12
ตั้งกระทู้ใหม่ตอบกลับ กลับไป
เจ้าของ: God

[ฝรั่งเศส] กรุงปารีส

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2024-5-1 01:43:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด
Mackenzie ตอบกลับเมื่อ 2024-4-30 01:30
09/3. Paris Day 21

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

108
Paris Day 3 - บ๊ายบายปารีส งวดหน้าเดี๋ยวแก้มือใหม่

             วันสุดท้ายของการเดินทาง

             “แมคซี่ นายเป็นไงบ้าง?”

             ดีนเอ่ยถามเพื่อนที่ถูกก็อบลินหกตัวรุมยำมาเมื่อคืนด้วยความห่วงใย แม้บาดแผลของอีกฝ่ายจะหายดีจากไอเท็มวิเศษแต่ที่สิ่งที่แย่กว่านั้นเขากลัวว่ามันจะกลายเป็นแผลในใจของอีกฝ่ายทำให้หวาดกลัวอสุรกายจนไม่กล้าต่อสู้ไปเลยหรือเปล่า แต่ความจริงถึงเป็นเดมิก็อดก็ไม่จำเป็นจะต้องสู้ ยังมีที่ทางเหลือให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตในค่าย อาจเป็นพนักงานร้านคาเฟ่ ชาวสวน คนส่งของ หรือผู้ดูแลบ้าน จะอยู่ในฮาล์ฟบลัดไปจนแก่อย่างทีน่าเลยก็ย่อมได้

             โทษทีผิดไปหน่อย… ทีน่ายังไม่แก่ แต่อีกยี่สิบหรือสามสิบปีเธอก็จะแก่เป็นป้าเฝ้าค่ายไม่ผิดจากที่เขาเกริ่นไว้หรอก

             แต่ใด ๆ คือดีนรู้สึกผิด เขาเหมือนพาเพื่อนมาถูกกระทืบยังไงก็ไม่รู้ ในคืนแรกที่แมคเคนซีสู้ (?) กับก็อบลินหนึ่งตัวที่สวนลุกซ็องบูร์ได้โดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน จึงทำให้ดีนชะล่าใจเกินไป เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะรับมือกับอสุรกายอื่น ๆ ได้ เพราะแต่เดิมแมคเคนซีต่อสู้กับนักเลงกลุ่มหนึ่งได้ง่าย ๆ แต่นักเลงกับอสุรกายก็คนละเรื่องกัน สัตว์ประหลาดเหล่านั้นไม่อาจเจ็บได้ด้วยหมัด ต้องมีทักษะการใช้อาวุธสัมฤทธิ์ที่มากพอถึงจะโค่นล้มพวกมันได้

             แล้วดีนมีทักษะที่มากพอแล้วหรือ… คำตอบคือไม่ แม้ว่าเขาจะสอบวัดระดับผ่านขั้นแรก แต่ ‘ไม่’ ก็คือ ‘ไม่’ อยู่ดี

             เพราะคิดว่าตัวเองสู้ไม่เก่งมาโดยตลอดแถมยังเข้าคลาสฝึกแค่สี่ครั้ง ชายหนุ่มจึงคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ต่อสู้ได้แย่ที่สุดในระดับรั้งท้ายของค่ายฮาล์ฟบลัด ส่วนที่เขาพิชิตอสุรกายต่าง ๆ มาได้เป็นเพราะโชคช่วย คนในค่ายคนอื่น ๆ ที่ต่อสู้เก่งกว่าก็น่าจะล้มปีศาจเหล่านั้นได้สบาย

             ซึ่งเขาคิดผิด สายเลือดของสามมหาเทพมีพลังมากกว่านั้น มันได้แสดงให้เห็นเมื่อคืนนี้แล้วว่ามือใหม่ในสนามสู้มีพลังมากกว่าคนเจนสังเวียนมวยแต่ไร้พลังเสริมมากแค่ไหน

             เป็นพรสวรรค์ที่เขาไม่อยากมีเลยจริง ๆ

             @Mackenzie

             “แน่ใจนะ?”

             ถึงจะรู้ว่าเมื่อได้รับน้ำทิพย์ในการรักษาบาดแผลจะหายเป็นปลิดทิ้งก็ตามแต่ก็ยังอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี หวังว่าเขาจะไม่ทำตัวเป็นห่วงอีกฝ่ายมากเกินไปจนดูน่ารำคาญ

             “อื้ม” ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ “งั้นสมมุติว่าถ้าพวกเราเจอตัวอะไรกลางทางอีกนายก็หลบหลังฉันเอาไว้นะ คราวนี้ฉันจะไม่ยอมโดนมันหลอกอีกแน่ ๆ”

             ก็ใครจะรู้เล่าว่าพวกก็อบลินมันจะมีแผนการอันแยบยลอย่างการล่อศัตรูที่เก่งกว่าออกมาแล้วรุมยำคนที่อ่อนแอกว่ากันล่ะ

             ก่อนหน้านี้เห็นทำแต่อะไรโง่ ๆ อยู่ตลอด…

             @Mackenzie

             “อีกรอบเหรอ เมื่อคืนก็เช็คจนตาแฉะ” ดีนหัวเราะเบา ๆ แล้วทำมือหยำ ๆ เป็นปลาหมึก “เอาเถอะ ๆ ยังไงฉันก็จะไม่ให้นายบาดเจ็บอีกเด็ดขาด สัญญาเลย” เปลี่ยนมาชูสามนิ้วขึ้นสัญญา “ว่าแต่ไม่ลืมอะไรแล้วใช่ไหม? ถ้างั้นก็ไปเช็คเอาต์กัน”

             ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวามองไปทั่วท้อง เมื่อพบว่าไม่ลืมอะไรแล้วก็สะพายเป้ขึ้นบ่าแล้วหยิบช่อดอกทิวลิปขึ้นมา กลีบดอกโรยไปนิดหน่อยแต่ยังไม่ถึงกับเหี่ยวเฉาเพราะอุณหภูมิในห้องเหมาะสมจึงความสดไว้ได้ แต่มีวิธีไหนไหมนะที่จะคงความสดของดอกไม้ช่อนี้ตลอดไป

             หลังจากตกลงกันแล้วสองหนุ่มเช็คเอาต์ออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้าหลังรับประทานอาหารกันเสร็จ แบกเป้ออกตะลอนเที่ยวกันต่อคล้ายกับนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็ค ติดตรงที่ว่าคนหนึ่งเหน็บท่อแป๊บส่วนอีกคนเหน็บตะหลิวไม้พายและตะกร้อมือ แน่นอนว่าชาวปารีเซียงมองพวกเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแต่ว่าใครแคร์กันล่ะ

             จากนั้นก็เคลื่อนย้ายกันไปที่อควาเรียมแห่งกรุงปารีส เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งแรกของโลก ตั้งอยู่ในย่านโทรคาเดโรฝั่งตรงข้ามกับหอไอเฟล เพลิดเพลินไปกับสัตว์น้ำกว่าห้าร้อยชนิดในตู้กระจกขนาดใหญ่ ไฮไลท์ของที่นี่น่าจะเป็นโชว์นางเงือกว่ายน้ำเล่นกับฝูงปลา แม้ว่าดีนจะเคยเห็นเงือกตัวเป็น ๆ มาก่อนแต่เขาก็อดที่จะตื่นเต้นกับนางเงือกจำแลงในตู้ปลาไม่ได้ พวกเธอว่ายน้ำกันเก่งมากทั้งที่ใส่หางปลอมไว้ตลอดการแสดง



             ‘จะมีใครในนั้นที่เป็นพี่น้องของฉันบ้างหรือเปล่านะ?’

