- 25.05.2025 -
หากยังใช้ชีวิตอยู่กลางมหาสมุทรเพียงเห็นแค่เส้นขอบฟ้าและเส้นขอบน้ำบรรจบกันโดยไร้วี่แววของแผ่นดินท่ามกลางพระอาทิตย์ที่ไม่มีวันตก พวกเขาต้องลืมวันลืมคืนไปแล้วแน่ ๆ ยังดีที่มีนาฬิกาและโทรศัพท์มือถือทำให้พอรู้ได้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงยาม
“เหลืออีกราว ๆ สองร้อยยี่สิบไมล์ทะเล”
ดีนอ่านค่าระยะห่างจากจุดที่พวกเขาอยู่ถึงชายฝั่งที่ใกล้ที่สุดได้ราว ๆ นี้ เมื่อวานย่นระยะทางไปได้สี่สิบกว่าไมล์ทะเล อาจโชคดีก็ได้ที่พวกเขาเจอกับเจ้าไข่อวบ วาฬเพชฌฆาตพลังงานเหลือล้นเทียบเท่ากับวาฬธรรมดาสุขภาพดีถึงสองตัว
“หรือประมาณสี่ร้อยกิโลเมตรนิด ๆ……”
พอแปลงระยะทางมาเป็นหน่วยกิโลเมตรแล้วแมคเคนซีก็ได้แต่เป่าลมออกจากปาก พวกเขาต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในแพยางนี่กันอีกหลายวัน แค่คิดก็ทำเอาปวดเมื่อยตัวไปหมดจากที่เมื่อยมาแต่เดิมอยู่แล้ว ชาร์ล็อตเองหลังจากที่ไม่สามารถเล่นกับเจ้าวาฬเพชฌฆาตได้ ทั้งยังสื่อสารกันไม่รู้เรื่องและเกรงใจดีนที่ต้องคอยแปลภาษาวาฬให้ฟัง แมคเคนซีเลยให้เธอยืมสมาร์ทโฟนเดดาลัสเพื่อหาอะไรอ่านไปก่อนแก้เบื่อ
“ถ้าทำความเร็วได้ประมาณนี้ทุกวัน พวกเราอาจจะถึงฝั่งภายในสิบวันก็ได้นะ”
จะว่าดีก็ได้ที่ไข่อวบเป็นวาฬพูดมาก พอมีเพื่อนชวนคุยจึงทำให้ดีนคลายเหงาไปได้บ้าง จนได้ซักประวัติของมันถึงรู้ว่าไข่อวบและฝูงอพยพมาจากทางซีกโลกเหนือช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ถึงว่าพวกเขาจึงได้พบกับออร์ก้าที่หายากในทะเลแคริบเบียนแทนที่จะเป็นเขตขั้วโลก
นั่นหมายความว่าเมื่อไข่อวบมาส่งพวกเขาถึงเขตทะเลน้ำตื้น มันก็ต้องกลับไปรวมฝูงกับพรรคพวกของมัน แล้วทีมทำภารกิจก็ต้องหาทางขึ้นฝั่งกันเอง ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ส่วนหากกลัวว่ามันจะหลงทางก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะสัตว์ตระกูลโลมาและวาฬ สามารถสื่อสารผ่านคลื่นเสียงได้ไกลหลายสิบกิโลเมตร ซึ่งดีนก็แอบได้ยินมันคุยกับสาวร่วมฝูงที่อยู่อีกฟากหนึ่งของฝั่งทะเล
.
.
.
แล่นเรือแพมาทั้งวันก็ได้เวลาพักผ่อน ดีนทอดสมอร่มน้ำลอยถ่วงลูกคลื่นมหาสมุทร จากนั้นปลดเชือกที่ผูกตัวแพยางกับครีบหางให้ไข่อวบได้ไปพักผ่อนและหาอาหารกิน ซึ่งมันออกห่างจากพวกเขาไปไม่ไกลเหมือนกับสัตว์ที่ติดคน แถมยังพยายามแนะนำปลาน้ำลึก (อาหาร) ไม่เลิก
“วี้~~” oO(นี่มะนุ้ด อันนี้อร่อยนะ)
ไข่อวบโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำหลังมื้อเย็นของมันพร้อมกับปลาแมคเคอเรลตัวหนึ่งที่ถูกทำให้ตายแล้ว อย่างน้อยมันก็แคร์ที่ดีนเคยบอกว่าเขาไม่รับประทานปลาเป็น ๆ มือหนาของบุตรเจ้าสมุทรเอื้อมไปลูบหัวมัน
“กินเถอะไข่อวบ ฉันจะเข้าไปพักข้างในแล้ว บังคับหางเสือทั้งวันรู้สึกเหมือนตัวจะไหม้”
แม้ว่าเขาจะกระโดดลงน้ำไปแช่ตัวเป็นพัก ๆ เพื่อคลายร้อนแล้วก็ตาม ยังดีที่ดีนเป็นบุตรโพไซดอน การเผชิญหน้ากับน้ำทะเลจึงไม่อาจทำร้ายผิวของเขาได้ แต่ก็ยังมิวายที่ทำให้ผิวน้ำผึ้งยิ่งกรำแดดหนักขึ้นไปอีก
“ฝันดีไข่อวบ”
ชายหนุ่มตัดบทจากนั้นก็มุดเข้าเต็นท์ไปอยู่กับแมคเคนซีและชาร์ล็อตเพื่อรับประทานเมื้อเย็น… แมคเคอเรลกระป๋อง ปลาสายพันธุ์เดียวกันกับที่ออร์ก้าหนุ่มชวนกิน แต่ยังดีที่อย่างน้อยมันก็ปรุงสุกพร้อมรับประทาน
“ตอนนี้พวกเราอยู่ห่างจากฝั่งเท่าไหร่น่ะแมคซี่”
ดีนเอ่ยถามบุตรชายของเฮคาทีที่ทำหน้าที่เป็นต้นหนจำเป็น
“ถ้าระยะทางคร่าว ๆ ก็ประมาณสามร้อยห้าสิบกิโลเมตร…ฉันหมายถึงประมาณหนึ่งร้อยเก้าสิบไมล์ทะเล”
แมคเคนซีจำได้ว่าพวกเขาถนัดใช้มาตราหน่วยกันคนละแบบ เลยแปลงค่าให้เสร็จสรรพ ก่อนจะเงยหน้าจากจอสมาร์ทโฟนขึ้นมามองอีกฝ่าย
“นายโอเคไหม ต้องออกไปอยู่นอกแพทั้งวัน จะสลับกับฉันบ้างไหม”
ไม่รู้ว่าหากสลับหน้าที่กันแล้วตนเองจะทำได้ดีแค่ไหน แต่จากที่คอยมองการทำงานของคนรักมาเกือบทั้งวันแล้ว การบังคับหางเสือคงไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่นัก ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเอาเปรียบดีนยังไงชอบกล
“ร้อยเก้าสิบไมล์ทะเล..”
คราวนี้เป็นดีนที่เป่าปาก เหมือนว่าวันนี้จะเคลื่อนที่ไปได้ช้ากว่าเมื่อวานเสียอีก ถัวเฉลี่ยความเร็วแล้วอาจกลับมาอยู่ที่เดินทางสิบสองวันแบบเดิม
“ได้สิ ฉันโอเค ฉันเคยเข้าคอร์สเรือใบมดกับเพื่อนที่มหาลัยมาก่อนน่ะ แค่นี้สบายมาก ชิล ๆ”
ความจริงดีนโกหก...
มีประสบการณ์น่ะเรื่องจริง แต่ความรู้สึกด้านอารมณ์นั้นแตกต่างกันสุดขั้ว ตอนที่เล่นเรือใบกับเพื่อนมหาวิทยาลัย อยู่แค่สระน้ำคอนเซอร์วาทอรีในเซ็นทรัลพาร์ค มองเห็นฝั่งและจุดหมายปลายทางชัดเจน ที่นั่นมีเรือใบหลายลำบนผืนน้ำให้ความอุ่นใจว่ามีเพื่อน ไม่มีคลื่นลมทะเลเป็นอุปสรรค หากมีปัญหาใดเกิดขึ้นก็สามารถโบกมือเรียกสต๊าฟมาช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ
แต่มาอยู่ตรงนี้เขาไม่มีอะไรเป็นเครื่องมือเลยนอกจากพลังควบคุมน้ำและหายใจใต้น้ำ ดีนไม่มั่นใจว่าไข่อวบจะสามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้หากมีเหตุฉุกเฉิน อย่างเช่น ถูกอสุรกายในน้ำลอบโจมตี หรือจู่ ๆ เทพเนปจูนเกิดบันดาลโทสะใครที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วส่งพายุเฮอร์ริเคนมาทำให้พวกเขาถูกลูกหลงจนแพคว่ำ... หากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเดมิก็อดตัวเล็ก ๆ สามคนจะทำอะไรได้
แต่จากการที่ล่องเรือมาหลายวันทั้งเรือใหญ่และแพยางขนาดเล็กก็ยังไม่เจออุปสรรคด้านดินฟ้าอากาศ นั่นอาจแปลว่าเทพสมุทรยังคงฟังเสียงของเขา หรือเทพีแอมฟิไทรต์ที่เขาเคยแจ้งนางไว้อาจมีเมตตา ดีนอยากถวายศรัทธาให้เทพสององค์นั้นเหลือเกิน เพียงแต่หากเขามอบศรัทธาแก่เนปจูนมากกว่านี้ พ่อคงกลับมาช้ายิ่งกว่าเดิม
‘แล้วรีชาก็จะไม่มีคนสอนการบ้านวิชาคณิตศาสตร์...’
