[รัฐแอริโซน่า] เมืองฟีนิกซ์

[คัดลอกลิงก์]

หากท่านเป็นกึ่งเทพผู้หลงทาง สามารถสมัครสมาชิกเข้าร่วมกับเราได้ที่นี่ https://t.me/+etLqVX17bGg5ZjBl

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×






Phoenix


〈 อเมริกา - แอริโซน่า 〉



Phoenix

เมืองที่ได้นามว่าหุบเขาแห่งพระอาทิตย์

เมืองใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดของรัฐแอริโซนาในสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังเป็นเมืองหลวงของรัฐแอริโซนาและเป็นเมืองหลวงของรัฐที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐในแง่ของประชากร ฟีนิกซ์เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐและอยู่ในเขตเวลาภูเขา นอกจากนี้ยังมีอาณาเขตใหญ่ที่สุดอันดับสองรองลงมาจากลอสแอนเจลิส ฟีนิกซ์เป็นเมืองศูนย์กลางทางการเมือง วัฒนธรรม เศรษฐกิจ หุ้น เทคโนโลยี และการคมนาคมของรัฐแอริโซนา ถูกรู้จักกันในชื่อว่า หุบเขาแห่งพระอาทิตย์ หรือไม่ก็เดอะ วัลเลย์ (Valley of the Sun / The Valley) เนื่องจากทั่วทั้งเมืองถูกล้อมรอบด้วยภูเขา และผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้มักถูกเรียกกันว่า ชาวฟีนิเชียน (Phoenicians)




แสดงความคิดเห็น

God
โพสต์ 7007 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-20 11:15
โพสต์ 2025-8-25 22:21:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด







Daemon  Kannel

19 · สิงหาคม · 2025
 · 05.30 - 16.00  น.
      แสงแรกของวันที่ 19 สิงหาคม 2025 ค่อย ๆ สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างม่านม้วนของโรงแรมเล็ก ๆ ในลอสแอนเจลิส ผมลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนมีค้อนปอนด์นับสิบมากระหน่ำซ้ำ ๆ ที่หัว มันเป็นผลข้างเคียงจากการใช้พลังแปลงกายติดต่อกันนานหลายชั่วโมง ผมมองไปที่นาฬิกาดิจิทัลบนโต๊ะข้างเตียง — 05:30 น.

      เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นมา ผมรีบพลิกตัวลุกขึ้นยืนแล้วแปลงร่างกลับเป็น ‘เดซี่’ ในทันที มันเป็นเรื่องน่าละอายที่ผมยังรู้สึกผิดอยู่ ผมไม่ควรใช้พลังของผมเพื่อหลอกคนดี ๆ อย่างลุงบิล แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่น

      “หนู...ตื่นหรือยัง?” เสียงทุ้ม ๆ ของลุงบิลดังลอดประตูเข้ามา

      ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตอบกลับไปด้วยเสียงหวานใส “ตื่นแล้วค่ะลุง!”

      ประตูเปิดออก ลุงบิลสวมเสื้อเชิ้ตลายตารางสีแดงและกางเกงยีนส์ตัวเก่ง เขายิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น “ไปกินอาหารเช้ากันเถอะ... ลุงเลี้ยงเอง”

      เราลงไปที่ห้องอาหารชั้นล่างสุด ซึ่งเป็นห้องเล็ก ๆ ที่มีโต๊ะเพียงสองสามตัว บนโต๊ะมีอาหารเช้าแบบง่าย ๆ วางอยู่ ทั้งขนมปังปิ้ง, ไข่ดาว, เบคอน, และกาแฟ ผมนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองไปที่ลุงบิล “ลุงใจดีกับหนูมากเลยนะคะ”

      ลุงบิลหัวเราะเบา ๆ แล้วยื่นแก้วกาแฟให้ผม “ไม่ต้องเกรงใจหรอกหนู... ลุงเองก็รู้สึกเหมือนมีลูกสาวขึ้นมาอีกคน”

      คำพูดของลุงบิลทำให้ผมรู้สึกจุกในอก ผมไม่สามารถมองหน้าเขาได้เลย เพราะความรู้สึกผิดมันถาโถมเข้าใส่ผมอย่างรุนแรง ผมจึงก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าเงียบ ๆ และไม่พูดอะไรอีกเลย

      หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เราก็เดินขึ้นรถบรรทุกของลุงบิล ผมนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาแล้วมองไปที่ท้องถนนที่เต็มไปด้วยแสงแดด ผมรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเราเดินทางออกจากลอสแอนเจลิส และมุ่งหน้าเข้าสู่รัฐแอริโซนา ลุงบิลเปิดวิทยุในรถแล้วก็เปิดเพลงคันทรี่ที่ผมไม่คุ้นหู ผมรู้สึกเบื่อเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

      ลุงบิลมองมาที่ผมด้วยสายตาที่สงสัยเล็กน้อย “หนูไม่ชอบเพลงคันทรี่เหรอ?”

      “หนูไม่ค่อยคุ้นหูค่ะ” ผมตอบไปตามตรง “ปกติหนูจะฟังแต่เพลงป๊อป”

      ลุงบิลหัวเราะแล้วเปลี่ยนคลื่นวิทยุให้ผมทันที เพลงป๊อปจากวงบอยแบนด์ยอดฮิตอย่าง Stray Kids ดังขึ้นมา! ผมตกใจมาก! นี่ลุงบิลก็รู้จักเพลงแบบนี้ด้วยเหรอ!

      “ลุง... รู้จัก Stray Kids ด้วยเหรอคะ?” ผมถามเขาด้วยความแปลกใจ

      ลุงบิลยิ้มให้ผม “ลุงมีลูกสาวสองคนนะหนู... แน่นอนว่าลุงจะต้องรู้จักสิ!”

      ผมยิ้มให้เขาอย่างดีใจ ผมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่เชื่อมต่อกับลุงบิลได้มากขึ้น

      เราใช้เวลาเดินทางกันเกือบห้าชั่วโมงครึ่งเพื่อไปถึงเมืองฟีนิกซ์ การเดินทางของเราไม่ได้มีอะไรที่พิเศษมากนัก ผมนั่งฟังเพลงแล้วมองไปที่วิวทิวทัศน์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงเป็นทุ่งหญ้าแห้งแล้งและต้นกระบองเพชรขนาดใหญ่ มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผมที่เติบโตมาในนิวยอร์กที่เต็มไปด้วยคอนกรีตและเหล็กกล้า

      เมื่อเราเดินทางมาถึงเมืองฟีนิกซ์ ลุงบิลก็ขับรถเข้าไปในสถานีขนส่งผู้โดยสารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ผมมองไปรอบ ๆ แล้วก็พบว่าเมืองนี้ดูเหมือนเมืองที่เงียบสงบ ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษมากนัก

      “เอาล่ะ...เรามาถึงแล้ว!” ลุงบิลพูดด้วยน้ำเสียงที่สดใส “หนูจะลงที่นี่เลยใช่ไหม?”