             อดคิดไม่ได้เพราะว่าพ่อของเขาก็ไปซะทั่ว บางทีเทพโพไซดอนอาจจะว่ายน้ำขึ้นมาโผล่ที่แม่น้ำแซนก็ได้ใครจะไปรู้

             ‘...แต่ว่าเสียงที่เข้ามาในหัวเมื่อคืนคือใคร?’

             หลังจากเดินเที่ยวที่อควาเรียมกันจนทั่วพวกเขาก็แวะรับประทานอาหารกลางวันกันที่คาเฟ่ริมน้ำแซนก่อนที่จะไปยังสถานที่สุดท้ายของทริปทัวร์นั่นก็คือหอไอเฟล



             @Mackenzie

             แต่แค่ได้เที่ยววันสุดท้ายโดยไม่ยกเลิกโปรแกรมก็ทำให้ดีนเปรมปรีดิ์จนยิ้มแก้มปริ

             “นั่นสิ เรายังไม่ได้ไปตั้งหลายที่ โรงอุปรากรณ์ พระราชวังแวร์ซาย แล้วยังดิสนีย์แลนด์อีก แต่ว่ารอบนี้พวกเราไม่ต้องเสียค่าตั๋วเครื่องบินได้แค่นี้ก็โอเคแล้วล่ะเนอะ ถ้ามาคราวหน้าเราวางแผนสักสัปดาห์นึงดีกว่าจะได้เที่ยวจนทั่ว”

             เมื่อพวกเขาเดินออกจากอควาเรียมข้ามสะพานเยนาเพื่อไปหอไอเฟลพวกเขาทั้งสองก็ถูกผู้หญิงคนหนึ่งดักทางเอาไว้ ในมือของเธอเต็มไปด้วยแบบสอบถามอะไรสักอย่าง

             “ขอโทษนะค้า กรุณาช่วยทำแบบสอบถามเรื่องความสะอาดของแม่น้ำแซนได้หรือเปล่าคะ?” เธอเอ่ยถาม

             ดีนเกือบจะยื่นมือไปรับแล้วแต่เขาเอะใจได้บางอย่าง

             ‘ทริปฝรั่งเศสของฉันแย่มาก ถูกมิจฉาชีพหลอกให้ทำแบบสอบถามแล้วก็มีพวกมันอีกคนมาล้วงกระเป๋าฉันตอนเผลอ ถ้านายไปฝรั่งเศสอย่างหลงกลเชียวล่ะดีน’

             เขานึกถึงคำของ ‘แนนซี่’ เพื่อนรุ่นพี่ที่ค่อนข้างสนิทกันในคณะวิทยาศาสตร์ ตอนนั้นที่นางเตือนดีนก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไรเพราะคนที่ฐานะไม่ได้ร่ำรวยมากมายอย่างเขาคงไม่มีปัญญามาเที่ยวปารีสได้แน่ ๆ และยังมีอีกหลายเรื่องที่เพื่อนสาวของเขาบ่นจนหูชาไปเป็นอาทิตย์ ส่วนมากก็เป็นเรื่องมิจฉาชีพ โจรขโมยกระเป๋า และต่าง ๆ อีกมากมาย เพราะว่าทริปนี้ค่อนข้างราบรื่นดีนจึงแทบจะลืมด้านมืดของฝรั่งเศสไปเสียสนิท

             “อ้อ พอดีว่าผมรีบ ขอโทษด้วยนะครับ”

             เขาพยายามปฏิเสธอย่างสุภาพแต่ก็ถูกเธอดักทางไว้ไม่ยอมปล่อย

             “แล้วถ้าข้าบอกว่าอยากจะกินแกทั้งคู่ล่ะ?”

             “ห๊ะ!?”

             เพียงสิ้นเสียงอุทานหญิงสาวผู้แจกแบบสำรวจก็กลายร่างกลายเป็นไซคลอปส์ตัวใหญ่ แล้วกองกระดาษที่เคยถือไว้ก็กลายเป็นค้อนสายฟ้า

             “แมคซี่ระวัง!!”

             ดีนเข้ามาขวางกันเพื่อนรักไว้ด้านหลังพร้อมยัดช่อดอกไม้ที่ถือใส่มือของอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะชักหอกที่อยู่กลางหลังควงขู่เตรียมพร้อมสู่การต่อสู้ ดีนเคยพิชิตไซคลอปส์มาครั้งหนึ่งแล้ว พอจะรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของมัน

             “แมคซี่ ตัวนี้มันฟาดสายฟ้าออกจากค้อนได้ นายระวังนะ!”

             เมื่อช่างประปาควงท่อแป๊บสายฟ้าในมือกลุ่มนักท่องเที่ยวบนสะพานเยนาก็แตกฮือ ภาพที่คนอื่นเห็นคงเป็นนักท่องเที่ยวไม่พอใจสาวแจกแบบสอบถามเลยใช้กำลังตีหัว บางทีใครบางคนในนั้นอาจจะกำลังโทรเรียกตำรวจ

             คำว่าเปิดก่อนได้เปรียบไม่เกินจริง ดีนวิ่งไปข้างหลังด้วยความว่องไวซึ่งเป็นจุดแข็งของเขาจากนั้นก็แทงหอกใส่ไซคลอปส์ร่างยักษ์จากด้านหลังตัดกำลังที่ข้อเท้า

             “อ๊ากกกก!!”

             ไซคลอปส์ร้องอย่างเจ็บปวด แม้ว่ามันจะแรงเยอะแต่ก็ชักช้างุ่มง่าม มันยกค้อนขึ้นเหนือหัวรวบรวมสายฟ้าไว้ที่ค้อนเตรียมฟาด

             “ช้าไปพวก!”

             เห็นจังหวะนั้นดีนจึงได้ทีแทงหอกใส่มันไปอีกสองสามแผล ลำตัวของไซคลอปส์บางส่วนกลายเป็นผงแต่ว่ามันยังไม่ตาย อสุรกายฝืนใช้แรงเฮือกใหญ่ฟาดค้อนใส่แต่โดนราวสะพานจนคอนกรีตที่กั้นสะพานแตกร้าวสายฟ้าบางส่วนไหลไปทั่ว

             “เวร!”

             ดีนสบถ ตรงนี้มีคนอยู่เยอะเกินไปอาจจะโดนลูกหลง เขาไม่รู้ว่านักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่ทรุดลงไปเป็นเพราะสายฟ้าของอสุรกายหรือว่าอะไร ชายหนุ่มคงช่วยเหลือทุกคนไม่ได้แค่หลบสายฟ้าก็ยากเย็น แล้วเขาก็โดนไฟฟ้าอ่อน ๆ ช็อตจนตัวชา ทำให้ความเร็วตกลงไปหลายส่วน

             ถ้าช่วยไม่ได้ก็ต้องรีบจัดการ!

