108 Paris Day 3 - บ๊ายบายปารีส งวดหน้าเดี๋ยวแก้มือใหม่
วันสุดท้ายของการเดินทาง
“แมคซี่ นายเป็นไงบ้าง?”
ดีนเอ่ยถามเพื่อนที่ถูกก็อบลินหกตัวรุมยำมาเมื่อคืนด้วยความห่วงใย แม้บาดแผลของอีกฝ่ายจะหายดีจากไอเท็มวิเศษแต่ที่สิ่งที่แย่กว่านั้นเขากลัวว่ามันจะกลายเป็นแผลในใจของอีกฝ่ายทำให้หวาดกลัวอสุรกายจนไม่กล้าต่อสู้ไปเลยหรือเปล่า แต่ความจริงถึงเป็นเดมิก็อดก็ไม่จำเป็นจะต้องสู้ ยังมีที่ทางเหลือให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตในค่าย อาจเป็นพนักงานร้านคาเฟ่ ชาวสวน คนส่งของ หรือผู้ดูแลบ้าน จะอยู่ในฮาล์ฟบลัดไปจนแก่อย่างทีน่าเลยก็ย่อมได้
โทษทีผิดไปหน่อย… ทีน่ายังไม่แก่ แต่อีกยี่สิบหรือสามสิบปีเธอก็จะแก่เป็นป้าเฝ้าค่ายไม่ผิดจากที่เขาเกริ่นไว้หรอก
แต่ใด ๆ คือดีนรู้สึกผิด เขาเหมือนพาเพื่อนมาถูกกระทืบยังไงก็ไม่รู้ ในคืนแรกที่แมคเคนซีสู้ (?) กับก็อบลินหนึ่งตัวที่สวนลุกซ็องบูร์ได้โดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน จึงทำให้ดีนชะล่าใจเกินไป เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะรับมือกับอสุรกายอื่น ๆ ได้ เพราะแต่เดิมแมคเคนซีต่อสู้กับนักเลงกลุ่มหนึ่งได้ง่าย ๆ แต่นักเลงกับอสุรกายก็คนละเรื่องกัน สัตว์ประหลาดเหล่านั้นไม่อาจเจ็บได้ด้วยหมัด ต้องมีทักษะการใช้อาวุธสัมฤทธิ์ที่มากพอถึงจะโค่นล้มพวกมันได้
แล้วดีนมีทักษะที่มากพอแล้วหรือ… คำตอบคือไม่ แม้ว่าเขาจะสอบวัดระดับผ่านขั้นแรก แต่ ‘ไม่’ ก็คือ ‘ไม่’ อยู่ดี
เพราะคิดว่าตัวเองสู้ไม่เก่งมาโดยตลอดแถมยังเข้าคลาสฝึกแค่สี่ครั้ง ชายหนุ่มจึงคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ต่อสู้ได้แย่ที่สุดในระดับรั้งท้ายของค่ายฮาล์ฟบลัด ส่วนที่เขาพิชิตอสุรกายต่าง ๆ มาได้เป็นเพราะโชคช่วย คนในค่ายคนอื่น ๆ ที่ต่อสู้เก่งกว่าก็น่าจะล้มปีศาจเหล่านั้นได้สบาย
ซึ่งเขาคิดผิด สายเลือดของสามมหาเทพมีพลังมากกว่านั้น มันได้แสดงให้เห็นเมื่อคืนนี้แล้วว่ามือใหม่ในสนามสู้มีพลังมากกว่าคนเจนสังเวียนมวยแต่ไร้พลังเสริมมากแค่ไหน
เป็นพรสวรรค์ที่เขาไม่อยากมีเลยจริง ๆ
@Mackenzie
“แน่ใจนะ?”
