วันนี้คือฤกษ์งามยามดีสำหรับการเดินทาง เอโลอิสและสมาชิกร่วมทีมมารวมตัวกันอยู่ที่เนินฮาล์ฟบลัดบริเวณหน้าประตูค่าย ใบหน้าของแจสเปอร์ดูกระตือรือร้นโหยหาการผจญภัยเป็นที่สุด ผิดกับป้าคาเรนที่ทำหน้าเหมือนคนโดนบังคับ(ซึ่งก็โดนบังคับจริง ๆ นั่นแหละ) เอโลอิสซึ่งมีประสบการณ์ในการเดินทางมาบ้างแล้วจึงต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำทีมการเดินทาง สิ่งแรกที่จะต้องหารือกับทุกคนก็คือการหาวิธีการไปให้ถึงบอสตันตามที่รุ่นพี่แอนนาเบ็ธได้มอบที่อยู่มาให้
“ทุกคนสัมภาระครบแล้วใช่ไหมคะ ถ้าลืมอะไรก็รีบกลับไปเอาก่อนที่เราจะเริ่มออกเดินทาง ตอนนี้ยังพอมีเวลา” เอโลอิสยกแขนซ้ายขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ ออกช้าไม่กี่นาทีคงไม่ได้ทำให้พวกเขาพลาดอะไรไปมากนัก
“ของผมครบแล้วถึงไม่ครบก็ไปหาเอาดาบหน้าได้” แจสเปอร์ตอบอย่างอารมณ์ดี ตอนนี้ใจเขาน่าจะจดจ่ออยู่กับการเดินทางเกินกว่าจะสนใจเรื่องสัมภาระเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วล่ะ
“ฉัน!” ป้าคาเรนยกมือขึ้น
“ป้าลืมของงั้นเหรอคะ งั้นก็รับกลับไปเอา พวกหนูจะยืนรออยู่ตรงนี้แหละ”
“ได้งั้นรอแป๊บ” พูดจบป้าคาเรนก็วางสัมภาระของเธอฝากเด็ก ๆ ไว้แล้ววิ่งกลับเข้าไปในค่ายเพื่อเอาของที่เธอลืมไว้
เอโลอิสและคนอื่น ๆ ก็ยืนรอบริเวณหน้าประตูค่ายอย่างไม่คิดอะไรมากนักก็แค่กลับไปเอาของ ทว่าสิ่งที่ทุกคนคิดกลับผิดถนัดเพราะจากที่คิดว่าจะรอแค่เพียงห้านาที ผ่านมาแล้วชั่วโมงครึ่งป้าคาเรนก็ยังไม่ออกมาสักที เอโลอิสเริ่มคิดแล้วว่าหรือป้าจะเบี้ยว? นานป่านนี้แล้วทำไมยังไม่มาอีก
“ป้าเขาไปเอาของที่ไหนทำไมนานจัง” เธอบ่นเล็กน้อย
“คนแก่ก็แบบนี้แหละพี่สาว อาจทำอะไรช้าไปบ้าง” แจสเปอร์ตอบอย่างไม่คิดอะไร
“แต่นี่มันหนึ่งชั่วโมงแล้วนะไม่ใช่ไปลื่นล้มหัวฟาดพื้นที่ไหนหรอกใช่ไหม?” เอโลอิสเริ่มตั้งข้อสันนิษฐาน
“อย่าพูดอะไรน่ากลัวแบบนั้นสิขอรับ” เคอร์ติสรีบขัดเอโลอิสแม้ว่าตัวมันเองก็แอบคิดอยู่ลึก ๆ เหมือนกัน
ก่อนที่เด็ก ๆ จะคิดอะไรไปไกลมากกว่านี้ป้าคาเรนก็กลับมาพร้อมของมากมายเป็นบ้าหอบฟาง ทุกคนมองท่าทางการแบกของอย่างทุลักทุเลของป้าอยู่สักครู่ด้วยความงงงวยว่าเธอจะเอาของมาเยอะแยะขนาดนี้ทำไมกัน? ทันใดนั้น ป้าคาเรนก็พูดเสียงดังลั่นให้เด็ก ๆ รีบเข้าไปช่วยเธอ
“มัวแต่ยืนมองทำไมมาช่วยผู้ใหญ่ถือของสิ!”