             ชายหนุ่มวิ่งวกไปด้านหลังของอสุรกายตาเดียวที่หวดค้อนสายฟ้าอย่างบ้าคลั่ง ใช้คมหอกปัดป้องค้อนที่ฟาดลงมาเกิดเสียงดังพรั่นพรึงแต่คนธรรมดาอาจไม่ได้ยินเสียงนั้น จำเป็นต้องแลกแม้ว่าจะเจ็บตัวสักหน่อย ดีนเสี่ยงฝ่าห่าค้อนเข้าไปเพื่อแทงหอกใส่ไซคลอปส์ตนนั้นจนร่างสลาย จากนั้นเขาก็ทรุดลงคุกเข่าอยู่กับพื้น

             ปฏิกิริยาของชาวเมืองจากที่แตกตื่นเพราะการต่อสู้เปลี่ยนไป พวกเขาแค่ตกใจที่จู่ ๆ ก็มีคนหกล้มบนสะพาน แล้วก็เดินเล่นกันต่อโดยไม่สนใจวงต่อสู้นั้นอีก

             “แฮ่ก.. แฮ่ก…”

             แม้จะไม่มีบาดแผลให้เห็นแต่ดีนก็ถูกไฟฟ้าจากค้อนช็อตทำให้เขาขยับตัวไม่ได้ไปสักพัก

             @Mackenzie

             “ฉันโดนไฟฟ้าช็อต ชาชะมัด”

             ตอบกลับแมคเคนซีลิ้นเปลี้ย ๆ แม้ปริมาณไฟฟ้าที่ได้รับจะไม่มากจนถึงตายหรือเกิดบาดแผลไหม้แต่ก็ทำให้เดมิก็อดหนุ่มแทบไร้เรี่ยวแรง อาจเพราะเกราะที่สวมใส่อยู่ใต้แจ๊คเก็ตยีนส์ตัวเก่งล่ะมั้งถึงทำให้เขาไม่ได้รับบาดแผลฉกรรจ์จนต้องเอาน้ำทิพย์มาราดหรือกระโดดลงแม่น้ำแซนเพื่อเยียวยา

             “ไม่เป็นไร พักนิดหน่อยเดี๋ยวก็หาย”

             ดีนหลบมุมมาพิงราวสะพานคอนกรีตที่ไม่พังแล้วดื่มน้ำแก้เหนื่อย เขามองเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กรูกันมาบนสะพานเยนาเพราะได้รับแจ้งเหตุทะเลาะวิวาท แต่เมื่อไม่พบความผิดปกติอะไรตำรวจปารีสเหล่านั้นก็พูดคุยกันเป็นภาษาฝรั่งเศสที่เขาฟังไม่ออก แต่ให้เดาก็คือ ‘มีพวกแจ้งความเท็จมาป่วนเมืองแน่ ๆ’ จากนั้นก็แยกย้ายกันไป

             แต่สำหรับสายตาของเดมิก็อดนั่นกลายเป็นภาพตลกร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อ

             พักจนหายเหนื่อยแล้วก็มีแรงเดินต่อไปที่หอไอเฟล จะอธิษฐานเรียกเทพีอะโฟรไดท์มารับตัวจากด้านล่างก็รู้สึกว่าธรรมดาเกินไป หากมาถึงปารีสแล้วไม่ได้ขึ้นไปชั้นสูงที่สุดก็เหมือนมาไม่ถึง เขาจึงตัดสินใจใช้เงินครั้งสุดท้ายในฝรั่งเศสไปกับการซื้อตั๋วเข้าชมโครงเหล็กที่ตั้งตระหง่านเกือบพันฟุตเพื่อขึ้นไปชมวิวปารีสจากมุมสูง

             ปกติแล้วการขึ้นชมหอไอเฟลต้องใช้เวลาเข้าคิวรอร่วมชั่วโมง แต่ความสะดวกที่มาในนาม ‘เจ๊อะโฟรไดท์’ (ล่ะมั้ง) ทำให้พวกเขารอคิวขึ้นไปเพียงแค่ห้านาที แถมคนบนนี้ยังน้อยจนรู้สึกได้ว่าเป็นทริปส่วนตัว

             “เดิมทีหอไอเฟลถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์แสดงสินค้าระดับโลกล่ะ แล้วก็เพื่อเฉลิมฉลองให้กับการครบรอบหนึ่งร้อยปีของการปฏิวัติฝรั่งเศสด้วย”

             ไกด์เถื่อนเริ่มอธิบาย ข้อมูลตรงนี้ถูกเพราะว่าเขาเอามาจากคู่มือการท่องเที่ยว แต่ข้อมูลต่อไปนี้ต้องใช้วิจารณญาณในการฟังเยอะมาก ๆ

             “ฉันเคยฟังพอดแคสต์นึงเกี่ยวกับเรื่องแปลก ๆ ในโลก ไม่รู้ว่าจริงไหมแต่ว่าโคตรสนุก เรื่องมันมีอยู่ว่า… ตอนแรกคนฝรั่งเศสไม่ค่อยชอบหอไอเฟลเท่าไรเพราะดีไซน์มันค่อนข้างขัดกับสถาปัตยกรรมในปารีส ซึ่งก็.. คงจะใช่”

             ชะโงกมองลงไปข้างล่างจากจุดชมวิวเห็นมีแต่อาคารทรงบาโรก เรเนซองส์ อะไรต่อมิอะไรที่มาจากยุคกลางเต็มไปหมด

             “เพราะงั้นถึงหอไอเฟลจะยิ่งใหญ่แต่คนปารีสก็ไม่ค่อยจะเหลียวแล แล้วทีนี้มีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งเป็นนักต้มตุ๋นหลอกคนมาเยอะ เขาเป็นใครฉันจำชื่อไม่ได้แล้ว แต่วีรกรรมสุดโต่งของไอ้หมอนี่ก็คือหลอกขายหอไอเฟลให้คนอเมริกันเอาไปทำเป็นหอกระจายเสียง แถมยังหลอกได้ตั้งสามครั้งแน่ะ ครั้งที่หนึ่งกับสองรอด แต่มาถูกตำรวจจับได้เพราะว่าคนที่สามไปแจ้งความ คนเล่าบอกว่าเหยื่อรายที่หนึ่งกับสองไม่ยอมแจ้งความเพราะกลัวหน้าแตก เหลือจะเชื่อเลยสิ!”

             ดีนหัวเราะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งก็ฮาอยู่ดี

             “แล้วยังมีคนที่มาทดสอบว่าถ้าใช้ผ้าร่มกางออกแล้วกระโดดลงมาจากยอดหอคอยจะสามารถบินเหมือนนกได้ไหม สรุปก็คือตกลงมาซี้แหงแก๋”

             แล้วเรื่องโม้ก็จบลงเพียงเท่านี้

             @Mackenzie

             “อาจจะไม่แปลกก็ได้มั้ง ตอนนั้นคงอยู่แถว ๆ ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การติดต่อสื่อสารยังต้องเขียนจดหมายกันอยู่เลย คนอเมริกาไม่รู้หรอกว่าเสาไอเฟลมันหน้าตาเป็นยังไง แต่ยอมทุ่มเงินซื้อเป็นแสนเหรียญโดยไม่เห็นสินค้ากับตาเนี่ยโคตรจะบ้าบิ่นเลย”

             ถ้าสมัยนี้คงคล้ายกับสั่งสินค้าจากแอมะซอนแล้วต้องมาลุ้นว่าของที่ได้ตรงปกหรือเปล่า วิทยาการของโลกที่ต่างกันร่วมร้อยปีพัฒนาไปไวจนต้องทาบอกแล้วอุทานว่า ‘โอ้ พระเจ้า!’ อนาคตอาจมีเครื่องวาร์ปที่ไม่ใช่จากเทพบันดาลเกิดขึ้นได้ไม่เกินจริง

             “เจ้าตัวนั้นคือไซคลอปส์ เป็นยักษ์ตาเดียวที่มีค้อนปล่อยสายฟ้าได้ ฉันเคยสู้กับมันครั้งแรกตอนไปบัลติมอร์ ตอนนั้นมันจับคนงานลงหม้อต้มซุป ดีนะที่ไปช่วยเอาไว้ได้ทัน”

             ดีนเล่าเรื่องอสุรกายและการเดินทางของเขาราวกับเป็นเรื่องธรรมดาขณะที่เกาะราวเหล็กที่ล้อมด้วยลูกกรงอีกชั้นเพื่อชมวิวปารีสด้านล่างในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน



             ‘อาาา โรแมนติกเป็นบ้า!!’

