# Date : 2024 Jun 01
โรบินกลับมายืนหน้าบ้านพักหมายเลขสิบเอ็ดอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม
“เธอทำเอาพวกเราวุ่นวายกันไปหมดรู้ตัวไหมเนี่ย เกมชิงธงรอบถัดไปฉันคิดออกแล้วล่ะว่าจะให้เธอทำอะไรดีร็อบบี้” เซซิลว่าพลางกระทุ้งศอกเข้าที่สีข้างของโรบินจนเธอเซออกข้างเล็กน้อย ตะกอนความทรงจำแสนเลือนรางในอดีตประกอบกับเรื่องราวเกี่ยวกับต้นกำเนิดที่เพิ่งจะได้รับรู้ยังตีกันวุ่นวายในสมองเล็กๆ จนไม่แม้แต่จะได้ตอบอะไรคนโตกว่ากลับไป
นอกจากนี้ ดูท่าว่าข่าวลือเกี่ยวกับเหตุการณ์การรับรองที่ไม่ปกติของเธอจะกระจายไปไวกว่าที่คิด เพราะตลอดเวลาอาหารเช้าไปจนถึงระหว่างเดินกลับมาที่บ้านพักโรบินรับรู้ได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมา มันมีความหมายสองอย่าง อย่างแรกคือตอนนี้ชื่อโรบินถูกจดจำในฐานะคนที่มีแนวโน้มจะก่อปัญหาระดับสีส้มไปจนถึงสีแดง (ซึ่งข้อนี้น่าจะเป็นเรื่องปกติที่สืบทอดกันทางสายเลือด) เอาแค่มีความสามารถระดับอาชญากรในโลกเทวตำนานก็น่าหนักใจแล้ว ยิ่งมาทำให้เหตุการณ์ปกติดูไม่ปกติขึ้นมาได้อีกยิ่งแล้วใหญ่ อย่างที่สองสืบเนื่องมาจากอย่างแรก คือตอนนี้เธอเป็นเหมือนเป็นกล่องไวฟายฟรีเดินได้สำหรับอสุรกาย และยิ่งอายุเพิ่มขึ้นขอบเขตสัญญาณก็จะกว้างขึ้นตามไปด้วย นั่นทำให้โอกาสที่โรบินจะได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในโลกภายนอกเหลือแค่สิบ ..ไม่สิ ห้าแล้วกัน ห้าจากร้อยเปอร์เซ็นต์
เด็กๆ จากบ้านหมายเลขเจ็ดยืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่คำสาปหรือเวทมนตร์ตามที่เด็กบ้านหมายเลขยี่สิบคนหนึ่งคิด พวกเขาพูดถึงภาวะพีทีเอสดีอันเกิดมาจากการต่อสู้กับอสุรกายฝาแฝดที่แคลิฟอร์เนียเมื่อไม่กี่วันก่อน บวกกับความเหนื่อยล้าทางจิตใจอะไรสักอย่างที่โรบินไม่เข้าใจ
เรื่องปกติของมนุษย์กึ่งเทพ พวกเขาว่า และหากเธอกังวลก็สามารถเข้ามาขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญได้เสมอ ต้องขอบคุณเลย์ลินน์ น้องสาวคนเล็กของบ้านที่ลุกขึ้นตะคอกกลับไปเพราะทนฟังไม่ไหว ทุกคนบนโต๊ะอาหารถึงได้กลับมากินข้าวกันอย่างสงบสุขอีกครั้ง
ว่ากันตามตรงแม้อะพอลโลจะถูกกล่าวอ้างว่ามีความสามารถด้านการรักษา แต่ทุกคนคงคิดเหมือนกันว่าบ้านที่เต็มไปด้วยเด็กอายุเฉลี่ยสิบหกปีคงไม่มีใครมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมถูกต้องตามกฎหมายหรือน่าเชื่อถือพอจะให้คำปรึกษาด้านจิตใจแน่นอน
“เฮ้.. เป็นอะไรรึเปล่าน่ะ” เซซิลโน้มตัวลงมาอยู่ในระดับสายตา เขาสังเกตเห็นโรบินลูบคลำแหวนเงินเรียบๆ ที่ถูกนำมาร้อยเป็นจี้สร้อยคอด้วยความเหม่อลอย “มีอะไรเกิดขึ้นในห้องไครอนที่ฉันไม่รู้อีกไหม”