ทั้งเอโลอิสและแจสเปอร์รีบตรงไปที่ป้าและช่วยกันถ่ายของมาถือคนละไม้คนละมือเพื่อที่จะช่วยขนของทั้งหมดนั้นแล้วมาวางกองรวมกันไว้ที่พื้น เอโลอิสที่มองดูของเต็มพื้นอย่างไม่รู้จะเริ่มจากอะไรดี ก่อนที่จะถามออกไปด้วยความสงสัย
“ป้าคะ ขนอะไรมาเยอะแยะเนี่ย!”
“ของที่ใช้เดินทางไงถามได้” ป้าคาเรนตอบพร้อมยิ้มอย่างภูมิใจ “เนี่ยไม่ต้องห่วงเลยว่าจะอดตายกลางทาง นี่ผัดหมี่โคราช อันนี้แจ่วบอง อันนี้ข้าวเหนียว ฉันตื่นตั้งแต่ตี 4 มาทำเสบียงเชียวนะยะ ของดี ๆ ทั้งนั้นสูตรเด็ดจากโคราชบ้านเอง” ป้าคาเรนพรีเซนต์เต็มที่
“อันนี้มันคืออะไรเหรอครับป้า?” แจสเปอร์ดูท่าทางสนใจบรรจุภัณฑ์หน้าตาแปลก ๆ ที่ป้าคาเรนถือมาด้วย
“เขาเรียกว่าชะลอมเอาไว้ใส่ของ ไม่เคยดูบ้านทรายทองกันล่ะสิเด็กพวกนี้ที่พจมานถือนั่นไง”
ป้าคาเรนอธิบายอย่างภูมิใจ ซึ่งทำให้เด็ก ๆ มองหน้ากันงง ๆ ก่อนที่ทุกคนจะส่ายหัวพร้อมกัน เพื่อยืนยันว่าไม่เคยเห็นหรือรู้จักชะลอมนี้มาก่อนเลย
“พจมานคือใครกัน? เคอร์ติสนายรู้จักไหม” เอโลอิสหันไปถามเคอร์ติส
“เอ่อ…ถึงกระผมจะรู้ข้อมูลมากแต่ก็เป็นเกี่ยวกับตำนานกรีกเท่านั้นขอรับ พจมานนี่กระผมไม่รู้จริง ๆ” เคอร์ติสตอบพลางส่ายหัวไปด้วย
“ช่างเถอะ บอกไปพวกเธอก็คงไม่รู้จัก” ป้าคาเรนยักไหล่บ่นออกมาเล็กน้อย
“โหป้า เดินทางป้าต้องพกกระเป๋าแบรนด์เนมมาเลยเหรอครับเนี่ย” แจสเปอร์ตาวาวเมื่อเห็นกระเป๋าขนาดใหญ่ที่ป้าพกมา
“เอ้อ จริงด้วยนี่มันบาเลนเซียกา!” เอโลอิสเห็นด้วย
“รุ่น Barbes East-West Large Shopper Bag เสียด้วยนะขอรับ” เคอร์ติสเสริม ไม่คิดเลยว่าเจ้านกกระทาตัวนี้จะรู้เรื่องแฟชั่นด้วยหรืออาจจะแค่บังเอิญ
ทุกคนดูตื่นเต้นกับกระเป๋าแบรนด์เนมสุดหรู แต่ป้าคาเรนกลับทำหน้ามึน ๆ ก่อนจะหันไปมองกระเป๋าที่พวกเขาพูดถึงกัน แล้วก็ถึงกับนิ่งไปเล็กน้อย เพราะกระเป๋าที่เด็ก ๆ พูดถึงนั้นไม่ใช่กระเป๋าแบรนด์เนมหรูหราอะไร แต่กลับเป็น 'ถุงกระสอบสีรุ้ง' ขนาดใหญ่ใบหนึ่งที่เธอซื้อมาจากโบ๊เบ๊ตอนกลับไทย
“อะ..อ๋อ…” ป้าคาเรนก็ไม่ได้คิดปฏิเสธแล้วปล่อยให้ทุกคนคิดไปแบบนั้น
“แบบนี้ก็อันตรายน่ะสิ ข้าวของก็เยอะแยะแบบนี้ แถมยังพกกระเป๋าแบรนด์เนมอีกจะโดนดักปล้นไหมคะเนี่ย” เอโลอิสเริ่มมีความกังวลเล็ก ๆ คนสูงอายุ(?)แบบป้าคาเรนถือกระเป๋าบาเลนเซียกาแถมยังเป็นเอเชียนอีกต่างหากนี่มันครบองค์ประกอบของพวกนักท่องเที่ยวที่จะโดนมิจฉาชีพปล้นชัด ๆ !