ถึงจะรู้ว่าเมื่อได้รับน้ำทิพย์ในการรักษาบาดแผลจะหายเป็นปลิดทิ้งก็ตามแต่ก็ยังอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี หวังว่าเขาจะไม่ทำตัวเป็นห่วงอีกฝ่ายมากเกินไปจนดูน่ารำคาญ
“อื้ม” ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ “งั้นสมมุติว่าถ้าพวกเราเจอตัวอะไรกลางทางอีกนายก็หลบหลังฉันเอาไว้นะ คราวนี้ฉันจะไม่ยอมโดนมันหลอกอีกแน่ ๆ”
ก็ใครจะรู้เล่าว่าพวกก็อบลินมันจะมีแผนการอันแยบยลอย่างการล่อศัตรูที่เก่งกว่าออกมาแล้วรุมยำคนที่อ่อนแอกว่ากันล่ะ
ก่อนหน้านี้เห็นทำแต่อะไรโง่ ๆ อยู่ตลอด…
@Mackenzie
“อีกรอบเหรอ เมื่อคืนก็เช็คจนตาแฉะ” ดีนหัวเราะเบา ๆ แล้วทำมือหยำ ๆ เป็นปลาหมึก “เอาเถอะ ๆ ยังไงฉันก็จะไม่ให้นายบาดเจ็บอีกเด็ดขาด สัญญาเลย” เปลี่ยนมาชูสามนิ้วขึ้นสัญญา “ว่าแต่ไม่ลืมอะไรแล้วใช่ไหม? ถ้างั้นก็ไปเช็คเอาต์กัน”
ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวามองไปทั่วท้อง เมื่อพบว่าไม่ลืมอะไรแล้วก็สะพายเป้ขึ้นบ่าแล้วหยิบช่อดอกทิวลิปขึ้นมา กลีบดอกโรยไปนิดหน่อยแต่ยังไม่ถึงกับเหี่ยวเฉาเพราะอุณหภูมิในห้องเหมาะสมจึงความสดไว้ได้ แต่มีวิธีไหนไหมนะที่จะคงความสดของดอกไม้ช่อนี้ตลอดไป
หลังจากตกลงกันแล้วสองหนุ่มเช็คเอาต์ออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้าหลังรับประทานอาหารกันเสร็จ แบกเป้ออกตะลอนเที่ยวกันต่อคล้ายกับนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็ค ติดตรงที่ว่าคนหนึ่งเหน็บท่อแป๊บส่วนอีกคนเหน็บตะหลิวไม้พายและตะกร้อมือ แน่นอนว่าชาวปารีเซียงมองพวกเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแต่ว่าใครแคร์กันล่ะ
จากนั้นก็เคลื่อนย้ายกันไปที่อควาเรียมแห่งกรุงปารีส เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งแรกของโลก ตั้งอยู่ในย่านโทรคาเดโรฝั่งตรงข้ามกับหอไอเฟล เพลิดเพลินไปกับสัตว์น้ำกว่าห้าร้อยชนิดในตู้กระจกขนาดใหญ่ ไฮไลท์ของที่นี่น่าจะเป็นโชว์นางเงือกว่ายน้ำเล่นกับฝูงปลา แม้ว่าดีนจะเคยเห็นเงือกตัวเป็น ๆ มาก่อนแต่เขาก็อดที่จะตื่นเต้นกับนางเงือกจำแลงในตู้ปลาไม่ได้ พวกเธอว่ายน้ำกันเก่งมากทั้งที่ใส่หางปลอมไว้ตลอดการแสดง
‘จะมีใครในนั้นที่เป็นพี่น้องของฉันบ้างหรือเปล่านะ?’
อดคิดไม่ได้เพราะว่าพ่อของเขาก็ไปซะทั่ว บางทีเทพโพไซดอนอาจจะว่ายน้ำขึ้นมาโผล่ที่แม่น้ำแซนก็ได้ใครจะไปรู้
‘...แต่ว่าเสียงที่เข้ามาในหัวเมื่อคืนคือใคร?’
