[มหาสมุทรอินเดีย]

[คัดลอกลิงก์]

หากท่านเป็นกึ่งเทพผู้หลงทาง สามารถสมัครสมาชิกเข้าร่วมกับเราได้ที่นี่ https://t.me/+etLqVX17bGg5ZjBl

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×


I N D I A N  O C E A N













⋘ คลิกที่ภาพเพื่อเยี่ยมชมโลกใต้สมุทร ⋙


I N D I A N  O C E A N

มหาสมุทรอินเดีย



          มหาสมุทรอินเดีย คือผืนน้ำขนาดใหญ่ที่โอบล้อมทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และคาบสมุทรอินเดียเอาไว้ พื้นผิวของมันสงบนิ่งและอบอุ่นในยามปกติ ทว่าภายใต้ความเงียบสงบนั้นกลับซ่อนเร้นความลับและอันตรายที่น้อยคนนักจะรู้ มหาสมุทรแห่งนี้เป็นแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิตและอสุรกายในตำนานที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าแห่งมหาสมุทรและอารยธรรมโบราณ


          กระแสลมมรสุมที่พัดผ่านมหาสมุทรอินเดียไม่ได้มีเพียงแค่การนำพาสินค้าและการค้า แต่ยังเป็นเส้นทางที่เชื่อมโยงเรื่องราวของตำนานเก่าแก่เข้าไว้ด้วยกัน ในยุคที่เหล่าบุตรแห่งเทพต้องออกเดินทางผจญภัย มหาสมุทรอินเดียได้กลายเป็นสมรภูมิสำคัญที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ตั้งแต่พายุใต้ทะเลที่เกรี้ยวกราด ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เกลียวคลื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นบททดสอบสำหรับผู้กล้าหาญที่ต้องเดินทางข้ามผืนน้ำแห่งนี้


          แม้จะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ภายในมหาสมุทรอินเดียยังคงมีซากอารยธรรมโบราณที่สาบสูญ และเกาะเล็กเกาะน้อยที่ซ่อนเร้นพลังอำนาจแห่งเทพเจ้าไว้ หากบุตรแห่งเทพคนใดสามารถเดินทางข้ามผืนน้ำแห่งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย พวกเขาจะได้พบกับทั้งขุมทรัพย์ล้ำค่าและศัตรูที่น่าเกรงขาม ที่รอคอยการมาเยือนของพวกเขาอยู่เสมอ





แสดงความคิดเห็น

God
โพสต์ 11109 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-19 13:03
โพสต์ 2025-11-10 21:48:02 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 10 เดือน พฤศจิกายน ปี 2025
ยามบ่าย เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ณ มหาสมุทรอินเดีย

ผิวน้ำของมหาสมุทรอินเดียสะท้อนแสงสีทองของยามบ่ายคล้อยจนดูเหมือนมีเปลวเพลิงระยิบระยับอยู่ทั่วทะเล เรือเฟอร์รี่ Aurora Mare ของคุณอาดิตแล่นไปอย่างมั่นคงบนคลื่นที่โยกเบา ๆ เสียงเครื่องยนต์ผสานเข้ากับเสียงนกทะเลที่บินตามอยู่เหนือหัว กลิ่นไอทะเลเค็มจาง ๆ ลอยปะปนกับกลิ่นดอกไม้จากหัวเรือที่อาดิตบูชาไว้ “Sit properly, sit properly!” เสียงของอาดิตดังขึ้นจากหัวเรือ สำเนียงอินเดียปนอินโดนีเซียของเขาชัดจนคำว่า properly กลายเป็น propahlee โมนีก้าหันไปพยักหน้ารับแบบงง ๆ ส่วนซูกิที่นั่งข้าง ๆ หัวเราะเบา ๆ แล้วพูดให้ “เขาบอกให้นั่งดี ๆ น่ะ เดี๋ยวล้ม”


“อ๋อ ขอบคุณนะ” โมนีก้ายิ้มแหย ๆ พลางยกมือจัดเสื้อคลุมให้เรียบร้อยก่อนจะถามกลับ “ก่อนนี้เขาถามใช่ไหมว่ามันอันตราย?”

“ใช่” ซูกิแปลให้เสียงเรียบ

“ค่ะ อันตรายนิดหน่อย” โมนีก้าตอบกลับพร้อมรอยยิ้มบาง แต่ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ อาดิตก็เริ่มร่ายยาวทันที


“Danger? Ha! You don’t know danger until you’ve seen wave big like mountain! I once sail near Sumatra, wave come boom! my boat almost fly! But I still alive, see? Nineteen years, never sink! Never!” เขาพูดพลางทำท่ามือประกอบเสียงอย่างภูมิใจ โมนีก้าทำหน้าเหมือนกำลังฟังภาษาต่างดาวเพราะมันคือภาษาอังกฤษที่รวมหลายชาติเอาไว้ตอนนี้เธอเริ่มติดอันดับสำเนียงแมนแชสเตอร์กับสำเนียงอินเดียผสมอินโดแล้วว่ายากที่สุในโลก “คือ... เขาว่าอะไรนะ?”


ซูกิหัวเราะเบา ๆ “เขาโม้เรื่องประสบการณ์การเดินเรือของเขาแหละ บอกว่าเคยเจอคลื่นสูงเท่าภูเขาแต่ไม่เคยล่มเลยนะ อยู่รอดมาได้สิบเก้าปี”

“สิบเก้าปี... โอ้พระเจ้า ฉันยังเรียนไม่จบมัธยมดีถ้าเป็นตอนนั้น” โมนีก้าพูดพึมพำ

อาดิตที่เหมือนจะจับความได้เพียงครึ่งที่โมนีก้าพูดแล้วยิ้มกว้าง “Yes, yes! Experience! You young girls safe with Captain Adit! This sea my friend!”


“...ดูมั่นใจในตัวเองดีเนอะ” โมนีก้าพึมพำกับซูกิ ก่อนจะหลุดหัวเราะเมื่ออาดิตหันมาโบกมือประกาศเสียงดัง “We travel many day, okay? Maybe two, three, maybe four! You get used to sea, trust me! Captain Adit knows the way, always!”


“เขาบอกให้เราไว้ใจเขา” ซูกิแปลให้พร้อมยักไหล่ “บอกว่าการเดินทางนี้จะใช้เวลาหลายวัน”

“แน่ล่ะสิ” โมนีก้าเหลือบมองผืนน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตา “คงไม่ถึงแค่พรุ่งนี้แน่ ๆ”

อาดิตหันกลับมาพูดต่ออย่างกระตือรือร้น “While on my ship, must follow sea rules! Very important!”

“เขาจะพูดถึงกฎเรือแน่ ๆ ฟังดี ๆ ล่ะ” ซูกิพูดก่อนทันทีเหมือนอ่านใจออก


จากนั้นไม่ทันจะได้อะไรอาดิตก็เริ่มเล่าอย่างภาคภูมิ “In Indonesia, we believe ocean have spirit, yes? Nyi Roro Kidul the Queen of the Southern Sea! She very powerful, very beautiful! Sometimes she visit sailor’s dream, tell them where not to go. You see front of boat?” เขาชี้ไปยังหัวเรือที่มีพวงดอกไม้สดและเครื่องหอมวางไว้ในถาดไม้ไผ่ “That for her, we give perfume, flowers, she protect journey!” โมนีก้ามองตามมือที่ชี้ตรงนั้นไปตามดวงตา สายตาของเธอเห็นพวงมาลัยดอกไม้แล้วอุทานเบา ๆ “สวยจัง... นั่นคือเครื่องบูชาเหรอ?”


“ใช่ เขาบอกว่าบูชาเทพีทะเลใต้ชื่อ... Nyi Roro Kidul” ซูกิแปลพลางหันไปมอง “เชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทะเลฝั่งนี้”

“ฉันนึกว่าเขาจะเน้นวัฒนธรรมอินเดียซะอีก แล้วของอินเดียล่ะ?” โมนีก้าถามอย่างสงสัย


อาดิตได้ยินพอดี เขาก็ไม่รีรอที่จะหันมายิ้มกว้างแล้วจ้อไม่หยุดตามสไตล์คนช่างจ้อ “Ah! In India we also pray Ganga Devi! River goddess, very holy! Water from her purify all! So I give coconut and incense for her too!” โมนีก้าหัวเราะเบา ๆ “สองวัฒนธรรมในเรือลำเดียว ฉันชอบนะ” อาดิตหัวเราะร่วนเพราะเขาเองก็เป็นจุดกำเนิดของสองวัฒนธรรมเหมือนกัน “Yes! Double protection! No ghost can touch this boat!” แล้วเขาก็ลดเสียงลง ทำหน้าขึงขังขึ้นนิดหนึ่ง “But... remember this. If you see or hear something strange don’t talk, don’t greet, okay?”


“อะไรแปลกหรอคะ?” ซูกิถามอาดิตนิดหน่อยเพราะอยากรู้เพิ่ม


“Spirit,” อาดิตตอบพลางยกนิ้วแตะริมฝีปาก “Spirit of the boat ‘Mae Yaa Naang’... very strong spirit!” เขาออกเสียงแบบอินเดียชัดจนคำว่า แม่ย่านาง ฟังเหมือน ‘เม่-ยา-นัง’ เสียมากกว่า (จากใจคนที่กำลังอึนบอกเลยเป็นไอ้หมอนี้แล้วฮาชิบหาย) โมนีก้าทำหน้างงตอนได้ยิน “แม่ย่านาง? คืออะไรเหรอคะ?”


“She... how you say... goddess of ship, protector spirit! She keep boat safe. But she don’t like rude people, so always be polite. Say thank you to sea, to wind, to wave!” อาดิตเอ่ยบอกอย่างภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองรับรู้และเชื่อ ความเชื่อของมนุษย์นี้ช่างชัดเจนและแรงกล้าจริง ๆ  “แม่ย่านางคือเทพีผู้คุ้มครองเรือน่ะ” ซูกิช่วยสรุปสั้น ๆ ให้เพื่อน “ห้ามพูดหยาบ ห้ามล้อเลียน ไม่งั้นโดนโยนลงทะเลแน่ ๆ”


“เอ่อ... โอเค” โมนีก้ายิ้มแหย ๆ “ฉันจะไม่ทักใครก่อนแน่ถ้าเห็นคนใส่ชุดเขียวลอยอยู่กลางคลื่น”

ซูกิหัวเราะเบา ๆ “ดีมาก เธอเริ่มเรียนรู้แล้วสินะ”

อาดิตหัวเราะร่วนอีกครั้งตอนที่เห็นโมนีก้าเหมือนทำหน้าหวาด ๆ เล็กน้อยกับสิ่งที่เขาเล่า “Good! Good girls! You learn fast! Now relax, enjoy sea wind. Captain Adit take care!” ลมทะเลพัดแรงขึ้นอีกนิด เส้นผมของโมนีก้าปลิวสยาย เธอหลับตารับกลิ่นไอเค็มและเสียงคลื่นซัดเบา ๆ ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้ อีกใจก็อดคิดไม่ได้ว่า... ถ้าทะเลแห่งนี้มีเทพีคอยปกป้องจริง บางทีพวกเธอก็คงต้องพึ่งพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นเช่นกัน



เดินทางวันที่ 01

[TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ

พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ TGC +5

กลิ่นหอมจาก น้ำหอมเฮคาที - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +10

(ทุกครั้งที่โรลเพลย์ลงท้ายด้วยเลขไบต์ 0 5 7 9 ทำให้ได้รับความโปรดปรานจาก NPC TGC SP Lares Satyr ได้รับความโปรดปราน+10)

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ เพิ่มขึ้น 22 โพสต์ 2025-11-11 09:39
โพสต์ 35735 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-10 21:48
โพสต์ 35,735 ไบต์และได้รับ +15 EXP +25 เกียรติยศ +25 ความกล้า +25 ความศรัทธา จาก สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต  โพสต์ 2025-11-10 21:48
โพสต์ 35,735 ไบต์และได้รับ +15 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความศรัทธา จาก เนตรแห่งฟีบี้  โพสต์ 2025-11-10 21:48
โพสต์ 35,735 ไบต์และได้รับ +15 EXP +15 เกียรติยศ +20 ความศรัทธา จาก น้ำหอมเฮคาที  โพสต์ 2025-11-10 21:48
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-11-11 19:51:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 11 เดือน พฤศจิกายน ปี 2025

ตลอดทั้งวัน ณ มหาสมุทรอินเดีย


เสียงเครื่องยนต์เรือเฟอร์รี่ Aurora Mare ยังคงดังคลออยู่ใต้ท้องทะเล แม้ผ่านมาหนึ่งวันเต็มแล้วแต่ขอบฟ้ายังทอดตัวเป็นเส้นตรงไม่มีวี่แววของแผ่นดิน เสียงคลื่นซัดแผ่วเบาเป็นจังหวะที่คงที่เหมือนเสียงหัวใจของเรือที่ยังคงเต้นอยู่ทุกนาที ลมทะเลพัดแรงเป็นระยะ ทำให้ผมสีน้ำตาลเข้มไฮไลส์ของโมนีก้าปลิวสะบัดจนต้องใช้มือรวบไว้ เธอยืนพิงราวเรือขณะมองออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา “ยังไม่ถึงอีกเหรอ?” เธอถามออกมาเบา ๆ


อาดิตที่ยืนอยู่ข้างพวงมาลัยหัวเรือหันกลับมายิ้มกว้าง “Ah! Not yet, not yet! Sea long, yes? For normal sailor maybe many, many days twenty, maybe thirty!” เขาหัวเราะร่วน “But me, Captain Adit? Eight days only! Fast like wind!” ซูกิพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันมาพูดกับโมนีก้า “เขาว่าคนอื่นอาจต้องหลายสิบวัน แต่เขาขับเองใช้แค่แปดวันก็ถึงแล้วล่ะ”


โมนีก้าทำหน้าปลง “อืม... ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่ขับหลงนะ”


วันนั้นทั้งวันผ่านไปในกลิ่นเค็มของทะเลและแดดแรงจนแทบแสบผิว พวกเธอช่วยกันทำความสะอาดเรือ ขัดพื้นไม้ เช็ดพวงมาลัย และจัดเครื่องมือให้เข้าที่ อาดิตยังอุตส่าห์สอนวิธีขึงแหด้วยความภาคภูมิใจ ทั้งที่สองสาวไม่มีใครคิดจะจับปลาอยู่แล้ว เขายิ้มตลอดเวลาเหมือนคนที่อยู่กับทะเลมาทั้งชีวิต และความอบอุ่นแบบนั้นก็ทำให้บรรยากาศของเรือดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ตกค่ำ แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เหลือเพียงแสงจันทร์ขาวนวลส่องลงบนผืนน้ำเป็นทางยาว อาดิตปิดเครื่องและทิ้งสมอ ก่อนจะบอกเสียงอู้อี้ว่า “Captain need sleep now, okay? Night sea sometimes talk too much... but you ignore it, yes?” แล้วก็หัวเราะก่อนเดินเข้าห้องพักด้านใน


