[บันทึกการเดินทาง] โค่นแผนลับคืนเดือนดับแดนแสงเหนือ

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-3 00:25







บันทึกการเดินทาง: โค่นแผนลับคืนเดือนดับแดนแสงเหนือ
 THE PROPHECY 


บุตรแห่งราตรี ผู้ถือกำเนิดจากเงา
บัดนี้ ถูกพันธนาการ ด้วยอุบายมืด
ณ เมืองเหนือสุด ดินแดนแห่งหิมะและแสงเหนือ
ในรังแห่งอสรพิษ ที่ไร้ซึ่งเงา
เลือดแห่งเทพี จักถูกแปลงเปลี่ยน
ร่างมนุษย์สูญสิ้น เหลือเพียงปีศาจร้าย
วีรบุรุษแห่งโอลิมปัส จงเร่งฝีเท้า
ยามราตรีไร้จันทร์ ใกล้ย่างเข้าสู่วสันต์
เมื่อนั้น ความมืดจักครอบงำทั่วแดน


- - - - - - - - - - - - - - -  - - - - - - - - - - - - - - -


 PARTY 
 







- - - - - - - - - - - - - - -  - - - - - - - - - - - - - - -


 INWARDNESS 


การเดินทางทำภารกิจของเดมิก็อดอินโทรเวิร์ทสามคน 
ที่แม้แต่ผมยังสงสัย 
ว่าตลอดภารกิจนี้... 
แต่ละคนจะพูดกันคนละกี่ประโยค
.
.
เฮ้อ...ผมต้องคิดถึงแฟนผมมากแน่ ๆ
By Mackenzie C. Lincoln





ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับ +500 เกียรติยศ +800 ความกล้า +1000 ความศรัทธา โพสต์ 2025-4-30 01:25
.ทีมปูเสื่อรอหน้าจอแก้ว.  โพสต์ 2025-1-19 14:49
โพสต์ 9533 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2025-1-18 17:39

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +700 เหรียญดรักม่า +90 ย่อ เหตุผล
God + 700 + 90

ดูบันทึกคะแนน

โพสต์ 2025-2-13 17:22:17 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-3 00:17

 
Page I


-18.01.25-


“มาแล้ว ขอโทษที่ให้รอ”


หลังกลับจากย่านโซโห แมคเคนซีก็มาหาเพื่อนร่วมทีมตามจุดที่นัดไว้ เดมิก็อดสาวสองคนนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งภายในร้านท่ามกลางกลิ่นกาแฟหอมอบอวล


“ไม่เป็นไร ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่ารถไฟจะออก ธุระเรียบร้อยดีไหม”


คีธยิ้มให้เล็กน้อยหลังแมคเคนซีนั่งลงข้างเธอ ชายหนุ่มจึงพยักหน้าแทนคำตอบ


“เรียบร้อยแล้ว รถไฟออกบ่ายสามกว่าใช่ไหม ระหว่างนี้มีแพลนทำอะไรหรือเปล่า“


แมคเคนซีหยิบตารางการเดินทางที่เขียนสรุปเอาไว้ในสมุดจดออกมาดู กว่าจะได้เวลาขึ้นรถไฟ พวกเขายังมีเวลาว่างกว่าสามชั่วโมงเลยทีเดียว


”ฉันกับคุณซูคุยกันแล้ว พวกเราจะ——“


Rrrrrr ! Rrrrr !


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางวงสนทนา แม้ตอนแรกจะไม่แน่ใจว่าใช่เสียงเรียกเข้าของตนหรือไม่เนื่องจากไม่ได้ใช้เครื่องมือสื่อสารตอนอยู่นอกค่ายเป็นเวลานาน แต่จากระบบสั่นของตัวเครื่องทำให้แมคเคนซีต้องรีบหยิบสมาร์ทโฟนไฮโดร เอ็กซ์ขึ้นมาดูชื่อคนโทรเข้า (ซึ่งก็คงมีอยู่คนเดียว ณ ตอนนี้) ก่อนจะผงกศีรษะน้อย ๆ เป็นเชิงขอโทษเพื่อนร่วมทีมที่ต้องขัดจังหวะการพูดของเธอ จากนั้นจึงรีบลุกไปตรงอีกมุมของร้านที่โต๊ะยังว่างอยู่


“ดีน ? เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”


เมื่อกดรับสายแล้วก็รีบถามคู่สนทนาทันที พวกเขาเพิ่งแยกกันไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำเลยอดสงสัยระคนกังวลใจไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเจอเรื่องอะไรเข้า แต่คำตอบของดีนก็ทำให้แมคเคนซีเบาใจและอมยิ้มออกมาน้อย ๆ


“ฉันจะว่าอะไรนายได้ มันแน่นอนอยู่แล้วว่านายต้องคิดถึงฉัน…และฉันก็คิดถึงนายเหมือนกันที่รัก”


ยิ่งได้ฟังสิ่งที่ดีนสารภาพก็ยิ่งรู้สึกใจเต้นขึ้นมา รีบเม้มริมฝีปากซ่อนรอยยิ้มไว้ก่อนที่มันจะฉีกไปถึงใบหูเสียก่อน ให้ตายสิ…ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองย้อนวัยไปในช่วงไฮสคูลสมัยปั๊บปี้เลิฟโทรจีบกับแฟนยังไงยังงั้น


“เจอแล้วล่ะ รอเวลาขึ้นรถไฟอยู่ แล้วนายล่ะ ถึงไหนแล้ว”


ค่อยยังชั่วที่อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่อย่างคงได้ยืนยิ้มโง่ ๆ อยู่คนเดียวแน่ ๆ ดีนกำลังขึ้นรถไฟใต้ดินไปแกรนด์เซ็นทรัล แมคเคนซีสังเกตได้ว่าเสียงรอบข้างจากปลายสายเงียบลงกว่าก่อนหน้า


“อืมฮึ ได้สิ แต่ถ้าเราคุยนาน ๆ แบตมือถือจะหมดไปก่อนไหม”


เดมิก็อดหนุ่มรับปากเมื่อคนรักบอกให้ช่วยอยู่คุยด้วยจนกว่าอีกฝ่ายจะไปถึงแกรนด์เซ็นทรัล แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดกังวลเรื่องแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนรุ่นที่ตนเองใช้อยู่ไม่ได้ ถึงจะบอกว่ามีอายุการใช้งานเดือนนึงก็ตาม แต่ถ้าหากเขาใช้งานมันหนักเกินไปล่ะ


“วาร์ปงั้นเหรอ ถ้านายทำได้จริงก็ดีสิ”


เขาหัวเราะน้อย ๆ กับการหยอกล้อของอีกฝ่าย แต่หากทำได้เขาก็อยากให้ดีนวาร์ปมาเสียตอนนี้เลย ไม่ต้องรอจนกระทั่งมือถือแบตหมดด้วยซ้ำ


เสียงผู้คนเซ็งแซ่ดังขึ้นจากปลายสายอีกครั้ง ดีนถึงแกรนด์เซ็นทรัลแล้ว คงได้เวลาต้องบอกลากันจริง ๆ เสียที แมคเคนซียิ้มออกมาอีกครั้งหลังได้รับคำอวยพรจากคนรัก คำว่า “นายจะไม่เป็นไร” ช่วยเติมกำลังใจที่คล้ายจะมอดลงตลอดเวลาได้มากมายเหลือเกิน


“นายก็เหมือนกันดีน เดินทางปลอดภัย ขอให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี รอฉันนะที่รัก แล้วฉันจะรีบกลับ”


แมคเคนซีรอให้อีกฝ่ายกดวางสายไปก่อนแล้วจึงผละมือที่ถือสมาร์ทโฟนแนบใบหูอยู่ออกมามองหน้าจอเพียงเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมดีนถึงตั้งใจจะซื้อสมาร์ทโฟนขนาดนี้ การได้พูดคุยกันช่วยให้พวกเขารู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้นแม้จะไม่ได้อยู่เคียงข้างกันเหมือนที่ผ่านมาก็ตาม อย่างน้อยการได้ยินเสียงและส่งข้อความหากันก็น่าจะลดทอนความคิดถึงยามต้องห่างไกลกันได้บ้าง เรียวนิ้วกดแก้ไขชื่อของดีนที่เดดาลัสบันทึกไว้ให้ในตอนแรกแทนที่ด้วยคำว่า ‘Sweetie’ รอยยิ้มแห่งความสุขยังคงปรากฏบนใบหน้าขณะเดินกลับโต๊ะที่เพื่อนร่วมทีมนั่งรออยู่

.


.


.

“ก็ว่าไปทำอะไรกันที่โซโห ซื้อมือถือนี่เอง”


รูบี้เปิดบทสนทนาขึ้นเมื่อแมคเคนซีกลับมานั่งที่โต๊ะ ดวงตาทรงอัลมอนด์หรี่ลงเล็กน้อยจับจ้องอยู่ที่สมาร์ทโฟนในมือจนเดมิก็อดหนุ่มยิ้มเขินด้วยความประหม่า


“รุ่นใหม่ด้วยนี่นา ไฮโดร เอ็กซ์ใช่ไหม ก็ดีนะ มีมือถือแล้วก็ดี แลกเบอร์กับคอนแทกต์กันหน่อย เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้ติดต่อกันได้”


คีธเองก็ตาไวไม่แพ้กัน เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นใด ดูท่าเธอจะตามข่าวสารเรื่องเทคโนโลยีอยู่ไม่น้อย คุณหมอสาวปัดหน้าจอสมาร์ทโฟนของตนที่เปิดพอดแคสฟังค้างไว้เข้าแอปพลิเคชั่นแชทเช่นเดียวกับรูบี้ที่หยิบสมาร์ทโฟนออกมา ทั้งสามคนใช้เวลาไม่นานในการบันทึกเบอร์โทรและไอดีแชทของแต่ละคนไว้


“มาต่อเรื่องก่อนหน้านี้กัน ฉันกับคุณซูคุยกันแล้วว่าพวกเราจะไปกินมื้อเที่ยงที่เลานจ์กันก่อน แล้วถ้าอยากซื้ออะไรเพิ่มเติมก็ค่อยไปหลังจากนั้น ไม่ก็ใช้เวลาพักผ่อนกันที่นั่นจนกว่าจะได้เวลาขึ้นรถไฟ”


ธิดาแห่งฮีบี้พูดถึงแผนการแบบสั้น ๆ ให้ฟัง คีธรับอาสาเรื่องการจองตั๋วรถไฟ เนื่องจากการเดินทางของพวกเขาใช้รถไฟเป็นหลักตั้งแต่นิวยอร์กจนกระทั่งถึงเมืองแวนคูเวอร์ของประเทศแคนาดา กว่าจะเปลี่ยนขบวนแต่ละครั้งก็กินเวลายาวนานข้ามคืน หญิงสาวชาวโรมจึงจองตั๋วแบบห้องส่วนตัวที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 3-4 คนซึ่งเป็นตั๋วรวมแพ็คเกจการใช้เลานจ์ของสถานีรถไฟและมื้ออาหารทั้งสามมื้อไปในคราวเดียว แม้จะสะดวกสบายไม่ยุ่งยากแต่ก็ต้องยอมรับว่าเงินสำหรับการทำภารกิจที่คุณไครอนสนับสนุนมานั้นหมดไปกับค่าเดินทางเป็นส่วนใหญ่ ถึงอย่างนั้นแมคเคนซีก็คิดว่าคุ้มค่าหากมันจะทำให้พวกเขาถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว แม้ว่าหลังจากนี้เขาจะต้องทานฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารสำเร็จรูปตลอดช่วงที่อยู่ในแคนาดาก็ตาม


“โอเค เอาตามนั้น งั้นไปกันเลยแล้วกัน”


แมคเคนซีพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นพวกเขาก็ออกจากร้านกาแฟไปทานมื้อเที่ยงที่เลานจ์ของสถานีเพนน์ หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วก็ไปซื้อของจำเป็นต่าง ๆ ที่ยังขาดเหลือที่ร้านสะดวกซื้อ และใช้เวลาที่เหลืออยู่พักผ่อนรอเวลาจนกระทั่งรถไฟแอมแทรคขบวนที่จะมุ่งหน้าไปยังชิคาโกจอดเทียบชานชาลา

.


.


.

-03:40PM.-


รถไฟเริ่มออกเดินทางตรงตามเวลาที่ระบุไว้ ภายในห้องส่วนตัวผู้โดยสารแบ่งออกเป็นสองส่วน แต่ละส่วนประกอบด้วยเตียงนอนที่มีชั้นบนและล่าง ซึ่งชั้นล่างสามารถปรับเป็นเก้าอี้ได้ นอกนั้นก็มีเก้าอี้อีกสองตัว และห้องน้ำที่เป็นห้องอาบน้ำในตัวสองห้อง พวกเขาตกลงกันว่าให้แมคเคนซีนอนตรงฝั่งที่มีประตูห้องโดยสาร ส่วนคีธกับรูบี้นอนตรงฝั่งถัดเข้าไปด้านใน เมื่อแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนกันเรียบร้อยแล้วทั้งสามคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามมุมของตนเองแล้วค่อยมาเจอกันอีกครั้งเมื่อถึงเวลามื้อเย็น คีธเลือกจะฟังพอดแคสอยู่ในห้อง ส่วนรูบี้บอกว่าเธอจะออกไปเดินสำรวจห้องต่าง ๆ ในขบวนรถไฟ และแมคเคนซีก็ออกมานั่งตรงคาเฟ่ชมวิวไปเรื่อยเปื่อย


Mackenzie   รถไฟออกแล้ว ห้องนอนค่อนข้างแคบนิดหน่อย แต่ก็น่าจะนอนสบายดีนะ


หนุ่มอังกฤษหยิบสมาร์ทโฟนมาพิมพ์ข้อความโดยไม่ลืมที่จะแนบรูปห้องโดยสารส่งหาคนรักที่เขาเพิ่งมารู้ภายหลังจากที่อีกฝ่ายส่งข้อความมาบอกว่าเมื่อไปถึงแกรนด์เซ็นทรัลแล้ว แทนที่จะได้เดินทางไปยังเมืองนีออมตามแผนก็กลับถูกเจ้าหน้าที่ในสถานีเฮเฟตัสเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน ดูเหมือนว่าดีนจะถูกไหว้วานให้ทำงานที่สถานีรถไฟจนต้องเลื่อนกำหนดการเดินทางออกไปอีกหน่อย


Mackenzie   ฉันคงถึงชิคาโกพรุ่งนี้ช่วง 10 โมงเช้า

Mackenzie   เรื่องงานพยายามเข้าล่ะ ฉันเป็นกำลังใจให้


ส่งไปอีกข้อความแล้วก็วางสมาร์ทโฟนลงบนโต๊ะ หากเทียบกันแล้ว การเดินทางครั้งนี้ดูจะเงียบเหงาไปถนัดตาเมื่อไม่มีดีนช่างจ้อมาคอยป่วนอยู่ข้าง ๆ เหมือนทุกครั้ง แมคเคนซียิ้มบาง ๆ แล้วโคลงศีรษะเล็กน้อยเมื่อนึกถึงหนุ่มบุตรแห่งโพไซดอน


 ‘เอาเถอะ…วันวันนึงมันผ่านไปไวจะตาย อีกไม่นานก็คงได้กลับไปเจอกันแล้ว’


‘หวังว่าอย่างนั้นนะ…’




สรุปสถานการณ์

เริ่มออกเดินทางจากนิวยอร์กไปเปลี่ยนขบวนรถไฟที่ชิคาโก

✿ Elli

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 63789 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2025-2-13 17:22
โพสต์ 63,789 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 ความศรัทธา จาก ควบคุมหมอก  โพสต์ 2025-2-13 17:22
โพสต์ 63,789 ไบต์และได้รับ +18 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความกล้า จาก Hydro X  โพสต์ 2025-2-13 17:22
โพสต์ 63,789 ไบต์และได้รับ +20 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความกล้า +40 ความศรัทธา จาก เวทมนต์ [II]  โพสต์ 2025-2-13 17:22
โพสต์ 63,789 ไบต์และได้รับ +15 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความกล้า +25 ความศรัทธา จาก คบเพลิงเวท  โพสต์ 2025-2-13 17:22
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส
น้ำหอมเฮคาที
เหรียญนกฮูก
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x7
x10
x10
x7
x2
x9
x6
x4
x3
x70
x4
x10
x6
x12
x6
x18
x3
x55
x9
x189
x14
x14
x12
x45
x18
x5
x5
x5
x2
x5
x2
x11
x20
x10
x10
x2
x2
x2
x4
x1
x3
x12
x6
x2
x5
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x13
x2
x4
x4
x2
x1
x16
x145
x192
x10
x6
x10
x10
x16
x55
x80
x1
x1
x1
x4
x3
x1
x1
x1
x1
x5
โพสต์ 2025-2-16 09:35:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-3 00:17

 
Page II

-19.01.25-


เช้าวันรุ่งขึ้นแมคเคนซีถูกปลุกด้วยเสียงประกาศตามสายของรถไฟ เมื่อหยิบสมาร์ทโฟนดูก็เห็นข้อความจากคีธส่งมาว่าเธอกับรูบี้รออยู่ที่โบกี้ห้องทานอาหาร ดูเหมือนเขาจะตื่นสายที่สุดในกลุ่มซะแล้ว เดมิก็อดหนุ่มจึงรีบลุกไปจัดการธุระส่วนตัวยามเช้าแล้วออกจากห้องโดยสารมาสมทบกับเพื่อนร่วมทีม


“อรุณสวัสดิ์”


เอ่ยทักทายเดมิก็อดสองสาวเพียงสั้น ๆ บนโต๊ะมีเพียงแก้วกาแฟดำกับชาร้อนที่ยังไม่พร่องไปเท่าไหร่


“อรุณสวัสดิ์ศิษย์น้องขี้เซา”


รูบี้เหลือบตาขึ้นมองแล้วผงกศีรษะลงเล็กน้อย แมคเคนซีเลิกคิ้วกับคำต่อท้ายที่คาดเดาจากสีหน้าเรียบเฉยของผู้พูดไม่ออกว่าเป็นเชิงตำหนิหรือหยอกล้อกันแน่


“อรุณสวัสดิ์คุณลินคอล์น เมื่อคืนหลับสบายไหม”


คีธส่งยิ้มให้เล็กน้อยเหมือนเคยแล้วถามขึ้นขณะผู้มาใหม่นั่งลงด้านข้างธิดาแห่งแอรีส


“สบายดี แต่กว่าจะหลับได้ก็สักพักนึง พวกคุณกินมื้อเช้ากันหรือยัง”


เท่าที่จำได้แมคเคนซีนอนมองเพดานรถไฟอยู่นานสองนานทีเดียว จนกระทั่งคีธที่นั่งหันหลังฟังพอดแคสอยู่ตรงเก้าอี้ลุกไปเข้านอนตามรูบี้ที่หลับไปตั้งแต่หัวค่ำ แล้วเขาก็ผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้


“เท่าที่เห็น ไหน ๆ ก็มาพร้อมหน้าแล้ว กินด้วยกันเลยก็ดีนะ”


ธิดาแห่งฮีบี้เรียกพนักงานมาสั่งอาหาร แล้วมื้อเช้าของพวกเขาก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่าย นี่เป็นสิ่งที่แมคเคนซีสังเกตเห็นอย่างนึง นั่นคือแม้ว่าสมาชิกในทีมแต่ละคนจะมีช่วงเวลาส่วนตัว แต่ก็มักจะทานอาหารร่วมกันเสมอ พวกเขาจึงใช้เวลานี้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นต่าง ๆ

.


.


.

รถไฟแอมแทรคจอดเทียบยูเนี่ยนสเตชั่นเวลา 10 โมง 12 นาทีตามที่ตารางระบุไว้ ตอนนี้พวกเขามาถึงเมืองชิคาโกแล้ว แมคเคนซีมองภาพรอบตัวหลังเข้ามาภายในสถานีด้วยความรู้สึกคิดถึง เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วเขาก็มาต่อรถไฟที่นี่เพื่อไปเที่ยวบ้านดีนที่ซานอันโตนิโอ ไม่นึกเลยว่าจะได้กลับมาอีกครั้งเพื่อเป็นทางผ่านในการทำภารกิจ


หลังทานมื้อเที่ยงที่เลานจ์เรียบร้อยแล้ว คีธบอกว่าจะนั่งอยู่ต่อ เมื่อเช้าเธอได้รับโทรศัพท์จากคนที่สถานพยาบาลทางค่ายซึ่งโทรมาปรึกษาอาการป่วยองเดมิก็อดเด็ก คุณหมอสาวคงยังเป็นห่วงอยู่จึงน่าจะใช้ช่วงเวลานี้โทรกลับไปติดตามผล แมคเคนซีกับรูบี้จึงออกมาเดินเที่ยวเล่นแถวนั้นก่อน กว่ารถไฟที่จะมุ่งต่อไปยังซีแอตเทิลจะออกเดินทาง พวกเขาก็ยังมีเวลาเกือบห้าชั่วโมง


“ศิษย์น้อง นายว่าเงินเท่านี้จะพอยาไส้พวกเราไปได้สักกี่วัน”


รูบี้ถามขึ้นมาระหว่างที่พวกเขาเดินเตร่ไปตามถนนหลังจากแลกเงินตรงธนาคารใกล้ ๆ สถานี


“ก็คงหลายวันอยู่ เรทเงินก็ไม่ต่างจากที่นี่เท่าไหร่ ถูกกว่าด้วยซ้ำ”


แมคเคนซีคำนวณจำนวนเงินที่แลกมาในใจ จากที่หาข้อมูลมาแม้ค่าเงินของแคนาดาจะถูกกว่า แต่ค่าใช้จ่ายในแคนาดาจะสูงกว่าอเมริกานิดหน่อย เมื่อเย็นวานพวกเขาจึงแบ่งเงินที่เหลือไว้เป็นสองส่วน ส่วนนึงแลกไว้ใช้ในแคนาดา และอีกส่วนนึงไว้ใช้ตอนขากลับและยามฉุกเฉิน


“แต่ยังไงก็ต้องประหยัดไว้ก่อน…นานจริง หมอคีธยังจะมาอยู่ไหม”


ใบหน้าสวยตามฉบับสาวเอเชียของรูบี้ง้ำงอเล็กน้อยเมื่อดูเวลาจากสมาร์ทโฟน ก่อนออกมาคีธนัดกับพวกเขาไว้ว่าเมื่อคุยธุระเสร็จแล้วจะตามมาเพื่อเดินไปดูตึกวิลลิสซึ่งได้ชื่อว่าเป็นตึกที่สูงเป็นอันดับสามของอเมริกาและขึ้นไปดูหอสังเกตการณ์สกายเด็คด้วยกัน


“เดี๋ยวก็คงมา รออีกแป๊บนึงเถอะ”


แมคเคนซีบอกด้วยท่าทีสบาย ๆ ด้วยคิดว่ายังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมง จากตรงนี้เดินไปยังตึกวิลลิสใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แต่คนที่ค่อนข้างเคร่งครัดเรื่องการตรงต่อเวลาอย่างธิดาแอรีสผู้นี้คงไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่


“กี้ !!”


เสียงร้องแหลมเล็กทว่าไม่ดังนักดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่ก็สามารถสะกดฝีเท้าของเดมิก็อดทั้งสองให้หยุดชะงักงัน


“ศิษย์น้อง…ได้ยินเหมือนกันหรือไม่”


มือเรียวเล็กของรูบี้กระชับกระบี่สัมฤทธิ์ที่คาดอยู่ตรงเอวแน่น ดวงตาทรงอัลมอนด์มองหาที่มาของเสียงนั้น


“อืม….”


แมคเคนซีเพียงแค่ครางในลำคอแล้วพยักหน้ารับ ทั้งคู่ลดเสียงฝีเท้าเบาลงจนไม่ต่างกับพวกย่องเบา เมื่อเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงชัดขึ้น


“ชู่ว…เงียบเสียเจ้าตัวเขียวชั้นต่ำ รับรองว่าข้าจะใช้ประโยชน์จากเจ้าอย่างคุ้มค่าเชียวล่ะ”


“กี้ !!  กี้ !!”


ภายในตรอกแคบปรากฏร่างหญิงชราคนหนึ่งแผ่นหลังโก่งโค้งนั่งยอง ๆ อยู่ตรงมุมตึก มือเหี่ยวย่นของเธอกำบางอย่างที่กำลังดิ้นรนขัดขืนเอาไว้แน่นราวกับจะบีบให้ขาดใจคามือ เมื่อดูจากชุดที่สวมใส่และผิวหนังหุ้มกระดูกสีเขียวไพรผิดแปลกจากมนุษย์ทั่วไปแล้ว เหมือนว่าแมคเคนซีจะเคยเห็นผู้ที่มีรูปลักษณ์คล้าย ๆ กันนี้ที่ร้านขายสมุนไพรย่านซานอันโตนิโอมาก่อน


“แม่มด…..”


สิ้นเสียง ใบหน้ายับย่นซึ่งมีจมูกงองุ้มก็หันมาทางพวกเขา จึงทำให้เห็นสิ่งมีชีวิตในมือของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน


“กี้ ! กี้ !!”


“ลูกก็อบลินนี่ นางแม่มดชั่วช้า ปล่อยเจ้าตัวจ้อยนั่นซะ !“


รูบี้เบิกตาโพลงเมื่อเห็นอสุรกายตัวน้อยร้องลั่นน้ำตาคลอเบ้าดวงตาสีดำสนิทกลมโตสุกใสชวนให้สงสาร ใบหน้างดงามบึ้งตึงด้วยความโกรธ


”ทำไมข้าต้องปล่อยเหยื่อที่ข้าเป็นคนเจอก่อน รู้หรือไม่ว่าทั้งลูกตา เลือดเนื้อ หรือแม้แต่กระดูกของก็อบลินย่อมนำมาใช้ปรุงยาได้ ว่าแต่พวกเจ้าเห็นร่างแท้จริงของข้างั้นรึ ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็เป็นเดมิก็อดน่ะสิ“


แม่มดเฒ่าลุกขึ้นชี้นิ้วมายังสองเดมิก็อดอย่างอวดดี อีกมือยังกำลูกก็อบลินแน่นไม่ยอมปล่อย


”โอหัง ! รังแกผู้อ่อนแอกว่าช่างหน้าไม่อาย วันนี้ฉันจะสั่งสอนให้รู้สำนึก !“


ยังไม่ทันที่แมคเคนซีจะประมวลผลคำพูดที่ราวกับบทหนังกำลังภายในจนครบถ้วน รูบี้ก็ชักกระบี่ออกมาแล้วพุ่งตัวไปยังแม่มดดำตนนั้นเสียแล้ว แต่เหมือนว่าหญิงเฒ่าจะชราเพียงแค่ร่างกาย การใช้เวทย์ของนางรวดเร็วว่องไวสวนทางมากนัก เพียงแค่ร่ายเวทย์ไม่กี่คำ กระบี่สัมฤทธิ์ในมือของธิดาแห่งแอรีสก็เหมือนถูกพลังที่มองไม่เห็นปัดให้หลุดจากมือของเธอและกระเด็นไปไกล


เมื่อเห็นท่าไม่ดี แมคเคนซีจึงหยิบคฑาเวทย์ที่อยู่ในกระบอกซูมซึ่งสะพายหลังอยู่ออกมา แล้วชี้ปลายคฑาที่มีแสงจากคบเพลิงสว่างวาบไปทางแม่มดดำตนนั้น


”เจ้า…บุตรแห่งเทพีเฮคาทีงั้นรึ“


ทันทีที่เห็นคฑาเวทย์ก็เหมือนจะสะกดหญิงชราให้ตะลึงงันแม้กระทั่งลืมสนใจลูกก็อบลินตัวน้อยซึ่งอาศัยจังหวะที่นางคลายมือดิ้นหลุดออกมาแล้ววิ่งไปหลบยังที่ปลอดภัย


”เจ้าก็เห็นคฑาเวทย์ของเขาแล้วนี่ ไปซะ ก่อนที่เทพีผู้เป็นนายของเจ้าจะไม่พอใจ“


รูบี้ที่ใช้พลังของสายเลือดแอรีสเรียกกระบี่ให้ลอยกลับมาในมือพูดขู่ ดูจากท่าทางเมื่อครู่เธอพร้อมจะสะบั้นแม่มดดำให้ขาดเป็นสองท่อนเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดตอนนี้จึงยั้งมือไว้


”เทพีผู้เป็นนายของข้า ? นายของข้างั้นรึ อ๊าาาฮ่ะ ๆๆ น่าขันเสียจริง ! กับพวกแม่มดโง่งมตนอื่นน่ะใช่ แต่ไม่ใช่สำหรับข้าอีกต่อไป นายของข้าคือองค์จักพรรดิเพียงเท่านั้น และเจ้า ! บุตรแห่งเทพีเฮคาที พวกเจ้าคือเครื่องสังเวยชั้นดีที่ข้าจะนำไปมอบให้แด่ท่านผู้นั้น !“


แม่มดดำแผดเสียงหัวเราะเล็กแหลมจนแสบแก้วหูแล้วชี้นิ้วผอมบางจนเห็นข้อกระดูกปูดโปนมาทางแมคเคนซีพร้อมกับร่ายเวทย์บางอย่าง ทันใดนั้นโซ่ตรวนสีดำก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศแล้วพุ่งมาทางชายหนุ่มทันที


”ศิษย์น้องระวัง !“


ร่างเล็กของรูบี้วิ่งเข้าชนแมคเคนซีเต็มแรงจนเขาเซออกไปด้านข้าง แล้วก็เป็นเธอที่ถูกตรวนโซ่แข็งแรงนั้นพันร่างเอาไว้แทน


”นังหนูนี่แส่ไม่เข้าเรื่อง สงสัยข้าคงต้องจัดการเจ้าเสียก่อน“


หญิงชราดูจะหัวเสียไม่น้อยที่ถูกขัดขวาง ริมฝีปากเริ่มขยับบริกรรมคาถาอีกบท แล้วโซ่ก็เริ่มรัดร่างของรูบี้แน่นขึ้นจนใบหน้างดงามแสดงอาการเจ็บปวด


”จัดการยายก่อนน่ะสิไม่ว่า อินคันทาเร เฟลมมา มาจิกา !“


ลูกไฟถูกยิงออกจากคฑาคบเพลิงหลังแมคเคนซีร่ายเวทย์จบ แต่แม่มดเฒ่ากลับหลบได้อย่างง่ายดาย


”คิดจะกำจัดข้าด้วยเวทย์พื้นฐานของเจ้ารึ ฝันไปหรือเปล่า อึ้ก—!“


รอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหี่ยวย่น แต่เพียงไม่กี่อึดใจเสียงของนางก็เงียบไปเมื่อแมคเคนซีอาศัยจังหวะที่แม่มดดำหลบลูกไฟของตนวิ่งเข้าไปประชิดแล้วเก็บคฑาเวทย์เข้ากระบอกซูมก่อนจะใช้กระบี่สัมฤทธิ์ที่รูบี้แอบส่งให้ฟันเข้าที่ร่างตรงหน้าจนเกิดบาดแผลขนาดใหญ่


“เจ้า…..”