             ดินเหลือบสายตามองคนข้าง ๆ บรรยากาศเป็นใจเสียจนอยากจะจุ๊บริมฝีปากสีกุหลาบประดับเม็ดไฝเสน่ห์นั่นสักทีนึง

             “แมคซี่…”

             ฝ่ามือแกร่งขยับเข้าหามือของอีกคน ปลายนิ้วก้อยเกี่ยวที่หลังมือของแมคเคนซีแล้วโน้มเข้าหา

             แต่เขาก็ต้องรีบผละออกแล้วไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัวเมื่อมีเด็กแปดขวบวิ่งผ่านหลัง แล้วผู้ปกครองซึ่งน่าจะเป็นชาวจีนวิ่งไล่ตาม พูดอะไรบางอย่างเสียงดังโช้งเช้ง

             “อะแฮ่ม! คือ.. ฉันคิดว่าเราน่าจะได้เวลากลับค่ายกันแล้วล่ะ หรือ.. หรือถ้านายอยากจะดูวิวต่ออีกหน่อย…”

             @Mackenzie

             “งี้แหล่ะคนโลภ” ดีนไหวไหล่ แล้วต้องส่งยิ้มแห้ง ๆ กลับไปเมื่อได้รับคำชม “ขอบคุณ ก็ไปมาแค่สองสามที่เอง ฉันยังไม่เก่งหรอก ถ้านายได้ฝึกจริงจังล่ะก็ต้องเก่งกว่าฉันแน่ ๆ นายเชื่อสิ”

             เมื่อก่อนเป็นแมคเคนซีที่ปกป้องเขามาโดยตลอด แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าดีนจะแข็งแกร่งขึ้นด้วยพรจากพ่อที่มอบให้มาเยอะแยะ ดีนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เป็นฝ่ายปกป้องเพื่อนบ้างจนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้นเมื่อคืน ไม่แน่ว่าหากแมคเคนซีได้รับพรจากเทพีเฮคาทีอาจจะเก่งกว่าเขาก็ได้ ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนว่านางจะเป็นเทพีที่เกี่ยวกับแม่มดหรือเวทมนตร์อะไรทำนองนั้นใช่ไหม? แบบนี้แมคเคนซีก็กำลังจะกลายเป็นแฮร์รี่ พ็อตเตอร์สินะ เขาอยากได้พลังแบบนั้นมากกว่าอีก จะได้เสกแบงก์ดอลลาร์ออกมาเยอะ ๆ แล้วไปเที่ยวแบบนี้ให้ฉ่ำ ๆ

             แต่ก็หยุดความคิดนี้ไว้ก่อนเพราะมันไม่เป็นจริง ความจริงคือพวกเขาจะต้องกลับไปที่ค่ายฮาล์ฟบลัดให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นได้เป็นโฮมเลสที่ฝรั่งเศสแน่ ๆ ตอนนี้ยอดบัตรเครดิตพุ่งไปไกลแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้

             “ใช่ ทำแบบนั้นเลย ภาวนาถึงเทพี ขอให้ช่วยพาเราส่งกลับไป นายลองทำดูสิแมคซี่ เผื่อว่าวันไหนที่นายต้องขอความช่วยเหลือจากทวยเทพจะได้ทำถูก ส่วนเรื่องจับมือ…”

             ดวงตาสีเปลือกไม้เสมองลงไปยังมือของทั้งสองที่เพิ่งผละออกจากกัน

             “ฉันไม่รู้ แต่ถ้าเทพีอะโฟรไดท์บอกว่าต้องจับก็คงต้องจับล่ะมั้ง”

             ถึงแม้เขาจะไม่มั่นใจว่านางแค่แกล้งหยอกเด็กหนุ่มตามประสาเทพนักรักหรือเปล่าก็ตามที แต่ตอนนี้มือข้างที่ว่างได้เลื่อนไปกุมมือของอีกฝ่ายไว้หลวม ๆ ส่วนมืออีกข้างยังคงประคองช่อทิวลิปสีส้มไว้อยู่

             @Mackenzie

             “กำลังคิดถึงข้ากันอยู่หรือเปล่า?”

             เทพีอะโฟรไดท์ปรากฏตัวในชุดเดรสสีแดงสดและรองเท้าส้นสูงคริสเตียนลูบูแตงราวกับว่ามางานปารีสแฟชั่นวีคหรือไม่ก็เตรียมดินเนอร์สุดหรูที่ร้านคาเฟ่สามร้อยปีที่พวกเขาไปทานอาหารกันมาในวันแรก ท่าทางของนางผ่อนคลายสบาย ๆ คล้ายกับมาเที่ยวตากอากาศในเมืองที่ขจัดสิ่งปฏิกูลจนหมดแล้ว

             “ขอบคุณพวกเจ้าที่ทำภารกิจนี้จนสำเร็จแม้จะล้มลุกคลุกคลานไปเสียหน่อยแต่ว่าข้าก็เห็นถึงความกล้าหาญนั้น”

             นางแย้มยิ้มให้สองหนุ่มโดยประโยคหลังคล้ายตั้งใจส่งสายตาไปทางแมคเคนซี แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ในศึกก็อบลินแต่นางมีทีท่าประทับใจอยู่ไม่น้อยกับความใจสู้ของชายหนุ่ม จากนั้นนางก็เลื่อนสายตามาทางดีนพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นฉงน

             “ดอกทิวลิปสีส้ม ความสุขที่อบอุ่น แรงบันดาลใจที่ดี พร้อมที่จะเป็นพลังบวกและอยู่เคียงข้างกัน” เทพีอะโพรไดท์หัวเราะแผ่วเบาก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้าคิดว่าไม่ได้สื่อถึงข้าสักเท่าไรแต่ก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ”

             “ไม่! นี่ของผม”

             ดีนกอดช่อดอกไม้ไว้แน่นด้วยมือเพียงข้างเดียวเมื่อเห็นว่าเทพีกำลังจะยื่นมือออกมา ท่าทางนั้นยิ่งทำให้นางรู้สึกขำขัน

             “ดูเหมือนว่าที่ปารีสจะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นสินะ”

             ดวงตาคู่งามหรี่ลงอย่างมีนัยยะ แม่ก็คือแม่ และแม่รู้ทัน

             “เอ่อ.. ผมไปดูมาแล้วนะครับ รูปปั้นเทพีวีนัส ส่วนคำตอบก็คือท่านงามกว่าเห็น ๆ”

             ดีนรีบเปลี่ยนเรื่องในทันทีเมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาที่ทำให้หนาวไปถึงหลัง

             “ใช่ไหมล่ะ! เป็นข้านี่แหล่ะเทพีที่งดงามที่สุด!”