เสียงคลื่นกระทบเรือเบา ๆ กลายเป็นเพลงกล่อมกลางคืน โมนีก้านั่งบนกล่องไม้ข้างดาดฟ้า ส่วนซูกินั่งพิงข้างเธอ มือยังถือมีดพับที่ใช้ตัดเชือกเมื่อกลางวัน ทั้งคู่เงียบไปครู่หนึ่ง ฟังเสียงทะเลแทนบทสนทนา “เธอรู้ไหม” โมนีก้าเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว “ภารกิจแรกของฉัน...มันเริ่มหลังจากเราแยกกันได้แค่สองอาทิตย์เอง”


ซูกิหันมามองทันที “ฉันจำได้ ตอนนั้นเธอหายไปเป็นเดือนเลย”

“ใช่... ตอนนั้นฉันไม่เต็มใจจะไปเลยด้วยซ้ำ” เธอหัวเราะเบา ๆ แต่ไม่มีแววขำในดวงตา “พอรู้ตัวอีกทีฉันก็โดนวาร์ปไปกลางที่ ๆ ไม่รู้จัก ถูกสั่งให้ช่วยเหลือภารกิจนั่นแบบไม่มีเวลาเตรียมตัวเลย...” เสียงคลื่นเงียบลงในใจของซูกิทันที เธอไม่ได้พูดแทรก แค่ฟังอย่างตั้งใจ


“มันโหดร้ายมาก ซูกิ” โมนีก้าเงยหน้าขึ้นมองดาว “ฉันต้อง...ฆ่าคน ต้องสู้กับพวกที่ยังมีชีวิต ทั้งมนุษย์ ทั้งปีศาจ ทั้งพวกที่แค่หลงผิด” เสียงของเธอสั่นนิด ๆ “แล้วก็โดนพวกองค์กรชั่วร้ายตามล่าทุกวัน มีวันหนึ่ง...ฉันเจอเทพปริศนาของพวกมาย าหลังจากนั้นฉันก็ต้องเจอเดมิก็อดที่โดนเอาไปทดลองกลายเป็นอสรุกาย… มันแย่มาก ซูกิ ฉันคิดว่าตัวเองจะตายตอนนั้น...แต่ก็ยังรอดมาได้” โมนีก้าหลับตา สูดลมหายใจลึก “ตั้งแต่วันนั้นมุมมองของฉันต่อโลกเปลี่ยนไปเลยนะ ฉันไม่รู้จะเรียกมันว่ายังไง แต่...มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”


โมนีก้ายกมือขึ้นมองสร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตที่แม่มอบให้ก่อนหน้านี้ แสงจันทร์สะท้อนกับเม็ดแก้วเล็ก ๆ จนเกิดประกายอ่อน “ตอนนั้นฉันแค่คิดว่าอยากช่วย อยากทำดี แต่สุดท้ายมันมีราคาของมันเสมอ” ซูกิที่ฟังเงียบ ๆ มาตลอดยื่นมือมาลูบหัวเพื่อนสาวอย่างอ่อนโยน “ฉันรู้...” เธอพูดเบา “ฉันไม่เคยถาม เพราะรู้ว่าเธอไม่พร้อมจะเล่า แต่ตอนนี้...ฉันดีใจที่เธอยังอยู่ตรงนี้”


โมนีก้าหัวเราะในลำคอเบา ๆ “อย่าพูดเหมือนฉันตายสิ”

“ก็เธอรอดมาได้จากเรื่องแบบนั้น ฉันว่ามันน่าชื่นชมแล้วล่ะ” ซูกิพูดเรียบ ๆ แต่น้ำเสียงนั้นอบอุ่นจนโมนีก้ารู้สึกใจอ่อน

“ขอบคุณนะ ซูกิ” เธอพูดแผ่ว ๆ ก่อนจะพิงไหล่เพื่อนสาวเช่นเดียวกัน

“ฉันอยู่ตรงนี้แหละ ไม่หนีไปไหน” ซูกิว่าพลางยกมืออีกข้างตบไหล่โมนีก้าเบา ๆ “แล้วก็ไม่ต้องเก็บคนเดียว เข้าใจไหม?”

โมนีก้าพยักหน้า ยิ้มบาง ๆ พลางมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาว “เข้าใจแล้ว...”


ต่อมาช่วงกลางดึกคลื่นทะเลยามค่ำคืนที่มีแสงพลบค่ำซัดกระทบเรือ Aurora Mare เสียงน้ำกระแทกตัวเรือดังก้องราวกับคำเตือนของสิ่งที่กำลังจะมา ขณะลมเค็มพัดแรงขึ้นจนผ้าคลุมไหล่ของโมนีก้าโบกสะบัด เธอนั่งอยู่ตรงข้างหัวเรือ มือถือถ้วยชาร้อนในอุ้งมือ ในขณะที่ซูกินั่งพิงราวข้าง ๆ ฟังเรื่องที่เพื่อนเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงเงียบต่ำแต่แฝงด้วยความอบอุ่น “ตอนนั้น… ฉันไปทำภารกิจแรกหลังแยกกับเธอไม่นานน่ะ มันมีคนช่วยฉันไว้ เขาชื่อเลสเตอร์” เสียงเธอเบาลงเหมือนกลัวคลื่นได้ยิน “เขาอยู่กับฉันแทบทุกช่วงเวลานั้น คอยช่วย คอยดึงฉันขึ้นจากนรกหลายครั้ง จนฉัน…เผลอชอบเขาเข้าให้”


ซูกิยกคิ้ว “เลสเตอร์? อยู่ค่ายจูปิเตอร์เหรอ? เดมิก็อดสายเลือดอะไรล่ะ หรือเลกาซี่?”

โมนีก้าหลุดหัวเราะในลำคอมีความเลิ่กลัก “เอ่อ… เขาเป็นคนธรรมดา (มั้ง) แต่พิเศษนิดหน่อย”

ซูกิหัวเราะในลำคอด้วยน้ำเสียงประชดเบา ๆ “ฟังดูไม่เหมือนคนธรรมดาเลยนะ ฉันว่านะ คนที่จะคบกับเธอได้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ”

"เอ่อน่า... ก็แบบว่า เดี๋ยวเธอก็รู้จักเขาเองนั้นแหละ ถ้าว่าง ๆ จะพามารู้จัก" โมนีก้ารีบบอกกับเพื่อนสาวแบบนั้น ไม่อยากโดนจับได้แล้วค่อยเข้าเรื่องต่อ

โมนีก้าหันไปมองเพื่อน พลางยิ้มกว้าง “ฉันสารภาพรักเขาที่โรม แล้วก็หนี แต่สุดท้ายเขาก็มาหาฉันจริง ๆ ที่ค่าย แล้วเราก็...คบกัน” น้ำเสียงเธออ่อนลงคล้ายคนที่กำลังระลึกถึงสิ่งงดงามที่สุดในชีวิต แต่ก่อนที่บรรยากาศจะได้อบอุ่นต่อ เสียง “ครืน!” ใต้ท้องเรือก็ดังสะเทือนราวกับมีบางอย่างชนเข้ากับตัวเรืออย่างแรงจนเรือเอียง เสียงเครื่องยนต์ดังผิดจังหวะพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนจนชาในมือของโมนีก้าหกกระเซ็นไปมา โมนีก้าที่ได้ยินแบบนั้นเธอก็ขมวดคิ้วอย่างเห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธอรับรู้ถึงอันตรายที่ไม่เคยรู้มาก่อนในช่วงเวลาแห่งคตวามสงบสุขที่ไม่อาจอยู่ได้นานนักของพวกเดมิก็อด "เอาอีกแล้วสินะ ไม่เคยได้อยู่แบบสงบ ๆ สักทีสิน่า งานนี้" โมนีก้าบ่นแบบนั้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด เหมือนว่าเธอรู้อยู่แล้วว่าต้องเจออะไรแบบนี้จนได้สักที บ่งบอกว่าเธอไม่ชอบมันอย่างแรงและเหนื่อยกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแรงด้วยเหมือนกัน


“อะไรกัน!?” ซูกิรีบคว้าอาวุธข้างตัวในทันที เธอหันมองผืนน้ำรอบข้างที่ตอนนี้กลายเป็นความมืดลึก นิ่งผิดปกติ...ก่อนที่ฟองน้ำจำนวนมหาศาลจะปะทุขึ้นจากด้านล่าง “มีอะไรอยู่ใต้เรือ!” เสียงคำรามต่ำ ๆ ดังลอดผ่านน้ำ ราวกับเสียงเหล็กขูดกันก่อนที่บางสิ่งมหึมาจะพุ่งขึ้นจากทะเลร่างของลูซก้า อสุรกายลูกครึ่งฉลามขาวและหมึกยักษ์ โผล่ขึ้นมาพร้อมเสียงกู่ก้องสะเทือนฟ้า หนวดขนาดยักษ์หลายเส้นสะบัดขึ้นมาพร้อมกันจนคลื่นสูงเท่าผนังตึกสาดเข้าหาเรือ “โมนีก้าระวัง!” ซูกิเอ่ยกับทางโมนีก้า แต่ทันทีที่หนวดแรกฟาดลง โมนีก้าก็ยกมือซ้ายขึ้นแสงสีเขียวมรกตปะทุออกจากสร้อยเมล็ดพันธุ์บนข้อมือ พลังชีวิตแผ่ซ่านออกจากร่างเธอราวกับเปลวไฟแห่งพงไพร


เถาวัลย์ยักษ์ที่งอกออกจากพื้นไม้ของเรือพันรัดหนวดมหึมานั้นก่อนที่มันจะฟาดซ้ำ “ซูกิ!” โมนีก้าตะโกน “ปกป้องเรือไว้ ฉันจะจัดการพวกมันเอง!”

“เธอบ้าไปแล้ว!” ซูกิร้องกลับแต่ก็รู้ว่าเถียงไม่ทัน เธอชักดาบมาร์สขึ้นมากระแทกกับพื้น “Fine! ฉันจะกันเรือไว้ให้!”


โมนีก้าเหยียบพื้นไม้ก้าวไปที่หัวเรือ แสงสีทองเริ่มเรืองออกจากดวงตาของเธอ เปิดใช้งานดวงตาของเธอดวงตามองทะลุนั้นส่องทะลุคลื่น ทำให้เธอมองเห็นชัดถึงเงาใต้ผิวน้ำที่กำลังพุ่งเข้ามาอีกสามตัว “ลูซก้า...” เธอกระซิบ ดาบสุริยคติเปล่งแสงขึ้นจากข้อมือซ้ายจนกลายเป็นคมดาบเรืองแสงขาวนวล “มาก็ดี...” เธอกระโดดขึ้นเหนือคลื่น ดาบในมือฟาดลงกลางอากาศ เส้นแสงจากคมดาบเฉือนผิวน้ำจนเกิดแรงระเบิดของเกลียวคลื่น เถาวัลย์จำนวนมหาศาลพุ่งตามจากเรือราวกับกองทัพแห่งธรรมชาติ รัดหนวดของอสูรกายไว้แน่น เสียงคำรามของมันดังจนฟ้าสั่น หนวดที่ถูกตัดกระเด็นลอยเต็มทะเล ขณะเลือดสีน้ำเงินเข้มเจือทองไหลกระเซ็นกลางอากาศ


ซูกิที่ยืนคุมเรืออยู่ข้างหลังแทบหยุดหายใจ เธอไม่เคยเห็นโมนีก้าแบบนี้มาก่อน ร่างเล็กที่เคยเอาแต่บ่นเรื่องฝึก กลับเคลื่อนไหวอย่างนักรบผู้เชี่ยวชาญ ดาบในมือของเธอฟาดฟันอย่างแม่นยำจนไม่พลาดจุดตายแม้แต่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่คมดาบกระทบตัวอสูร มันจะเปล่งแสงสีทองออกมาก่อนร่างนั้นสลายกลายเป็นละอองทองลอยขึ้นเหนือทะเล ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที...ความเงียบก็กลับคืนสู่ทะเลอีกครั้ง ตอนนี้สิ่งที่เห็นมันแทบจะคิดอะไรไม่ออกกันไปเลยว่าสิ่งที่เป็นนั้นมันอะไรกันแน่ ดวงตาของซูกินั้นเหมือนกับคนที่เหมือนไม่ค่อยเชื่อ ในภาพหัวของซูกิต่อโมนีก้าที่บ้านหมาป่ามันแตกต่างกันตอนนี้มากเกินไปจนเธอรู้สึกว่ามันแปลกจริง ๆ


น้ำทะเลรอบเรือเต็มไปด้วยละอองทองที่ลอยกระจายเป็นฝุ่นเรืองแสง เหมือนฝนดาวตกกลางน้ำ โมนีก้ายืนอยู่กลางหัวเรือ ผมของเธอปลิวสยายพร้อมหยาดน้ำที่เกาะบนแก้ม เธอหอบหายใจแต่ดวงตายังคงนิ่งไม่ไหวติง “...จบแล้ว” เธอพูดเบา ๆ ก่อนหมอบเข่าลงแตะพื้นเรือ เถาวัลย์ที่พันไว้สลายกลายเป็นผงแสงหายไปในอากาศ กลิ่นของดอกไม้และพืชพรรณแจ่มชัดอย่างเห็นได้ชัดแต่มันมีกลิ่นของอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้นอยู่ด้วยนั้นเอง มัน.. มันทำให้ซูกิพูดอะไรไม่ออกเลยเธอเหมือนกลืนอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจของตัวเธอเอง


ซูกิที่ยืนมองอยู่ข้างหลังค่อย ๆ เดินเข้ามา เธอมองภาพนั้นด้วยความตกตะลึง “โมนีก้า...” เสียงเธอเบาแทบไม่ออก “ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะ...” โมนีก้ายกมือขึ้นปัดเส้นผมที่เปียกออกจากใบหน้า “ฉันไม่อยากให้ใครต้องเห็นฉันแบบนี้หรอก แต่โลกมันไม่ใจดีกับเราแบบค่ายหรอก ซูกิ” โมนีก้าพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ แต่ในแววตากลับมีแสงเศร้าลึกซึ้งที่แผ่วราวกับแสงจันทร์ “สิ่งที่ฉันเจอมา... มันเปลี่ยนฉันไปแล้วจริง ๆ”


ซูกิเงียบไปนาน ก่อนจะยกมือมาวางบนบ่าของเพื่อน “ไม่ว่าเธอจะกลายเป็นใคร ฉันก็อยู่ข้างเธอเสมอ เข้าใจไหม”

โมนีก้ายิ้มบาง ๆ ทั้งที่ยังหอบ “อืม... ขอบใจนะ” นั้นคือคำสุดท้ายในคืนนี้ที่แสงทองจากละอองทะเลค่อย ๆ จางหาย ทิ้งไว้เพียงเรือที่แล่นอย่างเงียบงันกลางมหาสมุทรอันลึกลับ เสียงคลื่นยังคงซัดสาดเบา ๆ ราวกับกำลังรับรู้ถึงคำมั่นของเพื่อนทั้งสอง ลมทะเลพัดผ่านกลิ่นไลแลคอ่อน ๆ จากผิวของโมนีก้าผสมกับกลิ่นควันน้ำมันเรือ จนเกิดเป็นกลิ่นของการเดินทางและความเข้มแข็งในเวลาเดียวกัน และที่กลางผืนน้ำอันไร้ขอบเขตนั้น เรือ Aurora Mare ก็ยังคงลอยกลางลำมหาสมุทรอินเดียต่อไปในความมืด ทิ้งรอยแสงสะท้อนของจันทร์ไว้เบื้องหลังเหมือนเส้นทางแห่งความทรงจำที่ไม่มีวันจางหายไปไหน