“ยายก็ลืมไปหรือเปล่า บุตรเทพีเฮคาทีไม่ได้ใช้เป็นแต่พลังเวทย์สักหน่อย”


สายเลือดเทพีแห่งเวทมนตร์ถอยออกมามองร่างของแม่มดดำที่ค่อย ๆ สลายกลายเป็นฝุ่นผงเช่นเดียวกับโซ่ตรวนที่อันตรธานหายไปเมื่อผู้ร่ายเวทย์ได้สิ้นชีวิตลง


“รูบี้ บาดเจ็บตรงไหนไหม”


แมคเคนซีรีบวิ่งกลับมาดูเพื่อนร่วมทีม สำรวจไปตามร่างแบบบางว่ามีแผลตรงไหนหรือไม่


“เฮอะ โซ่ของแม่มดชั่วช้านั่นไม่ระคายผิวฉันสักนิด”


รูบี้กอดอกมองไปยังตำแหน่งที่แม่มดดำเคยยืนอยู่ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงอากาศธาตุเท่านั้น เมื่อสังเกตดูดี ๆ ร่างกายของหญิงสาวไม่มีแม้แต่ร่องรอยการถูกรัดแม้แต่น้อย จนแมคเคนซีตระหนักได้ว่าหรือนี่จะเป็นพลังพิเศษของสายเลือดแอรีสกันนะ


“ไม่เป็นไรก็ดี ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้ แต่คราวหน้าอย่าทำแบบนี้ มันอันตรายไม่รู้หรือไง”


ได้ทีก็ดุสักหน่อย ก่อนจะยื่นกระบี่คืนให้ จะว่าไปแมคเคนซีก็เริ่มสนใจอาวุธชิ้นนี้ขึ้นมา คงเพราะมันไม่ใหญ่เทอะทะและน้ำหนักเบากว่าดาบสัมฤทธิ์ของเขาหลายเท่านัก เวลาใช้จึงให้ความรู้สึกคล่องตัวกว่ามาก หากมีเวลาว่างคงต้องคุยเรื่องนี้กับรูบี้เสียหน่อย


“ทำไมจะไม่รู้ ก็นายน่ะ มัวยืนบื้ออะไรอยู่ฮึ ! คราวหน้าก็หลบให้เร็วกว่านี้หน่อยสิ ไม่ได้การ…ฉันต้องฝึกความว่องไวให้ศิษย์น้องแล้ว”


ดวงตาทรงอัลมอนด์หรี่ลงมองคนที่เพิ่งดุตัวเองไป ก่อนจะตีเข้าที่แขนผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์น้องไปผัวะนึงเป็นการลงโทษจนแมคเคนซีร้อง “อุ๊บ !” พร้อมดุกลับมาเป็นชุด


“แต่ก็แปลกนะ…ฉันเคยได้ยินว่าพวกแม่มดดำเคารพเทพีเฮคาทีนี่นา แต่แม่มดดำตนนี้พูดอะไรแปลก ๆ ที่ว่ามีนายเป็นจักรพรรดิ แล้วก็ยังเรื่องที่จะใช้บุตรแห่งเทพีเฮคาทีเป็นเครื่องสังเวยอะไรนั่นอีก”


เรียวคิ้วได้รูปขมวดมุ่น และพอได้ลองคิดตาม เดมิก็อดหนุ่มก็ถึงกับหน้าเครียด


'บางอย่างมันจะบังเอิญปะติดปะต่อกันได้พอดีไปไหม'


“เธอว่าที่แม่มดดำพูดมีส่วนเกี่ยวกับภารกิจของพวกเราหรือเปล่า อา…ให้ตายสิ ฉันดันส่งนางกลับบ้านเกิดไปแล้ว แบบนี้จะไปถามใครได้ล่ะ”


ถึงกับร้องออกมาด้วยความเสียดายที่ตนเผลอทำลายเบาะแสสำคัญที่บังเอิญเจอไปด้วยมือตนเอง แม้ไม่รู้แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการเดินทางครั้งนี้ของพวกตนไหม แต่หากมีสิ่งใดที่พอจะคว้าไว้ได้ก็ไม่ควรมองข้ามไปทั้งนั้น


“ถึงจะไว้ชีวิต ฉันว่านางก็คงไม่ปริปากบอกพวกเราอยู่ดี นี่อาจเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็ได้ เราไปจากตรงนี้กันเถอะ” 


ธิดาแห่งแอรีสเก็บกระบี่สัมฤทธิ์เข้าฝักพร้อมกับเดินนำออกไป แมคเคนซีจึงได้แต่ถอนหายใจบาง ๆ แล้วเดินตามเพื่อนร่วมทีมไปก่อนจะเจอคีธที่กำลังเดินมาทางนี้พอดี


“ขอโทษที่ช้า พอดีมีเคสอื่นมาปรึกษาเพิ่มเติมน่ะ พวกเธอดูเหนื่อย ๆ นะ…อย่าบอกนะว่าไปเที่ยวเรียบร้อยจนกลับมากันแล้ว ?”


เรื่องช่างสังเกตคงต้องยกให้คุณหมอประจำค่ายคนนี้จริง ๆ


”ยังไม่ทันได้ขยับตัวไปไหนก็เกิดเรื่องซะก่อน เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังระหว่างที่เดินไปตึกวิลลิสแล้วกัน“


คีธพยักหน้าเห็นด้วยกับที่รูบี้พูด จากนั้นทั้งสามคนก็เริ่มเดินทางไปยังตึกวิลลิสและสถานที่ท่องเที่ยงใกล้ ๆ นั้น

.


.


.

“กี้ ! กี้~!”


ร่างของก็อบลินน้อยโผล่ออกมาจากที่ซ่อน ฝีเท้าเล็ก ๆ วิ่งตามกลุ่มของแมคเคนซีไปสุดกำลังโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว





ตื่นรู้ +2  :  จากการพิชิต แม่มดดำ เป็นครั้งแรก

สินสงคราม [LUK 100]  :  น้ำยาเวทมนตร์


สรุปสถานการณ์

มาถึงชิคาโก รอต่อรถไฟขบวนที่จะมุ่งหน้าไปซีแอตเทิล

แสดงความคิดเห็น

God
หากสนใจอยากจะได้เบอรรุ่นพี่นิโค เขาเสนอ 50 ดรักม่าเพื่อแลกกับข้อมูล เพื่อสอบถามหนทางไปสู่ทาร์ทารัส  โพสต์ 2025-2-16 10:28
God
บทต่อไปคุณจะพบเจอเทพโมมุส พิกัดห่างจากจุดที่อยู่ 200 กม. โมมุสแสยะยิ้มก่อนบอก เจ้าสามารถไปยังทาร์ทารัสเพื่อถามนางได้นะ ลองวิดีโอคอลไปถามรุ่นพี่นิโคดูสิ  โพสต์ 2025-2-16 10:28
โพสต์ 113926 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-2-16 09:35
โพสต์ 113,926 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Hydro X  โพสต์ 2025-2-16 09:35
โพสต์ 113,926 ไบต์และได้รับ +20 EXP +35 ความกล้า +40 ความศรัทธา จาก เวทมนต์ [II]  โพสต์ 2025-2-16 09:35

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส
น้ำหอมเฮคาที
เหรียญนกฮูก
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x7
x10
x10
x7
x2
x9
x6
x4
x3
x70
x4
x10
x6
x12
x6
x18
x3
x55
x9
x189
x14
x14
x12
x45
x18
x5
x5
x5
x2
x5
x2
x11
x20
x10
x10
x2
x2
x2
x4
x1
x3
x12
x6
x2
x5
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x13
x2
x4
x4
x2
x1
x16
x145
x192
x10
x6
x10
x10
x16
x55
x80
x1
x1
x1
x4
x3
x1
x1
x1
x1
x5
โพสต์ 2025-2-22 11:31:47 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-3 00:17

 
Page III

-19.01.25-


หลังจากเดินเที่ยวรอบ ๆ แล้ว ทั้งสามคนก็กลับมาพักผ่อนกันที่เลานจ์ของสถานีเพื่อรอเวลาต่อรถไฟ ไม่รู้คิดไปเองไหมว่าตลอดเวลาที่พวกเขาไปที่ต่าง ๆ แมคเคนซีรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับตามองจากอะไรสักอย่างอยู่ตลอด เพียงแต่หาที่มาของสายตาคู่นั้นไม่เจอจนสงสัยว่าตนเองจะระแวงมากเกินไป สุดท้ายจึงปล่อยผ่านและโฟกัสกับการถ่ายรูปสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ด้วยมือถือแทน จะได้มีรูปให้ดีนดูบ้างเวลาแชทคุยกัน ซึ่งบางที่ก็สวยมากเสียจนอยากชวนมาด้วยกันอีกรอบ ถึงแม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเคยมาแล้วหรือยังก็ตาม


“กรี๊ดดด ! หนู ! มีหนูอยู่ในนี้ด้วย !”


เสียงผู้โดยสารหญิงคนหนึ่งหวีดร้องขึ้นมา เรียกความสนใจจากคนรอบข้างไม่น้อย รวมถึงพวกแมคเคนซีด้วย เมื่อหันไปมองยังต้นเสียงก็เห็นว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันนี่เอง


“ขอโทษนะคะ คุณผู้โดยสาร ไม่ทราบว่าเห็นหนูตัวนั้นตรงไหนคะ”


พนักงานสาวประจำเลานจ์รีบวิ่งมาสอบถาม ผู้โดยสารคนนั้นจึงชี้ไปตรงโซฟาซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพวกเขาทั้งสามมากนัก พอมองตามไปก็เหมือนจะเห็นเจ้าตัวปัญหาแวบ ๆ แต่ทำไมเหมือนจะเห็นเป็นสีเขียว ๆ กันนะ


“กี้ !”


“เฮ้ย !”


แล้วก็กลายเป็นแมคเคนซีที่ร้องออกมาบ้าง เมื่อเจ้าตัวเขียวที่เห็นอยู่ไว ๆ เมื่อกี้ปีนขึ้นโซฟามาโผล่อยู่ตรงข้างต้นขาเมื่อไหร่ไม่รู้แล้วใช้ดวงตาสีดำกลมโตแป๋วแหววมองเขา


“คุณผู้โดยสารก็เจอหนูด้วยเหรอคะ”


พนักงานสาวคนเดิมรีบวิ่งหน้าตื่นมาถาม แมคเคนซีจึงรีบกดหัวลูกก็อบลินตัวนั้นลงไปซุกอยู่ตรงมุมเบาะ ทำทีเป็นเป็นเอียงตัวเท้าข้อศอกกับพนักแขนเพื่อบังเอาไว้


“อ้อ ไม่ครับ ผมไม่เห็นเลย เมื่อกี้ผมแค่…ตกใจข้อความที่เพื่อนส่งมาเฉย ๆ”


บอกแล้วก็ชูสมาร์ทโฟนในมือให้ดูก่อนจะยิ้มให้ เป็นคำโกหกตื้น ๆ ที่พอจะคิดได้ในวินาทีนั้น


“เมื่อกี้คุณผู้หญิงคนนั้นอาจตาฝาดก็ได้ พวกเรานั่งตรงนี้กันมาตั้งนานยังไม่เห็นหนูเลยสักตัว”


คีธบอกด้วยน้ำเสียงเนิบ ๆ แล้วส่งยิ้มนุ่มนวลให้พนักงานเพื่อให้เธอคลายความกังวลลง


“แต่เมื่อกี้ฉันเห็นจริง ๆ นะ”


ผู้โดยสารคนเดิมเดินมาทางพวกเขาและยืนยันอีกครั้ง สีหน้าของเธอดูค่อนข้างเคลือบแคลงใจและเชื่อมั่นว่าตนเองไม่ได้ตาฝาด


“ถ้าเห็นแถวนี้คุณคงมองผิดจริง ๆ คุณอาจเห็นกระเป๋าเดินทางของฉันเป็นหนูก็ได้นะ”


รูบี้เพยิดหน้าไปยังกระเป๋าเดินทางของตนที่วางพิงโซฟาฝั่งตรงข้ามอยู่ ตรงพื้นมีส่วนนึงยื่นโผล่ออกมาจากมุมโซฟาเล็กน้อย ซึ่งหากมองไกล ๆ ก็คล้ายลำตัวของสัตว์เล็กจริง ๆ


“…..ก็เหมือนจริง ๆ ฉันคงมองผิดไปเอง ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้เข้าใจผิดกัน”


เมื่อข้อสงสัยได้รับการคลี่คลาย หญิงผู้นั้นจึงกล่าวขอโทษแล้วเดินออกไปจากตรงนั้น ส่วนพนักงานสาวก็กล่าวขอบคุณด้วยความรู้สึกโล่งใจที่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันก่อนกลับไปประจำที่ของตน


“สัตว์เลี้ยงเหรอคุณลินคอล์น”


พอเหตุการณ์กลับเข้าสู่ความปกติ คีธจึงเริ่มต้นบทสนทนาขึ้นมา ดวงตาสีดำเหลือบชมพูแซฟไฟร์ของเธอหลุบมองตรงมุมเบาะโซฟาที่แมคเคนซียังคงเอาตัวบังไว้ถึงตอนนี้ 


“ไม่ ไม่ใช่ของผม เจ้าตัวนี้มาจากไหนก็ไม่รู้”


ชายหนุ่มที่ถูกทักรีบส่ายหน้ารัวแล้วขยับนั่งตัวตรง คราวนี้ทั้งสามคนจึงได้เห็นเจ้าก็อบลินตัวน้อยอย่างชัดเจน มันค่อย ๆ ขยับออกมาจากด้านหลังข้างลำตัวแมคเคนซี ดวงตากลมโตเหมือนอีทีไล่มองทีละคนก่อนจะส่งเสียงร้อง “กี้ !”


“นี่มัน…เจ้าตัวจ้อยที่โดนแม่มดดำจับตัวไว้ตอนนั้นนี่”


รูบี้ที่จด ๆ จ้อง ๆ อสุรกายตัวน้อยอยู่พักหนึ่งนึกขึ้นได้ ส่วนลูกก็อบลินที่ได้ยินดังนั้นก็รีบพยักหน้ารัว ๆ แล้วร้อง “กี้ ! กี้ !” ราวกับจะตอบคำถาม ไม่ก็ดีใจที่มีคนจำมันได้


“……อย่าบอกนะว่าตามพวกเรามาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น”


แมคเคนซีขมวดคิ้วมุ่น ตรงกันข้ามกับเจ้าตัวเล็กที่พยักหน้าหงึก ๆ พร้อมรอยยิ้มกับเสียง “กี้ ! กี้ !” อีกรอบ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ได้คำตอบแล้วว่าความรู้สึกเหมือนมีคนจับจ้องอยู่ตลอดเวลาก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องคิดไปเอง


"น่ารักจริง ดูท่าเด็กคนนี้จะอยากเดินทางไปกับพวกเรานะ มีสมาชิกเพิ่มอีกคนคงไม่เป็นไรใช่ไหม"


คีธยิ้มกับท่าทางไร้เดียงสาของก็อบลินตัวน้อย จากที่คุยกันระหว่างเดินทางทำให้แมคเคนซีรู้ว่าคุณหมอสาวคนนี้ชอบเด็กเป็นพิเศษ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก มิเช่นนั้นเธอคงไม่เลือกเรียนเฉพาะทางด้านกุมารเวช แต่ก็ไม่นึกว่าจะเหมารวมไปถึงลูกอสุรกายด้วย


"ย่อมได้ แต่เรื่องเลี้ยงดูฉันขอปฏิเสธ ฉันไม่เคยคิดเลี้ยงสัตว์หรืออสุรกายแม้แต่น้อย"


รูบี้กอดอกแล้วเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อย พอได้ยินดังนั้นเจ้าตัวเขียวก็ดูหงอยลงไปถนัดตา ธิดาแห่งแอรีสจึงพูดต่อ


"ในฐานะผู้มีพระคุณช่วยเจ้าตัวจ้อยจากการโดนรังแก นายสมควรรับลูกก็อบลินตนนี้ไว้นะศิษย์น้อง"


"หา ? ฉันเหรอ แล้วทำไมอยู่ ๆ มาโยนให้ฉันซะล่ะ"


แมคเคนซีถึงกับอ้าปากค้าง ชี้ตัวเองแบบงง ๆ 


"ฉันเห็นด้วยนะคุณลินคอล์น ฉันเองพอกลับค่ายก็คงยุ่งอยู่แต่ในสถานพยาบาล ไม่มีเวลาดูแล การมีก็อบลินเป็นคู่หูก็คงดีไม่น้อยเลยใช่ไหม"


คีธช่วยพูดเสริมอีกแรง เมื่อได้ยินคำว่า ‘คู่หู’ ก็ทำให้นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เมื่อช่วงปลายปีแมคเคนซีวางแผนไว้ว่าจะเดินทางไปอิธาการ์เพื่อจับกริมาลคินมาเลี้ยงไว้เป็นคู่หูสักตัว แต่กลับเจอภารกิจการเดินทางปาดหน้าเข้าเสียก่อนจึงต้องพับเก็บแผนการนั้นไป คิดแล้วก็เสียดายบรรดาของล่อแมว (?) ที่ซื้อมาอยู่ไม่น้อย ซึ่งตอนนี้คงต้องนอนแอ้งแม้งอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของกระเป๋าสัมภาระไปก่อน ไหน ๆ ก็ไม่ได้ไปจับแมวตามที่ตั้งใจไว้แล้ว การรับเลี้ยงลูกก็อบลินสักตัวคงไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ถือว่าเป็นการฝึกเลี้ยงสัตว์วิเศษเบื้องต้นไปก่อนแล้วกัน


"โอเค ผมเลี้ยงเองก็ได้…….ฉันแมคเคนซี ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าตัวเล็ก"


หลุบตาลงมองลูกก็อบลินที่เงยหน้ามองเขาอย่างมีความหวัง พอได้ยินว่าจะมีเจ้าของแล้ว เจ้าตัวเขียวก็ดูดีใจไม่น้อย หัวเล็ก ๆ ถูไถไปกับฝ่ามือใหญ่ของแมคเคนซีราวกับกำลังออดอ้อน…ซึ่งดู ๆ ไปแล้วก็น่ารักดีเหมือนกัน

.


.


.

-06:00PM.-


Mackenzie   ดีน นายดูนี่สิ ฉันได้อะไรมา

Mackenzie   Send picture

Mackenzie   ไม่ได้ไปจับกริมาลคิน แต่ได้ลูกก็อบลินมาเลี้ยงแทน

Mackenzie   นายว่าให้ชื่ออะไรดี


หลังจากรถไฟขบวนที่จะไปยังซีแอตเทิลเริ่มออกเดินทาง ตอนนี้ก็ผ่านมาแล้วเกือบสามชั่วโมง แมคเคนซีที่อยู่ในห้องโดยสารส่วนตัวหยิบมือถือมาถ่ายรูปลูกก็อบลินที่กำลังแทะขนมปังอย่างเอร็ดอร่อยส่งให้คนรักดู พอคิดว่าดีนจะตั้งชื่อสัตว์เลี้ยงคู่หูตัวแรกของเขาด้วยชื่อแปลก ๆ ที่มีคำว่า ‘ไข่’ ขึ้นต้นก็ส่ายหน้าแล้วหลุดขำออกมาเล็กน้อย ดูท่าเขาคงต้องตั้งชื่อให้เจ้าตัวเล็กเองซะแล้ว


“ศิษย์น้อง ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว”


รูบี้ที่เดินออกมาจากห้องนอนอีกฝั่งบอกเขาแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับคีธ


“โอเค เดี๋ยวตามไป ฉันออกไปข้างนอกก่อน ถ้าไม่อยากโดนจับได้แล้วถูกโยนออกนอกรถไฟก็ทำตัวเป็นเด็กดี อย่าส่งเสียงดังเข้าใจไหม”


แมคเคนซีพูดไล่หลังเพื่อนร่วมทีมแล้วหันมาบอกลูกก็อบลินที่เอียงคอมองด้วยความสงสัย พอได้ยินคำว่า ‘ถูกโยนออกนอกรถไฟ' เจ้าตัวเล็กก็สะดุ้งโหยงแล้วรีบขยับตัวไปอยู่ตรงมุมหัวเตียง กอดก้อนขนมปังที่ยังกินค้างไว้แน่น ใบหน้าเล็กพยักรัวเร็วแล้วร้อง “กี้ ๆ !” ราวกับเป็นคำตอบรับ ซึ่งแมคเคนซีก็หวังว่ามันจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูด


ช่วงเวลานี้กลุ่มคนเริ่มทยอยมาใช้บริการที่โบกี้ห้องทานอาหารกันบ้างแล้ว ซึ่งก็ตรงกับเวลาเสียงตามสายประกาศว่ารถไฟกำลังจะออกจากสถานีโคลัมบัสพอดี ระหว่างกำลังจะเดินไปหาโต๊ะว่างนั่ง กลุ่มของแมคเคนซีก็ถูกใครบางคนยืนขวางไว้เสียก่อน


“ไงพวก ! ข้าว่าพวกเจ้าอยากได้ความช่วยเหลือจากข้านะ”


ชายผิวสีตรงหน้ายิ้มยิงฟันขาวใส่ เมื่อพิจารณาจากการแต่งกายแล้วก็ดูตามยุคสมัยอยู่หรอก แต่คำพูดคำจา…จะว่าคุ้นเคยก็ไม่เชิงนัก เรียกว่าได้ยินบ่อยขึ้นตั้งแต่มาอยู่ที่ค่ายมากกว่า


“ที่คุณว่ามาก็ไม่ผิดหรอก ช่วยหลีกทางหน่อยได้หรือไม่”


รูบี้เงยหน้ามองชายร่างสูงตรงหน้า แทนที่อีกฝ่ายจะหลบให้โดยดีกลับหัวเราะออกมาด้วยเสียงป่วนประสาทยากแก่การพิมพ์ออกมาเป็นคำจนคนแถวนั้นหันมามองกันหมด


“ให้ตายสิยัยตัวเล็ก มุกของเธอมันฝืดซะยิ่งกว่าเค้กแห้ง ๆ ที่แช่ไว้ในตู้เย็นซะอีก คิดจะปฏิเสธความช่วยเหลือของโมมุสผู้นี้งั้นรึ”


ถึงจะถูกตอบกลับมาแบบนั้น แต่แมคเคนซีก็คิดว่าที่ฝืดเฝื่อนคือคำพูดของหมอนี่ต่างหาก รูบี้เหมือนจะหน้าแดงด้วยความโกรธที่ถูกเรียกอย่างนั้น ริมฝีปากสดสวยได้รูปกำลังจะต่อคำ แต่คีธก็วางมือลงบนไหล่เธอเสียก่อน


“โมมุส…ท่านคือเทพโมมุสอย่างนั้นเหรอ ขออภัยที่พวกเราเสียมารยาท ถ้ายังไงขอเชิญท่านไปนั่งคุยกับพวกเราก่อนไหม”


คุณหมอสาวเอ่ยเชื้อเชิญด้วยท่าทีใจเย็น พร้อมกับผายมือไปยังโต๊ะว่างที่พวกเขากำลังจะเดินไป


“ให้มันได้อย่างนี้ โชคดีนะที่ทีมของพวกเจ้ายังมีคนฉลาดอยู่”


ชายนามว่าโมมุสกล่าวพลางหรี่ตาลงมองรูบี้กับแมคเคนซี่อย่างเย้ยหยัน ก่อนจะเดินนำไปนั่งตรงโต๊ะทานอาหารตัวว่างที่ห่างไกลจากผู้คน


“นั่น…เทพงั้นเหรอ เมื่อกี้เขาบอกว่าจะช่วยพวกเรา…?"


แมคเคนซีได้ทีก็ถามขึ้นมาเสียงเบา ขณะที่เดินตามไปนั่ง


"อืม…ลองฟังดูก่อน แต่ก็อย่าเชื่อถือมาก เทพโมมุสขึ้นชื่อเรื่องความปลิ้นปล้อนและชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นไม่เว้นแม้แต่เทพด้วยกัน พวกเราต้องระวัง อย่าเผลอไปต่อปากต่อคำหรือปล่อยให้เทพผู้นั้นปั่นหัวเราได้"


คีธพยักหน้ารับเล็กน้อย ใบหน้ายังคงความเรียบเฉยไว้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย


"วาจาสามหาวเช่นนี้ยังเป็นเทพได้ ฉันก็เป็นเซียนได้เช่นกัน"


ส่วนรูบี้ก็ชักสีหน้าไปเรียบร้อย สีหน้าบ่งบอกว่า ‘เอาล่ะ…ฉันไม่ชอบหมอนี่ !’ ชัดเจน


“ชักช้าจริง ครึ่งเทพหรือครึ่งเต่ากันแน่”


โมมุสกอดอกมอง วาจาถากถางยังคงพ่นออกมาจากปากไม่หยุด แม้ว่าพวกเขาทั้งสามจะนั่งลงกันพร้อมหน้าแล้วก็ตาม


“เข้าเรื่องเถอะครับ ที่คุณบอกว่าพวกผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ…หมายถึงเรื่องอะไร”


แมคเคนซีที่นั่งอยู่ด้านข้างเทพโมมุสถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ส่งผลให้เทพแห่งการเย้ยหยันหันมามองเขา ฝ่ามือหนาวางลงบนบ่าบุตรแห่งเฮคาทีแล้วตบเบา ๆ


“ใจร้อนเสียจริง ไม่มีอารมณ์ขันซะบ้างเลยหรือไง เรื่องที่ข้าพูดถึงก่อนหน้านั้น…ก็คือเรื่องที่เจ้าเพิ่งส่งยายแก่แม่มดดำกลับทาร์ทารัสไปยังไงล่ะ…”


วงสนทนาตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ ซึ่งนั่นดูเหมือนจะทำให้เทพโมมุสพึงใจไม่น้อย ดวงตาคมเข้มกลอกมองเดมิก็อดทั้งสามทีละคนก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกราวกับรอที่จะเล่าช่วงไคลแมกซ์ของเรื่องอยู่


“พวกเจ้ากำลังเดินทาง ใช่ ! พวกเจ้ากำลังมุ่งหน้าไปทำภารกิจกันใช่ไหม แล้วก็สงสัยว่ายัยแม่มดที่เพิ่งเป็นศพไปมีส่วนรู้เห็นกับภารกิจของพวกเจ้าหรือเปล่า และข้า ! ข้านี่แหละที่ช่วยพวกเจ้าได้ ข้าสามารถช่วยให้พวกเจ้าได้พบกับแม่มดดำนั่นได้อีกครั้งราวกับลากคอนางกลับออกมาจากทาร์ทารัสเลยล่ะ”


คำบอกเล่าของผู้เป็นเทพทำให้แมคเคนซีหูผึ่งได้ไม่ยากเมื่อรู้ว่ายังพอมีหนทางที่จะหาเบาะแสเพิ่มเติมของภารกิจได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วางใจเสียทีเดียวจากคำเตือนเมื่อครู่ของคีธ


“แล้วท่านจะช่วยพวกเรายังไง”


เทพโมมุสหันมองเดมิก็อดหนุ่มแล้วแสยะยิ้มชวนขนลุก ราวกับรอให้ใครสักคนถามคำถามนี้อยู่แล้ว


“ยังไงน่ะเหรอ…ข้าก็จะให้เบอร์โทรติดต่อของนิโค เดมิก็อดรุ่นพี่ของพวกเจ้า เขารู้เส้นทางที่จะไปทาร์ทารัสดีเชียวล่ะ เมื่อพวกเจ้าไปถึงทาร์ทารัสแล้ว ก็ไปเค้นคอยัยแม่มดนั่นได้เลย อ้อ ! แต่ว่า…” เรียวนิ้วดีดเสียงดัง เป๊าะ ! ก่อนจะพูดต่อ “ห้าสิบดรักม่า…สำหรับคอนแทคของนิโค ไง…น่าสนใจใช่ไหมล่ะ”


วงสนทนาตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งเมื่อได้ฟังข้อเสนอของเทพที่อวดอ้างว่าสามารถช่วยพวกเขาได้ รูบี้ถอนหายใจดัง "เฮ้ออออ !" ออกมาแล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่างที่แม้จะเป็นช่วงเย็นย่ำแต่พระอาทิตย์ก็ยังส่องสว่างกลางท้องฟ้า


"ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ ข้อเสนอของท่านน่าสนใจมาก แต่น่าเสียดายที่พวกเราไม่มีเวลาขนาดนั้น"


ธิดาแห่งฮีบี้ส่งยิ้มละมุนให้และตอบเชิงปฏิเสธกลาย ๆ อย่างนุ่มนวล ซึ่งแมคเคนซีเองก็เห็นด้วยกับข้อนี้ ตามความเข้าใจของเขา ทาร์ทารัสคือสถานที่ซึ่งอยู่ลึกลงไปในใต้ภิภพและลึกยิ่งกว่านรกเสียอีก เหล่ายักษ์และอสุรกายล้วนแล้วถูกขังอยู่ที่นั่น ไม่เพียงแต่ไม่อาจคาดคะเนเวลาที่ใช้ในการเดินทางไปยังดินแดนนั้น นี่ยังไม่รวมการไปหาแม่มดดำที่เขาเพิ่งสังหารไปท่ามกลางฝูงสัตว์ร้ายซึ่งยากพอ ๆ กับการงมเข็มในมหาสมุทร และพวกเขาอาจกลับมาช่วยเด็กคนนั้นไม่ทันวันคืนเดือนมืดก็เป็นได้


“แปลว่าพวกเจ้าปฏิเสธความช่วยเหลือจากข้างั้นเรอะ โง่บรม เสียเวลาข้าจริง ๆ”


เทพโมมุสส่งเสียง “เหอะ !” ออกมาอย่างจงใจ สีหน้าแสดงออกถึงความดูแคลนพวกเขาอย่างไม่คิดปิดบัง


“ดื่มนี่ก่อนครับ น่าจะช่วยทำให้ท่านใจเย็นลงบ้าง…”


แมคเคนซีเลื่อนกระป๋องโคล่าเย็น ๆ ที่เพิ่งสั่งเมื่อครู่ไปตรงหน้าเทพโมมุส แล้วมองพนักงานเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แต่ละคนจนครบ รอกระทั่งพนักงานคนนั้นเดินไกลออกไปจึงเริ่มพูดต่อ


“ที่จริงผมก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธซะทีเดียว แต่พูดตามตรงนะครับ ข้อมูลของท่านมันดูไม่ค่อยสมกับราคาที่พวกผมต้องจ่าย ไหน ๆ ท่านก็อยากช่วยเหลือพวกเราแล้ว ถ้าอย่างนั้นช่วยฟังข้อเสนอของผมบ้างได้ไหม”


“……หมายความว่าเจ้ากำลังจะต่อรองข้างั้นเรอะ น่าสนใจ ลองพูดมาสิ”


เทพโมมุสเลิกคิ้วพลางเปิดฝากระป๋องน้ำอัดลมจนได้ยินเสียงซู่ซ่าของแก๊สที่ถูกอัดไว้ภายในก่อนจะยกขึ้นดื่ม


“สิบดรักม่า…สำหรับคอนแทคของรุ่นพี่นิโค——”


“เฮ้ ! นี่มันกดราคากันนี่หว่า จากห้าสิบเหลือสิบดรักม่าหน้าด้าน ๆ เลยนะ !”


