
วันที่ 26 เดือนสิงหาคม ปี 2558
ช่วงสาย เวลา 09.00 - 11.00 น. ณ ท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
เสียงประกาศของสนามบินดังแว่วไปทั่วท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส เครื่องบินทยอยแล่นเข้ามาจอดที่เกตอย่างเป็นระเบียบ หลังจากใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมงจากรัฐอินเดียน่า เครื่องบินที่โมนีก้าและคุณพ่อนั่งมาก็มาถึงจุดหมายในที่สุด ทันทีที่เท้าเรียวของเธอสัมผัสพื้นสนามบิน โมนีก้าเงยหน้ามองรอบ ๆ ด้วยดวงตาสีเงินที่พราวระยับเหมือนนักท่องเที่ยวสาวเต็มตัว บรรยากาศพลุกพล่านของผู้คน กระเป๋าลาก เสียงภาษาอังกฤษสำเนียงต่าง ๆ ผสมปนกันไปหมด ทำให้เธอตื่นตาตื่นใจ
ไม่ทันให้พ่อได้เอ่ยเตือน โมนีก้าก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดกล้องหน้าแล้วเรียกเสียงใส “พ่อคะ! มาถ่ายรูปกันเร็ว~” เธอเอียงหัวนิด ๆ จับแขนพ่อแล้วชูมือถือขึ้น เซลฟี่ด้วยรอยยิ้มหวานเต็มใบหน้าเหมือนคนมาเที่ยวพักผ่อนมากกว่าคนที่เพิ่งรอดตายจากการถูกสัตว์ประหลาดไล่ฆ่าเมื่อไม่กี่วันก่อน “โม…นี่มันไม่ใช่ทริปเที่ยวเล่นนะลูก” แคนทัสถอนหายใจ สีหน้าเหนื่อยใจเต็มที แต่ก็ยอมยิ้มอ่อน ๆ ให้กล้องเพราะทนสายตาอ้อนของลูกสาวไม่ไหว
“โธ่ พ่อ…ใครจะรู้ไงล่ะว่าหนูโดนตามล่าอยู่จริง ๆ” เธอหัวเราะคิก ริมฝีปากแดงอมชมพูเม้มยิ้มก่อนกดชัตเตอร์ แชะ! ภาพในมือถือปรากฏสองพ่อลูกยืนยิ้มท่ามกลางสนามบินแสนคึกคัก บรรยากาศที่ดูเหมือนนักท่องเที่ยวธรรมดาสองคน ไม่มีเค้าว่าจะเป็นผู้ถูกล่าโดยสิ่งมีชีวิตในตำนานแต่อย่างใด
คุณพ่อถึงกับส่ายหัวหนัก ๆ “เฮ้อ…ลูกสาวคนนี้ร่าเริงเกินไปจริง ๆ” แต่ลึก ๆ เขาก็โล่งใจที่อย่างน้อยโมนีก้ายังมีรอยยิ้ม ไม่ได้จมอยู่ในความหวาดกลัว โมนีก้าเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสีชมพูอ่อน ยิ้มหวานให้พ่อพลางกระซิบ “ไม่เป็นไรหรอกพ่อ…หนูว่าเราจะผ่านมันไปได้แน่นอน” แม้เธอจะพูดอย่างนั้น แต่ภายในใจยังคงรู้สึกว่าก้าวต่อไปจากนี้ ไม่ใช่เพียงการเดินทางท่องเที่ยว แต่มันคือการเดินเข้าสู่เส้นทางของโชคชะตาที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้อีกแล้ว…
เสียงล้อกระเป๋าเดินทางลากครืดคราดไปบนพื้นหินอ่อนของสนามบิน ผู้คนเดินกันขวักไขว่ทั้งนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ แต่สำหรับโมนีก้าแล้ว ทุกอย่างรอบตัวมันช่างดูเบลอไปหมดเพราะความคิดที่ยังวนอยู่กับสิ่งที่พ่อพูดเมื่อครู่ “พ่อ…เราจะไปโรมใหม่กันจริง ๆ เหรอคะ?” เธอถามพลางหันมองใบหน้าที่เคร่งขรึมของแคนทัส
“ใช่…พ่อว่าที่นั่นแหละที่เราจะหาคำตอบได้ ถึงจะต้องเสียเงินมากก็ตาม” เขาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังปนเหนื่อยล้า “ก็จริง...แลกค่าเงินไปที่นั้นแพงมากเลยนี้ แค่นี้เงินพ่อก็แทบร่อยหรอแล้วนะ การย้ายบ้านเพิ่งผ่านมาไม่กี่เดือนเอง…” โมนีก้าเม้มปากแน่น แก้มป่องขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเบ้ปากนิด ๆ ความรู้สึกผิดกดดันเข้ามาทันที เธอไม่อยากให้พ่อหมดตัวเพราะเธอเพียงคนเดียว “หนูไม่อยากให้พ่อเหนื่อยมากไปกว่านี้เลยง่ะ…” เธอพึมพำเบา ๆ
