ในหน้าที่ 2 ผมเดม่อน แคนเนลท์ได้รับหน้าที่ให้จัดการมัน แต่บันทึกนี้ผมจำเป็นต้องรอเวลาผ่านไปเกือบวันหนึ่งเต็ม ๆ กว่าจะได้จดบันทึกมันตอนพวกเราพัก ก็เพราะอะไรน่ะเหรอ เอาไว้คุณไปอ่านต่อเอาเอง ผมไม่อยากจะสปอยมากนักเท่าไหร่
กลับเข้าเรื่องราวในกลุ่มพวกเราที่กำลังทำภารกิจคำพยากรณ์บทใหม่นี้กันเลยล่ะกัน เรากำลังนั่งรถสองต่อนานจนเมื่อยก้น แต่ระหว่างทางยังไม่เจออุปสรรคอะไรอีก แต่ยังวางใจไม่ได้เพราะคิดว่าจากนี้น่าจะถูกบุตรแห่งโป้ปดตามหลอกหลอนไปตลอดทาง มันก็แค่สังหรณ์ที่รับประกันอะไรไม่ได้ แต่ที่แน่ ๆ คือเราทุกคนไม่มีใครประมาทกันเลย อีกทั้งผมที่ติดอยู่ในร่างสุนัขเองก็เช่นกัน
ผลจากการเพิ่งได้พลังใหม่และยังไม่ค่อยคล่อง บางครั้งมันก็เผลอใช้ไปเอง แต่นับว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีที่ทำให้ผมเข้าใจภาษาของหมา(?) ใช่แล้ว ผมได้คุยกับหมาที่เราเจอโดยบังเอิญและทำให้ทราบว่ามันคือบุตรแห่งซุสมีชื่อว่า โบล์ท
รถบัสที่ขึ้นมาแวะจอดพักที่อินเดียนาโพลิสให้ได้ยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย สถานีต่อไปคือเซ็นต์หลุยส์ตามกำหนดการ เดม่อนในร่างหมามองดีนที่หยิบแผนที่อะไรบางอย่างออกมา ดูเหมือนเขาจะวางแผนการเดินทางเอาไว้แล้วจริง ๆ แต่เขาไม่รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะเป็นไปตามแผนมากน้อยแค่ไหนกันนะ จากที่เขาเข้าไปอ่านบันทึกของรุ่นพี่ในหอสมุดมาหลายเล่ม...
“ต้องรีบไปทางใต้ของอะไรสักอย่าง ต้องใช้เวลาเท่าไรเนี่ย?” ดีนพูดพร้อมกับชี้บนแผนที่ของเขา
“หืม… น่าจะอีกสักพักเลยแฮะ” เดม่อนพูดขึ้น ก่อนเขาจะตกใจกับเสียงยางรถระเบิด เมื่อเขารู้สึกตัวอีกทีพบว่าตัวเองมีมือและแขน ลำตัวเป็นมนุษย์แล้ว ดูเหมือนเขาจะกลับคืนสภาพเดิมแล้วสินะ เสียงพูดในที่สุดเขาก็พูดภาษาคนได้เหมือนเดิม แต่ตัวเดม่อนเองก็ยังหารู้ไม่ว่าศีรษะของเขายังคงเป็นศีรษะสุนัข
“แม่ ๆ ผมอยากได้หน้ากากหัวสุนัขแบบพี่ชายคนนั้น” ในขณะเดม่อนกำลังดีใจอยู่นั้น เขาก็เห็นเด็กที่นั่งข้างหน้าสะกิตแม่ของเขาให้หันมามองที่เขา เดม่อนรีบยกมือสัมผัสศีรษะหน้าตัวเอง กลับพบว่ามันแปลก ๆ
“ไบร์ท ดีน นี่ผมกลับเป็นปกติแล้วใช่ไหม” เดม่อนพูดออกมาเป็นคำภาษาคนได้ปกติแล้ว เขามองใบหน้าเพื่อนร่วมทางทั้งสองก่อนกระพริบตาสุนัขทั้งสองคู่
"นายกลับมาเป็นปกติแล้วเดม่อน" ไบร์ทตอบคำถามผม
“โฮ่ง ๆ” โบล์ทจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมฟังไม่เข้าใจแล้ว หรือที่เด็กคนนั้นเห็นจะเป็นมนต์บังตา(?) เพราะหมวกราชสีห์นีเมียนที่สวมใส่อยู่ ถ้าพวกเขาเห็นเป็นหนังราชสีห์นีเมียน คงสติแตกกระเจิงแน่ ๆ
เรียวแขนแกร่งของไบร์ทผลักร่างดีนกับผมออกให้พ้นสะเก็ดพ่วงยางล้อที่กระเด็นปลิวมาทางพวกเราทั้งสาม ราวกับเป็นอุบัติเหตุที่จงใจจากฝีมือของใครบางคน
“เฮ้ย!!” ดีนที่ได้รับการสะกิตจากไบร์ท ก่อนเขาถอยหลังหนีไปตามสัญชาตญาณ แล้ววิ่งไปหลบ
สุนัขโบล์ทที่ลงมาพร้อมกันกับดีนได้แต่ชะเง้อคอมองว่าหลบอะไร ในใจคิดว่า ‘หมอนี่ปอดแหกชะมัด’
"เดมี่เหรอ?"
ดีนเอ่ยถามพลางเขาทำท่าปัดหมอกควันอะไรก็ไม่รู้ไปด้วย เพราะตอนนี้มันเริ่มคลุ้งมากกว่าเก่า นี่แค่ยางระเบิดจริงดิ? หรือว่าบัสระเบิดไปทั้งคัน แต่เหมือนได้ยินเสียงคนอื่นนอกจากพวกเขาสองคนครึ่งกับสุนัขอีกตัวจางลงเลย
“หมอกนี่คือมนตร์บังตาอะไรหรือเปล่า?”
"อืม.... กลิ่นทะแม่ง ๆ" ไบร์ทพูดขึ้น เธอดูเหมือนกำลังสอดส่องรอบตัว
ก่อนเธอจะรู้สึกตัว และเรียกดีน "ดีน" เธอเรียกชื่อบุตรแห่งโพไซดอน "เดม่อนหายไปไหนแล้ว" น้ำเสียงที่เปล่งออกมากึ่งช็อกกึ่งพูดไม่ออก

เดม่อนที่กำลังยืนระมัดระวังตัวเองหลังไบร์ทสะกิต จู่ ๆ ตัวของเขาก็ถูกหมอกพามายังพื้นที่โล่ง ชายหนุ่มมองรอบ ๆ ตัว แต่ทว่าเขากลับไม่เห็นดีน ไบร์ท หรือแม้แต่เจ้าหมาลมกรดและผู้โดยสารบนรถบัสคนอื่น ๆ เลยแม้แต่คนเดียว นอกจากห้องมืดครื้ม มีแสงไฟสลัวกลางห้องกระพริบไปมาชวนให้นึกถึงบรรยากาศตอนเล่นเรสซิเด้นท์อีวิลจริง ๆ
“ใคร!?” เดม่อนพูดตะโกนขึ้น แต่กลับเป็นเสียงของเขาสะท้อนตอบกลับมาแทน
เขาหันซ้ายหันขวา ก่อนสายตาสังเกตเห็นประตู เดม่อนวิ่งไปที่ประตูดังกล่าวเพื่อผลักเปิดออก แต่มันกลับเป็นห้องอีกห้อง ตรงหน้ามีร่างหญิงสาวผมบลอนซ์ยืนยิ้มอยู่ เธอนั่งบนโต๊ะท่ามกลางแสงไฟสลัว จนแสงไฟกระทบผิวหน้าเผยให้เห็นใบหน้าชัดเจน
“ลิเลียน่า เธอมาทำอะไรที่นี่?” เดม่อนพูดขึ้น แม้ในใจเขาจะรู้สึกแปลก ๆ
ลิเลียน่าอมยิ้มก่อนจะลุกจากโต๊ะที่เธอนั่ง เดินเข้ามาใกล้เขาอย่างช้า ๆ “นายจะไปเสี่ยงอันตรายอีกแล้วงั้นเหรอ บุตรอะโฟร์ไดต์ นายไม่ใช่ลูกเทพสงครามหรือสติปัญญา หรือสามมหาเทพนะ ทำไมถึงขยันหาเรื่องที่ต้องเสี่ยงแบบนี้ตลอด!!”
เดม่อนที่กำลังสับสนว่าตรงหน้าคือภาพลวงตาหรือของจริงกันแน่ แต่คำพูดหญิงสาวตรงหน้าและแววตานี้ เธอดูเป็นลิเลียน่าจริง ๆ เขาพูดเสียงสั่นเครือ “ผ..ม”
“ถอนตัวซะ และกลับไป เดี๋ยวชั้นจะไปแทนนายเอง!” ลิเลียน่าพูดขึ้น “ในคำพยากรณ์ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าต้องการลูกอะโฟร์ไดต์ ดังนั้นนายถอนตัวไปได้ และกลับไปค่ายซะ”
“แต่… ผมจะทิ้งกลางคันได้ยังไง” เดม่อนพูดเสียงสั่นเครือ เขาหลบสายตาลิเลียน่าที่จ้องเขม็ง หรือเธอจะแอบสะกดรอยตามพวกเขาออกมาจริง ๆ แต่แบบนั้นไม่เท่ากับละเมิดกฎเหล่าเทพงั้นเหรอ ที่การเดินทางเกินสามเช่นนี้ ทั้งที่มิใช่ถูกระบุในคำพยากรณ์เหมือนเช่นคำพยากรณ์เจ็ดวีรบุรุษในสมัยก่อน แต่ถ้าลิเลียน่าสลับไปแทนเขา เธอน่าจะช่วยเหลือดีนกับไบร์ทได้ดีกว่าเขา นอกจากแปลงร่างที่ยังควบคุมไม่ได้ เขาก็ทำได้แค่ดึงดูดความสนใจผู้คน ไม่มีมนต์มหาเสน่ห์เฉกเช่นพี่ไพเพอร์
“ฮึ่ม ว่าไงบุตรอะโฟร์ไดต์ นายจะยอมฟังชั้นดี ๆ สักครั้งได้ไหม!” ลิเลียน่าพูดเสียงดุใส่ผม
เดม่อนที่กำลังสับสนกับสภาพแวดล้อมนี้ ว่าแต่เขามาที่นี่ได้ยังไงแต่แรก เขาอยู่ที่โล่งแจ้งรอรถกับทุกคนไม่ใช่เหรอ ไม่สิ แม้หลาย ๆ คำพูดจะเหมือนลิเลียน่า แต่อีกฝ่ายดูตั้งใจจะให้เขาล้มเลิกภารกิจนี้เกินไป ถ้าเป็นลิเลียน่าจริง ๆ เธอต้องไม่มีวันปล่อยให้เขายอมแพ้ทั้งแบบนี้
“ว่าแต่ทำไมผมถึงอยู่ที่นี่ ที่นี่ที่ไหน” เดม่อนถามอีกฝ่าย สภาพห้องที่สลัวยังกับกำลังเล่นเกมผีชีวะนี่ ไม่เกินคำบรรยายเลย
“ที่นี่ปลอดภัยนายไม่ต้องห่วง… ชั้นแอบตามพวกนายมา ขอแค่นายตีตั๋วรถกลับไปนิวยอร์ก เรื่องอื่นชั้นไปแทนเอง” ลิเลียน่าพูดขึ้น เดม่อนมองระแวงอีกฝ่าย “ที่ต้องแอบพานายมาที่นี่เพราะชั้นไม่อยากละเมิดกฎนักเดินทางทั้งสามเหมือนกัน ขอแค่นายกลับเรื่องที่เหลือชั้นจัดการเอง”
“นี่ ตั๋วรถไฟสำหรับนั่งกลับไปนิวยอร์ก” ลิเลียน่าล้วงตั๋วออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเธอ ก่อนยื่นมาให้ผม
สายตาผมมองตั๋วและสลับกับเธอ หรือผมจะทำเพื่อทีมดี หากพวกเขาได้ลิเลียน่าแทนผม ภารกิจน่าจะราบรื่นมากกว่า ผมค่อย ๆ ยกมือขึ้นจะไปรับตั๋ว ก่อนมือยกขึ้นมาค้างครู่หนึ่ง
“เธอแน่ใจนะลิเลียน่า แต่ภารกิจนี้ดู ๆ แล้ว หนทางข้างหน้าจะยิ่งอันตรายกว่านี้ ตอนนี้พวกเราโดนอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นก่อกวนตั้งแต่ออกจากนิวยอร์ก” เดม่อนพูดขึ้น นี่ดูเหมือนแค่น้ำจิ้ม แต่ในใจเขากลับคิดว่ามันน่าจะมีอะไรที่ร้ายกาจรออยู่ข้างหน้า
“เถอะน่า นี่นายไม่เชื่อฝีมือชั้นหรือไง อย่าลืมสิชั้นคือคนฝึกนายนะ!” ลิเลียน่าพูดตอกย้ำเรื่องเก่า ๆ ยิ่งทำให้เดม่อนค่อย ๆ ลดความระแวงลงทีละนิด ถ้าตรงหน้าเป็นภาพลวงมันก็จะเก่งเกินไปแล้ว อีกทั้งการที่เธอบอกว่าแอบหนีออกมาจากค่ายนั่นก็ไม่ค่อยผิดแปลกจากเธอเท่าไหร่
เดม่อนยื่นมือไปรับตั๋วจากลิเลียน่า ทันทีที่มือของเขาแตะตั๋ว ตั๋วก็เปล่งแสงบางอย่างจนแสบตา…...