             เทพีอะโฟรไดท์ดูจะชอบอกชอบใจกับคำตอบนี้ยิ่งกว่าเรื่องไหน ๆ ทำเอาดีนงงจนต้องหันไปมองเพื่อน คนที่ดีใจเพราะว่าตัวจริงสวยกว่ารูปปั้นเนี่ยนะ.. เออ คงมีแหล่ะ ชายหนุ่มไม่กล้าถามซักไซ้เพราะกลัวไม่ได้กลับไปค่ายจึงได้แต่ยิ้มหวาน ๆ ตอบกลับนาง

             “ตอนนี้ปารีสสะอาดหมดจดทีเดียวเชียว และนี่คือรางวัลที่ข้าจะมอบให้พวกเจ้า”

             โฉมงามก้าวขาออกมาข้างหน้าจากนั้นนางก็สะบัดมือคล้ายกับเสกมนตร์อะไรสักอย่าง ละอองสีทองลอยล่องไปตามความพริ้วไหวก่อนจะก่อตัวเป็นรูปทรงของดอกกุหลาบสองดอก นางปักมันไว้รวมกับดอกทิวลิปที่มีร่องรอยของความเหี่ยวเฉา

             “กลับไปแล้วก็ไปแบ่งกันเองล่ะ” จากนั้นนางก็ก้าวถอยหลังกลับมายืนในตำแหน่งเดิมและดีดนิ้ว “เอาล่ะ ข้ารีบ เดี๋ยวมีนัดดินเนอร์ต่ออีก.. ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปที่ทะเลสาบกลางค่าย เตรียมตัวไว้ให้ดีล่ะ”

             “ครับ”

             ดีนรับคำจากนั้นก็กระชับมือกับแมคเคนซีแน่นขึ้น ละอองแสงสีทองล้อมรอบตัวพวกเขาอีกครั้งจนภาพทั้งหมดสว่างจ้า รู้ตัวอีกทีทั้งสองก็ถูกส่งตัวมาถึงทะเลสาบกลางค่ายแล้ว

             แม้น่าเสียดายที่ทริปฝรั่งเศสต้องจบลง แต่ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา การเที่ยวครั้งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งความทรงจำอันแสนวิเศษที่เขากับเพื่อนสนิทมีร่วมกัน ตอนนี้ดีนแทบจะอดใจอัพรูปลงสตอรี่ไม่ไหว แต่คงต้องปล่อยให้ตัวเขาในวันพรุ่งนี้จัดการแทนแล้วล่ะ

             และสุดท้ายก็ได้รู้ความหมายของดอกทิวลิปสีส้ม…

             ‘คือแบบนี้เองสินะ …สมกับเป็นนายชะมัดเลยแมคซี่’

             @Mackenzie


สำเร็จภารกิจ: เผชิญหน้ากับกองทัพก็อบลิน
รางวัล: 40 EXP , +12 ดรักม่า , +30 กล้าหาญ , ดอก(กุหลาบสี)ทอง 1 ดอก
ความโปรดปรานจากอะโฟร์ไดท์ +35 แต้ม
HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับ 40 EXP โพสต์ 2024-5-1 16:09
God
คุณได้รับ +30 ความกล้า โพสต์ 2024-5-1 16:09
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-12] อะโฟร์ไดท์ เพิ่มขึ้น 60 โพสต์ 2024-5-1 16:09
09/4. Mission Completed1 [ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ] “โอเคดีแล้ว มีแรงพาเจ้าหมาไปเดินเล่น” แมคเคนซีตอบแล้วยิ้มให้ พอได  รายละเอียด ตอบกลับ โพสต์ 2024-5-1 01:56
โพสต์ 57415 ไบต์และได้รับ 30 EXP!  โพสต์ 2024-5-1 01:43

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1เหรียญดรักม่า +12 ย่อ เหตุผล
God + 12

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
Anker PowerCore
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่อัสพิสขัดเกลา
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x2
x2
x2
x10
x2
x3
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x3
x1
x3
x1
x1
x4
x6
x1
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x6
x2
x1
x1
x1
โพสต์ 2024-5-1 01:56:33 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2024-5-1 01:57
Dean ตอบกลับเมื่อ 2024-5-1 01:43
108Paris Day 3 - บ๊ายบายปารีส งวดหน้าเดี๋ยวแก้มือใหม่
          ...

09/4. Mission Completed
1

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“โอเคดีแล้ว มีแรงพาเจ้าหมาไปเดินเล่น”

แมคเคนซีตอบแล้วยิ้มให้ พอได้พกผ่อนอย่างเพียงพอร่างกายก็ฟื้นฟูได้ไว วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเขาจะอยู่ที่ปารีสแล้ว ถึงภารกิจจะเสร็จเรียบร้อยแต่ไม่สวยงามนักเพราะเขาดันเสียท่าให้ฝูงก็อบลินซะก่อน แต่ภารกิจที่ว่าจะพาดีนเที่ยวเล่น (แม้ในความจริงจะเป็นดีนพาเขาเที่ยวเสียมากกว่า) ยังไม่เสร็จสมบูรณ์

“วันนี้พวกเราไปเช็คเอาท์ ไปเที่ยว แล้วค่อยกลับกันใช่ไหม”

เขาถามแพลนคร่าว ๆ ของวันนี้ ส่วนที่ว่าจะไปที่ไหนบ้างก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ดีนเหมือนเดิม

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“แน่ใจ นายจะลองเช็คร่างกายฉันอีกรอบก็ได้นะ”

เขาแกล้งบอกอีกฝ่ายยิ้ม ๆ อย่างมีนัยยะ ตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อวานดีนก็ดูเป็นห่วงเขามากขึ้น น่าแปลกที่แมคเคนซีรู้สึกดี

“หลบหลังเหรอ ไม่เอาน่า ถึงฉันจะยังอ่อนหัดในการสู้กับสัตว์ประหลาดแต่ก็จะไม่ทำตัวเป็นภาระนายแน่ ๆ”

พอถูกบอกแบบนั้นก็ส่ายหน้าพั่บ ๆ

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

เห็นดีนทำมือแบบนั้นแมคเคนซีก็หัวเราะน้อย ๆ เป็นอันว่าเข้าใจตรงกัน

“ไม่เป็นไรน่า ต่อสู้กันก็ต้องได้แผลเป็นเรื่องธรรมดา”

เรื่องแบบนี้เขาเข้าใจดี ไม่มีการต่อสู้ใดที่ไร้บาดแผล การแพ้ชนะเองก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน หากยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ก็ต้องกลับไปพัฒนาตัวเองแล้วค่อยมาล้างตาใหม่ก็ยังไม่สาย

เมื่อดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่ลืมอะไร พวกเขาจึงเช็คเอาท์แล้วไปเที่ยวเล่นกันต่อ ที่ที่ดีนพาไปวันนี้ก็คืออควาเรียมที่เจ้าตัวบ่นว่าอยากไปนักหนาตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งรีแอคชั่นของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกว่าคุ้มค่าแล้วที่ไม่ได้ยกเลิกแพลนวันนี้ไปเสียก่อน

“ไวเหมือนกันนะ แป๊บเดียวก็จะกลับแล้ว รู้สึกว่ายังเที่ยวไม่ทั่วเลย”

แมคเคนซีกล่าวเมื่อมาถึงตรงหน้าหอไอเฟล สถานที่ที่จะส่งพวกเขากลับไปยังค่ายฮาร์ฟบลัด