      ผมพยักหน้าให้เขาอย่างรวดเร็ว ผมไม่ต้องการที่จะโกหกเขาอีกต่อไปแล้ว! ผมรู้สึกผิดมากพอแล้ว!

      ลุงบิลจอดรถให้ผมลง “ดูแลตัวเองดี ๆ นะหนู” เขาบอก “แล้วอย่าลืมโทรหาลุงนะถ้ามีอะไร”

      ผมรับนามบัตรที่เขาเขียนเบอร์โทรศัพท์ด้วยลายมือหยาบ ๆ ไว้ในมือ “ถ้ามีเรื่องอะไร หนูจะโทรหาลุงนะคะ” ผมโบกมือลาลุงบิลแล้วเดินห่างออกมาจากรถบรรทุกของเขา ผมรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แล่นไปทั่วใบหน้า ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่กำลังจะแตกหักออกมาจากหัวใจของผม

      ผมหันกลับไปมองรถบรรทุกของลุงบิลอีกครั้งแล้วก็รู้สึกเสียใจมากที่ผมโกหกเขา ผมอยากจะวิ่งกลับไปหาเขาแล้วบอกความจริงกับเขา แต่ผมก็รู้ว่าผมทำไม่ได้! และลุงเขาเป็นคนธรรมดาผมไม่อาจจะเล่าเรื่องว่าตัวเองเป็นเดมิกอตให้ลุงรู้ได้!
      
      ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วก็เดินออกจากสถานีขนส่งผู้โดยสาร พอพ้นจากสายตาของลุงบิล ผมก็หาเสาไฟต้นใหญ่ ๆ แล้วหลบอยู่ข้างหลังเพื่อเริ่มทำสิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุด นั่นคือการแปลงร่าง พลังงานของผมยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ผมหลับตาลงแล้วเพ่งสมาธิไปที่ร่างเดิมของผมอีกครั้ง ร่างกายของผมเริ่มหดตัวลงจนรู้สึกเจ็บไปหมด มันเหมือนกับว่าร่างกายของผมกำลังจะถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ จากนั้นมันก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อกลับมาสู่ร่างเดิมที่ผมเป็น

      ผมได้ยินเสียงกระดูกลั่นดัง “กร๊อบแก๊บ” ไปทั่วตัว ผมรู้สึกถึงความร้อนที่แล่นไปทั่วร่างกาย ผมมองไปที่แขนของตัวเองแล้วก็พบว่ามันกลับมามีรอยสักแปลก ๆ เหมือนเดิม ผมรู้สึกโล่งใจที่มันกลับมาปกติ ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วก็เดินออกจากเสาไฟต้นใหญ่ ผมก้มมองนาฬิกาบนข้อมือแล้วก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลา 11:52 น. แล้ว!

      ผมเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ แล้วหยิบโคล่ามาหนึ่งกระป๋อง ผมรู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทางและการใช้พลังแปลงกายมาทั้งคืน แต่ผมก็รู้ว่าผมไม่มีเวลามาพักผ่อน ผมเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แล้วเปิดกระป๋องโคล่าทันที ผมยกโคล่าขึ้นดื่มจนหมดกระป๋อง แล้วก็รู้สึกถึงพลังงานที่เริ่มไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของผมอย่างช้า ๆ มันเหมือนกับว่าผมกำลังชาร์จแบตเตอรี่ให้กับตัวเองเลย

      ตอนนี้ผมอยู่ในเมืองฟีนิกซ์แล้ว! เมืองที่เต็มไปด้วยแสงแดดและอากาศร้อนอบอ้าว ผมมองไปรอบ ๆ แล้วก็พบว่าเมืองนี้ดูเหมือนเมืองที่เงียบสงบ ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษมากนัก ผมหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาแล้วเปิด Google Maps เพื่อค้นหาสถานที่ที่ผมต้องการจะไป ซึ่งก็คือใจกลางเมือง!

      ผมเดินไปตามทางเท้าที่ว่างเปล่า มีรถไม่กี่คันที่วิ่งไปตามท้องถนนในยามเช้า ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวประหลาดที่กำลังเดินอยู่ในเมืองที่ไม่มีใครต้องการ ผมเห็นผู้คนมากมายที่กำลังเดินไปทำงาน แต่ก็ไม่มีใครสนใจผมเลย ทุกคนดูเหมือนจะสนใจแต่เรื่องของตัวเอง

      และผมก็ตัดสินใจเดินต่อไปตามถนนในย่านดาวน์ทาวน์ของฟีนิกซ์ แสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องลงมาบนพื้นคอนกรีตจนเกิดเป็นไอระเหยร้อนระอุ ผมรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนเตาบาร์บีคิวขนาดยักษ์ แต่ก็ต้องทำใจเพราะชื่อเมืองก็บอกอยู่แล้วว่า ฟีนิกซ์ หรือ นกไฟ ผมควรจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกว่าที่นี่จะร้อนจนนรกยังต้องอาย

      ผมเดินผ่านกลุ่มคนมากมาย ทั้งนักท่องเที่ยวที่แต่งตัวจัดเต็มพร้อมหมวกสานใบโต, พนักงานบริษัทที่เดินกันให้ขวักไขว่, และวัยรุ่นที่เพิ่งเลิกเรียน ทุกคนดูเหมือนจะอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่มีใครสนใจชายหนุ่มที่มีรอยสักแปลกๆ อย่างผมเลย นั่นคือข้อดีของ “หมอกบังตา” ที่ทำให้คนปกติเห็นผมเป็นแค่เด็กวัยรุ่นที่แต่งตัวประหลาด แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยว

      ขณะที่ผมกำลังเดินผ่านลานกว้างหน้าหอศิลป์แห่งหนึ่งที่ดูทันสมัยและเต็มไปด้วยงานศิลปะที่ทำจากโลหะ ผมก็ได้ยินเสียงที่ดูเหมือนเสียงของใครบางคนกำลังเรียกหาผม 

      ผมมองไปที่หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า เธอเหมือนผมในร่าง ‘เดซี่’ ราวกับแกะ แม้แต่สีผมและสีตา ทุกอย่างมันเหมือนกันไปหมดจนน่าขนลุก

      “นาย... ขอเวลาคุยหน่อยได้ไหม?” เธอพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แต่ในน้ำเสียงนั้นผมรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่น่ากลัว มันเหมือนกับกลิ่นหอมของช็อกโกแลตที่เจือด้วยกลิ่นกำมะถัน

      ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่าความกลัว “คุณเป็นใคร?” ผมถามออกไป

      เธอยิ้มให้ผม “ฉันเป็นคนที่นายกำลังตามหา” เธอพูดพร้อมกับก้าวเข้ามาใกล้ผมอีกก้าว “นายกำลังตามหาขนนกฟีนิกซ์ใช่ไหม?”

