[บันทึกการเดินทาง] คำพยากรณ์บทแรก: ตรีศูลที่หายไป

[คัดลอกลิงก์]

หากท่านเป็นกึ่งเทพผู้หลงทาง สามารถสมัครสมาชิกเข้าร่วมกับเราได้ที่นี่ https://t.me/+etLqVX17bGg5ZjBl

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2024-12-27 06:46







โทสะแห่งท้องทะเลเกรี้ยวกราด ศูนย์กลางถูกช่วงชิง
ก่อเกิดความโกลาหลแก่เจ็ดคาบสมุทร ฝนฟ้าคะนองมิต้องตามฤดูกาล
มหานครที่มิเคยหลับใหล จักเป็นดั่งแอตแลนติส
โลกจะถูกกลืนกินด้วยคลื่นแห่งความเรี้ยวกราด
หากศาสตราสมุทรเทพมิคืนสู่แอตแลนติส ก่อนครีษมายัน...

พึงมุ่งหน้าสู่ตะวันตก นครแห่งคนบาปและสีสัน
พึงระวังการถูกล่อลวงจากบุตรแห่งเทพจอมโป้ปด
เจ้าจักได้พบเจอสตรีผู้หลงยุค พึงระวังการสิงสู่
เจ้าจักถูกล่อลวงโดยซาตาน แต่จักได้ของที่หายไป....
จงมุ่งหน้าสู่นครแห่งวัยรุ่นและความหวัง
พุ่งหาหมอกยามรุ่งอรุณ หยุดยั้งบุตรแห่งเทพโป้ปด
พึงเลือกโชคชะตา โทสะแห่งสมุทรเทพหรืออสุรกายห้วงทะเลลึก
ภารกิจเจ้าจักสำเร็จ และ ล้มเหลวในเวลาเดียวกัน

หมายเหตุ: บันทึกฉบับนี้เขียนด้วยสมาชิก 3 คน 
รูปแบบการเขียนของแต่ละวันจึงอาจแตกต่างกัน

#PercyJacksonไทย #ตรีศูลที่หายไป #คำพยากรณ์โพไซดอน




ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล
บุตรแห่งโพไซดอน

 บอกเลยว่าฟังคำพยากรณ์แล้วช็อค ไม่อยากจะเชื่อว่าพ่อที่ใจดีกับผมจะโมโหร้ายได้ขนาดนี้ พอจะรู้ว่าพ่อทำเรื่องดี ๆ ไว้เยอะ แต่ก็ทำเรื่องงี่เง่าไว้มากมายพอกัน
แต่โทษพ่ออย่างเดียวก็ไม่ได้หรอก เพราะว่าพ่อถือเป็นเหยื่อผู้เสียหายในคดีนี้ หวังว่าผมจะทำภารกิจสำเร็จ ไม่ได้ออกไปตายข้างนอกค่ายนะ...
แต่ถ้ามีบันทึกออกมา ก็แปลว่าผมยังรอดอยู่ไงล่ะ!!!

 แค่อยากไปทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อปกป้องโลกใบนี้ไว้ไม่ให้เกิดสงครามระหว่างเทพ ฉันเองก็เตรียมพร้อมลุยเต็มข้อ และใช่ มีแต่ลิฟต์เท่านั้นแหละที่เอาฉันลงอ่ะจังหวะนี้

ส่วนไอ้คนขโมยตรีศูลพ่อน่ะ ฉันอยากบอกว่า 
'คนโดนฝนอาจเป็นหวัด คนโดนซัดอาจเป็นคุณ ;p'

 
ไบร์ท เอมส์
ธิดาแห่งโพไซดอน


เดม่อน แคนเนลท์
บุตรแห่งอะโฟรไดท์

 

ไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่รู้สึกตื่นเต้น
อยากจะออกไปปะทะกับหัวขโมยตรีศูล วัดกันสักตั้งแล้ว !!




<พลิกหน้าปกเพื่ออ่านรายละเอียดภารกิจ>

เอกสารอนุมัติการออกเดินทาง | พล็อตภารกิจ




แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 13743 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-5-10 05:46
โพสต์ 2024-5-15 12:42:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-7-14 00:57

142

DAY 1: จากลองไอแลนด์ ถึง พิตต์สเบิร์ก


ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล

ผู้จดบันทึกวันที่ 1



             ผม ดีน นีล บุตรแห่งเทพโพไซดอน ขอเรียกชื่อตัวเองสั้น ๆ แค่นี้ เป็นผู้รับผิดชอบเขียนบันทึกในวันแรกของการเดินทาง


             ในเมื่อบันทึกฉบับนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญแก่รุ่นน้องรุ่นหลัง ๆ ให้ได้ศึกษาต่อเป็นแนวทางการรับภารกิจเดินทางของแต่ละคน ผมจึงอยากจะเปิดบันทึกด้วยการเล่าเรื่องตั้งแต่วันแรกที่ได้รับสัญญาณเตือนแปลก ๆ , การรับคำพยากรณ์, การเตรียมตัว และจบบันทึกของวันแรกในการเดินทาง ซึ่งก็คือวันที่ 15 พฤษภาคม 2024 และจากนั้นบันทึกฉบับนี้จะส่งให้แก่สมาชิกในทีมได้เขียนต่อ ซึ่งพวกเราทั้งสามอันได้แก่ ผม (ดีน นีล), ไบร์ท เอมส์ และเดม่อน แคนเนลท์ จะสลับกันเขียนคนละวัน


             จากที่เกริ่นมาข้างต้นจึงทำให้พาร์ทการเขียนบันทึกการเดินทางวันที่ 1 ของผมอาจจะมีวันที่แสดงอยู่หลายวัน กรุณาอย่าสับสน






             [ 30 เมษายน 2024 ]


             ขอเริ่มเรื่องราวตั้งแต่วันนี้เลยก็แล้วกัน มันเป็นวันที่ผมรู้สึกได้ว่ามีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับตัวเอง ซึ่งความจริงมันมีสัญญาณเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้วหลายวัน เริ่มมาจากที่มีโลมาตัวหนึ่งบอกกับผมว่า “คุณพ่อ (จากนี้จะใช้แทนชื่อ เทพโพไซดอน) กำลังโมโหที่ทำของสำคัญหาย” ไม่เพียงเท่านั้นตอนที่ผมกำลังปลดล็อกพลังแห่งสายเลือดยังได้ยิน เสียงแว่ว ๆ ลอยมาตามกระแสจิตกล่าวว่า “ตรีศูล” และ “คำพยากรณ์” ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ไม่ชัดจนผมไม่สามารถจับใจความได้


             เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 30 เมษายน 2024 ก็คือ วันนี้ผมได้มาสักการะขอพรที่รูปปั้นคุณพ่อประจำบ้านโพไซดอน ผมได้รับการให้พลังตามปกติ แต่สิ่งที่ผิดปกติก็คือกระแสพลังอันเกรี้ยวกราดที่บังเอิญหลุดกระทบมาถึงผมอย่างน่าหวาดกลัว เพียงแค่เสียงตะโกนของเทพเจ้าจากสถานที่อันห่างไกลก็สามารถทำให้ผมเลือดกำเดาไหลได้ ผมรู้ว่าคุณพ่อไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายผม แต่อยากให้ทุกคนได้ระวังโทสะจากเทพเจ้า






             [ 2 พฤษภาคม 2024 ]


             ผมเอาแต่คิดมากอยู่สองวันจนได้รับคำแนะนำจากรุ่นพี่ ไพเพอร์ แม็กลีน ธิดาแห่งเทพีอะโฟรไดท์ ซึ่งเป็นครูฝึกวิชามีดสั้นอยู่ ณ ขณะนี้ เธอแนะนำให้ผมไปหาเทพพยากรณ์เดลฟีที่บ้านถ้ำบริเวณทางเข้าป่าทิศเหนือ เจ้าของบ้านถ้ำหลังนี้คือ คุณเรเชล อลิซาเบธ แดร์ บทบาทสำคัญของเธอคือเทพพยากรณ์แห่งเดลฟี ใจความของคำพยากรณ์มีอยู่ว่า


โทสะแห่งท้องทะเลเกรี้ยวกราด ศูนย์กลางถูกช่วงชิง

ก่อเกิดความโกลาหลแก่เจ็ดคาบสมุทร ฝนฟ้าคะนองมิต้องตามฤดูกาล

มหานครที่มิเคยหลับใหล จักเป็นดั่งแอตแลนติส

โลกจะถูกกลืนกินด้วยคลื่นแห่งความเกรี้ยวกราด

หากศาสตราสมุทรเทพมิคืนสู่แอตแลนติส ก่อนครีษมายัน...


พึงมุ่งหน้าสู่ตะวันตก นครแห่งคนบาปและสีสัน

พึงระวังการถูกล่อลวงจากบุตรแห่งเทพจอมโป้ปด

เจ้าจักได้พบเจอสตรีผู้หลงยุค พึงระวังการสิงสู่

เจ้าจักถูกล่อลวงโดยซาตาน แต่จักได้ของที่หายไป....

จงมุ่งหน้าสู่นครแห่งวัยรุ่นและความหวัง 

พุ่งหาหมอกยามรุ่งอรุณ หยุดยั้งบุตรแห่งเทพโป้ปด

พึงเลือกโชคชะตา โทสะแห่งสมุทรเทพหรืออสุรกายห้วงทะเลลึก

ภารกิจเจ้าจักสำเร็จ และ ล้มเหลวในเวลาเดียวกัน


             เมื่อได้รับคำพยากรณ์แล้วผมก็รีบไปปรึกษากับผู้อำนวยการไครอนในทันที ผู้อำนวยการช่วยตีความคำพยากรณ์หลายอย่าง (ตามเอกสารแนบ) เขาแนะนำให้ผมไปขอรับอาหารเทพจากสถานพยาบาลและให้เงินทุนสำหรับการเดินทางมาจำนวนหนึ่ง หลังจากวันนี้เป็นต้นไปจะเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง








             [ 5 พฤษภาคม 2024 ]


             ผมขอใช้บริการอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่กระท่อมหมายเลข 11 เพื่อจัดสรรตารางเดินทางแบบคร่าว ๆ แล้วพิมพ์ออกมา เนื่องจากบุตรแห่งเทพโพไซดอนไม่สามารถนั่งเครื่องบินได้พวกเราจึงจำเป็นจะต้องโดยสารทางบก เช่น รถประจำทาง หรือรถไฟ แต่เมื่อคำนวนจากตัวแปรหลายอย่างแล้วการโดยสารรถประจำทางจะมีความยืดหยุ่นและราคาถูกกว่ารถไฟมาก ด้วยงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดจึงจำเป็นต้องเลือกทางนั้น ผมทำแผนการเดินทางไว้ถึงแค่ลาสเวกัส (ตามเอกสารแนบ) เนื่องจากไม่รู้ว่าจะเสียเวลาที่ลาสเวกัสไปเท่าไร นอกจากนี้จึงมีเพียงแค่การคำนวนค่าใช้จ่ายไปซานฟรานซิสโกจนไปส่งตรีศูลที่ไมอามี่ และกลับไปที่ค่ายฮาล์ฟบลัดเพียงเท่านั้น


             นอกจากนั้นผมยังพยายามตีความ “อสุรกายจากจากห้วงทะเลลึก” ซึ่งอาจได้ปะทะในวันหลัง ๆ เพื่อหาแนวทางการรับมือ หลังจากที่ตัดตัวเลือกต่าง ๆ ออกไปจนหมดแล้วก็เหลืออสุรกายที่อาจจะใช่อยู่สี่ตัว คราเคน, คธุลฮู, เลวีอาธาน และก็อตซิลลา ซึ่งผมคาดการณ์ว่าอสุรกายตามคำพยากรณ์อาจหมายถึง “คธุลฮู” เพราะอาศัยอยู่ในแถบมหาสมุทรแฟซิฟิก ใกล้เคียงกับสถานที่ตั้งอย่างซานฟรานซิสโกมากที่สุด เมื่อถึงวันนั้นคงต้องลองดูว่าคำคาดการณ์ของผมจะถูกต้องหรือไม่ ซึ่งผมขอให้ผิด


             หลังจากวางแผนการและศึกษาข้อมูลมาอย่างคร่าว ๆ แล้วผมก็ทำการชวนสมาชิกในทีมอีก 2 คน ซึ่งก็คือ  ไบร์ท เอมส์ (ธิดาแห่งเทพโพไซดอน) และเดม่อน แคนเนลท์ (บุตรแห่งเทพีอะโฟรไดท์) ตามที่กล่าวข้างต้น ต้องขอบคุณทั้งสองคนมาก ๆ ที่ตอบรับคำชวนภารกิจที่อันตรายนี้








             [ 8 พฤษภาคม 2024 ]


             ผมไปที่โรงหลอมเหล็กของค่ายเป็นครั้งแรกเพื่อเรียนรู้การหลอมสินสงครามเป็นแร่สัมฤทธิ์เวท การเคลียร์กระเป๋าเดินทางให้วางไว้อยู่เสมอก็ถือเป็นหนึ่งในการเตรียมการสำคัญก่อนออกเดินทางไกล ผมได้รับบทเรียนมาจากภารกิจก่อนหน้าแล้วว่าเดินทางไม่กี่วันแต่กระเป๋าเต็มไปด้วยสินสงครามอย่างรวดเร็วมาก






             [ 9 พฤษภาคม 2024 ]


             วันนี้เป็นวันแรกที่ผมได้ลองทดสอบการสร้างฟองอากาศ ผมคิดว่าทักษะนี้คือกลยุทธ์สำคัญในการเข้าสู่คาสิโนโลตัสโดยไม่สูดดมละอองดอกบัวที่ทำให้เกิดอาการลืมเลือน ผมได้ทำการทดสอบนี้โดยใช้เทียนหอมแทนกลิ่นละอองดอกบัว โดยอ้างอิงจาก ทฤษฎีแรงตึงผิว สามารถอธิบายอย่างง่าย ๆ ได้ว่า แรงตึงผิว คือแรงที่เกิดขึ้นบริเวณที่ผิวของของเหลวสัมผัสกับของเหลวอื่น ซึ่งมีขนาดสัมพันธ์กับแรงยึดติดและแรงเชื่อมแน่น ทำให้เกิดเป็นลักษณะคล้ายกับแผ่นบาง ๆ ที่สามารถต้านแรงดึงได้เล็กน้อย มีทิศขนานกับผิวของเหลวและตั้งฉากกับเส้นขอบที่ของเหลวสัมผัส เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นความตึงผิวของเหลวจะมีค่าลดลง


             จากการทดลองกว่า 30 ครั้งได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจในระดับหนึ่ง ผิวของฟองอากาศสามารถกั้นขวางกลิ่นจากเทียนหอมไม่ให้เข้ามาด้านในฟองได้ในระดับหนึ่ง ตัวฟองอากาศค่อนข้างจะบอบบางจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และจำเป็นต้องเพ่งสมาธิควบคุมฟองอากาศอยู่ตลอดเวลาโดยห้ามมิให้คลาดสายตาโดยเด็ดขาด  ซึ่งค่าเฉลี่ยจากการทดลองสร้างฟองอากาศจำนวน 3 ฟอง จากการทดลอง 30 ครั้ง ใช้เวลาควบคุมฟองอากาศเฉลี่ยที่ 8 นาที 3 วินาที อาจไม่เพียงพอสำหรับการตามหาคนในคาสิโนโลตัส อาจต้องมีแผนสำรอง อาทิ ผลัดกันสร้างฟองอากาศกับไบร์ท ซึ่งอาจจะซื้อเวลาได้นานขึ้นมาอีกนิดหน่อย


             แม้ผมคิดอยู่หลายครั้งว่าการพยายามในครั้งนี้อาจล้มเหลวเมื่อไปอยู่หน้างานจากข้อจำกัดต่าง ๆ ที่มากเกินไป แต่คงดีกว่าการที่เราจะไม่ทำอะไรเลยแล้วพึ่งพาแต่โชคชะตาเพียงอย่างเดียว


             ในวันนี้ผมแชร์ความคิดเห็นกับสมาชิกในค่ายฮาล์ฟบลัดคนหนึ่งที่ไม่ประสงค์ออกนาม ถึงผลของเหตุการณ์หากว่าภารกิจการตามหาตรีศูลล้มเหลว อาจเกิดสงครามระหว่างทวยเทพที่สร้างความเสียหายมากกว่าสึนามิถล่มนิวยอร์ก ผมจึงคิดว่าควรจะรวบรวมพันธมิตรกับเหล่าทวยเทพที่มีความเกี่ยวข้อเอาไว้แต่เนิ่น ๆ ช่วงเวลาที่เหลืออีก 5 วัน ผมจึงจำเป็นต้องเข้าออกเตาไฟบูชาเทพมากหน่อย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวจะได้ผลหรือไม่อีกเช่นกัน แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลองซื้อใจเทพเจ้าให้ได้รับการเอ็นดู


             ซึ่งเทพเจ้าที่ผมวางแผนจะสานสัมพันธ์ด้วยได้แก่ เทพีแอมฟิไทรต์, เทพฮาเดส, เทพเฮอร์มีส, เทพีอะโฟรไดท์, เทพีไอริส, เทพีคิโอน่า และเทพีไนกี้






            [ 11 พฤษภาคม 2024 ]


             ทำการฝึกพลังควบคุมน้ำนอกสถานที่เป็นครั้งแรกที่ชายหาดทางทิศเหนือ ในวันนี้มีผู้ช่วยทดสอบ 2 คน คือ อเล็กเซย์ เดอ ลีออง (บุตรแห่งเทพซุส) และเลนน็อค เทย์โคลิส พวกเขาทั้งสองเป็นนักเรียนคลาสหอกและโล่ ต้องขอขอบคุณครูฝึก โซเฟีย คลาร์ก ที่มีกรุณาธิคุณช่วยหาอาสาสมัครมาให้ผมฝึกซ้อม 


             เริ่มแรกผมพยายามที่จะควบคุมน้ำให้อาสาสมัครทั้งสองสามารถยืนและเคลื่อนไหวบนผิวน้ำได้อย่างอิสระเนื่องจากอาจมีสมรภูมิรบกลางทะเลรออยู่ หรือหากไม่ใช่ก็ยังสามารถประยุกต์ใช้ได้กับสถานการณ์ที่หลากหลาย การควบคุมพลังจดจ่อสมาธิไปยังคน 2 คน นั้นทำได้ยากมาก ผมสามารถซัพพอร์ตอาสาสมัครได้เพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น พวกเราฝึกกันอยู่นานจนผมพอที่จะสร้างทางน้ำให้อาสาสมัครหนึ่งในสองคนนั้นวิ่งไปมา


             ผมฝึกการควบคุมน้ำกับ เลนน็อค กันจนถึงวันที่ 14 พฤษภาคม 2024 ถือว่าพลังการควบคุมน้ำของผมทำได้เสถียรขึ้นกว่าวันแรก ๆ มากในเวลาอันสั้น ไม่เพียงแค่ควบคุมความหนาแน่นของน้ำเพื่อทรงตัว แต่ยังสามารถประยุกต์ใช้ในการต่อสู้รูปแบบอื่น ๆ ได้อีกด้วย






             [ 15 พฤษภาคม 2024 ] (วันออกเดินทาง)

             


             6.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             ผมตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่เช้า โดยการออกจากเขตบ้านพักไปยังโถงอาหารเพื่อรับแซนวิชตามที่ได้ร้องขอแม่ครัวประจำค่ายไว้ตั้งแต่เมื่อคืน จากนั้นก็แวะบูชาเทพโพไซดอน หรือจากนี้ผมจะเรียกว่าคุณพ่อ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการเดินทาง จากนั้นจึงไปรอสมาชิกในทีมยังจุดนัดหมายที่หน้าค่ายฮาล์ฟบลัด เพื่อไปขึ้นรถประจำทางที่ป้ายรถให้ทันเวลา 8.00 น.



             8.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             เดม่อนเสนอความคิด “ให้นั่งรถแท็กซี่ของสามพี่น้องสีเทา” ไปในตัวเมืองนิวยอร์ก ผมและไบร์ทไม่ทราบว่าบริการดังกล่าวคืออะไร เดม่อนจึงอธิบายต่อว่า “เป็นรถแท็กซี่ที่เร็วที่สุดในนิวยอร์ก ขับโดยหญิงชรา 3 คนที่ตาบอดโดยมีดวงตาเพียง 1 ดวงที่ใช้มองทาง”


             ถ้าหากให้เลือกความเร็วกับความปลอดภัยผมขอเลือกความปลอดภัยเป็นอันดับแรก แต่แพ้โหวตความเห็นจากผู้ร่วมเดินทางทั้งสอง


             ไบร์ทให้ความคิดเห็นว่า “ขอโหวตความเร็ว จะได้กระตุ้นอะดรีนาลีนให้ร่างกายตื่นตัว สำหรับต่อสู้กับอสุรกายที่ต้องมีมาตลอดทางแน่ ๆ” 


             และความคิดเห็นจากเดม่อน “ถึงจะฟังดูไม่ปลอดภัย แต่ถ้าที่หมายเป็นภายในนิวยอร์กรับรองว่าปลอดภัยหายห่วง ถ้าต้องขึ้นไปจริง ๆ ขอไม่นั่งติดประตู” 


             เมื่อความเห็นตามระบอบประชาธิปไตยเสียงส่วนใหญ่ชนะเสียงส่วนน้อย เดม่อนจึงผิวปากเรียกแท็กซี่ของสามพี่น้องสีเทาให้มารับ ผมเห็นว่าภายนอกเหมือนกับรถแท็กซี่ธรรมดา ๆ ที่โซนคนขับแถวหน้าคอนโซลรถเบียดเสียดไปด้วยหญิงชรา 3 คน พวกเธอตาบอดจริงด้วย พูดตรง ๆ เลยว่าผมไม่ไว้ใจเลยจริง ๆ แต่ก็จำเป็นต้องเสียสละนั่งติดประตู (เมื่อถึงเวลาจริงเดม่อนที่ปฏิเสธการนั่งติดประตูในตอนแรก กลับเลี่ยงที่จะนั่งกลาง โดยขอนั่งติดประตูอีกด้านแทน ผู้ที่นั่งกลางจึงกลายเป็นไบร์ท) ราวกับว่าความทรงจำของผมจะขาดหายไปชั่วขณะตามความเร็วของแท็กซี่โดยสารที่ซิ่งเร็วเสียจนร้องไม่ออก รู้ตัวอีกก็มาถึงสถานีขนส่งรถประจำทางในนิวยอร์กโดยใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น


             ความคิดเห็นจากผู้เขียนบันทึก: แท็กซี่ของสามพี่น้องสีเทามีความเร็วเกินกว่าจะจินตนาการได้ เป็นอันตรายมากอาจช็อคได้ด้วยแรง G ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจ แรงเหวี่ยงภายในรถแท็กซี่อาจทำให้กระดูกคอเคลื่อนได้ ผมจึงไม่แนะนำให้เดมิก็อดคนไหนโดยสารรถแท็กซี่เจ้านี้อีก เว้นแต่ต้องการความเร็วในระดับที่รอไม่ได้ การประหยัดเวลาไป 2 ชั่วโมง 30 นาที แต่แลกกับชีวิตไม่คุ้มกัน


             ผมไม่กล้าถามความคิดเห็นจากเพื่อนร่วมทีม แต่ดูเหมือนว่าไบร์ทจะเข็ดขยาดกับแท็กซี่เจ้านี้เช่นเดียวกันกับผม ส่วนเดม่อนที่มาด้วยกันอยู่ ๆ ก็กลายร่างเป็นสุนัขพันธุ์มอลที เจ้าตัวให้การภายหลังว่าช่วงนี้ฝึกวิชาแปลงร่างอยู่ ในนาทีนั้นอาจจะตกใจจัดจนร่างกายแปลงเป็นสุนัขชั่วคราว



              10.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             พวกเราขึ้นรถบัสจากสถานีนิวยอร์กและต้องไปต่อรถที่เมืองฟิลาเดเฟีย โชคดีที่คนขับรถอนุญาตให้สุนัขขึ้นรถได้โดยไม่ต้องมีสายจูงไม่อย่างนั้นต้องลำบากแน่ ๆ ตลอดเส้นทางปราศจากการคุกคามจากศัตรูไม่ว่าจะเป็นบุตรแห่งเทพโป้ปดตามคำพยากรณ์ หรือไม่ว่าจะเป็นอสุรกายรายทาง เส้นทางนี้ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 4 ชั่วโมง 30 นาที จึงมีเวลาได้งีบพักกันบ้าง



             14.30 น. (เวลาโดยประมาณ)


             รถบัสได้มาถึงเมืองฟิลาเดเฟียโดยสวัสดิภาพ มีเวลา 1 ชั่วโมงสำหรับรอต่อรถคันต่อไป พวกเราจึงแวะพักทานอาหารง่าย ๆ และเข้าห้องน้ำกัน


             ผมขอแยกจากทีมไปเข้าห้องน้ำที่ด้านหลังสถานีรถบัสเพียงลำพังก็ได้พบกับอุปสรรคแรกคอยรังควาน เงาของบุตรแห่งเทพโป้ปดปรากฏตัวขึ้น ผมเคยเห็นใบหน้านี้มาก่อน มันคือคนที่อ้างชื่อของ “ลุค คาสเทลแลน” ในภารกิจตามหาพัสดุที่สูญหายของเทพเฮอร์มีส ผมทราบมาจากเทพเฮอร์มีสเองเลยว่าลุคตัวจริงเสียชีวิตไปได้หลายปีแล้ว ดังนั้นตัวการจึงน่าจะเป็นบุตรแห่งเทพสักองค์ที่ไม่ใช่เทพเฮอร์มีสอย่างแน่นอน


             ผมและ “ไอ้เวรนั่น” (จากนี้จะใช้แทนชื่อ “บุตรแห่งเทพโป้ปด” ซึ่งไม่ใช่คำหยาบแต่ประการใด) ปะทะกันในห้องน้ำสาธารณะ ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกคล้ายกับว่าไอ้เวรนั่นพยายามจะจับตัวผมไป ไอ้เวรนั่นใช้พลังคล้ายกับเส้นด้ายที่มองไม่เห็นตรึงผมไว้กลางอากาศตอนนั้นรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแมลงที่กำลังจะถูกแมงมุมจับกิน แต่ห้องน้ำคือถิ่นของผม (หมายความว่ามีน้ำเยอะ) ผมจึงเรียกใช้พลังแห่งสายน้ำจากโถชักโครกพุ่งเข้าใส่ จะด้วยความสกปรกหรืออะไรไม่อาจทราบได้ ไอ้เวรนั่นผงะถอยหลังไปทำให้ผมหลุดออกจากพันธนาการที่มองไม่เห็น ผมวิ่งไล่เปิดก๊อกน้ำทุกก๊อกที่อ่างล้างมือ จากนั้นก็ควบคุมน้ำจำนวนมากสร้างกระสุนยิงใส่ไอ้เวรนั่นจนผมจับทางได้ว่าไอ้เวรนั่นเป็นเพียงแค่เงาของภาพมายา ผมจึงกล้าที่จะใช้อาวุธสัมฤทธิ์เข้าสู้และปราบเงาของไอ้เวรนั่นลงได้อย่างไม่ยากเย็น


             ไม่มีความเสียหายในพื้นที่นอกจากค่าน้ำที่อาจจะเยอะขึ้น และน้ำที่เจิ่งนองเต็มพื้นห้องน้ำ แต่หลังจากการต่อสู้จบลงผมก็ปิดก๊อกน้ำทุกก๊อกจนแน่นสนิทดี


             ออกมาจากห้องน้ำได้เพียงไม่กี่ก้าวก็เจอเรื่องที่น่างุนงงเข้าอีกเรื่อง ผมเห็นพายุงวงช้างลูกไม่ใหญ่มากพัดวนอยู่ในซอยของตรอกใกล้ ๆ ตามด้วยเสียงการปะทะ และเสียงคำรามของสัตว์ร้าย ด้วยความที่เป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติจึงวิ่งไปดู ผมเห็นสุนัขสีขาวตัวหนึ่ง (น่าจะพันธุ์อเมริกันเชพเพิร์ด) กำลังต่อสู้อยู่กับราชสีห์นีเมียน ผมมองให้แน่ใจอีกครั้งเพื่อให้รู้ว่าตาไม่ได้ฝาดไป ตอนแรกผมคิดว่าเป็นอสุรกายต่อสู้แย่งถิ่นฐานกัน แต่อะไรบางอย่างในใจบอกให้ผมเข้าไปช่วยสุนัขตัวนั้น ผมและสุนัขสีขาวจึงรวมพลังกันพิชิตราชสีห์นีเมียนลงได้ เป็นการต่อสู้ที่น่าประทับใจเป็นอย่างมาก ด้วยความประทับใจนี้ผมจึงแอบถ่ายรูปมันเอาไว้ด้วย (ตามเอกสารแนบ)





             15.15 น. (เวลาโดยประมาณ)


             เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 15 นาทีที่รถบัสจะออกเดินทาง ผมที่เพิ่งต่อสู้กับทั้งไอ้เวรนั่นและราชสีห์นีเมียนเสร็จก็รีบกลับไปรวมกลุ่มกับพรรคพวก โดยมีสุนัขตัวนั้นไล่ตาม มันเป็นสุนัขที่ใช้ลมพายุได้ หน้าตาดูฉลาดเฉลียว แถมยังเป็นมิตร มีความประหลาดอีกอย่างหนึ่งคือที่สีข้างของมันมีรอยสักรูปสายฟ้าสลักอยู่ในผิวหนัง ผมมั่นใจว่าไม่ใช่การย้อมสีขนแน่ ๆ


             เมื่อกลับมารวมกลุ่ม เดม่อนที่ยังไม่กลับร่างเป็นคนเข้าไปคุยกับสุนัขตัวนั้นด้วยภาษาหมา อยากฟังรู้เรื่องชะมัด พูดตรง ๆ ผมรู้สึกอิจฉาที่เดม่อนแปลงร่างเป็นสุนัขได้ ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดีเดม่อนในร่างสุนัขก็พยายามจะคาบเหรียญดรักม่าออกมาจากกระเป๋าสตางค์ของผม จากนั้นพวกหมาก็เอากระป๋องมาเรียงกันเพื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่เท่าที่ตีความได้คล้ายกับว่าต้องใช้เครือข่ายไอริสต่อต่อหาผู้อำนวยการ


             จากความคิดเห็นของผู้อำนวยการ “สุนัขที่มีรอยสักรูปสายฟ้าเหมือนจะเป็นลูกของเทพซุสที่ถูกเทพีเฮร่าสาปแช่งให้กลายเป็นสุนัข เส้นทางที่ต้องผ่านจากแผนที่วางไว้จะผ่านเมืองอินเดียนาโพลิสซึ่งเป็นที่ตั้งของ เวย์สเตชั่น หรือที่พักพิงของเดมิก็อด อสุรกายนิสัยดี และกลุ่มพรานอาร์เทมีส ให้ฝากสุนัขไว้ที่เวย์สเตชั่น”


             แต่น่าเสียดายที่สัญญาณขาดช่วงไปเสียก่อนจึงไม่ทราบว่าเวย์สเตชั่นที่ผู้อำนวยการกล่าวถึงอยู่ตรงส่วนไหนของเมืองอินเดียนาโพลิสกันแน่



             15.30 น. (เวลาโดยประมาณ)


             เดินทางออกจากเมืองฟิลาเดเฟียไปยังเมืองพิตต์สเบิร์ก ตลอดระยะเวลา 7 ชั่วโมง ไร้อุปสรรคกลางทางทำให้ผมได้นอนพักผ่อน แม้ที่นั่งในรถบัสจะคับแคบจนเหน็บกินขาไปหลายตลบแล้วก็ตาม



             23.20 น. (เวลาโดยประมาณ)


             เดินทางมาถึงเมืองพิตต์สเบิร์ก ได้ลุกมายืดเส้นยืดสาย ผมดูตารางเวลารถที่จะออกไปยังเซนต์หลุยส์คือเวลา 1.55 น. ไม่มีรอบก่อนหน้านี้แม้ว่าพวกเราจะมาถึงกันก่อนตั้ง 2 ชั่วโมง 30 นาที สรุปแล้วความต้องการลดระยะเวลาเดินทางด้วยแท็กซี่ของสามพี่น้องสีเทาในตอนแรก ไม่ได้ช่วยให้การเดินทางในครั้งนี้เร็วขึ้นไปจากเดิมหากเป็นการเดินทางระยะไกลโดยมีผังเดินรถเป็นข้อจำกัดเรื่องเวลา



จบบันทึกของวันที่ 1

ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล



แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-22] แม็กนัส เชส เพิ่มขึ้น 200 โพสต์ 2024-12-22 01:56
God
บันทึกทริปเดินทาง โยนเหรียญดรักม่าสื่อสารไอริส 20 ครั้ง   โพสต์ 2024-5-15 13:10
โพสต์ 95021 ไบต์และได้รับ 54 EXP!  โพสต์ 2024-5-15 12:42
โพสต์ 95,021 ไบต์และได้รับ +7 EXP +6 เกียรติยศ จาก นาฬิกาสปอร์ต  โพสต์ 2024-5-15 12:42
โพสต์ 95,021 ไบต์และได้รับ +4 เกียรติยศ +4 ความกล้า +4 ความศรัทธา จาก ล็อคเก็ตรูปหัวใจ  โพสต์ 2024-5-15 12:42
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
Anker PowerCore
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่อัสพิสขัดเกลา
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
แว่นตา
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x2
x2
x3
x2
x1
x3
x3
x1
x1
x2
x11
x2
x7
x2
x4
x7
x1
x1
x1
โพสต์ 2024-5-17 01:13:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Daemon เมื่อ 2024-5-18 10:31



Chapter 2
Daemon





ในหน้าที่ 2 ผมเดม่อน แคนเนลท์ได้รับหน้าที่ให้จัดการมัน แต่บันทึกนี้ผมจำเป็นต้องรอเวลาผ่านไปเกือบวันหนึ่งเต็ม ๆ กว่าจะได้จดบันทึกมันตอนพวกเราพัก ก็เพราะอะไรน่ะเหรอ เอาไว้คุณไปอ่านต่อเอาเอง ผมไม่อยากจะสปอยมากนักเท่าไหร่


กลับเข้าเรื่องราวในกลุ่มพวกเราที่กำลังทำภารกิจคำพยากรณ์บทใหม่นี้กันเลยล่ะกัน เรากำลังนั่งรถสองต่อนานจนเมื่อยก้น แต่ระหว่างทางยังไม่เจออุปสรรคอะไรอีก แต่ยังวางใจไม่ได้เพราะคิดว่าจากนี้น่าจะถูกบุตรแห่งโป้ปดตามหลอกหลอนไปตลอดทาง มันก็แค่สังหรณ์ที่รับประกันอะไรไม่ได้ แต่ที่แน่ ๆ คือเราทุกคนไม่มีใครประมาทกันเลย อีกทั้งผมที่ติดอยู่ในร่างสุนัขเองก็เช่นกัน


ผลจากการเพิ่งได้พลังใหม่และยังไม่ค่อยคล่อง บางครั้งมันก็เผลอใช้ไปเอง แต่นับว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีที่ทำให้ผมเข้าใจภาษาของหมา(?) ใช่แล้ว ผมได้คุยกับหมาที่เราเจอโดยบังเอิญและทำให้ทราบว่ามันคือบุตรแห่งซุสมีชื่อว่า โบล์ท


รถบัสที่ขึ้นมาแวะจอดพักที่อินเดียนาโพลิสให้ได้ยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย สถานีต่อไปคือเซ็นต์หลุยส์ตามกำหนดการ เดม่อนในร่างหมามองดีนที่หยิบแผนที่อะไรบางอย่างออกมา ดูเหมือนเขาจะวางแผนการเดินทางเอาไว้แล้วจริง ๆ แต่เขาไม่รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะเป็นไปตามแผนมากน้อยแค่ไหนกันนะ จากที่เขาเข้าไปอ่านบันทึกของรุ่นพี่ในหอสมุดมาหลายเล่ม... 


“ต้องรีบไปทางใต้ของอะไรสักอย่าง ต้องใช้เวลาเท่าไรเนี่ย?” ดีนพูดพร้อมกับชี้บนแผนที่ของเขา


“หืม… น่าจะอีกสักพักเลยแฮะ” เดม่อนพูดขึ้น ก่อนเขาจะตกใจกับเสียงยางรถระเบิด เมื่อเขารู้สึกตัวอีกทีพบว่าตัวเองมีมือและแขน ลำตัวเป็นมนุษย์แล้ว ดูเหมือนเขาจะกลับคืนสภาพเดิมแล้วสินะ เสียงพูดในที่สุดเขาก็พูดภาษาคนได้เหมือนเดิม แต่ตัวเดม่อนเองก็ยังหารู้ไม่ว่าศีรษะของเขายังคงเป็นศีรษะสุนัข 


“แม่ ๆ ผมอยากได้หน้ากากหัวสุนัขแบบพี่ชายคนนั้น” ในขณะเดม่อนกำลังดีใจอยู่นั้น เขาก็เห็นเด็กที่นั่งข้างหน้าสะกิตแม่ของเขาให้หันมามองที่เขา เดม่อนรีบยกมือสัมผัสศีรษะหน้าตัวเอง กลับพบว่ามันแปลก ๆ 


“ไบร์ท ดีน นี่ผมกลับเป็นปกติแล้วใช่ไหม” เดม่อนพูดออกมาเป็นคำภาษาคนได้ปกติแล้ว เขามองใบหน้าเพื่อนร่วมทางทั้งสองก่อนกระพริบตาสุนัขทั้งสองคู่

       
   "นายกลับมาเป็นปกติแล้วเดม่อน" ไบร์ทตอบคำถามผม  


“โฮ่ง ๆ” โบล์ทจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมฟังไม่เข้าใจแล้ว หรือที่เด็กคนนั้นเห็นจะเป็นมนต์บังตา(?) เพราะหมวกราชสีห์นีเมียนที่สวมใส่อยู่ ถ้าพวกเขาเห็นเป็นหนังราชสีห์นีเมียน คงสติแตกกระเจิงแน่ ๆ 


เรียวแขนแกร่งของไบร์ทผลักร่างดีนกับผมออกให้พ้นสะเก็ดพ่วงยางล้อที่กระเด็นปลิวมาทางพวกเราทั้งสาม ราวกับเป็นอุบัติเหตุที่จงใจจากฝีมือของใครบางคน 


“เฮ้ย!!” ดีนที่ได้รับการสะกิตจากไบร์ท ก่อนเขาถอยหลังหนีไปตามสัญชาตญาณ แล้ววิ่งไปหลบ


สุนัขโบล์ทที่ลงมาพร้อมกันกับดีนได้แต่ชะเง้อคอมองว่าหลบอะไร ในใจคิดว่า ‘หมอนี่ปอดแหกชะมัด’


"เดมี่เหรอ?" 

ดีนเอ่ยถามพลางเขาทำท่าปัดหมอกควันอะไรก็ไม่รู้ไปด้วย เพราะตอนนี้มันเริ่มคลุ้งมากกว่าเก่า นี่แค่ยางระเบิดจริงดิ? หรือว่าบัสระเบิดไปทั้งคัน แต่เหมือนได้ยินเสียงคนอื่นนอกจากพวกเขาสองคนครึ่งกับสุนัขอีกตัวจางลงเลย


“หมอกนี่คือมนตร์บังตาอะไรหรือเปล่า?”


"อืม.... กลิ่นทะแม่ง ๆ" ไบร์ทพูดขึ้น เธอดูเหมือนกำลังสอดส่องรอบตัว

ก่อนเธอจะรู้สึกตัว และเรียกดีน "ดีน" เธอเรียกชื่อบุตรแห่งโพไซดอน "เดม่อนหายไปไหนแล้ว" น้ำเสียงที่เปล่งออกมากึ่งช็อกกึ่งพูดไม่ออก






เดม่อนที่กำลังยืนระมัดระวังตัวเองหลังไบร์ทสะกิต จู่ ๆ ตัวของเขาก็ถูกหมอกพามายังพื้นที่โล่ง ชายหนุ่มมองรอบ ๆ ตัว  แต่ทว่าเขากลับไม่เห็นดีน ไบร์ท หรือแม้แต่เจ้าหมาลมกรดและผู้โดยสารบนรถบัสคนอื่น ๆ เลยแม้แต่คนเดียว นอกจากห้องมืดครื้ม มีแสงไฟสลัวกลางห้องกระพริบไปมาชวนให้นึกถึงบรรยากาศตอนเล่นเรสซิเด้นท์อีวิลจริง ๆ


“ใคร!?” เดม่อนพูดตะโกนขึ้น แต่กลับเป็นเสียงของเขาสะท้อนตอบกลับมาแทน 


เขาหันซ้ายหันขวา ก่อนสายตาสังเกตเห็นประตู เดม่อนวิ่งไปที่ประตูดังกล่าวเพื่อผลักเปิดออก แต่มันกลับเป็นห้องอีกห้อง ตรงหน้ามีร่างหญิงสาวผมบลอนซ์ยืนยิ้มอยู่ เธอนั่งบนโต๊ะท่ามกลางแสงไฟสลัว จนแสงไฟกระทบผิวหน้าเผยให้เห็นใบหน้าชัดเจน


“ลิเลียน่า เธอมาทำอะไรที่นี่?” เดม่อนพูดขึ้น แม้ในใจเขาจะรู้สึกแปลก ๆ  


ลิเลียน่าอมยิ้มก่อนจะลุกจากโต๊ะที่เธอนั่ง เดินเข้ามาใกล้เขาอย่างช้า ๆ “นายจะไปเสี่ยงอันตรายอีกแล้วงั้นเหรอ บุตรอะโฟร์ไดต์ นายไม่ใช่ลูกเทพสงครามหรือสติปัญญา หรือสามมหาเทพนะ ทำไมถึงขยันหาเรื่องที่ต้องเสี่ยงแบบนี้ตลอด!!”


เดม่อนที่กำลังสับสนว่าตรงหน้าคือภาพลวงตาหรือของจริงกันแน่ แต่คำพูดหญิงสาวตรงหน้าและแววตานี้ เธอดูเป็นลิเลียน่าจริง ๆ เขาพูดเสียงสั่นเครือ “ผ..ม”


“ถอนตัวซะ และกลับไป เดี๋ยวชั้นจะไปแทนนายเอง!” ลิเลียน่าพูดขึ้น “ในคำพยากรณ์ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าต้องการลูกอะโฟร์ไดต์ ดังนั้นนายถอนตัวไปได้ และกลับไปค่ายซะ”


“แต่… ผมจะทิ้งกลางคันได้ยังไง” เดม่อนพูดเสียงสั่นเครือ เขาหลบสายตาลิเลียน่าที่จ้องเขม็ง หรือเธอจะแอบสะกดรอยตามพวกเขาออกมาจริง ๆ แต่แบบนั้นไม่เท่ากับละเมิดกฎเหล่าเทพงั้นเหรอ ที่การเดินทางเกินสามเช่นนี้ ทั้งที่มิใช่ถูกระบุในคำพยากรณ์เหมือนเช่นคำพยากรณ์เจ็ดวีรบุรุษในสมัยก่อน แต่ถ้าลิเลียน่าสลับไปแทนเขา เธอน่าจะช่วยเหลือดีนกับไบร์ทได้ดีกว่าเขา นอกจากแปลงร่างที่ยังควบคุมไม่ได้ เขาก็ทำได้แค่ดึงดูดความสนใจผู้คน ไม่มีมนต์มหาเสน่ห์เฉกเช่นพี่ไพเพอร์


“ฮึ่ม ว่าไงบุตรอะโฟร์ไดต์ นายจะยอมฟังชั้นดี ๆ สักครั้งได้ไหม!” ลิเลียน่าพูดเสียงดุใส่ผม


เดม่อนที่กำลังสับสนกับสภาพแวดล้อมนี้ ว่าแต่เขามาที่นี่ได้ยังไงแต่แรก เขาอยู่ที่โล่งแจ้งรอรถกับทุกคนไม่ใช่เหรอ ไม่สิ แม้หลาย ๆ คำพูดจะเหมือนลิเลียน่า แต่อีกฝ่ายดูตั้งใจจะให้เขาล้มเลิกภารกิจนี้เกินไป ถ้าเป็นลิเลียน่าจริง ๆ เธอต้องไม่มีวันปล่อยให้เขายอมแพ้ทั้งแบบนี้ 


“ว่าแต่ทำไมผมถึงอยู่ที่นี่ ที่นี่ที่ไหน” เดม่อนถามอีกฝ่าย สภาพห้องที่สลัวยังกับกำลังเล่นเกมผีชีวะนี่ ไม่เกินคำบรรยายเลย


“ที่นี่ปลอดภัยนายไม่ต้องห่วง… ชั้นแอบตามพวกนายมา ขอแค่นายตีตั๋วรถกลับไปนิวยอร์ก เรื่องอื่นชั้นไปแทนเอง” ลิเลียน่าพูดขึ้น เดม่อนมองระแวงอีกฝ่าย “ที่ต้องแอบพานายมาที่นี่เพราะชั้นไม่อยากละเมิดกฎนักเดินทางทั้งสามเหมือนกัน ขอแค่นายกลับเรื่องที่เหลือชั้นจัดการเอง”


“นี่ ตั๋วรถไฟสำหรับนั่งกลับไปนิวยอร์ก” ลิเลียน่าล้วงตั๋วออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเธอ ก่อนยื่นมาให้ผม


สายตาผมมองตั๋วและสลับกับเธอ หรือผมจะทำเพื่อทีมดี หากพวกเขาได้ลิเลียน่าแทนผม ภารกิจน่าจะราบรื่นมากกว่า ผมค่อย ๆ ยกมือขึ้นจะไปรับตั๋ว ก่อนมือยกขึ้นมาค้างครู่หนึ่ง 


“เธอแน่ใจนะลิเลียน่า แต่ภารกิจนี้ดู ๆ แล้ว หนทางข้างหน้าจะยิ่งอันตรายกว่านี้ ตอนนี้พวกเราโดนอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นก่อกวนตั้งแต่ออกจากนิวยอร์ก” เดม่อนพูดขึ้น นี่ดูเหมือนแค่น้ำจิ้ม แต่ในใจเขากลับคิดว่ามันน่าจะมีอะไรที่ร้ายกาจรออยู่ข้างหน้า


“เถอะน่า นี่นายไม่เชื่อฝีมือชั้นหรือไง อย่าลืมสิชั้นคือคนฝึกนายนะ!” ลิเลียน่าพูดตอกย้ำเรื่องเก่า ๆ ยิ่งทำให้เดม่อนค่อย ๆ ลดความระแวงลงทีละนิด ถ้าตรงหน้าเป็นภาพลวงมันก็จะเก่งเกินไปแล้ว อีกทั้งการที่เธอบอกว่าแอบหนีออกมาจากค่ายนั่นก็ไม่ค่อยผิดแปลกจากเธอเท่าไหร่


เดม่อนยื่นมือไปรับตั๋วจากลิเลียน่า ทันทีที่มือของเขาแตะตั๋ว ตั๋วก็เปล่งแสงบางอย่างจนแสบตา…...





