123
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป

[บันทึกการเดินทาง] APOLLYON the DESTROYER

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-9-23 12:37:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-29 02:08

XIX
ผู้ร่วมเดินทางไร้เงาและความปรารถนาของพวกเขา
 Charlotte  Lillian 

- 28.05.2025 / 07:15AM -

ปวยร์โต้ โอบัลดิอา, กุนนายาลา, ประเทศปานามา


เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้น สองหนุ่มเดมิก็อดตื่นนอนแต่เช้าหลังจากที่เมื่อคืนปฏิบัติภารกิจส่วนตัวแสนสุขสมกันไปเรียบร้อย แต่แมคเคนซีอาจดูไม่ค่อยสุขเท่าที่ควรด้วยเพราะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นจนเขาแทบไม่ได้นอน และวันนี้ใต้ตาของหนุ่มอังกฤษก็ยังคงเป็นหมีแพนด้าเหมือนเดิม หลังจากที่ต่างคนต่างอาบน้ำชำระล้างร่างกายแล้วพวกเขาก็มาช่วยกันจัดเก็บสัมภาระเตรียมพร้อมสำหรับการออกเดินทาง


“เดี๋ยวฉันไปดูชาร์ล็อตสักหน่อยว่าเตรียมตัวเสร็จหรือยัง นายจะไปด้วยกันไหม”


แมคเคนซีถามดีนหลังจากรูดซิปกระเป๋าใบหนึ่งที่ใส่ของเข้าไปจนเต็มแล้ว


“ได้สิที่รัก แต่ฉันขอจัดตรงนี้อีกแป๊บเดี๋ยวตามไปนะ”


ดีนกำลังชั่งใจกับเรื่องของเสบียงอาหาร เขาไม่รู้ว่าควรจะเผื่อพื้นที่กระเป๋าแล้วหาเสบียงติดตัวเพิ่มไปด้วยไหม เพราะหากเป็นไปตามแผนพวกเขาคงไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงที่ไหนอีกแล้ว หลังจากนี้คือการนั่งเรือประมาณครึ่งวัน จากนั้นก็โดยสารทางบกไปยาว ๆ ดังนั้นอาหารกระป๋องคงไม่จำเป็น ส่วนน้ำดื่มไปหาซื้อระหว่างทางได้


‘งั้นไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่ม—’


ชายหนุ่มกล่าวในใจกับตัวเอง จากนั้นก็เดินตามคนรักทะลุไปยังห้องสิบสามบีผ่านประตูเชื่อมห้อง


เสียงคุยเบา ๆ ที่ดังเล็ดลอดมาจากห้องพักของบังกะโลสิบสามบีทำให้แมคเคนซีสงสัยนิดหน่อย จนกระทั่งพวกเขาเปิดคอนเน็คดอร์เข้าไปนั่นล่ะ บุตรเฮคาทีก็ถึงกับตาค้างไปเลยทีเดียว

“ทางนั้นเป็นไงบ้าง เธอหลับสบายดีไหมชาร์ล็อต”


“โอ๊ะ อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่ ๆ เมื่อคืนหนูหลับสบายมากเลย ไม่ได้นอนเตียงนุ่ม ๆ มาหลายวัน ทำเอาไม่อยากตื่นเลยค่ะ”


เด็กสาวหันมายิ้มให้พี่ชายทั้งสอง แต่สิ่งที่แมคเคนซีโฟกัสกลับไม่ใช่ใบหน้าน่ารักของน้องสาว แต่เป็น ‘ใครอีกคน’ ที่อยู่ข้างชาร์ล็อตต่างหาก


“เธอ…!”


หนุ่มอังกฤษตะโกนลั่นด้วยความลืมตัวพร้อมชี้ไปยังหญิงสาวที่มีผมสีดำขลับยาวตรงถึงกลางหลังผู้มีใบหน้าคมเข้มตามสไตล์คนท้องถิ่นแถบนี้ แม้ร่างของเธอในยามนี้จะไม่ได้เกรอะกรังไปด้วยคราบฝุ่นและคราบเลือดเหมือนที่เคยเห็น แต่แมคเคนซีก็จำบาดแผลเหมือนรอยถูกปาดที่ลำคอนั้นได้


ไม่ผิดแน่


หญิงสาวตนนี้คือ ‘วิญญาณร้าย’ ที่มาก่อกวนดีนกับเขาเมื่อวาน


‘เออ! กูเอง! มึงไล่กูออกมาจากห้องเพื่อจะเอากับผัวมึงไง ยังดีที่ชาร์ล็อตให้กูอาศัยอยู่ด้วย ไม่งั้นกูต้องทนดูพวกมึงเอากันทั้งคืน!’


ทางด้านผีเจ้าถิ่นก็ไม่ยอมง่าย ๆ เธอชี้หน้าแมคเคนซีกลับแล้วด่าเป็นชุดจนหนุ่มเมืองผู้ดีเถียงกลับแทบไม่ทัน ดูท่าว่าต้องเปลี่ยนชื่อเธอจาก ‘วิญญาณร้าย’ มาเป็น ‘วิญญาณปากร้าย’ แทนซะแล้ว


“อ..เอ่อ ใจเย็น ๆ นะคะพี่ริเซ่ หนูว่าก็ดีแล้วนะคะที่พี่มาอยู่กับหนู หนูจะได้มีเพื่อนคุยไง”


ชาร์ล็อตพยายามสงบศึกระหว่างมนุษย์พี่ชายกับผีเพื่อนใหม่ ซึ่งผีสาวก็ดูท่าจะเชื่อฟังไม่น้อย เธอยอมสงบลงทันที แต่ก็ยังไม่วายส่งสายตาอาฆาตมายังเดมิก็อดหนุ่มทั้งสองคน


“หนูขอแนะนำก่อนนะคะ พี่ริเซ่คะ นี่พี่แมคเคนซีกับพี่ดีน เป็นพี่ที่มาจากค่ายเดียวกันกับหนู พี่ดีนเป็นลูกมหาเทพโพไซดอนเลยมองไม่เห็นพี่ ส่วนพี่แมคเคนซีเป็นพี่ชายแม่เดียวกันกับหนู เขาก็เลยมองเห็นพี่ไงคะ พี่ดีนพี่แมคคะ นี่พี่ริเซ่ค่ะ พี่เขาอยู่ห้องที่พวกพี่พักมาห้าปีแล้ว”


พอเห็นว่าสถานการณ์เหมือนจะดีขึ้น ธิดาเฮคาทีจึงแนะนำให้คนกับผีได้รู้จักกัน การแนะนำที่เป็นธรรมชาติของเธอราวกับกำลังแนะนำรูมเมทคนใหม่ให้พี่ชายรู้จักก็ไม่ปาน


“หือ อะ..อะไร!?”


ดีนกวาดสายตามองรอบห้องด้วยความหวาดวิตก แมคเคนซีชี้ไปยังที่ว่างข้างชาร์ล็อต ส่วนเด็กหญิงสาวก็กำลังพูดปลอบประโลมที่ว่างกลางอากาศให้ใจเย็นลง คล้ายกับว่าสองพี่น้องเฮคาทีจะมองเห็นสิ่งเดียวกันที่บุตรแห่งโพไซดอนมองไม่เห็น นี่มันอะไรกันนะ ถึงเวลาที่เขาจะเป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องหลังจากที่คุยกับออร์ก้าเข้าใจแค่คนเดียวแล้วเหรอ


ไม่ดิ นั่นมันใช่สาระสำคัญเสียที่ไหน!


“ใครอยู่ที่ห้องพักมาห้าปีนะ? หรือเธอจะหมายถึง…” ดีนเม้มปาก เขาเงียบไปหนึ่งอึดใจก่อนจะเอ่ยคำตอบเดียวที่อยู่ในหัวออกมาอย่างไม่มั่นใจนัก เพราะบุตรและธิดาแห่งเฮคาทีไม่น่าจะคุยรู้เรื่องกับ… “แมลงสาบ?”


‘กรี๊ดดดดดดด บอกให้ผัวมึงหุบปากเดี๋ยวนี้!!’


ทันทีที่ดีนกล่าวจบผีสาวริเซ่ก็กรี๊ดออกมาเสียงแหลมด้วยความโมโห จากสภาพที่ดูดีกลายเป็นวิญญาณเฮี้ยนเลือดไหลออกจากตาอีกครั้ง


บุตรแห่งโพไซดอนไม่ได้ยินเสียงนั้น เขามัวแต่ครุ่นคิดว่าแมลงสาบมีอายุขัยมากสุดไม่เกินสามปี แม้ดีนจะมีสัญชาตญาณการต่อสู้เฉียบคมตามสายเลือดสามมหาเทพ แต่เขากลับไม่มีเซนส์ทางด้านวิญญาณเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว


“โอ๊ยยยย! คุณนั่นแหละหยุดกรี๊ดสักที”


แต่ทางด้านแมคเคนซีกลับไม่เป็นเช่นนั้น เสียงกรีดร้องของผีสาวทำเอาเขาปวดหัวจนรู้สึกเหมือนเส้นเลือดตรงขมับกำลังเต้นตุบ ๆ


“ไม่ใช่แมลงสาบค่ะพี่ดีน แต่พี่เขาเป็น…..”


ชาร์ล็อตยิ้มเจื่อนพลางมองมาทางพี่ชาย เธอไม่แน่ใจว่าเวลานี้ควรบอกให้ดีนรู้ได้หรือยัง ส่วนแมคเคนซีเองก็คิดว่าปิดบังอีกฝ่ายไปคงเท่านั้น ไหน ๆ พวกเขาก็จะเช็คเอาต์ในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้แล้ว จึงพยักหน้าน้อย ๆ ให้ เด็กสาวจึงหันมาบอกพี่ชายต่างบ้านต่อ


“พี่ริเซ่เป็นวิญญาณค่ะ…เธอถูกฆาตกรรมแล้วทิ้งศพเอาไว้ในห้องที่พวกพี่พักเมื่อห้าปีที่แล้ว”


“วะ.. วิญญาณ!?”


ดีนกระโดดหลบหลังแมคเคนซีโดยอัตโนมัติ สายตาเลิ่กลั่กสอดส่องไปทั่วว่าวิญญาณอยู่ตรงไหน ทว่าเขาไม่เห็นอะไรเลยนอกจากเพื่อนร่วมเดินทางสองคน และสภาพแวดล้อมของห้อง ที่ถอดแบบจากห้องที่เขาเพิ่งพักมา แล้วอยากนอนต่ออีกสักคืน


แต่พอรู้ว่าเป็นห้องที่เคยเกิดคดีฆาตกรรมเมื่อห้าปีที่แล้ว ความอยากพักต่อจึงลดลงเหลือศูนย์


“งั้นก็ได้เวลาบอกลาวิญญาณแล้ว พวกเรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ!”


“เดี๋ยวก่อนค่ะพี่ดีน….”


ชาร์ล็อตเรียกรั้งบุตรโพไซดอนที่ดูเหมือนจะขวัญกระเจิงไปแล้ว


“คือว่าเมื่อคืนหนูคุยกับพี่ริเซ่แล้ว เขาน่าสงสารมากเลยนะคะ”


ดวงตากลมโตเหลือบมองวิญญาณสาวที่อยู่ด้านข้างก่อนจะเริ่มเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวาน


“พี่ริเซ่มาที่ห้องหนูเมื่อวาน เขาบอกว่าหนีมาจากห้องข้าง ๆ เพราะพวกพี่ไปอยู่ทับที่พี่เขาค่ะ”


เด็กสาวพยายามใช้คำที่ดูอ้อมที่สุดแม้ว่าเมื่อคืนริเซ่จะพ่นคำหยาบคายไม่น่าฟังออกมามากมาย ส่วนแมคเคนซีเองก็เข้าใจดีว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเขาจึงเสมองไปทางอื่นแทน


ใช่ พวกเขาทับที่ผี แล้วก็ยังทับกันเองด้วย


“เมื่อห้าปีก่อนพี่ริเซ่ทำงานเป็นพนักงานของรีสอร์ตนี้ วันนึงมีกลุ่มคนที่ดูเหมือนมาเฟียมาเข้าพักแล้วก็ได้พักบังกะโลหลังที่พวกเราอยู่ ตกกลางคืนคนกลุ่มนั้นโทรมาแจ้งว่าทางรีสอร์ตเตรียมชุดเครื่องนอนให้ไม่ครบจำนวนคน พี่ริเซ่เลยเป็นคนเอามาให้ แต่สุดท้ายแล้วพวกนั้นกลับหลอกพี่เขามาทำมิดีมิร้าย พอพี่เขาขัดขืนก็เลยโดนฆ่าปาดคอแล้วเอาศพทิ้งไว้ในห้องน้ำ ส่วนพวกมาเฟียนั่นก็หนีไป กว่าคนที่โรงแรมจะมาพบศพพี่เขาก็เป็นวันรุ่งขึ้นแล้วค่ะ”


ชาร์ล็อตเริ่มเล่าเรื่องราวที่เธอสนทนากับวิญญาณสาวเมื่อคืน พอได้ฟังแล้วแมคเคนซีก็นิ่งเงียบไป เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าผีที่หลอกเขาอย่างเกรี้ยวกราดเมื่อวานจะมีฉากจบชีวิตอันน่าเศร้าเช่นนี้


‘ไม่น่าล่ะ เธอถึงดูเกลียดผู้ชายขนาดนั้น’


“แล้วเป็นยังไงต่อ จับคนร้ายได้ไหม”


“ไม่ได้ค่ะ ทางโรงแรมรู้ว่าพวกนั้นเป็นกลุ่มมาเฟียมีอิทธิพลในพื้นที่แถบนี้ก็เลยไม่กล้ามีเรื่องด้วย พวกเขาเลยเอาศพพี่ริเซ่ไปทิ้งกลางทะเลเพื่ออำพรางคดี แล้วก็ไม่ได้แจ้งทางบ้านพี่ริเซ่เพราะไม่อยากให้มีคดีฟ้องร้องกันค่ะ”


ชาร์ล็อตส่ายหน้าแล้วเล่าต่อจนจบ จากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบไปพักหนึ่ง


“อา…แย่ชะมัด”


แมคเคนซีสบถเบา ๆ อย่างไม่สบอารมณ์ ถึงวิญญาณสาวตรงหน้าจะดูร้ายกาจแต่เธอก็ไม่ควรมาประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ ไม่แน่ว่าที่เธอกลายเป็นดวงวิญญาณอาฆาตไม่ได้ไปผุดไปเกิดอาจเป็นเพราะสิ่งที่เธอเจอมาก็ได้


“ขอโทษที่ผมทำเรื่องไร้มารยาทกับคุณนะ”


บุตรเฮคาทีบอกวิญญาณสาวด้วยเสียงที่อ่อนลง ถึงแม้โลกนี้จะมีคำพูดที่ว่า ‘ไม่รู้ย่อมไม่ผิด’ ก็เถอะ แต่เขาก็พร้อมจะกล่าวขอโทษและยอมรับในบางสิ่งที่ทำเกินกว่าเหตุเสมอ (ยกเว้นถ้าเขาไม่ผิด) 


‘ไม่เป็นไร ฉันเองก็ทำไม่ดีกับนายและแฟนนายเหมือนกัน…ขอโทษ’


น้ำเสียงของริเซ่ที่ดังขึ้นในหัวไร้ความเกรี้ยวกราดโดยสิ้นเชิง พอรู้ว่าพี่ชายกับผีเพื่อนใหม่ของเธอญาติดีกันแล้ว ชาร์ล็อตจึงยิ้มออกมา


“….....”


ดีนเหมือนกำลังอยู่ในหลุมอากาศ เขาพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า ทว่ายังรู้สึกอึน ๆ ไม่ใช่ว่าฟังเรื่องราวของหญิงสาวที่ชื่อว่าริเซ่แล้วไม่มีความเห็นใจ แต่เขาไม่รู้ว่าต้องทำยังไงในสถานการณ์แบบนี้ พอจะเข้าใจความรู้สึกของแมคเคนซีกับชาร์ล็อตตอนที่คุยกับไข่อวบไม่รู้เรื่องแล้วสิ เขาจีงเงียบยิ่งกว่าทุกครั้งเพื่อให้สองพี่น้องเฮคาทีสนทนากันต่อ


หนุ่มอังกฤษเหลือบมองคนรักที่หลบอยู่ด้านหลังซึ่งเงียบเป็นเป่าสากมานานสองนาน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังกลัวอยู่ไหมเลยคว้าฝ่ามือหนามากุมไว้แล้วบีบเบา ๆ ให้พออุ่นใจ


“เดี๋ยวพวกเราก็จะไปเช็คเอาต์แล้ว คงไม่รบกวนคุณแล้วล่ะ”


“เอ่อ…คือว่าหนูมีอีกเรื่องที่จะบอกพวกพี่ค่ะ”


ชาร์ล็อตที่นั่งเอานิ้วชี้จิ้มกันไปมาพูดขึ้น แมคเคนซีจึงพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงบอกให้เธอพูดต่อ


“คือ…พี่ริเซ่บอกหนูว่า เขาติดอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้วเพราะจิตสุดท้ายตอนตายของเขาผูกติดอยู่กับที่นี่ ที่จริงแล้วพี่เขาอยากกลับบ้านค่ะ แต่ที่ผ่านมาทางโรงแรมปิดตายบ้านพักหลังนี้ไม่ให้ใครเข้าพัก พี่ริเซ่ที่วิญญาณติดอยู่ในบ้านนี้เลยติดต่อใครไม่ได้จนมาเจอพวกเราเข้า หนูเลยคิดว่า…หนูจะพาพี่เขาไปด้วย ได้ไหมคะ”


“ฮะ…?”


หลังจากฟังเรื่องราวจบแมคเคนซียังไม่ได้ตอบรับในทันที เขาเพียงแค่ร้องออกมาสั้น ๆ เท่านั้น จะว่ายังไงดี ที่ผ่านมาพวกเขาเคยมีเพื่อนร่วมทีมเป็นวาฬออร์ก้าตัวยักษ์มาแล้ว แต่คราวนี้คือวิญญาณ…ซึ่งก็ออกจะเกินความคาดหมายไปหน่อย


“พี่ว่าเราควรต้องปรึกษากันก่อน นายว่าไงดีน”


เขาหันไปถามความเห็นบุตรโพไซดอนผู้เป็นคนรัก


“ยังไงนะ คือพวกเราจะมีวิญญาณตามติดไปตลอดการเดินทางงั้นเหรอ?”


ดีนอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อหู ก็ใช่ว่าบุตรเจ้าสมุทรจะไม่เคยร่วมทางกับวิญญาณ ในภารกิจเดินทางครั้งก่อนก็ได้ร่วมทางกับวิญญาณสาวที่ลูซิเฟอร์มอบให้ไบรท์ผู้เป็นพี่สาวร่วมบิดา ทำหน้าที่เป็นนาวิเกเตอร์เรือบิ๊กบานาน่า ที่ดีนมองว่าแสงลูกกลม ๆ นั้นคือไอเท็มวิเศษมากกว่าผีเป็นตัว ๆ ที่พูดคุยตอบโต้ (กับคนอื่นที่ไม่ใช่เขา) ได้


อีกรอบคือตอนไปยูเครนกับเลนน็อคในภารกิจช่วยเหลือดวงวิญญาณไม่ให้ถูกอสุรกายกินซากกลืนกิน บุตรแห่งฮาเดสมีไกด์เพื่อนผีคอยเป็นล่ามแปลภาษา ด้วยความที่เคยเป็นสมาชิกค่ายฮาล์ฟบลัดตอนยังมีชีวิตอยู่และเป็นคนที่ดีนรู้จัก จึงรู้สึกว่าไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่ผีสาวชื่อริเซ่เพื่อนใหม่ของชาร์ล็อต เป็นผีที่ดีผีร้ายแค่ไหนก็ไม่รู้ เพราะว่าดีนสัมผัสถึงวิญญาณไม่ได้เลยสักนิด


“ฉันรู้สึกเห็นใจในชะตากรรมของริเซ่นะ แต่ว่า… จะรับประกันได้ไงว่าเธอจะไม่ทำแบบในหนังน่ะ แบบ.. แบบว่าปิดตาคนขับรถจนทำให้เราเกิดอุบัติเหตุ หรือว่าแอบฆ่าเราตอนเผลอเพื่อสิงร่างแบบในหนังดิเอ็กโซร์ซิสต์น่ะ”


‘หมอนี่ดูหนังมากไปรึ?’ ผีสาวเท้าเอวถามชาร์ล็อต ซึ่งสาวน้อยใสซื่ออย่างเธอก็จัดการสื่อสารให้อย่างดี


“พี่ริเซ่เขาถามพี่ดีนว่า พี่ดูหนังมากไปเหรอคะ”


“...โอเคชาร์ล็อต ฉันคิดว่านั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม”


บุตรแห่งโพไซดอนยกมือขึ้นลูบหน้า พอไม่ได้ยินเสียงหรือเห็นภาพผีแล้วเหมือนถูกชาร์ล็อตแซะยังไงก็ไม่รู้ แต่เขารู้ดีว่าเธอไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก…. หรือเปล่า?


“เอางี้ พอดีว่าฉันไม่ค่อยรู้เรื่องผีเท่าไหร่ แต่ก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี ตลอดการเดินทางสิบกว่าวันที่ผ่านมาพวกเราเจอแต่เรื่องแซ่บ ๆ ทุกฝีก้าว จนเขียนบันทึกได้ยาวเหยียดเป็นนิยายภาคต่อ การเอาผีเดินทางไปด้วยมีอะไรรับประกันได้ไหมว่าเขาจะไม่ทำให้เราซวยกว่าเดิม พวกเราไว้ใจริเซ่ได้แค่ไหน แล้วเพื่อความปลอดภัย มีอะไรที่คุมวิญญาณเธออยู่ไหม”


“อีกข้อคือเรื่อง… ถ้าบอกว่าอยากกลับบ้าน ไม่ใช่ว่าพวกเราต้องพาริเซ่ไปส่งบ้านด้วยเหรอ เราอาจไม่มีเวลามากขนาดนั้น”


อย่าว่าแต่บ้านของผีสาวเลย แค่ก้าวขาออกไปจากรีสอร์ต พวกเขาก็ไปต่อกันแทบไม่ถูกแล้ว


“ที่ดีนพูดก็มีเหตุผล พวกเราอาจไม่ได้ผ่านทางไปบ้านของริเซ่เลยก็ได้ แล้วแบบนี้จะช่วยเธอได้ยังไง”


แมคเคนซีพยักหน้ารับน้อย ๆ เขาเองก็ใช่ว่าจะไว้ใจดวงวิญญาณที่เคยบีบคอตนเองมาแล้วครั้งนึงเสียที่ไหน ถึงจะไม่ได้ดูหนังมาเยอะ แต่เขารู้ว่าเธอสามารถหลอกหลอนและทำร้ายคนได้จริงหากเธอต้องการจะทำ


“เรื่องไปบ้านพี่ริเซ่ไม่ต้องกังวลนะคะ พี่ริเซ่บอกหนูไว้ว่าเธอแค่ขอให้พวกเราพาเธอออกไปให้พ้นเขตของโรงแรมสักระยะหนึ่งก็พอค่ะ ถ้าไม่พ้นเขตโรงแรม วิญญาณของพี่ริเซ่ก็จะโดนดึงกลับมาที่บ้านหลังนี้อีก”


‘ส่วนเรื่องที่ฉันจะทำร้ายหรือสิงใคร พวกนายไม่ต้องห่วง สร้อยคอของชาร์ล็อตคอยควบคุมไม่ให้ฉันทำอะไรรุนแรงอยู่ แต่ถ้าฉันเกิดขาดสติทำแบบนั้นขึ้นมาอีก…นายก็เอามีดนั่นแทงฉันได้เลย’


ดวงตาไร้แววของริเซ่มองไปยังกริชจันทราสีเลือดที่แมคเคนซีคาดเอวไว้ เธอรู้ดีว่าอาวุธเวทเล่มนี้สามารถปลิดชีพดวงวิญญาณของเธอให้ดับสูญและส่งเธอไปยังภพภูมิอื่นได้ เพียงแต่ตอนนี้วิญญาณสาวยังไม่ต้องการเช่นนั้น เธอยังอยากกลับไปพบหน้าครอบครัวของเธออีกสักครั้งก่อน


“แล้วก็ถ้าพวกพี่กลัวพี่ริเซ่ หนูก็จะเชิญดวงวิญญาณของพี่เขาให้มาอยู่ในนี้ก่อนค่ะ เขาจะออกมาแค่ยามจำเป็นเท่านั้น”


ว่าแล้วชาร์ล็อตก็หันไปหยิบบางสิ่งมาให้ดู มันคือพวง ‘กุญแจสีชมพูฟรุ้งฟริ้ง’ รูปร่างนุ่มฟูน่ารักที่เธอห้อยกระเป๋าเป้ไว้นั่นเอง ดูเหมือนว่าเธอกับผีสาวจะเตรียมการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้วระหว่างที่พวกเขานอนกกกอดกันอยู่ที่อีกห้องหนึ่ง


“ให้ตาย…วางแผนกันมาถึงขั้นนี้แล้วจะขัดอะไรได้อีกล่ะ”


หนุ่มอังกฤษถอนหายใจยาวแล้วหันไปมองร่างด้านของดีนที่อยู่ข้าง ๆ อย่างจนใจ


“ตกลงกันได้แล้วเหรอ จะให้เธอสิงอยู่ในพวงกุญแจปุกปุยนั่นเป็นการคุมประพฤติสินะ ถ้าปลอดภัยฉันก็โอเค เดมิก็อดอย่างเรามีไว้พิทักษ์ความเรียบร้อยของโลกเบื้องหลังอยู่แล้วนี่ใช่มะ?”


ดูเหมือนจะเข้าใจไปกันคนละอย่างจากการฟังแค่คำพูดของชาร์ล็อตและแมคเคนซีเพียงอย่างเดียว แต่โดยรวมแล้วไม่แตกต่างก็น่าจะโอเค ความจริงดีนมีเรื่องที่สงสัยอีกเยอะแต่มันเป็นเรื่องขี้ประติ๋วเอาไว้ค่อยถามระหว่างทางก็ได้ ดีนทำใจไว้ส่วนหนึ่งว่าผีสาวปานามาอาจจะตามพวกเขามายาว ๆ จนถึงขากลับค่ายเลยก็ได้ ในเมื่อไปส่งเธอถึงบ้านไม่ได้ก็คงต้องกลับค่ายไปด้วยกัน แต่ถึงตอนนั้นพวกสายเลือดเทพใต้พิภพคงมีวิธีในการจัดการ


“งั้นไม่มีใครแจ้งอะไรแล้วเนอะ พวกเราจะได้ไปเช็คเอาต์กัน”


“ชาร์ล็อตแค่จะให้วิญญาณของริเซ่ไปสิงในพวงกุญเพื่อไม่ให้เธอออกมาเผื่อว่าพวกเราจะกลัวน่ะ ส่วนริเซ่บอกว่าสร้อยคอของชาร์ล็อตสามารถควบคุมไม่ให้เธอทำร้ายหรือหลอกคนอื่นได้ แต่ถ้าเธอขาดสติทำอะไรไม่ดีขึ้นมาก็ให้ฉันเอากริชจันทราสีเลือดแทงเธอได้เลย”


นึกขึ้นได้ว่าดีนเป็นคนเดียวที่ไม่เห็นและไม่สามารถสื่อสารกับวิญญาณสาวได้ แมคเคนซีจึงอธิบายแบบสรุปและถ่ายทอดคำพูดของวิญญาณสาวให้อีกฝ่ายฟัง ก่อนจะรีบรั้งดีนที่จะไปเช็คเอาต์ไว้


“เอ้อ เดี๋ยว มีอีกเรื่อง…ที่จริง เมื่อคืนฉันเจอเรื่องแปลก ๆ….”


หนุ่มอังกฤษเงียบไปเล็กน้อยเพื่อเรียบเรียงเหตุการณ์ในหัวแล้วสรุปสั้น ๆ ให้เพื่อนร่วมทีมฟัง


“เมื่อคืนฉันเจอวิญญาณอีกตนนึง เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เธอบอกว่าเป็นเพื่อนกับริเซ่ แล้วเธอก็ตายที่นี่เหมือนกัน…”


“อะไรนะ!?!!”


ดีนโพล่งออกมาเสียงดังเมื่อมารู้ทีหลังว่าที่พักนี้ไม่ได้มีผีแค่หนึ่งแต่มีถึงสอง ราวกับโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมอีกหนึ่ง ดวงตาสีเปลือกไม้มองไปรอบห้องอย่างเลิ่กลั่ก บีบมือของแมคเคนซีที่กุมกันอยู่แน่นขึ้น ขยับตัวเข้าใกล้ชิดจนแทบจะสิงร่าง


‘มอลลี่…ใช่ เธอคือเพื่อนฉันเอง เราทำงานที่นี่ด้วยกัน เธอเพิ่งตายเมื่อปีก่อน’


วิญญาณสาวให้ข้อมูลเสริม แมคเคนซีกุมมือดีนที่ขวัญหนีดีฝ่อซ้ำซ้อนไว้ก่อนถ่ายทอดข้อความนี้ให้ฟังแล้วเล่าต่อ


“เธอบอกว่าเธอตายเพราะใช้ยาเกินขนาด เธอหลงรักชายคนนึงมากจนมีความสัมพันธ์กัน แต่ผู้ชายคนนั้นกลับหายตัวไปในตอนที่เธอตั้งท้องแล้วก็ไม่กลับมาหาเธออีกเลย เธอเศร้าเสียใจจนหันไปใช้ยาเสพติด สุดท้ายก็ตายไปพร้อมกับลูกในท้อง เธอเลยอยากให้ฉันช่วยตามหาผู้ชายคนนั้นแล้วบอกให้เขามาพบเธออีกสักครั้ง”


พอได้สรุปทุกอย่างที่เจอเมื่อคืนแล้วก็รู้สึกว่าเป็นปัญหาครอบครัวชาวบ้านยังไงไม่รู้ แต่เหมือนว่าพวกบุตรทวยเทพใต้ภิภพจะมีทักษะสื่อสารกับเหล่าวิญญาณได้ จึงไม่แปลกหากพวกวิญญาณที่ยังมีห่วงจะมาขอความช่วยเหลือ แต่เขาเป็นเพียงเดมิก็อด ไม่ใช่ทูตสื่อวิญญาณ คงไม่สามารถช่วยให้วิญญาณสมหวังได้ทุกตน


“อ้อ แล้วเธอก็ให้รูปผู้ชายคนนั้นมาด้วย แต่ฉันไม่แน่ใจว่านี่จะเป็นข้อมูลได้มากแค่ไหน”


ว่าแล้วแมคเคนซีก็หยิบรูปใบหนึ่งที่เป็นเพียงเบาะแสเดียวให้ดีนกับชาร์ล็อตดู


“ให้ตายสิ! นอกจากพาผีกลับบ้านยังต้องช่วยผีตามหาคนอีกเหรอ นี่มันงานงมเข็มในมหาสมุทรชัด ๆ!”


ไม่ได้จะปฏิเสธให้ความช่วยเหลือ แต่เรื่องที่ประดังประเดเข้ามาโดยฉับพลันทำให้บุตรเจ้าสมุทรบังคับปากไม่ให้บ่นไม่ได้ แล้วเมื่อดีนดูรูปถ่ายคนรักของผีมอลลี่อย่างไม่คาดหวังว่าจะรู้จักคนในรูปนั้น คิ้วของชายหนุ่มก็เลิกขึ้นสูง


ชายผิวดำสวมแว่นตากันแดดคล้ายกับกำลังปลอมตัว แต่กระนั้น แม้จะเป็นคนที่เคยพบเจอแค่ครั้งเดียวเขาก็จำได้อย่างแม่นยำ


“นี่มันเทพโดลอสนี่นา!”


‘โดลอส’ เทพเจ้าแห่งคำหลอกลวงของฝั่งกรีก แม้ว่าโดลอสจะเป็นไมเนอร์ก็อดอ่อนแอไร้พิษสงที่แพ้แม้กระทั่งยักษ์น้ำแข็งที่เดมิก็อดมือใหม่ (เช่นไบร์ทในเวอร์ชั่นเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว) กำจัดได้ง่าย ๆ จนถูกจับตัวไปขังไว้ แต่โดลอสก็เคยจัดกิจกรรมแจกของให้เด็กค่ายฮาล์ฟบลัดได้สนุกสนานกันในวันเมษาหน้าโง่ เคยช่วยค่ายจากการรุกรานของเหล่ายีเมียร์ แล้วยังเสกกลางคืนจำลองให้ชาวค่ายได้มีค่ำคืนวันสิ้นปีอันแสนโรแมนติกอีก (ไม่นับเสียงพลุ)


ดังนั้น โดลอสจึงเป็นเทพที่ดีสำหรับดีน…


“ฮะ…โดลอส เทพโดลอสเนี่ยนะ?”


