คงจะต้องเริ่มต้นด้วยการทักทายก่อนเป็นอันดับแรก สวัสดีค่ะ ‘เออต้า บราวน์’ เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าทุกคนค่ะ และเพราะว่ามีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อย ฉันก็เลยได้มาอาศัยอยู่ที่นี่ร่วมกับทุกคนค่ะ
ยังมีหลายอย่างที่ฉันสงสัยและต้องเรียนรู้ หากถามหรือพูดมากเกินไปจนทำให้ทุกคนรำคาญ ฉันต้องขอโทษเอาไว้ก่อนล่วงหน้าเลยนะคะ แล้วก็อีกอย่าง หากมีอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือว่าอยากชวนไปที่ไหน ฉันยินดีมาก ๆ เลยค่ะ
หวังว่าพวกเราจะได้รู้จักกันมากขึ้น และได้ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยกันเยอะ ๆ เลยนะคะ
ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนอีกครั้งค่ะ
ความรักของชายหญิงคู่หนึ่งเป็นดั่งเทพนิยาย การพบรักที่แสนหวาน ได้อยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา แต่หากต้องจากลาด้วยความจำยอม
นั่นเป็นความรักของหญิงสาวที่ชื่อเฮเลน่า บราวน์ นักธุรกิจสาว บุตรสาวของเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา เธอได้รับความรักของชายคนหนึ่งซึ่งเธอไม่อาจรู้ได้ว่าเขาเป็นใคร แต่เพราะความรักจึงทำให้เธอตกลง และกว่าจะรู้เรื่องทั้งหมด นั่นก็เป็นยามที่เธอตั้งครรภ์ได้หลายเดือนแล้ว
แต่ต้องจำยอม ด้วยเหตุผลที่เขาได้เอ่ยมา
เฮเลน่ายังคงใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติในบ้านส่วนตัวของเธอ ซึ่งเป็นบ้านหลังที่พ่อแม่ของเธอนั้นจัดเตรียมไว้ให้สำหรับคู่รัก แม้ว่าตอนนี้จะมีเพียงเธอก็ตาม
เวลาผ่านไป ลูซี่ บราวน์ ลูกพี่ลูกน้องคนสนิทที่ทำงานเป็นเลขานุการของเฮเลน่าในขณะนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังด้วยเพื่อดูแลเธอที่กำลังตั้งครรภ์
จนกระทั่งยามดวงอาทิตย์ทอแสงเจิดจ้าที่สุด เป็นยามที่เด็กสาวคนหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้
ทารกน้อยหน้าตาน่ารักถูกตั้งชื่อว่าเออต้า ไม่มีใครรู้ว่ามันหมายถึงอะไรเว้นเสียแต่เฮเลน่าผู้เป็นคนตั้ง เธอเกิดมาท่ามกลางความยินดีของครอบครัวบราวน์ ถูกรุมมอบความรักมาตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ และมันก็ยังคงเป็นเช่นนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งเออต้าได้เติบโตขึ้นมา
เออต้าถูกเลี้ยงดูมาโดยคุณแม่เฮเลน่า และลูซี่ที่ลาออกจากการเป็นเลขานุการของเฮเลน่าเพื่อเป็นแม่นมให้กับเด็กน้อยและคอยดูแลบ้าน และยังมีตายายที่คอยมาเยี่ยมเยียนไม่ขาด ได้รับความรักในฐานะหลานอย่างที่สุด ทำให้เธอเติบโตมาเป็นเด็กที่ร่าเริง สดใส กล้าคิดกล้าทำและกล้าแสดงออกอย่างที่ควรจะเป็น แม้ว่าจะไม่มีพ่อก็ตาม แต่หากว่าด้วยโรคที่ติดตัวของเธอมาตั้งแต่กำเนิดซึ่งเริ่มเห็นอาการชัดขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเติบโต ก็ยิ่งเป็นปัญหากับการใช้ชีวิต การอ่านการเขียนทำได้ล่าช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน และยังไม่มีสมาธิในการเรียนหรือจดจ่อกับอะไรได้เป็นเวลานาน วอกแวกง่าย และมีพฤติกรรมที่หุนหันพลันแล่น จนต้องไปพบกับจิตแพทย์ ผลปรากฏว่าเออต้าเป็นโรคดิสเล็กเซีย และโรคสมาธิสั้น และได้รับการรักษา แต่นั่นไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมา คนในครอบครัวจึงเริ่มเป็นกังวลมากขึ้น จึงตัดสินใจให้เออต้านั้นเรียนโฮมสคูลที่บ้านเพื่อให้เธอนั้นสามารถเรียนรู้ได้ตามศักยภาพ และยังเพิ่มทักษะอื่น ๆ อย่างการเล่นดนตรี ร้องเพลง แม้กระทั่งวาดภาพต่าง ๆ ให้กับเธออีกด้วย ซึ่งเธอก็สามารถทำมันได้ดีกว่าการเรียนหนังสือมากเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าจะดำเนินต่อไปได้ดี เออต้ามีชีวิตที่ดีจากการดูแลอย่างเอาใจใส่ของครอบครัว มีเพื่อนเล่นเป็นเด็กข้างบ้านที่ไม่ได้รู้เรื่องของเธอมากนัก คนในครอบครัวก็ดูจะสบายใจมากขึ้น แม้แต่เฮเลน่า... ที่เธอรู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และมันกำลังทำให้เธอหวาดวิตก