เดินทางวันที่ 02

มีค่า LUK 95+ หน่วย จะได้รับวัตถุดิบ x2

ได้รับ หนวดลูชก้า จำนวน 6 ชิ้น 6 x 2 = 12 ชิ้น

ได้รับ เขี้ยวลูซก้า จำนวน 5 ชิ้น ชิ้น 5 x 2 = 10 ชิ้น


สรุป ได้รับ หนวดลูซก้า 6 ชิ้น, เขี้ยวลูซก้า 5 ชิ้น


[TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ

พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ TGC +5

กลิ่นหอมจาก น้ำหอมเฮคาที - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +10

(ทุกครั้งที่โรลเพลย์ลงท้ายด้วยเลขไบต์ 0 5 7 9 ทำให้ได้รับความโปรดปรานจาก NPC TGC SP Lares Satyr ได้รับความโปรดปราน+10)


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ เพิ่มขึ้น 22 โพสต์ 2025-11-11 20:07
โพสต์ 55229 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-11 19:51
โพสต์ 55,229 ไบต์และได้รับ +25 EXP +1 Point +40 เกียรติยศ +40 ความกล้า +40 ความศรัทธา จาก สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต  โพสต์ 2025-11-11 19:51
โพสต์ 55,229 ไบต์และได้รับ +15 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความศรัทธา จาก เนตรแห่งฟีบี้  โพสต์ 2025-11-11 19:51
โพสต์ 55,229 ไบต์และได้รับ +25 EXP +35 เกียรติยศ +55 ความศรัทธา จาก น้ำหอมเฮคาที  โพสต์ 2025-11-11 19:51
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-11-12 19:36:18 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 12 เดือน พฤศจิกายน ปี 2025

ตลอดทั้งวัน ณ มหาสมุทรอินเดีย


แสงแดดยามเช้าที่ทอดลงบนผืนน้ำสะท้อนระยิบระยับเหมือนผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินที่ประดับด้วยเพชรนับพัน เสียงคลื่นกระทบตัวเรือ Aurora Mare ดังสม่ำเสมอ ขับกล่อมให้การเดินทางในวันที่สามของพวกเขาเริ่มต้นอย่างสงบ อาดิตยังคงอยู่หลังพวงมาลัยในท่าทางคุ้นเคย มือหนึ่งถือพวงมาลัย อีกมือจับไมโครโฟนเล็ก ๆ เปิดเพลงอินเดียจังหวะร่าเริงแล้วฮัมตามไปอย่างอารมณ์ดีจนเรือทั้งลำแทบจะสั่นตามจังหวะเสียงร้อง


โมนีก้ากับซูกิยืนอยู่ตรงดาดฟ้า ทำความสะอาดและตรวจเช็กอุปกรณ์เรืออย่างเงียบ ๆ กลิ่นน้ำทะเลและน้ำมันเรือคลุ้งอยู่ในอากาศ “เธอเคยคิดบ้างไหมว่าพวกเราจะได้ทำอะไรแบบนี้นอกจากฝึกในค่าย” ซูกิพูดพลางโยนถังน้ำเค็มไปล้างแผ่นไม้พื้นเรือ 


โมนีก้ายักไหล่ตอบ “ไม่เลย แต่ก็ดีเหมือนกันนะ เหมือนได้เที่ยวฟรีแต่ต้องลุ้นว่าจะรอดไหม”
“พูดแบบนั้นไม่ได้นะ” ซูกิหัวเราะ “อย่าลืมสิว่าเราอยู่ในภารกิจจริง”


ระหว่างกลางวัน ทั้งคู่ผลัดกันช่วยอาดิตขัดเชือก จัดเสบียง และตรวจระบบเรือไปพร้อม ๆ กับการจับตาดูขอบฟ้า ไม่ให้มีสิ่งผิดปกติหรือเงาใต้น้ำใด ๆ โผล่มาอีก หลังเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ทุกคนต่างระวังเป็นพิเศษ แม้แต่เสียงคลื่นธรรมดายังทำให้ใจเต้นแรงขึ้นได้


ยามเย็นเมื่อดวงอาทิตย์ลดตัวลงแตะเส้นขอบฟ้า แสงสีส้มทองปกคลุมทะเลทั้งผืนราวกับถูกหลอมด้วยทองคำ อาดิตยังคงฮัมเพลงต่อไปไม่หยุดคราวนี้เป็นเพลงรักอินเดียเก่า ๆ ที่เขาแปลคร่าว ๆ ให้ทั้งคู่ฟังว่าเกี่ยวกับชายที่คิดถึงหญิงสาวในอีกฝั่งของทะเล โมนีก้านั่งพิงราวหัวเรือ ฟังเสียงคลื่นผสมกับเสียงเพลงนั้น ดวงตาเธอมองออกไปในความกว้างใหญ่จนไกลสุดสายตา เธอกอดเข่าตัวเองไว้แน่น เงียบอยู่นานก่อนจะพึมพำกับลมทะเล “คิดถึงจัง...”


ซูกิที่เดินมานั่งข้าง ๆ ได้ยินเข้าพอดี “คิดถึงใคร?”

“แฟนฉันน่ะ” โมนีก้ายิ้มบาง “ทำอะไรอยู่นะเลสเตอร์”

“อ๋อ... คนนั้นเอง” ซูกิพยักหน้า “เธอติดต่อเขาไม่ได้เหรอ?”


โมนีก้าเอนหัวลงกับแขนพาดบนหัวเข่า “ไม่ได้เลยน่ะสิ โทรศัพท์ของเขาก็ไม่มี จะส่งจดหมายก็ไม่รู้จะไปถึงเมื่อไหร่” เธอถอนหายใจเบา ๆ แล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง “ทำไมถึงไม่ยอมใช้โทรศัพท์เดดาลัสนะ ฉันว่ามันก็ไม่ได้ใช้ยากอะไรเลย...” ซูกิเลิกคิ้วแบบสงสัยนิดหน่อยเพราะราคามันก็ไม่ได้ถูก “เธอจะซื้อให้เขาเหรอ?”


“เคยคิดจะซื้อแล้ว แต่เขาไม่เอา” โมนีก้าหัวเราะในลำคอเบา ๆ “บอกว่าไม่อยากพกของที่ส่งสัญญาณได้ตลอดเวลามันวุ่นวาย”

ซูกิหันไปมองเธอ “เขานี่แปลกดีนะ ใคร ๆ ก็อยากมีโทรศัพท์ไว้คุยกับคนรักทั้งนั้น”

“ใช่ไหมล่ะ?” เธอหันมายิ้ม พลางมองเส้นขอบฟ้าที่เริ่มกลืนแสงสุดท้ายของวัน “แต่เขาก็เป็นแบบนั้นเสมอ... อยู่ ๆ ก็หายไปทีละหลายวัน แล้วก็กลับมาพร้อมรอยยิ้มบ้า ๆ กับคำพูดว่า ‘ขอโทษนะ ผมไปทำงานมาแต่ยังหล่อเหมือนเดิมนะ’ แบบนั้นตลอด” ซูกิขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัยในคำบอกของโมนีก้า “งานแบบไหนกัน ถึงต้องหายไปเป็นสัปดาห์”


โมนีก้าหัวเราะแผ่วเบา “งานที่เธอคงไม่อยากเชื่อแน่ ๆ ถ้าฉันบอก” เธอพูดจบเพียงเท่านั้น ก่อนจะเงียบไปชั่วขณะ สายลมพัดผ่านผมสีน้ำตาลเข้มที่ไฮไลต์สีฟ้าอิเล็กทริกจนมันปลิวสะท้อนแสงดวงอาทิตย์สุดท้ายที่กำลังลับขอบฟ้า ซูกิรู้ดีว่าโมนีก้าไม่ได้อยากเล่าเรื่องต่อ แต่ก็ไม่ถามซ้ำ เพียงแค่พูดเรียบ ๆ ว่า “เธอนี่รักเขามากเลยนะ”


“มากกว่าที่ตัวเองเข้าใจอีกล่ะมั้ง” เสียงของโมนีก้านุ่มจนแทบจะกลืนไปกับเสียงคลื่น “เขาช่วยฉันหลายครั้ง เขา... ทำให้ฉันรู้ว่าการมีใครสักคนที่ไม่ยอมปล่อยมือเราต่อให้โลกพัง มันเป็นยังไง” ทั้งสองนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงคลื่นและเสียงฮัมเพลงของอาดิตที่ยังดังแผ่ว ๆ จากท้ายเรือ เพลงนั้นกลายเป็นเหมือนเพลงกล่อมจากระยะไกลที่สื่อถึงใครบางคนที่อยู่ไกลเกินเอื้อม แสงสุดท้ายของวันดับลงท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นม่วงครามลึก โมนีก้ายังคงนั่งนิ่งมองเส้นขอบฟ้าที่ตอนนี้กลืนเข้ากับทะเลจนแยกไม่ออก เธอหลับตาแน่นและภาวนาในใจ แล้วเรือ Aurora Mare ก็ยังแล่นต่อไปกลางความเงียบสงบของราตรีที่เป็นช่วงเวลาพลบค่ำ เสียงคลื่นที่ซัดเบา ๆ กลายเป็นคำตอบแทนเสียงของคนที่เธอคิดถึงที่สุดในตอนนี้


เดินทางวันที่ 03

[TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ

พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ TGC +5

กลิ่นหอมจาก น้ำหอมเฮคาที - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +10

(ทุกครั้งที่โรลเพลย์ลงท้ายด้วยเลขไบต์ 0 5 7 9 ทำให้ได้รับความโปรดปรานจาก NPC TGC SP Lares Satyr ได้รับความโปรดปราน+10)


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ เพิ่มขึ้น 22 โพสต์ 2025-11-12 20:03
โพสต์ 26255 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-12 19:36
โพสต์ 26,255 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก แหวนเคลื่อนย้าย  โพสต์ 2025-11-12 19:36
โพสต์ 26,255 ไบต์และได้รับ +5 EXP +12 เกียรติยศ +12 ความกล้า +12 ความศรัทธา จาก สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต  โพสต์ 2025-11-12 19:36
โพสต์ 26,255 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 เกียรติยศ +5 ความศรัทธา จาก เนตรแห่งฟีบี้  โพสต์ 2025-11-12 19:36
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-11-13 17:58:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 13 เดือน พฤศจิกายน ปี 2025

ตลอดทั้งวัน ณ มหาสมุทรอินเดีย


วันที่สี่ของการเดินทางมาถึงท่ามกลางแดดแรงจัดของมหาสมุทรอินเดีย ฟ้าเปิดโล่งจนแทบไม่มีเมฆ ราวกับเทวะบนฟากฟ้ากำลังจับจ้องมาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ คลื่นทะเลสะท้อนแสงเป็นระยับเหมือนกระจกเงิน แสงนั้นส่องเข้าดวงตาของโมนีก้าจนต้องหยีตา เธอยืนพิงราวหัวเรือในชุดครอปขาวกับเบลเซอร์สีเบจ ผมสีน้ำตาลเข้มที่มีแถบไฮไลต์สีฟ้าอิเล็กทริกปลิวตามแรงลม กลิ่นไลแลคเจือเบอร์รี่ที่ติดตัวเธออบอวลอยู่รอบ ๆ ผสมกับกลิ่นเกลือทะเล


ซูกิเดินออกมาจากห้องเก็บของ ถือผ้าเช็ดมือในมือ ขณะมองเพื่อนสาวที่กำลังเหม่อมองฟ้าอยู่ตรงหัวเรือ “เฮ้... เธอนี่นะ” เธอพูดเรียบ ๆ แต่ยิ้มบางในมุมปาก “ตอนอยู่ค่ายก็บ่นอยากมีแฟน ตอนนี้มีแล้วก็เหม่อทั้งวันเลย” โมนีก้าหันมาค้อนใส่ซูกิเล็ก ๆ “ไม่ได้เหม่อสักหน่อย แค่คิดเรื่องสำคัญ”


“อ๋อ เหรอ...” ซูกิพูดเสียงลากยาวอย่างแกล้งแซว “เรื่องสำคัญนี่หมายถึงเรื่องคนชื่อเลสเตอร์นั่นใช่ไหมล่ะ?”

“แน่นอนสิ ก็เขาเป็นแฟนฉันนี่นา”

ซูกิหัวเราะในลำคอ “ไม่รู้สิ ป่านนี้เขาจะไปมีกิ๊กใหม่หรือเปล่า? เธอนี่มัวแต่ทำภารกิจอยู่นี่นะ” คำพูดนั้นเล่นเอาโมนีก้าชะงัก ก่อนที่ตาเธอจะเบิกกว้างเล็กน้อย “หา! ซูกิ!” เธออ้าปากค้างทันที “อย่าพูดแบบนั้นสิ!” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความตกใจปนไม่เชื่อ “เลสเตอร์ไม่ใช่คนแบบนั้น(????) เขาไม่มีวันทำแน่ ๆ!” แต่ปลายเสียงมีความอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะทุกคนรู้ คนอ่านรู้ คนแต่งรู้ว่าอะพอลโลหรือเลสเตอร์มันเป็นคนเจ้าชู้ประตูดินขนาดไหน 


“แหม ก็พูดเล่นนิดเดียวเอง” ซูกิหัวเราะ พลางยกมือขึ้นยอมแพ้ “แต่เห็นเธอหน้าแดงแบบนี้ก็แปลว่าคิดถึงเขาจริง ๆ ล่ะสิ” โมนีก้ากัดริมฝีปากเบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่กำลังลอยอยู่เหนือขอบฟ้า รอยยิ้มมุมปากของเธอแฝงแววหงุดหงิดเล็กน้อย “ถ้าแอบมีใครล่ะก็... เจอดีแน่ คุณเทพพระอาทิตย์” พูดจบ โมนีก้าก็หัวเราะเบา ๆ กับตัวเองเหมือนกำลังต่อว่าแฟนหนุ่มในอากาศ แต่ทันใดนั้นเอง รอยยิ้มของโมนีก้าก็จางหายไปช้า ๆ ดวงตาสีเทาเงินเริ่มเปล่งแสงสีทองละมุนจาง ๆ ราวกับแสงอาทิตย์ที่สะท้อนบนผืนน้ำ