ในตอนนี้ผมเข้าใจความรู้สึกของจอห์นนี่ ซิลเวอร์แฮนด์แล้ว เขาต้องรู้สึกยังไงเมื่อตื่นขึ้นมาในสภาพวิญญาณตามติดแบบนี้ ที่ต่างกันคือผมกลับไม่สามารถคุมร่างที่เป้นของตัวเองได้
โบล์ทที่จากตอนแรกไม่ได้กลิ่น ก่อนกลิ่นตัวเดม่อนกลับมาปรากฎในเรดาห์ มันวิ่งนำทั้งสองคนไปยังห้องเก็บของใกล้ ๆ มินิมาร์ท “โฮ่ง ๆ” มันเห่าส่งเสียง
ทางด้านทั้งสองดีนและไบร์ทที่กำลังจะติดต่อคุณไครอนเพราะผมหายไป จู่ ๆ ไบร์ทก็พูดขึ้น "เฮ้ ดีน ไม่ต้องติดต่อคุณไครอนแล้วล่ะ"
"ดูเหมือนเจ้าหมาลมกรดจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง รีบตามกันไปเถอะ"
พวกเขาออกวิ่งตามร่างของโบล์ทที่กำลัง ดม ๆ ฟุดฟิด ทันทีที่ทั้งสองตามมาถึงห้องเก็บของ ที่โบล์ทนำทางมาประตูก็เปิดออก
เดม่อนแร็กนาร์ที่กำลังสำรวจร่างกายตัวเอง ดูเหมือนเจ้าเด็กคนนี้จะมีจุดอ่อนที่ร้ายแรงจริง ๆ นึกไม่ถึงเขาเล่นลูกไม้นิดหน่อยก็สามารถควบคุมอีกฝ่ายได้ ก่อนเดินไปที่ประตู มือบิดลูกบิดเพื่อเปิดประตู เสียงเจ้าหมานั่น ดูเหมือนมันคงได้กลิ่นเจ้าเด็กนี่แล้ว
"เกิดอะไรขึ้นกับนาย โอเคหรือเปล่า" เธอถามเดม่อน ก่อนที่เธอจะหันไปมองเจ้าหมาลมกรด "ขอบคุณที่นำทางมาเจอเพื่อนพวกเรานะ" ไบร์ทย่อตัวลงพลางใช้มือลูบขนตามลำตัว
เดม่อนที่ทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่ยืนดูในฐานะผู้ชมเท่านั้นตามแบบจอห์นนี่เป๊ะเลย ใครเคยเล่นไซเบอร์พังก์มาก่อน นั่นล่ะสภาพเขาตอนนี้ เขาเห็นดีนและไบร์ทปลอดภัยก็รู้สึกโล่งอก ตอนนี้เขาต้องหาทางสลัดใครก็ตามที่กำลังบงการร่างกายเขาตอนนี้ ก่อนทุกคนจะมีอันตราย
“ไง คุณดีน คุณไบร์ท” แร็กนาร์ในร่างเดม่อนทักทายเพื่อนร่วมภารกิจ เขาพยายามพูดและทำท่าทางให้สมเป็นบุตรอะโฟร์ไดต์ที่สุด ก่อนชายหนุ่มจะยิ้มส่งท้าย
"เอ่อ" ไบร์ทเอียงคอมองเดม่อน ผมเห็นเธอรู้สึกแปลก ก็แหงสิ ไอหมอนั่นไม่ใช่ผมนี่น่า หวังว่าไบร์ทจะจับพิรุธของเขาได้
"ไหงอยู่ ๆ นายก็พูดเพราะ?” ดูเหมือนดีนจะสงสัยอีกคน เขาค่อยโล่งอกหน่อยที่พวกเขา “หัวนายกลับเป็นคนแล้ว?”
“ใช่ ดูเหมือนผมจะควบคุมพลังใหม่นี้ได้บ้างแล้ว” เดม่อนแร็กนาร์พูดขึ้นก่อนจะเดินออกมาจากห้องเก็บของที่ระเนระนาด และหันมาทางทั้งสอง “ว่าแต่เราจะเดินทางกันต่อเลยไหม หลังพาเจ้าโบล์ทนี่ไปส่งที่ปลอดภัย”
เดม่อนที่กำลังนั่งดูการสนทนาทั้งสาม เขาพยายามจะต่อสู้กับคนที่คุมร่างเพื่อเรียกคืนทุกอย่าง ก่อนจะมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของตัวเอง
‘นายเป็นใคร’ เดม่อนพูดถามตัวเอง เพียงแต่เสียงเขาไม่ได้เล็ดลอดออกไปจากร่างกาย เหมือนเขาพูดภายในใจ พร้อมจ้องมองร่างตัวเอง
‘ใจเย็นๆ เด็กน้อย ข้ากำลังจะช่วยเจ้าทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง” แร็กนาร์พูดตอบเดม่อน
เดม่อนพุ่งไปจะต่อยอีกฝ่าย ก่อนแร็กนาร์ยกมือขึ้นรับหมัด ‘จุ๊ ๆ เจ้าจะทำร้ายข้าตอนนี้ก็เหมือนเจ้าทำร้ายตัวเองนะ’
เดม่อนกุมหมัดแน่น เขาหลับตาหายใจเข้าออก พยายามคิดหาหนทางจะชิงการควบคุมกลับมา
"ตามกำหนดการก็ใช่ ยังไงก็ต้องรีบไปตามหาตรีศูลของพ่อมาคืนให้เร็วที่สุดก่อนจะถึงวันครีษมายัน" ไบร์ทตอบกลับ
“ตรีศูลก็ใช่ แต่เรื่องโบล์ทก็ด้วย.. อืม หมอนี่ชื่อโบล์ทสินะ”
ดีนหันไปมองน้องหมาที่ดูท่าทางกล้าหาญตัวนั้น
“ใช่ นี่ผมยังไม่บอกพวกนายเหรอ” เดม่อนแร็กนาร์พูดตอบดีน “ว่าแต่เราต้องไปส่งเจ้านี่ที่ไหน”
“บัสอาจต้องใช้เวลาซ่อมนานหน่อยกว่าจะออกจากอินเดียนาโพลิส งั้นเราก็ยังเหลือเวลาที่จะเอาโบล์ทไปส่ง แต่ว่าต้องไปที่ไหนนะ ตอนใต้ของพลา… พาเลซ แถวนี้มีวังไหม?”
หมาโบล์ทแทบจะอยากยกมือก่ายหน้าผาก....
“ตอนใต้ของพลาซ่างั้นเหรอ หรือจะเป็น ยูเนี่ยนสเตชั่น?” เดม่อนแร็กนาร์พูดขึ้น “ในอินเดียนาโพลิส เหมือนจะมีตึกหรูที่สุดก็คงเป็นที่นั่นละมั้ง”
‘นายแอบตามเราตลอดงั้นเหรอ’ เดม่อนพูดขึ้น ทำไมอีกฝ่ายรู้ดีจัง เขาจ้องเขม็งใบหน้าตัวเอง มันก็จะรู้สึกแปลก ๆ หน่อย ทั้งที่อยากจะจ้องอีกฝ่าย
แร็กนาร์แสยะยิ้ม ‘ใจคนย่อมอ่านไม่ยาก และความทรงจำของเจ้า… นี่มันอะไรกัน แปลกจริง ๆ เจ้าเป็นบุตรแห่งอะโฟร์ไดต์จริงเหรอ ข้าดูแล้วแทบไม่อยากเชื่อ’
‘แล้วไง ผมจะเป็นลูกใคร ต้องหนักหัวคุณด้วยเหรอ’ เดม่อนพูดตอกกลับ ก่อนเขาจะถูกบางอย่างทำให้ต้องแวบหายไปอีก แต่ก็ยังมองทุกคนผ่านสายตาตัวเอง
“อ้าว พลาซ่าเหรอ”
ดีนขำน้อย ๆ แต่ก็ต้องกระแอมแล้ว ปรับสีหน้าเป็นงานเป็นการขึ้นเมื่อไบร์ทย้ำถึงท่อนหนึ่งของคำทำนาย
“จะว่าไป เหตุการณ์มันดูทะแม่ง ๆ นะ รถยางระเบิด จากนั้นก็มีหมอกอะไรก็ไม่รู้ปกคลุมไปทั่ว ถ้าบอกว่าบุตรแห่งคำลวง จะมาก่อกวนระหว่างทาง… หมอนั่นปลอมตัวเป็นพวกเราได้ไหมนะ? แถมนายยังพูดจาประหลาด ๆ อีก ถ้าใช่ล่ะก็ นายโคตรจะตรงโจทย์เลยว่ะเดมี่"
ดีนเดินเข้ามาตบบ่าของผมหรือจะเรียกว่าคนที่สิงผมกันแน่...
“ของขวัญบัดดี้ นายให้อะไรฉันมาบ้าง?”
“นายนี่ถามแปลก ๆ ก็หมวกแก็ป ของขวัญสุดท้ายที่ผมให้นายยังไง” เดม่อนแร็กนาร์ตอบอีกฝ่าย “และยังมีก่อนหน้านั้นของที่มีมูลค่ามากสุดก็คงไม่พ้นน้ำหอมแบรนด์หรูที่นายกำลังใช้อยู่ตอนนี้”
เดม่อนแร็กนาร์ยิ้มก่อนยกมือตบบ่าดีน “ฉันเกือบโดนเล่นงานจริง ๆ นั่นล่ะ แต่ดีที่มีบางสิ่งเหมือนกระตุ้นฉัน ทำให้ฉันรอดมาได้”
‘เอาโล่ไปเลยพ่อคุณ’ เดม่อนพูดขึ้นก่อนยกนิ้วให้อีกฝ่าย
"ฉันก็คิดเหมือนนาย เหมือนทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว บอกตามตรงฉันไม่ชอบความรู้สึกนี้เลยจริง ๆ เหมือนกำลังโดนปั่นหัวตลอดเวลา"
"สมมุตินะ ถ้าเจ้านั่นปลอมตัวเป็นพวกเราสักคนนึงแล้วพวกเราจะสามารถจับกันเองได้ไหมว่าใครคือตัวปลอม" ไบร์ทถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ถ้าฉันคิดให้เร็วกว่านี้ .....ก่อนออกจากค่ายพวกเราน่าจะมีโค้ดเนมไว้แสดงยืนยันตัว แต่ตอนนี้คงจะไม่ทันแล้วล่ะ การเผชิญหน้ากับสิ่งที่มองไม่เห็นมันยากกว่าทำวิจัยซะอีก" ไบร์ทบ่น
“เอ่อ.. ถูกแฮะ”
ดีนหันไปมองไบร์ท ถ้าเป็นบุตรแห่งคำลวงปลอมตัวมาจริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ายอีกฝ่ายไม่น่ารู้ได้ ส่วนเรื่องโค้ดเนมมาคิดตอนนี้น่าจะไม่ทัน
“โทษทีเดมี่ ที่ฉันคิดสงสัยนาย เอ่อ.. เอาเป็นว่าเรารีบเอาโบล์ทไปส่งที่ยูเนี่ยนสเตชั่นกันเถอะ ไม่รู้ว่าบัสจะซ้อมเสร็จเมื่อไรด้วย ถ้าเสร็จไวพวกเราจะตกรถกันหมด”
“ไม่เป็นไร ระวังตัวเอาไว้ก่อนเป็นเรื่องดี” เดม่อนแร็กนาร์พูดขึ้น ก่อนจะเดินตามดีนไปยังยูเนี่ยนสเตชั่น
พวกเขาเดินออกมาจากห้องเก็บของ ดูเหมือนว่าหมอกควันปริศนาจะจางลงไปแล้ว ดีนลองไปถามพนักงานของท่ารถบอกว่ารถน่าจะซ่อมเสร็จพร้อมออกเดินทางในอีก 2 ชั่วโมงข้างหน้า พร้อมถามทางไปยังยูเนี่ยนสเตชั่น
ระหว่างเดินตามอีกฝ่ายเขาพูดขึ้น “ว่าแต่นายรู้วิธีหาทางเข้าเวย์สเตชั่นใช่ไหม ผมคิดว่ามันคงไม่มีป้ายเขียนไว้ชัดเจนแน่ ๆ ว่า ยินดีต้อนรับสู่เวย์สเตชั่น”
"ดีน เดม่อน พวกนายสองคนไปส่งเจ้าหมาลมกรด ส่วนฉันจะรออยู่ที่ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินขึ้นกับรถบัสอีก" ไบร์ทอาสาจะยืนรออยู่ที่เดิม เพราะมีความกังวลทั้งเรื่องความปลอดภัย อุบัติเหตุ และบลา ๆ
"เอาไว้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะติดต่อผ่านเครือข่ายสื่อสารไอริสไปหา"
“โอเคได้” ดีนดูเหมือนเขาจะวางใจไปเปราะหนึ่ง ที่มีคนสแตนด์บาย อย่างน้อยถ้าพวกเขาพลาดพลั้ง ไบร์ทก็พอจะหาทางช่วยพวกเขาได้
เดม่อนแร็กนาร์ยิ้มภายในใจ ดูเหมือนเขาอาจจะตัดตอนได้สักคน ต้องการสายเลือดโพไซดอนแค่คนเดียวก็เกินไปแล้วสำหรับภารกิจนี้ เพื่อดึงดาบวีรบุรุษในตำนานกรีกของพวกมันออกไป
“แผนนี้เข้าท่า งั้นเราไปกันเลยไหมดีน” เดม่อนแร็กนาร์พูดขึ้นเสริม
“โอเคไปกัน ได้ข้อมูลมาแล้ว” ดีนพูดขึ้น
ผมมองดีนและชายที่สิงร่างผมเดินทางไปยูเนียนสเตชั่นที่อยู่ทางใต้ของพลาซ่าด้วยกัน ใช้เวลาเดินเท่ากันประมาณสิบห้านาทีก็ไปถึง อาคารยุโรปก่อด้วยอิฐสีแดงที่ดูหรูหรา นี่สินะที่พำนักของเหล่าเดมิก็อดและเหล่าผู้ศรัทธาเทพีอาร์เทมีสที่ออกมาทำภารกิจ
“ว่าแต่.. เราต้องเข้าไปยังไง?”