“ถ้าจะมาบอกไม่ให้ฉันพกทั้งหมดนี้ไป ฉันก็จะไม่ไป! เธอก็ไปอธิบายกับไครอนเองก็แล้วกัน เชอะ!” ป้าคาเรนกอดออกแล้วสะบัดหน้าหนีด้วยท่าทางไม่พอใจ เพราะสำหรับเธอแล้วการเดินทางครั้งนี้ถือเป็นสิทธิ์ของเธอที่จะเลือกพกพาสิ่งที่จำเป็น(?)ไปด้วย แม้ว่าเด็ก ๆ จะกังวล แต่ป้าคิดว่าไม่มีอะไรที่ควรกังวลมากขนาดนั้น
“เอาน่า ๆ พี่สาวปล่อยให้ป้าแกพกไปเถอะ อย่างมากพวกเราก็แค่ช่วยกันแบกคนละไม้คนละมือ ที่โยธันไฮม์อาจหาของกินยากก็ได้ แถมป้ายังทำไทยฟู้ดเลยนะไทยฟู้ด!” แจสเปอร์รับบทเป็นผู้ไกล่เกลี่ยแล้วเกลี่ยกล่อมเอโลอิสแทนป้าคาเรนเพื่อให้เธอยอมอนุญาตให้ป้าเอาของพวกนี้ไปด้วย
"เฮ้อ…ช่วยไม่ได้ แต่นายต้องขนเยอะกว่าเพื่อนนะถ้าจะให้เอาไปน่ะ” เอโลอิสถอนหายใจหนัก ๆ ก่อนหันไปมองป้าคาเรนที่ยืนขึงตาใส่เธออยู่อย่างเหนื่อยใจ
“ได้เลย!” แจสเปอร์ตอบรับทันที เขารู้สึกดีที่ได้ช่วยให้ป้าและเอโลอิสเข้าใจกันได้ แม้จะดูเหมือนว่าจะเป็นการแบกข้าวของมากมายที่ลำบากไปเสียหน่อย แต่แจสเปอร์ก็รู้ว่าความสุขของป้าในครั้งนี้ก็คือการได้เตรียมเสบียงดี ๆ ให้กับพวกเขาทุกคน แม้ต้องแบกหนักก็ยอม!
“แล้วนี่จะเดินทางยังไงล่ะ แถบนี้ไม่มีรถโดยสารผ่านหรอกนะ” ป้าคาเรนถามขึ้น
“ผมได้ยินมาว่าแท็กซี่สามพี่น้องสีเทาสามารถพาเราไปส่ง—” แจสเปอร์เสนออย่างกระตือรือร้นเพราะเคยได้ยินว่าบริการนี้รวดเร็วทันใจ แม้ว่าจะไม่แน่ใจว่ามันสะดวกหรือปลอดภัยแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็อยากเสนอทางเลือกให้กับทีม ไม่ทันที่เขาจะพูดจบก็ถูกขัดขึ้นมาทันใด
“อย่าแม้แต่จะคิด!” เอโลอิสพูดแทรกดักคอแจสเปอร์ไว้ทันที เคอร์ติสเองก็ผงกหัวเอาเป็นเอาตายเพื่อยืนยันความเห็นของเอโลอิสอย่างหนักแน่น
“ทำไมล่ะ?” เขาถามกลับไปด้วยความสงสัย เพราะเขายังไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับแท็กซี่สามพี่น้องสีเทามาก่อน
“ถ้านายยังรักชีวิตตัวเองนายก็ไม่ควรจะถามฉันแบบนี้หรอก” แค่เอโลอิสจินตนาการความตีนผีของสามพี่น้องสีเทาที่เธอได้สัมผัสจากการเดินทางรอบก่อน คิดแล้วก็ขนลุก
“มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยสินะครับ แล้วทีนี้เราจะไปยังไงล่ะ?” แจสเปอร์ยังคงสงสัยและพยายามหาทางเลือกอื่น แต่ดูเหมือนว่าเอโลอิสจะเตรียมการไว้พร้อมแล้ว
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นฉันได้เตรียมการไว้แล้ว!” เธอพูดอย่างมั่นใจราวกับว่าเธอมีแผนการที่ยอดเยี่ยมอยู่ในมือ
“นี่มันอะไรน่ะ?” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเงียบ ๆ ไม่ให้ซุ่มให้เสียงใด ๆ จนกระทั่งเขาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังทุกคน แล้วพูดขึ้นมา
“อ้าวพอดีเลย พี่คริสมาแล้วเหรอคะ!” เอโลอิสยิ้มสดใสแล้วกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง ก่อนจะหันไปแนะนำให้ทุกคนรู้จัก “ทุกคนฉันขอแนะนำให้รู้จักกับพี่ชายของฉันเอง…คริสโตเฟอร์ บราวน์ เขาจะเป็นคนขับพาเราไปยังบอสตัน!”
