เช้าวันต่อมา แสงสลัว ๆ จากช่องระบายอากาศเล็ก ๆ เหนือหัว ลอดลงมาต้องคุกใต้ท้องเรือที่มืดมิด ชวนให้หดหู่ใจไม่น้อย กลิ่นอับชื้นผสมกลิ่นอับของสาหร่ายทะเลยังคงคลุ้งอยู่ในอากาศ แต่ถึงอย่างนั้น บรรยากาศแห่งความสิ้นหวังก็ดูจะจางหายไปเล็กน้อย เมื่อใกล้ถึงเวลาที่โจรสลัดจะนำอาหารเช้า (ซึ่งก็คือขนมปังเก่า ๆ และน้ำเปล่า) มาให้
"เอาล่ะครับ...ใกล้ถึงเวลาอาหารแล้ว" วิลล์กระซิบ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความจริงจัง "นี่คือโอกาสเดียวของเรา"
วิลล์ ทินเนอร์ จิตแพทย์หนุ่มผู้โชคร้าย เริ่มต้นแผนการของเขาด้วยการลุกขึ้นยืนหันหลังให้ทุกคน ก่อนจะค่อย ๆ เลิกเสื้อเชิ้ตเก่า ๆ ขึ้น เผยให้เห็นแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยสักประหลาด แผนผังห้องต่าง ๆ ทางเดิน เส้นทางลับ แม้กระทั่งจุดวางถังขยะ และตำแหน่งลูกเรือที่เปลี่ยนเวรยาม ล้วนถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดลออ ราวกับว่าใครสักคนเคยใช้เวลาว่างเป็นเดือน ๆ ในการจดจำและบันทึกทุกตารางนิ้วของเรือลำนี้ลงบนผิวหนังของตนเอง
"หมอนี่คิดว่าตัวเองเป็นไมเคิล สกอฟิลด์หรือไง" แจสเปอร์อดไม่ได้ที่จะกระซิบกับเอโลอิส พลางมองแผนผังเรือฟลายอิ้งดัชมิลล์ที่ซับซ้อนบนแผ่นหลังของวิลล์อย่างเหลือเชื่อ เอโลอิสเองก็พยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วยกับความคิดของแจสเปอร์
วิลล์ ทินเนอร์หันกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง ราวกับไม่ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของทั้งสอง เขาเริ่มอธิบายแผนการที่ดูซับซ้อนพอ ๆ กับรอยสักบนแผ่นหลังของเขาเอง
"ฟังนะทุกคน" วิลล์เริ่มอธิบายเสียงต่ำ "แผนของเราจะเริ่มขึ้นทันทีที่อาหารมาถึง"
เขาใช้นิ้วชี้ตามรอยสักบนแผ่นหลังของตัวเองช้า ๆ
"ตามผังนี้ ห้องครัวอยู่ถัดจากคุกใต้ท้องเรือไปสองห้อง และจะมีการเปลี่ยนเวรยามช่วงประมาณเจ็ดโมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่เราจะได้อาหาร" วิลล์หยุดชั่วครู่ ดวงตาของเขากวาดมองไปที่ทุกคนในห้องขัง "เมื่อโจรสลัดนำอาหารมาส่ง คนที่อยู่หน้าสุดจะต้องแกล้งทำเป็นหกล้มให้โจรสลัดเสียหลัก คนที่สองฉวยจังหวะกระแทกถาดอาหารให้คว่ำลง คนที่สามต้องรีบวิ่งไปคว้ากุญแจที่เอวของโจรสลัด"
"แล้วหลังจากนั้นล่ะ? โจรสลัดคงไม่ยืนเฉยให้เราหยิบกุญแจหรอกนะ" แจสเปอร์ขมวดคิ้ว
"แน่นอน" วิลล์ตอบอย่างใจเย็น "นั่นคือหน้าที่ของผม ผมจะทำให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้นานพอที่พวกคุณจะปลดล็อกกุญแจและเปิดประตู" เขาหันไปสบตาเอโลอิส "เอโลอิส คุณต้องเป็นคนจัดการเรื่องกุญแจ เพราะมือคุณเล็กที่สุด และน่าจะเร็วพอ"
"ได้ค่ะ" เอโลอิสพยักหน้า
"เมื่อประตูเปิดออกเราจะแยกกัน" วิลล์กล่าวต่อ "ตามแผนที่บนหลังผม มีช่องระบายอากาศเล็ก ๆ ที่เชื่อมต่อไปยังห้องเก็บเสบียง พวกเราจะมุดเข้าไปในนั้นและซ่อนตัวให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้" เขาชี้ไปที่จุดหนึ่งบนรอยสัก "จากห้องเก็บเสบียง มีทางลับเล็ก ๆ ที่ผมสังเกตเห็นว่าไม่ค่อยมีใครใช้ เชื่อมต่อไปยังดาดฟ้าเรือด้านหลัง"
"แต่การไปถึงดาดฟ้าเรือไม่ได้หมายความว่าเราปลอดภัยนะ" แจสเปอร์แย้ง "เรายังอยู่กลางทะเล และโจรสลัดคงตามหาเราจนเจอแน่"