พวกเขาก้าวออกมาสู่โถงทางออกด้านหน้าสนามบิน ที่ซึ่งผู้โดยสารกำลังรอรถแท็กซี่และรถบัสกันเต็มไปหมด อากาศของแคลิฟอร์เนียพัดมากระทบผิวหน้า ความคึกคักของเมืองใหญ่ทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงา แต่แทนที่จะรู้สึกสบายใจ โมนีก้ากลับสั่นสะท้านในอกทันที เธอหยุดก้าวเดินหัวใจเต้นถี่ ดวงตาสีเงินเบิกเล็กน้อยเหมือนกำลังจับบางสิ่งในเงาฝูงชน ความรู้สึกนั้นชัดเจนเกินไป… มีสายตา …กำลังจ้องมองเธออยู่ สายลมที่พัดผ่านไม่ได้ทำให้เธอเย็นลง แต่กลับทำให้สันหลังของเธอเย็นเฉียบ ร่างกายสั่นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบเดินประชิดเข้ามากอดแขนพ่อแน่น
“พ่อ…หนูว่ามีคนกำลังมองหนูอยู่” น้ำเสียงเธอสั่นเครือและเบาลงจนแทบเป็นเสียงกระซิบ แคนทัสชะงักตอนที่ได้ยินลูกพูดแบบนั้นเขาหันมองรอบ ๆ ทันที แม้จะเห็นเพียงผู้คนเดินไปมาเหมือนปกติ แต่ประสบการณ์ตลอดที่ผ่านมาไม่อาจให้เขาละเลยคำพูดของลูกได้ เขาขยับตัวบังโมนีก้าไว้ด้านหลัง พลางเอื้อมมือกุมมือเธอแน่นขึ้น
“อย่าปล่อยพ่อไปไหนนะโมนี่…” เขาพูดเสียงต่ำ รอบตัวเต็มไปด้วยเสียงผู้คน แต่สำหรับโมนีก้า ทุกสิ่งกลับเงียบกริบราวกับเวลาถูกยืดออก ความรู้สึกว่ามีใครบางคนหรือบางสิ่งกำลังจ้องเธออยู่ไม่ยอมหายไปเลย…
ไม่นานรถแท็กซี่ก็มาถึง เสียงประตูแท็กซี่ปิดดัง ปัง เบา ๆ ตัดขาดความพลุกพล่านของสนามบินด้านนอกไปชั่วขณะ กลิ่นเบาะหนังผสมกับกลิ่นน้ำหอมราคาถูกภายในรถทำให้โมนีก้ารู้สึกทั้งอึดอัดและปลอดภัยในเวลาเดียวกัน เธอนั่งชิดพ่อ มือเล็กสอดกุมมือใหญ่ของแคนทัสเอาไว้แน่น รอยยิ้มอ่อน ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า แม้มันจะมีเงาของความกังวล แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่เธออยากเก็บรักษาเอาไว้ให้นานที่สุด “พ่อ…” เสียงของเธอเบาและอ่อนโยน ดวงตาสีเงินหันไปมองชายผู้เป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของเธอมาตลอดเวลา “ไม่ว่าปลายทางนี้จะพาหนูไปเจออะไร หนูดีใจนะที่มีพ่ออยู่ด้วย”
แคนทัสบีบมือเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย หันมายิ้มบาง ๆ “พ่อสัญญา ไม่ว่าจะเจออะไร พ่อจะไม่ปล่อยมือจากหนูเด็ดขาดนะ”
โมนีก้าก้มลงมองกระเป๋าถือสีชมพูอ่อนที่วางบนตัก มืออีกข้างโอบกอดมันไว้แน่นภายในมีสิ่งที่เปราะบางยิ่งกว่าทรัพย์สินใด ๆ รูปถ่ายครอบครัวที่มีลายมือของแม่ที่เธอเพิ่งร้องขอให้ปกป้องและจดหมายของทวดแอชเชอร์ ที่บอกถึงสัญชาตญาณแห่งโรม สิ่งของสองชิ้นนี้คือสายใยเดียวที่เชื่อมโยงเธอกับอดีตและอนาคต ภาพถนนใหญ่ของลอสแอนเจลิสเลื่อนผ่านกระจกหน้าต่าง รถติดเป็นแถวยาว แสงแดดสะท้อนบนกระจกตึกสูงจนเป็นประกาย แต่อีกด้านหนึ่งในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยคำถาม ปลายทางจริง ๆ ของการเดินทางครั้งนี้คืออะไร? มันจะพาเธอไปเจอกับความจริงแบบไหน…ความสวยงามหรือความโหดร้ายกันแน่?
โมนีก้าเผลอระบายยิ้มเล็ก ๆ ออกมาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะไม่กลัว แต่เพราะหัวใจของเธอเริ่มยอมรับแล้วว่าเส้นทางนี้…เป็นทางที่เธอต้องเดิน ไม่ว่าจะมีใครคอยจ้องมองอยู่ก็ตาม และแท็กซี่ก็แล่นออกไปเรื่อย ๆ ผ่านถนนที่ทอดยาวมุ่งหน้าสู่จุดหมายใหม่ โรมใหม่ ในแคลิฟอร์เนีย เมืองที่จะพลิกชะตาของเธอไปตลอดกาล…ถ้าไปถึงโดยปลอดภัยน่ะนะ…

อื่น ๆ: ก็เป็นลูกแหง่ติดพ่ออ่ะค้าบบบ พ่อแม่ดี ๆ ที่ไหนเขาจะปล่อยลูกมาคนเดียวกัน
(โรลเพลย์ออกตามหา 1/2)