1234
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป

LOVE AND WAR SHOW(?)

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-8-13 12:45:12 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Daemon เมื่อ 2025-8-13 19:07

XXX
— Ruby—
13 · สิงหาคม · 2025 · 08.00 - 22.00 น.

      ลมหนาวสุดท้ายจากทวีปที่แข็งกระด้างยังคงกัดกินผิวหนังของเรา แต่ก็ไม่เท่ากับความโล่งใจที่แผ่ซ่านเข้ามาเมื่อเรือมินิบานาน่าของรีชาได้ออกจากชายฝั่งน้ำแข็งของแอนตาร์กติกามาได้ในที่สุด ภารกิจที่นั่นสิ้นสุดลงแล้ว และเราก็ได้รอดชีวิตมาได้อีกครั้ง

      ฉันใช้สมาร์ทโฟนของฉันตรวจสอบแผนที่และกระแสลมอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่รีชาก็ช่วยนำทางเราไปตามกระแสน้ำที่ถูกต้อง ซึ่งก็ทำให้เราออกจากทวีปน้ำแข็งมาได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ฉันรู้สึกโล่งใจที่พ้นจากที่นรกนั่นเสียที อย่างน้อยก็ไม่มีอสุรกายน้ำแข็งหรือยักษ์โง่ๆ ตามมาอีกแล้ว

      ส่วนเดม่อน... เขายังคงเงียบไปพักใหญ่หลังจากที่ฉันเข้าไปชกหน้าเขา ตอนนี้เขาก็นั่งอยู่บนเรือด้วยใบหน้าที่ดูเศร้าหมอง ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำมันอาจจะเกินไป แต่ความโกรธที่เขาแบกรับคำสาปของพ่อฉันไว้คนเดียวมันทำให้ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ แต่หลังจากที่เขาพยายามอธิบายแล้ว...ฉันก็เข้าใจเขามากขึ้นแล้ว

      "พี่รูบี้คะ เราจะไปทางไหนกันต่อคะ?" รีชาถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สดใส "หนูรู้สึกว่าเรากำลังจะเข้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิกใต้แล้วนะคะ"

      ฉันพยักหน้าให้เธอ "ใช่" ฉันตอบ "ถ้าดูจากแผนที่ในสมาร์ทโฟนของฉันแล้ว เรากำลังจะเข้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิกใต้แล้วล่ะ"

      เราเดินทางกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสภาพอากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แสงแดดที่สาดส่องลงมาบนผิวน้ำทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาก ตอนนี้เราไม่ได้อยู่ท่ามกลางธารน้ำแข็งอีกแล้ว แต่เราอยู่กลางมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยความสงบ

      "พี่รูบี้...พี่เดม่อน... หนูขอโทษนะคะ" รีชาพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "หนูรู้สึกว่าพลังของหนูมันใช้การได้ไม่ดีเลยค่ะ! หนูไม่สามารถควบคุมน้ำได้ตามที่ใจต้องการนัก..."

      ฉันมองไปที่รีชาแล้วก็ถอนหายใจ "ไม่เป็นไรหรอก" ฉันพูด "พลังของทุกคนมันก็มีข้อจำกัดของมันเอง"

      เดม่อนที่เงียบมานานก็พูดขึ้นมาบ้าง "ใช่" เขาพูด "พลังของฉันเองก็เหมือนกัน... มันยังคงปั่นป่วนอยู่"

      "แต่เราก็ต้องหาทางควบคุมมันให้ได้" ฉันพูด "เราไม่สามารถปล่อยให้พลังของเรามันปั่นป่วนไปแบบนี้ได้หรอกนะ!"

      เดม่อนลุกขึ้นยืนแล้วมองแหวนห้วงมิติที่นิ้ว แหวนวงนั้นเจิดจรัสด้วยเพชรกะรัตน้ำงามที่ได้รับการคัดสรรและเจียระไนอย่างประณีตที่สุด เปล่งประกายระยิบระยับดุจดวงดาวที่ถูกจับมาประดับไว้บนเรือนแหวน

      "ในแหวนนี้มีของบางอย่างอยู่" เขาพูด "เฮเฟตัสให้มา... มันน่าจะเป็นของขวัญสำหรับความกล้าหาญของเรา"

      เขายกมือขึ้นแล้วใช้พลังของเขาเรียกของชิ้นนั้นออกมาจากแหวน! มันคือ กระบอกบรรจุลมสี่ทิศ!

      มันเป็นวัตถุเวทมนตร์ขนาดเหมาะมือ สร้างจากโลหะสีบรอนซ์วาววับ มีสลักลวดลายปีกเล็กๆ ประดับอยู่รอบตัวกระบอก ฝาปิดด้านบนมีสัญลักษณ์ของทิศทั้งสี่

      "นี่มันอะไรน่ะ?" รีชาถามด้วยความสงสัย

      "มันคือกระบอกบรรจุลมสี่ทิศของเฮอร์มีส" เดม่อนตอบ "มันจะช่วยให้เราเดินทางได้เร็วขึ้น"

      "งั้นเราต้องใช้เลยค่ะ!" รีชาบอก "เราจะได้ถึงค่ายเร็วขึ้น!"

      เดม่อนพยักหน้า เขาหันกระบอกไปทางท้ายเรือ แล้วเปิดฝาออก ลมที่อัดแน่นด้วยพลังงานสูงถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรุนแรง ผลักดันให้เรือพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง ราวกับเรือติดเทอร์โบไอพ่น

      เราเดินทางกันไปอีกเป็นเวลาหลายชั่วโมง การเดินทางในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้นั้นราบรื่นกว่าที่คิดไว้เยอะเลยค่ะ ไม่มีอสุรกายตัวไหนโผล่มาให้เราได้สู้กันเลย มีเพียงเสียงคลื่นกระทบเรือและเสียงลมพัดผ่านเท่านั้นที่ดังอยู่รอบตัว เราสามคนก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น เราเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเจอมาในค่ายฮาล์ฟบลัด เรื่องภารกิจที่ผ่านมา หรือแม้แต่เรื่องที่อยากจะทำเมื่อภารกิจนี้จบลง มันเป็นช่วงเวลาที่แปลก... ปกติฉันไม่ชอบคุยเรื่องไร้สาระแบบนี้ แต่การได้เห็นรีชายิ้มและเดม่อนหัวเราะ มันก็ไม่ได้แย่อะไรนัก

      "พี่เดม่อน พี่รูบี้คะ ถ้าเรากลับไปที่ค่ายแล้ว... เราจะไปทำอะไรกันต่อคะ?" รีชาถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สดใส

      เดม่อนยิ้มให้เธอ "เราจะไปฝึกฝนตัวเองให้มากขึ้น" เขาพูด "เราจะแข็งแกร่งขึ้น... เพื่อจะปกป้องพวกเราเอง"

      ฉันพยักหน้าเห็นด้วย "ใช่" ฉันตอบ "เราจะแข็งแกร่งขึ้น...เพื่อจะได้ไม่ต้องกลัวอสุรกายตัวไหนอีกแล้ว"

      เราสามคนมองหน้ากันอย่างเข้าใจ ตอนนี้ภารกิจของเราอาจจะยังไม่จบลง แต่เราก็รู้ดีว่าเรายังมีกันและกัน และเราจะไม่มีวันยอมแพ้!

