แสงแรกของวันที่ 19 สิงหาคม 2025 ค่อย ๆ สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างม่านม้วนของโรงแรมเล็ก ๆ ในลอสแอนเจลิส ผมลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนมีค้อนปอนด์นับสิบมากระหน่ำซ้ำ ๆ ที่หัว มันเป็นผลข้างเคียงจากการใช้พลังแปลงกายติดต่อกันนานหลายชั่วโมง ผมมองไปที่นาฬิกาดิจิทัลบนโต๊ะข้างเตียง — 05:30 น.
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นมา ผมรีบพลิกตัวลุกขึ้นยืนแล้วแปลงร่างกลับเป็น ‘เดซี่’ ในทันที มันเป็นเรื่องน่าละอายที่ผมยังรู้สึกผิดอยู่ ผมไม่ควรใช้พลังของผมเพื่อหลอกคนดี ๆ อย่างลุงบิล แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่น
“หนู...ตื่นหรือยัง?” เสียงทุ้ม ๆ ของลุงบิลดังลอดประตูเข้ามา
ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตอบกลับไปด้วยเสียงหวานใส “ตื่นแล้วค่ะลุง!”
ประตูเปิดออก ลุงบิลสวมเสื้อเชิ้ตลายตารางสีแดงและกางเกงยีนส์ตัวเก่ง เขายิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น “ไปกินอาหารเช้ากันเถอะ... ลุงเลี้ยงเอง”
เราลงไปที่ห้องอาหารชั้นล่างสุด ซึ่งเป็นห้องเล็ก ๆ ที่มีโต๊ะเพียงสองสามตัว บนโต๊ะมีอาหารเช้าแบบง่าย ๆ วางอยู่ ทั้งขนมปังปิ้ง, ไข่ดาว, เบคอน, และกาแฟ ผมนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองไปที่ลุงบิล “ลุงใจดีกับหนูมากเลยนะคะ”
ลุงบิลหัวเราะเบา ๆ แล้วยื่นแก้วกาแฟให้ผม “ไม่ต้องเกรงใจหรอกหนู... ลุงเองก็รู้สึกเหมือนมีลูกสาวขึ้นมาอีกคน”
คำพูดของลุงบิลทำให้ผมรู้สึกจุกในอก ผมไม่สามารถมองหน้าเขาได้เลย เพราะความรู้สึกผิดมันถาโถมเข้าใส่ผมอย่างรุนแรง ผมจึงก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าเงียบ ๆ และไม่พูดอะไรอีกเลย
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เราก็เดินขึ้นรถบรรทุกของลุงบิล ผมนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาแล้วมองไปที่ท้องถนนที่เต็มไปด้วยแสงแดด ผมรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเราเดินทางออกจากลอสแอนเจลิส และมุ่งหน้าเข้าสู่รัฐแอริโซนา ลุงบิลเปิดวิทยุในรถแล้วก็เปิดเพลงคันทรี่ที่ผมไม่คุ้นหู ผมรู้สึกเบื่อเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ลุงบิลมองมาที่ผมด้วยสายตาที่สงสัยเล็กน้อย “หนูไม่ชอบเพลงคันทรี่เหรอ?”
“หนูไม่ค่อยคุ้นหูค่ะ” ผมตอบไปตามตรง “ปกติหนูจะฟังแต่เพลงป๊อป”
ลุงบิลหัวเราะแล้วเปลี่ยนคลื่นวิทยุให้ผมทันที เพลงป๊อปจากวงบอยแบนด์ยอดฮิตอย่าง Stray Kids ดังขึ้นมา! ผมตกใจมาก! นี่ลุงบิลก็รู้จักเพลงแบบนี้ด้วยเหรอ!
“ลุง... รู้จัก Stray Kids ด้วยเหรอคะ?” ผมถามเขาด้วยความแปลกใจ
ลุงบิลยิ้มให้ผม “ลุงมีลูกสาวสองคนนะหนู... แน่นอนว่าลุงจะต้องรู้จักสิ!”