แมคเคนซีตีหน้ายุ่ง บอกไม่ถูกว่านี่คือข่าวดีหรือข่าวร้ายกันแน่ที่บุคคลที่เขาตามหาเป็นหนึ่งในทวยเทพแห่งโอลิมปัส จากที่มอลลี่บอกว่าคนรักของเธอชื่อ ‘โดเลส’ มันช่างคล้ายคลึงกับชื่อของเทพ ‘โดลอส’ อย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อทุกอย่างลงล็อกขนาดนี้แล้ว บุคคลในรูปถ่ายคงเป็นใครอื่นไปไม่ได้อีก


ถึงดีนจะให้ข้อมูลมาเช่นนี้ แต่พวกเทพยอมให้เจอตัวได้ง่าย ๆ เสียที่ไหน แถมตอนเขาอยู่ค่าย เทพโดลอสก็มีกิตติศัพท์หนาหูไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งเดมิก็อดในค่ายด้วยการกระซิบ หรือปรากฏกายมากลั่นแกล้งเดมิก็อดเล็กน้อยตามเทศกาลก็ตาม อย่างเช่นจูลี่น้องชายของเขาที่โดนแกล้งไปเมื่อเทศกาลอีสเตอร์


และที่สำคัญ…โดลอสยังถือเป็นเทพแห่งการโกหกอีก


ก็ไม่อยากจะคิดไปในทางที่แย่หรือใส่ร้ายเทพหรอกนะ แต่ที่บอกมอลลี่ว่า ‘มีเรื่องต้องไปจัดการ’ ในวันที่รู้ว่าเธอตั้งครรภ์นั่น…คงไม่ใช่ว่าเป็นคำโกหกเหมือนกันหรอกใช่ไหม


ถ้าใช่ก็คงเป็นเรื่องน่าเศร้าของวิญญาณสาวตนนั้นทีเดียว


‘โฮฮฮฮ มอลลี่ ไม่น่าเลย เธออุตส่าห์ได้ผัวเป็นเทพทั้งทีแต่ก็โดนทิ้งให้ตายอย่างโดดเดี่ยวพร้อมลูกในท้อง พวกผู้ชายนี่มันสันดานหมาจริง ๆ!’


ริเซ่ที่เงียบฟังปล่อยโฮเสียงโหยหวน ซ้ำยังพ่นคำด่าเจ็บแสบจนแมคเคนซีสะอึกไปเล็กน้อย เขาจึงกระแอมเบา ๆ


“อะแฮ่ม…ผู้ชายก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นทุกคนหรอก เอาเป็นว่าเรื่องเทพโดลอส ไว้ถ้าฉันมีโอกาสเจอเขา ฉันจะสะสางปัญหานี้เอง ส่วนพวกเราเดินทางต่อกันเถอะ ตอนนี้เราควรโฟกัสกับภารกิจตรงหน้าใช่ไหม”  


“ใช่ พวกเราต้องไปกู้โลกกันก่อนที่จะไม่มีโลกให้กู้และไม่มีบ้านให้กลับ” ดีนกล่าว


หลังจากที่ตกลงกันได้แล้วสามคนหนึ่งวิญญาณก็ทำหน้าที่ของตัวเอง พวกเขาพากันหอบหิ้วสัมภาระแล้วไปเช็คเอาต์ที่ล็อบบี้ตามเวลาที่นัดไว้..


.

.
.


“¡Oye! Jóven, señorita, ¿ya llegaron? Justo me trajeron tres cocos tiernitos y dulces. Tomen, tómense un agüita de coco bien fresquita para refrescarse un rato, mientras voy a mover la camioneta para recogerlos aquí mismo.” (โฮ่! พ่อหนุ่ม แม่หนู มากันแล้วเหรอ ลุงเพิ่งได้มะพร้าวอ่อนหวาน ๆ มาสามลูก พวกหนูกินน้ำมะพร้าวเย็นชื่นใจรอกันก่อนสิ เดี๋ยวลุงจะไปถอยรถมารับให้ตรงนี้เลย)


ชายวัยกลางคนร่างกายสูงใหญ่ผิวคล้ำแดดแบบชาวพื้นเมืองอเมริกาใต้ใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรคนหนึ่ง เข้ามาทักทั้งสามหลังจากที่พวกเขาเช็คเอาต์และคืนกุญแจห้องเสร็จ พร้อมกับยกถาดที่มีลูกมะพร้าวเฉาะเสียบหลอดดูดพร้อมดื่มเรียบร้อย ประดับด้วยดอกกล้วยไม้ตามธรรมเนียมปฏิบัติ แม้ไม่รู้ว่าคนคนนี้คือใครแต่ก็พอเดาได้ว่าน่าจะเป็นคนขับรถที่เจรจาติดต่อกับพนักงานไว้เมื่อวาน


“Gracias.” (ขอบคุณครับ)


ดีนไม่ปฏิเสธไมตรีอันดีงามอยู่แล้ว จึงรับน้ำใจไว้แล้วแจกจ่ายให้แมคเคนซีกับชาร์ล็อตระหว่างรอลุงคนนั้นถอยรถมารับถึงหน้าล็อบบี้


“ลุงแกให้มาน่ะ ถึงไม่มีเวลคัมดริ๊งค์แต่อย่างน้อยก็มีแฟร์เวลดริ๊งค์แฮะ”


กล่าวจบดีนก็ดูดน้ำมะพร้าวหวานหอมเข้าไปหนึ่งอึกใหญ่ ๆ อย่างไม่รีรอ แม้ไม่ได้ใส่น้ำแข็ง แต่น้ำจากผลไม้ตามธรรมชาติก็ชื่นใจช่วยดับกระหายได้ในวันที่อากาศร้อนแรง


“มีบริการนี้ด้วยเหรอ ปิดท้ายได้น่าประทับใจอยู่นะ หลังจากที่เจอเรื่องแปลก ๆ มาตลอด”


แมคเคนซียักไหล่เล็กน้อยพลางมองผลมะพร้าวที่มีน้ำใสแจ๋วอยู่ภายในแล้วดูดเข้าไปปื้ดนึง


“อืม อร่อยดี เราไม่ได้กินน้ำมะพร้าวตั้งแต่กลับจากไทยแล้วหรือเปล่านะ”


นึกถึงประเทศสยามแดนร้อนแล้วก็ดูดไปอีกปื้ดนึง น้ำผลไม้เย็นชื่นใจนี่มันเหมาะกับอากาศร้อนซะจริง


รอไม่นานรถตู้โฟร์วิลก็ขับมาจอดเทียบตรงที่พวกเขานั่งรออยู่ จากนั้นเจ้าหน้าที่คนเดิมก็มาช่วยยกกระเป๋าสัมภาระไปเก็บที่ด้านหลังรถ


“ช่าย ที่ค่ายก็ไม่มีขาย มีแต่น้ำสตรอว์เบอร์รี่—”


ก็เปรียบเปรยไปนั่น–.. แต่เรื่องน้ำมะพร้าวหากินยากคือเรื่องจริงอยู่ดี ดีนจึงดูดน้ำมะพร้าวที่เหลือจนหมดเกลี้ยง เขาแทบจะแงะเนื้อมะพร้าวมากินเลยด้วยซ้ำถ้ารถตู้ไม่มารับเสียก่อน ออกจะน่าเสียดายไปนิดหน่อยทว่าก็จำเป็นต้องวางลูกมะพร้าวลงไว้ตรงนี้ แล้วทั้งสามก็ขึ้นรถเพื่อไปท่าเรือปวยร์โต้ โอบัลดิอา


.

.
.


เพียงล้อหมุนไปได้ไม่นานความง่วงงุนก็ครอบงำ


“หาววว ง่วงชะมัด เมื่อคืนก็ว่านอนกันเร็วแล้วนะ แต่ไหงฉันยังง่วงเป็นบ้า”


ดีนหาวน้ำตาเล็ดก่อนจะเอนศีรษะอิงซบบ่ากว้างของคนรักที่นั่งข้าง ๆ พลางไถหัวไปมาเป็นเชิงอ้อนเป็นหมาน้อย หลังจากที่นอนน้อยสะสมและสมบุกสมบันกลางทะเลกันมาหลายวันร่างกายจึงประท้วง สงสัยว่าได้พักผ่อนแค่คืนเดียวจะไม่พอ


“ก็ไม่ได้เร็วเท่าไหร่ แต่ก็ง่วงจริงแฮะ”


นั่งมองวิวข้างทางไปได้ไม่เท่าไหร่ก็รู้สึกง่วงขึ้นมาซะเฉย ๆ ตอนแรกก็คิดว่าคงเป็นเพราะกิจกรรมที่ทำกับดีนก่อนนอนอีกทั้งกลางดึกยังตื่นมาเจอวิญญาณอีกตนมาร้องห่มร้องไห้แล้วไหว้วานธุระให้เขาทำอีกเลยนอนได้ไม่เต็มที่ ซึ่งก็พอเข้าใจได้…แต่มันก็ไม่ควรง่วงหนักขนาดนี้ไหม


“แย่ล่ะ ฉันบังคับหนังตาตัวเองไม่ได้เลย… อย่างกับกินยานอนหลับไปแน่ะ… ของีบแป๊บนึงนะแมคซี่” เสียงพูดยานคางแทบจะกลืนหายไปในลำคอ เมื่อพูดจบชายหนุ่มก็ผล็อยหลับไปเหมือนกับหุ่นยนต์ถูกปิดสวิตช์


แมคเคนซีมองดีนที่นอนซุกไหล่ตนเองหลับไปทันทีที่พูดจบแล้วหันมองชาร์ล็อตที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังตนเอง


“…………”


แล้วก็เช่นกัน น้องสาวของเขาก็หลับไปแล้วเรียบร้อย จนเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศไม่ชอบมาพากล แต่เหมือนว่าตอนนี้เขาก็เริ่มจะถูกความง่วงงุนเล่นงานจนครองสติแทบไม่อยู่แล้วเช่นกัน เมื่อหันกลับมา ดวงตาสีฮาเซลสบเข้ากับสายตาของคนขับรถผ่านตรงกระจกมองหลังพอดี 


ไม่รู้ว่าเพราะง่วงเกินไปหรือเปล่า…เขาจึงเห็นดวงตาของคนคนนั้นไหลซ้อนมารวมกันตรงกลางหน้า


ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะถูกตัดไป





ความคิดเห็นผู้บันทึก

สวัสดีค่ะ ชาร์ล็อตนะคะ ตอนนี้หนูเริ่มเขียนหนังสือได้คล่องแล้วเลยจะมาร่วมเขียนบันทึกด้วยตั้งแต่หน้านี้เป็นต้นไป เรื่องพี่ริเซ่หนูรู้สึกถึงพี่เขาตั้งแต่ยืนอยู่หน้าห้องสิบสามเอแล้วค่ะ แต่หนูเลือกไม่พูดอะไรเพราะเดี๋ยวพวกพี่ ๆ จะกลัว แล้วสุดท้ายพี่ริเซ่ก็มาหาหนูจริง ๆ ถึงพี่เขาจะน่ากลัวแต่พี่เขาน่าสงสารมากเลยนะคะ หนูอยากให้พี่เขาได้กลับบ้านไปเจอครอบครัวเลยตัดสินใจพาร่วมเดินทางไปด้วย ส่วนเรื่องพี่มอลลี่ที่ได้ฟังจากพี่แมคก็น่าสงสารมากเลย หนูหวังว่าพี่มอลลี่จะได้เจอเทพโดลอสอีกครั้งนะคะ ตอนนี้พวกเรากำลังจะเดินทางไปท่าเรือแล้ว หนูจำได้แค่ว่าน้ำมะพร้าวที่คุณลุงคนขับรถเอามาให้อร่อยมาก…แล้วหลังจากขึ้นรถไปไม่นาน หนูก็จำอะไรไม่ได้แล้วค่ะ


สรุปสถานการณ์

- ทีมทำภารกิจเช็คเอาต์ออกจากโรงแรมโดยมีวิญญาณริเซ่ติดตามมาด้วย

- ทั้งสามคนขึ้นรถตู้ที่ติดต่อทางรีสอร์ตไว้เพื่อไปยังท่าเรือปวยร์โต้ โอบัลดิอา ประเทศปานามา

 ▼กดปิดเสียงข้างล่าง▼

แสดงความคิดเห็น

God
[color=Yellowรูปลักษณ์ชายนั่งซึมเศร้า https://i.imgur.com/pu4blmR.png  โพสต์ 2025-9-23 18:10
God
จุดแวะถัดไปของคุณ เมื่อมองไปทางสี่สิบห้าองศาพบชายแปลกหน้านั่งซึมเศร้าอยู่ บรรยากาศรอบตัวกรุ่ นมากกว่าจุดอื่น ๆ ในบริเวณกว้าง  โพสต์ 2025-9-23 18:10
โพสต์ 152467 ไบต์และได้รับ 42 EXP!  โพสต์ 2025-9-23 12:37
โพสต์ 152,467 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก เหรียญนกฮูก  โพสต์ 2025-9-23 12:37
โพสต์ 152,467 ไบต์และได้รับ +25 EXP +35 เกียรติยศ +55 ความศรัทธา จาก น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ  โพสต์ 2025-9-23 12:37
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เหรียญนกฮูก
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x5
x1
x10
x2
x1
x2
x2
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
โพสต์ 2025-9-28 23:54:35 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-9-29 11:56



XX
หลับตาฝัน ถึง▓เธอ
Dean Eilwyn Alvarez Neal
Trigger Warning: ตอนนี้อุดมไปด้วยคำหยาบคาย และเนื้อหาบางส่วนอาจกระทบกระเทือนจิตใจ



- 28.05.2025 / ??? -
ช่องดาเรียน, ประเทศปานามา


‘....ล็อต ….น ชาร์…. ชาร์ล็อตตื่น! กูบอกให้มึงตื่น!!’

“เฮือก!!”

ธิดาแห่งเฮคาทีผวาตื่นขึ้นตามเสียงเรียกที่ดังก้องอยู่ในโสติ ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อใบหน้าชุ่มไปด้วยเลือดและดวงตากลวงโบ๋ของริเซ่คือภาพแรกที่เธอเห็นหลังจากลืมตา

“$*%^#@!!!”

หัตถ์วิญญาณอันเย็นเฉียบปิดปากของเธอไว้ก่อนที่ผีสาวจะยกมืออีกข้างขึ้นจุ๊ปากตัวเอง ริเซ่กำลังส่งสัญญาณอะไรบางอย่างเพื่อบอกให้ชาร์ล็อตใจเย็นลง 

หลังหายใจได้ทั่วท้องมากขึ้น ธิดาแห่งเฮคาทีก็กวาดสายตามองรอบ ๆ ความกลัวกอบกุมจิตใจของเด็กสาวอีกครั้ง ตอนนี้เธออยู่กลางป่าดงดิบ แสงอาทิตย์เจิดจรัสส่องผ่านแมกไม้ลงมาได้เพียงเล็กน้อย ใต้พื้นผิวที่นั่งอยู่คือพื้นดินเปียกแฉะจนรู้สึกไม่สบายตัว เมื่อพิเคราะห์ด้วยสติดี ๆ จึงพบว่าตนถูกมัดมือไพล่หลังติดกับต้นไม้ยากที่จะขยับ ถัดออกไปเห็นพี่ชายและคนรักของเขาถูกมัดไว้ด้วยกันกับต้นไม้อีกต้น ศีรษะห้อยตกเหมือนคนหลับสนิทไม่รู้เป็นหรือตาย แม้จะเห็นพวกเขาอยู่ตรงหน้าแต่เธอกลับไม่ได้สบายใจขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย

‘นี่มัน… เกิดอะไรขึ้น!?’

สาวน้อยพยายามรวบรวมสติจากความมึนเบลอคล้ายกับยังไม่ตื่นดี

‘ก็พวกมึงถูกไอ้เหี้ยตาเดียวจับมาขายที่นี่ไงล่ะ!’

เสียงแหวเต็มไปด้วยถ้อยคำหยาบคายผุดขึ้นมาในจิต ตอนนี้ร่างวิญญาณของริเซ่ที่อยู่ข้าง ๆ หายไปแล้ว แต่ยังรู้สึกถึงจิตของเธอได้จากพวงกุญแจฟรุ้งฟริ้งที่ห้อยอยู่กับกระเป๋าสัมภาระที่กองรวมอยู่ตรงกลาง

‘ชู่ว! แกล้งทำเป็นหลับไปก่อน’

เมื่อได้รับคำเตือนชาร์ล็อตจึงรีบหลับตา ไม่นานจากนั้นจึงรู้สึกถึงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งที่เดินมาดูและป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น

‘กูกับมึงน่าจะคุยผ่านจิตกันได้ ไอ้พวกเหี้ยสี่ตัวนี่เป็นตัวอะไร ไม่ใช่คนสักตัว!!’ ริเซ่โวยวายผ่านจิตที่มีแต่สายเลือดใต้ภิภพเท่านั้นที่ได้ยิน

‘พี่ริเซ่พูดเพราะ ๆ หน่อยสิคะ’ แม้หลับตาอยู่แต่ชาร์ล็อตกลับเม้มปาก เธอรู้สึกใจไม่ดีเลยที่วิญญาณคุยกับเธอด้วยความเกรี้ยวกราด มันรู้สึกเหมือนว่าเธอกำลังถูกดุอยู่แม้ว่าริเซ่จะไม่ได้โกรธเธอก็ตาม

‘อึก.. ก็ได้’ ผีสาวรับปาก

‘ไม่ใช่คน… หมายถึงอะไรคะ?’

‘มีคนครึ่งม้า หุ่นควาย กระต่ายมีเขา มีแต่ตัวอะไรก็ไม่รู้’

‘อสุรกายงั้นเหรอ…’ ชาร์ล็อตคิดผ่านจิต

‘เออมั้ง…  ไอ้คนที่จับพวกเธอมาก็เป็นตัวประหลาดเหมือนกัน มันเป็นยักษ์ตาเดียวหน้าตาอุบาทว์ชาติชั่ว! วางยานอนหลับพวกเธอในน้ำมะพร้าว กูว่าแล้วเชียว! ทำงานมาเป็นชาติแม่งไม่มีหรอกเวลคัมดริ๊งค์ แฟร์เวลดริ๊งค์!’

ริเซ่คล้ายจะคลั่งอีกครั้งจนพวงกุญแจที่สิงสู่อยู่สั่นไปมา เธอได้ยินเสียงชาร์ล็อตครางในใจเบา ๆ เหมือนทำอะไรไม่ถูกถึงได้สงบลงแล้วเล่าต่อ

‘ฉันได้ยินพวกมันคุยกันว่าจะจับเดมิก็อดไปขาย มันจะส่งเธอไปทำพิธีอะไรสักอย่างที่เอกวาดอร์ พี่ชายเธอมันจะเอาไปขายทำลาเมีย ส่วนไอ้หนุ่มแว่นมันจะแยกส่วนแล้วแบ่งกันแดกในป่า’

‘ไม่นะ!!’ ชาร์ล็อตร้องในใจ ‘ทะ..ทำไงดี พี่ริเซ่ปลุกพี่แมคหน่อยได้ไหมคะ’

‘จะให้ฉันปลุกไอ้หมอนั่นน่ะเรอะ…..’

เสียงของวิญญาณสาวเงียบหายไปเล็กน้อย จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะในลำคอหลอนหูดังตามมา

‘หึ ๆๆๆๆ ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกนะ’

.
.
.

ทางด้านชายหนุ่มสองคนที่ถูกมัดร่างไว้กับต้นไม้อีกต้นก็ยังคงหลับใหลไม่ได้สติ วิญญาณสาวที่ออกมาจากพวงกุญแจอีกครั้งยืนมองหนุ่มอังกฤษตรงหน้าก่อนจะแสยะยิ้ม

‘ถึงทีฉันเอาคืนนายบ้าง โกรธฉันไม่ได้นะไอ้หน้าหล่อ มันคือการปลุก’
เพียะ!
สียงลมแหวกอากาศกระทบหน้าขาวผ่องของแมคเคนซีไปฉาดนึง แม้จะไม่ถึงขนาดทำให้หน้าหันแต่ก็แรงพอจะทำให้แก้มของเขากระเพื่อมและขึ้นรอยแดงเล็กน้อย กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้คนที่ถูกฤทธิ์ยานอนหลับตื่นได้ง่าย ๆ

‘ยังไม่ตื่นอีกเรอะ อย่าหาว่าฉันรุนแรงล่ะ’
เพียะ! เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้งตรงแก้มอีกข้างของบุตรเทพีแห่งม่านหมอก ครั้งนี้ค่อนข้างแรงพอที่จะทำให้ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเล็กน้อยจากสัมผัสแปลกประหลาดไม่รู้ที่มา ‘พี่ริเซ่ปลุกพี่แมคดี ๆ สิคะ’ ชาร์ล็อตที่เห็นทุกอย่างรีบส่งกระแสจิตไปยังวิญญาณสาวที่กำลังเงื้อมือขึ้นอีกครั้งเพื่อเตรียม ‘ปลุก’ พี่ชายของเธอ ในหัวก็คิดไปด้วยว่า ‘การให้ริเซ่ปลุกแมคเคนซีนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วใช่ไหม’ ‘นี่ก็ดีสุดแล้ว โดนยานอนหลับไปขนาดนี้ ถ้าไม่ปลุกวิธีนี้กว่าจะตื่นก็อีกหลายชั่วโมงนู่น’ “อืม……” พอดีกับที่เสียงทุ้มครางแผ่วเบา พร้อมดวงตาสีฮาเซลที่ค่อย ๆ ปรือเปิด เขารู้สึกแสบ ๆ คันยิบ ๆ ที่แก้มเล็กน้อย ครั้นจะยกมือมาแตะก็ดันขยับไม่ได้ตามใจคิด ‘ตื่นไวจริงนะนาย’ ภาพแรกที่เห็นคือร่างของวิญญาณสาวที่ติดตามพวกเขามาจากรีสอร์ทกำลังเท้าสะเอวยืนจังก้าตรงหน้าเขา พอหันมองดูรอบ ๆ ก็รู้ในทันทีว่าที่นี่ยังไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่พวกเขาต้องการไป ‘ริเซ่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น’ พอเห็นกลุ่มคนหน้าตาไม่คุ้นก็เริ่มรู้สึกได้ถึงเค้าลางอันไม่ปกติ ความง่วงงุนถูกแทนที่ด้วยความตระหนกระคนสงสัย พวกเขาควรอยู่บนรถตู้ที่จะไปส่งที่ท่าเรือสิ ไม่ใช่ต้องมาอยู่ในป่าแบบนี้ ‘พวกนายถูกไอ้ลุงนั่นวางยาในน้ำมะพร้าว พอพวกนายหลับมันก็เอามาส่งให้แก๊งมาเฟียที่นี่ มันจะเอาน้องนายไปทำพิธี เอานายไปทำการทดลอง และเอาผัวนายไปแบ่งกันกิน ถ้าผัวนายตื่นก็เล่าให้ฟังด้วยล่ะ ฉันขี้เกียจเล่าซ้ำ’ ‘อ..อะไรนะ’ พูดได้เท่านั้นแมคเคนซีก็กวาดสายตามองบริเวณนั้น ดีนที่ยังไม่ได้สติหลับอยู่ด้านข้าง ชาร์ล็อตที่ถูกผูกกับต้นไม้อีกต้นกำลังมองมาทางนี้ด้วยความวิตกกังวล และกลุ่มคน…เรียกว่าฝูงอสุรกายน่าจะถูกกว่า สรุปแล้วก็คือ นี่เขาถูกพวกอสุรกายจับตัวมาอย่างนั้นเรอะ “ดีน..ดีนตื่น…เฮ้ ที่รัก นายได้ยินฉันไหม” พอเริ่มตั้งสติได้ สิ่งแรกที่ทำก็คือรีบหันไปปลุกคนรักด้วยเสียงที่พอให้ได้ยินกันสองคน เพื่อไม่ให้พวกนั้นรู้ตัวว่าเขาตื่นแล้ว “.....” ไร้สัญญาณตอบรับจากบุตรแห่งเจ้าสมุทร ดีนดื่มน้ำมะพร้าวเยอะกว่าใครเพื่อน แล้วไหนจะอาการเหนื่อยล้าสะสมจากการใช้พลังควบคุมน้ำมากว่าสี่วันอีก ชายหนุ่มจึงหลับลึก หลับสนิท เหมือนซ้อมตาย ‘ให้ฉันปลุกไอ้หมอนี่อีกคนด้วยไหม?’ ริเซ่หันไปทางชาร์ล็อตพร้อมกับเอ่ยถาม ผีสาวถกแขนเสื้อขึ้นเตรียมออกแรงหวดเบ้าหน้าคนหลับไม่ได้สติ ดูเหมือนเธอคันมือที่จะทดลองลงมือกับคนไม่มีเซนส์ทางด้านวิญญาณ (ซ้ำยังบอกว่าเธอเป็น ‘แมลงสาบ’) มานาน “เหมือนพวกมันจะตื่นกันแล้วนะลูกพี่” เสียงทุ้มใหญ่ของบุรุษครึ่งม้าตนหนึ่งดังขึ้น มันเป็นตนเดียวกับเซนทอร์ที่เดินมาเช็ค ‘สินค้า’ เมื่อครู่นี้ ริเซ่รีบหลบกลับเข้าไปอยู่ในพวงกุญแจเพราะดูเหมือนว่าเธอจะกลัวของขลังที่เซนทอร์คาดไว้ตรงบั้นเอว และเหล่าเฮคาทีเองก็ดูท่าจะทำเป็นหลับอยู่ไม่ได้อีกต่อไป “ตื่นแล้วไงล่ะ ต้องถามชื่อแซ่พวกมันด้วยไหม ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาส่ง ‘ของแถม’ แกมานับ ‘ยางดำ’ ที่ ‘เอ’ ส่งมาให้ดีกว่า” เซนทอร์หัวหน้าตัวเอ้เป็นชายผิวสีร่างกายกำยำล่ำสันกว่าใครเพื่อน หนวดเครารุงรังบอกยี่ห้อได้เลยว่าทรงโจรชัด ๆ มันสูบซิการ์เกรดต่ำ รอบตัวพันด้วยกระสุนปืนสงครามเหมือนแรมโบ้ ท่าทางของมันดูไม่ยี่หระขณะตรวจนับสินค้าอีกครั้งหลังทำการดีลกับเอเยนต์ไซคลอปส์ที่เปิดรีสอร์ตบังหน้า ‘เอล กาบาโย’ คือนามของหัวหน้าแก๊งเซนทอร์ค้ายาข้ามทวีป ไม่เพียงแค่สารเสพติดเท่านั้นมันยังค้าขายทุกอย่างที่ดำมืด มีสายกับขบวนการใต้ดินทั่วทั้งทวีปอเมริกา มันเคยเป็นลูกศิษย์ของไครอนแต่ใฝ่ต่ำแยกตัวออกมาจากฝูง รวบรวมสมัครพรรคพวกอสุรกายที่ไม่ดีปั่นป่วนทั้งโลกมนุษย์และโลกแห่งทวยเทพ หลังสิ้นเสียงสั่งของหัวหน้าเซนทอร์ลูกน้องก็มองชาร์ล็อตด้วยแววตาเสียดาย กระนั้นโจรหื่นกามยังไม่วายเลียริมฝีปาก แม้ไม่ใช่ตอนนี้แต่แม่สาวที่เล็งไว้ต้องไม่รอดก่อนส่งถึงมือลูกค้าแน่ ๆ ถึงเดมิก็อดทั้งสองจะได้สติกลับมาแล้ว แต่กลุ่มมาเฟียก็ดูจะไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่ แมคเคนซีไม่ชอบใจสายตาของไอ้พวกนั้นที่มองมายังน้องสาวของเขาเอาเสียเลย มันเต็มไปด้วยความไร้มารยาทและการไม่ให้เกียรติ เชื่อเลยว่าถ้าเขาไม่ได้ถูกมัดติดอยู่กับต้นไม้คงได้พุ่งตัวไปชกเข้าเบ้าตาเซนทอร์กลุ่มนั้นเป็นแน่ ‘ไอ้เวรนั่น….’ อยู่ ๆ เสียงริเซ่ก็ดังขึ้นมาในหัวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แมคเคนซีจับได้ถึงน้ำเสียงที่มีความเคียดแค้นอยู่ในนั้น ‘มีอะไรหรือเปล่าริเซ่ คุณพูดถึงใคร’ แมคเคนซีลองส่งกระแสจิตถามวิญญาณสาวดู ‘คนที่เป็นลูกพี่มันชื่อ เอล กาบาโย เป็นหัวหน้ากลุ่มมาเฟียที่มีอิทธิพลมากที่สุดในแถบนี้ ไอ้พวกนี้นี่แหละที่มันล่อลวงฉันเมื่อห้าปีก่อน…และฆ่าฉัน’ สิ้นเสียง แมคเคนซีก็มองไปยังพวงกุญแจสีชมพูขนฟูฟ่องที่แขวนอยู่กับเป้ของชาร์ล็อตทันที ดูเหมือนว่าเพื่อนร่วมทางคนใหม่ของพวกเขาจะเจอ ‘โจทก์เก่า’ เข้าแล้ว ‘ผมว่า…ก่อนอื่นพวกเราควรหนีไปจากที่นี่’ แมคเคนซีรีบสรุป หน้าที่เขาไม่ใช่การช่วยผีแก้แค้น แต่คือการไปทำภารกิจต่างหาก การปะทะกับศัตรูที่มีจำนวนมากขนาดนี้ดูยังไงพวกเขาก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ และเวลานี้ทั้งอาวุธและสัมภาระของทั้งสามก็โดนเอาไปวางกองรวมไว้มุมหนึ่ง ดูท่าเขาคงต้องใช้ทักษะของสายเลือดที่ได้รับมาจากผู้เป็นมารดาเพื่อช่วยในการหลบหนีซะแล้ว “...…ทำไมใช้ควบคุมหมอกไม่ได้” เสียงทุ้มพึมพำกับตนเองหลังจากตั้งสมาธิเพื่อจะใช้ทักษะควบคุมหมอกแต่กลับใช้ไม่ได้ผล มีเพียงแสงจากเชือกที่มัดตัวเขากับดีนที่เรืองแสงขึ้นมาจาง ๆ ก่อนจะหายไปเมื่อบุตรเทพีแห่งมนตราหยุดใช้พลังเท่านั้น “หรือว่าเชือกนี่มันจำกัดการใช้พลังของเดมิก็อด?” ถึงจะเป็นการเดาสุ่มแต่มันก็ค่อนข้างมีเหตุผลไม่น้อย เท่ากับว่าตอนนี้เขาก็ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีฤทธิ์เดชอะไรเลย “ดีนตื่น เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ตื่นสิ…โธ่เว้ย!” สุดท้ายจึงหันไปปลุกคนรักอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะเรียกยังไงเปลือกตาที่ประดับไปด้วยแพขนตาหนาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับเลยแม้แต่น้อยจนเขาสบถออกมาด้วยความหัวเสีย
.
.
.
ดูเหมือนว่าช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังจะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งเดมิก็อดและวิญญาณแค้นไม่สามารถทำอะไรกลุ่มอสุรกายที่ตั้งใจทำชั่วกลางป่าเขาได้เลย บางสายตาจับจ้องไปยังสาวสวยทรวดทรงอวบอิ่มอย่างชาร์ล็อต บางสายตาจับจ้องไปยังบุตรเจ้าสมุทรที่ยังคงหลับสนิทไม่มีทีท่าจะตื่นด้วยท้องที่หิวกิ่ว

ที่นี่คล้ายกับแคมป์กลางป่าที่ผู้ก่อการร้ายในหนังที่หนีมากบดานกันในนี้ มีเชลเตอร์อยู่สองสามหลังที่ทำจากไม้ง่าย ๆ เอาไว้หลบฝน จากการสังเกตการณ์เห็นได้ว่าที่นี่มีกลุ่มเซนทอร์คนร้ายประมาณสิบตน เลี้ยงแจ๊คคาโลปไว้เป็นสมุนสี่ตัว นอกจากนี้พวกมันยังมีเดธแมชชีนสองเครื่องที่ไม่รู้ไปหามาจากไหน แต่ในเมื่อมันมีเชือกวิเศษที่มีอานุภาพผนึกพลังของลูกเทพเอาไว้ การจะแฮ็คเดธแมชชีนที่คลุ้มคลั่งของเทพเฮเฟตัสคงไม่ใช่เรื่องยาก

ผ่านไปร่วมชั่วโมงเหมือนว่าตอนนี้ใกล้จะได้เวลาอาหารของเหล่าอสุรกายแล้ว จากการที่เซนทอร์หลายตนเริ่มก่อกองไฟและเตรียมอุปกรณ์หม้อไหจานชาม ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอาหารมื้อนี้ของพวกมันคืออะไร แล้วเอล กาบาโยก็เริ่มเคลื่อนไหว มันเดินมาทางดีนด้วยท่าทีสบาย ๆ เหมือนเดินเล่นในสวนหลังบ้านของตัวเอง กระชากเส้นผมหยักศกสีน้ำหมึกเต็มกำมือจนบุตรเจ้าสมุทรหน้าหงาย แต่ดีนที่ยังไม่ตื่นก็เพียงแค่ส่งเสียงครางออกมาเบา ๆ ด้วยความรู้สึกไม่สบายตัว

“อืม…”

“เฮ้ย! ปล่อยเขานะโว้ย!”

แมคเคนซีที่เห็นภาพนั้นเดือดดาลขึ้นมาทันที เขาไม่ต้องการให้มือสกปรกของอสุรกายตนใดก็ตามแตะต้องคนรักของเขาแม้แต่ปลายผม

เอล กาบาโยเพียงแค่หันมามองบุตรเทพีแห่งมนตราด้วยใบหน้าเรียบเฉยพลางยกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปากตนเองเป็นเชิงสั่งให้เงียบปากเสียก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องที่อยู่ด้านหลังแล้วลุกออกไป

“แก้มัดมัน วันนี้พวกเราจะปาร์ตี้ลูกมหาเทพโพไซดอนกัน”

ทันทีที่เชือกซึ่งมัดเดมิก็อดหนุ่มทั้งสองคลายลง แมคเคนซีอาศัยจังหวะนี้ใช้ความเร็วผลักลูกสมุนที่กำลังจะมาพาร่างดีนออกไป

เขาใช้ทักษะการต่อสู้ที่มีอยู่ต่อยตีพวกลูกสมุนทั้งสองโดยไม่สนใจว่ามือจะเจ็บไปหมด แม้ว่าพวกอสุรกายจะไม่ระคายผิวแม้แต่น้อยเลยก็ตาม ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ยอมให้พวกมันพาดีนไปไหนแน่

“เสียเวลาชิบ—” 

พลั่ก!