เธอรู้สึกถึงบางสิ่ง พลังที่ไหลเข้ามาในร่างอย่างช้า ๆ อุ่นลึกจนถึงกระดูกสันหลัง หัวใจเต้นแรงกว่าปกติ เสียงคลื่นและเสียงของอาดิตที่กำลังฮัมเพลงอินเดียเบา ๆ อยู่ด้านหลังเริ่มไกลออกไป เธอไม่ได้ตั้งใจใช้พลัง แต่สิ่งนั้นตอบสนองต่ออารมณ์ของเธอเอง ความคิดถึง ความหวงแหน ความกลัวที่จะสูญเสีย เนตรแห่งฟีบี้... เสียงบางอย่างในใจเธอกระซิบ เหมือนเสียงของหญิงสาวผู้มีสติอันแจ่มชัดและอ่อนโยน 


เจ้าผู้ถือแสงแห่งชีวิต ผู้ฝักใจในดวงอาทิตย์...อย่าปล่อยให้ความกลัวบดบังแสงของเจ้า


โมนีก้านิ่งไปนาน แสงทองอ่อน ๆ ในดวงตาค่อย ๆ แผ่วลง แต่เธอก็รู้แน่ว่าพลังนั้นไม่ใช่แค่ภาพลวงตา มันตื่นขึ้นในตัวเธอจริง ๆ ความรู้สึกอุ่นจากกลางอกยังแผ่ซ่านอยู่เหมือนแสงของฟีบี้กำลังปกป้องหัวใจเธอไว้


“โมนีก้า?” เสียงของซูกิดังขึ้นอีกครั้ง ทำลายความเงียบ “เธอเป็นอะไรรึเปล่า หน้าซีดเลย”


โมนีก้ากะพริบตา ดวงตากลับเป็นสีเทาเงินดังเดิม “ไม่...ไม่เป็นไร แค่แสบตาไปหน่อย แสงแดดแรงไปนิด” เธอพยายามยิ้มกลบเกลื่อน พลางยกมือป้องหน้าจากแสงอาทิตย์ ข้างหลังนั้น อาดิตที่เป็นลูกครึ่งอินเดีย-อินโดยังคงร้องเพลงเสียงดังลั่น “Aja Aja! Dilwale Dulhania Le Jayenge!” พร้อมโยกหัวตามจังหวะอย่างเริงร่าในห้องเครื่องควบคุมเรือเฟอร์รี่ลำหรู ขณะที่ซูกิหัวเราะจนต้องส่ายหัว “หมอนี่นี่... ไม่เหนื่อยบ้างเลยหรือไงนะ” โมนีก้าหันไปมองภาพนั้น ทั้งที่ในใจยังคงรู้สึกถึงแรงสั่นเบา ๆ ของพลังแปลกประหลาดในร่าง เธอรู้ดีว่ามันคือสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือน แต่กลับเกิดขึ้นอย่างธรรมชาติ ราวกับเทพีไททันโฟเอเบผู้เฝ้ามองจากเบื้องบนกำลังทดสอบความมั่นคงในใจของเธอ โมนีก้ายกมือแตะหน้าอกเบา ๆ หัวใจเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้เพราะกลัว... หากเป็นเพราะรู้ว่าพลังนั้นเกิดจากความรักที่เธอมีต่อเขา คนที่เธอเรียกว่า เลสเตอร์ แต่โลกทั้งใบรู้จักในนาม อะพอลโล เทพแห่งแสงสุริยันผู้ห่างไกลชีวิตธรรมดา ๆ 


เธอแหงนหน้ามองดวงอาทิตย์อีกครั้ง ดวงตาเปล่งประกายราวกับกระจกสะท้อนแสงทอง “อย่าให้ฉันรู้เชียวนะ... ถ้ามีคนอื่นจริง ๆ นายเจอดีแน่” เธอพูดเบา ๆ แต่เต็มไปด้วยพลัง และที่ปลายหางตา... แสงทองอ่อน ๆ ก็ระยิบขึ้นอีกครั้งอย่างลึกลับ


ยามเย็นของวันทอแสงสีส้มอบอุ่นลงบนผืนน้ำของมหาสมุทรอินเดีย คลื่นโยกเรือเบามือราวกับกำลังกล่อมลูกน้อยให้หลับสนิท อาดิตหนุ่มอินโด-อินเดียผู้มสีผิวสีเข้มพิงราวเรือมองเด็กเดมิก็อดสองคนที่กำลังวุ่นอยู่กับเตาแก๊สพกพาบนดาดฟ้า กลิ่นเนยกับกระเทียมลอยคลุ้งไปทั่วลมทะเล ซูกิอยู่ในชุดลำลอง ใบหน้าสุขุมและนิ่งตามแบบฉบับนักรบลูกเทพมาร์ส แต่ตอนที่เธอควงตะหลิวกลับดูคล่องแคล่วแบบเชฟตัวจริงเสียยิ่งกว่า เธอหั่นปลาหมึกและกุ้งอย่างแม่นยำ ข้าวในกระทะถูกพลิกกลับขึ้นอย่างสวยงามจนได้ยินเสียง “ชุ่บ!”


“เสร็จแล้วล่ะ” ซูกิพูดเบา ๆ แต่มีความภูมิใจซ่อนอยู่ในน้ำเสียง “ข้าวผัดทะเลแบบญี่ปุ่น อร่อยแน่ เชื่อมือฉัน” โมนีก้าตาเป็นประกายทันทีจนกระทั่งส้อมของเธอจิ้มลงไปเจอแครอทหั่นเต๋าในจาน 


“…ทำไมต้องมีแครอท” เธอบ่นเสียงเบา

ซูกิปรายตามองเหมือนผู้ปกครองที่รู้ทันลูก “เพราะมันมีวิตามินเอ กินซะ”

โมนีก้าทำหน้ามู่ทู่ใส่อย่างเห็นได้ชัด “มันขม ไม่อร่อย” และเริ่มแอบดันแครอทไปที่ขอบจานแบบเนียน ๆ

ซูกิถอนหายใจยาวมองโมนีก้าที่ทำแบบนั้น “ฉันเห็นนะ”

“เห็นก็เห็นสิ แต่ฉันไม่กินของขม” โมนีก้าบอกอย่างภาคภูมิ แล้วเขี่ยต่ออย่างไม่ยอมแพ้

อาดิตหัวเราะดังลั่น แบบคนอินเดียแท้ที่หัวใจใหญ่ไม่แพ้ร่างแม้ว่าจะเป็นลูกครึ่งอินโดก็ตาม “Ah, Miss Blossom, you are very picky eater, yes?”

โมนีก้าตอบกลับ “Noooo— I just have standards” ทำหน้ามั่นใจแบบสาว Classy แต่ก็ยังเขี่ยแครอทต่อจนซูกิต้องเอื้อมมือมาหยิบไปกินแทน


อาหารเย็นผ่านไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงคลื่น และเสียงเพลงอินเดียของอาดิตที่ร้องผิดคีย์ทุกสามประโยค จนเมื่อดวงดาวไต่ขึ้นเหนือฟ้าและเรือทั้งลำเงียบสงบลง โมนีก้าก็ถือแท็บเล็ตเดดาลัสเดินออกมานั่งบริเวณหัวเรือ ลมกลางคืนเย็นแต่เธอยังคลุมด้วยโค้ทตัวบาง กลิ่นไลแลคหวานผสมกลิ่นเกลือทะเลจนรู้สึกเหมือนกลิ่นอุ่นของบ้าน เธอนั่งขัดสมาธิบนพื้นไม้ของดาดฟ้า วางแท็บเล็ตลงบนตัก แสงจากหน้าจอสว่างสะท้อนดวงตาเธอเป็นสีเงินวาว บนหน้าจอเป็นหัวข้อใหญ่ตัวแรกที่เธอเขียนไว้ด้วยลายมือหวัด ๆ แบบที่คนค่ายคงรู้ทันทีว่าเป็นของใคร


Brumalia Festival — งานของเหมายัน


เธอพึมพำกับตัวเองขณะจิ้มหน้าจอ “โอเค… พ้อยของงานคือเพิ่มกำลังใจในฤดูหนาวที่โหดที่สุด… งานกลางคืน… ไฟเต็มลานฝึก… ของกินต้องมีแน่… เพลงด้วย…” นิ้วเธอเลื่อนไปว่าพิมพ์ไป อย่างตั้งใจจนไม่รู้เลยว่าสีหน้าตัวเองกำลังอ่อนโยนขึ้นทุกนาที เธอค่อย ๆ เขียนกิจกรรมเรียงลงไป ในจังหวะนั้นที่ลมทะเลตีผมโมนีก้าปลิว เธอเอียงหน้าเล็กน้อยแล้วมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาว


“…เลสเตอร์กำลังทำอะไรอยู่นะ” เธอพึมพำเบา ๆ นิ้วเธอแตะแท็บเล็ตแทนปากกา แล้วเขียนต่อด้วยลายมือหวัด ๆ ที่ดูน่ารักจนอยากแกล้งแซว กิจกรรมส่งจดหมายถึงคนที่คิดถึง… เอาไหมนะ… โมนีก้าหยุดแล้วหลุดหัวเราะน้อย ๆ กับตัวเอง “หวานเกิ๊นน… เดี๋ยวคนในค่ายอิจฉากันทำยังไง” ลมพัดมาพร้อมกลิ่นมหาสมุทร โมนีก้าเอามือโอบแขนตัวเองพลางคิดถึงกองร้อย 2 ที่เต็มไปด้วยเด็กสาวที่กำลังจะต้องสู้กับฤดูหนาว ที่เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวเหมือนทุกปี โมนีก้าหันกลับไปมองเรือด้านใน เห็นเงาซูกิที่กำลังจัดอุปกรณ์เก็บเข้าที่ และอาดิตที่หลับคว่ำอยู่บนโซฟาพร้อมผ้าห่มผืนบาง… วันนี้คงไม่ได้นอนง่าย ๆ แล้วละมั้ง

เดินทางวันที่ 04

[TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ

พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ TGC +5

กลิ่นหอมจาก น้ำหอมเฮคาที - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +10

(ทุกครั้งที่โรลเพลย์ลงท้ายด้วยเลขไบต์ 0 5 7 9 ทำให้ได้รับความโปรดปรานจาก NPC TGC SP Lares Satyr ได้รับความโปรดปราน+10)


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ เพิ่มขึ้น 22 โพสต์ 2025-11-13 20:11
โพสต์ 43267 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-13 17:58
โพสต์ 43,267 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก แหวนเคลื่อนย้าย  โพสต์ 2025-11-13 17:58
โพสต์ 43,267 ไบต์และได้รับ +15 EXP +25 เกียรติยศ +25 ความกล้า +25 ความศรัทธา จาก สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต  โพสต์ 2025-11-13 17:58
โพสต์ 43,267 ไบต์และได้รับ +15 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความศรัทธา จาก เนตรแห่งฟีบี้  โพสต์ 2025-11-13 17:58
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-11-14 11:52:07 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 14 เดือน พฤศจิกายน ปี 2025

ตลอดทั้งวัน ณ มหาสมุทรอินเดีย


รุ่งเช้าของวันที่ห้าแสงแดดสีทองส่องผ่านผิวน้ำคล้ายผ้าซาตินที่ถูกเขย่าเบา ๆ ลมทะเลอุ่นกว่าเมื่อวานเล็กน้อย และอาดิตก็ยังคงฮัมเพลงอินเดียอย่างสบายอารมณ์ ขณะที่โมนีก้า… กำลังนั่งหน้าซีดอยู่บนม้านั่งข้างหัวเรือ เธอจ้องแท็บเล็ตเดดาลัสในมือ ดวงตาสีเทาเงินเบิกกว้างเหมือนจะหลุดออกมาได้ทุกเมื่อ ปลายนิ้วที่ทาเล็บเงาใสค้างอยู่ตรงประโยคที่เพิ่งถูกส่งกลับมาจากสภาเซเนท


“สภาอนุมัติให้ เซนจูเรี่ยน โมนีก้า เอ็ม. บลอสซัม

เป็นผู้ดำเนินการจัดเทศกาลบรูมาเลีย และเป็นประธานพิธีประจำปีนี้”


โมนีก้าอ่านซ้ำไปสามรอบ วนเวียนอยู่อย่างงั้น สมองที่ปกติฉลาดแบบสาวลูกเทพเซเรส ตอนนี้ขาวโพลนราวกับโดนเทพีหิมะฝากจูบแช่แข็งลงมากลางหน้าผาก แล้วเสียงก็ดังขึ้นจากอกเธอ…


“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”


เรือทั้งลำสะเทือนทันทีที่ได้ยินเสียงสะท้อนนั้น อาดิตสะดุ้งเหมือนโดนฟ้าผ่า เขาหยุดฮัมเพลงอินเดียแล้วหันมาถามเสียงดัง “WHAT happened?? Shark? Ghost? Kraken???” โมนีก้าเงยหน้าขึ้นเหมือนคนถูกแทงกลางอกด้วยความเครียด เธอชี้ไปที่แท็บเล็ต “ค-คือ… ฉัน… ฉันเป็นประธานพิธี… ปีนี้…” อาดิตทำหน้าไม่เข้าใจแต่ก็พึมพำเป็นสำเนียงอินเดียแบบงุนงง “Oh… is… that bad thing?”


“แย่มากค่ะ!” โมนีก้าร้องลั่น “ฉันไม่ได้สมัคร ฉันไม่ได้เสนอตัว แล้วสภามาอนุมัติทำไมคะ!! เป็นประธานพิธีนะ ประธานพิธี!! นี่ฉันจะต้องพูดเหมือนพวกผู้ใหญ่ใจเย็น เปิดงานต่อหน้าค่ายทั้งค่าย… ฮือออออออออ ค่ายมันมีคนตั้งเป็นพันนะ!!”


ซูกิที่เพิ่งเดินมาปิดประตูห้องเครื่องได้ทันเหตุการณ์พอดี เห็นโมนีก้าทำท่าจะกัดแท็บเล็ตจนต้องรีบวางของแล้วนั่งลงข้าง ๆ เธอ “ใจเย็นก่อนโม” ซูกิพูดเสียงนิ่งแต่ปากยกขึ้นนิด ๆ เพราะความขำ “ก็เป็นงานใหญ่จริงแหละ แต่เห็นไหม อย่างน้อยรอบนี้ไม่ต้องไปชนอสุรกายหัวหมึกอีกแล้วไง” สิ้นคำโมนีก้าหันมามองเพื่อนสาวด้วยสีหน้าเหมือนโดนซูกิทรยศทางอารมณ์ “ฉันอยากไปจัดการอสุรกายมากกว่าอีก!! อสุรกายเข้าใจกันง่ายกว่าสภาตั้งเยอะ!! อสุรกายมีอะไรเราก็ฟันมันตาย! แต่สภาเซเนท!? พูดอะไรลึกลับก็ไม่รู้ ทำเหมือนฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว! ฉันยังไม่อยากเป็นผู้ใหญ่ขนาดนั้นนะ!!”


ซูกิหัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “แต่เธอเป็นเซนจูเรี่ยน ก็เท่ากับเป็นวุฒิสมาชิกค่ายจริง ๆ นะโม ค่ายเขามองว่าเธอพร้อมแล้วน่ะสิ”


โมนีก้าเบ้ปากทันทีต่อคำนั้น “ฉันแค่เขียนแผนงานไปเฉย ๆ ไม่ได้บอกซักหน่อยว่าจะเป็นพิธีกรเปิดงาน! ฉันแค่…อยากช่วยให้เด็กกองร้อยมีความสุขในฤดูหนาว ไม่ได้อยากขึ้นเวทีพูดกับคนเป็นพัน… ฮือออ ความกดดันมันเยอะมากนะซูกิ…” ซูกิยื่นมือไปลูบหัวเพื่อน เป็นการปลอบใจแบบซูกิที่ง่าย ๆ แต่จริงใจ “เธอเก่งกว่าที่คิดนะโม ถ้าเป็นเธองานมันต้องออกมาดีแน่ ๆ แล้วก็…ตอนเธอฟาดลูซก้าหัวหมึก 10 นาทียังไง เธอก็ประธานพิธีได้แบบนั้นแหละ”


โมนีก้าร้องออกมาทั้งโกรธทั้งเขินกับคำแซว “นั่นมันคนละเรื่องงงงง!!”


อาดิตที่ยืนฟังอยู่ไกล ๆ หัวเราะพรืดแล้วพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดีย “Don’t worry, Miss Blossom! You fight monster, you fight panic. Same thing!” โมนีก้าหันขวับไปหาเขาตาขวางทันที “มันไม่เหมือนกันค่ะ!!” แต่แล้วเธอก็ก้มหน้าจนผมไหลมาปิดแก้ม ใบหน้าแดงระเรื่อ แววตากังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่ตรงนั้นเล็กน้อยมีประกายบางอย่างที่ซูกิมองเห็น ความภาคภูมิที่แอบซ่อนลึก ๆ


“…ฉันแค่…” โมนีก้าบ่นอุบ “ยังทำใจไม่ได้ว่าต้องเป็นประธานพิธีจริง ๆ …แค่คิดว่าทุกคนจะต้องมองขึ้นเวทีมาเห็นฉัน…” โมนีก้าเอ่ยก่อนที่จะพ่นลมหายใจแล้วนั่งอึน “รู้สึกเหมือนหัวใจมันจะเด้งออกมาเลยอ่ะ…” ซูกิที่ได้ยินก็เลยนั่งพิงราวเรือ ยิ้มบางแล้วหันมาแซวเพื่อนสาวของตนเอง “เอาน่า เดี๋ยวพ่อแม่แล้วก็แฟนเธอรู้ว่าเธอได้เป็นประธานพิธี พวกเขาคงภูมิใจแทบระเบิดแน่ ๆ”


โมนีก้าชะงักกับคำนั้น แก้มขึ้นสีชมพูชัดเจนกว่าแสงอาทิตย์ยามเช้า “…อย่าพูดแบบนั้นสิ เดี๋ยวฉันยิ่งเขิน…”


แสงอาทิตย์ยามเย็นเอียงตัวทอดลงบนผืนคลื่นสีคราม เสียงลมพัดปะทะกราบเรือเบา ๆ คล้ายทำนองกล่อมเด็กง่วงนอน ขณะที่เรือ Aurora Mare ยังคงลอยลำเหนือผืนน้ำอินเดียอันกว้างใหญ่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด โมนีก้าเดินวนรอบดาดฟ้าไปเรื่อย ๆ อย่างคนที่ชินกลิ่นทะเลจนแทบเป็นส่วนหนึ่งของมัน เธอยกผมไฮไลท์สีฟ้าอิเล็กทริกที่ปลิวตามลมทัดหูพลางสูดลมหายใจลึก เหลือบมองเส้นขอบฟ้าที่ค่อย ๆ กลืนดวงอาทิตย์ลงไปทีละน้อย ห้าวันแล้วที่ลอยลำทะเลเบื่อก็เบื่อแต่กลับรู้สึกเหมือนหัวใจมันตึง ๆ จากความคิดมากกว่าสภาพอากาศเสียอีก 


งานกิจกรรมบรูมาเลียเธอก็ร่างเสร็จ ส่งไปให้สภาแล้ว สภาก็อนุมัติให้เธอเป็นประธานพิธีไปเรียบร้อย เหลือแค่เตรียมสถานที่หลังกลับถึงค่าย แต่ระหว่างนี้ล่ะ? จะให้เธอนั่งเฉย ๆ อยู่ในเรือทั้งวันคงบ้าตายก่อนถึงจุดหมายพอดี


โมนีก้าเดินวนจนถึงหัวเรือแล้วหยุดมองท้องฟ้าที่รวมสีม่วง สีส้ม และสีทองกลายเป็นผืนผ้าใบอุ่นตา มือข้างหนึ่งล้วงหยิบแท็บเล็ตเดดาลัสขึ้นมาแตะเบา ๆ เลื่อนหน้าจอเปลี่ยนไปที่สายติดต่อครอบครัว ก่อนปลายนิ้วจะกดปุ่มโทรหาคุณพ่อโดยไม่ต้องคิดนาน เสียงสัญญาณดังต่อติดกันเพียงครู่เดียว ก่อนเสียงคุ้นเคยของพ่อจะดังขึ้นน้ำเสียงอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความเป็นพ่อบ้านนักวิชาเภสัชจะตอบรับอย่างอบอุ่น 


“ว่าไงลูก พ่อกำลังจัดของในร้านอยู่เลย วันนี้ลูกโอเคไหม?”


โมนีก้าหลุดยิ้มทันทีที่ได้ยินเสียงของพ่อ เธอขยับไปพิงราวเรืออย่างสบาย ๆ เงยหน้าให้ลมทะเลพัดแก้มเย็น ๆ แล้วเอ่ยตอบตามสไตล์ลูกสาวขี้บ่นของบ้าน “สวัสดีค่ะพ่อ หนูโอเคค่ะ แค่เหนื่อยนิดหน่อย เบื่อด้วย ไม่มีอะไรทำเลย นั่งเรือจนจะผุแล้วด้วยนะคุณพ่อ” เสียงหัวเราะของพ่อดังปลายสายอย่างคุ้นเคย “เอาน่า เดี๋ยวก็ถึง แม่หนูก็ดีนี่ ได้เจอกันแล้วใช่ไหม?” คำถามนั้นทำเอาโมนีก้าชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางแบบที่มีทั้งความดีใจและความหนักใจปะปน “ค่ะ เจอแล้ว…ก็ดีค่ะ ดีมากด้วย” เธอพูดเท่านั้น ไม่ได้ลงลึกอะไร เธอไม่อยากให้พ่อกังวลไปมากกว่านี้


เพราะความจริงอีกด้านที่โมนีก้ายังไม่ได้บอกพ่อ และไม่คิดจะบอกตอนนี้ คือเรื่องที่ว่าเธอมีแฟนแล้ว แถมเป็นแฟนที่ไม่ใช่คนธรรมดาเลยสักนิด หากพ่อรู้ว่าลูกสาวตัวดีไปคบกับหนุ่มประหลาดที่ไม่ใช้โทรศัพท์ ดันโผล่มาช่วยลูกตอนไปทำภารกิจ แถมมีพลังบางอย่างที่คนธรรมดาไม่มี… พ่อคงใจหายแทบสิ้นสติ แล้วรีบตีตั๋วบินตรงมานิวโรมในทันทีแน่ ๆ เธอแทบเห็นภาพพ่อยืนฟาดสากตำยาใส่เลสเตอร์ติดตาในหัวเลย


โมนีก้าถอนหายใจเบา ๆ พลางหัวเราะในคอแบบยอมรับความปวดหัวของตัวเอง ก่อนตอบน้ำเสียงนุ่มกลับไป “ที่นี่ก็โอเคค่ะพ่อ ไม่ต้องห่วงนะ หนูกินดีอยู่ดีซูกิก็อยู่ด้วย” เธอเหลือบมองไปยังท้ายเรือ เห็นร่างสูงของซูกิที่กำลังผูกเชือกและตรวจเช็กอะไรบางอย่างกับอาดิตอยู่ ทั้งสองคนนั้นเหมือนภาพคู่ซีนแปลก ๆ ระหว่างนักรบมาร์สที่นิ่งและเท่ กับกัปตันลูกครึ่งอินเดีย-อินโดที่พูดมากจนเรือสั่น แต่ก็ช่วยให้เธอไม่เหงาตายระหว่างการเดินทางได้ดี


เสียงพ่อยังคุยไม่หยุด “ถ้าหนูเหนื่อยกลับมาก็พักก่อนนะ อย่าโหมงานของค่ายมาก พ่อเป็นห่วง”


โมนีก้ายิ้มกว้างขึ้นอีกนิด พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ค่ะพ่อ หนูรู้แล้ว เดี๋ยวทำภารกิจเสร็จจะรีบรายงานให้รู้เลยค่ะ” พูดจบก็กดวางสายทันที หลังวางสาย หญิงสาวลดแท็บเล็ตลงช้า ๆ ปล่อยลมหายใจที่ค้างคาออกมาเหมือนกำลังยิ้มให้ตัวเอง แล้วพึมพำเบา ๆ “ถ้าพ่อรู้ว่าหนูมีแฟนล่ะก็…จบเห่แน่ ๆ ยัยโมนีก้าเอ๋ย” เธอส่ายหัวน้อย ๆ แต่ก็หัวเราะจนตาเป็นประกาย ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในดาดฟ้าเรือช้า ๆ ท่ามกลางแสงสุดท้ายของวันที่เคลื่อนไหวจางหายไปใต้เส้นขอบฟ้า ราวกับกำลังเริ่มอันดับตอนใหม่ที่เต็มไปด้วยความลับ ความรัก และภารกิจที่ยังไม่จบสิ้นของเธอบนทะเลกว้างแห่งนี้

เดินทางวันที่ 05

[TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ

พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ TGC +5

กลิ่นหอมจาก น้ำหอมเฮคาที - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +10

(ทุกครั้งที่โรลเพลย์ลงท้ายด้วยเลขไบต์ 0 5 7 9 ทำให้ได้รับความโปรดปรานจาก NPC TGC SP Lares Satyr ได้รับความโปรดปราน+10)


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ เพิ่มขึ้น 22 โพสต์ 2025-11-14 18:54
โพสต์ 39015 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-14 11:52
โพสต์ 39,015 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก แหวนเคลื่อนย้าย  โพสต์ 2025-11-14 11:52
โพสต์ 39,015 ไบต์และได้รับ +15 EXP +25 เกียรติยศ +25 ความกล้า +25 ความศรัทธา จาก สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต  โพสต์ 2025-11-14 11:52
โพสต์ 39,015 ไบต์และได้รับ +15 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความศรัทธา จาก เนตรแห่งฟีบี้  โพสต์ 2025-11-14 11:52
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-11-15 13:33:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Moneka เมื่อ 2025-11-15 13:36

วันที่ 15 เดือน พฤศจิกายน ปี 2025

ตลอดทั้งวัน ณ มหาสมุทรอินเดีย


แสงแดดยามเช้าของวันที่ 15 พฤศจิกายน กระทบผิวน้ำทะเลเป็นริ้วระยับราวกระจกเงิน เสียงเครื่องยนต์ของ Aurora Mare ดังเป็นจังหวะคงที่จนกลายเป็นเพลงกล่อมประสาทไปแล้ว แต่สำหรับโมนีก้า วันนี้คือวันที่เธออยากจะ กรี๊ด อัดหน้าคนทั้งเรือให้รู้แล้วรู้รอด เพราะนี่คือ วันที่ 6 ที่เธอต้องอยู่กลางทะเลโดยที่ไม่มีอะไรให้ทำมากพอจะฆ่าเวลาได้ หญิงสาวยืนกอดอกพิงราวเรือ ลมทะเลพัดผมสีน้ำตาลเข้มที่ไฮไลต์ฟ้าอิเล็กทริกให้ปลิวพร่างรอบใบหน้าขาวซีด เธอถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อยของเช้า แล้วหยิบแท็บเล็ตเดดาลัสขึ้นมาเช็กงานกิจกรรมที่ส่งไปให้สภาอย่างขยันขันแข็ง งานที่เธออยากกลับไปทำให้เสร็จที่ค่ายจูปิเตอร์เสียที


แต่ความสงบสุขก็ชิบหายทันทีในช่วงสาย เมื่อ ลูคัส ลูกเทพมาร์ส เซนจูเรี่ยนคู่ประจำตำแหน่งของเธอ ทิ้งข้อความบ่นยาวเหยียดใน Nectar โซเชียลมีเดียประจำเหล่าเดมิก็อดว่า โมนีก้า ไปรับงานบ้าบอคอแตกอะไรมาอีกเนี่ย!! ฉันยังไม่ทันเตรียมตัวเลยนะ!


โมนีก้าอ่านแล้วแทบจะกรี๊ดจนหน้าแดงว่าเธอก็ไม่ได้คิดจะรับงานพวกนี้ปะล่ะ แต่มันโดนโยนงานมาแล้วจะให้ทำยังไง เธอเลยได้แค่ยิ้มแห้ง ๆ พลางซ่อนหน้าไม่ให้ซูกิหรืออาดิตเห็นสีหน้าโง่ ๆ ของตัวเอง กลางวันทั้งวันนั่นแหละ โมนีก้าว่างชนิดที่ว่างจนจะปีนเสากระโดงเรือเล่นให้รู้แล้วรู้รอด เธอเดินไปเดินมาเหมือนลูกแมวถูกขังอยู่ในห้องแคบ ๆ จนซูกิที่กำลังตรวจสอบอุปกรณ์ปลายเรือถึงกับเดินเข้ามาทัก


“น่าเบื่อขนาดนั้นเลยเหรอ?” ซูกิเอียงคอถาม น้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่ก็แฝงความเป็นห่วงแบบเฉพาะตัว

โมนีก้าหันกลับมาหาเพื่อนพร้อมสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ใช่สิ! ฉันเดินทางตลอดแต่ไม่เคยต้องอยู่ที่เดิมนานขนาดนี้ นี่หกวันแล้วนะ! ขนาดฉันนั่งเรือจากท่าเรือมอนทรีออลไปยุโรปยังแค่สี่วันเอง!”


ซูกิเลิกคิ้ว “ทำไมตอนนั้นไปถึงเร็วล่ะ?” พอโดนคำถามนั้นโมนีก้าถึงกับนิ่งไปหนึ่งวินาที ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดาราวกับมันเป็นเรื่องหกล้มบนพื้นเฉย ๆ “อ้อ…เรือแตกน่ะ แล้วฉันก็โดนพัดตกทะเล” เธอพูดพลางโบกมือเหมือนกำลังเล่าเรื่องฝนตกเฉย ๆ “หลังจากนั้นก็โดนเทพแอซเท็คโจมตี เจองูมีปีกยักษ์ตัวเท่าไททัน สักตึกหกชั้นได้มั้ง โผล่มาหวังจะเขมือบพวกฉัน…คิดว่าฉันจะเหลือเหรอ?”