"จริงของคุณแจสเปอร์" วิลล์ตอบรับคำถามของแจสเปอร์ ก่อนจะเหลือบมองรอยสักบนแผ่นหลังของตัวเอง "แต่แผนที่นี้มีทางออกเสมอ…และเราจะต้องรอดไปให้ได้ ผมรู้ว่าทุกคนคงสงสัยว่าจิตแพทย์อย่างผมมีรอยสักแบบนี้ได้ยังไง" วิลล์กล่าวพลางกวาดสายตาสำรวจใบหน้าของทุกคน "รอยสักนี่...ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของผมหรอกครับ"
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเล่าต่อ
"เพื่อนร่วมห้องขังคนก่อนของผม...เขาเป็นคนสักให้" วิลล์หยุดชั่วครู่ ดวงตาของเขาฉายแววครุ่นคิด "เขาชื่อ เฮคเตอร์ บาบูนซ่า อดีตรองกัปตันของเรือลำนี้ ก่อนที่แจ็คจะมาแย่งตำแหน่งไป"
"รองกัปตันเหรอ? แล้วทำไมถึงมาอยู่ในคุกใต้ท้องเรือได้ล่ะ?" แจสเปอร์เลิกคิ้วสูง
"เฮคเตอร์บอกว่าเขาถูกหักหลัง" วิลล์ตอบ "ถูกจับมาขังไว้ในห้องเดียวกับผม และเขาก็ใช้เวลาว่างที่มี...สักแผนผังเรือลำนี้ลงบนหลังผม" เขาพยักเพยิดไปทางรอยสักที่ซับซ้อนราวกับแผนที่
"แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนล่ะ?" เอโลอิสถาม
วิลล์ส่ายหน้าช้าๆ
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ตั้งแต่โดนเอาตัวไปก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย" ความเงียบเข้าปกคลุมห้องขังชั่วขณะ ทุกคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเองเกี่ยวกับชะตากรรมของเฮคเตอร์ และความหมายที่แท้จริงเบื้องหลังรอยสักบนแผ่นหลังของวิลล์
“แล้วสัมภาระของพวกเราล่ะ?” แจสเปอร์เอ่ยถามขึ้นมาทันที ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ “เราจะทิ้งมันไว้ไม่ได้นะ”
เอโลอิสมองหน้าแจสเปอร์ด้วยสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย ของพวกนั้นล้วนเป็นของจากพ่อแม่เทพของพวกเขาจะปล่อยไว้ที่นี่ไม่ได้เด็ดขาดเลย และเรื่องนี้ต้องเป็นความลับจากวิลล์ที่เป็นมนุษย์ธรรมดาด้วย
“ใช่…เราต้องเอาคืนมาให้ได้” เอโลอิสตอบเสียงเรียบ พยายามไม่ให้มีพิรุธ “เป็นของสำคัญที่เราต้องใช้เดินทางต่อ”
วิลล์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนจะสงสัยในคำพูดของเอโลอิส แต่เขาก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ
"แล้วเรือมินิบานาน่าของเราล่ะ?" แจสเปอร์พูดเสริมขึ้นมาอย่างกะทันหัน "เราต้องเอามันคืนมาด้วยนะ"
"พวกคุณมีเรือด้วยเหรอ?" วิลล์เลิกคิ้วขึ้นสูง น้ำเสียงของเขามีแววประหลาดใจ
"ถ้าไอ้เรือแจวโง่ ๆ ที่หน้าเหมือนกล้วยนั่นนับเป็นเรือล่ะก็...ก็ใช่แหละ" ป้าคาเรนบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ พลางปรายตามองแจสเปอร์ด้วยสายตาที่บอกว่า 'คิดอะไรอยู่ถึงได้อยากได้ไอ้ของพรรค์นั้นคืนนัก'
เอโลอิสถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะเสริมว่า
"มันเป็นของสำคัญมากสำหรับเราค่ะ เราจำเป็นต้องใช้มันในการเดินทางต่อ" เธอพยายามทำให้เสียงตัวเองฟังดูเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้วิลล์สงสัยในเบื้องลึกเบื้องหลังของ 'สัมภาระ' และ 'เรือ' ของพวกเขาที่ดูจะสำคัญเกินกว่าข้าวของธรรมดา ๆ ทั่วไป
วิลล์พยักหน้าช้า ๆ ใบหน้าของเขาครุ่นคิดอย่างหนักกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับมา
"เอาล่ะ...ถ้าอย่างนั้น แผนของเราจะต้องซับซ้อนขึ้นอีกนิดหน่อย" เขากล่าวพลางหันกลับไปชี้ที่รอยสักบนแผ่นหลังของตัวเองอีกครั้ง ดวงตาจับจ้องไปที่เส้นทางและตำแหน่งต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่บนผิวหนังของเขา
"ตามแผนที่นี้ ห้องเก็บสัมภาระของเราจะอยู่ใกล้กับคลังสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ชั้นล่างสุดของเรือ ถัดจากห้องเก็บเสบียงที่เราตั้งใจจะใช้เป็นที่ซ่อนตัว" วิลล์ใช้นิ้วชี้ตามรอยสักอย่างแม่นยำ "และเรือมินิบานาน่า...ถ้ามันเป็นเรือเล็กที่สามารถลากจูงได้ ไม่ได้ถูกเก็บไว้ในคลังสินค้า ก็เป็นไปได้สูงว่าจะถูกผูกไว้ที่ท้ายเรือด้านนอก หรือไม่ก็ถูกย้ายไปเก็บไว้ในส่วนเก็บของขนาดใหญ่สำหรับอุปกรณ์ช่วยชีวิต"
เขาหันกลับมามองทุกคน
"นั่นหมายความว่าหลังจากที่เราออกมาจากห้องขังและหลบเข้าไปในช่องระบายอากาศแล้ว เราจะต้องแบ่งกำลังออกเป็นสองชุด"
"ชุดแรก จะมุ่งหน้าไปยังห้องเก็บสัมภาระ เพื่อนำของสำคัญของพวกคุณกลับคืนมา" วิลล์มองไปที่เอโลอิสและแจสเปอร์ "เอโลอิส คุณกับแจสเปอร์จะต้องเป็นคนไปจัดการเรื่องนี้ เพราะดูเหมือนว่าของเหล่านั้นจะสำคัญกับพวกคุณมากที่สุด"
แจสเปอร์กับเอโลอิสพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว โล่งใจที่วิลล์เข้าใจความจำเป็นของพวกเขา โดยที่ไม่ต้องถามอะไรมากไปกว่านี้
“ส่วนอีกชุด…จะต้องมุ่งหน้าไปยังท้ายเรือเพื่อตรวจสอบเรื่องเรือมินิบานาน่า” วิลล์หยุดชั่วครู่ มองหน้าป้าคาเรน “ป้าคาเรน ผมคิดว่าป้าเหมาะสมที่สุดที่จะไปกับผม”
ป้าคาเรนถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าบ่งบอกว่าไม่ได้เต็มใจเลยสักนิด
“ทำไมต้องเป็นฉันด้วย” เธอเอ่ยเสียงหงุดหงิด “ฉันว่าฉันเหมาะกับการซ่อนตัวเฉย ๆ มากกว่านะ”
“เพราะป้าดูไม่น่าสงสัยที่สุดไงครับ” วิลล์ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าเราแยกกัน โอกาสที่จะถูกจับได้ก็น้อยลง และป้าคาเรนก็เป็นคนเดียวที่ดูเหมือนพวกมันจะไม่สนใจเท่าไหร่ (เพราะไม่มีประโยชน์) นี่เป็นข้อได้เปรียบของเรา”
“ก็ได้ ๆ ถ้ามันจำเป็นนักล่ะก็” ป้าคาเรนทำหน้ายู่ แต่ก็พยักหน้าอย่างจำยอม
“ดีมากครับ” วิลล์ยิ้มเล็กน้อย “จำไว้ว่าทุกอย่างต้องรวดเร็วและเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้”
วิลล์เริ่มอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมของแผนผังที่ซับซ้อนบนแผ่นหลังของเขา “จากช่องระบายอากาศที่เชื่อมไปยังห้องเก็บเสบียง จะมีทางแยกเล็กๆ อีกทางหนึ่งที่นำไปสู่บันไดลับ ซึ่งไม่ค่อยมีคนใช้” เขาชี้ไปที่รอยสักที่ดูเหมือนจะบิดเบี้ยวเล็กน้อย “บันไดนี้จะพาพวกเราลงไปชั้นล่างสุด ซึ่งเป็นที่ตั้งของคลังสินค้าและห้องเก็บสัมภาระ”
“สำหรับเอโลอิสและแจสเปอร์ เมื่อพวกคุณได้สัมภาระแล้ว ให้รีบกลับมาที่ห้องเก็บเสบียงทันที” วิลล์เน้นย้ำ “เราจะมารวมตัวกันที่นั่นก่อนจะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
“แล้วคุณกับป้าคาเรนล่ะ?” แจสเปอร์ถาม
“ผมกับป้าคาเรนจะไปตรวจสอบที่ท้ายเรือ” วิลล์ตอบ “ถ้าเรือมินิบานาน่าถูกผูกไว้ที่นั่น เราจะพยายามปลดมันออกมาให้เร็วที่สุด และเตรียมพร้อมสำหรับการหลบหนี”