หลังจากเดินเที่ยวที่อควาเรียมกันจนทั่วพวกเขาก็แวะรับประทานอาหารกลางวันกันที่คาเฟ่ริมน้ำแซนก่อนที่จะไปยังสถานที่สุดท้ายของทริปทัวร์นั่นก็คือหอไอเฟล
@Mackenzie
แต่แค่ได้เที่ยววันสุดท้ายโดยไม่ยกเลิกโปรแกรมก็ทำให้ดีนเปรมปรีดิ์จนยิ้มแก้มปริ
“นั่นสิ เรายังไม่ได้ไปตั้งหลายที่ โรงอุปรากรณ์ พระราชวังแวร์ซาย แล้วยังดิสนีย์แลนด์อีก แต่ว่ารอบนี้พวกเราไม่ต้องเสียค่าตั๋วเครื่องบินได้แค่นี้ก็โอเคแล้วล่ะเนอะ ถ้ามาคราวหน้าเราวางแผนสักสัปดาห์นึงดีกว่าจะได้เที่ยวจนทั่ว”
เมื่อพวกเขาเดินออกจากอควาเรียมข้ามสะพานเยนาเพื่อไปหอไอเฟลพวกเขาทั้งสองก็ถูกผู้หญิงคนหนึ่งดักทางเอาไว้ ในมือของเธอเต็มไปด้วยแบบสอบถามอะไรสักอย่าง
“ขอโทษนะค้า กรุณาช่วยทำแบบสอบถามเรื่องความสะอาดของแม่น้ำแซนได้หรือเปล่าคะ?” เธอเอ่ยถาม
ดีนเกือบจะยื่นมือไปรับแล้วแต่เขาเอะใจได้บางอย่าง
‘ทริปฝรั่งเศสของฉันแย่มาก ถูกมิจฉาชีพหลอกให้ทำแบบสอบถามแล้วก็มีพวกมันอีกคนมาล้วงกระเป๋าฉันตอนเผลอ ถ้านายไปฝรั่งเศสอย่างหลงกลเชียวล่ะดีน’
เขานึกถึงคำของ ‘แนนซี่’ เพื่อนรุ่นพี่ที่ค่อนข้างสนิทกันในคณะวิทยาศาสตร์ ตอนนั้นที่นางเตือนดีนก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไรเพราะคนที่ฐานะไม่ได้ร่ำรวยมากมายอย่างเขาคงไม่มีปัญญามาเที่ยวปารีสได้แน่ ๆ และยังมีอีกหลายเรื่องที่เพื่อนสาวของเขาบ่นจนหูชาไปเป็นอาทิตย์ ส่วนมากก็เป็นเรื่องมิจฉาชีพ โจรขโมยกระเป๋า และต่าง ๆ อีกมากมาย เพราะว่าทริปนี้ค่อนข้างราบรื่นดีนจึงแทบจะลืมด้านมืดของฝรั่งเศสไปเสียสนิท
“อ้อ พอดีว่าผมรีบ ขอโทษด้วยนะครับ”
เขาพยายามปฏิเสธอย่างสุภาพแต่ก็ถูกเธอดักทางไว้ไม่ยอมปล่อย
“แล้วถ้าข้าบอกว่าอยากจะกินแกทั้งคู่ล่ะ?”
“ห๊ะ!?”
เพียงสิ้นเสียงอุทานหญิงสาวผู้แจกแบบสำรวจก็กลายร่างกลายเป็นไซคลอปส์ตัวใหญ่ แล้วกองกระดาษที่เคยถือไว้ก็กลายเป็นค้อนสายฟ้า
“แมคซี่ระวัง!!”
ดีนเข้ามาขวางกันเพื่อนรักไว้ด้านหลังพร้อมยัดช่อดอกไม้ที่ถือใส่มือของอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะชักหอกที่อยู่กลางหลังควงขู่เตรียมพร้อมสู่การต่อสู้ ดีนเคยพิชิตไซคลอปส์มาครั้งหนึ่งแล้ว พอจะรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของมัน
“แมคซี่ ตัวนี้มันฟาดสายฟ้าออกจากค้อนได้ นายระวังนะ!”