ไม่รู้ทำอีท่าไหนแมคเคนซีจึงเข้าถึงตัวผู้เป็นหัวหน้าได้ หมัดหนัก ๆ สอยเข้าที่กระพุ้งแก้มเต็ม ๆ จนเอล กาบาโยหน้าหัน ใบหน้าดุนดันจ้องหนุ่มอังกฤษด้วยสายตาเหี้ยมเกรียมแล้วถ่มน้ำลายลงพื้น

“ไอ้เวรนี่หมัดหนักใช่ย่อย จัดยำตีนให้มันสักชุด”

สิ้นคำสั่งลูกสมุนทั้งสองตนก็เข้ามาล็อกแขนแมคเคนซีไว้จากด้านหลัง ส่วนอีกสองตนที่เดินเข้ามาใหม่ก็เริ่มซ้อมชายหนุ่มจนเขาทรุดลงไปกองกับพื้น

“อย่าทำพี่แมคนะ!”

ชาร์ล็อตร้องห้ามด้วยน้ำตานองหน้า เอล กาบาโยเดินมาหยุดตรงหน้าเธอแล้วย่อตัวลงก่อนใช้มือเชยคางมนขึ้นมา

“ยังไม่ถึงคิวเธอหรอกคนสวย ไว้ฉันจัดการกับเจ้าสองคนนั่นก่อน แล้วเราจะได้สนุกกันทั้งคืน”

จบประโยคนั้นก็เรียกเสียงหัวเราะจากพวกเซนทอร์ที่เหลืออยู่ได้อย่างเกรียวกราวด้วยความชอบใจ มีหรือที่สองมือสองเท้าจะสู้กับแปดมือสิบหกเท้าได้ หากเอล กาบาโยไม่บอกให้หยุด เดมิก็อดหนุ่มอาจได้กระอักเลือดตายกลางป่า

“พอก่อน เดี๋ยวมันพิการขึ้นมาตอนเอาไปขายจะเสียราคา”

เหล่าลูกสมุนหยุดการกระทำแต่โดยดี กระนั้นก็ยังคงยืนคุมเชิงไม่ให้บุตรแห่งเฮคาทีลุกขึ้นมาซ่าได้อีก ตัวหัวหน้าอย่างเอล กาบาโยกลับไปให้ความสนใจกับบุตรเจ้าสมุทรอีกครั้ง มันชักมีดพกออกมาจ่อไปที่คอหอยของหนุ่มเท็กซัส คมมีดบาดถากผิวสีน้ำผึ้งจนเลือดซึมออกมาจากบาดแผล กลิ่นหอมของอาหารชั้นเลิศกระตุ้นสัญชาตญาณดิบของอสุรกายได้เป็นอย่างดี

หมับ! ‘หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้ม้าเหี้ย!!’ ริเซ่รวบรวมพลังแค้นมาเป็นกำลังของวิญญาณ เธอยื้อยุดมีดกับเอล กาบาโยโจทก์เก่าไม่ให้ทำร้ายดีนมากไปกว่านี้ “ผีที่ไหนวะ” เซนทอร์ตัวร้ายสะบัดแขนออก จากนั้นหยิบเอาเครื่องรางพื้นบ้านป้องกันภูติผีออกมากำไว้ก่อนจะซัดหมัดไปที่ผีสาวจนเธอกระเด็น มีแต่ริเซ่ที่แค้น ส่วนเอล กาบาโยจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นใคร และเคยทำอะไรกับริเซ่ตอนยังเป็นมนุษย์ ‘กรี๊ดดดด!!’ ริเซ่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด พลังวิญญาณของเธอถูกอาคมกัดกร่อนไปบางส่วน นั่นยิ่งทำให้เธอแค้น ‘มึง! กูจะฆ่ามึงให้ได้ ไอ้ม้าเหี้ย!!’ ผีสาวพุ่งเข้าหาอีกครั้งแต่ก็ถูกซัดกระเด็นออกมาอีกหน “พี่ริเซ่!!” ชาร์ล็อตกรีดร้องน้ำตาไหลอาบสองแก้ม “อีผีโง่ เกะกะฉิบหาย” เอล กาบาโยสบถ ส่งสัญญาณให้ลูกน้องจัดการอะไรบางอย่างกับผีสาว หนึ่งในแก๊งเซนทอร์เดินเข้ามาหาร่างวิญญาณพร้อมด้วยไหดินเผา จากนั้นมันก็สูบเธอเข้าไปเก็บไว้ในนั้นพร้อมกับใช้เครื่องรางมัดปากไหอีกที เมื่อไม่มีคนขัดจังหวะก็ได้เวลาลงมือต่อ “ฆ่าไอ้นี่แล้วกินให้มันจบ ๆ ไปเลยดีกว่า” เซนทอร์หันกลับมาโฟกัสที่อาหารจานหลักเป็นครั้งที่สาม มันเงื้อคมมีดขึ้นสูงแล้วปักแทงลงมาที่ร่างของดีน

 ปัง!


เสียงกระสุนลั่นกลางป่าโดยไม่อาจระบุทิศทางในจังหวะเดียวกันกับที่คมมีดเสียบลงกลางอก ทว่าเมื่อกระชากมีดขึ้นมา เอล กาบาโยก็เห็นว่าตอนนี้มีดประจำตัวของมันเหลือแต่ด้ามทว่าไร้ส่วนใบคม

“อะไรอีกวะ!?!”
มันสบถออกมาอย่างหัวเสีย การสังหารเดมิก็อดที่กำลังหลับอยู่ควรเป็นเรื่องง่ายอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา ทว่าไอ้หนุ่มนี่ดูจะดวงแข็งเป็นพิเศษสมกับที่เป็นลูกของโพไซดอน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ถูกขัดจังหวะไปเสียหมด
ปัง! กระสุนสังหารนัดที่สองเล็งไปที่กลางศีรษะของหัวโจกอย่างไม่รอช้า ทว่าด้วยสัญชาตญาณอันคมกริบของเซนทอร์ที่ผ่านสมรภูมิรบและการทำเรื่องชั่วช้ามานาน เอล กาบาโยโยกศีรษะหลบกระสุนปืนนัดนั้นได้ทันท่วงที คราวนี้ทำให้มันรู้ที่มาของต้นเสียงแล้วด้วย “ผู้บุกรุก ทางนั้น!!” หัวหน้ากลุ่มชี้นิ้วไปทางต้นไม้สูง บนนั้นมีเงาคน ๆ หนึ่งหมอบอยู่ แต่แล้วเงานั้นก็ต้องรีบหลบไปหลังต้นไม้อย่างรวดเร็วเมื่อเซนทอร์ลูกสมุนระดมยิงสรรพาวุธใส่กะไม่ให้เหลือซากจนทั่วทั้งป่าดังระงมไปด้วยเสียงปืน ซูมมม กระแสลมแรงผัดผ่านจนใบไม้ปลิดปลิว ปรากฏเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งที่มาพร้อมกับเสียงสายฟ้าในทิศทางตรงกันข้าม เธอเป็นสาวผิวเข้มผมสีดำหยิกฟูที่มีใบหน้าและแววตาดุดันปราศจากความเกรงกลัว  “ผู้บุกรุกอยู่ทางนี้เว้ยไอ้โง่!” หลังคำประกาศ ลูกน้องเซนทอร์ครึ่งหนึ่งแห่ไปทางเธอแล้วเสียงของการปะทะก็ดังขึ้นอีกระรอก ท่ามกลางความตระหนกตกใจ ชาร์ล็อตที่กำลังทำอะไรไม่ถูกรู้สึกได้ว่าเชือกที่มัดตัวเธออยู่ถูกคลายออก หันกลับไปอีกทีก็เห็นว่ามีเด็กผู้หญิงเอเซียหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งเป็นคนแก้มัดให้พร้อมกับส่งยิ้มหวานแทนคำปลอบประโลมได้เป็นอย่างดี ข้างกายของเธอมีสุนัขจิ้งจอกขาว สิ่งที่ทำให้รู้ว่าเด็กหญิงและสัตว์เลี้ยงตัวนั้นไม่ธรรมดาเพราะว่ามันเป็นจิ้งจอกสี่หาง “โอ๋ ๆ อย่าร้องนะ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว” เด็กหญิงคนนั้นลูบศีรษะของชาร์ล็อตอย่างเบามือเหมือนกับผู้ใหญ่ใจดี ก่อนที่เธอจะพินิจมองเชือกในมือ “ไอเท็มพิเศษที่ทำให้เดมิก็อดใช้พลังไม่ได้นี่นา แต่ไม่เป็นไรแล้วนะ อีกไม่นานเธอก็จะกลับมาใช้พลังได้ตามปกติแล้วล่ะ” ทางด้านแมคเคนซีที่โดนกีบม้าของเซนทอร์ทั้งสี่ตนรุมประชาทัณฑ์อยู่กลางวงชั่วเวลานึงก็นั่งไอโขลกแล้วกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจที่ไม่สามารถช่วยดีนกับชาร์ล็อตไปได้มากกว่านี้ ตอนที่โดนรุมทำร้ายเขาพยายามนอนขดตัวใช้แขนกันส่วนศีรษะไว้อย่างถึงที่สุดเพื่อไม่ให้ได้รับความกระทบกระเทือน แรงจากกีบม้าแข็ง ๆ นั้นค่อนข้างเจ็บกว่าแรงจากเท้าคนธรรมดามากทีเดียว เวลาโดนเตะแต่ละทีความรู้สึกไม่ต่างจากโดนม้าดีดเลยแม้แต่น้อย ถึงตอนนี้เนื้อตัวของเขาจะระบมไปหมดแต่ก็ยังมีสติครบถ้วนดีอยู่จนได้เห็นทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมด
“มีคนบุกรุกเรอะ เอาไงกับไอ้นี่ดี”
“ช่างหัวมันก่อน เจ็บขนาดนี้มันคงไม่มีแรงทำอะไรแล้ว ไปช่วยพวกนั้น—”  ฉึก! “อ๊ากกก!” เสียงร้องดังลั่นมาจากเซนทอร์สองตนที่ยืนเฝ้าแมคเคนซีอยู่ กริชคู่หนึ่งพุ่งแหวกอากาศมาปักเข้าที่ไหล่ของพวกมันอย่างแม่นยำ ตามมาด้วยร่างปราดเปรียวสวยสง่าที่โผล่มาจากมุมที่สัมภาระของพวกเขากองรวมกันอยู่ “เอาไปสิ นี่คงเป็นของคุณ แต่ตอนนี้ใช้ได้แค่อาวุธนะ อีกสักพักถึงจะใช้พลังเดมิก็อดได้” เธออธิบายแบบรวบรัดพร้อมส่งอาวุธประจำตัวของแมคเคนซีมาให้ ไม่รู้ว่าหญิงสาวกลุ่มนี้เป็นใคร แต่พวกเธอดูมีความชำนาญในด้านการต่อสู้และทักษะลอบเร้นเป็นอย่างดี  “……ขอบคุณครับ” หนุ่มอังกฤษได้เพียงแค่กล่าวขอบคุณสั้น ๆ แล้วรีบรับอาวุธของตนเองมา ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและชุลมุนจนไม่มีเวลาให้ได้สอบถามอะไรเพิ่มเติม สิ่งที่ควรจัดการเป็นอันดับแรกในตอนนี้คือศัตรูตรงหน้ามากกว่า “ระวัง!” แมคเคนซีร้องเตือนเมื่อเซนทอร์ตนหนึ่งดึงมีดออกจากไหล่แล้วเงื้อขึ้นหมายจะแทงหญิงสาวที่มาช่วยตนจากด้านหลัง เขารีบพุ่งตัวเข้าชนร่างครึ่งม้าสุดแรงจนล้มกลิ้งไปด้วยกันแล้วใช้กริชจันทราสีเลือดแทงเข้าที่จุดสำคัญจนร่างนั้นสลายเป็นฝุ่น ส่วนเซนทอร์อีกตนที่เห็นเพื่อนถูกสังหารต่อหน้าก็วิ่งมาทางบุตรเทพีแห่งมนตราทั้งที่ยังมีกริชปักคาอยู่ที่ไหล่ การต่อสู้ระหว่างเดมิก็อดหนุ่มกับอสุรกายครึ่งม้ามะรุมมะตุ้มกันอยู่ครู่นึง และจบลงด้วยการที่แมคเคนซีสังหารมันได้สำเร็จด้วยกริชประจำตัวเล่มเดิม “ส่วนอันนี้ของคุณ” หนุ่มอังกฤษเก็บกริชคู่ที่หล่นอยู่บนพื้นมาคืน ใบหน้าคมเข้มของหญิงสาวเพียงแค่ยิ้มให้เล็กน้อยแต่เขากลับรู้สึกเหมือนถูกดวงตาคู่เรียวและริมฝีปากอิ่มนั้นดึงดูดด้วยเสน่ห์อันลึกลับบางอย่าง “นาเยรี…ขอบคุณ” เธอแนะนำตัวพร้อมรับอาวุธมาถือไว้อย่างนุ่มนวลแล้วผละจากที่ตรงนั้นไปยังจุดอื่นต่ออย่างว่องไวราวแมวป่า แมคเคนซีจึงรีบไปดูอาการคนรักที่ตรงต้นไม้ต้นเดิม “ดีน! ดีน! เฮ้ นายได้ยินฉันไหม! …เลือด เวรเอ๊ย” ไม่ว่าจะปลุกยังไงก็ดูเหมือนว่าบุตรแห่งเจ้าสมุทรยังคงหลงอยู่ในดินแดนแห่งความฝันอันแสนไกล เขาตรวจสอบบาดแผลที่ถูกของมีคมบาดตรงลำคอ แม้จะเป็นแผลเพียงเล็กน้อยแต่ก็ควรห้ามเลือดก่อน กริ๊ก ! สัมผัสจากโลหะเย็น ๆ จ่อแนบชิดที่ศีรษะด้านหลังจนแมคเคนซีหยุดชะงัก แม้กระทั่งลมหายใจเองก็สะดุดตามไปด้วย ถึงไม่ต้องหันไปดูแต่เขาก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งนั้นคืออะไร “วางมีดในมือลงแล้วยกมือขึ้น ช้า ๆ นะมึง” เสียงข่มขู่จากด้านหลังสั่งให้เขาจำเป็นต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ แมคเคนซีค่อย ๆ วางกริชจันทราสีเลือดลงข้างตัวแล้วยกสองมือขึ้น และเซนทอร์ที่ใช้ปืนจ่อศีรษะเขาอยู่ก็เตะมันออกไปในระยะที่หยิบไม่ถึง ตอนนี้เขาจนมุมแล้ว ถึงตัวเขาเองว่องไวพอที่จะเอี้ยวตัวหลบทัน แต่หากอีกฝ่ายจงใจลั่นไกขึ้นมาจริง ๆ ดีนอาจโดนลูกหลงได้ และแน่นอนว่าเขาเลือกปกป้องคนตรงหน้ามากกว่ารักษาชีวิตของตนเองเสียอีก “ตายห่าไปคนคงไม่เป็นไรมั้ง—” ฉึก! ปัง! เสียงปืนลั่นขึ้นหนึ่งนัด แมคเคนซีโผเข้ากอดดีนไว้ ใช้ร่างกายของตนเป็นโล่กำบังตามสัญชาตญาณ แต่ทำไมเขาไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย เมื่อผละออกมาก็ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยกระสุนบนร่างตนเองกับคนรัก พอหันกลับไปมองก็เห็นลูกศรหน้าไม้ดอกหนึ่งปักตรงมือเซนทอร์ตนนั้น ความแรงของมันมากพอที่จะทะลุจากหลังมือไปยังหน้ามือจนวัตถุดำด้านในมือร่วงหล่นลงพื้นกระสุนลั่นผิดทิศทาง นั่นจึงเป็นโอกาสให้บุตรเทพีแห่งม่านหมอกรีบคว้าปืนกระบอกนั้นไว้ “ฮ่า ๆ คิดว่าปืนธรรมดาจะทำอะไรฉันได้งั้นเรอะ ไอ้โง่เอ๊ย!” เซนทอร์ตนนั้นหัวเราะลั่นเมื่อแมคเคนซีจ่อปืนลูกตะกั่วใส่ในระยะประชิด ซึ่งก็จริงตามนั้น อาวุธธรรมดาไม่สามารถทำอันตรายอสุรกายได้ “งั้นเอานี่ไป” เสียงเสียงหนึ่งดังมาจากต้นไม้ต้นถัดไปจากที่พวกเขาอยู่ เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งถือหน้าไม้นั่งอยู่บนกิ่งไม้ เธอโยนปืนอีกกระบอกส่งให้แมคเคนซีที่รับไว้ได้อย่างแม่นยำ “ขอบคุณ! แต่ผมยิงปืนไม่เป็น” “มันไม่ยาก เป้าหมายระยะเผาขนขนาดนี้ไม่มีทางรอด” เธอตอบแมคเคนซีด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งราวกับการยิงปืนง่ายพอ ๆ กับการยิงหนังสติ๊ก และตอนนี้ก็ไม่มีเวลามาลังเลแล้วเมื่อเซนทอร์ตนนั้นพุ่งเข้ามาชิงจะทำร้ายเขา ปัง! แน่นอนว่าเปิดก่อนได้เปรียบ หนุ่มอังกฤษเหนี่ยวไกแล้วลั่นไกปืนทันที ลูกกระสุนสัมฤทธิ์แล่นออกจากปากกระบอกปืนอัจฉริยะเจาะเข้าที่กลางศีรษะของเซนทอร์ตนนั้นพอดีแบบไม่ต้องเล็ง ก่อนที่จะมีภาพไม่น่าดูให้เห็น ร่างของมันก็สลายเป็นฝุ่นผงปลิวไปกับอากาศแล้ว โชคดีที่ดีนหลับอยู่ หากอีกฝ่ายได้ยินเสียงปืนดังขนาดนี้คงจะกลัวจนตัวสั่นแน่ ๆ “เห็นไหมล่ะ ไม่ยาก” หญิงสาวบนกิ่งไม้มองภาพนั้นด้วยสีหน้าเฉยเมยราวกับเห็นจนชินตา แล้วร่างนั้นก็หายไป “เวรเอ๊ย นังพวกนี้มันเป็นใครวะ อยู่ไม่ได้แล้ว!” เซนทอร์ลูกสมุนตนสุดท้ายที่เฝ้าแมคเคนซีเริ่มลนลานเมื่อเห็นกลุ่มเพื่อนถูกส่งกลับทาร์ทารัสกันหมดแล้ว มันจึงวิ่งไปปลดโซ่ที่ใช้ล่ามฝูงแจ๊คคาโลปหรือที่ในสายตาคนทั่วไปถูกหมอกบังตาเห็นเป็นสุนัขพันธุ์  ‘ฟิล่า บราซิเลียโร’ ออกเพื่อหวังใช้โอกาสนี้หนีเอาตัวรอด และทันทีที่ฝูงแจ๊คคาโลปได้กลิ่นเหยื่อ พวกมันก็วิ่งกรูมายังกลุ่มเดมิก็อดที่กำลังวุ่นวายกับการต่อสู้อยู่ทันที ฉึก! ฉึก! ฉึก! ฉึก! แต่ยังไม่ทันได้เข้าถึงตัว ธิดาแห่งเฮคาทีก็ใช้ทักษะการยิงธนูของเธอยิงสกัดฝูงแจ๊คคาโลปไว้ ศรทุกลูกที่ยิงล้วนเข้าจุดสำคัญ บ้างก็ล้มหน้าคะมำจนคอหัก บ้างก็ถูกยิงเข้ากลางหัว บ้างก็ถูกยิงตรงเส้นเลือดใหญ่ช่วงลำคอจนพวกมันตามกลับทาร์ทารัสไปยกฝูง “ฝีมือดีนี่สาวน้อย สนใจมาเข้ากลุ่มกับพวกฉันไหม” นาเยรีที่เอาอาวุธจากกองสัมภาระมาให้ชาร์ล็อตเอ่ยชื่นชมจนเด็กสาวยิ้มเขิน “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ หนูแค่เคยเรียนยิงธนูมา” “แต่เหมือนเมื่อกี้มีตัวนึงหนีไปได้ใช่ไหมนา” เด็กหญิงหน้าเอเซียเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ พร้อมกับเอียงคอครุ่นคิด ราวกับว่าเหตุความโกลาหลคือเรื่องปกติสามัญที่พบเจอได้ในวันธรรมดาของชีวิต เธอกล่าวขึ้นจากนั้นชี้นิ้วออกคำสั่ง  “เซนทอร์พวกนี้ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ อันตราย ๆ โคมะจิ ไปล่ามันมา” “ค๊อง!” จิ้งจอกสี่หางขานรับ จากนั้นเจ้าขาวก็ตะกุยอุ้งเท้าทั้งสี่วิ่งฝ่าวงล้อมของเหล่าอสุรกายไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว “มาช่วยกันหน่อย! เป้าหมายกำลังจะหนี มันเอาเดธแมชชีนมาขวางไว้” เสียงจากหญิงสาวที่ดูเหมือนเป็นผู้นำทีมดังมาจากอีกด้านหนึ่ง ทุกคนจึงรีบตรงไปยังจุดนั้น “นายอยู่นี่ก่อนนะที่รัก ชาร์ล็อต ฝากทำแผลให้ดีนหน่อย พี่ไปช่วยพวกเขาก่อน” แมคเคนซีจับดีนให้นั่งพิงต้นไม้ดี ๆ แล้วหันไปบอกน้องสาวก่อนจะเก็บกริชอาคมที่อยู่ตรงพื้นของตนขึ้นมาแล้วรีบหอบร่างสะบักสะบอมของตนวิ่งตามไปสมทบ “ค่ะพี่แมค ดูแลตัวเองด้วยนะคะ” ชาร์ล็อตขานรับ จากนั้นโบกปากกาเวทมนตร์รักษาให้แก่ดีน นัยน์ตาสองสีสบไปเห็นไหดินเผาที่ถูกวางทิ้งไว้บนพื้น “พี่ริเซ่อยู่ในนั้นนี่นา...” สาวน้อยหยิบไหลงอาคมขึ้นมาจากนั้นจับมันทุ่มลมพื้นเต็มแรง เพล้ง!

.
.
.

หญิงสาวผิวสีในเครื่องแต่งกายแนวพังค์ร็อกกระแทกโล่เอจิสลวดลายหัวเมดูซ่ากับหอกเพื่อหยุดความเคลื่อนไหวของเดธแมชชีนในขณะที่มันกำลังจะยิงระเบิดมหาประลัยเผาป่าให้ไหม้เป็นจุณมากไปกว่านี้ ทว่าเครื่องจักรสังหารของเฮเฟตัสปราศจากความกลัวแตกต่างจากอสุรกายอื่น ๆ ที่มีจิตวิญญาณ หัวของเมดูซ่าที่ประดับอยู่บนโล่อันทรงพลังจึงไม่อาจหยุดความเคลื่อนไหวของมันได้นานนัก

“ชิ!”

หญิงสาวควบคุมวายุช่วยหอบร่างของเธอให้หนีขึ้นฟ้าก่อนจะถูกกระสุนสังหารกราดใส่ ทว่าด้วยลูกระเบิดที่ยิงออกมาจากเดธแมชชีนอีกตัวทำให้ป่าไหม้ไฟเป็นแถบ ๆ

“ธาเลียจัง! ปลอดภัยไหม!” หญิงเอเซียแหงนหน้าป้องปากตะโกนถามด้วยความเป็นห่วง

“สบายมากพี่คิจิ!” ธาเลียยกนิ้วโป้งตอบกลับคนข้างล่าง ก่อนจะมองไปทางเปลวเพลิงที่ลุกโหม ป่าดงดิบคึอเชื้อไฟชั้นดีที่จะทำให้ไฟป่าลุกลาม “โธ่เว้ย! แบบนี้ก็ใช้ลมไม่ได้น่ะสิ”

ธาเลีย เกรซ ธิดาแห่งซุส ควบตำแหน่ง ‘หัวหน้าพรานสาวอาร์เทมิส’ สบถอย่างหัวเสีย เมื่อเธอไม่สามารถใช้พลังตามสายเลือดในการต่อสู้ได้ ไม่ใช่เพราะถูกสะกัดกั้นพลังเหมือนกับกลุ่มเดมิก็อดที่ช่วยเหลือไว้ แต่เพราะว่าพลังของเธออาจทำให้เปลวเพลิงลุกลาม

“เจ้าบุตรโพไซดอนนั่นตื่นหรือยัง รีบมาดับไฟด้วยเฮ้ย!”

ธาเลียตะโกนบอกคนที่นั่งหลับอยู่ที่ใดสักแห่งในบริเวณนี้ แต่เหมือนเดิมที่ไร้เสียงขานกลับจากคนหลับ ตอนนี้ได้แต่ช่างแม่งไฟป่าไปก่อน สิ่งสำคัญคือต้องกำจัดหุ่นกระป๋องสองตัวนี้ที่เป็นภัยร้ายอันดับหนึ่ง

ฝีมือของพรานอาร์เทมิสไม่ได้มาเพราะแค่โชคช่วยหรือพึ่งพาเพียงแค่พลังแห่งสายเลือดเท่านั้น ให้ต่อสู้ระยะประชิดก็ทำได้ ธิดาแห่งซุสร่อนลงมายังพื้นดิน ก่อนจะพุ่งหอกเอจิสในมือเข้าห้ำหั่นกับเดธแมชชีนอย่างดุดัน เรื่องน่าหงุดหงิดอย่างนึงคือโลหะที่เฮเฟตัสใช้สร้างมันขึ้นมาแข็งแกร่งเกินไปจนแทงไม่เข้า ต้องรอให้มันโอเวอร์ฮีทหรือไม่ก็หมดพลังงานไปเอง

แต่ระหว่างหุ่นกับคนใครจะพลังหมดก่อนกัน…

แม้ธาเลียและคิจิจะรับมือกับเดธแมชชีนได้อย่างเข้าขา แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกเธอจะถูกเนิร์ฟพลังลงด้วยกันทั้งคู่ ทางด้านสาวน้อยเอเซีย
คิจิ โคบายาคาวะ ธิดาแห่งไทคี ผู้ใช้ ‘โชคร้าย’ เคลือบอาวุธง้าวนางินาตะก็ไม่สามารถใช้ ‘เคราะห์มหันต์’ ใส่เครื่องจักรที่ปราศจากดวงกรรมได้เลย

“ตึงมือพอตัวเลยนะ”

“อืม…สภาพแวดล้อมจำกัดด้วย”

แมคเคนซีที่ตามมาทีหลังถึงกับต้องหรี่ตาลงให้กับความร้อนแรงของประกายเพลิงที่เผาไหม้ต้นไม้แถบนั้นไปทั่วบริเวณ เขาฟังที่นาเยรีคุยกับหญิงสาวที่ส่งปืนให้ตนก่อนหน้านี้แล้วรีบประเมินสถานการณ์ภายในหัวอย่างเร่งด่วน ชายหนุ่มจำได้ว่าเคยประลองกับหุ่นยนต์นี่มาก่อนเมื่อตอนไปทำภารกิจที่เมืองเยลโลวไนฟ์ ประเทศแคนาดา เท่าที่จำได้คือมันแข็งแกร่งมาก โจมตีได้รวดเร็วและรุนแรงจากระบบตรวจจับเซ็นเซอร์ ที่สำคัญคือมีอาวุธครบมือจนได้ชื่อว่าเป็น
‘หุ่นยนต์สังหาร’

“ผมว่าผมพอจะช่วยได้”

เสียงที่แทรกขึ้นมาจากด้านหลังทำให้หญิงสาวทั้งสองหันไปมอง นาเยรีเพียงแค่ยกยิ้มมุมปากแล้วกล่าวเชิงหยอกล้อเล็ก ๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและคราบเลือด

“ก่อนอื่นคุณน่าจะช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองสักหน่อย”

ส่วนหญิงสาวอีกคนเพียงแค่ยักไหล่ เหมือนว่ารูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้มีความสำคัญสำหรับเธอในสถานการณ์เช่นนี้

“ผ่านมาสักพักแล้ว คงใช้พลังของพวกเทพได้แล้วล่ะ”

ซึ่งคำพูดเธอก็เป็นประโยชน์สำหรับแมคเคนซีมาก หากใช้พลังได้ การจัดการกับหุ่นยนต์นี่ก็จะง่ายขึ้นเยอะ

“โอเค ขอบคุณมาก”

บุตรเทพีแห่งมนตรากล่าวขอบคุณก่อนคว้าคทาเวทในกระบอกซูมที่สะพายหลังออกมาแล้วรีบวิ่งไปทางหญิงสาวอีกสองคนที่กำลังต่อกรกับเดธแมชชีนอยู่

“หืม เห็นหรือเปล่าวาล อาวุธของเขา วันนี้จะได้เห็นโชว์ดี ๆ สินะ”

เมื่อไฟจากคบเพลิงส่องสว่าง หญิงสาวร่างเพรียวบางดั่งแมวป่าก็ยกมือขึ้นปิดปากไว้

“เห็น กรวยไอติมขนาดใหญ่ที่กลายเป็นคทาเวทไงล่ะ อย่ามัวเสียเวลาเลย เราเองก็ต้องไปช่วยพวกเขาเหมือนกัน”

หญิงสาวผู้เป็นมนุษย์หนึ่งเดียวแต่มีความสามารถมองทะลุม่านหมอกบังตาบอกพลางหยิบศรหน้าไม้เตรียมพร้อมไว้ ส่วนนาเยรีก็เพียงแค่หัวเราะในลำคอแล้วเดินตามเพื่อนสาวไปด้วยท่าทีไม่รีบร้อน

“ไม่เห็นต้องรีบเลย ปล่อยให้คนถนัดเขาทำงานเถอะน่า”

.
.
.

“ไอ้หุ่นนี่ไม่มีแบตเตอร์รี่หรือไง ยิงไม่พักเลย!”

ธาเลียตะโกนออกมาอย่างเหลืออดขณะย่อตัวลงคุกเข่าแล้วใช้โล่เอจิสปักพื้นเพื่อกำบังร่างของเธอกับคิจิจากห่ากระสุนที่เดธแมชชีนสาดยิงมาไม่ยั้ง

“โล่ของเธอจะไม่พรุนไปก่อนใช่ไหมธาเลียจัง อิย้าาา”

คิจิหลับตาปี๋ขณะนั่งจุ้มปุ๊กเอามือปิดหูตัวเองไว้ ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเธอไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ ทั้งเสียงปืนและเสียงระเบิดทำเอาหูแทบอื้อไปหมด

“อ..อะไรน่ะ ควันมาจากไหนเยอะแยะ”

อยู่ ๆ เสียงปืนก็หยุดลง ทั่วทั้งบริเวณถูกแทนที่ด้วยหมอกควันหนา ธาเลียรีบยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกไว้อย่างระมัดระวังตัวตามความเคยชิน

“คือว่าผมมีแผน”

“กรี๊ดดดด ผี!!!”

อยู่ ๆ ก็มีใครไม่รู้โผล่เพิ่มมาอีกคน ใบหน้าทั้งฟกช้ำและยังมีคราบเลือดอีกต่างหาก จึงช่วยไม่ได้ที่สาวเอเซียจะกรี๊ดเสียงหลงแล้วกอดแขนเพื่อนของเธอจนแน่น

“เฮ้ พี่คิจิใจเย็น ๆ นี่คนที่เราเพิ่งไปช่วยมาไง”

ธาเลียรีบดึงสติเพื่อนตนเอง พอคิจิเป็นว่าเป็นจริงดังนั้นจึงถอนหายใจแล้วได้แต่หัวเราะเขิน ๆ ส่วนผู้นำทีมที่สังเกตเห็นคทาเวทในมืออีกฝ่ายก็เข้าใจทุกอย่างได้ในทันที

“สายเลือดเฮคาทีงั้นเหรอ หมอกนี่ก็ฝีมือนายน่ะสิ ที่ว่ามีแผนคืออะไร”

“ผมเคยสู้กับหุ่นนี่มาก่อน เราต้องทำลายระบบระบายความร้อน ไม่ก็เซลล์พลังงาน คุณช่วยล่อให้มันหันหลังให้ผมได้ไหม ผมจะจัดการระบบพวกนั้นเอง”

แมคเคนซีเพียงแค่พยักหน้ารับเพื่อยืนยันสถานะของตนเองแล้วรีบบอกแผนการให้ทั้งสองฟัง

“เรื่องแค่นี้สบายมาก ฉันดีล ดำเนินการตามแผนได้เลย”

เมื่อธาเลียตอบตกลง แมคเคนซีก็สลายหมอกควันให้หายไปเพื่อให้เธอทำตามแผนการได้ง่ายขึ้น และเมื่อเซ็นเซอร์ของหุ่นยนต์กลับมาทำงานอีกครั้ง มันก็พบว่าธาเลียลอยอยู่บนอากาศแล้ว

“ฉันอยู่นี่เจ้าหุ่นกระป๋อง ยิงให้โดนฉันสิ!”