ผมยิ้มให้เขาอย่างดีใจ ผมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่เชื่อมต่อกับลุงบิลได้มากขึ้น
เราใช้เวลาเดินทางกันเกือบห้าชั่วโมงครึ่งเพื่อไปถึงเมืองฟีนิกซ์ การเดินทางของเราไม่ได้มีอะไรที่พิเศษมากนัก ผมนั่งฟังเพลงแล้วมองไปที่วิวทิวทัศน์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงเป็นทุ่งหญ้าแห้งแล้งและต้นกระบองเพชรขนาดใหญ่ มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผมที่เติบโตมาในนิวยอร์กที่เต็มไปด้วยคอนกรีตและเหล็กกล้า
เมื่อเราเดินทางมาถึงเมืองฟีนิกซ์ ลุงบิลก็ขับรถเข้าไปในสถานีขนส่งผู้โดยสารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ผมมองไปรอบ ๆ แล้วก็พบว่าเมืองนี้ดูเหมือนเมืองที่เงียบสงบ ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษมากนัก
“เอาล่ะ...เรามาถึงแล้ว!” ลุงบิลพูดด้วยน้ำเสียงที่สดใส “หนูจะลงที่นี่เลยใช่ไหม?”
ผมพยักหน้าให้เขาอย่างรวดเร็ว ผมไม่ต้องการที่จะโกหกเขาอีกต่อไปแล้ว! ผมรู้สึกผิดมากพอแล้ว!
ลุงบิลจอดรถให้ผมลง “ดูแลตัวเองดี ๆ นะหนู” เขาบอก “แล้วอย่าลืมโทรหาลุงนะถ้ามีอะไร”
ผมรับนามบัตรที่เขาเขียนเบอร์โทรศัพท์ด้วยลายมือหยาบ ๆ ไว้ในมือ “ถ้ามีเรื่องอะไร หนูจะโทรหาลุงนะคะ” ผมโบกมือลาลุงบิลแล้วเดินห่างออกมาจากรถบรรทุกของเขา ผมรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แล่นไปทั่วใบหน้า ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่กำลังจะแตกหักออกมาจากหัวใจของผม
ผมหันกลับไปมองรถบรรทุกของลุงบิลอีกครั้งแล้วก็รู้สึกเสียใจมากที่ผมโกหกเขา ผมอยากจะวิ่งกลับไปหาเขาแล้วบอกความจริงกับเขา แต่ผมก็รู้ว่าผมทำไม่ได้! และลุงเขาเป็นคนธรรมดาผมไม่อาจจะเล่าเรื่องว่าตัวเองเป็นเดมิกอตให้ลุงรู้ได้!
ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วก็เดินออกจากสถานีขนส่งผู้โดยสาร พอพ้นจากสายตาของลุงบิล ผมก็หาเสาไฟต้นใหญ่ ๆ แล้วหลบอยู่ข้างหลังเพื่อเริ่มทำสิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุด นั่นคือการแปลงร่าง พลังงานของผมยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ผมหลับตาลงแล้วเพ่งสมาธิไปที่ร่างเดิมของผมอีกครั้ง ร่างกายของผมเริ่มหดตัวลงจนรู้สึกเจ็บไปหมด มันเหมือนกับว่าร่างกายของผมกำลังจะถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ จากนั้นมันก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อกลับมาสู่ร่างเดิมที่ผมเป็น
ผมได้ยินเสียงกระดูกลั่นดัง “กร๊อบแก๊บ” ไปทั่วตัว ผมรู้สึกถึงความร้อนที่แล่นไปทั่วร่างกาย ผมมองไปที่แขนของตัวเองแล้วก็พบว่ามันกลับมามีรอยสักแปลก ๆ เหมือนเดิม ผมรู้สึกโล่งใจที่มันกลับมาปกติ ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วก็เดินออกจากเสาไฟต้นใหญ่ ผมก้มมองนาฬิกาบนข้อมือแล้วก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลา 11:52 น. แล้ว!
ผมเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ แล้วหยิบโคล่ามาหนึ่งกระป๋อง ผมรู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทางและการใช้พลังแปลงกายมาทั้งคืน แต่ผมก็รู้ว่าผมไม่มีเวลามาพักผ่อน ผมเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แล้วเปิดกระป๋องโคล่าทันที ผมยกโคล่าขึ้นดื่มจนหมดกระป๋อง แล้วก็รู้สึกถึงพลังงานที่เริ่มไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของผมอย่างช้า ๆ มันเหมือนกับว่าผมกำลังชาร์จแบตเตอรี่ให้กับตัวเองเลย
ตอนนี้ผมอยู่ในเมืองฟีนิกซ์แล้ว! เมืองที่เต็มไปด้วยแสงแดดและอากาศร้อนอบอ้าว ผมมองไปรอบ ๆ แล้วก็พบว่าเมืองนี้ดูเหมือนเมืองที่เงียบสงบ ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษมากนัก ผมหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาแล้วเปิด Google Maps เพื่อค้นหาสถานที่ที่ผมต้องการจะไป ซึ่งก็คือใจกลางเมือง!
ผมเดินไปตามทางเท้าที่ว่างเปล่า มีรถไม่กี่คันที่วิ่งไปตามท้องถนนในยามเช้า ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวประหลาดที่กำลังเดินอยู่ในเมืองที่ไม่มีใครต้องการ ผมเห็นผู้คนมากมายที่กำลังเดินไปทำงาน แต่ก็ไม่มีใครสนใจผมเลย ทุกคนดูเหมือนจะสนใจแต่เรื่องของตัวเอง
และผมก็ตัดสินใจเดินต่อไปตามถนนในย่านดาวน์ทาวน์ของฟีนิกซ์ แสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องลงมาบนพื้นคอนกรีตจนเกิดเป็นไอระเหยร้อนระอุ ผมรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนเตาบาร์บีคิวขนาดยักษ์ แต่ก็ต้องทำใจเพราะชื่อเมืองก็บอกอยู่แล้วว่า ฟีนิกซ์ หรือ นกไฟ ผมควรจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกว่าที่นี่จะร้อนจนนรกยังต้องอาย
ผมเดินผ่านกลุ่มคนมากมาย ทั้งนักท่องเที่ยวที่แต่งตัวจัดเต็มพร้อมหมวกสานใบโต, พนักงานบริษัทที่เดินกันให้ขวักไขว่, และวัยรุ่นที่เพิ่งเลิกเรียน ทุกคนดูเหมือนจะอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่มีใครสนใจชายหนุ่มที่มีรอยสักแปลกๆ อย่างผมเลย นั่นคือข้อดีของ “หมอกบังตา” ที่ทำให้คนปกติเห็นผมเป็นแค่เด็กวัยรุ่นที่แต่งตัวประหลาด แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยว
ขณะที่ผมกำลังเดินผ่านลานกว้างหน้าหอศิลป์แห่งหนึ่งที่ดูทันสมัยและเต็มไปด้วยงานศิลปะที่ทำจากโลหะ ผมก็ได้ยินเสียงที่ดูเหมือนเสียงของใครบางคนกำลังเรียกหาผม
ผมมองไปที่หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า เธอเหมือนผมในร่าง ‘เดซี่’ ราวกับแกะ แม้แต่สีผมและสีตา ทุกอย่างมันเหมือนกันไปหมดจนน่าขนลุก
“นาย... ขอเวลาคุยหน่อยได้ไหม?” เธอพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แต่ในน้ำเสียงนั้นผมรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่น่ากลัว มันเหมือนกับกลิ่นหอมของช็อกโกแลตที่เจือด้วยกลิ่นกำมะถัน
ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่าความกลัว “คุณเป็นใคร?” ผมถามออกไป
เธอยิ้มให้ผม “ฉันเป็นคนที่นายกำลังตามหา” เธอพูดพร้อมกับก้าวเข้ามาใกล้ผมอีกก้าว “นายกำลังตามหาขนนกฟีนิกซ์ใช่ไหม?”
หัวใจของผมเต้นแรง นี่มันไม่ธรรมดาแล้ว! เธอรู้ได้อย่างไร? “คุณ...” ผมอ้าปากค้าง
“ฉันรู้ทุกอย่าง” เธอพูดพร้อมกับยื่นมือออกมาหาผม “มากับฉันสิ... ฉันจะมอบสิ่งที่นายต้องการให้”
กลิ่นหอมของช็อกโกแลตและกำมะถันมันแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกสะกดจิต ผมอยากจะเดินเข้าไปหาเธอ อยากจะสัมผัสกับมือที่ยื่นออกมา แต่ในวินาทีนั้นเอง ภาพของลิเลียน่า ไทเลอร์ ก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม
รอยยิ้มของเธอ... น้ำเสียงที่สดใส... และแววตาที่มองมาที่ผมอย่างไว้ใจ ผมจำได้ว่าเธอเคยบอกผมว่า “อย่าไว้ใจใครง่ายๆ นะ เดม่อน...”