ได้แต่หยุดคิด สถานที่ในโลกเวทมนตร์แบบนี้จะต้องมีโค้ดลับอะไรหรือเปล่านะ ตอนนั้นคุณไครอนก็ไม่ทันบอกเสียด้วย คงไม่ใช่ว่าเพียงแค่เปิดประตูแล้วเข้าไปดื้อ ๆ หรอกนะ แต่ลองดูก็ไม่เสียหาย เขาลองจับที่ลูกบิดประตูแต่ยังไม่ได้เปิดเข้าไป….
เดม่อนแร็กนาร์ลองเดินเข้าไปเปิดประตู แต่กลับพบว่ามันก็เป็นแค่ยูเนี่ยนสเตชั่น มีผู้คนเดินพลุกพล่านทั่วไป ก่อนหันมาหาดีน “ไม่ยักเห็นมีอะไรนอกจากคนธรรมดาเลยนี่น่า”
“หรืออาคารนี้จะมีส่วนของอาคารเวทมนต์ซ่อนอยู่ ว่าแต่มันต้องหาทางเข้ายังไง…” เดม่อนแร็กนาร์พูดก่อนเหลือบสายตาไปทางด้านในที่มีคนเดินกวักไกว่กันเยอะมาก
ดีนมองดูเดม่อนที่ลองเปิดเข้าไปก่อนแล้วเป็นเพียงแค่อาคารธรรมดา ๆ ก็ยักไหล่ สงสัยว่าจะต้องร่ายมนตร์คาถาหรือไม่ก็กดรหัสลับที่หินเหมือนในเรื่องแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ซึ่งเขาก็ลองใช้หอกสัมฤทธิ์ที่คนทั่วไปมักเห็นเป็นท่อแป๊บจิ้มตามหินดู
“ฮึ่ม.. ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลยแฮะ”
แล้วดีนก็เพิ่งเห็นว่าโบล์ทกำลังทำท่าขู่เดม่อน เหมือนมันสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง
โบล์ทเป็นเดมิก็อดที่ออกทำภารกิจภายนอกหลายครั้งก่อนจะถูกเทพีเฮร่าสาป ตอนยังเป็นมนุษย์เขาเคยมาพักพิงที่เวย์สเตชั่นแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้มันไม่เป็นแบบนี้ มีแต่ผู้ที่ได้รับการต้อนรับเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปได้เลยโดยไม่ต้องเอ่ยคาถาหรือปลดรหัสลับ
“โฮ่ง!” โบล์ทเห่าไล่เดม่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเกรี้ยวกราด
“เฮ้ ๆๆๆ เกิดอะไรขึ้น ใจเย็น ๆ สิ”
ดีนอุ้มโบล์ทขึ้นมา พลางลูบหลังปลอบเดมิก็อดพันธุ์อเมริกันเชพเพิร์ด ขณะเดียวกันที่ประตูของเวย์สเตชั่นเปิดออก ผู้ที่ออกมาคือหญิงชราคนหนึ่งที่มีออร่าบางอย่างบอกได้ว่าเธอนี่แหล่ะคนเก๋าในย่านนี้ บางทีเธออาจจะดูสองหนุ่มผ่านบานหน้าต่างอยู่นานแล้ว
“พวกนาย?” เธอพูด
“ฮ่ง!” โบล์ทเห่าทักหญิงคนนั้นคล้ายรู้จัก น้ำเสียงมันอ่อนลงต่างจากตอนที่เห่าไล่เดม่อนอยู่มาก
“ดีน นีลครับ เอ่อ.. คุณเห็นนี่เป็นอะไร?” เขายกหอกในมือให้ดู ลองหยั่งเชิงถามไปก่อนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงคนธรรมดาหรือว่าเดมิก็อดเหมือนกัน ๆ แน่
“หอกสัมฤทธิ์” หญิงสาวกล่าว “ฉันเอมี่ เป็นผู้ดูแลเวย์สเตชั่น.. ไม่ทราบว่านายพาใครมาด้วย คุณนีล?”
“อ๋อ งั้นก็พวกเดียวกัน สวัสดีคุณเอมี่ คือว่านี่ โบล์ท บุตรแห่งซุสที่ถูกสาป ผมเจอเขากลางทางแล้วคุณไครอนบอกว่าให้ฝากเลี้ยง เอ้ย! ฝากไว้ที่นี่ก่อนครับ”
“ไม่ใช่..” เอมี่กล่าวเสียงแข็งก่อนปรายตาไปทางเดม่อน หรือใครสักคนที่หน้าตาเป็นเดม่อน “หมายถึงหนุ่มคนนี้ต่างหาก”
“ผมเดม่อน แคนเนลท์ บุตรแห่งอะโฟร์ไดต์ครับ” เดม่อนกล่าวแนะนำตัวก่อนโค้งตัวคำนับหญิงสาวตรงหน้าด้วยท่าทางให้เกียรติ
“เรื่องที่เรามาที่นี่ ดีนพูดไปหมดแล้ว เรามีภารกิจคำพยากรณ์ที่ต้องไปทำ คุณเอมี่พอจะช่วยรับช่วงดูแลโบล์ทต่อได้ไหมครับ”
‘สุภาพจังเลยนะนาย’ เดม่อนพูดแชะคนแปลกหน้าที่ควบคุมร่างเขา เขาเดินไปมารอบ ๆ ร่างตัวเองก่อนพยายามตั้งสมาธิเพื่อหวังว่าจะตื่นขึ้นมาและเป็นคนขับบังเหียนแทนอีกฝ่าย
เอมี่เลิกคิ้วข้างนึงให้กับคนที่แนะนำตัวว่าคือ ‘เดม่อน แคนเนลท์’ หากเป็นบุตรอะโพรไดท์จริงมีหรือจะเข้ามาในเวย์สเตชั่นแห่งนี่ไม่ได้ จากการสอดส่องของผู้ดูแลแหล่งพักพิง เธอรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ผู้ที่ได้รับเชิญ
“ช่างกล้าพูด” เธอประชดเดม่อน
แม้หญิงชราจะเป็นผู้มากประสบการณ์แต่ก็ใช่ว่าจะรู้ว่าคนที่ใช้ร่างของเดม่อน แคนเนลท์นั้นเป็นเทพหรือบุตรแห่งเทพองค์ใด เพราะเทพที่เชี่ยวชาญด้านมนตราแปลงกายมีอยู่เยอะแยะไปหมด แล้วไหนจะบุตรแห่งเทพบางองค์หรือปีศาจบางตนยังสามารถบังคับร่างของเหยื่อได้อีกด้วยหากพลังใจไม่แข็งพอ แต่เธอก็มองออก กระนั้นนี่ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ศรัทธากับเทพีอาร์เทมีสจะเข้าไปก้าวก่าย หน้าที่ของผู้ดูแลทำได้แต่วางตัวเป็นกลาง และอาจจะบอกใบ้หนุ่มเดมิก็อดที่ไม่ยอมบอกว่าเป็นบุตรของเทพองค์ไหนให้ทราบได้นิดหน่อย
“เวย์สเตชั่นยินดีต้อนรับผู้ที่คู่ควรเสมอไม่ว่าจะเป็นอสุรกายที่ดีหรือลูกเทพที่ถูกสาป” เอมี่ยังคงไม่หยุดปรายตามองเดม่อนอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนที่เธอจะหันกลับมาพูดกับดีน “แล้วเธอล่ะ จะเข้ามาพักข้างในนี้ก่อนไหม?”
ชายหนุ่มรู้สึกแคลงใจไม่น้อยเลยว่าทำไมเธอถึงมีท่าทีเย็นชากับเดม่อนนัก แม้ว่าเอมี่จะพูดจาขวานผ่าซากแต่เขารู้ได้ว่าน้ำเสียงที่พูดกับเขาและเดม่อนนั้นต่างกัน ตอนที่ลองเชิงถามว่าอีกฝ่ายที่เป็นบัดเดอร์ส่งอะไรให้เขาบ้างก็ตอบได้หมด จะเป็นไปได้ยังไงว่าคน ๆ นี้คือตัวปลอม
‘หรือช่วงเวลาที่เดมี่ไม่อยู่จะมีคนสวมรอยแทนมาโดยตลอด?’
ดีนพยายามครุ่นคิดว่าเขาเจอเดม่อนครั้งสุดท้ายตอนไหน รู้สึกจะเป็นต้นเดือนเมษายนเลย ที่พวกเขาเล่นสนุกวันเมษาหน้าโง่กัน..
‘เขาดูไม่ค่อยชอบนายนะ แขกไม่ได้รับเชิญ’ เดม่อนพูดแขวะอีกฝ่ายที่ใช้ร่างของเขาอยู่ตามใจชอบ
‘ผมว่าเขาคงไม่ค่อยชอบขี้หน้านายมากกว่านะ อย่าลืมสิที่เธอคนนี้เห็นเป็นนายทั้งหมด’ แร็กนาร์พูดโต้ตอบอย่างอวดดี ราวกับว่าเขาจะบอกว่าไม่มีใครดูออก
เดม่อนแร็กนาร์ต้องค่อย ๆ สงวนท่าทีแล้ว เขาเองก็รู้สึกไม่แน่ใจยายแก่นี่เท่าไหร่ว่าสรุปไม่ชอบหน้าเดม่อนหรือคาดเดาอะไรได้ แต่ฝีมือก็คงไม่เบาที่รอดชีวิตมาได้จนแก่ เอ๋ หรือที่แล้ว ๆ มา คอยหลบอยู่หลังอาคารหลังนี้กันนะ เดม่อนครุ่นคิดเจ้าเล่ห์ มองอาคารและประตูที่บิดเบี้ยวเปิดออก ราวกับที่นี่มีชีวิตยังไงอย่างนั้น
“ว่าไง?” เอมี่ถามกระทุ้งจนดีนสะดุ้งขึ้นมา
“ขอบคุณที่ชวนครับ แต่ว่าผมมีธุระต้องรีบไปทำต่อ ต้องนั่งรถไปลาสเวกัสยาวเลย คือแบบ..”