“ดะ…เดี๋ยวนะ ใช่ฉันพูดแบบนั้นจริง แต่นี่ไม่เห็นเหมือนที่คุยกันไว้เลยนี่” คริสโตเฟอร์ทำท่าทางลังเลนิดหน่อย เขาดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อยเพราะไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนร่วมโดยสารมากขนาดนี้ และเอโลอิสเองก็ไม่ได้บรีฟเขาอย่างละเอียดจนเขาเข้าใจไปว่าแค่ต้องไปส่งน้องสาวคนเดียว
“ยังไงเหรอพี่ชาย?” แจสเปอร์ถามด้วยความสงสัย เขารู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ก็ยังอยากรู้เหตุผล
“ก็เอโลอิสบอกฉันว่าจะไปบอสตันขอให้ขับรถไปส่ง ฉันก็ตกลง แต่ไม่คิดว่าจะมีคนไปด้วยเยอะขนาดนี้” คริสโตเฟอร์พูดเหมือนพยายามที่จะปฏิเสธทางอ้อมว่าคงพาทุกคนไปไม่ได้แล้ว
“ก็นั่งไปด้วยกันจะเป็นอะไรไปทางเดียวกันไปด้วยกันไง” ป้าคาเรนพูดอย่างไม่กังวล เธอแอบคิดไปเสียด้วยซ้ำว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ช่างแล้วน้ำใจลำพังรถเก๋งคันเดียวยังไงคนสี่คนก็นั่งได้สบาย ๆ อยู่แม้จะมีสัมภาระไปด้วยก็ไม่ได้ทำให้ลำบากมากนักหรอก
“แต่…” คริสโตเฟอร์พูดพร้อมกับหยิบพวงกุญแจโมเดลรถขึ้นมาก่อนจะกดปุ่มที่ตัวพวงกุญแจแล้วทำให้มันขยายตัวขึ้นอย่างมหัศจรรย์กลายเป็นรถบูกัตติ ลา วัวตูร์ นัวร์ สองประตูคันใหญ่
“ว้าว! รถเท่มากพี่ชาย” แจสเปอร์ตาโตขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นรถหรูที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า “แต่…มันนั่งได้สองคนเหรอ?” เขาถามด้วยความสงสัย เพราะรถคันนี้ดูเหมือนจะมีที่นั่งแค่สองที่เท่านั้น
“ใช่น่ะสิ” คริสโตเฟอร์ถอนหายใจ
“นี่พี่จะเอารถบูกัตติไปส่งฉันเหรอ” ดูเหมือนว่าเอโลอิสเองก็ไม่ได้คิดว่าพี่ชายต่างแม่ของเธอจะเอารถหรูมาใช้ในวันนี้
“ก็ฉันมีรถอยู่คันเดียว นี่เธอเห็นว่าพี่มีรถหลายคันหรือไง?”