ในตอนนี้ผมเข้าใจความรู้สึกของจอห์นนี่ ซิลเวอร์แฮนด์แล้ว เขาต้องรู้สึกยังไงเมื่อตื่นขึ้นมาในสภาพวิญญาณตามติดแบบนี้ ที่ต่างกันคือผมกลับไม่สามารถคุมร่างที่เป้นของตัวเองได้ 


โบล์ทที่จากตอนแรกไม่ได้กลิ่น ก่อนกลิ่นตัวเดม่อนกลับมาปรากฎในเรดาห์ มันวิ่งนำทั้งสองคนไปยังห้องเก็บของใกล้ ๆ มินิมาร์ท “โฮ่ง ๆ” มันเห่าส่งเสียง


ทางด้านทั้งสองดีนและไบร์ทที่กำลังจะติดต่อคุณไครอนเพราะผมหายไป จู่ ๆ ไบร์ทก็พูดขึ้น "เฮ้ ดีน ไม่ต้องติดต่อคุณไครอนแล้วล่ะ" 


"ดูเหมือนเจ้าหมาลมกรดจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง รีบตามกันไปเถอะ" 


พวกเขาออกวิ่งตามร่างของโบล์ทที่กำลัง ดม ๆ ฟุดฟิด ทันทีที่ทั้งสองตามมาถึงห้องเก็บของ ที่โบล์ทนำทางมาประตูก็เปิดออก


เดม่อนแร็กนาร์ที่กำลังสำรวจร่างกายตัวเอง ดูเหมือนเจ้าเด็กคนนี้จะมีจุดอ่อนที่ร้ายแรงจริง ๆ นึกไม่ถึงเขาเล่นลูกไม้นิดหน่อยก็สามารถควบคุมอีกฝ่ายได้ ก่อนเดินไปที่ประตู มือบิดลูกบิดเพื่อเปิดประตู เสียงเจ้าหมานั่น ดูเหมือนมันคงได้กลิ่นเจ้าเด็กนี่แล้ว 


"เกิดอะไรขึ้นกับนาย โอเคหรือเปล่า" เธอถามเดม่อน ก่อนที่เธอจะหันไปมองเจ้าหมาลมกรด "ขอบคุณที่นำทางมาเจอเพื่อนพวกเรานะ" ไบร์ทย่อตัวลงพลางใช้มือลูบขนตามลำตัว


เดม่อนที่ทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่ยืนดูในฐานะผู้ชมเท่านั้นตามแบบจอห์นนี่เป๊ะเลย ใครเคยเล่นไซเบอร์พังก์มาก่อน นั่นล่ะสภาพเขาตอนนี้ เขาเห็นดีนและไบร์ทปลอดภัยก็รู้สึกโล่งอก ตอนนี้เขาต้องหาทางสลัดใครก็ตามที่กำลังบงการร่างกายเขาตอนนี้ ก่อนทุกคนจะมีอันตราย


“ไง คุณดีน คุณไบร์ท” แร็กนาร์ในร่างเดม่อนทักทายเพื่อนร่วมภารกิจ เขาพยายามพูดและทำท่าทางให้สมเป็นบุตรอะโฟร์ไดต์ที่สุด ก่อนชายหนุ่มจะยิ้มส่งท้าย


"เอ่อ" ไบร์ทเอียงคอมองเดม่อน ผมเห็นเธอรู้สึกแปลก ก็แหงสิ ไอหมอนั่นไม่ใช่ผมนี่น่า หวังว่าไบร์ทจะจับพิรุธของเขาได้


"ไหงอยู่ ๆ นายก็พูดเพราะ?” ดูเหมือนดีนจะสงสัยอีกคน เขาค่อยโล่งอกหน่อยที่พวกเขา “หัวนายกลับเป็นคนแล้ว?” 


“ใช่ ดูเหมือนผมจะควบคุมพลังใหม่นี้ได้บ้างแล้ว” เดม่อนแร็กนาร์พูดขึ้นก่อนจะเดินออกมาจากห้องเก็บของที่ระเนระนาด  และหันมาทางทั้งสอง “ว่าแต่เราจะเดินทางกันต่อเลยไหม หลังพาเจ้าโบล์ทนี่ไปส่งที่ปลอดภัย” 


เดม่อนที่กำลังนั่งดูการสนทนาทั้งสาม เขาพยายามจะต่อสู้กับคนที่คุมร่างเพื่อเรียกคืนทุกอย่าง ก่อนจะมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของตัวเอง 


‘นายเป็นใคร’ เดม่อนพูดถามตัวเอง เพียงแต่เสียงเขาไม่ได้เล็ดลอดออกไปจากร่างกาย เหมือนเขาพูดภายในใจ พร้อมจ้องมองร่างตัวเอง


‘ใจเย็นๆ เด็กน้อย ข้ากำลังจะช่วยเจ้าทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง” แร็กนาร์พูดตอบเดม่อน 


เดม่อนพุ่งไปจะต่อยอีกฝ่าย ก่อนแร็กนาร์ยกมือขึ้นรับหมัด ‘จุ๊ ๆ เจ้าจะทำร้ายข้าตอนนี้ก็เหมือนเจ้าทำร้ายตัวเองนะ’ 


เดม่อนกุมหมัดแน่น เขาหลับตาหายใจเข้าออก พยายามคิดหาหนทางจะชิงการควบคุมกลับมา


"ตามกำหนดการก็ใช่ ยังไงก็ต้องรีบไปตามหาตรีศูลของพ่อมาคืนให้เร็วที่สุดก่อนจะถึงวันครีษมายัน" ไบร์ทตอบกลับ


“ตรีศูลก็ใช่ แต่เรื่องโบล์ทก็ด้วย.. อืม หมอนี่ชื่อโบล์ทสินะ”

ดีนหันไปมองน้องหมาที่ดูท่าทางกล้าหาญตัวนั้น


“ใช่ นี่ผมยังไม่บอกพวกนายเหรอ” เดม่อนแร็กนาร์พูดตอบดีน “ว่าแต่เราต้องไปส่งเจ้านี่ที่ไหน”


“บัสอาจต้องใช้เวลาซ่อมนานหน่อยกว่าจะออกจากอินเดียนาโพลิส งั้นเราก็ยังเหลือเวลาที่จะเอาโบล์ทไปส่ง แต่ว่าต้องไปที่ไหนนะ ตอนใต้ของพลา… พาเลซ แถวนี้มีวังไหม?”


หมาโบล์ทแทบจะอยากยกมือก่ายหน้าผาก....


“ตอนใต้ของพลาซ่างั้นเหรอ หรือจะเป็น ยูเนี่ยนสเตชั่น?” เดม่อนแร็กนาร์พูดขึ้น “ในอินเดียนาโพลิส เหมือนจะมีตึกหรูที่สุดก็คงเป็นที่นั่นละมั้ง”


‘นายแอบตามเราตลอดงั้นเหรอ’ เดม่อนพูดขึ้น ทำไมอีกฝ่ายรู้ดีจัง เขาจ้องเขม็งใบหน้าตัวเอง มันก็จะรู้สึกแปลก ๆ หน่อย ทั้งที่อยากจะจ้องอีกฝ่าย 


แร็กนาร์แสยะยิ้ม ‘ใจคนย่อมอ่านไม่ยาก และความทรงจำของเจ้า… นี่มันอะไรกัน  แปลกจริง ๆ เจ้าเป็นบุตรแห่งอะโฟร์ไดต์จริงเหรอ ข้าดูแล้วแทบไม่อยากเชื่อ’


‘แล้วไง ผมจะเป็นลูกใคร ต้องหนักหัวคุณด้วยเหรอ’ เดม่อนพูดตอกกลับ ก่อนเขาจะถูกบางอย่างทำให้ต้องแวบหายไปอีก แต่ก็ยังมองทุกคนผ่านสายตาตัวเอง


“อ้าว พลาซ่าเหรอ”


ดีนขำน้อย ๆ แต่ก็ต้องกระแอมแล้ว ปรับสีหน้าเป็นงานเป็นการขึ้นเมื่อไบร์ทย้ำถึงท่อนหนึ่งของคำทำนาย


“จะว่าไป เหตุการณ์มันดูทะแม่ง ๆ นะ รถยางระเบิด จากนั้นก็มีหมอกอะไรก็ไม่รู้ปกคลุมไปทั่ว ถ้าบอกว่าบุตรแห่งคำลวง จะมาก่อกวนระหว่างทาง… หมอนั่นปลอมตัวเป็นพวกเราได้ไหมนะ? แถมนายยังพูดจาประหลาด ๆ อีก ถ้าใช่ล่ะก็ นายโคตรจะตรงโจทย์เลยว่ะเดมี่"


ดีนเดินเข้ามาตบบ่าของผมหรือจะเรียกว่าคนที่สิงผมกันแน่...


“ของขวัญบัดดี้ นายให้อะไรฉันมาบ้าง?”


“นายนี่ถามแปลก ๆ ก็หมวกแก็ป ของขวัญสุดท้ายที่ผมให้นายยังไง” เดม่อนแร็กนาร์ตอบอีกฝ่าย “และยังมีก่อนหน้านั้นของที่มีมูลค่ามากสุดก็คงไม่พ้นน้ำหอมแบรนด์หรูที่นายกำลังใช้อยู่ตอนนี้” 


เดม่อนแร็กนาร์ยิ้มก่อนยกมือตบบ่าดีน “ฉันเกือบโดนเล่นงานจริง ๆ นั่นล่ะ แต่ดีที่มีบางสิ่งเหมือนกระตุ้นฉัน ทำให้ฉันรอดมาได้”


‘เอาโล่ไปเลยพ่อคุณ’ เดม่อนพูดขึ้นก่อนยกนิ้วให้อีกฝ่าย


"ฉันก็คิดเหมือนนาย เหมือนทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว บอกตามตรงฉันไม่ชอบความรู้สึกนี้เลยจริง ๆ เหมือนกำลังโดนปั่นหัวตลอดเวลา"


"สมมุตินะ ถ้าเจ้านั่นปลอมตัวเป็นพวกเราสักคนนึงแล้วพวกเราจะสามารถจับกันเองได้ไหมว่าใครคือตัวปลอม" ไบร์ทถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ถ้าฉันคิดให้เร็วกว่านี้ .....ก่อนออกจากค่ายพวกเราน่าจะมีโค้ดเนมไว้แสดงยืนยันตัว แต่ตอนนี้คงจะไม่ทันแล้วล่ะ การเผชิญหน้ากับสิ่งที่มองไม่เห็นมันยากกว่าทำวิจัยซะอีก" ไบร์ทบ่น 


“เอ่อ.. ถูกแฮะ”


ดีนหันไปมองไบร์ท ถ้าเป็นบุตรแห่งคำลวงปลอมตัวมาจริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ายอีกฝ่ายไม่น่ารู้ได้ ส่วนเรื่องโค้ดเนมมาคิดตอนนี้น่าจะไม่ทัน


“โทษทีเดมี่ ที่ฉันคิดสงสัยนาย เอ่อ.. เอาเป็นว่าเรารีบเอาโบล์ทไปส่งที่ยูเนี่ยนสเตชั่นกันเถอะ ไม่รู้ว่าบัสจะซ้อมเสร็จเมื่อไรด้วย ถ้าเสร็จไวพวกเราจะตกรถกันหมด”


“ไม่เป็นไร ระวังตัวเอาไว้ก่อนเป็นเรื่องดี” เดม่อนแร็กนาร์พูดขึ้น ก่อนจะเดินตามดีนไปยังยูเนี่ยนสเตชั่น 



พวกเขาเดินออกมาจากห้องเก็บของ ดูเหมือนว่าหมอกควันปริศนาจะจางลงไปแล้ว ดีนลองไปถามพนักงานของท่ารถบอกว่ารถน่าจะซ่อมเสร็จพร้อมออกเดินทางในอีก 2 ชั่วโมงข้างหน้า พร้อมถามทางไปยังยูเนี่ยนสเตชั่น


ระหว่างเดินตามอีกฝ่ายเขาพูดขึ้น “ว่าแต่นายรู้วิธีหาทางเข้าเวย์สเตชั่นใช่ไหม ผมคิดว่ามันคงไม่มีป้ายเขียนไว้ชัดเจนแน่ ๆ ว่า ยินดีต้อนรับสู่เวย์สเตชั่น”



"ดีน เดม่อน พวกนายสองคนไปส่งเจ้าหมาลมกรด ส่วนฉันจะรออยู่ที่ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินขึ้นกับรถบัสอีก" ไบร์ทอาสาจะยืนรออยู่ที่เดิม เพราะมีความกังวลทั้งเรื่องความปลอดภัย อุบัติเหตุ และบลา ๆ 


"เอาไว้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะติดต่อผ่านเครือข่ายสื่อสารไอริสไปหา"


“โอเคได้” ดีนดูเหมือนเขาจะวางใจไปเปราะหนึ่ง ที่มีคนสแตนด์บาย อย่างน้อยถ้าพวกเขาพลาดพลั้ง ไบร์ทก็พอจะหาทางช่วยพวกเขาได้


เดม่อนแร็กนาร์ยิ้มภายในใจ ดูเหมือนเขาอาจจะตัดตอนได้สักคน ต้องการสายเลือดโพไซดอนแค่คนเดียวก็เกินไปแล้วสำหรับภารกิจนี้ เพื่อดึงดาบวีรบุรุษในตำนานกรีกของพวกมันออกไป 


“แผนนี้เข้าท่า งั้นเราไปกันเลยไหมดีน” เดม่อนแร็กนาร์พูดขึ้นเสริม 


“โอเคไปกัน ได้ข้อมูลมาแล้ว” ดีนพูดขึ้น


ผมมองดีนและชายที่สิงร่างผมเดินทางไปยูเนียนสเตชั่นที่อยู่ทางใต้ของพลาซ่าด้วยกัน ใช้เวลาเดินเท่ากันประมาณสิบห้านาทีก็ไปถึง อาคารยุโรปก่อด้วยอิฐสีแดงที่ดูหรูหรา นี่สินะที่พำนักของเหล่าเดมิก็อดและเหล่าผู้ศรัทธาเทพีอาร์เทมีสที่ออกมาทำภารกิจ


“ว่าแต่.. เราต้องเข้าไปยังไง?”


ได้แต่หยุดคิด สถานที่ในโลกเวทมนตร์แบบนี้จะต้องมีโค้ดลับอะไรหรือเปล่านะ ตอนนั้นคุณไครอนก็ไม่ทันบอกเสียด้วย คงไม่ใช่ว่าเพียงแค่เปิดประตูแล้วเข้าไปดื้อ ๆ หรอกนะ แต่ลองดูก็ไม่เสียหาย เขาลองจับที่ลูกบิดประตูแต่ยังไม่ได้เปิดเข้าไป….


เดม่อนแร็กนาร์ลองเดินเข้าไปเปิดประตู แต่กลับพบว่ามันก็เป็นแค่ยูเนี่ยนสเตชั่น มีผู้คนเดินพลุกพล่านทั่วไป ก่อนหันมาหาดีน “ไม่ยักเห็นมีอะไรนอกจากคนธรรมดาเลยนี่น่า”


“หรืออาคารนี้จะมีส่วนของอาคารเวทมนต์ซ่อนอยู่ ว่าแต่มันต้องหาทางเข้ายังไง…” เดม่อนแร็กนาร์พูดก่อนเหลือบสายตาไปทางด้านในที่มีคนเดินกวักไกว่กันเยอะมาก


ดีนมองดูเดม่อนที่ลองเปิดเข้าไปก่อนแล้วเป็นเพียงแค่อาคารธรรมดา ๆ ก็ยักไหล่ สงสัยว่าจะต้องร่ายมนตร์คาถาหรือไม่ก็กดรหัสลับที่หินเหมือนในเรื่องแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ซึ่งเขาก็ลองใช้หอกสัมฤทธิ์ที่คนทั่วไปมักเห็นเป็นท่อแป๊บจิ้มตามหินดู


“ฮึ่ม.. ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลยแฮะ”


แล้วดีนก็เพิ่งเห็นว่าโบล์ทกำลังทำท่าขู่เดม่อน เหมือนมันสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง


โบล์ทเป็นเดมิก็อดที่ออกทำภารกิจภายนอกหลายครั้งก่อนจะถูกเทพีเฮร่าสาป ตอนยังเป็นมนุษย์เขาเคยมาพักพิงที่เวย์สเตชั่นแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้มันไม่เป็นแบบนี้ มีแต่ผู้ที่ได้รับการต้อนรับเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปได้เลยโดยไม่ต้องเอ่ยคาถาหรือปลดรหัสลับ


“โฮ่ง!” โบล์ทเห่าไล่เดม่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเกรี้ยวกราด


“เฮ้ ๆๆๆ เกิดอะไรขึ้น ใจเย็น ๆ สิ”


ดีนอุ้มโบล์ทขึ้นมา พลางลูบหลังปลอบเดมิก็อดพันธุ์อเมริกันเชพเพิร์ด ขณะเดียวกันที่ประตูของเวย์สเตชั่นเปิดออก ผู้ที่ออกมาคือหญิงชราคนหนึ่งที่มีออร่าบางอย่างบอกได้ว่าเธอนี่แหล่ะคนเก๋าในย่านนี้ บางทีเธออาจจะดูสองหนุ่มผ่านบานหน้าต่างอยู่นานแล้ว


“พวกนาย?” เธอพูด


“ฮ่ง!” โบล์ทเห่าทักหญิงคนนั้นคล้ายรู้จัก น้ำเสียงมันอ่อนลงต่างจากตอนที่เห่าไล่เดม่อนอยู่มาก


“ดีน นีลครับ เอ่อ.. คุณเห็นนี่เป็นอะไร?” เขายกหอกในมือให้ดู ลองหยั่งเชิงถามไปก่อนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงคนธรรมดาหรือว่าเดมิก็อดเหมือนกัน ๆ แน่


“หอกสัมฤทธิ์” หญิงสาวกล่าว “ฉันเอมี่ เป็นผู้ดูแลเวย์สเตชั่น.. ไม่ทราบว่านายพาใครมาด้วย คุณนีล?”


“อ๋อ งั้นก็พวกเดียวกัน สวัสดีคุณเอมี่ คือว่านี่ โบล์ท บุตรแห่งซุสที่ถูกสาป ผมเจอเขากลางทางแล้วคุณไครอนบอกว่าให้ฝากเลี้ยง เอ้ย! ฝากไว้ที่นี่ก่อนครับ”


“ไม่ใช่..” เอมี่กล่าวเสียงแข็งก่อนปรายตาไปทางเดม่อน หรือใครสักคนที่หน้าตาเป็นเดม่อน “หมายถึงหนุ่มคนนี้ต่างหาก”


“ผมเดม่อน แคนเนลท์ บุตรแห่งอะโฟร์ไดต์ครับ” เดม่อนกล่าวแนะนำตัวก่อนโค้งตัวคำนับหญิงสาวตรงหน้าด้วยท่าทางให้เกียรติ


“เรื่องที่เรามาที่นี่ ดีนพูดไปหมดแล้ว เรามีภารกิจคำพยากรณ์ที่ต้องไปทำ คุณเอมี่พอจะช่วยรับช่วงดูแลโบล์ทต่อได้ไหมครับ”


‘สุภาพจังเลยนะนาย’ เดม่อนพูดแชะคนแปลกหน้าที่ควบคุมร่างเขา เขาเดินไปมารอบ ๆ ร่างตัวเองก่อนพยายามตั้งสมาธิเพื่อหวังว่าจะตื่นขึ้นมาและเป็นคนขับบังเหียนแทนอีกฝ่าย


เอมี่เลิกคิ้วข้างนึงให้กับคนที่แนะนำตัวว่าคือ ‘เดม่อน แคนเนลท์’ หากเป็นบุตรอะโพรไดท์จริงมีหรือจะเข้ามาในเวย์สเตชั่นแห่งนี่ไม่ได้ จากการสอดส่องของผู้ดูแลแหล่งพักพิง เธอรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ผู้ที่ได้รับเชิญ


“ช่างกล้าพูด” เธอประชดเดม่อน


แม้หญิงชราจะเป็นผู้มากประสบการณ์แต่ก็ใช่ว่าจะรู้ว่าคนที่ใช้ร่างของเดม่อน แคนเนลท์นั้นเป็นเทพหรือบุตรแห่งเทพองค์ใด เพราะเทพที่เชี่ยวชาญด้านมนตราแปลงกายมีอยู่เยอะแยะไปหมด แล้วไหนจะบุตรแห่งเทพบางองค์หรือปีศาจบางตนยังสามารถบังคับร่างของเหยื่อได้อีกด้วยหากพลังใจไม่แข็งพอ แต่เธอก็มองออก กระนั้นนี่ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ศรัทธากับเทพีอาร์เทมีสจะเข้าไปก้าวก่าย หน้าที่ของผู้ดูแลทำได้แต่วางตัวเป็นกลาง และอาจจะบอกใบ้หนุ่มเดมิก็อดที่ไม่ยอมบอกว่าเป็นบุตรของเทพองค์ไหนให้ทราบได้นิดหน่อย


“เวย์สเตชั่นยินดีต้อนรับผู้ที่คู่ควรเสมอไม่ว่าจะเป็นอสุรกายที่ดีหรือลูกเทพที่ถูกสาป” เอมี่ยังคงไม่หยุดปรายตามองเดม่อนอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนที่เธอจะหันกลับมาพูดกับดีน “แล้วเธอล่ะ จะเข้ามาพักข้างในนี้ก่อนไหม?” 


ชายหนุ่มรู้สึกแคลงใจไม่น้อยเลยว่าทำไมเธอถึงมีท่าทีเย็นชากับเดม่อนนัก แม้ว่าเอมี่จะพูดจาขวานผ่าซากแต่เขารู้ได้ว่าน้ำเสียงที่พูดกับเขาและเดม่อนนั้นต่างกัน ตอนที่ลองเชิงถามว่าอีกฝ่ายที่เป็นบัดเดอร์ส่งอะไรให้เขาบ้างก็ตอบได้หมด จะเป็นไปได้ยังไงว่าคน ๆ นี้คือตัวปลอม


‘หรือช่วงเวลาที่เดมี่ไม่อยู่จะมีคนสวมรอยแทนมาโดยตลอด?’


ดีนพยายามครุ่นคิดว่าเขาเจอเดม่อนครั้งสุดท้ายตอนไหน รู้สึกจะเป็นต้นเดือนเมษายนเลย ที่พวกเขาเล่นสนุกวันเมษาหน้าโง่กัน..


‘เขาดูไม่ค่อยชอบนายนะ แขกไม่ได้รับเชิญ’ เดม่อนพูดแขวะอีกฝ่ายที่ใช้ร่างของเขาอยู่ตามใจชอบ

‘ผมว่าเขาคงไม่ค่อยชอบขี้หน้านายมากกว่านะ อย่าลืมสิที่เธอคนนี้เห็นเป็นนายทั้งหมด’ แร็กนาร์พูดโต้ตอบอย่างอวดดี ราวกับว่าเขาจะบอกว่าไม่มีใครดูออก 


เดม่อนแร็กนาร์ต้องค่อย ๆ สงวนท่าทีแล้ว เขาเองก็รู้สึกไม่แน่ใจยายแก่นี่เท่าไหร่ว่าสรุปไม่ชอบหน้าเดม่อนหรือคาดเดาอะไรได้ แต่ฝีมือก็คงไม่เบาที่รอดชีวิตมาได้จนแก่ เอ๋ หรือที่แล้ว ๆ มา คอยหลบอยู่หลังอาคารหลังนี้กันนะ เดม่อนครุ่นคิดเจ้าเล่ห์ มองอาคารและประตูที่บิดเบี้ยวเปิดออก ราวกับที่นี่มีชีวิตยังไงอย่างนั้น 


“ว่าไง?” เอมี่ถามกระทุ้งจนดีนสะดุ้งขึ้นมา


“ขอบคุณที่ชวนครับ แต่ว่าผมมีธุระต้องรีบไปทำต่อ ต้องนั่งรถไปลาสเวกัสยาวเลย คือแบบ..”


ดีนพยายามส่งซิกไปทางเอมี่ด้วยการเหล่ตาไปมองเดม่อนรัว ๆ เชิงถามว่า ‘คุณรู้อะไรใช่ไหม?’ คล้ายจะรู้ทัน เอมี่เพียงแค่เชิดหน้าขึ้นรับ เป็นสัญญาณแทนคำว่า ‘ใช่’ โดยไม่ได้ส่ายหน้าหรือพยักหน้าตอบ



ตอนนี้เขาต้องคิดต่อว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี ระหว่างความปลอดภัยของตัวเองกับเวย์สเตชั่นระเบิด เพราะถ้าเขาเข้ามาหลบภัยที่นี่เดม่อนคนนี้ต้องเข้ามาด้วยแน่ ๆ ถ้าผู้ดูแลเซฟเฮ้าส์ส่งสัญญาณว่าคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เป็นตัวอันตรายก็ไม่ควรจะปล่อยให้เข้าไปด้านในนั้น ปกติเขาต้องเลือกความปลอดภัยของตัวเองมาก่อนอยู่แล้ว แต่ไหงคราวนี้ความเป็นซูเปอร์ฮีโร่ในใจของตัวเองถึงได้เบ่งบานจนไม่อยากให้ผู้อื่นต้องมารับเคราะห์กรรมแทนไม่อาจทราบ ทั้งที่เอมี่และคนอื่น ๆ ในนั้นน่าจะเก่งกาจว่าเดมิก็อดมือใหม่อย่างเขาแท้ ๆ


เดม่อนมองเห็นดีนพยายามกะพริบตาแล้วทำสัญญาณมืออ้าหุบ ๆ ตามหลักสากลที่แปลว่า  

‘ช่วยด้วย’ ให้เอมี่ แต่หญิงชรากับเบือนหน้าหนีเสียอย่างนั้น เดม่อนแทบจะหลุดขำท่าทีของเอมี่ในตอนนี้ หรือเขาปล่อยขำเลยล่ะกัน ตอนนี้ไม่มีใครเห็นเขา


“ถ้าไม่เข้ามาพักก็ส่งบุตรแห่งซุสตัวนั้นมา จากนั้นก็กลับไปทำภารกิจต่อซะ”


“เอ่อออออออ ครับ…” แม่ง จนใจฉิบหายแต่ก็ได้แค่ขานรับ ดีนอุ้มโบล์ทส่งให้เอมี่ มันเห่าเตือนแล้วตะกุยไม่หยุด


“เงียบซะ” เอมี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ทำเอาหมาเดมิก็อดหูตก “เขามีวิธีรับมือกับภารกิจ ส่วนเธอไม่ใช่ภารกิจของเขา เข้าไปก้าวก่ายไม่ได้”


“หงิงงง” โบล์ทได้แต่ทำตาละห้อยมองรุ่นน้องในค่ายที่อาจจะถูกเชือด


“ไม่ต้องห่วงโบล์ท ฉันวิ่งหนีเก่ง ไม่ตายง่าย ๆ หรอก” เขาพูดกับน้องหมาเป็นครั้งสุดท้าย “ฝากดูแลเขาต่อด้วยนะครับ ส่วนผม ไม่เป็นไร… มั้ง” จากนั้นก็หันไปส่งรอยยิ้มเกร็ง ๆ ให้เดม่อน 


“เราไปกันเถอะเดมี่ ไบร์ทน่าจะรอแย่แล้ว”


“นึกว่านายจะอยากเข้าไปพักกินน้ำกินท่านะเนี่ย ดีน” เดม่อนแร็กนาร์พูดชึ้น ก่อนเดินตามอีกฝ่าย


ในระหว่างทางเดิน เขาแอบใช้พลังของตัวเองดึงดูดอสุรกายที่แข็งแกร่งที่สุดในละแวกนี้มา เมื่ออีกฝ่ายอยู่ตามลำพังเช่นนี้ อีกทั้งเดี๋ยวเขาจะอ้างความเป็นบุตรอะโฟร์ไดต์เองว่าจะคอยสนับสนุน เจ้าตัวนั้นดูแข็งแกร่งเกินไป สู้แบบงู ๆ ปลา ๆ สักหน่อยก็พอส่งอีกฝ่ายเข้าปากอสุรกายตัวนั้นได้ 


‘เอ่อนายจะทำอะไรน่ะ ฉันรู้สึกชั่วร้ายแปลก ๆ ’ เดม่อนเห็นลึกอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ไม่แปลกหรอก เพราะร่างเดียวกัน เขาย่อมรู้สึกเหมือนที่อีกฝ่ายรู้สึก ไอความรู้สึกชั่วร้าย ๆ นี้ที่เขากำลังสะใจหรือเหมือนทำอะไรที่ทำให้เขาภูมิใจ แต่เหมือนทำเรื่องผิดมา ในใจด้านสำนักของเขารู้สึกสำนึกผิดแปลก ๆ แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรทีนี่น่า ถ้างั้นแบบนี้ก็ต้องเป็นอีกคนสิ


‘หึ ๆ งานนี้สนุกแน่นายไม่ต้องห่วงหรอก’ เดม่อนแร็กนาร์แสยะยิ้มใส่ผม บางทีผมก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าตอนเขาแสยะยิ้มแบบนี้ ร่างกายเขาแสยะยิ้มจริง ๆ หรือเขาแค่รู้สึกแบบจิตวิญญาณกับจิตวิญญาณกันนะ เพราะใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเขามักปรากฎหลายรอบเวลาคุยกับเขา แต่ดีนและคนอื่น ๆ เหมือนเห็นเขาเป็นตัวเขาปกติ 


ไม่นานก็มีเสียงคำรามของไฮดร้า ดูเหมือนมันผ่านการต่อสู้มาเยอะเชียว เพระามันมีถึง 20 หัว คงเป็นเดมี่ก็อตสักคนที่ผิดพลาดในการต่อสู้ เพิ่มปริมาณหัวให้ไฮดร้าตัวนี้มากขึ้น แล้วเดมี่ก็อตผู้โชคดีคนนั้นจะเป็นมื้ออาหารหรือหนีไปได้นะ เดม่อนครุ่นคิด ได้แต่ให้กำลังใจดีนอยู่ห่าง ๆ เขาเองก็ไม่ยอมแพ้ พยายามต่อสู้กับอีกฝ่ายเพื่อช่วงชิงพวงมาลัยมาขับ


ดีนจับตาดูเดม่อนตลอดเวลาขณะที่เดินออกมาจากยูเนียนสเตชั่น


ตึง! ตึง! ตึง!


เสียงผีเท้าขนาดใหญ่กระทืบลงบนพื้นตามการเดิน แอ่งน้ำเล็ก ๆ บริเวณนั้นสั่นไหวคล้ายกับฉากเปิดตัวไทแรนโนซอรัสในหนังเรื่องจูราสิกพาร์คภาคแรก เมื่อเดินถึงหัวมุมถนนดีนก็เห็นร่างใหญ่โตของอสุรกายตัวหนึ่งเลี้ยวออกมา เสียงคำรามของมันช่างน่ากลัว


“เวรเอ๊ย!! ตัวบ้าอะไรเนี่ย!?!”


“แม่ครับ นั่นไดโนเสาร์!” เด็กน้อยกระตุกชายกระโปรงแม่ด้วยความตื่นเต้น จินตนาการของเด็ก ๆ กว้างไกล และยิ้มดีใจที่ได้เห็นไดโนเสาร์ทีเร็กซ์ตัวจริง 


“ไหนลูก ก็แค่เด็กกำลังฟัดกับลูกหมาเอง ไปๆ รีบไปจากตรงนี้ดีกว่า ดูท่าเด็กสองคนนั้นจะอันตราย คนสติดี ๆ ที่ไหนจะฟัดกับลูกหมาน้อยแบบนั้น” แม่รีบลากเด็กเดินจากไป แต่เสียงเด็กร้องงอแง อยากดูทีเร็กซ์ อยากดูทีเร็กซ์ตลอดทางที่แม่กำลังลากออกจากบริเวณนี้


ดีนได้แต่อ้าปากค้างทำตาโต เขาไม่เคยต่อสู้กับอสุรกายตัวนี้มาก่อน มันมีถึงยี่สิบหัวแถมตัวยังใหญ่พอ ๆ กับโครงกระดูกไดโนเสาร์ในพิพิธภัณฑ์ ดูยังไงก็ไม่ใช่สัตว์ประหลาดธรรมดาที่ปราบได้ง่าย ๆ ดีนรีบนำหอกและโล่ออกมาเตรียมสู้รบ ตอนนี้เจ้าตัวใหญ่ดึงดูดความสนใจจากเดม่อนไปเสียหมดจนเขาลืมพะวงหลัง


ดีนกระโดดหลบการโจมตีแรกของไฮดร้าด้วยการสลัดเกล็ดใส่ แล้วใช้พลังควบคุมน้ำในแอ่งเป็นกระสุนซัดใส่ ตอนนี้เขาควบคุมพลังได้ดีขึ้นกว่าวันแรก ๆ ที่ฝึกอยู่มากจนถึงขั้นสร้างกระสุนน้ำพลังทำลายทะลุทะลวงโขดหินได้ แต่ไม่รู้ว่าจะเจาะหนังหนา ๆ ของสัตว์ประหลาดตัวใหญ่นี้ได้หรือไม่


เดม่อนแร็กนาร์หยิบโล่ที่หลังออกมา ก่อนชักดาบตั้งรับ “ดีน ระมัดระวังตัวด้วย” เขาตะโกนสมบทบาท


ก่อนวิ่งตามดีนไป แต่ยังคงไม่เข้าใกล้มากนัก ทำหน้าที่เป็นสายซัพพอร์ต 

“เจ้าตัวนี้ดูแข็งแกร่งพอตัวเลย…” เขาหาจังหวะพุ่งเข้าฟาดฟัน ก่อนจะกระโดดหลบมันฟาดหาง แต่ก็ไม่ยากเกินไป เพราะทุกจังหวะที่เขาโจมตีมันเป็นช่วงที่มันหันมาป้องกันเขาหลังจู่โจมดีนไปแล้ว 


‘ดูเหมือนนายใช้ร่างผม แต่ก็ยังไม่รู้จักผมดีขนาดนั้นสินะ’ เดม่อนพูดขึ้นและพยายามต่อสู้กับคนแปลกหน้าคนนี้มาตลอด แต่เขาก็คอยระแวดระวังเดม่อนเป็นหลักอยู่แล้ว ส่วนข้างนอกก็เป็นเพียงการละครที่เสแสร้งสู้เท่านั้น จึงไม่ต้องระวังมาก 


‘นายจะหลอกให้ฉันโฟกัสกับอสุรกายไฮดร้าตัวนั้นล่ะสิ แล้วรอจังหวะผมอ่อนแอถีบผมออกจากพวงมาลัย’ แร็กนาร์พูดโต้ตอบ ใบหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์อย่างกับรู้ทัน 


เดม่อนยักไหล่ ‘ก็ไม่รู้สินะ’ ก่อนเดินไปนั่งเชียร์ดีนที่ม้านั่งใกล้ ๆ จะเรียกว่าเขานั่งทิพย์ก็ได้ละมั้ง เพราะก้นไม่ได้รู้สึกเหมือนนั่งจริง ๆ สักเท่าไหร่


“อื้ม นายก็ด้วยล่ะ!”


เหมือนกระสุนน้ำจะยิงไม่เข้า เกล็ดของเจ้าตัวนี้มันหนาเกินไป แถมหัวทั้งยี่สิบที่ดูยั้วเยี้ยะนั่นอีก ดีนพยายามจะรุกจัดการแต่ด้วยความที่มันมีตั้งสี่สิบตาคอยจ้องมองทำให้มันไม่เปิดโอกาสให้เขาโจมตี ตอนนี้จึงทำได้เพียงแค่ตั้งรับ


หัวหนึ่งของไฮดร้าอ้าปากงับโล่ของดีนแล้วงัดตัวเขาให้ลอยขึ้น พอขาไม่ติดพื้นก็ควบคุมการเคลื่อนไหวได้ยาก


“เหวอ!!”


หลังจากที่ร่างของตัวเองยกขึ้นเขาก็เห็นว่ามันกำลังจะใช้ท่าสะบัดเกล็ดใส่ หากเป็นเป้านิ่งล่ะก็ต้องตายแน่ ๆ ดีนจึงตัดสินใจปล่อยมือออกจากโล่อัลพิส แล้วกระโดดลงมาใช้หอกปาดตวัดหัวอีกหัวที่อยู่ด้านล่างอย่างเหมาะเจาะจนมันขาดกระเด็น แต่ก็ใช่ว่าดีนจะรอดไปเสียหมด เขาถูกเกล็ดหนึ่งพุ่งเฉียดที่น่องซึ่งไร้เกราะสัมฤทธ์ป้องกัน แม้จะไม่เข้าลึกแต่มันก็ทำให้คนเจ็บชะงักและเคลื่อนไหวได้ช้าลง เขากัดฟันทรุดเข่าลงกับพื้น เมื่อมองไปที่อสุรกายเขาเห็นว่าหัวใหม่แยกออกจากรอยตัดเป็นสอง จนทำให้นึกถึงวลีหนึ่งจากหนังเรื่องโปรด ‘ถูกตัดหนึ่งหัวงอกใหม่อีกหัว เฮล ไฮดร้า’


“ไอ้ตัวนี้มันคือไฮดร้างั้นเหรอ!?”


ขณะกำลังอึ้ง หัวที่งอกมาใหม่นั้นกำลังชาร์จพลังพ่นไอพิษออกมา


เดม่อนแร็กนาร์จะลงมืออีกครั้งก่อนเขาจะนอนชมการแสดงต่อสู้ หรือเรียกว่ารอไฮดร้างาบบุตรแห่งโพไซดอนคนนี้ก็ได้ เขาเห็นดีนกำลงลำบาก ก่อนวิ่งพุ่งไปต่อสู้ เพื่อฟันหัวที่ฟาดใหม่อีกครั้งขาดในพริบตา 


ก่อนอีกหัวจะหันมาพ่นพิษใส่เขา เดม่อนแร็กนาร์แอบใช้พลังตัวเองสร้างภาพลวงตา ตามจริงเขาหลบพ้นแล้ว แต่ดีนจะเห็นเขาโดนพิษเต็มร่าง และอีกหัวไฮดร้างับเขาก่อนโยนเขาไปซนกำแพง ตามเนื้อตัวเดม่อนแร็กนาร์ในสายตาดีนตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยบาดแผลสะบัดสะบอม และ พิษกัดกร่อนตามผิวหนัง


“ด..ดี นายท…ทำได้” เดม่อนที่นอนชิว ๆ ข้างร่างลวงตาเดม่อนแร็กนาร์พูดเสียงตะกุกตะกัก เสริม


‘นายจะนอนดูแบบนี้เหรอ แล้วถ้าดีนชนะไฮดร้าได้ นายจะทำยังไงล่ะ’ เดม่อนพูดขึ้นมองอีกฝ่ายที่นอนมองดีนต่อสู้ 


‘อาหารเทพสรรพคุณช่วยรักษาใช่ไหม ก่อนข้าจะคลายมนต์ลวงตานี้ ข้าแค่สร้างบาดแผลให้ร่างเจ้าสักแผล ก็ไม่โดนพิษความร้อนจากอาหารเทพแผดเผาแล้ว‘ แร็กนาร์พูดตอบอีกฝ่าย เขารู้ดีว่าอาหารเทพและน้ำทิพย์มีสรรพคุณทำร้ายร่างกายด้วยเช่นกัน ถ้าเดมี่ก็อตไม่ได้บาดเจ็บหนักอะไรขนาดนั้น 


‘อีกอย่าง ตอนนี้เจ้าหนูนั่นจะต้องสู้บีบเวลาให้จบไว ถ้าชักช้าเพื่อนของเขาคงจะถูกพิษฆ่าตายก่อนจะสายเกินไปแน่’ แร็กนาร์พูดบอกเดม่อน ‘ความรีบร้อนจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของวีรบุรุษ ส่งผลให้ล้มเหลว’


‘ดีนต้องรอบคอบ!!’ เดม่อนเถียงอีกฝ่าย เขาได้แต่แอบลุ้นอีกฝ่ายให้ยังมีสติและรอบคอบ ไฮดร้าเป็นอสุรกายที่ร้ายกาจที่สุดรองจากไคมีร่า ไม่สิน่าจะเทียบเท่าด้วยซ้ำ ถ้าเลี่ยงได้เลี่ยงจะเป็นทางที่ดีที่สุด


แม้เขาจะ.. ไม่รู้ควรเรียกตัวเองว่าอะไรดี วิญญาณ? จิตวิญญาณ? งั้นเรียกเอนแกรมตามในเกมแม่ง เขาเป็นจิตสำนึกในร่างตัวเอง ก่อนมองสภาพแวดล้อม เดม่อนพยายามรวบรวมสมาธิ ก่อนจะวิ่งพุ่งไปยังเด็กจรจัดที่กำลังนอนหลับอยู่ ถ้าตอนนี้เขาเป็นจิตสำนึก และเด็กคนนี้น่าจะจิตอ่อนกว่าเขา บางที… โป๊ก! 


‘นายทำอะไร แม้นายจะเห็นตัวเองเดินไปไหนมาไหนได้ แต่ตามหลักนายก็ยังอยู่ในร่างตัวเองนะ’ คนแปลกหน้าพูดขึ้นมองอีกฝ่ายที่เหมือนอยากจะวิ่งไปขับร่างเด็กคนนั้น


‘ชิ’ เดม่อนเบ้ปาก เดินไปนั่งดูดีนเผชิญหน้ากับไฮดร้า สายตาเขาหันไปเห็นไฟแช็กในกองขยะ แต่เขาจะทำยังไงให้ดีนสังเกตเหนดีเนี่ย ก่อนเดม่อนจะหลับตา เขาพยายามแทรกการควบคุมเพื่อกลับไปชั่วคราว 


“กองขยะ!!!!!!!!!!!” เดม่อนตะโกนสุดเสียงทันทีที่เหมือนเขาจะได้การควบคุม ก่อนแร็กนาร์จะแย่งกลับในเสี้ยววิ ทำให้เสียงตะโกนของเขากลายเป็นเหมือนเสียงแว่ว ๆ ไม่รู้ดีนจะทันได้ยินไหม


‘เก่งไม่เบานี่ แต่นายก็แย่งคืนได้แค่นี้ บุตรแห่งอะโฟร์ไดต์’ แร็กนาร์พูด เขาผลักอีกฝ่ายออกไปจากพวงมาลัยร่างนี้ได้สำเร็จ ก่อนจะเพิ่มพลังป้องกันให้ตัวเองสักหน่อย ดูเหมือนเด็กคนนี้เขาจะประมาทไม่ได้แล้ว 


“เดมี่!!”


ดีนร้องตะโกนเมื่อเห็นเพื่อนเข้ามารับพิษจากอสุรกายแทน เขากำลังจะเข้าไปดูอาการของอีกฝ่ายใกล้ ๆ แต่ไฮดร้าตัวใหญ่นี้ก็ไม่ปล่อยให้เขาไปดูเพื่อนบ้างเลย ตอนนี้ดีนมีบทเรียนหนึ่ง จัดการมันยังไงก็ได้แต่ห้ามตัดหัว… จะเป็นไปได้ไงกันเล่า!!!


แถมตอนนี้โล่ยังถูกเอาไป เจ้าหัวนั้นแทะโล่อัลพิสอย่างกับสุนัขฟันเพิ่งขึ้นและน้ำลายเยิ้มอาบเต็มโล่  ดีว่าความเป็นสัมฤทธิ์ทำให้มันไม่บุบสลายมากนักจากน้ำมือของอสุรกาย แต่คงจะใช่ว่าไร้รอยขีดข่วนเลย ต้องหาทางเอาโล่กลับมาแล้วจัดการเจ้าตัวนี้ให้เร็วที่สุด แต่ด้วยวิธีการไหนเขายังคิดไม่ออก


เสียงของเดม่อนแว่วผ่านสายลม มันเบาเสียจนดีนคิดว่าเป็นอาการหูแว่วที่เขาหลอนไปเอง


‘แต่เชื่อสังหรณ์แล้วถูกเสมอ’


เอาก็เอา ลองเสี่ยงดวงดู ดีนพุ่งตัวไปที่กองขยะก่อนที่ไฮดร้าหัวหนึ่งจะพุ่งเข้ากัดจนทำให้ปากของมันกระแทกพื้นจนหน้ายู่ หัวนั้นคงมึนไปหลายนาทีแต่ก็ยังมีหัวอื่น ๆ เป็นแรงสนับสนุน มันเคลื่อนร่างกายอันใหญ่โตตามดีนไป


ที่กองขยะมีอะไร? ดีนพยายามคุ้ยหาอะไรก็ไม่รู้จนเขาพบกับไฟแช็กที่ถูกทิ้ง


“อ้อ หยุดยั้งเซลล์ด้วยความร้อน” ไอเดียหนึ่งแว้บเข้ามาในหัวหาใช่ตำนานเทพใด ๆ ทั้งสิ้น ขอบคุณความรู้ของการเรียนวิทยาศาสตร์จริง ๆ “ฉันไม่กลัวแกแล้ว เข้ามาเลยไอ้เวร!!”


ดีนจุดไฟแช็กขู่ไฮดร้า แต่แค่แป๊บเดียวก็ร้อนมือ


“โอ๊ย ร้อน ๆๆๆ”


เดม่อนแร็กนาร์เห็นอีกฝ่ายมีวัตถุไฟ แบบนี้มันก็ทำให้หัวไม่งอกเพิ่ม ก่อนเขาแอบเล่นตุกติก เพิ่มมายาไฮดร้าสองตัว แต่เขาเชฟพลังไว้ ทำให้มายานั้นเหมือนเป็นแค่เงาของไฮดร้า  ใช้ขู่เพียงอย่างเดียว แต่ทุกการโจมตีจะโจมตีพร้อมกับตัวจริงเพื่อไม่ให้เจ้าเด็กนั่นไหวตัวทันว่าเป็นภาพลวงตา


“ฮึ่ม!”


ดีนกัดฟันกรอด ถ้าไฟมันร้อนแถมยังไม่พอก็เผากองขยะมันเลยแล้วกัน เขารู้ว่ามันเป็นวิธีที่โง่มาก ทำอะไรไม่สมกับปริญญาบัตรที่ได้รับมา ถ้ามหาวิทยาลัยรู้คงต้องขายหน้าแย่ แต่ตอนนี้มันเรื่องเฉพาะกิจ เน้นความอยู่รอดของชีวิต ต่อให้ต้องทำอะไรเขาก็ยอม ดีนหย่อนไฟแช็กลงกองขยะ บริเวณนั้นมีถังสีที่เป็นวัตถุไวไฟชั้นดีจึงทำให้เพลิงลุกท่วมในเวลาเพียงไม่กี่วินาที และยังมีเศษท่อนไม้ที่ถูกทิ้งไว้ด้วย ดีนใช้มันเป็นคบเพลิงเพื่อที่จะจี้หัวที่ถูกตัดออกมา


ดูเหมือนว่าไฮดร้าจะกลัวไฟ มันไม่เข้ามาหาแต่ทำท่าจะพ่นลมหายใจพิษใส่ เขากระโดดหลบออกไปด้านข้าง ไม่รู้ว่าลมหายใจพิษของอสุรกายเป็นแก๊สชนิดไหนแต่เหมือนยิ่งทำให้กองไฟลุกโชน


“ไฟหม้ายยย ตรงนั้นมีไฟหม้ายยยย” เสียงชาวบนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา เมื่อเห็นว่ามีคนกำลังสู้กับหมาฝูงใหญ่แถมยังจุดไฟไล่หมาอีก คนบ้าชัด ๆ.. เห็นทีคงต้องรีบปิดจ็อบโดยเร็วที่สุดก่อนที่ตำรวจ ดับเพลิง หรือไม่ก็เทศบาลจะมาถึง


ดีนสไลด์ตัวเข้าไปฟันหัวหนึ่งของไฮดร้าจนขาดสะบั้น จากนั้นก็ใช้คบเพลิงที่เหมือนไม้ขีดไฟอันใหญ่จี้ที่หัวมัน ความคิดนี้ได้ผล หัวใหม่ของไฮดร้าไม่งอกออกมาอีก แม้การต่อสู้จะทุลักทุเลและไฟที่คบเพลิงดับอยู่หลายหนจนต้องไปเติมไฟใหม่ แต่ดีนก็จัดการฟันหัวของไฮดร้าขาดไปเรื่อย ๆ ด้วยหอกที่ไม่ได้มีไว้ใช้สำหรับการฟัน ถ้าโซเฟียมาเห็นต้องกำหมัดใส่แน่ ๆ แต่แล้วไง ไม่ตายก่อนดีไหมล่ะ?