ดีนพยายามส่งซิกไปทางเอมี่ด้วยการเหล่ตาไปมองเดม่อนรัว ๆ เชิงถามว่า ‘คุณรู้อะไรใช่ไหม?’ คล้ายจะรู้ทัน เอมี่เพียงแค่เชิดหน้าขึ้นรับ เป็นสัญญาณแทนคำว่า ‘ใช่’ โดยไม่ได้ส่ายหน้าหรือพยักหน้าตอบ
ตอนนี้เขาต้องคิดต่อว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี ระหว่างความปลอดภัยของตัวเองกับเวย์สเตชั่นระเบิด เพราะถ้าเขาเข้ามาหลบภัยที่นี่เดม่อนคนนี้ต้องเข้ามาด้วยแน่ ๆ ถ้าผู้ดูแลเซฟเฮ้าส์ส่งสัญญาณว่าคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เป็นตัวอันตรายก็ไม่ควรจะปล่อยให้เข้าไปด้านในนั้น ปกติเขาต้องเลือกความปลอดภัยของตัวเองมาก่อนอยู่แล้ว แต่ไหงคราวนี้ความเป็นซูเปอร์ฮีโร่ในใจของตัวเองถึงได้เบ่งบานจนไม่อยากให้ผู้อื่นต้องมารับเคราะห์กรรมแทนไม่อาจทราบ ทั้งที่เอมี่และคนอื่น ๆ ในนั้นน่าจะเก่งกาจว่าเดมิก็อดมือใหม่อย่างเขาแท้ ๆ
เดม่อนมองเห็นดีนพยายามกะพริบตาแล้วทำสัญญาณมืออ้าหุบ ๆ ตามหลักสากลที่แปลว่า
‘ช่วยด้วย’ ให้เอมี่ แต่หญิงชรากับเบือนหน้าหนีเสียอย่างนั้น เดม่อนแทบจะหลุดขำท่าทีของเอมี่ในตอนนี้ หรือเขาปล่อยขำเลยล่ะกัน ตอนนี้ไม่มีใครเห็นเขา
“ถ้าไม่เข้ามาพักก็ส่งบุตรแห่งซุสตัวนั้นมา จากนั้นก็กลับไปทำภารกิจต่อซะ”
“เอ่อออออออ ครับ…” แม่ง จนใจฉิบหายแต่ก็ได้แค่ขานรับ ดีนอุ้มโบล์ทส่งให้เอมี่ มันเห่าเตือนแล้วตะกุยไม่หยุด
“เงียบซะ” เอมี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ทำเอาหมาเดมิก็อดหูตก “เขามีวิธีรับมือกับภารกิจ ส่วนเธอไม่ใช่ภารกิจของเขา เข้าไปก้าวก่ายไม่ได้”
“หงิงงง” โบล์ทได้แต่ทำตาละห้อยมองรุ่นน้องในค่ายที่อาจจะถูกเชือด
“ไม่ต้องห่วงโบล์ท ฉันวิ่งหนีเก่ง ไม่ตายง่าย ๆ หรอก” เขาพูดกับน้องหมาเป็นครั้งสุดท้าย “ฝากดูแลเขาต่อด้วยนะครับ ส่วนผม ไม่เป็นไร… มั้ง” จากนั้นก็หันไปส่งรอยยิ้มเกร็ง ๆ ให้เดม่อน
“เราไปกันเถอะเดมี่ ไบร์ทน่าจะรอแย่แล้ว”
“นึกว่านายจะอยากเข้าไปพักกินน้ำกินท่านะเนี่ย ดีน” เดม่อนแร็กนาร์พูดชึ้น ก่อนเดินตามอีกฝ่าย
ในระหว่างทางเดิน เขาแอบใช้พลังของตัวเองดึงดูดอสุรกายที่แข็งแกร่งที่สุดในละแวกนี้มา เมื่ออีกฝ่ายอยู่ตามลำพังเช่นนี้ อีกทั้งเดี๋ยวเขาจะอ้างความเป็นบุตรอะโฟร์ไดต์เองว่าจะคอยสนับสนุน เจ้าตัวนั้นดูแข็งแกร่งเกินไป สู้แบบงู ๆ ปลา ๆ สักหน่อยก็พอส่งอีกฝ่ายเข้าปากอสุรกายตัวนั้นได้
‘เอ่อนายจะทำอะไรน่ะ ฉันรู้สึกชั่วร้ายแปลก ๆ ’ เดม่อนเห็นลึกอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ไม่แปลกหรอก เพราะร่างเดียวกัน เขาย่อมรู้สึกเหมือนที่อีกฝ่ายรู้สึก ไอความรู้สึกชั่วร้าย ๆ นี้ที่เขากำลังสะใจหรือเหมือนทำอะไรที่ทำให้เขาภูมิใจ แต่เหมือนทำเรื่องผิดมา ในใจด้านสำนักของเขารู้สึกสำนึกผิดแปลก ๆ แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรทีนี่น่า ถ้างั้นแบบนี้ก็ต้องเป็นอีกคนสิ
‘หึ ๆ งานนี้สนุกแน่นายไม่ต้องห่วงหรอก’ เดม่อนแร็กนาร์แสยะยิ้มใส่ผม บางทีผมก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าตอนเขาแสยะยิ้มแบบนี้ ร่างกายเขาแสยะยิ้มจริง ๆ หรือเขาแค่รู้สึกแบบจิตวิญญาณกับจิตวิญญาณกันนะ เพราะใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเขามักปรากฎหลายรอบเวลาคุยกับเขา แต่ดีนและคนอื่น ๆ เหมือนเห็นเขาเป็นตัวเขาปกติ
ไม่นานก็มีเสียงคำรามของไฮดร้า ดูเหมือนมันผ่านการต่อสู้มาเยอะเชียว เพระามันมีถึง 20 หัว คงเป็นเดมี่ก็อตสักคนที่ผิดพลาดในการต่อสู้ เพิ่มปริมาณหัวให้ไฮดร้าตัวนี้มากขึ้น แล้วเดมี่ก็อตผู้โชคดีคนนั้นจะเป็นมื้ออาหารหรือหนีไปได้นะ เดม่อนครุ่นคิด ได้แต่ให้กำลังใจดีนอยู่ห่าง ๆ เขาเองก็ไม่ยอมแพ้ พยายามต่อสู้กับอีกฝ่ายเพื่อช่วงชิงพวงมาลัยมาขับ
ดีนจับตาดูเดม่อนตลอดเวลาขณะที่เดินออกมาจากยูเนียนสเตชั่น
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงผีเท้าขนาดใหญ่กระทืบลงบนพื้นตามการเดิน แอ่งน้ำเล็ก ๆ บริเวณนั้นสั่นไหวคล้ายกับฉากเปิดตัวไทแรนโนซอรัสในหนังเรื่องจูราสิกพาร์คภาคแรก เมื่อเดินถึงหัวมุมถนนดีนก็เห็นร่างใหญ่โตของอสุรกายตัวหนึ่งเลี้ยวออกมา เสียงคำรามของมันช่างน่ากลัว
“เวรเอ๊ย!! ตัวบ้าอะไรเนี่ย!?!”
“แม่ครับ นั่นไดโนเสาร์!” เด็กน้อยกระตุกชายกระโปรงแม่ด้วยความตื่นเต้น จินตนาการของเด็ก ๆ กว้างไกล และยิ้มดีใจที่ได้เห็นไดโนเสาร์ทีเร็กซ์ตัวจริง
“ไหนลูก ก็แค่เด็กกำลังฟัดกับลูกหมาเอง ไปๆ รีบไปจากตรงนี้ดีกว่า ดูท่าเด็กสองคนนั้นจะอันตราย คนสติดี ๆ ที่ไหนจะฟัดกับลูกหมาน้อยแบบนั้น” แม่รีบลากเด็กเดินจากไป แต่เสียงเด็กร้องงอแง อยากดูทีเร็กซ์ อยากดูทีเร็กซ์ตลอดทางที่แม่กำลังลากออกจากบริเวณนี้
ดีนได้แต่อ้าปากค้างทำตาโต เขาไม่เคยต่อสู้กับอสุรกายตัวนี้มาก่อน มันมีถึงยี่สิบหัวแถมตัวยังใหญ่พอ ๆ กับโครงกระดูกไดโนเสาร์ในพิพิธภัณฑ์ ดูยังไงก็ไม่ใช่สัตว์ประหลาดธรรมดาที่ปราบได้ง่าย ๆ ดีนรีบนำหอกและโล่ออกมาเตรียมสู้รบ ตอนนี้เจ้าตัวใหญ่ดึงดูดความสนใจจากเดม่อนไปเสียหมดจนเขาลืมพะวงหลัง
ดีนกระโดดหลบการโจมตีแรกของไฮดร้าด้วยการสลัดเกล็ดใส่ แล้วใช้พลังควบคุมน้ำในแอ่งเป็นกระสุนซัดใส่ ตอนนี้เขาควบคุมพลังได้ดีขึ้นกว่าวันแรก ๆ ที่ฝึกอยู่มากจนถึงขั้นสร้างกระสุนน้ำพลังทำลายทะลุทะลวงโขดหินได้ แต่ไม่รู้ว่าจะเจาะหนังหนา ๆ ของสัตว์ประหลาดตัวใหญ่นี้ได้หรือไม่
เดม่อนแร็กนาร์หยิบโล่ที่หลังออกมา ก่อนชักดาบตั้งรับ “ดีน ระมัดระวังตัวด้วย” เขาตะโกนสมบทบาท
ก่อนวิ่งตามดีนไป แต่ยังคงไม่เข้าใกล้มากนัก ทำหน้าที่เป็นสายซัพพอร์ต
“เจ้าตัวนี้ดูแข็งแกร่งพอตัวเลย…” เขาหาจังหวะพุ่งเข้าฟาดฟัน ก่อนจะกระโดดหลบมันฟาดหาง แต่ก็ไม่ยากเกินไป เพราะทุกจังหวะที่เขาโจมตีมันเป็นช่วงที่มันหันมาป้องกันเขาหลังจู่โจมดีนไปแล้ว
‘ดูเหมือนนายใช้ร่างผม แต่ก็ยังไม่รู้จักผมดีขนาดนั้นสินะ’ เดม่อนพูดขึ้นและพยายามต่อสู้กับคนแปลกหน้าคนนี้มาตลอด แต่เขาก็คอยระแวดระวังเดม่อนเป็นหลักอยู่แล้ว ส่วนข้างนอกก็เป็นเพียงการละครที่เสแสร้งสู้เท่านั้น จึงไม่ต้องระวังมาก
‘นายจะหลอกให้ฉันโฟกัสกับอสุรกายไฮดร้าตัวนั้นล่ะสิ แล้วรอจังหวะผมอ่อนแอถีบผมออกจากพวงมาลัย’ แร็กนาร์พูดโต้ตอบ ใบหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์อย่างกับรู้ทัน
เดม่อนยักไหล่ ‘ก็ไม่รู้สินะ’ ก่อนเดินไปนั่งเชียร์ดีนที่ม้านั่งใกล้ ๆ จะเรียกว่าเขานั่งทิพย์ก็ได้ละมั้ง เพราะก้นไม่ได้รู้สึกเหมือนนั่งจริง ๆ สักเท่าไหร่
“อื้ม นายก็ด้วยล่ะ!”
เหมือนกระสุนน้ำจะยิงไม่เข้า เกล็ดของเจ้าตัวนี้มันหนาเกินไป แถมหัวทั้งยี่สิบที่ดูยั้วเยี้ยะนั่นอีก ดีนพยายามจะรุกจัดการแต่ด้วยความที่มันมีตั้งสี่สิบตาคอยจ้องมองทำให้มันไม่เปิดโอกาสให้เขาโจมตี ตอนนี้จึงทำได้เพียงแค่ตั้งรับ
หัวหนึ่งของไฮดร้าอ้าปากงับโล่ของดีนแล้วงัดตัวเขาให้ลอยขึ้น พอขาไม่ติดพื้นก็ควบคุมการเคลื่อนไหวได้ยาก
“เหวอ!!”