      หัวใจของผมเต้นแรง นี่มันไม่ธรรมดาแล้ว! เธอรู้ได้อย่างไร? “คุณ...” ผมอ้าปากค้าง

      “ฉันรู้ทุกอย่าง” เธอพูดพร้อมกับยื่นมือออกมาหาผม “มากับฉันสิ... ฉันจะมอบสิ่งที่นายต้องการให้”

      กลิ่นหอมของช็อกโกแลตและกำมะถันมันแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกสะกดจิต ผมอยากจะเดินเข้าไปหาเธอ อยากจะสัมผัสกับมือที่ยื่นออกมา แต่ในวินาทีนั้นเอง ภาพของลิเลียน่า ไทเลอร์ ก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม

      รอยยิ้มของเธอ... น้ำเสียงที่สดใส... และแววตาที่มองมาที่ผมอย่างไว้ใจ ผมจำได้ว่าเธอเคยบอกผมว่า “อย่าไว้ใจใครง่ายๆ นะ เดม่อน...”

      คำพูดนั้นมันดังอยู่ในหัวของผมราวกับเสียงระฆัง!

      ผมสะบัดศีรษะอย่างแรงเพื่อไล่ภาพนั้นออกไป แล้วจ้องมองไปที่หญิงสาวตรงหน้า ผมใช้พลัง ตาหลากสี ของผมแล้วพยายามมองทะลุผ่านหมอกที่เธอสร้างขึ้น

      ในเสี้ยววินาทีนั้น ผมเห็นร่างของเธอเปลี่ยนไป! ใบหน้าสวยงามของเธอกลายเป็นใบหน้าของสัตว์ประหลาดที่มีจะงอยปากที่คมกริบ ดวงตาสีฟ้าของเธอกลายเป็นดวงตาสีแดงฉานราวกับถ่านที่ลุกโชน! ผมรู้สึกได้ถึงเปลวไฟที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเธอ!

      “คุณ...ไม่ใช่มนุษย์!” ผมพูดเสียงดัง

      หญิงสาวตรงหน้าหัวเราะออกมาอย่างน่ากลัว “แน่นอนสิ...ฉันไม่ใช่คน! ฉันคือ ฟีนิกซ์! เทพธิดาแห่งไฟ!”

      เธอปล่อยเปลวไฟออกมาจากมือแล้วยิงใส่ผม ผมหลบได้ทันเวลา แต่เปลวไฟนั้นก็ยังแผดเผาเสื้อเชิ้ตของผมจนขาดเป็นรู ผมรู้สึกถึงความร้อนที่แผดเผาผิวหนังของผม แต่ด้วย พรทนทานไฟที่ได้จากเฮเฟตัส มันทำให้ผมไม่รู้สึกอะไรมากนัก

      ฟีนิกซ์แสดงสีหน้าประหลาดใจ “เป็นไปไม่ได้! แกเป็นลูกหลานของเทพองค์ใดกันถึงได้ทนทานต่อเปลวไฟของฉันได้!”

      ผมมองไปที่ฟีนิกซ์แล้วยิ้ม “ฉันคือ เดม่อน... บุตรแห่งอะโฟรไดต์!” 

     ผมใช้พลังการควบคุมความรักของผมปลดปล่อยคลื่นพลังที่นุ่มนวลแต่ทรงพลังออกไปในอากาศ มันตรงเข้าสลายความแข็งแกร่งของเปลวไฟรอบๆ ตัวผม ก่อนที่ผมจะเข้าโจมตีด้วยการใช้ ดาบเธซีอุส แล้วฟันไปที่เธออย่างรุนแรง

     ฟีนิกซ์หลบได้อีกครั้ง แต่เธอก็ต้องยอมรับในความแข็งแกร่งของผม! เธอเผยร่างที่แท้จริงของเธอออกมา! มันเป็นนกขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเปลวไฟและควันสีดำสนิท! เธอกางปีกออกแล้วพุ่งเข้าใส่ผมอย่างรวดเร็ว!

     ผมสะบัดข้อมืออย่างรวดเร็ว กำไลข้อมือสีเงินเกลี้ยงเกลาที่ได้รับจากเฮเฟตัสในภารกิจที่แล้ว ก็แปรเปลี่ยนสภาพในพริบตากลายเป็นโล่แห่งโทสะ โล่ทรงกลมขนาดพอเหมาะทำจากโลหะสีดำทมิฬที่เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งพันปี ตรงกลางโล่ปรากฏลวดลายของเปลวเพลิงสีแดงเข้มที่กำลังลุกโชน ราวกับกำลังแสดงโทสะของผู้สร้างอย่างเฮเฟตัสอยู่

     เปลวไฟที่แผดเผาจากตัวฟีนิกซ์พุ่งเข้าปะทะกับโล่ของผมอย่างรุนแรง! ผมรู้สึกได้ถึงพลังงานความร้อนที่แผดเผาไปทั่วร่างกาย แต่โล่แห่งโทสะก็สามารถต้านทานมันไว้ได้ทั้งหมด! มันเหมือนกับว่าจิตวิญญาณของเฮเฟตัสกำลังปกป้องผมอยู่!

     “แก...ไปเอาโล่นั่นมาได้ยังไง!” ฟีนิกซ์คำรามอย่างเกรี้ยวกราด

     ผมไม่ตอบ แต่ผมยิ้มให้เธออย่างมั่นใจ ผมรู้ว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว! ผมมีทั้งดาบเธซีอุส โล่แห่งโทสะ และที่สำคัญที่สุด ผมมีเพื่อนที่คอยให้กำลังใจผมอยู่แม้เธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่!

     ผมไม่ยอมแพ้! ผมจะต้องเอาชนะฟีนิกซ์ให้ได้! ผมจะต้องได้ขนนกฟีนิกซ์มา!

     การต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างผมกับฟีนิกซ์เริ่มขึ้นแล้ว!

     เปลวไฟสีแดงฉานจากฟีนิกซ์ปะทะกับโล่แห่งโทสะของผมอย่างรุนแรง! ผมรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ในเตาอบ แต่โล่ก็ยังคงต้านทานไว้ได้ทั้งหมด ผมมองผ่านโล่แล้วเห็นฟีนิกซ์กำลังคำรามด้วยความโกรธ

     “โล่ของแกมันก็แค่ของเล่น!” เธอคำรามแล้วพุ่งเข้าใส่ผมอีกครั้งด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเดิม ผมตั้งรับไม่ทัน เธอใช้จะงอยปากที่คมกริบจิกเข้าที่โล่ของผมอย่างรวดเร็ว!

     เสียงโลหะเสียดสีกันดังสนั่น! ผมรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่รุนแรงจนร่างกายของผมสั่นไปหมด! ฟีนิกซ์พยายามที่จะดันผมให้ล้มลง แต่ผมก็ยังคงยืนหยัดสู้ต่อไป

     “อย่าคิดว่าจะเอาชนะฉันได้ง่ายๆ!” ผมตะโกนแล้วใช้พลัง การควบคุมความรักของผมปลดปล่อยคลื่นพลังออกมาอีกครั้ง คลื่นพลังนั้นพุ่งเข้าสลายความแข็งแกร่งของเปลวไฟที่ปกคลุมตัวฟีนิกซ์ทำให้เธออ่อนแรงลงเล็กน้อย

     ผมฉวยโอกาสนั้นแล้วพุ่งเข้าไปหาเธอ! ผมใช้ดาบเธซีอุสฟันไปที่ปีกของเธออย่างรุนแรง!