คำพูดนั้นมันดังอยู่ในหัวของผมราวกับเสียงระฆัง!
ผมสะบัดศีรษะอย่างแรงเพื่อไล่ภาพนั้นออกไป แล้วจ้องมองไปที่หญิงสาวตรงหน้า ผมใช้พลัง ตาหลากสี ของผมแล้วพยายามมองทะลุผ่านหมอกที่เธอสร้างขึ้น
ในเสี้ยววินาทีนั้น ผมเห็นร่างของเธอเปลี่ยนไป! ใบหน้าสวยงามของเธอกลายเป็นใบหน้าของสัตว์ประหลาดที่มีจะงอยปากที่คมกริบ ดวงตาสีฟ้าของเธอกลายเป็นดวงตาสีแดงฉานราวกับถ่านที่ลุกโชน! ผมรู้สึกได้ถึงเปลวไฟที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเธอ!
“คุณ...ไม่ใช่มนุษย์!” ผมพูดเสียงดัง
หญิงสาวตรงหน้าหัวเราะออกมาอย่างน่ากลัว “แน่นอนสิ...ฉันไม่ใช่คน! ฉันคือ ฟีนิกซ์! เทพธิดาแห่งไฟ!”
เธอปล่อยเปลวไฟออกมาจากมือแล้วยิงใส่ผม ผมหลบได้ทันเวลา แต่เปลวไฟนั้นก็ยังแผดเผาเสื้อเชิ้ตของผมจนขาดเป็นรู ผมรู้สึกถึงความร้อนที่แผดเผาผิวหนังของผม แต่ด้วย พรทนทานไฟที่ได้จากเฮเฟตัส มันทำให้ผมไม่รู้สึกอะไรมากนัก
ฟีนิกซ์แสดงสีหน้าประหลาดใจ “เป็นไปไม่ได้! แกเป็นลูกหลานของเทพองค์ใดกันถึงได้ทนทานต่อเปลวไฟของฉันได้!”
ผมมองไปที่ฟีนิกซ์แล้วยิ้ม “ฉันคือ เดม่อน... บุตรแห่งอะโฟรไดต์!”
ผมใช้พลังการควบคุมความรักของผมปลดปล่อยคลื่นพลังที่นุ่มนวลแต่ทรงพลังออกไปในอากาศ มันตรงเข้าสลายความแข็งแกร่งของเปลวไฟรอบๆ ตัวผม ก่อนที่ผมจะเข้าโจมตีด้วยการใช้ ดาบเธซีอุส แล้วฟันไปที่เธออย่างรุนแรง
ฟีนิกซ์หลบได้อีกครั้ง แต่เธอก็ต้องยอมรับในความแข็งแกร่งของผม! เธอเผยร่างที่แท้จริงของเธอออกมา! มันเป็นนกขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเปลวไฟและควันสีดำสนิท! เธอกางปีกออกแล้วพุ่งเข้าใส่ผมอย่างรวดเร็ว!
ผมสะบัดข้อมืออย่างรวดเร็ว กำไลข้อมือสีเงินเกลี้ยงเกลาที่ได้รับจากเฮเฟตัสในภารกิจที่แล้ว ก็แปรเปลี่ยนสภาพในพริบตากลายเป็นโล่แห่งโทสะ โล่ทรงกลมขนาดพอเหมาะทำจากโลหะสีดำทมิฬที่เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งพันปี ตรงกลางโล่ปรากฏลวดลายของเปลวเพลิงสีแดงเข้มที่กำลังลุกโชน ราวกับกำลังแสดงโทสะของผู้สร้างอย่างเฮเฟตัสอยู่
เปลวไฟที่แผดเผาจากตัวฟีนิกซ์พุ่งเข้าปะทะกับโล่ของผมอย่างรุนแรง! ผมรู้สึกได้ถึงพลังงานความร้อนที่แผดเผาไปทั่วร่างกาย แต่โล่แห่งโทสะก็สามารถต้านทานมันไว้ได้ทั้งหมด! มันเหมือนกับว่าจิตวิญญาณของเฮเฟตัสกำลังปกป้องผมอยู่!