จนกระทั่งอายุเข้ามาได้ 12 ปีเศษ เป็นช่วงวัยที่เด็กน้อยมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่เต็มเปี่ยม และเธอก็ได้สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทั้งสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าจะมีอยู่บนโลกใบนี้อย่างที่เคยได้ร่ำเรียนเมื่อออกไปนอกบ้าน หรือแม้กระทั่งมีบางอย่างลอยขึ้นมาได้เอง ด้วยนิสัยของเออต้าที่ถูกหล่อหลอมมาให้กล้าแสดงออก เธอจึงได้บอกสิ่งประหลาดที่เห็นกับแม่อย่างเธออย่างเฮเลน่าไปจนหมด หากเป็นคนอื่นคงจะคิดว่าเด็กคนนี้พูดเล่นและกุเรื่องประหลาดขึ้นมาแน่ แต่สำหรับเฮเลน่า เธอเชื่ออย่างสุดหัวใจ เพราะลูกสาวของเธอนั้นไม่ได้เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างเธอ แต่เธอก็เลือกที่จะเก็บงำความลับของลูกสาวต่อไปทั้งแบบนี้ โดยบอกเพียงลูซี่ให้รับรู้เอาไว้เท่านั้น เพื่อให้ช่วยกันดูแลและคอยเฝ้าระวังให้เออต้าไม่เกิดอะไรขึ้น หรือเป็นอันตรายได้ดั่งคำแนะนำของเซนทอร์ตนหนึ่งที่คอยแวะเวียนมาหาเธออยู่บ่อยครั้งเพื่อพูดคุยเรื่องลูกสาว
วันเวลาผ่านไป.. จากวัน เป็นเดือน และเป็นปี เหตุการณ์ต่าง ๆ รอบตัวของเออต้านั้นยังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ เธอโตพอที่จะรับรู้ได้แล้วว่าสิ่งที่เธอเห็นนั้นไม่ใช่เรื่องที่ปกติจากแม่และแม่นมของเธอ แต่ถึงจะใช้คำว่าเกิดขึ้นเรื่อย ๆ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะมีความถี่และไม่อันตรายเหมือนอย่างตอนเด็ก เพราะเหมือนว่ามันจะเริ่มทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอยู่หลายครั้ง และหลัง ๆ มานี้ก็เริ่มรุนแรงมากขึ้นจนได้แผลกลับมาที่บ้าน เฮเลน่าที่เห็นแบบนั้นก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไปแล้ว เธอเลือกที่จะติดต่อกับเซนทอร์และเล่าความลับที่เก็บงำเอาไว้เพียงคนเดียวตลอดมาให้ลูกสาวได้ฟัง มันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ ใบหน้าน่ารักของเออต้าได้แต่ขมวดคิ้วและไร้การยอมรับ เธอไม่เชื่อเรื่องที่เหนือธรรมชาติมากขนาดนี้แน่ แต่หากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ มันทำให้เธอจำเป็นจะต้องเชื่อและยอมรับมันให้ได้ ทั้งโรคที่ทำให้เธอใช้ชีวิตได้ยากขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งสิ่งประหลาดที่เห็นมาตั้งแต่เด็ก และยังเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เธอเกือบตายนี่ด้วย
สุดท้ายก็ต้องยอมรับมันให้ได้ทั้งหมด ถึงจะโกรธคนที่ทำให้เธอเป้นอย่างนี้มากแค่ไหนก็ตาม... แต่โกรธได้เพียงเท่านั้น เพราะยังมีสิ่งที่เธอจะต้องทำต่อไป
เฮเลน่าตัดสินใจที่จะให้ลูกสาวของเธอไปอยู่ที่ค่ายของเหล่าบุตรครึ่งเทพตามคำแนะนำของเซนทอร์ อย่างน้อยที่สุดลูกสาวสุดที่รักของเธอก็จะปลอดภัยเมื่ออยู่ที่นั่น แต่ด้วยเหตุการณ์อันตรายที่เกิดขึ้นกับเออต้ามีความรุนแรงมากขึ้น จนไม่สามารถวางใจได้ เธอจึงวางแผนร่วมกับเซนทอร์ตนนั้น เพื่อที่จะได้พาลูกสาวของเธอไปยังค่ายแห่งนั้นให้ได้อย่างปลอดภัยที่สุด
แน่นอนว่า สิ่งที่เออต้าทำได้หลังจากยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว ก็คงจะเป็นการยอมรับ ในสิ่งที่แม่ของเธอตัดสินใจและทำตามอย่างว่าง่ายเพื่อตัวของเธอเอง