เมื่อช่างประปาควงท่อแป๊บสายฟ้าในมือกลุ่มนักท่องเที่ยวบนสะพานเยนาก็แตกฮือ ภาพที่คนอื่นเห็นคงเป็นนักท่องเที่ยวไม่พอใจสาวแจกแบบสอบถามเลยใช้กำลังตีหัว บางทีใครบางคนในนั้นอาจจะกำลังโทรเรียกตำรวจ
คำว่าเปิดก่อนได้เปรียบไม่เกินจริง ดีนวิ่งไปข้างหลังด้วยความว่องไวซึ่งเป็นจุดแข็งของเขาจากนั้นก็แทงหอกใส่ไซคลอปส์ร่างยักษ์จากด้านหลังตัดกำลังที่ข้อเท้า
“อ๊ากกกก!!”
ไซคลอปส์ร้องอย่างเจ็บปวด แม้ว่ามันจะแรงเยอะแต่ก็ชักช้างุ่มง่าม มันยกค้อนขึ้นเหนือหัวรวบรวมสายฟ้าไว้ที่ค้อนเตรียมฟาด
“ช้าไปพวก!”
เห็นจังหวะนั้นดีนจึงได้ทีแทงหอกใส่มันไปอีกสองสามแผล ลำตัวของไซคลอปส์บางส่วนกลายเป็นผงแต่ว่ามันยังไม่ตาย อสุรกายฝืนใช้แรงเฮือกใหญ่ฟาดค้อนใส่แต่โดนราวสะพานจนคอนกรีตที่กั้นสะพานแตกร้าวสายฟ้าบางส่วนไหลไปทั่ว
“เวร!”
ดีนสบถ ตรงนี้มีคนอยู่เยอะเกินไปอาจจะโดนลูกหลง เขาไม่รู้ว่านักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่ทรุดลงไปเป็นเพราะสายฟ้าของอสุรกายหรือว่าอะไร ชายหนุ่มคงช่วยเหลือทุกคนไม่ได้แค่หลบสายฟ้าก็ยากเย็น แล้วเขาก็โดนไฟฟ้าอ่อน ๆ ช็อตจนตัวชา ทำให้ความเร็วตกลงไปหลายส่วน
ถ้าช่วยไม่ได้ก็ต้องรีบจัดการ!
ชายหนุ่มวิ่งวกไปด้านหลังของอสุรกายตาเดียวที่หวดค้อนสายฟ้าอย่างบ้าคลั่ง ใช้คมหอกปัดป้องค้อนที่ฟาดลงมาเกิดเสียงดังพรั่นพรึงแต่คนธรรมดาอาจไม่ได้ยินเสียงนั้น จำเป็นต้องแลกแม้ว่าจะเจ็บตัวสักหน่อย ดีนเสี่ยงฝ่าห่าค้อนเข้าไปเพื่อแทงหอกใส่ไซคลอปส์ตนนั้นจนร่างสลาย จากนั้นเขาก็ทรุดลงคุกเข่าอยู่กับพื้น
ปฏิกิริยาของชาวเมืองจากที่แตกตื่นเพราะการต่อสู้เปลี่ยนไป พวกเขาแค่ตกใจที่จู่ ๆ ก็มีคนหกล้มบนสะพาน แล้วก็เดินเล่นกันต่อโดยไม่สนใจวงต่อสู้นั้นอีก
“แฮ่ก.. แฮ่ก…”
แม้จะไม่มีบาดแผลให้เห็นแต่ดีนก็ถูกไฟฟ้าจากค้อนช็อตทำให้เขาขยับตัวไม่ได้ไปสักพัก
@Mackenzie
“ฉันโดนไฟฟ้าช็อต ชาชะมัด”
ตอบกลับแมคเคนซีลิ้นเปลี้ย ๆ แม้ปริมาณไฟฟ้าที่ได้รับจะไม่มากจนถึงตายหรือเกิดบาดแผลไหม้แต่ก็ทำให้เดมิก็อดหนุ่มแทบไร้เรี่ยวแรง อาจเพราะเกราะที่สวมใส่อยู่ใต้แจ๊คเก็ตยีนส์ตัวเก่งล่ะมั้งถึงทำให้เขาไม่ได้รับบาดแผลฉกรรจ์จนต้องเอาน้ำทิพย์มาราดหรือกระโดดลงแม่น้ำแซนเพื่อเยียวยา
“ไม่เป็นไร พักนิดหน่อยเดี๋ยวก็หาย”