ใช้เวลานานเท่าไรไม่รู้กว่าจะจัดการกับหัวของไฮดร้าได้หมด เล่นเอาหอบจนทรุดตัวลงไปนั่งคุดคู้อยู่กับพื้น ร่างกายใหญ่โตของอสุรกายสลายไปเหลือเพียงแต่สินสงครามหน้าตาน่าเกลียดที่ไม่รู้ว่าจะยัดใส่กระเป๋ายังไงไหว ให้เอาไปรวมกับชุดเสื้อผ้าเหรอ เหอะ.. ไม่เอาหรอกสกปรก


ตอนนี้ดีนได้ยินเสียงไซเรนวิ่งมาตามถนน ความซวยอีกเรื่องคงใกล้จะเกิด


“มีน้ำเหลืออยู่แถวนี้ไหมเนี่ย!!” ไม่ลองก็ไม่รู้ เขาเพ่งจิตควบคุมน้ำ จากนั้นท่อประปาใต้พื้นถนนก็พุ่งขึ้นสูงหลายฟุต “โอ้ เชี่ย!!”


ไฟดับไปหมดแล้วแต่ไม่รู้จะจัดการกับท่อน้ำยังไง ไม่สิ ตอนนี้เดม่อนเป็นไงบ้างแล้ว!?!


ชายหนุ่มรีบวิ่งไปดูเพื่อนที่อาการร่อแร่ บาดแผลเหมือนถูกแทงมากกว่าโดนไอพิษ แต่เห็นเลือดแล้วสติจะหลุด ชายหนุ่มรีบเอาอาหารพิษให้เดม่อนกินเพื่อรักษาแผล


ดูเหมือนการต่อสู้จะสิ้นสุดแล้ว เดม่อนแร็กนาร์ยังคงไม่คลายมนต์บังตาเดม่อนบาดเจ็บ เขารีบคว้ามีดสั้นที่เขาพกไว้มาแทงย้ำ ๆ ให้แผลมันหนักพอใช้อาหารเทพรักษาได้แทนโดนเผา


เทพีอะโฟร์ไดต์อยากจะช่วยบุตรชาย แต่เธอไม่อาจแทรกแซงภารกิจคำพยากรณ์ของเหล่าวีรบุรุษได้ ได้แต่เฝ้ามองอย่างเป็นห่วงอยู่ห่าง ๆ ก่อนเธอพอจะคิดวิธีบางอย่าง ก่อนส่งเสียงกระซิบให้ดีน ‘ลิเลียน่า สัญชาตญาณ’


ทันทีที่เขารับอาหารเทพจากดีนและยัดเข้าปากเคี้ยว ๆ เขาค่อย ๆ สลายภาพลวงตารอบ ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “ขอบคุณนะเพื่อน เกือบไปแล้วเชียว” 


เดม่อนแร็กนาร์ลุกขึ้นก่อนยกแขนตัวเองขึ้นดูเพื่อตีเนียนจากการโดนพิษเกือบเผาร่างกายตัวเอง ให้เน่าเฟะ ดูเหมือนจะรักษาหายแล้ว 


“เรารีบกลับไปสมทบไบร์ทเถอะ ผมเป็นห่วงเธอแล้ว ไม่รู้บุตรเทพโป้ปดจะคิดมาเล่นงานเธอตอนอยู่ตามลำพังไหม” เดม่อนแร็กนาร์พูดขึ้นพร้อมแสดงสีหน้าเป็นห่วงเพื่อน 


“โอเค นายดีขึ้นแล้วนะ?”


เห็นบาดแผลของอีกฝ่ายดีขึ้นดีนก็ประคองเดม่อนขึ้นมาพาดแขนไว้กับบ่า พยุงเดินไปทิศทางท่ารถจนลืมเรื่องอีกฝ่ายอาจเป็นตัวปลอมไปเสียสนิท ลืมไปจนกระทั่งที่อีกฝ่ายพูดคำว่า ‘บุตรแห่งเทพโป้ปด’ เนี่ยแหล่ะ มันทำให้เขาชะงักนิดหน่อย แถมเหมือนจะได้ยินเสียงของเทพีอะโฟรไดท์อีก อะไรนะ ลิเลียน่า กับสัญชาตญาณ?


ดีนไม่รู้ว่าลิเลียน่าหมายถึงอะไร แต่ถ้าเป็นสัญชาตญาณล่ะก็…


“หวังว่าเธอจะไม่ถูกเล่นงาน.. หรือว่าเป็นฉันก็ไม่รู้ที่โดน ลุค คาสเทลแลน ชื่อนี้คุ้น ๆ หรือเปล่า?”


“นายพูดอะไร นายลืมไปแล้วเหรอ ผมเองก็เคยไปช่วยทำภารกิจเฮอร์มีสนะ คนชื่อนั้นแน่นอนว่าต้องคุ้น ๆ อยู่แล้ว” เดม่อนแร็กนาร์พูด ทำสีหน้างุงงงกับคำพูดอีกฝ่าย 


แม้เขาจะทำสีหน้างง แต่ก็ยังสแตนบายพร้อมจู่โจมทุกเมื่อ ถ้าอีกฝ่ายรู้แล้วว่าเขาไม่ใช่เพื่อนของเขาตัวจริง 


“ใช่มะ นายคิดว่าหมอนั่นคือบุตรแห่งเทพโป้ปดหรือเปล่า? ฉันคุยกับสตาร์ลอร์ดมาว่า ลุคคนนั้นตายไปแล้ว อาจมีคนที่ใช้รูปลักษณ์ของเขามาทำเรื่องไม่ดี ฉันก็แค่ลองถามดู แบบว่าก่อนหน้านี้เราแทบไม่ได้ปรึกษากันเลย” 


บุตรแห่งคำลวง ฉันคิดว่าอาจจะเป็นลูกของโดลอสละมั้ง ลุคงั้นเหรอ… แม้เฮอร์มีสจะเป็นเทพแห่งการขโมย แต่เขาไม่น่าจะแกมโกงอะไรขนาดนั้น นอกจากความเจ้าเล่ห์ หัวหมอในการทำการค้าของเขาละมั้ง” เดม่อนแร็กนาร์ตอบอีกฝ่าย เขาไม่แน่ใจว่าดีนต้องการอะไรจากการพูดคุยนี้กันแน่ หรือเจ้าตัวเริ่มสงสัยเขาอีกครั้งแล้วเหรอ แต่เขาก็ไม่น่าจะทำอะไรผิดแปลกนี่น่า


“อืม ฉันว่าเราปรึกษาเรื่องนี้กันก็ดีนะ นายสงสัยอะไรเหรอ ลองว่ามาสิ” เดม่อนแร็กนาร์พูดหยั่งเชิงอีกฝ่าย


มีชื่อของโดลอสออกจากปากคนที่เอมี่ส่งซิกเตือนเขาว่าอันตราย ถ้าแบบนี้ก็แปลว่าโดลอสอาจจะโดนใส่ร้ายป้ายสีอยู่ เขาไม่รู้ว่าเทพองค์นั้นนิสัยเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าชอบออกกิจกรรมให้เด็ก ๆ โกหกกันเสียเหลือเกิน 


“ฉันยังไม่อยากฟันธงผู้ต้องสงสัยเพียงคนเดียว แล้วไหนจะมีเทพองค์อื่นอีกไหมที่เป็นเทพโป้ปด เห็นว่ามีจากฝั่งโรมันด้วยนี่ แล้วก็นอร์ส อินเดีย แล้วก็อะไรอีกเยอะแยะ… นายไม่สงสัยเทพอื่นบ้างเหรอ อย่างโลกิเงี้ย”


ตรงนี้ดีนพูดลอย ๆ ออกมาเพราะนึกออกอยู่แค่เทพเดียว


“นอกจากโรมันที่มีส่วนคล้ายกับกรีก นายคิดจริง ๆ เหรอว่ามีเหล่าเทพอื่นอยู่จริงน่ะดีน นายเองก็ไม่เคยเจอพวกเขานี่…” เดม่อนแร็กนาร์พูดขึ้น ก่อนเขาจะเดินเข้ามาใกล้ ๆ “ถ้าโลกนี้มีเทพทุกตำนาน นายลองคิดดูสิ แล้วสรุป ตำนานสร้างโลก ใครเป็นผู้สร้างกันแน่”


เดม่อนแร็กนาร์หยิบยกตำนานสร้างโลกขึ้นมา “แต่ถ้าโลกนี้มีเพียงโอลิมปัส นั่นแสดงว่าโลกนี้เกิดขึ้นจากทวด ๆ ของพวกเราใช่ไหมล่ะ ตำนานสร้างโลกของโอลิมปัสย่อมเป็นของจริง”


เทพีอะโฟร์ไดต์มองบุตรแห่งโพไซดอนด้วยความเอ็นดู ก่อนเธอจะเพิ่มอีกสักคำสองคำแล้วกัน ‘ความทรงจำย่อมแบ่งปันได้ แต่ความรู้สึกจากเบื้องลึกมิอาจแบ่งกันได้’


“แล้วทำไมนายถึงปักใจว่าเป็นโดลอสจังล่ะ ฉันยังไม่กล้าตัดสินเลยนะว่าเทพล้อเล่นองค์นั้นจะเป็นพ่อของคนร้ายจริง แน่นอนว่าฉันไม่ปักใจเชื่อว่าลูกของเฮอร์มีสหรือโลกิทำด้วย ส่วนตำนานการสร้างโลก… ฉันเชื่อบิ๊กแบงมากกว่า ถึงเทพเจ้าจะมีจริงก็เถอะ แต่จักรวาลมันน่าจะกว้างใหญ่มากกว่านี้”


ดีนชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงของเทพีส่งเข้ามาในหัวอีกครั้ง


‘ความทรงจำย่อมแบ่งปันได้ แต่ความรู้สึกจากเบื้องลึกมิอาจแบ่งกันได้…สอดคล้องกับลิเลียน่าที่นางพูดถึงก่อนหน้านี้หรือเปล่านะ?’


“โดลอสอาจไม่ได้เป็นคนขโมย แต่ลูกของเขาอาจจะถูกใครบางคนที่เป็นศัตรูกับเทพโอลิมปัสล่อลวง อย่างกรณีของลุคที่เขาต้องการสร้างความแตกแยกให้เทพโอลิมปัส และช่วยโครนอส” เดม่อนแร็กนาร์พูดย้ำเตือนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานของค่ายเรา หรืออาจจะนานสักพักแล้วก็เรียกแบบนั้นก็ได้มั้ง 


‘ไอหมอนี่ขยันสืบค้นแฮะ’ เดม่อนพูดก่อนจะเบ้ปาก เขาไม่น่าอ่านบันทึกเก่า ๆ ของพวกรุ่นพี่เลย 


“อืม ที่นายพูดมามีเหตุผล ขนาดฉันที่เป็นบุตรของโพไซดอนยังถูกลูกชายของเทพอะธีน่าด่าว่าเป็นลูกคนโง่อยู่เลย พ่อลูกแตกต่างไม่มีใครเข้าใจดีไปกว่าฉันอีกแล้วล่ะ”


ดีนแค่นหัวเราะ เขาถูกเอเตียนด่าจนเจ็บจี๊ดถึงทรวง แต่ที่เขาพูดเกริ่นเรื่องนี้เพราะจะวกเข้าถึงเรื่องของเด็กบ้านอะธีน่าอีกคนต่างหาก


“มีแต่ลินี่ที่ดีกับฉัน ดีใจกับนายจริง ๆ นะเดมี่ ว่าแต่ยังไม่รู้เลยว่าพวกนายคบกันได้ยังไง ช่วยเล่าความรู้สึกให้ฟังหน่อยได้ไหม แบบว่าฉันไม่อยากให้การเดินทางครั้งนี้มีแต่เรื่องเครียด ๆ น่ะ หาตรีศูล ต่อสู้สัตว์ประหลาด ถูกบุตรแห่งโป้ปดหลอกลวง วน ๆ ซ้ำไปงี้”


เดม่อนแร็กนาร์ที่เคยใช้เวลาว่างดูความทรงจำของเด็กคนนี้ อีกฝ่ายพูดถึงลินี่ หรือจะเป็นลิเลียน่าธิดาแห่งอะธีน่ากันนะ จากความทรงจำเหมือนเด็กคนนี้จะค่อนข้างรำคาญเธออยู่ประจำ ทั้งคอยบ่น จู้จี้ 


“นายน่ะโชคดีอะสิที่หล่อนดีด้วย กับฉันไม่ใช่เลย…” เดม่อนแร็กนาร์พูดโต้ตอบบุตรโพไซดอน “หล่อนทั้งจู้จี้จุกจิก นายไม่รู้หรอกว่าฉันต้องคอยหลบ ๆ เลี่ยง ๆ แอบหนีไปหาอสุรกายเพื่อฝึกฝนก็ต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ โคตรอึดอัดแค่ไหน!”


‘นายพลาดแล้ว ลิเลียน่าแม้ฉันจะรู้สึกรำคาญในความเข้มงวดของเธอบ้าง แต่ฉันรู้ดีว่าเธอห่วงใย เธอเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน ฉันไม่มีทางพูดอย่างที่นายพูดแน่’ เดม่อนแสยะยิ้ม เขาหวังว่าดีนจะจับพิรุธตรงนี้ได้ 


‘บ้าน่า ในความทรงจำนายก็แสดงออกชัดเจนขนาดนั้น มันไม่มีทางผิดพลาด!’ แร็กนาร์เถียงอีกฝ่าย


‘ใช่ ฉันเคยแสดงออกแบบนั้น แต่ทุกครั้งฉันก็ไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ก็แค่อยากจะพิสูจน์ตัวเองเพียงลำพังในบางครั้งบ้างที่จะต้องให้เธอเป็นพี่เลี้ยงตลอด แต่เธอเป็นทั้งครู และเพื่อนที่ดีที่สุดของผม’


“อ๋อ งี้นี่เอง” ผมดูสีหน้าดีนเหมือนเขาจะเริ่มเดาทางออกแล้ว


'ให้มันได้อย่างนี้สิดีน' เดม่อนพูดเชียร์ดีนให้จับได้ไว ๆ


‘เวย์สเตชั่นไม่ต้อนรับ พยายามป้ายสีโดลอส และรำคาญลินี่ แต่ต้องทำยังไงถึงจะจัดการหมอนี่ได้ล่ะ?’


เมื่อวานดีนจัดการกับเงาของบุตรแห่งคำลวงได้และรู้ว่านั่นคือตัวปลอม แต่กับเดม่อน… ครั้นจะให้จู่ ๆ เอาหอกไปทิ่มเขาก็ไม่กล้าทำ


‘โอ๊ยย เทพแห่งปัญญาก็ดี เทพแห่งความงามก็ดี ช่วยหน่อยได้ไหมที่จะไล่ผีร้ายออกไปจากเดมี่!!!’


“ดูเหมือนต้องเก็บนายเองแล้วสินะ ตอนแรกว่าจะให้ไฮดร้าเป็นคนจัดการอุตส่าดึงดูดพวกมันมา” เดม่อนแร็กนาร์พูดขึ้นก่อนจะเผยรอยยิ้ม


ตอนนี้เขาต้องแบ่งจิตใจออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งสู้กับเดม่อนในจิตใต้สำนึกของร่างนี้ และอีกส่วนก็คุมร่างนี้ เขาไม่รู้ว่าร่างนี้จะมีพลังเพียงพอจะจัดการบุตรมหาเทพตรงหน้าหรือเปล่า 


“ตายซะ” เดม่อนแร็กนาร์พูดก่อน ชักดาบพุ่งจู่โจมเขา แต่ตัวเขาเบี่ยงตัวหลบทวนและใช้โล่อีกมือปาอัดอีกฝ่ายระยะประชิด


‘นายจบแล้วล่ะ’ เดม่อนพูด ก่อนพยายามสุดกำลัง ในการพุ่งเข้าต่อสู้ด้วยกำปั้นกับอีกฝ่าย เพื่อชิงการควบคุมกลับมา ขอแค่ก่อกวนเขา ช่วยให้ดีนจัดการหมอนี่ได้ก็เพียงพอแล้ว


เฮ้อ เผยไต๋ออกมาเองจนได้ จะบอกให้ว่าเคยกับนายแล้วเหนื่อยมาก”


ดีนรู้ว่าเจ้าคนที่ปลอมเป็นเดม่อนต้องรำคาญแน่ ๆ เพราะเขามัวแต่พูดมากยียวนไปหมด จะว่าเป็นนิสัยที่เป็นอยู่ก็ใช่ แต่ดีนรู้ว่าเดม่อนตัวจริงจะต้องไม่โกรธแน่


“แกเอาเดมี่ไปซ่อนไว้ที่ไหน!”


ดีนแทงหอกสวนเข้าไปพร้อมกับที่ต้องหลบทั้งโล่และดาบของอีกฝ่ายที่พุ่งเข้าหา แต่จากการต่อสู้ของเมื่อวานและจากวันนี้ตอนที่อีกฝ่ายแสร้งทำเป็นสู้กับไฮดร้าดูเหยาะแหยะว่าตัวเขาที่ไม่เก่งการต่อสู้เสียอีก โชคดีแค่พลังของสายเลือดทีให้อึดถึกทนเป็นพิเศษแค่นั้นแหล่ะ


ดีนเพ่งกระแสจิตหาสายน้ำใต้ท่อระบายน้ำ จากนั้นก็พยายามดึงมันขึ้นมาแล้วควบคุมน้ำแรงดันสูงพุ่งไปข้างหน้า แม้ไม่ทำให้เกิดบาดแผลแต่บอกได้เลยว่าจุกแน่นอนถ้าโดนเข้าไป


แร็กนาร์เบี่ยงตัวหลบ แต่ปริมาณน้ำมีเยอะเกินไปจนเขาโดนบางส่วนกระแทกเข้ากับร่างกาย พลั่ก! ก่อนแร็กนาร์จะลุกขึ้นยืน ยกมือปาดปากด้วยความสะใจ เขาไม่ได้สู้แบบนี้มาสักพักแล้ว ดูเหมือนดีนจะน่าสนใจไม่น้อย


“เด็กคนนี้งั้นเหรอ ก็เขายืนอยู่หน้าแกไง ถ้าแกทำร้ายข้า ก็เท่ากับแกทำร้ายเด็กคนนี้ด้วย” แร็กนาร์พูดเสียงดังก้อง ก่อนจะหัวเราะด้วยความสะใจ ฮ่าฮ่า ๆ 


‘หน๊อย’ เดม่อนที่กำลังกอดฟัดสลับกันกลิ้งกับแร็กนาร์ในจิตใต้สำนึก เขาจะทำยังไงดีที่จะก้าวผ่านนี่ไปได้ จนตอนนี้ทั้งสองอยู่ในท่ามวยปล้ำแล้ว ต่างฝ่ายต่างขยับขารัดคออีกฝ่าย


“อ้อ ไม่ได้แปลงร่างแต่สิงร่างเลยสินะ ไม่ต้องห้วงฉันจะนุ่มนวลกับเขาแน่”


ด้วยความไม่อยากทำร้ายเพื่อนจนหนักมือมากเกินไปดีนโยนหอกและโล่ทิ้งไปในจังหวะที่สร้างกำแพงน้ำขึ้นมาบดบังสายตา ซึ่งน้ำในท่อระบายน้ำก็จัดว่าสกปรกใช้ได้ แต่สำหรับบุตรแห่งอะโฟรไดท์ตัวจริงย่อมมีกลิ่นอายหอมหวานอยู่ตลอดเวลาและไม่จำเป็นจะต้องอาบน้ำ ส่วนเขาเปียกนิดหน่อยไม่เป็นไร พลังในตัวรีดน้ำออกจากเสื้อผ้าได้ ส่วนเรื่องกลิ่นค่อยว่ากันอีกที


ดีนสลายกำแพงน้ำออกจากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปต่อยเดม่อนเต็มแรง บอกได้เลยว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต่อยคน มันทำให้เขารู้สึกว่าข้อมือซ้นนิด ๆ


แม้ว่าเขาจะดึงพลังตัวเองมาใช้ไม่ได้เต็มที่เพราะร่างนี้มีขีดจำกัด ก่อนเขาสวนหมัดแลกกับเขา มืออีกข้างยกขึ้นจะฟาดโล่เข้าหน้าอีกฝ่าย


“รับโล่ไปซะ!” แร็กนาร์พูดก่อนทุ่มฟาดเต็มแรง 


“ก็บอกว่าถ้าอยากจะไล่ข้าออกไปจากร่างนี้มีแต่ต้องฆ่าร่างนี้เท่านั้น! แกฟังไม่เข้าใจงั้นเหรอ” 


เดม่อนที่ได้จังหวะ ก่อนวิ่งไปชิงไมค์และรีบพูดส่งเสียงออกไป


 “ฆ่าผมเลยดีน เรามีภารกิจต้องไปทำต่อนะ นายอย่าลืม~~~” จู่ ๆ เสียงก็เปลี่ยนไป น้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงเป็นใยไม่มีรังสีพุ่งฆ่าเหมือนก่อนหน้า ก็ออกมาจากปากของชายตรงหน้าที่กำลังจู่โจมดีน


เอ๊ะเดี๋ยวนะทำไมอยู่ดี ๆ ห้วงจิตสำนึกผมก็เปลี่ยนไปเป็นเวทีการแสดงได้ล่ะเนี่ย โดยมีชายแปลกหน้าที่ผมเดาว่าคงเป็นบุตรเทพโป้ปดแย้งไมค์กลับไปถือ ดูเหมือนไมค์นั่นคงจะเป็นแกนกลางในการควบคุมร่างงั้นเหรอ หวังว่าอีกฝ่ายจะได้ยินนะ ก่อนถูกแย่งกลับไป และแร็กนาร์แยกเงาตัวเองเพิ่มอีกสองเข้ามารับมือกับผม ในขณะที่ตัวเองกำลังคุมร่างผม 


เทพีอะโฟร์ไดต์พยายามส่งชิกให้ดีน ก่อนเธอจะกระซิบเด็กหนุ่มคนนี้อีกครั้ง เพราะเธอไม่อาจติดต่อถึงบุตรได้โดยตรง เหมือนมีอะไรบางอย่างกั้นกลางระหว่างเธอกับเดม่อน ทำได้เพียงฝากเขาแจ้งเดม่อน ความรักชนะทุกสิ่ง”


ดีนยกแขนขึ้นมากันโล่ที่ฟาดเข้ามา ถึงไม่โดนหน้าแต่ก็ปวดแขนจนร้าว ไม่น่าถึงกับกระดูกหักแต่ว่ามันเจ็บจริง ๆ


“อะไร แกไม่ดีใจเหรอ นั่นฉันชกคนครั้งแรกเลยนะเว้ย แบบนี้ทั้งวันยังได้เลย”


ดีนพยายามยียวนคู่ต่อสู้ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะความอดทนต่อการกวนตีนต่ำกว่าเขามาก แล้วตัวเราก็ดันเก่งเรื่องแบบนี้เสียด้วย พูดมากจนคนชังขี้หน้าเนี่ย


“ไม่ เรื่องอะไรฉันต้องฆ่าคนล่ะ ทนไม่ไหวก็ตายไปเองสิ!”


ดีนลองใช้ท่ากระโดดถีบซึ่งเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน บอกได้เลยว่าถ้าไม่ได้วอร์มก่อนแล้วเจ็บกล้ามเนื้อมาก ๆ


และเป็นอีกครั้งที่เสียงของเทพีอะโฟรไดท์ดังแทรงเข้ามาในหัว ความรักชนะทุกสิ่งเนี่ยนะ?


‘คงไม่ใช่ว่าต้องจูบ… โอ้ม่ายนะ’


จู่ ๆ เขาก็ส่ายหน้าพั่บ ๆ ใช้วิธีที่ซื่อตรงกว่านั้นดีกว่า


“เดมี่ แม่นายบอกว่าความรักชนะทุกสิ่ง ต้องทำยังไงเหรอ?”


ดีนทั้งถามและคล้ายจะกวนประสาทคนที่สิงร่างอีกฝ่ายอยู่ด้วย เขาหลบหมัดอีกฝ่ายได้บ้างไม่ได้บ้าง งานนี้มีหน้าเขียวหน้าปูด


แร็กนาร์ถูกเตะกระเด็น ก่อนเขาพลิกตีลังกากลับมายืนหยัด ตอนนี้โล่และดาบหล่นกระจัดกระจายไปแล้ว แต่เขายังมีมีดสั้นที่แอบซ่อนไว้ หรือจะเรียกมีดปอกผลไม้จากห้องเก็บของนั่นดีนะ


แร็กนาร์แสยะยิ้มก่อนยกหมัดทั้งสองมาบีบส่งเสียงแกรก  “อยากให้ได้ใช้หมัดใช่ไหม งั้นก็ได้”


แร็กนาร์ในร่างเดม่อนวิ่งพุ่ง เงื้อหมัดขึ้น เมื่อใกล้ถึงตัว เขาเบี่ยงตัวหลบครั้งหนึ่งก่อนกระแทกด้วยศอกตรงเข้าไปที่ใบหน้าอีกฝ่าย โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งหลัก


‘ห๊ะ ความรักอะไร หมายถึงตัวผมเหรอ(?)’  เดม่อนแม้จะเป็นบุตรเทพีแห่งความรักแต่เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความรักมากเท่าไหร่ จะเรียกว่าซื่อก็ไม่ผิด แต่ผมก็พยายามสู้สุดชีวิตอยู่เพื่อชิงการควบคุมนี่สิ สงสัยต้องออกแรงให้หนักกว่านี้


เทพีอะโฟร์ไดต์กุมขมับกับบุตรโพไซดอน แต่เธอก็ไม่อาจพูดอะไรเพื่อแทรกแซงได้มากมาย… เธอได้แต่หวังว่าเขาจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อกระตุ้นเดม่อนให้ฮึกเหิมมากกว่านี้ เหตุผลที่อีกฝ่ายโดนควบคุมร่างไปได้ เพราะอีกฝ่ายยื่นสวิตซ์ควบคุมให้เด็กคนนั้นไปเอง แต่ก็เพราะเล่ห์กลล่ะนะ

‘ลิเลียน่า’ เธอตัดสินใจส่งกระซิบอีกครั้ง ก่อนมีเสียงฟ้าร้องฟ้าคำรามดังกัมปนาถ อะโฟร์ไดต์รับทราบแล้ว หลังจากนี้เธอคงไม่สามารถแนะนำดีนได้มากไปกว่านี้แล้ว ซุสพิโรธใส่เธอหนักพอดู 


“แกพูดอะไรของแกวะ ไอเด็กนี่คิดว่าคงตายไปแล้วล่ะ ข้ากดไว้มันแทบขยับตัวไม่ได้ ฮ่า ๆ มันคงจะได้ยินแกอยู่หรอก” แร็กนาร์พูดโต้ตอบอีกฝ่ายด้วยความสะใจ 


หมอนี่เน้นต่อยหน้าอย่างเดียวจนดีนพอจะอ่านทางออก เขาปล่อยให้อีกฝ่ายต่อยแค่สองสามหมัดเท่านั้นแหล่ะ รีบก้มหลบศอกที่กำลังจะลอยเข้าหน้า คงคิดว่าโดนสินะ แต่เสียใจไอ้น้องเพราะพี่เร็วกว่า


ดีนกระโจนล็อคเอวของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วทุ่มเหมือนกับนักมวยปล้ำ เขาเรียกชื่อท่าไม่ถูกแต่ก็ทำเอาทั้งสองล้มกลิ้งไปกับพื้นด้วยกันโดยมีน้ำเหม็นฉึ่งจากท่อระบายน้ำเอ่อนองอยู่ที่พื้น


ดีนได้ยินเสียงของเทพีอีกครั้ง คราวนี้คล้ายได้ยินเสียงฟ้าผ่าเป็นแบคกราวน์ด้วย แม้ไม่เข้าใจทั้งหมดแต่คิดว่ามาถูกทาง ความรัก ลิเลียน่า เป็นอะไรที่สอดคล้องกัน เพียงแต่คำที่เขายียวนคนคุมร่างนั้นอาจส่งไปไม่ถึงเดม่อนเท่าไร


“แน่ใจ? ฉันก็กดแกไว้เหมือนกัน กินน้ำเน่าไปซะ”


ดีนควบคุมน้ำบนพื้นพ่นใส่หน้าคนปากมากด้วยความหมั่นไส้ ขอโทษนะเดม่อน แต่เขารู้ว่าอีกเดี๋ยวอีกฝ่ายจะกลับมาสะอาดเหมือนใหม่


“ลิเลียน่า นายรู้สึกยังไงกับเธอ อยากกลับไปหาเธอไหม!? ฉันน่ะโคตรจะอยากกลับไปหาแมคซี่เลยว่ะ เพราะงั้นเอากำลังใจตรงนั้นแล้วสู้มันซะ!!”


ดีนตะโกนออกมา ไม่รู้ว่าเสียงของเขาจะส่งไปถึงอีกฝ่ายไหม ถ้าได้ก็ดี เพราะว่าเขาไม่อยากฆ่าเพื่อน และไม่อยากมือเปื้อนเลือดเป็นฆาตกร


“ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่าเจ้าทำร่างนี้เจ็บเท่าไหร่ เจ้าเด็กนั่นก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น” แร็กนาร์พยายามสลัดอีกฝ่ายจากการโดนกด น้ำบัดซบเหม็นบรม นี่เขาไม่กลัวไอเด็กนี่จะแหวะตอนได้สติหรือไง ก่อนพยายามดิ้นจนใช้สองมือมาจับแขนทั้งสองที่กดเขา และบิดพยายามเปลี่ยนจากผู้ถูกกดเป็นกดคืน 


“ไม่เบานี่เจ้าหนู แต่นี่ข้าเป็นแค่เงาไร้ความรู้สึก มีเพียงแต่แกทำให้เจ้าเด็กนั่นเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเหม็นกลิ่นน้ำเน่าเสียนี่ ตอนนี้ข้าคิดว่ามันคงสำสักน้ำเน่าตายไปแล้วมั้ง”


"อ๋อ เป็นแค่เงาแถมยังไร้ความรู้สึกด้วย” 


ราวกับได้รับข้อมูลใหม่ แต่ถ้าพูดให้ถูกคือเฉลยตอกย้ำถึงสมมุติฐานเดิมของเขาเองมากกว่า


“นายนี่มันกระจอกชะมัด ฉันสู้ด้วยกำลังของฉันเอง แต่นายใช้แค่เงา แถมยังสิงร่างเพื่อนฉันอีก ถ้ารู้ว่าเป็นลูกของเทพองค์ไหนคงอายถึงนั่น พ่อนายจะอายไหมนะ? ไม่สิ เทพโป้ปดอาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้ ฉันโว้คอยู่แล้ว เพื่อนหญิงพลังหญิงสิดี แต่ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ของนายคงไม่ค่อยภูมิใจหรอกม้างที่มีลูกชายกระจอกที่ถึงยืมมือคนอื่นก็ยังแพ้ ไอ้กากเอ๊ย!!”


วันนี้ดีนปากแจ๋วอย่างไม่เคยเป็น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้จะออกมาเป็นแบบไหน แต่ดีนก็พยายามอย่างสุดกำลังที่จะทวงคืนร่างของเดม่อนกลับคืนมา หวังว่าการยั่่วยุของเขาจะทำให้เดมิก็อดที่สิงร่างเสียสมาธิ


จะกระทั่งเขาเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งค้างเหมือนรูปปั้น...




ช่วงก่อนหน้านี้ผมอาจจะเขียนไม่ค่อยดี เพราะพยายามสอบถามจากดีนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และปะติดปะต่อจากสายตาตอนที่ผมเป็นเอมแกรมของร่างตัวเอง ผมขอเรียกชื่อนี้ล่ะกัน วิญญาณมันก็จะแปลก ๆ เพราะผมยังไม่ตาย 


ต่อจากนี้จะเป็นเวลา 11 โมงเช้าโดยประมาณ ผมพยายามนึกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้วงจิต.. ซึ่งต่อจากด้านบน ผมทำได้เต็มปอดเลยว่า น้ำเน่าสุด ๆ 



‘แหวะ นี่ร่างเขากำลังเจออะไรเนี่ย’ เดม่อนพะอิดพะอมกลิ่นเน่าเสีย ถ้าเขาได้ควบคุมคืนเมื่อไหร่ต้องรีบชำระล้างยกใหญ่ เดม่อนตาโต เขาเหมือนได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงลิเลียน่า เขารับปากเธอจะต้องรอดปลอดภัยทุกครั้ง ไม่พาตัวเองมาเสี่ยงอันตรายแต่เขาก็ทำอีกแล้ว… 


ไม่สิ เขาจะต้องรอดไปให้ได้ แค่นี้ก็ไม่ผิดต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับลิเลียน่าแล้ว… เดม่อนหลังอาเจียนน้ำเน่าเสร็จ เขาวิ่งชาร์จไปที่ไมโครโฟมสุดกำลัง ก่อนแย่งไมค์มาถือไว้ 


“ออกไปจากตัวผมให้หมดดดดพวกผู้บุกรุก!!!!” เดม่อนตะโกนสุดเสียง จนปากของเขาก็พูดออกไปด้วย ตะโกนอยู่เช่นนั้น เขาจะต้องยืนหยัดต้านแรงกดดันที่บุตรแห่งคำลวงคนนี้สร้างเอาไว้กดทับให้ได้ นี่คือความรู้สึกของซิลเวอร์แฮนด์สินะที่ต้องพยายามเพื่อให้มีตัวตน เดม่อนหลับตาลงนึกถึงลิเลียน่า


ก่อนสภาพห้วงจิตสำนักของเขาเปลี่ยนไปเป็นแสงสีขาวทั่วทั้งห้อง มองไม่เห็นกำแพงหรือพื้นเพราะเต็มไปด้วยแสงสีขาว ตรงหน้ามีหญิงสาวในชุดกรีกสีขาว ก่อนหันมา ใบหน้าแม่ยังเหมือนเดิม


อะโฟร์ไดต์ที่ยืนหันหลังอยู่ค่อย ๆ หันมาและพูดขึ้น “แม่ภูมิใจที่ลูกสามารถผ่านมาได้ การที่ลูกถูกควบคุมแบบนี้เพราะความรัก ลูกถึงยอมทิ้งแม้แต่ชีวิตจิตวิญญาณตัวเอง แม่จึงแนะนำดีนให้ใช้ต้นเหตุเพื่อแก้ไขปัญหา”


“แม่..แม่เป็นคนแนะนำดีนเหรอครับ ว่าแต่ช่วงวินาทีที่ผมแย่งการควบคุมกลับมา ผ..ผมรู้สึกพลังงานรอบตัวบริสุทธิ์”


“นั่นคือพลังความรักที่หล่อเลี้ยงโลกนี้ ขอเพียงลูกเชื่อมั่นใจความรักและโอบรับมันไว้ พลังจิตของลูกจะยิ่งแข็งแกร่ง…” อะโฟร์ไดต์พูดพลางยิ้มกับบุตรชาย เธอเดินเข้าไปใกล้ก่อนยกมือลูบใบหน้าบุตรชายตัวน้อย


“ผมไม่เข้าใจ…ผมต้องทำยังไง…” เดม่อนพูดถามเทพีอย่างไม่ค่อยเข้าใจ 


“สักวันลูกจะได้เรียนรู้และเข้าใจมัน” เทพีพูดขึ้นก่อนภาพตรงหน้าสลายไป ผมเหมือนโดนดูดบางอย่างแต่แท้จริงกำลังกลับเข้าสู่จิตใจตัวเอง ความทรงจำของตัวผมค่อย ๆ ไหลย้อนเป็นกระแสน้ำวนรอบตัวผม ตั้งแต่มาค่ายนอกจากดีน หรือพ่อที่เสียไป ก็มีลิเลียน่าที่ปรากฎทุกช่วงเวลาของความทรงจำ ผมยิ้ม… “ขอบคุณนะลิเลียน่า ครูและเพื่อนที่ดีที่สุด นายด้วยดีน”





ก่อนเดม่อนตื่นขึ้น แต่เขาไม่ได้สติ สูญเสียพลังมากเกินไปในการต่อสู้กับบุตรแห่งเงาลวง และรู้สึกร่างกายก็บาดเจ็บไม่น้อย ทำให้ลืมตาแทบไม่ขึ้น ร่างกายเดม่อนค่อย ๆ เข้าสู่นิทรา แต่เป็นการหลับที่สบายหายห่วง เพราะเขาเริ่มส่งเสียงกรน…


แม้จะลืมตาไม่ขึ้นแต่ก่อนเขาจะเข้าสู้ห้วงนิทราจริง ๆ ก็ไม่ลืมใช้พลังตัวเองชำระล้างคราบสกปรก ออกไปจากตัวจนหมดจด ราวกับอาบน้ำมาใหม่ กลิ่นมันรับไม่ไหวจริง ๆ 


ในตอนนี้ผมคิดว่าทุกอย่างคงจะจบลงแล้ว ผมพยายามเค้นเสียงสุดท้ายก่อนหมดสติไปด้วยความเหนื่อยล้าออกมา


“ดีน ขอบคุณนะที่ชวนมาทำภารกิจนี้~~” 


“เฮ้ เดมี่?” ดีนพูดเรียกผม


แม้เดม่อนจะสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาฟื้น แต่เขาก็ไม่มีแรงแม้แต่จะลืมตาหรือพูดอีกครั้ง...


“ไอ้บ้านี่ก็หลับตรงนี้เลยเนี่ยนะ ต้องให้ฉันแบกไปอีกสิปัดโธ่”


หลังจากที่ผมรับรู้ว่าดีนกำลังแบกร่างผมกลับไปสมทบกับไบร์ท ผมก็หลับยาวไม่ได้สติรับรู้อีกเลย จนถึงรถบัสก็ยังนอนอย่างสบายใจ 



- ดีนเผชิญหน้ากับไฮดร้า [Link]
- ดีนเผชิญหน้ากับตัวผมเอง หรือแร็กนาร์ที่สิงร่าง [Link]

- เดม่อนเอาชนะแร็กนาห์ในห้วงจิตตัวเองและชิงการควบคุมกลับมา 







แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-22] แม็กนัส เชส เพิ่มขึ้น 200 โพสต์ 2024-12-22 01:56
โพสต์ 193874 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2024-5-17 01:13
โพสต์ 193,874 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-5-17 01:13
โพสต์ 193,874 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ทักษะดาบ  โพสต์ 2024-5-17 01:13
โพสต์ 193,874 ไบต์และได้รับ +7 EXP +6 เกียรติยศ จาก นาฬิกาสปอร์ต  โพสต์ 2024-5-17 01:13
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ประสาทสัมผัสดีขึ้น
เปลวไฟแห่งความหลงใหล
พันธนาการแห่งเสน่ห์
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x2
x14
x3
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2024-5-17 09:29:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Bright เมื่อ 2024-5-17 09:32


𝕭𝖗𝖎𝖌𝖍𝖙 𝕬𝖒𝖊𝖘

𝕾𝖆𝖛𝖊 𝖕𝖆𝖌𝖊 3




พวกเรากำลังนั่งรถบัสคนเดิม เดินทางไปยังลาสเวกัส Tap Card เอามาใช้อย่างคุ้มค่ากับการเดินทางไกล ต้องบอกก่อนว่าบัตรนี้มีสิทธิ์พิเศษโคตร ๆ เพราะมันสามารถต่อรถบัสโดยสารได้หลายสายภายใน 2 ชั่วโมง ฟรี ฟรี ฟรี !


ฉันคิดว่าการเดินทางรอบนี้กับรถบัสคันนี้จะพาไปถึงจุดหมายปลายทางได้โดยสวัสดิภาพ ฉันลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนเหลือบมองเดม่อนกับดีน ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำบนรถบัส 


ยืนอยู่หน้ากระจกมองดูภาพสะท้อนตัวฉันเอง 


"เฮงซวยเถอะ"


ฉันบ่นพึมพำใช่แล้ว และคนที่กำลังนึกถึงก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก 'ลุค คาสเทลแลน' หรือ 'บุตรแห่งเทพจอมโป้ปด' 


พอเครียดทีไรก็อยากระบายมันออกมา คนที่อ่านบันทึกของฉันหน้านี้ ขอเตือนก่อนว่าอย่าทำตามล่ะการสูบบุหรี่มันไม่ดี แต่แล้วไงฉันไม่ได้สนใจนี่ —Ha


ล้วงพอตที่อยู่ใต้กระเป๋าเสื้อคลุมนอกออกมายืนสูบ ใช้ความคิดคนเดียว การสูบบุหรี่ไฟฟ้าช่วยผ่อนคลายอารมณ์ฉันลงได้หลายส่วน ถึงจะงัวเงียสักเพียงใดแต่เหตุการณ์ที่พวกเราเจออยู่น่ะ เป็นเรื่องราวที่นอนไม่หลับหรอก 


ฉันบังเอิญเดินมาโป๊ะเชะกับเดม่อนพอดิบพอดี 


“ไงไบร์ท ว่าแต่ตั้งแต่เราออกอินเดียนาโพลิส สถานการณ์เป็นไงบ้างเหรอ” เดม่อนทักฉันก่อนเอ่ยถามสถานการณ์ ไม่รู้เขาพลาดอะไรไปบ้างหรือเปล่า


"ทุกอย่างราบรื่น"



บอกตามตรงการออกนอกค่ายหลังคลุกตัวฝึกฝนร่างกายมาหลายสัปดาห์ หัวใจฉันราวกับถูกรักษาไม่ให้เหี่ยวเฉา 


นั่นแหละคำว่าราบรื่นคิดว่าอยู่จริงหรือเปล่า ก่อนเขียนบันทึกกับหลังเขียนบันทึกต่างกันลิบลับ เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ 


ความมืดครึ้มค่อย ๆ ปกคลุมกลืนกินพื้นที่ด้านนอก เป็นเส้นทางเดียวกับรถบัสที่กำลังขับตรงไปเรื่อย ๆ จังหวะนั้นฉันแม่งเอะใจล่ะ จากวิวทิวทัศน์ของเมืองที่สว่างโล่ง บรรยากาศเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ และพอมองไปตรงที่นั่งของคนอื่น ๆ ทุกคนดูปกติดี


เสมือนว่าสิ่งที่ฉันเห็นนั้นเป็นภาพหลอนคนเดียว


ถ้าจะให้บรรยายสิ่งที่เห็นน่ะหรอ อารมณ์ประมาณ รถบัสกำลังโลดแล่นเข้าเมือง Silent Hill 


เสียงโหยหวนกรีดร้องดังแสบแก้วหูโดยไร้ที่มาของต้นเสียง ฉับพลันภาพทุกอย่างสว่างวาบ ฉันควบคุมบังคับร่างกายไม่ได้ โอ้พระเจ้า 'นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น'


"พวกนาย ร…ระวัง !!!" คนขับรถเบรกกะทันหันทำให้รถบัสเกิดเสียหลักพลิกคว่ำชนป้ายบอกทางขนาดใหญ่ 


ฉันกัดริมฝีปากพยุงร่างขึ้นอย่างโซซัดโซเซ หลายชีวิตร้องระงม ร่างผู้บาดเจ็บจำนวนมากส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ


ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้าย "ดีน เดม่อน พวกนายไหวไหม" ฉันเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง "นี่มันไม่ปกติ ต้องเป็นฝีมือเจ้าหมอนั่นแน่ ๆ ลุคที่นั่นน่ะ ดูสิ คราวนี้ไอ้บ้านั่นเล่นแรงเกินไปแล้ว แน่จริงก็ออกมาสิวะ เก่งแต่ทำให้คนไม่เกี่ยวข้องเดือดร้อน" เธอไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธแต่รู้สึกไม่ค่อยพอใจมีคนหลายคนต้องมาโดนหลูกหลงไปด้วย


เหมือนพวกเขาสามคนเป็นตัวซวย 


ไปที่ไหนเกิดอุบัติเหตุที่นั่น !



“ไม่เป็นไร ๆ ผมสบายดีอยู่” เดม่อนตะโกนโต้ตอบไบร์ทเพื่อแจ้งให้อีกฝ่ายทราบถึงความปลอดภัย


เดม่อนค่อย ๆ คลานตัวเองออกจากรถที่พลิกคว่ำ เขาช่วยเด็กสาวกับเด็กชายคู่หนึ่งออกไปพร้อมกัน ดูเหมือนพวกเธอจะเป็นพี่น้องกัน ก่อนดันตัวเด็กทั้งสอง “บ้าจริง ไอหมอนั่นคอยก่อกวนไม่เลิกเลย” เดม่อนสบถในขณะคลานออกมาจากรถบัส ซึ่งฉันเห็นด้วยนะ ก่อกวนไม่เลิกอย่างกับหมาลอบกัด 


“ว่าแต่เราเดินเท้าไปกันต่อไหม ข้างหน้าก็ถึงลาสเวกัสแล้ว” 



ทางด้านของดีน อยากรู้ไหมว่าน้องชายของฉันโดนผลกระทบอะไรบ้างจากอุบัติเหตุ ดีนเล่าให้ฟังว่า 'กำลังหลับอยู่ในรถบัส ถึงไม่สบายเนื้อสบายตัวแต่ว่าจำเป็นจะต้องงีบพักเอาแรง แต่สุดท้ายก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกถึงแรงกระแทกอย่างหนักจนศีรษะกระทบกับขอบหน้าต่างจนเลือดอาบ จากนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองถูกแรงเหวี่ยงซัดไปซัดมาอีกหลายตลบ'


'ฉันไม่มีเวลามองหาไบร์ทกับเดมี่ ลำพังตัวเองยังเอาตัวไม่รอด จนคนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างกระเด็นออกจากตัวรถที่เอียงกระเท่เร่ ยังดีที่ฉันใส่ชุดเกราะไว้อยู่ตลอดเวลาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บบริเวณลำตัว แต่ใบหน้า แขน ขา และจุดอื่น ๆ ที่ไร้การป้องกันของเกราะสัมฤทธิ์ถือว่าน่วมไปหมด' —--มุมมองของผู้ประสบภัยท่านหนึ่ง 


เมื่อพวกเรากลับมาสมทบกันร่วมตัวกันประดุจซุปเปอร์ฮีโร่ ฉันก็ต้องคิดหนักกับการจะเดินทางไปยังเมืองคนบาปตามคำพยากรณ์ "เดินเท้าไปลาสเวกัส ท่าจะไม่ไหว อาจจะต้องเรียกรถคนที่ผ่านไปผ่านมาแถวนี้ ไม่ก็แท็กซี่ที่หมายถึงแท็กซี่คนธรรมดาขับน่ะ" แค่นึกถึงแท็กซี่สามพี่น้องสีเทาฉันรู้สึกปั่นป่วนท้องอย่างบอกไม่ถูก


เข็ดสิเฮ้ย ไม่นั่งอีกแล้วลาขาด กู้ดบายยยยยย


บทพูดฉันก็จะยาวหน่อยเพราะเป็นเจ้าของบันทึกอ่ะจ้า "ตรงนี้พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้มาก ทำได้แค่ช่วยเท่าที่จะทำได้" อีกสักพักทั้งรถกู้ภัย รถตำรวจและรถพยาบาลคงจะแห่กันมาเพียบ อุบัติเหตุรถบัสพลิกคว่ำผู้โดยสารหลายรายได้รับบาดเจ็บ เผลอ ๆ เดี๋ยวถูกนำไปเสนอข่าว สื่อต่าง ๆ


ฉันมองป้ายบอกทางที่พังยับเยิน แต่ก็พอจะมองตัวอักษรออก "ตอนนี้พวกเราอยู่นอกเมืองเดนเวอร์"


ในขณะที่ช่วยพยุงชายวัยกลางคนออกจากกองซากรถ ชายคนนั้นเงยหน้ามองพร้อมแสยะยิ้ม มือที่จับแขนฉันบีบแน่นกว่าเดิม ก่อนใช้มือที่ว่างชักมีดสั้นจะแทงตัวฉันอีกต่างหาก เอ้าไอ้เวรรรรรร #^%%^฿#% (เขียนบันทึกด้วยความโมโหจนอ่านตัวหนังสือไม่ออก)


"แกคิดจะทำอะไร" ฉันถาม และชายวัยกลางคนเบื้องหน้าคืนสู่สภาพเดิม กลายเป็นชายหนุ่มที่มีแววตาเพทุบาย


'ไอ้เชี่ยยย กุโดนเกรียน!!!'