“จะอะไรก็ช่างทำให้ยุ่งยากไปได้ก็นั่งยัด ๆ กันไปทั้งหมดนี่ล่ะ พ่อหนุ่มเลิกอิดออดได้แล้ว มา! มาช่วยกันขนของ!” ป้าคาเรนไม่สนสี่สนแปดใด ๆ ทั้งสิ้น เธอรีบตัดบทและสั่งให้ทุกคนช่วยกันขนของขึ้นรถอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากให้การเดินทางล่าช้าไปมากกว่านี้
คริสโตเฟอร์ยืนอ้าปากพะงาบ ๆ พูดไม่ออกเมื่อเห็นว่าป้าเริ่มนำทัพเด็ก ๆ ขนของเตรียมขึ้นรถ เขาเองก็ไม่ได้อยากจะทำให้เสียเรื่องเพราะการสื่อสารที่ผิดพลาดแต่แรกของเขาและน้องสาว การจะเปลี่ยนแผนตอนนี้ก็คงจะไม่ทันแล้ว เขาจึงได้แต่ยอมปล่อยให้ทุกคนทำตามใจ
“ยืนบื้ออะไรอยู่พ่อหนุ่มเปิดกระโปรงรถสิ!” ป้าคาเรนเริ่มสั่งการทุกคนโดยอาศัยความอาวุโสสุดเป็นที่ตั้ง
คริสโตเฟอร์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อป้าคาเรนสั่งให้เขาเปิดช่องเก็บของ เขาทำตามคำสั่งของป้าอย่างรีบเร่งเปิดช่องเก็บของบนรถให้ป้าทันที
“รถราคาตั้งแพงช่องเก็บของมีแค่นี้เนี่ยนะ แนะนำว่าคราวหน้าซื้อรถปิคอัพนะหนุ่มเอ้ย!” ป้าคาเรนบ่นออกมาอย่างหงุดหงิดหลังจากใส่ชะลอมไปได้แค่สองอันช่องก็เต็มแล้ว ยังไม่ทันได้ใส่ถุงกระสอบสีรุ้งของป้าเลยด้วยซ้ำ
“เหมือนว่าช่องเก็บของจะเต็มแล้วนะครับป้า” แจสเปอร์ที่กำลังถือถุงกระสอบสีรุ้งที่คิดว่าเป็นกระเป๋าบาเลนเซียกาบอกกับป้าคาเรน ท่าทางของเขาเหมือนกำลังจะหาจุดที่พอจะใส่ของเข้าไปเพิ่มได้
“ช่องเต็มก็เอาไปใส่ในรถ…ป่ะ!ขึ้นรถ คนละไม้คนละมือเบียด ๆ ชิดในกันหน่อยให้ทุกคนเข้าไปได้” ป้าคาเรนสั่งเสียงเข้ม ทุกคนเมื่อได้ยินแล้วก็รีบทำตาม
ความรู้สึกของปลากระป๋องมันเป็นเช่นนี้เอง! เสียงของป้าคาเรนยังคงดังก้องในหูเด็ก ๆ ขณะที่ทุกคนเริ่มพยายามยัดตัวเองเข้าไปในรถที่แทบจะไม่มีที่ว่างเหลืออยู่แล้วด้วยของสัมภาระที่ยัดไปมากพอดู
แจสเปอร์เลือกที่จะเข้าไปก่อนเพราะเขาเป็นผู้ชายอาจพอให้ผู้หญิงนั่งตักได้อยู่ เอโลอิสเลือกเปิดเข้าไปทางฝั่งคนขับแล้วเอาตัวเองนั่งคร่อมตรงกลางบริเวณที่ไม่มีเบาะนั่งเป็นจุดของเกียร์รถและที่วางของเล็ก ๆ น้อย ๆ ของรถโดยมีเคอร์ติสเกาะไหล่เข้ามาด้วย ป้าคาเรนเองก็กระตือรือร้นที่จะเข้าไปเป็นคนที่สามโดยนั่งตักแจสเปอร์อย่างไม่ลังเล เพราะเห็นว่าที่นั่งในรถไม่พอแล้วและปิดท้ายด้วยคริสโตเฟอร์ที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับอย่างเสียมิได้ พลางถอนหายใจ
“เห็นไหมฉันบอกแล้วว่านั่งได้!” ป้าคาเรนพูดด้วยท่าทางที่ยิ้มกว้างราวกับว่าทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายดาย
“แต่มันก็ทุลักทุเลนิดหน่อยนะ” เอโลอิสกล่าว ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนที่นั่งลำบากที่สุดในรถคันนี้แล้วล่ะเพราะต้องคร่อมกลางในจุดที่ไม่มีเบาะนั่งเลยด้วยซ้ำ
“ขับแบบนี้ไปจนถึงบอสตันมีหวังโดนตำรวจหิ้วพอดี เอางี้พี่จะไปส่งพวกเธอที่สถานีรถไฟแล้วพวกเธอก็ตีตั๋วไปบอสตันเองโอเคไหม?” คริสโตเฟอร์พยายามหาทางออกให้ทุกคน