หลังจากที่ร่างของตัวเองยกขึ้นเขาก็เห็นว่ามันกำลังจะใช้ท่าสะบัดเกล็ดใส่ หากเป็นเป้านิ่งล่ะก็ต้องตายแน่ ๆ ดีนจึงตัดสินใจปล่อยมือออกจากโล่อัลพิส แล้วกระโดดลงมาใช้หอกปาดตวัดหัวอีกหัวที่อยู่ด้านล่างอย่างเหมาะเจาะจนมันขาดกระเด็น แต่ก็ใช่ว่าดีนจะรอดไปเสียหมด เขาถูกเกล็ดหนึ่งพุ่งเฉียดที่น่องซึ่งไร้เกราะสัมฤทธ์ป้องกัน แม้จะไม่เข้าลึกแต่มันก็ทำให้คนเจ็บชะงักและเคลื่อนไหวได้ช้าลง เขากัดฟันทรุดเข่าลงกับพื้น เมื่อมองไปที่อสุรกายเขาเห็นว่าหัวใหม่แยกออกจากรอยตัดเป็นสอง จนทำให้นึกถึงวลีหนึ่งจากหนังเรื่องโปรด ‘ถูกตัดหนึ่งหัวงอกใหม่อีกหัว เฮล ไฮดร้า’
“ไอ้ตัวนี้มันคือไฮดร้างั้นเหรอ!?”
ขณะกำลังอึ้ง หัวที่งอกมาใหม่นั้นกำลังชาร์จพลังพ่นไอพิษออกมา
เดม่อนแร็กนาร์จะลงมืออีกครั้งก่อนเขาจะนอนชมการแสดงต่อสู้ หรือเรียกว่ารอไฮดร้างาบบุตรแห่งโพไซดอนคนนี้ก็ได้ เขาเห็นดีนกำลงลำบาก ก่อนวิ่งพุ่งไปต่อสู้ เพื่อฟันหัวที่ฟาดใหม่อีกครั้งขาดในพริบตา
ก่อนอีกหัวจะหันมาพ่นพิษใส่เขา เดม่อนแร็กนาร์แอบใช้พลังตัวเองสร้างภาพลวงตา ตามจริงเขาหลบพ้นแล้ว แต่ดีนจะเห็นเขาโดนพิษเต็มร่าง และอีกหัวไฮดร้างับเขาก่อนโยนเขาไปซนกำแพง ตามเนื้อตัวเดม่อนแร็กนาร์ในสายตาดีนตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยบาดแผลสะบัดสะบอม และ พิษกัดกร่อนตามผิวหนัง
“ด..ดี นายท…ทำได้” เดม่อนที่นอนชิว ๆ ข้างร่างลวงตาเดม่อนแร็กนาร์พูดเสียงตะกุกตะกัก เสริม
‘นายจะนอนดูแบบนี้เหรอ แล้วถ้าดีนชนะไฮดร้าได้ นายจะทำยังไงล่ะ’ เดม่อนพูดขึ้นมองอีกฝ่ายที่นอนมองดีนต่อสู้
‘อาหารเทพสรรพคุณช่วยรักษาใช่ไหม ก่อนข้าจะคลายมนต์ลวงตานี้ ข้าแค่สร้างบาดแผลให้ร่างเจ้าสักแผล ก็ไม่โดนพิษความร้อนจากอาหารเทพแผดเผาแล้ว‘ แร็กนาร์พูดตอบอีกฝ่าย เขารู้ดีว่าอาหารเทพและน้ำทิพย์มีสรรพคุณทำร้ายร่างกายด้วยเช่นกัน ถ้าเดมี่ก็อตไม่ได้บาดเจ็บหนักอะไรขนาดนั้น
‘อีกอย่าง ตอนนี้เจ้าหนูนั่นจะต้องสู้บีบเวลาให้จบไว ถ้าชักช้าเพื่อนของเขาคงจะถูกพิษฆ่าตายก่อนจะสายเกินไปแน่’ แร็กนาร์พูดบอกเดม่อน ‘ความรีบร้อนจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของวีรบุรุษ ส่งผลให้ล้มเหลว’
‘ดีนต้องรอบคอบ!!’ เดม่อนเถียงอีกฝ่าย เขาได้แต่แอบลุ้นอีกฝ่ายให้ยังมีสติและรอบคอบ ไฮดร้าเป็นอสุรกายที่ร้ายกาจที่สุดรองจากไคมีร่า ไม่สิน่าจะเทียบเท่าด้วยซ้ำ ถ้าเลี่ยงได้เลี่ยงจะเป็นทางที่ดีที่สุด
แม้เขาจะ.. ไม่รู้ควรเรียกตัวเองว่าอะไรดี วิญญาณ? จิตวิญญาณ? งั้นเรียกเอนแกรมตามในเกมแม่ง เขาเป็นจิตสำนึกในร่างตัวเอง ก่อนมองสภาพแวดล้อม เดม่อนพยายามรวบรวมสมาธิ ก่อนจะวิ่งพุ่งไปยังเด็กจรจัดที่กำลังนอนหลับอยู่ ถ้าตอนนี้เขาเป็นจิตสำนึก และเด็กคนนี้น่าจะจิตอ่อนกว่าเขา บางที… โป๊ก!
‘นายทำอะไร แม้นายจะเห็นตัวเองเดินไปไหนมาไหนได้ แต่ตามหลักนายก็ยังอยู่ในร่างตัวเองนะ’ คนแปลกหน้าพูดขึ้นมองอีกฝ่ายที่เหมือนอยากจะวิ่งไปขับร่างเด็กคนนั้น
‘ชิ’ เดม่อนเบ้ปาก เดินไปนั่งดูดีนเผชิญหน้ากับไฮดร้า สายตาเขาหันไปเห็นไฟแช็กในกองขยะ แต่เขาจะทำยังไงให้ดีนสังเกตเหนดีเนี่ย ก่อนเดม่อนจะหลับตา เขาพยายามแทรกการควบคุมเพื่อกลับไปชั่วคราว
“กองขยะ!!!!!!!!!!!” เดม่อนตะโกนสุดเสียงทันทีที่เหมือนเขาจะได้การควบคุม ก่อนแร็กนาร์จะแย่งกลับในเสี้ยววิ ทำให้เสียงตะโกนของเขากลายเป็นเหมือนเสียงแว่ว ๆ ไม่รู้ดีนจะทันได้ยินไหม
‘เก่งไม่เบานี่ แต่นายก็แย่งคืนได้แค่นี้ บุตรแห่งอะโฟร์ไดต์’ แร็กนาร์พูด เขาผลักอีกฝ่ายออกไปจากพวงมาลัยร่างนี้ได้สำเร็จ ก่อนจะเพิ่มพลังป้องกันให้ตัวเองสักหน่อย ดูเหมือนเด็กคนนี้เขาจะประมาทไม่ได้แล้ว
“เดมี่!!”
ดีนร้องตะโกนเมื่อเห็นเพื่อนเข้ามารับพิษจากอสุรกายแทน เขากำลังจะเข้าไปดูอาการของอีกฝ่ายใกล้ ๆ แต่ไฮดร้าตัวใหญ่นี้ก็ไม่ปล่อยให้เขาไปดูเพื่อนบ้างเลย ตอนนี้ดีนมีบทเรียนหนึ่ง จัดการมันยังไงก็ได้แต่ห้ามตัดหัว… จะเป็นไปได้ไงกันเล่า!!!
แถมตอนนี้โล่ยังถูกเอาไป เจ้าหัวนั้นแทะโล่อัลพิสอย่างกับสุนัขฟันเพิ่งขึ้นและน้ำลายเยิ้มอาบเต็มโล่ ดีว่าความเป็นสัมฤทธิ์ทำให้มันไม่บุบสลายมากนักจากน้ำมือของอสุรกาย แต่คงจะใช่ว่าไร้รอยขีดข่วนเลย ต้องหาทางเอาโล่กลับมาแล้วจัดการเจ้าตัวนี้ให้เร็วที่สุด แต่ด้วยวิธีการไหนเขายังคิดไม่ออก
เสียงของเดม่อนแว่วผ่านสายลม มันเบาเสียจนดีนคิดว่าเป็นอาการหูแว่วที่เขาหลอนไปเอง
‘แต่เชื่อสังหรณ์แล้วถูกเสมอ’
เอาก็เอา ลองเสี่ยงดวงดู ดีนพุ่งตัวไปที่กองขยะก่อนที่ไฮดร้าหัวหนึ่งจะพุ่งเข้ากัดจนทำให้ปากของมันกระแทกพื้นจนหน้ายู่ หัวนั้นคงมึนไปหลายนาทีแต่ก็ยังมีหัวอื่น ๆ เป็นแรงสนับสนุน มันเคลื่อนร่างกายอันใหญ่โตตามดีนไป
ที่กองขยะมีอะไร? ดีนพยายามคุ้ยหาอะไรก็ไม่รู้จนเขาพบกับไฟแช็กที่ถูกทิ้ง
“อ้อ หยุดยั้งเซลล์ด้วยความร้อน” ไอเดียหนึ่งแว้บเข้ามาในหัวหาใช่ตำนานเทพใด ๆ ทั้งสิ้น ขอบคุณความรู้ของการเรียนวิทยาศาสตร์จริง ๆ “ฉันไม่กลัวแกแล้ว เข้ามาเลยไอ้เวร!!”
ดีนจุดไฟแช็กขู่ไฮดร้า แต่แค่แป๊บเดียวก็ร้อนมือ
“โอ๊ย ร้อน ๆๆๆ”
เดม่อนแร็กนาร์เห็นอีกฝ่ายมีวัตถุไฟ แบบนี้มันก็ทำให้หัวไม่งอกเพิ่ม ก่อนเขาแอบเล่นตุกติก เพิ่มมายาไฮดร้าสองตัว แต่เขาเชฟพลังไว้ ทำให้มายานั้นเหมือนเป็นแค่เงาของไฮดร้า ใช้ขู่เพียงอย่างเดียว แต่ทุกการโจมตีจะโจมตีพร้อมกับตัวจริงเพื่อไม่ให้เจ้าเด็กนั่นไหวตัวทันว่าเป็นภาพลวงตา
“ฮึ่ม!”
ดีนกัดฟันกรอด ถ้าไฟมันร้อนแถมยังไม่พอก็เผากองขยะมันเลยแล้วกัน เขารู้ว่ามันเป็นวิธีที่โง่มาก ทำอะไรไม่สมกับปริญญาบัตรที่ได้รับมา ถ้ามหาวิทยาลัยรู้คงต้องขายหน้าแย่ แต่ตอนนี้มันเรื่องเฉพาะกิจ เน้นความอยู่รอดของชีวิต ต่อให้ต้องทำอะไรเขาก็ยอม ดีนหย่อนไฟแช็กลงกองขยะ บริเวณนั้นมีถังสีที่เป็นวัตถุไวไฟชั้นดีจึงทำให้เพลิงลุกท่วมในเวลาเพียงไม่กี่วินาที และยังมีเศษท่อนไม้ที่ถูกทิ้งไว้ด้วย ดีนใช้มันเป็นคบเพลิงเพื่อที่จะจี้หัวที่ถูกตัดออกมา
ดูเหมือนว่าไฮดร้าจะกลัวไฟ มันไม่เข้ามาหาแต่ทำท่าจะพ่นลมหายใจพิษใส่ เขากระโดดหลบออกไปด้านข้าง ไม่รู้ว่าลมหายใจพิษของอสุรกายเป็นแก๊สชนิดไหนแต่เหมือนยิ่งทำให้กองไฟลุกโชน
“ไฟหม้ายยย ตรงนั้นมีไฟหม้ายยยย” เสียงชาวบนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา เมื่อเห็นว่ามีคนกำลังสู้กับหมาฝูงใหญ่แถมยังจุดไฟไล่หมาอีก คนบ้าชัด ๆ.. เห็นทีคงต้องรีบปิดจ็อบโดยเร็วที่สุดก่อนที่ตำรวจ ดับเพลิง หรือไม่ก็เทศบาลจะมาถึง
ดีนสไลด์ตัวเข้าไปฟันหัวหนึ่งของไฮดร้าจนขาดสะบั้น จากนั้นก็ใช้คบเพลิงที่เหมือนไม้ขีดไฟอันใหญ่จี้ที่หัวมัน ความคิดนี้ได้ผล หัวใหม่ของไฮดร้าไม่งอกออกมาอีก แม้การต่อสู้จะทุลักทุเลและไฟที่คบเพลิงดับอยู่หลายหนจนต้องไปเติมไฟใหม่ แต่ดีนก็จัดการฟันหัวของไฮดร้าขาดไปเรื่อย ๆ ด้วยหอกที่ไม่ได้มีไว้ใช้สำหรับการฟัน ถ้าโซเฟียมาเห็นต้องกำหมัดใส่แน่ ๆ แต่แล้วไง ไม่ตายก่อนดีไหมล่ะ?