กระป๋องถูกวางกระแทกโต๊ะดัง ปึง ! ตามมาด้วยเสียงโวยวายของเทพโมมุส แมคเคนซีเพียงแค่ยกยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก แล้วพูดต่อราวกับไม่สนใจปฏิกิริยาไม่พอใจนั้น


ก็แน่ล่ะสิ…ตอนทำงานบาร์เทนเดอร์เขาเจอแขกขี้เมาจอมเกรี้ยวกราดมามากมาย เรื่องแค่นี้ถือว่าปกติสำหรับเขาไปแล้ว


“ช่วยฟังให้จบก่อนครับ สิบดรักม่า…สำหรับคอนแทคของรุ่นพี่นิโค สามสิบดรักม่า…สำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อภารกิจของพวกผม ห้าสิบดรักม่า…สำหรับการพาพวกผมไปที่แวนคูเวอร์ และแปดสิบดรักม่า…สำหรับพาพวกผมไปที่เมืองเยลโลวไนฟ์ภายในวันนี้ เป็นไงครับ…น่าสนใจขึ้นบ้างไหม”


แมคเคนซีนับนิ้วทีละนิ้วพร้อมกับพูดตัวเลือกไปทีละข้อจนครบ เขาไม่รู้หรอกว่าพวกเทพจะเอาดรักม่าไปทำอะไร แต่สำหรับเขาแล้ว เงินดรักม่าแต่ละเหรียญหายากยิ่งกว่าเงินดอลลาร์เสียอีก หากจำเป็นต้องใช้นอกจากการดีดขึ้นไปบนอากาศเพื่อติดต่อกับดีนผ่านช่องทางไอริสแล้ว เขาก็อยากจะใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุด


“ตัวเลือกเยอะเหลือเกินนะ แล้วเจ้าไม่กลัวว่าข้าจะโกงไม่ทำตามข้อตกลงหลังจากรับดรักม่าของเจ้าไปแล้วรึ”


แมคเคนซีส่ายหน้าเล็กน้อย มือก็ถือช้อนคนดาร์คโกโก้ในแก้วตรงหน้าตนเองให้อุ่นไปด้วย


“ไม่ครับ ผมว่าท่านมีเกียรติพอ และผมจะจ่ายก็ต่อเมื่อท่านทำหน้าที่ของท่านเสร็จแล้ว”


“แล้วข้าจะมั่นใจได้ยังไงว่าเจ้าจะไม่โกงข้า”


สิ้นคำถามนั้น แมคเคนซีก็ยิ้มขำออกมาเล็กน้อย ให้ตายสิ…นี่เขากำลังถูกเทพที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมกลั่นแกล้งระแวงว่าจะบิดค่าจ้างงั้นเหรอเนี่ย


“ท่านวางใจเถอะครับ ผมเพียงแค่เสนอข้อต่อรองเพื่อประโยชน์สูงสุดของทั้งสองฝ่าย การคุยธุรกิจก็เป็นแบบนี้ หากไม่พอใจจะไม่ตอบรับก็ย่อมได้….”


บุตรแห่งเฮคาทีเงียบเพื่อทิ้งช่วงไปเล็กน้อย ดวงตาสีฮาเซลสบมองเข้ากับดวงตาคมเข้มของผู้ที่นั่งด้านข้าง


“ได้เวลาเลือกแล้วครับ เทพโมมุส”




สรุปสถานการณ์

-รับลูกก็อบลินเป็นสัตว์เลี้ยง

-ขึ้นรถไฟขบวนที่จะไปยังซีแอตเทิล


เสนอข้อต่อรองกับเทพโมมุส 

(เลือก 1 ข้อ หากไม่เลือกเลยถือว่าไม่รับข้อต่อรอง)

1. 10 ดรักม่า - คอนแทคของรุ่นพี่นิโค 

2. 30 ดรักม่า - ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อภารกิจ

3. 50 ดรักม่า - พาไปที่แวนคูเวอร์ (ภายในวันนี้ตามโรล…19 ม.ค.)

4. 80 ดรักม่า - พาไปที่เมืองเยลโลวไนฟ์  (ภายในวันนี้ตามโรล…19 ม.ค.)


HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน)   โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25 (เทพโมมุส)

มอบของ   โคล่า (เทพโมมุส)

✿ Elli

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-38-1] โมมุส เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2025-2-22 13:19
God
เทพโมมุส - ชิ แต่ละข้อ ถ้าข้าช่วยพวกเจ้าทำภารกิจ ซุสคงจะเอาข้าตายแน่!! //ก่อนแว้นรถออกไปทิ้งไว้เพียงควันขโมง  โพสต์ 2025-2-22 13:19
ฉันเตรียมโดนทุบหลังแล้ว ( ; w ; )  โพสต์ 2025-2-22 11:59
นายมันแน่มากแมคซี่!  โพสต์ 2025-2-22 11:45
โพสต์ 146920 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-2-22 11:31
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส
น้ำหอมเฮคาที
เหรียญนกฮูก
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x7
x10
x10
x7
x2
x9
x6
x4
x3
x70
x4
x10
x6
x12
x6
x18
x3
x55
x9
x189
x14
x14
x12
x45
x18
x5
x5
x5
x2
x5
x2
x11
x20
x10
x10
x2
x2
x2
x4
x1
x3
x12
x6
x2
x5
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x13
x2
x4
x4
x2
x1
x16
x145
x192
x10
x6
x10
x10
x16
x55
x80
x1
x1
x1
x4
x3
x1
x1
x1
x1
x5
โพสต์ 2025-3-5 00:44:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-3 00:17

Page IV


-19.01.25-


“ชิ แต่ละข้อ ถ้าข้าช่วยพวกเจ้าทำภารกิจ ซุสคงจะเอาข้าตายแน่ !!”


หลังจากฟังข้อเสนอของแมคเคนซีแล้ว เทพโมมุสก็กล่าวทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนที่ร่างจะหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงแค่โคล่ากระป๋องที่ยังไม่พร่องไปจากเดิมเท่าไหร่


“กะไว้แล้วเชียว อุ๊บ ! ทำอะไรของเธอ”


เรียวนิ้วยกขึ้นลูบคางมนพลางคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อรูบี้ที่นั่งฝั่งตรงข้ามยื่นมือมาตีแขนเขาป้าบนึง


“ไม่รู้จักรักตัวกลัวตายเสียบ้าง ไปต่อรองกับเทพได้อย่างไร….”


ดวงตาทรงอัลมอนด์จ้องมองแมคเคนซีด้วยสายตาคล้ายจะตำหนิ แต่ก็เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นก่อนจะเหลือบมองไปด้านข้างแล้วยกมือป้องปากที่เหมือนจะมีรอยยิ้มเล็ก ๆ แต่งแต้มไว้


“แต่ก็ช่างสาแก่ใจนัก…หึ ๆ”


เสียงหัวเราะในลำคอของธิดาแอรีสทำให้แมคเคนซียิ่งเข้าใจประโยคที่ว่า ‘อย่าทำให้ผู้หญิงแค้น’ มากขึ้น เขากับคีธมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะน้อย ๆ กับเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นไปตาม ๆ กัน


นาน ๆ ทีได้เห็นเทพเลิ่กลั่กก็แปลกตาดีเหมือนกัน


“จริง ๆ เลยคุณลินคอล์น ฉันตกใจแทบแย่ ต่อราคาอย่างกับซื้อของในตลาดสด”


คุณหมอสาวปาดน้ำตาที่เล็ดออกมาจากหางตา แน่นอนว่าตอนเจรจากับเทพโมมุส แมคเคนซีเหลือบไปเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของคีธ แม้จะเพียงน้อยนิดเพราะเธอรีบซุกซ่อนมันไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งแบบที่ชอบทำเสมอ


“ผมแค่ลองเสี่ยงดู ถ้าเทพโมมุสตกลงเลือกข้อใดข้อหนึ่งก็ถือว่าเป็นโชคดีของเรา แต่ถ้าไม่ก็ไม่เป็นไร ยังไงเราก็จะเดินทางตามแผนการของเราต่อ”


แมคเคนซีบอกสิ่งที่คิดอยู่ภายในใจขณะนั้น การที่เทพแห่งการเย้ยหยันไม่ตอบรับข้อเสนอไม่ได้ผิดไปจากที่คิด เขาเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว


“แต่ช่างน่าเสียดาย ไม่อย่างนั้นเราอาจได้เบาะแสหรือย่นระยะเวลาการเดินทางก็เป็นได้”


 รูบี้เอนหลังพิงพนักแล้วยกแก้วชาที่ตอนนี้คงอุ่นพอ ๆ กับดาร์คโกโก้ของเขาขึ้นจิบ


“ก็ไม่ได้เปล่าประโยชน์ซะทีเดียวหรอก ได้ยินที่เทพโมมุสบอกก่อนจะหายไปไหม ที่เขาไม่ช่วยเพราะไม่อยากถูกเทพซุสเล่นงาน…นั่นก็ยืนยันได้แล้วว่าจุดหมายปลายทางของพวกเราอยู่ที่เมืองเยลโลวไนฟ์แน่ ๆ”


แก้วดาร์คโกโก้ถูกยกขึ้นดื่มบ้าง การที่เทพผู้โปรดปรานการกลั่นแกล้งอย่างโมมุสปฏิเสธข้อเสนอของแมคเคนซีนั้นชี้ให้เห็นว่าทีมของเขามาถูกทางแล้ว หากจุดหมายไม่ใช่แคนาดา เทพโมมุสคงไม่ลังเลที่จะตอบตกลงแล้วพาพวกเขาไปทันที เพื่อที่สุดท้ายจะหัวเราะเยาะด้วยเสียงปั่นประสาทพร้อมกับตะโกนใส่หน้าว่า “เดมิก็อดหน้าโง่ พวกเจ้าโดนหลอกแล้ว !” และเชิดดรักม่าไป ปล่อยให้พวกเขาต้องคลำทางกันใหม่ราวกับเริ่มต้นจากศูนย์ อย่างน้อยก็ต้องขอบคุณเทพองค์นั้นที่ช่วยทำให้แมคเคนซีมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตนเองเสียที


“ไอหยา ตายจริง…”


รูบี้วางแก้วชาลงแล้วยกมือข้างนึงขึ้นปิดปาก ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ฟังสิ่งที่แมคเคนซีบอก ซึ่งมองจากดาวอังคารก็ยังรู้ว่าแสร้งตกใจชัด ๆ ดูท่าเธอคงชื่นชอบการปล่อยไก่ตัวใหญ่ของเทพโมมุสมากทีเดียว


“ถือว่าเป็นข้อมูลที่ดีเลยไม่ใช่เหรอ เอาล่ะ เย็นมากแล้ว เรากินมื้อเย็นกันดีกว่า จะได้ไปพักผ่อนเอาแรง”


คีธบอกแล้วเรียกพนักงานมาสั่งอาหาร และพวกเขาก็ทานมื้อเย็นกันก่อนจะกลับห้องโดยสารเพื่อไปพักผ่อน

.


.


.

-21.01.25-


หลังจากใช้ชีวิตอยู่แต่ในรถไฟเกือบสองวันเต็ม ในที่สุดรถไฟก็จอดเทียบที่สถานีคิงสตรีทของช่วงสายวันที่ 21 มกราคม นั่นก็หมายความว่าตอนนี้พวกเขามาถึงเมืองซีแอตเทิลแล้ว


“กี้…?”


ศีรษะเล็ก ๆ ของ ‘แอนดี้’ ลูกก็อบลินที่แมคเคนซีเพิ่งตั้งชื่อให้เมื่อคืนก่อนโผล่ออกมาจากกระเป๋าสัมภาระของเดมิก็อดหนุ่มแล้วมองทิวทัศน์แปลกตารอบ ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น


“ชินชิลล่า !”


เด็กหญิงคนนึงชี้มาที่ก็อบลินตัวน้อยจนมันต้องรีบมุดกลับเข้าไปในกระเป๋าดังเดิม แมคเคนซีหันไปมองเป้สัมภาระที่สะพายหลังแล้วถามเด็กหญิงคนนั้นอีกครั้ง


“เมื่อกี้เห็นชินชิลล่าเหรอ”


“อื้อ ! ชินชิลล่าตัวใหญ่อยู่ในกระเป๋าพี่ชาย น่ารักมาก”


เด็กหญิงพยักหน้าแรง ๆ แล้วยิ้มแป้น แมคเคนซีจึงยิ้มตอบแล้วเดินผละออกมารวมกลุ่มกับคนในทีม ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าทำไมผู้โดยสารสาวคนนั้นที่พวกเขาพบในเลานจ์ที่ชิคาโกถึงบอกว่าเจอหนู คงเป็นเพราะมนตร์บังตานั่นเอง แต่ก็ดีไปอย่างที่มนุษย์ทั่วไปเห็นแอนดี้เป็นชินชิลล่าซึ่งจัดได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงถูกกฎหมายของอเมริกา หากเห็นเป็นสัตว์แปลก ๆ หรือสัตว์สงวนห้ามเลี้ยงคงได้งานงอกอีก


“ก่อนไปถึงแคนาดาจะมีจุดตรวจเอกสารสองที่ ก็คือเคาท์เตอร์ตรงนั้น…”


คีธชี้ไปยังเคาท์เตอร์ ‘PASSPORT CHECKPOINT’ ที่มีเจ้าหน้าที่ยืนประจำการอยู่ จากที่แมคเคนซีหาข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางเข้าประเทศแคนาดาโดยรถไฟ เอกสารที่จำเป็นก็คือพาสสปอร์ตกับวีซ่า ในส่วนพาสสปอร์ตนั้นไม่น่าห่วง จะขาดก็แค่วีซ่าเท่านั้น ซึ่งการขอวีซ่าต้องใช้เวลาดำเนินการกว่าสองอาทิตย์ แน่นอนว่าไม่ทันวันกำหนดเดินทางออกจากค่ายของพวกเขา ดังนั้น ทั้งสามคนจึงใช้เวลาช่วงที่อยู่บนรถไฟขบวนที่เดินทางมายังซีแอตเทิลวางแผนเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง เพื่อที่ทีมทำภารกิจของพวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ลักลอบเข้าประเทศ (แม้ในความจริงจะเลี่ยงไม่ได้หากต้องเป็นเช่นนั้นก็ตาม)


“และอีกที่ก็คือตม.เมื่อเราไปถึงแวนคูเวอร์…ถ้าแผนของฉันใช้ไม่ได้ผลก็คงต้องรบกวนคุณลินคอล์นแล้วนะ”


คุณหมอสาวยิ้มให้แมคเคนซีเล็กน้อย บอกตรง ๆ ว่าเขาไม่มั่นใจเลย ไม่ว่าจะเป็นแผนหลักหรือแผนสำรองก็น่าเป็นกังวลว่าจะล้มเหลวได้ทั้งนั้น แต่คงไม่มีวิธีไหนดีไปกว่านี้แล้ว และเขาจะไม่ยอมให้ภารกิจนี้หยุดอยู่แค่ที่ซีแอตเทิลแน่ ๆ


“อืม…ผมจะทำให้เต็มที่”


แมคเคนซีพยักหน้ารับ เมื่อดูเวลาแล้วก็เห็นว่ายังพอมีเวลาอีกสองชั่วโมงกว่าจะขึ้นรถไฟ แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ไปเดินเที่ยวเล่นที่ไหน จึงได้แค่นั่งรอประกาศของทางสถานีเท่านั้น

.


.


.

-01:00PM.-


เสียงประกาศจากทางสถานีดังขึ้น กลุ่มผู้โดยสารที่จะขึ้นรถไฟต่อไปยังแวนคูเวอร์ต่างเริ่มทยอยมาเข้าแถวเพื่อตรวจเอกสารรวมถึงพวกแมคเคนซีด้วย ฝ่ามือใหญ่ชื้นเหงื่อกำพาสสปอร์ตในมือแน่น ในใจเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อคิดถึงสิ่งที่กำลังจะทำ


“ขอโทษนะคะคุณผู้โดยสารคนนี้ ช่วยมากับเราหน่อยได้ไหม”


อยู่ ๆ เจ้าหน้าที่สาวสองคนก็เดินมายืนขนาบข้าง หญิงสาวร่างบอบบางส่งยิ้มอ่อนโยนให้และพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน


“ผมเหรอ…มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”


แมคเคนซีชี้ตัวเองด้วยสีหน้างุนงง


“ทางเราตรวจสอบพบว่าตั๋วของคุณมีปัญหา อาจทำให้เดินทางไปต่อไม่ได้ เลยจะขอเชิญคุณไปตรงจุดบริการผู้โดยสารเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง”


เจ้าหน้าที่สาวใบหน้าสะสวยแต่งหน้าค่อนข้างจัดผายมือไปยังห้องที่เขียนว่า ‘จุดบริการนักท่องเที่ยว’ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณสามร้อยเมตร แมคเคนซีมองเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนที่ตอนนี้มีสีหน้างุนงงไม่แพ้กัน


“พวกเรามาด้วยกัน แล้วตั๋วของเราสองคน—-”


“ของพวกคุณไม่มีปัญหาค่ะ ถ้าตรวจเอกสารเรียบร้อยแล้วเชิญไปรอที่ชานชาลาได้เลยนะคะ ทางเราจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุดค่ะ”


เจ้าหน้าที่คนแรกพูดขัดขึ้นมาก่อนจะยิ้มให้ คีธจึงพยักหน้ารับน้อย ๆ เป็นเชิงบอกว่าเข้าใจ


“……งั้นเดี๋ยวผมรีบมานะ”


แมคเคนซีบอกเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนแล้วออกจากแถวเดินตามเจ้าหน้าที่ทั้งคู่ไป

.


.


.

‘หล่อจัง ไม่นึกว่าจะมีเดมิก็อดมาที่นี่ด้วย’


‘เจ้าว่าเป็นบุตรของเทพองค์ใด’


‘รูปงามขนาดนี้ข้าว่าไม่เทพอพอลโลก็เทพีอะโฟรไดท์แน่ ๆ ข้าชักไม่อยากกินเขาเสียแล้ว เก็บไว้ดูต่างหน้าก่อนดีไหม’


“ขอบคุณที่ชม แต่พวกเธอจะพาฉันเดินไปถึงไหน”


แมคเคนซีที่เดินตามหลังเจ้าหน้าที่สาวทั้งสองมาได้สักพักถามขัดขึ้นมา ตอนแรกที่ได้ยินเรื่องตั๋วของเขามีปัญหาก็คิดอยู่ว่าไม่ค่อยสมเหตุสมผล แต่หากตนมีปัญหากับเจ้าหน้าที่คงจะไม่ส่งผลดีนักจึงเลือกยอมตามมาแล้วค่อยพูดคุยกันทีหลัง กระนั้นดูเหมือนว่ามนตร์บังตาไม่ก็เวทย์แปลงกายของพวกเธอจะทำงานผิดเพี้ยน เดมิก็อดหนุ่มจึงได้เห็นร่างจริงของทั้งคู่ซึ่งเรือนผมเป็นเปลวเพลิงและส่วนขาที่เหมือนแพะ


“……คุณได้ยินที่พวกเราคุยกันเหรอ”


ร่างทั้งสองชะงักฝีเท้าก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมามอง ซึ่งนั่นก็ทำให้แมคเคนซีถึงกับนิ่งค้างไปเช่นกัน ใบหน้าที่เคยสะสวยของทั้งคู่เปลี่ยนไปจนจำเค้าเดิมแทบไม่ได้ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่มีส่วนใดใกล้เคียงมนุษย์เลย


“ใช่…แล้วก็เห็นร่างจริงของพวกเธอด้วย”


สิ้นประโยคนั้นดูเหมือนว่าร่างตรงหน้าจะยิ่งตกใจกว่าเดิม รีบยกมือขึ้นแตะหน้าตาของตนเองกันยกใหญ่พร้อมกับพูดสิ่งที่แมคเคนซีพอจะจับใจความได้ว่า


“กรี๊ดดด ไม่นะ ถูกเห็นร่างจริงเข้าแล้ว”


“แย่จัง ฉันน่าจะแต่งหน้าให้แน่นกว่านี้”


“เดี๋ยวนะ ทำไมเดมิก็อดคนนี้ถึงมองเห็นร่างจริงพวกเราล่ะ ทั้งที่ไม่ได้ใช้มนตร์บังตาสักหน่อย”


“นั่นสิ…ไม่มีใครเห็นร่างจริงของพวกเราได้ นอกไปจาก…….”


สองสาวอสุรกายหันกลับมามองแมคเคนซีเป็นตาเดียว แทบจะพูดพร้อมกัน


"ผู้ใช้เวทย์ !?"


“อืม…ใช้ได้นิดหน่อย ยังไม่เก่งขนาดนั้นหรอก”


แมคเคนซีใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ทำท่า 🤏🏻 ประกอบคำพูด ทั้งที่ในใจก็เริ่มสงสัยอย่างหนักว่าทำไมเขาต้องมาเสียเวลาสนทนากับอสุรกายห่วงสวยสองตนนี้ด้วยนะ แต่ประโยคถัดมากลับเรียกความสนใจจากเขาได้ไม่น้อย


“งั้นจิตสุดท้ายที่แม่มดดำนั่นส่งมาบอกพวกเราก่อนจะสลายไปก็เป็นเรื่องจริงสิ !?”


“มีบุตรแห่งเฮคาทีกำลังมาที่นี่ และกำลังจะไปแคนาดา…อย่าบอกนะว่า——”


“ซุบซิบอะไรกัน ขอใส่ใจด้วยคนได้ไหม พวกเธอรู้จักแม่มดดำที่ชิคาโกที่เพิ่งตายไปงั้นเหรอ”


เดมิก็อดหนุ่มกอดอกถาม อยู่ ๆ ก็มีเบาะแสมาให้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปถึงทาร์ทารัส แล้วเรื่องอะไรเขาถึงจะไม่รีบคว้าเอาไว้ล่ะ


“ไม่ใช่ธุระของเดมิก็อดอย่างเจ้า เจ้ารีบไปส่งข่าวให้องค์กรท่านจักรพรรดิโรมันเร็วเข้า ทางนี้ข้าจัดการเอง”


อสุรกายสาวตนที่แมคเคนซีจำได้ว่าใช้เวทย์แปลงกายเป็นเจ้าหน้าที่สาวแต่งหน้าจัดหันไปบอกอสุรกายสาวอีกตนที่พยักหน้ารับแล้วรีบบินออกไปจากตรงนั้น


“เฮ้ ! เดี๋ยว กลับมาก่อน !”


แมคเคนซีตะโกนเรียกแล้วทำท่าจะตามไป แต่ก็โดนอสุรกายอีกตนมาขวางไว้ ดวงตาสีแดงที่จ้องมองมาวาวโรจน์ราวกับสัตว์ร้ายที่พร้อมจะล่าเหยื่อ


“มาคุยกับฉันดีกว่าพ่อรูปหล่อ แต่แลกกับเลือดของเจ้านะ อยากรู้เสียจริงว่าเลือดของบุตรแห่งเทพีเฮคาทีจะเลิศรสแค่ไหน”


ริมฝีปากสีสดแสยะยิ้ม ขากีบแพะคู่นั้นวิ่งตรงมาทางเขา แมคเคนซีรีบหยิบคฑาเวทย์ออกมาจากกระบอกซูมที่สะพายอยู่ที่หลัง แสงไฟจากคฑาคบเพลิงสว่างวาบขึ้นมาในทันที ร่างสูงเบี่ยงตัวหลบคมเขี้ยวของปีศาจสาว


“ฮึ่ม…ยอมเป็นอาหารของข้าเสียเถอะ ยัยแม่มดเฒ่านั่นก็สายตาฝ้าฟางเสียจริง เดมิก็อดรุ่นราวคราวนี้ใช้ประกอบพิธีได้เสียที่ไหน”


เรียวคิ้วเลิกขึ้นด้วยความสงสัย สิ่งที่อสุรกายตนนี้พูดมีแต่สิ่งที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมด แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ถาม แมคเคนซีถูกอมนุษย์สาวพุ่งเข้าใส่หมายจะดื่มกินเลือดของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดเธอคงจะหมดความอดทนจึงร่ายเวทย์ลูกไฟจำนวนหนึ่งยิงเข้าใส่ ความร้อนแรงเจิดจ้าของมันไม่ต่างกับเส้นผมที่เหมือนดั่งเปลวเพลิงนั้นแม้แต่น้อย


“อินคันทาเร สกูตุ้ม เดเฟนโด !”


เดมิก็อดหนุ่มร่ายเวทย์แล้ววาดคฑาเป็นสัญลักษณ์รูปโล่กลางอากาศ ลูกไฟเหล่านั้นชนเข้ากับบาเรียล่องหนได้ทันก่อนที่มันจะพุ่งชนและเผาผลาญเขาจนไหม้เป็นตอตะโก ฝ่ามือกระชับคฑาเวทย์ไว้แน่นแล้วตั้งสมาธิเตรียมพร้อมร่ายเวทย์บทต่อไป


“อยู่นี่เอง ศิษย์น้อง ! มัวทำอะไรอยู่ ใกล้ได้เวลารถไฟออกแล้ว !”


คำเรียกอันแปลกประหลาด…ไม่สิ ต้องบอกว่าคำเรียกอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวดังขึ้นจากด้านหลัง ทำลายสมาธิเสียจนแตกกระเจิง แมคเคนซีหันไปมองตามเสียงตะโกนนั้น ธิดาแอรีสยืนหน้าง้ำงออยู่ด้านหลังห่างจากเขาไปไม่เท่าไหร่


“กำลังจะจัดการอสุรกายอยู่นี่ไง รอแป๊บนึงสิ !”


ตะโกนตอบทั้งที่สายตายังมองจ้องอสุรกายที่กำลังย่างสามขุมเข้ามาตรงหน้า


“งุ่มง่ามเสียจริง หากพวกเราตกรถไฟ ฉันจะอัดนายให้เละตุ้มเป๊ะเลย !”