ดีนหลบมุมมาพิงราวสะพานคอนกรีตที่ไม่พังแล้วดื่มน้ำแก้เหนื่อย เขามองเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กรูกันมาบนสะพานเยนาเพราะได้รับแจ้งเหตุทะเลาะวิวาท แต่เมื่อไม่พบความผิดปกติอะไรตำรวจปารีสเหล่านั้นก็พูดคุยกันเป็นภาษาฝรั่งเศสที่เขาฟังไม่ออก แต่ให้เดาก็คือ ‘มีพวกแจ้งความเท็จมาป่วนเมืองแน่ ๆ’ จากนั้นก็แยกย้ายกันไป
แต่สำหรับสายตาของเดมิก็อดนั่นกลายเป็นภาพตลกร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อ
พักจนหายเหนื่อยแล้วก็มีแรงเดินต่อไปที่หอไอเฟล จะอธิษฐานเรียกเทพีอะโฟรไดท์มารับตัวจากด้านล่างก็รู้สึกว่าธรรมดาเกินไป หากมาถึงปารีสแล้วไม่ได้ขึ้นไปชั้นสูงที่สุดก็เหมือนมาไม่ถึง เขาจึงตัดสินใจใช้เงินครั้งสุดท้ายในฝรั่งเศสไปกับการซื้อตั๋วเข้าชมโครงเหล็กที่ตั้งตระหง่านเกือบพันฟุตเพื่อขึ้นไปชมวิวปารีสจากมุมสูง
ปกติแล้วการขึ้นชมหอไอเฟลต้องใช้เวลาเข้าคิวรอร่วมชั่วโมง แต่ความสะดวกที่มาในนาม ‘เจ๊อะโฟรไดท์’ (ล่ะมั้ง) ทำให้พวกเขารอคิวขึ้นไปเพียงแค่ห้านาที แถมคนบนนี้ยังน้อยจนรู้สึกได้ว่าเป็นทริปส่วนตัว
“เดิมทีหอไอเฟลถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์แสดงสินค้าระดับโลกล่ะ แล้วก็เพื่อเฉลิมฉลองให้กับการครบรอบหนึ่งร้อยปีของการปฏิวัติฝรั่งเศสด้วย”
ไกด์เถื่อนเริ่มอธิบาย ข้อมูลตรงนี้ถูกเพราะว่าเขาเอามาจากคู่มือการท่องเที่ยว แต่ข้อมูลต่อไปนี้ต้องใช้วิจารณญาณในการฟังเยอะมาก ๆ
“ฉันเคยฟังพอดแคสต์นึงเกี่ยวกับเรื่องแปลก ๆ ในโลก ไม่รู้ว่าจริงไหมแต่ว่าโคตรสนุก เรื่องมันมีอยู่ว่า… ตอนแรกคนฝรั่งเศสไม่ค่อยชอบหอไอเฟลเท่าไรเพราะดีไซน์มันค่อนข้างขัดกับสถาปัตยกรรมในปารีส ซึ่งก็.. คงจะใช่”
ชะโงกมองลงไปข้างล่างจากจุดชมวิวเห็นมีแต่อาคารทรงบาโรก เรเนซองส์ อะไรต่อมิอะไรที่มาจากยุคกลางเต็มไปหมด
“เพราะงั้นถึงหอไอเฟลจะยิ่งใหญ่แต่คนปารีสก็ไม่ค่อยจะเหลียวแล แล้วทีนี้มีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งเป็นนักต้มตุ๋นหลอกคนมาเยอะ เขาเป็นใครฉันจำชื่อไม่ได้แล้ว แต่วีรกรรมสุดโต่งของไอ้หมอนี่ก็คือหลอกขายหอไอเฟลให้คนอเมริกันเอาไปทำเป็นหอกระจายเสียง แถมยังหลอกได้ตั้งสามครั้งแน่ะ ครั้งที่หนึ่งกับสองรอด แต่มาถูกตำรวจจับได้เพราะว่าคนที่สามไปแจ้งความ คนเล่าบอกว่าเหยื่อรายที่หนึ่งกับสองไม่ยอมแจ้งความเพราะกลัวหน้าแตก เหลือจะเชื่อเลยสิ!”
ดีนหัวเราะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งก็ฮาอยู่ดี
“แล้วยังมีคนที่มาทดสอบว่าถ้าใช้ผ้าร่มกางออกแล้วกระโดดลงมาจากยอดหอคอยจะสามารถบินเหมือนนกได้ไหม สรุปก็คือตกลงมาซี้แหงแก๋”
แล้วเรื่องโม้ก็จบลงเพียงเท่านี้
@Mackenzie
“อาจจะไม่แปลกก็ได้มั้ง ตอนนั้นคงอยู่แถว ๆ ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การติดต่อสื่อสารยังต้องเขียนจดหมายกันอยู่เลย คนอเมริกาไม่รู้หรอกว่าเสาไอเฟลมันหน้าตาเป็นยังไง แต่ยอมทุ่มเงินซื้อเป็นแสนเหรียญโดยไม่เห็นสินค้ากับตาเนี่ยโคตรจะบ้าบิ่นเลย”
ถ้าสมัยนี้คงคล้ายกับสั่งสินค้าจากแอมะซอนแล้วต้องมาลุ้นว่าของที่ได้ตรงปกหรือเปล่า วิทยาการของโลกที่ต่างกันร่วมร้อยปีพัฒนาไปไวจนต้องทาบอกแล้วอุทานว่า ‘โอ้ พระเจ้า!’ อนาคตอาจมีเครื่องวาร์ปที่ไม่ใช่จากเทพบันดาลเกิดขึ้นได้ไม่เกินจริง
“เจ้าตัวนั้นคือไซคลอปส์ เป็นยักษ์ตาเดียวที่มีค้อนปล่อยสายฟ้าได้ ฉันเคยสู้กับมันครั้งแรกตอนไปบัลติมอร์ ตอนนั้นมันจับคนงานลงหม้อต้มซุป ดีนะที่ไปช่วยเอาไว้ได้ทัน”
ดีนเล่าเรื่องอสุรกายและการเดินทางของเขาราวกับเป็นเรื่องธรรมดาขณะที่เกาะราวเหล็กที่ล้อมด้วยลูกกรงอีกชั้นเพื่อชมวิวปารีสด้านล่างในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
‘อาาา โรแมนติกเป็นบ้า!!’
ดินเหลือบสายตามองคนข้าง ๆ บรรยากาศเป็นใจเสียจนอยากจะจุ๊บริมฝีปากสีกุหลาบประดับเม็ดไฝเสน่ห์นั่นสักทีนึง
“แมคซี่…”
ฝ่ามือแกร่งขยับเข้าหามือของอีกคน ปลายนิ้วก้อยเกี่ยวที่หลังมือของแมคเคนซีแล้วโน้มเข้าหา
แต่เขาก็ต้องรีบผละออกแล้วไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัวเมื่อมีเด็กแปดขวบวิ่งผ่านหลัง แล้วผู้ปกครองซึ่งน่าจะเป็นชาวจีนวิ่งไล่ตาม พูดอะไรบางอย่างเสียงดังโช้งเช้ง
“อะแฮ่ม! คือ.. ฉันคิดว่าเราน่าจะได้เวลากลับค่ายกันแล้วล่ะ หรือ.. หรือถ้านายอยากจะดูวิวต่ออีกหน่อย…”
@Mackenzie
“งี้แหล่ะคนโลภ” ดีนไหวไหล่ แล้วต้องส่งยิ้มแห้ง ๆ กลับไปเมื่อได้รับคำชม “ขอบคุณ ก็ไปมาแค่สองสามที่เอง ฉันยังไม่เก่งหรอก ถ้านายได้ฝึกจริงจังล่ะก็ต้องเก่งกว่าฉันแน่ ๆ นายเชื่อสิ”
เมื่อก่อนเป็นแมคเคนซีที่ปกป้องเขามาโดยตลอด แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าดีนจะแข็งแกร่งขึ้นด้วยพรจากพ่อที่มอบให้มาเยอะแยะ ดีนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เป็นฝ่ายปกป้องเพื่อนบ้างจนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้นเมื่อคืน ไม่แน่ว่าหากแมคเคนซีได้รับพรจากเทพีเฮคาทีอาจจะเก่งกว่าเขาก็ได้ ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนว่านางจะเป็นเทพีที่เกี่ยวกับแม่มดหรือเวทมนตร์อะไรทำนองนั้นใช่ไหม? แบบนี้แมคเคนซีก็กำลังจะกลายเป็นแฮร์รี่ พ็อตเตอร์สินะ เขาอยากได้พลังแบบนั้นมากกว่าอีก จะได้เสกแบงก์ดอลลาร์ออกมาเยอะ ๆ แล้วไปเที่ยวแบบนี้ให้ฉ่ำ ๆ