ส่งกระบอกบรรจุลมสี่ทิศแล้ว


ความคิดเห็นผู้บันทึก

วันนี้เราเข้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิกใต้แล้ว การเดินทางที่นี่มันราบรื่นกว่าที่แอนตาร์กติกาเยอะเลย ฉันรู้สึกโล่งใจที่เราสามคนยังอยู่ด้วยกัน เราได้คุยกันถึงปัญหาของแต่ละคน และเราก็ตกลงกันว่าจะกลับไปที่ค่ายเพื่อฝึกฝนตัวเองให้มากขึ้น ฉันรู้สึกว่าเราสามคนเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันแล้ว ฉันจะจดจำวันนี้ไปตลอดชีวิตเลย



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 14785 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-8-13 12:45
โพสต์ 14,785 ไบต์และได้รับ +4 EXP +4 เกียรติยศ +4 ความศรัทธา จาก แหวนห้วงมิติ  โพสต์ 2025-8-13 12:45
โพสต์ 14,785 ไบต์และได้รับ +2 EXP +2 ความกล้า +2 ความศรัทธา จาก พร: ทนทานไฟ  โพสต์ 2025-8-13 12:45
โพสต์ 14,785 ไบต์และได้รับ +4 EXP +5 ความกล้า จาก โล่แห่งโทสะ  โพสต์ 2025-8-13 12:45
โพสต์ 14,785 ไบต์และได้รับ +4 EXP +4 ความกล้า จาก กางเกงเดินป่า  โพสต์ 2025-8-13 12:45
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
ตาหลากสี
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x1
x2
x14
x2
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-8-14 02:42:59 | ดูโพสต์ทั้งหมด
XXXI
— Daemon—
14 · สิงหาคม · 2025 · 06.00 - 22.00 น.

        แสงอาทิตย์ยังคงส่องลงมาไม่ขาดสาย ราวกับโลกไม่ต้องการให้ความมืดมีที่ยืนอีกต่อไป ซึ่ง...ก็น่ากลัวนิดหน่อยนะ ถ้าใครยังจำได้ว่า "พระอาทิตย์ไม่ตกดินอีกเลย" ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ปีที่แล้ว ข่าว CNN ยังใช้คำว่า *Eternal Sunshine* อยู่เลยไม่ใช่เหรอ? แต่ไม่ว่ามันจะเป็นปรากฏการณ์ของเทพหรือของอะไร ฉันก็เริ่มชินแล้วละ  อย่างน้อยก็ช่วยให้เราไม่ต้องจุดตะเกียงตลอดเวลา

        มหาสมุทรแปซิฟิกใต้สงบนิ่งมากกว่าที่คิด หลังจากใช้กระบอกบรรจุลมสี่ทิศเมื่อวานนี้ เราก็ตัดสินใจว่าจะประหยัดพลังเวทมนตร์เอาไว้ใช้ยามจำเป็นมากกว่า ดังนั้น วันนี้เลยเป็นวันที่พวกเราล่องเรือด้วยความเร็วตามธรรมชาติของ...เรือกล้วย

        ใช่ เรือกล้วย

        เรือมินิบานาน่าของรีชานี่แหละ สีเหลืองฉูดฉาด รูปทรงโค้งงอเหมือนขนมสายไหมโดนอบ ลอยอยู่กลางทะเลเหมือนเป็นของหลงยุคจากสวนสนุกปะการังในฝัน

        รีชาเป็นคนแรกที่ตื่น เธอนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่หัวเรือ มือประสานกันแน่นเหมือนเด็กนักเรียนกำลังอธิษฐานก่อนสอบคณิตศาสตร์

        “พ่อคะ ได้โปรด... ถ้าท่านยังอยู่ใกล้ ๆ ได้โปรดช่วยลูกด้วยนะคะ...”  เธอพึมพำเบา ๆ ราวกับกลัวว่าคำขอของตัวเองจะดังเกินไป

        ฉันไม่ทันได้ถามว่าเธอกำลังทำอะไร ก็มีเสียงน้ำแตกกระจายดัง *ปู้ม* ข้างเรือ ฮิปโปแคมปัสสองตัวพุ่งขึ้นมาจากคลื่นทะเล หนึ่งตัวสีฟ้าเพิร์ล อีกตัวสีเงินระยิบระยับ ดวงตาของพวกมันฉลาดเฉลียวราวกับเข้าใจภาษามนุษย์

        “ว้าว...” รูบี้พึมพำจากท้ายเรือ มือยังถือกระบี่เทียนหวง แต่ปลายดาบชี้ลง เธอไม่ได้ระแวง แค่ตกใจ

        รีชายิ้มกว้าง ดวงตาเธอเป็นประกาย “พ่อได้ยินหนูจริง ๆ ด้วย”

        เธอผูกเชือกเวทมนตร์เข้ากับหัวเรือ พวกมันก็พยักหน้าแล้วพุ่งทะยานไปข้างหน้า ลากกล้วยของเราให้แล่นอย่างมั่นคงกลางทะเล

        การเดินทางในวันนั้นเงียบสงบจนน่าแปลกใจ ไม่มีเสียงคำรามของอสุรกาย ไม่มีเสียงระเบิด ไม่มีเสียงร้องโหยหวนของเหล่าอสุรกาย มีเพียงแค่คลื่น กระแสลม และเสียงหาวของรีชาตอนบ่ายที่กลายเป็นเสียงกรนเบา ๆ หลังเธอหลับไปโดยใช้เสื้อคลุมของฉันแทนผ้าห่ม

        ฉันนั่งข้างรูบี้ตรงกลางเรือ ดวงอาทิตย์สูงอยู่บนท้องฟ้าอย่างที่มันเป็นมาหลายเดือนแล้ว แสงแดดกระทบผิวของเธอ 