“อา…ให้ตายสิ งั้นฝากถือหน่อยแล้วกัน”


ดวงตาสีฮาเซลกลอกวนเป็นวงกลมหนึ่งรอบถ้วน หญิงสาวที่ชื่อรูบี้นั้นน่ากลัวกว่าอสุรกายตรงหน้าหลายร้อยเท่าตัวนัก แมคเคนซีโยนคฑาคบเพลิงในมือส่งให้รูบี้ถือไว้แล้วชักดาบที่คาดตรงเอวออกมาแทน อาศัยจังหวะที่ปีศาจสาวตรงหน้าพุ่งเข้ามาหาอีกครั้งฟันเข้าไปเต็มแรงจนร่างนั้นขาดสะพายแล่งแล้วสลายเป็นฝุ่นผงกลับทาร์ทารัสตามแม่มดดำตนนั้นไป


ว่าจะใช้พลังเวทย์ให้สมกับที่เป็นสายเวทย์คูล ๆ สักหน่อย สุดท้ายก็จบลงแบบเดิมจนได้ ว้า…เสียดายจัง


“ขบวนรถไฟแอมแทรคที่จะมุ่งหน้าสู่แวนคูเวอร์ กำลังจะออกเดินทางในอีกสิบนาที…”


เสียงประกาศจากทางสถานีดังขึ้น แมคเคนซีรีบเก็บดาบกับสินสงครามแล้วเดินมาหารูบี้


“ไม่มีเวลาแล้ว มองไฟจากคฑาเวทย์ไว้ ห้ามละสายตาเด็ดขาด แล้วตามฉันมา”


เดมิก็อดหนุ่มรับคฑาเวทย์กลับมาถือไว้ก่อนหลับตาลงตั้งสมาธิ เพียงไม่นาน ทั่วทั้งบริเวณนั้นก็ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ แน่นอนว่ามันคือทักษะควบคุมหมอกที่เขาเพิ่งได้รับมาและเรียนรู้การใช้จากซิลเวอร์พี่คนโตของบ้าน มีเพียงบุตรแห่งเทพีเฮคาทีเท่านั้นที่สามารถมองทะลุม่านหมอกนี้ได้


“รูบี้ มาเร็ว !”


แมคเคนซีเริ่มออกวิ่งโดยใช้แสงจากคบเพลิงเป็นตัวนำทางให้ธิดาแห่งแอรีสวิ่งตามมา ระหว่างทางได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของผู้คนมากมายที่ถูกหมอกบดบังจนมองอะไรไม่เห็นชั่วขณะ และตอนนี้เขาก็เจอธิดาแห่งฮีบี้ที่ยืนรอพวกเขาอยู่แล้ว


“คีธ วิ่ง !”


แมคเคนซีคว้าข้อมือคุณหมอสาวแล้ววิ่งไปต่อทันที จุดหมายของพวกเขาคือประตูทางเข้าที่จะไปขึ้นรถไฟต่อไปยังแวนคูเวอร์ และตอนนี้พวกเขาก็ผ่านเข้ามาได้แล้ว


“…..สำเร็จ พวกเราทำสำเร็จแล้ว”


รูบี้วางมือทาบหน้าอกแล้วหอบแฮ่กบาง ๆ ดวงตาทรงอัลมอนด์มองออกไปด้านนอกประตูที่ตอนนี้พลังแห่งหมอกบังตาได้จางหายไป และเหตุการณ์ก็เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ


"เมื่อกี้เป็นพลังของคุณลินคอล์นงั้นเหรอ ฉันนึกว่ามีไฟไหม้ที่ไหนซะอีก"


คีธถามอย่างแปลกใจ แต่น้ำเสียงก็ยังดูเรียบนิ่งเช่นเดิม เธอยังคงครองสติได้ดีสมกับที่เป็นคุณหมอจริง ๆ


"ขอโทษที่ไม่ได้ทำตามแผน ผมทำเสียเวลาเอง เลยต้องหาวิธีใหม่ที่เร็วที่สุด"


แมคเคนซีเก็บคฑาเวทย์เข้าที่ตามเดิม ถึงผู้คนจะแตกตื่น แต่ก็ถือว่าสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี พวกเขาผ่านเข้ามาได้แบบไม่เอิกเกริก (หรือเปล่านะ) และไม่เป็นที่รู้จักในฐานะคนลักลอบเข้าประเทศ (แม้ว่าความจริงจะใช่ก็ตาม)


"ไม่เป็นไร แค่ผ่านเข้ามาได้ก็พอ ยังเหลือตรงตม.แวนคูเวอร์อีกที่ หวังว่าจะราบรื่นเช่นกันนะ"


คีธยิ้มเล็กน้อย 


"รีบไปขึ้นรถไฟดีกว่า ใกล้ได้เวลาแล้ว เดี๋ยวก็ตกรถไฟจริง ๆ เสียหรอก"


รูบี้บอกแล้วเดินนำไปขึ้นรถไฟหมายเลขชานชาลาตามที่ทางสถานีประกาศไว้




สรุปสถานการณ์

-ขึ้นรถไฟขบวนที่จะไปแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา

-สื่อเชื่อมพลังกับแม่ (ใช้คาถาป้องกันขั้นสูง)   300 ศรัทธา

POW 80 (ใช้พลังได้ 2 โพสต์)  :  ใช้ครั้งที่ 1



ตื่นรู้ +2   จากการพิชิต เอ็มพูซา เป็นครั้งแรก

สินสงคราม (LUK 60+)  : ขาทองแดง 7

✿ Elli

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับ --300 ความศรัทธา โพสต์ 2025-3-5 10:00
โพสต์ 152473 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-3-5 00:44
โพสต์ 152,473 ไบต์และได้รับ +8 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก เสื้อกันหนาวมีฮู้ด  โพสต์ 2025-3-5 00:44
โพสต์ 152,473 ไบต์และได้รับ +18 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความศรัทธา จาก Hydro X  โพสต์ 2025-3-5 00:44
โพสต์ 152,473 ไบต์และได้รับ +20 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความศรัทธา +35 ความกล้า จาก เวทมนต์ [II]  โพสต์ 2025-3-5 00:44

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส
น้ำหอมเฮคาที
เหรียญนกฮูก
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x7
x10
x10
x7
x2
x9
x6
x4
x3
x70
x4
x10
x6
x12
x6
x18
x3
x55
x9
x189
x14
x14
x12
x45
x18
x5
x5
x5
x2
x5
x2
x11
x20
x10
x10
x2
x2
x2
x4
x1
x3
x12
x6
x2
x5
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x13
x2
x4
x4
x2
x1
x16
x145
x192
x10
x6
x10
x10
x16
x55
x80
x1
x1
x1
x4
x3
x1
x1
x1
x1
x5
โพสต์ 2025-3-15 14:44:18 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-3 00:19

 
Page V


-21.01.25 / 06:30PM.-


“เรียบร้อยค่ะ ยินดีต้อนรับสู่แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดานะคะ“


เจ้าหน้าที่สาวประจำตม.ส่งยิ้มให้หลังจากที่เธอตรวจเอกสารทุกอย่างครบเรียบร้อยแล้ว


“ขอบคุณครับ”


แมคเคนซียิ้มน้อย ๆ ตอบพลางรับพาสสปอร์ตคืนแล้วเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อกันหนาวก่อนจะเดินไปรวมตัวกับเพื่อนร่วมทีมที่ผ่านเข้ามาก่อนแล้ว


“ไม่น่าเชื่อ พลังของศิษย์น้องทำแบบนี้ได้ด้วย”


รูบี้พึมพำขณะเดินเข้ามาภายในสถานีแปซิฟิกเซ็นทรัล ดวงตาทรงอัลมอนด์มองรอบ ๆ ด้วยความสนใจด้วยเพิ่งเคยมาที่ประเทศแคนาดาเป็นครั้งแรก


“ที่จริงฉันก็ไม่มั่นใจ แต่แบบนี้ก็ดีกว่าตอนที่มาจากซีแอตเทิลใช่ไหม”


เดมิก็อดหนุ่มตอบ มือยังคงกุมพาสสปอร์ตที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อไว้ เป็นที่รู้กันเองภายในทีมว่าพวกเขาไม่มีวีซ่า สถานะตอนนี้จึงไม่ต่างอะไรจากคนลักลอบเข้าประเทศ จากที่อ่านบันทึกการเดินทางของเหล่าเดมิก็อดซึ่งไปทำภารกิจต่างแดน มันค่อนข้างยากลำบากทีเดียวหากต้องคอยทำภารกิจและหลบหนีการจับกุมของทางการ หากโชคร้ายก็อาจต้องไปนอนเล่นในคุก แย่ที่สุดอาจถึงขั้นติดแบล็คลิสต์ห้ามเข้าประเทศ ซึ่งมันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลยกับอนาคตในภายภาคหน้าหากเขาต้องออกจากค่ายมาใช้ชีวิตโลกภายนอก แล้วเขาจะยอมให้เป็นแบบนั้นได้อย่างไร…


ศาสตร์คุมหมอกคือสิ่งที่แมคเคนซีนึกถึง จากการสอนแบบเร่งรัดของซิลเวอร์พี่คนโตของบ้านทำให้เขารู้ว่าพลังนี้ค่อนข้างนำไปใช้ได้หลากหลาย ทั้งการควบคุม การต่อสู้ และหนึ่งในนั้นก็คือ ‘การสร้างความเสียหายทางจิตใจ’ ที่ฟังแล้วค่อนข้างจะรุนแรง แต่มันคงไม่เป็นอะไรหากเขาจะนำมันมาประยุกต์ใช้นิดหน่อยเมื่อถึงคราวจำเป็น


ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตม.จึงเห็นหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าของเขากับรูบี้และหน้าวีซ่าเข้าประเทศแคนาดาเมื่อหลายปีก่อนของคีธถูกแทนที่ด้วยวีซ่าเข้าประเทศในช่วงเวลาปัจจุบันภายใต้มนตร์สะกดนี้นั่นเอง


“ดีกว่ามาก เพราะหมอกของศิษย์น้องแท้ ๆ รถไฟจึงออกล่าช้าเช่นนี้”


รูบี้พยักหน้ารับแล้วรีบสวนกลับทันควัน ซึ่งก็จริงอย่างที่เธอว่า ด้วยความที่ใช้เวลาต่อกรกับ ‘เอ็มพูซา’ อสุรกายที่แปลงกายมาเป็นพนักงานของสถานีนานไปหน่อยจนเหลือเวลาขึ้นรถไฟกระชั้นชิด  ทำให้แมคเคนซีต้องใช้พลังควบคุมหมอกจนหนาทั่วบริเวณสถานีคิงสตรีทเพื่อพากันหลบจุดตรวจเอกสารเข้าประเทศแคนาดาจุดแรกและวิ่งไปขึ้นรถไฟที่จะมายังแวนคูเวอร์ได้ทันเวลา แม้ว่าสุดท้ายแล้วทางสถานีจะประกาศเหตุสุดวิสัยด้วยสงสัยว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในสถานีจนต้องใช้เวลาตรวจสอบด้านความปลอดภัยถึงหนึ่งชั่วโมงเต็มก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติได้ก็ตาม


“ตอนนี้ก็ถือว่าพวกเรามาถึงแคนาดาได้อย่างราบรื่นแล้วนี่นา วันนี้ก็เย็นมากแล้ว พักผ่อนก่อนเถอะ แล้วค่อยคิดว่าจะทำอะไรกับวันที่ว่างอยู่อีกหนึ่งวันเต็ม ๆ กันดี”


คีธเก็บมือถือที่เพิ่งเซิร์ทหาโรงแรมใกล้ ๆ นี้ลง สถานที่ต่อไปของพวกเขาคือเมืองเอดสัน แต่กว่ารถไฟเที่ยวต่อไปจะออกก็เป็นวันมะรืนช่วงบ่าย ซึ่งสำหรับแมคเคนซีแล้วมันค่อนข้างช้าเกินไปด้วยซ้ำแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่เร็วไปกว่านี้แล้ว จึงเห็นด้วยกับความคิดของคุณหมอสาว

.


.


.

หลังจากจองห้องพักที่โรงแรมใกล้ ๆ สถานีเรียบร้อย พวกเขาก็ออกมาทานอาหารมื้อเย็นกัน แม้จะอยู่ในช่วงปรากฏการณ์ผิดปกติที่มีกลางวัน 24 ชั่วโมงแต่ภูมิอากาศของแคนาดานั้นหนาวเหน็บกว่าที่อเมริกามากนัก ไม่น่าแปลกใจเลยที่คีธเคยบอกก่อนเดินทางไว้ว่าจะได้เอาเสื้อดาวน์หรือเสื้อขนเป็ดที่เก็บไว้นานกลับมาใช้อีกรอบ


“นั่นอะไร กวางเหรอ”


รูบี้ทักขึ้นมาขณะที่พวกเขาเดินผ่านสวนธอร์นตันซึ่งเป็นอุทยานที่อยู่ตรงข้ามสถานีแปซิฟิกเซ็นทรัลที่เป็นทางกลับไปโรงแรม ร่างเล็กหยุดยืนดูอะไรบางอย่างที่อยู่อีกด้านนึงของสวน


“นั่นคือกวางมูส แต่คนที่นี่เรียกกันว่าเอลก์ ว่ากันว่าเป็นกวางที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ก็แปลกจัง ทำไมถึงมาอยู่ในเมืองแบบนี้นะ”


ข้อนิ้วชี้แตะปลายคางด้วยความสงสัยหลังจากที่ธิดาแห่งฮีบี้แนะนำสัตว์ตัวโตนั้นแบบคร่าว ๆ แม้จะแปลกอย่างที่คีธว่าแต่แมคเคนซีก็นึกไปถึงรายการท่องเที่ยวที่เคยดูเกี่ยวกับเมืองหนึ่งในญี่ปุ่นชื่อว่านาราซึ่งมีกวางมากมายอยู่ในเมืองเช่นกันจนกลายเป็นเหมือนมาสคอร์ตประจำจังหวัด และกวางตัวนี้อาจจะเป็นกรณีเดียวกัน


แต่เดี๋ยวนะ…


ดวงตาสีฮาเซลเขม้นมองอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตาฝาดไปหรือเปล่าที่เห็นกวางเอลก์ตรงหน้ารูปร่างแปลกไป แมคเคนซีจึงหลับตาลงแล้วสะบัดศีรษะ 2-3 ทีก่อนจะลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มันชัดเจนมาก ๆ


“นั่นมัน…มอนสเตอร์ ?”


แชะ !


เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นพร้อมกับแสงแฟลชอัตโนมัติที่สว่างวาบขึ้นมาจากตรงจุดใกล้ ๆ ที่กวาง (?) ตัวนั้นยืนอยู่ ซึ่งแสงแฟลชนั่นคงจะไปเข้าตาเจ้าสัตว์ใหญ่ที่กำลังกินหญ้าเพลิน ๆ พอดีมันจึงสะดุ้งด้วยความตื่นตกใจ


“อ..เอ่อ เดี๋ยวก่อน ใจเย็นนะพวก ฉันไม่ได้จะมาทำร้ายแก ว้ากกก !!”


“เจ้าบ๊าเอ๊ย ฉันบอกแล้วว่าให้นายปิดแฟลชกับเสียงชัตเตอร์ก่อน เหวออออ มาทางนี้แล้ว !”


ชายหนุ่มสองคนตะโกนโวยวายแล้ววิ่งหนีกระเจิงไปคนละทิศละทาง แต่คนหนึ่งคงโชคไม่ดีนักเมื่อดูเหมือนว่าจะตกเป็นเป้าหมายของกวางเอลก์ที่วิ่งเข้าใส่ซะแล้ว


“ช่วยด้วย ๆ พวกนายที่อยู่ตรงนั้นน่ะช่วยที !”


และคงเป็นความโชคไม่ดียิ่งกว่าของเดมิก็อดทั้งสามเมื่อชายคนนั้นเห็นพวกเขาก็วิ่งเข้ามาหาเพื่อขอความช่วยเหลือ ให้ตายสิ พวกเขาเหมือนเจ้าหน้าที่อุทยานหรือหน่วยกู้ภัยนักหรือไง


“บ้องตื้นนัก ! อย่าวิ่งมาทางนี้สิ !”


รูบี้ดุลั่น แต่ด้วยวิทยายุทธที่ฝึกปรือมาอย่างดีทำให้เธอสามารถหลบได้อย่างพริ้วไหวพร้อมกับดึงตัวคีธที่ยืนอยู่ข้างกันให้พ้นทางได้ด้วย แต่น่าเสียดายที่ธิดาแห่งแอรีสไม่มีแรงมากพอที่จะดึงผู้ชายตัวใหญ่อย่างแมคเคนซีไปด้วยได้ในคราวเดียวกัน


“คุณลินคอล์น หลบเร็ว !”


คีธตะโกนบอก แต่แมคเคนซีกลับยืนนิ่งอยู่กับที่ ด้วยยังคงแปลกใจที่เดมิก็อดสาวทั้งสองมองไม่เห็นร่างที่แท้จริงของอสุรกายตัวนี้ หรือเป็นเพราะพลังคุมหมอกที่ทำให้เขาสามารถมองทะลุผ่านมนตร์บังตาได้แม้ว่าพวกอสุรกายจะยังไม่เปิดเผยร่างจริงอย่างนั้นเหรอ


"อุ๊บ !"


แมคเคนซีถึงกับกระเด็นล้มกลิ้งลงไปกับพื้นเมื่อถูกอสุรกายตนนั้นชนเข้าอย่างจัง ยังดีที่เป็นหน้าหนาว พื้นทั่วบริเวณจึงปกคลุมไปด้วยหิมะ และเขาเองก็ไม่ได้รับบาดแผลอะไรมากมายนัก อาจเป็นเพราะผลจากเวทย์ป้องกันที่ยังหลงเหลืออยู่บ้างนั่นเอง


"เป็นกระต่ายที่แรงเยอะชะมัด"


เดมิก็อดหนุ่มพึมพำพลางค่อย ๆ ยันตัวเองขึ้นยืน ใช่…อสุรกายตรงหน้าเขาตอนนี้ไม่ใช่กวางมูสตัวเขื่อง แต่เป็นกระต่ายตัวยักษ์ที่บนหัวมีเขากวางต่างหาก ซึ่งหากไม่นับว่ากำลังตื่นตกใจจนวิ่งเข้าทำร้าย เจ้าขนปุยตัวนี้ก็ดูน่ารักมากทีเดียว


"แจ็คคาโลป ?"


ธิดาแห่งฮีบี้เลิกคิ้วเมื่อเห็นร่างที่แท้จริงของกวางมูสราวกับกำลังติดใจสงสัยอะไรบางอย่าง


“เรามาคุยกันหน่อยไหม ฉันไม่อยากทำร้ายแกนะ เราแยกย้ายกันตรงนี้ก็ได้นี่”


แมคเคนซียกสองมือขึ้นปราม พยายามเจรจากับแจ็คคาโลปอย่างใจเย็น แต่เหมือนจะไม่เป็นผล เจ้ากระต่ายป่าที่มีเขากวางเหมือนจะคลั่งยิ่งกว่าเก่า ดูท่ากลิ่นเดมิก็อดของพวกเขาคงไปกระตุ้นมันเข้า ศีรษะใหญ่ที่มีทั้งหูและเขายาว ๆ เริ่มสะบัดซ้ายขวาไปมาแล้ววิ่งพุ่งชนแมคเคนซีด้วยความเร็วอีกครั้งจนกระเด็นล้มกลิ้งไปกับพื้นนุ่มฟูเย็น ๆ ของหิมะ ซึ่งคราวนี้ค่อนข้างเจ็บและจุกกว่าครั้งแรกมากทีเดียว ดูท่าเวทย์ป้องกันของเขาคงจะเสื่อมลงในอีกไม่นานนี้


“แย่ชะมัด…..”


เดมิก็อดหนุ่มกำมือแน่น ในหัวคิดแต่เพียงว่าที่แจ็คคาโลปทำไปก็เป็นเพราะความตื่นตระหนกและต้องการป้องกันตัว ด้วยรูปร่างหน้าตาที่น่ารักทำให้จนแล้วจนรอดเขาก็ตัดใจใช้อาวุธสัมฤทธิ์สังหารมันด้วยวิธีการที่โหดร้ายไม่ลง ดังนั้นจึงต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง ดวงตาสีฮาเซลค่อย ๆ ปิดลงแล้วตั้งสมาธิ ฉับพลันหมอกหนาก็ก่อตัวขึ้นแล้วโอบล้อมร่างของเจ้ากระต่ายยักษ์เอาไว้จนมันหยุดชะงักอยู่กับที่เนื่องจากมองคู่ต่อสู้ไม่เห็น


“ไม่มีอะไรแล้ว รีบไปกันเถอะ”


แมคเคนซีอาศัยจังหวะนี้พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วรีบไปหาเพื่อนร่วมทีมและคนแปลกหน้าอีกหนึ่งคนเพื่อพากันออกไปจากตรงนั้น แต่ยังไม่ทันได้เริ่มก้าวขาก็รู้สึกเหมือนมีเงาดำขนาดใหญ่พาดอยู่ด้านหลัง


“ศิษย์น้อง ระวัง !”


ฟึ่บ !


หมอกหนาไล่ตามมาห่อหุ้มร่างแจ็คคาโลปที่โดดพุ่งมาทางด้านหลังแมคเคนซีด้วยความเร็วจนห่างกันเพียงไม่กี่เซนต์พร้อมกับเสียงของรูบี้ ก่อนจะบีบอัดร่างของอสุรกายตนนั้นจนสลายเป็นฝุ่นผง ทิ้งไว้เพียงสินสงครามเมื่อกลุ่มควันจางหายไป เดมิก็อดหนุ่มถอนหายใจบาง ๆ ไม่ว่าจะพยายามหลีกเลี่ยงยังไง สุดท้ายแล้วก็ต้องฆ่าอีกจนได้


“เจค ! ฉันมาช่วยแล้ว นายเป็นไงบ้าง เฮ้ กวางเอลก์นั่นหายไปไหนแล้ว”


ชายหนุ่มอีกคนที่วิ่งแยกไปอีกทางในตอนแรกกลับมาพร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจากสถานีรถไฟ 2-3 คน ก่อนจะมีสีหน้างุนงงเมื่อไม่เห็นวี่แววของสัตว์ที่ทำเอาพวกเขาขวัญเสีย


“มันวิ่งเตลิดหนีไปทางนู้นแล้วแน่ะ”


รูบี้บอกแล้วชี้เข้าไปด้านในอุทยาน เจ้าหน้าที่ของทางสถานีจึงขอตัวแยกออกไปเพื่อตามหาต่อ…ซึ่งก็คงจะเจอหรอกนะ


“กวางเอลก์งั้นเหรอ อ้อ ใช่ เมื่อกี้พวกเราถูกกวางเอลก์วิ่งไล่นี่นา พวกคุณช่วยไล่มันไปงั้นเหรอ ขอบคุณมากเลยนะครับ”


ชายหนุ่มนามว่า เจค กลอกตาไปมาราวกับกำลังปะติดปะต่อเหตุการณ์ก่อนหน้า หลังจากที่สรุปได้แล้วก็หันมาขอบคุณแล้วยิ้มให้


“ขอบคุณที่ช่วยน้องชายผมไว้นะครับ ผมเจย์ ยินดีที่ได้รู้จัก”


ชายอีกคนแนะนำตัวขึ้นมา พวกเขาทั้งสามคนจึงแนะนำตัวกลับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท


“ส่วนผมเจคครับ ถ้ามีอะไรที่เราพอจะช่วยได้ก็บอกได้เลยนะ”


“ตอนนี้คงไม่มีหรอก แค่ช่วยอย่าเข้าใกล้สัตว์ที่ดูอันตรายอีกก็พอ”


รูบี้กอดอกบอกแล้วเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อย เธอน่าจะยังไม่ค่อยพอใจอยู่ที่เจควิ่งมาทางนี้ ซึ่งเจคก็เพียงแค่ยิ้มเจื่อนตอบเหมือนเดิมเท่านั้น


"ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวก่อน ถ้ามีโอกาสคงได้พบกันอีก"


เมื่อบอกลากันเรียบร้อยแล้ว พวกแมคเคนซีก็แยกตัวออกมา แต่เดินได้ไม่ถึงสามก้าวก็ต้องหยุดชะงักลงราวกับของเล่นที่ถ่านหมด มีเพียงสายตาสามคู่ที่จ้องมองกันเงียบ ๆ อย่างรู้กันเมื่อได้ฟังการสนทนาทางโทรศัพท์


"ครับพ่อ ผมขับรถมารับเจคแล้วแต่วันนี้ยังกลับไม่ได้ เมื่อเย็นข่าวพยากรณ์อากาศบอกว่าแถวเบอร์นาบีจะมีพายุหิมะจนเกือบถึงเช้า ผมเลยว่าจะออกเดินทางกันพรุ่งนี้ แล้วที่บ้านเป็นยังไงบ้างครับ มีพายุหิมะไหม…โอเค ค่อยยังชั่ว ถ้างั้นพรุ่งนี้ผมจะออกเดินทางแต่เช้า คงถึงฮินตันช่วงเย็น…ครับพ่อ แล้วพบกันครับ หืม…อ้าว พวกคุณ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า"


เจย์ถามด้วยความสงสัยหลังจากวางสายและเห็นกลุ่มที่น่าจะเรียกได้ว่า ‘เพื่อนใหม่’ เดินกลับมาหา


“ต้องขอโทษด้วยที่เสียมารยาท แต่เราได้ยินคุณบอกว่าจะไปฮินตันใช่ไหม”


คีธเปิดบทสนทนาเข้าเรื่องอย่างไม่อ้อมค้อมด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่นุ่มนวล


“อื้ม ใช่ ผมกับเจคกำลังจะกลับบ้านที่ฮินตันแต่คืนนี้พายุหิมะเข้าเลยยังเดินทางไม่ได้ต้องเลื่อนเป็นช่วงเช้าพรุ่งนี้ เฮ้อ ช่วงหน้าหนาวก็แบบนี้แหละ หิมะตกก็เยอะ การจราจรติดขัดไปหมด”


เจย์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะนึกขึ้นได้เลยถามอีกครั้ง “ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”


“เอ่อ…คือพวกเรากำลังจะเดินทางไปทำธุระที่เอดสัน มันค่อนข้างเร่งด่วน แต่รถไฟขบวนที่เร็วที่สุดจะออกวันมะรืนนี้ เป็นไปได้ไหมถ้า…พวกเราจะขอติดรถคุณไปที่ฮินตัน”


แมคเคนซีถามอย่างระมัดระวัง โดยเลี่ยงบอกเรื่องการทำภารกิจ แน่ล่ะสิ บอกคนธรรมดาไป ใครมันจะเชื่อ


“โอ้ ได้สิ เอดสันก็อยู่ใกล้ ๆ ฮินตันนี่เอง แต่อาจจะนั่งเบียดกันหน่อยนะ พวกคุณโอเคไหม”


ถือว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่งที่สองพี่น้องตอบตกลง พวกเขาจึงนัดแนะเวลาและสถานที่เพื่อมาพบกันในวันรุ่งขึ้น

.


.


.