ซูกิอ้าปากค้างไปสามวินาทีเต็ม ก่อนสายตาคมกล้าจะกะพริบช้า ๆ เหมือนสมองกำลังประมวลผลว่าที่เพื่อนสาวพูดเมื่อกี้มันเรื่องจริงไม่ใช่หนังตลก “…โมนีก้า นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่ควรเล่าแบบชิล ๆ นะ”


โมนีก้ายักไหล่ “อืม ก็ไม่ชิลเท่าไหร่หรอก…แต่ฉันรอดมาแล้วนี่ไง”

ซูกิถอนหายใจยาวอย่างจำนนต่อกรรมของตัวเอง พึมพำเบา ๆ ว่า “ให้ตายสิ…ฉันนึกว่าเธอแค่บ่นเก่ง ที่ไหนได้ชีวิตเธอคือหนังแอ็กชันกึ่งโรแมนซ์เต็มรูปแบบ…”


“ฉันไม่ได้ชอบแบบนั้นเท่าไรนะ” โมนีก้าตอบแล้วเอียงหน้าเล็กน้อย เส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่ไฮไลต์ฟ้าอิเล็กทริกปลิวสะบัดตามแรงลม “อย่างน้อยก็อยากไปอยู่ในหนัง Fast & Furious มากกว่า รถสวยดีจะตาย” ซูกิที่ยืนพิงราวเรืออยู่ข้าง ๆ หันมามองด้วยหางตาแบบคนที่ได้ยินมาหลายเรื่องแล้ว แต่ก็ยังตามความสนใจที่หลากหลายของเพื่อนไม่ค่อยทัน “รถเหรอ…”


โมนีก้ายิ้มกว้างทันทีเหมือนโดนสวิตช์เปิด “ฮานน่ะ! ฉันชอบรถของฮานมากที่สุดเลย RX-7 VeilSide Fortune สีส้มดำ เครื่องยนต์โรตารี่ เสียงก็เพราะ รูปทรงก็เทพ สวยจัดเลยแหละ…โอ๊ย ถ้ามีอยู่ในโลกเดมิก็อดนะ ฉันสาบานเลยว่าจะเอาเงินเดือนเซนจูเรี่ยนกับค่าภารกิจทั้งหมดไปถอยมาขับให้ดู!”


ซูกิถอนหายใจยาวแบบคนยอมแพ้ต่อความเยอะของเพื่อนรัก แล้วกรอกตาให้หนึ่งทีแบบไม่ปิดบัง “เธอนี่มัน…สนใจอะไรหลายอย่างจนฉันตามไม่ทันจริง ๆ นะโมนีก้า”

โมนีก้าหัวเราะคิก ขยับเข้าไปชนแขนซูกิเบา ๆ แบบขี้เล่น “ก็คนมันเก่งหลายด้านอ่ะ เข้าใจหน่อยนะคุณนักรบสาวผู้จริงจัง~”

ซูกิส่ายหน้าแต่ปากยังยกยิ้มน้อย ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นบ่อยนัก “พูดมากจริง…”

จากนั้นทั้งคู่ก็ปล่อยตัวเองให้ลอยอยู่ในจังหวะการสนทนาเรื่อยเปื่อยสบาย ๆ เหมือนลืมไปว่าทุกคนมีภารกิจยักษ์ใหญ่รออยู่ข้างหน้า พวกเธอคุยกันตั้งแต่เรื่องอาหารที่ซูกิอยากลองทำ ระดับความหวานของขนมที่โมนีก้าชอบ เรื่องไก่ทอดร้านประจำของชิคาโก้ ไปจนถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คนเข้ากันได้มักคุยกันโดยไม่รู้ตัว และตลอดเวลา อาดิตที่นั่งประจำพวงมาลัยเรือก็ร้องเพลงอินเดียรัว ๆ เป็นพื้นหลัง พร้อมเต้นหัวตามจังหวะของตัวเองเหมือนอยู่บนเรือคนเดียว


เสียงอาดิตผสมกับเสียงหัวเราะของเพื่อนสองคน ทำให้เย็นวันนั้นของวันที่หก…กลายเป็นช่วงเวลาหายากที่โล่งใจและผ่อนคลายที่สุดตั้งแต่เริ่มภารกิจ ทั้งสองยืนอยู่เคียงกันบนเรือที่ลอยกลางมหาสมุทรอินเดียกว้างใหญ่ แต่กลับรู้สึกเหมือนโลกมันกะทัดรัดลงแค่พอให้มีเพื่อนสนิทสองคนกับกัปตันจอมฮัมเพลงหนึ่งคน (แน่นอนว่าโมนีก้าพยายามจะฟังสำเนียงแล้วแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี)


และแล้วเมื่อตกเย็นค่ำผืนน้ำสีเข้มของมหาสมุทรอินเดียกระเพื่อมแผ่วเบาใต้แสงจันทร์ เส้นขอบฟ้ากลืนสีดำสนิทเข้ากับเงาคลื่นที่พัดสาดมาเป็นระยะ ทำให้กลางทะเลในคืนวันที่หกของการเดินทางนั้นเงียบจนผิดปกติ ราวกับโลกทั้งใบหยุดหายใจอยู่ชั่วครู่เดียว มีเพียงเสียงใบพัดของเรือเฟอร์รี่ Aurora Mare ที่ตีความมืดเบื้องล่างเป็นจังหวะสม่ำเสมอ กับลมค่ำคืนพัดรั้งเส้นผมของโมนีก้าให้พลิ้วไปตามแรงลม


ทั้งโมนีก้าและซูกิต่างยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ โดยมีหน้าที่ในค่ำคืนนี้คือการลาดตระเวนและตรวจตรารอบเรือ ขณะที่อาดิตนอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องควบคุม กัปตันลูกครึ่งอินโด–อินเดียผู้ทำงานหนักมาตลอดวันจนใต้ตาเริ่มคล้ำเป็นวง เมื่อพวกเธอเห็นว่าเขาหลับสนิทดีแล้ว จึงเริ่มภารกิจกลางคืนกันจริงจัง “คืนนี้เงียบไปหน่อยนะ” ซูกิพึมพำขณะจับราวเรือ สายตาคมมองทะเลกว้าง ร่างสูงของเธออยู่ในท่าพร้อมสู้ตลอดเวลาเหมือนนักรบที่ไม่เคยปล่อยสมาธิหลุด


โมนีก้าเหยียดแขนขาเล็กน้อยพร้อมทำหน้าเบื่อเป็นที่สุด “ถ้าไม่มีอะไรโผล่มานะ ฉันจะลงไปเคาะประตูปลุกวิญญาณแม่ย่านางเองเลย ให้มันปล่อยอะไรสักอย่างมาบ้างก็ได้ นี่มันสงบเกินไปแล้วมั้งเนี้ย” ยังไม่ทันที่ประโยคจะจบ น้ำตรงกราบเรือด้านซ้ายก็เกิดอาการ “ปุด ปุด ปุด” รุนแรง ราวกับบางอย่างกำลังพุ่งขึ้นมาจากท้องน้ำลึก


ซูกิหรี่ตามองทันที “มาแล้ว…”

โมนีก้าหยุดหายใจไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะสบตาซูกิ พลางถอนหายใจพร้อมเสียงบ่นแบบเหนื่อยหน่ายสุดหัวใจ “โอ้ย ลำบากจริง…”


“ซ่าาา—!!” เสียงดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เมื่อร่างอสุรกายใต้น้ำจำนวนห้าตัวผุดขึ้นพร้อมกันกลางความมืด มันคือฝูงลูซก้า สัตว์ลูกครึ่งฉลามขาวกับหมึกยักษ์ หนวดหลายเส้นคดเคี้ยวไปตามอากาศ หัวฉลามกางปากจนเห็นฟันเรียงซ้อนกันหลายชั้นอย่างน่าขนลุก น้ำกระเซ็นสูงถึงดาดฟ้าเรือ โมนีก้ายกแขนขึ้นกันสาดน้ำทันที ก่อนที่เธอจะสบตาซูกิแล้วเอ่ยเสียงสั้น ๆ


“ปกป้องเรือกับปกป้องตัวเองพอเธอ นอกนั้นฉันจัดการเอง”


ซูกิพยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอถอยไปยืนคุมด้านหลังใกล้ปืนฉมวกสำรองที่อาดิตเตรียมไว้ พร้อมกระบองเหล็กของเธอเองที่สามารถฟาดจนกระดูกสัตว์ประหลาดแตกได้ในครั้งเดียว โมนีก้าก้าวออกไปหนึ่งก้าว ดวงตาสีเทาเงินเปลี่ยนเป็นแสงทองเรืองรองทันที พลังเนตรแห่งฟีบี้ตื่นขึ้นเมื่อเธอเข้าสู่ภาวะต่อสู้ ใบหน้าเธอสงบนิ่ง แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยสมาธิเข้มข้นและไหวพริบของนักรบที่ผ่านความตายมากกว่าที่เด็กสาววัย 15 ควรจะเจอ กำไลบนข้อมือซ้ายแผ่แสงร้อนวาบ ก่อนจะขยับเปลี่ยนสภาพเป็นดาบยาวดาบสุริยคติที่ส่องประกายทองเหมือนแสงแดดของเลสเตอร์


โมนีก้ากระโจนขึ้นราวกับร่างเบากว่ากระดาษ ก่อนจะฟาดดาบลงราวกับลำแสงตัดความมืด เสียงกรีดร้องของลูซก้าดังลั่นจนเรือสั่นสะเทือน หนวดของมันพุ่งเข้าโจมตีแต่ถูกดาบทองเฉือนขาดทีละเส้น สะเก็ดน้ำกระจายเป็นประกายแสงตามคมดาบ


ซูกิมองภาพเบื้องหน้าแล้วถึงกับอึ้ง แบบคนยังไม่ชิน ไม่ใช่เพราะกลัวสัตว์ประหลาด แต่เพราะสิ่งที่เธอเห็นคือโมนีก้าเวอร์ชันที่แม้แต่นักรบเลือดมาร์สอย่างเธอก็ยังต้องเงียบไป หญิงสาวที่ชอบบ่น ขี้เบื่อ ชอบไก่ทอด ไม่กินผัก และร้องโวยวายเวลาฝึกหนัก ตอนนี้กลับเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ความแม่นยำและสัญชาตญาณนักล่า ไม่นานพวกลูซก้าทั้งห้าแตกสลายกลายเป็นละอองทองที่ลอยกระจายเป็นฝุ่นประกายระยิบระยับเหนือท้องทะเลกลางคืน เหมือนฝนดาวตกย่อส่วนที่ร่วงลงใส่คลื่นช้า ๆ ก่อนจะจางหายไปกับลมทะเล


โมนีก้าสะบัดเลือดสัตว์ประหลาดที่เป็นสีน้ำเงินเข้มด้วยท่าทางเบา ๆ ดาบในมือหดกลับเป็นกำไลตามเดิม เธอหอบหายใจเล็กน้อยแต่ยังยิ้มอยู่ “เรียบร้อย…กลับไปนอนได้แล้วซูกิ ฉันหิวอ่ะ” ซูกิคิ้วกระตุกกับสิ่งนั้นก่อนจะเอ่ยอย่างจนใจกับเพื่อนตัวเอง “เธอนี่มัน…จริง ๆ เลยโมนีก้า”

 

เดินทางวันที่ 06

มีค่า LUK 95+ หน่วย จะได้รับวัตถุดิบ x2

ได้รับ หนวดลูชก้า จำนวน 5 ชิ้น 5 x 2 = 10 ชิ้น

ได้รับ เขี้ยวลูซก้า จำนวน 10 ชิ้น ชิ้น 10 x 2 = 20 ชิ้น


สรุป ได้รับ หนวดลูซก้า 5 ชิ้น, เขี้ยวลูซก้า 10 ชิ้น


[TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ

พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ TGC +5

กลิ่นหอมจาก น้ำหอมเฮคาที - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +10

(ทุกครั้งที่โรลเพลย์ลงท้ายด้วยเลขไบต์ 0 5 7 9 ทำให้ได้รับความโปรดปรานจาก NPC TGC SP Lares Satyr ได้รับความโปรดปราน+10)


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ เพิ่มขึ้น 22 โพสต์ 2025-11-15 15:10
โพสต์ 51640 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-15 13:33
โพสต์ 51,640 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก แหวนเคลื่อนย้าย  โพสต์ 2025-11-15 13:33
โพสต์ 51,640 ไบต์และได้รับ +15 EXP +25 เกียรติยศ +25 ความกล้า +25 ความศรัทธา จาก สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต  โพสต์ 2025-11-15 13:33
โพสต์ 51,640 ไบต์และได้รับ +15 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความศรัทธา จาก เนตรแห่งฟีบี้  โพสต์ 2025-11-15 13:33
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-11-17 11:08:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 16 เดือน พฤศจิกายน ปี 2025

ตลอดทั้งวัน ณ มหาสมุทรอินเดีย


น้ำทะเลในค่ำคืนวันที่เจ็ดเริ่มทอประกายด้วยสีครามหม่นราวกับผืนผ้ากำมะหยี่ที่ถูกลมทะเลปัดฝุ่นทั่วทั้งผืน เสียงเครื่องยนต์ของเรือเฟอร์รี่ Aurora Mare ยังคงสม่ำเสมอเหมือนหัวใจเต้นอุ่น ๆ ของสัตว์ยักษ์กลางทะเลลึก โมนีก้านั่งเอนหลังพิงราวเรืออย่างหมดแรง ใบหน้าเล็กงอนตุ๊บ ๆ จนแก้มพองราวกับพุดดิ้งที่ยังไม่ขาดน้ำตาล ความเบื่อกินพื้นที่หัวใจเธอมากจนอยากจะทุบพื้นเรือระบายอารมณ์ ทว่าเสียงร้องเพลงอินเดียของกัปตันอาดิตที่ดังก้องไปไกลตั้งแต่ช่วงเย็นก็ทำให้เธอถอนหายใจปนหัวเราะออกมาเบา ๆ เพราะถ้าจะมีใครมาทะเลาะกับความเบื่อของเธอได้ก็คงเป็นเสียงครวญ ๆ ของอาดิตนี่แหละ ไม่ก็ซูกิที่ทำหน้าเรียบนิ่งแต่คอยคุมสถานการณ์เสมอ


แต่ติดอยู่ตรงที่…เจ็ดวันแล้วที่โมนีก้าติดทะเลอยู่แบบนี้ เธอยังไม่ระเบิดตัวเองตายถือว่าน่าแปลกมากทีเดียว ทว่าเมื่อถึงช่วงหัวค่ำ และฟ้าเริ่มเปลี่ยนโทนสีจากฟ้าครามเป็นม่วงเทา อาดิตที่ยืนส่องกล้องดูทิศทางอยู่นานก็เอ่ยขึ้นมาด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดีย–อินโดอันชัดเจนจนโมนีก้าเงยหน้าแทบจะทันที เสียงของเขามีแววตื่นเต้นอยู่ในนั้นด้วย


“Tomorrow morning we reach destination, yes-yes! Get ready, girls!”