        “ไม่คิดจะต่อยหน้าฉันอีกแล้วเหรอ?” ฉันแหย่เบา ๆ

        เธอหัวเราะ เสียงหัวเราะที่เบากว่าปกติ และไม่เหมือนการหัวเราะเย้ยแบบที่เคยเป็น “ก็แล้วแต่ว่านายจะทำตัวสมควรโดนหรือเปล่าน่ะ”

        “แค่จะบอกว่า... ขอบคุณนะ” ฉันพูดเสียงเบา “สำหรับที่เข้าใจเรื่องคำสาปนั่น”

        รูบี้เงียบไปสักพัก แล้วถอนหายใจเบา ๆ “ฉันยังไม่เข้าใจทุกอย่างหรอก แต่...อย่างน้อยก็ไม่ได้โกรธเท่าเดิมแล้วล่ะ”

        ฉันหันไปมองใบหน้าของเธอ เห็นแววตาที่อ่อนลง และอะไรบางอย่างในอกก็เต้นผิดจังหวะ มันไม่ใช่คำสาปของแอรีสแน่นอน

        ฉันเอ่ยขึ้นเบา ๆ พลางมองทะเลตรงหน้า “รูบี้”

        เธอขานตอบโดยไม่หันมามอง “อะไร”

        ฉันเว้นจังหวะไปครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นใหม่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าเรากลับไปค่ายได้...  เธออยากจะทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรกงั้นเหรอ?”

        รูบี้หรี่ตาลง ก่อนจะตอบออกมาด้วยเสียงเรียบ ๆ แต่ชัดเจน “อยากนอน... แล้วก็กินของทอด ๆ ทั้งวัน”

        ฉันหัวเราะเบา ๆ พูดพลางยิ้ม “ฟังดูเหมือนเป้าหมายชีวิตเลยนะ”

        “ก็แน่ล่ะ นายคิดว่าเราลุยกับเทพครึ่งโหล อสุรกายสิบตัว และต้องรอดจากแอนตาร์กติกามาเพื่ออะไรล่ะ”

        “เพื่อนักเก็ตไก่?”

         “แน่นอน” เธอยิ้ม ซึ่งเป็นรอยยิ้มจริง ๆ แบบไม่ปิดบังอะไรเลย

        ฉันเงียบไปครู่หนึ่ง มองใบหน้าของเธอที่ยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วความรู้สึกบางอย่างก็เอ่อล้นขึ้นมา

     เรือกล้วยยังแล่นต่อไป ท่ามกลางทะเลที่ไร้เงาอันตราย ท่ามกลางแสงที่ไม่มีวันดับ และท่ามกลางความรู้สึกบางอย่าง...  ที่เริ่มจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

        ฉันนิ่งไปครู่ ก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง แม้จะยังไม่หันไปมองเธอโดยตรง แต่ก็รู้ดีว่าเธอฟังอยู่

        “รูบี้... ถ้าวันนั้นที่เราดักจับพ่อของเธอกับแม่ของฉันไว้ แล้วฉันไม่เข้าไปช่วย เธอจะโกรธไหม?”

        เธอขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะตอบเสียงเรียบ “ไม่รู้สิ... อาจจะโกรธนะ ถ้านายไม่ยื่นมือเข้ามาเลย”

        “แล้วถ้าฉันยื่นมือเข้ามาแบบไม่คิดหน้าคิดหลังล่ะ?” ฉันถามต่อ เสียงเริ่มเบาลงกว่าเดิม

        เธอหัวเราะเบา ๆ อีกครั้ง เสียงหัวเราะของเธอนุ่มลง อ่อนโยนกว่าทุกครั้ง “ฉันน่ะ... โมโหอยู่แล้วล่ะ แค่คนปกติก็โดนหมัดฉันบ่อยพอแล้ว นายยิ่งสมควรได้มากกว่านั้นอีก”

        ฉันหัวเราะตอบเบา ๆ ก่อนที่เธอจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป มันนุ่มลง อบอุ่นขึ้น และมีอะไรบางอย่างปนอยู่ในนั้นที่ฉันไม่เคยได้ยินจากเธอมาก่อน

        “แต่ครั้งนี้... ขอบใจนะ ที่อยู่ตรงนั้น”

     ฉันกลั้นหายใจไปชั่วครู่ ไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี รู้แค่ว่าหัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย และคราวนี้ ฉันไม่โทษคำสาปของแอรีสเลย

     รูบี้เงียบไปสักพัก ดวงตาของเธอจ้องมองทะเลเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด ก่อนที่เธอจะหันกลับมามองฉันอีกครั้ง สีหน้าของเธอนิ่ง แต่สายตากลับอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด

     “รู้อย่างหนึ่งไหม เดม่อน” เธอพูดเบา ๆ “ฉันไม่ชอบเวลานายทำอะไรคนเดียวแบบนั้น”

     ฉันเลิกคิ้วเล็กน้อย “เพราะฉันดูโง่หรือเปล่า?”

     เธอหัวเราะในลำคอ “ก็โง่นิดหน่อยนั่นแหละ” เธอยอมรับอย่างหน้าตาย “แต่มากกว่านั้น... มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนฉันไม่มีความหมายอะไรเลย นายไม่ควรแบกรับทุกอย่างคนเดียว ไม่ใช่ในเมื่อยังมีฉันอยู่”

     ฉันไม่ตอบทันที แค่สบตากับเธอ แล้วพยักหน้าช้า ๆ

     “ถ้ามีครั้งหน้า...” เธอพูดต่อเบา ๆ พร้อมยกนิ้วขึ้นชี้หน้า “...แบ่งมาให้ฉันบ้าง เข้าใจไหม?”

     “ครับ แม่ทัพรูบี้” ฉันยิ้มกว้างรับ

     เธอส่ายหน้าแต่ก็ยิ้มกลับมา ดวงตาของเธอสบตาฉันตรง ๆ ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองเส้นขอบฟ้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ สีแดงบนแก้มเธอดูจะไม่ได้มาจากแสงอาทิตย์เพียงอย่างเดียว

      ฉันยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ข้าง ๆ เธอ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะนัก ทั้งเพราะรอยยิ้มของเธอ... และเพราะบางอย่างที่ไม่คาดคิด — ภาพของลิเลียน่าแล่นเข้ามาในหัวฉันโดยไม่มีสาเหตุ

      เส้นผมสีดำของเธอ ดวงตาคู่นั้นที่เคยมองฉันด้วยความห่วงใย ความทรงจำจากอีกหน้าหนึ่งของชีวิตที่ฉันพยายามเก็บไว้เงียบ ๆ เหมือนแผลเป็นใต้เสื้อ

     ฉันเม้มปากเล็กน้อย พยายามไม่ให้รูบี้สังเกตเห็น แต่ก็ต้องหันหน้ากลับไปมองทะเลแทน ลมทะเลพัดแรงขึ้นพอดีเหมือนช่วยบังความวุ่นวายในหัวใจฉัน

   ด้านข้าง รูบี้เองก็ยังคงยิ้ม แต่ไม่นานเธอก็ลดสายตาลง มองมือตัวเองอย่างครุ่นคิด

      “โบลต์...” เธอกระซิบชื่อหนึ่งขึ้นมาเบา ๆ เหมือนกับเป็นคำภาวนา

      ฉันหันกลับมาเล็กน้อย “หือ?”