“แก...ไปเอาโล่นั่นมาได้ยังไง!” ฟีนิกซ์คำรามอย่างเกรี้ยวกราด
ผมไม่ตอบ แต่ผมยิ้มให้เธออย่างมั่นใจ ผมรู้ว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว! ผมมีทั้งดาบเธซีอุส โล่แห่งโทสะ และที่สำคัญที่สุด ผมมีเพื่อนที่คอยให้กำลังใจผมอยู่แม้เธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่!
ผมไม่ยอมแพ้! ผมจะต้องเอาชนะฟีนิกซ์ให้ได้! ผมจะต้องได้ขนนกฟีนิกซ์มา!
การต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างผมกับฟีนิกซ์เริ่มขึ้นแล้ว!
เปลวไฟสีแดงฉานจากฟีนิกซ์ปะทะกับโล่แห่งโทสะของผมอย่างรุนแรง! ผมรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ในเตาอบ แต่โล่ก็ยังคงต้านทานไว้ได้ทั้งหมด ผมมองผ่านโล่แล้วเห็นฟีนิกซ์กำลังคำรามด้วยความโกรธ
“โล่ของแกมันก็แค่ของเล่น!” เธอคำรามแล้วพุ่งเข้าใส่ผมอีกครั้งด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเดิม ผมตั้งรับไม่ทัน เธอใช้จะงอยปากที่คมกริบจิกเข้าที่โล่ของผมอย่างรวดเร็ว!
เสียงโลหะเสียดสีกันดังสนั่น! ผมรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่รุนแรงจนร่างกายของผมสั่นไปหมด! ฟีนิกซ์พยายามที่จะดันผมให้ล้มลง แต่ผมก็ยังคงยืนหยัดสู้ต่อไป
“อย่าคิดว่าจะเอาชนะฉันได้ง่ายๆ!” ผมตะโกนแล้วใช้พลัง การควบคุมความรักของผมปลดปล่อยคลื่นพลังออกมาอีกครั้ง คลื่นพลังนั้นพุ่งเข้าสลายความแข็งแกร่งของเปลวไฟที่ปกคลุมตัวฟีนิกซ์ทำให้เธออ่อนแรงลงเล็กน้อย
ผมฉวยโอกาสนั้นแล้วพุ่งเข้าไปหาเธอ! ผมใช้ดาบเธซีอุสฟันไปที่ปีกของเธออย่างรุนแรง!
“ฉึก!”
เสียงคมดาบกรีดลงบนปีกของฟีนิกซ์ดังขึ้น! เธอกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วบินถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว! เปลวไฟจากตัวเธอเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อนๆ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเธอกำลังอ่อนแรงลง
ผมรู้สึกดีใจ แต่ความดีใจนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน...
ฟีนิกซ์มองมาที่ผมด้วยดวงตาสีแดงฉาน “แกกำลังทำให้ฉันโกรธแล้วนะ!” เธอคำรามแล้วเปลวไฟจากตัวเธอก็ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง! เปลวไฟในครั้งนี้มันร้อนและรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า! มันเหมือนกับว่าฟีนิกซ์ได้ปลุกพลังที่แท้จริงของเธอขึ้นมา!
ผมพยายามที่จะตั้งรับอีกครั้ง แต่แรงโจมตีของฟีนิกซ์มันรุนแรงเกินไป! ผมถูกกระแทกจนตัวลอยไปกระแทกกับผนังของหอศิลป์อย่างจัง! ผมรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วร่างกาย! ผมพยายามที่จะลุกขึ้นยืน แต่ร่างกายของผมมันไม่ยอมทำตามคำสั่ง!
ฟีนิกซ์หัวเราะอย่างน่ากลัวแล้วเดินเข้ามาหาผมช้าๆ! เปลวไฟจากตัวเธอกำลังแผดเผาทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเธอจนไหม้เกรียม! ผมรู้ว่าผมกำลังจะตายแล้ว!
แต่ในวินาทีนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงที่ดังขึ้นมาในหัวของผม... เสียงนั้นเป็นเสียงของ ลิเลียน่า!