คำประกาศนั้นทำให้หัวใจโมนีก้าพุ่งขึ้นสูงเหมือนโดนปาเข้าไปกลางเวทีประกวดนางงาม เธอลุกพรวดขึ้นทันที ตาเป็นประกายราวกับมีดาวระยิบระยับเป็นฝุ่นร่วงลงมาจากขอบฟากฟ้า ซูกิเองก็ชะงักเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าอย่างเย็นเฉียบตามสไตล์


โมนีก้าแทบจะตะโกนดีใจแต่ก็เลือกจะทำเป็นยิ้มกว้างจนแก้มแดงแทน เพราะภาพลักษณ์สวยหวานและคงความเป็นเซนจูเรี่ยนต้องอยู่ครบ ถึงจะคุมไม่ค่อยอยู่ก็ตาม เธอหันไปดีดนิ้วสองทีแล้วคว้าแท็บเล็ตเดดาลัสขึ้นมา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่คุมความดีใจไม่อยู่ “โอเค ซูกิ! เราต้องเช็กของเช็กอุปกรณ์แล้วนะ พรุ่งนี้มีงานหนักรออยู่”


ซูกิขยับหางม้าต่ำที่ยุ่งเล็กน้อยอย่างเคย ร่างสูงใหญ่ของเด็กสาวทอมบอยยืนค้อมศีรษะกับลมทะเล ก่อนเอ่ยอย่างนุ่มลึก “อืม…พร้อมอยู่แล้ว แต่ภารกิจนี้ไม่ใช่เล่น ๆ เลยนะ” รอยนิ่งในดวงตาของซูกิคือการย้ำเตือนถึงใบภารกิจจากค่ายที่ทั้งคู่ได้รับ เอกสารที่ระบุชัดว่า ต้องกู้เรือสำรวจทองคำที่อัปปาง มีผู้รอดชีวิตยืนยัน 30 คน และผู้เสียชีวิตกับผู้สูญหายไม่ทราบจำนวน


เมื่อคิดถึงจำนวนผู้สูญหายโมนีก้าก็ได้แต่ถอนหายใจเล็กน้อย เอาเถอะเธอเจอเรื่องบ้าบอมาเยอะเกินกว่าจะแพนิคเรื่องแบบนี้แล้ว โมนีก้าขยับตัวนั่งลงบนกล่องอุปกรณ์ ปลายนิ้วไล้ไปตามเส้นตัวอักษรบนหน้าจอแท็บเล็ตอย่างตั้งใจ พยายามจัดลำดับความสำคัญตามนิสัยผู้นำที่ค่ายสอนมา


“เราต้องเจอคนเจ็บแน่ ๆ อาจจะตื่นตระหนก หิวโซ หรืออาจติดอยู่ในซากเรือ…ซูกิ เธอตรวจปืนฉมวก ไฟฉาย ชุดปีนซากเหล็กให้ทีนะ ฉันจัดเครื่องมือแพทย์กับสายช่วยชีวิตเอง” ซูกิพยักหน้าทันที ก่อนจะเดินตรงไปยังคลังของเรือ ท่าทางนั้นคล่องแคล่วและนิ่งจนน่าเชื่อใจเสมอ เธอคือบุตรีแห่งมาร์ส เทพเจ้าแห่งสงครามที่ให้ทั้งกำลังและสติ เย็นพอที่จะอยู่ในสนามรบแต่ร้อนพอที่จะพุ่งเข้าไปช่วยทุกคนหากจำเป็น


ส่วนโมนีก้า แม้ว่าจะดูเป็นเด็กสาวหวาน ๆ ขี้บ่น ปากเก่ง ชอบกินไก่ทอดและเกลียดผปักใบเขียวจนเขี่ยทิ้ง แต่ในภารกิจจริงไม่มีครั้งไหนที่โมนีก้าทอดทิ้งใครไว้ด้านหลังสักครั้งเลย ไม่มีทาง และเธอก็ไม่เคยทำ เธอสูดลมหายใจเบา ๆ กลิ่นไลแลคผสมเบอร์รี่หวานลอยอบอวลในอากาศตามธรรมชาติของเธอเอง ทำให้บรรยากาศเหนือเรือที่หนาวเย็นดูอบอุ่นขึ้นนิดหนึ่ง


“ซูกิ…พรุ่งนี้คงหนักจริง ๆ ล่ะ” โมนีก้าเอ่ยกับเพื่อนสาวแบบนั้น

เสียงตอบเรียบ ๆ จากด้านหลังจึงดังขึ้น “ใช่ แต่เราจัดการได้แน่นอน เพราะคนบางคนแถวนี้ ทำภารกิจไม่เพอร์เฟคไม่เป็น”

โมนีก้าเลิกคิ้วสูงก่อนจะหัวเราะออกมาแบบไม่ทันตั้งตัว “ฟังดูเหมือนชม แต่มันก็เหมือนโดนแซะด้วยนิด ๆ นะ”

“ก็ปกตินี้” ซูกิตอบเสียงเรียบ สิ้นคำนั้นทั้งคู่สบตากันแล้วหัวเราะเบา ๆ พร้อมกัน เสียงหัวเราะใสผสมกับเสียงคลื่นที่ซัดเข้ากระทบเรืออย่างสม่ำเสมอ แม้จะเป็นวันที่เจ็ดที่เหนื่อยและเบื่อจนแทบกรี๊ด แต่สำหรับคืนนี้…หัวใจของโมนีก้ากลับเต็มไปด้วยพลังแปลกประหลาด มันคือความตื่นเต้น การคาดหวัง และความกลัวเล็ก ๆ ที่ซุกอยู่ลึกในช่องอก เพราะสิ่งที่รอพวกเธออยู่คือชีวิตของคนจริง ๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ

เดินทางวันที่ 07


[TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ

พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ TGC +5

กลิ่นหอมจาก น้ำหอมเฮคาที - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +10

(ทุกครั้งที่โรลเพลย์ลงท้ายด้วยเลขไบต์ 0 5 7 9 ทำให้ได้รับความโปรดปรานจาก NPC TGC SP Lares Satyr ได้รับความโปรดปราน+10)


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ เพิ่มขึ้น 22 โพสต์ 2025-11-17 13:33
โพสต์ 25199 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-17 11:08
โพสต์ 25,199 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก แหวนเคลื่อนย้าย  โพสต์ 2025-11-17 11:08
โพสต์ 25,199 ไบต์และได้รับ +5 EXP +12 เกียรติยศ +12 ความกล้า +12 ความศรัทธา จาก สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต  โพสต์ 2025-11-17 11:08
โพสต์ 25,199 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 เกียรติยศ +5 ความศรัทธา จาก เนตรแห่งฟีบี้  โพสต์ 2025-11-17 11:08
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-11-17 20:24:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 17 เดือน พฤศจิกายน ปี 2025

ตลอดทั้งวัน ณ มหาสมุทรอินเดีย


ยามรุ่งสางของวันที่แปดมาถึงพร้อมม่านหมอกบางสีเงินที่ทอดตัวคลี่คลุมน้ำทะเลกว้างไกลราวกับผ้าคลุมไหล่ของเทพีอรุณรุ่ง เสียงคลื่นกระทบกราบเรือดังหนักแน่นเป็นจังหวะคงเส้นคงวา ก่อนแสงแรกของดวงอาทิตย์จะเฉือนผ่านขอบฟ้าเป็นเส้นบาง ๆ กลายเป็นประกายแหลมคมราวใบมีดทองคำที่สะท้อนผิวน้ำอย่างงดงาม หลังการเดินทาง 8 วันอันยาวนาน วันที่แทบทำให้โมนีก้าระเบิดความเบื่อออกมาเป็นละอองแสง และวันที่ซูกิต้องคอยคุมสติของทุกคนเหมือนเธอเป็นแม่สิงโตประจำเรือ ในที่สุดพวกเธอก็มาถึงจุดเรืออัปปางที่ระบุไว้ในใบภารกิจ


กลิ่นทะเลเข้มปนสนิมของซากเรือบางส่วนที่ลอยกระจัดกระจายมองเห็นอยู่ไกลลิบ มันเป็นสัญญาณยืนยันว่าพวกเธอมาถึงจุดเกิดเหตุของเรือสำรวจทองคำอัปปางในที่สุด เรือเฟอร์รี่ Aurora Mare ค่อย ๆ ชะลอความเร็ว กัปตันอาดิตยืนจับพวงมาลัยเรือพลางฮัมเพลงอินเดียสำเนียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่ฟังจนติดหูมาตลอดแปดวัน เขาหันมาบอกสองสาวด้วยภาษาอังกฤษที่กลั้วอินเดีย–อินโดแบบเต็มขั้นว่า “We are at the coordinates. I will keep the ship steady. Life rafts ahead.”


โมนีก้ากับซูกิรีบยืนชะโงกดูจากดาดฟ้า และมองเห็นทันทีเป็นเรือชูชีพลำใหญ่เรือลำเดียวที่รอดจากเหตุการณ์อัปปาง มันลอยโคลงเคลงไปตามกระแสน้ำ มีรอยฉีกขาดตรงส่วนหัวเรือ ภายในมีผู้รอดชีวิตกลุ่มใหญ่พยายามโบกมือเรียกให้ช่วย ทั้งหมดเป็นผู้ใหญ่ เจ้าหน้าที่เรือ นักสำรวจ นักอุทกศาสตร์ วิศวกร โมนีก้าไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือ เธอพยุงเชือกกู้ภัยแล้วกระโดดลงเรือใบพร้อมซูกิ เรือใบค่อย ๆ เบี่ยงออกจาก Aurora Mare เพื่อตรงไปยังเรือชูชีพลำนั้น เมื่อเข้าใกล้ตัวเรือใหญ่ เสียงคร่ำครวญ เสียงไออย่างเจ็บปวด และเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังประสานกับเสียงคลื่นซัดกระแทกเรือผ้าใบอย่างหนักหน่วง


ซูกิเป็นคนปีนขึ้นไปก่อน เธอใช้แขนกำยำของนักรบมาร์สคว้าขอบเรือชูชีพแล้วดึงตัวขึ้นไปอย่างมั่นคง จากนั้นช่วยดึงโมนีก้าขึ้นตามหลัง ภาพที่เห็นทำให้หัวใจของโมนีก้าตึงเครียดทันที ผู้รอดชีวิตเกือบสามสิบคนนั่งเบียดอยู่ในเรือชูชีพ บางคนมีแผลเลือดไหล บางคนหมดแรงจนหลับไปทั้งที่ตัวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำเค็ม


“ทุกคนอยู่กับฉันนะคะ เดี๋ยวเราจะช่วยทุกคนขึ้นเรือของเราทีละคน” โมนีก้าพูดด้วยน้ำเสียงชัดมั่น แม้ในอกจะเต้นด้วยแรงกดดันแต่เธอไม่ให้มันเห็นบนใบหน้า ในขณะที่ซูกิคอยตรวจสภาพโครงเรือชูชีพว่ามีรอยรั่วหรือมีจุดที่อาจพลิกกลับด้านไหม ก่อนหันมาบอกเพื่อนสาวด้วยเสียงทุ้มต่ำแบบคนที่พร้อมรับสถานการณ์หนัก “โมนีก้า คนเจ็บหนักสามราย ฉันยกขึ้นเรือเฟอร์รี่ให้ก่อน เธอรีบประคองแผลให้เขานะ”


เมื่อซูกิส่งสัญญาณให้ยกผู้รอดชีวิตขึ้นเรือเฟอร์รี่ได้ กัปตันอาดิตที่รออยู่บนเรือ Aurora Mare ก็ใช้เครนช่วยยกคนเจ็บขึ้นไปอย่างระมัดระวัง พร้อมฮัมเพลงไปด้วยเหมือนทุกอย่างนี้เป็นงานประจำวันของเขา กระบวนการช่วยเหลือดำเนินต่อเนื่องยาวนานร่วมชั่วโมง โมนีก้าทำการรักษาด้วยอุปกรณ์การแพทย์ที่เตรียมมาภาคสนาม ซูกิควบคุมความปลอดภัยรอบเรือชูชีพ ตรวจทุกมุมกันไม่ให้มันพลิกคว่ำ อาดิตคอยปรับเรือเฟอร์รี่ให้อยู่ในตำแหน่งเหมาะสมกับคลื่นลม


ยามสายแห่งมหาสมุทรอินเดียทอดแสงอ่อนลงบนผืนคลื่นที่ยังสั่นระริกจากแรงลมเมื่อคืน โมนีก้าก้มตัวลงข้างผู้บาดเจ็บชายคนหนึ่ง มือเรียวสั่นเล็กน้อยเพราะความหนาวและความตึงเครียดที่สะสมมาแปดวันเต็ม เธอสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อบังคับตัวเองให้มีสติ ก่อนจะลงมือตรวจดูบาดแผลที่ต้นแขนของเขาอย่างรวดเร็วแต่ประณีต โมนีก้าไม่ได้เป็นหมอ ไม่ใช่ลูกของอะพอลโล ที่มีพลังแสงศักดิ์สิทธิ์จะรักษาชีวิตใครได้ แต่เธอมีความตั้งใจความอดทน และมีทักษะปฐมพยาบาลที่ผ่านการฝึกมาอย่างเข้มงวดตั้งแต่บ้านหมาป่า เธอทำได้ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ และเธอตั้งใจจะทำให้ถึงที่สุด


โมนีก้าเช็ดเลือดที่แขนผู้รอดชีวิตด้วยสำลีชุบยาฆ่าเชื้อ กลิ่นแอลกอฮอล์ค่อยๆ จางไปตามแรงลมทะเล เธอพันผ้าพันแผลอย่างแน่นพอดีและตบหลังมือเขาเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ ก่อนจะขยับไปดูแผลถัดไปที่ผู้หญิงอีกคนซึ่งนั่งกอดอกสั่นเทาเพราะหนาวและตกใจ เธอวางมือบนไหล่หญิงคนนั้นเบา ๆ น้ำเสียงอ่อนลงมากกว่าปกติจนซูกิยังต้องเหลือบตามามอง


"ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวฉันดูให้ เจ็บตรงไหนบอกฉันเลยค่ะ"


ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าแต่ยังพูดไม่ออก โมนีก้าจึงจัดการแผลถลอกและฟกช้ำบนขาให้เธออย่างใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ในใจตัวเองจะสั่นไม่ต่างกันก็ตาม ท่ามกลางลมเค็มจัดและเสียงคลื่นกระทบเรือซ้ำ ๆ จนหัวใจเธอเหมือนจะบีบแน่นทุกครั้งที่ได้ยิน อีกรายโดนเศษไม้ปักเข้าที่มือ โมนีก้าที่เห็นก็ถอนให้แล้วล้างแผลให้ทันที เธอแทบไม่รู้สึกเหนื่อยเพราะอะดรีนาลีนพุ่งสูงจนลืมเวลา โมนีก้าแค่รู้ว่าคนพวกนี้ต้องรอด ต้องไม่ตายต่อหน้าเธอเด็ดขาด เวลาผ่านไปการปฐมพยาบาลคนสุดท้ายเสร็จสิ้น ซูกิก็เดินเข้ามาเช็ดเหงื่อออกที่หน้าผากโมนีก้าแบบไม่พูดมาก เธอแค่ชี้ไปทางประตูห้องพักของเรือเฟอร์รี่แล้วบอกเสียงเรียบ "ให้ทุกคนไปพักข้างในหมดแล้ว เดี๋ยวฉันจัดเวรเฝ้าดูแลเอง เธอพักบ้างก็ได้"