เมื่อเหล่าเดธแมชชีนจับกระแสเสียงและการเคลื่อนไหวของธาเลียได้ พวกมันก็พร้อมใจกันเล็งสรรพาวุธไปยังเป้าหมายบนฟ้าทันที เธอบังคับตัวเองให้ลอยวนไปอีกด้านที่ตรงกันข้ามกับแมคเคนซีจนหุ่นยนต์ทั้งสองต้องหันตามไป ซึ่งก็เข้าทางแผนการของบุตรเทพีแห่งมนตรา

“อิกนิส พาร์วัส”

ลูกไฟสองลูกถูกยิงออกมาจากปลายคทาเวทตรงเข้าไปยังระบบระบายความร้อนที่ด้านหลังของเหล่าเดธแมชชีนทันที เมื่ออุณหภูมิสูงเกินไป การทำงานของพวกมันก็เกิดโอเวอร์โหลด ร่างขนาดสองเมตรกระตุกเหมือนไฟฟ้าลัดวงจรก่อนที่จะระเบิดและกลายเป็นฝุ่นผงแทนที่จะเป็นชิ้นส่วนโลหะที่กระจายอย่างรุนแรง

“เห็นไหม ไม่ต้องถึงมือพวกเราหรอก”

สองสาวที่ถูกหมอกเวทบดบังทัศนวิสัยไว้ระหว่างทางตามมาสมทบทีหลังด้วยท่าทีสบาย ๆ

“ขอบคุณที่ช่วยพวกเราไว้ ผมแมคเคนซี พวกเรามาจากค่ายฮาล์ฟบลัด”

เมื่อเสร็จสิ้นจากเรื่องยุ่งยากทั้งหมด หนุ่มอังกฤษก็เก็บคทาเวทกลับเข้าที่เดิมและไม่ลืมที่จะแนะนำตัวตามมารยาท

“แล้วพวกคุณคือใคร”

“พวกเราคือกลุ่มพรานอาร์เทมิส ฉันธาเลีย นี่พี่คิจิ นาเยรี และวาเลนตินา”

ธาเลียที่บินกลับมาเป็นผู้ตอบคำถามและแนะนำตัวสมาชิกในทีมทั้งหมดแทนทุกคน แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำความรู้จักกันไปมากกว่านี้ พวกเขาก็ถูกขัดเข้าเสียก่อน

“แย่แล้วค่ะ พี่ดีนหายไป!”

เป็นเสียงพร้อมกับร่างของชาร์ล็อตนั่นเองที่วิ่งหน้าตาตื่นมาทางนี้ เมื่อได้ยินชื่อของคนรัก แมคเคนซีก็เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ

“ชาร์ล็อตใจเย็น ๆ ก่อน เกิดอะไรขึ้น ค่อย ๆ พูดอีกที”

“พี่ดีนค่ะ หนูเฝ้าพี่ดีนอยู่ พอทำแผลที่คอพี่เขาเสร็จหนูเห็นพวกพี่หายไปนานเลยเดินมาดูแป๊บนึง พอกลับไปพี่ดีนก็หายไปแล้ว”

พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็กลายเป็นเขาที่ไม่สามารถทำใจให้เย็นได้อีกต่อไป แมคเคนซีรีบวิ่งกลับไปยังจุดตั้งแคมป์ของพวกมาเฟียอีกครั้งโดยมีชาร์ล็อตและกลุ่มพรานอาร์เทมิสตามไป

.
.
.

ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน วิญญาณสาวริเซ่ออกมาจากพวงกุญแจนุ่มฟูอีกครั้งเมื่อเธอเห็นว่ามีเซนทอร์ตนหนึ่งกำลังจะหนีไป

‘เฮ้ย!! มันหนีไปตัวนึงแล้ว!!’ เธอตะโกนบอก ทว่าไม่มีใครสนใจ พูดให้ถูกคือนอกจากสายเลือดใต้ภิภพแล้วไม่มีใครที่ได้ยินเสียงของเธอเลยมากกว่า ‘ชิ…’

จิ้งจอกขาวที่มีสี่หางวิ่งทะลุผ่านร่างวิญญาณด้วยความรวดเร็ว ความเร็วของมันเป็นรองสี่เท้าของม้า ทว่าด้วยสภาพภูมิประเทศอันจำกัดจึงไม่สามารถทำให้เซนทอร์วิ่งควบไปได้เร็วนัก ไม่แน่ว่าจิ้งจอกขาวตัวนั้นอาจตามทัน แต่ว่า…

‘หมาอะไรมีสี่หางวะ…’

วันนี้เจอแต่เรื่องประหลาด ตั้งแต่เกิดจนตายริเซ่ยังไม่เคยเจอเรื่องพิสดารพันลึกได้มากเท่าวันนี้มาก่อน เล่นเอา ‘ผี’ กลายเป็นสิ่งที่แสนธรรมดาที่สุดในนาทีนี้ไปเลย
กุบกับ..

เสียงกีบเท้าม้าอีกหนึ่งวิ่งมาด้านหลัง เมื่อหันไปมอง ไฟแค้นของผีสาวก็ถูกจุดขึ้นอีกครั้งในทันที มันคือเอล กาบาโยคู่แค้นของริเซ่ที่เธอจดจำใบหน้าของผู้ที่พรากทั้งศักดิ์ศรีและลมหายใจไปจากเธอไม่มีวันลืม ตอนนี้มันมาป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ ร่างที่ไม่ได้สติของบุตรเจ้าสมุทร ฉุดร่างนั้นขึ้นมาก่อนหอบไว้กลางหลังแล้ววิ่งหนีไป
‘เชี่ยล่ะ!’ ริเซ่สบถ ใบหน้าซีดจางของนางเผือดสีลงยิ่งกว่าเก่า ‘เฮ้ย!! ใครก็ได้มาทางนี้หน่อย ไอ้แว่นถูกพาตัวไปแล้ว!!’ แน่นอนว่าเสียงของวิญญาณไม่อาจถึงหูเหล่านักรบที่กำลังมะรุมมะตุ้มรับมืออยู่กับ ‘หุ่นควาย’ ที่กำลังเมามันอยู่กับการระเบิดป่าได้หรอก เธอจึงต้องทำอะไรสักอย่าง… เพียงแค่คิดเธอก็ไปโผล่อยู่บนหลังของอาชาเซนทอร์ นี่อาจเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของวิญญาณ ส่วนข้อดีอย่างที่สองก็คือ.. ‘กูขอสิงมึงหน่อยนะไอ้แว่น อย่าโกรธกันนะ นี่กูกำลังช่วยมึงอยู่นะโว้ย!’ เธอรู้ดีว่าต่อให้ปลุกหนักแค่ไหนดีนคงไม่ตื่นขึ้นมาง่าย ๆ ขนาดถูกมีดเฉือนเนื้อที่คอจนเลือดอาบลงเป็นทาง ชายหนุ่มก็ยังไม่ได้สติ จนแว้บนึงเผลอคิดไปว่า ‘คงไม่ตายตั้งแต่ตอนนั้นหรอกนะ?’ แต่เมื่อเห็นหลังกระเพื่อมตามจังหวะการหายใจจึงพอให้รู้ได้ว่ายังมีชีวิตอยู่ นี่จะเป็นครั้งแรกของการสิงคน มันคงไม่ต่างอะไรกับการเข้าไปอยู่ในพวงกุญแจ…

.
.
.


ท่ามกลางภาพอันดำมืด ดีนค่อย ๆ รู้สึกตัวทว่าลืมตาไม่ขึ้น สรรพเสียงรอบตัวอึกทึกคึกโครมไปหมด


‘ใคร... ทำอะไร... กำลังต่อสู้กันอยู่เหรอ? โอ้ พระเจ้า... ง่วงเป็นบ้า’

เสียงระเบิดที่ดังก้องป่าควรทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกลัวทว่าเขาในตอนนี้กลับเฉยชากับมันเหมือนว่าเสียงนั้นเป็นเพียงแค่ฉากหนึ่งในหนังสงคราม จากที่เขารู้สึกโดดเดี่ยวในตอนแรก ทว่าตอนนี้กลับสัมผัสได้ถึงใครอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ 

‘กูขอยืมร่างมึงหน่อย’

‘อะไรนะ?’

ความไม่เข้าใจผสมไปกับความมึนเบลอ แต่แล้วก็ต้องผวาสุดขีดเมื่อเงาหญิงสาวพุ่งเข้าใส่ร่างของเขาจนตอนนี้ชายหนุ่มไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายได้ตามใจคิด ทว่าตอนนี้เขากลับกำลังขยับร่างกายดันตัวเองขึ้นมานั่งอยู่บนหลังม้า แต่นั่นไม่ใช่การบงการด้วยเจตจำนงของเจ้าตัว

“กูจะฆ่ามึง!”

ดีนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่นั่นไม่ใช่ ‘ดีน’ ที่พูด ตัวเขาเองยังงงเลยว่าทำไมตัวเองถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความอาฆาตทำให้เอล กาบาโยรู้สึกตัว มันรีบสลัดคนบนหลังทิ้งทันที บุตรแห่งโพไซดอนถือเป็นเดมิก็อดแสนอันตราย และในเวลานี้ฤทธิ์แห่งเชือกวิเศษน่าจะหมดลงแล้ว ทำให้เดมิก็อดสามารถกลับมาใช้พลังได้

“อุ๊บ!”

ชายหนุ่มกลิ้งตกจากหลังม้า แต่ด้วยร่างกายที่ผ่านการสู้รบมาหลายสมรภูมิ (โดยไม่สมัครใจ) ทำให้กล้ามเนื้อจดจำวิธีการเอาตัวรอดแม้ว่า ‘ดีน’ จะไม่ได้ควบคุมร่างนี้ด้วยตัวเอง จิตสังหารมหาศาลสั่งการให้สร้อยข้อมืออัจฉริยะทำงาน ฉับพลันดาบตรีศูลก็ปรากฎอยู่กลางฝ่ามือ

“มีของเล่นแปลก ๆ เหมือนกันนี่หว่า”

ดีนที่ไม่ใช่ดีนเผยอยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมแววตาวาวโรจน์ไม่เหลือเค้าของเหยื่อ ในตอนนี้เขาคือ ‘ผู้ล่า’ ร่างสูงพุ่งเข้าใส่หัวหน้าแก๊งเซนทอร์พร้อมด้วยดาบตรีศูลในมือฟาดฟันเข้าใส่อย่างไร้กระบวนท่า แม้ร่างกายจะกำยำแข็งแรงไม่ต่างจากนักรบ ทว่าผู้ที่ควบคุมร่างอยู่เป็นเพียงแค่หญิงสาวชาวบ้าน จึงไม่ต่างอะไรกับมือใหม่เล่นเกมไฟท์ติ้งโดยการกดท่าไปมั่ว ๆ

‘นี่มันแย่กว่าที่ฉันสู้เองอีก!’

ดีนพยายามรวบรวมสติบังคับร่างกายของตัวเองให้กลับคืนมา แต่เหมือนว่าเขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากโวยวายในใจ

‘หลบสิเฮ้ย! มันสวนกลับมาแล้ว เธอจะเอาร่างของฉันไปตายหรือไง!!’

“หุบปากโว้ยไอ้แว่น!!”

ริเซ่ในร่างดีนตะคอกใส่จิตเจ้าของร่างที่พยายามควบคุมร่างคืน ความแค้นที่จ้องจะสังหารศัตรูตรงหน้าทำเอาเธอลืมไปเสียสนิทว่าต้องถนอมร่างที่สิงสู่อยู่ด้วย ต้องขอบคุณดีนที่ช่วยเตือนสติและทำให้เธอบังคับร่างของเขาหลบจากคมดาบของเอล กาบาโยได้ทัน

“แกเป็นบ้าอะไรเนี่ย!”

ความคลั่งของบุตรเจ้าสมุทรทำเอาเซนทอร์งงงวย แต่ก็ช่างมันประไรยังไงชายตรงหน้าก็คืออาหาร ตอนแรกกะว่าจะแบกไปแล้วหาที่เหมาะ ๆ เจี๋ยนกินซะ แต่ถ้าสุดท้ายต้องกินอยู่ดี งั้นก็เป็นตอนนี้เลยแล้วกัน เอล กาบาโยหยิบปืนกลมือขึ้นมากราดยิงบุตรเจ้าสมุทรหมายจะเอาให้พรุน

‘โล่ ๆๆ กางโล่เร็ว!!’

“แล้วโล่มันกางยังไงละเว้ย!”

ไม่ทันที่ริเซ่จะออกคำสั่งเปลี่ยนจากดาบกลายเป็นโล่ โล่ฮิปโปแคมปัสก็ถูกกางขึ้นมาแทนดาบที่อยู่ในมือ อาวุธเทพยังคงตอบสนองต่อดวงจิตของดีนที่อยู่ในร่างแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ควบคุม ณ ตอนนี้ กระสุนปืนสงครามที่มีอานุภาพร้ายแรงไม่อาจทะลวงเกราะแห่งเทพสมุทรได้ประดุจดั่งพรคุ้มครองจากพ่อที่มีสู่ลูก

“โฮ่ สารพัดประโยชน์ดีนี่หว่า”

‘คืนร่างให้ฉันเถอะนะคุณผี’

“ไม่! กูจะแก้แค้นมัน!!” เมื่อเสียงกระสุนเกือบร้อยนัดหยุดลงริเซ่ก็ออกมาจากเกราะกำบัง เธอเรียนรู้ได้รวดเร็วว่าอาวุธที่อยู่ในมือแปลงเป็นทั้งโล่และดาบได้ วิญญาณสาวจึงเก็บโล่แล้วเรียกอาวุธสังหารออกมา “ได้เวลาตายแล้ว!!”

ขณะที่ดีนกำลังจะพุ่งแทงอีกครั้ง อะไรบางอย่างก็พุ่งชนเขาจากด้านข้างจนถลาล้มไปหลายเมตร

“หัวหน้าเป็นอะไรไหม!”

ลูกน้องเดนตายของเอล กาบาโยตั้งใจปกป้องหัวหน้าที่รักยิ่งชีพ แม้ว่ามันจะติดพันจากการต่อสู้กับจิ้งจอกสี่หางอยู่ก็ตาม เนื้อตัวของเซนทอร์หนุ่มเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ ส่วนที่ควรเป็นเลือดเนื้อกลายเป็นฝุ่นธุลี

“ข้าไม่เป็นไร แต่ล่อเอาซะกระสุนหมดเกลี้ยงเลยไอ้ห่า!!”

“มึงไม่ต้องมาขวาง!!” ดีนยกดาบชี้หน้าเซนทอร์ทั้งสองด้วยความอาฆาตมาดร้าย หนึ่งตัวยังล้มยากแต่นี่มีถึงสอง กระนั้นเธอไม่ปล่อยพวกมันเอาไว้แน่ “เฮ้ย! ไอ้แว่น กูจะฆ่ามันได้ยังไง!”

‘ก็คืนร่างให้ฉันสิ ได้โปรดเถอะ’ จิตของดีนอ้อนวอน

“ไม่!” ริเซ่ในร่างดีนปฏิเสธ ไม่มีอะไรจะหอมหวานได้เท่ากับการล้างแค้นด้วยตัวเอง

“ค๊อง!!” สุนัขจิ้งจอกสี่หางวิ่งตามมาสมทบ ตามร่างกายของมันก็เต็มไปด้วยบาดแผลไม่ต่างจากเซนทอร์ที่มันปะทะก่อนหน้า มันคำรามเสียงต่ำในลำคออย่างไม่ยอมแพ้ ดูเหมือนว่าทั้งเจ้านี่และริเซ่จะมีความคิดไม่ต่างกัน

“แกช่วยฉันฆ่ามันนะเจ้าหมา”

“ค๊อง!!”

โคมะจิน้อยขานรับ ก่อนจะกระโจนใส่เซนทอร์ลูกสมุนพร้อมกับสำแดงร่างกายขยายใหญ่ขึ้นราวกับเสือ แน่ล่ะ.. จิ้งจอกปีศาจอายุกว่าสี่ร้อยปีเอาอะไรมาธรรมดา มันกัดกระชากเซนทอร์ลูกน้องสะบัดไปมา ร่างร่องแร่งกรีดร้องอย่างน่าเวทนา ดีนฉวยโอกาสควบคุมร่างอีกครั้ง เปลี่ยนดาบในมือเป็นหอกตรีศูลพุ่งทะลุผ่านร่างเซนทอร์โชคร้ายให้มันสิ้นความทรมาน ร่างกายดับสูญแตกสลายเป็นธุลี เหลือทิ้งไว้แค่กีบเท้าเป็นสินสงครามร่วงลงมา

“ชิ! อย่าเพิ่งมาเอาร่างคืนสิว้อย!!”

ริเซ่ผลักการควบคุมของดีนออกกลับมาบงการร่างที่สิงโดยสมบูรณ์อีกครั้งแล้วรีบพุ่งตัวไปรับหอกกลับมา ตอนนี้เธอพอจะรู้แล้วว่าด้วยกำลังของตัวเองที่ไร้ประสบการณ์ต่อสู้คงไม่อาจโค่นล้มฆาตกรปีศาจได้ด้วยตัวคนเดียว แต่เธอยังมีลูกสมุน (?) ที่คอยช่วยจัดการ

ปีศาจจิ้งจอกย่างสามขุมไปที่เอล กาบาโยพร้อมแยกเขี้ยวยาวอย่างดุร้ายน่ากลัว ทว่าจอมวายร้ายอย่างเอล กาบาโยไม่หวาดหวั่น มันใช้เชือกสกัดกั้นพลังโยนบ่วงบาศรัดรอบคอของโคมะจิไว้ เชือกวิเศษไม่ได้มีผลแค่กับเดมิก็อดเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีฤทธิ์เดชที่ใช้กำราบอสุรกายให้สิ้นพลังได้ด้วยเช่นเดียวกัน จิ้งจอกปีศาจที่ถูกเชือกรัดคืนร่างเดิมเป็นจิ้งจอกขาวตัวเล็ก ๆ ในทันที ปีศาจจิ้งจอกกำลังจะขาดอากาศหายใจ มันดิ้นรนอย่างทุกข์ทรมาน

ริเซ่ใช้โคมะจิเป็นตัวล่อ พุ่งเข้าไปด้านหลังของเอล กาบาโย แต่ประสาทสัมผัสของอสุรกายคมกริบ มันถีบขาหลังใส่ร่างดีนจนเขากระเด็น ดีที่ไม่ใครสักคนในร่างใช้จิตควบคุมเปลี่ยนจากหอกเป็นโล่ป้องกันได้อย่างปลอดภัย

“โธ่เว้ย! ไอ้ชั่วนี่เข้าใกล้ไม่ได้เลย!!”

‘จริง ๆ ฉันพอมีวิธี’ จิตของดีนเสนอ ‘คืนร่างให้ฉันแป๊บนึง’

ริเซ่กัดฟันกรอด เธออยากล้างแค้นเอล กาบาโยด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าด้วยทักษะการต่อสู้ของสาวแม่บ้านจะทำอะไรไม่ได้เลยแม้ว่าเธอมีเครื่องมือที่สามารถใช้ต่อสู้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วก็ตาม

“ก็ได้ กูจะคืนร่างให้มึง แต่ต้องเป็นกูที่ได้ฆ่าไอ้เหี้ยนั่น!”

‘ตามใจเจ๊’

ความจริงแล้วดีนไม่อยากจะให้ริเซ่สิงสู่เขาอีกเป็นครั้งที่สอง เขาไม่ใคร่ชอบนักที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ร่างกายมีใครก็ไม่รู้คอยชักใยทั้งที่ได้สติ ทว่าระหว่างที่ริเซ่ครอบครองร่างของเขาอยู่นั่นเอง ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลได้ไหลเข้าสู่จิตของชายหนุ่ม จิตทั้งสองเชื่อมต่อกันราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันครึ่งหนึ่ง แม้ว่าดีนจะไม่เห็นภาพการตายอันน่าสยดสยองของเธอ แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความทรมานในทุก ๆ วินาทีที่วิญญาณสาวสิงอยู่ในร่างเขา

นั่นคือความเห็นใจ

‘แต่ก็อย่าทำให้ฉันดูแย่เกินไปนักนะ—’

วูบ…

“เหวอ!?”

ดีนรู้สึกหน้ามืดกระทันหันจนเกือบหน้าทิ่มไปกับพื้น หากไม่ใช้หอกในมือค้ำยันคงได้จูบหญ้าไปแล้วในระหว่างที่เขาได้ร่างกายกลับคืนมา 

“ฟู่ว… กลับมาซะทีร่างเดิมของฉัน”

“แกพล่ามอะไรคนเดียวนักหนาวะ!!” เอล กาบาโยสบถอย่างเหลืออด มันรัดเชือกแน่นขึ้นจนตอนนี้โคมะจิทรุดลงไปกับพื้นในสภาพลิ้นจุกปาก

“แย่แล้วน้องหมากำลังจะตาย ปล่อยน้องหมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”

คนรักสัตว์อย่างดีนทนมองเห็นภาพนี้ไม่ได้ เขารีบสไลด์ตัวไปตัดเชือกวิเศษทันทีเพราะผู้ร้ายยังไงก็ไม่ยอมปล่อยเองหรอก

“หงิง...” โคมะจิหอบหายใจแผ่ว มันเจ็บหนักจนลุกขึ้นมาช่วยสู้อีกไม่ไหว

“น้องหมาไม่เป็นไรแล้วนะ”

ดีนเม้มปาก มองจิ้งจอกขาวด้วยความอาดูร ตอนนี้เขาไม่มีเวลาปฐมพยาบาลมัน ต้องรีบจัดการเซนทอร์ตรงหน้าก่อนที่ริเซ่จะมายึดร่างเขาอีกรอบเพื่อล้างแค้น ศัตรูคือเซนทอร์ทำเอาเขานึกถึงไครอนและเหล่าบอดี้การ์ดคุ้มกันค่ายฮาล์ฟบลัด การจะเอาชนะนักรบที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้เป็นไปได้ยาก อย่าว่าแต่ริเซ่เลย ต่อให้เป็นดีนก็อาจจะหืดขึ้นคอ เขาหลับตาลง ปักด้ามตรีศูลลงกับพื้น และใช้สิ่งที่ตนเชี่ยวชาญมากที่สุดในการล้มคู่ต่อสู้

‘ควบคุมน้ำ’

หลังบ่วงบาศขาดลง เอล กาบาโยไม่ยอมให้คู่ต่อสู้มีจังหวะได้เปิดฉาก มันควบฝีเท้าทั้งสี่เข้ามาพร้อมกับดาบสัมฤทธิ์ในมือตวัดแหวกอากาศอย่างรวดเร็วและรุนแรง ก่อนที่มันจะได้สะบั้นศีรษะของบุตรเจ้าสมุทร หยาดน้ำค้างตามยอดไม้ที่แหลมคมดุจใบมีดก็พุ่งทะลุผ่านร่างของมันราวกับกระสุนปืนนับร้อยยิงใส่

“อ๊ากกก!”

เอล กาบาโยล้มคว่ำไปกับพื้นเหมือนกับนักรบพื้นเมืองที่พ่ายแพ้ให้กับกระสุนปืนของนักล่าอาณานิคม มันเสือกตัวไปตามพื้นอย่างทุรนทุราย มองดูเลือดของตัวเองที่ระเหยกลายเป็นฝุ่นธุลี เงาหนึ่งย่างสามขุมเข้ามาหามันอย่างใจเย็นก่อนจะเตะขาหลังให้กางออก

“นี่สำหรับที่มึงข่มขืนกู”

ดาบตรีศูลปักเข้ากลางกล่องดวงใจของอสุรกายชั่วร้ายจนความเป็นชายของมันขาดสะบั้นและสลายไปกับอากาศ

“นี่สำหรับที่มึงซ้อมกู”

อีกหนึ่งดาบปักเข้าที่สีข้างของมันแต่ไม่ถูกจุดตาย

“และนี่สำหรับที่มึงฆ่ากู!!”

ดาบสุดท้ายปักเข้าที่คอหอยของหัวหน้าแก๊งเซนทอร์พรากเอาลมหายใจของมันไปเหมือนกับที่มันเคยทำเช่นนี้กับใครบางคน…




ความคิดเห็นผู้บันทึก
บอกตามตรงว่าผมแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพราะว่าหลับมาทั้งตอน
รู้แค่ว่าตัวเองถูกผีสิง... ว้าวว  มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดมาก รู้สึกแปลกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
แต่ไม่แนะนำให้ทำตาม เพราะคนที่จะขึ้นคร่อมผมได้มีแค่แมคซี่คนเดียวเท่านั้น!

สรุปสถานการณ์
- ชาร์ล็อตและแมคเคนซีถูกปลุกโดยริเซ่ ส่วนดีนหลับเป็นตาย พบว่าพวกเขาถูกจับอยู่กลางป่าโดยแก๊งเซนทอร์ที่ลักลอบทำเรื่องผิดกฎหมาย
- ความจริงแล้วคนขับรถเป็นไซคลอปส์ ทำธุรกิจมืดกับแก๊งเซนทอร์ของ เอล กาบาโย วางยาสามเดมิก็อดแล้วจับมาขาย ตั้งใจจะแล่เนื้อบุตรโพไซดอนกินเพื่อชูกำลัง จะขายบุตรเฮคาทีไปทำลาเมีย และขายธิดาเฮคาทีให้แก่ไททันตัวหนึ่งที่ต้องการเอาเธอเป็นเครื่องบูชายัญแก่จอมปีศาจ
- ดีนกำลังจะถูกกินแต่ถูกช่วยไว้โดย 4 พรานสาวอาร์เทมิส ธาเลีย, คิจิ, นาเยรี และวาเลนติน่า
- ระหว่างที่ดีนหลับอยู่ ริเซ่ได้ช่วยเขาเอาไว้โดยการสิงสู่ร่างกายและต่อสู้แทน (ยืมร่างเพื่อล้างแค้น)
- เหล่าเดมิก็อดและนางพรานทลายแก๊งเซนทอร์ค้ายาได้สำเร็จ

พิชิตอสุรกาย
กลุ่มเซนทอร์ F4 + เซนทอร์ [1-4] [5]
ฝูงแจ็คคาโลป 4 ตัว [6-9]
คู่หูดูโอ้: เดธแมชชีน [10-11]

โบนัสสินสงคราม [LUK มากกว่า 100]
(โอนเข้า @Mackenzie ได้เลย ใช้ของร่วมกันกับ @Dean)
เขี้ยวแจ็คคาโลป 4 ea
เขาแจ็คคาโลป 1 ea
กีบเซนทอร์ 4 ea
หัวใจแห่งเซนทอร์ 5 ea
มอเตอร์ไฮดรอลิก 2 ea
โลหะผสมพิเศษ 20 ea

DEAN


+2 ตื่นรู้จากการพิชิต [เซนทอร์] ครั้งแรก

MACKENZIE


ความสัมพันธ์ต่อ [NPC-17] ธาเลีย เกรซ

+5 ความสนิทสนมจากการพูดคุย

+5 โบนัสความสนิทสนมจากการใส่ [กุหลาบสีน้ำเงินทอง]

+10 ความสนิทสนมจากการสวมใส่ [น้ำหอมสุริยะ]

+10 ความสนิทสนมจากการสวมใส่ [มาลาแห่งอัสสัมชัญ]

รวม +30 ความสนิทสนม

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-17] ธาเลีย เกรซ เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-9-29 11:44
God
คุณพบเบาะแสบางอย่าง จดหมายที่เป็นภาษาไวกิ้งโบราณเขียนถึงบางคน มีคำว่าเอกวาดอร์ที่เป็นภาษาอังกฤษ ดูเหมือนจะเป็นการสมคบคิดของใครบางคนในตำนานนอร์ส  โพสต์ 2025-9-29 11:39
โพสต์ 172761 ไบต์และได้รับ 42 EXP!  โพสต์ 2025-9-28 23:54
โพสต์ 172,761 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก เหรียญนกฮูก  โพสต์ 2025-9-28 23:54
โพสต์ 172,761 ไบต์และได้รับ +25 EXP +35 เกียรติยศ +55 ความศรัทธา จาก น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ  โพสต์ 2025-9-28 23:54
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เหรียญนกฮูก
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x5
x1
x10
x2
x1
x2
x2
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
โพสต์ 2025-10-1 23:52:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-10-2 18:59

XXI
จดหมายปริศนาและกลุ่มพรานอาร์เทมิส
 Mackenzie Claude Lincoln 

- 28.05.2025 / ??:??AM -

ช่องดาเรียน, ประเทศปานามา

เมื่อกลับมายังจุดที่ตั้งแคมป์แล้วก็พบว่าร่างของดีนหายไปจริง ๆ ธาเลียจึงบอกให้แมคเคนซีกับชาร์ล็อตรีบไปเก็บของส่วนพวกเธอจะช่วยหาร่องรอยของบุตรเจ้าสมุทรให้ โดยหญิงสาวให้ความเห็นว่า “สภาพร่างกายหลังเพิ่งฟื้นตัวจากฤทธิ์ยานอนหลับคงทำให้ไปไหนได้ไม่ไกล นอกจากว่าจะมีคนพาไป”

“ตรงนี้มีรอยเท้าใหม่ มุ่งหน้าไปทางนั้น”

หลังจากตรวจสอบตรงต้นไม้ที่ดีนเคยอยู่แล้วนาเยรีก็พูดขึ้นพร้อมกับชี้เข้าไปยังเส้นทางป่าลึกอีกด้าน

“อ๊ะ นี่มันรอยเท้าโคมะจินี่นา ใช่แน่ ๆ คิจิให้โคมะจิตามเซนทอร์ที่จะหนีไป”

พอได้เห็นรอยเท้าเล็ก ๆ ที่ผสมปนเปไปกับรอยเท้ารูปร่างเหมือนกีบม้าแล้วคิจิก็จำได้ทันที

“ดูท่าไอ้หมอนั่นมันจะกลับมาที่นี่ตอนพวกเราชุลมุนกันอยู่ รอยเท้าลงน้ำหนักลึกลงไปในดินขนาดนี้แปลว่าแบกอะไรสักอย่างไปแน่…”

หลังจากที่ธาเลียให้ข้อสรุปแล้วพวกเขาทั้งหกก็มองหน้ากันเงียบ ๆ แบบที่ไม่ต้องมีใครพูดก็รู้ว่า ‘สิ่งนั้น’ ที่เอล กาบาโยแบกไปด้วยคืออะไร

“อย่าชักช้า เราควรรีบตามรอยเท้านี่ไป”

วาเลนติน่าบอกด้วยเสียงเรียบนิ่งตามสไตล์ของเธอ แต่นั่นคือสิ่งที่พวกเขาควรทำเป็นที่สุด

“ตอนนี้เลย พวกผมเก็บของเสร็จแล้ว”

แมคเคนซีรีบบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน ที่บ่าสะพายเป้สัมภาระทั้งของตนเองและคนรักไว้ทั้งสองข้าง ส่วนชาร์ล็อตเองก็เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน

เมื่อทุกคนพร้อมแล้วก็พากันตามรอยเท้านั้นไป

.
.
.

ดูเหมือนว่าเอล กาบาโยจะพาดีนมาได้ไกลพอสมควร ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะอีกฝ่ายคืออสูรครึ่งม้า และฝีเท้าม้าย่อมรวดเร็วกว่าคนธรรมดาหลายเท่า

“ตรงนั้น”

หญิงสาวชาวมนุษย์ผู้ถนัดการโจมตีระยะไกลอย่างวาเลนติน่าเห็นใครบางคนในระยะหนึ่งร้อยเมตรข้างหน้า เมื่อมองจากแผ่นหลังแล้วแมคเคนซีก็จำได้ทันที

“ดีน!”

เขาตะโกนเรียกชื่อคนรักพร้อมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นทั้งที่เรี่ยวแรงแทบไม่เหลือ จนกระทั่งอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงตัวอีกฝ่าย

หนุ่มผิวน้ำผึ้งหันหน้ากลับมาตามเสียงเรียกด้วยใบหน้าที่เคลือบไปด้วยรอยยิ้มอันบิดเบี้ยว แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีดีนก็เซถลาไปข้าง ๆ เหมือนถูกมนุษย์ล่องหนกระโดดถีบกลางอากาศ เขาคงจะล้มลงไปรอบที่สองหากไม่ใช้หอกตรีศูลค้ำยัน ร่างสูงสะบัดศีรษะแรง ๆ เพื่อไล่ความมึนออกไป ทั้งมึนยา ทั้งอ่อนเพลียที่ถูกควบคุมร่าง ในหัวของดีนจึงมีแต่ความอ๊องเต็มไปหมด

“แมคซี่…”

เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าคนรักวิ่งมาหา เขารีบเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายอย่างแนบแน่น กลิ่นสนิมที่คลุ้งออกมาจากบาดแผลทำเอาดีนยู่หน้า เขาผละกอดออกมามองใบหน้าคนรักที่เต็มไปด้วยบาดแผล ใจแทบสลายเมื่อเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของแมคเคนซีช้ำยับเยิน

“แมคซี่นาย…นายเจ็บไหม? แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ดีนเอ่ยถามด้วยความที่จับต้นชนปลายสถานการณ์ไม่ถูกเลยแม้แต่น้อย

ถึงจะชะงักไปนิดหน่อยเพราะเห็นใบหน้าดีนซ้อนทับกับวิญญาณของริเซ่ แต่พอถูกอีกฝ่ายสวมกอดแมคเคนซีก็กอดอีกฝ่ายตอบอย่างไม่ลังเลโดยไม่นึกอายสายตาอีกสี่คู่ที่มองมา (ส่วนชาร์ล็อตคงชินแล้ว)

“ไม่ ฉันไม่เป็นไร”

หนุ่มอังกฤษบอกเสียงอ่อนพลางซุกซบหน้าลงกับไหล่กว้าง แค่เห็นอีกฝ่ายปลอดภัยดี ความเจ็บปวดเท่านี้ก็เพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น 

“พวกเราโดนลุงที่ขับรถมาส่งวางยา หมอนั่นมันเป็นไซคลอปส์ปลอมตัวมา พวกเราถูกขายให้กลุ่มมาเฟียที่จะส่งเราไปขายต่อให้พวกองค์กรลับ ส่วนนายพวกมันตั้งใจจะจับกิน แต่กลุ่มพรานอาร์เทมิสมาช่วยพวกเราไว้ได้ทัน”

หลังจากได้กอดเติมพลังกันแล้ว แมคเคนซีก็ค่อย ๆ คลายกอดออกแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างแบบรวบรัดสุด ๆ ให้ฟัง ก่อนจะผายมือไปยังสี่สาวที่ยืนรวมกับชาร์ล็อตอยู่ด้านหลัง

“หงิง….”

