามาช่วย ทำให้สองพี่น้องต่างวัย หมื่นปีกับยุคปัจจุบันได้คุยกัน นายพลบอกถึงเจ้าจะเป็นสายตรงของเฟรย์ข้าก็ไม่เกรงใจหรอกนะ ที่นี่คือเอลฟ์ของข้าไม่ใช่เฟรย์ตาแก่โลกสวยนั่น  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
God
แม็กนัสเห็นกลุ่มเอลฟ์ติดอาวุธครบมือและเด็กเสื้อยืดสีส้มสองคนนั้นกับคนแก่ รุ่นน้องญาติผู้พี่ฉันด้วยเรอะคนนั้น!!  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
God
แม็กนัสที่ได้รับการติดต่อจากญาติของเขา แอนนาเบธบอกว่ารุ่นน้องของเธอจะมาบอสตันจึงออกมาจากวัลฮัลล่า และทันเห็นเหตุความวุ่นวายจึงมาดูเผื่อจะเป็นพวกน้องๆของญาติสามคนก่อเรื่อง  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
โพสต์ 49456 ไบต์และได้รับ 24 EXP!  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x8
x2
x7
x30
x3
x2
x1
x3
x3
x6
x4
x2
x10
x15
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x53
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x364
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x3
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x82
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้