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“คราวหน้าคงต้องให้นายช่วยเป็นไกด์ให้อีก แต่ฉันจะช่วยหาข้อมูลด้วย เราจะได้เที่ยวกันจนทั่ว”

ขณะที่วางแผนกันล่วงหน้าก็มีหญิงสาวคนหนึ่งหอบแบบสอบถามมาให้พวกเขาช่วยทำ แมคเคนซีที่ไม่ใช่พวกชอบให้ความร่วมมือกับเรื่องแบบนี้ก็ทำตัวนิ่งเฉยเหมือนเช่นทุกครั้ง เขาเกือบจะดึงแขนดีนให้เดินผ่านไปเฉย ๆ แล้วแต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธไปเสียก่อน แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวคนนั้นจะไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ ทั้งยังพูดอะไรแปลก ๆ อย่าง “อยากจะกินพวกเขาทั้งคู่” อีก

…รูปประโยคมันคุ้น ๆ นะ…

ยังไม่ทันได้ประมวลผลครบถ้วน เขาก็ถูกดีนเอาช่อดอกไม้ยัดใส่มือและเข้ามาบังตัวไว้ซะแล้ว เบื้องหน้าของพวกเขาคือมอนสเตอร์ตัวโตที่ถือค้อนที่มีกระแสไฟฟ้าแล่นเปรี๊ยะ ๆ ซึ่งถ้าพลาดท่าเสียทีโดนอาวุธนั้นโจมตีเข้า ความรู้สึกคงไม่ต่างจากโดนไฟช็อตแน่ ๆ

เมื่อได้รับคำเตือนจากดีนเขาก็พยักหน้ารับ หยิบดาบที่คาดเอวไว้ออกมาเตรียมพร้อม

“อะไรกัน แค่ให้ทำแบบสอบถามเอง ถึงกับต้องเอาแป๊บน้ำตีกันเลยเหรอ”

“นั่นสิ อีกคนก็ไม่ห้ามเพื่อนเลย ดูสิ หยิบไม้พายทำอาหารออกมาแล้ว จะทำอะไรน่ะ”

เสียงซุบซิบจากคนละแวกนั้นทำให้แมคเคนซีเสียเซลฟ์ไปเล็กน้อย ในสายตาคนทั่วไปมองเห็นพวกเขาเป็นแบบนี้เองสินะ คงไม่ได้กำลังนึกว่าเขาจะเอาไม้พายทำอาหารไปตบหน้าผู้หญิงหรอกใช่ไหม โคตรของโคตรไม่เท่เลย

เขาจ้องหาช่องโหว่ของเจ้ามอนสเตอร์เพื่อที่จะเข้าไปช่วยดีน แต่การต่อสู้ตรงหน้านั้นไวเกินไป ไวจนแมคเคนซีแปลกใจว่าแค่ไม่ได้เจอกันไม่นาน ดีนต่อสู้ได้เก่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ ราวกับเป็นคนละคนกับที่โดนพวกขี้ยารุมทำร้ายแล้วเขาไปช่วยไว้ที่ซับเวย์เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเลย

“ดีนระวัง !”

แมคเคนซีตะโกนบอกเมื่อเจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นใช้ค้อนทุบราวสะพานจนคอนกรีตบางส่วนกระจาย เหมือนว่าเพื่อนของเขาจะความเร็วลดลงจากเดิม ไม่รู้ว่าโดนลูกหลงไปบางหรือเปล่า แต่ดีนก็ยังสู้ไม่ถอยจนในที่สุดก็กำจัดเจ้ามอนสเตอร์ตัวโตนั่นลงได้ และเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็ต้องแปลกใจที่ผู้คนบริเวณนั้นกลับมาเดินเล่นและพูดคุยกันตามปกติราวกับก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่ดีนดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น

“ดีน ! นายบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

เขารีบวิ่งมาดูเพื่อนที่ตอนนี้นั่งนิ่งอยู่กับพื้น สายตามองสำรวจหาบาดแผลตามร่างกาย

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

เมื่อดีนบอกแบบนั้นเขาจึงมานั่งพิงตรงราวสะพานด้วยกัน รอให้อีกฝ่ายอาการดีขึ้นก่อนแล้วค่อยเริ่มเดินทางต่อไปยังหอไอเฟล ตอนแรกแมคเคนซีนึกว่าจะแค่ยืนอยู่ตรงหน้าหอไอเฟลเพียงเท่านั้น ไม่นึกว่าดีนจะลงทุนขึ้นมาถึงข้างบนหอ ในตอนนี้เขาจึงมองเห็นทัศนียภาพรอบ ๆ กรุงปารีสที่มีขนาดเล็กลงราวกับโมเดลจำลอง

“หอกระจายเสียงเนี่ยนะ ฉันว่าคนซื้อน่ะแปลก ส่วนที่กระโดดลงมานั่นน่ากลัวไปหน่อย”

แมคเคนซีหัวเราะไปกับเรื่องที่ดีนเล่า ก่อนจะเงียบไปเล็กน้อยแล้วเริ่มพูดขึ้นมา

“เจ้าตัวใหญ่นั่นคือตัวอะไร อันตรายชะมัด แต่นายก็เท่มากเลย จัดการมันได้ด้วยตัวคนเดียว นายเรียนการใช้อาวุธที่ค่ายงั้นเหรอ”

ชายหนุ่มถามสิ่งที่สงสัยออกมา ก่อนจะหันมามองคนที่ยืนข้าง ๆ กัน

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“แสนเหรียญเชียวเหรอ ฉันว่านักต้มตุ๋นนั่นโลภไป ขายได้คนเดียวก็รวยจะแย่ เห็นไหม พอมาถึงคนที่สามเลยโดนจับเลย”

แต่ก็ว่าไม่ได้หรอก ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ก็มาคู่กับความโลภเป็นธรรมดา ถึงจะไม่ใช่เรื่องเงินทองก็เป็นเรื่องอื่นได้

“ดูท่าตอนที่ฉันยังไม่มาที่ค่ายนายคงไปผจญภัยมาหลายที่เลยสินะ กลายเป็นดีนที่แข็งแกร่งซะแล้วสิ”

เขาตบบ่าอีกฝ่ายเบา ๆ รู้สึกภูมิใจในตัวคนข้าง ๆ เหลือเกิน ส่วนเขาเองจากนี้คงต้องพยายามต่อไป

“หือ…?”