"ยังไม่นอนเหรอคีธ"


แมคเคนซีถามหลังออกมาจากห้องน้ำแล้วเห็นคุณหมอสาวยังนั่งเอนหลังพิงหัวเตียงฟังพอดแคสอยู่ ห้องพักของโรงแรมนี้เล็กจนแทบไม่มีที่เดิน แค่วางเตียงเสริมของแมคเคนซีเพิ่มเข้าไปพวกเขาก็แทบเดินกันบนเตียงแทนที่จะเดินพื้นแล้ว


"อืม…ยังไม่ค่อยง่วง แต่เดี๋ยวก็นอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องเดินทางกันแต่เช้า"


คีธถอดหูฟังออกข้างนึงแล้วส่งยิ้มให้บาง ๆ แต่ดวงตายังคงฉายแววกังวลอะไรบางอย่าง ซึ่งแมคเคนซีเองก็สังเกตได้ ชายหนุ่มจึงมานั่งลงที่เตียงของตนเอง ผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่าพร้อมจะรับฟัง


"เรื่องที่พวกเราเจอวันนี้…ฉันว่ามีบางอย่างแปลก ๆ"


คีธเงียบเพื่อเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อ


“ปกติแจ็คคาโลปไม่น่าจะตัวใหญ่ขนาดนี้จนคนทั่วไปรวมทั้งพวกเรามองเห็นเป็นกวางมูส แล้วก็จากลักษณะนิสัยแล้วไม่น่าจะมาโผล่กลางเมืองแบบนี้ด้วย…”


“…….แล้วคุณคิดว่ายังไง”


แมคเคนซีพยายามคิดตาม แต่เนื่องจากเขาเพิ่งเคยเห็นแจ็คคาโลปเป็นครั้งแรกจึงไม่รู้ว่าในสายตาคนทั่วไปจะเห็นแจ็คคาโลปเป็นตัวอะไรและขนาดตัวที่แท้จริงเป็นอย่างไร ก็อย่างว่า ขนาดสิงโตนีเมียนที่ตัวโตเต็มวัยยังตัวเบ้อเร่อ ถ้ามีกระต่ายไซส์ยักษ์ด้วยก็คงไม่แปลกอะไร


“จากที่คุณเล่าเรื่องแม่มดดำและเอ็มพูซาที่เจอมาก่อนหน้านี้…เป็นไปได้ไหมว่าพวกเราอาจโดนถ่วงเวลา แจ็คคาโลปตัวนี้อาจโดนเวทมนตร์จากใครที่ใช้เวทย์ได้สักคน ถ้าทุกอย่างเชื่อมโยงกัน…พวกเราคงต้องระวังตัวมากขึ้น”


“…………”


เดมิก็อดหนุ่มถึงกับเงียบไปเมื่อได้ฟังข้อสันนิษฐานนั้น ที่คีธพูดมาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ยิ่งตอนนี้พวกเขามาถึงแคนาดาแล้ว ก็เท่ากับว่ายิ่งเข้าใกล้องค์กรลับนั้นมากขึ้น หากเอ็มพูซาที่หนีรอดไปได้ในตอนนั้นไปแจ้งข่าวสำเร็จ นั่นแปลว่าตอนนี้เรื่องของพวกเขาคงถึงหูองค์กรลับแล้ว จากนี้ไปการเดินทางอาจไม่เรียบง่ายเหมือนแต่ก่อน


“อย่าเพิ่งกังวลไปเลย ตอนนี้เราควรพักผ่อนเอาแรงกันก่อน ดูคุณซูกับแอนดี้สิ หลับสนิทเชียว”


ดวงตาสีนิลเหลือบแซฟไฟร์ของคีธวาววับเมื่อสะท้อนกับแสงโคมไฟสีนวลเมื่อเหลือบมองไปยังธิดาแอรีสที่กำลังหลับสบายอยู่บนเตียงที่มุมห้อง ส่วนแมคเคนซีเองก็มองลูกก็อบลินที่นอนซุกผ้าพันคอที่เขาซื้อให้ตรงมุมหนึ่งของปลายเตียง วันนี้เจ้าตัวเล็กดูหงอยไปนิดหน่อยเพราะเขาให้อยู่แต่ในห้องของโรงแรม แต่เมื่อเขากลับมาพร้อมกับขนมปังของโปรด แอนดี้ก็กลับมาร่าเริงและกินเสียจนพุงกางก่อนจะผล็อยหลับไป


“อืม…หวังว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันที่ดี ราตรีสวัสดิ์คีธ”


แมคเคนซียิ้มเล็กน้อย กล่าวราตรีสวัสดิ์ธิดาฮีบี้ที่ใส่เอียร์บัดฟังพอดแคสต่อ ก่อนจะเอนตัวลงนอนดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเองและลูกก็อบลิน ก่อนนอนก็ไม่ลืมที่จะหยิบมือถือมาส่งข้อความ


Mackenzie   ที่รัก ฉันมาถึงแวนคูเวอร์แล้ว ที่นี่อากาศหนาวมาก

Mackenzie   หิมะขาวโพลนเต็มไปหมด เห็นแบบนี้แล้วนายอยากปั้นสโนว์แมนไหม

Mackenzie   Send picture

Mackenzie   แล้วนายเป็นไงบ้าง หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นดี

Mackenzie   คิดถึงนายชะมัด…

Mackenzie   ฉันนอนก่อนนะ ราตรีสวัสดิ์




สรุปสถานการณ์

-มาถึงแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา

-ใช้คาถาป้องกันขั้นสูง

POW 80 (ใช้พลังได้ 2 โพสต์) :  ใช้ครั้งที่ 2 (ครบแล้ว)



ตื่นรู้ +2   จากการพิชิต แจ็คคาโลป เป็นครั้งแรก

สินสงคราม [LUK 60+]  : เขี้ยวแจ็คคาโลป 3

✿ Elli

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 136035 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-3-15 14:44
โพสต์ 136,035 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Hydro X  โพสต์ 2025-3-15 14:44
โพสต์ 136,035 ไบต์และได้รับ +20 EXP +35 ความกล้า +40 ความศรัทธา จาก เวทมนต์ [II]  โพสต์ 2025-3-15 14:44
โพสต์ 136,035 ไบต์และได้รับ +15 EXP +25 เกียรติยศ +25 ความศรัทธา จาก คบเพลิงเวท  โพสต์ 2025-3-15 14:44
โพสต์ 136,035 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 ความศรัทธา จาก ศาสตร์การปรุงยา  โพสต์ 2025-3-15 14:44

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส
น้ำหอมเฮคาที
เหรียญนกฮูก
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x7
x10
x10
x7
x2
x9
x6
x4
x3
x70
x4
x10
x6
x12
x6
x18
x3
x55
x9
x189
x14
x14
x12
x45
x18
x5
x5
x5
x2
x5
x2
x11
x20
x10
x10
x2
x2
x2
x4
x1
x3
x12
x6
x2
x5
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x13
x2
x4
x4
x2
x1
x16
x145
x192
x10
x6
x10
x10
x16
x55
x80
x1
x1
x1
x4
x3
x1
x1
x1
x1
x5
โพสต์ 2025-3-21 01:48:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-3 00:20

 
Page VI


-22.01.25 / 08:45AM.-


วันรุ่งขึ้น ทีมเดินทางล่าแสงเหนือ (?) เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแต่เช้าแล้วไปทานมื้อเช้ารวมถึงซื้อสเบียงทั้งของกินและของใช้เตรียมไว้ในยามจำเป็น จากนั้นก็มารอสองพี่น้องชาวแคนาเดียนที่นัดไว้เมื่อวานตรงหน้าสถานีแปซิฟิกเซ็นทรัล เพียงไม่นาน รถแฮทช์แบ็คสีบรอนซ์เงินก็มาถึง


“อรุณสวัสดิ์ รอกันนานหรือเปล่า”


เจย์ที่ลงมาจากตำแหน่งที่นั่งคนขับทักทายพวกเขาอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับยิ้มให้ด้วยความเป็นมิตรเมื่อพวกแมคเคนซีกล่าวอรุณสวัสดิ์ตอบ


“เอากระเป๋ามาวางไว้ด้านหลังนี่สิ จะได้นั่งกันสบายหน่อย”


จากนั้นเจย์ก็ไปเปิดประตูท้ายรถที่ด้านในมีกระเป๋าเดินทางของสองพี่น้องวางไว้อยู่ก่อนแล้ว เมื่อรวมกระเป๋าเสื้อผ้าและสัมภาระของพวกเขาทั้งสามคนเข้าไป พื้นที่ท้ายรถก็แน่นไปทันตา แมคเคนซีย้ายแอนดี้ให้มาอยู่ในกระเป๋าคาดอก ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็ดูดีใจไม่น้อยที่จะไม่ถูกปล่อยทิ้งให้อยู่ในกระเป๋าสัมภาระที่ท้ายรถเพียงตัวเดียว ลูกก็อบลินโผล่หน้าออกมาจากช่องใส่ของแล้วร้อง “กี้ !” อย่างอารมณ์ดี


“โอ๊ะ คุณแมคเคนซีเลี้ยงชินชิลล่าด้วยเหรอฮะ น่ารักจังนะครับ”


เจคที่นั่งอยู่ตรงด้านข้างคนขับหันมามองด้วยความสนใจหลังจากได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของแอนดี้จากเบาะหลังภายหลังจากที่รถเริ่มออกได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินเสียง ‘กี้’ เป็นเสียง ‘จี๊ด’ หรือเปล่า แต่ลูกก็อบลินก็ร้อง “กี้~” เสียงใสตอบกลับอีกรอบ


“ก็…อืม น่ารักดี กินเก่งด้วย”


แมคเคนซีหลุบตาลงมองเจ้าตัวเขียวในกระเป๋าคาดอก แอนดี้กลายมาเป็นสมาชิกคนที่สี่ของทีมได้สามวันแล้ว แม้ในคราแรกจะรู้สึกขยาดไม่น้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนถูกฝูงก็อบลินในเมืองปารีสรุมทุบตีจนเอาชีวิตแทบไม่รอดหากไม่ได้ดีนช่วยไว้ แต่เจ้าตัวเล็กต่างจากก็อบลินทั่วไปที่เขาเคยพบมาก่อน อาจเพราะยังเป็นเด็กอยู่มันจึงยังต่อสู้ไม่เป็น นอกจากจะไม่ใช้อาวุธแล้วก็ยังค่อนข้างติดคนและขี้เหงา ทั้งยังรักการกินเป็นชีวิตจิตใจ สิ่งที่แอนดี้โปรดปรานก็คือขนมปังนุ่ม ๆ พอกินอิ่มแล้วก็จะหลับไม่ต่างอะไรจากเด็กวัยกำลังโต จนแมคเคนซีสังเกตเห็นได้ชัดว่าเจ้าก็อบลินน้อยเริ่มมีเนื้อหนังขึ้นมานิดหน่อยหลังอยู่กับเขาเพียงไม่กี่วัน


“ผมก็เคยอยากเลี้ยงสัตว์เล็ก ๆ นะครับ แต่ติดเรียนกับทำพาร์ทไทม์ เลยไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่”


เจคพูดไปเรื่อยแต่สายตาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ ‘ชินชิลล่าตัวกลม’ ที่ตอนนี้กำลังมองวิวนอกกระจกทางซ้ายทีขวาทีด้วยดวงตาแป๋วแหวว จากที่ได้พูดคุยทำความรู้จักกันทำให้รู้ว่าเจคเรียนไฮสคูลควบคู่กับทำพาร์ทไทม์อยู่ที่แวนคูเวอร์ ส่วนเจย์ผู้เป็นพี่ชายทำงานอยู่ที่เมืองใกล้ ๆ ช่วงนี้เป็นช่วงที่เจคปิดภาคเรียนและลางานได้พอดี เจย์จึงลาหยุดวันที่ตรงกันแล้วขับรถมารับน้องชายเพื่อกลับไปหาพ่อแม่ที่ฮินตันซึ่งเป็นบ้านเกิดของทั้งคู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์


“ลองจับดูไหม แอนดี้ไม่กัดหรอก”


ไม่ว่าเปล่า แมคเคนซียังเปิดกระเป๋าอุ้มแอนดี้ออกมาแล้วส่งให้เจคที่ถามว่า “จะดีเหรอครับ” หน้าตาตื่น แต่ก็รับแอนดี้ที่ร้อง “กี้ ! กี้~” ไป


“โอ้โห อ้วนขนาดนี้เชียว ตอนเห็นแค่หัวผมนึกว่าตัวเล็กกว่านี้ ไงแอนดี้ กินเก่งล่ะสิเรา ขนนุ่มมากเลยนะเนี่ย”


เจคเกลี่ยนิ้วกับหัวแอนดี้ด้วยรอยยิ้ม ในสายตามนุษย์ทั่วไปแอนดี้คงเป็นหนูชินชิลล่าตัวอวบอ้วนขนนุ่มฟู แต่สำหรับเดมิก็อดทั้งสาม ภาพตรงหน้าของพวกเขาตอนนี้คือชายหนุ่มที่กำลังเล่นกับลูกก็อบลินตัวเขียวไร้ขน จนคีธต้องตีหลังมือรูบี้ที่เผลอหลุดขำคิกคักออกมาเบา ๆ และแมคเคนซีเองก็ต้องเม้มปากกลั้นยิ้มทำทีเป็นมองออกไปนอกหน้าต่างเมื่อเจคเอาแก้มถูไถไปกับพุงเขียว ๆ กลม ๆ ของเจ้าก็อบลินน้อยที่ร้อง “กี้ ๆ !” ด้วยความจั๊กจี้

.


.


.

-02:00PM.-


หลังจากขับรถยิงยาวมากว่าสี่ชั่วโมงก็ได้เวลาจอดพักกันเสียที พวกเขาแวะเติมน้ำมัน ทานมื้อเที่ยงที่เลยเวลามานิดหน่อยและเข้าห้องน้ำที่ปั๊มน้ำมันแถวเฮฟฟลีย์ครีก ใช้เวลาเดินยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะเริ่มออกเดินทางไกลต่อ


“อะไรเหรอหมอคีธ”


รูบี้ที่นั่งอยู่ตรงกลางถามคีธที่หันมองกระจกด้านหลังรถเป็นระยะด้วยสีหน้าสงสัย ปกติคุณหมอสาวมักจะใช้เวลานั่งรถไปกับการฟังพอดแคสเสียส่วนใหญ่ ท่าทางเช่นนี้จึงดูแปลกตาไม่น้อย


“จะว่ายังไงดี ฉันคิดว่า…มีคนกำลังตามพวกเรามา”


คีธหันกลับมาบอกด้วยท่าทีนิ่ง ๆ ราวกับกำลังพูดคุยเรื่องทั่วไป ผิดกับคนอื่นที่ตอนนี้พร้อมใจหันไปมองที่ด้านหลังรถกันหมด


“รถคันนั้นเอง เหมือนผมจะเห็นตั้งแต่อยู่ในปั๊มน้ำมันแล้ว เป็นไปได้ไหมที่เขาจะแค่ขับมาทางเดียวกันกับเรา”


เจย์มองผ่านกระจกมองหลังแล้วขับรถไปเรื่อย ๆ รถออฟโรดคันหนึ่งกำลังขับตามหลังมาไม่ห่างมากนัก หากมองจากสายตาคนขับรถแล้ว ระยะเท่านี้ก็ยังถือว่าปกติอยู่


“……ฉันอาจระแวงไปเองก็ได้”


คีธพรูลมหายใจยาวแล้วเอนหลังพิงเบาะ ปรับท่านั่งให้ผ่อนคลายมากขึ้นก่อนจะหลับตาลงแล้วฟังพอดแคสต่อ แมคเคนซีที่นั่งอยู่ตรงริมกระจกด้านหลังคนขับเหลือบมองธิดาฮีบี้เล็กน้อยแล้วนึกไปถึงเรื่องที่พวกเขาสนทนากันเมื่อคืน คีธไม่ได้ระแวง แต่กำลังระวังตัวอยู่ต่างหาก ซึ่งเขาเองก็เข้าใจและเห็นด้วยว่าไม่ควรประมาท แต่ระบบฮีทเตอร์ในรถก็ทำให้รู้สึกอุ่นสบาย แม้จะพยายามครองสติไว้แค่ไหนก็ต้านทานความง่วงไว้ไม่ไหวจนผล็อยหลับไปในที่สุด

.


.


.

-04:30PM.-


“ศิษย์น้อง ตื่นก่อน”


รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รูบี้เขย่าแขนปลุกพร้อมกับเสียง “กี้ กี้” ของแอนดี้ พอลืมตาขึ้นก็เห็นลูกก็อบลินมองหน้าเขาตาแป๋ว


“ถึงแล้วเหรอ…”


แมคเคนซียกมือปิดปากหาวเมื่อพบว่ารถจอดสนิท แต่เมื่อมองออกไปด้านนอกกลับเห็นแต่หิมะขาวโพลนสองข้างทาง ไม่มีบ้านคนแม้สักหลัง


“เจอด่านน่ะ คุณเจย์กำลังลงไปคุยอยู่”


คีธบอกทั้งที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่เจย์ซึ่งกำลังคุยกับเจ้าหน้าที่ที่แต่งกายคล้ายทหารสองคนด้านหน้ารถ


“ช่างแปลกยิ่งนัก ว่าอย่างนั้นหรือไม่”


รูบี้มุ่นคิ้วเล็กน้อย เหมือนเธอจะเริ่มจับสังเกตบางอย่างได้เช่นกัน หลังจากเฝ้ารอเงียบ ๆ สักพัก เจย์ก็เดินกลับมาพร้อมเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่มาเคาะกระจกหน้าต่างรถด้านที่แมคเคนซีนั่งอยู่จนเขาต้องลดกระจกลงอย่างเลี่ยงไม่ได้


“มีรายงานมาว่าพวกคุณนำสินค้าผิดกฎหมายเข้ามาในประเทศ เราจำเป็นต้องตรวจค้น รบกวนพวกคุณช่วยลงจากรถด้วย”


“หา ? สินค้าผิดกฎหมายอะไร ต้องเข้าใจผิดกันแน่ ๆ พวกผมไม่มีของแบบนั้นหรอก”


แมคเคนซีขมวดคิ้วจนหน้ายุ่ง มั่นใจมากว่าทั้งเขาและเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนไม่ได้พกอะไรผิดกฎหมาย (ยกเว้นอาวุธสัมฤทธิ์ต่าง ๆ ที่ถูกมนตร์บังตาทำให้เห็นเป็นอย่างอื่น)


“ช่วยให้ความร่วมมือกับทางเราด้วย”


เจ้าหน้าที่คนเดิมยังคงยืนยันด้วยน้ำเสียงห้วนราวกับไม่ได้ฟังสิ่งที่เดมิก็อดหนุ่มพูดแม้แต่น้อย


“ลงไปก่อนเถอะ ทางนั้นคงไม่ยอมง่าย ๆ”


คีธบอกเสียงเบาให้พอได้ยินกันภายในรถ ทั้งสามคนมองหน้ากันแล้วจึงเปิดประตูรถลงมายืนท่ามกลางความหนาวเหน็บอุณหภูมิติดลบ


“ช่วยเปิดท้ายรถด้วย”


ประโยคขอร้องเชิงสั่งดังมาจากเจ้าหน้าที่อีกคน เจย์เดินไปที่ท้ายรถ แมคเคนซีเห็นดังนั้นจึงเดินตามไปทำทีเป็นว่าจะไปช่วย


“ที่เจ้าหน้าที่พวกนั้นพูดจริงไหม”


เจย์ถามเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคนระหว่างเปิดประตูท้ายรถ


“ไม่ พวกเราไม่ได้ทำแบบนั้น คุณต้องเชื่อผม”


แมคเคนซีตอบอย่างหนักแน่นแล้วมองเจย์ที่มองตอบกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง พอดีกันกับที่เจ้าหน้าที่ทั้งสองเดินมา พวกเขาจึงไม่ได้คุยอะไรกันมากกว่านั้น


“คุณทั้งสามคนเอาสัมภาระของพวกคุณลงมา ส่วนคุณไปได้แล้ว”


“หืม แล้วไม่ตรวจค้นดูก่อนเหรอครับว่ามีของผิดกฎหมายที่ว่าจริงหรือเปล่า”


เจคถามด้วยความประหลาดใจหลังลงจากรถตามมา มองเจ้าหน้าที่ทีสลับกับพวกแมคเคนซีทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น


“ไม่จำเป็น รีบไปได้แล้ว ถ้าไม่อยากเดือดร้อน”


ดวงตาที่ดุดันไม่แพ้น้ำเสียงหันขวับไปจ้องเจคจนชายหนุ่มถึงกับชะงัก พร้อมกับรถที่ชะลอมาจอดอีกคัน ซึ่งเป็นรถที่พวกเขาจำได้ในทันที


รถออฟโร้ดที่ขับตามพวกเขามาตลอดทาง


“ขึ้นรถไปกับพวกเราด้วย เราจะพาพวกคุณไปสอบสวน”


เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบชุดเดียวกันลงมาจากรถคันนั้น ที่คีธสงสัยก่อนหน้าว่าคนกลุ่มนี้ตามพวกเขามาไม่ผิดจากที่คิดจริง ๆ


“ต้องขอโทษด้วย พวกเราไม่ได้คิดจะขัดขืนหรือหลบหนี แต่พวกเราเองก็มั่นใจว่าไม่ได้พกพาของผิดกฎหมายเช่นกัน ถ้ายังไงฉันรบกวนขอดูหมายจับหรือเอกสารอะไรสักอย่างได้ไหม หรือไม่ก็…บัตรเจ้าหน้าที่ของพวกคุณ”


คีธกอดอกแล้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งกว่าปกติ และแน่นอนว่าท่าทางมีพิรุธของเจ้าหน้าที่กลุ่มนั้นก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาของเดมิก็อดทั้งสามได้


“ฉันเคยได้ยินว่าตำรวจต้องเป็นผู้ดำเนินการคดีพวกนี้ ไม่ยักรู้เลยว่าที่แคนาดาให้ทหารมาปฏิบัติหน้าที่แทน”


รูบี้เสริมขึ้นมาอีกคน ดวงตาทรงอัลมอนด์หรี่มองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างจับผิด


“โอ๊ะ ไม่นะไม่ใช่ ที่แคนาดาก็มีตำรวจเหมือนกัน จริงด้วย แล้วทำไมทหารถึงมาทำอะไรแบบนี้ล่ะ”


จะด้วยความเป็นพลเมืองชาวคานาเดียนดีเด่นอะไรก็ตามแต่ เจครีบโพล่งแก้ต่างให้ประเทศของตนเองทันที และพอถูกกลุ่มเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบทหารพวกนั้นจ้องเขม็งราวกับจะบอกว่าให้หุบปาก ชายหนุ่มก็รีบยกสองมือขึ้นปิดปากตัวเองทันที


“แผนแตกแล้ว จัดการให้มันจบ ๆ ไป อย่ามามัวเสียเวลาเลยดีกว่า มานี่ !”


ทหาร (ที่ตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าทหารเก๊) คนหนึ่งคว้าข้อมือคีธแล้วออกแรงดึงเธอไปที่รถ แต่ยังไม่ทันได้เริ่มเดิน ก็ถูกฝ่าเท้าพิฆาตของรูบี้กระโดดถีบเข้าที่ชายโครงจนล้มตึงไปกับพื้นซะก่อน นี่แหละนะที่เขาเรียกว่า ‘เปิดก่อนได้เปรียบ’


“หมอคีธไปหลบก่อน ทางนี้ฉันกับศิษย์น้องจัดการเอง !”


รูบี้หันไปบอกธิดาฮีบี้ที่ไม่ถนัดด้านการต่อสู้ สองพี่น้องชาวแคนาเดียนรีบวิ่งมาช่วยกันพาเธอเข้าไปหลบในรถ ตอนนี้เหลือเพียงแค่ธิดาเทพแห่งการรบและบุตรแห่งเทพีแห่งเวทมนตร์ที่ยืนประจันหน้ากับศัตรูเท่านั้น


“สอง..สาม…ห้าคนงั้นเหรอ เธอไหวไหมรูบี้”


แมคเคนซีประเมินจำนวนคู่ต่อสู้แล้วหันมาถามเพื่อนร่วมทีมร่างเล็ก


“จำนวนเท่านี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ฉันด้วยซ้ำ”


รูบี้ที่ตั้งท่าเตรียมพร้อมตามแบบศิลปะการต่อสู้วูซูที่ร่ำเรียนมาส่งเสียง “ฮึ !” ขึ้นจมูก ท่าทางแบบนั้นทำให้แมคเคนซียิ้มเล็ก ๆ ออกมาตรงมุมปาก


“งั้นฉันขอถามอีกคำถาม คนพวกนี้คือคนธรรมดา ไม่ใช่มอนสเตอร์ใช่ไหม”


เขารู้ว่ามันอาจเป็นคำถามที่ดูงี่เง่า แต่เขาก็เพียงแค่ต้องการคำยืนยันเพื่อจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง


“แหงน่ะสิ ถามบ้าอะไรของแก”


หนึ่งในคนชุดเครื่องแบบทหารที่ล้อมพวกเขาอยู่ตอบขึ้นมาแทน ริมฝีปากที่แสยะยิ้มนั้นราวกับกำลังขบขันคำพูดของแมคเคนซีเสียเต็มประดา


“งั้นก็เยี่ยมเลย…”


เหมือนได้ฟังคำตอบที่รอคอย กระบอกซูมสะพายหลังที่ใช้เก็บคทาเวทย์ถูกถอดออกไปวางไว้ที่ท้ายรถ ตามด้วยกระเป๋าคาดอกที่ถูกเหวี่ยงตามไปพร้อมกับเสียงร้อง “กี้——!!” ของแอนดี้ และหมัดของแมคเคนซีที่ลอยเข้าไปปะทะใบหน้าของเจ้าหน้าที่คนที่ตอบคำถามเขาเมื่อกี้ทันที


แน่นอน…เปิดก่อนได้เปรียบ


“หนอย คิดจะสู้งั้นเรอะ ! จัดการพวกมัน !”


หนึ่งในคนกลุ่มนั้นตะโกนขึ้นมา แล้วการต่อสู้แบบคนธรรมดาก็เริ่มขึ้น รูบี้ใช้ความพริ้วไหวและทักษะการต่อสู้วูซูของเธอจัดการเจ้าหน้าที่สองคนได้อย่างรวดเร็วและว่องไว เรียกได้ว่าแทบไม่มีใครสัมผัสแม้แต่ปลายเส้นผมของเธอได้ด้วยซ้ำ ส่วนแมคเคนซีก็อาศัยใช้ทักษะศิลปะป้องกันตัวพื้นฐานที่เคยร่ำเรียนมาผสมผสานกับประสบการณ์การชกต่อยเมื่อสมัยเรียนไฮสคูลตามนิสัยวัยรุ่นเลือดร้อนต่อยตีกลุ่มคนที่เหลือแบบสู้ยิบตา ยอมรับว่าเรื่องการใช้อาวุธและการใช้เวทย์ของตนเองอาจจะยังไม่เก่งนัก แต่เรื่องการต่อสู้แบบการใช้ร่างกายเข้าปะทะนั้นเขาไม่เป็นรองใครแน่นอน แม้จะได้แผลมาบ้างประปราย แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปซะแล้ว


“พวกคุณรีบขึ้นรถเร็ว !”


เสียงเจย์ตะโกนดังมาจากภายในรถ พอหันไปมองก็เห็นว่ารถสตาร์ทไว้เตรียมพร้อมแล้ว 


“ไปกันเถอะศิษย์น้อง”


รูบี้หันมาบอกแล้วสับหลังคอทหารคนหนึ่งจนสลบไป แมคเคนซีตอบรับเพียงแค่ “อืม…” แล้วชกเข้าหน้าทหารคนที่ตนกำคอเสื้ออยู่ไปอีกหมัดแล้วปล่อยให้ร่างสูงใหญ่นั้นร่วงลงไปนอนกองกับพื้น เดมิก็อดทั้งสองรีบวิ่งไปขึ้นรถที่ขับออกไปด้วยความเร็ว ทิ้งให้ทหารกลุ่มนั้นนอมจมกองหิมะท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็นในปลายเดือนมกราคม โดยมีจุดมุ่งหมายไปยังเมืองฮินตัน




สรุปสถานการณ์

-ออกเดินทางจากแวนคูเวอร์ไปฮินตัน โดยอาศัยรถของพลเมือง

-ปะทะกลุ่มทหารขององค์กรระหว่างทาง

-เดินทางต่อไปยังฮินตัน



✿ Elli

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 118826 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-3-21 01:48
โพสต์ 118,826 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Hydro X  โพสต์ 2025-3-21 01:48
โพสต์ 118,826 ไบต์และได้รับ +20 EXP +35 ความกล้า +40 ความศรัทธา จาก เวทมนต์ [II]  โพสต์ 2025-3-21 01:48
โพสต์ 118,826 ไบต์และได้รับ +15 EXP +25 เกียรติยศ +25 ความศรัทธา จาก คบเพลิงเวท  โพสต์ 2025-3-21 01:48
โพสต์ 118,826 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 ความศรัทธา จาก ศาสตร์การปรุงยา  โพสต์ 2025-3-21 01:48
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส
น้ำหอมเฮคาที
เหรียญนกฮูก
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x7
x10
x10
x7
x2
x9
x6
x4
x3
x70
x4
x10
x6
x12
x6
x18
x3
x55
x9
x189
x14
x14
x12
x45
x18
x5
x5
x5
x2
x5
x2
x11
x20
x10
x10
x2
x2
x2
x4
x1
x3
x12
x6
x2
x5
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x13
x2
x4
x4
x2
x1
x16
x145
x192
x10
x6
x10
x10
x16
x55
x80
x1
x1
x1
x4
x3
x1
x1
x1
x1
x5
โพสต์ 2025-3-22 16:30:33 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-3 00:18

 
 Page VII

-22.01.25 / 05:23PM.-


หลังการปะทะกับกลุ่มทหารไม่ทราบหน่วย รถแฮทช์แบ็คสีบรอนซ์เงินก็ขับมุ่งหน้าไปยังเมืองฮินตันต่อ


“ทหารพวกนั้นมาจากไหนกัน น่ากลัวชะมัดเลย”


เจคโอดครวญกับสิ่งที่เพิ่งพบเจอมา เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่จึงทำให้ชายหนุ่มเริ่มมองกระจกมองข้างด้วยความระแวงมากขึ้น


“อาจเป็นพวกโจรดักปล้นตามทางก็ได้ เดี๋ยวนี้ยิ่งสรรหาวิธีการแปลก ๆ อยู่ด้วย มันคงเล็งพวกคุณตั้งแต่ตรงปั๊มน้ำมันอย่างที่คุณคีธบอกแล้วล่ะ”


ในเมื่อไม่อาจสรรหาเหตุผลความเป็นไปได้ใด ๆ มากไปกว่านี้ เจย์จึงสรุปไปอย่างนั้น มือที่กำพวงมาลัยขับรถยังคงชื้นเหงื่อตรงกันข้ามกับอากาศหนาวเย็นภายนอก


“แย่เหมือนกันนะ แบบนี้คงไม่ปลอดภัยสำหรับคนใช้ถนนเส้นนี้แล้ว…เจ็บมากไหมคุณลินคอล์น"


คีธทำเป็นพูดตามน้ำไปกับเจ้าของรถก่อนจะเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว ตอนนี้คุณหมอสาวเปลี่ยนตำแหน่งมานั่งตรงกลาง จึงสามารถตรวจดูอาการและทำแผลให้เพื่อนร่วมทีมทั้งสองที่เพิ่งผ่านการต่อสู้มาหมาด ๆ ได้อย่างสะดวก


จะบอกว่าไม่เจ็บก็คงโกหกเกินไป…ไม่นึกว่ากล่องปฐมพยาบาลของคุณจะได้ใช้งานเร็วขนาดนี้


แมคเคนซีพูดติดตลกขณะนั่งเป็นเด็กดีให้คีธใช้สำลีชุบน้ำเกลือทำความสะอาดแผลตรงโหนกแก้มให้ ทหารพวกนั้นแข็งแกร่งไม่น้อย ฝีมือการต่อสู้จัดได้ว่ามีชั้นเชิงมากกว่าพวกเด็กเกเร นักเลงหรือพวกโจรข้างถนนที่เขาเคยเจอ ดังนั้นนอกจากจะใช้พละกำลังในการเข้าสู้แล้วก็ต้องใช้ไหวพริบร่วมด้วย ไม่เช่นนั้นคนที่ลงไปนอนกองกับพื้นคงไม่พ้นตัวเขาเอง แต่ถึงจะเอาชนะและหนีกันมาได้ก็ได้แผลไปไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว โหนกแก้ม และปากที่ถูกต่อยจนแตก ตามเนื้อตัวก็ยังรู้สึกปวดระบมไปหมด ตอนนี้สภาพเขาคงดูไม่จืดแน่ ๆ


ก็ยังดีที่แผลไม่ใหญ่มาก ฉันเลยยังไม่ต้องโชว์สกิลเย็บแผลตอนนี้


ธิดาฮีบี้บอกพลางติดพลาสเตอร์ให้ ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนแล้วกล่าวขอบคุณ ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากเจ็บตัวไปมากกว่านี้ เขาคงไม่กล้าเซลฟี่หน้าตัวเองให้ดีนเห็นไปอีกหลายวันจนกว่าแผลจะหายดี


“อีกประมาณสามชั่วโมงกว่าจะถึงฮินตัน ถ้าพวกคุณรู้สึกไม่โอเคบอกผมได้ทุกเมื่อนะ ผมจะพาไปโรงพยาบาลก่อน”


เจย์บอกพลางมองพวกเขาผ่านกระจกมองหลังก่อนจะพูดต่อ


“คุณแมคเคนซีเจ็บตัวแบบนี้พวกคุณคงเดินทางลำบาก งั้นผมไปส่งพวกคุณที่เอดสันเลยแล้วกัน แล้วค่อยกลับบ้าน”


“ไม่เป็นไร พวกเราไม่รบกวนคุณดีกว่า แค่ให้พวกเราติดรถมาที่ฮินตันก็ขอบคุณมากแล้ว”


คีธรีบบอกหลังจากเก็บอุปกรณ์ทำแผลต่าง ๆ เสร็จด้วยความเกรงใจ เหมือนว่าตอนนี้พวกเขากำลังลากคนธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องอะไรให้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยซะแล้ว


“ไม่รบกวนหรอก จากฮินตันไปเอดสันไม่ถึงชั่วโมง ปกติถ้าไม่ติดพายุหิมะผมก็ขับรถกลับบ้านข้ามคืนแบบนี้แหละ ยิ่งตอนนี้ฟ้าสว่างทั้งวัน แค่นี้สบายมาก พวกคุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหารถด้วย”


เจย์ตอบด้วยรอยยิ้ม เดมิก็อดทั้งสามมองหน้ากันราวกับกำลังปรึกษากันทางความคิด ข้อเสนอของเจย์ถือว่าดีมากทีเดียวแทนที่จะต้องไปเสียเวลาและค่าห้องพักเพื่อรอขึ้นรถไฟวันที่ 24 แต่ตอนนี้พวกเขากลับไปถึงเอดสันได้ภายในหนึ่งชั่วโมง นี่ถือว่าเป็นเรื่องดี ๆ ที่เจอในวันนี้เลยก็ว่าได้


“ถ้าคุณว่าอย่างนั้นก็โอเค ขอบคุณนะเจย์”

.