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ทุกคนต่างจ้องมองรอยสักบนแผ่นหลังของวิลล์ด้วยแววตาที่ผสมผสานระหว่างความหวังและความไม่แน่ใจ แผนการนี้ดูจะมีความเสี่ยงสูงมาก แต่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเช่นนี้ มันก็เป็นโอกาสเดียวที่พวกเขาจะได้รับอิสรภาพกลับคืนมา
“ฟังดูอันตรายสุดๆ เลยนะ” แจสเปอร์กระซิบกับเอโลอิส “แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วล่ะมั้ง”
“ใช่…แต่เราก็ต้องลองดู” เอโลอิสพยักหน้าช้า ๆ
แสงสลัวจากช่องระบายอากาศเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกว่าใกล้เวลาเช้าตรู่เข้ามาทุกที เสียงฝีเท้าหนักๆ เริ่มดังใกล้เข้ามาจากทางเดินนอกห้องขัง สัญญาณว่าโจรสลัดกำลังจะนำอาหารเช้ามาให้
“เตรียมตัวให้พร้อม” วิลล์กระซิบ เสียงของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจริงจัง “นี่แหละคือโอกาสของเรา”
เสียงฝีเท้าดังมาจากทางเดินนอก ตามมาด้วยเสียงกุญแจที่ไขเข้ากับแม่กุญแจขนาดใหญ่ที่ประตูห้องขัง แสงจากตะเกียงน้ำมันของโจรสลัดสาดส่องเข้ามาในห้อง เผยให้เห็นใบหน้ากร้านแดดและดวงตาที่แข็งกระด้างของชายร่างใหญ่ ผมสีแดงเข้มรวบเป็นเปียหางม้า เสื้อผ้าที่เก่าและขาดวิ่นบ่งบอกถึงการใช้งานมาอย่างยาวนาน เขาวางถาดอาหารลงบนพื้นอย่างไม่ใยดี เป็นขนมปังแข็ง ๆ กับเหยือกน้ำวางอยู่บนถาดนั้นอย่างน่าหดหู่
วิลล์พยักหน้าให้แจสเปอร์ที่อยู่หน้าสุด แจสเปอร์หายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะแกล้งทำเป็นสะดุดล้มลงไปกองกับพื้นตรงหน้าโจรสลัดทันที
"โอ๊ย!" แจสเปอร์ร้องเสียงดัง มือปัดป่ายไปในอากาศราวกับพยายามทรงตัว โจรสลัดไม่ทันตั้งตัว พยายามจะหลบแต่ก็เสียหลักเล็กน้อย
จังหวะนั้นเอง เอโลอิสที่อยู่ด้านหลังแจสเปอร์ไม่รอช้า พุ่งเข้ากระแทกถาดอาหารอย่างแรงจนคว่ำ ขนมปังกลิ้งไปคนละทิศละทาง น้ำนองเต็มพื้น
ความวุ่นวายทำให้โจรสลัดผงะไปชั่วขณะ ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจและโกรธจัด ก่อนที่เขาจะทันได้ตั้งตัว วิลล์ก็พุ่งเข้าใส่ชกเข้าที่ปลายคางของโจรสลัดอย่างจัง เสียงกระดูกลั่นเบา ๆ โจรสลัดเซถลาไปชนกับผนังห้องขัง ศีรษะกระแทกกับไม้เก่า ๆ อย่างแรงจนร่างทรุดลงไปกองกับพื้น ดวงตาของเขาเหลือกขึ้นช้า ๆ ก่อนจะหมดสติไป
"เร็วเข้า!" วิลล์ตะโกน ในขณะที่โจรสลัดยังคงกุมขมับอยู่บนพื้น เอโลอิสไม่รอช้า เธอสอดมือเล็ก ๆ ของเธอเข้าไปในเข็มขัดของโจรสลัดอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงพวงกุญแจขนาดใหญ่ที่ห้อยอยู่ เธอคว้ามันไว้แน่น ดึงออกมาจากเอวของโจรสลัดได้สำเร็จ
มือเรียวเล็กของเอโลอิสสั่นเล็กน้อยขณะพยายามไขกุญแจดอกแล้วดอกเล่าเข้ากับแม่กุญแจบานใหญ่ หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับกลองศึก เธอเหลือบมองวิลล์ที่กำลังจ้องเขม็งไปที่โจรสลัดที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น เธอรู้ว่ามีเวลาไม่มาก
"ได้แล้ว!" ในที่สุด เอโลอิสก็ไขกุญแจได้สำเร็จ เสียงปลดล็อกดังแกร๊ก กังวานไปทั่วห้องขัง เธอรีบผลักประตูออกสุดแรง
"ไป!" วิลล์ออกคำสั่ง เขาพุ่งตัวออกจากห้องขังเป็นคนแรก ตามด้วยเอโลอิสและแจสเปอร์ ป้าคาเรนตามมาเป็นคนสุดท้าย ทั้งหมดรีบวิ่งไปตามทางเดินที่มืดสลัว
"ไปทางนี้!" วิลล์ชี้ไปยังช่องระบายอากาศเล็ก ๆ เหนือประตูทางเข้าห้องครัวที่อยู่ถัดไปสองห้องจากคุกใต้ท้องเรือ ช่องนั้นแคบมากจนดูเหมือนไม่มีใครจะมุดเข้าไปได้ แต่ด้วยความสิ้นหวัง ทุกคนก็ไม่มีทางเลือกอื่น