นอกจากความลำบากทางด้านจิตใจแล้ว ทางร่างกายก็มีผลกระทบไปด้วย แดดกลางทะเลรุนแรงขนาดนี้ ย้อมสีผิวหนุ่มเท็กซัสจากสีน้ำผึ้งเป็นคาราเมลไหม้ เมื่อวิเคราะห์กันทางด้านพันธุกรรมแล้ว ดีนมีเมลานิน (เม็ดสี) มากกว่าแมคเคนซีที่ขาวจั๊วะจนเกือบซีดหลายเท่าตัว ความทนทานต่อแดดจึงยิ่งมากกว่า เขาคงทนไม่ได้เมื่อเห็นผิวขาว ๆ ถูกแดดเผาไหม้จนเห่อแดง
ให้มันมาจากรอยจูบอย่างเดียวก็พอ
กลับเข้าเรื่อง… อย่างที่บอกว่ากลางทะเลอาจเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ แมคเคนซีไม่มีพลังควบคุมน้ำ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายว่ายน้ำแข็งแค่ไหน หากแค่ว่ายน้ำเล่นในสระว่ายน้ำได้คงไม่อาจรับประกันความปลอดภัยเมื่ออยู่ในทะเล ดังนั้นให้อยู่ภายในแพจึงปลอดภัยมากที่สุด
“หรือว่านายอยากลองขับเรือใบล่ะ? เอางี้ไหม ถ้าเราจบภารกิจนี้เมื่อไหร่ฉันจะพานายไปเล่นเรือใบในเซ็นทรัลพาร์คดีไหมที่รัก”
“ก็อยาก น่าสนใจดี…แต่เดี๋ยว ไม่ใช่สิ ฉันหมายถึงฉันอยากช่วยนายบ้างต่างหาก ออกไปตากแดดอยู่คนเดียวแทบทั้งวันจนผิวเกรียมไปหมดแล้ว”
หนุ่มอังกฤษจับแขนข้างนึงของดีนมาดู เดิมทีผิวของอีกฝ่ายเป็นสีน้ำผึ้งนวลน่าหลงใหล แต่ตอนนี้กลับถูกแดดเผายิ่งกว่าคนที่ไปนอนอาบแดดตามชายฝั่งเสียอีก ซึ่งสีผิวเฉดนี้ยิ่งทำให้บุตรเจ้าสมุทรดูคมเข้มยิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นห่วงสุขภาพคนรักอยู่ดี
“ไม่เป็นไร ฉัน… ฉันชอบสังเคราะห์วิตามินดีน่ะ”
ดีนฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับหาข้อแก้ตัวไปเรื่อย พยายามเปลี่ยนเรื่องคุยหลังจากที่ตักปลาประป๋องเข้าปาก
“เฮ้อ คิดถึงแซนด์วิชที่กดลงชักโครกชะมัด ถ้ากลางสมุทรมีร้านอาหารก็ดีสิ นี่พวกเราต้องกินแบบนี้ไปอีกเป็นสิบวันเลยเหรอเนี่ย เธออย่าเพิ่งเบื่อนะชาร์ล็อต”
“……อืม ถ้านายว่างั้นนะ”
แมคเคนซีมองรอยยิ้มดีนด้วยใบหน้าเรียบ ๆ พลางปล่อยลำแขนแข็งแรงของอีกฝ่ายแล้วหันมองไปยังผืนน้ำด้านนอก
“ไม่หรอกค่ะ ถ้าเทียบกับแฮมเบอร์เกอร์ที่ไซคลอปส์เอามาให้หนูกินทุกวัน หนูกินปลากระป๋องได้อีกเยอะเลย”
ชาร์ล็อตที่เห็นบรรยากาศเริ่มไม่ค่อยดีรีบบอกยิ้ม ๆ ด้วยน้ำเสียงสดใส ดูท่าเธอคงเบื่ออาหารจำพวกขนมปัง เนื้อบดและชีสไปอีกนาน พอได้ทานปลาเลยเจริญอาหารขึ้นมาบ้าง แต่ดูเหมือนว่าอาหารมื้อเย็นวันนี้ของพวกเขาจะกร่อยเสียแล้ว
“ถ้างั้นก็โอเค…”
ปากตอบชาร์ล็อตแต่หางตาเหลือบมองไปทางแมคเคนซีที่ดูยังไงก็มีท่าทีไม่พอใจอยู่ ความท้อแท้สิ้นหวังกอปรกับความเหนื่อยล้ามาทั้งวันบีบเค้นหัวใจ จนจู่ ๆ บุตรเจ้าสมุทรก็น้ำตาปริ่มขึ้นมา เขาได้แต่ก้มหน้าก้มตารีบกินปลากระป๋องให้หมด จากนั้นรีบขอไปทำธุระส่วนตัวข้างนอก
“เดี๋ยวมานะ”
ดีนรีบรุดออกไปที่ท้ายแพก่อนจะทิ้งตัวลงไปกับสายน้ำ พลังของสายเลือดเยียวยาบาดแผลทางกายได้ แต่มันจะบรรเทาหัวใจที่อ่อนล้าได้หรือเปล่า
ตูม!
อยู่ ๆ บุตรแห่งเจ้าสมุทรก็โดดลงน้ำไปต่อหน้าต่อตา ริมฝีปากได้รูปของแมคเคนซีเม้มแน่นจนเกือบเป็นเส้นตรง เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เสียบรรยากาศสักหน่อย เพียงแค่รู้สึกว่าเวลานี้ตนเองช่างไร้ความสามารถ ช่วยอะไรคนที่ตนเองรักไม่ได้แม้แต่น้อย ขนาดเสนอตัวว่าจะช่วยออกไปบังคับเรือให้ ดีนก็ยังบ่ายเบี่ยงแล้วยิ้มยิงฟันขาวใส่อีก
‘แย่ชะมัด…เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยเก็บอะไรไว้ในใจไว้คนเดียวสักที’
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นคนไม่เอาอ่าว หรือว่าเขาแข็งแกร่งไม่พอกันนะ ดีนถึงไม่ยอมให้ทำอะไรเลย แม้กระทั่งออกไปตากแดด
“พี่แมคคะ…หนูว่าพี่ดีนดูเหนื่อย ๆ นะ”
สัมผัสบางเบาแตะเข้าที่ไหล่ เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าเป็นมือของน้องสาวร่วมมารดานั่นเอง น้ำเสียงนุ่มนวลของเธอทำให้แมคเคนซีใจเย็นลงมานิดหน่อย
“อืม…พี่รู้ แต่ดูสิ ชาร์ล็อตก็เห็นว่าเขาไม่ให้พี่ช่วยอะไรเลยนอกจากดูระยะทางอยู่ข้างในนี่ ผิวก็โดนแดดเผาจนเกรียมขนาดนั้นยังมาบอกว่าชอบสังเคราะห์วิตามินดี ให้ตายสิ หมอนั่นไม่ใช่พืชสักหน่อยที่จำเป็นต้องสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหาร”
ได้ทีก็บ่นเสียยืดยาวหมดภาพลักษณ์คนหล่อสุดคูลพูดน้อยไปเกือบหมด แต่ถึงอย่างนั้นสาวน้อยตรงหน้าก็ยังยิ้มให้จนเขาเริ่มแปลกใจ
“พี่สองคนนี่รักกันมากเลยนะคะ”
“ฮะ…?”
“ใช่ไหมล่ะคะ พี่แมคเป็นห่วงพี่ดีน อยากให้พี่ดีนได้พักผ่อนก็เลยอยากสลับหน้าที่บ้างทั้งที่ตาของพี่แพ้แสง ส่วนพี่ดีนเองก็ไม่อยากให้พี่แมคออกไปตากแดดจนผิวไหม้เกรียมเลยรับหน้าที่นี้เอาไว้คนเดียว พวกพี่ยอมเสียสละให้กันแบบนี้ ถ้าไม่รักกันมากจะเรียกว่าอะไรล่ะคะ”
“…………”
แล้วก็เป็นแมคเคนซีที่เงียบไป เขามองดวงตากลมโตของชาร์ล็อต แล้วหันไปมองผืนน้ำจุดที่ดีนโดดลงไปอีกครั้ง ที่น้องสาวของเขาพูดมาไม่มีตรงไหนผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย
แน่นอน…เขารักดีนมาก ความรักของเขามันไม่ได้เกิดขึ้นหลังจากพวกเขาพบกันที่ค่ายฮาล์ฟบลัด แต่มันกินเวลายาวนานยิ่งกว่านั้นเสียอีก เขารู้จักดีนมาเป็นปี ๆ รู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดียิ่งกว่าอะไร แล้วก็ใช่…ตอนนี้หมอนั่นกำลังเครียดอยู่ แล้วก็คงจะเหนื่อยมากแน่ ๆ
“อา…..”
ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นลูบหน้าแล้วถอนหายใจ ก่อนจะหันไปลูบผมเด็กสาวเบา ๆ
“ขอบคุณชาร์ล็อต ถ้าดีนขึ้นจากน้ำแล้วพี่จะคุยกับเขาดี ๆ”
“อื้อ…งั้นเรามานั่งรอพี่ดีนกันเถอะค่ะ”
ธิดาเฮคาทีพยักหน้ารับ แล้วทั้งสองก็นั่งรอให้บุตรแห่งเจ้าสมุทรขึ้นมาจากน้ำ
.
.
.
แต่จนแล้วจนรอดดีนก็ยังไม่ขึ้นมาสักที
“นี่มันนานเกินไปแล้วไหม”
จากที่เริ่มใจเย็น แมคเคนซีก็เริ่มจะใจร้อนขึ้นมาอีกแล้ว
“นั่นสิคะ ทำไมพี่ดีนหายไปนานจัง”
ชาร์ล็อตมองผืนน้ำที่นิ่งสงบไร้วี่แววว่าจะมีอะไรโผล่ขึ้นมาในเร็ว ๆ นี้
“แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ พี่ดีน— เดี๋ยวค่ะ พี่แมคจะไปไหน”
“พี่ว่าพี่ต้องไปตามดีนแล้ว”
แมคเคนซีพูดขึ้นมาแล้วก็โดดน้ำตามลงไปทั้งอย่างนั้น ปล่อยให้ชาร์ล็อตมองตามพี่ชายตาโต จะห้ามก็ห้ามไม่ทันเสียแล้ว
“พี่ดีนเขาหายใจใต้น้ำได้…นะคะ”
.
.
.
ภายใต้ผืนน้ำ… ไร้เสียงปลอบโยนใด ๆ จากเจ้าสมุทร มีเพียงแค่เสียงน่ารำคาญนิดหน่อยของเจ้าไข่อวบที่เอาแต่ตื๊อให้เขากินอาหารทะเลสดใหม่ที่มันหามา
“วี้~~” oO(นี่ ๆ มะนุ้ด เป็นไรอ่าดูเศร้า ๆ อาหารของมะนุ้ดไม่อร่อยล่ะสิ เดี๋ยวป๋มไปหาปลาสดใหม่มาให้เอาม้า)
‘ให้ตายสิ ขอมาแอบเศร้าสงบใจแค่คนเดียวก็ไม่ได้!’
แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเพื่อนใหม่ตัวนี้มีความห่วงใยมอบให้ มันจับอารมณ์ของมนุษย์ได้ไม่ต่างจากสุนัข สมแล้วที่ผลของงานวิจัยออกมาว่าสัตว์ตระกูลโลมามีความฉลาดเทียบเท่ามนุษย์ และเจ้าไข่อวบก็เป็นออร์ก้านิสัยดีตัวนึง ให้เดามันคงเป็นที่รักของฝูงแน่ ๆ แอบรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ให้มันมาเสียเวลากับพวกเขาแทนที่จะได้อยู่ด้วยกันกับครอบครัว แต่ทำไงได้ มันจำเป็นนี่นา
ยังไม่ทันได้ตอบกลับไข่อวบหรือทำอะไรมากไปกว่านั้น บางสิ่งที่มีน้ำหนักราว ๆ หนึ่งร้อยหกสิบเจ็ดจุดห้าปอนด์ก็ตกลงมาในทะเล …มันไม่ใช่วัตถุแต่เป็น ‘คน’ และใช่ ร่างที่ร่วงลงมานั้นคือ ‘แมคเคนซี’
‘เฮ้ย!!!’
จากความตกใจแทบจะทำให้ลืมความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจไปจนหมดสิ้นหลังเห็นว่าบุตรแห่งมนตราตกลงมาในมหาสมุทร ดีนที่ไม่ทราบเหตุการณ์ด้านบนแพรีบว่ายไปโอบรับตัวของอีกฝ่ายไว้แล้วพาตัวขึ้นสู่ผิวน้ำในทันที จากนั้นก็รีบดูอาการของคนรักหน้าตาตื่นเหมือนหมาตกใจเสียงพลุ
ทันทีที่ร่างกายปะทะผืนน้ำ แมคเคนซีก็รู้ได้ทันทีว่ากลางมหาสมุทรนั้นไม่ใช่ที่ที่ใครก็ได้จะลงมาว่ายน้ำเล่นไม่ว่าจะว่ายน้ำแข็งสักเพียงใด มวลน้ำหนาแน่นและลึกอย่างไม่มีที่สิ้นสุดต่างจากน้ำในสระน้ำเหมือนกับกำลังกดและดึงร่างของเขาลงไป ดวงตาสีฮาเซลเห็นร่างของดีนเพียงราง ๆ เท่านั้น และเหมือนอีกฝ่ายก็เห็นเขาเช่นกันจึงรีบว่ายตรงมาทางนี้แล้วคว้าร่างของเขาขึ้นสู่ผืนน้ำอย่างง่ายดายโดยที่ยังไม่ทันสำลักน้ำเข้าปอดไปแม้แต่น้อย
นี่สินะ…พลังวิเศษของบุตรแห่งเจ้าสมุทร
“แมคซี่ เกิดอะไรขึ้น!”
“ก็…นายหายไปนานไม่ขึ้นมาสักที ฉันเลยลงไปตาม”
ทันทีที่ขึ้นมาเหนือน้ำได้ แมคเคนซีก็ใช้ทักษะว่ายน้ำที่มีอยู่ลอยตัวไว้ แต่สองมือกลับกอดเอวของดีนไว้หลวม ๆ แล้วยิ้มให้เหมือนที่ชอบทำ
“ฉัน…ขอโทษ ฉันแค่เป็นห่วงนาย ไม่อยากให้นายต้องตากแดดนาน ถึงนายจะชอบสังเคราะห์วิตามินดีก็เถอะ แต่ถ้าโดนแดดนานเกินไปจะเป็นไข้ไม่ก็ลมแดดได้นะ ฉันเลยอยากช่วยนายบ้าง”
แล้วก็เป็นคนพูดน้อยอย่างแมคเคนซีนี่แหละที่ต้องเป็นฝ่ายเปิดปากพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาก่อน เขารู้ว่าดีนสามารถหายใจใต้น้ำได้แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยให้เกิดความบาดหมางนานหรือผิดใจกันกับดีนข้ามวันนี่นา
“อ๊ะ.. แมคซี่ ฉันขอโทษนะที่… ที่ทำให้นายเป็นห่วง”
รอยยิ้มอ่อนโยนของคนตรงหน้าทำให้ใจของบุตรเจ้าสมุทรอ่อนยวบลงอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่อายที่จะระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจด้วยการปล่อยโฮ ร่างสูงสวมกอดคนรักเหมือนกับที่ชอบกอดตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เพื่อใช้ฮีลใจ ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ใจดีอิมพอร์ตมาจากกลอสเตอร์ประเทศอังกฤษที่ชื่อว่า ‘แมคเคนซี’
จากการโถมใส่สุดตัวทำให้ทั้งสองจมลงไปใต้น้ำอีกรอบ แต่เพียงไม่กี่วินาทีถัดมาพวกเขาก็โผล่พ้นน้ำขึ้นมาอีกครั้งโดยนั่งอยู่บนหลังของวาฬเพชฌฆาตต้วใหญ่
“โอ๊ะ…”
จากที่ตื่นตกใจเมื่อถูกเจ้าหมาตัวใหญ่อย่างดีนทิ้งตัวใส่จนลงไปใต้น้ำกันอีกครั้ง ก็กลายมาเป็นประหลาดใจแทนเมื่อเจ้าไข่อวบช้อนร่างพวกเขากลับขึ้นมาเหนือน้ำแบบไม่ต้องรอนาน
ใครจะไปคิดล่ะว่าชาตินี้จะได้ขี่หลังวาฬเพชฌฆาต
“วี้~~” oO(มะนุ้ดอยากเล่นน้ำกันก็ไม่บอก)
“เงียบน่าไข่อวบ…” ดีนค้อนมันเสียงเบา
แมคเคนซีมองคนหน้างอใส่สัตว์ทะเลตัวยักษ์ด้วยรอยยิ้มบางแล้วใช้สองมือประคองใบหน้าคมสันของคนรักให้หันมามองที่ตน
“รู้ว่าห่วงก็อย่าทำให้เป็นห่วงสิ นายเล่าให้ฉันฟังได้ทุกเรื่องนะที่รัก”
ตอนนี้เขาอยากฟังสิ่งที่ดีนจะพูดมากกว่าอยากรู้ว่าเจ้าวาฬไข่อวบพูดอะไรเสียอีก
“ฉัน… ฉัน”
ดีนยังพูดอะไรไม่ออก เขาจับหลังมือที่ประคองใบหน้าตนเองอยู่ก่อนหลุบสายตาแล้วซบหน้าลงไปกับฝ่ามือนั้น
“ฉันเหนื่อยมากเลยแมคซี่… แล้วฉันก็มองโลกในแง่ดีไม่ออกว่าพวกเราจะรอดไปจากสถานการณ์นี้ได้ยังไง อีกตั้งสิบวันกว่าจะถึงฝั่ง พวกเราจะรอดกันจริง ๆ ใช่ไหม? ฉัน… ฉันอยากกลับบ้าน แมคซี่… ฉันกลัว”
