สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านสะพานบรูกลินอย่างแผ่วเบา ท้องฟ้าไร้ดวงดาวยังคงเปล่งแสงสว่างนวลจนอาจลืมไปว่าเวลาเกือบจะเที่ยงคืนแล้วแสงจ้าเสียจนแสบตา ร่างบางของธิดาแห่งเฮคาทีหยุดยืนกลางสะพาน เจ้าของดวงตาสีเฮเซลทอดสายตามองวิวแม่น้ำเบื้องล่าง ริมฝีปากขยับพูดคุยกับวิญญาณสาวที่มองออกไปยังขอบฟ้า
“เงียบสงบขนาดนี้มันน่าจะจบเรื่องแล้ว” ไนมีเรียกล่าว ขณะลูบข้อมือของตนเบา ๆ ความเหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งวันและเสียงลึกลับที่ตามหลอกหลอนทำให้ร่างของเธอรู้สึกตึงเครียด
“นี่ผ่านมาแค่ห้านาทีเท่านั้นอย่าเพิ่งวางใจ” แคลร์เตือนด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ท่าทีของเธอเต็มไปด้วยความระมัดระวัง
ก่อนที่บทสนทนาของพวกเธอจะดำเนินต่อไป อากาศรอบตัวกลับแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ไนมีเรียรู้สึกถึงแรงดันแปลกประหลาดที่คล้ายจะดึงร่างของเธอเข้าสู่พื้นที่อื่น ในมิติอื่น พื้นสะพานที่มั่นคงใต้ฝ่าเท้ากลับคล้ายจะสั่นสะเทือนจนต้องประคองตัวให้ยืนบนส้นสูงดีๆ
“นี่มันอะไร?” เจ้าของดวงตาสีเฮเซลหันขวับไปมองรอบตัว
แคลร์ขมวดคิ้ว ดวงตาสีซีดของเธอหรี่ลง “มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกผลักออกจากที่นี่… แย่ล่ะ!!”
ไม่ทันที่เธอจะพูดจบ ร่างโปร่งแสงของแม่มดผมแดงก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา
อาณาเขตที่เงียบสงบเหมือนภาพฝันเริ่มเผยตัวขึ้น รอบตัวทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมแต่กลับมีความรู้สึกว่าโลกภายนอกถูกปิดกั้นออกไปเสียสนิท จากนั้นร่างสูงสง่างามก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า ชายผมขาวในอาภรณ์ม่วงครามปักลวดลายโบราณยาวจรดพื้น เนตรสีทองเปล่งประกายเย็นเยียบเหมือนจับจ้องทะลุทะลวงถึงจิตวิญญาณ เขามองเธอด้วยสายตาเรียบนิ่ง หากแต่กลับทรงอำนาจจนเธอรู้สึกเหมือนลมหายใจชะงักไปชั่วครู่
เริ่มแรกเป็นเพียงกลิ่นหอมประหลาดของกำยานไม้จันทร์ขาว กลุ่มควันลอยต่ำสร้างบรรยากาศเหนือจริงรอบตัวร่างสูง ต่อมาคือใบหน้าราวรูปสลักที่ไร้จุดตำหนิ องคาพยพทั้งห้าประกอบด้วยเส้นสายสุขุมสง่างามจนยากละสายตา
“ในที่สุด เจ้าก็ออกมาจากค่ายได้เสียที สาวน้อย” เสียงของเขานุ่มนวล แต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดัน
“ทักทายประโยคแรก… ก็บ่งบอกว่าคุณคอยติดตามการเคลื่อนไหวฉันเหมือนสตลอค์เกอร์นะรู้ไหม” ร่างในเดรสยาวเชิดใบหน้าขึ้นหลังเรียกสติตัวเองกลับคืนมาได้ เธอสูดลมหายใจลึกก่อนตอบกลับอย่างเยือกเย็น เห็นรอยยิ้มมุมปากคล้ายสุ่มเดาของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกหงุดหงิดอย่างไรก็บอกไม่ถูก