วิลล์เริ่มปีนขึ้นไปเป็นคนแรก แผ่นหลังที่มีรอยสักของเขาเบียดเสียดกับขอบเหล็กของช่องระบายอากาศอย่างทุลักทุเล เขามุดเข้าไปได้อย่างยากลำบาก จากนั้นก็ยื่นมือลงมาช่วยเอโลอิสด้วยความที่เธอเป็นผู้หญิงจึงมุดเข้าไปได้ง่ายกว่าคนอื่น ตามมาด้วยป้าคาเรนที่บ่นอุบอิบตลอดทางเรื่องความคับแคบและกลิ่นอับ สุดท้ายแจสเปอร์ก็ใช้แรงทั้งหมดดันตัวเองเข้าไปในช่องระบายอากาศได้อย่างทุลักทุเล
พวกเขาคลานไปตามช่องระบายอากาศที่มืดมิดและเต็มไปด้วยฝุ่น กลิ่นอับชื้นและกลิ่นโลหะสนิมขึ้นคละคลุ้งไปทั่ว เสียงหัวใจของทุกคนเต้นระรัว เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยของลูกเรือที่ดังลอดเข้ามาจากด้านล่าง พวกเขาต้องคลานไปอย่างเงียบเชียบที่สุด
"ตรงนี้แหละ" วิลล์กระซิบ เมื่อมาถึงทางแยกที่ระบุไว้ในรอยสักของเขา "ทางนี้ไปห้องเก็บสัมภาระ อีกทางไปท้ายเรือ" เขาหันไปมองเอโลอิสและแจสเปอร์ "เอโลอิส แจสเปอร์ โชคดีนะ"
เอโลอิสกับแจสเปอร์พยักหน้าให้วิลล์อย่างมุ่งมั่น ก่อนจะแยกตัวคลานไปในช่องทางที่นำไปสู่ห้องเก็บสัมภาระ พวกเขาคลานต่อไปอีกไม่นาน ก็มาถึงช่องระบายอากาศอีกแห่งที่นำไปสู่ห้องเก็บสัมภาระ มันเป็นช่องเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่หลังลังสินค้าขนาดใหญ่ ทำให้ยากที่จะสังเกตเห็นจากด้านล่าง
"พร้อมนะ?" แจสเปอร์กระซิบถาม
เอโลอิสพยักหน้า เธอผลักฝาตะแกรงของช่องระบายอากาศออกเบา ๆ และหย่อนตัวลงสู่พื้นห้องเก็บสัมภาระ ตามมาด้วยแจสเปอร์
ห้องเก็บสัมภาระมืดสลัวและเต็มไปด้วยลังไม้ขนาดต่างๆ วางซ้อนกันสูงเกือบถึงเพดาน กลิ่นดินปืนและกลิ่นอับของไม้เก่า ๆ คลุ้งอยู่ในอากาศ เอโลอิสใช้สายตากวาดมองไปรอบๆ พยายามหาของของพวกเขา
"มันอยู่ไหนนะ..." แจสเปอร์บ่นพึมพำ
ไม่นาน เอโลอิสก็เห็นเข็มขัดเครื่องมือวิเศษของเธอที่มุมห้อง มันซ่อนอยู่หลังลังไม้ขนาดใหญ่ ดูเหมือนโจรสลัดจะแค่โยนมันทิ้งไว้โดยไม่สนใจไยดี เธอรีบวิ่งเข้าไปหยิบมันขึ้นมา ก่อนจะหันไปช่วยแจสเปอร์หาสัมภาระของเขาที่ถูกซ่อนอยู่ไม่ไกลกัน
"เจอแล้ว!" แจสเปอร์ร้องออกมาอย่างดีใจ เมื่อพบสัมภาระและอาวุธของเขา ที่พวกโจรสลัดไม่รู้ว่าจะมองเห็นเป็นอะไร และใกล้ ๆ กันก็มีกระเป๋าสีรุ้งของป้าคาเรนและชะลอมของเธอด้วย
"รีบกลับไปที่ห้องเก็บเสบียงกันเถอะ" เอโลอิสกระซิบก่อนจะเอากระเป๋าขนาดยักษ์ของป้าและชะลอมยัดเข้าเข็มขัดเครื่องมือวิเศษของเธอเพื่อให้สะดวกต่อการหนี
ในขณะเดียวกัน วิลล์กับป้าคาเรนก็คลานไปตามช่องระบายอากาศอีกทางหนึ่ง มันนำพวกเขาลงไปสู่ชั้นล่างสุดของเรือ ที่เป็นที่ตั้งของคลังสินค้าขนาดใหญ่และส่วนที่คาดว่าจะเป็นที่เก็บเรือมินิบานาน่า
"นี่มันน่าเบื่อจริง ๆ" ป้าคาเรนบ่นไม่หยุดขณะคลานไป "ช่องระบายอากาศนี่ก็เล็กเหลือเกิน ฉันแก่แล้วนะ"
"อีกนิดเดียวครับป้า" วิลล์พยายามปลอบ เขาเองก็รู้สึกอึดอัดไม่แพ้กัน แต่ความมุ่งมั่นที่จะรอดออกไปทำให้เขาอดทนได้
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงช่องระบายอากาศที่นำไปสู่บริเวณท้ายเรือด้านนอก เมื่อวิลล์แง้มฝาตะแกรงออก แสงแดดจ้าก็สาดส่องเข้ามาพร้อมกับลมทะเลพัดปะทะใบหน้า พวกเขามองเห็นผืนทะเลสีครามสุดลูกหูลูกตา และสิ่งที่ทำให้วิลล์และป้าคาเรนต้องประหลาดใจ...
