
วันที่ 15 เดือน กันยายน ปี 2025
ช่วงเช้าถึงเที่ยง เวลา 07.00 - 12.00 น. ณ อะคาเดเมีย เซเนกา กรุงโรมใหม่ ค่ายจูปิเตอร์ (เรียน) (พบหยาน)
เมื่อแสงแดดอ่อนของเช้าวันใหม่ส่องลอดผ่านเสาสูงตระหง่านของอคาเดเมีย เซเนกา โมนีก้าก็ก้าวเข้ามาในรั้วโรงเรียนด้วยหัวใจที่เต้นแรง ชีวิตไฮสคูลของเธอกำลังเริ่มต้นขึ้นในสถานที่ที่เป็นดั่งศูนย์กลางแห่งวิชาความรู้ของกรุงโรมใหม่
แม้จะเข้ามาเรียนช้ากว่าคนอื่นไปหนึ่งเดือนเต็ม แต่เธอก็ตั้งใจว่าจะไม่ปล่อยให้ความล่าช้านี้กลายเป็นอุปสรรค เสียงสนทนาของนักเรียนที่พูดคุยกันด้วยภาษาละตินดังก้องไปทั่วบริเวณโถง เสียงที่ทำให้บรรยากาศเหมือนย้อนกลับไปยังยุคสมัยโรมันโบราณ โมนีก้าพยายามจับคำและประโยคที่พอจะคุ้นเคยจากการเรียนมาก่อนหน้านี้ โชคดีที่ภาษาละตินยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเธอ ส่วนภาษาอังกฤษก็เป็นสิ่งที่เธอใช้จนชินอยู่แล้ว แต่พอถึงเวลาที่อาจารย์ยกป้ายตัวอักษรจีนขึ้นมา ความมั่นใจทั้งหมดก็แทบพังทลายทันที
“เชี้ย…อะไรวะเนี้ย ภาพยึกยือนั้น…” หญิงสาวนั่งกะพริบตาปริบ ๆ มองตัวอักษรที่เต็มไปด้วยเส้นขีดซับซ้อน มันเหมือนเขาวงกตที่ไม่รู้จุดเริ่มและจุดจบ ไหนจะเสียงอ่านที่แตกต่างกันตามสำเนียงอีก ไม่ว่าจะเป็นสำเนียงกลาง สำเนียงกวางตุ้ง หรือสำเนียงเซี่ยงไฮ้ที่อาจารย์หยิบมาเปรียบเทียบให้ฟัง
โมนีก้าแทบอยากจะเอาหัวโขกโต๊ะความรู้สึกคือมันไม่ใช่แค่ภาษาเดียว แต่เป็นราวกับโลกทั้งโลกที่ต้องเรียนรู้ใหม่หมด เธอพยายามจดตาม แต่ลายมือที่ขีดเขียนลงไปก็เหมือนเส้นตะกุกตะกักที่อ่านแทบไม่ออกเองด้วยซ้ำ
เมื่อเวลาผ่านไปจากคาบแรกสู่คาบถัดมา ความเหนื่อยล้าเริ่มกดทับลงมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เวลาเจ็ดโมงเช้าที่เข้าเรียนจนกระทั่งเกือบเที่ยงวัน โมนีก้ารู้สึกเหมือนถูกจับไปอยู่ในห้องสอบที่ไม่มีวันสิ้นสุด เสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมชั้นที่เข้าใจภาษาจีนได้บ้างยิ่งตอกย้ำความรู้สึกโดดเดี่ยว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังยิ้มสู้ พยายามใช้ความสดใสร่าเริงแบบอเมริกันจ๋าของตัวเองดึงให้ทุกอย่างดูไม่เลวร้ายจนเกินไป
สนามหญ้ากลางโรงเรียนที่ล้อมรอบด้วยเสาโรมันสูงใหญ่และห้องเรียนแบบเปิดโล่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในประวัติศาสตร์ทุกครั้งที่เดินผ่าน เหล่านักเรียนบางกลุ่มกำลังนั่งถกเถียงเรื่องปรัชญาแนวสโตอิก บ้างก็เปิดตำรากฎหมายโรมันอย่างขะมักเขม้น อาจารย์บางคนเดินผ่านด้วยสายตาที่จริงจังและเต็มไปด้วยความคาดหวัง อคาเดเมียแห่งนี้ไม่ใช่แค่โรงเรียน แต่มันเป็นเหมือนโรงหล่อหลอมพลเมืองแห่งอนาคตของกรุงโรมใหม่