โรบินไม่รู้จะตอบเขาว่ายังไงดี วินาทีแรกที่รับรู้ว่าตัวเองเป็นมนุษย์กึ่งเทพ จนมาถึงค่าย เข้าพักที่บ้านหมายเลขสิบเอ็ดเพื่อรอการรับรอง บ้านหลังนี้เป็นบ้านหลังเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกชื่นชมตัวตนของเทพเจ้ากรีกสักองค์ แค่คิดภาพว่ามีมนุษย์กึ่งเทพที่ไม่ได้โชคดีเกิดมาในครอบครัวมนุษย์ธรรมดาที่อบอุ่น วันหนึ่งต้องมารับรู้ว่าจริงๆ แล้วมีครอบครัวอีกด้านที่ปล่อยให้เขาดิ้นรนต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวอยู่ในโลกภายนอก บางคนอาจต้องเผชิญหน้ากับอสุรกายด้วยตัวเอง ท่ามกลางความโหดร้ายเหล่านั้นเฮอร์มีสถือเป็นเทพที่ใจกว้างที่สุดที่ยอมเปิดบ้านให้พวกเขาได้มีที่หลับนอน ไครอนเคยบอกว่านานมาแล้วมีมนุษย์กึ่งเทพหลายคนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตพวกเขาก็ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินเสียงตอบรับจากเบื้องบน
เทพเจ้าไม่ได้ต่างอะไรกับมนุษย์ พวกเขาไม่ได้สนใจมากนัก ดำรงอยู่เพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง เหมือนที่มนุษย์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในหนึ่งวันมีมดแมลงในบ้านตายไปกี่ตัว คิดในแง่ดีก็อาจจะมีเหตุผลอื่นที่เธอไม่รู้ ซึ่งสำหรับโรบินแล้วการไม่รู้อาจจะดีกว่าและนั่นเป็นวินาทีเดียวกับที่เธอถูกลงโทษ
ทำไม?
นั่นเป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธอและมันยังตามหลอกหลอนอยู่ซ้ำๆ มาจนถึงตอนนี้
ตลอดระยะเวลาสิบสามปีโรบินเข้าใจมาตลอดว่าเธอเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่ง แต่จู่ๆ ก็บู้ม! ทุกอย่างเป็นของปลอมจ้า ฉันคือเฮอร์มีส เทพเจ้ากรีกในตำนานและเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดเธอ นี่มันตลกสิ้นดี ซ้ำร้ายเขายังเป็นเทพที่มีครอบครัวขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาบ้านทุกหลังในตอนนี้ เธอกับแม่คงเป็นใครสักคนในโลกกว้างใหญ่ของเขาที่ผ่านมาแล้วผ่านไปจริงๆ
ทั้งเล็กจ้อย..
และไร้ตัวตนในความทรงจำ..
โรบินรู้สึกพะอืดพะอม ความรู้สึกอัดอัดที่ไม่สามารถอธิบายได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
“หน้าเธอตอนนี้เหมือนฮาร์ปี้ในห้องล้างจานตอนลาวากระเด็นไปโดนขนปีกเลยนะ” เซซิลไม่เปิดโอกาสให้ใครสงสัยด้วยซ้ำว่าเขาไปเห็นภาพนั้นได้ยังไง เขาดีดนิ้วมาตรงหน้าหวังเรียกสติหลังไม่ได้รับการตอบรับมาหลายประโยค
“ฉันต้องเรียกนายว่าพี่หรือเปล่า” โรบินละสายตาจากสัญลักษณ์เหนือประตูบ้านที่บัดนี้เหมือนจะซีดลงตามความรู้สึกในใจ มาสบกับนัยน์ตาสีฟ้าใสของเซซิล
“อืมม..” เขาหรี่ตาข้างหนึ่งอย่างครุ่นคิด “แล้วแต่ความสบายใจของเธอแล้วกัน ฉันไม่ถือน่ะ ยังไงเทพเจ้าก็ไม่มีดีเอ็นเออยู่แล้ว ว่าแต่ตาเธอสวยดีนะ”