เดม่อนได้ยินเสียงฉัน "ไบร์ทเกิดอะไรขึ้น"


เดม่อนพูดก่อนเลิกคิ้วมองสลับกับชายหนุ่มอีกคน แร็กนาร์!? ไบร์ทระวังตัวนะ หมอนี่คือบุตรเทพจอมโป้ปด!” เดม่อนตะโกน


"ไบร์ท เอมส์ ธิดาแห่งโพไซดอน" แร็กนาร์พูด


"ศึกษาข้อมูลพวกฉันมาดีเลยสินะ"


"รู้อะไรไหม ?" แร็กนาร์เอ่ยอีกครั้ง ก่อนที่ฉันจะรู้สึกเหมือนตัวเองถูกดึงเข้าไปหาเจ้าของเสียง มันบีบคอฉันอย่างรุนแรง "ภารกิจนี้มีสายเลือดโพไซดอน คนเดียวก็พอแล้ว


ขยันพูดพล่ามซะด้วย !!!


"หมายความว่าไง" สายเลือดโพไซดอน คนเดียวหรอ ไอ้เจ้าหมอนั่นมันต้องการจะพูดอะไรกันแน่ หรือมีความหมายสื่ออะไรบางอย่าง ฉันดิ้นแรงคว้าหยิบปืนที่แหนบอยู่ยิงเงาบุตรแห่งคำลวง 


"จะยิงกี่นัด กี่ครั้ง ก็เอาที่เจ้าสบายใจ ข้าเป็นเงาไร้ความรู้สึก" แร็กนาร์ตอบกลับอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า "หากอยากเล่นบทบาทวีรบุรุษ ข้าเองก็จะช่วยพวกเจ้า" ทั้งบุตรแห่งอะโฟร์ไดท์และบุตรธิดาแห่งโพไซดอน เงาแห่งคำลวงเริ่มทำอะไรบางอย่าง "แต่บทบาทที่ข้าจะให้พวกเจ้าเป็นไม่ใช่วีรบุรุษหรอก แต่เป็นผู้ก่อการร้าย"


มัดมือชกรับบทแบบไม่ได้ออกความคิดเห็น ฉันอยากต่อยมันจริง ๆ ku#^%%^฿#% (ขีดฆ่าคำด่าในบันทึก)



“ไบร์ท!” เดม่อนเมื่อเห็นฉันโดนดึงเข้าไปหาตัวมัน เขารีบวิ่งเข้าไป 


ก่อนเดม่อนจะกลายเป็นมิโนทอร์ เซอร์ไพรส์มาก….. สายเลือดแห่งอะโฟร์ไดท์ เห็นสวย ๆ หล่อ ๆ บอกเลย ไม่ธรรมดานะฮ้าบฟู่วววว


ร่างกายของเดม่อนค่อย ๆ กลายสภาพเป็นมิโนทอร์วิ่งพุ่งซนแร็กนาร์เข้าอย่างจัง มือคว้าตัวฉันแล้ววางลงบนพื้น “เธอไม่เป็นอะไรนะ” เดม่อนถามขึ้น ก่อนกลายกลับร่างเดิม ชักดาบและโล่ตั้งท่า 


ขอตั้งฉากเด็ดเจ็ดสีให้ฉากนี้ว่า การพบกันระหว่างผู้ใช้พลังวิเศษ 


"เดม่อน ซวยแล้วล่ะ มันตั้งใจจะให้เรากลายเป็นผู้ก่อการร้าย" ฉันที่ได้เดม่อนช่วยไว้ รีบบอกในสิ่งที่เงาแห่งบุตรคำลวงพึ่งพูด


สายตาของผู้โดยสารที่บาดเจ็บหลายคนมองมาทั้งพวกเขาทั้งสามคน ก่อนมีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา 


"เป็นเพราะพวกแก !"


"พวกแกตั้งใจทำให้รถบัสพลิกคว่ำ"


"ไอ้พวกคนเลว" บางคนหยิบก้อนหินจากพื้นปาใส่เธอ ทั้งดีนและเดม่อน เสียงก่นด่าดังมาจากทั่วทุกสารทิศ


ทุกคนถูกมันปั่นหัว โดนมีไอ้ตัวต้นเรื่องยืนยิ้มมองดูอยู่ด้านหลัง


ดีนน่ะกว่าจะได้สติกลับมาก็เป็นช่วงที่พวกเราโดนผู้โดยสารกำลังก่อหวอดรุมด่า “เดี๋ยวใจเย็น ๆ มีอะไรก็คุยกันก่อน”


“เรารีบไปกันเถอะ ขืนถ้าตำรวจมางานช้างแน่” เดม่อนพูดขึ้นเก็บดาบ ยกโล่ขึ้นป้องกันหินที่ถูกปามา “ไบร์ทไปก่อน เดี๋ยวผมตามไปทีหลัง” เดม่อนยกโล่ป้องกันรั้งท้าย พยายามวิ่งไปกันไม่ให้วัตถุที่พลเรือนปามาไปโดนพวกเรา

 

"โอเค ระวังด้วย ไอ้หมอนี่มันปั่นหัวคนเก่งฉิบหาย" เป็นคำเตือนที่ใคร ๆ ก็รู้กันเป็นอย่างดี ฉันมองหาดีนก่อนจะเรียกพี่น้องต่างมารดา "พวกเราคงต้องช่วยกันแล้ว"


ฉันไม่สามารถใช้พลังน้ำได้แม้เป็นสายเลือดโพไซดอน เพราะความสามารถยังไม่เพียงพอด้วยล่ะ จึงใช้ปืนคู่ใจ อัดยิงเงาบุตรแห่งคำลวง 


ชาร์จยิงเปิดทาง เพราะยังไงพวกเขาทั้งสามคนจำเป็นต้องหลบหนีออกไปจากที่อื่นก่อนที่รถตำรวจจะแห่กันมา ชาวบ้านรอบ ๆ ตื่นตระหนกตกใจ กับการถืออาวุธของฉัน "เอ่อ ก็แบบว่า ปืนเด็กเล่นอ่ะ" เป็นคำแก้ตัวในสถานการณ์ที่ถูกกล่าวว่าเป็นพวกคนร้ายป่วนเมือง ยากที่จะเชื่อกันทั้งนั้นแหละ


"ดีน เราต้องหาทางหลบจากตำรวจก่อน" ฉันวิ่งไปทั้ง ๆ ที่พูดอยู่ "เดม่อนรู้อยู่แล้วว่าเราจะไปไหน ยังไงปลายทางก็คือลาสเวกัส ถ้าพัดหลงกันจริง ๆ อย่าลืมสิ เราสามารถติดต่อเดม่อนผ่านเครือข่ายสื่อสารไอริสได้" เอาเป็นว่าพวกเขาทั้งสองเอาตัวให้รอดก่อน


“เว้ย! เราไม่ควรจะแยกกันไหม!?” ดีนคิดว่าไม่ควรจะแยกกันไปแต่ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อฉันออกวิ่งและเดม่อนยืนใช้โล่กำบังให้อยู่ ดีนได้รับบทเรียนการปั่นหัวจากบุตรแห่งคำลวงมาแล้ว พวกมันต้องการแยกให้พวกเขาออกจากกันเพื่อไล่เชือดทีละคน แม้ดีนจะรู้ว่าไอ้หมอนั่นก็ฝีมืองั้น ๆ จากการแลกหมัดกันมาแล้วก็ตาม


“เวร!” ดีนสบถออกมาเมื่อสถานการณ์ไม่เป็นใจ 


กลับมาเล่าในมุมมองเดม่อน ทุกอย่างคือเหตุการณ์จริงที่ถ่ายทอดออกมาในฉันได้เขียนลงบันทึกหน้านี้ 


เดม่อนเล่าว่าเมื่อเห็นพวกฉันไปจากตรงนี้แล้ว เขารีบวิ่งไปยังเชิงผาข้าง ๆ ก่อนกระโดดลงไป เดม่อนไม่อยากทำให้สมองพลเรือนต้องสับสนประมวลผลไม่ทันหากเขาใช้พลังในขณะที่ถูกจับจ้องเช่นนั้น การแปลงกายของเขา ไม่รู้ว่ามนต์บังตาจะประมวลผลให้พวกเขาเห็นยังไง แต่ก็เลือกจะไม่เสี่ยงดีกว่า วินาทีที่เดม่อนกระโดดลงไป ก่อนนึกถึงสัตว์ปีก พิราบล่ะกัน สัญลักษณ์ของแม่น่าจะไม่ยาก 


ร่างกายเดม่อนค่อย ๆ หดเล็กลง กลายเป็นพิราบบินขึ้นไปบนฟากฟ้า ด้วยสัตว์ขนาดเล็กไม่ทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังงานมากเท่าไหร่ เดม่อนบินมุ่งหน้าไปลาสเวกัส ยังไงจุดหมายปลายทางพวกเขาย่อมเป็นลาสเวกัสตามนัด เอาไว้เขาค่อยไปบินตามหาทั้งสอง


ในขณะเดม่อนกำลังบินตรงไปยังเดนเวอร์เพื่อพักก่อน เขาไม่อาจยิงยาวไปได้ แต่ไม่ทันจะลงจอดดี ๆ มีเหตุให้เดม่อนต้องกลายเป็นนกร่วงจากท้องฟ้า เพราะจู่ ๆ เขาก็ปวดหัว ภาพอะไรบางอย่างทะลักเข้ามา มันเป็น..มุมมองบุคคลที่หนึ่ง


เขาหรือใคร แต่ไม่ใช่เขาแน่นอน สภาพแวดล้อมที่เขามองเห็นเหมือนอยู่ใต้บาดาล เป็นนครที่สวยอะไรขนาดนี้ ดูเหมือนผู้คนกำลังเฉลิมฉลองอะไรสักอย่าง แต่คนผู้นี้ที่เขากลับเห็นในฐานะมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ยื่นแขนไปเปิดประตูลอบเข้าไปข้างในราชวังอะไรสักอย่าง ชัดเจนเลย ราชวังแอตแลนทิส ตรงหน้าเป็นตรีศูลสีทองออร่าเปล่งประกายสวยงาม ชายคนนั้นยื่นมือคว้าตรีศูลก่อนรีบวิ่งสุดฝีเท้า หรือนี่คือความทรงจำของแร็กนาร์(?)


ผลกระทบจากการที่เงาของเขามาสิงในร่างของเขางั้นเหรอ ก่อนเดม่อนรีบตั้งสติ เขากระพือปีกเบรดกระทันหัน ถ้าเขาไม่ได้สติไม่อยากจะคิดภาพอีกนิดเดียวคงร่วงตกพื้นอนาถแน่ ๆ ก่อนเดม่อนจะลงพื้นในตรอกสักที่ของเมืองเดนเวอร์ และกลับคืนร่างเดิม เดม่อนเดินไปกดน้ำอัดลมที่ตู้มาดื่มดับกระหายสักหน่อย


“แดเนียลส์และฟิชเชอร์ทาวเวอร์” เดม่อนที่กำลังยืนดื่มน้ำอัดลม เขาเงยหน้าขึ้นมองป้ายบอกทางแถวที่อยู่ในเดนเวอร์  —---เล่าได้เห็นภาพตอนฉันนั่งฟังคือน้ำลายสอแล้ว


เดม่อนเดินไปตามถนน ก่อนสายตาเขาเห็นรถขนสินค้าลาสเวกัส เขาเดินไปที่รถคันนั้น สำรวจกล่องพัสดุ ดูเหมือนปลายทางจะเป็นลาสเวกัส ไม่ผิดแน่ ก่อนเดม่อนครุ่นคิด เขาต้องเชพพลังให้น้อยที่สุดและดูท่าจะต้องอยู่หลังรถบรรทุกคันนี้สักระยะ ก่อนเขาแปลงร่างเป็นหนูตัวน้อยและวิ่งไปแอบอยู่ตามซอกกล่องในรถบรรทุก เพื่อรอเวลารถคันนี้ออกเดินทาง 


ผ่านไปสิบนาที เดม่อนเริ่มรู้สึกว่ามีคนเดินมาปิดหลังรถดังปัง ก่อนล้อรถบรรทุกคันนี้เริ่มออกหมุนเดินทาง ปลายทางคือลาสเวกัส… เขาหวนนึกถึงดีนกับไบร์ท ขอให้ทั้งสองปลอดภัยด้วยเถอะ ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่า แร็กนาร์ดูหมกมุ่นกับสายเลือดโพไซดอนแปลก ๆ  


“ขอให้โพไซดอนคุ้มครองพวกนายนะ” เดม่อนพูดขึ้น ดูเหมือนเขาเริ่มคุ้นชินกับการแปลงกายแล้ว อีกทั้งเขาสามารถคุยพูดปกติได้แม้จะอยู่ในร่างที่แปลงกายนี้ แม่คงภูมิใจ ผมคนแรกเลยไหมเนี่ยที่ใช้พลังแปลงเป็นหนู ลูกคนอื่น ๆ ของแม่ก่อนหน้านี้น่าจะเน้นเป็นคนสวยหล่อหรือสิ่งมีชีวิตที่งดงามกันหรือเปล่านะ  



STOP หยุดก่อน เดี๋ยวจะกลายเป็นฉันเขียนแต่ของเดม่อนอย่างเดียว วกกลับมาที่บุตรธิดาแห่งโพไซดอน 


ระดับความซวย เต็ม 10 จะให้เท่าไหร่กันดี ?



"ดีน" ฉันเรียกชื่อน้องชายเสียงเบา พวกเขาวิ่งลัดเลาะตามตึก ตามซอกซอยต่าง ๆ หลีกเลี่ยงการเดินบนถนน "ฉันสงสัย ทำไมหมอนั่นถึงดูเหมือนต้องการสายเลือดโพไซดอนแปลก ๆ"


ภารกิจตามหาตรีศูลยังไม่ถึงครึ่งทางฉุดรั้งเต็มไปด้วยอุปสรรคจงใจ หรือ ขัดขวาง "ถ้าหมอนั่นจงใจให้เป็นแบบนี้ เท่ากับพวกเราอยู่ในแผนการของมันหรือเปล่า" 


ฉันเสื้อคลุมตัวนอกโยนทิ้งใส่ถังขยะ รูปพรรณสัณฐาน ลักษณะการแต่งตัวของพวกเขาทั้งสามคนคงถูกผู้โดยสารและพลเรือนแถวนั้น รายงานแจ้งให้ตำรวจฟังหมดเรียบร้อย อะไรที่พอจะเปลี่ยนแปลงได้นิดหน่อยฉันก็ต้องทำ "คงต้องปลอมตัวกันสักพัก"


“ไม่ ฉันไม่รู้อ่ะ คำทำนายมันว่ายังไงนะที่เกี่ยวข้องกับพวกเรา”


“เลือกระหว่างโทสะแห่งสมุทรเทพหรืออสุรกายห้วงทะเลลึก ใช่ตรงนี้หรือเปล่า สตรีหลงยุคคงไม่ใช่ ถูกล่อลวงด้วยซาตานก็ไม่น่า” ดีนมองฉันที่โยนแจ็กเก็ตทิ้งไปแล้วก็ขมวดคิ้ว 


"แถวนี้น่าจะปลอดภัย ดีนติดต่อเดม่อนเลยเถอะ" ห่างกันไปสักพักใหญ่ ๆ ฉันใจคอไม่ดี เดี๋ยวจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเดม่อนอีก


“โอเค” เมื่อหาที่หลบมุมดี ๆ ได้ดีนก็ตั้งโล่ขึ้น มันสะท้อนกับแสงแดดยามเช้าได้อย่างพอดี หวังว่าวันนี้เทพีไอริสจะเป็นใจและประทานสัญญาณแจ่ม ๆ ให้ ดีนดีดดรักม่าขึ้นฟ้า ภาวนาถึงคนที่ต้องการจะติดต่อด้วย…


ก่อนจะขึ้นเป็นอักษรสีทองสะท้อนแสง [โปรดลองติดต่อใหม่ อีกฝ่ายกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว]


“เชี่ยอะไรเนี่ย! คืนเงินมาเลยนะว้อย!!!” เหมือนว่าการเดินทางนี้จะทำให้ฉันกับดีนสติแตกได้หลายครั้งหลายคราว


ข้อความสีทองบนโล่ไม่หายไปแต่เปลี่ยนเป็น 


[ขออภัยไม่มีบริการคืนเงิน ข้อความจะถูกตัด 3 2 1] ก่อนอักขระสีทองค่อย ๆ เลือนหายไป


"โดนเกรียน"


ฉันยกมือกุมขมับ หวนนึกคำทำนายของแม่หมอเรเชล ผู้สืบทอดฐานะเทพพยากรณ์เดลฟี "ไปลาสเวกัสกันเลยเถอะ ฉันเชื่อว่าคำพยากรณ์จะเป็นตัวชี้นำโชคชะตาที่แท้จริง ฉะนั้น 'พึงระวังการถูกล่อลวงจากบุตรแห่งเทพจอมโป้ปด' หนึ่งในบทพยากรณ์น่าจะหมายถึงสิ่งที่พวกเราเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้ เราเพียงแค่ต้องไปตามคำทำนายทุกอย่างจะได้เป็นไปตามลิขิต"


"และเดม่อน เขาเป็นคนฉลาดอาจกำลังเดินทางไปลาสเวกัสแล้ว เผชิญ ๆ ถึงก่อนเราสองคนซะอีก เห็นว่าสามารถใช้พลังแปลงกายได้พวกเราสองคนไม่ต้องห่วงอะไรมากแล้วล่ะ" เธอพูดอย่างมีสติครบถ้วน "ที่น่าเป็นห่วงน่ะมันคือ ฉันกับนาย โบกรถดีไหม"


ดีนได้แต่มองอากาศหลังจากที่ขึ้นข้อความ [ขออภัยไม่มีบริการคืนเงิน ข้อความจะถูกตัด 3 2 1] สีทองเลือนหายไป อ๋อใช่ พวกเราต้องการติดต่อเดม่อนน่ะ ใช้การสื่อสารผ่านเครือข่ายไอริส


"อะไรวะหรือสัญญาณจะเสีย ?" ฉันถาม


ดีนคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ก่อนจะหันมาบอกฉันประมาณว่าเดี๋ยวจะขอทดสอบอะไรสักหน่อย เขาลองโยนเหรียญขึ้นฟ้าอีกทีหนึ่งเพื่อทดสอบสัญญาณ "ต่อสายถึงรีชา"


ทันใดนั้นภาพสีรุ้งก็ปรากฏชัดอยู่บนโล่ เป็นภาพของเด็กน้อยผมเปียกำลังหากลีบดอกโคลเวอร์สี่กลีบอยู่ข้างทะเลสาปในค่าย


“เฮ้! รีช มองมาหาพี่ทางนี้ ในทะเลสาบ” เขาเอ่ยทัก ได้ยินเสียงเล็ก ๆ น้องน้องสาวร้อง “ว้าย” กลับมา ทว่าเธอก็ลองชะโงกหน้ามองตาม


“พี่ดีนเหรอ? เป็นไงบ้างคะ?”


“ไม่มีอะไร พี่กับไบร์ทสบายดีมั้ง…แค่โทรมาเช็คสัญญาณเฉย ๆ แค่นี้นะ”


"เอ้า เอาสัญญาณก็ปกติดี" 


ฉันมองดีนที่ลองใช้เครือข่ายไอริสติดต่อเดม่อนดูใหม่อีกทีก็ขึ้นข้อความสีทองแบบเดิม


“บ้าเอ๊ย! ไม่ใช่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมอนั่นนะ..”


จากนั้นพวกเราก็ตกลงกันว่าจะลองเดินโบกรถที่ผ่านถนนเส้นนี้กัน


ฉันยืนโบกรถคันแล้วคันเล่าตามถนน บุตรธิดาแห่งโพไซดอนทั้งสองช่วยกันโบกรถที่สัญจรผ่านถนนเส้นนี้ ตลกชะมัดแดดก็ร้อน 'พ่อเห็นคงหัวเราะแน่'


กระทั่งมีรถกระบะคันสีดำจอด คนขับเลื่อนกระจกลงก่อนฉันชิงตัดหน้าจี้ถามเจ้าของรถ "จะไปไหนพี่"


"พวกเอ็งสองคนนั้นล่ะจะไปไหนกัน" คนขับถามกลับ


"คือพวกเราจะไปลาสเวกัส"


"ไกลอยู่นะไอ้หนู" ชายคนขับบอกก่อนจุดซิการ์ เป่าควันสีเทามาทางฉันกับดีน "ถ้าอยากให้ช่วยก็ต้องมีสินน้ำใจ เล็ก ๆ น้อย ๆ สักหน่อย"


อะไรวะเหมือนกับกำลังโดนไถเงิน "สินน้ำใจ ? แน่นอนมีอยู่แล้ว $50 พอมั้ย" 


"ก็พอได้อยู่แต่ขึ้นได้คนเดียว ถ้าอยากขึ้นทั้งสองคน ลุงขอ $70"


มันจะมากเกินไปแล้ว เฮ้ย ฉันเดาะลิ้น แต่มันก็ช่วยไม่ได้ถอยตอนนี้กลับไปก็เสี่ยงโดนตำรวจไล่จับ โดนหมายหัวทั้งที่ถูกใส่ร้ายให้กลายเป็นผู้ง่ายแบบงง ๆ โคตรแย่..... "เคลุง" เธอยอมจ่ายเงิน


"ขึ้นท้ายรถลุงเลยเดี๋ยวพาไปส่ง"


พวกเราขึ้นมานั่งบนเบาะหลังรถกระบะได้แค่ภาวนา ขอให้หลังจากนี้พวกเขาได้ไปถึงลาสเวกัสโดยไม่ประสบเคราะห์ภัยใด ๆ กลางทางอีกเลย


ตอนนี้เหลือฉันกับดีนอยู่ด้วยกันสองคน เด็กห้ามที่มีกลิ่นเลือดหอมหวานดึงดูดอสุรกาย คิดว่าต่อจากนี้เส้นทางที่พวกเราเผชิญจะดีหรือร้าย


ลองเดาดูสิ !!!




ผลการต่อสู้ของไบร์ท

ต่อสู้กับแร็กนาร์ 









แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-22] แม็กนัส เชส เพิ่มขึ้น 200 โพสต์ 2024-12-22 01:57
โพสต์ 127573 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2024-5-17 09:29
โพสต์ 127,573 ไบต์และได้รับ +6 EXP +8 เกียรติยศ +6 ความศรัทธา จาก ชุดเครื่องเพชร  โพสต์ 2024-5-17 09:29
โพสต์ 127,573 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-5-17 09:29
โพสต์ 127,573 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก สร้างฟองอากาศ  โพสต์ 2024-5-17 09:29
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ดาบไซฟอสออฟเดอะฟอลเลน
ควบคุมน้ำ
ตรีศูลน้อย
เข็มทิศมหาสมุทร
น้ำหอมบุรุษ
ชุดเครื่องเพชร
หมวกนีเมียน
ฟองอากาศแห่งชีวิต
ภูมิคุ้มกันเปียก
แว่นกันแดด
เกราะหนัง
กำไลหินนำโชค
หายใจใต้น้ำ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x1
x17
x2
x3
x2
x3
x3
x20
x4
x6
x1
โพสต์ 2024-5-18 03:11:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2024-5-23 19:20

143

DAY 4: ภัยมนุษย์ที่เดนเวอร์


ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล

ผู้จดบันทึกวันที่ 4


             [ 18 พฤษภาคม 2024 ]

             ผมดีน นีล กลับมาอีกครั้งในบันทึกวันที่ 4 โดยรับช่วงต่อจาก ไบร์ท เอมส์ ถึงตอนนี้พวกคุณคงพอจะรู้แล้วว่าการเดินทางของพวกเรานั้นระทมกันแค่ไหน บอกเลยว่าภารกิจที่มีนิวยอร์กเป็นเดิมพันมันไม่ง่าย พวกผมต้องเจออะไรบ้างคุณลองมาดูกัน


             11.00 น. (เวลาโดยประมาณ)

             ต่อจากเมื่อวานพวกเราแยกทางกับเดม่อนด้วยเหตุจำเป็น ผมและไบร์ทได้โบกรถกระบะคันนึงเพื่อหวังจะติดรถเขาไปลงที่ลาสเวกัส โดยโชเฟอร์เรียกร้องค่าเดินทางไปถึง 70 เหรียญ ผมซึ่งไร้ประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบฮิทช์ไฮกิ้ง (ขอติดรถฟรีไปตามทาง) เพิ่งจะรู้ว่าเขาเรียกเก็บค่าโดยสารกันด้วยเหรอ แต่พวกเราไม่มีทางเลือก

             จากจุดที่เกิดอุบัติเหตุที่นอกเมืองเดนเวอร์อยู่ห่างจากลาสเวกัสราว ๆ 670 ไมล์ ในอุณหภูมิ 23 องศาเซลเซียส ท่ามกลางแสงตะวันส่องกลางหัวและสภาพอากาศแบบกึ่งแห้งแล้ง หากเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อย ๆ เกรงว่าจะเป็นลมกันไปเสียก่อน

             พวกเราเดินย้อนกลับไปที่เมืองเดนเวอร์ไม่ได้จากการปั่นป่วนของแร็กนาร์ (หรือ “ไอ้เวรนั่น” จากบันทึกของวันที่ 1) ผมที่ไม่ชำนาญเส้นทางไม่รู้เลยว่าเมืองต่อไปที่อยู่ข้างหน้าคือระยะทางอีกกี่ไมล์ ถ้าไม่ขึ้นรถตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปอีกกี่ชั่วโมงหรือกี่วัน แม้จะต้องโดยสารบนกระบะหลังรถที่ต้องร้อนพอกันแต่อย่างน้อยก็ดีกว่าเดิน


             15.40 น. (เวลาโดยประมาณ)

             เกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อรถกระบะที่เราโดยสารเปลี่ยนเส้นทางจากถนน 70 ไปเส้นทาง 191 ซึ่งนั้นไม่ใช่เส้นทางไปลาสเวกัสอย่างแน่นอน ถ้าจำไม่ผิดแถว ๆ นี้จะอยู่แถว ๆ รัฐยูทาห์ ผมกับไบร์ทที่เห็นความผิดปกตินั้นจึงเคาะกระจกรถเรียกคนขับอยู่หลายครั้งแต่ได้รับการเมินเฉย รถกระบะยิ่งเร่งความเร็วจนพวกเราทำอะไรเสี่ยงตายอย่างการกระโดดลงมาไม่ได้ จนสุดท้ายรถคันกระบะนี้ก็เลี้ยวเข้าไปในเขตป่าที่ค่อนข้างเปลี่ยว คนขับจอดรถที่ข้างทางจากนั้นก็ใช้ปืนช็อตกันบังคับให้พวกเราลงจากกระบะและส่งสิ่งของที่มีค่ามา

             ใช่แล้วนี่คือการปล้น

             ผมเกือบจะยอมเพราะทำอะไรไม่ถูก แต่ว่าไบร์ทเข้าไปต่อสู้กับโจรจนเธอถูกยิงเข้าที่ช่องท้องได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ทำให้โจรคนนั้นอาวุธตกลงจากมือ ผมใช้โล่อัลพิสสารพัดประโยคกระแทกเข้าที่ท้ายทอยของคนร้ายจนสลบไป ตอนนั้นแทบเสียสติเมื่อเห็นเลือดจำนวนมากไหลออกมาจากช่องท้องของพี่สาว ในขณะที่พวกเราเร่งปฐมพยาบาลห้ามเลือดกันผมได้ยินเสียงหนึ่งที่เข้ามาในหัว

             “เดินมาทางนี้.. 50 เมตร 12 นาฬิกาของพวกเจ้า” เป็นเสียงของเทพีสักองค์ที่ผมคุ้นหูว่าอาจจะเป็นเทพีแอมฟิไทรต์ ราชินีแห่งแอตแลนติส แม่ใหญ่ของพวกเรา

             ทิศทาง 12 นาฬิกาที่หันหน้าไป คือป่าที่เต็มไปด้วยต้นสนแห้งแล้ง ผมประคองไบร์ทเข้าป่าลองเสี่ยงดวงไปตามเสียงของเทพีอย่างไม่มีทางเลือก ระหว่างทางอีก 50 เมตรที่จะถึงแอ่งน้ำธรรมชาติพวกเราถูกมิโนทอร์ตัวใหญ่ยักษ์ซึ่งน่าจะใหญ่กว่าที่เคยปะทะที่นิวยอร์กไล่ล่า มันคงตามออร่าอันเข้มข้นของ 2 สายเลือดมหาเทพโพไซดอนมาและยิ่งมีกลิ่นเลือดของไบร์ทอีกต่างหาก พวกเราเคลื่อนที่กันเร็วกว่านี้ไม่ได้ผมจึงตัดสินใจที่จะผลักไบร์ทลงบึงน้ำแล้วหันไปเผชิญหน้ากับ “มิโนทอร์”

             ผมใช้กระบวนท่าการต่อสู้ตามที่ โซเฟีย คลาร์ก เคยสอน หากคู่ต่อสู้ตัวใหญ่กว่าต้องตัดกำลังตามข้อพับเพื่อตัดกำลัง แต่การต่อสู้ไม่ได้ง่ายดายนักเพราะมิโนทอร์ป่าตัวใหญ่แรงเยอะกว่ามิโนทอร์ที่อยู่ในเมืองเสียอีก ความวัวไม่หันหายความควายก็เข้ามาแทรก แต่ในที่นี้อาจจะเปลี่ยนจากควายเป็นสิงโต ผมได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ใหญ่อีกหนึ่งตัว ไม่รู้ว่าเป็นสิงโตภูเขาหรือว่าอสุรกายประเภทสัตว์อย่าง “ราชสีห์นีเมียน” กันแน่ ซึ่งคำตอบคืออย่างหลัง และผมไม่มีกำลังพอที่จะสู้กับอสุรกายที่มีพละกำลังมหาศาลพร้อมกันได้ถึงสองตัว

             ไบร์ทได้รับพลังน้ำเยียวยารักษาบาดแผลที่ถูกยิงจนหายดีแล้วก็รีบมารับมือกับราชสีห์นีเมียน ในจังหวะที่ผมกำลังหันไปสนใจทางไบร์ท มิโนทอร์ก็ฟาดค้อนใส่จนผมกระเด็นตกบึงไปแทนที่เธอ พลังของน้ำเยียวยาช่วยรักษาบาดแผลที่ถูกฟาดในทันที ต้องขอบคุณพลังที่มีและจุดตกที่ถูกต้องทำให้ผมยังไม่ทันรู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่นี้กระดูกหักไปหรือเปล่า

             ผมขึ้นจากบึงแล้วหันมาโฟกัสกับมิโนทอร์ตรงหน้าโดยไม่ได้สนใจราชสีห์ตัวใหญ่เพราะมั่นใจว่าไบร์ทจะจัดการมันได้ ผมจึงได้ยินแต่เสียงของปืนอัจฉริยะของเธอที่ดังสั่นลั่นป่า พวกเราสองพี่น้องต่อสู้กับอสุรกายคนละตัวหลังแทบติดกัน บอกได้เลยว่าเป็นภาพที่เท่มาก ทั้งมิโนทอร์และราชสีห์นีเมียนถูกกำจัดลงในเวลาพร้อม ๆ กัน พวกเราเก็บสินสงครามจากอสุรกายที่ถูกกำจัดได้แล้วเดินออกจากป่ากันมา

             “เอาไงต่อ แถวนี้จะมีรถสักคันไหม” ไบร์ทถามขณะที่เธอปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า

             ผมจึงเสนอว่าให้ใช้รถของคนร้ายนี่แหล่ะขับออกมาสู่เส้นทางหลัก ซึ่งพี่สาวก็เห็นด้วย เธอคงจะแค้นเคืองคนร้ายไม่ต่างกัน คำพูดหนึ่งของไบร์ททำให้ผมประทับใจมาก “เป็นวีรบุรุษมันยากทำไมไม่ลองเป็นโจรดูซะก่อน” ไม่อยากจะบอกเลยว่าผมเป็นโจรมาตั้งแต่ภารกิจแรกที่รับแล้วล่ะ

             พวกเราเดินกลับมาที่รถ เห็นคนร้ายยังคงสลบอยู่ที่ข้างทาง ส่วนรถยังติดเครื่องและมีกุญแจคาอยู่ ไบร์ทริบเงิน 70 เหรียญของเธอคืนมา ถึงตอนที่เขียนบันทึกนี้ผมไม่แน่ใจว่าตอนที่ฟาดโล่ใส่หลังคอเขาไปจะรุนแรงแค่ไหน หวังว่าจะไม่ถึงตายเพราะผมไม่อยากจะเป็นฆาตกรเสียเอง

             ผมถามว่าใครจะเป็นคนขับรถ ไบร์ทยกหน้าที่นี้ให้แก่ผมโดยเธออาสาดูข้างทางให้ และยังแบ่งปันเสบียงส่วนหนึ่งมาให้ด้วย เธอคงเห็นว่าผมกินหมดไปแล้วก่อนที่รถบัสจะประสบอุบัติเหตุ ด้วยความหิวผมกินแซนวิชที่เธอให้มาโดยแทบจะไม่รู้รสเลยด้วยซ้ำว่ามันอร่อยหรือเปล่า ผมดูเวลาอีกครั้งกว่าพวกเราจะกลับเข้าสู่เส้นทางเดิมได้ก็เสียเวลาไปถึง 1 ชั่วโมง 20 นาที

             ความคิดเห็นของผู้เขียนบันทึก: ไม่แนะนำการฮิทช์ไฮกิ้งขณะทำภารกิจเดินทาง เพราะอาจจะเจอภัยมนุษย์อย่างเรื่องราวของพวกผมครั้งนี้ก็เป็นได้


             17.00 น. (เวลาโดยประมาณ)

              คิดว่าจะได้ขับรถกันอย่างชิล ๆ ไปจนถึงลาสเวกันกันอยู่แล้วเชียว แต่มารผจญก็ยังไม่หยุด ซึ่งคราวนี้คือขาประจำเจ้าเดิม “แร็กนาร์”

             เริ่มจากที่มีรถบรรทุกสองคันขับประกบรถกระบะที่ผมขับแล้วพยายามจะเบียดเข้ามา ไบร์ทบอกให้ผมบีบแตรและเร่งความเร็วขึ้นหน้าหลีกหนีรถบรรทุกสองคันที่ขับแข่งกัน (ตอนแรกผมเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น) รู้อีกทีรอบข้างก็ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีเขียว พวกเรารู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้มันผิดปกติ จากนั้นแร็กนาร์ก็แสดงตัวโดยการเปลี่ยนรูปลักษณ์ของรถบรรทุกเป็นรถบรรทุกแบบในหนังเรื่อง “Mad Max Fury Road” แถมเปิดเพลงเฮฟวี่เมทัลดังกระหึ่มจนแสบแก้วหู ศัตรูของพวกเราป่าวประกาศออกลำโพงอย่างท้าทาย (ผมแนบภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ตไว้ท้ายหน้า เผื่อว่าคุณจะจินตนาการไม่ออกว่ารถบรรทุกแบบนั้นเป็นอย่างไร)

             “สวัสดีบุตรและธิดาแห่งโพไซดอน ดูสิว่าพวกแกจะออกจากเขาวงกตนี้ไปได้ไหม”

             จากนั้นถนนตรงหน้าก็แยกออกเป็นสามทาง ผมแทบจะทำอะไรไม่ถูกนอกจากบังคับพวงมาลัยไปยังเส้นทางหนึ่งเพื่อไม่ให้ชนเกาะกลางถนน จะหยุดรถกระทันหันก็ไม่ได้เพราะรถบรรทุกคันใหญ่ของแร็กนาร์ไล่หลังพวกเราในระยะประชิดจนผมต้องเหยียบคันเร่งจนมิด หน้าปัดไมล์ขึ้นไปถึง 140 เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยขับรถเร็วขนาดนี้มาก่อน

             ไบร์ทพยายามจะสกัดการติดตามของแร็กนาร์ด้วยการยิงไปที่ยางของรถบรรทุกที่ตามหลังแต่ไม่เป็นผล ผมเห็นภาพจากกระจกมองหลังว่าควันสีเขียวที่อยู่รอบข้างฟื้นฟูสภาพรถให้กลับมาใหม่ แล้วมันก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ตลอดทั้งเส้นทาง ทั้งหมดคงเป็นแค่ภาพมายา แต่ผมไม่อยากจะลองเสี่ยงให้ถูกรถบรรทุกคันใหญ่ชน เพราะจากที่เคยต่อสู้กับแร็กนาร์มาแม้มันจะเป็นเงาที่ผมจับต้องไม่ได้ แต่เมื่อถูกทำร้ายผมก็เจ็บจริง ขี้โกงชะมัด

             สัญญาณเตือนน้ำมันหมดแสดงขึ้นที่หน้าปัดหลังจากที่เราขับรถอยู่ในทางที่เต็มไปด้วยหมอกสีเขียวถึง 2 ชั่วโมง แร็กนาร์ไม่ได้จู่โจมอะไรพวกเรานอกเสียจากขับรถไล่ต้อนไปเรื่อย ๆ จนตอนนี้ผมคิดว่ามันน่าจะพยายามทำให้รถคันนี้น้ำมันหมด ด้วยเหตุอะไรบางอย่างจากคำบอกเล่าของเดม่อนก่อนหน้านี้ เหมือนว่าเขาจะรู้จุดประสงค์ของศัตรูที่ต้องใช้งานสายเลือดเทพโพไซดอนคนไหนก็ได้ มาคิดดูภายหลังแล้วในตอนที่อยู่อินเดียนาโพลิสผมก็ไม่แน่ใจว่าศัตรูจะลวงผมไปเชือดหรือว่าจะจับผมไปทำอะไรบางอย่างกันแน่

             ในช่วงระหว่างที่กำลังสิ้นหวัง ผมสังเกตเห็นหอคอยแท็งก์น้ำชนบทที่อยู่ข้างทาง จึงใช้พลังควบคุมน้ำดันน้ำในนั้นให้ออกมาช่วยเหลือ สายน้ำพัดพาเอาหมอกสีเขียวจนจางหายไปหมด และแหวกทางให้รถของเราขับไปต่อ ตอนนั้นอย่างกับตัวเองเป็นโมเสกแหวกน้ำข้ามผ่านทะเลแดงอย่างไรอย่างนั้น



             19.00 น. (เวลาโดยประมาณ)

             เมื่อหมอกสลายไปทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ พวกเรายังขับรถอยู่บนถนนเส้นเดิมโดยไม่ได้ออกนอกเส้นทาง แต่แล้วความโชคร้ายลำดับถัดไปก็มาถึง น้ำมันรถกระบะได้หมดลงทำให้พวกเราต้องออกเดินเท้าไปตามถนนหมายเลข 70 อีกครั้งหนึ่งท่ามกลางความมืด

             คล้ายว่าไบร์ทจะเริ่มท้อเธอจึงบ่นออกมา “จะไม่มีเทพองค์ไหนช่วยพวกเราเลยเรอะ”

             ใช่ว่าจะไม่มีเสียทีเดียว อย่างน้อยเทพแอมฟิไทร์ตก็ยังมาบอกทิศทางของแหล่งน้ำให้ แม้จะน้อยนิดแต่ขอบเขตการช่วยเหลือของเทพในภารกิจเดินทางคงทำได้เพียงแค่นั้น เพราะด้วยเกียรติยศอะไรสักอย่างที่ผมคิดว่าไร้สาระเหลือเกินในปี 2024 ทำให้ทวยเทพไม่สามารถช่วยเหลือเดมิก็อดที่พวกท่านเอ็นดูได้อย่างเต็มที่ ผู้ที่อ่านบันทึกฉบับนี้อยู่อาจจะมีแนวคิดที่ไม่เหมือนกับผม เพราะว่าผมเพิ่งจะเข้าค่ายฮาล์ฟบลัดเอาตอนอายุ 23 ปี ซึ่งถือว่าช้ากว่าเกณฑ์ไปถึง 10 ปี จึงมีแนวความคิดและค่านิยมที่แตกต่างกัน หากว่าผู้อ่านไม่เห็นด้วยกับผมก็ไม่เป็นไร การยึดถืออุดมการณ์ของคุณโดยไม่แทรกแซงความเป็นตัวเองถือเป็นสิ่งที่ดี

             “ฮ่า ๆๆๆ สมน้ำหน้า เดมิก็อดบ้านนอก” ประโยคนี้จำได้ติดหู มันมาจากรถสปอร์ตคันหนึ่งที่มีสีสันฉูดฉาด เพ้นท์ลายข้างตัวรถว่า “MOMOOOOOOS!!” ที่ขับมาด้วยความเร็วเยาะเย้ยถากถางพวกเราที่เดินถนน

             คนที่รู้ว่าพวกเราเป็นเดมิก็อดมีแต่เทพและอสุรกายเท่านั้น หากจำไม่ผิดคุณไครอนเคยบอกว่า “เทพโมมุส ก็คือหนึ่งในเทพแห่งคำลวง แต่จะขึ้นชื่อว่าเป็นเทพแห่งการเยาะเย้ยมากกว่า” ถ้าไม่ผิดไปจากนี้ก็คงเป็นเทพองค์นี้แหล่ะที่มาสมน้ำหน้าพวกเรา

             แต่ในความโชคร้ายเหมือนว่ายังพอมีโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง ในขณะที่ผมและไบร์ทลงเดินกันมาไม่ถึง 15 นาที ก็มีรถบรรทุกคันหนึ่งบีบแตรแล้วมาจอดเทียบข้าง ผมสังเกตเห็นโลโก้ของ “เฮอร์มีสเอ็กซ์เพรส” ติดอยู่ข้างตัวรถจึงเผลอคิดไปว่าเป็นการช่วยเหลือของเทพผู้ส่งสารหรือเปล่า

             คราวนี้คนขับรถเป็นคุณลุงท่าทางใจดีเปิดกระจกถามว่าพวกเรารถเสียหรือเปล่าเพราะว่าเห็นมีรถกระบะจอดทิ้งไว้ที่ข้างทางคันนึง และมีพวกเราที่กำลังเดินอยู่บนถนนทางหลวงที่ไม่น่าจะมีผู้คนเดินเท้าในเวลาปกติ เขาเสนอจะช่วยดูรถให้แต่พวกเราร้องขอให้เขาพาเราไปส่งที่ลาสเวกัสแทน เป็นความบังเอิญอันพอเหมาะพอเจาะเพราะรถบรรทุกคันนี้จำเป็นต้องนำม้าแข่งจำนวน 6 ตัว ไปส่งที่สนามม้านอกเมืองลาสเวกัสพอดี พวกเราจึงได้โดยสารติดรถมาด้วย

             5 ชั่วโมงหลังจากนี้ทั้งผมและไบร์ทได้พักผ่อนกันด้านหลังรถบรรทุกม้าแข่ง บรรยากาศไม่ได้ดีนัก ทั้งกลิ่นของม้าและพื้นแข็ง ๆ แต่ก็คงดีกว่าต้องเดินเท้าหรือถูกปล้น ผมได้หลับไปหนึ่งตื่นใหญ่ ๆ โดยมีเสียงของม้าคุยกันเป็นเพลงกล่อมนอน (เผื่อท่านใดไม่ทราบ บุตรแห่งโพไซดอนสามารถคุยกับม้าและสัตว์ทะเลได้) จนกระทั่งคนขับรถมาปลุกตอนที่ถึงลาสเวกัสแล้วในเวลาเที่ยงคืนครึ่งที่บริเวณสถานีรถประจำเมือง คุณลุงคนนี้ช่างเป็นคนที่ใจดีจริง ๆ

             ความคิดเห็นของผู้เขียนบันทึก: ควรบูชาเทพเจ้าก่อนออกไปทำภารกิจเดินทาง เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ช่วยชีวิตได้อย่างมหาศาล


จบบันทึกของวันที่ 4

ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล





 ผลการต่อสู้ของดีน
     

ผลการต่อสู้ของไบร์ท 

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 35720 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2024-5-18 03:11
โพสต์ 35,720 ไบต์และได้รับ +7 EXP +6 เกียรติยศ จาก นาฬิกาสปอร์ต  โพสต์ 2024-5-18 03:11
โพสต์ 35,720 ไบต์และได้รับ +4 เกียรติยศ +4 ความกล้า +4 ความศรัทธา จาก ล็อคเก็ตรูปหัวใจ  โพสต์ 2024-5-18 03:11
โพสต์ 35,720 ไบต์และได้รับ +8 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก ควบคุมน้ำ  โพสต์ 2024-5-18 03:11
โพสต์ 35,720 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก ภูมิคุ้มกันเปียก  โพสต์ 2024-5-18 03:11
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
Anker PowerCore
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่อัสพิสขัดเกลา
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
แว่นตา
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x2
x2
x3
x2
x1
x3
x3
x1
x1
x2
x11
x2
x7
x2
x4
x7
x1
x1
x1
โพสต์ 2024-5-19 00:03:02 | ดูโพสต์ทั้งหมด


Chapter 5
Daemon





ในเช้าวันที่ห้า เดม่อนตื่นขึ้นมา เพราะรถคันที่เขานั่งมาดูเหมือนจะเริ่มชะลอ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ารถคันนี้คงจะถึงที่หมาย ในตอนนี้เขารีบแปลงกายเป็นหนูตัวน้อยทันทีก่อนวิ่งไปแอบในสุดของรถ คอยชำเลืองมองคนเปิดประตูท้ายบรรทุกคันนี้ ประตูค่อย ๆ ถูกคนดึงขึ้นมา แสงสว่างค่อย ๆ ส่องแสงเข้ามาภายในบรรทุก เดม่อนรอคนแรกยกลังไปก่อน เขาค่อยวิ่งออกไป 


“ใจเย็นไว้เดม่อน” เดม่อนพูดกับตัวเอง เมื่อพนักงานขนของยกลังแรกขึ้น เขารีบวิ่งไปที่ทางออกและกระโดดออกไปทันที ดูเหมือนผู้คนพลุกพล่านจริง ๆ ยามเช้าของเวกัสนี่คึกครื้นไม่เบา


เดม่อนยังคงต้องคงสภาพในร่างหนูไปจนกว่าจะปลอดผู้คน เขาวิ่งซิกแซกบนทางเท้าเพื่อไปหาที่ปลอดคน ต้องคอยระมัดระวังคนเดินถนนเหยียบ ตอนนี้เขานึกถึงภาพยนต์เรื่องสจ๊วตลิตเติ้ลที่เคยดูเลย ความรู้สึกของหนูเป็นแบบนี้นี่เองสินะ


เดม่อนเห็นตรอกตรงไหนเขาจำต้องวิ่งเข้าไป แต่ตรอกในลาสเวกัสตอนกลางวันนี่ หายากจริง ๆ ที่จะไร้ผู้คน สมแล้วที่เป็นเมืองคนพลุกพล่ายเยอะที่สุดในฝั่งตะวันตก แต่คนที่มาเมืองนี้ล้วนเป็นคนบาปทั้งสิ้น ล้วนหวังเสี่ยงดวงด้วยเรื่องเดียวกัน ไม่แปลกใจเท่าไหร่เมืองนี้ถึงมีซาตานแวะเวียนมา ว่าแต่ซาตานในคำพยากรณ์นี่ หมายถึงอะไรกันแน่นะ เทพปีศาจ? จอมปีศาจงั้นก็อีคิดน่าหรือไม่ก็ไทฟอนไม่ใช่เหรอ หรือเจ้าแห่งนรก ฮาเดส(?)