     “ฉึก!”

     เสียงคมดาบกรีดลงบนปีกของฟีนิกซ์ดังขึ้น! เธอกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วบินถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว! เปลวไฟจากตัวเธอเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อนๆ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเธอกำลังอ่อนแรงลง

     ผมรู้สึกดีใจ แต่ความดีใจนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน...

     ฟีนิกซ์มองมาที่ผมด้วยดวงตาสีแดงฉาน “แกกำลังทำให้ฉันโกรธแล้วนะ!” เธอคำรามแล้วเปลวไฟจากตัวเธอก็ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง! เปลวไฟในครั้งนี้มันร้อนและรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า! มันเหมือนกับว่าฟีนิกซ์ได้ปลุกพลังที่แท้จริงของเธอขึ้นมา!

     ผมพยายามที่จะตั้งรับอีกครั้ง แต่แรงโจมตีของฟีนิกซ์มันรุนแรงเกินไป! ผมถูกกระแทกจนตัวลอยไปกระแทกกับผนังของหอศิลป์อย่างจัง! ผมรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วร่างกาย! ผมพยายามที่จะลุกขึ้นยืน แต่ร่างกายของผมมันไม่ยอมทำตามคำสั่ง!

     ฟีนิกซ์หัวเราะอย่างน่ากลัวแล้วเดินเข้ามาหาผมช้าๆ! เปลวไฟจากตัวเธอกำลังแผดเผาทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเธอจนไหม้เกรียม! ผมรู้ว่าผมกำลังจะตายแล้ว!

     แต่ในวินาทีนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงที่ดังขึ้นมาในหัวของผม... เสียงนั้นเป็นเสียงของ ลิเลียน่า!

     “เดม่อน... สู้สิ... นายทำได้!”

     คำพูดนั้นมันดังขึ้นมาในหัวของผมราวกับเสียงระฆัง!

     ผมรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีแล้วลุกขึ้นยืน! เสียงนั้นทำให้ผมไม่ยอมแพ้!

     ฟีนิกซ์แสดงสีหน้าประหลาดใจ “เป็นไปไม่ได้! แกยังไม่ตายอีกรอะ!”

     ผมยิ้มให้เธออย่างมั่นใจ “ฉันไม่เคยยอมแพ้ง่ายๆ อยู่แล้ว!” ผมตะโกนแล้วพุ่งเข้าใส่เธออีกครั้ง! ผมใช้ดาบเธซีอุสฟาดฟันไปที่เธออย่างรุนแรง!

     “ฉันจะเอาชนะแกให้ได้!”

     ผมใช้พลังการควบคุมความรักของผมปลดปล่อยคลื่นพลังออกมาอีกครั้ง คลื่นพลังนั้นพุ่งเข้าสลายความแข็งแกร่งของเปลวไฟจากตัวฟีนิกซ์ แล้วผมก็ใช้ดาบเธซีอุสฟันไปที่เธออย่างรุนแรง!

     ฉั๊วะ!

     ผมฟันเข้าที่อกของฟีนิกซ์อย่างจัง! เธอกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วร่างกายของเธอก็เริ่มสลายไป! เปลวไฟจากตัวเธอเริ่มดับลงอย่างช้าๆ แล้วร่างกายของเธอก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปในที่สุด!

     ผมมองไปที่เถ้าถ่านของฟีนิกซ์แล้วก็รู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบจะยืนไม่ไหว! ผมล้มตัวลงนั่งแล้วพิงกับผนังของหอศิลป์ ผมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ แล้วก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วร่างกาย!

     ผมมองไปที่เถ้าถ่านของฟีนิกซ์แล้วก็รู้สึกผิดที่ผมฆ่าเธอ! แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็รู้สึกโล่งใจที่ผมรอดมาได้!

     “ฉันทำได้แล้ว...” ผมพึมพำกับตัวเอง

     ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปใกล้เถ้าถ่านของฟีนิกซ์ ผมใช้มือคุ้ยเถ้าถ่านนั้นแล้วก็พบกับ... ขนนกฟีนิกซ์!

     มันเป็นขนนกสีทองอร่ามที่เปล่งแสงสีแดงอ่อนๆ ออกมา ผมหยิบมันขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วก็รู้สึกได้ว่าขนนี้ทรงพลังอย่างมาก ของชิ้นแรกที่จำเป็นต่อการทำเกราะช่วงล่างของผม!

     ผมเดินออกจากลานกว้างนั้นแล้วก็พบว่าถนนในย่านดาวน์ทาวน์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง... หมอกบังตาเริ่มกลับมาทำงานอย่างช้าๆ ผู้คนที่เคยยืนนิ่งงันมองผมด้วยความประหลาดใจ ตอนนี้ก็กลับไปสนใจโทรศัพท์มือถือและเรื่องของตัวเองกันหมดแล้ว ไม่มีใครจำได้เลยว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนมีนกไฟขนาดยักษ์กำลังต่อสู้กับเด็กผู้ชายคนหนึ่งอยู่กลางเมือง ผมรู้สึกโล่งใจที่เรื่องราวทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบจะยืนไม่ไหว

     ผมรีบเดินเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน แล้วใช้พลังแปลงกายกลับมาเป็น 'เดซี่' อีกครั้ง คราวนี้ผมทำมันอย่างรวดเร็วและราบรื่นกว่าเดิมมาก ผมรู้สึกได้ว่าร่างกายของผมเริ่มคุ้นชินกับการใช้พลังนี้แล้ว

     เมื่อแปลงร่างเสร็จ ผมก็เดินกลับไปที่ถนนใหญ่ หวังว่าจะหาทางกลับไปลอสแอนเจลิสก่อน ผมรู้สึกว่าการผจญภัยในเมืองฟีนิกซ์มันหนักหนาเกินไปแล้วในตอนนี้ ผมต้องการพักผ่อน แต่ผมไม่รู้ว่าฟีนิกซ์มันจะกลับมาเร็วแค่ไหน พวกมันไม่เหมือนอสุรกายตัวอื่น ๆ จากตำนานพวกมันฟื้นขึ้นมาได้รวดเร็วเพราะว่าพวกมันไม่ได้ตายจริง ๆ

     ในขณะที่ผมกำลังเดินไปตามทางเท้าที่เต็มไปด้วยผู้คน ผมก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง!

     ไกลออกไป... บนยอดตึกสูงแห่งหนึ่ง... ผมเห็นนกขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่...

     มันไม่ใช่แค่ 'นก' ธรรมดา แต่มันคือ ฟีนิกซ์!

     มันไม่ใช่ตัวเดิมที่ผมเพิ่งจะต่อสู้ด้วย แต่มันดูเหมือนตัวที่กำลังเกิดใหม่... มันมีขนาดเล็กกว่าตัวเดิม แต่เปลวไฟสีแดงที่ลุกโชนรอบตัวของมันก็ทำให้ผมรู้ทันทีว่ามันเป็นฟีนิกซ์อีกตัวหนึ่งที่กำลังจ้องมองมาที่ผม!