แต่ก่อนที่จะได้เริ่มสนทนากัน เสียงหงุงหงิงแผ่ว ๆ ก็ดังขัดขึ้นซะก่อน

“อ๊าาา แย่แล้ว โคมะจิบาดเจ็บนี่นา”

ทันทีที่เห็นสัตว์เลี้ยงแสนรักมีบาดแผล คิจิรีบคุกเข่าลงไปดูอาการจิ้งจอกสี่หางของเธอทันที

“ให้พี่ช่วยรักษาน้องไหมคะคิจิ”

ชาร์ล็อตเองที่เห็นสัตว์น้อยน่ารักขนฟูบาดเจ็บก็ใจอ่อนยวบ เธอยอบตัวลงข้างร่างคิจิแล้วเริ่มใช้เวทรักษาให้โคมะจิทันที

“อื้อ ขอบคุณมากนะ เธอ…”

เหมือนว่าเมื่อครู่ตอนที่แนะนำตัวกันชาร์ล็อตจะมาทีหลังจนเหล่าพรานสาวไม่ทราบชื่อ

“ชาร์ล็อตค่ะ ชาร์ล็อต ธิดาแห่งเฮคาที”

บาดแผลบนตัวปีศาจจิ้งจอกสี่หางค่อย ๆ สมานเข้ากันดีจากมนตราแห่งการเยียวยา “หงิง…ค๊อง!” โคมะจิเห่ารับเสียงแผ่วเหมือนบอกว่ามันไม่เป็นไร แม้ว่าแผลตามร่างกายจะหายไปแล้วทว่ามันน่าจะยังคงอ่อนเพลียจากการถูกเชือกรัดคอมาหมาด ๆ ผู้เป็นเจ้าของอุ้มคู่หูที่อยู่ร่วมสมัยกันมาหลายร้อยปีไว้แนบอกอย่างทะนุถนอม

“ขอบคุณที่ช่วยพวกเราไว้นะพวกคุณพราน ฉันเคยได้ยินเรื่องของพวกคุณมาจากคุณเอมี่”

“โฮ่ เคยเจอคุณเอมี่ด้วยสินะ แต่อย่าเพิ่งแนะนำตัวกันรอบสอง เมื่อกี้พวกเราเพิ่งจัดหนักกับเดธแมชชีนกันมาจนป่าจะเหี้ยน นายน่ะ ลูกโพไซดอนใช่ไหม ทำหน้าที่ดับไฟหน่อยไอ้หนุ่ม ส่วนคนเจ็บก็พักกันตรงนี้ไปก่อน”

ธาเลียปรบมือเรียกขวัญกำลังใจจากเพื่อนร่วมทีมและเพื่อนร่วมทาง แม้ศึกหนักจะจบไปแล้วแต่ยังไม่สิ้นงานเก็บกวาด

“ฟะ..ไฟไหม้ป่าเลยเหรอ ทางไหนน่ะ!?”

ดีนตาโตคล้ายกับสร่างขี้ตาขึ้นมาได้นิดหน่อย เขาผละกอดจากคนรักเมื่อมีงานใหญ่ให้ต้องทำ

“รอฉันก่อนนะแมคซี่ นายก็อย่าลืมรักษาตัวเองด้วยนะ” เขากล่าวก่อนจะวิ่งตามธาเลียที่นำทางไป

“ระวังตัวด้วยนะดีน!”

แมคเคนซีบอกไล่หลังคนรัก เมื่อธาเลียกับดีนคล้อยหลังไปแล้ว กลุ่มคนที่เหลือก็พากันหาที่เหมาะใต้ร่มไม้พักผ่อนเอาแรง

‘ว้ายยยย หน้าตาดูไม่จืดเลยนะนาย’

เสียงหยอกเย้าดังขึ้นในหัวจนแมคเคนซีที่ปลีกตัวออกมานั่งทำแผลคนเดียวหันมองรอบ ๆ

“เฮ้ย!”

แล้วเขาก็หลุดโพล่งเสียงดังเมื่อเห็นวิญญาณสาวที่เริ่มคุ้นหน้าคุ้นตากันดีโผล่มานั่งอยู่ด้านข้าง จนชาร์ล็อตที่ช่วยคิจิดูแลโคมะจิ และนาเยรีที่กำลังคุยอยู่กับวาเลนติน่าตรงอีกมุมหนึ่งหันมามอง ชายหนุ่มคนเดียวในที่นี้จึงรีบส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่า “ไม่มีอะไร” แล้วส่งกระแสจิตคุยกับร่างวิญญาณข้าง ๆ แทน

‘คุณนี่ชอบทำให้ผมตกใจอยู่เรื่อย เมื่อกี้เหมือนผมเห็นหน้าคุณซ้อนทับกับดีน เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า’

‘แน่นอนสิ ไอ้ม้าเหี้ยนั่นมันร้ายนัก มันย้อนกลับมาพาตัวไอ้แว่นไป ฉันเลยตามมาสิงร่างไอ้แว่นฆ่ามันกับลูกน้องมันอีกตัวนึง ในที่สุดฉันก็ได้แก้แค้นไอ้พวกที่มันทำกับฉันเมื่อห้าปีก่อนแล้ว สะใจฉิบหาย’

ริเซ่แผดเสียงหัวเราะชอบใจ ซึ่งน้องสาวของเขาเองก็คงได้ยินเรื่องราวทุกอย่างผ่านทางกระแสจิตเหมือนกันจึงมองมาทางนี้อีกครั้งและยิ้มบางให้แมคเคนซีอย่างอ่อนใจ ซึ่งพวกเขาเข้าใจกันเป็นอย่างดีว่าเหล่าวิญญาณอาฆาตนั้นจะไม่ยอมปล่อยวางหรือรามือง่าย ๆ หากไม่สามารถละวางความแค้นในใจลงได้

‘ในเมื่อแก้แค้นสำเร็จแล้ว คุณก็เป็นอิสระ ไปเกิดใหม่ได้แล้วสิ’

‘ถ้ามันง่ายขนาดนั้นก็ดีสิ ถึงฉันจะแก้แค้นพวกมันได้ แต่สิ่งที่ฉันทำมันคือการเข่นฆ่าเพื่อให้ได้มาซึ่งความพอใจของตัวเอง พระผู้เป็นเจ้าคงไม่ให้อภัยฉันหรอก ตลกดีใช่ไหมล่ะ ฉันถูกพวกมันฆ่าก่อนแท้ ๆ แต่ท่านกลับไม่อ้าแขนรับฉันและตัดสินว่าฉันเป็นคนบาป เพราะงั้น…ฉันขอกลับบ้านไปเจอครอบครัวอีกสักครั้งก็ยังดี แล้วจะเอาฉันไปลงนรกขุมไหนก็เชิญ’

แมคเคนซีหันมองใบหน้าด้านข้างของริเซ่ สีหน้าของเธอดูไร้ร่องรอยแห่งความเคียดแค้นไปจนหมดสิ้น ราวกับว่าเธอเตรียมพร้อมรับผลจากการกระทำครั้งนี้ของตนเองไว้แล้ว เขาไม่รู้ว่าจะสรรหาคำพูดใดมาปลอบใจเธอ สิ่งที่ริเซ่ทำไม่ใช่สิ่งที่ถูก แต่ลึก ๆ แล้วเขากลับเข้าใจเจตจำนงของเธอดี

เรื่องบางเรื่องมันก็หนักหนาเกินกว่าจะให้อภัยกัน…คงมีเพียงแค่การแก้แค้นเท่านั้นที่จะสาสม

อยู่ ๆ ก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสเย็น ๆ ประทับลงที่แก้มอย่างนุ่มนวล เป็นนาเยรีนั่นเองที่นำผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำหมาดมาเช็ดคราบเลือดและคราบฝุ่นดินออกให้ การสนทนากับริเซ่จึงจำต้องหยุดลงเท่านั้นก่อน

“ฉันบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าให้เช็ดหน้าก่อน”

ใบหน้าคมเข้มงดงามตามฉบับสาวเปรูอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่เซนต์ ดวงตาเรียวแฝงเสน่ห์ลุ่มลึกมองมาตรง ๆ จนหนุ่มอังกฤษต้องเป็นฝ่ายขยับศีระถอยออกมาเล็กน้อย

“เอ่อ…เดี๋ยวผมทำเองได้ ขอบคุณ”

“อยู่นิ่ง ๆ ดีกว่านะคุณแมคเคนซี”

พรานสาวผิวสีน้ำตาลไหม้ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ไม่ว่าใครที่ได้ฟังก็ยากจะปฏิเสธ รวมถึงแมคเคนซีด้วยเช่นกัน

“……ขอบคุณครับ”

ในเมื่อไม่อาจปฏิเสธน้ำใจของเธอได้ หนุ่มอังกฤษจึงทำได้แค่เพียงกล่าวขอบคุณอีกครั้งและนั่งนิ่งให้เธอเช็ดทำความสะอาดตามใบหน้าและช่วยทำแผลบางจุดให้ เขายอมรับว่าเธอเป็นคนที่สวยจริง ๆ ซ้ำยังมีเสน่ห์อันเป็นธรรมชาติราวกับเป็นเวทมนตร์ติดตัว ไม่ว่าจะพูดหรือเคลื่อนไหวอย่างไรก็ชวนมองไปเสียหมด

แต่ก็เพียงเท่านั้น…เพราะตอนนี้ทั้งสายตาและหัวใจของเขามอบให้บุตรแห่งเจ้าสมุทรผู้นั้นไปหมดแล้ว

‘กูจะฟ้องผัวมึง รอผัวมึงกลับมาก่อนเถอะ’

ริเซ่ที่ได้ทีก็พูดจากระแนะกระแหนใส่ไม่หยุดภายหลังที่นาเยรีลุกจากไป ตอนเธอมีชีวิตอยู่คงเป็นสาวช่างเม้าท์ไม่ก็ฝีปากแซ่บไม่น้อย

‘ผมตายได้เลยนะริเซ่’

แค่คิดเหงื่อก็ซึมตามหน้าผากขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวคนรักขี้หึงอย่างดีนรู้เข้าหรือเป็นเพราะอากาศร้อนกันแน่
.

.

ทางด้านดีนและธาเลีย สองเดมิก็อดสายเลือดมหาเทพมายังจุดที่เพลิงไหม้ลุกโชน ไฟจากอาวุธสงครามของเดธแมชชีนยังคงลุกลามผืนป่าอย่างต่อเนื่อง หลังจากการต่อสู้ผ่านไปไม่กี่สิบนาทีพื้นหญ้าเขียวขจีก็กลายเป็นเถ้าถ่านตอตะโก เชลเตอร์และยาเสพติดที่ผู้ก่อการร้ายขนมาก็ถูกเผาทำลายไปในการนี้ด้วย “อื้อหือ สู้กันอีท่าไหนถึงได้เละเทะขนาดนี้เนี่ย” ดีนพูดพร้อมกับปัดควันไฟที่คละคลุ้งในอากาศ นาทีนี้ควรต้องทำอะไรเป็นอันดับแรกตามแผนฝึกอบรมป้องกันอัคคีภัยนะ? คลานต่ำกับพื้นเพื่อไม่ให้สูดควันไฟเข้าไปใช่หรือเปล่า เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็รีบปฏิบัติตามในทันที แม้จะหลบควันได้แต่เมื่อสูดหายใจเข้าไปก็ยังได้กลิ่นสารเคมีเข้มข้นรุนแรงจนรู้สึกคลื่นเหียน เขายกคอเสื้อขึ้นมาปิดจมูกไม่ให้สูดดมกลิ่นสารพิษเหล่านั้น “ระวังด้วย เหมือนฉันได้กลิ่นแก๊สพิษ” “ก็เดธแมชชีนน่ะสิถึงได้ทำให้เป็นแบบนี้” ธาเลียเป่าปาก ขี้คร้านต้องมาอธิบายอีกรอบ คิ้วเธอขมวดเมื่อเห็นว่าบุตรแห่งโพไซดอนนอนราบไปกับพื้น เธอสะบัดมือเบา ๆ ควบคุมสายลมให้หอบควันไฟขึ้นสูงเพื่อจะได้ไม่ต้องคลานต่ำอย่างน่าสังเวชใจ “น่าจะกลิ่นโคเคนมั้ง หรือไม่ก็ยาไอซ์ ไม่รู้สิ… เห็นไอ้พวกนั้นขนยาเสพติดกันด้วย” “ยาเสพติดเหรอ แย่ล่ะสิ! ถ้าถูกเผาแบบนี้สารเหล่านั้นจะเป็นพิษได้” “นายก็รู้นี่ เพราะงั้นอย่ามัวแต่พิรี้พิไร รีบดับไฟสักทีสิยะ!” ธาเลียเหน็บแนมพร้อมกับกอดอกกดดันบุตรแห่งโพไซดอน “จริงด้วย!” ปฏิบัติตามข้อกำหนดของมนุษย์เสียดิบดีแต่ดันลืมไปเสียนี่ว่าตัวเองใช้พลังได้ บางทีดีนก็คิดอะไรไม่ทันจากการที่เขายังมึนยานอนหลับอยู่ บุตรแห่งเจ้าสมุทรหลับตาลงจบรวมสมาธิถึงหยดน้ำทุกหยดที่อยู่ในป่าเขาและลำธารใกล้ ๆ รวบรวมมันเป็นบอลน้ำขนาดใหญ่ล่องลอยอยู่เหนือผืนป่าบริเวณนั้นก่อนจะควบคุมให้มันแตกออกกลายเป็นฝนเพื่อดับไฟ เพียงไม่นานเพลิงที่โหมไหม้ก็ค่อย ๆ สงบลง “ของพวกนี้เอาอะไรไปใช้ได้บ้างนะ” หัวหน้าพรานสาวเริ่มสำรวจเชลเตอร์ที่อยู่ใกล้เคียง นอกจากยาเสพติดที่ถูกทำลายเธอยังพบธนบัตรจำนวนมากที่ไหม้ไฟจนไม่เหลือชิ้นดี น่าเสียดายชะมัดถ้ามันยังใช้งานได้อยู่ ออกจากป่าคงได้รวยกันไปแล้ว นอกจากสินค้าธุรกิจสีดำปี๋ก็เป็นพวกจานชามหม้อไหที่ไม่รู้จะเอาไปทำไมให้เกะกะการเดินทาง “หืม.. นี่มันอะไรน่ะ” ธาเลียหยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมา มันน่าจะเป็นสิ่งของไม่กี่อย่างในเชลเตอร์หลังนี้ที่ไม่ไหม้ไปกับไฟ “แอบอ่านจดหมายของคนอื่นไม่ดีนะ เพราะงั้นเปิดอ่านเลย” ดีนตามเข้ามาจากข้างหลัง คำพูดของบุตรเจ้าสมุทรทำเอาหญิงหน้าดุขมวดคิ้วเป็นปมยิ่งกว่าเก่าเหมือนกับจะบอกว่า พูดอะไรของมันฟะ!
“นี่มัน…รหัสลับอะไรหรือไง?” “ฉันรู้จักภาษานี้… มันคืออักษรรูนโบราณ อารยธรรมของชาวนอร์ส” “ภาษาของชาวนอร์สงั้นเหรอ… หึ ดูเหมือนว่านายจะมีดีกว่าที่คิด งั้นมันอ่านว่าอะไรล่ะ” ธาเลียยื่นจดหมายฉบับนั้นให้ดีน “ฉันอ่านไม่ออกหรอก รู้ว่ามันเป็นภาษารูนโบราณจากเกมออนไลน์น่ะ” ดีนได้ยินเสียงธาเลียจิ๊ปาก เขาก็ได้แต่หัวเราะเสียงเบาไปตามสไตล์ “โอ้ แต่มีคำนึงที่ฉันอ่านออกแฮะ ‘เอกวาดอร์’ นี่มันยังไงกันเนี่ย?” ดีนเลิกคิ้วขึ้นสูง เพราะนอกเหนือจากอักษรรูนที่วางเรียงกันเหมือนรหัสลับแล้ว มีแต่คำว่า ‘เอกวาดอร์’ เท่านั้นที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษ “เอกวาดอร์… เป็นจุดหมายที่พวกเราจะต้องเดินทางไปด้วยสิ” ยิ่งคิดยิ่งน่าสงสัย ก่อนหน้านี้แมคเคนซีพูดว่าอะไรนะ? พวกแก๊งมาเฟียจะขายพวกเขาให้องค์กรลับอะไรสักอย่าง นั่นหมายถึง ‘เดอะ วอชเชอร์’ หรือเปล่า? แต่ทำไมถึงเป็นอักษรรูนโบราณล่ะ? ในเมื่อหลักฐานแจ่มชัดขนาดนี้แปลว่าพวกนอร์สมีเอี่ยว.. “คงไม่ใช่ไอ้สองพ่อลูกนรกแตกนั่นอีกนะ…” ดีนกุมขมับหลังนึกถึงคู่อริที่จองล้างจองผลาญกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ‘เทพโลกิ’ และ ‘แร็กนาร์ เมสัน’ ปีที่แล้วพวกมันหลอกใช้เขาให้ปลดผนึกอสุรกายคธุลฮู สิ้นปีบุกค่ายฮาล์ฟบลัดในตอนที่คุณดีไม่อยู่จนทำให้ ‘เอลลิส เวคฟิลด์’ บุตรแห่งแอรีสถึงแก่ความตาย แล้วปีนี้จะทำอะไรอีก “อย่ามัวแต่คิดเอง กลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ก่อนเถอะ นาเยรีเธอรู้หลายภาษา ไม่แน่อาจตีความข้อความพวกนี้ออก” ธาเลียตบบ่าดีนก่อนจะออกเดินนำกลับไปหาพรรคพวกที่กำลังพักกันอยู่ที่อีกจุดหนึ่ง

.

.
.

“ทำไมโคมะจิถึงมีสี่หางเหรอคะ”


ทางด้านชาร์ล็อตที่มาคอยดูแลปีศาจจิ้งจอกขาวกับเจ้าของของมันถามขึ้นด้วยความสงสัยขณะมองดูโคมะจินอนหลับขดตัวเอาหน้าซุกพวงหางด้วยความเหนื่อยอ่อน


“เป็นธรรมชาติของปีศาจจิ้งจอกน่ะชาร์ล็อตจัง พออายุครบรอบหนึ่งร้อยปีเมื่อไหร่ก็จะมีหางงอกเพิ่มขึ้นมาอีกหาง"



เด็กหญิงชาวเอเซียอธิบายให้ฟังด้วยรอยยิ้ม แววตาที่ทอดมองสัตว์เลี้ยงคู่หูของเธอแฝงความอ่อนโยนอยู่ในนั้น


“ถ้าอย่างนั้นโคมะจิก็…หนึ่ง สอง สาม สี่ อายุสี่ร้อยปีเลยเหรอคะ”



ดวงตาสองสีโพลงขึ้นเมื่อไล่นับหางของจิ้งจอกขาวไปทีละหางจนครบ


“แล้วคิจิเลี้ยงโคมะจิมาตั้งแต่ตอนไหนคะ”


“ก็ตั้งแต่โคมะจิตัวยังเล็ก ๆ เลยน่ะ จะว่าไปเวลาก็ผ่านไปนานแล้วเหมือนกันน้าาา”


คิจิยกนิ้วชี้แตะที่แก้มตนเองแล้วกลอกตามองไปด้านข้างพลางนึกถึงอดีตอันเนิ่นนานที่ผ่านมา


“ตั้งแต่โคมะจิยังเด็ก ถ้าอย่างนั้น คิจิก็……”


“คิจิเข้ากลุ่มพรานอาร์เทมิสมาตั้งแต่อายุสิบสี่ ทุกคนที่ได้รับเลือกอายุจะถูกหยุดไว้ตอนช่วงเวลาที่เข้าร่วมกลุ่มพราน เพราะอย่างนั้นคิจิก็เลยอายุสิบสี่มาจนถึงตอนนี้เลยล่ะ เอเฮะ~”


พรานสาวในร่างเด็กหญิงตอบด้วยรอยยิ้มสดใส แต่เด็กสาวจากค่ายฮาร์ฟบลัดกลับดูตกใจเมื่อรู้ถึงความเป็นจริงข้อนั้น


“โอ๊ะ น..หนูขอโทษค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูควรเรียกคุณคิจิว่าพี่คิจิแล้วสิคะ”


“ไม่เป็นไร ๆ หรอก จะเรียกพี่คิจิหรือคิจิก็เหมือนกันแหละน่า คิจิโอเคหมดเลย”


ใบหน้าน่ารักส่ายหน้าทั้งที่ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนนั้นเพื่อยืนยันว่าเธอรู้สึกตามที่พูดจริง ๆ ชาร์ล็อตจึงพยักหน้ารับน้อย ๆ ก่อนจะมองไปยังทิศที่ธาเลียกับดีนวิ่งไป


“คุณธาเลียกับพี่ดีนหายไปนานจังเลยนะคะ”


“อย่าห่วงไปเลย ธาเลียจังน่ะ เป็นถึงลูกของเทพซุสเชียวนะ ส่วนอีกคน…ชื่ออะไรนะ ดีนจังใช่ไหม เห็นว่าเป็นลูกของเทพโพไซดอนนี่นา ถ้าสองคนนั้นรวมพลังกันล่ะก็ทุกอย่างต้องราบรื่นแน่”


พูดจบคิจิก็พยักหน้าแรง ๆ หนึ่งทีเป็นการสนับสนุนความคิดตนเอง และเมื่อชาร์ล็อตได้ยินเช่นนั้นเธอก็ค่อยเบาใจลง

.
.
.

“สนใจลูกเทพีเฮคาทีคนนั้นเหรอ”


น้ำเสียงเรียบนิ่งถามขึ้นหลังจากที่นาเยรีกลับมานั่งที่ด้านข้าง หญิงสาวผู้เป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในทีมกำลังตรวจเช็คอาวุธของเธอโดยไม่ได้หันมามองร่างระหง ที่จริงเธอจะไม่สนใจก็ได้ แต่พอเห็นเพื่อนสนิทอยู่ ๆ ก็ไปเทคแคร์ใครสักคนก่อนทั้งที่ไม่ได้เป็นการทำงานมันก็อดสงสัยไม่ได้จริง ๆ


“หืม…เปล่า แค่อยากรู้ว่าลูกเทพีเฮคาทีจะหน้าตาดีแค่ไหนก็เท่านั้น”



นาเยรีเพียงแค่หัวเราะในลำคอเมื่อได้ฟังคำถามนั้น หางตาเหลือบมองไปยังบุตรเทพีแห่งม่านหมอกที่กำลังชะเง้อมองไปยังทางที่พวกเขาเพิ่งจากมาราวกับกำลังเฝ้ารอใครบางคน รอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ถูกจุดขึ้นที่มุมปาก


“แล้วเป็นไง ดีไหม”


“ก็โอเค ตามแพทเทิร์นผู้ชายอังกฤษ แต่ไม่ใช่สเป็คฉันหรอก”


ดวงตาคู่งามของพรานสาวชาวรัสเซียละจากอาวุธขึ้นมามองเพื่อนสาวเพียงชั่วครู่ก่อนจะกลับมาสนใจอาวุธคู่ใจในมือต่อ


“ก็ดี ฉันว่าความสัมพันธ์ของสองคนนั่นไม่ธรรมดา ลูกเฮคาทีคนนั้นยอมเอาตัวเองบังกระสุนให้ลูกโพไซดอน ฉันเห็นมากับตา”


“……ความรักที่ยอมตายแทนอีกฝ่ายได้น่ะเหรอ ใครศรัทธาเรื่องพรรค์นั้นก็โง่งมเต็มที”


ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของนาเยรียังคงเสมอต้นเสมอปลาย แม้แต่วาเลนติน่าที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอมานานก็ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าสิ่งที่ธิดาโดลัสคนนี้พูด ประโยคใดมาจากใจจริงของเธอ และประโยคใดคือคำโป้ปดที่ปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของหญิงสาวคนนี้ไว้กันแน่


“กลับมาแล้วสาว ๆ ไอ้พวกนั้นไม่มีอะไรน่าจิ๊กติดมือกลับมาเลยยกเว้นไอ้นี่”



ธาเลียเดินเข้ามายังจุดพักโดยมีดีนเดินตามต้อย ๆ สีหน้าของชายหนุ่มมีแต่คำถามแต่ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยพูดตรงไหนก่อนดีเขาเลยตรงไปนั่งข้าง ๆ แมคเคนซีพร้อมกับจับมือของอีกฝ่ายมากุมไว้เงียบ ๆ โดยมีคำพูดเป็นล้านเก็บไว้ในหัว
เมื่อเห็นคนรักกลับมาอย่างปลอดภัย รอยยิ้มกว้างก็ฉาบขึ้นบนใบหน้าของแมคเคนซีที่มีแต่ความกังวลอยู่ก่อนหน้านั้นทันที เขากุมมือใหญ่ของดีนตอบแล้วใช้มืออีกข้างวางทับหลังมือของอีกฝ่ายไว้


‘ยิ้มแป้นแล้นเชียวนะมึง ฉันจะฟ้อง ฉันจะฟ้องงงงง นี่ไอ้แว่น ฟังนะ—’


แล้วเสียงของวิญญาณสาวก็ดังขึ้นในหัวแมคเคนซีอีกครั้ง ใช่…นอกจากดีนจะนั่งข้างเขาแล้ว อีกข้างหนึ่งก็ยังมีริเซ่นั่งขนาบอยู่ด้วย แล้วเธอก็ดูจะไม่อยากพลาดโอกาสเสี้ยมให้คู่รักร้าวฉานกัน


‘เงียบเถอะริเซ่ มันไม่มีอะไร แล้วดีนก็ไม่ได้ยินที่คุณพูดหรอก’


แมคเคนซีตอบกลับวิญญาณสาวทางจิตแทรกขึ้นมาจนเธอชะงักไป เมื่อนึกถึงข้อเท็จจริงนั้นแล้วเธอจึงได้แต่ส่งเสียง
‘ชิ!’ ออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ธิดาแห่งซุสร่อนจดหมายเหมือนกับเครื่องบินกระดาษโดยใช้พลังลมช่วยนิดหน่อยเพื่อให้จดหมายน้อยส่งไปถึงมือของสายลับสาวประจำกลุ่ม นาเยรีรับมันมาแล้วคลี่ออก เพียงแค่มองปราดเดียวเธอก็แปลสารออกมาได้ในทันที


“นี่เหรอ… มันเขียนไว้ว่า
‘ชาวไวกิ้งล่องเรือจะไปอังกฤษแต่ดันมาโผล่ที่เอกวาดอร์เฉยเลย’ น่ะ”


“ชาวไวกิ้งจะไปอังกฤษแต่มาโผล่ที่เอกวาดอร์… มันมีความหมายโดยนัยที่ต้องตีความหรือเปล่านะ… หรือว่าโลกิจะเอายักษ์น้ำแข็งไปบุกสโตนเฮนจ์งั้นเหรอ?”


ดีนกุมคางขณะครุ่นคิดอย่างจริงจัง ด้วยอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้เขารู้สึกว่าการที่เทพแห่งกลอุบายอย่างโลกิจะยกกองทัพยักษ์น้ำแข็งบุกอังกฤษโดยเริ่มต้นจุดผ่านทางแถว ๆ
‘สโตนเฮนจ์’ มรดกโลกสุดลึกลับในอีกสองสามวันข้างหน้าก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร


“หงิง”



โคมะจิครางเบา ๆ ข้างหูของคิจิผู้เป็นเจ้าของ ความสามารถพิเศษของจิ้งจอกสี่หางตัวนี้คือ
‘จับผิดคำโกหกและตรวจสอบคำสาป’ เมื่อได้ฟังข้อเท็จจริงทำให้เด็กหญิงใบหน้าเอเซียอย่างคิจิอมลมจนแก้มป่อง


“นาเยรีจังโกหกอีกแล้ว”


“ว่าแล้วเชียว…” 
วาเลนติน่าขมวดคิ้วพึมพำเสียงเบา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาวุธของตนเองต่อ


“ให้ตายสิ ฉันเนี่ยแพ้เจ้าหมาตัวนั้นทุกทีเลย”
นางแมวป่ากลั้วหัวเราะพลางโบกจดหมายในมือไปมา “ถึงฉันจะทำงานเป็น ‘ไกด์ท้องถิ่น’ ในงานนี้แต่ก็ใช่ว่าจะอ่านภาษารูนโบราณออกเสียหน่อย ไม่แน่ว่าคนโบราณอย่างพี่คิจิจะอ่านออกก็ได้นะ”


สำหรับธิดาแห่งโดลัส ภาษารูนก็เป็นอะไรที่น่าศึกษา เพียงแต่ว่างานของเธอไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องมหัศจรรย์ฝั่งนอร์สเสียเท่าไหร่ รู้แต่เพียงแค่เดมิก็อดฝั่งนั้นคือวิญญาณคนตายที่ถูกเสกให้มีชีวิตเพื่อใช้งาน เมื่อหมดภารกิจดวงวิญญาณเหล่านั้นจะถูกกักขังอยู่ในโรงแรมวัลฮัลลา


ทั้งไร้อิสระและน่าเบื่อ..