เดม่อนกำลังครุ่นคิดในขณะที่กำลังวิ่งเข้าไปในตรอกแคบ ๆ ดูเหมือนคนจะเบาบางกว่าตรอกอื่น เขาสังเกตเห็นตู้โทรศัพท์ตั้งอยู่เปลี่ยวในซอยด้านใน บริเวณนั้นไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน ก่อนหนูน้อยเดม่อนจะรีบวิ่งไปที่ตู้โทรศัพท์ และกลับคืนร่างมนุษย์ เขาไม่ลืมใช้พลังหอมเย้ายวนขจัดคราบสกปรกสักหน่อย จะได้สบายใจก่อนเดินออกมาจากตู้โทรศัพท์


เดม่อนเดินมุ่งหน้าเข้าไปใจกลางเมืองลาสเวกัส เขามองหาคาสิโนโลตัส แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่เจอเท่าไหร่ สงสัยคงต้องรอมืดค่ำ… เดม่อนเดินผ่านหน้าคลับดังแห่งหนึ่ง ดูเหมือนคลับนี้จะเปิดกลางวันด้วย และดูจะมีคนพลุกพล่าน ทางที่ดีเขาควรจะเลี่ยงสถานที่แบบนี้เพื่อความปลอดภัย เอาเป็นว่าเขาแปลงกายเป็นใครสักคนที่เพิ่งออกจากคลับไปแล้วกัน ได้แต่หวังว่ามันน่าจะช่วยแฝงตัวได้บ้าง 


ลาสเวกัสนี่สุดจริง ก่อนเขาเดินเข้าคลับไปในฐานะของใครไม่รู้ที่เพิ่งออกจากคลับไป มันจะแปลกตรงไหนที่คนจะเดินออกมาแล้ว เกิดเปลี่ยนใจอยากเที่ยวต่ออีกหน่อย คุณว่าจริงไหมล่ะ 


ผมหาที่นั่งชิลด์ ๆ ในไนท์คลับที่เปิดตลอดทั้งวัน สั่งเครื่องดื่มราคาเบา ๆ มาดื่มรอจนเวลาเที่ยง ตอนนั้นผมเองก็กำลังคิดว่าจะลองติดต่อดีนหรือไบร์ทดูสักหน่อย หวังว่าพวกเขาคงจะมีสัญญาณ เดม่อนเดินออกมาจากคลับ ก่อนเขาเดินเข้าไปในตรอกข้าง ๆ คลับ หวังว่าจะไม่มีใครผ่านไปมาตอนนี้นะ เขาเดินไปยังแอ่งน้ำบนพื้นที่นองอยู่นิดนึง ก่อนดีดเหรียญดรักม่าลงไปที่แอ่งน้ำนั้น


“ผมขอใช้บริการท่านหน่อยนะครับเทพีไอริส ติดต่อหาดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล” เดม่อนเอ่ยปลายทาง เขาได้แต่จ้องแอ่งน้ำนั้น ขอให้เจอสัญญาณทีเถอะ โดยเขาหารู้ไม่ว่าลืมคืนร่างกลับเป็นปกติ ตอนนี้ยังอยู่ในร่างใครก็ไม่รู้ที่เจอเขากำลังออกมาจากคลับพอดีเมื่อตอนกลางวัน


ก่อนผมจะเล่าเรื่องต่อ เราไปฟังเรื่องก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นของพวกดีนและไบร์ทกันสักหน่อย ก่อนล่ะกัน เอาให้พอหอมปากหอมคอ 




ดีนเล่าให้ฟังว่าพวกเขามาถึงลาสเวกัสด้วยรถขนส่งเฮอร์มีสเอ็กซ์เพรส เมื่อมาถึงลาสเวกัสเวลาเที่ยงวันพอดี ไม่อยากจะพูดเลย แต่ขอเม้าส์หน่อยล่ะกัน ผมนั่งในท้ายรถบรรทุกสินค้า ส่วนดีนกับไบร์ท พวกเขาบอกว่านั่งพิงแผ่นไม้กั้นคอกม้ามาตลอดทาง ดูเหมือนพวกเขาจะมีเพื่อนร่วมทางเป็นม้าตลอดคืน วิถีชีวิตคนกับม้าแล้วหนึ่ง 


“ขอบคุณครับ ถ้ายังไงช่วยรับสินน้ำใจไว้ด้วย”


ไม่เพียงพวกเขาจะจ่ายตังค์ให้คนขับ แต่ดูเหมือนพวกเขาจากเจอโจรพลิกผันมาเจอลุงใจดีช่วยเหลือ ในคราวเคราะห์ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างล่ะนะ 


“ไม่ต้องหรอก บอสบอกลุงว่าให้ขึ้นมาฟรีได้เลย”


ถือว่าลุงก็ไม่ได้หละหลวมไปเสียทีเดียว มีการแจ้งสำนักงานใหญ่เสียด้วย ในกล้องวงจรปิดของตู้สินค้าคงถ่ายหน้าพวกเขาทั้งสองไว้หมดแล้วว่าเป็นใคร เทพเฮอร์มีสถึงได้อนุมัติ แต่ตอนนี้ดีนสงสัย ลุงคนนี้เป็นคนธรรมดาใช่ไหมน่ะ?


“ตอนแรกลุงก็สองจิตสองใจแหล่ะ เห็นแต่งตัวประหลาด” คนขับบุ้ยหน้ามาทางดีน ยืนยันได้แล้วว่าลุงคนนี้เป็นคนธรรมดาจริง ไม่ว่าจะเป็นเทพส่งมาช่วยหรือเป็นเรื่องบังเอิญก็จำเป็นต้องขอบคุณ


“ขอบคุณครับลุง ถ้าไงก็ขอให้โชคดีนะครับ”



"โชคดีที่เจอคนส่งดี ๆ" ไม่อย่างนั้นพวกเขาทั้งสองคนคงต้องปวดหัวอีกตามเคย




หลังจากพวกเขาโบกมือลาคนขับรถรถนั่นก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ผมติดต่อข้อความไอริสไปหาพวกเขา รู้สึกโชคดีที่พวกเขาสามารถรับสายได้ แต่ดูเหมือนคนแรกที่เห็นจะเป็นไบร์ท 


"ดีน โล่นาย" ไบร์ทเรียกดีนเสียงเข้ม เมื่อเห็นบางอย่างบนโล่อัลพิส ก่อนจะให้น้องชายหยิบโล่ที่สะพายด้านหลังออกมา


"เดม่อนติดต่อมาใช่หรือเปล่า" แสงสีรุ้งกระทบ ทำให้เธอเห็นใครบางคนในโล่ เมื่อสังเกตดูดี ๆ อ้าวเฮ้ย รูปร่างของคนที่ติดต่อมาไม่ใช่เดม่อนแต่เป็นผู้ชายวัยกลางคน คนหนึ่ง "เหวอ who's this ?"


“หืม?”


ดูเหมือนดีนกับไบร์ทจะกำลังสับสน งง? ว่าแต่พวกเขางงอะไรกันนะ สายตาพวกเขาที่จ้องมาทางตัวผมมันดูขมวดคิ้วเป็นปม ราวกับไม่เจอคนคุ้นหน้าคุ้นตา หรือตัวเขาจะมีอะไรผิดแปลกไป 


“เอ่อ.. ใครครับ?”


“นี่ฉันเอง ไม่เจอแค่วันเดียวเอง จำกันไม่ได้ล่ะเหรอดีน เดม่อนไง” เดม่อนพูดขึ้น เขาเอียงคอมองแปลกใจ อย่างไม่รู้ตัวเลยว่าเขายังไม่ได้คืนกลับร่างเดิม


“ตอนนี้พวกนายถึงเวกัสหรือยัง ผมอยู่บริเวณใกล้ ๆ ซูคไนท์คลับ~” เดม่อนพูดขึ้นก่อนใกล้ตัวเขาจู่ ๆ ก็มีเสียงคำรามของอสุรกาย ไม่ทราบว่าเป็นเสียงของตัวอะไร 


“เดม่อน!?” งงเป็นไก่ตาแตกเมื่อชายที่เห็นบนภาพที่สะท้อนบนโล่ไม่ใช่เด็กหนุ่มวัยสิบห้าที่เขารู้จัก แต่เป็นชายวัยกลางคน แต่เมื่อคิดไปคิดมา อีกฝ่ายแปลงกายเป็นสุนัขได้ การจะปลอมเป็นใครก็ไม่รู้เพื่อหลบเลี่ยงตัวตนคงไม่ใช่เรื่องแปลก ต้องจดความสามารถนี้ในลิสต์รายการไว้เลย


“เชี่ยไรเนี่ย!” สิ้นเสียงสบถเดม่อน ก่อนภาพตัดไป ก่อนตัดดีนเหมือนเห็นตัวอะไรวิ่งผ่านเหนือภาพพวกเขา ดูคล้ายชูปาคาบราสมุนติดตามซาตานในตำนาน แต่จากเสียงดูจะมีปริมาณหลายตัวอยู่มาก


“มนตร์แปลงกายของบ้านอะโฟรไดท์เหรอ?”

แต่ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกันมากเขาก็ได้ยินอีกฝ่ายร้องจากนั้นสัญญาณภาพก็ถูกตัดไป เมื่อกี้คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเห็นอสุรกายวิ่งผ่านแอ่งน้ำ ถึงดีนจะไม่ช่ำของเรื่องอสุรกายกรีก แต่เด็กชาวเท็กซัสรู้จักตำนานเมืองของพวกเขาดี มันคือชูปาคาบรา!


"เฮ้ ! เดม่อน ! เอ้า" ไบร์ทถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เมื่อจู่ ๆ สัญญาณก็หายไปอย่างกะทันหันระบบการสื่อสารย่ำแย่


"ฉันได้ยินเขาบอกอยู่ ซูคไนท์คลับ งั้นเราต้องไปหาเดม่อนที่นั่นก่อนใช่ไหม" ทีนี้ก็เหลือแต่ดูแผนที่ตามเส้นทาง ดีหน่อยที่ทั้งสองอยู่สถานีรถบัสใจกลางเมือง


“ใช่ ซูคไนท์คลับ อยู่ตรงไหนล่ะเนี่ย”


เพ่งสายตามองรายชื่อบนแมพอิเล็กทรอนิกส์ ช่วงเวลาสี่ห้าวันมานี้เขาไม่ได้ถอดคอนแทกเลนส์ออกเลยทำให้รู้สึกปวดตาแปลก ๆ แถมยังต้องจ้องมองรายชื่อสถานที่อีกมากมายด้วยความลน


“เมื่อกี้เหมือนฉันเห็นอสุรกายผ่านภาพด้วย มันมากันเป็นฝูงเลย พวกเราก็ต้องระวังตัวด้วยนะ” พูดไปก็ไล่สายตาหาแต่ไม่เจอสักที


ขณะที่พวกเขากำลังหาซูคไนท์คลับท่ามกลางร้านรวงมากมายในบิลบอร์ดของเมืองลาสเวกัสอยู่นั้นเอง จู่ ๆ ไฟฟ้าของนครแห่งสีสันก็ตกชั่วขณะ แต่น่าแปลก มีเพียงสองจุดเท่านั้นที่ยังมีแสงสีสว่างจ้าอยู่ นั่นคือตำแหน่งหนึ่งบนบิลบอร์ดที่เขียนว่า ‘ซูคไนท์คลับ’ และอีกแห่งคือสถานที่ที่ไกลออกไปทางตะวันตกราว ๆ ห้าร้อยเมตรจากท่ารถใจกลางเมือง


ราวกับเป็นการช่วยเหลือจากเทพองค์ใดสักองค์ที่มีเมตตาและเห็นว่าเหล่าผู้กล้าประสบกับเคราะห์กรรมระหว่างการเดินทางมากเกินไป


ไฟตกไปราว ๆ ห้าวินาที จากนั้นลาสเวกัสก็กลับมาสว่างและเต็มไปด้วยสีสันตามเดิม ดีนจ้องมองที่บิลบอร์ดที่กลับมาทำงานอีกครั้ง เมื่อเทียบกับทิศทางของสถานที่ที่ไฟไม่ดับเมื่อครู่คือที่เดียวกัน


“ทำไมเมื่อกี้เครื่องปั่นไฟสำรองไม่ทำงาน”

“ไม่รู้สิ แปลกชะมัด แล้วก็ดับไปทั้งเมืองเลยด้วย” (เสียงคนแถวนั้นคุยกัน)


“ใช่อย่างที่ฉันคิดไหมไบร์ท? ซูคคลับอยู่ทางนั้น” ดีนหันไปปรึกษากับพี่สาว ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า “ไม่ว่าเทพองค์ไหนก็ตามที่ช่วยเหลือ ขอบคุณครับ”


“…ไบร์ทเราไปตรงนั้นกันเถอะ!”


"โอเค"


เมื่อได้คำตอบที่ลงตัวทั้งสองพี่น้องแห่งโพไซดอน จึงไปทางที่คิดว่าน่าจะเป็นซูคคลับ แต่พอวิ่งมาเรื่อยๆมีสายตาอะไรบางอย่างจับจ้องมองพวกเขาทั้งคู่หลายดวงตา 


"ดีน ฉันรู้สึกแปลก ๆ" การออกวิ่งนั้นต้องมีจุดหมายใช่ไหม ใช่…..แต่ทว่า ไบร์ทกับดีนดันพานพบสัตว์ร้ายริมทางเป็นฝูงใหญ่ 


"ตัวอะไรวะนั่น !"


บางตัวลักษณะรูปร่างคล้ายม้า บางตัวคล้ายหมีผสมสุนัข แต่ที่แน่ ๆ มันคือสายพันธุ์เดียวกัน


ยิ่งเข้าใกล้ซูคคลับเท่าไรก็ยิ่งเห็นอสุรกายหน้าคล้ายสุนัขมากขึ้นเท่านั้น


“ฉันไม่รู้ ชูปาคาบรามั้ง ปีศาจดูดเลือด ตำนานเมืองท้องถิ่นแถบอเมริกาใต้”


ดีนตอบในสิ่งที่ใกล้เคียงกับสัตว์ประหลาดที่เขารู้จัก โดยไม่คิดว่ามันจะมีจริง แต่ตอนนี้เห็นทีว่าคงจะเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้ เขาดึงหอกและโล่ออกมาจากกลางหลัง


“มันมากันเยอะแบบนี้จะไหวไหม?”


ดวงตาของชูปาคาบราจ้องมองเหยื่อที่มีกลิ่นอันหอมหวาน สายเลือดของสามเทพผู้ใหญ่ และการที่ดีนกับไบร์ทอยู่ด้วยกัน ดูเหมือนกลิ่นมันจะทวีคูณเรียกอสุรกายรอบ ๆ ราวกับส่งบัตรเชิญมารุมกินโต๊ะจีน !


"ฉันไหว ๆ" ไบร์ทตอบกลับดีนที่แสดงท่าทีเป็นห่วง ก็พวกเขาเจอศึกหนักมาตลอดทั้งวัน อุปสรรคมาพักไม่หยุดหย่อน


แยกกันสู้ฝั่งทางซ้ายกับด้านขวา ไบร์ทเลือกฝั่งที่ตัวเองอยู่นั้นก็คือทางซ้าย "อย่ามากัดนะโว้ยยยย" ขายาวเหยียดถีบร่างชูปาคาบราเตะเต็มแรง อสุรกายพยายามตะเกียกตะกายปีนป่ายมาบนตัวเธอ ปืนอัจฉริยะลั่นไกเหนี่ยวไกใส่หัว จนเกิดเสียงชาร์จยิงกระสุน 


"พวกเฮงซวย" ไบร์ทเหยียบบนร่างชูปาคาบรากลางลำตัว มันแยกเขี้ยวขู่ตลอด คราวนี้ยิงอัดเต็มร่างจนอสุรกายพรุนดับอนาถ สลายกลายเป็นผงธุลี ถึงจะพลังไม่เยอะทว่าพลังกำลังด้านร่างกายไบร์ทค่อนข้างมั่นใจเชียวล่ะ



เอาล่ะกลับมาฝั่งของผมต่อก่อน ตอนนี้คุณคงแทบไม่อยากจะเชื่อแน่ว่าผมกำลังแขวนชีวิตบนเส้นด้าย ไม่นึกว่าลาสเวกัสจะมีอสุรกายแปลก ๆ เยอะมากแบบนี้ เป็นฝูงยิ่งกว่าฝูงก๊อบลินที่เคยเจอซะอีก


เดม่อนยกโล่ขึ้นปัดป้องอสุรกายที่พุ่งเข้ามา ก่อนเขาสะบัดมัน และรีบหมุนตัววิ่งไปตั้งหลักท้ายตรอก เขาหันกลับมาก่อนวิ่งชาร์จใส่อสุรกายที่อยู่ใกล้เคียงก่อนเลย เขาฟาดมันไปทีหนึ่งก่อนจะนึกภาพแค่ส่วนแขนส่วนเดียวเปลี่ยนเป็นโล่ ยกปัดป้องอีกสองตัวที่พุ่งเข้ามา และตามด้วยสะบัดพวกมันกระเด็นถอยกลับไป


“สงสัยต้องลองอะไรสักหน่อยแล้ว” เดม่อนนึกภาพของฮัลค์ที่เขาเคยดูในหนังมาร์เวล ก่อนเขารู้สึกได้ว่าตัวเขาค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นและกล้ามเนื้อบวกกับผิวกายเป็นสีเขียว 


เดม่อนกระโดดทุ่มใส่อสุรกาย แต่มันก็ไม่หมดสักที ขืนเขายังสู้แบบนี้ได้หมดแรงก่อนกันพอดี หวังว่าดีนกับไบร์ทจะมาถึงทันเวลานะ เดม่อนพยายามหลบบ้าง ตัวไหนหลบไม่ได้เขาก็ใช้มือคว้าหางมัน และจับฟาดไปมากับพื้นสลับซ้ายขวาอย่างสะใจ เขารู้สึกอยากทำแบบนี้มานานแล้ว 


ในขณะต่อสู้ท่ามกลางวงล้อมอสุรกายสี่ขาพวกนี้ เขาก็พอเข้าใจแล้วมนต์แปลงกายของเขาขอเพียงเป็นสิ่งที่เขาเคยเห็นสามารถแปลงกายเป็นสิ่งนั้นได้ในทางกายภาพและพละกำลังทางกายภาพเท่านั้น แต่หากเป็นพวกมังกรก็ไม่สามารถพ่นไฟได้ แสดงว่าไฟมังกรถือเป็นไฟเวทมนต์งั้นสินะ แต่รู้สึกร่างใหญ่โตของฮัคส์จะทำให้เขาเหนื่อยล้าไวแฮะ เดม่อนลองนึกภาพเหมือนเดิมแต่ขนาดตัวที่เล็กลงมาหน่อยนึง เพื่อเชพพลังงานไว้สักหน่อย


เดม่อนเริ่มมองเห็นทั้งสองไม่ไกลจากเขามากนัก แต่เขาก็พยายามรับมือกับอสุรกายตรงหน้า กระโดดจากพื้นด้านล่างขึ้นไปบนดาดฟ้า ปล่อยให้ดีนกับไบร์ทจัดการบริเวณด้านล่าง เดม่อนในขณะกำลังฟัดกับอสุรกายด้วยกำปั้นในร่างฮัคส์ 


จู่ ๆ เขาก็ถูกคลื่นบางอย่างกระแทกจนกลับคืนร่างเดิม มือขวาคว้าขมับขอบดาดฟ้า ตอนนี้ร่างของเขาใกล้จะร่วงลงไป มือพยายามจับแน่นและมองหาต้นตอ แร็กนาร์หรือเงาของเขายืนมองด้วยแววตาสะใจ 


“บุตรอะโฟร์ไดต์ คราก่อนนายเล่นซะแสบเลยนะ ถ้ายอมให้ข้าควบคุมดี ๆ เจ้าก็ไม่ต้องมีวันนี้” แร็กนาร์พูดขึ้นในขณะเดินเข้ามาใกล้เขาเรื่อย ๆ


“ไม่ยอมแพ้หรอกน่ากว่าจะมาถึงวันนี้ได้ นายไม่รู้หรอกว่าผมต้องผ่านอะไรมาบ้าง…” เดม่อนจะไม่ยอมให้เขาโดนควบคุมเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว และเขาจะไม่ยอมตาย เขายังมีเพื่อนคนสำคัญที่ต้องปกป้องและรออยู่ที่ค่าย 


เดม่อนพยายามปืนขึ้นจากขอบดาดฟ้า แต่อีกฝ่ายที่เห็นเขาปืนขึ้นมาได้ กลับเร่งฝีเท้าพุ่งมาซัดเขา เดม่อนเบี่ยงตัวหลบอีกฝ่าย ก่อนจะสวนหมัดเข้าใส่อีกฝ่ายไปหมัดหนึ่ง


หลังจากนั้นเขาก็แปลงกายเป็นนกพิราบก่อนบินพุ่งไปด้านหลังอีกฝ่าย เพื่อหาที่กว้าง ๆ ต่อสู้ ก่อนคืนร่างเดิม 


“มาเริ่มกัน”  เดม่อนหันไปหาอีกฝ่าย


“ได้สิ” แร็กนาร์พูดแสยะยิ้ม เขาผายมือแยกเงาตัวเองออกอีกเป็น 20 เงา “พร้อมปาร์ตี้กันหรือยังเด็กน้อย”


“ต้องรุมสินะ…” เดม่อนยิ้มด้วยความดีใจ เขาดูเหมือนจะรับศึกหนักแล้ว ก่อนมองไปทางดีนและไบร์ทที่กำลังต่อสู้กับฝูงอสุรกายที่เหลือ เขาต้องรีบจัดการหมอนี่ก่อนจะไปยุ่งกับเพื่อนของเขา 


เดม่อนชัดดาบก่อนวิ่งพุ่งเข้าปะทะกับอีกฝ่าย….


เดม่อนกับแร็กนาร์ยังคงต่อสู้ แต่อีกฝ่ายดูไม่สะทกสะท้ายเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนเงาจะไร้ความรู้สึกสินะ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้ นานขนาดนี้กลับยังควบคุมร่างแยกได้โดยไม่เหน็ดเหนื่อย 


เดม่อนยกมือขึ้นปาดเหงื่อก่อนพุ่งจู่โจม ปะดาบกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า จะเรียกว่า ดาบปะกับขวานอีกฝ่ายก็ไม่เชิง ทักษะการต่อสู้อีกฝ่ายเหมือนกับชาวไวกิ้งไม่มีผิด เดี๋ยวนะ ชื่อของเขา แร็กนาร์…  ชื่อนี้คุ้นหูเขาชอบกล เหมือนจะเป็นคาบประวัติศาสตร์ในโรงเรียน ทำให้เขานึกถึงประโยคของครู


‘แร็กนาร์เป็นนักรบและผู้นำกองทัพป่าเถื่อนอันยิ่งใหญ่' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในวรรณกรรมของยุโรปเมื่อศตวรรษที่ 9 อีกทั้งแร็กนาร์เป็นผู้นำชาวไวกิ้ง ผู้ซึ่งสามารถยึดครองดินแดนจำนวนมากในภาคเหนือของยุโรป’


ทำไมชื่อของเขาถึงเป็นชื่อเดียวกับแร็กนาร์ไวกิ้งคนนั้น แต่ดูอายุเขาไม่น่าจะใช่ หรือเขาจะเป็นสายเลือดไวกิ้ง เทพจอมโป้ปด โลกิ เทพตำนานนอร์สมีจริงงั้นเหรอ 


“นายน่ะ เกี่ยวข้องอะไรกับแร็กนาร์ นักรบไวกิ้งที่ยิ่งใหญ่ในยุคศตวรรษที่ 9” เดม่อนพูดในขณะรับการโจมตีจากอีกฝ่าย


เขายิ่งดุดันขึ้น ก่อนจะพูดโต้ตอบผม “ทำไม… กลัวอาจารย์ข้างั้นเหรอ” 


“ขอบคุณ” เดี๋ยวนะ เดม่อนพูดแบบนั้นไปก็จริง แต่เขาพูดว่าอาจารย์งั้นเหรอ เขาน่าจะตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ ถึงแม้เดม่อนจะสงสัย แต่เขาก็เดาได้แล้ว อีกฝ่ายไม่ใช่เดมี่ก็อตกรีกเป็นแน่ ความลับอีกฝ่ายยังมีอีกมากมายที่เขาไม่กระจ่าง แต่ที่แน่ ๆ ดูเหมือนตำนานเทพนอร์สจะมีจริงถ้าอิงจากสมมติฐานหลายอย่างตรงหน้า และไหนจะพลังที่เขาคล้ายกับโลกิในซีรีย์มาร์เวล อีกทั้งความพูดป่วนราวกับถอดแบบจากโลกิในมาร์เวลมาเป๊ะยังไงก็อย่างนั้น


การต่อสู้ทั้งสองปะทะกันเกือบสองร้อยครั้ง เสียงอาวุธกระทบกันเป็นจังหวะ ตอนนี้เดม่อนรู้สึกยิ้มดีใจภา่ยในใจ เขาโชคดีจริง ๆ ที่ตอบรับดีนมาทำภารกิจครั้งนี้ ได้เจอคนเก่ง ๆ เยอะแยะเลย ทั้งอสุรกายที่เก่งกว่าในนิวยอร์กอีก เขารู้สึกร่างกายตัวเองกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างมาก อยากที่จะต่อสู้เช่นนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เดม่อนกำลังหัวเราะกับความสนุกในการต่อสู้กับเงาของแร็กนาร์ เขาอยากจะปะมือตัวจริงของอีกฝ่ายเลย 


 ผมเห็นแค่ว่าดีนกับไบร์ทกำลังสู้อยู่ด้านล่างตึกนี้ พวกเขาเองก็รับศึกหนักไม่แพ้กัน ฝูงอสุรกายกำลังรุมพวกเขาอยู่ ผมต้องหาทางจัดการตรงหน้าและไปสมทบพวกเขาให้ไว


ดูเหมือนว่าดีนจะแยกจากไบร์ท เขามุ่งหน้าออกไปสู้ทางด้านขวา เดี๋ยวนะตรงนั้นมีชายขี้เมาเดินออกมาจากคลับด้วย แต่ดูเหมือนดีนจะไปช่วยเขาไม่ทัน ชูปาคาบราที่อยู่ตรงนั้นก็จับคนขี้เมามาดูดเลือดที่ลำคอ


“เฮ้ย!!!”


เขาพุ่งตัวเข้าไปซัดหอกในมือใส่ชูปาคาบราตัวนั้นทันทีทำให้ปีศาจตำนานเมืองจำต้องปล่อยชายคนนั้นล้มพับไปก่อนที่เลือดจะทันได้หมดตัว ทว่าตัวของอสุรกายกลับแข็งแกร่งขึ้น ตัวใหญ่ขึ้นและดูเกรี้ยวกราดมากขึ้นกว่าตัวอื่น ๆ ในละแวกนี้ เป็นครั้งที่สองที่เขาเห็นว่าสัตว์ประหลาดทำร้ายคนธรรมดา


แต่ตามตำนานที่รู้มามันกินแต่เลือดสัตว์ไม่ใช่เหรอ? 


การพุ่งรบเกิดขึ้นหลังจากนั้นในทันที อสุรกายหน้าหมาขนร่วงกางกรงเล็บตะปบใส่เขา ภาพความทรงจำเก่าย้อนกลับมาแนวทางการต่อสู้ของมันดูแล้วไม่ต่างอะไรกับอัลกูลที่เขาเคยปะทะที่หน้าประตูค่าย เพียงแต่ตอนนี้ดีนแข็งแกร่งขึ้นมาก และชูปาคาบราก็ดูกระหายเลือดยิ่งกว่าอัลกูลเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นกระบวนยุทธ์เดิม ๆ ที่โซเฟียสอนมาก็ยังใช้ได้ผล ดีนสไลด์ตัวอย่างรวดเร็วตัดกำลังของศัตรูด้วยการเชือดปาดขาทั้งสี่ตอดกำลังของอสูรร้ายไปเรื่อย ๆ ถึงจะเป็นสัตว์ปีศาจแต่อสุรกายก็มีความเจ็บปวดและเหนื่อยล้าไม่ต่างจากเดมิก็อด


แล้วเมื่อมันทรุดลง ชายหนุ่มก็กระโดดถีบตัวจากพื้นขึ้นสูง และสิ่งสุดท้ายที่สะท้อนอยู่ในดวงตาเรืองแสงของสัตว์ป่าคือภาพเงาของบุรุษที่มีดวงจันทร์ครึ่งซีกเป็นฉากหลังปักหอกทิ่มแทงผ่านกะโหลก จากนั้นร่างปีศาจก็สูญสลายไป ไม่รู้ว่าดวงวิญญาณของมันจะถูกส่งไปไหน ทาร์ทารัส หรือว่า ลิมโบ กันแน่


และเมื่อชูปาคาบราบริเวณนี้จะถูกกำจัดไปจนหมดแล้ว ดีนจึงรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของคนที่ถูกดูดเลือด


“เหล้าจ๋า~~~ เอิ้ก” แม้ว่าชายคนนั้นจะมีรอยดูดเลือดสามจุดที่คอแต่เขาก็ยังไม่ตาย แถมยังละเมอด้วยสีหน้ามีความสุขอีกต่างหาก ถ้างั้นก็ปล่อยให้นอนไว้ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน


"ไม่เป็นไรใช่ไหม"


ทางฝั่งของไบร์ทที่ดวลเดือดกับชูปาคาบรา ล่าหัวคม ๆ ด้วยการใช้ปืนแทนที่จะใช้ดาบหรือหอก พอจัดการเสร็จจึงเดินกลับมาหาดีน ด้วยสีหน้าค่อนข้างเซ็ง กับการเจออสุรกายตามรายทางไม่จบไม่สิ้น ความพยายามอยู่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นเป็นวลียอดฮิตที่ไบร์ทเคยได้ยินบ่อย ๆ แต่การออกเดินทางภารกิจแรกครั้งนี้ 


ความพยายามอยู่ที่นี่ ! ความสำเร็จอยู่ไหนวะ ?





การต่อสู้ของเขากับแร็กนาร์ผ่านมาหลายร้อยกระบวนท่า ก่อนเดม่อนคิดจะเผด็จศึก แต่ทว่าจู่ ๆ แร็กนาร์ก็รวมเงาทั้งหมดมาไว้ที่เงาหลักของเขาดังเดิม ก่อนเขาจะบีบอัดพลังเวทสีเขียวบางอย่าง ตอนนี้ตัวของเดม่อนเต็มไปด้วยไอสีเขียวและค่อย ๆ เข้าบีบรัด แร็กนาร์ยกมือขึ้นเพื่อดึงร่างเขาที่ถูกบีบรัดด้วยพลังงานอีกฝ่ายลอยเหนือพื้น


“อ๊ากกก” ร่างของเขาถูกยกตามที่อีกฝ่ายปรารถนา ตัวของเขาปวดแสบร้อน จนความคิดฟุ้งซ่านไปหมด ไม่มีสมาธิที่จะแปลงกายเปลี่ยนสภาพตัวเองให้เล็กเพื่อหลุดจากวงเวทพลังงานของเขา


ร่างของเขาค่อย ๆ ลอยไปอยู่พ้นเขตดาดฟ้าของอาคาร เบื้องล่างเป็นพื้นตรอกข้างคลับ


“จบกันเท่านี้ล่ะนะ บุตรแห่งอะโฟรไดต์” แร็กนาร์พูดก่อนดีดนิ้วปล่อยร่างอีกฝ่าย และกดทับน้ำหนักเหนือศีรษะอีกฝ่ายให้เร่งแรงโน้มถ่วงร่วงไวขึ้น


ดีนแหงนหน้ามองฟ้า เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขาเห็นร่างของเดม่อนลอยเท้งเต้งอยู่พ้นดาดฟ้า ดูท่าแล้วไม่น่าจะดี ดีนรวบรวมสมาธิบังคับน้ำแถวนั้น


‘น้ำ จากที่ไหนก็ได้ มาเร็ว!!’


เปรี๊ยะ ได้ยินเสียงปริแตกมาจากด้านในของซูคคลับ จากนั้นผู้คนจำนวนมากก็วิ่งกรูกันออกมาจากทางออกทุกประตู สุราจำนวนหลายแกลลอนท่วมท้นออกมาไม่ต่างกับเหตุการณ์น้ำเบียร์ท่วมลอนดอนเมื่อปี 1814 แม้อาจไม่มากเท่าแต่ก็ทำให้นักท่องราตรีแตกตื่น ดีนรวบรวมของเหลวบริเวณนั้นทั้งหมดช่วยรับแรงกระแทกร่างของเพื่อนก่อนที่อีกฝ่ายจะตกลงสู่พื้น


ทั้งอาทิตย์ก่อนหน้าออกเดินทางดีนฝึกพิเศษกับเลนน็อคมาโดยตลอด และยังมีอเล็กเซย์มาช่วยเป็นบางวัน แม้จะเป็นมือใหม่สำหรับการเป็นนักเวท แต่ก็ทำให้เขาพอจะเข้าใจหลักการควบคุมน้ำอยู่บ้างแล้ว สุราจำนวนหนึ่งรวมตัวเป็นกระสุนยิงใส่เงาของบุตรแห่งเทพโป้ปด แม้ไม่รุนแรงแต่น่าจะรบกวนสมาธิของผู้ใช้มนตร์มายาได้บ้าง


ดีนกำลังช่วยเดม่อนด้วยการใช้พลังน้ำ ไบร์ทเห็นเช่นนั้นจึงทำได้เพียงสนับสนุนแครี่จากระยะไกล เบะปากกระบอกปืนไปยังเงาของบุตรแห่งคำลวง รัวนิ้วกระหน่ำยิง ร่างของมันเป็นเพียงมายาที่ถูกสร้างขึ้น เมื่อถูกรบกวนโดยบุตรธิดาแห่งโพไซดอนทำให้มันไขว้เขวได้บ้าง 


‘จ๋อม’


เดม่อนร่วงใส่น้ำเมาเต็ม ๆ แต่ดูเหมือนน้ำจะปริมาณมากพอทำให้เขารอดจากการหัวกระแทกพื้นหรือขาหักได้ เขาค่อย ๆ ลุกจากพื้น ก่อนแปลงกายเป็นนกพิราบบินกลับขึ้นไปบนดาดฟ้า และกลับคืนตัวเองพร้อมกับชัดดาบฟาดเงาอย่างไม่ทันตั้งตัว


“โดนไปหนึ่งแผล” เดม่อนพูดขึ้น ก่อนกระโดดถอยออกมา และหมุนตัวกลายเป็นมด วิ่งพุ่งไปหาอีกฝ่าย 


“จัดมันเลยเดมี่! หืออะไรนะไบร์ท?” ตะโกนให้กำลังใจอยู่ด้านล่าง 


"กำลังมีคนเดินมาทางนี้"


จังหวะนั้นมีลูกค้าคนหนึ่งวิ่งชนดีนจนเซ เหล้าที่ลอยตัวอยู่จึงสลายโต๋นอนลงบนพื้น


“เหล้าจ๋า~~~~ ฮ่าฮ่าฮ่า” คนเมาที่ถูกชูปาคาบราดูดเลือดนอนท่าปลาดาวแหวกว่ายไปตามพื้นที่เจิ่งไปด้วยเหล้าเป็นฉากหลัง


แร็กนาร์ที่ตั้งหลักได้ ก่อนเขาหันหาอีกฝ่าย และตั้งการ์ดอย่างระมัดระวังการจู่โจม เดม่อนมดกลับคืนร่างเดิมและเสยหมัดใส่อีกฝ่าย ก่อนเขากลับกลายเป็นมดเพื่อหลบการโจมตีโต้กลับ เขาจะต้องรอบคอบในการรับมืออีกฝ่าย พยายามไม่ให้โดนควบคุมอีกแล้ว บางทีเงานี่… เดม่อนวิ่งวุ่นรอบเท้าอีกฝ่าย ก่อนกลับเป็นคนด้านหลัง และยกสองแขนบีบล็อกตัวอีกฝ่าย 


“ดีน ปาหอกมาเลย!! เร็ว!!” เดม่อนตะโกนเรียกดีนที่อยู่ด้านล่างตึกใกล้ที่สุด อีกฝ่ายพยามดิ้น แต่เดม่อนกัดฟันล็อกตัวอีกฝ่ายให้แน่น ๆ


ดีนรวบรวมสมาธิควบคุมน้ำ (สุรา) ขึ้นมาใหม่ คอยช่วยซัพพอร์ตกระสุนน้ำยิงกวนแร็กนาร์จากภาคพื้นดิน และเมื่อได้รับสัญญาณจากเดม่อน เขาก็ปาหอกขึ้นไป


“ฮึบ!!” โคตรไม่มั่นใจเลยว่าจะถึงหรือเปล่า


ดูเหมือนหอกจะโดนเข้ากับกลางอกของเขา อีกฝ่ายส่งเสียงร้องลั่น เดม่อนโดนปลายหอกนิดนึง แต่ก็พออกทนได้ เขาเอามือจับหอกก่อนค่อย ๆ ปล่อยอีกฝ่ายจากการล็อกตัว เดม่อนหมุนตัวและคว้านหอกออกมา ก่อนแทงเข้าไปย้ำอีกครั้ง ครานี้กดน้ำหนักเข้าไปจนลึก ลึกให้สุด 


“แกอย่าคิดว่านี่คือชัยชนะ… ความตายจะรอพวกแกอยู่บนเส้นทางข้างหน้า” แร็กนาร์หรือเงาของมันพูดส่งท้าย ก่อนค่อย ๆ สลายไป ทิ้งไว้เพียงหอกและมือของเดม่อนที่จับ ทรุดไปกับพื้น เขาเห็นชูปาคาบราที่กระโดดขึ้นมามอง แต่เขาเหนื่อยล้าเหลือเกิน ก่อนหลับตาล้มลงนอน


สถานการณ์มั่วซั่วกันไปหมดจะฉิบหายอีกแล้ว ในขณะที่พลเรือนกำลังเดินเข้ามา ไบร์ทเก็บปืนคาดเอวไว้แล้วเดินไปทำทีพูดคุย ถ่วงเวลาให้พวกเขามาทางจุดที่เกิดเหตุช้า ๆ ไม่เช่นนั้นสายตาของคนธรรมดาที่เห็นจะมองว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่หวังดี เผลอ ๆ โดนกล่าวหาเป็นผู้ต่อการร้ายอีกรอบ 


"ให้ตายสินี่มันจะซวยไปถึงเมื่อไหร่" ไบร์ทพึมพำเสียงเบา ๆ 


สายตาคอยสอดส่งมองดูสัญญาณจากดีนว่าตรงนั้นโอเคแล้วหรือยัง 


“เดมี่!”


หลังจากตรงนี้ผมก็หมดสติยาว เป็นเรื่องราวที่ได้ฟังจากปากของดีนกับไบร์ท พวกเขาพยายามจัดการชูปาคาบราที่เหลืออยู่และช่วยชีวิตผม ก่อนเราจะไปพักกันที่โรงแรม


เมื่อเห็นว่าเพื่อนล้มลงดีนก็รีบวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าของไนท์คลับทันที ปล่อยการควบคุมน้ำให้ของเหลวต่าง ๆ ตกลงสู่พื้นตามหลักฟิสิกส์อีกครั้ง และเมื่อมาถึงเขาก็เจอกับชูปาคาบราตัวหนึ่งยืนคร่อมเดม่อนอยู่ เขาจึงรีบปาโล่ใส่มัน แต่อสุรกายที่ลาสเวกัสไม่ใช่ตัวกระจอก ๆ อย่างที่เคยปะทะมาตลอดทาง มันปัดโล่ของดีนทิ้งร่วงหล่นลงมาด้านล่าง


ซวยล่ะ ตอนนี้เขามีแค่มือเปล่ากับพลังในการควบคุมน้ำอีกนิดหน่อย ซึ่งตอนนี้เหล้าบนพื้นไหลลงสู่ท่อระบายน้ำไปหลายส่วนแล้วจากการก่อสร้างตามหลักวิศวกรรมที่ดี


 ไบร์ทคุยจนกลุ่มคนเดินหลีกเลี่ยงเส้นทางไปทางอื่นแทน เธอนวดขมับตัวเองแรง ๆ กว่าจะคุยเสร็จประสาทจะแดก ไบร์ทได้ยินเสียงอาวุธกระทบกันอีกครั้งและดูเหมือนมาจากระยะไกล 'ยังสู้กันไม่เสร็จอีกรึ' 


ดวงตาคมมองดูดีนที่กำลังปะทะชูปาคาบราก่อนล้วงกระเป๋าหยิบพอตขึ้นมาสูบ ร่างกายต้องการสารนิโคติน ขายาววิ่งขึ้นบันไดวนไปยังบนตึกดาดฟ้า "หยุดแค่นั้นแหละไอ้อสุรกายฉลาดน้อย" สูบพอตแล้วมีพลังตัวคลายเครียดชั้นดี


ครั้นเมื่อเจออสุรกายแห่งลาสเวกัสตัวนี้ดูอันตรายกว่าตัวที่เคยจัดการมาก่อนหน้า ดาบสัมฤทธิ์ถูกนำมาถือใช้ต่อสู้ปกป้องเดม่อน


ชูปาคาบราดูจะสนใจสายเลือดโพไซดอนคนใหม่ที่มาถึงเนื่องจากเธอเปล่งรัศมีของเดมิก็อดออกมามากกว่าคนอื่น ถือว่าเป็นอาหารอันโอชะของอสุรกายไม่ว่าจะเป็นปีศาจจากตำนานไหน ๆ มันพุ่งไปโจมตีไบร์ท เปิดโอกาสให้ดีนได้พุ่งเข้าไปหาเดม่อนที่นอนหมดสติ


“ไม่ ๆๆ เดมี่นายอย่าตายนะ!”


บาดแผลกลางอกจากหอกสัมฤทธิ์เป็นฝีมือของเขาเอง ดีนพยายามตั้งสติแม้จะโทษตัวเองที่ทำพลาด แต่ตอนนี้ความปลอดภัยของเพื่อนย่อมมาก่อน เขารีบเปิดกระเป๋าแล้วใช้อาหารเทพกับอีกฝ่าย จนเห็นว่าบาดแผลที่กลางอกของเดม่อนเริ่มสมานตัวดีแล้วเขาก็รีบหันกลับไปช่วยพี่สาวสู้


ชายหนุ่มหยิบหอกสัมฤทธิ์เปื้อนเลือดขึ้นมาสะบัดเลือดออกจากคมหอกแล้วจ้วงแทงใส่ชูปาคาบราที่ด้านหลังของมันไม่ยั้ง


ขณะเดียวกันปลายคมดาบอันแหลมแทงกะซวกลำตัวชูปาคาบราจากด้านหน้า ท่าผสานดาบหอกรวมเป็นหนึ่ง 


หากอสุรกายมีไส้ ไส้มันคงไหลออกมาแล้ว บาดแผลสาหัสไร้ซึ่งพลังเยียวยา กระทั่งมันค่อย ๆ เลือนลางล่องลอยกลายเป็นละอองสีทองหายวับไปด้วยแววตาเปี่ยมแรงแค้น หลงเหลือไว้เพียงสินสงครามที่ตกอยู่บนพื้นตรงหน้าไบร์ทกับดีน 


‘จบสักทีได้ไหม!?’


ดีนได้แต่คิดในใจ เขาถ่อหอกยันพื้นไว้ แม้จะไม่ได้ใช้กระบวนหอกมาก แต่เรื่องการใช้สมาธิควบคุมน้ำบั่นทอนพลังงานไปไม่ใช่เล่น ๆ และคราวนี้มันมากกว่าเมื่อวานอีก


“พวกเรารีบไปกันเถอะ ไม่รู้ว่าจะมีไอ้พวกนั้นตามมาอีกไหม”


ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะแบกร่างที่หลับไหลของบุตรอะโฟรไดท์ขึ้นหลังแล้วรีบลงกันมา พวกเขาหาห้องเช่าถูกภายในลาสเวกัสเป็นที่ซุกหัวนอนในคืนนี้โดยพักรวมกันสามคนเพื่อความปลอดภัย ไม่รู้จะมีบุตรแห่งคำโป้ปดโผล่มาอีกตอนไหน แล้วยังสัตว์ประหลาดจะละตินอเมริกาอีกเป็นฝูงในตัวเมือง


โทรทัศน์เก่า ๆ ฉายข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่สิบนาทีที่ผ่านมา พาดหัวข่าว ‘คืนนรกแตกที่เวกัส’


“เกิดเหตุคลังเก็บสุราของซูคไนท์คลับระเบิด เป็นผลให้เครื่องดื่มจำนวนมากไหลทะลักออกมา โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว และเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดจากคลับและสถานที่ในบริเวณนั้นต่างเสียพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ผลอาจจะเพราะก่อนหน้านี้เกิดเหตุไฟตกครั้งใหญ่ของเมือง.. “


“หมา.. เมื่อคืนมีหมาเพียบเลยไม่รู้ออกมาจากไหน ผมเห็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งกับผู้ชายอีกคนที่พยายามจะต่อสู้กับมัน แต่มันเยอะแล้วก็น่ากลัวมากผมเลยไม่กล้าเข้าไปยุ่ง จากนั้นก็มีเหล้าจากร้านข้าง ๆ ไหลท่วมออกมาเต็มถนนไปหมด เสียดายตอนนั้นมัวแต่ตกใจผมก็เลยไปตักมากินไม่ทัน ฮ่ะ ๆๆๆ” พยานเห็นเหตุการณ์คนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว แล้วจากนั้นก็จบการรายงาน


ดีนถอนหายใจออกมาเมื่อภาพข่าวไม่ปรากฏภาพของพวกเขาสามคน ในสายตาของมนุษย์ทั่วไปคงมองเห็นภาพต่าง ๆ เป็นเพียงแค่อุบัติเหตุที่ต้องเร่งหาสาเหตุต่อไป


โทรทัศน์ถูกปิดลงจากนั้นชายหนุ่มก็เอนตัวลงนอน แม้โรงแรมจะเก่าภายในห้องก็โคตรโทรม แต่เตียงนอนแข็ง ๆ ย่อมดีกว่าพื้นไม้หรือเบาะรถบัส คืนนี้ขอให้พวกเขาได้นอนหลับเต็มอิ่มโดยไม่มีสิ่งใดรังควานทีเถอะ















แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 93925 ไบต์และได้รับ 54 EXP!  โพสต์ 2024-5-19 00:03
โพสต์ 93,925 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-5-19 00:03
โพสต์ 93,925 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ทักษะดาบ  โพสต์ 2024-5-19 00:03
โพสต์ 93,925 ไบต์และได้รับ +7 EXP +6 เกียรติยศ จาก นาฬิกาสปอร์ต  โพสต์ 2024-5-19 00:03
โพสต์ 93,925 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก แปลงร่าง  โพสต์ 2024-5-19 00:03

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ประสาทสัมผัสดีขึ้น
เปลวไฟแห่งความหลงใหล
พันธนาการแห่งเสน่ห์
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x2
x14
x3
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
โพสต์ 2024-5-20 16:43:01 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Bright เมื่อ 2024-5-20 16:44


𝕭𝖗𝖎𝖌𝖍𝖙 𝕬𝖒𝖊𝖘

𝕾𝖆𝖛𝖊 𝖕𝖆𝖌𝖊 6




ช่วงเช้าก่อนออกเดินทางกันต่อซึ่งไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหน ก็ถึงเวลาที่จะเอาบทวิเคราะห์คำทำนายกางออกแล้วปรึกษาแผนการ หลังจากผ่านการเดินทางมาห้าวัน กระดาษเขียนคำทำนายก็เปื่อยยุ่ยได้ที่ ดีนเช็คที่ละจุดว่าพวกเขาพานพบกับอะไรมาแล้วบ้าง


“มุ่งหน้าสู่ตะวันตก นครแห่งคนบาป การล่อลวง การสิงสู่.. ต่อไปเราจะเจอกับอะไรอีก? แล้วจำเป็นจะต้องเข้าไปที่คาสิโนโลตัสนี่ไหม?”