แต่ก็หยุดความคิดนี้ไว้ก่อนเพราะมันไม่เป็นจริง ความจริงคือพวกเขาจะต้องกลับไปที่ค่ายฮาล์ฟบลัดให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นได้เป็นโฮมเลสที่ฝรั่งเศสแน่ ๆ ตอนนี้ยอดบัตรเครดิตพุ่งไปไกลแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้
“ใช่ ทำแบบนั้นเลย ภาวนาถึงเทพี ขอให้ช่วยพาเราส่งกลับไป นายลองทำดูสิแมคซี่ เผื่อว่าวันไหนที่นายต้องขอความช่วยเหลือจากทวยเทพจะได้ทำถูก ส่วนเรื่องจับมือ…”
ดวงตาสีเปลือกไม้เสมองลงไปยังมือของทั้งสองที่เพิ่งผละออกจากกัน
“ฉันไม่รู้ แต่ถ้าเทพีอะโฟรไดท์บอกว่าต้องจับก็คงต้องจับล่ะมั้ง”
ถึงแม้เขาจะไม่มั่นใจว่านางแค่แกล้งหยอกเด็กหนุ่มตามประสาเทพนักรักหรือเปล่าก็ตามที แต่ตอนนี้มือข้างที่ว่างได้เลื่อนไปกุมมือของอีกฝ่ายไว้หลวม ๆ ส่วนมืออีกข้างยังคงประคองช่อทิวลิปสีส้มไว้อยู่
@Mackenzie
“กำลังคิดถึงข้ากันอยู่หรือเปล่า?”
เทพีอะโฟรไดท์ปรากฏตัวในชุดเดรสสีแดงสดและรองเท้าส้นสูงคริสเตียนลูบูแตงราวกับว่ามางานปารีสแฟชั่นวีคหรือไม่ก็เตรียมดินเนอร์สุดหรูที่ร้านคาเฟ่สามร้อยปีที่พวกเขาไปทานอาหารกันมาในวันแรก ท่าทางของนางผ่อนคลายสบาย ๆ คล้ายกับมาเที่ยวตากอากาศในเมืองที่ขจัดสิ่งปฏิกูลจนหมดแล้ว
“ขอบคุณพวกเจ้าที่ทำภารกิจนี้จนสำเร็จแม้จะล้มลุกคลุกคลานไปเสียหน่อยแต่ว่าข้าก็เห็นถึงความกล้าหาญนั้น”
นางแย้มยิ้มให้สองหนุ่มโดยประโยคหลังคล้ายตั้งใจส่งสายตาไปทางแมคเคนซี แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ในศึกก็อบลินแต่นางมีทีท่าประทับใจอยู่ไม่น้อยกับความใจสู้ของชายหนุ่ม จากนั้นนางก็เลื่อนสายตามาทางดีนพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นฉงน
“ดอกทิวลิปสีส้ม ความสุขที่อบอุ่น แรงบันดาลใจที่ดี พร้อมที่จะเป็นพลังบวกและอยู่เคียงข้างกัน” เทพีอะโพรไดท์หัวเราะแผ่วเบาก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้าคิดว่าไม่ได้สื่อถึงข้าสักเท่าไรแต่ก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ”
“ไม่! นี่ของผม”
ดีนกอดช่อดอกไม้ไว้แน่นด้วยมือเพียงข้างเดียวเมื่อเห็นว่าเทพีกำลังจะยื่นมือออกมา ท่าทางนั้นยิ่งทำให้นางรู้สึกขำขัน
“ดูเหมือนว่าที่ปารีสจะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นสินะ”
ดวงตาคู่งามหรี่ลงอย่างมีนัยยะ แม่ก็คือแม่ และแม่รู้ทัน
“เอ่อ.. ผมไปดูมาแล้วนะครับ รูปปั้นเทพีวีนัส ส่วนคำตอบก็คือท่านงามกว่าเห็น ๆ”
ดีนรีบเปลี่ยนเรื่องในทันทีเมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาที่ทำให้หนาวไปถึงหลัง
“ใช่ไหมล่ะ! เป็นข้านี่แหล่ะเทพีที่งดงามที่สุด!”
