แสงอาทิตย์ยังคงส่องลงมาไม่ขาดสาย ราวกับโลกไม่ต้องการให้ความมืดมีที่ยืนอีกต่อไป ซึ่ง...ก็น่ากลัวนิดหน่อยนะ ถ้าใครยังจำได้ว่า "พระอาทิตย์ไม่ตกดินอีกเลย" ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ปีที่แล้ว ข่าว CNN ยังใช้คำว่า *Eternal Sunshine* อยู่เลยไม่ใช่เหรอ? แต่ไม่ว่ามันจะเป็นปรากฏการณ์ของเทพหรือของอะไร ฉันก็เริ่มชินแล้วละ อย่างน้อยก็ช่วยให้เราไม่ต้องจุดตะเกียงตลอดเวลา
มหาสมุทรแปซิฟิกใต้สงบนิ่งมากกว่าที่คิด หลังจากใช้กระบอกบรรจุลมสี่ทิศเมื่อวานนี้ เราก็ตัดสินใจว่าจะประหยัดพลังเวทมนตร์เอาไว้ใช้ยามจำเป็นมากกว่า ดังนั้น วันนี้เลยเป็นวันที่พวกเราล่องเรือด้วยความเร็วตามธรรมชาติของ...เรือกล้วย
ใช่ เรือกล้วย
เรือมินิบานาน่าของรีชานี่แหละ สีเหลืองฉูดฉาด รูปทรงโค้งงอเหมือนขนมสายไหมโดนอบ ลอยอยู่กลางทะเลเหมือนเป็นของหลงยุคจากสวนสนุกปะการังในฝัน
รีชาเป็นคนแรกที่ตื่น เธอนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่หัวเรือ มือประสานกันแน่นเหมือนเด็กนักเรียนกำลังอธิษฐานก่อนสอบคณิตศาสตร์
“พ่อคะ ได้โปรด... ถ้าท่านยังอยู่ใกล้ ๆ ได้โปรดช่วยลูกด้วยนะคะ...” เธอพึมพำเบา ๆ ราวกับกลัวว่าคำขอของตัวเองจะดังเกินไป
ฉันไม่ทันได้ถามว่าเธอกำลังทำอะไร ก็มีเสียงน้ำแตกกระจายดัง *ปู้ม* ข้างเรือ ฮิปโปแคมปัสสองตัวพุ่งขึ้นมาจากคลื่นทะเล หนึ่งตัวสีฟ้าเพิร์ล อีกตัวสีเงินระยิบระยับ ดวงตาของพวกมันฉลาดเฉลียวราวกับเข้าใจภาษามนุษย์
“ว้าว...” รูบี้พึมพำจากท้ายเรือ มือยังถือกระบี่เทียนหวง แต่ปลายดาบชี้ลง เธอไม่ได้ระแวง แค่ตกใจ
รีชายิ้มกว้าง ดวงตาเธอเป็นประกาย “พ่อได้ยินหนูจริง ๆ ด้วย”
เธอผูกเชือกเวทมนตร์เข้ากับหัวเรือ พวกมันก็พยักหน้าแล้วพุ่งทะยานไปข้างหน้า ลากกล้วยของเราให้แล่นอย่างมั่นคงกลางทะเล
การเดินทางในวันนั้นเงียบสงบจนน่าแปลกใจ ไม่มีเสียงคำรามของอสุรกาย ไม่มีเสียงระเบิด ไม่มีเสียงร้องโหยหวนของเหล่าอสุรกาย มีเพียงแค่คลื่น กระแสลม และเสียงหาวของรีชาตอนบ่ายที่กลายเป็นเสียงกรนเบา ๆ หลังเธอหลับไปโดยใช้เสื้อคลุมของฉันแทนผ้าห่ม
ฉันนั่งข้างรูบี้ตรงกลางเรือ ดวงอาทิตย์สูงอยู่บนท้องฟ้าอย่างที่มันเป็นมาหลายเดือนแล้ว แสงแดดกระทบผิวของเธอ
“ไม่คิดจะต่อยหน้าฉันอีกแล้วเหรอ?” ฉันแหย่เบา ๆ
เธอหัวเราะ เสียงหัวเราะที่เบากว่าปกติ และไม่เหมือนการหัวเราะเย้ยแบบที่เคยเป็น “ก็แล้วแต่ว่านายจะทำตัวสมควรโดนหรือเปล่าน่ะ”
“แค่จะบอกว่า... ขอบคุณนะ” ฉันพูดเสียงเบา “สำหรับที่เข้าใจเรื่องคำสาปนั่น”
รูบี้เงียบไปสักพัก แล้วถอนหายใจเบา ๆ “ฉันยังไม่เข้าใจทุกอย่างหรอก แต่...อย่างน้อยก็ไม่ได้โกรธเท่าเดิมแล้วล่ะ”
ฉันหันไปมองใบหน้าของเธอ เห็นแววตาที่อ่อนลง และอะไรบางอย่างในอกก็เต้นผิดจังหวะ มันไม่ใช่คำสาปของแอรีสแน่นอน
ฉันเอ่ยขึ้นเบา ๆ พลางมองทะเลตรงหน้า “รูบี้”
เธอขานตอบโดยไม่หันมามอง “อะไร”
ฉันเว้นจังหวะไปครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นใหม่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าเรากลับไปค่ายได้... เธออยากจะทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรกงั้นเหรอ?”