ใช้เวลานานเท่าไรไม่รู้กว่าจะจัดการกับหัวของไฮดร้าได้หมด เล่นเอาหอบจนทรุดตัวลงไปนั่งคุดคู้อยู่กับพื้น ร่างกายใหญ่โตของอสุรกายสลายไปเหลือเพียงแต่สินสงครามหน้าตาน่าเกลียดที่ไม่รู้ว่าจะยัดใส่กระเป๋ายังไงไหว ให้เอาไปรวมกับชุดเสื้อผ้าเหรอ เหอะ.. ไม่เอาหรอกสกปรก
ตอนนี้ดีนได้ยินเสียงไซเรนวิ่งมาตามถนน ความซวยอีกเรื่องคงใกล้จะเกิด
“มีน้ำเหลืออยู่แถวนี้ไหมเนี่ย!!” ไม่ลองก็ไม่รู้ เขาเพ่งจิตควบคุมน้ำ จากนั้นท่อประปาใต้พื้นถนนก็พุ่งขึ้นสูงหลายฟุต “โอ้ เชี่ย!!”
ไฟดับไปหมดแล้วแต่ไม่รู้จะจัดการกับท่อน้ำยังไง ไม่สิ ตอนนี้เดม่อนเป็นไงบ้างแล้ว!?!
ชายหนุ่มรีบวิ่งไปดูเพื่อนที่อาการร่อแร่ บาดแผลเหมือนถูกแทงมากกว่าโดนไอพิษ แต่เห็นเลือดแล้วสติจะหลุด ชายหนุ่มรีบเอาอาหารพิษให้เดม่อนกินเพื่อรักษาแผล
ดูเหมือนการต่อสู้จะสิ้นสุดแล้ว เดม่อนแร็กนาร์ยังคงไม่คลายมนต์บังตาเดม่อนบาดเจ็บ เขารีบคว้ามีดสั้นที่เขาพกไว้มาแทงย้ำ ๆ ให้แผลมันหนักพอใช้อาหารเทพรักษาได้แทนโดนเผา
เทพีอะโฟร์ไดต์อยากจะช่วยบุตรชาย แต่เธอไม่อาจแทรกแซงภารกิจคำพยากรณ์ของเหล่าวีรบุรุษได้ ได้แต่เฝ้ามองอย่างเป็นห่วงอยู่ห่าง ๆ ก่อนเธอพอจะคิดวิธีบางอย่าง ก่อนส่งเสียงกระซิบให้ดีน ‘ลิเลียน่า สัญชาตญาณ’
ทันทีที่เขารับอาหารเทพจากดีนและยัดเข้าปากเคี้ยว ๆ เขาค่อย ๆ สลายภาพลวงตารอบ ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “ขอบคุณนะเพื่อน เกือบไปแล้วเชียว”
เดม่อนแร็กนาร์ลุกขึ้นก่อนยกแขนตัวเองขึ้นดูเพื่อตีเนียนจากการโดนพิษเกือบเผาร่างกายตัวเอง ให้เน่าเฟะ ดูเหมือนจะรักษาหายแล้ว
“เรารีบกลับไปสมทบไบร์ทเถอะ ผมเป็นห่วงเธอแล้ว ไม่รู้บุตรเทพโป้ปดจะคิดมาเล่นงานเธอตอนอยู่ตามลำพังไหม” เดม่อนแร็กนาร์พูดขึ้นพร้อมแสดงสีหน้าเป็นห่วงเพื่อน
“โอเค นายดีขึ้นแล้วนะ?”
เห็นบาดแผลของอีกฝ่ายดีขึ้นดีนก็ประคองเดม่อนขึ้นมาพาดแขนไว้กับบ่า พยุงเดินไปทิศทางท่ารถจนลืมเรื่องอีกฝ่ายอาจเป็นตัวปลอมไปเสียสนิท ลืมไปจนกระทั่งที่อีกฝ่ายพูดคำว่า ‘บุตรแห่งเทพโป้ปด’ เนี่ยแหล่ะ มันทำให้เขาชะงักนิดหน่อย แถมเหมือนจะได้ยินเสียงของเทพีอะโฟรไดท์อีก อะไรนะ ลิเลียน่า กับสัญชาตญาณ?
ดีนไม่รู้ว่าลิเลียน่าหมายถึงอะไร แต่ถ้าเป็นสัญชาตญาณล่ะก็…
“หวังว่าเธอจะไม่ถูกเล่นงาน.. หรือว่าเป็นฉันก็ไม่รู้ที่โดน ลุค คาสเทลแลน ชื่อนี้คุ้น ๆ หรือเปล่า?”
“นายพูดอะไร นายลืมไปแล้วเหรอ ผมเองก็เคยไปช่วยทำภารกิจเฮอร์มีสนะ คนชื่อนั้นแน่นอนว่าต้องคุ้น ๆ อยู่แล้ว” เดม่อนแร็กนาร์พูด ทำสีหน้างุงงงกับคำพูดอีกฝ่าย
แม้เขาจะทำสีหน้างง แต่ก็ยังสแตนบายพร้อมจู่โจมทุกเมื่อ ถ้าอีกฝ่ายรู้แล้วว่าเขาไม่ใช่เพื่อนของเขาตัวจริง
“ใช่มะ นายคิดว่าหมอนั่นคือบุตรแห่งเทพโป้ปดหรือเปล่า? ฉันคุยกับสตาร์ลอร์ดมาว่า ลุคคนนั้นตายไปแล้ว อาจมีคนที่ใช้รูปลักษณ์ของเขามาทำเรื่องไม่ดี ฉันก็แค่ลองถามดู แบบว่าก่อนหน้านี้เราแทบไม่ได้ปรึกษากันเลย”
บุตรแห่งคำลวง ฉันคิดว่าอาจจะเป็นลูกของโดลอสละมั้ง ลุคงั้นเหรอ… แม้เฮอร์มีสจะเป็นเทพแห่งการขโมย แต่เขาไม่น่าจะแกมโกงอะไรขนาดนั้น นอกจากความเจ้าเล่ห์ หัวหมอในการทำการค้าของเขาละมั้ง” เดม่อนแร็กนาร์ตอบอีกฝ่าย เขาไม่แน่ใจว่าดีนต้องการอะไรจากการพูดคุยนี้กันแน่ หรือเจ้าตัวเริ่มสงสัยเขาอีกครั้งแล้วเหรอ แต่เขาก็ไม่น่าจะทำอะไรผิดแปลกนี่น่า
“อืม ฉันว่าเราปรึกษาเรื่องนี้กันก็ดีนะ นายสงสัยอะไรเหรอ ลองว่ามาสิ” เดม่อนแร็กนาร์พูดหยั่งเชิงอีกฝ่าย
มีชื่อของโดลอสออกจากปากคนที่เอมี่ส่งซิกเตือนเขาว่าอันตราย ถ้าแบบนี้ก็แปลว่าโดลอสอาจจะโดนใส่ร้ายป้ายสีอยู่ เขาไม่รู้ว่าเทพองค์นั้นนิสัยเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าชอบออกกิจกรรมให้เด็ก ๆ โกหกกันเสียเหลือเกิน
“ฉันยังไม่อยากฟันธงผู้ต้องสงสัยเพียงคนเดียว แล้วไหนจะมีเทพองค์อื่นอีกไหมที่เป็นเทพโป้ปด เห็นว่ามีจากฝั่งโรมันด้วยนี่ แล้วก็นอร์ส อินเดีย แล้วก็อะไรอีกเยอะแยะ… นายไม่สงสัยเทพอื่นบ้างเหรอ อย่างโลกิเงี้ย”
ตรงนี้ดีนพูดลอย ๆ ออกมาเพราะนึกออกอยู่แค่เทพเดียว
“นอกจากโรมันที่มีส่วนคล้ายกับกรีก นายคิดจริง ๆ เหรอว่ามีเหล่าเทพอื่นอยู่จริงน่ะดีน นายเองก็ไม่เคยเจอพวกเขานี่…” เดม่อนแร็กนาร์พูดขึ้น ก่อนเขาจะเดินเข้ามาใกล้ ๆ “ถ้าโลกนี้มีเทพทุกตำนาน นายลองคิดดูสิ แล้วสรุป ตำนานสร้างโลก ใครเป็นผู้สร้างกันแน่”
เดม่อนแร็กนาร์หยิบยกตำนานสร้างโลกขึ้นมา “แต่ถ้าโลกนี้มีเพียงโอลิมปัส นั่นแสดงว่าโลกนี้เกิดขึ้นจากทวด ๆ ของพวกเราใช่ไหมล่ะ ตำนานสร้างโลกของโอลิมปัสย่อมเป็นของจริง”
เทพีอะโฟร์ไดต์มองบุตรแห่งโพไซดอนด้วยความเอ็นดู ก่อนเธอจะเพิ่มอีกสักคำสองคำแล้วกัน ‘ความทรงจำย่อมแบ่งปันได้ แต่ความรู้สึกจากเบื้องลึกมิอาจแบ่งกันได้’
“แล้วทำไมนายถึงปักใจว่าเป็นโดลอสจังล่ะ ฉันยังไม่กล้าตัดสินเลยนะว่าเทพล้อเล่นองค์นั้นจะเป็นพ่อของคนร้ายจริง แน่นอนว่าฉันไม่ปักใจเชื่อว่าลูกของเฮอร์มีสหรือโลกิทำด้วย ส่วนตำนานการสร้างโลก… ฉันเชื่อบิ๊กแบงมากกว่า ถึงเทพเจ้าจะมีจริงก็เถอะ แต่จักรวาลมันน่าจะกว้างใหญ่มากกว่านี้”
ดีนชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงของเทพีส่งเข้ามาในหัวอีกครั้ง
‘ความทรงจำย่อมแบ่งปันได้ แต่ความรู้สึกจากเบื้องลึกมิอาจแบ่งกันได้…สอดคล้องกับลิเลียน่าที่นางพูดถึงก่อนหน้านี้หรือเปล่านะ?’
“โดลอสอาจไม่ได้เป็นคนขโมย แต่ลูกของเขาอาจจะถูกใครบางคนที่เป็นศัตรูกับเทพโอลิมปัสล่อลวง อย่างกรณีของลุคที่เขาต้องการสร้างความแตกแยกให้เทพโอลิมปัส และช่วยโครนอส” เดม่อนแร็กนาร์พูดย้ำเตือนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานของค่ายเรา หรืออาจจะนานสักพักแล้วก็เรียกแบบนั้นก็ได้มั้ง
‘ไอหมอนี่ขยันสืบค้นแฮะ’ เดม่อนพูดก่อนจะเบ้ปาก เขาไม่น่าอ่านบันทึกเก่า ๆ ของพวกรุ่นพี่เลย
“อืม ที่นายพูดมามีเหตุผล ขนาดฉันที่เป็นบุตรของโพไซดอนยังถูกลูกชายของเทพอะธีน่าด่าว่าเป็นลูกคนโง่อยู่เลย พ่อลูกแตกต่างไม่มีใครเข้าใจดีไปกว่าฉันอีกแล้วล่ะ”
ดีนแค่นหัวเราะ เขาถูกเอเตียนด่าจนเจ็บจี๊ดถึงทรวง แต่ที่เขาพูดเกริ่นเรื่องนี้เพราะจะวกเข้าถึงเรื่องของเด็กบ้านอะธีน่าอีกคนต่างหาก
“มีแต่ลินี่ที่ดีกับฉัน ดีใจกับนายจริง ๆ นะเดมี่ ว่าแต่ยังไม่รู้เลยว่าพวกนายคบกันได้ยังไง ช่วยเล่าความรู้สึกให้ฟังหน่อยได้ไหม แบบว่าฉันไม่อยากให้การเดินทางครั้งนี้มีแต่เรื่องเครียด ๆ น่ะ หาตรีศูล ต่อสู้สัตว์ประหลาด ถูกบุตรแห่งโป้ปดหลอกลวง วน ๆ ซ้ำไปงี้”
เดม่อนแร็กนาร์ที่เคยใช้เวลาว่างดูความทรงจำของเด็กคนนี้ อีกฝ่ายพูดถึงลินี่ หรือจะเป็นลิเลียน่าธิดาแห่งอะธีน่ากันนะ จากความทรงจำเหมือนเด็กคนนี้จะค่อนข้างรำคาญเธออยู่ประจำ ทั้งคอยบ่น จู้จี้
“นายน่ะโชคดีอะสิที่หล่อนดีด้วย กับฉันไม่ใช่เลย…” เดม่อนแร็กนาร์พูดโต้ตอบบุตรโพไซดอน “หล่อนทั้งจู้จี้จุกจิก นายไม่รู้หรอกว่าฉันต้องคอยหลบ ๆ เลี่ยง ๆ แอบหนีไปหาอสุรกายเพื่อฝึกฝนก็ต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ โคตรอึดอัดแค่ไหน!”