     “ให้ตายสิ...” ผมพึมพำกับตัวเอง “สงสัยเรื่องนี้มันจะใหญ่กว่าที่คิด”

     ผมรีบก้าวเท้าเดินต่อไปทันที ผมไม่ต้องการที่จะต่อสู้กับฟีนิกซ์อีกตัวในตอนนี้! ผมจะต้องกลับไปลอสแอนเจลิสให้เร็วที่สุด! ผมจะต้องหาใครสักคนที่จะสามารถพาผมกลับไปได้!

     ผมเดินไปตามถนนจนกระทั่งมาถึงบริเวณที่รถบรรทุกชอบจอดพัก ผมชะลอฝีเท้าลงแล้วเริ่มมองหาคนขับรถบรรทุกที่ดูเหมือนจะใจดี ผมเหลือบไปเห็นรถบรรทุกคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างทาง คนขับรถเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้าที่ดูเป็นมิตร

     ผมเดินเข้าไปหาเธอแล้วส่งรอยยิ้มที่อ่อนหวานที่สุดให้เธอ “สวัสดีค่ะคุณป้า...” ผมพูดด้วยเสียงที่อ่อนหวานที่สุด “หนูหลงทางค่ะ...คุณป้าช่วยหนูหน่อยได้ไหมคะ?”

     หญิงสาวคนขับรถมองมาที่ผมด้วยสายตาที่สงสัยเล็กน้อย แต่เมื่อผมใช้มนต์มหาเสน่ห์ของผม เธอก็ยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่นแล้วพยักหน้าอย่างไม่ลังเล

     “ได้สิจ๊ะหนู...ป้าจะไปลอสแอนเจลิสอยู่แล้ว”

     ผมยิ้มออกมาอย่างดีใจ... ผมรอดแล้ว!

     ผมรีบปีนขึ้นไปนั่งข้างๆ คนขับแล้วส่งรอยยิ้มให้เธออีกครั้ง “ขอบคุณนะคะคุณป้า!”
     
     รถบรรทุกคันนั้นเริ่มเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ทิ้งเมืองฟีนิกซ์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อไว้เบื้องหลัง...

     การผจญภัยของผมยังไม่จบลง! ผมรู้ดีว่าฟีนิกซ์อีกตัวหนึ่งกำลังจ้องมองมาที่ผมอยู่! ผมจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ถ้ามันพุ่งโจมตีผมตอนนี้ ทางที่ดีผมภาวนาให้คุณป้าขับรถเร็วขึ้นเพื่อออกจากเมืองนี้!

     ผมมองไปที่ท้องถนนที่เต็มไปด้วยแสงแดด แล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก... ผมได้พักหายใจแล้ว... แต่ก็คงจะพักได้ไม่นาน ชีวิตข้างนอกนี้อันตราย หรือบางทีผมน่าจะกลับไปค่ายที่ลองไอแลนด์เพื่อพักผ่อนสักพักก่อนจะหาวัตถุดิบสำหรับกางเกงเกราะของผม แต่ตอนนี้ได้แต่หวังให้ไปถึงลอสแองเจลิสโดยปลอดภัยก่อน!
      

+2 ตื่นรู้จากการพิชิตฟีนิกซ์ครั้งแรก (Link)
ตัวที่ 2 กดหนี


NC

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 86354 ไบต์และได้รับ 48 EXP!  โพสต์ 2025-8-25 22:21
โพสต์ 86,354 ไบต์และได้รับ +1 Point +35 เกียรติยศ จาก Icarus Mirror  โพสต์ 2025-8-25 22:21
โพสต์ 86,354 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก แหวนห้วงมิติ  โพสต์ 2025-8-25 22:21
โพสต์ 86,354 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก พร: ทนทานไฟ  โพสต์ 2025-8-25 22:21
โพสต์ 86,354 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก โล่แห่งโทสะ  โพสต์ 2025-8-25 22:21

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
ตาหลากสี
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x1
x2
x14
x2
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-9-17 04:01:22 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 14 เดือน กันยายน ปี 2025

ช่วงค่ำถึงดึก เวลา 21.04 - 21.56 ถึงฟีนิกซ์ ลาดตระเวน มุ่งหน้าสู่ แกรนด์แคนยอน (290 กิโลเมตร = 22 นาที)


หลังจากที่ถึงเมืองฟีนิกซ์โมนีก้าก็บ่นนิดหน่อยบอกว่าจบเมืองนี้ก็ถึงแกรนด์แคนยอนก็จบแล้ว เธอเลยลงมือจ้องแล้วก็สำรวจลาดตระเวนเมืองฟีนิกซ์อย่างรวดเร็วแต่ก็ยังคงละเอียด ประมาณ 5 นาที ก็พบสิ่งผิดปกติ เป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายม้าหรือหมีผสมสุนัขตัวใหญ่ประมาณ 4-5 ฟุต 3 ตัว นั้นมัน ชูปาคาบรา?! 


เหนือท้องฟ้าเมืองฟีนิกซ์ เครื่องบินลาดตระเวนลดระดับลงช้า ๆ ตามคำสั่งการบินฉุกเฉิน เสียงเครื่องยนต์แผ่วเบาภายใต้โหมดล่องหน ขณะที่ลมร้อนจากทะเลทรายพัดกระแทกตัวเครื่องจนสั่นสะเทือน โมนีก้ากัดฟันแน่นหัวใจเต้นแรง เธอรายงานตำแหน่งสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เพิ่งพบเมื่อครู่ เสียงของเธอหนักแน่นแม้จะตื่นเต้น “ซ้าย 24 องศา ระยะ 30 เมตร พบสิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายชูปาคาบรา จำนวนสามตัว กำลังเคลื่อนเข้าหาเขตชุมชนค่ะ”


นักบินตอบสั้น ๆ พร้อมดึงคันบังคับปรับระดับ “รับทราบ กำลังร่อนลงต่ำ เตรียมตัวกระโดด” หญิงสาวสูดลมหายใจลึกครั้งสุดท้าย ตรวจเช็กสายร่มและอาวุธที่คาดอยู่ข้างเอว กราดิอุสสั้นสะท้อนประกายเงินในแสงแดดแรงจัด เธอกระชับสายรัดหน้าอกแล้วตะโกนใส่วิทยุ “พร้อม!”