      “ไม่มีอะไร” เธอส่ายหน้า ดวงตาของเธอแข็งขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังมีรอยเศร้าบาง ๆ ทิ้งอยู่ “แค่นึกถึงใครบางคน...ที่เคยสัญญาว่าจะพากลับบ้าน”

      ไม่มีใครพูดอะไรต่อทันที เราแค่ปล่อยให้ลมทะเลพัดผ่านเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่คลื่นลูกใหม่จะพัดกระทบหัวเรือเบา ๆ

      เราสองคนต่างนั่งนิ่งข้างกัน โดยมีอดีตของตัวเองลอยปะปนอยู่ในสายลม และมีบางสิ่งบางอย่างกำลังค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปโดยที่เรายังไม่รู้ตัว

      เสียงหาวเบา ๆ ดังขึ้นจากท้ายเรือ รีชาเริ่มขยับตัวใต้ผ้าคลุม ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง ดวงตากะพริบถี่ ๆ รับกับแสงแดดจ้า

      “อื้อ... พี่รูบี้... พี่เดม่อน...” เธอพึมพำเสียงงัวเงีย พลางขยี้ตาเหมือนลูกแมวตื่นนอน “หนูหลับนานแค่ไหนเนี่ย...”

      ฉันหันไปมองเธอทันที “สักพักเลยล่ะ” ฉันพูดพร้อมรอยยิ้ม “ฝันดีไหม?”

      “ฝันว่าได้กินเค้กที่ไม่ละลายกลางทะเลค่ะ” รีชาตอบพลางยิ้มบาง ๆ ก่อนที่สีหน้าเธอจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเหลือบมองพวกเราทั้งสองคนสลับกัน

      ดวงตาเธอขยับช้า ๆ ระหว่างฉันกับรูบี้ ก่อนที่เธอจะเลิกคิ้วอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรทันที

      “เอ่อ... หนูขอไปนั่งตรงหัวเรือก็แล้วกันนะคะ ลมมัน... สดชื่นดี” เธอว่า พลางรีบลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่วเกินจำเป็นแล้วเดินเลี่ยงไปทางหัวเรืออย่างรวดเร็ว

      ฉันกับรูบี้สบตากันโดยไม่ตั้งใจ ต่างฝ่ายต่างดูจะเข้าใจว่ารีชารับรู้ถึงบรรยากาศบางอย่างที่เริ่มเปลี่ยนไป... และเธอก็เลือกจะปล่อยให้พวกเราจัดการมันเอง



ความคิดเห็นผู้บันทึก

 วันแบบนี้ชวนให้ฉันเผลอลืมไปว่าเราอยู่กลางภารกิจ ท่ามกลางมหาสมุทรที่ไม่เคยมีคำว่าปลอดภัยจริง ๆ การนั่งเงียบ ๆ ข้างรูบี้ ลมทะเลพัดผ่านหน้า แสงอาทิตย์ที่ไม่มีวันดับ... ทั้งหมดนั้นเหมือนกับภาพในฝันที่เราไม่มีวันได้ครอบครองนานนัก

  ฉันยังไม่แน่ใจว่ารู้สึกอะไรกับเธอกันแน่ แต่รูบี้ไม่ใช่คนที่ฉันจะลืมได้ง่าย ๆ เธอพูดจาขวานผ่าซาก บางครั้งก็ชกหน้าแบบไม่ให้ตั้งตัว แต่พอเธอยิ้มแบบนั้น... ตอนนี้มันก็ทำให้ฉันลืมความเจ็บไปหมด

  และนั่นแหละที่ทำให้ฉันสับสน ลิเลียน่า ใบหน้าของเธอโผล่เข้ามาในหัวฉัน รอยยิ้มของเธอ... ดวงตาแบบนั้น... ความรู้สึกผิดผสมกับความว่างเปล่าในอกฉันมันบอกไม่ได้เลย ว่าฉันกำลังวิ่งหาหรือวิ่งหนีอะไรอยู่กันแน่

  ส่วนรูบี้... ฉันไม่รู้ว่าใครคือโบลต์ แต่แค่ชื่อที่หลุดออกมาจากปากเธอก็เปลี่ยนบรรยากาศไปโดยสิ้นเชิง เธออาจมีอดีตที่เจ็บปวดไม่ต่างจากฉัน และบางทีเราก็แค่สองคนที่พังแล้วพยายามแปะเทปพันสายไฟให้ตัวเองยังดูโอเคต่อหน้าคนอื่น

  รีชาก็ยังคงเป็นแสงสว่างของกลุ่ม เธอรู้สึกได้ถึงความกระอักกระอ่วนแต่ไม่พูดอะไร แค่เดินเลี่ยงออกมาอย่างมีมารยาท เธออาจจะยังเด็ก แต่เธอเข้าใจมากกว่าที่เราคิด

  เรายังต้องไปต่อ ยังไม่ถึงจุดหมาย แต่วันนี้... แค่วันนี้ ฉันอยากให้ภาพนี้อยู่กับเรานานที่สุดเท่าที่จะทำได้ รีชาเหมือนน้องสาวแท้ ๆ ของฉัน เธอกล้าหาญกว่าที่เธอรู้ตัว ส่วนรูบี้... ฉันไม่รู้ว่าเราจะเรียกความรู้สึกที่มีตอนนี้ว่าอะไรดี แต่ฉันรู้แค่ว่าฉันไม่อยากให้มันหายไป

  เรากำลังมุ่งหน้าไปซานฟรานซิสโก ตามแผนที่รูบี้บอก เธอเคยได้ยินว่ามีรถไฟเวทมนตร์ของเฮเฟตัสที่สามารถขึ้นจากนั่น และวิ่งตรงเข้าสู่กรุงโรมใหม่... ค่ายจูปิเตอร์

  ฉันหวังว่ามันจะเป็นความสงบก่อนพายุ — และเราจะได้เตรียมตัวให้พร้อม ก่อนโลกจะโยนความวายป่วงลูกต่อไปใส่หน้าเราอีกครั้ง