รูบี้หรี่ตาลง ก่อนจะตอบออกมาด้วยเสียงเรียบ ๆ แต่ชัดเจน “อยากนอน... แล้วก็กินของทอด ๆ ทั้งวัน”
ฉันหัวเราะเบา ๆ พูดพลางยิ้ม “ฟังดูเหมือนเป้าหมายชีวิตเลยนะ”
“ก็แน่ล่ะ นายคิดว่าเราลุยกับเทพครึ่งโหล อสุรกายสิบตัว และต้องรอดจากแอนตาร์กติกามาเพื่ออะไรล่ะ”
“เพื่อนักเก็ตไก่?”
“แน่นอน” เธอยิ้ม ซึ่งเป็นรอยยิ้มจริง ๆ แบบไม่ปิดบังอะไรเลย
ฉันเงียบไปครู่หนึ่ง มองใบหน้าของเธอที่ยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วความรู้สึกบางอย่างก็เอ่อล้นขึ้นมา
เรือกล้วยยังแล่นต่อไป ท่ามกลางทะเลที่ไร้เงาอันตราย ท่ามกลางแสงที่ไม่มีวันดับ และท่ามกลางความรู้สึกบางอย่าง... ที่เริ่มจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ฉันนิ่งไปครู่ ก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง แม้จะยังไม่หันไปมองเธอโดยตรง แต่ก็รู้ดีว่าเธอฟังอยู่
“รูบี้... ถ้าวันนั้นที่เราดักจับพ่อของเธอกับแม่ของฉันไว้ แล้วฉันไม่เข้าไปช่วย เธอจะโกรธไหม?”
เธอขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะตอบเสียงเรียบ “ไม่รู้สิ... อาจจะโกรธนะ ถ้านายไม่ยื่นมือเข้ามาเลย”
“แล้วถ้าฉันยื่นมือเข้ามาแบบไม่คิดหน้าคิดหลังล่ะ?” ฉันถามต่อ เสียงเริ่มเบาลงกว่าเดิม
เธอหัวเราะเบา ๆ อีกครั้ง เสียงหัวเราะของเธอนุ่มลง อ่อนโยนกว่าทุกครั้ง “ฉันน่ะ... โมโหอยู่แล้วล่ะ แค่คนปกติก็โดนหมัดฉันบ่อยพอแล้ว นายยิ่งสมควรได้มากกว่านั้นอีก”
ฉันหัวเราะตอบเบา ๆ ก่อนที่เธอจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป มันนุ่มลง อบอุ่นขึ้น และมีอะไรบางอย่างปนอยู่ในนั้นที่ฉันไม่เคยได้ยินจากเธอมาก่อน
“แต่ครั้งนี้... ขอบใจนะ ที่อยู่ตรงนั้น”
ฉันกลั้นหายใจไปชั่วครู่ ไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี รู้แค่ว่าหัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย และคราวนี้ ฉันไม่โทษคำสาปของแอรีสเลย
รูบี้เงียบไปสักพัก ดวงตาของเธอจ้องมองทะเลเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด ก่อนที่เธอจะหันกลับมามองฉันอีกครั้ง สีหน้าของเธอนิ่ง แต่สายตากลับอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด
“รู้อย่างหนึ่งไหม เดม่อน” เธอพูดเบา ๆ “ฉันไม่ชอบเวลานายทำอะไรคนเดียวแบบนั้น”
ฉันเลิกคิ้วเล็กน้อย “เพราะฉันดูโง่หรือเปล่า?”