ปลายปากกาจิ้มซ้ำในเมโมข้าง ๆ ที่เขียนโน้ต ในคำพยากรณ์บอกเพียงแค่ให้มาที่ลาสเวกัส ที่คุณไครอนบอกว่าสถานที่ไฮไลท์คือคาสิโนของชนเผ่าดอกบัวในตำนาน ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นของผู้ใด


“ตอนที่พวกเราแยกกันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราควรมาแชร์ข้อมูลกันหน่อยไหม?”


ดีนยกมือขึ้นดันแว่นสายตา วันนี้เขาอยากพักตาจากคอนแทกเลนส์เสียหน่อยจากที่ใส่ติดต่อกันมาตั้งหลายวันซึ่งตัวเลนส์อาจจะติดเชื้อไปแล้ว แม้จะมีพลังน้ำเยียวยาค่อยช่วยแต่หลังจากนี้อาจไม่มีแหล่งน้ำธรรมชาติให้กระโดดลงไปฮีลตัวเอง แล้วตาของเขาก็จะบอด


"ไปคาสิโนโลตัสก็ไม่เสียหาย เผื่อเจออะไรดี ๆ ที่นั่นก็เป็นแหล่งรวมคนบาปทั้งการพนัน อบายมุข" ฉันที่นั่งอยู่เอ่ยพูดทั้งวิเคราะห์คำพยากรณ์ไปด้วย "จุดประสงค์ของเราคือต้องเจอ ซาตาน"


"ต้องถามเดม่อนแล้วแหละ ฉันอยู่กับนายตลอด" คนที่แยกหายกันไปจริง ๆ ก็เพียงชายหนุ่มบุตรแห่งอะโฟร์ไดท์ ซึ่งพลัดหลงกันก่อนที่จะมาลาสเวกัส ทางฝั่งของดีนกับฉันเจอแต่เรื่องหนัก ๆ เงาบุตรแห่งคำลวง อสุรกาย และยังมีโดนลุงขับรถเหลี่ยมใส่ นึกแล้วเซ็งชะมัด


“ว่าไงเดมี่ ทางนายเจออะไรมาบ้าง?”


ดีนถาม เพราะหลังจากเหตุการณ์ที่นอกเมืองเดนเวอร์พวกเขาจำเป็นต้องคลาดกันไป ทางดีนเจอมาหนัก ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเจออะไรบ้างไหม ดีนรู้ว่าศัตรูมีพลังในการแยกเงา สิงสู่ สร้างภาพมายา แต่นอกจากนั้นจะมีอะไรอีก เขาเลยแชร์เรื่องนี้ให้เดม่อนฟัง


“ฝั่งฉันโชคไม่ค่อยดีเท่าไร เจอโจรปล้นกลางทาง พวกมันพยายามพาไปยูทาร์แต่พวกเราขัดขืนได้ก่อน จากนั้นก็ขโมยรถมันมา แต่ขับมาได้ไม่นานก็ถูกเจ้าคนที่อ้างชื่อลุคสร้างภาพมายาแบบแมดแม็กซ์ฟิวรี่โร้ด แต่พวกเราก็หนีออกมาจากภาพมายาได้ แล้วก็ได้รถบรรทุกของเฮอร์มีสเอ็กซ์เพรสมาช่วยไว้จนพาเรามาส่งถึงลาสเวกัส โชคดีจริง ๆ ที่ก่อนออกเดินทางฉันไปบนเทพเอาไว้ซะเยอะ”


"ตามที่ดีนเล่าเป๊ะ ๆ พวกฉันเจอกันระทมกันสุด ๆ"


“บ้าน่า” เดม่อนเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าเจอโจรเขาก็ถึงกับตกใจ นี่มันจะตรงกับความฝันที่เดม่อนมองเห็น 


เดม่อนไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดี ก่อนจะเริ่มเรียบเรียงและเอ่ยขึ้น “ไม่รู้มันเป็นเรื่องบ้าหรือเปล่าที่ผมเห็นดีนกับไบร์ทนั่งรถกระบะของคนแปลกหน้าไปอีกเส้นของถนนที่ไม่ได้มาลาสเวกัส แต่ในฝันผมเห็นจากสายตาคนที่นั่งท้ายสุดของกระบะ….”


“ถ้าพวกนายไม่มีคนนั่งท้ายกระบะ ผมคงแค่ฝันไปเองแน่ ฮ่า ๆ” เดม่อนหัวเราะกลบเกลื่อน รู้สึกทางของเขาราบรื่นสุดเลย นั่งท้ายรถบรรทุกสินค้าไปส่งของลาสเวกัส 


“ฟังดูน่าสนใจดี นายฝันเห็นเหตุการณ์เดียวกับที่พวกเราเจอ มันไม่ไร้สาระเดมี่ นายฝันอะไรอีก เล่าให้ฟังหน่อย” ดีนกุมปากกาเตรียมจด


"หือ" ฉันถึงกับมองหน้าเดม่อนเมื่อได้ฟังคำพูด คนนั่งท้ายกระบะ มันจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพวกเขานี่แหละที่ได้นั่งต้นเหตุของการเดินทางไกลกว่าเดิมพาไปเขตเมืองอีก "ไม่ ๆ เดม่อนนายเห็นอะไรบางในความฝัน ใช่แล้วพวกเรานั่งท้ายรถกระบะกัน รถของโจรที่จะปล้นพวกเราเนี่ยแหละ แต่เอาเข้าจริง ๆ ตาลุงนั่นอาจจะไม่ได้เป็นโจรก็ได้ เพราะฉันรู้สึกว่าเหมือนเขาถูกใครบางคนควบคุมอยู่"


ในวันที่ลุงเหลี่ยม ฉันก็ชกเงินที่ให้เป็นค่ารถคืน 


ไม่อยากตีตนไปก่อนไข้ เหตุการณ์ที่เจอมันแปลกมาก "นอนหลับก็เต็มอิ่มไหมเมื่อคืนนี้ เอาเถอะพักกันให้หายเหนื่อย ตอนที่พวกนายหลับอยู่ฉันออกไปซื้อของที่ร้านสะดวกใกล้ ๆ โรงแรม" ฉันออกไปซื้ออาหารเวฟมา เพราะที่นี่เป็นโรงแรมราคาถูกจึงไม่มีบริการอาหารเช้า "ไส้กรอกต๊อกบกกีชีส ขนมปังปิ้ง  ไข่ต้ม และก็มีข้าวผัดปู กับขนมอีก 4-5 ห่อ"


แบ่งทั้งแจกจ่ายเสบียงอาหารที่ซื้อมาครบทุกคน ฉันไม่รู้แต่ละคนชอบกินอะไร ก็ซื้อ ๆ มาตามสภาพหน้างาน "กินเสร็จพวกเราสามคนก็ไปลุยกันต่อ" —--- เขียนไปหิวไป 


“ตอนอยู่ท้ายรถบรรทุกสินค้า ผมฝันว่าตัวผมเดินเข้าไปในคาสิโนโลตัส แต่ไม่รู้สิ ผมเหมือนเห็นผ่านดวงตาของร่างนั้นมากกว่า เขาเดินเข้าไปเดิมพันกับใครบางคนที่หล่อมาก ๆ จะว่าเป็นบุตรอะโฟร์ไดต์ก็ไม่เชิง แต่รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลในตัวของเขา ผมเดิมพันกับเขาตาสองตา ตาแรกแพ้ ผมมอบเหรียญที่มีรูปตรีศูลให้ชายคนนั้น แต่ตาที่สองชนะ เขากลับไม่เอาของที่แพ้คืน คนผู้นั้นที่ผมมองผ่านสายตาเขากลับเลือกขอแผนที่ไปสู่เกาะหมอก…” เดม่อนเล่าความฝันก่อนมาลาสเวกัสให้พวกเราฟัง


“อีกทั้งก่อนหน้านี้ก่อนผมจะตื่นขึ้นมา หลังจากสู้กับเงาบุตรเทพจอมโป้ปดที่หน้าไนท์คลับนั่น ผมฝันเห็นคนผู้นั้นเดินทางไปถึงซานฟรานซิสโก เขาเดินหายเข้าไปในหมอกหนาทืบยามรุ่งอรุณ แต่ก่อนเขาจะเข้าไปหมอกเขาหันมาด้านหลัง ไม่รู้ว่าเขามองใคร เขาแสยะยิ้ม หรืออาจจะมองมาทางผมก็ไม่แน่ใจ เพราะผมไม่สามารถดูด้านหลังตัวเองในฝันได้” เดม่อนเล่าต่ออีกฝัน ก่อนจะเงยหน้าฟังความคิดเห็น


เดม่อนเองก็ไม่รู้ว่าฝันของเขามันหมายความว่าอะไรกันแน่ และคนในฝันที่เขาเหมือนเห็นผ่านสายตาเขาเป็นใครด้วย มีแต่ต้องไปถามชายคนนั้นที่เขาไปเดิมพันด้วย


“ขอบคุณนะไบร์ท” ดีนรับเสบียงอาหารมาแล้วเริ่มทานเพื่อไม่ให้เสียเวลา จากนั้นก็สลับจดเนื้อหาที่เดม่อนเล่าถึงความฝัน


“ถ้าฝันนี้คือความจริงแปลว่าเลี่ยงไม่ได้ที่จะเข้าไปคาสิโนโลตัสจริง ๆ ด้วยสินะ แล้วเป้าหมายของพวกเรายังเป็นซาตาน.. จะใช่คนเดียวกับที่เดมี่ฝันเห็นหรือเปล่า แล้วเหรียญรูปตรีศูลหมายถึงอะไร เหรียญหยอดกาชาปองเพื่อเอาตรีศูลกลับคืนมางั้นเหรอ?”


พยายามตีความฝันเป็นตุเป็นตะ หากไม่เคยเจอเรื่องราวอภินิหาริย์มาก่อนคงเป็นแค่ฝันแฟนตาซีสนุก ๆ ที่เล่าสู่กันฟังไม่เอามาคิดจริงจังหรือว่าหมกมุ่นแบบนี้


“ทำไมรู้สึกเหมือนมีอะไรเกิน ๆ มาเลยแฮะ..” ดีนพึมพำอย่างไม่เข้าใจ ทั้งฝันของเดม่อนค่อนข้างจะตรงกับคำทำนายหลายส่วน แต่สังหรณ์ของดีนบอกว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง มีบางสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่ดีนไม่รู้ว่ามันคืออะไร จึงสรุปในใจเอาเองว่า ‘คิดไปเองมั้ง’


“ตามบันทึกเก่าบอกว่าห้ามกินอาหารและเครื่องดื่มในคาสิโนโลตัสเด็ดขาด จะทำให้หลงลืมตัวตน แต่ก็ใช่ว่าจะรอด เพราะน้ำหอมปรับอากาศในนั้นก็ปล่อยกลิ่นดอกบัวออกมาทำให้เราลืมภารกิจอีกนั่นแหล่ะ คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะสูดดมเข้าไป ฉันก็เลยลองใช้ฟองอากาศครอบหัวไว้ จากการทดลองด้วยตัวเองพบว่ามันกันกลิ่นได้ แต่ฟองอากาศบอบบางมาก แล้วฉันก็เสกสามฟองพร้อมกันได้ไม่เกิน 10 นาที” ดีนกล่าวตรงนี้จบก็หันไปหาฉันที่ยืนอยู่ “ไบร์ท เธอพอจะเสกฟองอากาศได้ไหม?”   


เหรียญรูปตรีศูลมันเป็นยังไง ฉันขมวดคิ้วหน้านิ่งดูเหมือนเดม่อนจะฝันแปลก ๆ แต่มูลความฝันก็มีความจริงอยู่อย่างเช่นการที่ ดีนกับไบร์ทนั่งท้ายรถกระบะ "แล้วถ้าสิ่งที่เดม่อนฝันมาเป็นลางบอกเหตุ ?"


"ฉันเสกฟองอากาศได้"


ฉันตอบกลับดีน หลังจากที่จัดการซัดอาหารหมดเกลี้ยงด้วยความหิวโหยเต็มประดา "แผนของนายต้องการทำอะไรบ้างล่ะดีน" 


เดม่อนมองพวกเราสองคนด้วยความเป็นกังวล เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับความฝันตัวเองเหมือนกัน “ฟองอากาศจะใช้ได้นานเหรอ… เราไม่ได้อยู่ในน้ำ” เดม่อนพูดถามขึ้นด้วยความสงสัย ยิ่งช่วงนี้ตัวแปรอากาศร้อนสูงกว่าปีก่อน ๆ


เดม่อนมองออกไปทางหน้าต่าง ก่อนพอจะนึกอะไรออก อีกความฝัน… “จริงสิดีน ไบร์ท ยังมีอีกความฝัน แต่ผมไม่แน่ใจว่านั่นคือผมหรือฝันเป็นคนอื่น ผมตื่นขึ้นในโรงแรมที่มีการตกแต่งคล้ายกลิ่นอายไวกิ้ง”


“ผมเดินออกจากห้อง ที่ห้องโถงของโรงแรมนั้นมีเด็กราว ๆ สิบหกปีอยู่กันเต็มเลย แล้วก็ชายใส่ที่คาดตาข้างเดียว ไว้หนวดเคราแบบโอดินในหนังของมาร์เวล ดูท่าทางเป็นมิตร…แต่ก็แฝงความโหดและทรงพลัง”


“กับมีชายอีกคนแต่งกายเหมือนนักรบไวกิ้ง แล้วภาพก็ตัดไปที่เขากำลังพูดสอนผม ฝึกฝนผม บอกว่าผมเป็นคนแรกที่ทำให้เขาอยากฝึกให้พิเศษ เพียงเพราะมีชื่อเหมือนเขา…” 


“ฉันทำได้เดมี่ ถ้ามันหลักการเดียวกับความตึงผิวอุณหภูมิมีเกี่ยวข้องนิดหน่อย แต่แรงดันภายในและภายนอกสิที่มีเอี่ยวด้วยเต็ม ๆ”


พยายามจะอธิบายเดม่อนด้วยภาษาวิทยาศาสตร์ง่าย ๆ ให้เข้าใจ แต่ไม่รู้อีกฝ่ายจะเข้าใจหรือเปล่า ซึ่งถ้าให้พูดไปมากกว่านี้ล่ะก็ได้งงเต็กแน่ ๆ “ถ้างั้นฉันกับเธอผลัดกันเสก ให้พวกเราสามคน แต่ต้องเป็นจังหวะที่เป๊ะมาก ๆ เสียดายชะมัดที่ไม่ได้ฝึกกันมาก่อน” 


ดีนตอบฉันกลับไปก่อนจะอธิบายเรื่องแผน “แผนก็คือก่อนจะเข้าไปในคาสิโนโลตัสฉันจะเริ่มเสกฟองอากาศคลุมหัวให้ทุกคน จากนั้นให้เดม่อนที่เคยฝันถึงผู้ชายที่คาดว่าคือซาตาในเจอในจังหวะนั้น ระหว่างทางฟองอากาศอาจจะหมด ฉันจะให้สัญญาณ ให้ไบร์ทเสกฟองใหม่มาคลุมหัวทุกคนเอาไว้ ถ้าไม่ไหวเมื่อไรก็เปลี่ยนเวรกัน”


“ข้อจำกัดก็คือ พวกเราห้ามแยกจากกัน ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แล้วก็พยายามอย่าให้ฟองแตกจากการไปชนนั่นชนนี่ มันบอบบางมาก ๆ รวมถึงรีบหาตัวซาตานให้เจอด้วย ส่วนแผนบี อืม… ไม่มีล่ะ พึ่งดวงละกัน” แล้วเขาก็จดความฝันอีกหนึ่งที่เดม่อนเล่าลงไป คิ้วเข้มขมวด แม้จะเป็นแฟนมาร์เวลแต่ดีนไม่เข้าใจสิ่งที่เดม่อนเล่าเลย


"เราสามารถสร้างฟองอากาศได้ถึงจะไม่ได้อยู่ในน้ำ" ฉันหยิบน้ำขวดใหญ่ออกมาเพื่อทำการสาธิตเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าไม่มีร้านสะดวกรับรองคิดแผนนี้ไม่ได้แน่นอน "นักรบไวกิ้ง เดี๋ยวนะ เดม่อน เอ่อ" ความจำด้านวิชาการอัดแน่น แต่พอเป็นเรื่องเทพเจ้าสมองทึบซะได้ 


"มาจาก Damazo ใช่มั้ยชื่อของนายถ้าบอกจะคล้ายก็จริง เพราะมาจากรากศัพท์เดียวกัน"


“ไม่น่าใช่นะ พ่อของผมไม่ได้เป็นติ่งไวกิ้งขนาดนั้น” เดม่อนพูดตอบฉัน “ผมก็ไม่รู้เลยว่าที่ผมเห็นนั่นใช่ผมจริง ๆ หรือเปล่า หรือมองผ่านสายตาคนอื่น… ผมรู้สึกเหมือนตัวผมในฝันเต็มไปด้วยความโกรธและโทสะอย่างมากมาย โทสะที่มีต่อชายชราตาเดียวคนนั้น… เป็นความโกรธแบบว่าถูกทำให้สูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รัก..” 


“แปลกแฮะ ไหงนายถึงได้ฝันถึงเทพนอร์สได้ล่ะ เป็นไปได้ไหมที่เรื่องนี้จะมีเอี่ยวกับเทพเจ้าอื่น ๆ รุ่นพี่ออสตินบอกว่าไม่ได้มีแค่ค่ายฮาล์ฟบลัดอย่างเดียว แต่ยังมีค่ายของลูกเทพโรมัน อียิปต์ แล้วก็นอร์สด้วย”


แต่แล้วมันเกี่ยวอะไรกันดีนก็ยังหาจุดเชื่อมโยงไม่ถูก นอกจากหนึ่งในรายชื่อผู้ต้องสงสัยคดีขโมยตรีศูลว่าเป็น ‘ลูกเทพโลกิ’


จู่ ๆ ก็นึกถึงคำพูดของไครอนขึ้นมา ‘วิธีการทางเวทมนตร์ การลวงตา การหาเส้นทางลับสู่ใต้สมุทรโดยไม่ต้องดำน้ำลงไปก็ขโมยตรีศูลมาได้ด้วยเช่นกัน’ ถ้าแบบนี้ก็เป็นไปได้สูงว่าคนทำคือลูกของเทพโลกิ ไม่ใช่เทพโดลอส อย่างที่เจ้าคนใช้ชื่อลุคพยายามใส่ร้ายป้ายสี


"อาจจะเป็นแม่นายหรือเปล่าที่เป็นคนตั้งชื่อให้ ถ้าเป็นเทพีอะโฟร์ไดท์อาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ในชื่อนั้น หรืออาจจะเป็นแค่ฉันคิดไปเองคนเดียว ขอโทษนะที่ทำให้นายปวดหัว" ฉันทำหน้าปลง ๆ ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าเป้และโล่มาสะพายหลังไว้ 


"พร้อมจะไปยืดเส้นยืดสายกันหรือยัง ดีน เดม่อน" เป้าหมายต่อจากนี้พวกเขาทั้งสามคนจำเป็นต้องเดินทางไปที่คาสิโนโลตัส "พวกเรามาถึงครึ่งทางแล้วพวกอสุรกายที่สู้เมื่อวานก็ชี้ชัดได้ดี เป็นสมุนของซาตานเท่ากับว่าซาตานจะต้องอยู่ที่นี่แน่นอน ฟันธง !"


“ไม่ชัวร์แฮะ แต่เหมือนแม่จะชอบความเป็นฝรั่งเศสที่เป็นเมืองในการดูแลของแม่มากกว่า จากที่ฟังรุ่นพี่ไพเพอร์เล่าให้ฟัง” เดม่อนไม่ค่อยแน่ใจนักว่าใครเป็นคนตั้งชื่อเดม่อนให้เขากันแน่ 


เดม่อนเดินไปจัดของในกระเป๋า ก่อนเขาจะทรุดลงกับพื้น ร่างกายราวกับถูกไฟช็อต ก่อนเห็นภาพตัวเองยื่นแขนไปสัมผัสดาบสีฟ้าเป็นประกาย และถูกผลักออกมา เสียงในห้วงฝันทั้งที่ยังตื่นดังในหัวของเดม่อน หรือในหัวของคนในฝัน(?) ‘เจ้าไม่คู่ควร บุตรแห่งโลกิ พึงกลับไปซะ!’


“ขอบคุณไบร์ท” เดม่อนลุกขึ้น ก่อนยกมือกุมนวดศีรษะ “เมื่อกี้ผมรู้สึกเหมือนไฟช็อคบางอย่าง แต่ผ่าไปแปบเดียว… เดี๋ยวนะทำไมผมถึงนึกไม่ออก” เดม่อนพยายามนึกภาพเมื่อครู่อีกครั้ง แต่ราวกับมีบางอย่างขวางกั้นเขาเอาไว้ ทำให้เขานึกเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ออก  


“โอเค พร้อม”


ดีนตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ ก่อนที่จะเอากล่องพลาสติสใส่ถุงรวมไว้เพื่อนำไปทิ้งข้างล่าง เก็บข้าวของใส่กระเป๋าเช็คให้พร้อมว่าไม่ลืมอะไร พอได้ยินเสียงเดม่อนล้มลงไปกับพื้นก็รีบหันไปมองทำตาโต ไม่รู้เป็นผลข้างเคียงที่ดีนปาหอกใส่เดม่อนไปเมื่อคืนหรือเปล่า 


“เดมี่ นายเป็นอะไรไหม บาดแผลหายสนิทดีหรือยัง?”


"เดม่อนนายเป็นอะไร" ฉันรีบเข้าไปช่วยประคองท่าทางเป็นห่วง กระทั่งเมื่อเห็นเดม่อนมีอาการดีขึ้นจึงยอมปล่อยเขา 


ฉันเห็นหน้าตาเดม่อนชัดเจนก็จะยิ้มมุมปาก "นายนี่ก็หล่อดีเหมือนกันแฮะ สมกับเป็นบุตรแห่งอะโฟร์ไดท์ หากฉันชอบผู้ชายคงตามจีบนายแล้วมั้ง จริงป่ะดีน" หันไปหัวเราะ แต่เธอชอบผู้หญิงเนี่ยน่ะสิเลยไม่ได้คิดอะไรเกินเลย 


เดม่อนไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อกี้เขาเผลอยิ้มโปรยเสน่ห์ไปโดยไม่รู้ตัว แต่กลับนึกไม่ออกจริง ๆ แต่รอยปวดชาตามตัวที่เหมือนกับไฟช็อคยังซา ๆ อยู่ แสดงให้เห็นว่านั่นไม่น่าใช่ฝันธรรมดาแน่


“เมื่อกี้ผมเหมือนจะฝันทั้งที่ยังตื่น เห็นภาพบางอย่างแต่เพียงเสี้ยววิมันก็เหมือนบล็อคไม่ให้ผมนึกถึงมันได้ แต่พลังสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกไฟดูดไฟช็อคเมื่อครู่ เหมือน..เป็นอะไรที่ทรงพลังอย่างมาก กลิ่นอายพลังคล้ายกับดีนและไบร์ทแต่ทรงพลังยิ่งกว่า”


ฉันเดินไปเปิดประตูห้องแล้วเตรียมเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมพร้อมยื่นคีย์การ์ดคืนพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับ


“เดี๋ยว ถามความคิดจากฉันหมายความว่าไง?” ดีนเลิกคิ้วถามข้างนึง ถึงเขาจะเป็นไบเซ็กส์ชวลก็เถอะ “หมอนี่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ฉันยังไม่อยากติดคุก” ดีนตอบฉันไปอย่างนั้นแล้วกลับมาสนใจสิ่งที่เดม่อนกำลังพูดอยู่


“พลังที่คล้ายฉันกับไบร์ท? หมายถึงสายเลือดโพไซดอน หรือว่าเทพน้ำของนอร์ส?” 


ข้อมูลนี้ใหม่สำหรับสองพี่น้องแห่งเทพสมุทร "เป็นไปได้ไหม พลังที่นายสัมผัสได้จะเป็นของพ่อของพวกฉัน" เอาล่ะ เธอคิดว่าเดม่อนต้องเป็นตัวแปรสำคัญของภารกิจครั้งนี้ 


"อยากเดินหรือนั่งรถ" เมื่อพวกเขาออกมาหน้าโรงแรมเก่า ๆ ต่างฝ่ายต่างครุ่นคิดในแบบฉบับของตัวเองถึงหนทางไปยังคาสิโนโลตัส "เดินไปเสี่ยงเจอฝูงชูปาคาบรา ส่วนนั่งรถก็เหมือนกัน เผลอ ๆ เจอไอ้เวรตะไลนั้นมาปั่นหัวอีก เลือกเอาเลยอย่างเสี่ยงแบบไหน" มีแต่ย่ำแย่และย่ำแย่ เลือกทางไหนก็ฉิบหายทั้งนั้น 


แสงสว่างเรืองรองสาดส่องบนถนนเส้นหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากจุดที่ ฉัน ดีนและเดม่อน เสียงกระซิบของใครบางคนดังมาในหัวของทุกคน 'เดินไปทางนี้แล้วพวกเจ้าจะปลอดภัย' เซลุสเทพแห่งความพยายาม


"ได้ยินเหมือนกันมั้ย เสียงคนบอกให้เดินไปทางนี้" ไม่ใช่หูฝาดไปเองหรือเปล่า ถามย้ำกับทั้งสองคนเพื่อความแน่ใจ (ความคิดเห็นเพิ่มเติม ขอบคุณเทพที่มาชี้ทางสว่าง !!! ไม่งั้นเดะเจออะไรอีกก็ไม่รู้พอเหอะ) 


เมื่อเดม่อนที่ได้ฟังทั้งสองเล่าเรื่องโจรในคราบผู้ใจดี อีกทั้งตลอดทางมานี่เหมือนมีเหตุให้ไม่ทันตั้งตัวตลอด “ผมว่าเดินไปล่ะกัน สำหรับพวกเราเดมี่ก็อตถือซะว่าเป็นการฝึกฝนไปในตัว เผื่อมีกรณีฉุกเฉินอีกจะได้พร้อมตั้งรับ”


“เอาไว้ค่อยนั่งรถตอนออกจากลาสเวกัส” เดม่อนเสนอกับทั้งสอง


เมื่อกี้เหมือนเดม่อนได้ยินอะไรบางอย่างด้วย หลังจากพูดจบได้ไม่นาน “เหมือนจะได้ยินเสียงให้ เดินไปทาง…” เขามองออกไปทางหน้าต่าง ก่อนเห็นลูกศรไฟนีออนกระพริบ เขาแน่ใจว่าก่อนหน้านี้มันปิดอยู่  ก่อนจะชี้ให้ทุกคนช่วยกันดู


“ฉันก็ได้ยิน”


คล้ายกับว่าเทพเจ้าองค์เดิมกับเมื่อวานช่วยเหลือพวกเขาไว้เป็นครั้งที่สาม ครั้งแรกเรื่องป้ายไฟบอกทาง ครั้งที่สองเรื่องภาพในกล้องวงจรปิด ส่วนครั้งที่สามคือเมื่อกี้นี้ 


“เรื่องเดินทางยังไงก็ได้ ไม่ว่าเดินหรือนั่งรถ ถ้าไอ้เวรตะไลนั่นมันจะเล่นเราไม่ว่าทางไหนก็ไม่รอด เผลอ ๆ จะมีคนซวยเพิ่ม” ได้แต่ยิ้มแหย


"ตกลงตามนี้" เมื่อมติเป็นเอกฉันท์เดมิก็อดทั้งสามเดินไปตามถนนเส้นนั้น ทางเดินกว้างใหญ่มีหมอกลงเล็กน้อยเพราะเป็นช่วงเวลายามเช้า ฉันคอยมองดูรอบ ๆ อย่างระมัดระวังกลัวมีอสุรกายโผล่ 


แต่สุดท้ายก็ไม่พบสัตว์ประหลาดร้ายตัวใด 


เสียงรองเท้ากระทบพื้นถนนดังเป็นจังหวะ อาคารหรูหราตั้งเรียงรายดูเหมือนที่นี่จะเป็นย่านไฮโซ เพราะแต่ละตึกมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีรถเฟอร์รารี่สีแดงเลี้ยวตัดหน้าพวกเขาไป ก่อนเจ้าของรถจะชูนิ้วกลางใส่ "พวกบ้านนอกมาเดินเกะกะไรแถวนี้ฟ่ะ"


ไม่ทันได้ตอบโจมเจ้าของรถก็ซิ่งเข้าไปในลานจอดรถของคาสิโนแห่งหนึ่ง


"ถึงแล้ว" คาสิโนหรูหรากว่าที่อื่น ๆ ของลาสเวกัส


พวกเขาเดินตามสัญลักษณ์บอกทางของเทพเซลุสที่ช่วยนำทางให้จนถึงบริเวณถนนฝั่งตรงข้ามกับตึกใหญ่ตรงหน้า ตึกสูงตระหง่านหลายชั้น ดูเหมือนที่นี่จะเป็นทั้งโรงแรมและคาสิโน ก่อนมองป้ายด้านหน้า


“บางทีก็สงสัย ชาวเวกัสนี่คงไม่ค่อยมีใครโทรตามกันสินะ”  เดม่อนเห็นมีแต่คนเข้าแปลกจากคาสิโนทั่ว ๆ ไป แต่กลับ ไม่มีคนสัญจรเดินสวนทางออกมาจากอาคารตรงหน้าเลย ราวกับผู้คนที่เข้าไปแล้วติดใจและหลงระเริงไปกับด้านใน


“ดูจากสภาพด้านหน้าไม่ค่อยมีคนสัญจรออกนี่ น่าจะเป็นจริงอย่างที่รุ่นพี่ไพเพอร์บอกไว้ ภายในนั้นถูกตัดออกจากโลกภายนอกอย่างถาวร” เดม่อนพูดขึ้น เขาหลับตาลงทำสมาธิ ได้แต่ภาวนาขอให้ผ่านไปได้ 


“เราต้องตามหาคนใส่สูทสีดำ ใบหน้าหล่อเหลาราวบุตรแห่งอะโฟร์ไดต์ บางทีเขาอาจจะมีเบาะแสเกี่ยวกับตรีศูลและผมอยากจะสอบถามเรื่องคนที่มาเจอเขาเหมือนกัน อยากจะรู้ว่าฝันเป็นลางหรือเรื่องอะไรกันแน่” เดม่อนหันมาคุยกับดีนและฉัน เขาวาดรูปไม่เก่งด้วยสิเลยไม่สามารถวาดรูปชายด้านในได้ แต่พวกเขาต้องคอยระมัดระวังสิ่งที่เรียกว่าซาตาน หรือฮาเดสจะมาเที่ยวที่นี่และเขาสมรู้ร่วมคิดกับคนร้าย(?) 


“โอเค งั้นมาเริ่มแผนกัน ฉันสร้างฟองอากาศให้ก่อน แล้วไบร์ทรอสร้างให้ต่อตอนที่ฉันส่งสัญญาณบอกว่าไม่ไหว หน้าที่เดมี่คือตามหาคนในฝันของนาย เฮ้อ.. ไม่รู้นะว่าคนจะมองเห็นฟองนี่เป็นอะไร”


หลังจากที่เขาพึมพำจบก็เริ่มร่ายฟองอากาศคลุมศีรษะให้แก่ทุกคน


"รับทราบ"


พวกเขาทั้งคู่แบ่งหน้าที่เสร็จสรรพ "ป่ะ" พยักหน้าหงึกหงัก ฉันเดินเข้าประตูคาสิโน มีบอดี้การ์ดอยู่หน้าทางเข้าพร้อมกับพนักงานสาวสวยหน้าตาดียืนต้อนรับแขก หากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเทา ๆ ประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะมีให้ตรวจดูบัตรประชาชนเช็คอายุ ที่นี่ไม่มีระบบนั้นสินะ 


เดม่อนเดินเข้าไปข้างในคาสิโน เขาไม่อยากจะเชื่อเลยที่นี่ดูเป็นคาสิโนใหญ่อันดับต้น ๆ ของเวกัสเลยก็ว่าได้ เพียงแต่ผู้คนจำนวนมากนี้ พวกเขาไม่คิดอยากจะกลับออกไปเลยงั้นรึ เดม่อนมองดูพวกเขาต่างสนุกสนาน หลายคนไปล็อบบี้โรงแรมเพื่อเปิดห้องพักกันเลยด้วยซ้ำ ผีพนันของแท้ ในขณะเดม่อนกำลังเดินภายใน รู้สึกได้กลิ่นหอมบางอย่างลอยทะลุฟองแตะจมูก 


เดม่อนมองช่องระบายอากาศก่อนสลับไปมองโต๊ะต่าง ๆ ในคาสิโนต่างไม่ได้เอะใจหรือสนใจนัก เพียงแต่เขากำลังมองหาคนในฝัน เดม่อนยังคงเดินไปตามมุมต่าง ๆ ภายในคาสิโน จนเขาเริ่มสงสัยตัวเองแล้วว่าเขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่


“เฮ้ วิลเมอร์ นายยังไม่ตายงั้นเหรอ!” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งทัก ผมคิดว่าเธอคงไม่ได้ทักผมเท่าไหร่ ก่อนพาสังขารตัวเองไปนั่งที่บาร์เพื่อหาอะไรดื่ม


แต่หญิงสาวผมสีทองไว้ทรงเหมือนสาวทอมบอย การแต่งกายเธอดูเหมือนนักบิน แต่เป็นชุดพวกนักบินยุค 90 ผมคิดว่าเธอคงคอสเพลย์ ถึงแม้ตัวเองจะไม่รู้มาทำอะไรที่คาสิโนนี้ แต่ตอนนี้เดม่อนสั่งเครื่องดื่มมาดื่ม ดูเหมือนเครื่องดื่มจะบริการฟรีครั้งแรก


“นายวิลเมอร์ นี่หยิ่งเหรอ!” หญิงสาวคนนั้นเดินมาใกล้ ก่อนยกมือตบบ่าชายหนุ่มที่เธอคิดว่าเป็นเพื่อนของเธอ 


วิลเมอร์ ใครกันหว่า เดม่อนค่อย ๆ หันไปมองหญิงสาวตรงหน้าก่อนยิ้มทักทาย “ไงครับ พี่สาว ว่าแต่พี่จำผิดคนหรือเปล่า” เดม่อนทักอีกฝ่ายก่อนกระพริบตามองปริบ ๆ


“ไม่นี่ หน้าตาแบบนี้วิลเมอร์ชัด ๆ ว่าแต่ทำไมนายดู….” เธอพูดก่อนเม้มเสียง สายตามองผมอย่างละเอียด “นายดูเด็กลงหรือเปล่า!?” 


“ผมเดม่อน แคนเนลท์ครับ ผมคิดว่าพี่สาวน่าจะทักคนผิด” เดม่อนพูดท้วงขึ้น มองอีกฝ่ายไม่ละสายตา


หญิงสาวยิ้มก่อนหลุดหัวเราะออกมา “ฮ่า ๆ นายนี่เล่นมุกเป็นคนอื่นอีกแล้วเหรอ หรือนายลืมชื่อตัวเองไปแล้ว พ่อวิลเมอร์ ชุลท์” หญิงสาวพูดก่อนเธอจะยื่นมือมาขอเชคแฮนด์ “งั้นก็ได้ ชั้นจะตามน้ำนาย ทำเหมือนรู้จักกันครั้งแรกเนาะ ชั้น เอมีเลีย แอร์ฮาร์ต”


เดม่อนเชคแฮนด์ตอบรับอีกฝ่าย เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เธอแนะนำตัวว่าเธอคือ เอมีเลีย แอร์ฮาร์ต งั้นเหรอ!? เดม่อนตาโต จะเป็นไปได้ไง ไม่ใช่ว่าเธอเป็นนักบินหญิงคนแรกที่ขับเครื่องบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนทิสมายังอเมริกา แต่ก็หายสาบสูญไปกลางทาง ไม่มีใครพบเบาะแสของเธอเลย แล้วเธอมาทำอะไรที่คาสิโนนี้ ถ้าเป็นนั้นจริง ๆ  


ตอนนี้เดม่อนลืมไปแล้วว่าคาสิโนโลตัสเป็นเขตอยู่นอกเหนือโลกภายนอก ในหัวของเดม่อนรู้เพียงว่าที่นี่สนุกจนไม่อยากกลับ แม้ไม่ได้ไปเล่นการพนันแต่ไม่รู้ทำไมถึงมีความคิดเช่นนี้ 


“เหม่อเลยเหรอคนเรา” เอมีเลียยิ้มมองเพื่อนของเธอ ก่อนสายตาเธอเหลือบไปเห็นดาบทรงกรีกโบราณและโล่ และเสื้อค่ายที่เขาใส่ทับเกราะ ทำไมก่อนหน้านี้เธอถึงไม่เห็น แต่ทำไมเขาหน้าเหมือนเพื่อนเธออย่างกับแกะเลยล่ะ


“นายเป็นเดมี่ก็อตเหรอ” เอมีเลียพูดถามขึ้น เธอเลือกจะวางเรื่องเพื่อนของเธอไว้ก่อน ดูเหมือนเธอจะเข้าใจผิดไปเอง


เดม่อนมองอีกฝ่าย ทำไมเธอถึงรู้จักคำว่าเดมี่ก็อต สายตาเธอมองร่างกายเขา เดี๋ยวนะอย่าบอกว่าเธอมองทะลุมนต์บังตา “งืม เธอก็ด้วยเหรอ งั้นแนะนำตัวกันใหม่ ผมเดม่อน แคนเนลท์ บุตรแห่งอะโฟร์ไดต์”


“เอมีเลีย แอร์ฮาร์ต ธิดาแห่งซุส” เอมีเลียแนะนำตัว เธอไม่รู้หรอกว่าเขามาทำอะไรในนี้ พ่อของเธอให้เธอมาซ่อนตัวในนี้ เขาบอกว่าข้างนอกอันตรายกับเธอ แม้เธอจะอยากออกไปก็ตาม…


เดม่อนเมื่อได้ยินอีกฝ่ายแนะนำตัวใหม่อีกครั้ง เขาถึงกับตาโต อีกฝ่ายเป็นธิดาแห่งซุส และเดี๋ยวนะ ชื่อนี้มันคุ้น ๆ คาสิโนนี้มัน…. ทำไมพยายามจะนึกถึงคาสิโนว่าที่นี่ที่ไหนกันแน่แต่นึกไม่ออก กลิ่นหอมรัญจวนนี่มันอะไรกัน….


ก่อนสายตาเดม่อนหันไปเห็นดีน “ดีน !!!! นายก็มาเที่ยวที่นี่ด้วยเหรอ” เดม่อนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายจะมีมุมนี้ด้วย 

 

ดีนพยายามเพ่งจิตไปที่ฟองอากาศทั้งสามอย่างระมัดระวัง ทว่าขณะเดียวกันเขากลับได้กลิ่นหอม ๆ โชยเข้ามาผ่านฟองอากาศก็รู้ได้ทันทีเลยว่าแผนของตัวเองแตกตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเปลี่ยนเวร


“เชี่ยเอ๊ย!”


ดีนสบถออกมาด้วยความโกรธ โกรธตัวเองที่ไร้เดียงสาต่อโลกแห่งทวยเทพมากไป ไม่ว่าตนจะใช้ความพยายามอย่างหนักในการฝึกฝนมากเท่าไร แต่กลิ่นของเทียนหอมที่ใช้ฝึกมันก็ไม่ใช่กลิ่นมนตราเวทที่เจาะทะลุแม้แต่แรงตึงผิวของฟองอากาศที่เสกสรร มือที่กำอยู่แน่นสั่นไหวไปหมด ตอนนี้ดีนได้แต่ปล่อยให้หยาดน้ำตาหล่นลงบนแรงตึงผิวของฟองอากาศจากนั้นฟองทั้งสามก็สลายไปด้วยความที่จิตใจของผู้สร้างไม่คงที่


‘อยากกลับบ้าน’


เพราะรู้ว่าโอกาสที่จะได้ออกไปจากที่นี่มันช่างแสนน้อยนิด เขาจะได้ออกจากคาสิโนโลตัสเมื่อไร ถึงตอนนั้นอาจผ่านไปสิบปีแล้วก็ได้ ถึงตอนนั้นแม่คงเข้าสู่วัยห้าสิบกว่า ๆ รีชาน้องสาวคนเล็กก็จะมีอายุเท่ากับเขาในตอนนี้ แมคเคนซีจะออกจากค่ายไปหรือยัง ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายอาจจะมีครอบครัวไปแล้วก็ได้


ตอนนี้ดีนได้แต่จมอยู่กับความกระจอกงอกง่อยของตัวเองที่ไม่อาจขัดขวางการทำงานของเวทมนตร์ขั้นสูงของเผ่าดอกบัวได้เลย ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน จนตอนนี้เขามีสภาพเหมือนคนหูดับไม่สนใจสิ่งรอบข้างไม่ว่าจะมีใครเข้ามาทักทายกับคนที่เขามาด้วยก็ตาม


‘คนที่มาด้วย…ใคร?’


จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกจากเด็กหนุ่มที่ดูจากวัยแล้วไม่น่าจะเข้ามาที่นี่ได้เลย ชายหนุ่มมีสีหน้าฉงนก่อนจะยิ้มตอบ ดีนหลงลืมความเศร้าโศกของตัวเองไปหมดทั้งที่ยังเหลือคราบน้ำตาประดับอยู่บนหน้า ตอนนี้เขาสนใจสิ่งเร้ารอบตัวมากกว่า


“นายรู้จักฉันเหรอ? โทษทีนะ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?” 


แล้วยังผู้หญิงหน้าเอเซียตัวสูงที่อยู่ข้าง ๆ ดีนอีก ระยะห่างที่เว้นไว้ดูใกล้กันเกินกว่าจะเป็นคนที่บังเอิญหยุดยืนเฉย ๆ ดีนจึงก้าวถอยหลังเว้นระยะห่างแก่สุภาพสตรีท่านั้นแทน



ฉันปรือทันทีที่ฟองอากาศแตก ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนเธอมิอาจสร้างฟองอากาศอันใหม่ได้ทัน เวทมนตร์ขั้นสูงของเผ่าบัว เล่นงานเดมิก็อดทั้งสามพร้อมเพรียง 


"ห่ะ" 


ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ชายหนุ่มสองคนนี้เป็นใครกันว่ะ ทำไมฉันถึงมายืนร่วมกับพวกเขากันล่ะ


"ขอทางหน่อยได้ไหม" พวกเขากลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอ ความทรงจำอื่น ๆ ถูกกดทับจนลืมเลือนเป้าหมายสำคัญของการทำภารกิจ ดวงตาของฉันชำเลืองมองหญิงสาวหน้าตาสะสวยด้วยความสนใจ —---ใช่แล้ว ตอนนั้นโดนมนตร์มายาเผ่าโลตัสกันยกทีม ตลกสิ้นดี (เขียนบันทึกด้วยสีหน้าละอาย)


เดม่อนแม้จะไม่รู้ว่าดีนมาทำอะไรที่นี่ แต่เขาก็งงทำไมอีกฝ่ายไม่รู้จักเขา แล้วแบบนี้เขาจะถามได้ยังไงล่ะว่าเขามาทำอะไรที่นี่ “เอ่อ….นายดีน นีล บุตรแห่งโพไซดอนไม่ใช่เหรอ ว่าแต่นายมาเที่ยวที่นี่เหมือนกันด้วยเหรอ?”