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 27645 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2025-8-14 02:43
โพสต์ 27,645 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก แหวนห้วงมิติ  โพสต์ 2025-8-14 02:43
โพสต์ 27,645 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 ความกล้า +12 ความศรัทธา จาก พร: ทนทานไฟ  โพสต์ 2025-8-14 02:43
โพสต์ 27,645 ไบต์และได้รับ +12 EXP +20 ความกล้า จาก โล่แห่งโทสะ  โพสต์ 2025-8-14 02:43
โพสต์ 27,645 ไบต์และได้รับ +9 EXP +8 ความกล้า จาก กางเกงเดินป่า  โพสต์ 2025-8-14 02:43
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
ตาหลากสี
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x1
x2
x14
x2
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-8-16 17:31:00 | ดูโพสต์ทั้งหมด
XXXII
— Resha—
14 · สิงหาคม · 2025 · เช้า

        พ่อเคยสอนว่า ทะเลฟังถ้าเราพูดด้วยเบา ๆ ฉันเลยกระซิบกับคลื่นก่อนจะปล่อยมือออกจากหัวเรือกล้วย —ขอโทษค่ะ เรือมินิบานาน่า— ให้ฮิปโปแคมปัสสองตัวลากพวกเราไปตามแรงน้ำ แดดก็ยังคงเป็นแดด ไม่ลับ ไม่ง่วง และไม่รู้จักคำว่า “ค่ำ” มาหลายเดือนแล้ว ถ้าแสงอาทิตย์เป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ฉันคงให้มันงีบบ้างเพราะเกรงใจโลก

        รูบี้ยืนตรวจดาบอย่างเคร่งขรึม เดม่อนนั่งหลับตาเหมือนพยายามคุยกับความเหนื่อยในใจ ฉันแตะสร้อยคอเปลือกหอย มันอุ่นขึ้นเล็กน้อยเหมือนมีมือใหญ่ ๆ ของพ่อจับไว้ อย่าเร่ง ใช้น้ำให้พาไป ได้ค่ะพ่อ

14 · สิงหาคม · 2025 · เที่ยง

       รูบี้ยืนตรวจดาบอย่างเคร่งขรึม เดม่อนนั่งหลับตาเหมือนพยายามคุยกับความคลื่นเรียบผิดปกติจนฉันเริ่มคันคอคำว่า “กับดัก” ก่อนจะพูดออกมา เสียงหัวเราะ แผ่ว ๆ ลอยมาตามลม ไม่ใช่ของเดม่อน ไม่ใช่ของรูบี้ แต่มาจากข้างในหัวของฉันเอง และมันหวานจนน่ากลัว

       “ปิดหูไว้” ฉันบอก ทั้งคู่ทำตามโดยไม่ถาม ฉันหมุนตรีศูลน้อย วาดวงน้ำใสครอบเรือ กลายเป็นฟองอากาศแห่งชีวิตแบบครอบครัวขนาดย่อม เสียงหัวเราะหายไปเหลือแค่คลื่นเรื้อ ๆ ใต้ท้องเรือกับเสียงท้องร้องของเดม่อน (ชัดเจนมาก)

       เราไถลผ่านแนวสาหร่ายสีเงินที่แกว่งไกวเหมือนทางม้าลายของปลา เมื่อฟองอากาศแตก ฉันหายใจเต็มปอด รอดจากนางเงือกเที่ยงวันอีกชนิดหนึ่งของปรากฏการณ์ Eternal Sunshine ไปหนึ่งด่าน ถ้ามีสมุดสะสมสแตมป์ ฉันคงได้ตราประทับรูปนางเงือกใส่แว่นกันแดดแล้ว

ค่ำ (ก็งั้น ๆ เพราะมันยังสว่าง)

       ปากอ่าวซานฟรานซิสโกโผล่มาพร้อมเสียงเรือบรรทุกกับนกนางนวล เดม่อนชี้เส้นขอบฟ้า “คาร์ลไม่มารับเหรอ” เขาว่า หมายถึงหมอกประจำเมือง ฉันยักไหล่ “คาร์ลงอน โลกไม่มีคืน เขาเลยไม่ออกจากผ้าห่ม”

       ไม่ทันได้หัวเราะ หอกเหล็กก็แหวกน้ำพุ่งเฉียดหัวเรือ วิ้ว—ฉับ รูบี้สะบัด กระบี่เทียนหวง สีทองฟาดหักกลางอากาศ เสียงโลหะร้องเหมือนโดนบ่นเรื่องงานอีกครั้ง ฉันปาดน้ำขึ้นเป็นคมหอก ตรีศูลกระแทกผิวน้ำเกิดคลื่นสั้น ๆ ถีบเจ้าตัวการให้ผงะ เทลไคน์ ตาโต หางปลาแมวน้ำ และอุปกรณ์ช่างเต็มเอว (ค้อน ไขควง แฟชั่นช่างเหล็กใต้น้ำ)

       “รับมือพวกช่างก่อน!” ฉันตะโกน เดม่อนยกโล่บังหมุดเรืองแสงที่ซัดมาเหมือนฝนกรด รูบี้พุ่ง, ฉันผลักคลื่นตีกลับ, เทลไคน์กระจายตัว— พวกมันเกลียดที่ฉันทำให้น้ำเปลี่ยนทิศ ขอโทษทีนะ นี่ทะเลของพ่อฉัน

       ไม่กี่นาทีต่อมา เราเทียบท่าที่เงียบเกินเหตุ Pier 70 แผ่นไม้ท่าเรือร้อนจนไอน้ำลอยขึ้นเป็นม่าน เดม่อนทำหน้าขำ “ไม่มีอะไรน่าสงสัยเท่ากล้วยสีเหลืองเทียบท่าในเที่ยงคืนที่ไม่มืดอีกแล้ว”

      “แปลงร่างเลย” ฉันแตะหัวเรือ กล้วยสีเหลืองหุบตัว ปุ้บ กลายเป็นผ้าเช็ดปากลายกล้วย (น่ารัก!) ยัดเข้ามือเดม่อนให้ช่วยเก็บลงแหวนดาราจรัส เขาพยักหน้า พร้อมลุยโหมดซ่อนตัว

16 · สิงหาคม · 2025 · ตีสอง

       เรากลับลงน้ำ— ขี่ฮิปโปแคมปัสลอดใต้ Bay Bridge แทน ด้านล่างสะพานเงาวาบจนต้องหยีตา (ขอบคุณ Eternal Sunshine มาก ๆ) สิงโตทะเลบนทุ่นทำหน้าตกใจที่เห็นกล้วยพับเก็บได้ผ่านไปพร้อมดาบทอง