“ขอบใจ”
“เดี๋ยวก็ชินน่า ร่าเริงหน่อยพวก” เซซิลว่าพลางตบไหล่เบาๆ ให้กำลังใจ “ฉันจะไม่พูดว่าเข้าใจเธอหรอกนะ แต่ฉันขอยืนยันนอนยันได้เลยว่าเราทุกคนก็ไม่มีใครทำใจได้ตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่ามีญาติพี่น้องเพิ่มขึ้นหลักร้อยในวันเดียวหรอก”
“นายคิดยังไงกับการที่เฮอร์มีส เอ่อ พ่อ..” โรบินแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเองตอนพูดคำว่าพ่อออกมา “ฉันหมายถึงพ่อของนาย พ่อจริงๆ ของฉัน ไม่ได้มีแค่แม่ของเราแค่คนเดียวน่ะ”
เซซิลเข้าใจในทันที เขาค่อยๆ เผยรอยยิ้มกว้างจนปากแทบจะฉีกถึงใบหู
“นี่ นั่นมันก็หมายความว่าฉันไม่ได้ตัวคนเดียว เธอไม่ได้ตัวคนเดียว แล้วทั่วทุกมุมโลกที่พ่อของเราเดินทางไป ก็อาจจะมีใครสักคนรอให้เราไปเจอ มีบ้านสักหลังรอให้เราไปเคาะประตู เว้นเสียแต่ว่า อ่า…” เซซิลเว้นจังหวะครู่หนึ่ง “คือไม่ใช่ญาติของเราทุกคนจะเป็นมิตรน่ะ อย่างมนุษย์ทั่วไปก็มีทั้งดีกับไม่ดี มีคนหลายเชื้อชาติปะปนกันไปใช่มะ แล้วทีนี้ในโลกของพวกเราก็ดันไม่ได้มีแค่มนุษย์น่ะสิ ถึงตรงนี้เธอพอนึกออกมั้ย คือฉันก็พอจะมีโอกาสได้ออกไปข้างนอกบ้างก็เลยรู้ว่าเฮอร์มีสเนี่ยแสบใช่เล่นเลยล่ะ”
“อี๋”
เซซิลหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นสีหน้าเหยเกของโรบิน
“เธอคิดไปถึงไหนเนี่ย ฮ่าๆๆ โอเคๆ คืองี้ ฉันน่ะไม่ได้มีบ้านข้างนอกรอให้กลับไปเหมือนอย่างพวกเธอหรอกนะ เห็นนี่มั้ย” เซซิลยิ้มพลางล้วงสร้อยคอที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อยืดค่ายสีส้มออกมา สร้อยหนังสีดำร้อยด้วยจี้ลูกปัดดินเหนียวที่มีลวดลายและสีต่างกันน่าจะราวๆ สิบเม็ด โรบินจำได้ว่าเธอเคยเห็นสร้อยลักษณะนี้บนคอของชาวค่ายอีกหลายคน แต่ละคนมีจำนวนลูกปัดต่างกันและเซซิลเป็นหนึ่งในคนที่มีจำนวนลูกปัดเยอะพอๆ กับรุ่นพี่ในค่ายคนอื่นๆ “ที่นี่เป็นครอบครัวของฉันโรบิน ฉันอยู่มาตั้งแต่แปดขวบน่ะ รู้มั้ยว่าฉันดีใจทุกครั้งที่ครอบครัวของเราใหญ่ขึ้น เพราะมันหมายถึงทุกคนรวมไปถึงเธออยู่รอดปลอดภัยจนมาถึงที่นี่ไง”
“จะว่ายังไงดี นายนี่มองโลกในแง่ดีสุดๆ ไปเลยแฮะ”
“ฉันจะถือว่าเป็นคำชมแล้วกัน” เขาขยิบตาข้างหนึ่งให้เธอ “อารมณ์ดีขึ้นแล้วก็เข้าไปเก็บของกันดีกว่า ฉันจะได้พาเธอไปแนะนำภายในบ้านอีกสักรอบ รวมถึงห้องนอนสำหรับสมาชิกประจำของบ้านหลังนี้ด้วย”
ประตูบ้านถูกเปิดออกด้วยมือข้างหนึ่ง ภายในบ้านเวลานี้ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตเพราะทุกคนต่างต้องแยกย้ายกันไปเข้าเรียนตามตารางเรียนของตัวเอง แต่กระนั้นมันก็ยังเจือไปด้วยกลิ่นความวุ่นวายที่โรบินคุ้นเคยดี เซซิลผายมือข้างที่ว่างอยู่เชื้อเชิญให้เธอเข้าไปข้างใน