“เดม่อน... สู้สิ... นายทำได้!”
คำพูดนั้นมันดังขึ้นมาในหัวของผมราวกับเสียงระฆัง!
ผมรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีแล้วลุกขึ้นยืน! เสียงนั้นทำให้ผมไม่ยอมแพ้!
ฟีนิกซ์แสดงสีหน้าประหลาดใจ “เป็นไปไม่ได้! แกยังไม่ตายอีกรอะ!”
ผมยิ้มให้เธออย่างมั่นใจ “ฉันไม่เคยยอมแพ้ง่ายๆ อยู่แล้ว!” ผมตะโกนแล้วพุ่งเข้าใส่เธออีกครั้ง! ผมใช้ดาบเธซีอุสฟาดฟันไปที่เธออย่างรุนแรง!
“ฉันจะเอาชนะแกให้ได้!”
ผมใช้พลังการควบคุมความรักของผมปลดปล่อยคลื่นพลังออกมาอีกครั้ง คลื่นพลังนั้นพุ่งเข้าสลายความแข็งแกร่งของเปลวไฟจากตัวฟีนิกซ์ แล้วผมก็ใช้ดาบเธซีอุสฟันไปที่เธออย่างรุนแรง!
ฉั๊วะ!
ผมฟันเข้าที่อกของฟีนิกซ์อย่างจัง! เธอกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วร่างกายของเธอก็เริ่มสลายไป! เปลวไฟจากตัวเธอเริ่มดับลงอย่างช้าๆ แล้วร่างกายของเธอก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปในที่สุด!
ผมมองไปที่เถ้าถ่านของฟีนิกซ์แล้วก็รู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบจะยืนไม่ไหว! ผมล้มตัวลงนั่งแล้วพิงกับผนังของหอศิลป์ ผมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ แล้วก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วร่างกาย!
ผมมองไปที่เถ้าถ่านของฟีนิกซ์แล้วก็รู้สึกผิดที่ผมฆ่าเธอ! แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็รู้สึกโล่งใจที่ผมรอดมาได้!
“ฉันทำได้แล้ว...” ผมพึมพำกับตัวเอง
ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปใกล้เถ้าถ่านของฟีนิกซ์ ผมใช้มือคุ้ยเถ้าถ่านนั้นแล้วก็พบกับ... ขนนกฟีนิกซ์!
มันเป็นขนนกสีทองอร่ามที่เปล่งแสงสีแดงอ่อนๆ ออกมา ผมหยิบมันขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วก็รู้สึกได้ว่าขนนี้ทรงพลังอย่างมาก ของชิ้นแรกที่จำเป็นต่อการทำเกราะช่วงล่างของผม!
ผมเดินออกจากลานกว้างนั้นแล้วก็พบว่าถนนในย่านดาวน์ทาวน์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง... หมอกบังตาเริ่มกลับมาทำงานอย่างช้าๆ ผู้คนที่เคยยืนนิ่งงันมองผมด้วยความประหลาดใจ ตอนนี้ก็กลับไปสนใจโทรศัพท์มือถือและเรื่องของตัวเองกันหมดแล้ว ไม่มีใครจำได้เลยว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนมีนกไฟขนาดยักษ์กำลังต่อสู้กับเด็กผู้ชายคนหนึ่งอยู่กลางเมือง ผมรู้สึกโล่งใจที่เรื่องราวทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบจะยืนไม่ไหว
ผมรีบเดินเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน แล้วใช้พลังแปลงกายกลับมาเป็น 'เดซี่' อีกครั้ง คราวนี้ผมทำมันอย่างรวดเร็วและราบรื่นกว่าเดิมมาก ผมรู้สึกได้ว่าร่างกายของผมเริ่มคุ้นชินกับการใช้พลังนี้แล้ว
เมื่อแปลงร่างเสร็จ ผมก็เดินกลับไปที่ถนนใหญ่ หวังว่าจะหาทางกลับไปลอสแอนเจลิสก่อน ผมรู้สึกว่าการผจญภัยในเมืองฟีนิกซ์มันหนักหนาเกินไปแล้วในตอนนี้ ผมต้องการพักผ่อน แต่ผมไม่รู้ว่าฟีนิกซ์มันจะกลับมาเร็วแค่ไหน พวกมันไม่เหมือนอสุรกายตัวอื่น ๆ จากตำนานพวกมันฟื้นขึ้นมาได้รวดเร็วเพราะว่าพวกมันไม่ได้ตายจริง ๆ
ในขณะที่ผมกำลังเดินไปตามทางเท้าที่เต็มไปด้วยผู้คน ผมก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง!