      ฉันหลับตาแล้วฟังน้ำ ไม่ได้ฟังเสียงคลื่น แต่ฟังความจำของมัน กระแสหนึ่งเย็นกว่าที่เหลือ ไหลย้อนจากฝั่งตะวันตกสู่ตะวันออกเหมือนเส้นด้ายที่ผูกไว้กับภูเขา ฉันชี้นิ้ว ฮิปโปแคมปัสพยักหน้า แล้วเราก็ไถลเข้าสู่ท่อระบายน้ำเก่าที่มีกลิ่นเหมือนชั้นใต้ดินของห้องพละรวมกับพิพิธภัณฑ์โลหะ

      “บอกทีว่าพวกโรมันมีอารยธรรมเรื่องน้ำหอมด้วย” เดม่อนบ่น รูบี้ยกคิ้ว “กลั้นหายใจสิคะ เจ้าชายช็อตเอสเปรสโซ่”

      กำแพงมีหมึกซีดเป็นตัวอักษรละตินโผล่มาใต้ม่านมิสต์เป็นพัก ๆ: LEG·XIIFULMINATA ทุกครั้งที่น้ำจากตรีศูลแตะผนัง ตัวอักษรเหมือนจะชัดขึ้น แล้วพาเราเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา จนเสียงทางด่วนด้านบนกลายเป็นเสียงหุบเขา

      ซอกบำรุงรักษาเปิดออกสู่โถงเล็ก ๆ มีแผงทองเหลืองสลักอินทรีโรมันเก่าจนเห็นรอยขูดขีด ฉันวางเปลือกหอยจากสร้อยลงในชามหินที่ตั้งอยู่หน้าแผง น้ำซึมขึ้นจากไหนก็ไม่รู้จนท่วมเปลือกหอยแล้วเรืองแสงซีด ๆ

      เศียรมาร์เบิลที่ไม่มีแขนโผล่จากเสาแตก —เทอร์มินัส— ขยับริมฝีปากหิน “ประกาศเจตนาของพวกเจ้ามา ก่อนก้าวข้ามเขตแดน”

      รูบี้เชิดหน้าตามสไตล์ “ขอผ่านเพื่อไปกรุงโรมใหม่ค่ะ”

      เดม่อนหยิบเหรียญออกมา “ดรักม่า… โอเค รู้แล้ว ไม่ใช่สกุลนี้” เขายิ้มแหย ๆ เก็บเหรียญกลับไป ฉันเลยก้มศีรษะ “ข้าพเจ้าคือรีชา ธิดาแห่งทะเล ขอปกป้องสันติของท่าน และจะไม่นำภัยเข้ามา”

      เทอร์มินัสมองน้ำที่ส่องแสง “ยอมรับสัญญา ห้ามทำลาย ห้ามหยาบคาย ห้ามปีนรูปปั้น และกรุณาอย่าเช็ดดาบกับป้ายอินทรี” รูบี้ค่อย ๆ ดึงกระบี่ที่กำลังจะเช็ดกลับเข้าฝักช้า ๆ (ไม่ได้จะเช็ดนะ แค่…จะดูมุมแสง)

      แล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้น— เสียงหอนหมาป่าจากลึกเข้าไปในภูเขา เสียงสะท้อนจนเท้าเราเย็นวาบ อินทรีบนแผงทองเหลืองลืมตาสีน้ำผึ้ง แผงทั้งแผ่นค่อย ๆ เลื่อนเปิด เป็นความมืดเย็นที่ฉันรอจะเจอมาเป็นเดือน

      ด้านหลัง ผิวน้ำที่ปลายท่อเกิดระลอก เป็นเงาในน้ำที่ไม่ใช่ของเรา กำลังคืบเข้ามาช้า ๆ ราวกับกลัวกฎของเทอร์มินัสไม่พอที่จะห้ามมัน

      ฉันจับมือทั้งสองไว้แน่นอย่างกำลังพอดี “พร้อมไหม” ฉันถาม เสียงเบาจนแทบเป็นลมหายใจ

      “พร้อมเสมอ” รูบี้ตอบ เดม่อนพยักหน้า แม้ไร้เสื้อเกราะตามคำสาป แต่สายตาเขานิ่งแบบนักรบโรมันที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน

      “งั้นไปพบเช้าแรกที่มีเง่—” ฉันเผลอเล่นคำ แล้วหัวเราะกับตัวเอง “เอ่อ หมายถึง คืนแรกที่เราสร้างเอง”

      เราก้าวเข้าช่องประตูหินไปด้วยกัน



ความคิดเห็นผู้บันทึก

บางทีการเป็นธิดาแห่งทะเลก็คือการยอมรับว่าความมืดกับความสว่างเป็นของคู่กัน ถ้าโลกยึดคืนไป เราก็สร้างคืนของเราเองได้ ฉันแค่เรียกไอน้ำให้กลายเป็นเมฆ เรียกฝนให้เกิดเงา แล้วประตูก็ยอมคุยด้วยทันที เหมือนโรมันไม่ค่อยเชื่อคนที่ไม่พกเงา ก็พอเข้าใจได้นะคะ ถ้าฉันเป็นผู้คุมเมือง ฉันก็คงไม่ให้ใครที่ “ไม่มีคืน” เดินเข้าบ้านเหมือนกัน

รูบี้ยังเป็นรูบี้ ทั้งคม เหนียวแน่น และไม่ยอมให้ใครเช็ดดาบกับอินทรี (โอเค เธอแค่จะดูมุมแสง แต่เทอร์มินัสคงตื่นเต้นไปหน่อย) เดม่อนทำเป็นขำทั้งที่คำสาปบนไหล่ยังหนัก ฉันเลยยืนชิดเขาให้มากขึ้นเรื่อย ๆ แบบที่น้ำซัดทรายแล้วไม่คิดถอยคืน ไม่ใช่เพราะฉันเก่งที่สุดในทีม แต่เพราะฉันรู้สึกว่าทะเลกำลังฝากพี่สองคนนี้ไว้กับฉันสักพัก

เสียงหอนในอุโมงค์ทำให้สันหลังฉันเย็น มันไม่ใช่เฮลล์ฮาวนด์แบบที่เราเคยสู้ มีโน้ตยาวกว่า ดิบกว่า เหมือนภูเขากำลังหายใจผ่านคอหมาป่า ถ้าเป็น “พิธีต้อนรับโรมัน” ก็โหดใช้ได้ แต่ถ้าไม่ใช่… เราจะได้รู้กันพรุ่งนี้