เธอหัวเราะในลำคอ “ก็โง่นิดหน่อยนั่นแหละ” เธอยอมรับอย่างหน้าตาย “แต่มากกว่านั้น... มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนฉันไม่มีความหมายอะไรเลย นายไม่ควรแบกรับทุกอย่างคนเดียว ไม่ใช่ในเมื่อยังมีฉันอยู่”
ฉันไม่ตอบทันที แค่สบตากับเธอ แล้วพยักหน้าช้า ๆ
“ถ้ามีครั้งหน้า...” เธอพูดต่อเบา ๆ พร้อมยกนิ้วขึ้นชี้หน้า “...แบ่งมาให้ฉันบ้าง เข้าใจไหม?”
“ครับ แม่ทัพรูบี้” ฉันยิ้มกว้างรับ
เธอส่ายหน้าแต่ก็ยิ้มกลับมา ดวงตาของเธอสบตาฉันตรง ๆ ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองเส้นขอบฟ้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ สีแดงบนแก้มเธอดูจะไม่ได้มาจากแสงอาทิตย์เพียงอย่างเดียว
ฉันยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ข้าง ๆ เธอ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะนัก ทั้งเพราะรอยยิ้มของเธอ... และเพราะบางอย่างที่ไม่คาดคิด — ภาพของลิเลียน่าแล่นเข้ามาในหัวฉันโดยไม่มีสาเหตุ
เส้นผมสีดำของเธอ ดวงตาคู่นั้นที่เคยมองฉันด้วยความห่วงใย ความทรงจำจากอีกหน้าหนึ่งของชีวิตที่ฉันพยายามเก็บไว้เงียบ ๆ เหมือนแผลเป็นใต้เสื้อ
ฉันเม้มปากเล็กน้อย พยายามไม่ให้รูบี้สังเกตเห็น แต่ก็ต้องหันหน้ากลับไปมองทะเลแทน ลมทะเลพัดแรงขึ้นพอดีเหมือนช่วยบังความวุ่นวายในหัวใจฉัน
ด้านข้าง รูบี้เองก็ยังคงยิ้ม แต่ไม่นานเธอก็ลดสายตาลง มองมือตัวเองอย่างครุ่นคิด
“โบลต์...” เธอกระซิบชื่อหนึ่งขึ้นมาเบา ๆ เหมือนกับเป็นคำภาวนา
ฉันหันกลับมาเล็กน้อย “หือ?”
“ไม่มีอะไร” เธอส่ายหน้า ดวงตาของเธอแข็งขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังมีรอยเศร้าบาง ๆ ทิ้งอยู่ “แค่นึกถึงใครบางคน...ที่เคยสัญญาว่าจะพากลับบ้าน”
ไม่มีใครพูดอะไรต่อทันที เราแค่ปล่อยให้ลมทะเลพัดผ่านเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่คลื่นลูกใหม่จะพัดกระทบหัวเรือเบา ๆ
เราสองคนต่างนั่งนิ่งข้างกัน โดยมีอดีตของตัวเองลอยปะปนอยู่ในสายลม และมีบางสิ่งบางอย่างกำลังค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปโดยที่เรายังไม่รู้ตัว
เสียงหาวเบา ๆ ดังขึ้นจากท้ายเรือ รีชาเริ่มขยับตัวใต้ผ้าคลุม ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง ดวงตากะพริบถี่ ๆ รับกับแสงแดดจ้า
“อื้อ... พี่รูบี้... พี่เดม่อน...” เธอพึมพำเสียงงัวเงีย พลางขยี้ตาเหมือนลูกแมวตื่นนอน “หนูหลับนานแค่ไหนเนี่ย...”
ฉันหันไปมองเธอทันที “สักพักเลยล่ะ” ฉันพูดพร้อมรอยยิ้ม “ฝันดีไหม?”