“เอางั้นก็ได้” เอโลอิสตอบรับ ส่วนคนอื่นก็ไม่ได้ติดขัดอะไรเพราะคิดว่ายังไงนั่งรถไฟก็น่าจะสบายกว่าการอัดกันเป็นปลากระป๋องแบบนี้ไปอีกหลายชั่วโมง
รถเริ่มออกตัวไปตามเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟ เสียงเครื่องยนต์คำรามขับเคลื่อนพวกเขาไปข้างหน้า แต่ทว่าในรถกลับเต็มไปด้วยความเงียบงัน พอได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองและเสียงรถที่วิ่งไปบนถนน บรรยากาษที่เหมือนจะสงบนี้กลับทำให้ป้าคาเรนรู้สึกแปลก ๆ เธอเริ่มรู้สึกไม่ชินกับบรรยากาศที่เงียบเกินไป จึงยื่นมือไปสะกิดคริสโตเฟอร์ที่กำลังขับรถอยู่
“นี่พ่อหนุ่มเปิดเพลงหน่อยสิมันเงียบเกินไปแล้ว”
คริสโตเฟอร์เหลือบตามองป้าคาเรนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วก็ยอมกดปุ่มเปิดเพลงจากเครื่องเสียงในรถ โดยไม่ถามอะไรมาก เพราะเข้าใจว่าป้าเพียงแค่ต้องการเพิ่มบรรยากาศในรถให้มีชีวิตชีวามากขึ้น เพลงที่เริ่มดังขึ้นมาเป็นเพลงฮิปฮอปสไตล์คนผิวสี จังหวะหนักแน่นและเสียงแร็ปที่ดังลั่นคันรถ เมื่อป้าคาเรนได้ยินก็ถึงกับผงะ ตาเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้วเคร่งเครียดเพราะนี่ไม่ใช่รสนิยมการฟังเพลงแบบเจนเบบี้บูมเมอร์ตอนปลายคาบเกี่ยวกับเจน X ยุคแรกเริ่มอย่างป้าจะเข้าใจได้ ในขณะที่เด็กคนอื่นในรถโยกหัวตามจังหวะเพลงอย่างเพลิดเพลิน
“เพลงบ้าอะไรเนี่ยฟังไม่รู้เรื่อง แหกปากบ่นอะไรก็ไม่รู้ปิดเลย เอานี่ไปเปิด” ป้าคาเรนยื่นแฟลชไดร์ฟที่ให้ลูกลงให้ด้านในนั้นรวมเพลงโปรดเพลงฮิตของป้าไว้อย่างอัดแน่นจุใจ คริสโตเฟอร์มองดูแฟลชไดร์ฟในมือป้าคาเรนอย่างงง ๆ แต่ก็รู้ดีว่าการเปิดเพลงตามที่ป้าต้องการคงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้ เขาจึงยอมปิดเพลงฮิปฮอปที่ยังคงเล่นอยู่และเสียบแฟลชไดร์ฟเข้าไปในเครื่องเล่นเพลงภายในรถ พร้อมกดเปิดเพลงที่บรรจุอยู่ในนั้น
ทันทีที่เสียงเพลงจากแฟลชไดร์ฟเริ่มดังขึ้นมาทุกคนในรถก็เงียบไปพร้อม ๆ กัน เพลงของป้าคาเรนเริ่มค่อย ๆ ดังขึ้น จังหวะท่วงทำนองนั้นฟังแล้วไม่คุ้นหูเลยสักนิด เอโลอิสและแจสเปอร์หันหน้ามองกันเหมือนว่าพวกเขายังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่กำลังฟัง
♫ ได้ฮักกับอ้ายเหมือนใจได้ปริญญา
ชีวิตผู้สาวบ้านนาวุฒิการศึกษามีน้อย
ขาดโอกาสเรียนเพราะจนเป็นคนเลื่อนลอย
โชคดีมีอ้ายเฝ้าคอยหยัดยืนให้โอกาสใจ ♪
ป้าคาเรนเริ่มร้องคลอไปกับเพลงในขณะที่คนอื่นนิ่งสนิท บรรยากาศโดยรอบเหมือนกลับมาอยู่ในโหมดปกติ(?) อีกครั้ง แต่ทว่าความสงบเงียบไม่นานก็ถูกทำลายไปด้วยเสียงหวอของรถตำรวจที่ดังขึ้นจากด้านหลัง เสียงนั้นทำให้ทุกคนในรถสะดุ้ง และบรรยากาศที่เคยดูสงบเริ่มเปลี่ยนเป็นความตึงเครียด
หวออออออออออออออออออ!!!