“หรือเป็นเจ้าที่หลบอยู่ในอาณาเขตของเทพเกรคัส ราวกับพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพบข้า”
หญิงสาวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อเบนสายตาไปรอบกาย ตั้งข้อสงสัยว่าเมื่อไรกันที่พื้นคอนกรีตแปรเปลี่ยนเป็นพรมกลิบบุปผา และทิวทัศน์บนสะพานแปรเปลี่ยนป่าโบราณสะพรั่งพรรณไม้สีนวลตา ร่างในเดรสยาวยืนประจันหน้ากับเทพลึกลับหลังพิจารณาลุคใหม่ของเขาแล้วก็เลิกคิ้วพลางเอียงศีรษะเล็กน้อย
“รูปลักษณ์วันนี้ของคุณนี่… เกินความคาดหมายจริง ๆ”
“เช่นนั้นหรือ?” ชายผมขาวตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงความรู้สึก “ข้าปรับเปลี่ยนเล็กน้อยสำหรับการสนทนาในยามนี้”
“เหมาะสมในความหมายของใครล่ะ? มาตกลงธุรกิจหรือถ่ายซีรี่ย์กันแน่” ไนมีเรียแค่นหัวเราะ “คุณดูเหมือนเทพหลงยุคมากกว่า ให้ช่วยบอกไหมว่าศาลเจ้าในนิวยอร์คไปทางไหน”
ตี้จวินยกยิ้มมุมปากยากจะอ่านออกว่าภายในใจเขาคิดอ่านสิ่งใดอยู่ คราวนี้เขาเตรียมตัวมาดีหลังจากของถูกส่งถึงมีผู้รับ เพื่อรักษาคำพูด
“ฝีปากกล้าเช่นเคย” กระแสกดดันปราดผ่านทางสายตาคู่คมเพียงวูบเดียวก่อนจะจางหาย ในชีวิตอันยาวนานชวนเบื่อหน่ายเทพหลายคนจึงกันมาชื่นชอบความท้าทาย
“ไม่ต้องชมกันขนาดนั้น ดูเอาก็รู้ว่าลูกใคร” ไนมีเรียสบตาเขาโดยไม่หลบเลี่ยง แม้ลึก ๆ เธอจะรู้สึกถึงพลังอันทรงอำนาจที่ปกคลุมรอบตัวเทพลึกลับแต่เธอไม่ยอมให้ความหวาดหวั่นปรากฏออกมาทางสีหน้า ไม่มีทางยอมให้มนุษย์รึเทพเจ้าของนามใดก็ตามมองเธอด้วยสายตาหยามหมิ่น
“เวลาล่วงมาไกล ข้าจะไม่ยืดเยื้อ” เห็นเด็กสาวไม่มีที่ม่าว่าจะยอมเปิดใจโดยง่ายตี้จวินกล่าว พลางยื่นมือออกมา ในมือของเขาปรากฏจี้หยกรูปทรงประณีตคิดใช้สิ่งของนี้เพิ่มคะแนน อย่างไรของสิ่งนี้ต่อให้ค้านหาเท่าไรอีกฝ่ายก็ไม่พบข้อพิรุณ นองเสียจากจะเจอว่าเป็นของสหายเขาเสียเอง
“นอกจากความโปรดปรานจากข้า และนี่คือสิ่งยืนยันความจริงใจตามข้อตกลงที่เจ้าลงแรงช่วยงาน”
ไนมีเรียจ้องมองจี้หยกในมือหนา มองแสงประกายล้อเงาหยกสลักตัดกับข้อนิ้วขาวหมดจด คนตรงหน้าไม่เคยมีจุดไหนที่ทำให้รู้สึกว่าคุ่มค่าในการเชื่อใจเลยสักนิด เธอยื่นมือรับมันโดยไม่ลังเล แต่ไม่ได้เอ่ยคำขอบคุณ เธอเพียงแค่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไร้อารมณ์อื่นเจอปน
“มันเป็นสิ่งที่ฉันสมควรได้อยู่แล้ว”
ดวงตาสีทองของตี้จวินหรี่ลงเล็กน้อย แต่กลับมีรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าของเขา “เจ้าไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลยจริง ๆ สาวน้อย”
ไนมีเรียยกจี้หยกขึ้นส่องกับแสงไฟ รอยยิ้มมุมปากเผยขึ้นบนใบหน้าของเธอ “นี่คือหยกนำโชคที่คุณอ้างสินะ?”