เรือมินิบานาน่าไม่ได้ถูกผูกไว้ที่ท้ายเรือด้านนอกอย่างที่คาดไว้ แต่มันกลับถูกยกขึ้นมาวางอยู่บนดาดฟ้าเรือโจรสลัดอย่างกับเป็นของประดับชิ้นหนึ่ง เชือกเส้นหนาหลายเส้นรัดตรึงมันไว้แน่นหนา ราวกับกลัวว่ามันจะหลุดลอยหายไปกับลมทะเล
"นั่นมัน..." ป้าคาเรนพึมพำ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ "ไอ้เรือกล้วยโง่ ๆ นั่นมันอยู่บนเรือลำนี้จริงๆ ด้วย!"
เชือกที่รัดเรือมินิบานาน่าไว้หนาแน่นทำให้วิลล์กับป้าคาเรนต้องออกแรงอย่างหนัก วิลล์พยายามใช้มีดพกเล็ก ๆ ที่ซ่อนไว้ ตัดเชือกทีละเส้น ส่วนป้าคาเรนก็ใช้แรงทั้งหมดดึงและคลายปมเท่าที่จะทำได้ ท่ามกลางเสียงลมทะเลและเสียงคลื่นที่ซัดกระทบข้างเรือ
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเอาเรือบ้านั่นขึ้นมาไว้บนนี้” ป้าคาเรนบ่นพึมพำขณะดึงเชือก “เสียเวลาจริง ๆ”
“อดทนหน่อยครับป้า อีกนิดเดียว” วิลล์หอบเล็กน้อย เขาเร่งมือตัดเชือกเข้าไปอีก
“พวกแกคิดจะทำอะไร!”
เสียงทุ้มต่ำและเย็นยะเยือกของ แจ็ค สปาร์ตัน รองกัปตันเรือ ทำให้วิลล์และป้าคาเรนถึงกับตัวแข็งทื่อ พวกเขาหันกลับไปช้า ๆ ภาพที่เห็นคือชายหนุ่มผมสีดำสนิท ใบหน้าคมเข้มแต่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์ แต่งกายดูคล้ายพวกยิปซีหรือฮิปปี้ เสื้อผ้าหลวม ๆ สีเข้ม เครื่องประดับโลหะแวววาว และที่สะดุดตาที่สุดคือหมากฝรั่งในปากที่เขากำลังเคี้ยวตุ้ย ๆ
แจ็ค สปาร์ตันก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาคมกริบกวาดมองวิลล์ที่ถือมีดพก และป้าคาเรนที่กำลังพยายามปลดเชือกที่รัดเรือมินิบานาน่าไว้ จากนั้นสายตาของเขาก็หยุดที่เรือรูปร่างประหลาดคล้ายกล้วยลำนั้น
"พวกแกคิดจะขโมยเรืองั้นหรือ?" แจ็คเลิกคิ้วขึ้นสูง "แล้วนักโทษอย่างพวกแกหนีออกมาจากคุกใต้ท้องเรือได้ยังไงกัน!” แจ็คก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ดวงตาคมกริบไล่มองจากวิลล์ไปป้าคาเรน จากมีดพกในมือวิลล์ไปยังเชือกที่ขาดวิ่น “แล้วนี่คิดจะทำอะไรกับเรือของฉัน? อย่าบอกนะว่าพวกแกจะใช้เรือกล้วยโง่ ๆ นี่หนีไปกลางทะเล?” แจ็คหัวเราะหึ ๆ ราวกับได้ยินเรื่องตลกที่สุดในชีวิต
วิลล์กระชับมีดในมือ เขารู้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังเข้าตาจน การต่อสู้กับรองกัปตันโดยตรงบนดาดฟ้าเรือที่เปิดโล่งไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแน่ ๆ
“เรา...เราแค่เดินหลงทางมา” วิลล์พยายามพูดให้น้ำเสียงเป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็รู้ดีว่ามันฟังไม่ขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“เดินหลงทางมางั้นเหรอ?” แจ็คเลิกคิ้วสูงขึ้นไปอีก ใบหน้าของเขามีร่องรอยความประหลาดใจเจือปนอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคือง “พวกนักโทษงี่เง่าอย่างแกจะมาหลงทางบนเรือของฉันได้ยังไงกัน! ใครเป็นคนเปิดคุกให้แก!”
แจ็ค สปาร์ตัน จ้องมองวิลล์และป้าคาเรนสลับกับเรือมินิบานาน่าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยปนกับความไม่พอใจ “ไหนลองบอกมาซิว่าพวกแกหนีออกมาได้ยังไง! แล้วไอ้รอยสักประหลาดบนหลังแกนั่นมันคืออะไรกันแน่!” เขาชี้นิ้วไปที่แผ่นหลังของวิลล์ที่โผล่พ้นเสื้อออกมาเล็กน้อย แจ็คก้าวเข้ามาอีกก้าว เตรียมพร้อมที่จะจับตัวทั้งคู่
วิลล์และป้าคาเรนตัวแข็งทื่อ พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันที่สุด ศัตรูกำลังจะเข้ามาถึงตัวและไม่มีทางที่จะหนีรอดไปได้เลยแม้ในพื้นที่เปิดโล่งเช่นนี้ วิลล์กำมีดในมือแน่น เหงื่อไหลซึมไปตามแผ่นหลัง เขาเตรียมพร้อมที่จะสู้ตาย แต่ก็รู้ดีว่าโอกาสชนะนั้นริบหรี่เต็มทีเพราะเขาเป็นแค่จิตแพทย์ไม่ใช่ไอ้แดงที่เป็นนักสู้
“พูดมานะ! ไม่งั้นแกได้เจอดีแน่!” แจ็คตะคอกเสียงดัง มือของเขากำแน่นเตรียมพร้อมจะซัดหมัดใส่
ทันใดนั้นเอง!