“บ้าจริง! บรรทุกคนเกินอัตราท่าทางว่าตำรวจจะเรียกเข้าแล้ว” คริสโตเฟอร์พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เขาหันไปมองกระจกหลังและเห็นรถตำรวจตามมาติด ๆ
“แล้วพวกเราจะเอายังไงดี” เอโลอิสหันไปถามพี่ชายด้วยสีหน้ากังวล
“จอดตอนนี้โดนแน่ ทุกคนหาที่เกาะไว้แน่น ๆ” คริสโตเฟอร์บอกทุกคน
จากนั้นความเร็วรถก็เพิ่มอย่างทวีคูณโดยไม่ต้องพึ่งเพลง Tokyo Drift เพื่อบิวท์อารมณ์แม้แต่น้อยป้าคาเรนกรี๊ดดังลั่นรถทำเอาเอโลอิสและแจสเปอร์ต้องเอามือมาปิดหู คริสโตเฟอร์ขับหนีรถตำรวจอย่างชำนาญ ทักษะที่เขาได้ฝึกฝนจากการเป็นสายลับที่ต้องฝ่าฟันกับการไล่ล่าหลายครั้งถูกใช้ประโยชน์เต็มที่ เขาหมุนพวงมาลัยอย่างคล่องแคล่ว เบี่ยงตัวไปทางถนนที่เงียบสงบกว่า หลีกเลี่ยงไม่ให้รถตำรวจตามทัน ก่อนที่เขาจะนำรถเบี่ยงไปเข้าป่าทึบเพื่อหลบซ่อนให้พ้นสายตา แล้วกดปุ่มหนึ่งของรถเพื่อทำการเปลี่ยนป้ายทะเบียนอย่างแนบเนียน
“เดี๋ยวนี้ทำไมรถคันนี้เปลี่ยนป้ายทะเบียนได้” เอโลอิสถามอย่างตะลึงเมื่อเห็นคริสโตเฟอร์กดปุ่มบางปุ่มในรถ แล้วทันใดนั้น ป้ายทะเบียนรถก็ถูกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากป้ายเดิมที่มีอยู่เป็นอีกหนึ่งที่แปลกตาและไม่สามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ
“ก็แค่ดัดแปลงมันนิดหน่อยเพื่อให้ง่ายต่อการทำภารกิจต่าง ๆ น่ะ” คริสโตเฟอร์ตอบพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก เขามองไปที่กระจกหลังที่ตอนนี้ไม่มีรถตำรวจอยู่แล้ว
“แบบนี้พวกเราก็รอดแล้วใช่ไหมพี่ชาย” แจสเปอร์ถาม
คริสโตเฟอร์ไม่ได้ตอบอะไรเขาเปลี่ยนเส้นทางจากกำหนดการเดิมเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงการสะกดรอยจากรถตำรวจ โดยเลือกการเปลี่ยนทิศทางไปยังเส้นทางลัดที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักและกลับเข้าสู่ถนนในจุดที่ไม่มีกล้องวงจรปิด เห็นได้ชัดว่าเขาชำนาญเส้นทางพวกนี้มากแค่ไหน
“เอาล่ะทีนี้เราก็ปลอดภัย…เฮ้ย! ป้า!” คริสโตเฟอร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่อยู่ดี ๆ ใบหน้าเขาก็เปลี่ยนสีทันทีเมื่อหันไปเห็นสีหน้าของป้าคาเรน ท่าทางว่าป้าจะลมจับจากเหตุการณ์ซิ่งท้านรกเมื่อครู่
“ยาดม…” ป้าคาเรนพูดออกมาเสียงเบา ๆ แต่นั่นก็เป็นคำที่ทำให้เอโลอิสและคนอื่น ๆ รีบหันไปฟัง
“อะไรนะป้า ยาดม? มันคืออะไร” เอโลอิสถามด้วยความสงสัย เธอไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนในชีวิต
“ขอยาดม…” ป้าคาเรนชี้ไปที่ถุงสีรุ้งที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ เอโลอิส ปากก็พูดพึมพำเหมือนจะบอกให้ช่วยเอายาดมออกมาให้
เอโลอิสที่ไม่ได้โดนป้านั่งทับอยู่เหมือนกับแจสเปอร์รีบค้นหาของในนั้นอย่างรวดเร็ว สมบัติบ้าของป้าเยอะจนแทบจะไม่มีเนื้อที่ให้ของได้หายใจเลยสักนิด
“มันหน้าตาเป็นยังไงป้า?”