.


.

-09:47PM.-


เมื่อเข้าเขตเมืองเอดสันมาได้สักพัก เดมิก็อดทั้งสามก็ขอให้เจย์ช่วยจอดให้พวกเขาลงตรงโมเตลแห่งนึง หลังจากบอกลาหนุ่มชาวแคนาดาสองพี่น้องผู้มีน้ำใจแล้ว คณะเดินทางก็ไปจองห้องที่จะใช้สำหรับพักผ่อนคืนนี้ ห้องพักยังคงมีขนาดเล็กจนแทบไม่มีที่เดินเช่นเคยแต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าซีเรียสอะไรในเมื่อพรุ่งนี้เช้าก็ต้องเดินทางต่อกันอยู่แล้ว ค่ำคืนนี้จึงจบลงอย่างเรียบง่ายด้วยการทานอาหารสำเร็จรูปที่ซื้อมาเก็บตุนไว้ แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวและเข้านอนเพื่อเก็บแรงไว้วันต่อไป

.


.


.

-23.01.25-


เช้าวันรุ่งขึ้นที่ท้องฟ้ายังสว่างไสวไม่ต่างไปจากเมื่อวานและวันก่อน ๆ หลังจากเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย ทั้งสามคนก็เช็คเอาท์ออกจากโมเตลแล้วมายืนอยู่ตรงริมทางไฮเวย์


“ทำแบบนี้จะได้ผลจริง ๆ น่ะเหรอ”


แมคเคนซีถามอย่างไม่แน่ใจ ดวงตาสีฮาเซลมองไปยังถนนที่เวลานี้แทบไม่มีรถผ่าน แผลตามใบหน้าจากการชกต่อยเมื่อวานถึงจะประคบเย็นแล้วก็ยังบวมเล็กน้อย ตอนนี้เขาไม่อยากมองหน้าตัวเองในกระจกเอาซะเลย


“ไม่รู้ว่าได้ผลหรือไม่ แต่นี่ก็เป็นวิธีเดียวที่เราทำได้ในตอนนี้ อย่ามัวแต่ยืนนิ่งไป มาช่วยกันโบกรถเสียสิศิษย์น้อง”


รูบี้หันมาบอกทั้งยังเรียกให้แมคเคนซีไปช่วยกันโบกรถอีก คนบาดเจ็บถอนหายใจบาง ๆ แล้วเดินมาช่วยดูรถให้ เขาไม่คิดว่าจะต้องมาเจออะไรที่ลำบากขนาดนี้มาก่อน ทั้งที่คิดว่าวางแผนมาอย่างดีแล้วแต่กลับมาเจอเรื่องไม่คาดคิดระหว่างทางเสียได้


“นั่นใช่หรือเปล่า ใช่จริง ๆ ด้วย”


คีธที่ชะเง้อมองเหมือนจะเห็นรถวิ่งมาทางนี้คันหนึ่ง เมื่อรถคันนั้นเข้ามาใกล้พวกเขาก็ช่วยกันโบกมือเรียกเป็นการใหญ่ แต่ผลก็ตามคาด นอกจากจะไม่ชะลอแล้ว รถคันนั้นยังวิ่งผ่านไปแบบไม่คิดจะมองกันแม้แต่น้อย เอาเถอะ ว่ากันว่า ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น’ ถ้าคันนี้ไม่จอด ก็ต้องมีสักคันที่จอดแหละน่า

.


.

“…..นี่เรายืนตรงนี้กันมานานเท่าไหร่แล้ว”


ชายหนุ่มหนึ่งเดียวในทีมถามด้วยสีหน้าเซ็งขั้นสุด แม้ว่าอากาศจะไม่ร้อนจนน่าหงุดหงิด แต่การยืนอยู่ที่เดิมมานานโดยไม่ได้ไปไหนก็ทำให้อารมณ์เริ่มขุ่นมัวได้เช่นกัน


“ยังไม่ถึงชั่วโมงเลย อดทนสักหน่อยสิ”


รูบี้หันมาบอกแล้วหันกลับไปช่วยคีธหารถต่อ คราวนี้แมคเคนซีถึงกับถอนหายใจยาว


“ฉันว่าตรงนี้มันไม่ค่อยมีรถ เราเดินไปอีกหน่อยดีไหม เผื่อว่าถ้าเข้าใกล้ตัวเมืองมากขึ้นอาจมีรถผ่านไปมามากกว่านี้ก็ได้”


เขาลองเสนอดู อย่างน้อยก็ไม่ต้องยืนรอความหวังที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ จาก ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น’ จะกลายเป็น ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้’ เอา


“ที่ศิษย์น้องพูดก็มีเหตุผล หรือว่าเราเดินไปกันเรื่อย ๆ หากมีรถวิ่งผ่านก็ค่อยโบกเรียก หากโชคเข้าข้างอาจเจอผู้ที่จะไปเส้นทางเดียวกันก็เป็นได้”


ใบหน้างดงามของธิดาแอรีสพยักหน้าน้อย ๆ อย่างเห็นด้วย


“มาอีกคันแล้ว ลองอีกครั้งดีไหม ถ้าคันนี้ไม่จอดเราค่อยไปตรงอื่นกัน”


คีธที่ดูจะใจเย็นมากที่สุดในทีมหันมาบอกเมื่อเห็นรถคันหนึ่งกำลังวิ่งมาจากระยะไกล เดมิก็อดอีกสองคนจึงพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสามคนยืนรอให้รถคันนั้นวิ่งเข้ามาใกล้อย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่งเริ่มเห็นเค้าโครงแบบราง ๆ


“คิดว่ารถนั่นคุ้น ๆ ไหม”


รูบี้ถามขึ้นมาคนแรก แต่ดูจากสีหน้าก็รู้ว่าเธอมีคำตอบในใจอยู่แล้ว


“ไม่คุ้น แต่ใช่เลย"


ใช่แน่ ๆ รถออฟโร้ดสีคุ้นตากำลังวิ่งมาทางนี้ ต่างจากคราวที่แล้วก็ตรงที่มีกระบะอยู่ตรงด้านหลังด้วย แล้วยิ่งพวกเขายืนอยู่ที่โล่งแจ้งไร้ทางหลบหนีเช่นนี้ ก็คงมีแต่ต้องประจันหน้ากันอย่างเลี่ยงไม่ได้


“ตรวจพบเป้าหมาย ! พบเป้าหมาย !”


เสียงโมโนโทนที่เหมือนถูกตั้งค่าเอไอไว้ดังมาจากท้ายรถคันนั้น กลุ่มทหารสามคนในชุดเครื่องแบบเดียวกันกับที่เจอเมื่อวานก้าวลงมาจากรถ ใบหน้าดุดันยกยิ้มราวกับได้เจอเหยื่อที่ตามหามานาน


“ไม่นึกว่าจะเจอง่ายขนาดนี้ นี่คือคำเตือน ล้มเลิกสิ่งที่พวกคุณกำลังจะทำ แล้วกลับไปซะ”


หนึ่งในทหารกลุ่มนั้นที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าทีมพูดขึ้นมา น้ำเสียงแข็งกร้าวเหมือนข่มขู่มากกว่าจะเป็นการตักเตือนกันดี ๆ


“พวกคุณน่ะสิต้องหยุด บอกให้คนในองค์กรปล่อยตัวเด็กแล้วเลิกทำเรื่องชั่วช้าพวกนั้นก่อน ไม่อย่างนั้นผมไม่ถอยแน่”


แมคเคนซีประกาศจุดยืนอย่างมุ่งมั่น มาถึงขั้นนี้แล้วไม่มีทางที่เขาจะหันหลังกลับแน่


“ในเมื่อเตือนดี ๆ ไม่ฟัง ก็อย่าหาว่าพวกเราใจร้ายแล้วกัน จัดการ !”


สิ้นเสียงก็เริ่มการตะลุมบอนขึ้นอีกครั้ง ทั้งรูบี้และแมคเคนซีพยายามช่วยกันคุ้มกันให้คีธที่หลบอยู่ด้านหลัง จากการเผชิญหน้ากันเมื่อวานทำให้กำลังในการต่อสู้ของทั้งคู่ลดลงไปกึ่งหนึ่ง


“อุ้ก แค่ก !”


แมคเคนซียกแขนขึ้นตั้งการ์ดกันหมัดของทหารคนหนึ่งที่ลอยมาเกือบเข้าหน้า กลายเป็นเปิดช่องโหว่ให้หมัดรุ่น ๆ ของอีกฝ่ายสาวเข้าท้องไปเต็ม ๆ จนเขาถึงกับทรุดตัวลงไปไอโขลก 


‘ให้ตายสิ จุกชะมัด’ 


ทั้งที่ตั้งใจว่าจะหลีกเลี่ยงการปะทะ แต่ก็ได้แผลเพิ่มมาอีกจนได้ ภาพรองเท้าคอมแบทเดินใกล้เข้ามา เขาคงโดนทำร้ายซ้ำอีกแน่


“โอ๊ะ โอ๊ย ! ช่วยด้วย ตัวอะไรมันกัดฉัน !”


แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นแอนดี้ที่ออกไปจากกระเป๋าคาดอกเมื่อไหร่ไม่รู้กำลังงับเข้าที่หูของทหารคนนั้นจนเลือดอาบ แมคเคนซีรีบอาศัยจังหวะนี้พยุงตัวลุกขึ้นยืน


“ทำดีมากแอนดี้”


“กี้—-!”


แอนดี้ยิ้มดีใจที่ถูกชมแล้วโดดพุ่งตัวมาหาเมื่อถูกเรียก เจ้าตัวน้อยไต่ขึ้นไปยืนบนไหล่เจ้าของของมัน ส่วนเดมิก็อดหนุ่มก็รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีชกเข้าไปที่เบ้าหน้าคู่ต่อสู้ที่กำลังโฟกัสกับแผลที่หูจนหน้าหงายล้มพับไป 


เมื่อหันไปมองอีกด้าน รูบี้กำลังต่อสู้กับทหารอีกสองคนโดยพยายามกันไม่ให้เข้าไปถึงตัวคีธ หากเป็นเมื่อวานคงบอกได้ว่าธิดาแห่งแอรีสสามารถล้มคู่ต่อสู้ที่เป็นชายฉกรรจ์ได้สบาย แต่วันนี้กลับพูดได้ไม่เต็มปาก สถานการณ์ตรงหน้าช่างประเมินได้ยากเย็นเหลือเกินว่าใครได้เปรียบกว่ากัน แมคเคนซีจึงรีบวิ่งเพื่อจะเข้าไปช่วยสมทบ


ฟิ้ว !!


อะไรบางอย่างพุ่งลงที่พื้นตรงหน้าเฉียดปลายเท้าไปเพียงนิดเดียวจนแมคเคนซีต้องชะงักฝีเท้าไว้จนเกือบหน้าคะมำ


“กระสุน !?”


ดวงตาเบิกขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่เจาะฝังคาพื้นถนนจนเป็นรู ไม่อยากจะคิดว่าถ้าเมื่อกี้เขาวิ่งไปไวกว่านี้นิดเดียว ศีรษะของเขาจะเป็นรูแทนพื้นคอนกรีตหรือเปล่า


“เป้าหมาย กำจัด !”


เสียงเอไอที่ได้ยินในตอนแรกดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อหันไปตามต้นเสียงก็เห็นร่างใหญ่ยักษ์ที่ลงมาจากกระบะรถกำลังเล็งกระบอกปืนมาทางเขา


“พวกแกเสร็จแน่ พี่เบิ้มจัดการมันเลย”


เสียงจากนายทหารคนนึงดังขึ้นมา แมคเคนซีมองจ้องร่างตรงหน้าอีกครั้ง ในสายตาของมนุษย์ธรรมดาคงจะเห็นร่างนี้เป็นคนไม่ต่างกัน แต่สิ่งที่ปรากฏในสายตาเขาตอนนี้จะเรียกว่าอสุรกายก็คงไม่ใช่ เพราะมันคือหุ่นยนต์ตัวใหญ่ราว 2-3 เมตรที่มีอาวุธครบมือไม่ต่างไปจากจักรกลทำลายล้างในหนังเรื่องทรานส์ฟอร์มเมอร์ส


“นั่นมัน เดธแมชชีน…คุณซูระวัง !”


คีธพึมพำก่อนจะรีบหันไปเตือนรูบี้ที่ทหารคนหนึ่งฉวยโอกาสใช้ช่วงเวลาที่พวกเขากำลังตะลึงงันกับศัตรูใหม่ลอบเข้ามาโจมตี แต่ธิดาแอรีสก็ยังไหวตัวทันตั้งรับได้อย่างรวดเร็วเช่นเคย


“ไม่ต้องห่วง ตรงนี้ฉันจัดการเอง !”


แมคเคนซีตะโกนบอกเพื่อไม่ให้รูบี้วอกแวกในการต่อสู้และเป็นกังวล ทั้งที่ตนเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะจัดการกับหุ่นยนต์ตรงหน้านี้ยังไง


“กำจัด !”


ปัง ๆๆๆ !!


“เชี่ย !”


“กี้—-!!”


ทั้งคนทั้งลูกก็อบลินร้องขึ้นพร้อมกันเมื่อเจ้าหุ่นยนต์ไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วยิงกราดสาดกระสุนใส่อย่างไม่ปรานี แมคเคนซีรีบคว้าแอนดี้มากอดไว้ก่อนพุ่งตัวลงหมอบแล้วกลิ้งหลบไปหลายตลบ แม้จะยังบาดเจ็บจากทั้งแผลเดิมและแผลใหม่ที่เพิ่งได้มาแต่ก็ต้องรีบลุกขึ้นให้เร็ว เดมิก็อดหนุ่มรีบวิ่งออกมาให้ห่างจากเพื่อนร่วมทีมเพื่อที่ทั้งสองคนจะได้ไม่โดนลูกหลง


“คุณลินคอล์น ! ทำลายเซลล์พลังงานหรือระบบระบายความร้อน !”


คีธตะโกนไล่หลังมาให้ได้ยินแว่ว ๆ ถือว่าเป็นข้อมูลที่ดีมาก ขาดก็แต่เพียงอย่างเดียว


‘ไอ้เซลล์พลังงานกับระบบระบายความร้อนมันอยู่ตรงไหนวะ !?’


“มีผู้หลบหนี กำจัด !”


เดธแมชชีนหันมาทางแมคเคนซีพร้อมกับปืนเลเซอร์ในมือ ดูเมือนว่าตอนนี้เจ้าหุ่นยนต์สังหารจะล็อคเป้าคู่ต่อสู้ให้เป็นเขาแล้ว ซึ่งก็เข้าแผนพอดี


“อินคันทาเร มูรุส โปรเทโก !”


เดมิก็อดหนุ่มสายเลือดเทพีแห่งเวทมนตร์รีบหยิบคทาคบเพลิงออกจากกระบอกซูมวาดรูปวงกลมกลางอากาศแล้วร่ายเวทย์ขั้นต้นก่อให้เกิดบาเรียบาง ๆ ขึ้นเป็นกำแพงเวทย์โปร่งแสงป้องกันลูกกระสุนที่เดธแมชชีนยิงใส่อีกชุดได้ทันจนมันร่วงลงสู่พื้นทั้งหมด ดวงตาสีฮาเซลมองประเมินคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็วก็ยังหาจุดอ่อนในการโจมตีศัตรูตรงหน้าไม่ได้แม้แต่น้อย ลำพังเพียงแค่อาวุธสัมฤทธิ์คงไม่อาจทำอะไรเหล็กกล้าได้ อย่างดีที่สุดก็เพียงแค่ทำให้เกิดรอยขีดข่วนเพียงเท่านั้น


“แอนดี้ช่วยฉันที…”


มือข้างที่ว่างควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าคาดเอว ก่อนจะหยิบมีดสั้นสัมฤทธิ์ส่งให้ลูกก็อบลินที่ยืนอยู่บนไหล่


ไปช่วยหาเซลล์พลังงานหรือระบบระบายความร้อน เอ่อ…ฉันหมายถึงอะไรสักอย่างที่เป็นแผ่นสี่เหลี่ยม หรือไม่ก็ใบพัดที่มันหมุน ๆ บนตัวหุ่นยนต์นั่น ถ้าเจอแล้วก็ใช้มีดนี่ทำลายมันซะ— อุ๊บ !


ยังพูดไม่ทันจบดี ร่างของเขาก็ถูกเดธแมชชีนวิ่งเข้าชนจนล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้า แม้จะมีเกราะเวทย์กั้นแต่ด้วยแรงมหาศาลขนาดนี้ก็สร้างแรงสะเทือนได้เช่นกัน


ฮึ้ย เล่นทีเผลองั้นเรอะ


คทาเวทย์ในมือเปล่งแสงสว่างขึ้นกว่าเดิมเมื่อแมคเคนซียกขึ้นมากันใบมีดที่เดธแมชชีนฟันลงมาได้ทันหวุดหวิด เดมิก็อดหนุ่มกัดฟันกรอดต้านแรงหุ่นสังหารที่หมายจะใช้ดาบฟาดฟันร่างเขาอย่างสุดความสามารถจนน่ากลัวว่าอาวุธเวทย์ในมือจะโดนสะบั้นจนหักเป็นสองท่อนไปเสียก่อน หวังว่ากลับค่ายไปครั้งนี้เขาจะไม่โดนแม่ดุอีกนะ


‘แย่ชะมัด จะต้านไว้ไม่ไหวแล้ว’


เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นมาตามหน้าผากทั้งที่อยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ แมคเคนซีรู้ตัวว่าเรี่ยวแรงที่แขนเขาเริ่มลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ คงต้านไว้ได้อีกไม่นาน


ระบบระบายความร้อนขัดข้อง ! ระบบขัดข้อง ! ขัดข้อง !


เสียงเอไอดังขึ้นอีกครั้งพร้อมร่างของเดธแมชชีนที่หยุดชะงักไป เป็นโอกาสให้แมคเคนซีรีบกลิ้งตัวหลบไปด้านข้างจนเห็นแอนดี้กระโดดโหยงเหยงร้อง กี้ ๆ !” อยู่บนตัวเดธแมชชีนที่มีมีดสั้นปักอยู่ตรงกลางหลัง เจ้าก็อบลินน้อยคงอาศัยจังหวะที่เดธแมชชีนเข้ามาโจมตีระยะประชิดโดดขึ้นไปบนตัวหุ่นจักรกล ด้วยความที่ตั้งใจจะสังหารแมคเคนซีให้ได้มันจึงประมาทจนไม่ได้สนใจอสุรกายตัวเล็กอย่างลูกก็อบลิน สุดท้ายจึงโดนมีดสั้นสัมฤทธิ์ปักขัดเข้าไปตรงส่วนที่เป็นระบบระบายความร้อนส่งผลให้ใบพัดหยุดทำงานในที่สุด


เก่งมากแอนดี้ มานี่เร็ว


แมคเคนซีเรียกคู่หูตัวน้อย แอนดี้ไม่รอช้ารีบกระโดดมาหาเดมิก็อดหนุ่มที่ยื่นมือมารับตัวมันไว้ในอ้อมแขนได้อย่างพอดี คราวนี้คงได้เวลาปิดจ๊อบเสียที ปลายคทาเวทย์ชี้ไปยังเดธแมชชีนที่เริ่มเคลื่อนไหวได้ช้าลง


อินคันทาเร เฟลมมา มาจิกา


ลูกไฟขนาดใหญ่ถูกยิงใส่ร่างของเดธแมชชีนจนลุกไหม้ เมื่อสูญเสียการทำงานของระบบระบายความร้อนและโดนเปลวเพลิงแผดเผาเข้าไปอีกก็ยิ่งทำให้อุณหภูมิของหุ่นสังหารยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ


โอเวอร์ฮีท ! ระวัง ! ลดอุณหภูมิ !


ตู้ม !!!


แสงไฟสีแดงกระพริบเตือนถี่ ๆ ก่อนที่ร่างของเดธแมชชีนจะระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวแล้วกลายเป็นฝุ่นผงแทนที่จะเป็นการกระจายของชิ้นส่วนแบบในหนังบู๊แอ๊คชั่นทั่วไป เหลือทิ้งไว้เพียงสินสงครามกับมีดสั้นให้เขาได้เก็บเข้ากระเป๋าไปเท่านั้น


หลังกำจัดเดธแมชชีนได้แล้ว แมคเคนซีก็อาศัยช่วงจังหวะชุลมุนวิ่งไปเปิดประตูรถกระบะแล้วเข้าไปนั่งตรงตำแหน่งคนขับ


ในเมื่อพยายามแล้วแต่ไม่รู้ว่าความสำเร็จอยู่ที่ไหน แล้วมันจะเป็นไรไปถ้าหากเขาจะสร้างความสำเร็จขึ้นมาเอง ในเมื่อหวังว่าโชคจะช่วยแต่ความซวยก็วิ่งเข้าใส่ไม่เว้น ถ้าการโบกรถมันช่างยากเย็น ก็เอาละวะ ! รถของเธอนั้นฉันขอแล้วกัน


เกาะแน่น ๆ ล่ะแอนดี้


ลูกก็อบลินที่อยู่บนไหล่แมคเคนซีร้อง กี้—-!” ตอบรับอย่างแข็งขันแล้วเกาะเจ้าของของมันไว้แน่นเมื่อมือข้างนึงของเดมิก็อดหนุ่มกำพวงมาลัยแน่น มืออีกข้างก็สับเกียร์แล้วเหยียบคันเร่งฝ่าเข้าไปกลางวงจนทหารพวกนั้นต้องโดดหลบเข้าข้างทาง


คีธ รูบี้ ขึ้นรถ !


เจ้าของชื่อทั้งสองชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีเวลาให้คิดมากไปกว่านั้น ทั้งคู่วิ่งไปหยิบสัมภาระแล้วรีบขึ้นรถ เมื่อสมาชิกทั้งหมดอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว แมคเคนซีก็ไม่รอช้า เพิ่มความเร็วของรถทิ้งตัวออกห่างทหารที่มีสภาพสะบักสะบอมกลุ่มนั้นไป แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงตะโกนไล่หลังมา


นั่นมันรถพวกเรา ! ไอ้บ้านั่นมันเอารถพวกเราไปแล้ว !


กลับมานะโว้ยยยยย เจ้าหัวขโมย !


ดวงตาสีฮาเซลเหลือบมองกระจกมองหลัง ทหารจากองค์กรลับเริ่มตัวเล็กลงเรื่อย ๆ จนเห็นเป็นจุดเล็ก ๆ และหายไปในที่สุดเมื่อรถวิ่งไกลออกมา สาบานได้เลยว่าชีวิตนี้เขาไม่เคยคิดจะขโมยของใครหรือลักของของคนอื่นที่ไม่ใช่ของตนมาไว้ในครอบครองมาก่อน


'แต่ถ้ากลับไปตอนนี้…ก็คงโง่เต็มทน'


'ขอยืมรถชั่วคราวก่อนแล้วกัน'




สรุปสถานการณ์

-โบกรถจะไปเยลโลวไนฟ์

-ปะทะกลุ่มทหารขององค์กรลึกลับกับเดธแมชชีน

-เดินทางต่อไปโดยขอยืม (?) รถองค์กรลึกลับชั่วคราว


ตื่นรู้ +2  :  จากการพิชิต เดธแมชชีน เป็นครั้งแรก

สินสงคราม [LUK 100+] 

- โลหะผสมพิเศษ 10 หน่วย

- แปลนเฮเฟตัส





✿ Elli

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 164870 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-3-22 16:30
โพสต์ 164,870 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Hydro X  โพสต์ 2025-3-22 16:30
โพสต์ 164,870 ไบต์และได้รับ +15 EXP +25 เกียรติยศ +25 ความศรัทธา จาก คบเพลิงเวท  โพสต์ 2025-3-22 16:30
โพสต์ 164,870 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เวทมนต์[I]  โพสต์ 2025-3-22 16:30
โพสต์ 164,870 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 ความศรัทธา จาก ศาสตร์การปรุงยา  โพสต์ 2025-3-22 16:30

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส
น้ำหอมเฮคาที
เหรียญนกฮูก
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x7
x10
x10
x7
x2
x9
x6
x4
x3
x70
x4
x10
x6
x12
x6
x18
x3
x55
x9
x189
x14
x14
x12
x45
x18
x5
x5
x5
x2
x5
x2
x11
x20
x10
x10
x2
x2
x2
x4
x1
x3
x12
x6
x2
x5
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x13
x2
x4
x4
x2
x1
x16
x145
x192
x10
x6
x10
x10
x16
x55
x80
x1
x1
x1
x4
x3
x1
x1
x1
x1
x5
โพสต์ 2025-3-24 20:57:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-3 00:18

 
Page VIII


-23.01.25 / 10:26AM.-


รถออฟโร้ดวิ่งตามถนนไฮเวย์ที่มีหิมะขาวโพลนปกคลุมสองข้างทาง เมื่อแน่ใจว่าหนีพ้นพวกทหารขององค์กรลึกลับและไม่มีใครตามมาแล้ว แมคเคนซีที่รับบทคนขับรถเพิ่มอีกตำแหน่งจึงชะลอความเร็วลง


“ทำอะไรน่ะรูบี้”


เดมิก็อดหนุ่มถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกุกกัก เมื่อเหลือบมองตรงที่นั่งข้างคนขับก็เห็นธิดาแอรีสกำลังรื้อค้นช่องเก็บของอยู่


“หาเบาะแสเพิ่มไงเล่าศิษย์น้อง ในรถนี้อาจมีข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรนั่นก็ได้”


รูบี้บอกแล้วหันไปรื้อช่องเก็บของต่ออย่างตั้งใจ


“ให้ตายสิ ฉันนึกไม่ถึงเลย เยี่ยมมากรูบี้ คีธ…คุณช่วยเปิดจีพีเอสดูเส้นทางไปเยลโลวไนฟ์หน่อยได้ไหม”


ริมฝีปากแมคเคนซีกระตุกยิ้มขึ้นข้างหนึ่ง ด้วยอีกข้างที่โดนต่อยซ้ำแผลเดิมตอนนี้มันเจ็บจนแทบยกไม่ไหว รูบี้หลักแหลมมาก หากในรถคันนี้มีสิ่งที่เป็นประโยชน์กับภารกิจของพวกเขาจริง ๆ ก็คงจะดีไม่น้อย


“สักครู่นะคุณลินคอล์น”


คีธที่นั่งอยู่เบาะหลังหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเปิดแอพแผนที่แล้วพิมพ์จุดหมายปลายทางลงไป


“จากตรงนี้ไปเยลโลวไนฟ์ประมาณสิบสี่ชั่วโมง ถ้าวิ่งแบบไม่พักเลยเราจะไปถึงที่นั่นกลางดึก…แต่ฉันแนะนำว่าให้พักสักหน่อย ไม่อย่างนั้นร่างกายคุณกับคุณซูจะแย่เอา”


“ฉันไม่เป็นไร บาดเจ็บเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น”


รูบี้บอกขณะที่สายตาก็ไล่อ่านข้อความในเศษกระดาษที่เพิ่งค้นเจอไปด้วย ก่อนจะขยำแล้วโยนทิ้งเมื่อไม่เห็นสิ่งที่มีประโยชน์อะไร


“ผมก็ไหวอยู่ แผลพวกนี้ประคบเย็นกับทายาสักหน่อยคงดีขึ้น แค่ขับรถเอง ไม่เป็นไร”


แมคเคนซีโคลงศีรษะเล็กน้อย ยอมรับว่าตอนนี้เจ็บระบมไปทั่วตัว แต่เยลโลวไนฟ์ก็อยู่ห่างจากตรงนี้อีกเพียงแค่ครึ่งวันถึง หากเป็นไปได้ก็อยากไปถึงให้เร็วที่สุด เพราะเขายังไม่รู้เลยว่าที่ตั้งองค์กรนั้นอยู่ส่วนไหนของเยลโลวไนฟ์ พวกเขายังต้องไปหาข้อมูลในพื้นที่เพิ่มเติมอีก


“ถ้าอย่างนั้นพักกินอะไรกันสักหน่อยก็ยังดี ฉันจะได้ช่วยดูอาการแล้วก็ทำแผลให้ด้วย…ในฐานะหมอและเพื่อน ฉันทนเห็นคนที่ช่วยฉันบาดเจ็บโดยไม่ทำอะไรเลยไม่ได้”


ภาพของคีธสะท้อนอยู่ในกระจกมองหลัง ดวงตาสีนิลเหลือบชมพูแซฟไฟร์ฉายแววเป็นห่วงระคนรู้สึกขอบคุณอย่างชัดเจน พวกเขารู้และเข้าใจดีมาแต่แรกแล้วว่าธิดาฮีบี้คนนี้ไม่ถนัดด้านการต่อสู้ จริงอยู่ที่เธอสามารถใช้ปืนกับธนูได้ แต่อาวุธสัมฤทธิ์พวกนั้นใช้จัดการกับมนุษย์ธรรมดาไม่ได้ หน้าที่ในส่วนนี้จึงเป็นของรูบี้กับแมคเคนซีแทน ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเลย ถึงจะไม่เก่งด้านการใช้กำลัง แต่ทักษะด้านการแพทย์และความสามารถในการวางแผนและจดจำข้อมูลของคีธก็ช่วยทีมได้มาก เพราะการปฐมพยาบาลที่ถูกขั้นตอนและการดูแลที่ดี ร่างกายของแมคเคนซีจึงไม่ได้รับผลกระทบมากอย่างที่ควรจะเป็น


“เราเป็นทีมเดียวกัน มิตรที่ดีย่อมช่วยเหลือกันก็ถูกแล้ว”


รูบี้หันไปยิ้มให้ธิดาฮีบี้ที่นั่งอยู่เบาะหลัง ฝ่ามือขาวผ่องเอื้อมไปแตะมือคุณหมอสาว จะว่าไปแล้วเธอก็มีมุมที่น่ารักเหมือนกัน


“ใช่ เราเป็นทีมเดียวกัน คุณเองก็ช่วยพวกเราหลายอย่าง เอาเป็นว่าเดี๋ยวเราพักกินมื้อเที่ยงกันสักหน่อย แล้วค่อยวางแผนว่าจะเอายังไงกันต่อก็ได้”


“กี้ ! กี้ ๆ !”