“มันเป็นเครื่องรางที่มีพลังในตัวเอง” เขากล่าว “หากเจ้าใช้มันอย่างเหมาะสม มันจะนำพาเจ้าสู่โอกาสที่ยิ่งใหญ่”
“หรืออาจนำพาไปสู่หายนะ” ไนมีเรียตอบกลับด้วยน้ำเสียงเสียดสี
“ขึ้นอยู่กับความสามารถและโชคชะตาผู้ครอบครอง” ตี้จวินตอบโดยไม่สะทกสะท้าน
“หลังจากนี้ ข้าจะคอยจับตาดูเจ้า” ครู่หนุ่งที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นประชิดเข้าหาเธออย่างปุบปับ ดวงตาคมคายจดจ้องราวกับพิจารณาความคิดในห้วงลึกของหญิงสาว ก่อนเขาก้าวถอยหลังทีละก้าวร่างสูงในอาภรณ์โบราณดูราวกับจะกลมกลืนไปกับอากาศรอบตัว
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาจับตามองรึวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวนัก” ไนมีเรียกล่าวพร้อมยักไหล่ “รู้ไหมพอพูดแบบนี้แล้วเหมือนคุณแอบชอบสาวแล้วตามตื้อโดยไม่ดูว่าเจ้าตัวเขาเล่นด้วยรึเปล่า ถ้าอยากเสียเวลาแบบนั้นก็ตามใจ”
“หาเหตุผลได้ตามที่เจ้าพอใจ อย่างไรเสียเมื่อตกเป็นเป้าหมายของเทพคราหนึ่ง อย่าได้คิดว่าชีวิตของเจ้าจะเหมือนเดิมอีกต่อไป” ชายผมขาวหัวเราะเบา ๆ ก่อนดีดนิ้วครั้งหนึ่ง เสียงนั้นดังกังวานในอากาศและร่างของเขาก็ค่อย ๆ เลือนหายไป
ไนมีเรียยังคงยืนอยู่ที่เดิม จี้หยกในมือของเธอเปล่งแสงริบหรี่ภายใต้แสงไฟของสะพาน ดวงตาสีเฮเซลมองไปยังที่ว่างเปล่าที่เขาเคยยืนอยู่ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “ถัดจากขายตรงก็มาเป็นนักแสดงหลงยุค เทพพิลึกจริง ๆ”
เพียงชั่วพริบตาบรรยากาศรอบตัวเธอก็กลับมาเป็นปกติ แคลร์ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมสีหน้าสงสัย
“เกิดอะไรขึ้น? ฉันเหมือนถูกโยนออกจากพื้นที่ไปชั่วครู่”
“หมอนั่นมิ้วเสียงเธออีกแล้วหรอ? ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก” ไนมีเรียตอบขณะเก็บจี้หยกลงในกระเป๋า “แค่เจอเทพหลงยุคคนหนึ่งที่ชอบทำตัวลึกลับ”
“เขาให้เธออะไรมา ไม่เคยเห็นมาก่อน?” แคลร์ถามพลางเข้ามาจดจ้องวัตถุแปลกปลอมอย่างพินิจ
“จี้หยกนำโชค” ร่างบางตอบพร้อมรอยยิ้มมุมปาก “แต่ไม่รู้ว่ามันจะนำโชคจริงไหม”
วิญญาณสาวถอนหายใจ “เธอชักจะเจอคนแปลก ๆ มากขึ้นทุกวันแล้วนะเดี๋ยวนี้”
“อนาคตคาดเดาไม่ได้นั่นแหละที่ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องสนุก” ไนมีเรียตอบก่อนจะหันหลังกลับมุ่งหน้าสู่ปลายสะพาน เสียงรองเท้าของเธอดังก้องในความเงียบงัน ขณะที่ความคิดของเธอเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตปลายทางของทั้งสองคือกลับไปตั้งหลักที่ค่ายก่อนช่วงเทศกาล
BELIEVER [ผู้ศรัทธาเหล่าเทพ] โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+15
อี๋ เทพมิจจี้หลงยุคๆๆ