“คิจิจะไปอ่านออกได้ยังไงกันเล่า”
ธิดาตัวน้อยแห่งไทคียู่หน้าเมื่อถูกแซว “แย่จัง ถ้านาเยรีจังแปลจดหมายออกล่ะก็ คิจิอาจพอมีข้อมูลก็ได้นะ”


“งั้นก็สรุปว่า จดหมายนี่เป็นเบาะแสอะไรก็ไม่รู้ที่ยังไม่มีประโยชน์ในตอนนี้”
ธาเลียกอดอก เอนหลังพิงกับต้นไม้


“แต่ว่ามันอาจมีประโยชน์กับพวกฉันก็ได้นะ พอดีว่าพวกเรามีนัดต้องไปเอกวาดอร์กันพอดีน่ะ”
บุตรเจ้าสมุทรเอ่ยแทรก


“ถ้าอย่างนั้นนี่คงสำคัญกับคุณน่าดู ฉันคืนให้ก็แล้วกัน”



นาเยรีลุกขึ้นเดินตรงไปทางบุตรเจ้าสมุทรแล้วยื่นจดหมายส่งคืนชายหนุ่ม ด้วยลูกไม้อันแพรวพราวธิดาแห่งโดลัสไม่วายโปรยเสน่ห์ แสร้งทำเป็นมือแตะกันโดยยังเอิญ ปลายนิ้วลากไปยังหลังมือแกร่งนั้นเบา ๆ ก่อนจะหันหลังกลับมานั่งประจำที่ยังที่เดิมด้วยท่าทีไม่รู้สึกรู้สา


การกระทำนั้นทำเอาดีนเลิ่กลั่ก คนที่ผ่านประสบการณ์มาโชกโชนเรียกกิริยานี้ว่า
‘ให้ท่า’ หากอยู่ในผับฉากต่อจากนี้ต้องตามไปที่โต๊ะเพื่อสานสัมพันธ์อันฉาบฉวย ทว่าตอนนี้ดีนไม่เหมือนเมื่อก่อน เขากังวลว่าแมคเคนซีจะเห็นหรือเปล่า ถ้ามองไม่เห็นก็ตาถั่วแย่เพราะนั่งติดกันขนาดนี้ ดีนกลัวเหลือเกินว่าคนรักของเขาจะรู้สึกไม่ดี ก็ชื่อเสียงของ ‘ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล’ ในฐานะคนเที่ยวกลางคืนเป็นที่ประจักษ์ในด้านฉาว


แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ทุกอากัปกิริยาของนาเยรีที่ทำกับคนรักอยู่ในสายตาแมคเคนซีทั้งหมด หากให้พูดในมุมมองของคนทำงานที่หลังเคาท์เตอร์บาร์ในสถานเริงรมย์ยามกลางคืนมานาน เขาเห็นผู้หญิงที่ชอบบริหารเสน่ห์มานับไม่ถ้วน และแน่นอนว่าบาร์เทนเดอร์อย่างเขาก็ไม่รอดพ้นที่จะตกเป็นเป้าหมายของสาว ๆ กลุ่มนี้เช่นกัน แต่ด้วยหน้าที่การงานที่ทำอยู่ทำให้เขาไม่อาจตอบสนองหรือแสดงความรู้สึกลึกซึ้งกับลูกค้าได้ รวมถึงนิสัยที่ไม่คิดจะรักชอบใครง่าย ๆ หากว่าไม่ใช่คนที่สนใจหรือหมายตาไว้จริง ๆ เขาก็ไม่คิดจะทำความรู้จักในเชิงชู้สาว นั่นจึงทำให้แมคเคนซีพอมีภูมิคุ้มกันต่อเรื่องนี้สูงในระดับหนึ่ง


แต่ก็นั่นล่ะ…ผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ยังเป็น
‘ข้อยกเว้น’ เช่นเดิม


สิ่งที่นาเยรีทำอาจดูไม่ต่างกับผู้หญิงพวกนั้นเท่าไหร่ แต่ท่าทางของเธอกลับดูเป็นธรรมชาติกว่า คล้ายกับว่าสิ่งนี้เป็นจุดเด่นที่ติดตัวพรานสาวคนนี้มาและทำให้เธอดูคาริสม่า แมคเคนซีจึงไม่อาจตัดสินได้ว่าสิ่งเธอทำทั้งกับดีนและเขาเป็นเรื่องปกติธรรมดา หรือเพียงแค่อยากปั่นหัวพวกเขาเล่นนิดหน่อยเพราะนึกสนุกกันแน่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเชื่อในตัวคนรักของเขาอยู่ดี


และโชคดีเหลือเกินที่ริเซ่คิดว่าเรื่องภารกิจของพวกเขาไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ วิญญาณสาวจึงหายกลับเข้าไปในพวงกุญแจตั้งแต่ตอนที่ธาเลียเริ่มต้นพูดเรื่องจดหมายปริศนาฉบับนั้น


“อย่าใส่ใจนักเลย เธอก็เป็นแบบนี้แหล่ะ”
ธาเลียยักไหล่หลังจากให้คำเตือน


“โอ้… อ่า… คือ… นั่นสินะ”
ดีนยิ้มแห้ง คิดได้ว่าเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า “ขอบคุณที่มาช่วยพวกเราเอาไว้นะ ฉันดีน นีล บุตรแห่งโพไซดอน นี่แมคซี่ แฟนฉันเอง แล้วก็เธอคนนั้นคือชาร์ล็อต น้องสาวของแมคซี่ สองคนนั้นสายเลือดเฮคาที พวกเรามาทำภารกิจคำพยากรณ์กันน่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”


“ความจริงฉันแนะนำตัวไปแล้วรอบนึงกับแฟนของนาย แต่จะแนะนำตัวอีกทีก็ได้ ฉัน ธาเลีย เกรซ ธิดาซุส หัวหน้ากลุ่มพรานอาร์เทมิส นั่นพี่คิจิ ธิดาแห่งไทคี ส่วนสองคนนั้นนาเยรี ธิดาแห่งโดลัส กับวาเลนติน่า มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง”


“คะ.. คุณคือธาเลีย เกรซ เหรอคะ!?”
ชาร์ล็อตโพล่งขึ้นมาหลังจากที่นั่งเงียบอยู่นาน สีหน้าและท่าทางของเธอดูตื่นเต้นดีใจเหมือนได้เจอดารา


“ให้ตายสิ ป่านนี้แล้วยังมีคนตื่นเต้นกับชื่อนี้อยู่อีกเหรอ”
ธาเลียกุมขมับ รู้สึกไม่ชินกับการรับมือเมื่อเป็นคนดัง


“ทำไมล่ะ อย่าบอกนะว่าเธอเป็นคนดังน่ะ?”
ดีนถาม


“พวกพี่คงรู้จักต้นสนธาเลียใช่ไหมคะ นั่นน่ะคือพี่เขาแหล่ะค่ะ”


“รู้จักสิ ฉันไปวิ่งจ๊อกกิ้งแถวนั้นแทบทุกเช้า… แต่ที่บอกว่าต้นสนคือธาเลียหมายความว่ายังไงนะ?”


“อ่า.. เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าฉันเคยมีประวัติกับต้นสนนั่นนิดหน่อยมันเลยมีชื่อเหมือนกับฉันน่ะ”
ธิดาแห่งซุสรีบบ่ายเบี่ยง เพราะถ้าให้อธิบายเรื่องนี้ล่ะก็ยาวยิ่งกว่านิทานก่อนนอนเสียอีกแต่จะว่าไปพวกนายเป็นรุ่นน้องของฉันสินะ..”


“รุ่นน้อง?”
ประเด็นใหม่เกิดขึ้นอีกรอบ ดีนมองธาเลียตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนจะหันไปมองคิจิ นาเยรี และวาเลนติน่าตามลำดับ กลุ่มพรานสาวไม่มีใครดูอายุเกินยี่สิบห้ากันเลยสักคน “โม้แล้ว เธออายุน้อยกว่าพวกเราตั้งเยอะ จะบอกว่าจบจากค่ายกันตั้งแต่อายุสิบห้างั้นเหรอ?”


คำถามนั้นทำเอากลุ่มพรานสาวพากันหัวเราะคิกคัก แม้แต่สาวหน้าตายอย่างวาเลนตินายังแอบอมยิ้มที่มุมปาก


“ให้ตายสิ ไหนนายบอกว่ารู้เรื่องพรานอาร์เทมิสจากคุณเอมี่ ตกลงรู้จริงป่ะเนี่ย?”
ธาเลียยกมือขึ้นเช็ดน้ำที่หางตาจากการหัวเราะมากเกินไป


“การจะเป็นพรานแห่งอาร์เทมิสจะต้องเป็นหญิงสาวพรหมจรรย์ ที่ยอมรับ ให้คำปฏิญาณ และต้องการเดินไปในเส้นทางเดียวกับที่เทพีอาร์เทมิสก้าวเดิน พวกเราจะคงอยู่สภาพเดิมเหมือนในวันที่กล่าวคำปฏิญาณต่อเทพีและเป็นอมตะจากความแก่ชรา อย่างฉันอายุก็ไล่เรี่ยกับแอนนาเบ็ธ ความจริงยัยนั่นเป็นน้องฉันเสียด้วยซ้ำ”


“เท่ากับว่าตอนนี้อายุพวกคุณถูกหยุดเอาไว้เท่าตอนที่เข้าร่วมกลุ่มพรานอาร์เทมิสสินะ”


หลังจากที่เงียบฟังมานานแมคเคนซีก็สรุปออกมาได้แบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากเท่าไหร่หากเกิดขึ้นในโลกแห่งทวยเทพที่ไม่จำเป็นต้องใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบาย


“แล้วพวกคุณมาทำอะไรแถวนี้ บังเอิญผ่านมางั้นเหรอ หรือว่า…มาออกล่า?”


จะให้คิดไปว่าเทพีอาร์เทมิสส่งพวกเธอมาช่วยพวกเขาโดยเฉพาะก็คงดูสำคัญตัวเองเกินไปหน่อย แม้จะไม่รู้ว่ากลุ่มพรานอาร์เทมิสมีหน้าที่ทำอะไร แต่ขึ้นชื่อว่า
‘พราน’ แล้วก็นึกออกได้ไม่กี่อย่าง


“ก็ถูก ทั้งบังเอิญผ่านมาและออกล่า”



ธาเลียตอบก่อนที่เธอจะโยนงานให้คิจิผู้เป็นเสมือนเป็นคนอธิบาย


“พวกเราได้รับเบาะแสเรื่องอสุรกายท้องถิ่นมาน่ะแมคเคนซีจัง ชาวบ้านเรียกมันว่า
‘เซปิเอนเต้ เตรเซลอัลมัส’ หรือว่า ‘งูสิบสามวิญญาณ’ นาเยรีจังกับวาเลนติน่าจังเคยมาตรวจสอบภาคสนามก่อนแล้วพบว่ามันคือไฮดร้าแห่งเลอเนียร์สิบสามหัวที่มีความผิดปกติ คือเมื่อถูกตัดไปหัวหนึ่งแทนที่จะงอกออกมาสอง แต่ว่ามันงอกได้ถึงสามหัวเลยล่ะ แถมมันยังมีความสามารถพิเศษในการหลบหนีเข้าไปอยู่ใต้ดินอีกต่างหาก ถึงได้หาตัวจับได้ยากมาก ๆ เลยแหละ”


“และครั้งล่าสุดที่พวกเราเจอมันมีหัวงอกออกมาเพิ่มเป็นสามสิบหัว”
นาเยรีเสริม


“อะไรนะสามสิบหัว!?”
ดีนร้อง


  ไม่อยากจะเชื่อ ไฮดร้าเจ็ดหัวที่เจอกลางมหาสมุทรยังจัดการได้อย่างยากเย็นราวกับเป็นมินิบอสสุดหินในเกมอาร์พีจี แค่จัดการเจ้าตัวนั้นยังพลังหมดจนสลบไปครึ่งค่อนวัน แล้วถ้าต้องประมือกับอสรพิษยักษ์สามสิบหัวจะเอาอะไรไปสู้ไหว


“พวกดีนจังอยากจะมาช่วยพวกเราปราบงูสิบสามวิญญาณด้วยไหมล่ะจ๊ะ”



คิจิถามขณะที่เธอลูบขนโคมะจิกล่อมให้มันหลับ ดีนแทบจะส่ายหัวปฏิเสธดิ๊ก ๆ ในทันทีเมื่อได้รับคำชวน แต่ก็ติดอยู่ที่ว่ากลุ่มพรานสาวช่วยชีวิตพวกเขาไว้ จำเป็นไหมว่า
‘บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ’


“อย่าให้คนที่ต้องทำภารกิจเดินทางเสียเวลากับพวกเราเลยพี่คิจิ ขืนมาช่วยพวกเราแล้วภารกิจล่มจะเจ๊งบ๊งกันไปหมด”


ธาเลียพูดขัดจนดีนอยากจะยกนิ้วโป้งชมเธอ นัยหนึ่งตามที่พูด แต่อีกนัยคือให้พวกมือสมัครเล่นมาช่วยจะเสียแผนของเหล่าพรานสาว เผลอ ๆ จะได้ตัวถ่วงเพิ่มเสียอีก


“อ่า.. ความจริงพวกเราก็รีบ จะว่าไปตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้วนะ แล้วพวกเราอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย?”



ไม่พูดเปล่า บุตรเจ้าสมุทรหยิบสมาร์ทโฟนเดดาลัสขึ้นมาเช็คเวลาและพิกัด ตอนนี้เป็นเวลาประมาณหกโมงเย็น ไม่น่าเชื่อเลยว่าเหมือนเพิ่งออกจากโรงแรมมาหมาด ๆ เวลาก็ผ่านไปรวดเร็วขนาดนี้ พวกเขายังไม่ทันได้รับประทานมื้อเช้ากันเลยด้วยซ้ำ… 


แต่ที่ชวนให้อึ้งก็คือสถานที่ที่พวกเขากำลังอยู่กันต่างหาก หากนี่คือรายการโทรทัศน์คงมีเอฟเฟคเสียง
‘แทน แท่น แท้น!’ ขึ้นประกอบไปแล้ว


“ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ช่องดาเรียนงั้นเหรอ!!!”



ช่องดาเรียน… สถานที่ที่ทีมทำภารกิจไม่อยากผ่านที่สุดตั้งแต่วางแผนการเดินทางที่ค่ายฮาล์ฟบลัด พวกเขาพยายามหลบเลี่ยงเส้นทางนี้มาตลอดแม้ต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางเฉพาะหน้าหลายหน แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาจะถูกพามาที่นี่โดยไม่ได้ก้าวขาเดินเข้ามาเองด้วยซ้ำ


ชะตาที่ไม่อาจเลี่ยงมีอยู่จริง


เมื่อรู้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ที่ไหน สองพี่น้องเฮคาทีก็เงียบไปเล็กน้อย จากตอนแรกที่ตั้งใจจะไปท่าเรือโคลอมเบียก็มีเหตุให้ต้องระหกระเหินออกจากเรือขนส่งสินค้ามาเดินทางด้วยแพชูชีพ จุดหมายจึงเปลี่ยนจากโคลอมเบียมาเป็นคลองปานามาแทน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะยังโชคร้ายไม่พอถึงได้ถูกฝูงอสุรกายโจมตีกลางทะเลจนต้องพากันหนีหัวซุกหัวซุนมายังชายฝั่งปานามาซึ่งอยู่แถบชายแดนแทน และสุดท้ายก็มาอยู่ในป่าดงดิบช่องดาเรียนที่ได้ชื่อว่าอันตรายสุด ๆ


จนเขาเริ่มสงสัยว่าเทพีแห่งโชคชะตาคอยเฝ้ามองพวกเขาจากเบื้องบนอยู่หรือเปล่า


“แล้ว…วันนี้เราจะยังไงกันต่อดี”



ถึงจะเข้าสู่เวลาเย็นย่ำแล้ว แต่ตอนนี้โลกก็ยังอยู่ภายใต้ปรากฏการณ์รัตติกาลสาบสูญอยู่ จากความผิดเพี้ยนนี้อาจทำให้ไม่ต้องคอยระแวดระวังสัตว์ป่าที่ออกหากินยามกลางคืนเท่าที่ควร นั่นหมายความว่าพวกเขาอาจเดินทางต่อกันได้ในทันทีโดยไม่ต้องรอให้เช้าวันใหม่มาเยือน


“พวกเราว่าจะพักเอาแรงกันที่นี่ แล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ”



จากคำตอบของธาเลีย เธอคงวางแผนมาอย่างดีแล้วภายหลังจากที่เห็นว่าตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างเหมาะแก่การพักค้างแรม


“แล้วพวกเราล่ะ”



แมคเคนซีหันมาถามสมาชิกร่วมทีมอีกสองคน


“พวกเราก็พักต่ออีกหน่อยไหม ฉันยังรู้สึกมึน ๆ งง ๆ ก่งก๊ง ไม่ค่อยมีแรงอยู่เลย ไม่รู้ว่าเพราะถูกวางยาหรือว่าไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวานเย็นกันแน่”



ดีนเสนอ ไม่ได้เพิ่มเติมว่าเพราะภารกิจลับสุดยอดเมื่อคืนก็มีส่วนที่ทำให้เพลีย พอพูดว่าไม่ได้กินอะไรท้องก็เริ่มร้องขึ้นมาอย่างกับสั่งได้ ทั้งที่เมื่อกี้ไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย


“อีกอย่างอยู่กับกลุ่มพรานแห่งอาร์เทมิสก็อุ่นใจดี..”



“ไม่ได้ ตามกฎแล้วพวกเราห้ามค้างคืนกับผู้ชายโดยเด็ดขาด”


ธาเลียกล่าวเสียงแข็ง ชัดเจนว่ากฎข้อนี้เป็นข้อปฎิบัติที่เลี่ยงไม่ได้ เมื่อเห็นว่าหัวหน้านางพรานเสียงแข็งเกินไปหน่อยคิจิจึงช่วยเกลาให้ซอฟต์ลง


“ขอโทษนะดีนจัง แมคเคนซีจัง พวกเราก็มีกฎของพวกเราน่ะ จะฝ่าฝืนคำสั่งของเทพีอาร์เทมิสไม่ได้โดยเด็ดขาด”



“อ่า.. แย่จัง งั้นเห็นทีว่าพวกเราต้องย้ายไปตั้งแคมป์กันที่อื่นแล้วสิ”


ดีนยกมือขึ้นเกาหัว ถ้ากลุ่มพรานแห่งอาร์เทมิสยืนยันแบบนั้นถึงสองคนก็แปลว่าไม่ได้จริง ๆ ถ้าให้ถามนาเยรีกับวาเลนติน่าก็คงจะได้คำตอบแบบเดียวกัน


“ถ้างั้นพวกเราเอาไงกันดีล่ะ แมคซี่กับชาร์ล็อตยังเดินทางกันต่อไหวไหม พวกเราต้องหาทางออกจากป่า… สงสัยต้องขึ้นเหนือย้อนกลับไปหาเรือที่หมู่บ้านสักแห่งแล้วไปเอกวาดอร์กัน”



หัวคิ้วของบุตรแห่งโพไซดอนขมวดเป็นปม ในฐานะหัวหน้าทีมภารกิจเขาต้องพาอีกสองชีวิตออกจากช่องดาเรียนไปโดยสวัสดิภาพเสียด้วย ตอนนี้พวกเขาอยู่ทางตอนกลางของช่องดาเรียนค่อนไปทางทิศเหนือ อาจปลอดภัยกว่าหากจะไปหาหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดนอกเขตป่าแทนที่จะบุกลงใต้โดยไร้เสบียง


“ถ้าอยากออกจากป่าอย่างปลอดภัยก็เดินตามรอยทางของพวกเรา อย่างน้อยอสุรกายในป่าก็ถูกกำจัดไปแล้วบางส่วน”
นาเยรีให้คำแนะนำ “แม้มีร่องรอยไม่มากแต่พวกคุณจะรู้เอง”


“ร่องรอยเหรอ.. แล้วพวกเราจะรู้ได้ยังไงล่ะ”
ดีนเคยมีประสบการณ์เดินป่าอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ป่าดงดิบสุดหฤโหดแบบนี้ พวกเขาจะเอาตัวรอดอย่างไรไหว


“อื้อ ตามรอยลิปสติกของฉันไป—”



“นาเยรี”
วาเลนติน่ากระแอมดุเพื่อนสนิทของตัวเอง


“โธ่ ล้อเล่นนิดหน่อยเองน่า เครียดมากเดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแตกตายก่อนแก่นะ”



“หงิง”
โคมะจิหูกระดิก มันลุกขึ้นมาจากตักของคิจิแล้วเดินไปทางกลุ่มของสามเดมิก็อด “ค๊อง!” oO(เดี๋ยวข้านำทางเดมิก็อดพวกนี้ไปส่งที่หมู่บ้านเอง ให้พวกเขาไปเองเห็นทีจะไม่รอด สามคนนี้ไม่มีของยังชีพแม้แต่น้ำดื่มเลยด้วยซ้ำ)


“เอ๋ โคมะจิจะช่วยนำทางให้ดีนจัง แมคเคนซีจัง แล้วก็ชาร์ล็อตจังเหรอ?”
ธิดาแห่งไทคีกะพริบตาปริบ ๆ “อื้อ ได้สิ! โคมะจินี่ใจดีจังเลยนา” สาวน้อยอมยิ้มก่อนจะหันมาถามหญิงสาวจากฮาล์ฟบลัด “พวกชาร์ล็อตจังขาดอะไรบ้างเหรอ มีอาหารไหม มีน้ำดื่มหรือเปล่า พวกสเปรย์กันทากล่ะ?” 


“พวกเราไม่ได้เตรียมของสำหรับเดินป่ามากันเลยค่ะ น่าจะมีแค่อาหารฉุกเฉินกับอาหารกระป๋องที่เหลือจากบนแพฉุกเฉินใช่ไหมคะพี่แมค”



“อืม…ใช่ พวกเสบียงอาหารถ้ากินแบบประหยัดหน่อยน่าจะพอไปอีกสองสามวัน ส่วนน้ำดื่มพวกเราใช้ล้างตัวก่อนจะเข้าพักที่โรงแรมหมดแล้ว”


แมคเคนซีพยักหน้าน้อย ๆ เมื่อวานหลังเช็คอินแล้วทั้งเขาและดีนก็ช่วยกันตรวจสอบจำนวนอาหารที่เหลือและแบ่งเป็นส่วน ๆ ไว้สำหรับพวกเขาสามคนในแต่ละวัน หากทานให้อิ่มก็จะได้ประมาณหนึ่งวันครึ่งถึงสองวัน แต่หากทานแบบให้พอประทังชีวิตรอดก็คงได้สามวันไม่เกินนั้น


“แย่ชะมัดเลย ถึงในป่าจะมีน้ำเยอะ แต่ฉันดูสารคดีมา น้ำในลำธารดาเรียนมีแต่แบคทีเรียเต็มไปหมด”



หนทางก็ลำบาก ไม่มีน้ำสะอาดไว้กินดื่ม ระหว่างทางเต็มไปด้วยสัตว์ป่า สัตว์มีพิษ และอสุรกาย ไหนจะผู้ก่อการร้ายทั้งคนและแก๊งแบบเอล กาบาโยอีก ดีนถึงอยากหลีกเลี่ยงพื้นที่นี้ตั้งแต่ต้น แถมตอนนี้ยังต้องระแวงไฮดร้าสามสิบหัวมุดดินได้ที่จะโผล่มาจ๊ะเอ๋เมื่อไหร่ก็ไม่รู้อีก…


“ถึงจะไม่มากแต่คิจิแบ่งให้นะ”



ธิดาแห่งไทคีเปิดกระเป๋าสะพายของตัวเองจากนั้นหยิบยื่นน้ำดื่มจำนวนสามขวด และสเปรย์กันทากและแมลงส่งไปให้ทางชาร์ล็อต


“ขอบคุณนะคะพี่คิจิ”



“ขอบคุณมากครับ
พี่คิจิ”


เดมิก็อดทั้งสามกล่าวขอบคุณ แม้ว่าดีนจะไม่รู้ว่าเด็กสาวที่เพิ่งผ่านวัยเด็กหญิงที่สละของใช้ให้จะอายุเท่าไรก็ตาม แต่จากการที่ธาเลียซึ่งแก่กว่าพวกรุ่นพี่แอนนาเบ็ธเรียกคน ๆ นี้ว่าพี่ก็แปลว่าเธออาจอายุมากกว่านั้น


“เออ ใช่ ถ้าต้องการขอความช่วยเหลือห้ามกลับมาหาพวกเราเด็ดขาด เพราะว่าวาเลนติน่าจะวางกับดักไว้รอบ ๆ แคมป์ของพวกเรา โคมะจิจะประเมินสถานการณ์และเห่าเรียกเอง ตกลงนะ”



ธาเลียกล่าวเตือนอีกครั้งก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายกัน


  ...ขอให้พวกเธอโชคดี...



ความคิดเห็นผู้บันทึก

สุดท้ายพวกเราก็มาที่ช่องดาเรียนจนได้ ตอนแรกผมไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมดีนถึงจะกังวลและพยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางนี้ขนาดนั้น แต่ขึ้นชื่อว่าดงดิบแล้วมันก็ไม่สมควรเอาตัวเข้าไปเสี่ยงจริง ๆ หากไม่มีประสบการณ์ด้านการเดินป่ามาก่อน แต่ที่น่ากลัวกว่าสัตว์ร้าย และโรคภัยไข้เจ็บก็คือพวกกลุ่มอสุรกายที่เราเจอนี่ล่ะ โชคดีที่ได้กลุ่มพรานอาร์เทมิสมาช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นพวกเราอาจเอาชีวิตมาทิ้งไว้ในป่านี้แล้วก็เป็นได้


สรุปสถานการณ์
- ธาเลียกับดีนไปดับไฟที่เกิดจากการต่อสู้กับเดธแมชชีน - ทั้งคู่พบ ‘จดหมายลึกลับ’ ที่ถูกเขียนด้วยอักษรรูนโบราณ มีเพียงแค่คำว่า ‘เอกวาดอร์’ ที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ - ยังไม่สามารถแปลข้อความในจดหมายได้ - ทีมทำภารกิจแยกกับกลุ่มพรานอาร์เทมิส โดยจะมุ่งหน้าไปทางเหนือโดยมีโคมะจิ จิ้งจอกสี่หางของคิจิช่วยนำทางไปให้


DEAN


ความสัมพันธ์ต่อ [NPC-17] ธาเลีย เกรซ

+5 ความสนิทสนมจากการพูดคุย

+5 โบนัสความสนิทสนมจากการใส่ [กุหลาบสีน้ำเงินทอง]

+10 ความสนิทสนมจากการสวมใส่ [น้ำหอมสุริยะ]

+10 ความสนิทสนมจากการสวมใส่ [มาลาแห่งอัสสัมชัญ]

รวม +30 ความสนิทสนม

MACKENZIE


ความสัมพันธ์ต่อ [NPC-17] ธาเลีย เกรซ

+5 ความสนิทสนมจากการพูดคุย

+5 โบนัสความสนิทสนมจากการใส่ [กุหลาบสีน้ำเงินทอง]

+10 ความสนิทสนมจากการสวมใส่ [น้ำหอมสุริยะ]

+10 ความสนิทสนมจากการสวมใส่ [มาลาแห่งอัสสัมชัญ]

รวม +30 ความสนิทสนม

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-17] ธาเลีย เกรซ เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-10-2 00:12
โพสต์ 173395 ไบต์และได้รับ 42 EXP!  โพสต์ 2025-10-1 23:52
โพสต์ 173,395 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก เหรียญนกฮูก  โพสต์ 2025-10-1 23:52
โพสต์ 173,395 ไบต์และได้รับ +25 EXP +35 เกียรติยศ +55 ความศรัทธา จาก น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ  โพสต์ 2025-10-1 23:52
โพสต์ 173,395 ไบต์และได้รับ +4 เกียรติยศ +4 ความกล้า จาก สร้อยคอดีไซน์เท่  โพสต์ 2025-10-1 23:52
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เหรียญนกฮูก
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x5
x1
x10
x2
x1
x2
x2
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
โพสต์ 2025-10-8 22:56:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-10-8 23:00

XXII
เดมิก็อดชีพดับสูญผู้นั้น...
 Charlotte  Lillian 

- 28.05.2025 / 07:08 PM -

ช่องดาเรียน, ประเทศปานามา


ภายหลังที่แยกจากกลุ่มพรานอาร์เทมิสแล้ว ทีมทำภารกิจจากค่ายฮาล์ฟบลัดก็เดินทางกันต่อไปตามทิศเหนือภายใต้การนำของ ‘โคมะจิ’ ปีศาจสุนัขจิ้งจอกสี่หางของคิจิผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกพรานสาว การนำทางของเจ้าจิ้งจอกขาวเรียกได้ว่าสมเป็นมืออาชีพ มันพาพวกเขาไปตามร่องรอยที่กลุ่มพรานทิ้งไว้ก่อนหน้า จนตอนนี้อาจเรียกได้ว่าการเดินทางผ่านป่าดงดิบแห่งช่องดาเรียนกลายเป็นเรื่องง่ายกว่าที่คิดไว้มาก หลังจากบุกป่าผ่าดงกันมาได้ระยะหนึ่งแล้วก็ถึงเวลาอันควรแก่การพักผ่อนเสียที


“วันนี้เราหยุดพักกันตรงนี้ได้ไหมโคมะจิ”


แมคเคนซีถามขึ้นเมื่อรู้สึกว่าพวกเขาเดินมาได้ระยะใหญ่ และที่ตรงนี้เหมาะสมแก่การใช้เป็นที่ตั้งแคมป์ในคืนนี้


โคมะจิที่นำขบวนหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าบุตรเทพีแห่งม่านหมอก ก่อนจะเดินวนรอบบริเวณนั้นพลางทำจมูกฟุดฟิดแล้วกลับมาร้อง “ค๊อง!” ใส่


“โคมะจิบอกว่า ตรวจสอบแล้วไม่มีพลังเวทและกลิ่นอายอสุรกายแถวนี้ วันนี้พวกเราพักค้างคืนตรงนี้ได้ค่ะ”


อยู่ ๆ ชาร์ล็อตก็พูดขึ้นมาราวกับเธอแปลภาษาสุนัขออกเสียอย่างนั้นจนคนเป็นพี่ทำหน้าแปลกใจ


“ชาร์ล็อตฟังภาษาหมาออกด้วยเหรอ”


“ใช่ค่ะ สายเลือดพวกเรามีทักษะสื่อสารกับสุนัขด้วยนะคะพี่แมค หรือว่าพี่แมคยังไม่ได้เรียนรู้ทักษะนี้เหรอคะ”


เด็กสาวพยักหน้ารับแล้วมองพี่ชายด้วยความสงสัย


“ยังเลย คงหลังจากจบภารกิจนี้ล่ะมั้ง”


แมคเคนซีเองก็ส่ายหน้าด้วยความไม่รู้มาก่อน หากเขาเรียนรู้ทักษะนี้แล้วคงไม่ได้ยินโคมะจิเห่าดัง ‘ค๊อง’ อยู่หรอก จะว่าไปแล้วทักษะของสายเลือดเฮคาทีนี่ก็น่าแปลกไม่น้อย นอกจากจะสื่อสารกับภูติผีได้แล้ว ยังสื่อสารกับสุนัขได้อีก คงเหมือนทักษะของเหล่าสายเลือดโพไซดอนที่สามารถสื่อสารกับม้าและสัตว์ทะเลได้ละมั้ง ถ้าเป็นแบบนี้เขาก็สามารถคุยกับ ‘แอนดริว’ และ ‘แอนโทนี’ เจ้าสุนัขเซนต์เบอร์นาร์ดที่บ้านเกิดที่กลอสเตอร์ได้แล้วน่ะสิ


แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนแล้วกัน ถ้าทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ เขาก็คงไม่มีโอกาสไปคุยกับหมาตัวไหนทั้งนั้น


“ดีจังแฮะ ฉันเองก็อยากจะฟังภาษาหมาออกบ้าง—” 


ความสามารถนี้ของเหล่าเฮคาทีช่างน่าอิจฉานัก ถึงดีนจะรักสัตว์และแฮปปี้ที่ฟังภาษาม้าและสัตว์ทะเลออก แต่ยังไงสัตว์ที่ชอบที่สุดก็ยังคงเป็นสุนัขอยู่ดี 


“งั้นวันนี้เราพักที่นี่กันไหม”  


“อืม ได้สิ ฉันเชื่อใจโคมะจิ”


“ค๊อง!” ปีศาจจิ้งจอกเห่ารับอีกครั้งราวกับจะบอกว่า ‘เชื่อใจได้เลย!’


เมื่อตกลงกันได้แล้วเดมิก็อดหนุ่มก็เปิดกระเป๋าเอาถุงเต็นท์จิ๋วเท่ากับฝ่ามือออกมา ชาร์ล็อตรู้งาน เธอร่ายเวทมนตร์เสกให้สัมภาระที่ถูกย่อกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ทันที


“แมกนัส เครสแคท”


แบกมาตั้งนานในที่สุดก็ได้ใช้ นึกว่าจะเอามาเสียเที่ยวแล้วเชียว จนเผลอคิดไปแว้บนึงว่า ‘หรือเราปักธงตัวเองให้มาที่นี่โดยจัดเต็นท์มาชุดใหญ่กันนะ?’ เพียงไม่นานเต็นท์สองหลังก็ถูกกางออกโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเป็นโฮมเลสในต่างแดน จุดไฟกองเล็ก ๆ ไว้กลางลาน ไม่ใช่เพื่อให้แสงสว่างยามค่ำคืนที่ไม่จำเป็น แต่อย่างน้อยการใช้ไฟอุ่นอาหารอาจทำให้ปลากระป๋องและถั่วกระป๋องอร่อยขึ้น


“ไม่อยากจะเชื่อ สุดท้ายก็ไม่พ้นต้องมากินอาหารกระป๋องเหมือนตอนอยู่ในแพฉุกเฉิน” ดีนบ่นอุบ


แม้สถานการณ์จะแตกต่างกัน แต่บอกไม่ได้เลยว่าอยู่กลางมหาสมุทรอันลึกลับกับค้างแรมกลางป่าที่มีไฮดร้าสามสิบหัวอย่างไหนชวนให้หายใจไม่ทั่วท้องมากกว่ากัน


“ถือว่ากินกันตายไปก่อนแล้วกันที่รัก”


แมคเคนซีพูดติดตลกแม้ว่าตัวเองก็แสนจะเอียนอาหารกระป๋องพวกนี้เต็มที แต่หากมองในแง่ดีแล้วล่ะก็ การที่พวกเขาเบื่ออาจทำให้ทานได้น้อยลง ก็จะส่งผลให้มีเสบียงเก็บตุนไว้ในกรณีฉุกเฉินแบบนี้เพิ่มขึ้นอีก


“ค๊อง!”


อยู่ ๆ โคมะจิที่นอนหมอบอยู่ข้างชาร์ล็อตก็ร้องขึ้นมา ราวกับว่ามันกำลังชวนคุยอะไรสักอย่าง


“โคมะจิบอกว่า ‘ถ้าพวกเจ้าเบื่ออาหารกระป๋อง ข้าไปล่าสัตว์มาให้ได้นะ’ ค่ะ”


และคราวนี้เด็กสาวคนเดียวในทีมก็กลายมาเป็นคนทำหน้าที่ฝ่ายล่ามจำเป็นแทน


“ละ.. ล่าสัตว์เหรอ”  ดีนกล่าวเสียงเลิ่กลั่ก ถึงจะอยากรับประทานโปรตีนจากสัตว์อื่นมากแค่ไหนแต่คงทำใจไม่ได้หากต้องหม่ำกระต่ายน้อยขนปุยเป็นตัว ๆ โดยไม่ผ่านการชำแหละเป็นส่วน ๆ เขากินไม่ลงแถมยังกลัวเลือดอีกต่างหาก “ไม่เป็นไร ลูกพี่โคมะจิเพิ่งหายจากการบาดเจ็บมาหมาด ๆ อย่าลำบากเพื่อพวกเราเลย”


จะว่าไปอสุรกายตัวนี้ก็ควรได้เวลาพัก มันจะหิวหรือเปล่าก็ไม่รู้ บุตรแห่งโพไซดอนจึงลงทุนเปิดปลาซาดีนกระป๋องใหม่แล้วยื่นไปตรงหน้ามัน


“ไม่ดีต่อสุขภาพไตหรอก แต่ดีกว่าท้องหิว ถ้าอยากกินก็กินได้เลย”


“ค๊อง?”