“ฝันว่าได้กินเค้กที่ไม่ละลายกลางทะเลค่ะ” รีชาตอบพลางยิ้มบาง ๆ ก่อนที่สีหน้าเธอจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเหลือบมองพวกเราทั้งสองคนสลับกัน
ดวงตาเธอขยับช้า ๆ ระหว่างฉันกับรูบี้ ก่อนที่เธอจะเลิกคิ้วอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรทันที
“เอ่อ... หนูขอไปนั่งตรงหัวเรือก็แล้วกันนะคะ ลมมัน... สดชื่นดี” เธอว่า พลางรีบลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่วเกินจำเป็นแล้วเดินเลี่ยงไปทางหัวเรืออย่างรวดเร็ว
ฉันกับรูบี้สบตากันโดยไม่ตั้งใจ ต่างฝ่ายต่างดูจะเข้าใจว่ารีชารับรู้ถึงบรรยากาศบางอย่างที่เริ่มเปลี่ยนไป... และเธอก็เลือกจะปล่อยให้พวกเราจัดการมันเอง

ความคิดเห็นผู้บันทึก
วันแบบนี้ชวนให้ฉันเผลอลืมไปว่าเราอยู่กลางภารกิจ ท่ามกลางมหาสมุทรที่ไม่เคยมีคำว่าปลอดภัยจริง ๆ การนั่งเงียบ ๆ ข้างรูบี้ ลมทะเลพัดผ่านหน้า แสงอาทิตย์ที่ไม่มีวันดับ... ทั้งหมดนั้นเหมือนกับภาพในฝันที่เราไม่มีวันได้ครอบครองนานนัก
ฉันยังไม่แน่ใจว่ารู้สึกอะไรกับเธอกันแน่ แต่รูบี้ไม่ใช่คนที่ฉันจะลืมได้ง่าย ๆ เธอพูดจาขวานผ่าซาก บางครั้งก็ชกหน้าแบบไม่ให้ตั้งตัว แต่พอเธอยิ้มแบบนั้น... ตอนนี้มันก็ทำให้ฉันลืมความเจ็บไปหมด
และนั่นแหละที่ทำให้ฉันสับสน ลิเลียน่า ใบหน้าของเธอโผล่เข้ามาในหัวฉัน รอยยิ้มของเธอ... ดวงตาแบบนั้น... ความรู้สึกผิดผสมกับความว่างเปล่าในอกฉันมันบอกไม่ได้เลย ว่าฉันกำลังวิ่งหาหรือวิ่งหนีอะไรอยู่กันแน่
ส่วนรูบี้... ฉันไม่รู้ว่าใครคือโบลต์ แต่แค่ชื่อที่หลุดออกมาจากปากเธอก็เปลี่ยนบรรยากาศไปโดยสิ้นเชิง เธออาจมีอดีตที่เจ็บปวดไม่ต่างจากฉัน และบางทีเราก็แค่สองคนที่พังแล้วพยายามแปะเทปพันสายไฟให้ตัวเองยังดูโอเคต่อหน้าคนอื่น
รีชาก็ยังคงเป็นแสงสว่างของกลุ่ม เธอรู้สึกได้ถึงความกระอักกระอ่วนแต่ไม่พูดอะไร แค่เดินเลี่ยงออกมาอย่างมีมารยาท เธออาจจะยังเด็ก แต่เธอเข้าใจมากกว่าที่เราคิด
เรายังต้องไปต่อ ยังไม่ถึงจุดหมาย แต่วันนี้... แค่วันนี้ ฉันอยากให้ภาพนี้อยู่กับเรานานที่สุดเท่าที่จะทำได้ รีชาเหมือนน้องสาวแท้ ๆ ของฉัน เธอกล้าหาญกว่าที่เธอรู้ตัว ส่วนรูบี้... ฉันไม่รู้ว่าเราจะเรียกความรู้สึกที่มีตอนนี้ว่าอะไรดี แต่ฉันรู้แค่ว่าฉันไม่อยากให้มันหายไป
เรากำลังมุ่งหน้าไปซานฟรานซิสโก ตามแผนที่รูบี้บอก เธอเคยได้ยินว่ามีรถไฟเวทมนตร์ของเฮเฟตัสที่สามารถขึ้นจากนั่น และวิ่งตรงเข้าสู่กรุงโรมใหม่... ค่ายจูปิเตอร์
ฉันหวังว่ามันจะเป็นความสงบก่อนพายุ — และเราจะได้เตรียมตัวให้พร้อม ก่อนโลกจะโยนความวายป่วงลูกต่อไปใส่หน้าเราอีกครั้ง