แต่โมนีก้าไม่ยอม เธอส่ายหน้าช้าๆ มองผืนน้ำที่ยังมีร่องรอยของเหตุการณ์โหดร้ายซึ่งเกิดขึ้นไม่กี่วันก่อน เศษเรือบางส่วนยังลอยอยู่ ไกลออกไปยังมีเสื้อชูชีพที่ไม่มีคนอยู่ข้างในลอยไหวตามคลื่นอย่างเงียบงันเหมือนเสียงคร่ำครวญที่ไม่มีเจ้าของ ซากบางอย่างจมลงใต้น้ำจนเห็นเป็นเงาดำที่ไม่รู้ว่าเป็นเศษไม้หรือคน 


ซูกิเหลือบตามองและรู้ทันทีว่าเพื่อนสนิทของเธอกำลังคิดอะไร เธอจึงพูดเสียงหนักจริงจังขึ้นมา "ส่วนของคนที่เสียชีวิต…ฉันจัดการเอง เธอไม่ต้องลงไปเจอภาพพวกนั้น" 


โมนีก้าเม้มปาก กัดปลายลิ้นเล็กน้อยเพื่อห้ามไม่ให้หัวใจตัวเองสั่นแรงกว่านี้ เธอรู้ดีว่าเธอไม่ควรลงไปเก็บกู้ศพ เธออ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้มากเกินไป และมันจะทำให้เธอหลุดโฟกัสได้ง่าย แต่การไม่ทำอะไรเลยก็ทำให้เธอรุมเร้าไปด้วยความรู้สึกผิด โมนีก้าแค่พยักหน้าเบาๆ แล้วบอกซูกิด้วยน้ำเสียงนิ่งแต่ลึกเหมือนกำลังฝืนให้ตัวเองมีสติ  "งั้นฉันดูรอบ ๆ น้ำให้ เผื่อมีใครลอยออกไปไกล ยังรอดอยู่…หรือมีอะไรที่เรามองข้ามไป"


ซูกิพยักหน้าทันทีตอบรับ ไม่มีการปลอบใจเกินจำเป็น เพราะเธอรู้ว่าโมนีก้าไม่ต้องการคำพูดพวกนั้น สิ่งที่โมนีก้าต้องการคือการได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้ใจตัวเองพังลง


ลมจัดพัดผมสีเข้มไฮไลท์ฟ้าของโมนีก้าปลิวไปด้านหลัง เธอสูดลมหายใจลึก กลิ่นทะเลเค็มจัดปะทะปลายจมูกจนแสบ เธอกับซูกิจึงตัดสินใจเก็บกู้ทุกอย่างรอบบริเวณว่าน้ำตรงนี้ยังมีร่องรอยชีวิตหรือความตายซ่อนอยู่มากแค่ไหน เธอก็ยังคงมีหวังเสมอว่าจะเจอกับอะไรดี ๆ เช่นภาพของผู้เหลือรอดชีวิตที่กำลังรอความช่วยเหลืออยู่ นั้นคือมโนภาพของโม


เรือเฟอร์รี่ลำหรูค่อย ๆ เคลื่อนไปตามชายขอบของจุดเรืออัปปางอย่างช้า ๆ สำรวจน่านน้ำแห่งนี้และระมัดระวัง โมนีก้ายืนที่หัวเรือแสงแดดสะท้อนลงบนตาเธอวาววับเหมือนโลหะเงิน ซูกิยืนข้าง ๆ ทั้งสองช่วยกันตรวจดูผู้รอดชีวิตหรืออย่างอื่น เสียงที่บอกว่าในผืนน้ำเงียบสงัดนี้อาจยังมีคนรอความช่วยเหลือ…หรืออาจมีบางสิ่งกำลังจ้องมองพวกเธออยู่ในความมืดเย็นจัดใต้ผิวทะเลนี้ก็ได้



เบาะแสได้ เลข 7 เจอน่านน้ำที่ปกคลุมด้วยหมอก


[TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ

พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ TGC +5

กลิ่นหอมจาก น้ำหอมเฮคาที - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +10

(ทุกครั้งที่โรลเพลย์ลงท้ายด้วยเลขไบต์ 0 5 7 9 ทำให้ได้รับความโปรดปรานจาก NPC TGC SP Lares Satyr ได้รับความโปรดปราน+10)


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ เพิ่มขึ้น 22 โพสต์ 2025-11-17 20:35
God
ได้เลข 7 เข้าสู่น่านน้ำหมอกได้เลย  โพสต์ 2025-11-17 20:34
God
ยังไม่เจอผู้รอดชีวิต  โพสต์ 2025-11-17 20:34
โพสต์ 32777 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-17 20:24
โพสต์ 32,777 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก แหวนเคลื่อนย้าย  โพสต์ 2025-11-17 20:24
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
โพสต์ 2025-11-18 02:27:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 17 เดือน พฤศจิกายน ปี 2025

ตลอดทั้งวัน ณ มหาสมุทรอินเดีย


ใต้แผ่นฟ้าสีหม่นที่ไม่มีวี่แววของดวงดาว ไม่มีรอยแสงจันทร์สะท้อนผิวน้ำ มีเพียงหมอกสีเทาหนาเป็นกำแพงขาวโพลนปิดทับท้องทะเลทั้งผืน ราวกับโลกทั้งใบถูกกลืนหายไปในลมหายใจเดียวของสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีใครมองเห็น โมนีก้ายืนพิงราวเรือเบา ๆ ลมหายใจติดขัดในอกเมื่อเธอรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ควรอยู่ที่นี่ เสียงคลื่นเบาจนผิดปกติ เสียงลมแทบไม่มี และเส้นขอบฟ้าทั้งหมดถูกละเลงด้วยสีหม่นแปลกประหลาดเหมือนฝันร้ายกำลังกัดกินโลก


รอบแรกโมนีก้าคิดว่าคงเป็นเพียงสภาพอากาศ แต่พอผ่านไปไม่ถึงห้านาที เธอก็ต้องหรี่ตาค่อย ๆ เดินเร็วไปทางห้องบังคับเรือ สัญชาตญาณของเดมิก็อดกระซิบเตือนเธอด้วยความเข้มข้นแบบที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก คาแรกเตอร์โมนีก้าโดยปกติค่อนข้างร่าเริง แต่ตอนนี้ความรู้สึกที่ฉาบทับในใจคือความผิดปกติที่เย็นวาบจนหลังมือเธอขนลุก 


“ซูกิ คุณอาดิต! มีอะไรบางอย่างแปลกมากนะ ฉันไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย” เธอพูดพลางผลักประตูขึ้นไปยังดาดฟ้าอย่างเร็ว


อาดิตที่ปกติร่าเริงฮัมเพลงอินเดียแบบไม่มีหยุด ตอนนี้กลับยืนเซถอยออกจากราวบังคับเรือ ดวงตาเบิกกว้างแต่ไม่แตกตื่น เขาดูเหมือนกัปตันจริง ๆ ครั้งแรกนับตั้งแต่การเดินทางเริ่มขึ้น นิ่ง เคร่งขรึม และมีแววกลัวบางอย่างซ่อนอยู่ลึกมากจนต้องมองดี ๆ ถึงจะเห็น เขาหันมามองโมนีก้าแล้วพูดด้วยสำเนียงอังกฤษแบบอินเดียที่หนักจนเธอแทบจะต้องตั้งใจฟังทุกรายละเอียด


"Something is not right here, Moneka. This fog… it is not natural. You might want to prepare yourself… just in case we need to swim, ah?"

“เขตที่ไม่ควรมา?” โมนีก้าทวนเสียงเบา กะพริบตาเร็ว ๆ เพราะฟังสำเนียงยากอยู่ดี แต่ความกังวลที่ส่องประกายในแววตาเขานั้นชัดเจนจนไม่ต้องแปลภาษาใด ๆ ให้ยุ่งยาก


ซูกิก้าวขึ้นมาข้าง ๆ อย่างรวดเร็ว น้ำเสียงของเธอคล้ายท่อนเหล็กที่ตีลงบนพื้นไม้ในความเงียบ “หมอกมันหนาขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้มันไม่ใช่สภาพอากาศธรรมดาแล้วนะ ระยะมองเห็นแทบจะศูนย์ นี่มันเหมือนหมอกเรียกหายานเลย โมนีก้า โซนแบบนี้ถ้าพลาดคือจบ”


อาดิตเอื้อมไปหมุนพวงมาลัยเรือ เสียงลมหายใจของเขาไม่เหมือนปกติอีกต่อไป ไม่ใช่ลมหายใจของคนกำลังฮัมเพลง แต่เป็นลมหายใจของกัปตันเรือที่กำลังคาดการณ์ความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุด เขาพูดต่อโดยไม่หันกลับมามองทั้งสองคนเลยแม้แต่นิดเดียว “This is not the kind of fog that comes from the sea. It is too thick, too still… like it is waiting for us. I have been sailing for nineteen years, and I tell you… I have never seen fog that does not move at all.”


โมนีก้าเม้มปาก เธอรู้สึกเหมือนมีเส้นใยบางชนิดลอยลอดผ่านความคิดของตัวเอง ทั้งสัญชาติญาณแห่งธรรมชาติของบุตรีเซเรสและพลังเนตรแห่งฟีบี้ที่กำลังเต้นอยู่เบื้องลึก เธอไม่ต้องพูดให้มากความ เธอแค่มองไปรอบด้านและรับรู้ถึงเสียงบางอย่างที่โลกไม่ควรมี มันเหมือนเสียงกระซิบของคลื่นที่ไม่มีคลื่น เหมือนเสียงกรีดร้องที่ถูกหมอกกลืนจนกลายเป็นความเงียบ


หนึ่งชั่วโมงผ่านไป หมอกไม่ขยับ ไม่บางลง ไม่เข้ามาใกล้ขึ้น แต่ยังอยู่อย่างนั้นเหมือนกำแพงนิ่งชื่อความตาย


สองชั่วโมงผ่านไป ความกังวลเริ่มกลายเป็นแรงกดอากาศที่ถาโถมลงมาบนหัวไหล่ทั้งสามคน ซูกิจับหอกแน่นขึ้นจนข้อขาว อาดิตก้มมองเข็มทิศที่แกว่งไปมาแปลก ๆ แบบที่เข็มทิศไม่ควรทำในโลกมนุษย์ และโมนีก้ายืนมองหมอกด้านหน้าเหมือนกำลังพยายามมองทะลุม่านของสิ่งลึกลับที่ไม่มีชื่อเสียงเรียกขาน


“คุณอาดิตคะ” โมนีก้าเอ่ยเรียกเบา ๆ แต่มั่นคง “มันจะหายไปไหมหมอกนี่”


เขาหัวเราะในลำคอเบาที่สุดเท่าที่หัวเราะได้ในสถานการณ์แบบนี้ “If this fog came from nature, it would move with the wind, with the sea. But this… this one stays. It does not go forward, it does not go back. It is as if someone placed it here.” เมื่อเขาพูดจบ เสียงคลื่นกระทบตัวเรือเบา ๆ เหมือนเสียงของคนเคาะประตูจากใต้น้ำ


“If something is inside that fog, we will see it soon. Be ready.”


และทันใดนั้นเอง โมนีก้าและซูกิรู้พร้อมกัน นี่ไม่ใช่แค่หมอกธรรมชาติ ไม่ใช่อากาศ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ ไม่มีอะไรในธรรมชาติจะทำให้ทะเลทั้งผืนเงียบได้มากขนาดนี้โดยไม่พรากชีวิตของผู้โดยสารไปครึ่งหนึ่ง พวกเธอกำลังก้าวเข้าสู่อาณาเขตของบางสิ่ง ที่ไม่ใช่สัตว์ประหลาดธรรมดา ไม่ใช่เทพ ไม่ใช่ปีศาจจากตำนานใดที่พวกเธอคุ้นเคย แต่เป็นบางสิ่งที่อยู่ลึกลงไปยิ่งกว่าเสียงคลื่น ลึกกว่าเงาของซากเรือ และลึกกว่าเสียงเรียกอันแผ่วเบาที่รอพวกเธออยู่จากใต้ผืนน้ำดำมืดเบื้องล่าง

เดินทางในม่านหมอก 4 ชั่วโมง


[TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ

พูดคุยกับ TGC ความสนิทสนม +7

โบนัสจาก HONOR (คนมีเกียรติ) - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ TGC +5

กลิ่นหอมจาก น้ำหอมเฮคาที - โบนัสเพิ่มความสัมพันธ์ +10

(ทุกครั้งที่โรลเพลย์ลงท้ายด้วยเลขไบต์ 0 5 7 9 ทำให้ได้รับความโปรดปรานจาก NPC TGC SP Lares Satyr ได้รับความโปรดปราน+10)


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [TGC-10] อัสทริก เดวอน ซูกิ เพิ่มขึ้น 22 โพสต์ 2025-11-18 08:42
โพสต์ 24277 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-18 02:27
โพสต์ 24,277 ไบต์และได้รับ +2 EXP +2 ความกล้า +2 ความศรัทธา จาก แหวนเคลื่อนย้าย  โพสต์ 2025-11-18 02:27
โพสต์ 24,277 ไบต์และได้รับ +2 EXP +2 เกียรติยศ +2 ความกล้า +2 ความศรัทธา จาก สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต  โพสต์ 2025-11-18 02:27
โพสต์ 24,277 ไบต์และได้รับ +2 EXP +2 เกียรติยศ +2 ความศรัทธา จาก เนตรแห่งฟีบี้  โพสต์ 2025-11-18 02:27
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
Vulcan's Ember
ควบคุมมด
การฟืิ้นฟูแห่งชีวิตบริสุทธิ์
ผืนป่าลวงตา
ใบขับขี่สากล
บอดี้สูทแบล็คชิฟเทอร์ส
ดาบสุริยคติ
Icarus Mirror
แหวนเคลื่อนย้าย
จำแลงร่าง
สร้อยข้อมือเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต
เนตรแห่งฟีบี้
น้ำหอมเฮคาที
การควบคุมพืชขั้นสูง
การควบคุมธรนี
เข็มทิศ
รากพันธนาการ
หมวกเซนจูเรี่ยนกองร้อยที่ 2
สัมผัสแห่งชีวิต
พลังบงการความยาวของร่างกาย
โล่สคูทุม
รองเท้าเดินทัพ
เสื้อค่ายจูปิเตอร์
เกมคอนโซลพกพา
กล่องดนตรี
กระซิบแห่งพงไพร
แหวนดาราจรัส(D)
ต่างหูเงิน
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x6
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x23
x2
x5
x8
x3
x4
x6
x15
x7
x2
x1
x4
x4
x8
x2
x2
x2
x4
x6
x8
x7
x2
x1
x4
x1
x1
x4
x5
x10
x27
x2
x2
x9
x27
x3
x4
x3
x2
x25
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้