ความในใจพรั่งพรูออกมาจนหมด หากเป็นไปได้เขาอยากจะทิ้งภารกิจนี้แล้วหาทางกลับไปที่นิวยอร์กให้เร็วที่สุดเลยด้วยซ้ำ แต่หากทำแบบนั้น พวกเขาสามคนคงมีชะตากรรมไม่ต่างจากไบร์ท จูลี่ และอีธานที่ออกเดินทางล่าช้าแล้วถูกกาลเวลากลืนกินไปใช่หรือไม่…
พอเห็นดีนด้านที่อ่อนแอแล้วแมคเคนซีก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจไปหมด นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยแก้มที่เริ่มมีหนวดเคราครึ้มเบา ๆ แล้วกดจมูกหอมตรงกระหม่อมที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมหยักศกสีดำดกหนาซึ่งตอนนี้แห้งสนิทหลังเพิ่งขึ้นจากน้ำมาไม่กี่วิ ผิดกับเขาที่ตอนนี้เปียกปอนไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ฉันรู้ดีน…ฉันรู้ว่านายเหนื่อย ตอนนี้พวกเราก็แค่ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายนิดหน่อย แต่ทุกอย่างจะดีขึ้น นายยังมีฉันกับชาร์ล็อตอยู่ด้วย แล้วก็เจ้าไข่อวบอีก พวกเราต้องได้กลับบ้านกันอย่างปลอดภัย โอเคไหมที่รัก”
ริมฝีปากได้รูปจูบเข้าที่ขมับอย่างอ่อนโยนอีกครั้งเป็นการปลอบขวัญ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็มองไม่เห็นปลายทางของภารกิจนี้เลยว่าจะลงเอยอย่างไร แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาจะไปถึงชายฝั่งปานามาตามที่วางแผนกันไว้ไหม แต่ถ้าทุกคนในที่นี้มีแต่ความหวาดกลัวและวิตกกังวลก็คงจะพากันจิตตกไปหมด เขาจึงต้องพยายามเข้มแข็งและควบคุมสติเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
แมคเคนซีค่อย ๆ ถอดแว่นตาว่ายน้ำที่ดีนใช้สวมใส่แทนแว่นตาออก แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ดวงตาสีเปลือกไม้แดงก่ำทั้งที่ไม่ได้ระคายเคืองจากการถูกน้ำทะเลเข้าตาแม้สักหยด เขาจับฝ่ามือใหญ่ของดีนมากุมไว้อีกครั้งจนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น
“ถ้ามีอะไรที่ฉันพอช่วยนายได้อีกก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ แต่ตอนนี้เราพักผ่อนกันสักหน่อยเถอะ ถ้านายรู้สึกโอเคขึ้นแล้วค่อยออกเดินทางกันต่อ”
เมื่อแว่นตาว่ายน้ำมีค่าสายตาถูกถอดออกดีนก็มองอะไรแทบไม่เห็น ภาพมัว ๆ เบลอ ๆ ตรงหน้ามีแค่แสงสว่างจากดวงอาทิตย์และเงาของแมคเคนซีที่มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจน ดีนเองก็อยากให้อีกฝ่ายมองเห็นเขาด้วยภาพมัวแบบนี้ จะได้ไม่เห็นว่าตอนนี้เขามีสภาพยับเยินแค่ไหน
เขาอยากให้สถานการณ์นี้เป็นแค่เรื่องเลวร้าย ‘นิดหน่อย’ อย่างที่แมคเคนซีว่า แต่เมื่อคิดถึงคำพยากรณ์ที่ต้องต่อสู้กับสุดยอดจอมมารอย่าง ‘อะพอลลีออน’ ที่กำลังจะถูกปลดปล่อย ความหนาวเหน็บก็เข้าปกคลุมหัวใจ พวกเขาจะไปกู้โลกกันทันจริง ๆ ใช่ไหม หรือจะได้จบชีวิตกันกลางทะเลก่อน
บางทีพวกเขาอาจวางแผนกันผิดตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ ผิดที่ดีนอยากเลี่ยงเส้นทางทางบกที่ต้องผ่าน ‘ช่องดาเรียน’ ป่าดงดิบซึ่งเป็นเส้นทางหฤโหดในปานามาที่น่าจะชุกชุมไปด้วยสัตว์ร้าย อสุรกาย และอาชญากร จึงเลือกลักลอบขึ้นเรือสินค้าที่มีความเสี่ยงในการถูกจับตัวได้แต่ใช้เวลาในการเดินทางน้อยกว่า
แต่สุดท้ายสถานการณ์ก็มาลงเอยแบบนี้ ทำให้ทุกคนลำบากกันไปหมด แถมดูเหมือนว่าเมื่อขึ้นฝั่งมาแล้วพวกเขาจะเลี่ยงที่ต้องผ่านช่องดาเรียนแสนอันตรายไม่ได้จริง ๆ
บุตรเจ้าสมุทรถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่กับสิ่งที่ต้องเผชิญอยู่เบื้องหน้า นาทีนี้คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ากำลังใจ
“ฉันอยากให้นายอยู่เป็นกำลังใจให้ฉัน… แค่นั้น… ฉันก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วที่รัก”
“มันแน่นอนอยู่แล้ว ที่ฉันตอบตกลงมาร่วมทำภารกิจนี้กับนายไม่ใช่แค่เพื่อช่วยชาร์ล็อต แต่เพราะฉันอยากอยู่กับนายไง ฉันไม่อยากปล่อยให้นายต้องเจอเรื่องอันตรายคนเดียวอีก”
แมคเคนซีเผลอบีบมือของดีนแน่นขึ้นแบบไม่รู้ตัว
“กำลังใจจากฉัน นายอยากได้เท่าไหร่เอาไปให้หมดเลย แต่คงหมดยากหน่อยนะ…เพราะมันอันลิมิต”
แล้วก็ไม่ลืมทิ้งท้ายแบบติดตลกไปนิดหน่อย แต่แมคเคนซีก็หมายความตามที่พูดจริง ๆ
“ขอบคุณนะที่รัก ฉันคิดว่านายโกรธอะไรฉันซะอีก”
แค่จับมือกันไม่พอ ดีนขยับเข้าไปสวมกอดตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ของเขาพร้อมกับซบหน้าลงไปบนบ่ากว้างที่เปียกชื้น อ้อมกอดของแมคเคนซีคล้ายกับมีเวทมนตร์ในการฮีลใจได้ทุกครั้ง คราวนี้ก็เช่นกัน... กอดอบอุ่นช่วยผ่อนคลายจิตใจของดีนให้สงบลงไปได้อย่างรวดเร็ว
“ฉันไม่ได้โกรธนาย ก็แค่…น่าจะรู้สึกเหมือนนายตอนอยู่ที่โรงแรมแถวบูเลอร์วาร์ด”
แมคเคนซีบอกเพียงแค่นั้นขณะที่กอดตอบอีกฝ่ายไว้แล้วลูบแผ่นหลังกว้างเบามือ ดีนน่าจะเข้าใจความรู้สึกของตนเองในตอนนั้นดี
“อ๊ะ.. จริงเหรอ?”
ดีนผละหน้าออกมาเล็กน้อย เขารู้ดีว่า ‘รู้สึกเหมือนตอนอยู่ที่โรงแรมแถวบูเลอร์วาร์ด’ คืออะไร… รู้สึกไร้พลัง รู้สึกไร้ประโยชน์ รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้สักอย่าง หรือบางทีในมุมมองของแมคเคนซีอาจเพิ่มเติมความเหงาไปด้วย อยู่ห่างกันเพียงผ้าใบกั้น พูดคุยกันผ่านหลังคาแพ เพราะดีนจำเป็นต้องไปควบคุมใบเรือและหางเสือที่ด้านบนแพตลอดเวลา
“ฉันขอโทษนะที่ลืมคิดในมุมมองของนาย ที่รัก…”
ระหว่างที่ทั้งสองสวมกอดกันและกันไข่อวบก็ส่งเสียงวี้ ๆ ออกมาตลอดพร้อมกับพรูน้ำพุออกมาจากรูหายใจ ทว่าดีนไม่ได้สนใจฟัง
“ไม่เป็นไร ตอนนี้เราเข้าใจกันแล้วนี่ ว่าแต่เจ้าไข่อวบร้องใหญ่แล้ว มันหนักหรือเปล่านะ”
เหมือนว่าเสียงแหลมสูงของวาฬเพชฌฆาตจะดังเข้าหูแมคเคนซีเข้า เขาเลยมองไปยังส่วนหัวของมันด้วยความสงสัย
“หือ?”