ปีศาจจิ้งจอกเอียงคอด้วยท่าทางน่าเอ็นดู มันทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นปลากระป๋อง จากนั้นก็ลองชิมอาหารฉุกเฉินของมนุษย์ ท่าทางของมันไม่ได้ชอบ คล้ายกับกินกันตายไม่ต่างจากพวกเขา


“จริงสิ… ช่วงตอนที่หลับเหมือนฉันถูกผีสิงให้ทำนั่นทำนี่ด้วยล่ะ” ดีนเล่าเรื่องแปลก ๆ ให้ฟัง เขาเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะทำเป็นไม่เชื่อเรื่องผีอีกรอบ “ไม่สิ.. บางทีมันอาจเป็นแค่อาการฮิพโนพอมปิค แฮลลูซิเนชั่น (อาการเห็นภาพหลอนขณะตื่น) มากกว่า”


‘กูสิงมึงไปตั้งขนาดนี้ มึงยังไม่เชื่อว่ากูมีจริงอีกเหรอวะไอ้แว่น!!’  ริเซ่ที่สิงสู่อยู่ในพวงกุญแจฟรุ้งฟริ้งเขย่าตัวเองไปมาเป็นการประท้วง พอไม่ได้อยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ดีนก็กลับมาเป็นคนไม่มีเซนส์เหมือนเดิมอีกครั้ง ‘งั้นกูจะพิสูจน์โดยการสิงมึงอีกรอบ—’


“ไม่ต้อง”


เป็นแมคเคนซีที่เอ่ยเสียงแข็งพร้อมจ้องเขม็งไปยังพวงกุญแจที่ห้อยอยู่กับกระเป๋าน้องสาว แล้วหันมามองคนรัก


“เรื่องที่นายถูกผีสิงนั่น…เป็นเรื่องจริง ริเซ่เล่าให้ฉันกับชาร์ล็อตฟังหมดแล้วตอนนายไปดับไฟกับธาเลีย เธอบอกว่าเธอสิงนายแล้วฆ่าเอล กาบาโยกับลูกน้องไปอีกหนึ่งตน”


ไม่รู้ว่าดีนฟังแล้วจะเชื่อไหม แต่หากต้องให้ริเซ่สิงดีนอีกครั้งเขาเลือกที่จะเล่าทุกอย่างให้ฟังเองดีกว่า ภาพคนรักที่หันมาแสยะยิ้มใส่ยังหลอนจนติดตาไม่หาย หากต้องเห็นรอยยิ้มแบบนั้นซ้ำ คืนนี้เขาคงไม่กล้านอนกอดดีนแน่ ๆ


“โอ้…” เมื่อแมคเคนซีย้ำขนาดนี้ดีนคงหนีความจริงไม่ได้อีกต่อไป “ถ้าเธอมีจริงงั้นเราต้องแบ่งอะไรให้กินไหม แบบว่าผียังต้องกินอาหารอยู่หรือเปล่า?”


แม้ดีนจะ (ทำเป็น) ไม่เชื่อเรื่องวิญญาณหรือโลกหลังความตาย แต่เขาก็เคยเข้าร่วม ‘เทศกาลแห่งความตาย’ ที่ชุมชนชาวเม็กซิกันในซานอันโตนิโอจัดขึ้นเมื่อช่วงเวลาเดียวกับวันฮาโลวีน ในวันนั้นเขาเห็นครอบครัวชาวเม็กซิกันวางอาหารจานโปรดของผู้ล่วงลับบนแท่นพิธี ดีนที่ตอนนั้นอยู่ในวัยเด็กซนจนเรียกว่าเด็กเปรต เคยแอบจิ๊กอาหารของคนตายกิน ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่อร่อย


อาหารที่ควรมีรสชาติจัดจ้านอย่างซุปพริกโมเลโพบลาโนยังแทบจะไร้รส แม้ในเชิงวิทยาศาสตร์รสชาติของอาหารสามารถเปลี่ยนไปได้ตามอุณหภูมิและระยะเวลาที่วางทิ้งเอาไว้ แต่มันก็ไม่ควรจะไม่อร่อยเหมือนกับไร้การปรุงแต่งสิ ดีนเลยคิดเอาเองว่า ‘ไหน ๆ ก็ทำอาหารเพื่อคนตายตามความเชื่อ พอหมดเทศกาลก็ต้องทิ้ง คนปรุงอาหารจึงตัดสินใจไม่ปรุงรสจะได้ไม่เปลืองหรือเปล่า’ ก็อาจจะเป็นไปได้ สมมติฐานนี้ดูมีเหตุผล


แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญคือเขาอยากรู้ว่าริเซ่จำเป็นต้องรับประทานอาหารจริงหรือเปล่า


“ไม่ต้องก็ได้ค่ะพี่ดีน ตามหลักศาสนาคริสต์แล้วถ้าเรานำอาหารไปให้คนตาย ถือว่าเป็นการเคารพสิ่งอื่นนอกเหนือจากพระผู้เป็นเจ้า นั่นเป็นบาปนะคะ ถึงเราจะเป็นเดมิก็อด แต่เราอย่าลองเลยค่ะ”


ชาร์ล็อตรีบบอกก่อนที่พี่ชายต่างบ้านจะเปิดปลาซาร์ดีนอีกกระป๋องให้แก่วิญญาณสาวที่สิงอยู่ในพวงกุญแจ


‘ฝากบอกไอ้แว่นด้วยว่า ถึงมันอยากให้แต่วางเฉย ๆ ฉันก็กินไม่ได้หรอก ต้องสวดเรียก เผลอ ๆ มีพวกผีป่ามากินนอกจากฉันด้วยแน่ะ’


หลังจากที่ริเซ่บอกแล้วธิดาเฮคาทีก็นำความมาบอกต่ออีกครั้ง ฟังแล้วก็อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้จนแมคเคนซีเองยังต้องเขยิบเข้าไปนั่งใกล้ดีนอีกเล็กน้อย


“ฉันว่าเรารีบกินให้เสร็จแล้วเข้าเต็นท์พักผ่อนกันดีกว่า”


“ค๊อง!”


“โคมะจิบอกว่า ‘พวกเจ้าไปเข้านอนเถอะ ข้าจะอยู่เฝ้ายามให้เอง’ ค่ะ”


นอกจากแปลงสารวิญญาณแล้ว เด็กสาวก็มาแปลภาษาสุนัขให้ต่อ เธอลูบหัวโคมะจิที่ขยับตัวขึ้นมานั่งเบา ๆ


“สองคนนี้สนิทกันแล้วแฮะ” ดีนขำเบา ๆ “งั้นฝากบอกโคมะจิทีว่าผลัดกันเฝ้ายามก็ได้ โคมะจิเองก็น่าจะเหนื่อยหรือเปล่า ถึงรักษาแผลแล้วแต่ก็ต้องพักผ่อนด้วยนะ ฉันน่ะหลับมาทั้งวันแล้วยังอยู่ได้อีกนาน ให้เฝ้ายามกะแรกก็ได้”


ดีนรู้ว่าแมคเคนซีต้องเป็นห่วงแน่ ๆ จึงพูดดักคอ “นายไปเข้านอนก่อนได้นะที่รัก เดี๋ยวฉันจะตามไป”


“ค๊อง!” โคมะจิขานรับก่อนที่มันจะลุกเดินออกไปจากตรงนั้น


“โคมะจิบอกว่า ‘ได้ ข้าไปหาที่นอนก่อน เมื่อยามสองเข้าสู่ยามสามข้าจะมาเปลี่ยนเวรกับเจ้า’ ค่ะ”


ชาร์ล็อตแปลความให้แล้วมองตามปีศาจจิ้งจอกไป


“แล้วยามสอง - ยามสามอะไรนี่มันกี่โมงกันล่ะ?” ดีนเกาหัวแกรก ๆ ถึงชาร์ล็อตจะยังอยู่แต่เขาก็ไม่คิดว่าเธอจะรู้ภาษาโบราณนั่น


“นายไหวแน่ใช่ไหม ให้ฉันอยู่ด้วยหรือเปล่า”


ถึงดีนจะบอกอย่างนั้นแต่แมคเคนซีก็ยังเป็นห่วงอยู่ดีจึงเสนอตัวขึ้นมา


‘โอ๊ยยยย ดูสารรูปตัวเองบ้างเถอะ น่วมขนาดนี้ไปนอนซะไป๊’


แล้วก็เป็นวิญญาณสาวที่เอ่ยปากไล่ ซึ่งน้องสาวของเขาเองคงได้ยินเช่นกันเธอจึงพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย


“นั่นสิคะ หนูก็ว่าพี่แมคควรพักผ่อนก่อน เรายังต้องเดินทางกันอีกไกลนะ”


พอถูกทั้งผีทั้งน้องเอ็ดเข้า แมคเคนซีจึงเงียบไป ก็จริงที่ตอนนี้เขาบาดเจ็บอยู่ แม้เขากับชาร์ล็อตจะสามารถใช้เวทรักษาได้ แต่คาถานั้นจำเป็นต้องใช้สื่อเวทด้วย ซึ่งสื่อเวทที่เตรียมมาก็มีจำนวนจำกัด เขาจึงคิดว่าเก็บเอาไว้ใช้ยามจำเป็นจริง ๆ จะดีกว่า


“ไม่เป็นไรน่าที่รัก ฉันไหว จะไม่แอบนอนยาม สาบานเลย” บุตรแห่งโพไซดอนชูสามนิ้วขึ้นมาเหมือนกล่าวคำปฏิญาณของลูกเสือสามัญ


“….ก็ได้ แต่ถ้ามีอะไรนายเรียกฉันได้ทันทีเลยนะ”


“โอเคที่รัก นายพักเถอะนะ ฝันดี” หนุ่มละตินจับแก้มคนรักมาหอมซ้ายหอมขวา ก่อนจะหันไปทางชาร์ล็อต “เธอก็ฝันดีด้วยนะ นอนพักผ่อนกันเยอะ ๆ ล่ะ”


ถูกหอมแก้มไปสองฟอด สุดท้ายก็ต้องยอมรามือแต่โดยดีเพื่อถนอมร่างกายตนเองเอาไว้ก่อน หลังจากที่ช่วยกันเก็บขยะจากมื้อเย็นที่รับประทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว สองพี่น้องเฮคาทีก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนในเต็นท์คนละหลัง


ทุกคนเข้าเต็นท์นอนกันหมด เหลือเพียงบุตรแห่งเจ้าสมุทรที่เฝ้ายาม เขายกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา ตอนนี้น่าจะราว ๆ สามทุ่ม แม้ไม่ดึกมากแต่คนที่บู๊กับอสุรกายฝูงใหญ่คงเหนื่อยล้าพอดู เสียงของคนที่อยู่ในเต็นท์จึงเงียบสนิท


ดีนหันมองไปรอบ ๆ ผ่านแมกไม้ที่ดูไม่น่าไว้วางใจ แม้จะดึกแล้วแต่ท้องฟ้าก็ยังไม่มีทีท่าจะมืดแสง กระนั้นก็ยังคงมีเสียงแมลงกลางคืนดังระงมไปทั่วผืนป่าคล้ายเสียงดนตรีธรรมชาติ ราวกับว่าพวกมันเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นตอนกลางวันกันได้หมดแล้ว สิ่งมีชีวิตต่างพยายามปรับตัวและใช้ชีวิตของพวกมันต่อไป ใครไม่สามารถอยู่รอดได้ก็เตรียมตัวสูญพันธุ์ไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ดีนไม่ค่อยแน่ใจนักว่ายังใช้คำว่า ‘กฎเกณฑ์’ ได้อยู่อีกหรือไม่ เพราะโลกในตอนนี้วิบัติไปหมด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับทวยเทพ


‘ไม่แฟร์เอาเสียเลย…’ 


แต่ถึงคิดตัดพ้อแค่ไหนความจริงก็เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับเพราะเขาไม่อาจบิดเบือนทุกสิ่งให้กลับมาเป็นปกติได้ด้วยตนเอง บางทีคำว่า ‘ปกติ’ อาจไม่มีอยู่บนโลกใบนี้ตั้งแต่แรกแล้วก็ได้กระมัง


ด้วยความไม่มีอะไรทำจึงทำให้ชายหนุ่มได้มีเวลาขบคิด แรก ๆ เขานำบันทึกส่วนของตัวเองออกมาเขียน ทว่าดีนไม่ใช่นักเขียนดีเด่น แม้จะผ่านงานยากอย่างการเขียนวิทยานิพนธ์มาก่อน เขาคงไม่เขียนสำนวนน่าเบื่อลงไปในบันทึกเดินทางที่ไม่มีใครอยากอ่าน เว้นแต่รุ่นน้องบางคนที่อยากหาข้อมูลอ้างอิง เขาจึงพยายามเขียนสรุปไว้ง่าย ๆ ไม่ให้เกินแปดบรรทัด เพราะรู้ว่าเด็กในค่ายเป็นดิสเล็กเซียแถมยังสมาธิสั้นอีกต่างหาก ทั้งที่เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเขียนบรรยายลงไปสิบหน้ากระดาษเอสี่ถึงจะจบ


นอกจากเขียนบันทึกการเดินทางด้วยลายมือห่วยแตกแล้ว เขาก็คิดว่าหลังจากจบภารกิจแล้วจะทำอะไรต่อไปดี (หมายถึงถ้าภารกิจไม่ล่มไปเสียก่อน และโลกยังไม่ระเบิด) ซึ่งมันก็อาจจะใกล้ได้เวลาแล้วที่เขาต้องออกไปหางานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง ที่แน่ ๆ คือเขาไม่ยอมเป็นเดมิก็อดที่รับทำแต่งานเสี่ยงตายเพื่อดอลลาร์อันน้อยนิดเมื่อเทียบกับความยากลำบาก ประทังชีวิตไปวัน ๆ ด้วยอาหารฟรีจากค่ายฮาล์ฟบลัดในวัยยี่สิบห้าปีอีกต่อไป


.

.

.


“ค๊อง” ปีศาจจิ้งจอกขาวสี่หางเดินออกมาจากมุมหนึ่งที่มันปลีกตัวออกไปนอนเป็นสัญญาณว่า ‘ยามสอง’ ได้สิ้นสุดลง


“หืม มาเปลี่ยนเวรแล้วเหรอ ดูเหมือนว่าฉันจะเฝ้ายามได้โดยสวัสดิภาพสินะ”


ดีนดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เผลอแป๊บเดียวเวลาก็เดินไปไวถึงเที่ยงคืน ในที่สุดก็รู้เสียทีว่ายามสองคือเวลากี่โมง ตอนที่นั่งเฝ้ายามก็ไม่ง่วงหรอกนะ แต่พอรู้ว่าได้เวลาพักเขาก็จัดไปเลยถึงสามหาว


“หาววว เริ่มง่วงขึ้นมาแล้วสิ ฉันฝากดูแลที่เหลือต่อด้วยนะโคมะจิ ชีวิตของพวกเราฝากไว้ที่นายเลย”


ก่อนเข้าเต็นท์ก็ขอลูบหัวหมาสักหน่อย โคมะจิหดคอหนี มันคงกัดมือบุตรเจ้าสมุทรไปแล้วด้วยซ้ำหากเจ้านายไม่ฝากฝังเอาไว้ก่อน


“ค๊อง!”


.

.

.


- 29.05.2025 / 07:19AM -


การนอนในเต็นท์กลางป่าไม่ได้สบายตัวนัก แต่ด้วยความเหนื่อยและล้าทางกายจึงทำให้แมคเคนซีหลับลงอย่างรวดเร็ว เมื่อร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่แล้วเขาก็ตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นโดยที่ตนเองนอนอยู่ในอ้อมกอดของดีนที่กำลังหลับสนิท ดวงตาสีฮาเซลมองใบหน้ายามหลับใหลของคนรัก ไม่ว่าจะเป็นเรียวคิ้วดกหนา แพขนตายาว จมูกโด่งเป็นสัน รวมถึงริมฝีปากสีนู้ดได้รูปซึ่งประกอบกันออกมาเป็นใบหน้าคมสันแสนรัก สามารถสร้างรอยยิ้มจากเขาได้ไม่ยาก แม้ว่ายามนี้พวกเขาจะกำลังตกระกำลำบากกันอยู่กลางป่าดงดิบในประเทศต่างบ้านต่างเมืองก็ตาม


ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว แมคเคนซีจึงหยิบสมาร์ทโฟนที่วางข้างตัวมาดูเวลา เมื่อเห็นว่ายังเช้าตรู่อยู่จึงปล่อยให้ดีนได้นอนพักผ่อนต่ออีกสักหน่อย ส่วนเขาก็ขยับตัวลุกขึ้นให้เงียบที่สุดเพื่อไม่ทำให้อีกฝ่ายตื่น


“อื๊อ..”


ดูเหมือนความพยายามในการขยับตัวให้เงียบที่สุดของแมคเดนซีจะไม่เป็นผล ดีนครางเบา ๆ ในลำคอก่อนค่อย ๆ กะพริบตาขึ้นมาสู้แสงด้วยท่าทางที่ไม่อยากตื่นนัก เขาเอ่ยเสียงพร่า ถามคนรักเสียงอ้อแอ้


“อรุณสวัสดิ์ที่รัก นี่กี่โมงแล้วน่ะ?”


“อะ..อรุณสวัสดิ์ ขอโทษที ฉันทำนายตื่นเหรอ”


ในเมื่อความพยายามไม่เป็นผล หนุ่มอังกฤษจึงกล่าวทักทายคนเพิ่งตื่นแล้วก้มลงมอร์นิ่งคิสเบา ๆ แทนก่อนผละออก


“เจ็ดโมงแล้ว นายอยากนอนต่อหรือเปล่า เราเดินทางกันสายหน่อยก็ได้นะ” 


“เจ็ดโมงเหรอ” ดีนเด้งตัวขึ้นมาทั้งที่ตายังปิดปรืออยู่ครึ่งหนึ่ง ผมเผ้าสีดำหยักศกยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ก่อนจะไหลมากอดแมคเคนซีไว้หลวม ๆ “ออกสายไม่ได้ซี่ ถ้าเราถึงหมู่บ้านที่พี่สาวคนนั้นบอกช้าไปล่ะก็มีหวังได้นอนป่าอีกคืนหรอก”


พวกเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหมู่บ้านที่นาเยรีพูดถึงหน้าตาเป็นแบบไหน จะมีที่พักให้บริการคนต่างถิ่นหรือเปล่า… คงมีละมั้ง แต่ว่าจะเป็นที่ไหนล่ะ


“ก็จริงของนาย ถ้าวันนี้เราทำเวลาหน่อย อาจได้ออกจากป่านี่กันก็ได้”


ฝ่ามือใหญ่สางผมยุ่งฟูของคนรักเบา ๆ ให้เข้าทรงแล้วโอบไหล่กว้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อไว้ ได้อาบน้ำตัวหอมแล้วทั้งที เมื่อวานก็เกิดเหตุให้ต้องไม่ได้อาบน้ำอีกจนได้ แต่คราวนี้เขาไม่ยอมดองตัวเองให้เหม็นไปอีกหลายวันแน่


“งั้นเราเตรียมตัวกัน ฉันไปดูชาร์ล็อตก่อนว่าเธอตื่นหรือยัง”


ริมฝีปากอิ่มจูบเข้าที่ขมับคนรักอีกทีก่อนจะผละออกไปดูน้องสาวที่เต็นท์ด้านข้าง แต่เด็กสาวดูเหมือนจะตื่นก่อนพวกเขาเสียอีก เธอนั่งเล่นอยู่กับโคมะจิและข้าง ๆ ก็มีริเซ่ที่ออกจากพวงกุญแจมาอยู่ด้วย


“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่แมคพี่ดีน”


ทันทีที่เห็นพี่ชายทั้งสองเธอก็ทักทายด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นเคย ค่อยยังชั่วที่ความลำบากลำบนในป่าทำอะไรน้องสาวของเขาไม่ได้ อาจเป็นเพราะเคยเจอเหตุการณ์ที่ต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่านี้หลายเท่าตัวมาแล้ว นี่จึงกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเธอไป


หลังจากจัดการกับอาหารมื้อเช้าเสร็จ เดมิก็อดทั้งสามก็ช่วยกันเก็บเต็นท์และทำลายร่องรอยการพักแรมของพวกเขาให้เรียบร้อย อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจว่าจะไม่มีใครที่ไม่ประสงค์ดีตามมาได้อีก จนเมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้วทีมทำภารกิจก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ


เส้นทางการเดินป่าจากช่องดาเรียนไปยัง ‘เมืองยาวิซ่า’ ทรหดเหมือนกับสารคดีที่ดีนเคยดูไม่มีผิด พวกเขาต้องเดินผ่านทางที่ชื้นแฉะไปด้วยดินโคลนของป่าดงดิบกลางวสันตฤดู สายฝนโปรยปรายลงมาตั้งแต่ช่วงสายของวันจนถึงช่วงบ่าย ร่มไม้ทึบพอกำบังหยาดฝนได้บ้างทว่าไม่ทั้งหมด สามเดมิก็อดจึงต้องหยุดใส่เสื้อกันฝนที่เตรียมมาก่อนออกเดินต่อบนทางที่ฉ่ำแฉะยิ่งกว่าเดิม


ไม่มีเวลาให้หยุดพัก มิเช่นนั้นพวกเขามีหวังได้นอนกลางป่าอีกคืนแน่ ๆ และผู้นำทางอย่างปีศาจจิ้งจอกขาวโคมะจิคงไม่อยากอยู่ด้วยนาน แม้ว่ามันสัญญาจะช่วยนำทางไปจนถึงหมู่บ้าน แต่ใจของจิ้งจอกขาวคงไปอยู่กับเจ้าของที่ออกตามล่าไฮดร้าสามสิบหัวแล้ว


“กรร…”


ฝีเท้าทั้งสี่หยุดนิ่งที่เบื้องหน้า จิ้งจอกขาวคำรามเบา ๆ ในลำคอเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติในผืนป่า


“มีอะไรเหรอจ๊ะโคมะจิ” ชาร์ล็อตถาม


“ค๊อง!” จิ้งจอกสี่หางเห่าแจ้งเบา ๆ


ธิดาเฮคาทีพยักหน้าก่อนจะหันไปทางพี่ชายทั้งสอง


“โคมะจิบอกว่าได้กลิ่นของอสุรกายสามตัวอยู่ข้างหน้าน่ะค่ะ”


“อะ..อสุรกายสามตัวงั้นเหรอ!?” ดีนเม้มปาก เขาเรียกตรีศูลจากกำไลอัจฉริยะมากุมไว้เตรียมการสำหรับต่อสู้… ก็เผื่อเอาไว้ หากเลี่ยงได้ก็เลี่ยงดีกว่า


“ค๊อง!” โคมะจิสื่อสารอีกครั้ง


“อ๊ะ! โคมะจิบอกว่าได้กลิ่นเดมิก็อดแปลกหน้าคนนึงด้วยล่ะ แล้วตอนนี้พวกเขากำลังปะทะกันอยู่ค่ะ”


“ปะทะเหรอ.. เอาไงดีล่ะ หรือพวกเราควรจะใช้จังหวะนี้ชิ่งหนีเลยดีไหม”


“ค๊อง!” คราวนี้โคมะจิเห่าด้วยเสียงดุ


“เอ่อ.. พี่ดีนคะ โคมะจิบอกพี่ว่า ‘เจ้าจะทิ้งเขารึ เจ้าคนขี้ขลาด’ ล่ะค่ะ แหะ ๆ” เด็กสาวเกาแก้ม บางทีก็ลำบากใจเหมือนกันนะที่ต้องเป็นล่ามในการว่าคนอื่น


“เดมิก็อดคนเดียวถูกมอนสเตอร์สามตัวรุมก็หนักอยู่นะ ไหน ๆ ถ้าต้องผ่านทางนั้นเราลองดูสถานการณ์ก่อนก็ได้”


แมคเคนซีบอกขณะถือดาบทองคำจักรพรรดิที่เรียกมาจากหมอกไว้ ครั้งนี้เขาเลือกที่จะไม่ใช้คทาเวทที่เวทต่อสู้ที่ใช้ได้มีแค่เวทยิงลูกไฟด้วยยังไม่อยากเผาป่าอีกรอบ แม้ว่าจะยังบาดเจ็บอยู่แต่จากนิสัยที่ไม่ชอบพวกที่รังแกคนอ่อนแอกว่าก็ไม่อาจทำให้ทนอยู่เฉยได้ แต่ถ้าหากเดมิก็อดคนนั้นแข็งแกร่งพอจะล้มอสุรกายถึงสามตนได้ พวกเขาก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งและเดินทางกันต่อ


ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เสียงการปะทะกันยิ่งชัดเจนขึ้น ภาพตรงหน้าคือฝูงอสุรกายรูปร่างคล้ายหมีผสมสุนัขขนาดราว ๆ สี่ถึงห้าฟุตกำลังห้อมล้อมร่างหนึ่งที่อยู่ตรงกลางวง ด้วยความตัวใหญ่ของมันทำให้เห็นเดมิก็อดผู้นั้นได้ไม่ชัดนัก จึงไม่อาจประเมินได้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร


แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะได้กลิ่นเหยื่อรายใหม่ที่น่าดึงดูดกว่า เจ้าอสุรกายที่มีหนามแหลมขึ้นกลางหลังต่างทำจมูกฟุดฟิดแล้วหันมามองยังสามเดมิก็อดซึ่งนำโดยบุตรมหาเทพโพไซดอนที่กลิ่นสายฝนก็ไม่อาจกลบกลิ่นเย้ายวนชวนน้ำลายไหลได้ จนทำให้พวกเขาเห็นเดมิก็อดผู้นั้นชัดเจน


“นั่นมัน พี่ไฮรี่นี่คะ!”


ถึงจะมอมแมมเปรอะเปื้อนจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม แต่ชาร์ล็อตก็จำอดีตเพื่อนร่วมทีมของเธอได้ขึ้นใจ


“ไฮรี่คือคนนั้นน่ะเหรอ? แย่ล่ะสิ งั้นต้องไปช่วยแล้ว!”


ดวงตาสีเปลือกไม้มองไปทางชายหนุ่มร่างเพรียวที่กำลังต่อสู้กับชูปาคาบราสามตัวอย่างดุเดือด ชุดสูทชาแนลสีชมพูราคาแพงที่สวมทับเสื้อค่ายฮาล์ฟบลัดสีส้มซีดจางขาดวิ่นและเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน เรือนผมสองสียุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แว่นตากันแดดสีดำเลนส์หลุดไปข้างหนึ่ง


‘ก่อนหน้านี้หลายเดือนมาก ๆ ผมเห็นคนใส่เสื้อสีส้มเหมือนคุณ แต่ว่าเขา เอ่อ.. เหมือนสมงสมองไปหมดแล้วน่ะ ปากเพ้อแต่ ‘ต้องช่วยเพื่อน ชาร์ล็อต อาร์ตี้’ อะไรสักอย่าง’


จากคำพูดของรัสเซล สมาชิกกลุ่มฟอลคอนที่เคยพบกันช่วงต้นของการเดินทาง หากดูแค่ภายนอกก็ต้องบอกว่า ‘ใช่.. นี่แหล่ะคนบ้าไม่มีผิด’ แต่ก็เป็นคนบ้าที่มีฝีมือการต่อสู้ฉกาจฉกรรจ์จนน่ากลัว ไฮรี่ใช้ท่อนไม้ที่คาดว่าหามาได้จากแถวนั้นเข้าห้ำหั่นกับอสุรกายอย่างดุดันชนิดที่เรียกว่าไม่กลัวตาย


แต่ดูเหมือนว่าอสุรกายตัวหนึ่งจะออกจากวงต่อสู้สามรุมหนึ่งเสียแล้วหลังจากที่มันสูดกลิ่นของเดมิก็อดที่มาใหม่แล้วมั่นใจได้ว่ากลิ่นนั้นเป็นของสายเลือดเจ้าสมุทร มันกระโจนใส่ดีนในทันทีราวกับวิลอซีแรพเตอร์ (ความจริงควรเป็น ‘ไดโนนีคัส’ ต่างหาก) ในหนังจูราสสิกเวิร์ล


“โว้ว ๆ ใจเย็นพวก!” ดีนกระโดดหลบกรงเล็บคมกริบได้ฉิวเฉียด บุตรเจ้าสมุทรเคยรับมือกับชูปาคาบราเป็นฝูงมาแล้วฉะนั้นแค่สัตว์ประหลาดเพียงตัวเดียวไม่คณามือหรอก “ไม่ต้องห่วงฉัน พวกนายไปช่วยไฮรี่ก่อน!”


“ได้ ระวังตัวด้วยนะดีน”


แมคเคนซีรับคำแล้วรีบไปร่วมวงต่อสู้กับสายเลือดเฮอร์มาโฟรไดตัสทันที เขารู้ว่าดีนสามารถรับมือกับเจ้าตัวนั้นได้สบาย ๆ แต่ไฮรี่นี่สิ ไม่รู้ว่าต่อสู้มานานหรือยัง เจ้าตัวอาจจะใกล้หมดแรงแล้วก็ได้


ผัวะ! 


เสียงท่อนไม้ฟาดเข้าหน้าชูปาคาบราเต็ม ๆ จนเซ เหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นฟันแหลม ๆ ของมันกระเด็นออกมาจากปากด้วยสองสามซี่


ดูท่าฝ่ายที่เสียเปรียบจะไม่ใช่ไฮรี่ซะแล้ว


“เข้ามาเด้! นึกว่ากลัวเหรอ พ่อจะฟาดให้ยับเลย ฮ่า ๆๆๆๆ!”


จากที่ว่าจะเข้ามาช่วยก็กลายเป็นมองหน้ากันกับชาร์ล็อตด้วยความงุนงงแทน นั่นจึงเป็นช่องว่างให้ชูปาคาบราเห็นเดมิก็อดผู้มาใหม่พอดี หากคนที่มันกำลังต่อกรอยู่แข็งแกร่งเกินไป ก็ได้เวลาเปลี่ยนไปจัดการเหยื่อใหม่แทน


“ชาร์ล็อตระวัง!”


เคร้ง!


ดาบทองคำจักรพรรดิในมือแมคเคนซีกันกรงเล็บของชูปาคาบราที่กำลังจะโจมตีน้องสาวของตนได้ทันพอดี เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีดันร่างอสูรขนาดห้าฟุตให้ผละออกไปแล้วรีบใช้ปลายคมดาบแทงกลางร่างของมันจนสูญสลาย และนั่นก็เป็นผลทำให้ไฮรี่ที่กำลังต่อสู้กับอสุรกายอีกตนชะงักไป


“ชาร์ล็อต…ชาร์ล็อตเหรอ อั้ก!”


ชูปาคาบราอีกตนอาศัยจังหวะนั้นโถมตัวใส่จนทั้งไฮรี่และมันล้มคะมำกลิ้งไปด้วยกัน เขี้ยวแหลม ๆ นั่นเกือบจะงับศีรษะของบุตรเฮอร์มาโฟรไดตัสได้แล้วหากเขาไม่ใช้ท่อนไม้ยัดใส่ปากมันในแนวขวางไว้ก่อนจนมันหุบปากไม่ลง แมคเคนซีจึงใช้โอกาสนั้นวิ่งไปใช้ดาบเล่มเดิมแทงเจ้าอสุรกายรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวจากด้านหลังจนมันสลายกลายเป็นธาตุอากาศไปอีกตน


“พี่ไฮรี่ ปลอดภัยดีใช่ไหมคะ”


ชาร์ล็อตรีบมาดูอาการชายหนุ่มผู้เคยเป็นอดีตทีมทำภารกิจของตน ร่างผอมบางของไฮรี่ที่ตอนนี้เลอะดินโคลนเต็มไปหมดลุกขึ้นนั่ง ดวงตาที่ไร้เลนส์แว่นกันแดดบดบังข้างนึงมองจ้องเด็กสาวตรงหน้าชั่วครู่แล้วคว้าร่างของเธอไปกอดไว้แน่น


“ชาร์ล็อต! ใช่เธอจริง ๆ ด้วย!”


“เฮ้ย—!”