พอได้ยินคำว่า ‘มื้อเที่ยง’ ลูกก็อบลินที่นั่งอยู่บนไหล่แมคเคนซีก็ตาโตแล้วร้องขึ้นมาทันที ดูท่าเจ้าตัวเล็กเองก็คงจะเริ่มหิวแล้วเหมือนกัน


“……อืม การทำภารกิจก็ไม่ได้แย่ไปซะทีเดียวนะ”


คีธตบหลังมือธิดาแอรีสที่แตะมือเธออยู่เบา ๆ แล้วส่งยิ้มตอบเพื่อนร่วมทีมทั้งสองคน

.


.

-01:21PM.-


Mackenzie : ขอโทษที่ตอบช้านะที่รัก ตั้งแต่ออกจากแวนคูเวอร์ฉันก็ยุ่งมาตลอด เพิ่งได้จับมือถือตอนนี้เอง

Mackenzie : แน่นอนดีน ฉันเอาเสื้อกันหนาวมา แต่มันไม่พอ…

Mackenzie : แต่ไม่ต้องห่วง ฉันซื้อเพิ่มแล้ว มันอุ่นมาก

Mackenzie : เราต้องได้ปั้นสโนว์แมนด้วยกันแน่ที่รัก

Mackenzie : ถ้าปีนี้ไม่ทัน ก็เป็นปีหน้า และปีต่อ ๆ ไป


ริมฝีปากได้รูปที่ตอนนี้เริ่มบวมเห่อยกยิ้มเล็กน้อยขณะพิมพ์ข้อความตอบคนรัก เพราะเกิดเรื่องตั้งแต่เมื่อวานช่วงบ่ายจนถึงเช้าที่ผ่านมาเขาจึงยังไม่ว่างหยิบมือถือ จนกระทั่งตอนนี้ที่แวะจอดพักทานมื้อเที่ยงที่เมืองวัลเลย์วิว หลังทานอาหารเสร็จเขาจึงขอปลีกตัวมาที่รถก่อน ระหว่างรอเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนเข้าห้องน้ำจึงหยิบสมาร์ทโฟนมาเช็ค ถึงได้เห็นว่าดีนส่งข้อความมาเยอะขนาดนี้


Mackenzie : ตอนนี้ฉันอยู่วัลเลย์วิว แค่แวะกินมื้อเที่ยง เดี๋ยวก็เดินทางต่อแล้ว

Mackenzie : แล้วนายเป็นยังไงบ้าง งานเสร็จหรือยัง

Mackenzie : รักนายเหมือนกันที่รัก


แต่ถึงอย่างนั้นแมคเคนซีก็ยังไม่คิดจะเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เพิ่งเจอมาช่วงนี้ให้คนรักฟัง เพราะรู้ว่าถ้าหากดีนรู้จะต้องเป็นห่วงจนไม่เป็นอันทำงานแน่ ๆ ดีไม่ดีอาจถึงขั้นยกเลิกภารกิจของตนเองแล้วตามเขามาถึงแคนาดาเลยก็ได้ ดวงตาสีฮาเซลมองสติ๊กเกอร์รูปตัวการ์ตูนที่ดีนส่งมาให้แล้วอมยิ้ม ใจก็นึกอยากส่งสติ๊กเกอร์ตะมุตะมิให้แฟนบ้าง แต่เขาดันไม่ใช่สายส่งสติ๊กเกอร์มาแต่ไหนแต่ไร นอกจากสติ๊กเกอร์ที่มีติดมากับแอพแล้ว เขาก็ไม่เคยโหลดสติ๊กเกอร์เพิ่มเลย ไว้ว่าง ๆ คงต้องหาซื้อสติ๊กเกอร์ลายน่ารัก ๆ มาส่งให้ดีนโดยเฉพาะบ้าง แต่ตอนนี้ก็ส่งแค่ข้อความกับอิโมติคอนตามที่ถนัดไปก่อน


หลังจากส่งข้อความและใช้มือถือตนเองตั้งจีพีเอสเส้นทางไปเยลโลวไนฟ์เรียบร้อยแล้ว แมคเคนซีก็จับคันโยกตรงที่ปรับเบาะเพื่อจะดึงเบาะมาด้านหน้าหลังจากที่นั่งยืดเหยียดขามาสักพักเพื่อเตรียมพร้อมเดินทางต่อ


“หือ…?”


แต่สายตากลับเหลือบไปเห็นกล่องเล็กขนาดเท่าหัวแม่มือสีดำที่ติดอยู่ตรงพื้นข้างประตูใต้คันโยกเสียก่อน ซึ่งเขารู้ดีว่ามันคืออะไรจึงไม่รอช้ารีบหยิบมีดสั้นมาตัดสายไฟที่เชื่อมต่อกับวัตถุชิ้นนั้นทั้งหมดออกแล้วหยิบมันขึ้นมา


“เกือบไปแล้วไหมล่ะ”


เดมิก็อดหนุ่มวางกล่องนั้นลงบนพื้นรถแล้วออกแรงกระทืบ 2-3 ครั้งจนมันแตกละเอียดแล้วหยิบเศษ ‘จีพีเอสติดตามแบบพกพา’ เครื่องนั้นขึ้นมาโยนออกนอกรถไป โชคดีที่เขาเคยซื้อเครื่องแบบนี้ติดไว้กับแมคกี้มอเตอร์ไซต์คู่ใจเพื่อป้องกันไว้เผื่อรถสูญหาย ไม่นึกว่าจะมาเจอเครื่องนี้อีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้ เท่านี้ทหารจากองค์กรก็น่าจะยังติดตามพวกเขาไม่ได้ระยะหนึ่ง

.


.

-05:03PM.-


ทั้งที่คิดว่าจะขับรถต่อเดียวแบบยาว ๆ โดยไม่พักค้างคืนที่ไหนจนถึงเยลโลวไนฟ์แท้ ๆ แต่เหมือนว่าร่างกายของแมคเคนซีจะเริ่มประท้วงขึ้นมาเสียแล้ว ด้วยอาการปวดตามตัวที่คาดว่ากล้ามเนื้อน่าจะอักเสบจากการต่อสู้ ทำให้เขาเริ่มขับรถต่อไปไม่ไหว จนคีธกับรูบี้พากันดุเสียงเข้มแล้วบอกให้แวะพักค้างที่ไหนสักคืน เดมิก็อดหนุ่มจึงต้องยอมเสียงข้างมากแต่โดยดี


“หนึ่งห้องนะคะ”


เจ้าหน้าที่ดูแลโมเตลถามทวนซ้ำหลังจากทีมทำภารกิจที่เพิ่งเดินทางมาถึงขอเปิดห้องพัก


“ห้องเดียวค่ะ…ได้หรือเปล่า”


คีธยืนยันแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้ก่อนจะถามต่อเมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่สาวเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง


“โอ๊ะ ได้ค่ะ ได้แน่นอน เพียงแต่ว่าห้องพักแต่ละห้องของเรามีขนาดเล็กมาก เลยไม่สะดวกเพิ่มเตียงเสริม…”


เธอเหลือบมองแมคเคนซีซึ่งเป็นชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่มแล้วยิ้มเจื่อน


“เอาอย่างนี้ดีไหมคะ ถ้าคุณเปิดสองห้อง ฉันคิดราคาห้องพักอีกห้องให้พวกคุณครึ่งนึง จะได้ไม่ต้องไปนอนเบียดกันในห้องแคบ ๆ ด้วย”


ข้อเสนอของผู้ดูแลโมเตลทำเอาเดมิก็อดทั้งสามต้องมองหน้าหารือกัน ที่จริงห้องพักแบบนี้ก็ถือว่าราคาถูกอยู่แล้ว พอคิดครึ่งราคาก็แสนจะคุ้มค่า อย่างน้อยผู้หญิงในทีมทั้งสองคนจะได้ทำธุระส่วนตัวสะดวกกว่าเวลาที่มีผู้ชายมาร่วมห้องด้วย


“ตกลงค่ะ เราจองสองห้อง”


คีธหันมาบอกเจ้าหน้าที่ที่ยืนยิ้มรออยู่


“ได้ค่ะ อันนี้เป็นห้องเตียงคู่ เดินไปทางนี้นะคะ ส่วนห้องเตียงเดี่ยวของคุณผู้ชายอยู่ห้องด้านในสุดอีกฝั่งนึงค่ะ”


หญิงสาวส่งคีย์การ์ดให้แล้วแนะนำทางไปห้องให้เสร็จสรรพ หลังจากที่นัดแนะเวลาออกเดินทางในวันพรุ่งนี้และแบ่งสเบียงอาหารเย็นกันเรียบร้อย ทั้งสามคน (กับอีกหนึ่งตัว) ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน

.


.

-10:35PM.-


Mackenzie : ฉันมาถึงแมนนิงแล้ว คืนนี้พักที่นี่แล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ

Mackenzie : วันนี้โชคดีได้ห้องพักราคาถูก เขาลดราคาห้องที่สองให้ครึ่งนึงแน่ะ

Mackenzie : แอนดี้หลับปุ๋ยเลย

Mackenzie : Send Picture

Mackenzie : ฉันก็ว่าจะนอนแล้ว วันนี้เหนื่อยชะมัด

Mackenzie : นายคงยุ่งอยู่ ขอให้ทุกอย่างราบรื่นนะ

Mackenzie : ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีที่รัก


แม้พอเปิดแอพแชทมาแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่อ่าน แมคเคนซีก็ยังพิมพ์ข้อความส่งไปอีกรอบ อย่างน้อยการส่งข้อความหาดีนก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่สร้างความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแต่ละวัน หากไม่มีเรื่องลำบากลำบนให้ต้องเจอหรือว่ายุ่งจนเกินไป เขาก็ตั้งใจว่าจะส่งข้อความหาคนรักทุกวันอยู่แล้ว


'ทำไงได้…คนมันคิดถึงนี่นา'


เมื่อตั้งเวลาปลุกในมือถือแล้ว แมคเคนซีก็วางเอาไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง ฝ่ามือใหญ่ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตนเองและลูกก็อบลินที่นอนหลับสนิทอยู่ตรงแถวปลายเตียง เมื่อปิดโคมไฟแล้วเขาก็แทบจะหลับไปทันทีด้วยความเพลีย

.


.


.

-24.01.25 / 02:23AM.-


‘แมคซี่ ตื่นเถอะที่รัก’


สัมผัสจากมือลูบไล้ไปตามกรอบหน้าจนแมคเคนซีที่กำลังหลับสบายรู้สึกตัวตื่น


“อืม…ดีน อย่าเพิ่งซนสิ ขอฉันนอนต่ออีกหน่อย


คนที่อยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นส่งเสียงงึมงำบอกพลางคว้ามือซุกซนกุมเอาไว้ จนเมื่อเริ่มได้สติทีละน้อยจึงเริ่มฉุกคิดขึ้นมาได้


‘เดี๋ยวนะ…เราอยู่แคนาดานี่หว่า แล้วดีนจะอยู่ที่นี่ได้ยังไง’


จะว่าเป็นมือของแอนดี้ก็ไม่น่าใช่ ลูกก็อบลินคงมือไม่ใหญ่ขนาดนี้ หรือว่า…


‘โอ้ ไม่นะ ! นี่เราเจอดีเข้าแล้วเหรอ’


เมื่อคิดถึงสิ่งลี้ลับก็ชวนให้ขนลุกขนชันขึ้นมา แม้จะมีพลังสายเลือดที่สามารถสื่อสารกับวิญญาณได้แต่เขาก็ยังไม่คุ้นชินอยู่ดีจึงรีบเปิดโคมไฟตรงหัวนอน หวังให้แสงสว่างขับไล่ภูติผีภายในห้องนี้ไป


เฮ้ย คุณ ! คุณมาอยู่ในห้องนี้ได้ยังไง !?


หากแต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้ตกใจยิ่งกว่า เจ้าหน้าที่สาวที่ทำเรื่องเช่าห้องให้เมื่อเย็นกำลังอยู่ในท่าล่อแหลม ร่างบางคร่อมอยู่บนตัวเดมิก็อดหนุ่ม ใบหน้าสวยใสตามวัยกำลังส่งยิ้มให้ในระยะห่างเพียงแค่คืบ พอแมคเคนซีตะโกน เธอก็รีบตะปบปิดปากเขาไว้


ชู่ววว เบา ๆ สิพ่อหนุ่ม เดี๋ยวคนอื่นก็ตื่นกันหมดหรอก แล้วนี่ไปโดนอะไรมา หน้าหล่อ ๆ ยับเยินหมด


อื้อ ! อื้อ !


แมคเคนซีพยายามร้องทั้งที่ยังถูกปิดปากแน่น ร่างของเขาถูกกดทับทั้งที่ยังคลุมผ้าห่มไว้จึงขยับได้ไม่สะดวก ซึ่งนั่นดูเหมือนจะยิ่งทำให้ร่างด้านบนพอใจมากทีเดียว


คิก ๆ นี่เธอจำฉันไม่ได้จริง ๆ หรือพ่อหนุ่มรูปงาม เราเคยเจอกันมาครั้งนึงแล้วนะ


ดวงตาสีฮาเซลเบิกกว้างเมื่อร่างที่แท้จริงของหญิงสาวปรากฏขึ้นตรงหน้า


ใช่ เขาเคยเจอเธอมาก่อนแล้วที่สถานีรถไฟในซีแอตเทิล


‘เอ็มพูซา’


“ตายจริง เจ้าจำข้าได้ น่าดีใจเหลือเกิน


ราวกับอ่านความคิดของเขาได้จากแววตา อสุรกายหน้าตาน่ากลัวไม่เหลือเค้าความงดงามหัวเราะร่วนก่อนจะก้มหน้ามาใกล้ลำคอแมคเคนซีแล้วสูดหายใจเข้าไป


“กลิ่นเดมิก็อดช่างเย้ายวนใจ บุตรแห่งเฮคาทีจะมีรสชาติหอมหวานแค่ไหนกันนะ ขอข้าชิมดูหน่อย”


“อื้อออ !”


แมคเคนซีร้องลั่นรีบใช้มือดันหน้าเอ็มพูซาที่เลียริมฝีปากแยกเขี้ยวหมายจะกัดคอตนออกเต็มแรง สถานการณ์เวลานี้ไม่สู้ดีนัก หลังจากตื่นเต็มตาจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าทั้งหมดเป็นแผนของเอ็มพูซาตนนี้ที่ตั้งใจจะแยกเขาออกมาจากเพื่อนร่วมทีม แล้วจัดการกินเขา (เป็นอาหาร) เรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า ‘ของดีและถูกไม่มีในโลก’


 “อย่าขัดขืนเสียให้ยาก ยอมข้าดี ๆ เถอะน่า”


‘ยอมบ้าบออะไร ถ้าฉันจะเสียตัว ฉันยอมให้แค่ดีนเท่านั้นเฟ้ย !’


ถึงจะรู้ว่าเป็นการถูกกินคนละแบบก็เถอะ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ยอมเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แน่ ใบหน้าได้รูปเบี่ยงศีรษะหนีคมเขี้ยวอสุรกายที่ตนเองใช้มือดันหน้าไว้ แม้ตัวจะยังถูกทับแต่ขาทั้งสองข้างก็พยายามปัดป่ายไปมาให้ผ้าห่มเลิกขึ้นพ้นตัวจนเผลอไปถีบแอนดี้ที่กำลังหลับสบายกลิ้งหลุน ๆ หล่นจากเตียงดัง ตุ้บ !


ผัวะ !


กรี๊ด ! โอ๊ย ! เจ็บนะเจ้ามนุษย์ป่าเถื่อน !


อสุรกายสาวร้องลั่นรีบผละออกมาเอามือกุมหัวที่โดน ‘สมาร์ทโฟนเดดาลัส’ ฟาดเข้าไปเต็มแรง แมคเคนซีมองอุปกรณ์สื่อสารที่เพิ่งหยิบมาใช้แทนอาวุธสด ๆ ร้อน ๆ แล้วก็นึกได้ว่าตอนที่ดีนพาเขาไปซื้อมือถือ ‘เดดาลัส’ ผู้เป็นเจ้าของร้านพูดเคลมถึงความทนทานไว้ ทั้งตัวเครื่องที่ทำจากทองคำจักรพรรดิและหน้าจอที่ทำจากแร่สัมฤทธิ์พิเศษ ไม่น่าล่ะ แม้จะฟาดหัวอสุรกายไปก็ยังไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนสักนิด 


‘ให้ตายสิ ของเขาดีจริง ๆ’


ถ้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ดีนฟัง อีกฝ่ายต้องภูมิใจแน่ที่เขาเอามันมาใช้ประโยชน์ได้ขนาดนี้


“ข้าจะไม่ทนแล้วนะ ตายซะ ! อะ..โอ๊ย !”


ลูกไฟเวทย์ขนาดย่อมลุกโชนขึ้นกลางฝ่ามือของเอ็มพูซาที่พร้อมจะแผดเผาร่างเดมิก็อดหนุ่มให้ไหม้เป็นจุล แต่แล้วเปลวเพลิงนั้นก็ดับมอดไปในพริบตาเมื่อแอนดี้ที่ตื่นนอนมาเห็นว่ามีผู้บุกรุกและเจ้าของของมันกำลังจะโดนทำร้าย ร่างเล็กกระโดดขึ้นไปดึงผมของอสุรกายสาวจนหน้าหงายแล้วงับเข้าที่ไหล่เสียจมเขี้ยวจนเอ็มพูซาหวีดร้องเสียงหลงและผละออกมาจากร่างแมคเคนซี


“แก ! เจ้าก็อบลินน่ารังเกียจ !”


เอ็มพูซาจับแอนดี้กระชากออกมาแล้วเงื้อสุดแขนทำท่าจะเขวี้ยงร่างเล็ก ๆ นั้นเข้ากำแพง


“เธอน่ะสิน่ารังเกียจ !”


เสียงตวาดของแมคเคนซีทำให้อสุรกายสาวชะงักค้าง ดวงตาสีแดงสดหันมาจ้องแมคเคนซีเขม็งทั้งที่ยังกำร่างของลูกก็อบลินไว้


“เจ้า…เจ้าว่าข้าเหรอ”


“ใช่ ! ฉันว่าเธอ เธอมันน่ารังเกียจ รังแกได้แม้กระทั่งอสุรกายตัวเล็ก ๆ ไม่มีทางสู้ หน้าตาก็น่ากลัวอยู่แล้วยังต้องจิตใจชั่วร้ายสกปรกตามไปด้วยงั้นเหรอ !”


สาบานได้ว่าเขาไม่เคยมีอคติหรือคิดจะบูลลี่รูปร่างหน้าตาใครมาก่อน แต่ครั้งนี้ด้วยความเดือดดาลและกลัวว่าแอนดี้จะได้รับอันตราย (ทั้งที่เพิ่งโดนเขาถีบไปทีนึง) จึงพลั้งปากดุด่าอสุรกายไปเป็นชุด


“เจ้า…เจ้า กรี๊ดดดด อย่ามาว่าข้านะ ! ข้าไม่ได้หน้าตาน่ากลัวเสียหน่อย !”


เอ็มพูซาโยนแอนดี้ลงบนเตียงแล้วยกมือปิดหูไว้ราวกับไม่อยากฟังคำผรุสวาสไปมากกว่านี้ ใครจะไปรู้ล่ะว่าอสุรกายจะใจบางเป็นกับเขาด้วย


“ข้า..ข้าจะฆ่าเจ้า ! หลังจากฆ่าเจ้าแล้ว ข้าก็จะไปฆ่าเดมิก็อดอีกสองคนนั้นด้วย !”


ดวงตาสีแดงก่ำมองแมคเคนซีอย่างเคียดแค้นแล้วพุ่งตัวเข้าหาหมายจะเอาชีวิต เดมิก็อดหนุ่มจึงรีบลุกขึ้นคว้าเอาผ้าห่มคลุมหน้าเอ็มพูซาไว้จนเสียศูนย์


“กี้ ! กี้ !”


แอนดี้ที่เริ่มรู้งานรีบวิ่งไปหยิบมีดสั้นสัมฤทธิ์ในกระเป๋าคาดอกมาส่งให้ ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบใช้มีดแทงไปที่ร่างนั้นผ่านผ้าห่มจนได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนสลายหายไปทิ้งให้กองผ้าห่มร่วงลงสู่พื้นคลุมสินสงครามเอาไว้


“ขอบใจแอนดี้ แกช่วยฉันไว้อีกแล้ว”


แมคเคนซีลูบหัวลูกก็อบลินเบา ๆ เจ้าตัวเล็กดีใจที่ถูกชมก็ร้อง “กี้ ๆ !” พลางเอาหัวถูไถกับฝ่ามือใหญ่ไปมา หลังจากเหตุการณ์กลับสู่ความสงบ แอนดี้ก็นอนซุกผ้าพันคอหลับไปอีกครั้ง เหลือเพียงแค่เดมิก็อดหนุ่มที่นั่งเอนหลังพิงหัวเตียงภายใต้แสงสลัวของโคมไฟ


ดูท่าคืนนี้เขาคงหลับไม่ลงเสียแล้ว




สรุปสถานการณ์

- แวะพักค้างคืนที่แมนนิง

- ต่อสู้กับเอ็มพูซา



สินสงคราม [LUK 60+]  : เส้นผมเอ็มพูซา 4

✿ Elli

แสดงความคิดเห็น

God
ดูเหมือนเขาเห็นเหล่านางไม้มากมายออกมากำลังเดินไปทิศทางเดียวกันเพื่อฟังเสียงขลุ่ยนี้  โพสต์ 2025-3-25 10:34
God
ในขณะแมคเคนชี่กำลังนอนหลับ เขาก็ได้ยินเสียงขลุ่ยเพลงอันแสนไพเราะที่ทำให้เขาตื่นขึ้นไม่ไกลจากจุดที่พวกเขานอน แต่มีเพียงเขาคนเดียว  โพสต์ 2025-3-25 10:34
โพสต์ 152,346 ไบต์และได้รับ +15 EXP +25 เกียรติยศ +25 ความศรัทธา จาก คบเพลิงเวท  โพสต์ 2025-3-24 20:57
โพสต์ 152,346 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เวทมนต์[I]  โพสต์ 2025-3-24 20:57
โพสต์ 152,346 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 ความศรัทธา จาก ศาสตร์การปรุงยา  โพสต์ 2025-3-24 20:57
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส
น้ำหอมเฮคาที
เหรียญนกฮูก
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x7
x10
x10
x7
x2
x9
x6
x4
x3
x70
x4
x10
x6
x12
x6
x18
x3
x55
x9
x189
x14
x14
x12
x45
x18
x5
x5
x5
x2
x5
x2
x11
x20
x10
x10
x2
x2
x2
x4
x1
x3
x12
x6
x2
x5
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x13
x2
x4
x4
x2
x1
x16
x145
x192
x10
x6
x10
x10
x16
x55
x80
x1
x1
x1
x4
x3
x1
x1
x1
x1
x5
โพสต์ 2025-3-27 00:27:17 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-3 00:18

 
Page IX

-24.01.25 / 09:47AM.-


 “อรุณสวัสดิ์ ขอโทษที่ช้า”


เสียงทักทายจากด้านหลังทำให้เดมิก็อดสาวทั้งสองหันมามอง รูบี้ที่หน้าง้ำงอแบบไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่พอใจกำลังอ้าปากจะดุแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปากสีสด มีเพียงดวงตาทรงอัลมอนด์เท่านั้นที่กระพริบปริบ ๆ เมื่อได้เห็นสารรูปคนมาสาย


“อรุณสวัสดิ์ ทำไมตาคล้ำแบบนั้นล่ะคุณลินคอล์น”


คีธถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย ดวงตาสีนิลเหลือบชมพูแซฟไฟร์โฟกัสใบหน้าได้รูปที่เต็มไปด้วยแผลซึ่งถูกแปะทับด้วยพลาสเตอร์ และตอนนี้ก็มีรอยคล้ำใต้ตาตัดกับผิวขาว ๆ เป็นปื้นชัดเจนราวกับหมีแพนด้าเพิ่มความโทรมเข้าไปอีก


“คือว่า…เรื่องมันเป็นแบบนี้……”


แมคเคนซียิ้มให้ด้วยสีหน้าอิดโรยแล้วเริ่มเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้เพื่อนร่วมทีมฟัง หลังจากการต่อสู้กับเอ็มพูซา เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะนอนต่อ เริ่มหวาดระแวงว่าจะมีใครหรืออสุรกายตนใดบุกเข้ามาในห้องอีกไหม กว่าร่างกายจะทนความง่วงงุนไม่ไหวจนผล็อยหลับไปก็เป็นเวลาเช้ามืด เดมิก็อดหนุ่มหลับสนิทเสียจนไม่ได้ยินเสียงมือถือที่ตั้งปลุกไว้ หรือแม้กระทั่งเสียงร้องเรียกของแอนดี้ก็ตาม กว่าจะรู้สึกตัวตื่นก็สายแล้วจึงรีบจัดการตนเองแล้วออกมาหาทั้งสองคน


“ตามจองล้างจองผลาญไม่เลิกเสียจริง”


รูบี้บ่นพึมพำ เหมือนเธอจะเปลี่ยนเป้าหมายความไม่พอใจไปเป็นเอ็มพูซาตนนั้นแทน


“แล้วคุณโอเคไหม ขับรถไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวเราพักกันอีกวันก็ได้ ฉันกับคุณซูจะคอยระวังให้เอง”


คีธประเมินอาการจากใบหน้าซีดเซียวของแมคเคนซีแล้วถามขึ้นมา


“ไหว ผมโอเค เราเดินทางกันต่อเลยดีกว่า แค่เก้าชั่วโมงก็ถึงเยลโลวไนฟ์แล้ว ผมไปพักที่นั่นก็ได้”


แมคเคนซีรีบบอกด้วยไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่เดิมนาน แม้ว่าจะนอนน้อยแต่ก็ถือว่าได้นอน คนเคยทำงานพาร์ทไทม์กลางคืนแล้วตื่นไปเรียนต่ออย่างเขา เรื่องแค่นี้ถือว่ายังไม่เกินความสามารถ อีกอย่างถ้าจะให้นอนที่นี่อีกคืนก็คงไม่เอาด้วยแม้จะมีรูบี้กับคีธคอยช่วยระวังภัยให้ก็ตาม


“ถ้าคุณว่าอย่างนั้นก็ตกลง แต่ถ้าไม่ไหวต้องจอดพักนะ”


คีธกำชับอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจังราวกับคุณหมอเตือนคนไข้ แมคเคนซีจึงพยักหน้ารับยิ้ม ๆ


“โอเค ก็ได้ งั้นเราออกเดินทางกันต่อเถอะ ผมทำเสียเวลามามากแล้ว”


“ก็ไม่เสียเวลาเสียทีเดียวหรอก…”


ธิดาแอรีสพูดขึ้นหลังจากที่พวกเขาขึ้นรถกันมาเรียบร้อยแล้ว แมคเคนซีหันมามองด้วยความสงสัย ส่วนคีธเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องอะไร เธอจึงเพียงแค่อมยิ้มนิด ๆ


“ดูสิ ตอนที่ศิษย์น้องหลับอุตุพวกเราเจออะไร”


รูบี้ชูกระดาษใบหนึ่งขึ้นมา เดมิก็อดหนุ่มรับมาดูแล้วก็ถึงกับตาโต


“นี่มัน…แผนที่ไปฐานลับขององค์กรนั่นงั้นเหรอ”


“แล้วคิดว่าเป็นอะไรเล่า มีทั้งแผนที่และที่อยู่เชียวนะ ฉันกับหมอคีธรอตั้งนานศิษย์น้องก็ไม่มาเสียที หมอคีธบอกว่าอยากให้ศิษย์น้องพักผ่อนให้เต็มที่ พวกเราเลยลองค้นรถดูอีกรอบ”


“เยี่ยมเลย แบบนี้ก็ไม่ต้องมามัวคลำทางแล้วสิ ขอบคุณทั้งสองคนมากนะ”


ถึงจะยังเจ็บแผลที่ปากอยู่แต่ก็ไม่สามารถห้ามรอยยิ้มไว้ได้จริง ๆ อย่างน้อยพวกเขาก็รู้หมุดหมายที่จะไปชัดเจน พอคิดว่าภารกิจของตนเริ่มคืบหน้ามากขึ้นก็มีแรงใจให้เดินหน้าต่อ แมคเคนซีจึงไม่รอช้ารีบสตาร์ทรถออกเดินทางทันที

.