บุตรเจ้าสมุทรลองเงี่ยหูฟังเสียงของไข่อวบดี ๆ ถึงได้รู้ว่า……
“วี้…” oO(มะนุ้ดกำลังเส้า เดี๋ยวพาไปว่ายน้ำเล่นดีกว่า)
“เฮ้ย! เดี๋ยว ไข่อวบอย่าเพิ่ง!!!”
สายไปแล้ว…
วาฬเพชฌฆาตมุดลงไปใต้น้ำทันทีหลังจากความคิดในหัวของมันทำงาน ในขณะที่สองเดมิก็อดนั่งอยู่บนหลังของมัน ดีนรีบเสกฟองอากาศครอบหัวแมคเคนซีเพื่อให้มีอากาศหายใจและป้องกันแรงดันบางส่วน ตอนนี้สภาพของอีกฝ่ายจึงคล้ายกับมนุษย์อวกาศกลาย ๆ มือนึงของดีนโอบรอบเอวคนรัก อีกมือก็คว้าจับครีบข้างลำตัวของออร์ก้าเอาไว้
“เหวออออ!”
ทันทีที่เจ้าไข่อวบพุ่งตัวลงใต้น้ำ แมคเคนซีก็รีบหลับตาปี๋ จากที่นึกว่าจะต้องสำลักน้ำทะเลแน่ ๆ แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างครอบศีรษะของตนเองไว้ทัน จนตอนนี้ร่างของเขาดำดิ่งและเปียกปอน แต่กลับหายใจได้อย่างน่าประหลาดทั้งที่ตนเองเป็นบุตรเทพีแห่งม่านหมอก แมคเคนซีจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แล้วเขาก็ต้องตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
โลกใต้สมุทร ณ ทะเลแคริบเบียนต่างจากคำบรรยายที่ดีนเคยให้ไว้กับชาร์ล็อตเมื่อวาน แม้จะอยู่ในโซนน้ำลึกทว่าแสงแดดที่ไม่เคยหมดส่องสะท้อนลงมาให้เห็นความงดงามใต้ท้องทะเลที่ยังไม่ถูกทำลาย เหนือพื้นทรายเต็มไปด้วยแนวปะการังหลากสีสันสวยงาม ใกล้กันนั้นมีซากเรือโบราณสมัยล่าอาณานิคมอัปปางอยู่ใต้น้ำกลายเป็นบ้านใหม่แก่ฝูงปลาตัวเล็กทั้งหลาย ดีนเห็นภาพนั้นหลังจากที่เขาหยิบเอาแว่นตาว่ายน้ำขึ้นมาสวมใส่อีกครั้ง
‘นี่มัน… สวยเอามาก ๆ’
“ใต้มหาสมุทรเป็นแบบนี้เองเหรอ”
หนุ่มอังกฤษพึมพำขณะมองไปรอบ ๆ ระบบนิเวศน์ที่นี่ถือว่าสมบูรณ์มาก จึงยังคงความงามตามธรรมชาติไว้ได้อย่างครบถ้วน เผลอ ๆ อาจงดงามกว่ารายการท่องเที่ยวที่เขาเคยดูด้วยซ้ำ
‘น่าเสียดายจังที่ชาร์ล็อตไม่ได้ลงมาด้วย’
อยู่ ๆ ก็นึกถึงน้องสาวที่รออยู่ในแพชูชีพขึ้นมา แต่เธอมีสมาร์ทโฟนของเขาเป็นเพื่อนแก้เหงาแล้ว ป่านนี้เด็กสาวอาจจะกำลังเพลิดเพลินกับการเล่นเกมฝึกสมองที่เขาโหลดเก็บไว้ในเครื่องอยู่ก็เป็นได้
หากว่านี่คือในอนิเมชั่นเงือกน้อยผจญภัย ฉากต่อไปเพลง ‘ใต้ท้องทะเล’ ต้องขึ้นมาแน่ ๆ น่าเสียดายว่าชีวิตจริงไม่ใช่แบบนั้น
ดีนหันมองใบหน้าด้านข้างของแมคเคนซี เพียงแค่ได้เห็นสีหน้าผ่อนคลายของคนรักก็ช่วยให้เขาหายเหนื่อย ฟองอากาศน่าจะเก็บอากาศไว้ได้ราว ๆ ห้านาที ฉะนั้นเขาต้องใช้ช่วงเวลานี้พาอีกฝ่ายทัวร์ใต้น้ำให้คุ้ม หนุ่มเท็กซัสปล่อยมือออกจากครีบออร์ก้า จากนั้นเตะขาว่ายน้ำพาคนรักไปชมแนวปะการังใกล้ ๆ กระแสเสียงสงสัยของเหล่าปลานับพันดังระงมในหัวบุตรเจ้าสมุทรจนเขาสับสน ประชากรใต้ทะเลพลุกพล่านยิ่งกว่าไทม์สแควร์ช่วงไพรม์ไทม์เสียอีก
“บ๊อม” oO(นั่นตัวอะไรน่ะ)
“บุ๋ง” oO(นั่นมะนุ้ดนี่ ข้าเคยเจอตอนไปแถวชายฝั่ง)
“บุ๊บ” oO(มะนุ้ดเหรอ?)
“บ๊อม!” oO(มะนุ้ด!)
สัตว์ทะเลดูตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้เจอกับมนุษย์ตัวเป็น ๆ พวกมันว่ายน้ำมาดูดีนและแมคเคนซีใกล้ ๆ พอเจอแบบนี้แล้วรู้สึกเขินเหมือนกัน ดีนจึงส่งกระแสจิตพร้อมโบกมือทักทายพวกมันเสียหน่อย
‘ฮาย ฉันดีน ส่วนนี่แมคซี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะ’
น่าเสียดายชะมัดที่ตอนนี้ดีนคุยได้แค่กับปลา แต่ว่าเขาอ้าปากสื่อสารกับแมคเคนซีไม่ได้เลย
ทางด้านแมคเคนซีที่ถูกลำแขนแข็งแรงของดีนโอบเอวไว้แล้วพาว่ายน้ำมาดูความสวยงามของปะการัง มือข้างนึงกำเสื้อของอีกฝ่ายไว้ แม้ว่าดีนจะเป็นถึงลูกของเทพเจ้าสมทุร แต่ด้วยความลึกขนาดนี้ก็ยังน่ากลัวสำหรับเขาอยู่ดี ส่วนขาก็ช่วยเตะน้ำพยุงร่างกายตนเองไว้เพื่อไม่ปล่อยให้ดีนต้องรับน้ำหนักเพียงคนเดียว เบื้องหน้ารวมถึงรอบตัวตอนนี้มีแต่ฝูงปลานานาชนิดเต็มไปหมด พวกเขาคงเปรียบเสมือนของแปลกสำหรับเหล่าสัตว์ทะเลล่ะมั้ง
“…………”
พอหันมองไปยังคนรักแล้วก็เห็นว่าสีหน้าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปมา ดูท่าว่าคงกำลังสื่อสารกับพวกมันอยู่ แมคเคนซีจึงโบกมือให้เหล่าฝูงปลาตามดีนไปด้วย
แต่เมื่อทั้งสองโบกมือให้ฝูงปลามันกลับว่ายน้ำไปหลบ ท่าทางการทักทายภาษาปลาคงไม่มีธรรมเนียมการโบกครีบให้แก่กัน…
ดีนหันไปหาแมคเคนซีก่อนจะพยายามสื่อสารด้วยภาษามือ ถามไถ่ว่าอีกฝ่ายอยากดูตรงไหนเป็นพิเศษไหม หรือว่าอยากขึ้นไปด้านบนผิวน้ำแล้วด้วยการชี้โบ๊ชี้เบ๊
‘ลำบากชะมัด ทำไมฉันคุยกับคนใต้น้ำไม่ได้นะ แบบนี้ไม่เหมือนในการ์ตูนเงือกน้อยผจญภัยเลย!’