ปั่ก!
เสียงบางอย่างกระทบเข้ากับศีรษะของแจ็ค สปาร์ตันอย่างจัง เสียงนั้นหนักแน่นจนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ร่างของแจ็คเซถลาไปด้านข้าง ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจและเจ็บปวด ก่อนที่เขาจะทันได้ร้องหรือพูดอะไรออกมา ร่างของแจ็คก็ร่วงลงไปกองกับพื้นดาดฟ้าเรืออย่างแรง ไม่ต่างอะไรกับถุงมันฝรั่งที่หมดสภาพ
วิลล์และป้าคาเรนถึงกับอึ้ง พวกเขาหันขวับไปมองยังทิศทางที่เสียงนั้นดังขึ้น และสิ่งที่เห็นทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม แจสเปอร์ยืนอยู่ตรงนั้น! ในมือของเขายังคงถือไม้ท่อนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นไม้ถูพื้นเก่า ๆ ที่หักครึ่ง ดวงตาของเขามีแววตื่นเต้น เอโลอิสยืนอยู่ข้าง ๆ แจสเปอร์ ใบหน้าของเธอยังคงซีดเผือดเล็กน้อยจากความตกใจ แต่ในแววตาก็ฉายแววโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
"แจสเปอร์! เอโลอิส! พวกเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!" วิลล์อุทาน
"เราได้ยินเสียงเอะอะโวยวายก็เลยตามมาดูค่ะ" เอโลอิสอธิบายเสียงหอบเล็กน้อย "พอดีเราได้ยินเสียงป้าคาเรนบ่นดังมาก..." เธอเหลือบมองป้าคาเรน
"ใช่เลยครับ พอมาถึงก็เห็นไอ้หมอนี่กำลังข่มขู่พวกคุณอยู่พอดี ผมก็เลย...จัดให้ซะหน่อย!" แจสเปอร์ยิ้มกว้าง
ป้าคาเรนมองแจสเปอร์ด้วยสายตาที่ผสมผสานระหว่างความโล่งใจและความรำคาญ
"นายมันบ้าไปแล้วแจสเปอร์! ถ้าพลาดขึ้นมาจะเป็นยังไง!"
"แต่ผมไม่พลาดนี่ครับป้า!" แจสเปอร์ตอบอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะหันไปมองแจ็ค สปาร์ตันที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น "นี่เราควรจะทำยังไงกับไอ้หมอนี่ดีครับ?"
วิลล์รีบเดินเข้าไปตรวจสอบแจ็ค สปาร์ตัน
"เขาแค่สลบไป คงไม่เป็นอะไรมาก" เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก "ดีแล้วล่ะแจสเปอร์ ขอบคุณมากที่มาช่วยไว้ได้ทันเวลา"
"ตอนนี้เราต้องรีบไปจากที่นี่ก่อนที่คนอื่นจะมาเจอ" เอโลอิสเตือน ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
พวกเขาหันไปมองเรือมินิบานาน่าที่ตอนนี้เชือกส่วนใหญ่ถูกตัดออกไปแล้ว เหลือเพียงไม่กี่เส้นที่ยังรัดตรึงมันไว้
"เราต้องรีบปลดเชือกที่เหลือแล้วลงเรือไปจากที่นี่!" วิลล์สั่งการอย่างรวดเร็ว ทุกคนเริ่มลงมือช่วยกันปลดเชือกที่เหลืออย่างเร่งรีบ ท่ามกลางลมทะเลที่พัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับธรรมชาติกำลังเร่งเร้าให้พวกเขาหนีไปจากเรือลำนี้ให้เร็วที่สุด
เชือกเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นลงพร้อมกับเสียงเฮือกสุดท้ายของทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจกันปลดปล่อยเรือมินิบานาน่าจากพันธนาการของเรือโจรสลัด เรือน้อยรูปทรงกล้วยบานาน่าดูโดดเด่นสะดุดตาบนดาดฟ้าเรือที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายเล็กน้อยหลังจากเหตุการณ์ชุลมุนที่ผ่านมา
“สำเร็จแล้ว!” วิลล์ร้องออกมาอย่างดีใจ เหงื่อไหลซึมไปทั่วแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยสักแผนที่ “เราไปกันเถอะ!”