ส่วนเงาในน้ำที่ตามมา— ฉันยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นใคร แต่มัน “ตั้งใจ” เกินกว่าจะเป็นแค่คลื่นสะท้อน ฉันปักเส้นน้ำไว้สามเส้นข้างหลัง เป็นกับดักบาง ๆ ถ้าอะไรล้ำเข้ามา น้ำจะกระซิบชื่อให้ฉันได้ยิน (ขอให้ไม่ใช่ชื่อที่เราไม่อยากได้ยิน)

รายการเตรียมตัวเช้าพรุ่งนี้: เติมน้ำทะเลธรรมชาติใส่ขวดให้ครบ (เผื่อการรักษา), ตรวจ มินิบานาน่า ในแหวนเดม่อน, สอนเดม่อนใช้ฟองอากาศเล็กปิดหูเผื่อลูกหลอกของนางเงือกเที่ยงวัน, และให้รูบี้ซ้อมจังหวะปะทะนับสาม— ฉันจะเป็นจังหวะหนึ่ง คลื่นเป็นสอง รูบี้เป็นสาม จบสวย ๆ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉันอดคิดถึงพ่อมากกว่าตอนอยู่กลางทะเลเสียอีก แปลกดีนะ คงเพราะหน้าประตูเมืองใหม่มันทำให้เราอยากมีคนพา “กลับบ้าน” สักแห่ง ถ้าโรมใหม่คือบ้านที่สองของเรา ขอให้พ่ออยู่ตรงนี้อีกนิด—จนกว่าเงาที่ไม่เชิญจะเรียนรู้ว่าทะเลของเรา…
มีเจ้าของ


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 20272 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2025-8-16 17:31
โพสต์ 20,272 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก แหวนห้วงมิติ  โพสต์ 2025-8-16 17:31
โพสต์ 20,272 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 ความกล้า +12 ความศรัทธา จาก พร: ทนทานไฟ  โพสต์ 2025-8-16 17:31
โพสต์ 20,272 ไบต์และได้รับ +12 EXP +20 ความกล้า จาก โล่แห่งโทสะ  โพสต์ 2025-8-16 17:31
โพสต์ 20,272 ไบต์และได้รับ +9 EXP +8 ความกล้า จาก กางเกงเดินป่า  โพสต์ 2025-8-16 17:31
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
ตาหลากสี
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x1
x2
x14
x2
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-8-18 01:30:30 | ดูโพสต์ทั้งหมด
XXXIII
— RUby—
15 · สิงหาคม · 2025 · 06.00 - 16.00 น.

        การเดินทางของเราสิ้นสุดลงแล้ว!

        หลังจากที่เราออกจากแอนตาร์กติกามาได้เกือบสี่วันเต็มๆ ในที่สุดเราก็มาถึงกรุงโรมใหม่ในซานฟรานซิสโกจนได้ ฉันมองไปที่แม่น้ำไทเบอร์น้อยที่ไหลทอดตัวยาวเข้าสู่ตัวเมือง แล้วก็รู้สึกประทับใจกับความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรที่ชาวโรมันสร้างขึ้นมาอย่างประหลาดใจ มันแตกต่างจากค่ายฮาล์ฟบลัดของเราอย่างสิ้นเชิง ที่นี่ดูเป็นระเบียบและสง่างามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

        เดม่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันยิ้มออกมา "ในที่สุดเราก็มาถึงแล้วนะ" เขาพูด "ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาถึงที่นี่จริงๆ"

        รีชาก็ดูตื่นเต้นไม่แพ้กัน "สวยมากเลยค่ะ!" เธอพูด "หนูรู้สึกเหมือนหนูกำลังอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์เลย!"

        ฉันแค่พยักหน้าให้เธอ "ใช่" ฉันตอบ "มันสวยจริงๆ"

        เดม่อนเสนอว่าเราควรจะล่องเรือไปเทียบที่ริมฝั่งใกล้ตัวเมือง เพื่อจะได้ไม่ต้องเดินไกล และจะได้ไม่ต้องทำให้พวกชาวค่ายจูปิเตอร์ต้องตกใจกับการปรากฏตัวของเรามากนัก ซึ่งก็เป็นความคิดที่ดี! เราสามคนล่องเรือไปตามแม่น้ำไทเบอร์น้อยอย่างช้าๆ ซึ่งระหว่างทางเราก็ได้เห็นชาวค่ายจูปิเตอร์มากมายกำลังเดินเล่นกันอยู่ริมฝั่ง พวกเขาแต่งกายในชุดที่ดูเหมือนนักรบโรมันโบราณ และมีอาวุธอยู่ในมือกันทุกคน

        "เฮ้!" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากกลุ่มชาวค่ายจูปิเตอร์ "พวกเธอเป็นใครน่ะ? ทำไมถึงมาอยู่ในแม่น้ำของเราได้?"

        เดม่อนยิ้มให้พวกเขาอย่างเป็นมิตร "สวัสดีครับ" เขาพูด "พวกเรามาจากค่ายฮาล์ฟบลัดครับ"

        ชาวค่ายจูปิเตอร์ดูตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินคำตอบของเดม่อน แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีเป็นศัตรูแต่อย่างใด พวกเขายิ้มให้เราแล้วพยักหน้าให้เราผ่านไปได้ ซึ่งฉันก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ปกติลูกครึ่งเทพกรีกกับโรมันไม่ค่อยจะเข้ากันได้เท่าไหร่ แต่ดูเหมือนที่นี่จะแตกต่างออกไป

        "พวกเขาดูไม่น่ากลัวเลยนะคะ" รีชาพูด "หนูคิดว่าพวกเขาจะเป็นคนโหดๆ เหมือนในหนังสือซะอีก"

        "ก็เป็นเรื่องปกติ" ฉันตอบ "โรมันก็มีดีของพวกเขาเหมือนกัน"

        เราล่องเรือไปจนถึงริมฝั่งที่ดูเหมือนจะเป็นที่ที่เงียบสงบที่สุดของเมือง เราจอดเรือแล้วขึ้นฝั่งทันที "เราควรไปที่สถานีรถไฟเฮเฟตัสเลยดีกว่า" เดม่อนบอก "ฉันจะส่งพวกเธอขึ้นรถไฟกลับนิวยอร์ก ส่วนฉัน... ฉันจะแวะไปเดินเล่นในเมืองสักหน่อย"

        ฉันมองไปที่เดม่อนด้วยความไม่แน่ใจ "แน่ใจนะว่านายจะไม่เป็นอะไร? นายมีคำสาปของแอรีสอยู่นะ"

        เดม่อนยิ้มให้ฉันอย่างมั่นใจ "ฉันโอเค" เขาพูด "พรทนทานไฟของเฮเฟตัสช่วยฉันได้ และฉันก็อยากจะใช้เวลาอยู่ในเมืองนี้สักพัก"

        รีชาก็ดูไม่ค่อยอยากให้พี่เดม่อนอยู่คนเดียวเท่าไหร่ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก "งั้น... พี่เดม่อนต้องระวังตัวด้วยนะคะ!"