“เปิดประตู!” นักบินประกาศ เสียงลมทะเลทรายพุ่งทะลักเข้ามาในทันที


โมนีก้าก้าวพ้นขอบประตูราวกับหลุดจากโลก เธอพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้าสีฟ้าสว่างจ้า ลมแรงบาดผิวหน้าจนแสบ ดวงตาสีเทาเงินกวาดมองหาภูมิประเทศเบื้องล่าง ข้างใต้เป็นพื้นที่โล่งสลับเนินทรายและก้อนหินสีแดงเข้ม เธอเห็นร่างสิ่งมีชีวิตสามตัวกำลังวิ่งตัดผ่านแนวต้นกระบองเพชร หนามหลังของมันส่องประกายสะท้อนแสงอาทิตย์คล้ายใบมีด เสียงลมหวีดหวิวดังอยู่รอบตัว เธอกระตุกสายร่มหลัก ร่มกางออกทันใด แรงดึงรั้งจนร่างเธอสั่นสะท้าน จากนั้นค่อย ๆ ลดระดับลงสู่พื้นทะเลทราย เธอแกะสายร่มออกทันทีที่เท้าแตะพื้นทรายร้อน ก่อนชักกราดิอุสออกจากฝัก เสียงโลหะเสียดกันกังวานท่ามกลางความเงียบ


ร่างแรกของชูปาคาบราพุ่งเข้าหา เธอหมุนตัวหลบแล้วฟาดคมดาบเฉียงขึ้น หนามคมของมันเฉียดแขนเสื้อไปเพียงเสี้ยวนิ้ว เลือดสีคล้ำทองกระเซ็นบนผืนทราย ร่างที่สองกระโจนตามมาติด ๆ โมทีก้าก้มต่ำสอดเท้าก้าวสั้นแล้วแทงกราดิอุสเข้าที่ลำคออย่างแม่นยำ เสียงแหลมของสัตว์ประหลาดก้องสะท้อนกลางทะเลทราย


ตัวสุดท้ายคำรามต่ำ ดวงตาสีแดงกล่ำส่องประกายในเงาแดด เธอขยับท่ารับ คมดาบเงาวับอยู่ในมือ ก่อนจะพุ่งเข้าประชิดในจังหวะเดียวกับที่มันกระโจนมา เธอสไลด์ตัวหลบเข้าด้านข้างแล้วฟันฉับผ่านแนวซี่โครง มันล้มลงกองกับพื้นส่งเสียงครางสุดท้ายก่อนร่างสั่นกระตุกเงียบสนิท


โมนีก้ายืนหอบท่ามกลางความร้อนระอุของทะเลทราย เสียงวิทยุจากนักบินดังแทรกเข้ามา “สถานการณ์เป็นไงบ้าง” หญิงสาวเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก ตอบสั้นแต่ชัด “สิ้นสุดภัยคุกคาม ชูปาคาบราทั้งสาม ถูกกำจัดเรียบร้อย เคลียร์พื้นที่ฟีนิกซ์”


“ยอดเยี่ยม” น้ำเสียงนักบินแฝงรอยยิ้ม “เตรียมจุดรับตัว ผมจะเข้าสู่โหมดล่องหนลงมาใกล้ที่สุด” โมนีก้ามองซากสัตว์ประหลาดทั้งสามท่ามกลางแดดทะเลทราย รู้สึกถึงแรงเต้นของหัวใจที่ยังคงรุนแรง เธอกระชับกราดิอุสเก็บเข้าฝัก สูดลมหายใจลึกอีกครั้งก่อนก้าวออกไปยังจุดรับตัว พร้อมสำหรับการเดินทางต่อไปยังแกรนด์แคนยอน จุดหมายสุดท้ายของภารกิจอันยาวนานในวันนี้ "ที่สุดท้าย พื้นที่แกรนด์แคนยอน ระยะทาง 180 ไมล์ ประมาณเวลา 22 นาที"




รางวัลเพิ่มเติม : 

มีค่า LUK 80 หน่วย จะได้รับของดรอป x2

ได้รับ เขี้ยวแวมไพร์ จำนวน 2 ชิ้น = 2 x 2 = 4 ชิ้น

ได้รับ ขวดเลือดชูปาคาบรา จำนวน 2 ชิ้น = 2 x 2 = 4 ขวด


สรุป ได้รับเขี้ยวแวมไพร์ 2 ชิ้น ขวดเลือดชูปาคาบรา 2 ขวด

+2 ตื่นรู้ จากการจำกัด ชูปาคาบรา ครั้งแรก


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 22669 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-17 04:01
โพสต์ 22,669 ไบต์และได้รับ +4 EXP +8 ความศรัทธา จาก น้ำหอม Unisex  โพสต์ 2025-9-17 04:01
โพสต์ 22,669 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก เสื้อค่ายจูปิเตอร์  โพสต์ 2025-9-17 04:01
โพสต์ 22,669 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก หนังสือนิยาย  โพสต์ 2025-9-17 04:01
โพสต์ 22,669 ไบต์และได้รับ +8 EXP +10 เกียรติยศ จาก เกมคอนโซลพกพา  โพสต์ 2025-9-17 04:01

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x1
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
โพสต์ 3 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-10-18 05:07

วันที่ 16 เดือน ตุลาคม ปี 2025

ช่วงเย็น เวลา 18.37 -  19.07 น. ถึงฟีนิกซ์ ลาดตระเวน มุ่งหน้าสู่ แกรนด์แคนยอน (290 กิโลเมตร = 22 นาที)


แสงพลบค่ำของทะเลทรายโซโนแรนคลี่เป็นผ้าสีอำพันเหนือมหานครฟีนิกซ์ เมื่อเครื่องบินลาดตระเวนลดระดับเข้าสู่วงลาดตระเวน แถบแสงสุดท้ายของวันไล้ปีกโลหะจนเกิดประกายไฟจาง ๆ บนขอบคมเหมือนขนนกของอินทรีเหล็ก “ตอนช่วงโลกไม่มีกลางคืน ฉันเครียดมากเลยค่ะ” โมนีก้าพูดเบา ๆ พลางมองท้องฟ้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนจากทองเป็นส้ม “พอมีพลบค่ำแบบนี้ แค่นิดเดียวก็ดีกว่าดวงอาทิตย์ส่องทั้งวัน เทพอะพอลโลคงเหนื่อยแน่ ๆ”


อาเธอร์หัวเราะต่ำ ๆ จากเบาะนักบิน “ถึงไม่มีกลางคืนเต็ม ๆ ก็ยังมีช่วงพลบค่ำยาวไปถึงตีสองนะ ถือเป็นเวลาหลับของฟ้า”


“ได้ขนาดนั้นก็ดีค่ะ” เธอยิ้มบาง ตาไล่ไปตามขอบเมือง แผงอินฟราเรดนิ่งเรียบ คลื่นความร้อนจากถนนคอนกรีตเต้นเท่าที่เมืองทะเลทรายควรเป็น ยี่สิบนาทีผ่านไปอย่างเรียบร้อย กระทั่งนาทีที่สามสิบจุดร้อนบนขอบจอระเบิดขึ้นเป็นดอกไฟสีส้มแดงอยู่นอกชานเมืองด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อนผิดปกติราวใครเอาตะเกียงยักษ์ไปตะบันกลางผืนทราย “เจออะไร” อาเธอร์หรี่ตา


“ไฟลุกกลางพื้นที่ว่าง…ความร้อนสูงกว่าปกติหลายเท่า” โมนีก้ากดพิกัด “ขอเข้าไปดูใกล้ ๆ นะคะ ฉันจะโรยตัวลงตรวจสอบ”