แมคเคนซีหันมามองอีกฝ่ายสีหน้าสงสัยเมื่อถูกเรียกชื่อ ที่หลังมือรู้สึกได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาจากเรียวนิ้วพร้อมกับใบหน้าดีนที่เข้ามาใกล้ขึ้น

…ระ..หรือว่า…

ดวงตาสีฮาเซลสะท้อนภาพใบหน้าคมคายของดีน หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่สุดท้ายก็ถูกสองแม่ลูกที่วิ่งไล่กันเสียงดังเป็นฉากหลังช็อตฟีลเอาซะได้

…เวรเอ๊ย…

เขาสบถในใจอย่างหัวเสียแล้วหัวเราะฝืดติดจะเซ็ง ๆ

“ไม่ล่ะ ไม่ดูแล้ว เรากลับกันเถอะ ต้องทำยังไงนะ ภาวนาจิตคิดถึงเทพีอะโฟรไดท์แล้วบอกว่าจะกลับแค่นี้ใช่ไหม แล้วเราต้องจับมือกันเหมือนขามาหรือเปล่า”

เท่าที่จำได้ก็น่าจะเป็นแบบนี้  แต่เขาควรจับมือดีนไว้ไหม เผื่อเกิดความผิดพลาดส่งพวกเขาไปกันคนละที่ขึ้นมา

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“เรื่องแบบนี้ก็ไม่แน่หรอก  ฉันอาจจะใช้เวลาฝึกนานก็ได้”

เขาเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย สำหรับแมคเคนซีแล้วเขาถือว่ายังเป็นสมาชิกใหม่ของค่าย  ยังมีเรื่องอีกมากมายที่เขาต้องเรียนรู้ ขนาดที่ว่าตัวเขามั่นใจในฝีมือการต่อสู้ของตนเองพอตัวก็ยังมาพ่ายแพ้ให้แก่ก็อบลินตัวเล็ก ๆ  ดูท่าเขาจะประมาทโลกแห่งทวยเทพนี้ไม่ได้แล้ว

“โอเค  งั้นขอให้เราได้วาร์ปไปในจุดเดียวกัน ทริปนี้ฉันสนุกมาก ถึงจะเจ็บตัวไปหน่อยแต่ฉันก็พอรู้แล้วว่าจากนี้ฉันควรจะทำยังไงต่อ ขอบคุณนายมากนะที่คอยปกป้องฉัน เจอกันที่ค่ายล่ะ”

ถือว่าเป็นการจบทริปปารีสที่ดี แมคเคนซีกุมมือดีนไว้แล้วหลับตาลง ตั้งจิตภาวนาถึงเทพีอะโฟรไดท์ ส่วนดีนเองตอนนี้ก็คงกำลังภาวนาอยู่เช่นกัน  หลังจากนั้นแสงสว่างจ้าก็สาดส่องเบื้องหลังเปลือกตาแมคเคนซี เสียงวิ้ง~  ดังขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ร่างของพวกเขายังไม่ได้หายไป แต่กลับเป็นเทพีอะโฟรไดท์ที่ปรากฏกายออกมาแทน

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

เปลือกตาเปิดขึ้นอีกครั้งหลังจากได้ยินเสียงอันคุ้นเคยที่ได้ยินไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่แล้วแมคเคนซีก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อเบื้องหน้าเขาคือเทพีอะโฟรไดท์ที่อยู่ในชุดเดรสสีแดงขับผิว วันแรกที่เจอว่าสวยแล้วแต่วันนี้กลับสวยกว่า เพิ่งเข้าใจว่าสวยปานนางฟ้ามีจริงก็วันนี้เอง

เมื่อได้ฟังคำชมและสายตาที่เทพีมองมายังเขา ชายหนุ่มก็รู้สึกประหม่าจนทำได้เพียงแค่ค้อมศีรษะรับเป็นเชิงขอบคุณ  ก่อนจะทำตาโตขึ้นมาเมื่ออยู่ ๆ  เทพีอะโฟรไดท์ก็พูดถึงความหมายขอดอกไม้ที่เขามอบให้ดีนไป ในตอนแรกเขาเพียงแค่คิดว่าอยากจะได้ช่อดอกไม้สีส้มเพราะเป็นสีที่เหมาะกับดีนดี แต่คนขายก็ช่างใส่ใจเหลือเกิน เธอถามว่าเขาอยากได้ดอกไม้ในโอกาสอะไร พอแมคเคนซีบอกไปและมีโจทย์ให้ว่าต้องเป็นดอกไม้สีส้มเท่านั้น เธอก็จัดช่อทิวลิปมาให้พร้อมกับบอกความหมายเสร็จสรรพ แต่เขากลับไม่คิดจะบอกมันกับดีนด้วยความเขินเกินกว่าที่จะบอก

เขาปล่อยให้ดีนและเทพีอะโฟรไดท์สนทนากันจนกระทั่งนางมอบดอกกุหลาบให้พวกเขาเป็นรางวัล คราวนี้ก็ได้เวลากลับค่ายจริง ๆ เสียที แมคเคนซีจับมือดีนไว้แล้วหลับตาลงอีกครั้ง ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววิอย่างที่ดีนบอก พวกเขาก็กลับมาที่ทะเลสาบกลางค่ายฮาร์ฟบลัดอย่างปลอดภัย


สำเร็จภารกิจ : เผชิญหน้ากับกองทัพก็อบลิน
รางวัล: 40 EXP , +12 ดรักม่า , +30 กล้าหาญ , ดอก(กุหลาบสี)ทอง 1 ดอก
ความโปรดปรานจากอะโฟร์ไดท์ +35 แต้ม
โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +15

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-12] อะโฟร์ไดท์ เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2024-5-1 16:17
God
คุณได้รับ +30 ความกล้า โพสต์ 2024-5-1 16:10
God
คุณได้รับ 40 EXP โพสต์ 2024-5-1 16:10
โพสต์ 27403 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2024-5-1 01:56
โพสต์ 27,403 ไบต์และได้รับ +5 EXP +6 เกียรติยศ จาก ต่างหูเงิน  โพสต์ 2024-5-1 01:56

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1เหรียญดรักม่า +12 ย่อ เหตุผล
God + 12

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เหรียญนกฮูก
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x2
x2
x1
x1
x2
x5
x1
x10
x2
x1
x2
x2
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
โพสต์ 2025-9-7 09:35:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด
06 · กันยายน · 2025 · 11.00 น.

รถลีมูซีนสีดำสนิทเคลื่อนตัวไปตามถนนสายหลักของกรุงปารีส แสงไฟจากตึกสูงและป้ายโฆษณาไหลย้อนผ่านกระจกใสเหมือนสายน้ำที่ไม่มีวันหยุด ด้านหลังรถ มีกระเป๋าสัมภาระหนังสีน้ำตาลเข้มเรียงซ้อนอย่างเป็นระเบียบข้าวของที่เตรียมไว้สำหรับการเดินทางไกลอีกครั้ง สู่โรงเรียนมัธยมในอเมริกา

ในเบาะด้านหลัง เอสเปอร์ สเปนเซอร์นั่งไขว้ขา พาดแขนไว้กับที่วางแขน หนังสือพิมพ์ภาษาฝรั่งเศสพับทิ้งไว้ข้างตัว ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าสวมสูทเข้ารูปสีกรมท่าที่ถูกบังคับให้ใส่โดยบิดา เส้นผมสีเงินอ่อนสะท้อนกับไฟริมถนนเป็นประกายเย็น ดวงตาสีน้ำทะเลทอดมองออกไปนอกกระจกอย่างไร้แวว แต่ริมฝีปากกลับเม้มแน่นคล้ายพยายามกักเก็บบางสิ่งไว้

“ผลการสอบภาคเรียนที่แล้ว” เสียงเข้มของ ฌอง-บาติสต์ ผู้เป็นพ่อดังขึ้น ขาดห้วนและชัดถ้อยชัดคำ “คณิตศาสตร์ตกไปสองคะแนน ภาษาอังกฤษก็ดูจะอ่อนลงกว่าที่ควรจะเป็น ลูกต้องเข้าใจว่าตระกูลสเปนเซอร์ไม่อาจยอมรับความบกพร่องได้”