“เอมีเลีย แอร์ฮาร์ต” หญิงสาวทักทาย เธอมองสลับกับเด็กหนุ่มที่หน้าละม้ายคล้ายวิลเมอร์เพื่อนสนิทของเธอ และเด็กที่เพิ่งมาใหม่ ดูเหมือนพวกเขาเป็นเดมี่ก็อตทั้งคู่ แม้เธอจะไม่รู้ว่าพวกเขามาทำอะไรที่นี่ก็ตาม แต่พวกเขามาด้วยกันหรือเปล่า หรือเด็กทั้งสองคนนี้จะเพิ่งเข้าคาสิโนมา ยังปรับตัวไม่ได้


เดม่อนแม้จะไม่รู้ว่าเขามาทำอะไรที่นี่ แต่เขาเหมือนคุ้น ๆ ว่า เดี๋ยวนะ เอมีเลีย แอร์ฮาร์ต เธออยู่ในยุคช่วงหลังสงครามโลก นั่นหมายความว่าเธอคือเด็กต้องห้ามอีกคนหลังสามมหาเทพทำพันธะสัญญางั้นเหรอ ไม่ใช่มีแค่ฮาเดสที่มีลูกในช่วงนั้นหลังทำสนธิสัญญากัน แต่ซุส… สรุปแล้วโพไซดอนคงจะเป็นเทพเพียงองค์เดียวที่เคารพในสนธิสัญญา กว่าจะละเมิดก็ผ่านมาจนเข้าปี 2000 มีเพอร์ชีย์คนแรก…


“พวกนายก็มาหลบอันตรายในนี้ด้วยงั้นเหรอ” เอมีเลียกำลังหาทางช่วยเดม่อนและดีนให้ได้สติ แต่เธอก็ไม่รู้จะทำยังไงดี มันต่างกับเธอที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานานแล้ว ทำให้เธอเริ่มคุ้นชินและค่อย ๆ ได้สติ แม้จะมีบางครั้งสลับกลับเป็นเหมือนเดิมไปบ้าง


“โทษทีนะ คือดีน นีล น่ะชื่อฉันเป๊ะเลย แต่ฉันคงไม่ใช่ ดีน นีล ที่นายรู้จักหรอก พ่อของฉันไม่ได้ชื่อโพไซดอนด้วย ถึงจะมีเคราฟู ๆ เหมือนกันก็เถอะ”


ทำมือลูบ ๆ แถวคางตัวเองประกอบ เพราะว่าแม่ไม่ชอบเรื่องทวยเทพทำให้ชายหนุ่มแทบจะไม่ได้ศึกษาปกรนัมกรีกตั้งแต่เด็กยันโต แต่ก็พอจะรู้มาว่าเทพโพไซดอนเป็นเทพแห่งท้องทะเลที่มีเคราปุกปุยถือสามง่าม เขารู้เพียงเท่านั้น… 


ดีนที่งุนงงไม่รู้ว่าผู้หญิงแปลกหน้ากับเด็กผู้ชายที่คล้ายจะรู้จักเขาคือใคร แถมยังเรื่องเดมิก็อดอะไรนี่อีก แต่ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องของเขาเลยแม้แต่น้อย เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ฟลอเต้นรำในคาสิโนเปิดเพลงโปรดที่เขาชอบแด๊นซ์เมื่อไปผับ จึงเป็นโอกาสดีที่จะผละตัวออกมาจากวงสนทนาที่เขาคุยด้วยไม่รู้เรื่อง


“เดี๋ยวขอตัวก่อนนะ พอดีว่าเพลงโปรดฉันมาพอดีเลย” แล้วดีนก็ปลีกตัวออกไปม่วน ๆ จอย ๆ อยู่ที่ฟลอเต้นรำนั้น


“โอ้ นั่นลอบเตอร์มาเสิร์ฟล่ะ งั้นผมขอตัวด้วยแล้วกัน” เดม่อนที่ลืมเรื่องดีนเสียสนิท ก่อนรีบวิ่งไปยังแผนกอาหาร เพื่อจะกินอาหารในคาสิโนให้อิ่มหนำ เขาเริ่มลืมทุกสิ่งกลับมาอีกรั้งแล้ว 


เอมีเลียมองทั้งสอง เธอไม่รู้จะทำยังไงดี ก่อนเดินหาอีกฝ่าย ว่าแต่หมอนั่นหายไปไหนแล้วนะ 



ชุดการแต่งกายของเธอคนนั้นดูจะไม่ค่อยเหมาะกับสถานที่แห่งนี้ หญิงสาวสวมอาภรณ์ที่ออกไปทางยุคสมัยก่อน ถึงจะดูแปลกและแตกต่างทว่าก็มีเสน่ห์ดึงดูดสายตานักล่าของเหล่าผีพนันทั้งหลายได้เป็นอย่างดี


รวมไปถึงฉันก็อยากทำความรู้จัก พลางหยิบเครื่องดื่มสีอำพันจากพนักงานเสิร์ฟของคาสิโนโลตัส "สวัสดีคุณผู้หญิง สนใจมาดื่มมาดริ้งก์กับฉันไหม"


"ได้สิ" อารีแอนน์ตอบกลับ 


ทั้งสองเดินไปที่นั่งตรงโซฟาสีแดงกํามะหยี่ "ไบร์ท เอมส์" เธอแนะนำตัวพลางจรดแก้วมาการิต้าจิบดื่มบนริมฝีปาก 


"ฉันอารีแอนน์"


"เป็นชื่อที่ไพเราะเหมาะกับสาวผู้งดงาม" ฉันหลงลืมทุกอย่างแล้วจริง ๆ ในหัวของเธออยากจะทำแค่จีบสาว เผาผลาญเงินเก็บในบัญชีใช้ในการลงเล่นพนันเสี่ยงดวง 


อารีแอนน์ยกยิ้มอ่อนหวานมือบางยกแก้วค็อกเทล "ขอบคุณสำหรับคำชม" 


ฉันอยู่กับอารีแอนน์โดยที่ไม่รู้วันรู้คืนเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว จิตใจสับสนมึนงง


ทั้งดื่มค็อกเทลหลายแก้ว น้ำสีอำพันแสบร้อนกรอกลงสู่ลำคอของฉัน จากนั้นพวกเราไปเล่นแบล็คแจ็ค มีดีลเลอร์หนุ่มตาสีฟ้าบริการดูแลปานเป็นลูกค้าชั้นยอด 


และปิดท้ายรูเล็ตต์ เป็นเกมที่ไม่ค่อยนิยมเล่นในอเมริกาสักเท่าไหร่นัก แต่ฉันชอบมัน หมุนวงล้อรูเล็ตและปล่อยลูกบอลให้วิ่งไปบนวงล้อนั้น ลูกบอลจะตกลงไปอยู่ในช่องใดช่องหนึ่ง


สนุกไม่ยั้งปังไม่หยุดสำหรับการเล่นพนันเดิมพันด้วยเงินในบัญชี 


%#_&/#฿#฿<฿<%฿ sus (ขีดฆ่าคำด่าในบันทึก แกทำให้พวกเราดูแย่ เวทมนตร์มายาเผ่าโลตัส)





แสดงความคิดเห็น

God
พิชิตแวนมีเทอร์คัร้งแรกในวันที่ 7  โพสต์ 2024-5-22 08:17
โพสต์ 172304 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2024-5-20 16:43
โพสต์ 172,304 ไบต์และได้รับ +6 EXP +8 เกียรติยศ +6 ความศรัทธา จาก ชุดเครื่องเพชร  โพสต์ 2024-5-20 16:43
โพสต์ 172,304 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-5-20 16:43
โพสต์ 172,304 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก สร้างฟองอากาศ  โพสต์ 2024-5-20 16:43

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ดาบไซฟอสออฟเดอะฟอลเลน
ควบคุมน้ำ
ตรีศูลน้อย
เข็มทิศมหาสมุทร
น้ำหอมบุรุษ
ชุดเครื่องเพชร
หมวกนีเมียน
ฟองอากาศแห่งชีวิต
ภูมิคุ้มกันเปียก
แว่นกันแดด
เกราะหนัง
กำไลหินนำโชค
หายใจใต้น้ำ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x1
x17
x2
x3
x2
x3
x3
x20
x4
x6
x1
โพสต์ 2024-5-22 00:15:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2024-5-22 01:26

144

DAY 7: ซาตานคือมิตรที่พึ่งพาได้ (???)


ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล
ผู้จดบันทึกวันที่ 7




             [ 21 พฤษภาคม 2024 ]


             สวัสดีบันทึกของวันที่ 7 ผม ดีน นีล ผู้รับผิดชอบบันทึกในของวันนี้


             อันดับแรก คงต้องเกริ่นก่อนว่าผมไม่สามารถระบุเวลาของบันทึกวันนี้ได้อย่างละเอียดชัดเจน เนื่องจากช่วงเวลาภายในคาสิโนโลตัสมีความผันผวนสูงกว่าระบบเวลาจริงสูงมาก ตามความรู้สึกของผมที่เข้าไปในคาสิโนเพียงไม่กี่ชั่วโมงแต่เวลาจริงกลับผ่านมาแล้ว 2 วัน ผมจะให้ข้อมูลของคาสิโนโลตัสคร่าว ๆ ไว้ดังนี้ เผื่อรุ่นน้องที่ต้องการศึกษาอย่างรวดเร็วจะได้ไม่ต้องอ่านทั้งบันทึก



             คาสิโนโลตัส
             สถานที่ตั้ง: เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา
             ผู้ก่อตั้ง: เผ่าผู้เสพดอกบัว


             คาสิโนและโรงแรมขนาดใหญ่ใจกลางเมืองลาสเวกัส ลักษณะอาคารเป็นรูปทรงแปลกประหลาดเป็นรูปดอกบัว คุณสามารถรู้ได้ทันทีว่าที่ตั้งอยู่ที่ไหนเมื่อมองจากระยะไกล (รูปถ่ายตามเอกสารแนบ) เมื่อไปถึงจะเห็นว่าคาสิโนแห่งนี้มีแต่ผู้ที่เดินเข้าไปแต่ไม่มีใครเดินกลับออกมา นั่นก็เพราะว่า อาหาร เครื่องดื่ม รวมถึงกลิ่นจากเครื่องปรับอากาศที่ส่งออกมามีเวทมนตร์วิเศษที่จะทำให้ผู้คนในนั้นหลงลืมตัวตน และเอาแต่สนุกสนานเพลิดเพลินกับสิ่งนันทนาการที่ภายใน อาทิ ล็อตโต้ โป๊กเกอร์ รูเล็ตต์ และสารพัดการพนันถูกกฎหมายมากมายที่ราวกับว่าชิปส์ในมือของคุณไม่มีวันหมด มีโซนเล่นเกม ร้านอาหาร โซนผับและบาร์ที่เปิดเพลงมัน ๆ ให้ได้เต้นกันและดื่มกันอย่างสนุกสนาน และยังมีส่วนของที่พักโรงแรมที่ผมไม่สามารถรีวิวได้เพราะไม่ได้ไป


             การสร้างฟองอากาศคลุมหัวของสายเลือดโพไซดอน “ไม่สามารถ” ป้องกันกลิ่นเวทมนตร์ของชนเผ่าดอกบัวได้


             จากคำบอกเล่าของ เอมีเลีย แอร์ฮาร์ต ธิดาแห่งเทพซุส ที่บังเอิญพบเจอกันภายในนั้นเธอเป็นผู้ที่หลุดออกจากมนตร์สะกดของกลิ่นดอกบัวได้ เธอกล่าวว่า “ช่วงแรก ๆ ก็เป็นเหมือนพวกนายนั่นล่ะ แต่พออยู่นานวันเข้า ตอนนี้ไม่รู้ผ่านไปนานแคไหนแล้ว แต่ฉันก็เริ่มปรับตัวและคุ้นชินกับเรื่องพวกนี้แล้ว ทำให้ครองสติได้ตลอดเวลา ขอแค่เราไม่พลาดพลั้งอีกครั้ง พยายามครองสติไว้ตลอดเวลา”


             และอีกคนที่หลุดออกจากมนตร์สะกดได้ด้วยตนเองคือ เดม่อน แคนเนลท์ เขากล่าวว่า “เป็นเหตุบังเอิญจากการเผลอใช้พลังแปลงกายเป็นคนอื่นจึงทำให้ มนตร์ของดอกบัวหยุดชะงัก”


             ความคิดเห็นของผู้เขียนบันทึก: เป็นเรื่องน่าเจ็บใจที่ผมอุตส่าห์ฝึกฝนการใช้พลังมาเป็นอาทิตย์ พยายามคิดวางแผนมาเป็นอย่างดีแต่กลับไม่ได้ผล ผมจึงไม่สามารถแนะนำผู้อ่านบันทึกได้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะหลุดจากมนตร์สะกด ซึ่งบางทีอาจไม่ต้องทำอะไร แค่ทำใจแล้วพึ่งพาเหตุบังเอิญ




             เวลา ???


             ผมที่กำลังหลงอยู่ในอำนาจของมนตร์ดอกบัวกำลังสนุกสนานอยู่บนฟลอเต้นรำเพียงลำพัง มาย้อนคิดถึงตอนนั้นดูเหมือนว่าตัวเองจะลืมเรื่องราวของภารกิจไปเสียหมด จำได้แต่เพียงว่าผมเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัย xxx นิวยอร์ก ที่กำลังมาทริปท่องเที่ยวกับเพื่อนในคณะที่ลาสเวกัสแล้วได้เข้าพักในโรงแรมคาสิโน ซึ่งความจริงไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาความทรงจำนั้นมาจากไหน และเมื่อย้อนคิดกลับไป หากอยู่ในคาสิโนโลตัสนานกว่านี้อีกสักหน่อยผมน่าจะได้ลืมไปเหมือนกันว่าเคยเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัย xxx นิวยอร์ก


             ขณะที่กำลังสนุกสนานอยู่นั่นเองบริกรคนหนึ่งก็มาสะกิดผมพร้อมกับนำแก้วแชมเปญมาให้บอกว่ามีคน ๆ หนึ่งอยากทำความรู้จัก พอหันไปมองตามก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งยกแก้วแชมเปญแบบเดียวกันเป็นการทักทาย ตอนนั้นผมสองจิตสองใจเหลือเกินว่าจะรับคำชวนนั้นดีไหม แต่ตอนนี้ผมกำลังอยากดื่มอะไรบางอย่างและแก้วแชมเปญตรงหน้าก็มีอำนาจดึงดูดใจอย่างร้ายกาจทำให้ผมอดใจที่จะหยิบมาถือไว้ไม่ไหว แล้วผมก็ลองไปนั่งคุยกับชายคนนั้นดู


             อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีวัยประมาณ 30 จะเปรียบเปรยว่าเป็นเทพบุตรตามภาพวาดทูตสวรรค์ในโบสถ์ก็คงไม่ผิด เขาสวมใส่ชุดสูทราคาแพงมีรสนิยมตรงกันข้ามกับผมที่แต่งตัวด้วยชุดเดินทางไม่ถูกกาละเทสะ ข้าง ๆ เขามีขวดแชมเปญ KRUG CLOS D’AMBONNAY 1998 ราคาสูงลิบลิ่วถึง 2,000 เหรียญ เขาบอกว่าไม่ให้ผมซีเรียส แต่จะไม่ให้เครียดได้ยังไง จู่ ๆ ไม่เคยมีผู้ชายที่ไหนมาทักว่าจนใจมาก่อน แถมในยุคสมัยนี้ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่ถูกมอมเหล้า แต่ผู้ชายเองก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นเหยื่อได้ด้วยเหมือนกัน

               ในระหว่างที่กำลังลังเลใจอยู่นั่นเอง เดม่อนกับเอมีเลียก็เข้ามาขอนั่งด้วย จากนั้นบทสนทนาดังกล่าวจึงเป็นของสองคนนั้นมากกว่า ส่วนผมได้แต่เป็นผู้ฟังและจิบแชมเปญรอ น่าประหลาดหลังจากที่แอลกอฮอล์เข้าปากทำให้ความทรงจำของผมกลับคืนมา แต่ไม่อาจบอกได้ด้วยเพราะฤทธิ์สุรา มันน่าจะเพราะอำนาจของคนตรงหน้ามากกว่า


             เดม่อนพูดว่า “คุณเป็นใคร ผมเคยเห็นคุณในฝัน”


             น่าจะเป็นความฝันที่เดม่อนเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเราแยกกันไปแถวชานเมืองเดนเวอร์ “ต้องตามหาคนใส่สูทสีดำ ใบหน้าหล่อเหลาราวบุตรแห่งอะโฟรไดท์” ตามคำบอกเล่าที่เดม่อนเคยบอกก่อนหน้านี้


              ชายลึกลับคนนั้นถามว่าพวกผมมาทำอะไรที่ลาสเวกัสทั้งที่เดมิก็อดจากฮาล์ฟบลัดควรอยู่ที่นิวยอร์ก แต่ผมกับเดม่อนกลับห้ามใจตัวเองให้เก็บความลับสำคัญเรื่องภารกิจไว้ไม่ได้จนเผลอลั่นออกไปจนหมด เมื่ออีกฝ่ายรู้ข้อมูลเขาก็ยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวจนชวนให้หนาวไปถึงสันหลัง จากนั้นเขาก็มอบเหรียญที่เป็นรูปตรีศูลให้แก่ผม (รูปภาพตามเอกสารแนบ)


              “เหรียญนี่เก็บไว้คงไร้ประโยชน์สำหรับข้า เจ้าเอาไปล่ะกัน เผื่อในอนาคตมันจะมีประโยชน์ต่อพวกเจ้า จำคำข้าไว้ หนทางข้างหน้า พึงเชื่อใจสหาย แล้วพวกเจ้าจะรอดจากเทพจอมหลอกลวง”


              “เหรียญนี่เจ้าคงสงสัยสินะทำไมความฝันเจ้าถึงเดิมพันกับข้า แต่จริง ๆ ข้าเชื่อว่าเจ้าเห็นเหตุการณ์เพราะใจของเจ้ากับชายที่ชื่อแร็กนาร์เชื่อมโยงถึงกัน ดังนั้นหลายครั้งเจ้าจึงเห็นเหตุการณ์ผ่านสายตาเขา ใช่เขามาหาข้า เขาต้องการกล่องหมอกเพื่อนำทางสู่เกาะแห่งสายหมอก ในฐานะจอมปีศาจ ข้าย่อมทำตามสัญญาการเดิมพัน แต่ข้าไม่ได้ช่วยเจ้าฟรี ๆ หรอกนะที่บอกสิ่งเหล่านี้ วันข้างหน้าพวกเจ้าจักต้องใช้คืน”


              ชายคนนั้นเฉลยทุกอย่างออกมาก่อนจะแนะนำตัวว่าเขาคือ “ลูซิเฟอร์” หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนาม “ซาตาน” ตามความเชื่อของคริสต์ศาสนา ตอนนี้ผมคิดว่าพวกเราซวยแล้วหรือเปล่าที่มาผูกสัมพันธ์กับอำนาจที่ไม่ควรยุ่งด้วย แม้คุณไครอนจะเคยบอกว่า “เทพหลายองค์ที่เคยพบบอกว่าเขานิสัยดี” ก็ตามที แถมยังบอกอีกว่าไม่ได้ช่วยฟรี ๆ แล้วจากนี้อีกฝ่ายจะเรียกร้องอะไร


              มีหลายเรื่องที่ผมอยากจะถามเขาแต่ชายที่อ้างตัวว่าเป็นลูซิเฟอร์กลับลุกหนีไปเสียก่อน เขาทิ้งท้ายเพียงว่า “ไบร์ทอยู่กับบริวารของเขา เธอปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง”


              ระหว่างที่ผมกำลังสับสนอยู่นั่นเองจึงได้หันมาแนะนำตัวกับเอมีเลียที่น่าจะเป็นสมาชิกใหม่ของทีมกู้โลกของพวกเรา ผมถามเอมีเลียว่า “เธอจะคือสตรีหลงยุคใช่ไหม แล้วพวกเราต้องพาเธอออกจากคาสิโนแห่งนี้ด้วยหรือเปล่า”


              เอมีเลียจึงตอบว่า “พ่อ (เทพซุส) บอกว่าจะมีคนมารับเธอไปค่ายอะไรสักอย่าง (ค่ายฮาล์ฟบลัด) เธอจะได้รับการฝึกฝนเพิ่มขึ้นจากคุณนีสตอร์มที่เป็นแซเทอร์”


              แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อดที่จะระแวงไม่ได้อยู่ดีว่าผู้หญิงคนนี้คือแร็กนาร์ปลอมตัวมาหรือสิงร่างใครเหมือนกับที่เคยทำกับเดม่อนหรือเปล่า เพราะว่าเขาไม่รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เอมีเลียจึงเล่าเรื่องราวของเธอให้ฟังจับใจความได้ว่า


              “เธอเป็นนักบินหญิงคนแรกของโลกที่ขับเครื่องบินด้วยตัวคนเดียวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก แต่ภารกิจล้มเหลว เครื่องบินตกในปี 1937 เทพซุสได้ช่วยเหลือและพาตัวเธอมาไว้ในคาสิโนโลตัส เธอเพิ่งจำจะเรื่องราวอดีตของตัวเองได้ราว ๆ หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้หลังจากที่ได้พบกับเทพซุสครั้งที่ 2 และบอกกล่าวว่าจะมีคนพาออกไปจากคาสิโนโลตัส”


              ถ้าเธอบอกว่ามาจาก ปี 1937 แต่ตอนนี้ 2024 แล้วเพิ่งได้รับความทรงจำกลับคืนมาเมื่อาทิตย์ที่แล้ว ผมไม่มั่นใจเลยว่าตอนนี้ที่พวกเราเข้ามาในคาสิโนโลตัสระบบเวลาข้างนอกจะผ่านไปกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี แต่ตอนนี้ที่พวกเขายังนั่งกันอยู่ตรงนี้ได้ก็แปลว่าโลกไม่แตก


              ระหว่างนั้นเดม่อนคล้ายกับจะเห็นนิมิตอีกครั้ง “ตรีศูลปักบนโขดหินที่ไหนสักแห่ง เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยหมอก” เขากล่าว


              แต่ในใจของผมกลับรู้สึกว่า “เราได้ตรีศูลคืนมาแล้ว” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะด้วยเหตุอันใด แต่เหรียญที่เพิ่งได้รับมาจากลูซิเฟอร์คล้ายกับมีกลิ่นอายของท้องทะเลแผ่ออกมาอย่างท่วมท้น ซึ่งผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ แต่ตอนนี้การตามหาไบร์ทให้เจอเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ผมกับอีก 2 คน จึงลุกออกจากบาร์แล้วไปตามหาไบร์ทตามส่วนต่าง ๆ ของคาสิโน โดยที่ไม่ลืมหยิบ KRUG CLOS D’AMBONNAY 1998 ติดมือมาด้วยความเสียดาย




              ขณะเดียวกันทางฝั่งไบร์ทเล่าว่า เธอกำลังสนุกสนานกับหญิงสาวสองคนชื่อ “อารีแอนน์ ธิดาแห่งเทพีเฮคาที” และ “เมซิคีน” จากนั้นลูซิเฟอร์ก็ไปหาเธอพร้อมกับแชมเปญ จากนั้นไบร์ทและอารีแอนน์ก็ได้สติคืนกลับมา ส่วนผู้หญิงที่ชื่อเมซิคีนแท้จริงแล้วคือสมุนของลูซิเฟอร์


              ลูซิเฟอร์ได้มอบวิญญาณแสงดวงนึงให้แก่ไบร์ทแล้วบอกกับเธอว่า


              “สิ่งนี้เรียกหาเธอ พึงจำไว้ดึงความรู้สึกที่มีความสุขที่สุดออกมา เพื่อเรียกใช้วิญญาณหญิงสาวดวงนี้ เมื่อถึงซานฟรานซิสโกเธอจะนำทางกลุ่มของเธอไปสู่คนที่ตามหา เมื่อพวกเจ้าถึงที่หมาย พึงจำไว้เชื่อใจกันและกัน แล้วภารกิจจะสำเร็จพบเจอสิ่งที่ตามหา หลังเจ้าถึงที่หมายวิญญาณแสงดวงนั้นจะได้อำลาเธอครั้งสุดท้ายก่อนไปเกิด หลังจากรอลามานานนับหลายพันปี”


              “เจ้าคือผู้ที่จะต้องเลือก หากเจ้าจะพาเพื่อน ๆ ไปยังจุดสิ้นสุดตามคำพยากรณ์ ก็จงใช้วิญญาณแสงดวงนั้น แต่พึงจำไว้จงพร้อมเปิดรับผลลัพธ์ภัยเงียบในภายภาคหน้า และหากเจ้าจักไม่นำทางพวกเขา เจ้าและเพื่อนของเจ้าก็จงหวนกลับสู่ที่จากมา กลับไปนอนพักซะและรอรับมือภัยที่แจ้งที่กำลังจะมาเยือน”


              หลังจากนั้นผมกับพบกับเธอเลยพากันออกมาที่ข้างนอกคาสิโนโลตัสโดยเร็วที่สุดเพื่อหนีมิติเวลาอันผันผวนนี้หวนคืนสู่ปัจจุบัน
              


              17.40 น. (เวลาโดยประมาณ) ของวันที่ 21 พฤษภาคม 2024


              เมื่อปรับเทียบเวลาตามปัจจุบันได้แล้วถึงพบว่าเวลาจริงได้ผ่านไปเพียงแค่ 2 วัน ถือว่าดีกว่าที่คาดคิดเอาไว้เยอะ และดีแล้วที่รีบออกมา หากว่าพวกเรายังอยู่ในคาสิโนโลตัสช้ากว่านี้สักนาทีจาก 2 วัน อาจจะกลายเป็น 3 วันก็เป็นได้ จากนั้นจึงกลับมาโฟกัสที่ผู้ติดตามอีก 2 คนต่อ เอมีเลีย และ อารีแอนน์ หนึ่งในสองคนนี้จะมีใครสักคนที่เป็นตัวปลอมของแร็กนาร์มาปั่นป่วนการเดินทางของพวกเราอีกไหม


              ไบร์ทเสนอความคิด “ถ้าเป็นไอ้สารเลวปลอมตัวมาซาตานต้องดูออกสิ จะให้ทิ้งก็ยังไง ๆ อยู่”


              แต่ผมก็ให้ข้อโต้แย้งกับไบร์ทว่า “ซาตาน ไม่ใช่คนที่น่าไว้วางใจ” ถึงเขาจะให้ของสำคัญมาตั้งหลายอย่างก็ตาม แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้อยู่ดีว่าเป็นกลอุบายอะไรหรือเปล่า


              ไบร์ทจึงเสนอความคิดเพิ่มเติม “ถ้าเป็นคนเลวจะช่วยพวกเราทำไม สู้ปล่อยให้พวกเราหลงระเริงจนลืมภารกิจตามหาตรีศูลปล่อยให้เกิดภัยพิบัตระหว่างทวยเทพก็ยังได้”


              ซึ่งผมไม่มีข้อโต้แย้งมาคัดง้างในส่วนนี้ บางทีลูซิเฟอร์อาจจะกำลังพยายาม “ซื้อใจฝั่งโอลิมปัส” เพื่อทำการใหญ่บางอย่างอยู่ก็เป็นได้ แต่นี่เป็นเพียงแค่ความเป็นไปได้ที่ผมคาดคะเน


              ระหว่างที่เรากำลังมีข้อโต้แย้งกันอยู่นั่นเองถึงทำให้ได้รู้ว่าเดม่อนหายตัวไป ก่อนหน้านี้ลูซิเฟอร์ได้พูดถึงการเชื่อมจิตของเดม่อนและแร็กนาร์ ผมคิดแทนเด็กหนุ่มคนนั้นว่า “ปลีกตัวไปให้ห่างจากเพื่อน แร็กนาร์จะได้ไม่รู้ความเคลื่อนไหวของพวกเรา” แต่การแยกทางไปในเมืองที่อันตรายเต็มไปด้วยอสุรกายที่รับมือได้ยากเช่นนี้ถือเป็นความเสี่ยง แม้จะรู้เหตุผลแต่เขาไม่ควรทำเช่นนั้น


              ในระหว่างที่พบปัญหาใหม่และจะติดต่อหาผู้อำนวยการเพื่อขอคำปรึกษาอยู่นั่นเองพวกเราก็ถูกโจมตีจากแวนมีเทอร์ หรือค้างคาวปีศาจตัวใหญ่ และยังมีเงาที่พูดจาอวดดีอยู่บนยอดตึกใกล้ ๆ จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก “แร็กนาร์ บุตรแห่งเทพโป้ปด” พวกเราจึงแยกกันเป็นสองทาง ไบร์ทไปจัดการแวนมีเทอร์ ส่วนผมไปจัดการเงาของแร็กนาร์ คนขี้ขลาดที่ส่งเงามารังควานพวกเราเสมอโดยไม่เคยเผยตัวจริง


              ผมได้รับความช่วยเหลือจากอารีแอนน์และเอมีเลียในการต่อสู้ อารีแอนน์ใช้เวทมนตร์เรียกหมอกมาปกคลุมพื้นที่ขับไล่ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากบริเวณด้วยภาพหลอน ผมจึงสามารถต่อสู้ในตำแหน่งใจกลางเมืองได้อย่างเต็มที่ ณ จุดนี้ที่หน้าคาสิโนมีน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ผมจึงควบคุมน้ำพุเหล่านั้นเป็นบันไดไต่ไปจนถึงยอดตึก


              บอกได้เลยว่าตอนนั้นผมทั้งเมาและโมโหมากที่ทุกอย่างประดังประเดเข้ามาไม่หยุดหย่อน ผมจึงขอเล่าเท่าที่ผมจำความได้ ด้วยความเครียดผมจึงเผลอทำแทงก์เก็บน้ำบนดาดฟ้าแตกและใช้น้ำจากบนดาดฟ้าในการต่อสู้ แร็กนาร์พยายามบินหนีขึ้นฟ้าแค่ก็ถูกนกพิราบฝูงหนึ่งคอยบินโฉบเฉี่ยวก่อกวน ภายหลังเอมีเลียเล่าให้ผมฟังว่าเธอเห็นสายน้ำแตกออกเป็นเส้นคล้ายกับเชือกคอยไล่จับศัตรูที่บินหนี จากนั้นสายน้ำหลายเส้นก็รวมกันเป็นหนึ่งและส่งพลังน้ำแรงดันสูงทำลายเงาของแร็กนาร์จนมันพ่ายแพ้ไป จากนั้นน้ำจำนวนมหาศาลก็ตกลงมาเป็นสายฝน


              ไบร์ทจัดการแวนมีเทอร์ที่รวดเร็วกว่าผมเสียอีก เธอมีความเก่งกาจสมกับที่มีสายเลือดของสามมหาเทพยิ่งกว่าผมเสียอีก ผลการต่อสู้ออกมาว่าพวกเราชนะ แต่อารีแอนน์ใช้พลังในการควบคุมหมอกมากเกินไปจึงทำให้เธอหมดสติ ตอนนี้ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้วว่า เอมีเลีย และ อารีแอนน์ คือตัวจริง ไม่ใช่เวทมนตร์มายาปั่นหัวที่แร็กนาร์สร้างขึ้น และผมต้องขอโทษอย่างสุดหัวใจที่ไม่เคยไว้วางใจพวกเธอทั้ง 2 คนมาก่อน


              บางทีลูซิเฟอร์อาจจะไว้ใจได้จริง ๆ ก็ได้ เพราะฉะนั้นจากนี้ไปผมจะไว้ใจในทีมและไม่คิดระแวงใครอีกเป็นครั้งที่สอง




              19.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


              พวกเรากลับมาที่โรงแรมเดิมในบันทึกวันที่ 19 พฤษภาคม 2024 โรงแรมดี ๆ ในลาสเวกัสราคาแพงเกินไป ส่วนโรงแรมถูก ๆ ก็หาได้ยาก อย่างน้อยก็ยังดีที่โรงแรมเดิมยังเหลือห้องพักสุดท้ายไว้ให้ คืนนี้ผมพักผ่อนอย่างไม่สนิทใจเท่าไร แอบกังวลไม่ได้ว่าตอนนี้เดม่อนจะเป็นอย่างไรบ้าง ได้แต่ภาวนาให้เขาคอยเฝ้ามองพวกเราอยู่แล้วไปเจอกันที่ซานฟรานซิสโกตามคำทำนายเพื่อพุ่งชนสายหมอกในตอนเช้า และรับตรีศูลของพ่อคืนกลับมา


              ความคิดเห็นของผู้เขียนบันทึก: บางอย่างในใจเตือนผมอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ให้ไปซานฟรานซิสโก ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร สังหรณ์ของผมมักจะแม่นยำเสมอ แต่อาจจะเป็นเรื่องที่คิดไปเองก็ได้ กระนั้นผมขอลงบันทึกเอาไว้ก่อนเผื่อจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญในอนาคตแม้ว่าสังหรณ์ของผมอาจจะเป็นเพียงเรื่องไร้สาระก็ตาม



จบบันทึกของวันที่ 7
ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล




ผลการต่อสู้ของดีน 
 ผลการต่อสู้ของไบร์ท



แสดงความคิดเห็น

God
พิชิตแวนมีเทอร์ครั้งแรกในวันที่ 8   โพสต์ 2024-5-29 13:51
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-23] โดลอส เพิ่มขึ้น 60 โพสต์ 2024-5-22 14:06
โพสต์ 51243 ไบต์และได้รับ 30 EXP!  โพสต์ 2024-5-22 00:15
โพสต์ 51,243 ไบต์และได้รับ +7 EXP +6 เกียรติยศ จาก นาฬิกาสปอร์ต  โพสต์ 2024-5-22 00:15
โพสต์ 51,243 ไบต์และได้รับ +4 เกียรติยศ +4 ความกล้า +4 ความศรัทธา จาก ล็อคเก็ตรูปหัวใจ  โพสต์ 2024-5-22 00:15

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
Anker PowerCore
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่อัสพิสขัดเกลา
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
แว่นตา
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x2
x2
x3
x2
x1
x3
x3
x1
x1
x2
x11
x2
x7
x2
x4
x7
x1
x1
x1
โพสต์ 2024-5-22 08:35:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด

𝕭𝖗𝖎𝖌𝖍𝖙 𝕬𝖒𝖊𝖘

𝕾𝖆𝖛𝖊 𝖕𝖆𝖌𝖊 8




เมื่อคืนพวกเขากลับมาหาที่พักในโรงแรมโทรม ๆ ที่เดียวกับคืนแรกของลาสเวกัส ต่างกันนิดหน่อยที่วันนั้นดีนแบกเดม่อนที่ไร้สติมา แต่คราวนี้กลับเป็นเอมีเลียที่แบกอารีแอนน์ขึ้นหลัง พนักงานมองผู้เดินทางคณะนี้ด้วยสายตาแปลก ๆ แต่ก็ยอมให้เข้าพักเพราะลูกค้าแปลกมีอยู่แทบจะทุกวัน คราวนี้แยกห้องกันอยู่เป็นสองห้องเพราะว่าคนเยอะเกินไป และดูแล้วทุกคนจะมีวิชากันหมด แล้วอีกอย่างแร็กนาร์คงไม่กล้ามาแหยมพวกเขาในคืนนี้อีกแล้วหลังจากที่โดนเล่นงานไปจุก ๆ


พอมาถึงตอนเช้าพวกเขาก็มารวมตัวกันที่อีกห้องหนึ่งเพื่อปรึกษาแผนการ อารีแอนน์อาการดีขึ้นและดูเหมือนจะสนอกสนใจกับไอศกรีมโมจิที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อเป็นพิเศษ ในยุคสมัยของเธอคงไม่มีของแบบนี้ จะว่าไปก็เป็นมุมที่น่ารักดี..


“จะเอายังไงกันต่อดีล่ะ เราจำเป็นจะต้องไปซานฟรานซิสโกกันจริง ๆ ใช่ไหม? ฉันรู้สึกว่าเหรียญนี่มันมีอะไรบางอย่าง ก็แค่รู้สึกน่ะ.. รู้สึกแบบว่าได้ของสำคัญมาอยู่ในมือแล้วไม่ต้องไปอีกก็ได้ เธอสัมผัสอะไรได้ไหม?”


ดีนส่งเหรียญรูปตรีศูลมาให้ฉันสำรวจ พวกเขามีสายเลือดเดียวกันอาจจะรู้สึกอะไรเหมือนกันก็ได้


“แต่คำพยากรณ์บอกว่าเราจะต้องไปที่นั่น คำพยากรณ์เดลฟีเป็นจริงเสมอถูกไหม? จะมีแค่ทางแยกที่ต้องเลือกเพื่อกำหนดชะตาในอนาคต แล้วซาตานยังพูดยังไงกับเธออีกนะ วิญญาณ?” ดีนมุ่นหัวคิ้ว 


คิดว่าเรื่องวิญญาณนั้นเลอะเทอะมาก แม้จะผ่านเรื่องที่น่าเหลือเชื่อกว่าภูติผีมาตั้งมากมายแล้วก็เถอะ ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ววิญญาณน่าจะเป็นพลาสม่าหรือไม่ก็คลื่นบางอย่างที่ยังพิสูจน์ไม่ได้มากกว่า


ฉันมองเหรียญที่อยู่บนมือของดีน ก่อนที่จะรับเหรียญ ความรู้สึกแรกที่ได้สัมผัสราวกับมีมวลน้ำก่อรวมกัน "ฉันก็รู้สึกคล้าย ๆ กับนาย เหมือนว่าเหรียญนี้จะสำคัญกับเรามาก ๆ ไม่รู้ทำไมถึงคิดอย่างนั้น"


เธอที่ได้ยินคำถามดีนเรื่องซาตาน กระแอ่มไอเล็กน้อยดัดเสียงและพูดประโยคยาวเหยียดที่จดจำได้ทั้งหมด —-- มุมมองคนเขียน (ล้อเลียนเสียงพูดลูซิเฟอร์) "เจ้าคือผู้ที่จะต้องเลือก หากเจ้าจะพาเพื่อน ๆ ไปยังจุดสิ้นสุดตามคำพยากรณ์ ก็จงใช้วิญญาณแสงดวงนั้น แต่พึงจำไว้จงพร้อมเปิดรับผลลัพธ์ภัยเงียบในภายภาคหน้า…. และหากเจ้าจักไม่นำทางพวกเขา เจ้าและเพื่อนของเจ้าก็จงหวนกลับสู่ที่จากมา กลับไปนอนพักซะและรอรับมือภัยที่แจ้งที่กำลังจะมาเยือน เอ่อ ประมาณนี้ ภารกิจตามหาตรีศูลพ่อยากกว่าที่คิด พ่อนะพ่อ ศาสตราวุธก็เป็นของตัวเองแท้ ๆ ทำหายได้ไงเนี่ย" ถึงกับบ่น "แถมเดม่อนก็แยกตัวไปซะดื้อ ๆ ถ้ามีอะไรก็ควรจะบอกกันก่อน ไม่ใช่หายไปอย่างนี้" 


"ซานฟรานซิสโกอยู่ห่างเป็นโยชน์ อย่างต่ำก็ราว ๆ 500 กว่าไมล์" เรื่องการเดินทางมีอย่างเดียวต้องใช้รถเท่านั้น หากเดินกันไปขาลากแน่นอน อย่างต่ำ 8 วันอ่ะ ใครจะไปเดิน !


“ยังจะมีภัยเงียบอะไรอีกเหรอ มันคืออันเดียวกับท่อน ‘พึงเลือกโชคชะตา โทสะแห่งสมุทรเทพหรืออสุรกายห้วงทะเลลึก’ นี่หรือเปล่า?" ดีนชักไม่แน่ใจ ระหว่างทางพวกเขาเจออะไรที่นอกเหนือจากคำทำนายมาเยอะเกินจนดูเหมือนว่าเทพพยากรณ์บอกใบ้ไม่หมด


“เขาเหมือนขู่เราเลย ถ้าไม่ไปจะโดนอะไรสักอย่างใช่ไหมน่ะ… คือว่าฉันยังระแวงว่าจะถูกลูซิเฟอร์หลอกอยู่”


ถึงยังไงซาตานก็คือซาตานนี่นา แม้จะผูกมิตรด้วยแต่อาจจะหลอกใช้เราอยู่ก็ได้ ส่วนเรื่องเดม่อนดีนโนคอมเมนต์ เขาได้แต่ถอนหายใจ ทางนั้นคงมีเหตุผลที่จะแยกทางไปคนเดียวนั่นแหล่ะ ถึงจะเคารพการตัดสินใจแต่ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี


“แต่ข้าคิดว่าพวกเจ้าควรไปตามที่ลูซิเฟอร์แนะนำ” อยู่ ๆ อารีแอนน์ก็เสนอความคิดเห็นขึ้นมา


“จริงสิ ก่อนหน้านี้เขาคุยอะไรบางอย่างกับคุณ มันคืออะไรเหรอ?” ดีนถาม


“เขาบอก เหมือนกับที่บอกพวกเจ้า จงเชื่อใจในสหาย และจำต้องเดินทางไปถึงจนถึงจุดสิ้นสุดของคำทำนาย” อารีแอนน์ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง


“เหรอ พูดเรื่องซ้ำ ๆ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเรียกไปคุยส่วนตัวเลยนี่” ดีนไหวไหล่ ไม่ได้เอะใจกับท่าทีของหญิงสาวผู้หลงยุค “สรุปคือต้องไปซานฟรานฯ สินะ ถ้างั้นคงต้องไปดูเที่ยวรถแล้วล่ะ ฉันทำแผนแบบละเอียดมาสุดถึงแค่ที่นี่”


"การทำวิจัยที่ว่ายาก เจอคำทำนายเข้าไปฉันหัวจะปวด" งานวิจัยที่มหาลัยที่เหล่านิสิตล้วนโอดโอยมาเจองานช้างอย่างนี้ ขอให้สามคำ 'เซะตุ้มเล้ง' 


"มันก็ยากที่จะต้องทำใจเชื่อซาตาน" พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดดีน "เชื่อใจในสหายแน่นอนอยู่แล้วมั้ยล่ะ ฉันน่ะเชื่อพวกเราสุด ๆ" พาอุปสรรคมาด้วยกันตั้งมากมายอารีแอนน์ดูพยายามให้ ดีน เชื่อสิ่งที่ลูซิเฟอร์ผู้นั้นกล่าวอ้าง


"คงต้องหารถเช่า แต่แถวนี้จะมีเหรอ" หันมองดูซ้ายดูขวา เห็นถนนที่มีรถคันหรูขับผ่านหลายคน สงสัยจะเป็นพวกคนใหญ่คนโตไม่ก็ลูกคนรวยที่กำลังไปคาสิโนสินะ "อีกอย่างเดม่อน นายจะเอาไง" ถามย้ำถึงหนึ่งในสมาชิกที่หายไปอย่างเป็นปริศนา


“นั่นสิ นี่มันธีสิสของเดมิก็อดหรือเปล่า? พวกเราต้องเขียนบันทึกด้วยนี่นา” ดีนหัวเราะแห้ง ตอนทำวิจัยทำเอาเขาเกือบเป็นโรคซึมเศร้าตาย…


ส่วนเรื่องเดม่อน…


“ลองติดต่อเขาดูละกัน” ดีนหยิบดรักม่ามาดีดขึ้นฟ้า เหรียญหายไปแต่ได้รับข้อความสีทองตอบกลับมาแทนจะเป็นใบหน้าของอีกฝ่าย 


[โปรดลองติดต่อใหม่ อีกฝ่ายกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว] 


“อีกแล้วแฮะ เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว แปลว่าเดมี่กำลังเดินทางไปซานฟรานฯ อยู่เหมือนกันหรือเปล่านะ หวังว่าคงไม่ได้พบอันตราย” ตอนนี้คงต้องทำใจปล่อยเดม่อนไปก่อน แล้ว ‘เชื่อใจในสหาย’ ว่าอีกฝ่ายจะตามไปสมทบกันที่อ่าวซานฟรานซิสโก


“ฉันก็เชื่อใจเธอไบร์ท คุณอารีแอนน์กับคุณเอมีเลียก็ด้วย” ยังรู้สึกผิดไม่หายที่เมื่อวานสงสัยทั้งสองคน แต่หลังจากนี้ดีนจะเชื่อใจพวกเธอเต็มที่ “แล้วคุณมีข้อเสนอแนะอื่น ๆ ไหมคุณเอมีเลีย เงียบไปนานเลย” ดีนถามหญิงสาวหลงยุคคนที่สองที่ได้แต่ฟังเงียบ ๆ มาอยู่นาน


“ฉันไม่มีความคิดเห็น ถ้าพวกเธอเอาไงก็เอางั้น ฉันพร้อมช่วยเต็มที่อยู่แล้ว” เอมีเลียตอบ 


"ธีสิสเดมิก็อดช่างเปรียบเทียบ แค่ธรรมดายังฝันร้ายเลย" ฉันเบนสายตามองไปทางอีก กำหมัดแน่น "โอ้พระเจ้า เป็นอย่างนี้ทุกทีเลยมั้ย" บุคคลที่ติดต่อยากที่สุดคือเดม่อนเนี่ยน่ะสิ แล้วแผนการที่วางไว้จะดำเนินกันอยู่เพียงบุตรธิดาแห่งโพไซดอนหรือไง 


"ฉันดีใจที่มีสองสาวสวยร่วมทริป แต่เส้นทางต่อไปไม่รู้จะต้องเจอภัยอันตรายในรูปแบบใดอีก พวกเธอสองคนแน่ใจใช่มั้ยจะตามพวกเราไปจริง ๆ อ่ะ ปาร์ตี้ที่มีเด็กห้ามเพิ่มมาอีกหนึ่งคน เท่ากับมี ฉัน ดีน เอมีเลีย ที่มีกลิ่นดึงดูดอสุรกายแกร่ง ๆ มีเสี่ยงโดนรุมกินโต๊ะจีนนะ" อสุรกายสองสามตัวก็พอรับมือกันไหวอยู่หรอก


หากมีมาเพิ่มเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ที่รวมตัวสัตว์ประหลาดในตำนาน ไม่ฉิบหายกันหมดเลยรึ


“เอ่อ.. นั่นสินะ” ดีนเพิ่งจะมาฉุกคิดได้ว่าที่พวกเขาซวยตลอดทั้งการเดินทางเป็นเพราะมีสายเลือดโพไซดอนสองคนอยู่ในปาร์ตี้หรือเปล่า แล้วถ้ามีธิดาแห่งซุสมาเข้าร่วมด้วยก็จะกลายเป็นความซวยคูณสาม โอ้.. ไม่อยากจะคิดภาพต่อ “แต่จะปล่อยให้เธอแยกทางไปคงไม่ดีมั้ง ยังไงก็ต้องกลับไปค่ายฮาล์ฟบลัดด้วยกันใช่ไหมล่ะ?”