        เดม่อนพยักหน้า "แน่นอน" เขาพูด "เราไปที่สถานีรถไฟกันเถอะ"

        เราสามคนจึงพากันเดินทางไปที่สถานีรถไฟเฮเฟตัส สถานีแห่งนี้ดูยิ่งใหญ่และโอ่อ่ากว่าที่ฉันคิดไว้เยอะนัก มันผสมผสานสถาปัตยกรรมโรมันเข้ากับกลไกและเทคโนโลยีเวทมนตร์อันซับซ้อนของเฮเฟตัส ภายในสถานีเต็มไปด้วยช่องทางลับ กลไกป้องกัน และเส้นทางมิติที่ถูกบงการด้วยพลังของเทพเจ้า ทำให้ทุกการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย

        "ว้าว! ที่นี่เจ๋งมากเลยค่ะ!" รีชาพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น "หนูรู้สึกเหมือนหนูกำลังอยู่ในหนังไซไฟเลยค่ะ!"

        เดม่อนยิ้มให้เธอ "ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันนะ" เขาพูด "เฮเฟตัสเก่งมากจริงๆ"

        ฉันแค่พยักหน้าให้พวกเขา "เราต้องรีบไปหาตั๋ว" ฉันบอก "เราจะได้กลับค่ายกันเสียที"

      หลังจากที่รูบี้กับรีชาซื้อตั๋วรถไฟเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือเวลาอีกไม่มากนักก่อนรถไฟจะออก เดม่อนบอกให้รีชาไปรอที่ชานชาลา ส่วนเขาก็เดินมาหาฉันอย่างเงียบๆ

      "รูบี้... ฉันต้องไปแล้ว" เดม่อนพูดเสียงแผ่วเบา

      ฉันพยักหน้าให้เขา "ระวังตัวด้วยล่ะ"

      "เธอเองก็เหมือนกัน" เดม่อนตอบ "ดูแลรีชาด้วยนะ... และ... ดูแลตัวเองด้วย"

      ฉันมองไปที่ดวงตาของเดม่อน แล้วก็รู้สึกถึงความรู้สึกที่ขัดแย้งกันในใจฉัน ฉันอยากจะบอกให้เขาอยู่... แต่อีกใจหนึ่งก็รู้ว่าเขาต้องการเวลาอยู่คนเดียวเพื่อจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้น และฉันก็รู้ดีว่าการจะรั้งเขาไว้ก็คงจะเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวเกินไป

      "เดม่อน..." ฉันพูดเสียงแผ่วเบา "ทำไมนายถึงทำแบบนั้น? ทำไมถึงยอมแบกรับคำสาปของพ่อฉันไว้คนเดียว?"

      เดม่อนยิ้มให้ฉันอย่างเศร้าๆ "ฉันแค่... ไม่อยากให้เธอต้องเจ็บปวด" เขาพูด "เธอเป็นคนสำคัญสำหรับฉันนะรูบี้... ฉันไม่อยากให้เธอต้องแบกรับอะไรเช่นนี้"

      คำพูดของเขาทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย มันเป็นความรู้สึกที่แปลก... ความรู้สึกที่ฉันไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนเลย ฉันอยากจะบอกเขา... ว่าเขาเองก็สำคัญสำหรับฉันเหมือนกัน... ว่าฉันไม่ชอบที่เขาทำอะไรคนเดียวแบบนั้น... ว่าฉันยินดีที่จะแบกรับทุกอย่างร่วมกับเขา

      แต่คำพูดเหล่านั้นก็ไม่สามารถหลุดออกมาจากปากของฉันได้ ฉันแค่ส่ายหน้าช้าๆ "ดูแลตัวเองด้วย" ฉันพูด "แล้วเจอกันที่ค่ายนะ"

      เดม่อนพยักหน้า "แน่นอน" เขาพูด "แล้วเจอกัน"

      เขายื่นมือออกมา...ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกไปจับมือของเขาไว้แน่น

      "ฉันจะรอ" ฉันพูด "นายต้องกลับมานะ"

      เดม่อนยิ้มให้ฉันอีกครั้ง "แน่นอน" เขาพูด "ฉันจะกลับไป"

     เขาหันหลังให้ฉันแล้วเดินไปทางประตูทางออกของสถานีรถไฟเฮเฟตัส ฉันมองแผ่นหลังของเขาจนกระทั่งเขาเดินหายไปในกลุ่มผู้คน ฉันรู้ว่าเราจะต้องเจอกันอีก... แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...

END...


ความคิดเห็นผู้บันทึก

เรามาถึงกรุงโรมใหม่แล้ว การเดินทางที่นี่มันราบรื่นกว่าที่แอนตาร์กติกาเยอะเลย ฉันรู้สึกโล่งใจที่เราสามคนยังอยู่ด้วยกัน และฉันก็รู้สึกประทับใจกับความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน

ตอนนี้เราต้องไปที่สถานีรถไฟเฮเฟตัสแล้ว เดม่อนตัดสินใจที่จะอยู่ต่อในเมืองนี้คนเดียว ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่ฉันก็เชื่อว่าเขาจะดูแลตัวเองได้

เราไม่รู้ว่าที่นี่มีอันตรายอะไรบ้าง แต่ฉันก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมันแล้ว เพราะฉันมีเพื่อนร่วมทีมที่ยอดเยี่ยมอยู่เคียงข้างฉันเสมอ



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 18798 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-8-18 01:30
โพสต์ 18,798 ไบต์และได้รับ +6 EXP +7 เกียรติยศ +7 ความศรัทธา จาก แหวนห้วงมิติ  โพสต์ 2025-8-18 01:30
โพสต์ 18,798 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก พร: ทนทานไฟ  โพสต์ 2025-8-18 01:30
โพสต์ 18,798 ไบต์และได้รับ +6 EXP +10 ความกล้า จาก โล่แห่งโทสะ  โพสต์ 2025-8-18 01:30
โพสต์ 18,798 ไบต์และได้รับ +4 EXP +4 ความกล้า จาก กางเกงเดินป่า  โพสต์ 2025-8-18 01:30
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
ตาหลากสี
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x1
x2
x14
x2
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
1234
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้