ถึงจะเป็นภาษามือแต่แมคเคนซีก็พอเข้าใจได้ว่าดีนจะสื่ออะไร แม้ว่าใต้ทะเลจะสวยงามและเย็นสดชื่นกว่าบนผืนน้ำที่มีแสงอาทิตย์สาดส่องก็ตาม แต่การดำน้ำลงมาในระดับที่ลึกแบบกะทันหันส่งผลให้แรงดันจากน้ำกับแรงดันภายในร่างกายไม่เท่ากัน อาการแรกที่เริ่มรู้สึกได้ก็คือปวดหู แม้ว่าจะทำการปรับแรงดันจากภายนอกและภายในให้สมดุลกัน หรือที่เหล่านักดำน้ำมืออาชีพมีศัพท์เฉพาะเรียกกันว่า ‘เคลียร์หู’ ด้วยการกลืนน้ำลายแล้วก็ตามก็ยังไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ (ส่วนการบีบจมูกแล้วหายใจออกเพื่อตีอากาศให้ขึ้นไปที่หูยังไม่ได้ลองทำเพราะมีฟองอากาศครอบศีรษะอยู่)
หนุ่มอังกฤษนักดำน้ำมือสมัครเล่นจึงชี้นิ้วขึ้นไปด้านบนแทนคำตอบ
“…………”
ดีนทำมือสัญลักษณ์ ‘โอเค’ จากนั้นเขาค่อย ๆ พาแมคเคนซีขึ้นไปสู่ผิวน้ำเพื่อปรับแรงดันที่แตกต่างกัน แต่ถึงจะไม่ได้ทำเพื่อการนั้นดีนก็ว่ายน้ำช้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้แมคเคนซีคงรู้แล้วว่าเขาเป็นบุตรแห่งโพไซดอนที่ว่ายน้ำห่วยแตกแค่ไหน และก่อนจะถึงผิวน้ำไข่อวบก็ว่ายมาโฉบทั้งสองขึ้นไปจนนั่งอยู่บนหลังมันอีกรอบคล้ายกับว่าอยู่บนพรมวิเศษของอะลาดิน มันเคลื่อนที่ไปใกล้แพยางเพื่อให้ทั้งสองปีนขึ้นไป
“วี้!” oO(ฮี่ฮี่ มะนุ้ดร่าเริงขึ้นแล้ว!)
“ขอบใจมากนะไข่อวบ ตอนนี้พวกเราโอเคแล้ว แกก็เหนื่อยมาทั้งวัน ไปพักผ่อนเถอะ”
ดีนลูบหัวลื่น ๆ ของออร์ก้าเหมือนกับว่ามันคือสุนัข เจ้าวาฬเพชฌฆาตตัวใหญ่ส่งเสียง “วี้!” อีกครั้งพร้อมกับพ่นน้ำออกมาจากช่องหายใจ จากนั้นมันก็มุดลงไปใต้มหาสมุทร
“แมคซี่ นายเป็นไงบ้าง?”
ดีนกล่าวพร้อมกับลูบน้ำออกจากใบหน้า แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีตัวของเขาก็แห้งสนิทเองได้แล้ว
“ปวดหูนิดหน่อย แต่เดี๋ยวคงหาย ไม่เป็นไร”
ยังดีที่การขึ้นมาเหนือน้ำเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่อย่างนั้นแก้วหูของหนุ่มนักเวทอาจเกิดการบาดเจ็บขึ้นได้ หลังจากมองดีนร่ำลากับออร์ก้าตัวยักษ์แล้ว แมคเคนซีที่ตัวเปียกซ่กก็ตอบคำถามอีกฝ่ายแล้วทำการเคลียร์หูของตนเองอีกครั้ง
“แล้วนายเป็นไงบ้าง โอเคขึ้นไหม”
“อืม ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย ทั้งได้ไปเห็นวิวสวย ๆ ใต้ทะเล แล้วก็…” ดีนเหลือบมองแมคเคนซีเล็กน้อยก่อนจะเบนใบหน้าออกมองสายน้ำพร้อมอมยิ้ม “ได้กอดนายทำให้ฉันรู้สึกดีแบบสุด ๆ”
“…….ฉันก็รู้สึกดีเหมือนกัน”
พอเห็นดีนยิ้มได้ด้วยความรู้สึกตามที่เจ้าตัวบอกจริง ๆ ก็ทำให้แมคเคนซียิ้มออกมาได้เช่นกัน การได้มีใครสักคนเป็นความสุข และได้เป็นความสุขของใครสักคนนั้นทำให้หัวใจรู้สึกเหมือนถูกเติมเต็มขึ้นมา จะว่าไปเขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วกันนะ
“งั้นเวลานายเหนื่อยหรือรู้สึกไม่ดีก็กอดฉันไว้…แต่นายจะว่าอะไรไหมถ้าตอนนี้ฉันอยากทำมากกว่านั้น”
แม้ว่าบรรยากาศรอบตัวจะไม่เป็นใจอย่างพระอาทิตย์กำลังตกดินหรือมีแบ็คกราวน์สุดโรแมนติก แต่บุตรโพไซดอนที่อยู่เคียงข้างเขาในยามนี้ก็ยังงดงามน่าหลงใหลเสมอ
“ทะ… ทำอย่างอื่น นายหมายความว่ายังไงเหรอ”
ไม่ใช่ว่าไม่รู้ พวกเขาไม่ได้จู๋จี๋กันมานานกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงจนเกิดบรรยากาศตึงเครียด ดีนรู้ว่าแมคเคนซีหมายถึงอะไร เพราะหัวใจของเขาทั้งสองตรงกัน
แมคเคนซีวางมือทับหลังมือของดีนไว้แล้วโน้มใบหน้าเข้าหน้า หวังให้ริมฝีปากได้รูปของตนสัมผัสกับริมฝีปากสีนู้ดอย่างอ่อนโยน
“พวกพี่มากันแล้วเหรอคะ หนูเป็นห่วงแทบแย่ โอ๊ะ พี่แมคเปียกน้ำหมดเลย เดี๋ยวหนูเอาผ้าเช็ดตัวมาให้นะคะ”
เสียงของชาร์ล็อตที่ดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลังทำให้แมคเคนซีต้องรีบผละออกมานั่งหลังตรงทำเหมือนว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นไม่นานเธอก็เอามาขนหนูมาให้
“รีบเช็ดผมให้แห้งเลยนะคะ เดี๋ยวไม่สบาย”
“อ..โอ้ ดีเลย ขอบคุณนะชาร์ล็อต”
เขารีบตอบกลับน้องสาวพลางรับผ้าขนหนูมาเช็ดผมของตนเองแล้วแอบเม้มริมฝีปากอย่างเสียดาย
แต่ภาพนั้นคงไม่อาจพ้นสายตาของเด็กสาวไปได้ ธิดาแห่งเฮคาทีปริบตามองพี่ชายทั้งสองที่ต่างนั่งหลังเหยียดตรงกันอย่างมีพิรุธ
“อุ๊ย! หนูมาขัดจังหวะหรือเปล่าคะ งั้นหนู.. หนูขอตัวก่อนนะคะ”
‘ฉันล่ะชอบเด็กเซนส์ดีแบบเธอจริง ๆ…’
ดีนคิดในใจพร้อมกับยิ้มให้เป็นคำตอบ หลังจากที่หญิงสาวกลับเข้าไปในตัวแพ หนุ่มใบหน้าละตินก็ประคองใบหน้าของแฟนหนุ่มเข้ามาประกบจูบในทันที ป้อนความหวานเจือรสน้ำเกลืออย่างเร่าร้อนให้สมกับที่พวกเขาอดอยากกันมากว่าหนึ่งวัน ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยริมฝีปากอิ่มที่ซีดลงเล็กน้อยหลังการแช่น้ำออกอย่างเชื่องช้า
“ถอดเสื้อออกก่อนไหม เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
ดวงตาสีฮาเซลปรือมองคนตรงหน้าราวกับถูกมนตร์สะกดให้เคลิบเคลิ้ม รอยยิ้มพึงพอใจระบายออกมาจากริมฝีปากที่ยังหลงเหลือรสน้ำทะเลจาง ๆ แต่ช่างหวานล้ำดั่งคาราเมลในความรู้สึก
“ถอดเสื้อเลยเหรอ โลภมากจังนะ”
พอกลับมาอารมณ์ดีแล้วก็แกล้งพูดหยอกได้ แต่ถึงอย่างนั้นแมคเคนซีก็ถอดเสื้อที่เปียกชื้นพาดตากไว้ตรงขอบแพยางตามคำแนะนำนั้น อาศัยความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้ผ้าแห้ง
“ให้นายได้รับวิตามินดีนแบบที่นายอยากได้ไง”
พอรู้ว่าถูกแหย่บุตรเจ้าสมุทรก็พุ่งเข้าตะครุบผิวเนื้อขาว ๆ อย่างมันเขี้ยว งับ ๆ ฟัด ๆ จนผิวขาวขึ้นจ้ำเป็นบางส่วน น่าเสียดายจริง ๆ ที่ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้…
“วิตามินดีนงั้นเหรอ…ฉันชอบมุกนี้ เฮ้ ใจเย็นสิ นายนี่มันซนชะมัด”
พอถูกร่างใหญ่ ๆ ของคนรักโถมเข้าใส่แมคเคนซีก็ถึงกับหงายหลัง ดีนฟัดเขาเหมือนเวลาเจ้าหมาตัวโตเล่นกับเจ้าของ เรียกเสียงหัวเราะของหนุ่มอังกฤษจนก้องไปทั่วบริเวณมหาสมุทรอันเงียบสงบนั้น แม้กระทั่งชาร์ล็อตเองที่อยู่ในเต็นท์ก็พลอยยิ้มสดใสไปด้วยที่พี่ชายของเธอทั้งคู่สามารถปรับความเข้าใจกันได้
ดีนโอบแขนทั้งสองข้างกอดเอวแมคเคนซีเอาไว้หลวม ๆ จากนั้นพิงศีรษะซบไหล่ของอีกฝ่ายก่อนจะทอดสายตามองทะเลเบื้องหน้า
“พระอาทิตย์นี่น่ารำคาญชะมัด ถ้าโลกเป็นปกติเราคงได้นั่งกอดกันดูดาวไปแล้ว”
ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นกับโลกมากมายเหลือเกิน กลางคืนหายไป กาลเวลาผิดเพี้ยน จอมปีศาจจากนรกกำลังจะถูกปลุกให้ตื่น โลกอาจจะแตกพรุ่งนี้ก็ได้ แต่อย่างน้อยหากเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตก็ขอให้ได้ชมวิวสวย ๆ กับคนที่รักหน่อยได้ไหม
“นั่นสิ ตอนนี้ดูพระอาทิตย์กันไปก่อนก็แล้วกัน เร่าร้อนเหมือนพวกเราไม่มีผิด”
เร่าร้อนเสียจนแมคเคนซีที่เอนพิงศีรษะของดีนอีกทีถึงกับต้องหลับตาลงเลยทีเดียว
“นายดูได้เหรอ ตาแพ้แสงไม่ใช่หรือไง?” เมื่อเหลือบตามองก็เห็นว่าบุตรเฮคาทีหลับตาคุยกับเขาอยู่ “นั่นไง ว่าแล้วเชียว”
ดีนจึงขยับตัวนั่งดี ๆ ก่อนจะถอดเสื้อที่แห้งสนิทของตนมาคลุมหัวให้อีกฝ่ายไว้กันแดด
“แล้วนายเหนียวตัวไหม พวกเราไม่มีน้ำจืดเพียงพอสำหรับการอาบด้วยสิ”
และหมายถึงแมคเคนซีจะต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้ไปอีกประมาณสิบวัน กว่าจะได้ขึ้นฝั่งกลิ่นของพวกเขาทุกคนคงฉุนใช้ได้
“ถึงฉันบอกทนไม่ได้ แต่ก็ต้องทนใช่ไหม”
ริมฝีปากได้รูประบายยิ้มให้ความความใส่ใจเล็ก ๆ ของอีกฝ่ายแล้วปล่อยให้เสื้อคลุมศีรษะตนเองอยู่อย่างนั้น และเขาก็พูดตามที่คิดจริง ๆ เรื่องไม่อาบน้ำไม่กี่วันยังพอทน แต่เหนียวตัวนี่พอเลย มันทำให้คนรักสะอาดอย่างเขารู้สึกไม่สบายตัวสุด ๆ แต่ทำยังไงได้ในเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลือกอะไรไม่ได้เช่นนี้ ก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้พวกเขาไปถึงฝั่งไว ๆ แล้วสิ่งที่เขาจะทำเป็นอันดับต้น ๆ ก็คืออาบน้ำนี่ล่ะ
น่าเสียดายที่ดีนมีพลังในการทราบองค์ประกอบของน้ำเพียงแค่สัมผัส แต่ดันไม่สามารถแยกแร่ธาตุที่อยู่ในนั้นออกจากน้ำบริสุทธิ์ได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงทำฝักบัวอาบน้ำให้คนอื่น ๆ ได้ใช้กันไปแล้ว และด้วยปรากฏการณ์อีเทอร์นัลซันไชน์ทำให้พวกเขาไม่สามารถทำน้ำรองน้ำค้างไว้ใช้แบบในสารคดีเดินป่า เพราะว่าถูกแสงแดดแผดเผาจนไอน้ำระเหยหายไปหมด
แต่จู่ ๆ ดีนก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมา
“นายว่าถ้าฉันขอพรอาซุสให้ปลดขีดจำกัดของตัวเองเพิ่มอีกสักหน่อย ฉันจะใช้พลังเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืดได้ไหมนะ?”
“นายหมายถึงเรื่องที่แม่ฉันบอกน่ะเหรอ ที่ว่าขอพรเทพซุสแล้วเราจะแข็งแกร่งขึ้น”
แมคเคนซีถามแล้วนึกถึงเรื่องที่มารดาตนเองบอกและพวกเขาก็ลองทำตามไปแล้วถึงสองครั้ง และเขาคิดว่ามันค่อนข้างได้ผล แต่เรื่องการใช้พลังอย่างที่ดีนบอกนั้นเขาไม่ค่อยแน่ใจ แต่หากทำได้ก็น่าสนใจทีเดียว
“ใช่ ๆ เผื่อว่าถ้าเก่งขึ้นแล้วฉันจะบรรลุในพรที่พ่อให้มาได้อีกขั้นน่ะ”
“ลองดูไหมล่ะ ถ้าได้ก็ดีนะ”
หลังจากแมคเคนซีออกความเห็น ดีนก็ขยับตัวนั่งดี ๆ เพราะกลัวว่าถ้าซุสมาเห็นภาพหลานชายสุดที่เลิฟ (?) อิงแอบแนบชิดกับหนุ่มไปพลางขอพรไปด้วยจะเกิดอาการหมั่นไส้แล้วส่งฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา คราวนี้อาจไม่ใช่แค่ขนแขนที่ไหม้ แต่คราวนี้อาจเกรียมไปทั้งตัว
แม้ไม่ได้อิงแอบแนบชิดกันแต่อย่างน้อยดีนก็ขอกุมมือคนรักเอาไว้
“นายจำได้ใช่ไหมว่าต้องขอพรว่ายังไง”
“อืม…ได้อยู่นะ น่าจะเริ่มจาก…”
แมคเคนซีพยักหน้ารับพลางกุมมือของดีนตอบแล้วหลับตาลง ปล่อยตัวเองให้จมอยู่ในห้วงสมาธิ ก่อนจะเริ่มกล่าวประโยคที่ราวกับพูดเป็นประจำจนคุ้นเคยขึ้นมา หากแต่เต็มไปด้วยความศรัทธาหาใช่เป็นการท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทอง
“ข้าแต่ราชันย์เทพซุส ผู้ทรงอำนาจแห่งท้องฟ้าและสายฟ้า…… ข้าขออัญเชิญพลังของท่านมาสถิตในกาย เพื่อปลดล็อกขีดจำกัดและก้าวสู่ศักยภาพที่แท้จริง ขอให้พรแห่งท่านนำพาข้าไปสู่ความแข็งแกร่งอันไร้ขีดจำกัด”
ทั้งสองกล่าวคำภาวนาพร้อมกัน ส่งจิตถึงราชันย์แห่งโอลิมปัสบนสรวงสวรรค์อย่างแน่วแน่ พวกเขาได้ยินเสียงคำรามของสายฟ้าผ่านเกลียวคลื่น หลังจากที่ทำการปลดขีดจำกัดของตนเองมาแล้วถึงสองครั้ง คราวนี้เดมิก็อดทั้งสองเริ่มคุ้นชินกับความรู้สึกของกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ที่แล่นผ่านไปทั่วร่าง
เพียงเสี้ยววินาทีเสียงของสายฟ้าในหัวก็ผ่านพ้นไป เหลือแต่เพียงกระแสลมเย็นสบายพัดผ่านร่างของทั้งคู่จนรู้สึกว่าตัวเบาหวิว
“ขอบคุณครับอาซุส”
ดีนลืมตาขึ้นพร้อมกับมองใบหน้าของแมคเคนซีด้วยรอยยิ้ม
‘ขอบคุณครับเทพซุส’
แมคเคนซีกล่าวขอบคุณเพียงในใจก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วก็เห็นว่าดีนมองมาอยู่ก่อนแล้ว
“เอาล่ะ คราวนี้ได้เวลานายทดสอบพลังแล้วว่าจะสามารถทำให้น้ำทะเลกลายเป็นน้ำจืดได้หรือเปล่า”
“ได้เลยที่รัก คราวนี้พวกเราจะได้มีน้ำจืดใช้กันแบบไม่จำกัดสักที!”
ดีนตอบรับอย่างฮึกเหิม จากนั้นวักน้ำทะเลมาไว้ในฝ่ามือ รู้สึกตื่นเต้นชะมัดที่ทำอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก เมื่อก่อนเคยแต่ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทำน้ำกลั่นจากการต้ม แต่ตอนนี้เขากำลังจะทำมันด้วยสองมือจากพลังของเจ้าสมุทร
‘น้ำ… คลอไรด์… โซเดียม… ซัลเฟต… แมกนีเซียม… แคลเซียม… โพแทสเซียม… โบรไมด์… สตรอนเชียม… ฟลูออไรด์… ไอโอดีน… ออกซิเจน… คาร์บอนไดออกไซด์… ไนโตรเจน… กรดอะมิโน… วิตามิน… ฮอร์โมนจากสิ่งมีชีวิต… ซากแพลงก์ตอนและจุลินทรีย์…’
ดีนรู้สึกถึงแร่ธาตุทุกอย่างที่อยู่ในน้ำ เพียงแต่เขาจะแยกแร่ที่ไม่จำเป็นจนออกมาเป็นน้ำจืดในขั้นตอนต่อไปได้อย่างไร …บางทีอาจทำเหมือนควบคุมน้ำ
“น้ำจงจืด”
น้ำในมือสั่นไหวเล็กน้อย บางทีแร่ธาตุทั้งหมดอาจถูกดึงออกไปจากน้ำแล้วมั้ง
“แมคซี่ นายชิมหน่อย”
“หา…ฉันเหรอ”
หนุ่มอังกฤษถึงกับเลิกเสื้อที่คลุมศีรษะอยู่ขึ้นไปแล้วมองดีนตาโต เขาก้มลงมองน้ำในฝ่ามือของอีกฝ่ายแล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองหนุ่มใบหน้าละตินด้วยความระแวงอย่างปิดไม่มิด
“ให้ตายสิดีน นายเห็นฉันเป็นหนูทดลองงานวิจัยของนายหรือไง”
ตอนนี้สิ่งที่แมคเคนซีสงสัยกว่า ‘ดีนสามารถใช้พลังแปลงน้ำทะเลให้กลายเป็นน้ำจืดได้หรือไม่’ ก็คือ ‘หมอนี่สงสัยเองแล้วทำไมไม่ลองชิมเอง (ฟะ!?)’