เอมีเลียพยักหน้าส่วนอารีแอนน์ไม่ได้แสดงท่าทางอะไร


“งั้นพวกเราหาทางกันเถอะ จะรถบัส รถเช่า รถไฟ อะไรก็แล้วแต่ ส่วนเหรียญ.. จะให้เก็บไว้ที่เธอก่อนไหมไบร์ท หรือว่ายังไงดี?” ดีนไม่มีปัญหาว่าใครจะเก็บเหรียญรูปตรีศูลเอาไว้ ความรู้สึกของเขาบอกว่าถ้าเหรียญที่ลูซิเฟอร์ให้มาอยู่ในมือของสายเลือดโพไซดอนมันจะปลอดภัย


พวกเขาทั้งสี่คนเดินเตร็ดเตร่ตามป้ายบอกทาง เพราะไม่มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยมันจึงเพิ่มระดับความยากเข้าไปอีก ตัดเรื่องการใช้อินเทอร์เน็ตในโทรศัพท์มือถือออกไปได้เลย ถ้าขืนใช้ขึ้นมาสัญญาณมันจะดึงดูดอสุรกายโดยตรง


"รถเช่าดีมั้ยสะดวกกว่า จะได้ไม่เจอคนเหลี่ยม แล้วก็ไม่มีคนอื่นโดนลูกหลง" จำได้ติดตาผู้โดยสารเกือบตายยกคัน คราครั้งที่พวกเขานั่งรถบัสจากเซนต์หลุยส์ไปลาสเวกัส


"แวะปั้มน้ำมันก่อน ฉันอยากซื้อของเพิ่มสักหน่อยและก็จะได้สอบถามเด็กปั๊มเผื่อจะได้ข้อมูลร้านเช่ารถแถว ๆ นี้"


“ก็ดีนะ แล้วคนในทีมเราก็เยอะขึ้นด้วย ค่าโดยสารจะได้ไม่บานปลาย ฉันฝันอยากเช่ารถบ้านขับมานานละ” ดีนพูดติดตลก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเช่าเป็นรถบ้านจริง ๆ


“ได้เลย ฉันไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ถ้าดูจากเวลาเรามีเหลือ ๆ ก่อนจะถึงวันที่ 21 มิถุนาฯ คราวนี้จะแวะไหนก็แวะได้เลย เน้นช้า ๆ ชัวร์ ๆ ไม่เอาแรงเร็วทะลุนรกแบบแท็กซี่เมื่อขามาก็พอ” คิดถึงแท็กซี่สามพี่น้องสีเทาก็ได้แต่เบ้ปาก ช่างเป็นความประทับใจแรกที่ยากจะลืมเลือน


“ถ้าเรื่องขับรถให้ฉันขับได้นะ” เอมีเลียเสนอตัว “ฉันเป็นนักบินน่ะ” แต่เป็นนักบินที่มาจากศตวรรษที่ 20


"ตกลงงั้นเอมีเลียเป็นคนขับ เป็นนักบินด้วยเหรออย่างเจ๋ง" อาชีพนักบินไม่ใช่ใครก็เป็นได้ ฉันค่อนข้างตะลึงเลยทีเดียว


"เป็นไอเดียที่ดีเช่ารถบ้าน สะดวกมีที่พักในรถไม่ต้องเสียเงินค่าโรงแรมอีก ถึงจะดูอึดอัดไปสักหน่อยแต่ก็ดีต่อเดมิก็อดอย่างพวกเรา"


กระทั่งชาวคณะเดินทางมาถึง 'ปั๊มน้ำมัน Buc-ee’s' ปั๊มน้ำมันในอเมริกาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศหลากหลายสาขารวมไปถึงสาขาลาสเวกัส ด้านหน้ามีป้ายรูปตัวบีเวอร์ที่มีหน้าตาน่ารัก แถมดูท่าร้านสะดวกซื้อจะมีข้าวของครบวงจรจบในที่เดียว เป็นการตลาดแบบผูกขาด


ที่นี่มีมินิมาร์ทที่ใหญ่กว่าที่อื่นถึง 2-3 เท่า "อยากซื้อไรก็เลย เงินของคุณไครอนต้องใช้ให้คุ้ม" ฉันหัวเราะอย่างอารมณ์ดี "มีอาหารที่เพิ่งทำสด ๆ ด้วยเหรอเนี่ย" ดื่มด่ำไปกับการเดินเล่น ดูเหมือนธิดาแห่งเฮคาทีจะพยายามทำความเข้ากับโลกยุคใหม่ 


"ตรงนี้มีของฝากด้วย ดีนจะซื้อของฝากหน่อยป่ะ เผื่อเอาไปฝากใครในค่าย" ไบร์ทเดินไปเปิดตู้แช่เครื่องดื่มหยิบกระป๋องเบียร์ออกมา 6 กระป๋อง ในตู้แช่มีเครื่องดื่มที่หลากหลาย "เอมีเลีย อารีแอนน์ อยากได้อะไรก็หยิบมาใส่ตะกร้าเลย เดี๋ยวฉันกับดีนช่วยจ่ายเงินให้" 


“ใช่ นักบินหญิงคนแรกของโลกที่บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก” เอมีเลียยิ้ม เธอกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจ “ประวัติศาสตร์คงจารึกชื่อฉันไว้บ้าง ถ้ากลับไปค่ายลองไปหาที่ห้องสมุด”


“โอ้โห ประวัติไม่ธรรมดาแฮะ” ดีนทำตาโต แล้วก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับว่าเคยฟังเรื่องราวของนักบินหญิงผ่าน ๆ จากพอดแคสต์สักช่อง “ฉันว่าเธอน่าจะดังขนาดที่มีประวัติในยูทูปเลยล่ะ”


“อะไรคือยูทูป?” สาวนักบินถาม ส่วนหญิงสาวอีกคนที่มาจากยุคกลางที่เงียบไปนานก็เอาแต่จ้อง รู้เลยว่าที่อารีแอนน์เอาแต่เงียบไปเพราะเธอไม่เข้าใจคำพูดของคนในยุคนี้แน่ ๆ


“อธิบายยากจัง.. สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีอินเทอร์เน็ตใช้หรือยังนะ?” เขารู้แต่ว่าสมัยนั้นมีการผลิตต้นแบบของคอมพิวเตอร์เพื่อถอดข้อความเข้ารหัสของเยอรมัน “เอาเป็นว่ากลับไปค่ายเดี๋ยวจะสอนใช้อินเทอร์เน็ต”


เมื่อเข้ามามินิมาร์ทในปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ เหล่าผู้หลงยุคดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ


“เยี่ยมเลย อาหารปรุงสุกใหม่ ๆ ฉันกินอาหารกล่องเยอะจนเอียนละ” ตอนที่กินก็ท่องไว้ว่า ดีกว่ากินเอ็มอาร์อีล่ะวะ “งั้นซื้อเสบียงตุนกัน” 


แล้วดีนก็หัวเราะขำที่ฉันเดินไปหยิบเบียร์มาก่อนเลย ไหน ๆ ก็มีคนขับรถให้แล้วนี่นา พวกเขาจะกรึ๊บกันหน่อยคงไม่เป็นไรล่ะมั้ง


“เออใช่ เสื้อผ้าอีก พวกเธอไปซื้อมาคนละสามสี่ชุดก็ได้ กว่าจะไปซานฟรานฯ แล้วเอาตรีศูลไปคืนพ่อที่ไมอามี่ ต้องเดินทางอีกตั้งสัปดาห์นึง”


“รับทราบ” เอมีเลียตอบรับแบบทหารจากนั้นก็สะกิดให้อารีแอนน์ไปเลือกเสื้อผ้าด้วยกัน


จากนั้นแต่ละคนก็ไปเลือกหยิบของใช้ที่ตัวเองต้องการ โดยที่ดีนไม่ลืมของฝากไปให้คนที่ค่าย สมุดภาพระบายสี… บางทีรีชาอาจจะดีใจ


ถือตะกร้าไปยืนอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ ก่อนแคชเชียร์จะกดคิดเงิน


ฉันสะดุ้งเฮือก 'เหล่าเดมิก็อดเอ่ย จงช่วยปลดปล่อยพันธนาการแก่ข้า' เหมือนได้ยินเสียงใครบางคนเข้ามาในหัว ฉันสะกิดน้องชายแล้วกระซิบถาม "ดีนได้ยินเสียงอะไรแปลก ๆ ป่ะ เสียงเหมือนมีคนขอความช่วยเหลือ" ถามยืนยันความแน่ใจไม่เธอหูฝาดไปเอง หูช่วงนี้ก็แว่วบ่อยเหลือเกิน ทั้งระแวงอสุรกาย แร็กนาร์ และอีกบลา ๆ 


'ข้าอยู่นี่'


อะไรฟ่ะ ! เสียงใคร…..


“เออ.. เหมือนฉันจะได้ยินเหมือนกัน” ดีนกระซิบตอบฉัน ก่อนจะหันไปมองอีกสองสาวที่มาด้วยกัน พวกเธอก็พยักหน้า


“จะไม่ใช่คนเมื่อวานใช่ไหม เดมิก็อดบนยอดตึก” เอมีเลียเอ่ยขึ้น


“ถ้าฟังจากเสียงไม่ใช่ แต่เจ้านั่นมันปลอมตัวเป็นคนอื่นได้ ก็ไม่แน่เหมือนกัน แต่ทริปนี้เราช่วยคนระหว่างทางที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำพยากรณ์มาตั้งเยอะ หรือจะเป็นใครเรียกให้ช่วยจริง ๆ ?” ดีนตอบ 


'ข้าอยู่ที่นี่'


เห้ย อยู่ที่นี่คือที่ไหน อะไรวะ ฉันเริ่มหัวเสียกับเสียงประหลาดหัว หรือจะเงาบุตรแห่งลวง ไอ้เวรแร็กน่ามันตามพวกเขามาอีกเรอะ !


"ไม่สิ อาจใช่หรือไม่ใช่ เจ้านั่นมันร้ายกาจ" ฉันบอกเอมีเลียด้วยสีหน้าปลง ๆ มือข้างขวาเตรียมพร้อมชักปืนขึ้นมายิง 


"จะลองไปตามเสียงนั้นมั้ย วัดดวงเอา ถ้าเป็นไอ้เวรแร็กนาร์ก็ซัดมันให้ปลิว แต่ถ้าไม่ใช่ก็เท่ากับได้ช่วยเจ้าของเสียงนิรนาม"


“อยู่ที่นี่คือที่ไหนบอกชัด ๆ ได้ไหมจะได้ไปช่วยถูก” ดีนลองพยายามสื่อสารกับลมฟ้าอากาศ แต่ก็ไม่มีคำบอกใบ้อะไรนอกเสียจากข้อความเดิม ๆ “ฮึ่ม แล้วต้นเสียงมาจากทางไหนล่ะเนี่ย..” ดีนหันมองไปรอบ ๆ เพื่อพยายามจับกระแสเสียงดังกล่าว


ทันใดนั้นอารีแอนน์ทำท่าเงี่ยหูฟังอะไรบางอย่างจากสิ่งที่มองไม่เห็นแล้วพยักหน้าหงึกหงัก


“ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าตามมาทางนี้” หญิงสาวหลงยุคเดินนำทางแก่ทีมไปจนหยุดอยู่ที่ด้านหลังโกดังเก็บสินค้าของมินิมาร์ท “เสียงมาจากข้างใน”


เมื่อมาถึงบริเวณนี้ดีนรู้สึกถึงไอเย็นประหลาดแผ่ซ่านออกมาถึงด้านนอก น่าประหลาด ตามปกติตู้แช่ไม่ควรจะอยู่ตรงนี้สิ


“ในนี้คงไม่ได้มีศัตรูใหม่หรอกนะ” ดีนเป่าปากก่อนจะจับอาวุธเตรียมพร้อมออกศึก


"ตรงนี้อย่างเย็น"


ฉันรับรู้ถึงความเหน็บหนาวที่มันดูจะหนาวกว่าปกติ "ไหน ๆ ก็มาล่ะ ขอเปิดตู้แช่หน่อยกันละ" เธอถือวิสาสะเตรียมเปิดตู้แช่ดูของด้านในโดยไม่ได้คิดอะไร 


'ระวัง'


เสียงนั้นเข้ามาในหัวทุกคนอีกครั้ง ราวกับกำลังเตือนถึงบางสิ่งบางอย่าง 


ทันทีที่ประตูตู้แช่ถูกเปิดออกเผยให้เห็นบางสิ่งด้านใน ก่อนสิ่งนั้นหลอมรวมจากไอน้ำเย็น น้ำแข็ง 


ไอเย็นแผ่พุ่งออกมาทันที พร้อม ๆ กับมีตัวอะไรสีดำ ๆ บินเฉียดหัวของพวกเขาไปด้วย เป็นอีกครั้งที่ต้องรับศึกสองทาง


“ไบร์ท มีไอ้ตัวเมื่อวานมา !” ดีนตะโกนร้องบอกพี่สาวที่กำลังเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่างในโกดังสินค้า “เธอจัดการตัวข้างในส่วนฉันจะไปล่าค้างคาวเอง”


ดีนวางของที่ซื้อมาหลบมุมไว้ก่อนที่วิ่งล่อค้างคาวยักษ์กลิ่นเหม็นเหมือนศพออกไปทางด้านหลังปั๊มน้ำมัน งานนี้ห้ามใช้น้ำเพราะเขาอาจจะเผลอไปดึงน้ำมันมาใช้โดยไม่รู้ตัว ถึงจะไม่รู้ว่าเขาควบคุมน้ำมันได้หรือเปล่าก็เถอะ แต่ไม่เสี่ยงดีกว่า


“ฉันจะไปช่วยด้วย” เอมีเลียวิ่งตามดีนมา ผู้ที่อยู่รับมือกับอสุรกายในโกดังตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่ฉันและอารีแอนน์


"ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก" สบถคำ ฉันไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากต้องสู้กับยักษ์น้ำ แข็งร่างกายประกอบด้วยเกล็ดน้ำแข็งมากมายเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมา "ดีนฝากทางนั้นด้วย !"


"ไบร์ทระวัง" อารีแอนน์ส่งเสียงเตือน ก่อนนำคบเพลิงซึ่งเป็นคทาเวทย์ที่สายเลือดแห่งเฮคาทีจะได้รับจากมารดา "อินคันทาเร เวทมนตร์แห่งไฟ" ฉับพลันมีไฟพุ่งตรงจากคบเพลิงที่เป็นสื่อเวทไปยังร่างยีเมียร์


งานนี้พวกเธอทั้งสองคนช่วยจัดการยักษ์น้ำแข็งในโกดัง ฉันชักปืนลั่นไกชาร์จยิงตามลำตัว จนเกิดเสียงกระทบของกระสุนดังลั่น ธิดาแห่งเทพีเฮคาทีร่ายเวทมนต์แห่งไฟช่วยสนับสนุน


ดีนเปิดขวดน้ำดื่มที่ติดเป้สะพายหลังแล้วควบคุมเฉพาะน้ำในนั้นเป็นกระสุนยิงใส่อสุรกายค้างคาว ดึงดูดความสนใจของมันให้ตามมาหา เมื่อวิ่งล่อแวนมีเทอร์ออกมาได้ไกลพอตัวก็ถึงคราวปะทะ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวมีปีกนั้นมันจะไม่ยอมบินลงมาให้เขาสอยง่าย ๆ แถมตอนนี้น้ำก็หมดแล้วด้วยสิ “เวรเอ๊ย! ลงมาสิวะ!!”


“ให้ฉันจัดการเอง!” เอมีเลียสร้างลมพายุหมุนขึ้นมาปั่นป่วนอสุรกายที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า จับมันหมุนแล้วกดลงมาสู่ภาคพื้นดิน เชื่อแล้วว่าเธอเป็นธิดาแห่งซุสตัวจริงเสียงจริงไม่ต้องสืบ พลังของเธอเหมือนกับเจ้าหมาโบล์ทไม่มีผิด


“ขอบคุณคุณเอมีเลีย!” เมื่อได้ทีดีนก็ซัดหอกใส่เจ้าตัวน่ารังเกียจที่ถูกลมหมุนกดลงที่พื้น แต่คล้ายกับว่าตัวของเขาจะถูกแรงหมุนของพายุลูกย่อม ๆ ดูดเข้าหาไปด้วย “เหวอ!!”


“โอ้ ให้ตายสิ!” เอมีเลียสบถออกมา จำเป็นต้องสลายพายุแล้วเปลี่ยนเป็นควบคุมสายลมให้ล้อมรอบดีนเอาไว้แทน “ลุยเลยปีเตอร์แพน”


ตอนนี้เหมือนดีนถูกพลังของเอมีเลียชักใย ไม่ใช่ว่าเธอสามารถควบคุมร่างกายของดีนได้หรอก แต่เหมือนกับตอนนี้ตัวเองถูกจับใส่สลิงแล้วก็เหวี่ยงไปมากลางอากาศตามสายลมที่ล้อมรอบตัวของดีนไว้มากกว่า ทำเอาคิดถึงตอนฝึกหนักกับเลนน็อคที่ดีนพยายามควบคุมความหนาแน่นของน้ำใต้เท้าคู่ฝึก แต่นี่กลับกัน ดีนจะต้องทิ่มหอกใส่อสุรกายบินได้ในขณะที่เอมีเลียควบคุมให้ลอยบนฟ้า


“คุณเอมีเลีย ผมแทงมันไม่เข้า!” ดีนตะโกนบอกหญิงสาวผู้ซัพพอร์ต หนังของเจ้าค้างคาวตัวนี้แข็งอย่างกับขนของราชสีนีเมียน


“งั้นให้ฉันลุยเอง” เอมีเลียพาดีนลงมาที่พื้นจากนั้นเธอก็ลอยตัวขึ้นไปกลางเวหาแล้วโบยบินราวกับว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ ยังไม่ถึงเวลาที่จะใช้อสุนีบาต เพียงแค่หอกในมือก็เพียงพอ หญิงสาวโรมรันกับแวนมีเทอร์อย่างไม่รู้ผลแพ้ชนะ เมื่อเธอแทงหอกเข้าไปมันก็ใช้ปีกใหญ่ ๆ ปิดบังจุดอ่อนไว้หมด


ดีนที่ได้แต่ยืนมองจากข้างล่างไม่รู้จะช่วยยังไง น่าเจ็บใจชะมัดที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากมอง จนกระทั่งเอมีเลียทนไม่ไหว เธอซัดอสุรกายตัวเหม็นด้วยสายฟ้าจนมันตกลงมาด้านล่างกระแทกพื้น ปีกของค้างคาวน่าจะหัก ทำให้แวนมีเทอร์ตัวนี้บินขึ้นฟ้าไปไม่ได้อีก


“ตอนนี้แหล่ะน้องชาย ซ้ำมันเลย!!”


“จัดไป !”


การต่อสู้บนพื้นดินคือยกที่สอง ดีนไม่รอให้แวนมีเทอร์ลุกขึ้นมาเขาแทงหอกไปที่ดวงตาของอสุรกาย มันหลบแต่ปลายหอกก็บาดไปที่แก้วตาของมันจนตาบอด มันกรีดร้องโหยหวนด้วยเสียงที่เสียดประสาท จากนั้นก็ปล่อยลำแสงที่คล้ายกับสายฟ้าออกจากหน้าผาก ดีนยกโล่ขึ้นมากันทำเอาเขาถลาไปหลายหลา แวนมีเทอร์ที่ตาบอดสาดลำแสงมั่วซั่วออกมาจนยากที่จะเข้าไปซ้ำได้ ดีนจำต้องหลบไปพลางขณะเข้าประชิด เมื่อถึงตัวปลายหอกแหลมก็แทงทะลุปากของเจ้าตัวดำเหม็นโฉ่ ร่างของมันสลายกลายเป็นธุลี จากนั้นสินสงครามก็ร่วงหล่นลงมาบนพื้น


“กว่าจะจัดการได้” ดีนปาดเหงื่อ ส่วนเอมีเลียลอยลงมาอยู่เคียงข้างเขา


“ทางไบร์ทกับอารีแอนน์เป็นไงบ้างไม่รู้ รีบกลับไปดูกันเถอะ” เอมีเลียกล่าว จากนั้นทั้งสองก็รีบกลับไปที่ปั๊มน้ำมัน 


ฉันเหนี่ยวไกยิงตรงจุดที่อารีแอนน์แผดเผาด้วยมนตร์ขั้นสูง ใช้โอกาสบุกไปประจันหน้ามันตรง ๆ แล้วใช้โล่กระแทกทุบร่างยีเมียร์ให้แตกละเอียด


"แกไม่รอดแน่"


สิ้นเสียงฉัน ฉันทั้งกระหน่ำยิงทั้งกระแทกลำตัวส่วนบนและล่างจนน้ำแข็งแตกกระจาย ความแข็งแกร่งถูกไฟหลอมละลายกลายเป็นแอ่งหยดน้ำ 


ก่อนที่ร่างนั้นจะเลือนหายไปท่ามกลางพวกเธอที่หอบหายใจแฮ่ก ๆ 


แสงสว่างวาบพาดผ่านปรากฏร่างของชายหนุ่มผิวดำมองเดมิก็อดด้วยแววตาประกายวาววามด้วยความพึงพอใจ "พวกเจ้าเป็นผู้ปลดปล่อยข้า" 


"หือใคร ? ดีนนายรู้จักป่ะ" หันไปถามอย่างงง ๆ ใช้คำพูด ข้า ๆ เจ้า ๆ ซะดูเก่าแก่ (ดูละครแนวพีเรียดเยอะไปเปล่าลุง)


เมื่อกลับมาถึงก็เห็นทางฉันจัดการกับอสุรกายตัวนั้นเสร็จพอดี เขายังไม่ทันได้เห็นด้วยซ้ำว่าเธอปะทะกับตัวอะไร


“พวกเธอไม่เป็นไรนะ?” ดีนถามไถ่สุขภาพของหญิงสาวทั้งสองก่อนที่เขาจะมองไปเบื้องหน้า ชายผิวดำที่ดู ‘Mother f***er’ 


“ไม่อ่ะ ฉันไม่รู้จัก คุณเป็นใครน่ะ เทพเหรอ? หรือว่าเดมิก็อด?”


แต่ไม่น่าใช่เดมิก็อดมั้ง มีลูกเทพคนไหนส่งกระแสจิตได้ด้วยเหรอ? อาจจะมีแต่ว่าเขาไม่รู้


“ข้าคือโดลอส เทพแห่งการหลอกลวง” อีกฝ่ายเฉลยออกมาตรง ๆ ไม่ต้องให้พวกเขาเสียเวลาเดา


“เทพถูกจับเนี่ยนะ?” ดีนไม่เชื่อ เขามองหน้าพี่สาวสายตาคล้ายกับสงสัยว่าเป็นแร็กนาร์ปลอมตัวเป็นคนอื่นมาหลอกต้มพวกเขาหรือเปล่า 


"ถามจริง"


ช็อกสิเฮ้ย ผู้ที่มีพลังอำนาจอย่างเทพเจ้าเนี่ยนะจะถูกจับ "แล้วจะรู้ได้ไงไม่ได้โกหก แสดงหลักฐานอะไรได้บ้าง"


"แล้วถ้าถูกจับจริง ทำไมเทพอย่างท่านถึงถูกขังไว้ในที่แบบนี้" สิ่งที่พวกเขากลัวตอนนี้ก็คือ บุคคลที่กล่าวอ้างว่าเป็นเทพแท้จริงแล้วอาจจะเป็นร่างของแร็กนาร์ที่ปลอมตัวมา


“ให้ตายสิแม่เย้ย! ทีพูดความจริงแล้วไม่มีใครเชื่อข้าสักคน!” ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นเทพโดลอสสบถออกมา “กระดานภารกิจงานของเทพเจ้า เจ้าหนุ่มคนนั้นโกหกกับหนุ่มบ้านเฮคาทีว่าเจ้าท้องกับเขา ส่วนเจ้า” โดลอสหันไปทางไบร์ท “โกหกบุตรและธิดาเฮคาทีว่ามีพลังมิติที่ 7”


อารีแอนน์ที่ฟังหรี่ตาไปทางสายเลือดโพไซดอนทั้งสองว่าทำไมสองคนนี้ถึงมุ่งแต่โกหกสายเลือดเฮคาที


"เอ้าาาาาา !!! ของจริงเรอะ !"


ฉันหรี่ตาลงแล้วหันไปมองดีน "ดีนนายไปโกหกเรื่องท้องเหรอ โอ้โห้อย่างปั่น" ถึงกับเหลือจะเชื่อเลยทีเดียว 


โดนแฉกันหน้ายับหน้าชา 


“เวร..” ดีนสบถออกมาเบา ๆ พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้า ถึงจะเป็นเรื่องขำ ๆ แต่ก็น่าอายไปหน่อยหรือเปล่า “ก็.. พ่อยังทำผู้ชายท้องได้เลย ฉันเลยโกหกเนียน ๆ ไปว่างั้นอ่ะ” 


“โอเค ผมเชื่อ ไอ้เวรแร็กนาร์นั่นคงไม่รู้กระทั่งเรื่องโกหกในค่ายถ้าไม่ได้สิงสู่ใจคุณอยู่ คงไม่ใช่… ใช่ไหม?” พอมาคิดว่าเทพถูกจับตัวได้ก็ชักไม่แน่ใจว่าถูกสิงจริงไหม


"ก็แค่โกหกขำ ๆ บุตรธิดาแห่งเฮคาที หลอกง่าย เฮ้ย หลอกยากจะตายไป"  ถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก มันก็นะ เด็กที่ฉันไปหลอกมาอายุยังน้อย ๆ ไม่ทันความคิดเกรียน ๆ ของฉันแน่นอน


"ในเมื่อพวกเราช่วยท่าน ท่านไม่มีสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พวกเราเป็นการตอบแทนเลยรึ" เอาละ ช่วยเทพทั้งทีก็ต้องขอรางวัลกันหน่อย "หรือไม่ก็ช่วยชี้แนะทางที่ไม่เจออสุรกายอะไรทำนองนี้ นี่ก็ใกล้ค่ำ ต้องหาที่พักกันอีกแล้ว"


“ใช่เลย ไอ้เวรแร็กนาร์แล้วก็ไอ้เวรโลกิที่จับข้ามาขังเอาไว้ในที่แสนหดหู่แบบนี้! ข้าก็เป็นเพียงแค่มินิก็อดตัวเล็ก ๆ เอง” โดลอสพูดความจริงออกมาทำเอาดีนชะงัก


“โลกิ?” ได้ยินชื่อนี้ก็ถึงบางอ้อขึ้นมา โลกิ เทพแห่งเล่ห์กล อยู่ในรายชื่อของผู้ต้องสงสัยในคดีนี้อยู่พอดี “แล้วคุณพอจะรู้ไหมว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้?”


“จะไปรู้เรอะ! แต่อย่าให้ข้าเล่าเลยว่าถูกจับมาได้ยังไง มันน่าอาย เสียชื่อเทพแห่งการหลอกลวงของกรีกหมด” เทพโดลอสยกมือขึ้นปิดหน้า “ส่วนรางวัลที่ข้าจะมอบให้พวกเจ้าก็คือ…” เทพแห่งการหลอกลวงแสดงสีหน้าจริงใจอย่างสุดซึ้งก่อนจะยิ้มเผล่ออกมา “ขอบใจที่ช่วยเหลือข้า”


"เดี๋ยว…..โลกิเทพนอร์ส ? ถ้าอย่างนั้นบุตรแห่งเทพจอมโป้ปดจะหมายถึงเทพโลกิ แร็กน่าเป็นบุตรเหรอ" ชักเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวเข้ากันได้แล้ว


ข้อมูลสำคัญถูกอัปเดตใหม่ใส่สมอง


ดีนติดสตั๊นไป 3 วินาที รู้อยู่หรอกว่าทำอะไรไม่หวังผลตอบแทนจะดีที่สุด แต่ไม่คิดว่าเป็นถึงเทพจะบอกแค่ขอบคุณเนี่ยนะ! ได้แต่กลอกตามองบน


“เอาน่า อย่าไปสนใจเรื่องของรางวัลเลย พวกเรายินดีที่ได้รับเกียรติช่วยเหลือท่านเทพโดลอส” เอมีเลียเข้าไปกอดคอทั้งดีนละฉัน ตบหลังปลอบใจว่าช่างมันเถอะ “แต่ถ้ายังไงก็อยากให้ท่านจดจำเชื่อของพวกเขาไว้หน่อย หรือประทานความโปรดปรานมาสักนิด เอ้า บอกชื่อไปสิ” ประโยคหลังเธอกระซิบบอกทั้งสองคน


“ดีน นีล บุตรแห่งโพไซดอน..” ดีนแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงซังกะตาย “แต่ฉันไม่ต้องช่วยนี่ ต้องแนะนำตัวด้วยเหรอ?”


“ตามมารยาทไงเล่าเจ้าเด็กทึ่ม!” เอมีเลียกระซิบบอกดีนหนึ่งเดียวของทีมตอนนี้ แล้วเธอก็กลับมาปั้นยิ้มให้กับเทพโดลอส “ฉันเอมีเลีย แอร์ฮาร์ด ธิดาแห่งซุส”


“อารีแอนน์ ธิดาแห่งเทพีเฮคาที” หญิงสาวนักเวทกล่าวแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ บางทีเธออาจจะคิดเหมือนสายเลือดโพไซดอนที่ถามหารางวัลอยู่ก็เป็นได้


เทพโดลอสยิ้มระรื่นมองมาทางฉัน เหลือคนสุดท้ายแล้วที่ยังไม่ได้เอ่ยนามแนะนำตัว


"ไบร์ท เอมส์" ไม่ต้องบอกเทพโดลอสก็สามารถรู้ได้อยู่แล้วว่าเธอเป็นลูกของเทพองค์ใด ขนาดเรื่องการโกหกยังรู้ได้เลย พวกเขาจะแนะนำตัวให้เสียเวลากันทำไม 


"แล้วยังไงต่อ ต้องแยกกันเลยใช่มั้ย" ในเมื่อช็อตเด็ดเจ็ดสีมันจบลงไปแล้ว รางวัลการช่วยเหลือก็ได้เทพแม่งขี้งก จับขังกลับคืนที่เดิมเลยดีไหม ฉันหันไปมองนาฬิกาบนผนัง เป็นแบบดิจิตอล "นี่เลยเวลามาเยอะแล้วนะเนี่ย ยังไม่ได้หาที่พักเลย" ถึงกับนวดขมับ โรงแรมในลาสเวกัสมีแต่ระดับหรู ๆ แพง ๆ พวกโรงแรมราคาถูกโดนจองไปหมดแล้วมั้ง 


ยังไม่อยากนอนข้างถนนเป็นคนไร้บ้านหรอกนะ 


“รถบ้านไง ที่เราจะไปเช่ากัน น่าจะต้องไปแถว ๆ ศูนย์รถบัสอะไรงี้หรือเปล่านะ” พอใช้อินเตอร์เน็ตไม่ได้ในวันที่ลำบากแบบนี้แล้วขัดใจชะมัด “เรากลับไปที่ท่ารถเหมือนที่มากันวันแรกก่อนดีไหม?” ดีนเสนอความคิด


“ถ้ามีรถบ้านแบบที่พวกนายว่า.. ฉันขับไปซานฟรานซิสโกคืนนี้ได้นะ ซึ่งฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกนายหมายถึงอะไร เป็นรถที่มีห้องเหมือนบ้านใช่หรือเปล่า?” เอมิเลียถาม


“ใช่ แบบนั้นเลย รถตู้ที่มีที่นอน แล้วก็ห้องน้ำด้วย ถ้างั้นไปกันเลยไหม?” ดีนอธิบายง่าย ๆ


“พวกเจ้าหารือกันไปนะ หมดธุระของข้าแล้ว ไปก่อนล่ะ” เทพโดลอสเอ่ยแทรก จากนั้นเขาก็หายตัววับไปจากโกดัง


ดีนมีสีหน้าละเหี่ยใจเหลือเกินกับมินิก็อดองค์นี้


ในเมื่อทีมลงความเห็นว่าจะเดินทางกันต่อพวกเขาก็กลับไปที่ท่ารถที่อยู่กลางเมืองแล้วคลำทางไปเองเหมือนคนยุค 80 จนหาบริษัทเช่ารถบ้านเจอ พวกเขาจึงขอเช่ารถยาว ๆ ไปเลย 15 วัน เผื่อเหลือเผื่อขาด โดยตกลงกับบริษัทเช่ารถว่าจะไปคืนรถที่ศูนย์นิวยอร์ก ใช้เวลาอยู่ร่วมชั่วโมงกับการเช่ารถและอธิบายการใช้งานให้กับคนศตวรรษที่ 20 ให้ฟัง เอมีเลียไม่เคยขับรถเกียร์ออโต้มาก่อน แต่ไม่นานเธอก็เรียนรู้ได้ไวสมกับที่เป็นนักบิน 


จากนั้นการเดินทางยิงยาว 10 ชั่วโมงจากลาสเวกัสไปซานฟรานซิสโกก็เริ่มต้นขึ้น นักบินสาวเปลี่ยนมาทำหน้าที่พลขับโดยมีดีนคอยนั่งประกบข้างดูแผนที่ให้ เอมีเลียเธอขับรถได้อึดมากสมกับที่เคยโม้ไว้ว่าเป็นนักบินหญิงคนแรกที่ขับเครื่องบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ไม่รู้ว่าเครื่องบินในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สองจะบินเร็วแค่ไหน และต้องใช้ระยะเวลาเท่าไรถึงจะบินข้ามมหาสมุทรได้ แต่เอาเป็นว่าดีนเชื่อแล้วว่าเธอทำได้จริง ๆ


มาถึงซานฟรานซิสโกเล่นเอาเสียมืดดึก ในตัวเมืองไม่มีจุดจอดรถบ้านสำหรับนอน พวกเขาจึงต้องหาโรงแรมแถว ๆ ท่าเรือเพื่ออาศัยพักผ่อนในคืนนี้ จนได้โฮสต์เทลที่ต้องนอนรวมกับคนอื่นอีก 2 คน พนักงานแจ้งไว้แล้วแต่ไม่คิดว่าจะ…


เปิดประตูเข้าไปในห้องนอนรวมนั้นพวกเขาก็พบกับแขกอีกสองคนที่กำลังคุยกันอยู่ ทั้งหกสายตาจ้องมองกันโดยไร้การทักทายสวัสดี เพราะทุกคนในห้องนี้อยู่ในภาวะของ ‘ผีเห็นผี’


ชายหญิงที่สวมเสื้อยืดสีเขียวมีอาวุธโบราณอยู่กับตัว ส่วนอีกฝ่ายก็สังเกตเห็นว่าดีนพกหอกสัมฤทธิ์และโล่สะพายอยู่กลางหลัง


“สวัสดี.. พวกนายเป็นเดมิก็อดเหรอ?” ดีนเอ่ยทักสองคนนั้นก่อนหลังจากที่ห้องถูกปกคลุมด้วยความเงียบมานาน


“ใช่” เด็กหนุ่มผมทองรูปลักษณ์คล้ายกับ เคิร์ก โคเบน ตอบกลับมาก่อนที่จะแนะนำตัว “แม็กนัส เชส บุตรแห่งเฟรย์ ยินดีที่ได้รู้จัก” 


เขาหรี่ตามองพวกฉัน 


ดีนน่ะสวมเสื้อยืดสีส้มของค่ายฮาล์ฟบลัดไว้ด้านในแล้วสวมทับด้วยเสื้อเกราะที่คนธรรมดามักจะมองเห็นเป็นเสื้อช็อปช่างประปา “มาจากค่ายฮาล์ฟบลัด? ญาติฉันคนนึงก็เป็นธิดาเทพีอะธีน่า”


“อ้อ..” ดีนตอบรับแค่นั้น ธิดาเทพีอะธีน่า หรือจะหมายถึงลิเลียน่ากันนะ? ผมบลอนด์เหมือนกันอาจจะใช่ “ดีน นีล บุตรแห่งโพไซดอน ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”


"ไบร์ท เอมส์ ธิดาแห่งโพไซดอน"


พอเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นมิตรแม้ว่าน่าจะมาอีกค่ายก็เถอะดีนก็เริ่มแนะนำคนอื่น ๆ ให้รู้จัก เริ่มจากฉัน เอมิเลีย และอารีแอนน์ ส่วนผู้หญิงโพกผ้าคลุมบนศีรษะที่มากับแม็กนัสคือ ‘ซามิราห์’ หรือเรียกชื่อเล่นว่า ‘แซม’ แรก ๆ ทั้งสองฝั่งก็กั๊กข้อมูลกันไว้แล้วหยั่งเชิงถามกันไปกันมา ทางฝั่งแม็กนัสจึงบอกว่าเขามาสืบหาเบาะแสบางอย่าง รู้แค่ว่าตอนนี้เทพโลกิวางแผนชั่วที่จะทำเรื่องแย่ ๆ บางอย่าง ซึ่งมันตรงกับที่ทางฝั่งฮาล์ฟบลัดเจอมาพอดี พวกเขาจึงแชร์ข้อมูลกัน


หารือกันจนดึก สมาชิกบางคนนอนหลับไปก่อนแล้ว แม็กนัสกับแซมขอติดตามพวกเขาไปทำภารกิจของวันพรุ่งนี้ด้วย




HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+25 [ Dean & Bright ]



ผลกการต่อสู้ของดีน

 



ผลการต่อสู้ของไบร์ท

ยีเมียร์ ผู้กักขังโดลอส 

 





แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-23] โดลอส เพิ่มขึ้น 60 โพสต์ 2024-5-22 14:05
โพสต์ 195445 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2024-5-22 08:35
โพสต์ 195,445 ไบต์และได้รับ +6 EXP +8 เกียรติยศ +6 ความศรัทธา จาก ชุดเครื่องเพชร  โพสต์ 2024-5-22 08:35
โพสต์ 195,445 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-5-22 08:35
โพสต์ 195,445 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก สร้างฟองอากาศ  โพสต์ 2024-5-22 08:35

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ดาบไซฟอสออฟเดอะฟอลเลน
ควบคุมน้ำ
ตรีศูลน้อย
เข็มทิศมหาสมุทร
น้ำหอมบุรุษ
ชุดเครื่องเพชร
หมวกนีเมียน
ฟองอากาศแห่งชีวิต
ภูมิคุ้มกันเปียก
แว่นกันแดด
เกราะหนัง
กำไลหินนำโชค
หายใจใต้น้ำ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x1
x17
x2
x3
x2
x3
x3
x20
x4
x6
x1
โพสต์ 2024-5-23 00:00:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด


Chapter 9
Daemon





ดูเหมือนตัวผมอาจจะนำอันตรายมาให้เพื่อน ๆ คุณคงคิดไม่ออกหรอกว่าการที่เราเชื่อมจิตกับใครสักคนที่เป็นศัตรูมันอาจจะอันตรายมากแค่ไหน ทุกเส้นทางและความคืบหน้าของเราถูกศัตรูล่วงรู้หมดทุกย่างเข้า แม้ผมจะเห็นอีกฝ่ายบ้างในบางครั้ง ผมจึงขอเลือกแยกทางจากไบร์ทและดีน เพื่อไม่ให้พวกเขาเป็นอันตรายและไม่เสี่ยงให้ภารกิจของเราล้มเหลว


เดม่อนเลือกงีบหลับท้ายรถบรรทุกสัตว์อัลปาก้า ตอนนี้เขามีพวกมันเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง การใช้พลังงานแปลงกายค่อนข้างใช้พลังสูง ยิ่งเป็นสัตว์ใหญ่ ทำให้ตอนนี้ปลอดคนเขากลับคืนร่างเดิมได้ เขาไม่รู้ว่าเส้นทางยังอีกยาวไกลแค่ไหน มองออกไปทางด้านนอกรถ 


“ทุกคนจะปลอดภัยดีหรือเปล่านะ” เดม่อนพูดคนเดียวพลางมองท้องฟ้ายามค่ำคืน เขาไม่รู้ว่าการที่เขาแยกออกมาแบบนี้จะทำให้ทุกคนปลอดภัยจากแร็กนาร์หรือเปล่า


เขามาถึงซานฟรานซิสโกในยามเช้าเกือบ 5 โมงเช้าพอดี อีก 1 ชั่วโมง เขามีเวลาที่ต้องตามหาทุกคน เดม่อนเมื่อเข้าซานฟรานซิสโก เขาแปลงกายเป็นอินทรี เพราะมันมีสายตาเฉียบคมและมองเห็นจากที่สูงได้ชัดเจน ก่อนบินเหนือน่านฟ้าซานฟรานซิสโก เพื่อตามหาดีนและคนอื่น ๆ


เดม่อนพยายามโฟกัสบินไปตามหาบริเวณแนวชายฝั่ง หากดีนและไบร์ท จะต้องไปเกาะหมอกในคำพยากรณ์พวกเขาจะต้องออกทะเล การตามหาพวกเขาไม่น่ายากเย็นเกินไป ในขณะบินเขาก็ถูกจู่โจมโดยบางอย่าง แต่เนี่ยเป็นความสูงหลายพันฟุตห่างจากพื้นดิน ขืนเขากลับร่างตอนนี้ได้ร่วงลงไปแน่


ก่อนหน้านี้เขาบินผ่านเครื่องบินเหมือนเห็นข้อความไอริสอะไรบางอย่างแวบขึ้นมาแปบหนึ่ง แต่เขาไม่ได้สังเกตมากนัก มันก็เลือนหายไปแล้วเพราะเด็กที่นั่งริมหน้าต่างยกมือเช็คกระจก หรือจะเรียกว่าเขากำลังแนบหน้ามองวิวด้านนอกดีนะ ผมคิดว่าเด็กคนนั้นคงจะเห็นอินทรีบินสวนทางทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น


เดม่อนอินทรีบินเฉียวหลบเมื่อเขาสัมผัสถึงอันตรายบางอย่างคืบคลานเข้ามา ก่อนหันกลับไปมอง ในใจของผมตอนนั้นคิดได้เพียงอย่างเดียว จนเผลออุทานออกมา 


“ตัวเหี้ยไรวะ ไม่เคยเห็นในสมุดอสุรกายที่ค่ายมาก่อนเลย”


ปกติเขาไม่ได้คนเชื่อหรือศึกษาตำนานโบราณเหล่านี้อยู่แล้ว ถ้าไม่ได้ตำนานกรีกที่เพิ่งศึกษาในค่าย 


ดูเหมือนสิ่งมีชีวิตตรงหน้าจะมีรูปลักษณ์คล้ายคนแต่ดูออกไปทางสัตว์มากกว่าผิวหนัง ปีกค้างคาวขยายใหญ่ เดม่อนคิดว่าอินทรีน่าจะสู้ลำบาก เขาจดจำสิ่งมีชีวิตตรงหน้า ก่อนบินหลบไปหลบมาในระหว่างกำลังนึกภาพก่อนเขารับรู้ถึงร่างกายตัวเองกำลังงอกปีกแผ่นหลัง ผิวหนังและแขนขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีดำมีขนสัตว์แบบเจ้าตัวตรงหน้า


เดม่อนในร่างแวนมีเทอร์กำลังต่อสู้กับแวนมีเทอร์ตัวจริง แต่อีกฝ่ายมีพลังวิเศษที่แวนมีเทอร์ควรมี ส่วนเขาน่ะเหรอ ฮ่า ๆ มีแค่กำลังกายภาพและบินได้เท่านั้น การต่อสู้ของเขากับแวนมีเทอร์โคตรทำให้เขาเสียเปรียบ แต่เดม่อนพยายามใช้ปีกคู่นี้บินหลบไปมา ก่อนใช้กรงเล็บสร้างความเสียหายช่วงหลบหลีกการโจมตีจากเขา 


เดม่อนสลับการแปลงกายกลับไปเป็นคนเมื่อจังหวะอยู่เหนืออีกฝ่าย ก่อนฟาดใส่แผ่นหลังแวนมีเทอร์ ก่อนเขาจะกลายร่างกลับเป็นแวนมีเทอร์และบินพุ่งไปข้างหน้าเพื่อตั้งหลักจากการร่วงหล่น การต่อสู้ของพวกเขานับได้ว่ากินเวลานานพอสมควร ตอนนี้ก็ล่วงเลยมาเก้าโมงเช้า จนเขาสามารถปลิดชีพแวนมีเทอร์ได้สำเร็จ ก่อนตัวเองจะแปลงกายกลับเป็นอินทรี แต่ดูสภาพเขาแล้วตอนนี้ต้องรีบหาตัวพวกพ้องของเขาให้เจอโดยไว


เดม่อนเริ่มจะไม่มีแรงเหลือมากพอจะใช้พลังแปลงกายนี้ต่อได้อีกนานแล้ว การต่อสู้และสลับไปสลับมาทำให้เขาผลาญพลังงานร่างกายไปเยอะพอสมควร แต่เคราะห์ร้ายยังไม่หมดเมื่อเงาของแร็กนาห์ปรากฎตรงหน้า 


“หน่านิ เงาลอยได้เหรอ!?” เดม่อนอุทานด้วยความตกใจ แร็กนาร์แสยะยิ้ม


“นี่เป็นพื้นฐานสำหรับสายเลือดของข้ามากเจ้าหนู เอาล่ะแกชักจะรู้มากเกินไปแล้ว… แม้ข้าจะไม่เสี่ยงผิดพลาดสิงร่างแก แต่ทว่ายังมีอีกทางที่จะหุบปากแก”


เดม่อนในร่างอินทรีตั้งท่าก่อนจะส่งเสียงขู่ฟ่อ และพุ่งโจมตีแร็กนาร์ไม่ให้เขาตั้งใจ ก่อนจะกลายร่างกลับเป็นเดม่อน คว้าแขนและมือจับตัวอีกฝ่าย 


“เมื่อไหร่จะเจอร่างจริงของแกสักที!” เดม่อนพูดขึ้น ตอนนี้เขาไม่ต้องกลัวตกลงไปแล้ว สองแขนและขารัดตัวอีกฝ่ายแน่น


“เจ้าคิดจะทำอะไรงั้นเหรอ” เงาของแร็กนาร์พูด ก่อนสลายเงาตัวเองและไปยืนอยู่อีกจุด ผมที่เมื่อหลุดจากสิ่งที่ทำให้ตัวเองลอยตัว ก็ร่วงจากฟากฟ้า ตอนนี้ผมพยายามคิดอะไรก็ได้ขอทีเถอะที่บินได้ ในหัวว้าวุ่นไปหมด ผมหลับตาปี๋พยายามคิดอะไรสักอย่างที่จะให้ตัวเองรอดไปจากสถานการณ์ตอนนี้ ก่อนกระทบถึงพื้นอย่างสวยงาม แต่เป็นฟุตบอลที่เด้งพุ่ง และผมกลายเป็นคน หันไปทางแร็กนาร์ที่ค่อย ๆ ลดระดับลงมา ก่อนเท้าเหยียบพื้นถนนบนทางด่วน


เดม่อนทำท่าจะชักดาบข้างเอวและโล่ที่สวมใส่ด้านหลังออกมา ก่อนแร็กนาร์จะยื่นมือออกมา มีก้อนพลังงานสีเขียวมารัดตัวเขาจนแน่น ไอพลังที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและคิดมุ่งร้าย ก้อนควันสีเขียวรัดแน่นขึ้น


“เจ้าจะต้องหลับนิทราไปจนกว่าจะมีเพื่อนของนายมาสะกิต” แร็กนาร์ใช้ผงหลับใหลที่เขาขโมยมาจากลูกของเทพฮิปนอสที่เกษียณตัวเองอยู่นอกค่าย หรือเรียกว่าฆ่าหมกศพดีไหมนะ เดม่อนค่อย ๆ ตกเข้าสู่ภวังค์แห่งการหลับใหล


เงาของแร็กนาร์แบกร่างไร้สติมุ่งหน้าไปยังเมืองโมฮาวี เพื่อพาเขาไปคุมขังที่บังเกอร์ลับของเขาแถบนั้น และให้ไกลจากซานฟรานซิสโกสักหน่อยป้องกันเพื่อนของเขาที่กำลังมาซานฟรานซิสโกสังเกตเห็น หากพวกเขาไม่ยอมดึงดาบแห่งเธซีอุสออกโดยดี แม้เขาจะใช้มนต์ลวงตาให้ดาบเป็นตรีศูลแล้ว แต่พวกเขาชอบเอะใจกันเก่งเหลือเกิน อย่างน้อยก็มีเจ้าหนูนี่เป็นเครื่องต่อรอง 


นี่คือความทรงจำเมื่อครั้งที่ผมยังเชื่อมจิตกับแร็กนาร์หลงเหลืออยู่พอจับใจความได้ช่วงที่ผมหมดสติไปและไม่ตื่นเพราะอะไรสักอย่างที่อีกฝ่ายใช้กับผม….














แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 19601 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2024-5-23 00:00
โพสต์ 19,601 ไบต์และได้รับ +4 EXP +4 เกียรติยศ +6 ความกล้า +2 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-5-23 00:00
โพสต์ 19,601 ไบต์และได้รับ +2 เกียรติยศ +5 ความกล้า จาก ทักษะดาบ  โพสต์ 2024-5-23 00:00
โพสต์ 19,601 ไบต์และได้รับ +3 EXP +4 เกียรติยศ จาก นาฬิกาสปอร์ต  โพสต์ 2024-5-23 00:00
โพสต์ 19,601 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก แปลงร่าง  โพสต์ 2024-5-23 00:00
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ประสาทสัมผัสดีขึ้น
เปลวไฟแห่งความหลงใหล
พันธนาการแห่งเสน่ห์
Icarus Mirror
แหวนห้วงมิติ
คำสาปแห่งแอรีส
พร: ทนทานไฟ
โล่แห่งโทสะ
กางเกงเดินป่า
การควบคุมความรัก
ชุดบำรุงอาวุธ
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x8
x1
x9
x7
x10
x1
x2
x14
x3
x1
x20
x6
x2
x1
x1
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้