ทุกคนเตรียมตัวกระโดดลงเรือมินิบานาน่าที่ตอนนี้ถูกวางอยู่ใกล้ขอบกาบเรือที่สุด แต่ก่อนที่ใครจะได้ก้าวเท้าลงไป เอโลอิสก็ชะงักฝีเท้า ใบหน้าของเธอดูวิตกกังวล
“เดี๋ยวสิ! เรายังไม่เจอเคอร์ติสเลยนะคะ!” เอโลอิสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย ดวงตาของเธอกวาดมองไปรอบ ๆ ดาดฟ้าเรืออย่างร้อนรน
ป้าคาเรนถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์
“โอ๊ย! เจ้านกนั่นมันมีปีก ป่านนี้บินหนีไปเกาะไหนต่อไหนแล้วมั้ง”
“ไม่จริงหรอก!” เอโลอิสโต้กลับทันควัน “ถึงเคอร์ติสจะขี้ขลาดแค่ไหน แต่มันไม่มีทางทิ้งฉันไปแบบนั้นแน่!”
ขณะที่เอโลอิสยังคงยืนกรานหาผู้ติดตามของเธอ จู่ ๆ ท้องฟ้าเบื้องบนก็ปรากฏจุดดำเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ บินร่อนลงมาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จุดนั้นขยายใหญ่ขึ้นจนเผยให้เห็นร่างของนกกระทาตัวหนึ่งที่คุ้นเคย
“เคอร์ติส!” เอโลอิสร้องออกมาอย่างดีใจ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เคอร์ติสเริ่มส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ดวงตาเล็ก ๆ ของมันกวาดมองทุกคนอย่างกระตือรือร้น แน่นอนว่าไม่มีใครฟังออกนอกจากเอโลอิส
“เคอร์ติสบอกว่าทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเราจะหลงทางเลยค่ะ!” เอโลอิสแปลให้ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“มันบอกว่าแอบไปสลับสับเปลี่ยนแผนที่จุดหมายของเจ้าพวกโจรสลัดเป็นนอร์เวย์แทนแล้ว ตอนนี้เรือกำลังแล่นไปในทิศทางเดียวกับจุดหมายของเราเลยล่ะค่ะ! เจ้าพวกนั้นไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังแล่นเรือไปผิดทาง!”
ความโล่งใจแผ่ซ่านไปทั่วทุกคนเมื่อรู้ว่าเคอร์ติสได้วางแผนที่อันชาญฉลาดไว้ให้แล้ว การเดินทางที่ดูมืดมนกลับมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ขึ้นมาทันที
"สุดยอดไปเลยเคอร์ติส! นี่ก็หมายความว่าตลอดช่วงเวลาที่เราโดนขังเราก็ยังแล่นไปสู่จุดหมายเรื่อย ๆ สินะ" แจสเปอร์ถึงกับยกนิ้วให้เจ้านกกระทาตัวน้อย
ป้าคาเรนมองเคอร์ติสด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากที่เคยดูถูก ตอนนี้กลับมองด้วยความทึ่งผสมกับความไม่เข้าใจ
"ใครจะไปคิดว่าไอ้เจ้านกขี้ขลาดนี่จะมีประโยชน์ขึ้นมาได้บ้าง" เธอพึมพำ
วิลล์มองเคอร์ติสด้วยความประหลาดใจไม่แพ้กัน ดวงตาของเขากวาดมองระหว่างเอโลอิสและนกกระทา ราวกับพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เขาเลือกที่จะไม่ถามอะไรเพิ่มแต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมคนถึงคุยกับนกรู้เรื่อง บางทีเด็กคนนี้ก็อาจจะต้องได้รับการรักษาจากจิตแพทย์เช่นกัน
"เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาไปกันแล้ว!" วิลล์เร่งเร้า "ก่อนที่พวกมันจะรู้ตัวว่าแจ็ค สปาร์ตันหายไป!"
ทุกคนรีบปีนลงเรือมินิบานาน่าที่แกว่งไกวเล็กน้อยเมื่อพวกเขาหย่อนตัวลงไป วิลล์เป็นคนสุดท้ายที่ลงมา เขาช่วยผลักเรือออกจากกาบเรือโจรสลัดอย่างแรง เรือมินิบานาน่าลอยลำออกห่างจากเรือโจรสลัดช้า ๆ ท่ามกลางเสียงคลื่นและลมทะเลที่พัดพา พวกเขาโบกมืออำลาเรือลำนั้นด้วยความรู้สึกที่ปะปนกันไป ทั้งโล่งใจ ดีใจ และเหนื่อยล้า
เรือมินิบานาน่าลอยลำออกห่างจากเรือโจรสลัดไปได้ระยะหนึ่ง วิลล์นั่งมองด้วยความสงสัย เรือลำนี้แล่นไปข้างหน้าได้อย่างไรในเมื่อไม่มีใครกำลังแจวเรือเลยสักคน เขาหันไปมองเอโลอิสและแจสเปอร์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แต่ทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ นอกจากนั่งมองผืนน้ำเบื้องหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโล่งใจ
ทันใดนั้นเอง! เสียงคำรามก้องก็ดังแว่วมาจากเรือโจรสลัดที่อยู่ห่างออกไป
"พวกแกคิดจะหนีไปไหน! ไม่มีใครหนีจากกัปตันเดวี่ จอห์นไปได้หรอก!"
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวและน่าสะพรึงกลัว บ่งบอกว่ากัปตันเดวี่ จอห์นได้รู้ตัวแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ยอมปล่อยให้เหล่าเดมิก็อดหนีไปง่าย ๆ แน่นอน