‘นายพลาดแล้ว ลิเลียน่าแม้ฉันจะรู้สึกรำคาญในความเข้มงวดของเธอบ้าง แต่ฉันรู้ดีว่าเธอห่วงใย เธอเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน ฉันไม่มีทางพูดอย่างที่นายพูดแน่’ เดม่อนแสยะยิ้ม เขาหวังว่าดีนจะจับพิรุธตรงนี้ได้
‘บ้าน่า ในความทรงจำนายก็แสดงออกชัดเจนขนาดนั้น มันไม่มีทางผิดพลาด!’ แร็กนาร์เถียงอีกฝ่าย
‘ใช่ ฉันเคยแสดงออกแบบนั้น แต่ทุกครั้งฉันก็ไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ก็แค่อยากจะพิสูจน์ตัวเองเพียงลำพังในบางครั้งบ้างที่จะต้องให้เธอเป็นพี่เลี้ยงตลอด แต่เธอเป็นทั้งครู และเพื่อนที่ดีที่สุดของผม’
“อ๋อ งี้นี่เอง” ผมดูสีหน้าดีนเหมือนเขาจะเริ่มเดาทางออกแล้ว
'ให้มันได้อย่างนี้สิดีน' เดม่อนพูดเชียร์ดีนให้จับได้ไว ๆ
‘เวย์สเตชั่นไม่ต้อนรับ พยายามป้ายสีโดลอส และรำคาญลินี่ แต่ต้องทำยังไงถึงจะจัดการหมอนี่ได้ล่ะ?’
เมื่อวานดีนจัดการกับเงาของบุตรแห่งคำลวงได้และรู้ว่านั่นคือตัวปลอม แต่กับเดม่อน… ครั้นจะให้จู่ ๆ เอาหอกไปทิ่มเขาก็ไม่กล้าทำ
‘โอ๊ยย เทพแห่งปัญญาก็ดี เทพแห่งความงามก็ดี ช่วยหน่อยได้ไหมที่จะไล่ผีร้ายออกไปจากเดมี่!!!’
“ดูเหมือนต้องเก็บนายเองแล้วสินะ ตอนแรกว่าจะให้ไฮดร้าเป็นคนจัดการอุตส่าดึงดูดพวกมันมา” เดม่อนแร็กนาร์พูดขึ้นก่อนจะเผยรอยยิ้ม
ตอนนี้เขาต้องแบ่งจิตใจออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งสู้กับเดม่อนในจิตใต้สำนึกของร่างนี้ และอีกส่วนก็คุมร่างนี้ เขาไม่รู้ว่าร่างนี้จะมีพลังเพียงพอจะจัดการบุตรมหาเทพตรงหน้าหรือเปล่า
“ตายซะ” เดม่อนแร็กนาร์พูดก่อน ชักดาบพุ่งจู่โจมเขา แต่ตัวเขาเบี่ยงตัวหลบทวนและใช้โล่อีกมือปาอัดอีกฝ่ายระยะประชิด
‘นายจบแล้วล่ะ’ เดม่อนพูด ก่อนพยายามสุดกำลัง ในการพุ่งเข้าต่อสู้ด้วยกำปั้นกับอีกฝ่าย เพื่อชิงการควบคุมกลับมา ขอแค่ก่อกวนเขา ช่วยให้ดีนจัดการหมอนี่ได้ก็เพียงพอแล้ว
เฮ้อ เผยไต๋ออกมาเองจนได้ จะบอกให้ว่าเคยกับนายแล้วเหนื่อยมาก”
ดีนรู้ว่าเจ้าคนที่ปลอมเป็นเดม่อนต้องรำคาญแน่ ๆ เพราะเขามัวแต่พูดมากยียวนไปหมด จะว่าเป็นนิสัยที่เป็นอยู่ก็ใช่ แต่ดีนรู้ว่าเดม่อนตัวจริงจะต้องไม่โกรธแน่
“แกเอาเดมี่ไปซ่อนไว้ที่ไหน!”
ดีนแทงหอกสวนเข้าไปพร้อมกับที่ต้องหลบทั้งโล่และดาบของอีกฝ่ายที่พุ่งเข้าหา แต่จากการต่อสู้ของเมื่อวานและจากวันนี้ตอนที่อีกฝ่ายแสร้งทำเป็นสู้กับไฮดร้าดูเหยาะแหยะว่าตัวเขาที่ไม่เก่งการต่อสู้เสียอีก โชคดีแค่พลังของสายเลือดทีให้อึดถึกทนเป็นพิเศษแค่นั้นแหล่ะ
ดีนเพ่งกระแสจิตหาสายน้ำใต้ท่อระบายน้ำ จากนั้นก็พยายามดึงมันขึ้นมาแล้วควบคุมน้ำแรงดันสูงพุ่งไปข้างหน้า แม้ไม่ทำให้เกิดบาดแผลแต่บอกได้เลยว่าจุกแน่นอนถ้าโดนเข้าไป
แร็กนาร์เบี่ยงตัวหลบ แต่ปริมาณน้ำมีเยอะเกินไปจนเขาโดนบางส่วนกระแทกเข้ากับร่างกาย พลั่ก! ก่อนแร็กนาร์จะลุกขึ้นยืน ยกมือปาดปากด้วยความสะใจ เขาไม่ได้สู้แบบนี้มาสักพักแล้ว ดูเหมือนดีนจะน่าสนใจไม่น้อย
“เด็กคนนี้งั้นเหรอ ก็เขายืนอยู่หน้าแกไง ถ้าแกทำร้ายข้า ก็เท่ากับแกทำร้ายเด็กคนนี้ด้วย” แร็กนาร์พูดเสียงดังก้อง ก่อนจะหัวเราะด้วยความสะใจ ฮ่าฮ่า ๆ
‘หน๊อย’ เดม่อนที่กำลังกอดฟัดสลับกันกลิ้งกับแร็กนาร์ในจิตใต้สำนึก เขาจะทำยังไงดีที่จะก้าวผ่านนี่ไปได้ จนตอนนี้ทั้งสองอยู่ในท่ามวยปล้ำแล้ว ต่างฝ่ายต่างขยับขารัดคออีกฝ่าย
“อ้อ ไม่ได้แปลงร่างแต่สิงร่างเลยสินะ ไม่ต้องห้วงฉันจะนุ่มนวลกับเขาแน่”
ด้วยความไม่อยากทำร้ายเพื่อนจนหนักมือมากเกินไปดีนโยนหอกและโล่ทิ้งไปในจังหวะที่สร้างกำแพงน้ำขึ้นมาบดบังสายตา ซึ่งน้ำในท่อระบายน้ำก็จัดว่าสกปรกใช้ได้ แต่สำหรับบุตรแห่งอะโฟรไดท์ตัวจริงย่อมมีกลิ่นอายหอมหวานอยู่ตลอดเวลาและไม่จำเป็นจะต้องอาบน้ำ ส่วนเขาเปียกนิดหน่อยไม่เป็นไร พลังในตัวรีดน้ำออกจากเสื้อผ้าได้ ส่วนเรื่องกลิ่นค่อยว่ากันอีกที
ดีนสลายกำแพงน้ำออกจากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปต่อยเดม่อนเต็มแรง บอกได้เลยว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต่อยคน มันทำให้เขารู้สึกว่าข้อมือซ้นนิด ๆ
แม้ว่าเขาจะดึงพลังตัวเองมาใช้ไม่ได้เต็มที่เพราะร่างนี้มีขีดจำกัด ก่อนเขาสวนหมัดแลกกับเขา มืออีกข้างยกขึ้นจะฟาดโล่เข้าหน้าอีกฝ่าย
“รับโล่ไปซะ!” แร็กนาร์พูดก่อนทุ่มฟาดเต็มแรง
“ก็บอกว่าถ้าอยากจะไล่ข้าออกไปจากร่างนี้มีแต่ต้องฆ่าร่างนี้เท่านั้น! แกฟังไม่เข้าใจงั้นเหรอ”
เดม่อนที่ได้จังหวะ ก่อนวิ่งไปชิงไมค์และรีบพูดส่งเสียงออกไป
“ฆ่าผมเลยดีน เรามีภารกิจต้องไปทำต่อนะ นายอย่าลืม~~~” จู่ ๆ เสียงก็เปลี่ยนไป น้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงเป็นใยไม่มีรังสีพุ่งฆ่าเหมือนก่อนหน้า ก็ออกมาจากปากของชายตรงหน้าที่กำลังจู่โจมดีน
เอ๊ะเดี๋ยวนะทำไมอยู่ดี ๆ ห้วงจิตสำนึกผมก็เปลี่ยนไปเป็นเวทีการแสดงได้ล่ะเนี่ย โดยมีชายแปลกหน้าที่ผมเดาว่าคงเป็นบุตรเทพโป้ปดแย้งไมค์กลับไปถือ ดูเหมือนไมค์นั่นคงจะเป็นแกนกลางในการควบคุมร่างงั้นเหรอ หวังว่าอีกฝ่ายจะได้ยินนะ ก่อนถูกแย่งกลับไป และแร็กนาร์แยกเงาตัวเองเพิ่มอีกสองเข้ามารับมือกับผม ในขณะที่ตัวเองกำลังคุมร่างผม
เทพีอะโฟร์ไดต์พยายามส่งชิกให้ดีน ก่อนเธอจะกระซิบเด็กหนุ่มคนนี้อีกครั้ง เพราะเธอไม่อาจติดต่อถึงบุตรได้โดยตรง เหมือนมีอะไรบางอย่างกั้นกลางระหว่างเธอกับเดม่อน ทำได้เพียงฝากเขาแจ้งเดม่อน “ความรักชนะทุกสิ่ง”
ดีนยกแขนขึ้นมากันโล่ที่ฟาดเข้ามา ถึงไม่โดนหน้าแต่ก็ปวดแขนจนร้าว ไม่น่าถึงกับกระดูกหักแต่ว่ามันเจ็บจริง ๆ
“อะไร แกไม่ดีใจเหรอ นั่นฉันชกคนครั้งแรกเลยนะเว้ย แบบนี้ทั้งวันยังได้เลย”
ดีนพยายามยียวนคู่ต่อสู้ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะความอดทนต่อการกวนตีนต่ำกว่าเขามาก แล้วตัวเราก็ดันเก่งเรื่องแบบนี้เสียด้วย พูดมากจนคนชังขี้หน้าเนี่ย
“ไม่ เรื่องอะไรฉันต้องฆ่าคนล่ะ ทนไม่ไหวก็ตายไปเองสิ!”
ดีนลองใช้ท่ากระโดดถีบซึ่งเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน บอกได้เลยว่าถ้าไม่ได้วอร์มก่อนแล้วเจ็บกล้ามเนื้อมาก ๆ
และเป็นอีกครั้งที่เสียงของเทพีอะโฟรไดท์ดังแทรงเข้ามาในหัว ความรักชนะทุกสิ่งเนี่ยนะ?
‘คงไม่ใช่ว่าต้องจูบ… โอ้ม่ายนะ’
จู่ ๆ เขาก็ส่ายหน้าพั่บ ๆ ใช้วิธีที่ซื่อตรงกว่านั้นดีกว่า
“เดมี่ แม่นายบอกว่าความรักชนะทุกสิ่ง ต้องทำยังไงเหรอ?”