“กระปุกสีเขียว…” ป้าคาเรนตอบกลับอย่างอ่อนแรง มือยังคงชี้ไปที่ถุงใบเดิม
“กระปุกสีเขียว…อ้อ! เจอแล้วอันนี้ใช่ไหมป้า” เอโลอิสยื่นมือไปหากระปุกที่เธอคิดว่าใช่แล้ว แล้วหยิบมันขึ้นมาชูให้ป้าดู
“นั่นมันสังขยาใบเตย! กระปุกเล็กกว่านี้เป็นพลาสติกมีรูปหงส์! แจสเปอร์พัดให้ป้าหน่อยจะเป็นลม”
“ครับป้า” แจสเปอร์ที่รู้สึกตกใจจนถึงกับรีบพัดมือไปมาทันที เพราะเขารู้ว่าอาการของป้าไม่ดีแน่ ๆ ถ้าเธอไม่หายใจสะดวก ในขณะที่เอโลอิสหันไปค้นหากระปุกรูปหงส์ที่ว่านั่นต่อ
“หนูไม่เห็นเจอหงส์เลย มันมีแต่ตัวอะไรไม่รู้” เธอชูกระปุกสีเขียวอันหนึ่งให้ป้าดู กลิ่นมันบอกไม่ถูกเหมือนเป็นกลิ่นสมุนไพรบางอย่าง
“นั่นแหละหงส์ดูยังไงไม่ใช่หงส์ยะ เอามานี่เลย” ป้าคาเรนตวาดพลางคว้ากระปุกจากมือเอโลอิสอย่างรวดเร็วแล้วเปิดดมทันที สีหน้าของป้าดีขึ้นทันใดเหมือนรู้สึกโล่งในทันทีที่ได้สูดดมกลิ่นหอมจากยาดม
เอโลอิสยังคงทำหน้างงว่ามันเหมือนหงส์ตรงไหนเพราะหงส์ในภาพจำของชาวไอริชอย่างเธอไม่หน้าตาอย่างนี้แน่นอน มันออกจะคล้ายเป็ดที่คอยาว ๆ เสียมากกว่า หรือว่าหงส์ของประเทศไทยจะหน้าตาแบบนี้กันนะ?
หลังจากความวุ่นวายมาตลอดทางในที่สุดคริสโตเฟอร์ก็สามารถพาทุกคนมาส่งที่สถานีรถไฟได้สำเร็จในที่สุด ป้าคาเรนที่อาการดีขึ้นแล้วรีบเปิดประตูรถลงมา ส่วนแจ๊สเปอร์ก็เดินลงมาแบบขาสั่นเพราะโดนนั่งทับมาตลอดทางจนขาชาไปหมด ทุกคนช่วยกันขนของลงมาจากรถจนเสร็จ
“ขอบคุณมากเลยค่ะพี่คริสที่มาส่ง” เอโลอิสยิ้มและพูดขอบคุณพี่ชายของเธอ
“คราวหน้าคราวหลังถ้าจะให้ช่วยช่วยบรีฟให้ละเอียดกว่านี้หน่อยจะได้ไม่วุ่นวายแบบนี้” คริสโตเฟอร์บอกน้องสาวเพราะไม่อยากเจออะไรแบบนี้อีกแล้ว
“โอเค” เอโลอิสรับปาก
“เดินทางปลอดภัยนะทุกคนผมขอตัวก่อน” คริสโตเฟอร์พูดพร้อมยิ้มให้กับทุกคน ก่อนที่จะหันไปขึ้นรถหรูของเขา
“บายครับพี่” แจสเปอร์ยิ้มและโบกมือลา
“โชคดีพ่อหนุ่ม” ป้าคาเรนพูดพร้อมส่งยิ้มให้
รถบูกัตติคันหรูพุ่งออกไปจากหน้าสถานีรถไฟ ด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่เร่งเต็มที่ ทิ้งไว้แค่ฝุ่นควันที่ลอยคลุ้งไปในอากาศ เหลือเพียงเดมิก็อดทั้งสามและเคอร์ติสที่ยังคงต้องออกเดินทางต่อไป ตราบใดที่ยังไม่พบกับคนที่ชื่อแม็กนัส เชส ยังไงก็จะท้อถอยไม่ได้เด็ดขาด!