“ไม่ใช่สักหน่อย ขอให้ช่วยชิมแค่นี้ก็ไม่ได้ นายไม่ไว้ใจฉันหรือไง”
ดีนหน้างอ จากหวาน ๆ กันเมื่อครู่ แต่ตอนนี้เขารู้สึกอยากต่อยแขนแมคเคนซีสักเปรี้ยง
“เปล่า! ไม่..ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันก็แค่….”
กำลังจะพูดถึงสิ่งที่ตัวเองคิด แต่พอเห็นดีนหน้างอเหมือนตูดอารมณ์บูดเหมือนท้องผูกมาหลายวันแล้วก็ได้แต่กล้ำกลืนคำพูดนั้นลงคอไปก่อนจะถอนหายใจอย่างยอมจำนน
“โอเคที่รัก…ฉันชิมเอง”
สุดท้ายก็เป็นฉันเองที่ยอมเธออยู่ร่ำไป…คำพูดนี้ช่างไม่เกินจริง แมคเคนซีหายใจเข้าลึก สองมือประคองซ้อนมือของดีนที่มีน้ำอยู่เต็มสองอุ้งมือไว้แล้วยกขึ้นมา
‘อย่างน้อยชาร์ล็อตก็ใช้เวทฮีลได้ล่ะวะ!’
ใช่….น้องสาวของเขาชำนาญเรื่องการใช้เวทรักษาอยู่แล้ว หากเขาเป็นอะไรไปเธอจะต้องช่วยเหลือได้ทันเวลาแน่นอน หรือหากมองในแง่ดีสุด ๆ ก็คือพลังของดีนอาจจะได้ผลก็ได้ เมื่อคิดไปในทางบวกได้เช่นนั้นแล้วก็ค่อยมีขวัญกำลังใจขึ้นมาหน่อย เขาจึงไม่รอช้า ก้มหน้าลงดื่มน้ำปลุกเสก (?) จากพลังของบุตรแห่งโพไซดอนเข้าไปทันที
ดีนลุ้นผลลัพธ์อย่างใจจดใจจ่อ แต่ในวินาทีที่แมคเคนซีดื่มน้ำจากฝ่ามือตนอยู่นั่นเองเขาก็เพิ่งรู้สึกได้ว่ายังคงมีสารพัดแร่ธาตุและสารละลายอยู่ในน้ำทะเลเต็มไปไหมเลยนี่หว่า
“แมคซี่เดี๋ย—!!”
“พรู่ดดดดดด!!!”
ทันทีที่น้ำสัมผัสภายในปากได้ไม่กี่วิ แมคเคนซีก็รีบหันหน้าออกนอกตัวเรือไปพ่นน้ำทั้งหมดทิ้งแทบจะทันที
‘เชี่ย!! โคตรเค็ม!!’
“นี่มันยังเค็มปี๋อยู่เลย พระเจ้า น้ำ! ฉันต้องการน้ำเดี๋ยวนี้!”
...ไม่ทันแล้ว แมคเคนซีดื่มน้ำที่ยังเค็มอยู่เข้าไปเต็ม ๆ คำ…
“เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำให้เดี๋ยวนี้ล่ะ!”
ดีนรีบลุกพรวดแล้วมุดลงไปในแพอย่างรวดเร็ว ทำเอาชาร์ล็อตที่กำลังเพลิดเพลินกับวิทยาการสมาร์ทโฟนเดดาลัสถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนที่ชายหนุ่มจะกลับขึ้นมาบนหลังคาผ้าใบอีกครั้งพร้อมขวดน้ำดื่มในมือ เขารีบเปิดฝาแล้วส่งมันให้แมคเคนซีหน้าหงุง ๆ หงอย ๆ แบบ ‘ดีน เจ้าหมาเลว’
“แค่ก! ขอบคุณ”
แมคเคนซีรีบรับขวดน้ำมาแล้วกลั้วปากล้างรสเค็มที่ยังค้างคาอยู่ในโพรงปากราวกับเพิ่งไปซดน้ำเกลือมาทันที (ซึ่งก็เพิ่งซดไปจริง ๆ นั่นล่ะ) จากที่ตั้งใจว่าจะประหยัดน้ำจืดไว้ใช้กันก็กลายเป็นว่าเขาใช้น้ำหมดไปหนึ่งขวดเต็ม ๆ แต่ก็ถือว่ายังดีที่ไม่ได้กลืนน้ำทะเลลงไป
“ทีนี้ก็ได้ผลลัพธ์แล้วสินะ”
แมคเคนซีกอดอกถาม ถึงจะน่าโมโหแค่ไหน แต่พอเห็นหน้าหงอยเหมือนหมาของดีนแล้วเขาก็โกรธหรือดุไม่ลงอยู่ดี
“แหม มันก็…”
ดีนยิ้มแห้งใส่ นอกจากรู้แล้วว่าพรการจำแนกน้ำของตนเองทำได้แค่ตรวจสอบแร่ธาตุและแหล่งที่มาของน้ำเท่านั้นแต่ไม่สามารถแยกองค์ประกอบต่าง ๆ ออกจากน้ำได้ ก็ยังได้ความรู้เพิ่มเติมอีกว่าการปลดขีดจำกัดของตัวเองไม่ได้เอามาใช้เพื่อการนั้น
“งั้นพวกเราอาจต้องลองใหม่ในแบบที่ใช้วิทยาศาสตร์ แต่เอาไว้ค่อยลองกันวันอื่นก็ได้ วันนี้ฉันโคตรจะเหนื่อย นายอยากกลับไปข้างในกันหรือยังแมคซี่”
“แน่นอนว่าต้องเป็นวันอื่น และคราวหน้าต้องไม่ใช่ฉันที่เป็นคนชิม”
บุตรเทพีแห่งมนตรารีบบอกดักเอาไว้ก่อนเลยก่อนจะพยักหน้ารับ
“ก็ดีเหมือนกัน ฉันว่าจะไปแปรงฟันสักหน่อย ในปากฉันยังมีกลิ่นน้ำทะเลอยู่เลย วันนี้เราควรพักผ่อนกันได้แล้วคุณนักชีววิทยา”
ถึงท้องฟ้าจะยังสว่างจ้าแต่นี่ก็เป็นเวลาค่ำแล้ว พวกเขาควรเข้าไปพักผ่อนในเต็นท์กันสักทีเพื่อเก็บแรงเอาไว้สำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้ แมคเคนซีกอดคอดีนไว้แล้วพากันเข้าไปในเต็นท์ที่มีชาร์ล็อตอยู่

ความคิดเห็นผู้บันทึก
ถึงจะบอกว่าในการทำภารกิจก็ต้องมีบางครั้งที่คนในทีมขัดแย้งกันหรือเกิดความไม่เข้าใจกันขึ้นมาบ้าง แต่ผมไม่ชอบเลยเวลาที่เกิดเรื่องแบบนี้ระหว่างผมกับดีน ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากมึนตึงใส่กันข้ามวัน อะไรที่ผมยอมเขาได้ผมก็ยอม แต่สิ่งเดียวที่ผมจะไม่ยอมอีกแล้วคือ “ผมจะไม่ยอมเป็นฝ่ายชิมน้ำทะเลจากการใช้พลังของดีนก่อนอีกเด็ดขาด!”
สรุปสถานการณ์
- ทีมทำภารกิจเดินทางด้วยแพชูชีพไปยังชายฝั่งปานามาเป็นวันที่สอง
- ดีนกับแมคเคนซีมีเรื่องไม่เข้าใจกัน แต่ปรับความเข้าใจกันได้ในที่สุด
- ดีนกับแมคเคนซีขอพรจากเทพซุสเพื่อปลดขีดจำกัดของตนเอง
- คาดว่าอีก 10 วันถึงชายฝั่งปานามา (วันนี้เรือทำความเร็วได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่)
- ธานาธอสกำลังจะมีบทในอีก 3..2..1..ตอนหน้า (ล่ะมั้ง)
DEAN เลื่อนระดับ LV. MAX +2 Point |
MACKENZIE เลื่อนระดับ LV. MAX
+2 Point
|