“รับทราบเข้าจากเหนือลม เปิดโหมดล่องหน รอโทรลิฟต์อยู่บนฟ้า ถ้ามีสู้ภาคพื้น ส่งสัญญาณ B” ประตูท้ายเลื่อนเปิด ลมแห้งร้อนพุ่งเข้าปะทะ เสียงทรายเสียดสีกับลำโลหะดังซู่ เธอเกี่ยวตะขอโรยตัว ก้าวออกเหนือโถงอากาศ และให้แรงโน้มถ่วงพาเธอลงอย่างนุ่มในสามลมหายใจ เมื่อปลายรองเท้าแตะพื้นโลก กลิ่นกำมะถันอุ่น ๆ กับเถ้าร้อนแล่นขึ้นจมูก หน้าผาหินแหว่งเผยปากถ้ำที่หายใจเป็นแสง


ภายในถ้ำสว่างวาบด้วยเปลวไฟสีทองแดงที่ปัดป่ายไปตามผนังหิน เหมือนรุ่งอรุณถูกจับขังไว้ในโพรงมืด เสียงปีกกระพือกรีดอากาศอย่างเกรี้ยวกราด และร่างมหึมาของฟีนิกซ์ก็พุ่งผ่านเปลวไฟออกมาดุจพายุแสง ขนแต่ละเส้นเป็นเกล็ดเพลิงสลักลายละเอียดจนแทบดูเป็นโลหะมีชีวิต นัยน์ตาสีทองเฉียบลึกจนดูคล้ายแสงอาทิตย์หยดเข้ามาอยู่ในลูกตา มันตะปบอากาศผ่าวร้อนตรงหน้า เธอตั้งดาบแตะกำไลที่ข้อมือ เสียง “คลิก” เบา ๆ แล้วดาบสุริยคติ ก็แตกประกายเป็นคมสีทองขาวในมือ ออร่ารอบคมดาบเย็นพอจะแหวกไฟได้โดยไม่ไหม้ เธอพุ่งสวน คมดาบเฉือนกระแสลมร้อนให้แตกออกสองทางเหมือนน้ำกระทบหัวเรือ


ฟีนิกซ์ตวัดปีกกว้างเท่าประตูโถง เปลวไฟฟาดลงดั่งแส้ เธอหมุนตัวหลบในจังหวะนั้น ดาบเฉียงตัดหางไฟให้เป็นฝนประกายที่ไม่ทำลายผิวหิน เธอไม่แทงลึกเพียงแตะให้มันเอนแรงและเสียจังหวะ แล้วขยับตำแหน่งระหว่างชีพจรไฟกับผนังหินที่สะท้อนลม เธอฟังภาษาผืนดินใต้ฝ่าเท้าเปลวกำลังฮึกแต่หัวใจของไฟอ่อนอย่างประหลาด เหมือนคนไข้ไข้สูงที่หอบอยู่


เพียงสามจังหวะสั้น ๆ ฟีนิกซ์ก็อ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด ปีกหนักหอบลง รอยเพลิงบนขนหรี่ตามจังหวะหายใจที่สั่น นัยน์ตาทองของมันไม่ใช่สายตาศัตรูอีกต่อไป แต่เป็นสายตาของผู้ปกป้องและสิ่งที่มันปกป้อง… อยู่ด้านหลังบนแท่นหินลาวาสีดำมันวาว


ไข่ฟีนิกซ์…?? ขนาดราวศีรษะมนุษย์ รูปทรงรีที่ดูคล้ายลูกบาสเก็ตบอลถูกแกะจากหินลาวาบริสุทธิ์ ขลิบเส้นทองวิบวับอย่างไม่ใช่โลหะโลกีย์ พื้นผิวแดงเพลิงกับทองสลับกันเป็นชั้นคลื่นเหมือนเปลวแดดเหนือทะเลทราย เมื่อเธอใกล้เข้าไป ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านออกมามันอุ่น “มีชีวิต” ไม่ใช่ร้อนเผาถ้าเงียบพอเธอได้ยินเสียงเต้น ตึก…ตึก… แผ่วลึกจากข้างใน


ฟีนิกซ์มองเธออีกทียาวและนิ่งก่อนจะดันไข่ด้วยปลายปีกเข้าหาเธออย่างช้า ๆ นัยน์ตาทองของมันบอกความหมายโดยไม่ต้องใช้ภาษา ช่วยดูแลมัน ราวแม่ที่กำลังฝากเด็กทารกไว้กับคนแปลกหน้าเพราะไฟของชะตาข้างนอกแรงเกินไป “เดี๋ยว… เดี๋ยวสิ” โมนีก้าค่อย ๆ ประคองไข่ขึ้นจากแท่นมัน เบา กว่าที่ควรจะเป็นมาก ประหนึ่งถือดวงอาทิตย์ย่อส่วนที่ไม่มีน้ำหนัก เธอเงยหน้าขึ้น ทันเห็นร่างแม่ฟีนิกซ์โค้งปีกคลุมตัวเอง ปล่อยไฟลุกท่วมเป็นดอกไม้บานชั่ววูบ ก่อนร่างนั้นจะแตกเป็นเถ้าแวววาวร่วงโปรยลงพื้นเหมือนหิมะสีทอง วงจรนิรันดร์ของมันเริ่มนับใหม่ในความเงียบ


เธอยืนนิ่ง อกแน่นด้วยบางอย่างที่ระบุชื่อไม่ได้สักที จนความร้อนจากไข่ที่กอดอยู่บอกให้ขยับ เธอเปิดถุงหุ้มฉุกเฉินแบบกันความร้อนสองชั้นจากเอว คลุมไข่ไว้หนาแน่น ทดสอบความแนบแน่นของสายรัด แล้วตวัดขึ้นหลังราวสะพายเป้


“สถานการณ์เป็นไง?” เสียงอาเธอร์ลอดหูฟังมาชัดเจนแต่ห่างไกลเพราะหัวใจเธอยังเต้นดังกลบบางส่วน

“…ลงพื้นแล้วค่ะ มีจุดไฟ…เคลียร์แล้ว” เธอกลืนน้ำลาย “พบสิ่งหนึ่ง ขอกลับขึ้นลำก่อน รายงานพร้อมกันทีเดียว”


“รับทราบ เปิดล่องหนอยู่เหนือปากถ้ำยกคุณขึ้นได้ทุกเมื่อ” สิ้นคำโมนีก้าวิ่งเบา ๆ ไปยังเชือกโรย ดึงสกรูล็อกสองคลิก แล้วให้แขนกับไหล่ทำงานแทนความสั่นในอก เมื่อปลายรองเท้าแตะพื้นโลหะของประตูท้าย เครื่องก็ยกสูงช้า ๆ ดึงเธอขึ้นสู่ท้องฟ้าพลบค่ำอีกครั้ง กลิ่นโลหะเย็นกับน้ำมันเครื่องทาบทับกลิ่นเถ้าไฟ เธอโน้มตัวเข้าเครื่องบินลาดตระเวนปิดประตูท้าย ภายในห้องบรรทุกสว่างสีน้ำเงินจาง ๆ เธอยืนหอบอยู่ครู่หนึ่ง ไข่ในอ้อมแขนเปล่งแสงส้มอุ่นลอดผ้าห่มออกมาเหมือนตะเกียงดวงเล็กที่ดื้อจะส่องแม้ถูกห่อหลายชั้น