ไกลออกไป... บนยอดตึกสูงแห่งหนึ่ง... ผมเห็นนกขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่...
มันไม่ใช่แค่ 'นก' ธรรมดา แต่มันคือ ฟีนิกซ์!
มันไม่ใช่ตัวเดิมที่ผมเพิ่งจะต่อสู้ด้วย แต่มันดูเหมือนตัวที่กำลังเกิดใหม่... มันมีขนาดเล็กกว่าตัวเดิม แต่เปลวไฟสีแดงที่ลุกโชนรอบตัวของมันก็ทำให้ผมรู้ทันทีว่ามันเป็นฟีนิกซ์อีกตัวหนึ่งที่กำลังจ้องมองมาที่ผม!
“ให้ตายสิ...” ผมพึมพำกับตัวเอง “สงสัยเรื่องนี้มันจะใหญ่กว่าที่คิด”
ผมรีบก้าวเท้าเดินต่อไปทันที ผมไม่ต้องการที่จะต่อสู้กับฟีนิกซ์อีกตัวในตอนนี้! ผมจะต้องกลับไปลอสแอนเจลิสให้เร็วที่สุด! ผมจะต้องหาใครสักคนที่จะสามารถพาผมกลับไปได้!
ผมเดินไปตามถนนจนกระทั่งมาถึงบริเวณที่รถบรรทุกชอบจอดพัก ผมชะลอฝีเท้าลงแล้วเริ่มมองหาคนขับรถบรรทุกที่ดูเหมือนจะใจดี ผมเหลือบไปเห็นรถบรรทุกคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างทาง คนขับรถเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้าที่ดูเป็นมิตร
ผมเดินเข้าไปหาเธอแล้วส่งรอยยิ้มที่อ่อนหวานที่สุดให้เธอ “สวัสดีค่ะคุณป้า...” ผมพูดด้วยเสียงที่อ่อนหวานที่สุด “หนูหลงทางค่ะ...คุณป้าช่วยหนูหน่อยได้ไหมคะ?”
หญิงสาวคนขับรถมองมาที่ผมด้วยสายตาที่สงสัยเล็กน้อย แต่เมื่อผมใช้มนต์มหาเสน่ห์ของผม เธอก็ยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่นแล้วพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
“ได้สิจ๊ะหนู...ป้าจะไปลอสแอนเจลิสอยู่แล้ว”
ผมยิ้มออกมาอย่างดีใจ... ผมรอดแล้ว!
ผมรีบปีนขึ้นไปนั่งข้างๆ คนขับแล้วส่งรอยยิ้มให้เธออีกครั้ง “ขอบคุณนะคะคุณป้า!”
รถบรรทุกคันนั้นเริ่มเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ทิ้งเมืองฟีนิกซ์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อไว้เบื้องหลัง...
การผจญภัยของผมยังไม่จบลง! ผมรู้ดีว่าฟีนิกซ์อีกตัวหนึ่งกำลังจ้องมองมาที่ผมอยู่! ผมจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ถ้ามันพุ่งโจมตีผมตอนนี้ ทางที่ดีผมภาวนาให้คุณป้าขับรถเร็วขึ้นเพื่อออกจากเมืองนี้!
ผมมองไปที่ท้องถนนที่เต็มไปด้วยแสงแดด แล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก... ผมได้พักหายใจแล้ว... แต่ก็คงจะพักได้ไม่นาน ชีวิตข้างนอกนี้อันตราย หรือบางทีผมน่าจะกลับไปค่ายที่ลองไอแลนด์เพื่อพักผ่อนสักพักก่อนจะหาวัตถุดิบสำหรับกางเกงเกราะของผม แต่ตอนนี้ได้แต่หวังให้ไปถึงลอสแองเจลิสโดยปลอดภัยก่อน!
+2 ตื่นรู้จากการพิชิตฟีนิกซ์ครั้งแรก (Link) ตัวที่ 2 กดหนี