บรรยากาศในรถพลันแน่นทึบขึ้น เอสเปอร์ขยับตัวเล็กน้อย หันกลับมามองบิดาด้วยสายตาเรียบเฉย แต่หัวใจกลับเต้นแรงจนหายใจติดขัด เขาเอ่ยเสียงเรียบเย็นเฉียบตามแบบฉบับของตน
“เพียงสองคะแนน ก็ถึงขั้นรับไม่ได้เลยเหรอครับ ผมคิดว่ามันยังพอแก้ไขได้ ไม่จำเป็นต้องพูดเหมือนผมทำให้ตระกูลเสื่อมเสียหรอก”

ความเงียบขึงตึงเข้าปกคลุมภายในรถ แม้กระทั่งเสียงเครื่องยนต์ยังดูหนักอึ้งกว่าปกติ

มาเดอลีน แม่เลี้ยงที่นั่งข้าง ๆ รีบวางมือลงบนตัก เอ่ยเสียงอ่อนหวาน แต่แฝงด้วยความกดดันไม่แพ้กัน “เอสเปอร์ แม่รู้ว่าลูกพยายามแล้ว แต่ที่คุณพ่อพูดก็ไม่ผิดนะจ๊ะ โรงเรียนที่อเมริกานั่นแข่งขันกันสูง ถ้าลูกไม่ตั้งใจจริง ๆ จะตามเพื่อนไม่ทัน”

เอสเปอร์เบนสายตากลับไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ลมหายใจหนักหน่วงปะทะกระจกจนเกิดฝ้าจาง ๆ เขาไม่ตอบ แต่ริมฝีปากคลี่ยิ้มเยาะน้อย ๆ ที่แทบมองไม่เห็น
“บางทีผมก็สงสัยนะครับ ว่าพวกท่านอยากให้ผมเป็นลูก… หรือเป็นเครื่องพิสูจน์ความสมบูรณ์แบบของตระกูลกันแน่”

ประโยคนั้นเหมือนคมมีดบางเฉียบ กรีดลงกลางอากาศอึดอัดในรถ ความเงียบตามมาอีกครั้ง ก่อนที่ฌอง-บาติสต์จะขมวดคิ้วเข้มขึ้น แต่ไม่ตอบใด ๆ เพียงกอดอกแน่น ราวกับกำลังอดกลั้นไม่ให้แสดงอารมณ์ออกมา

ไฟริมถนนยังคงเคลื่อนไปข้างหลังไม่หยุด ดั่งชีวิตของเอสเปอร์ที่ถูกผลักให้ก้าวต่อไปในเส้นทางที่เขาไม่ได้เลือกเอง

เสียงเครื่องยนต์ของรถลีมูซีนยังคงสม่ำเสมอ ขับเคลื่อนไปตามทางหลวงที่ทอดยาวสู่สนามบินนานาชาติชาร์ลส์ เดอ โกล บรรยากาศภายในรถเต็มไปด้วยความเงียบเคร่งเครียด มีเพียงเสียงนาฬิกาพกของฌอง-บาติสต์ที่ดังเป็นจังหวะในกระเป๋าเสื้อสูท

เอสเปอร์นั่งนิ่งหันหน้ามองออกไปยังแสงไฟถนนที่ไหลย้อนกลับ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลสะท้อนภาพเรืองรองเหมือนคลื่นที่กำลังซัดเข้าฝั่ง แต่ในใจกลับวุ่นวายเต็มไปด้วยความขัดแย้งที่ไม่อาจระบายออกมาได้

“ฉันจองตั๋วให้เธอแล้ว” เสียงเข้มของพ่อดังขึ้นอย่างไม่ให้ตั้งตัว “ปลายทางคือรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่นั่นจะ… เหมาะกับเธอมากกว่า”

เอสเปอร์หันขวับกลับมา “แคลิฟอร์เนีย” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจ “ผมคิดว่าจะไปนิวยอร์กเสียอีก—”

“แผนเปลี่ยน” ฌอง-บาติสต์ตัดบทสั้น ๆ สายตาคมดุยังคงทอดมองไปข้างหน้า ไม่หันมามองลูกชาย “ฉันมีเหตุผลของฉัน เธอเพียงแค่ทำตามก็พอ”

เอสเปอร์เม้มริมฝีปากแน่น ความรู้สึกขัดแย้งไหลบ่าขึ้นมาในอก เขาไม่เคยได้รับสิทธิ์เลือกในสิ่งใดเลยแม้แต่ครั้งนี้

ทันใดนั้น พ่อเอื้อมมือไปหยิบซองจดหมายสีงาช้างจากกระเป๋าเสื้อสูท วางลงบนตักของเอสเปอร์อย่างเฉียบขาด

“ฟังให้ดี” ฌอง-บาติสต์เอ่ยเสียงต่ำ “ฉันรู้ว่าเธอมักจะ… เห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น”

ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของเอสเปอร์เบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงเหมือนถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อยอมรับสิ่งที่เขาปกปิดมาตลอด

“ที่นั่น อาจมีคำตอบสำหรับเธอ” พ่อเอ่ยต่อ พลางกดสายตาหนักแน่น “แต่ซองนี้ ห้ามเปิดจนกว่าจะถึงที่หมาย เข้าใจไหม?”

เอสเปอร์ก้มมองจดหมายในมือ รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่แฝงอยู่ในคำสั่งนั้น ตัวอักษรประทับครั่งสีแดงบนปากซองดูราวกับตราประทับแห่งโชคชะตา เขาเงยหน้าขึ้นสบตาพ่ออีกครั้ง แต่อีกฝ่ายเพียงเอนหลังพิงเบาะ ปิดดวงตาลงเหมือนคนหมดสิ้นความอดทนจะอธิบาย

รถชะลอความเร็วเมื่อเข้าใกล้อาคารผู้โดยสาร แสงไฟสนามบินเจิดจ้าแทงตา เอสเปอร์กำซองจดหมายแน่นหัวใจเต็มไปด้วยทั้งความกลัว ความคาดหวัง ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกผลักลงสู่เส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับได้

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 26048 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2025-9-7 09:35
โพสต์ 26,048 ไบต์และได้รับ +4 เกียรติยศ +4 ความกล้า +4 ความศรัทธา จาก ล็อคเก็ตรูปหัวใจ  โพสต์ 2025-9-7 09:35
โพสต์ 26,048 ไบต์และได้รับ +5 EXP +6 ความกล้า +9 ความศรัทธา จาก สร้อยข้อมือถัก  โพสต์ 2025-9-7 09:35
โพสต์ 26,048 ไบต์และได้รับ +5 EXP +6 เกียรติยศ จาก ต่างหูเงิน  โพสต์ 2025-9-7 09:35
โพสต์ 26,048 ไบต์และได้รับ +6 EXP +9 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก รองเท้าเซฟตี้  โพสต์ 2025-9-7 09:35
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ต้านทานเวทมนตร์
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
ไรเฟิลจู่โจมเทมเพสทัส
แมกกาซีนเทมเพสทัส
เข็มทิศ
หมวกกันน็อต
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เกราะทหารโรมัน
สัมภาระจำลอง
แจ็คเก็ต YANKEES
นาฬิกาสปอร์ต
กล่องดนตรี
แว่นตา
เกมคอนโซลพกพา
หนังสือนิยาย
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
ต่างหูเงิน
น้ำหอมบุรุษ
โรคดิสเล็กเซีย(ละติน)
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x2
x2
x2
x2
x15
12
ตั้งกระทู้ใหม่ ตอบกลับ กลับไป
โหมดขั้นสูง
B Color Image Link Quote Code Smilies

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้