ดีนทั้งถามและคล้ายจะกวนประสาทคนที่สิงร่างอีกฝ่ายอยู่ด้วย เขาหลบหมัดอีกฝ่ายได้บ้างไม่ได้บ้าง งานนี้มีหน้าเขียวหน้าปูด
แร็กนาร์ถูกเตะกระเด็น ก่อนเขาพลิกตีลังกากลับมายืนหยัด ตอนนี้โล่และดาบหล่นกระจัดกระจายไปแล้ว แต่เขายังมีมีดสั้นที่แอบซ่อนไว้ หรือจะเรียกมีดปอกผลไม้จากห้องเก็บของนั่นดีนะ
แร็กนาร์แสยะยิ้มก่อนยกหมัดทั้งสองมาบีบส่งเสียงแกรก “อยากให้ได้ใช้หมัดใช่ไหม งั้นก็ได้”
แร็กนาร์ในร่างเดม่อนวิ่งพุ่ง เงื้อหมัดขึ้น เมื่อใกล้ถึงตัว เขาเบี่ยงตัวหลบครั้งหนึ่งก่อนกระแทกด้วยศอกตรงเข้าไปที่ใบหน้าอีกฝ่าย โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งหลัก
‘ห๊ะ ความรักอะไร หมายถึงตัวผมเหรอ(?)’ เดม่อนแม้จะเป็นบุตรเทพีแห่งความรักแต่เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความรักมากเท่าไหร่ จะเรียกว่าซื่อก็ไม่ผิด แต่ผมก็พยายามสู้สุดชีวิตอยู่เพื่อชิงการควบคุมนี่สิ สงสัยต้องออกแรงให้หนักกว่านี้
เทพีอะโฟร์ไดต์กุมขมับกับบุตรโพไซดอน แต่เธอก็ไม่อาจพูดอะไรเพื่อแทรกแซงได้มากมาย… เธอได้แต่หวังว่าเขาจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อกระตุ้นเดม่อนให้ฮึกเหิมมากกว่านี้ เหตุผลที่อีกฝ่ายโดนควบคุมร่างไปได้ เพราะอีกฝ่ายยื่นสวิตซ์ควบคุมให้เด็กคนนั้นไปเอง แต่ก็เพราะเล่ห์กลล่ะนะ
‘ลิเลียน่า’ เธอตัดสินใจส่งกระซิบอีกครั้ง ก่อนมีเสียงฟ้าร้องฟ้าคำรามดังกัมปนาถ อะโฟร์ไดต์รับทราบแล้ว หลังจากนี้เธอคงไม่สามารถแนะนำดีนได้มากไปกว่านี้แล้ว ซุสพิโรธใส่เธอหนักพอดู
“แกพูดอะไรของแกวะ ไอเด็กนี่คิดว่าคงตายไปแล้วล่ะ ข้ากดไว้มันแทบขยับตัวไม่ได้ ฮ่า ๆ มันคงจะได้ยินแกอยู่หรอก” แร็กนาร์พูดโต้ตอบอีกฝ่ายด้วยความสะใจ
หมอนี่เน้นต่อยหน้าอย่างเดียวจนดีนพอจะอ่านทางออก เขาปล่อยให้อีกฝ่ายต่อยแค่สองสามหมัดเท่านั้นแหล่ะ รีบก้มหลบศอกที่กำลังจะลอยเข้าหน้า คงคิดว่าโดนสินะ แต่เสียใจไอ้น้องเพราะพี่เร็วกว่า
ดีนกระโจนล็อคเอวของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วทุ่มเหมือนกับนักมวยปล้ำ เขาเรียกชื่อท่าไม่ถูกแต่ก็ทำเอาทั้งสองล้มกลิ้งไปกับพื้นด้วยกันโดยมีน้ำเหม็นฉึ่งจากท่อระบายน้ำเอ่อนองอยู่ที่พื้น
ดีนได้ยินเสียงของเทพีอีกครั้ง คราวนี้คล้ายได้ยินเสียงฟ้าผ่าเป็นแบคกราวน์ด้วย แม้ไม่เข้าใจทั้งหมดแต่คิดว่ามาถูกทาง ความรัก ลิเลียน่า เป็นอะไรที่สอดคล้องกัน เพียงแต่คำที่เขายียวนคนคุมร่างนั้นอาจส่งไปไม่ถึงเดม่อนเท่าไร
“แน่ใจ? ฉันก็กดแกไว้เหมือนกัน กินน้ำเน่าไปซะ”
ดีนควบคุมน้ำบนพื้นพ่นใส่หน้าคนปากมากด้วยความหมั่นไส้ ขอโทษนะเดม่อน แต่เขารู้ว่าอีกเดี๋ยวอีกฝ่ายจะกลับมาสะอาดเหมือนใหม่
“ลิเลียน่า นายรู้สึกยังไงกับเธอ อยากกลับไปหาเธอไหม!? ฉันน่ะโคตรจะอยากกลับไปหาแมคซี่เลยว่ะ เพราะงั้นเอากำลังใจตรงนั้นแล้วสู้มันซะ!!”
ดีนตะโกนออกมา ไม่รู้ว่าเสียงของเขาจะส่งไปถึงอีกฝ่ายไหม ถ้าได้ก็ดี เพราะว่าเขาไม่อยากฆ่าเพื่อน และไม่อยากมือเปื้อนเลือดเป็นฆาตกร
“ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่าเจ้าทำร่างนี้เจ็บเท่าไหร่ เจ้าเด็กนั่นก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น” แร็กนาร์พยายามสลัดอีกฝ่ายจากการโดนกด น้ำบัดซบเหม็นบรม นี่เขาไม่กลัวไอเด็กนี่จะแหวะตอนได้สติหรือไง ก่อนพยายามดิ้นจนใช้สองมือมาจับแขนทั้งสองที่กดเขา และบิดพยายามเปลี่ยนจากผู้ถูกกดเป็นกดคืน
“ไม่เบานี่เจ้าหนู แต่นี่ข้าเป็นแค่เงาไร้ความรู้สึก มีเพียงแต่แกทำให้เจ้าเด็กนั่นเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเหม็นกลิ่นน้ำเน่าเสียนี่ ตอนนี้ข้าคิดว่ามันคงสำสักน้ำเน่าตายไปแล้วมั้ง”
"อ๋อ เป็นแค่เงาแถมยังไร้ความรู้สึกด้วย”
ราวกับได้รับข้อมูลใหม่ แต่ถ้าพูดให้ถูกคือเฉลยตอกย้ำถึงสมมุติฐานเดิมของเขาเองมากกว่า
“นายนี่มันกระจอกชะมัด ฉันสู้ด้วยกำลังของฉันเอง แต่นายใช้แค่เงา แถมยังสิงร่างเพื่อนฉันอีก ถ้ารู้ว่าเป็นลูกของเทพองค์ไหนคงอายถึงนั่น พ่อนายจะอายไหมนะ? ไม่สิ เทพโป้ปดอาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้ ฉันโว้คอยู่แล้ว เพื่อนหญิงพลังหญิงสิดี แต่ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ของนายคงไม่ค่อยภูมิใจหรอกม้างที่มีลูกชายกระจอกที่ถึงยืมมือคนอื่นก็ยังแพ้ ไอ้กากเอ๊ย!!”
วันนี้ดีนปากแจ๋วอย่างไม่เคยเป็น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้จะออกมาเป็นแบบไหน แต่ดีนก็พยายามอย่างสุดกำลังที่จะทวงคืนร่างของเดม่อนกลับคืนมา หวังว่าการยั่่วยุของเขาจะทำให้เดมิก็อดที่สิงร่างเสียสมาธิ
จะกระทั่งเขาเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งค้างเหมือนรูปปั้น...

ช่วงก่อนหน้านี้ผมอาจจะเขียนไม่ค่อยดี เพราะพยายามสอบถามจากดีนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และปะติดปะต่อจากสายตาตอนที่ผมเป็นเอมแกรมของร่างตัวเอง ผมขอเรียกชื่อนี้ล่ะกัน วิญญาณมันก็จะแปลก ๆ เพราะผมยังไม่ตาย
ต่อจากนี้จะเป็นเวลา 11 โมงเช้าโดยประมาณ ผมพยายามนึกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้วงจิต.. ซึ่งต่อจากด้านบน ผมทำได้เต็มปอดเลยว่า น้ำเน่าสุด ๆ
‘แหวะ นี่ร่างเขากำลังเจออะไรเนี่ย’ เดม่อนพะอิดพะอมกลิ่นเน่าเสีย ถ้าเขาได้ควบคุมคืนเมื่อไหร่ต้องรีบชำระล้างยกใหญ่ เดม่อนตาโต เขาเหมือนได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงลิเลียน่า เขารับปากเธอจะต้องรอดปลอดภัยทุกครั้ง ไม่พาตัวเองมาเสี่ยงอันตรายแต่เขาก็ทำอีกแล้ว…
ไม่สิ เขาจะต้องรอดไปให้ได้ แค่นี้ก็ไม่ผิดต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับลิเลียน่าแล้ว… เดม่อนหลังอาเจียนน้ำเน่าเสร็จ เขาวิ่งชาร์จไปที่ไมโครโฟมสุดกำลัง ก่อนแย่งไมค์มาถือไว้
“ออกไปจากตัวผมให้หมดดดดพวกผู้บุกรุก!!!!” เดม่อนตะโกนสุดเสียง จนปากของเขาก็พูดออกไปด้วย ตะโกนอยู่เช่นนั้น เขาจะต้องยืนหยัดต้านแรงกดดันที่บุตรแห่งคำลวงคนนี้สร้างเอาไว้กดทับให้ได้ นี่คือความรู้สึกของซิลเวอร์แฮนด์สินะที่ต้องพยายามเพื่อให้มีตัวตน เดม่อนหลับตาลงนึกถึงลิเลียน่า
ก่อนสภาพห้วงจิตสำนักของเขาเปลี่ยนไปเป็นแสงสีขาวทั่วทั้งห้อง มองไม่เห็นกำแพงหรือพื้นเพราะเต็มไปด้วยแสงสีขาว ตรงหน้ามีหญิงสาวในชุดกรีกสีขาว ก่อนหันมา ใบหน้าแม่ยังเหมือนเดิม
อะโฟร์ไดต์ที่ยืนหันหลังอยู่ค่อย ๆ หันมาและพูดขึ้น “แม่ภูมิใจที่ลูกสามารถผ่านมาได้ การที่ลูกถูกควบคุมแบบนี้เพราะความรัก ลูกถึงยอมทิ้งแม้แต่ชีวิตจิตวิญญาณตัวเอง แม่จึงแนะนำดีนให้ใช้ต้นเหตุเพื่อแก้ไขปัญหา”
“แม่..แม่เป็นคนแนะนำดีนเหรอครับ ว่าแต่ช่วงวินาทีที่ผมแย่งการควบคุมกลับมา ผ..ผมรู้สึกพลังงานรอบตัวบริสุทธิ์”
“นั่นคือพลังความรักที่หล่อเลี้ยงโลกนี้ ขอเพียงลูกเชื่อมั่นใจความรักและโอบรับมันไว้ พลังจิตของลูกจะยิ่งแข็งแกร่ง…” อะโฟร์ไดต์พูดพลางยิ้มกับบุตรชาย เธอเดินเข้าไปใกล้ก่อนยกมือลูบใบหน้าบุตรชายตัวน้อย
“ผมไม่เข้าใจ…ผมต้องทำยังไง…” เดม่อนพูดถามเทพีอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
“สักวันลูกจะได้เรียนรู้และเข้าใจมัน” เทพีพูดขึ้นก่อนภาพตรงหน้าสลายไป ผมเหมือนโดนดูดบางอย่างแต่แท้จริงกำลังกลับเข้าสู่จิตใจตัวเอง ความทรงจำของตัวผมค่อย ๆ ไหลย้อนเป็นกระแสน้ำวนรอบตัวผม ตั้งแต่มาค่ายนอกจากดีน หรือพ่อที่เสียไป ก็มีลิเลียน่าที่ปรากฎทุกช่วงเวลาของความทรงจำ ผมยิ้ม… “ขอบคุณนะลิเลียน่า ครูและเพื่อนที่ดีที่สุด นายด้วยดีน”

ก่อนเดม่อนตื่นขึ้น แต่เขาไม่ได้สติ สูญเสียพลังมากเกินไปในการต่อสู้กับบุตรแห่งเงาลวง และรู้สึกร่างกายก็บาดเจ็บไม่น้อย ทำให้ลืมตาแทบไม่ขึ้น ร่างกายเดม่อนค่อย ๆ เข้าสู่นิทรา แต่เป็นการหลับที่สบายหายห่วง เพราะเขาเริ่มส่งเสียงกรน…
แม้จะลืมตาไม่ขึ้นแต่ก่อนเขาจะเข้าสู้ห้วงนิทราจริง ๆ ก็ไม่ลืมใช้พลังตัวเองชำระล้างคราบสกปรก ออกไปจากตัวจนหมดจด ราวกับอาบน้ำมาใหม่ กลิ่นมันรับไม่ไหวจริง ๆ
ในตอนนี้ผมคิดว่าทุกอย่างคงจะจบลงแล้ว ผมพยายามเค้นเสียงสุดท้ายก่อนหมดสติไปด้วยความเหนื่อยล้าออกมา
“ดีน ขอบคุณนะที่ชวนมาทำภารกิจนี้~~”
“เฮ้ เดมี่?” ดีนพูดเรียกผม
แม้เดม่อนจะสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาฟื้น แต่เขาก็ไม่มีแรงแม้แต่จะลืมตาหรือพูดอีกครั้ง...
“ไอ้บ้านี่ก็หลับตรงนี้เลยเนี่ยนะ ต้องให้ฉันแบกไปอีกสิปัดโธ่”
หลังจากที่ผมรับรู้ว่าดีนกำลังแบกร่างผมกลับไปสมทบกับไบร์ท ผมก็หลับยาวไม่ได้สติรับรู้อีกเลย จนถึงรถบัสก็ยังนอนอย่างสบายใจ