แสงแดดยามบ่ายเอื่อยเฉื่อยส่องลอดหลังคากระเบื้องของอคาเดเมีย เซเนกา ลงมากระทบใบหน้าซีดเซียวของโมนีก้า เธอก้าวเท้าช้า ๆ ออกมาจากอาคารเรียนราวกับร่างไร้วิญญาณ หลังผ่านคาบเรียนสามภาษาที่ทำให้สมองแทบระเบิด ละตินพอเข้าใจ อังกฤษยังเอาตัวรอดได้ แต่ภาษาจีน…ตัวอักษรบนกระดาษยังคงเป็นปริศนาเหมือนมดไต่กันไปมา ชุดยูนิฟอร์มเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวและกระโปรงเข้มที่ควรยาวถึงเข่า กลับถูกพับชายขึ้นเล็กน้อยตามสไตล์สาวอเมริกันขี้เล่นอย่างเธอ
เสียงหัวเราะของนักเรียนที่เดินผ่านลานเสายังแว่วอยู่รอบตัว แต่โมนีก้ากลับไม่ได้ยินอะไรชัดเจน ทุกย่างก้าวเหมือนเดินในหมอก กึก!! เสียงกระแทกดังขึ้นเมื่อโมนีก้าสะดุดชนใครบางคน เธอเผลอชนแรงพอสมควรจนสมุดเรียนในมือหลุดกระเด็น กระดาษแบบฝึกหัดภาษาจีนปลิวว่อนกลางแดดบ่าย รอยขีดเขียนของเธอที่ตั้งใจจดตลอดเช้ากลับเป็นเพียงเส้นยุ่งเหยิงเหมือนตัวหนอนพาดเต็มหน้า มันคือหลักฐานแห่งความพยายามที่ไม่เป็นผล
“โอ๊ย!” เธออุทานรีบก้มลงจะเก็บความน่าอายนี้ แต่ก่อนที่ปลายนิ้วจะสัมผัสกระดาษก็มีมืออีกคู่หยิบขึ้นมาก่อน
เงาของร่างสูงค่อย ๆ ทาบลงบนพื้น เธอเงยหน้าขึ้น แล้วหัวใจแทบหยุดเต้น ใบหน้าคมสงบ ดวงตาลึกนิ่งที่เธอจำได้ขึ้นใจ ชายหนุ่มเชื้อสายเอเชียที่เจอกันมาแล้วถึงสามครั้ง ครั้งแรกในค่ายเมื่อเขาล้มมาทับ ครั้งที่สองในท่อระบายน้ำเสียและครั้งที่สามตอนเข้าเวรยามกลางวิหารเบลโลน่า เขาเงียบขรึมดังเดิม ดวงตาสีเข้มเหลือบมองลายมือบนกระดาษก่อนจะส่งสายตากลับมาหาเธอ “นี่…ของคุณรึเปล่า” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียบง่ายแต่ฟังดูจริงจัง
โมนีก้าหน้าร้อนผ่าว รีบคว้ากระดาษกลับ “ขะ…ค่ะ ขอโทษนะคะ ฉันไม่ระวังเอง” เธอก้มศีรษะเล็กน้อย พยายามยัดกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรจีนบิดเบี้ยวกลับเข้าสมุดอย่างลนลาน
ชายหนุ่มยังคงมองเธออยู่เงียบ ๆ ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ลายมือ…ดูเหมือนกำลังหัดเขียนเหรอ” น้ำเสียงไม่ได้มีแววล้อเลียน แต่แฝงความใส่ใจบางอย่าง “ก็…พยายามอยู่ค่ะ แต่คงเหมือนตัวหนอนมากกว่าตัวหนังสือ” เธอเผลอหัวเราะแห้ง ๆ แก้เก้อ ดวงตาเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วรีบหลบ “ฉัน…โมนีก้าค่ะ”
ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าเบา ๆ “หยาน” เขาตอบสั้น ๆ แต่เพียงพอให้ชื่อของเขาฝังแน่นในใจเธอ สายลมพัดผ่านทำให้กระดาษบางแผ่นสั่นไหว โมนีก้ากำมันแน่น พลางยิ้มเก้อ ๆ “ขอบคุณที่ช่วยเก็บนะคะ…ครั้งนี้ก็คงเป็นครั้งที่สี่แล้วสินะที่เราเจอกัน”
หยานมุมปากยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้มที่แทบมองไม่เห็น “อาจจะเป็นโชคชะตาก็ได้” เขาเอ่ยเบา ๆ ดวงตาเรียบสงบแต่มองลึกจนเธอรู้สึกหัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล
โมนีก้าก้มหน้าลงเล็กน้อย น้ำเสียงแผ่วจนแทบกลืนไปกับเสียงลม “ก็คงงั้นค่ะ…ขอโทษอีกครั้งนะคะ ฉันมัวแต่เอ๋อเรื่องภาษาจีนอยู่ตลอดเลย ที่เซเนกาให้เรียนสามภาษา ฉันไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง อ่านก็ไม่ออก ฟังก็ไม่รู้เรื่อง พูดได้อยู่สองคำเองหนี่ห่าวกับหวออ้ายหนี …ถ้าต้องเรียนตามเพื่อนไม่ทัน ฉันคงได้ซ้ำชั้นแน่ ๆ” เธอบ่นออด ๆ แอด ๆ พร้อมกับยู่หน้าด้วยความหงุดหงิดที่ปนความกลัว
หยานมองเธอเงียบ ๆ แววตานิ่งลึก แต่มีประกายอ่อนโยนที่ทำให้คนตรงหน้าเริ่มคลายเกร็ง “ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้” เสียงทุ้มของเขานุ่มลง “ภาษาจีนไม่ได้เรียนกันวันเดียวรู้เรื่องหรอก ต่อให้คนจีนเองบางทียังงงสำเนียงต่างจังหวัดเลย” โมนีก้าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตากลมโตมีประกายสับสน “จริงเหรอคะ…แต่ฉันดูเหมือนตัวตลกเวลาเขียน ทุกตัวอักษรเหมือนตัวหนอนยึกยือ” หยานนิ่งฟังไม่ได้ขัดจังหวะ ดวงตาคมกริบยังคงมองเธออย่างเงียบ ๆ ก่อนเอ่ยช้า ๆ น้ำเสียงสุขุมแต่มีแววอ่อนโยนแฝงอยู่ “ภาษามันไม่ได้ยากเกินไปหรอก แค่คุณยังไม่ได้เจอวิธีที่เหมาะกับตัวเองเท่านั้น”
โมนีก้าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เลิกคิ้วราวกับไม่เชื่อ “พูดง่ายจังนะคะ…” เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือกอดสมุดแน่นเหมือนอยากซ่อนความล้มเหลวเอาไว้
หยานก้าวเข้ามาใกล้ครึ่งก้าว พูดเรียบ ๆ แต่หนักแน่น “ถ้าอยาก…ผมพอจะช่วยได้” โมนีก้ากะพริบตาปริบ ๆ หัวใจเต้นแรงโดยไม่รู้สาเหตุตอนที่อีกฝ่ายบอกแบบนั้น เอ๊ะ? หมายความว่ายังไงนะ? “ชะ…ช่วย?” เธอเอียงคองง ๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าเขาพูดจริงหรือแค่ปลอบเธอเท่านั้น
หยานพยักหน้าน้อย ๆ แววตายังคงมั่นคง “ผมพูดอ่านเขียนภาษาจีนได้ ผมโตมาจากฮ่องกง ถ้าอยากเรียน ผมจะสอน…แต่คุณต้องตั้งใจ”
หญิงสาวอ้าปากค้างเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ แก้เก้อ แม้จะยังมีท่าทีเกร็ง ๆ แต่รอยยิ้มเล็ก ๆ ก็เริ่มผุดขึ้นที่ริมฝีปากของโมนีก้า ขณะที่หยานยังคงยืนนิ่งราวกับไม่ได้คิดว่านี่คือเรื่องใหญ่โตอะไรนัก แต่ในแววตากลับมีบางอย่างที่อุ่นขึ้นอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