เทพีอะโฟรไดท์ดูจะชอบอกชอบใจกับคำตอบนี้ยิ่งกว่าเรื่องไหน ๆ ทำเอาดีนงงจนต้องหันไปมองเพื่อน คนที่ดีใจเพราะว่าตัวจริงสวยกว่ารูปปั้นเนี่ยนะ.. เออ คงมีแหล่ะ ชายหนุ่มไม่กล้าถามซักไซ้เพราะกลัวไม่ได้กลับไปค่ายจึงได้แต่ยิ้มหวาน ๆ ตอบกลับนาง
“ตอนนี้ปารีสสะอาดหมดจดทีเดียวเชียว และนี่คือรางวัลที่ข้าจะมอบให้พวกเจ้า”
โฉมงามก้าวขาออกมาข้างหน้าจากนั้นนางก็สะบัดมือคล้ายกับเสกมนตร์อะไรสักอย่าง ละอองสีทองลอยล่องไปตามความพริ้วไหวก่อนจะก่อตัวเป็นรูปทรงของดอกกุหลาบสองดอก นางปักมันไว้รวมกับดอกทิวลิปที่มีร่องรอยของความเหี่ยวเฉา
“กลับไปแล้วก็ไปแบ่งกันเองล่ะ” จากนั้นนางก็ก้าวถอยหลังกลับมายืนในตำแหน่งเดิมและดีดนิ้ว “เอาล่ะ ข้ารีบ เดี๋ยวมีนัดดินเนอร์ต่ออีก.. ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปที่ทะเลสาบกลางค่าย เตรียมตัวไว้ให้ดีล่ะ”
“ครับ”
ดีนรับคำจากนั้นก็กระชับมือกับแมคเคนซีแน่นขึ้น ละอองแสงสีทองล้อมรอบตัวพวกเขาอีกครั้งจนภาพทั้งหมดสว่างจ้า รู้ตัวอีกทีทั้งสองก็ถูกส่งตัวมาถึงทะเลสาบกลางค่ายแล้ว
แม้น่าเสียดายที่ทริปฝรั่งเศสต้องจบลง แต่ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา การเที่ยวครั้งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งความทรงจำอันแสนวิเศษที่เขากับเพื่อนสนิทมีร่วมกัน ตอนนี้ดีนแทบจะอดใจอัพรูปลงสตอรี่ไม่ไหว แต่คงต้องปล่อยให้ตัวเขาในวันพรุ่งนี้จัดการแทนแล้วล่ะ
และสุดท้ายก็ได้รู้ความหมายของดอกทิวลิปสีส้ม…
‘คือแบบนี้เองสินะ …สมกับเป็นนายชะมัดเลยแมคซี่’
@Mackenzie
สำเร็จภารกิจ: เผชิญหน้ากับกองทัพก็อบลิน
รางวัล: 40 EXP , +12 ดรักม่า , +30 กล้าหาญ , ดอก(กุหลาบสี)ทอง 1 ดอก
ความโปรดปรานจากอะโฟร์ไดท์ +35 แต้ม
HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25 |