“บลอสซัม?” อาเธอร์เอ่ยเรียกจากค็อกพิท น้ำเสียงยังคงนิ่ง “คุณ…ปลอดภัยนะ? เจออะไร”

เธออ้าปากคำแรกติดคอไปชั่ววูบ เพราะไม่เคยคิดว่าจะต้องพูดประโยคนี้ในชีวิตภาคสนาม “เอ่อ…ค่ะ ปลอดภัยดี แล้วก็… ฉันมี… ไข่”


“ขอทวนอีกที” เสียงเขาตั้งใจมากขึ้น เห็นได้จากปลายประโยคที่ชะงัก “คุณว่า? ไข่อะไรนะ?” เธอเดินมาที่เบาะผู้สังเกตการณ์ช้า ๆ วางห่อในตักอย่างระวัง แล้วเผยให้เห็นผิวไข่ที่ส่องแสงอุ่นลอดผ้าออกมา จังหวะหัวใจนั้น ตึก…ตึก… ดังพอที่ในห้องเงียบ ๆ จะได้ยิน “ไข่ของฟีนิกซ์ค่ะ”


อาเธอร์เหลือบมามองและนิ่งไปหนึ่งวินาทีเต็ม ๆ “โอ้พ่อ…” เขาหายใจช้าลงเหมือนนักบินกำลังคุมเครื่องให้ผ่านลมแรง “มัน…”


“ฟีนิกซ์ตัวแม่มอบให้ฉัน ก่อนมันจะ…กลับสู่เถ้า” โมนีก้าพูดแผ่วแต่มั่นคงแบบสับสน “มันดูแลมาคนเดียว น่าจะหมดแรงแล้ว” ความเงียบระหว่างนักรบสองคนค้างอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนเสียงสวิตช์ดังแกร๊ก ๆ จากหน้าเครื่อง “เปลี่ยนระบบปรับอุณหภูมิห้องหลังเป็นโหมดคงเสถียรภาพความร้อน ปิดช่องลมเย็น…เรียบร้อย” อาเธอร์พูดเหมือนอ่านเช็กลิสต์ แต่ทุ้มเสียงแผ่วลงอย่างระวัง “เราจะถือว่านี่คือผู้โดยสารมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ ห้ามกระแทก ห้ามกดทับ ห้ามปล่อยให้เย็นจัดหรือร้อนเกิน ผมจะรักษาวงบินให้เรียบที่สุด”


โมนีก้าพยักหน้า มือยังประคองไข่แนบอก “ขอบคุณค่ะ…ฉัน…ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้ครบ แต่มันฝากฉันไว้จริง ๆ”


อาเธอร์ชำเลืองดวงไฟอุ่นในตักเธออีกครั้ง แล้วรอยยิ้มมุมปากที่ไม่ค่อยได้เห็นก็ค่อย ๆ โผล่ “ไม่ต้องอธิบายมาก ผมเห็นแสงในมือคุณก็พอแล้ว” เขาผลักคันเร่งนุ่ม ๆ “เราจะปิดเคสฟีนิกซ์ว่า ‘พบปรากฏการณ์ไฟผิดปกติไม่เป็นภัยต่อเมือง’ แล้วคงเส้นทางไปต่อก่อนกลับฐานตามกำหนด แล้วค่อยไปรายงานพรินซิเปียก็ได้ ระหว่างนี้…คุณดูแลตะวันตัวน้อยให้ดี”


“ตะวันตัวน้อย…” เธอเผลอหัวเราะเบา ๆ กับชื่อเล่นที่หลุดมาง่ายดาย “ตกลงค่ะ” ไข่ในอ้อมแขนเต้น ตึก…ตึก… ตอบรับราวรับรู้ ถ้อยคำในรายงานวิ่งในหัวเธอไม่หยุด ไข่ฟีนิกซ์ เปลือกหินลาวาและโลหะมีค่า น้ำหนักเบากว่าที่คาด แผ่ความอบอุ่นคงที่ เปล่งแสงส้มอ่อนในที่มืด ต้องอาศัยเปลวไฟบริสุทธิ์สำหรับการฟัก…แต่ในช่วงสั้น ๆ เธอปล่อยให้ส่วนของหัวใจ ไม่ใช่ส่วนของเจ้าหน้าที่เขียนบรรทัดเงียบ ๆ เพิ่มไว้ข้างในว่า มันฝากชีวิตไว้กับฉัน


ด้านนอก หน้าต่างค็อกพิทล้อมเสียงลมไว้เป็นวงแคบ เมืองฟีนิกซ์ค่อย ๆ ถอยห่าง แสงพราวของมันเหมือนทะเลดาวที่กลับลงสู่พื้นดิน แผงคอนโซลเปลี่ยนโหมดทางไกล เงาใบหน้าอาเธอร์สงบไม่ต่างจากฟ้าที่เขาควบคุม “บลอสซัม”


“คะ?”

“ถ้าใครถามว่าทำไมฟ้าคืนนี้สว่างขึ้นนิดหนึ่ง บอกเขาไปว่าเรามีพระอาทิตย์สำรองบนลำก็แล้วกัน” เขาพูดเรียบ ๆ แต่หางเสียงมีแววขำกลบเก้อ โมนีก้าส่ายหน้า ยิ้มที่มุมปาก ดวงตายังฉายแสงอุ่นจากไข่ในอ้อมแขน “รับทราบค่ะ กัปตัน”


ได้รับ ไข่นกฟีนิกซ์ (ได้เวลาเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว)

+2 ตื่นรู้ จากการจำกัด ฟีนิกซ์ ครั้งแรก


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 40881 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 40,881 ไบต์และได้รับ +10 EXP +12 ความกล้า +9 ความศรัทธา จาก การควบคุมธรนี  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 40,881 ไบต์และได้รับ +9 EXP +12 เกียรติยศ +12 ความศรัทธา จาก เข็มทิศ  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 40,881 ไบต์และได้รับ +9 EXP +9 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก รากพันธนาการ  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 40,881 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก หนังสือนิยาย  โพสต์ 3 วันที่แล้ว

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
การควบคุมธรนี
สัมภาระเต็มรูปแบบ
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หนังสือนิยาย
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
Icarus Mirror
ดาบสุริยคติ
น้ำหอม Unisex
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
เกราะทหารโรมัน
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
นาฬิกาสปอร์ต
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x5
x2
x2
x8
x2
x10
x5
x5
x20
x20
x6
x16
x63
x1
x7
x2
x4
x8
x6
x6
x1
x3
x8
x14
x10
x2
x22
x17
x1
x3
x3
x2
x5
x5
x2
x18
x26
x7
x5
x13
x6
x45
x36
x13
x69
x1
x1
x32
x2
x9
x70
x2
x2
x2
x20
x5
x4
x5
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้