ลมเย็นจากต้นไม้ข้างทางพัดมาเบา ๆ ขณะทั้งสองยืนอยู่ใต้เงาอาคารเรียน โมนีก้าขยับเท้าลงน้ำหนักไปมาเหมือนเด็กที่รอคำตอบ ดวงตาสีเทาเงินของเธอมีทั้งความเกรงใจและความหวังผสมปนกัน “แต่…ฉันไม่มีเงินเลยนะ จะรบกวนคุณไหม” น้ำเสียงเธอเบาราวกับกลัวลมจะพัดคำพูดหายไป “ฉันไม่ค่อยเก่งด้านภาษา ขนาดภาษาละตินยังต้องใช้เวลานานกว่าคนอื่นกว่าจะเข้าใจเลย…”
หยานยืนพิงเสาอย่างสงบ แสงแดดอุ่นส่องผ่านใบไม้ตกกระทบผมสีดำสนิทของเขาเป็นประกาย เขาส่ายหน้าเบา ๆ น้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่น “ไม่เป็นอะไร ผมอาสาเอง” โมนีก้าเงยหน้าขึ้นทันที ใบหน้าที่เพิ่งซีดจากความเครียดเริ่มมีสีเลือดฝาด “คุณโอเคจริง ๆ เหรอถ้าจะเป็นติวเตอร์ให้ฉัน? ฉันเกรงใจนะคะเนี้ย” เธอถามทั้งที่มือยังเกาะสายกระเป๋าแน่น
ชายหนุ่มยักไหล่นิดหนึ่ง ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง “โอเคสิ ผมเองก็เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนิวโรม ใกล้ ๆ นี้เอง”
“หาาา…!” เสียงอุทานของโมนีก้าดังขึ้นจนคนเดินผ่านต้องเหลียวมองเธอเบิกตากว้างจนเกือบลืมกระพริบ “ที่แท้คุณเป็นรุ่นพี่นี่เอง” มือข้างหนึ่งรีบยกขึ้นปิดปากพร้อมหัวเราะเขิน “งั้น…ขอเรียกพี่หยานได้ไหมคะ?” แววตาของหยานอ่อนลงเล็กน้อยริมฝีปากกระตุกยิ้มมุม “ถ้ามันทำให้คุณจำชื่อได้ก็ตามสบาย”
“ตกลงนะคะ พี่หยาน” โมนีก้าพูดพลางยกยิ้มกว้างขึ้น ความอึดอัดจากเมื่อครู่ค่อย ๆ คลายออก หยานเหลือบมองท้องฟ้าแล้วขยับมือดูนาฬิกาเพราะเขาต้องไปเข้าคลาสบ่ายต่อ “งั้นเรามาตกลงเรื่องเวลาเรียนกัน ผมมีคาบเช้าที่มหาวิทยาลัยทุกวัน แต่ช่วงเย็นหรือคืนวันเสาร์อาทิตย์ว่าง”
“จริงหรอคะ?!” โมนีก้าตอบพร้อมก้าวเข้าใกล้เล็กน้อย ดวงตาเป็นประกาย “ถ้างั้นเอาเย็นวันพุธกับวันเสาร์ดีไหมคะ? ฉันจะได้ทบทวนระหว่างสัปดาห์ด้วย”
“ได้” เขาตอบสั้น ๆ แต่แววตาอบอุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “เริ่มพุธนี้เลยก็ได้ ถ้าคุณพร้อม” และทันทีที่เข้าบอกแบบนั้นโมนีก้าก็รีบพูด “พร้อมค่ะ!” เธอรีบตอบทันควัน เสียงใสเจือหัวเราะบาง ๆ ความเหนื่อยล้าจากชั้นเรียนสามภาษาหนักหน่วงดูจะเบาลงทันทีที่ได้ยินคำยืนยันจากชายหนุ่มเงียบขรึมตรงหน้า โมนีก้ารู้สึกเหมือนเจอเส้นทางใหม่ที่พอจะพาเธอไปต่อได้

[TGC-09] หยาน
พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7
โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ TGC +5
กลิ่นหอมจาก น้ำหอม Unisex - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +5
(โรลเพลย์ที่ลงท้ายด้วย 0 2 4 6 8 - ใช้ได้กับรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นเท่านั้น)