.


.

-04:45PM.-


“ฉันว่าเราพักกันหน่อยเถอะ คุณดูง่วงนะคุณลินคอล์น”


คีธพูดขึ้นมาเมื่อเริ่มเห็นแมคเคนซีปิดปากหาวบ่อยครั้ง ซึ่งนั่นก็เป็นความจริง แม้ว่าพวกเขาจะแวะพักระหว่างทางมาบ้าง แต่เดมิก็อดหนุ่มก็ได้เพียงแค่ล้างหน้าให้คลายความง่วงงุนไปได้เล็กน้อยเท่านั้น


แต่ว่าอีกแค่สามชั่วโมงก็จะถึงเยลโลวไนฟ์แล้ว


แมคเคนซีบอกหลังเหลือบมองจอสมาร์ทโฟนที่เปิดจีพีเอสค้างไว้


“ก็เพราะว่าใกล้ถึงแล้วนี่ไงล่ะ แวะพักสักชั่วโมงคงไม่เป็นไรหรอก”


ธิดาฮีบี้ยิ้มให้บาง ๆ ผ่านกระจกมองหลัง เรื่องสภาพร่างกายนี่โกหกเธอไม่ได้จริง ๆ คุณหมอสาวคงคอยสังเกตเขามาตลอดทาง


“โอเค ก็ได้…”


สุดท้ายก็ต้องยอมจนได้ด้วยไม่อยากขัดใจเพื่อนร่วมทีม หากสังเกตจากเรือลำน้อยใหญ่ที่จอดอยู่ ดูเหมือนว่าใกล้ ๆ นี้จะเริ่มเข้าเขตที่อยู่อาศัยแล้ว แมคเคนซีเลี้ยวรถเข้าจอดตรงลานริมแม่น้ำที่ตอนนี้ผืนน้ำส่วนใหญ่กลายเป็นธารน้ำแข็งตามสภาพอากาศ สองสาวเดมิก็อดเลือกที่จะลงไปเดินยืดเส้นยืดสาย แมคเคนซีจึงขอตัวนอนพักในรถสักงีบโดยตกลงกันว่าจะออกเดินทางต่อในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า


Mackenzie : ฉันดีใจที่นายคิดถึงฉันขนาดนี้ที่รัก

Mackenzie : แต่นายห้ามเทงานช่วยพ่อนายมาหาฉันเด็ดขาดเลย

Mackenzie : ตอนนี้ฉันใกล้ถึงเยลโลวไนฟ์แล้ว

Mackenzie : จะพยายามจัดการทุกอย่างให้เสร็จแล้วรีบกลับ


ไหน ๆ ก็จะได้นอนพักแล้วเขาจึงหยิบมือถือมาเช็คข้อความสักหน่อย  ดีนตอบข้อความมาแทบจะทันทีที่เขาส่งไปนั่นทำให้แมคเคนซียิ้มออกมาน้อย ๆ เป็นเขาเองที่ไม่ว่างพอจะตอบข้อความบ่อย ๆ จนเริ่มคิดขึ้นมาว่าป่านนี้อีกฝ่ายจะเหงาแย่เลยหรือเปล่านะ


ตึ๊งตึ่ง !


ราวกับจิตใจเชื่อมถึงกัน หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะคนรักของเขาจ้องจอมือถือทุกห้านาทีอย่างที่บอกจริง ๆ หลังจากส่งข้อความไปไม่เท่าไหร่ ดีนก็ตอบกลับมาแทบจะทันที


Mackenzie : เยี่ยมเลย นายเก่งมาก

Mackenzie : อย่างที่บอก ฉันใกล้ถึงเยลโลวไนฟ์แล้ว อีกประมาณ 3 ชั่วโมง

Mackenzie : ถ้าจีพีเอสไม่พาอ้อม…

Mackenzie : ล้อเล่น ไม่ต้องเป็นห่วงนะ

Mackenzie : นายรีบทำงานของนายให้เสร็จแล้วกลับค่ายมานอนรอกอดฉันได้เลย

Mackenzie : คิดถึงนายมากเหมือนกัน

Mackenzie : ตั้งใจทำงาน อย่าเที่ยวเพลินล่ะ


ฝ่ามือใหญ่ปิดปากหาวอีกครั้งหลังตอบข้อความจนครบแล้วแกล้งพิมพ์ดักไว้ในประโยคสุดท้าย รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงต้องแวะเถลไถลท่องเที่ยวที่ต่าง ๆ ตามนิสัยหากมีโอกาส ต่างจากเขาที่เอาแต่มุ่งหน้าไปให้ถึงที่หมายจนแทบไม่ได้ใส่ใจความสวยงามของประเทศแคนาดาแม้แต่น้อยทั้งที่เป็นการมาเยือนครั้งแรก คิดแล้วก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน ทำยังไงได้ ในเมื่อเวลามีจำกัด เรื่องเที่ยวเล่นคงต้องเอาไว้คราวหน้า ชายหนุ่มปรับเอนเบาะลงให้อยู่ในท่าที่สบาย เปลือกตาอันหนักอึ้งค่อย ๆ ปรือปิดลงพร้อมกับวางมือถือลงตรงหน้าท้อง ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงนี้พักผ่อนให้คุ้มค่า

.


.

“กี้ !  กี้ ๆ !!”


“อะไรแอนดี้ หิวอีกแล้วเหรอ”


เหมือนเพิ่งหลับไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถูกลูกก็อบลินดึงแขนเสื้อซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วร้องเสียงดังจนหนวกหู เรียวคิ้วขมวดมุ่นพยายามปรับโฟกัสภาพตรงหน้าให้ชัดเจนขึ้น ก็เห็นแอนดี้ที่ทำหน้าตื่นตกใจแล้วโดดไปตรงหน้าต่างฝั่งด้านข้างคนขับรถ


“อะไร ข้างนอกนั่นมีอะ— มอนสเตอร์ !?”


ดูจากท่าทางคงไม่ใช่อารมณ์หิว พอมองตามเจ้าตัวเล็กไปก็เห็นเพื่อนร่วมทีมกำลังต่อสู้กับฝูงอสุรกายอยู่ จากที่งัวเงียก็ตื่นเต็มตาขึ้นมาทันที เดมิก็อดหนุ่มรีบคว้ากระบอกซูมที่มีคทาเวทย์อยู่ในนั้นวิ่งออกจากรถไปทันที ปล่อยให้แอนดี้ที่ครั้งนี้ตามมาไม่ทันทุบกระจกร้องเรียกเสียงดัง


“กี้—! กี้ ๆ กี้—!”

.


.

เมื่อวิ่งมาใกล้จุดที่เรียกได้ว่าสนามรบ ภาพตรงหน้าสร้างความแปลกใจให้แมคเคนซีไม่น้อย จะเรียกว่าการต่อสู้ก็ไม่เชิง ดูเหมือนว่าเพื่อนร่วมทีมทั้งสองของเขากำลังพยายามปัดป้องและหลีกเลี่ยงการต่อสู้ครั้งนี้มากกว่า รูบี้ที่เหลือบมาเห็นแมคเคนซีเข้าพอดีรีบตะโกนบอก


ศิษย์น้อง ! อย่าสบตากับกอร์กอนเป็นอันขาดนะ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นหิน !


ได้ยินเช่นนั้นแมคเคนซีก็รีบยกแขนขึ้นมาบังหน้าไว้พอดีกับจังหวะที่อสุรกายคนครึ่งงูนามว่ากอร์กอนตวัดสายตาหันมามองเขาพอดี


มาอีกคนแล้วรึ ก็ดี ข้าจะได้จัดการปลิดชีพพวกเจ้าพร้อมกัน


“ไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นหรอกน่า”


เดมิก็อดหนุ่มหยิบคทาเวทย์ออกมา ดูเหมือนว่าอาวุธของเขาจะทำให้กอร์กอนชะงักไปเล็กน้อย เพราะอะไรกันนะ


“บุตรแห่งเทพีเฮคาที พวกเจ้าไปแย่งคทาเวทย์นั่นมา !”


กอร์กอนหันไปสั่งลูกสมุนอีกสองตน ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แม้ว่าจะได้รับคำสั่งแต่ดูเหมือนอสุรกายครึ่งงูที่ตรงมาหาเขากลับมีทีท่าลังเลที่จะโจมตีเขาเสียอย่างนั้น


‘ช่วยเราด้วย…’


‘ทรมานเหลือเกิน…เราไม่อยากอยู่ในร่างนี้’


เรียวคิ้วขมวดมุ่นราวกับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างในหัว แมคเคนซีหันมองรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากเพื่อนร่วมทีมและคู่ต่อสู้เท่านั้น


มัวเซ่ออะไรอยู่พวกลาเมียหน้าโง่ ไปแย่งอาวุธมา !


กอร์กอนตวาดอีกครั้ง ชื่อที่เพิ่งได้ยินช่างคุ้นหูยิ่งนัก ราวกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน


ลาเมียสองตนนั่น…อย่าบอกนะว่า…


คีธพึมพำเบา ๆ ราวกับกำลังปะติดปะต่อข้อมูลเข้าด้วยกัน ก่อนที่ดวงตาจะเบิกโพลงเล็กน้อยแล้วหันมามองแมคเคนซี เพียงแต่เธอยังไม่พูดอะไรออกมา


‘ได้โปรด ช่วยปลดปล่อยเรา’


 ‘ฆ่าเราที ได้โปรด !’


เสียงในหัวที่ดังยิ่งขึ้นรบกวนสมาธิแมคเคนซีจนปวดหัวไปหมด เดมิก็อดหนุ่มสะบัดศีรษะแรง ๆ หวังจะไล่มันออกไปแต่เสียงเหล่านั้นก็ยิ่งดังก้องขึ้นทุกทีพร้อมกับลาเมียทั้งสองที่เริ่มเข้ามาใกล้


อินคันทาเร เฟลมมา มาจิกา !


ลูกไฟถูกยิงออกจากปลายคทาเวทย์ เผาร่างของลาเมียทั้งสองจนมอดไหม้ ไม่มีแม้แต่การหลบหนีหรือต่อสู้ แทนที่จะได้ยินเสียงกรีดร้อง แมคเคนซีกลับได้ยินเสียงราวกับกระซิบอย่างเป็นสุขแทน


‘ไม่ต้องทรมานอีกแล้ว’


‘ขอบคุณนะพี่ชาย…’


‘เมื่อกี้มันอะไรกัน’


ได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเอง เสียงที่เขาได้ยินคือเสียงของลาเมียสองตนนี้อย่างนั้นหรือ


ไร้ประโยชน์จริง ข้าคงต้องลงมือเองแล้ว


กอร์กอนกัดฟันกรอดเมื่อกองกำลังของตนถูกกำจัด ร่างงูรีบเลื้อยตรงมายังแมคเคนซีที่ยังอยู่ในอาการสับสนกับเหตุการณ์เมื่อครู่จนไม่ทันระวังตัว


อ๊ากกกก !


คราวนี้เป็นเสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดที่ดึงสติแมคเคนซีให้กลับมา ลูกธนูดอกหนึ่งจากการยิงของคีธปักเข้าตรงช่วงลำตัวของกอร์กอน แต่เท่านั้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะสามารถสังหารนางลงได้ ช่วงหางงูของนางเลื้อยไปโอบรัดร่างของธิดาฮีบี้ไว้อย่างรวดเร็วจนเธอนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด


เป็นศพแรกเลยดีไหม…


แรงบีบรัดของกอร์กอนเพิ่มมากขึ้นราวกับงูที่กำลังรัดเหยื่อ รูบี้อาศัยจังหวะนั้นรีบเข้ามาหาแมคเคนซี


ฉันมีแผน เอาคทาเวทย์มาให้ฉัน ส่วนศิษย์น้อง ใช้พลังของนายแล้วเอากระบี่นี่ตัดหัวของกอร์กอนซะ


โดยไม่รอการตอบตกลง ธิดาแอรีสคว้าคทาเวทย์มาแล้วยัดกระบี่ของเธอไว้ในมือแมคเคนซีแทน มาถึงขั้นนี้ก็ไม่มีเวลามาเกี่ยงกันแล้ว เดมิก็อดหนุ่มกำกระบี่ในมือแน่นแล้วตั้งสมาธิให้แน่วแน่ เพียงไม่นานหมอกควันก็ก่อตัวขึ้นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ และมีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่ยังมองเห็นทุกอย่างชัดเจน


ย้ากกกก !


กว่าที่กอร์กอนจะหาตำแหน่งเขาเจอ แมคเคนซีก็ฝ่าม่านหมอกออกมาจนประชิดตัวแล้วเงื้อกระบี่ที่ยืมจากธิดาแอรีสฟันเข้าเต็มแรงจนศีรษะที่เต็มไปด้วยงูมากมายขาดออกจากคอ ส่งผลให้ช่วงลำตัวที่รัดคีธไว้สะบัดร่างเธอออกด้วยความเจ็บปวดก่อนจะสลายหายไปจนธิดาฮีบี้กระเด็นลอยไปกระแทกพื้นน้ำแข็งจนแตกและตกลงไปในน้ำอันเย็นเยียบของช่วงกลางฤดูหนาว


“คีธ !”


หมอคีธ !


เดมิก็อดทั้งสองตะโกนออกมาแทบจะพร้อมกัน รูบี้รีบวิ่งไปดูตรงจุดที่คีธตกลงไป เธอพยายามจะคว้ามือไว้แต่หญิงสาวร่างสูงกลับจมหายไปต่อหน้าต่อตา


น้ำตรงนี้มันเย็นมากแล้วก็ลึกเกินไป !


รูบี้ตะโกนบอก แมคเคนซีที่อยู่ในอาการตกใจไม่แพ้กันรีบตั้งสติแล้วมองหาอุปกรณ์ที่จะช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมของตนได้ จนกระทั่งสายตาไปสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่ง เดมิก็อดหนุ่มรีบวิ่งไปยังเรือประมงขนาดเล็กที่จอดเทียบฝั่งไว้ คทาเวทย์ชี้ไปตรงแหที่วางอยู่มุมหนึ่งของเรือ พยายามรวบรวมสมาธิที่มีอยู่เพียงน้อยนิด


“อินคันทาเร อะนิมา วิตา !


สิ้นเสียงร่ายเวทย์ที่เขาเคยใช้เพียงแค่ครั้งเดียวเมื่อช่วงปีใหม่ แหที่แน่นิ่งอยู่ก็ค่อย ๆ ขยับขึ้นมาราวกับมีชีวิต


“พาคีธขึ้นมา !”


ปลายคทาคบเพลิงตวัดชี้ไปยังจุดที่ธิดาฮีบี้หายไป ราวกับได้รับคำสั่ง เจ้าแหไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเองลงไปในน้ำทันที เพียงไม่นานมันก็ลอยกลับมาที่เรือโดยมีร่างของคีธที่ถูกห่อหุ้มไว้ในนั้นและกลับไปไร้ชีวิตเช่นเดิมเมื่อทำหน้าที่เสร็จเรียบร้อย


“หมอคีธเป็นยังไงบ้าง”


รูบี้รีบวิ่งตามมาที่เรือ สีหน้าตื่นตระหนกอย่างปิดไม่มิดเมื่อเห็นร่างซีดเผือดของคีธ หญิงสาวรีบแตะนิ้วไปตามจุดชีพจรของร่างที่นอนหมดเรี่ยวแรงและบางส่วนของร่างกายเริ่มแข็งเกร็งด้วยความหนาว


“ยังมีชีพจรอยู่แต่อ่อนมาก…ตัวเย็นชืดเลย”


“พวกเธอขึ้นไปทำอะไรบนเรือฉันน่ะ !?”


เมื่อหันไปมองตามเสียงก็เห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งท่าทางไม่พอใจกำลังเดินมาทางนี้ พอเห็นว่ามีคนตัวเปียกนอนอยู่สีหน้าก็กลับกลายเป็นตกใจอย่างเห็นได้ชัด


“ตกลงไปในน้ำเรอะ…โอเค ยังพอมีสติ หายใจได้อยู่ น้ำยังไม่เข้าปอด รีบทำให้ตัวอุ่นก่อนเร็ว


ชายเจ้าของเรือเข้ามาตรวจร่างกายของคีธอย่างคล่องแคล่ว หลังบอกเพียงแค่นั้นก็รีบลุกเข้าไปในห้องคนขับ เดมิก็อดทั้งสองได้ยินเช่นนั้นจึงไม่รอช้ารีบช่วยกันถอดเสื้อดาวน์และสเวตเตอร์ที่เปียกน้ำจนชุ่มของธิดาฮีบี้ออกจนเหลือเพียงเสื้อคอเต่าชั้นเดียว และแมคเคนซีก็ถอดเสื้อดาวน์ของตนเองคลุมให้แทนที่


“เอ้า ห่มทับให้นังหนูซะ ก่อนจะช็อคตายไปซะก่อน”


ผ้าห่มหนา ๆ 2-3 ผืนถูกวางให้ พวกเขากล่าวขอบคุณก่อนจะรีบห่มผ้าทั้งหมดให้คีธที่ตัวสั่นระริกทันที


“ทีนี้บอกได้หรือยังว่าพวกเธอขึ้นมาบนเรือฉันทำไม


พวกเราเป็นนักท่องเที่ยว เราขับรถผ่านมาทางนี้เลยแวะชมวิวกันนิดหน่อย แต่เพื่อนของเราพลัดตกลงไปในน้ำ เราเห็นตรงนี้มันแห้งเลยพาเธอขึ้นมาก่อน


รูบี้เล่าเป็นเรื่องเป็นราวอย่างลื่นไหล แม้ช่วงหลังจะฟังดูแปลก ๆ ไปบ้างแต่ก็หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่จ้องจับผิดกันในสถานการณ์ที่เกิดอุบัติเหตุเช่นนี้


แถวนี้มีโรงพยาบาลหรือเปล่าครับ


แมคเคนซีรีบถาม ไม่ว่าจะถูกตั้งแง่สงสัยอย่างไร เวลานี้เขาควรพาคีธไปโรงพยาบาลก่อน


ไม่มีหรอก โรงพยาบาลอยู่ในเมืองนู่น กว่าจะถึงก็เกือบชั่วโมง……


ชายวัยกลางคนกอดอกมองคนต่างถิ่นทั้งสามคนด้วยสายตาเคลือบแคลง โดยเฉพาะแผลบนใบหน้าของแมคเคนซีแล้วถอนหายใจยาว


“เอาล่ะ เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยทีหลัง บ้านฉันอยู่ในหมู่บ้านไม่ไกลจากตรงนี้ ให้นังหนูไปผิงไฟก่อน แล้วจะเอายังไงต่อค่อยว่ากัน”


“ขอบคุณมากนะครับ !


“น้ำใจช่างงามนัก ขอบคุณท่านลุงมาก”


เรียกลุงเลยเรอะ ฉันเพิ่งสี่สิบต้น ๆ เองยัยหนู


ด้วยความที่ร่างกายกำยำแข็งแรง ชายผู้ถือว่าเป็นคนในพื้นที่ช่วยอุ้มคีธที่มีผ้าหลายชั้นคลุมตัวอยู่ไปขึ้นรถ แล้วพวกเขาก็เดินทางไปยังหมู่บ้านแถบชานเมืองฟอร์ทพรอวิเดนซ์ที่อยู่ไม่ไกล

.


.

-09:53PM.-


สุดท้ายแล้ววันนี้ก็จบลงโดยที่พวกเขายังไม่ได้เดินทางต่อไปไหน แม้ว่าคีธจะรู้สึกตัวแล้ว แต่จากการโดนน้ำเย็นเฉียบพลันทำให้สภาพร่างกายของเธอยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร หลังจากสอบถามที่มาของแผลบนใหน้าแมคเคนซีแล้ว (ซึ่งรูบี้แต่งเรื่องว่าแมคเคนซีช่วยปกป้องเธอและคีธจากการโดนพวกอันธพาลเจ้าถิ่นรังแกขณะเดินทาง) ‘ทราวิส’ ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านและช่วยเหลือพวกเขาไว้จึงเสนอให้ค้างคืนสักวันก่อนเพื่อดูอาการของคีธ ให้แน่ใจว่าเธอจะไม่เกิดภาวะช็อคจากอุณหภูมิเย็นจัดขึ้นมา เนื่องด้วยทราวิสเป็นชายวัยกลางคนยังไม่มีครอบครัว ภายในบ้านของชายโสดที่ไม่อาจออกเรือประมงไปหาปลาในช่วงหน้าหนาวจึงยังพอรองรับแขกแปลกหน้าทั้งสามคนได้


ด้วยความที่นอนน้อยมาตั้งแต่เมื่อคืน มาวันนี้จากที่ตั้งใจว่าจะเดินทางไปให้ถึงเยลโลวไนฟ์แล้วค่อยพักผ่อนแต่ก็ดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน แมคเคนซีที่นอนตรงโซฟาในห้องนั่งเล่นกับแอนดี้จึงตั้งใจว่าคืนนี้จะเข้านอนไวสักหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ลืมที่จะส่งข้อความถึงคนรักอีกครั้ง


Mackenzie : ฉันยังอยู่ที่เดิมอยู่เลย เกิดอุบัติเหตุขึ้นนิดหน่อย

Mackenzie : พวกเราเจอมอนสเตอร์ คีธเลยตกน้ำ

Mackenzie : นายคิดสภาพตัวเองเอามือไปแช่ในน้ำแข็งที่เพิ่งละลายจากช่องฟรีซดูสิ

Mackenzie : อาจจะเย็นกว่านั้นด้วยซ้ำ

Mackenzie : แต่เธอดีขึ้นแล้ว และฉันปลอดภัยดี ไม่ต้องห่วงนะ


พออ่านทวนข้อความแล้วก็เกรงว่าดีนจะตกใจจนไม่เป็นอันทำอะไร เลยพิมพ์มุกตลกที่ไม่รู้ว่าจะฝืดสำหรับอีกฝ่ายหรือเปล่าต่ออีกหน่อย


Mackenzie : คุณทราวิสคนที่ให้ที่พักพวกฉันบอกว่า แม่น้ำใกล้หมู่บ้านที่พวกเราอยู่ชื่อแมคเคนซี

Mackenzie : รูบี้บอกว่าชื่อฉันเป็นที่นิยมมากจริง ๆ

Mackenzie : แต่ฉันคิดว่ามันเป็นชื่อที่โหลสุด ๆ เลยมากกว่า

Mackenzie : ฉันว่าวันนี้จะนอนเร็วสักหน่อย นายอย่าลืมเล่าเรื่องของนายให้ฉันฟังบ้างนะ

Mackenzie : ฉันอยากฟังทุกเรื่องของนายเลยที่รัก


จากข้อความล่าสุดของดีนที่บอกว่ากำลังจะออกเดินทาง แมคเคนซีจึงไม่แน่ใจว่าตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ตรงไหน และไทม์โซนต่างกันมากเท่าไหร่ เขาจึงเลี่ยงที่จะพิมพ์คำว่า ‘ราตรีสวัสดิ์’ ไป ดูเหมือนว่าผู้คนในหมู่บ้านนี้จะเข้านอนกันไว เพียงแค่หัวค่ำบ้านเกือบทุกหลังก็ปิดไฟนอนกันแทบหมดแล้ว รวมถึงทราวิสและเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนก็เช่นกัน หลังจากส่งข้อความเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเข้านอน




ท่วงทำนองเสนาะหูดังแว่ว จากที่กำลังจะนอนก็ชวนให้สงสัยขึ้นมาว่าเสียงอันไพเราะขนาดนี้ดังมาจากที่ใด แมคเคนซีนอนฟังอยู่สักพัก ในที่สุดก็หักห้ามใจไม่ไหว เขาลุกขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่างแต่กลับไม่เห็นใครสักคน ราวกับดนตรีนั้นมีเวทมนตร์จนใคร่รู้เหลือเกินว่าผู้ใดกันที่รังสรรค์บทเพลงนี้ สายเลือดแห่งเฮคาทีมองลูกก็อบลินที่หลับสนิทแล้วค่อย ๆ เปิดประตูบ้านเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ลืมที่จะหยิบอาวุธคู่กายติดตัวมาด้วยเผื่อพบเหตุอันคาดไม่ถึง เดมิก็อดหนุ่มตามต้นเสียงที่ลอยมาตามลมนั้นไป น่าแปลกที่นอกจากเขาแล้วก็มีเพียงกลุ่มสาวงามเกินมนุษย์ที่กำลังเดินไปในทิศทางเดียวกัน แม้จะเริ่มสังหรณ์ใจถึงความผิดปกติ แต่แมคเคนซีก็หยุดความสงสัยของตนเองไม่ได้แล้ว




สรุปสถานการณ์

-ปะทะกับกอร์กอนและลาเมีย คีธได้รับบาดเจ็บ

-พักที่บ้านของชาวบ้านในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ฟอร์ทพรอวิเดนซ์

-แมคเคนซีได้ยินเสียงดนตรี และเดินไปหาที่มาของเสียง


ตื่นรู้ +4  :  จากการพิชิต กอร์กอน และ ลาเมีย เป็นครั้งแรก

สินสงคราม [LUK 60+] : เลือดกอร์กอน 7

เกร็ดลาเมีย 3







✿ Elli

แสดงความคิดเห็น

God
หลังบรรเลงกว่าชั่วโมง เขาก็หันมาทักทายด้วยนามของคุณ ก่อนลุกขึ้น "เจ้าสะดวกเดินเล่นกับข้าสักครู่ไหม"   โพสต์ 2025-3-27 10:30
God
คุณเดินเข้าป่าลึกจนไปพบเจอกับบุรุษผู้สวมอาภรณ์เสื้อยืดสบายๆ นั่งเป่าขลุ่ยบนโขดหิน รายล้อมด้วยเหล่าสัตว์นานาชนิด แวบแรกในหัวคุณเข้าใจว่าเขาคือแพน เทพแห่งป่าที่ฟื้นกลับมา (แต่ไม่ใช่)   โพสต์ 2025-3-27 10:29
God
คุณตามเสียงนั้นเรื่อยมาจนเดินเข้าป่าที่มีหมอกปกคลุม แต่ฝูงสัตว์นานาชนิดต่างวิ่งมาล้อมตัวคุณและเดินตามคุณไปยังทิศเสียงขลุ่ย   โพสต์ 2025-3-27 10:27
โพสต์ 181773 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-3-27 00:27
โพสต์ 181,773 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความกล้า จาก เสื้อกันหนาวมีฮู้ด  โพสต์ 2025-3-27 00:27

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +4 ย่อ เหตุผล
God + 4

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส
น้ำหอมเฮคาที
เหรียญนกฮูก
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x2
x7
x10
x10
x7
x2
x9
x6
x4
x3
x70
x4
x10
x6
x12
x6
x18
x3
x55
x9
x189
x14
x14
x12
x45
x18
x5
x5
x5
x2
x5
x2
x11
x20
x10
x10
x2
x2
x2
x4
x1
x3
x12
x6
x2
x5
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x13
x2
x4
x4
x2
x1
x16
x145
x192
x10
x6
x10
x10
x16
x55
x80
x1
x1
x1
x4
x3
x1
x1
x1
x1
x5
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้