ส่วนคนเป็นพี่ชายก็ได้แต่ร้องอุทานเมื่อน้องสาวถูกเจ้าหนุ่มหน้าตาดีดึงไปกอดต่อหน้าต่อตา แต่ก็ไม่รู้จะขัดอย่างไรเมื่อชาร์ล็อตเองก็กอดตอบอีกฝ่ายด้วยความดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่าที่รอดชีวิตอีกครั้ง


ดีนตามมาสมทบหลังจากที่กำจัดชูปาคาบราเสร็จไปตัวหนึ่งซึ่งมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เขาชะงักไปพร้อม ๆ กับแมคเคนซีเมื่อเห็นภาพตรงหน้า


“ไฮรี่กับชาร์ล็อตเป็นแฟนกันเหรอ” ดีนกระซิบถามผู้เป็นพี่ชาย


“บ..บ้าน่า ไม่หรอก…ไม่มั้ง”


แมคเคนซีหันไปกระซิบกระซาบตอบ เขาเองก็ยังไม่กล้าฟันธงเพราะน้องสาวก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แต่สำหรับคนเป็นพี่ชายแล้วก็ต้องคิดว่าไม่ใช่ไว้ก่อนล่ะ


“ชักช้าจริง แค่ให้จัดการเดมิก็อดเสียสติคนเดียวทำไมมันนานนักนะ”


เสียงของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลังจนต้องหันไปมอง


“อุ๊ยตาย มีคนเพิ่มมางั้นเหรอ….กลิ่นแรงขนาดนี้ พวกเธอเป็นเดมิก็อดกันหมดเลยเหรอเนี่ย หรือว่าพวกเอล กาบาโยเอา ‘ของ’ มาส่งแล้วเหรอ”


หญิงสาวที่เดินออกมาจากหลังต้นไม้รกทึบมุมหนึ่งพูดเองเออเองไปคนเดียวต่าง ๆ นานา แต่ดันมีอะไรบางอย่างที่สะกิดใจของเหล่าเดมิก็อดเข้า


“คุณรู้จักเอล กาบาโยด้วยเหรอ”


แมคเคนซีถามพลางกระชับดาบทองจักรพรรดิในมือแน่นขึ้น เขาเริ่มรู้สึกไม่ไว้ใจหญิงตรงหน้าขึ้นมาแปลก ๆ


“แน่นอนสิพ่อหนุ่ม เจ้านั่นบอกฉันว่ามีของดีมาให้ สายเลือดเฮคาทีสองคน คนนึงเอาไปทำลาเมีย ส่วนอีกคนก็…ส่งไปทำพิธีบูชายัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ยังไงล่ะจ๊ะ”


ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าที่ม่านตารับแสงของเธอดูแคบลงจนเหมือนสัตว์จำพวกงู ดวงตาคู่นั้นมองมายังชาร์ล็อตราวกับสัตว์ป่าที่กำลังมองเหยื่อ


“หนึ่ง.. สอง.. สาม.. สี่.. อุ๊ยตาย ดูเหมือนว่าเอล กาบาโยจะให้ของแถมมาถึงสอง แถมหนึ่งในนั้นจะเป็นบุตรเจ้าสมุทรอีกต่างหาก”


หญิงสาวนัยน์ตางูแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก ซึ่งลิ้นของเธอนั้นเล็กเรียวและมีปลายสองแฉกเหมือนกับอสรพิษไม่มีผิด และเวลานี้ร่างที่แท้จริงของเธอก็ปรากฏให้เห็นแล้ว ร่างกายท่อนบนมีเกล็ดขึ้นตามตัว ส่วนร่างกายท่อนล่างก็กลายเป็นหางของสัตว์เลื้อยคลานแทนที่จะเป็นขา


“ตะ.. ตัวอะไรอีกเนี่ย นั่นลาเมียที่นายเคยเจอเหรอแมคซี่” ดีนกระซิบถามคนรักของเขาอีกครั้ง แต่เมื่อพิจารณาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอสุรกายหญิงตรงหน้ากลับมีท่อนล่างเป็นงูสองหาง “หรือจะเป็นเมลูซีนสายพันธุ์ใหม่?”


“ไม่น่าใช่ ลาเมียที่ฉันเคยเจอร่างคนไม่มีเกล็ด แต่นี่มีเกล็ดทั้งตัวแถมมีสองหางอีก ส่วนพวกเมลูซีนน่าจะอยู่ในน้ำไม่ใช่เหรอ”


ถึงจะอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแต่แมคเคนซีก็ยังหันไปซุบซิบกายวิภาคอสุรกายกับบุตรโพไซดอนกันสองคน


ในระหว่างที่สองหนุ่มกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ไฮรี่ก็ปล่อยกอดชาร์ล็อตออกแล้วจะโจนเข้าใช้ท่อนไม้ฟาดใส่สาวงูอย่างรุนแรง


“แก! แกน่ะมันลูกน้องไอ้ไฮเปอเรียน!!”


“แหม ๆๆ นึกว่าใคร ที่แท้ก็แกเองรึ ของเล่นของนายท่าน รอดมาได้ถึงนี่หนังเหนียวไม่เบา” แดรกคีเน่หัวเราะในลำคอคล้ายกับว่าเธออยากจะหยอกของเล่นเก่าต่อจากนาย


“ย้ากกกก!!”


โทสะเข้าครอบงำบุตรแห่งเฮอร์มาโฟรไดตัสอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มไปโกรธเกลียดเคียดแค้นนางปีศาจตั้งแต่ตอนไหน คงมีแค่เขาและมันที่รู้ หรือไม่ก็อาจจะชาร์ล็อตอีกคน… ธิดาแห่งเฮคาทียืนตัวแข็งทื่อ เมื่อตอนที่ถูกจองจำอยู่ในชั้นใต้ดินบ้านในซอยบูเลอวาร์ด เธอเคยได้ยินเสียงเลื้อยของงูปะปนอยู่กับเสียงฝีเท้าของเหล่าไซคลอปส์ เดอะ วอชเชอร์ ไม่แน่ว่าแดรกคีเน่ตนนี้อาจเป็นลูกน้องคนสนิทของ ‘ไททัน’ ที่พวกเดอะ วอชเชอร์คุยกัน


“พี่แมค พี่ดีนคะ แย่แล้ว! แดรกคีเน่ตนนี้ต้องเป็นลูกสมุนของหัวหน้ากลุ่มวอชเชอร์แน่ ๆ เลยค่ะ!” ชาร์ล็อตตะโกนบอก


“ค๊อง!” โคมะจิเห่ารับ คล้ายบอกให้ทุกคนเตรียมตัวสู้กับศัตรูที่ร้ายกาจ ก่อนที่มันจะกลายร่างเป็นปีศาจจิ้งจอกตัวมหึมาเหมือนในมังงะนารุโตะ


“นี่รองบอสเหรอ งี้แปลว่าบอสอาจอยู่แถว ๆ นี้สินะ!” ดีนตอบกลับน้ำเสียงตื่นตะลึง แต่ไม่มีเวลาให้มัวมาอึ้งเพราะไฮรี่ถูกอัดกระเด็นจนตัวลอยแล้วกำลังจะถูกอสุรกายสาวพ่นพิษใส่ “โอ้ เชี่ย!! แย่แล้ว กำแพงน้ำ!!”


ดีนดึงเอาพลังของน้ำฝนมาเป็นเกราะป้องกันพิษที่กำลังพ่นใส่ไฮรี่ทำให้อีกฝ่ายรอดไปได้อย่างหวุดหวิด


“แดรกคีเน่เหรอ”


ชื่อไม่คุ้นหูโผล่ขึ้นมาอีกชื่อ แต่ก็เดาได้ไม่ยากเย็นว่าคงเป็นชื่อของอสุรกายตนนี้แน่ ๆ นอกจากนี้เธอยังมีหอกเป็นอาวุธประจำตัวด้วย ซึ่งดูจากท่าทางการจับแบบมืออาชีพแล้วคงไม่ได้ถือมาเล่น ๆ แน่นอน


“กรรรร—”


โคมะจิร่างยักษ์ส่งเสียงขู่ในลำคอก่อนเปิดฉากสู้ด้วยการกระโจนเข้าใส่ แต่แดรกคิเน่ก็ว่องไวพอที่จะเลื้อยหลบได้อย่างคล่องแคล่ว เหมือนว่าเธอมีเป้าหมายที่แน่ชัดแล้วว่าต้องเป็น ‘ชาร์ล็อต’ ซึ่งถูกวางตัวให้เป็น ‘เครื่องสังเวย’ สำหรับการทำพิธีการในครั้งนี้


“ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะ!”


แมคเคนซีเข้ามาขวางไว้ เขาลงดาบฟันไปเต็มแรงแต่แดรกคิเน่เองก็เอาหอกรับไว้ได้ทุกครั้ง และด้วยชั้นเชิงการใช้อาวุธที่เหนือกว่า อสูรครึ่งอสรพิษสาวก็ใช้หอกปัดป้องและสวนกลับจนดาบในมือแมคเคนซีกระเด็นหลุดออกจากมือและสลายไป บุตรเทพีแห่งมนตราพยายามตั้งสมาธิเพื่อเรียกหมอกพรางตา แต่ก็ดูเหมือนจะช้าไปเมื่อหางของแดรกคิเน่เลื้อยมาพันรัดร่างของเขาไว้แน่นจนเกือบหายใจไม่ออกจนไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้ ซ้ำยังแทบจะครองสติไว้ไม่อยู่


“พวกเจ้ามีฝีมือกันแค่นี้เองรึ อ่อนหัดเสียจริง”


“ปล่อยแฟนฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!”


บุตรแห่งสายน้ำพุ่งทะลุผ่านม่านหมอกอันเจือจางฟันหางของแดรกคีเน่จนขาดกระเด็น ปีศาจสาวกรีดร้องโหยหวน เมื่อหางงูโดนฟันขาดไปครึ่งนึงแบบนี้ก็ยากจะคงร่างอยู่ในโลกมนุษย์ได้อีกต่อไป ทว่าไม่…


“กร๊าซซซ”


นังงูพิษรวบรวมพิษมหาศาลพ่นเข้าใส่บุตรเจ้าสมุทร


“อิกนิส พาร์วัส!”


ลูกไฟน้อยพุ่งออกมาจากปากกาเวทมนตร์ฟรุ้งฟริ้ง และเมื่อมันสัมผัสกับละอองพิษก็เกิดการลุกไหม้ขนานใหญ่ลามเข้าไปในปากของอสูรสาวจนแผดเผาลำคอ


“นังเด็กนี่!!”


แดรกคีเน่เหลือจะอด นางเสือกตัวเลื้อยไปตามพื้น แม้จะหางขาดไปหนึ่งแต่ก็ยังคงรวดเร็วแม้ไม่เท่าแต่ก่อน มันรีบพุ่งถลาไปทางชาร์ล็อต การรับมือกับเดมิก็อดสี่คนและอสุรกายจิ้งจอกยักษ์พร้อมกันดูเหมือนจะตึงมือเกินไป นางจึงเล็งไปที่เป้าหมายกะจะพาหนีไม่ว่าเหยื่อจะกลับไปในสภาพไหนก็ตาม ไฮรี่ที่ถูกตบคว่ำไปในตอนแรกสุดถลาตัวมาขวางชาร์ล็อตไว้ด้วยเนื้อตัวที่เปื้อนโคลนจนดูไม่ได้


“กรร!!”


ยังไม่ทันถึงตัวโคมะจิกระโดดขึ้นคร่อมปีศาจงูเอาไว้ มันกัดหลังคอของนางก่อนจะสะบัดไปมาอย่างรุนแรง แดรกคีเน่สาวกรีดร้องเสียงหลงเมื่อเนื้อของมันถูกฉีกกระชากกลายเป็นฝุ่นผง


‘ลูกพี่โคมะจิโคตรโหด!’


ดีนที่ยืนช็อตไปตั้งแต่ที่เกือบถูกพ่นพิษใส่อ้าปากค้าง ด้วยความเจ็บปวดแดรกคีเน่พ่นพิษออกมาไม่หยุดหย่อนอย่างไร้ทิศทางจนปีศาจจิ้งจอกขาวยังต้องกระโดดหลบออกมา แมคเคนซีอยู่ในพิสัยของพิษแถมเจ้าตัวยังดูเหมือนว่าลุกขึ้นมาหลบไม่ไหว ดีนจึงกางโล่ฮิปโปแคมปัสออกมาก่อนจะย่อตัวลงยกโล่ขึ้นคุ้มกันอีกฝ่ายไว้


“ที่รักนายไหวหรือเปล่า!”


ประเมินจากสายตาหนุ่มอังกฤษลุกไม่ขึ้นแน่ ๆ แต่ให้กางโล่ต่อไปแบบนี้คงไม่ดี แม้โล่ฮิปโปแคมปัสจะเป็นอาวุธเทพที่ยากจะบุบสลายก็ตาม


“อึ้ก! แค่ก ๆ! โอเค ฉันโอเค”


แมคเคนซีตอบเสียงแผ่วทั้งที่ยังไอโขลก ดีที่ดีนมาช่วยไว้ทัน ไม่อย่างนั้นเขาคงได้กระดูกหักไม่ก็เครื่องในบีบตัวรวมกันจากแรงรัดของอสุรกายสาวตนนั้นแน่ ๆ


“โอเคกับผีน่ะสิ!”


ถึงจะบอกแบบนั้นแต่อาการอีกฝ่ายก็ดูไม่ดีเอาซะเลย ดีนจึงต้องรีบปิดจ๊อบอย่างรวดเร็ว เขารวบรวมน้ำพิษเป็นก้อนมวลใหญ่ ก่อนจะบังคับให้มวลน้ำยักษ์เข้าไปครอบคลุมแดรกคีเน่ตนนั้น แม้แต่เจ้าของพิษยังต้องแพ้ภัยจากพิษของตนเอง ร่างปีศาจถูกกัดกร่อนจนสลายถึงกระดูก กระนั้นก็ยังอุตส่าห์ทิ้งสินสงครามไว้ให้ดูต่างหน้า


แดรกคีเน่ถูกกำจัดไปแล้ว แต่ปัญหาต่อจากนี้คือจะทำยังไงกับพิษจำนวนมากนี้ดี ยิ่งฝนพรำลงมาก้อนน้ำพิษก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่สุดท้ายก็จำเป็นต้องทิ้ง ดีนทุ่มมวลน้ำนั้นไปที่ก้อนหินใหญ่ มันแหลกเป็นผงได้ภายในพริบตาจากการกัดกร่อนรุนแรง ดีนะที่ไม่มีใครโดนพิษเข้าจัง ๆ …


ปิดจ๊อบได้อย่างเสร็จสมบูรณ์ดีนถึงกลับมาดูอาการแมคเคนซีอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร…


“แก ไอ้ปีศาจตายซะ!!” เสียงของไฮรี่ตะโกนขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขามีเป้าหมายที่โคมะจิที่เพิ่งกลับร่างเล็กลงเป็นจิ้งจอกจิ๋ว


“หยุดนะคะพี่ไฮรี่!!”


ชาร์ล็อตรีบมายืนขวางหน้าโคมะจิไว้เพื่อไม่ให้ไฮรี่ลงมือทำร้าปีศาจจิ้งจอกสี่หางได้ ซึ่งก็ได้ผล บุตรเฮอร์มาโฟรไดตัสถึงกับหยุดชะงักนิ่งสนิทไปทันทีเหมือนกับถ่านหมด


“โคมะจิมาช่วยพวกเราค่ะ ไม่ได้เป็นศัตรู โคมะจิจะพาเราออกจากป่า แล้วนั่นก็พี่ดีนกับพี่แมคเคนซี พวกพี่เขามาจากค่ายฮาล์ฟบลัดเหมือนกัน เขาจะมาช่วยพาพวกเรากลับบ้าน”


ได้ทีธิดาเฮคาทีก็รีบอธิบายต่อ เธอไม่รู้ว่าคำพูดของเธอจะช่วยดึงสติไฮรี่ได้มากแค่ไหน แต่ก็ได้แค่หวังว่าอีกฝ่ายจะยอมฟังเธอบ้าง


“บ้าน…กลับบ้านเหรอ ฉันอยากกลับบ้าน แล้วอาร์ตี้ล่ะ อาร์ตี้อยู่ที่ไหน เราต้องรีบไปช่วยอาร์ตี้กันนะชาร์ล็อต แล้วพวกเราจะได้กลับบ้านกัน”


ไฮรี่ที่นั่งคุกเข่าลงไปกับพื้นสงบเสงี่ยมได้ไม่นานก็เริ่มลนลานขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเพื่อนร่วมทีมและถือเป็นพี่น้องร่วมบ้านอีกคนที่ตอนนี้ไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วย เขารีบคว้ามือชาร์ล็อตไว้แล้วบีบมือของเธอแน่นราวกับเหลือเด็กสาวเป็นเพียงที่ยึดเหนี่ยวสุดท้าย


“พี่อาร์ตี้…พี่อาร์ตี้บอกว่าจะล่วงหน้าไปก่อนค่ะ พวกเราต้องรีบตามไป พอพวกเราเจอพี่อาร์ตี้แล้วก็จะกลับบ้านกันนะคะ”


ชาร์ล็อตกุมมือของชายหนุ่มตอบโดยไม่สนว่ามือจะเปื้อนดินโคลนไปด้วย เธอคงคิดมาดีแล้วว่าถึงบอกความจริงไปก็คงไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเท่าไหร่ แม้จะอยากร้องไห้ให้กับชะตากรรมอันโหดร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ แต่ก็ต้องทำเป็นเข้มแข็งแล้วยิ้มเอาไว้


“จริงเหรอ จริง ๆ นะ งั้นพวกเรารีบไปกันเร็ว ๆ เลย”


เมื่อได้รู้ความเป็นไปในทางที่ดีขึ้นก็เหมือนทำให้มีกำลังใจขึ้นมา ไฮรี่รีบลุกขึ้นยืนในทันทีด้วยจิตใจอันฮึกเหิม


“ค๊อง!” โคมะจิหันมามองทางเดมิก็อดสองหนุ่มแล้วเห่าไปทีนึง


“โคมะจิบอกว่าจากจุดนี้ไปถึงชายป่าของเมืองที่ใกล้ที่สุดใช้เวลาประมาณเจ็ดชั่วโมงค่ะ พวกพี่ไหวกันหรือเปล่าคะ” แล้วก็เป็นชาร์ล็อตที่ยังคงทำหน้าที่แปลภาษาให้เป็นอย่างดี


“พี่ไหว ไปกันต่อได้เลย”


แมคเคนซีรีบพยักหน้ารับ เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ในป่าไปนานกว่านี้ ยิ่งฝนตกแบบนี้ด้วยแล้ว ทั้งยุงและแมลงคงจะชุมไปหมด หากไม่ได้เป็นไข้เพราะฝนก็อาจติดเชื้อจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ไหนจะต้องคอยระวังพวกอสุรกายที่จะโผล่มาอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้


“เจ็ดชั่วโมงเหรอ… ไหวสิ ไหวแหละ”


ดีนตอบรับด้วยน้ำเสียงที่แทบจะแหบแห้งหายไปในลำคอ แอบท้อนิดหน่อยที่เดินมาทั้งวันแต่ก็ยังมาได้แค่ครึ่งทาง กระนั้นพวกเขาก็ต้องไปต่อ เพราะนั่นคือหนทางเดียวที่จะมีชีวิตต่อไปได้ นี่ไม่ใช่การแข่งขันเดินเทรลที่หากไม่ไหวจะส่งสัญญาณเรียกสต๊าฟมารับตัวได้ แม้พวกเขาจะมีโคมะจิเป็นที่พึ่งก็จริง แต่ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าหากมันหอนแล้วพวกพรานสาวจะมาช่วย


เมื่อมติเป็นเอกฉันท์แล้ว ทีมทำภารกิจซึ่งมีเพื่อนร่วมทีมเพิ่มขึ้นมาอีกคนจึงเริ่มออกเดินทางกันต่อ


.

.

.


- 09:23PM -


ภายหลังจากใช้เวลาเดินอยู่ในป่ากันมาครึ่งค่อนวัน ในที่สุดพวกเขาก็พ้นจากเขตป่าดงดิบสุดหฤโหดของช่องดาเรียนแล้ว


“ค๊อง!”


“เอ๊ะ…จะไปแล้วเหรอจ๊ะ พี่ ๆ คะ โคมะจิบอกว่าจากตรงนี้ไปจะเข้าเขตเมืองยาวิซ่าแล้ว ให้พวกเราหาที่พักที่นี่กันก่อน ส่วนโคมะจิจะกลับไปรวมกลุ่มกับพวกพี่ ๆ พรานอาร์เทมิสแล้วค่ะ”


ชาร์ล็อตถามโคมะจิ แต่ก็ไม่ลืมที่จะแปลสารให้พวกพี่ชายของเธอฟังด้วย


“ไม่พักสักหน่อยเหรอ เดินทางกันมาตั้งหลายชั่วโมง”


แมคเคนซีที่ตอนนี้เรี่ยวแรงเริ่มหมดจนต้องให้ดีนช่วยพยุงถามขึ้น


“ค๊อง!”


“โคมะจิบอกว่า ‘ไม่เป็นไร ไฮดร้าสามสิบหัวร้ายกาจมาก ถึงกลุ่มพรานอาร์เทมิสจะมีฝีมือแต่ข้าก็ต้องรีบไปช่วยพวกนาง’ ค่ะ” ธิดาเฮคาทีช่วยแปลให้หลังจากที่ปีศาจจิ้งจอกส่ายหน้าไปมา


“อืม…ทางนั้นเองก็คงลำบากไม่น้อย ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ เดินทางปลอดภัยนะโคมะจิ ขอบคุณที่ช่วยนำทางให้พวกเรา ขอให้จัดการไฮดร้าสามสิบหัวนั่นสำเร็จนะ”


เมื่อฟังเหตุผลของโคมะจิแล้วก็เข้าใจได้ในทันที จะรั้งไว้ก็คงไม่เป็นผลในเมื่ออีกฝ่ายต้องกลับไปทำหน้าที่ของตนเองเช่นกัน ตอนนี้จึงได้เวลาบอกลาจิ้งจอกสี่หางแล้ว


“ขอบคุณมากนะลูกพี่โคมะจิ ขากลับก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ถ้าเหนื่อยก็พัก ความปลอดภัยต้องมาเป็นที่หนึ่ง” ดีนกล่าวลา ในใจเขาอยากจะกอดสิ่งมีชีวิตสีขาว ๆ ขนฟู ๆ สักทีนึง แต่อีกฝ่ายคงไม่ยอมแน่ ๆ จึงได้แต่โบกมือบ๊ายบาย


“ขอบคุณมากนะจ๊ะโคมะจิ ถ้ามีโอกาสเราคงได้พบกันอีกนะ”


ชาร์ล็อตก้มลงลูบหัวโคมะจิเบา ๆ ซึ่งครั้งนี้มันก้มหัวให้เล็กน้อยก่อนจะเห่าดัง “ค๊อง!” รับเป็นครั้งสุดท้ายแล้ววิ่งหายกลับเข้าไปในป่า


“ทีนี้เราจะเอายังไงกันต่อดี หาโรงแรมสักที่เข้าพักก่อนไหม”


พอเหลือกันอยู่สี่คน แมคเคนซีจึงหันมาถามความเห็นเพื่อนร่วมทีมทั้งสองต่อ (เว้นไฮรี่ที่คงจะช่วยออกความเห็นไม่ได้ไว้)


‘โอ๊ยยยยย โรงรงโรงแรมอะไร ไม่มีหรอกที่นี่ นักท่องเที่ยวยังไม่มีเลยเถอะ ฉันถึงต้องระหกระเหินไปทำงานไกลบ้านไงล่ะ’


เสียงจากวิญญาณสาวที่สิงอยู่ในพวงกุญแจดังขึ้นมาในหัวสองพี่น้องเฮคาทีหลังจากที่เธอเงียบมาทั้งวัน จนชวนให้นึกว่าเธอหายไปสู่ภพภูมิใหม่ระหว่างทางแล้วซะอีก


“หมายความว่ายังไง คุณจะบอกว่าเมืองนี้ไม่มีที่พักงั้นเหรอ”


ได้ยินแบบนั้นแมคเคนซีก็ตาโตทันที ที่พวกเขาเดินทางกันทั้งวี่วันเพื่อจะรีบเข้าเมืองมาหาที่พักที่ดีกว่าการนอนเต็นท์กลางป่าเขา กลับกลายเป็นว่ามาเจอเมืองที่ไม่มีแม้แต่ที่จะให้พวกเขาซุกหัวนอนงั้นเรอะ


‘ก็…ประมาณนั้น แต่ว่าฉันมีข่าวดีนิดหน่อยนะ เมืองนี้น่ะเป็นบ้านเกิดฉันเอง ไหน ๆ พวกนายกับชาร์ล็อตก็พาฉันกลับบ้านได้สำเร็จแล้ว ฉันจะให้นอนค้างที่บ้านสักคืนเพื่อเป็นการตอบแทน’


“พูดอย่างกับเป็นเรื่องง่าย ถึงจะบอกว่าเป็นบ้านคุณแต่คนในบ้านจะยอมให้คนแปลกหน้าเข้าพักได้ไง”


“เป็นบ้าเหรอ พูดคนเดียว”


เสียงไฮรี่แทรกขึ้นมาจนแมคเคนซีนึกขึ้นได้ นั่นสิ…ในที่นี้ยังมีดีนและไฮรี่ที่สื่อสารกับวิญญาณไม่ได้นี่นะ


ว่าแต่ทำไมเขาถึงต้องโดนคนสติไม่ดีทักว่า ‘เป็นบ้า’ ด้วยฟะ


“ริเซ่บอกว่าที่เมืองนี้ไม่มีโรงแรมให้เราเข้าพัก แต่ที่นี่คือบ้านเกิดของเธอ เธอจะให้พวกเราพาเธอไปส่งที่บ้านแล้วให้พวกเราพักที่บ้านเธอคืนนึง”


แมคเคนซีเลือกที่จะปล่อยผ่านคำพูดของไฮรี่ไปแล้วหันมาบอกเรื่องที่สนทนากับวิญญาณสาวให้ดีนรับรู้ก่อนจะเงียบไปเพื่อรอฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมทีม


“ผีนี่ก็มีประโยชน์เหมือนกันนะเนี่ย คิดถูกแล้วที่พามาด้วย” ดีนตอบ หลังจากนั้นริเซ่ก็กรี๊ดจนพวงกุญแจสั่น แต่คงมีแค่สายเลือดแห่งเฮคาทีเท่านั้นที่ได้ยิน “ถ้างั้นฝากขอบคุณเธอด้วยนะ ยังไงมีที่ซุกหัวนอนก็คงจะดีกว่าต้องนอนกลางดินกินกลางทรายในเมืองที่ไม่รู้จัก”


แม้พวกเขาจะเอาเต็นท์มาก็เถอะ แต่จู่ ๆ มีใครก็ไม่รู้มาปักเต็นท์ในหมู่บ้าน เผลอ ๆ จะถูกหัวปิงปองมาลากเข้าซังเต อีกอย่างเมืองนี้ติดกับช่องดาเรียนเอามาก ๆ ถือว่ายังเป็นพื้นที่อันตรายจากคนร้าย ๆ ได้อยู่


“แต่ว่า… แล้วเราจะพูดยังไงให้ที่บ้านของริเซ่เข้าใจได้ล่ะ แบบว่า… จะมีหลักฐานอะไรมายืนยันได้ว่าเราพาวิญญาณลูกสาวเขามาส่งจริง ๆ ไม่ใช่แก๊งต้มตุ๋น สิบแปดมงกุฎ หรืออะไรทำนองนั้น แล้วดูพวกเราสิ… โคตรจะเละเลย”


ดีนกางแขนออกทั้งสองข้าง เสื้อกันฝนที่ใส่ช่วยกันดินโคลนกระเด็นใส่เสื้อผ้าได้บ้าง แต่รองเท้าและขากางเกงก็เละเทะไปหมด ส่วนที่เละยิ่งกว่าก็คือไฮรี่ที่มอมไปทั้งตัว


เมื่อได้ฟังที่ดีนบอก ชาร์ล็อตก็ครุ่นคิดเล็กน้อย


“ถ้าเล่าเรื่องที่มีแค่ที่บ้านรู้ บางทีเขาอาจจะเชื่อก็ได้นะคะ ยังไงเราก็ไม่มีหลักฐานอะไรมากไปกว่านั้น จากนี้คงต้องให้พี่ริเซ่ช่วยสื่อสารแล้วล่ะค่ะ”


‘ไม่ต้องห่วงชาร์ล็อต พวกเธอพาฉันมาส่งถึงบ้านได้ก็ขอบคุณมากแล้ว ฉันต้องสื่อสารให้พ่อกับแม่เชื่อให้ได้ว่าวิญญาณของฉันอยู่ตรงนี้’ ผีสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทั้งที่เธอไม่จำเป็นต้องหายใจแล้วด้วยซ้ำ คล้ายกับการเตรียมใจเพื่อเผชิญหน้า ‘เอาล่ะ อย่าเสียเวลาเลย ตามฉันมาเถอะ’


กล่าวจบริเซ่ก็พุ่งทะลุออกมาอยู่ด้านนอกพวงกุญแจ แล้วเดินนำเดมิก็อดทั้งสี่ตรงเข้าไปในหมู่บ้าน





ความคิดเห็นผู้บันทึก

การเดินทางในป่าดงดิบน่ากลัวมากค่ะ มีแต่ต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด พวกเราโชคดีมากที่มีโคมะจิช่วยนำทาง ไม่อย่างนั้นพวกเราอาจหลงอยู่ในป่า ไม่ได้ออกจากป่าไวขนาดนี้แน่ และน่าไม่น่าเชื่อเลยค่ะว่าพวกเราจะได้พบพี่ไฮรี่อีกครั้งที่นี่ ถึงพี่ไฮรี่จะมีสภาพไม่เหมือนเดิมแต่หนูก็จะพาพี่เขากลับค่ายกับพวกเราให้ได้ แล้วก็จะคอยดูแลพี่เขาให้หายดีด้วย 


สรุปสถานการณ์

- ทีมทำภารกิจพักแรมกลางป่าหนึ่งคืน

- เดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น พบ ‘ไฮรี่’ เดมิก็อดบุตรแห่งเทพเฮอร์มาโฟรไดตัส

ผู้ร่วมทีมทำภารกิจเก่าของชาร์ล็อตที่หายสาบสูญกำลังต่อสู้กับฝูงอสุรกาย

- ทีมทำภารกิจต่อสู้กับอสุรกายและออกเดินทางต่อโดยให้ ‘ไฮรี่’ ที่อยู่ในสภาพเสียสติร่วมเดินทางไปด้วย

- เดินทางออกจากป่าดงดิบของช่องดาเรียน มาถึงเมืองยาวิซ่า ประเทศปานามา


พิชิตอสุรกาย

ชูปาคาบรา [1+2] [3]
แดรกคีเน่ [1]

โบนัสสินสงคราม [LUK มากกว่า 100]
(โอนเข้า @Mackenzie ได้เลย ใช้ของร่วมกันกับ @Dean)
เขี้ยวแวมไพร์ 1 ea
ขวดเลือดชูปาคาบรา 2 ea
เกล็ดแดรกคีเน่ 2 ea
ขวดเลือดแดรกคีเน่ 4 ea

DEAN


+2 ตื่นรู้จากการพิชิต [แดรกคีเน่] ครั้งแรก

MACKENZIE


+2 ตื่นรู้จากการพิชิต [แดรกคีเน่] ครั้งแรก +2 ตื่นรู้จากการพิชิต [ชูปาคาบรา] ครั้งแรก

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 151291 ไบต์และได้รับ 42 EXP!  โพสต์ 2025-10-8 22:56
โพสต์ 151,291 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก เหรียญนกฮูก  โพสต์ 2025-10-8 22:56
โพสต์ 151,291 ไบต์และได้รับ +25 EXP +35 เกียรติยศ +55 ความศรัทธา จาก น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ  โพสต์ 2025-10-8 22:56
โพสต์ 151,291 ไบต์และได้รับ +4 เกียรติยศ +4 ความกล้า จาก สร้อยคอดีไซน์เท่  โพสต์ 2025-10-8 22:56
โพสต์ 151,291 ไบต์และได้รับ +9 EXP +8 ความกล้า จาก กางเกงเดินป่า  โพสต์ 2025-10-8 22:56

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +4 ย่อ เหตุผล
God + 4

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เหรียญนกฮูก
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x5
x1
x10
x2
x1
x2
x2
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
โพสต์ 7 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด


XXIII
ครอบครัว
Dean Eilwyn Alvarez Neal

- 29.05.2025 / 09:48 P.M. -

เมืองยาวิซ่า, ประเทศปานามา



“พี่ริเซ่บอกว่าบ้านหลังนั้นนั่นแหละค่ะ’


ชาร์ล็อตชี้นิ้วตามริเซ่ไปยังบ้านไม้ขนาดกลางหลังหนึ่งที่หลังคามุงด้วยสังกะสีสนิมเกรอะ สภาพเหมือนกับจะพังได้ทันทีเมื่อพายุฤดูร้อนพัดผ่าน สภาพบ้านหลังนี้แย่กว่าโรงนาเก่าแก่ในฟาร์มของสหรัฐฯ เสียอีก ทว่าเมื่อเห็นบ้านแบบนี้เรียงรายกันนับสิบหลังก็ไม่อาจระบุได้ว่าสถานะทางสังคมของริเซ่ด้อยกว่าคนอื่น ๆ ใน ‘ยาวิซ่า’


‘ลินดา!’


ผีสาวพุ่งผ่านอากาศไปยังบ้านหลังนั้นทันทีเมื่อเห็นเด็กผู้หญิงผิวเข้มวัยอ่อนกว่ารีชาหรือนิโคไลนิดหน่อย ร่างวิญญาณพยายามสวมกอดเด็กหญิงแต่กลับทะลุผ่านไปอย่างน่าเสียดาย


เดมิก็อดสายเลือดเฮคาทีต่างมองหน้ากันกับภาพอันน่าสะเทือนใจ ส่วนดีนที่มองไม่เห็นอาจกำลังงงเพราะไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่มีอยู่คนเดียวที่เดินทะเล่อทะล่าเข้าไปที่บ้านหลังนั้นคือไฮรี่ จนชาร์ล็อตต้องรีบวิ่งตามไปเพราะเธอเป็นคนเดียวที่สามารถคุมเขาอยู่


“เฮ้! น้องสาว วันนี้พวกเราจะพักกันที่นี่แถมเรายังหิวมากเลยด้—...”


ไฮรี่เข้าไปทักทายอย่างเป็นมิตรด้วยสภาพดินเกรอะกรังไปทั้งตัวจนชาร์ล็อตต้องรีบพุ่งตัวเข้าไปแทรก


“แหะ ๆ ขอโทษนะจ๊ะ คือว่าพวกพี่เป็นเพื่อนพี่ริเซ่น่ะ…”


แต่ไม่ทันที่เดมิก็อดสาวจะกล่าวจบ เด็กหญิงคนนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านพร้อมกับร้องเป็นภาษาสเปน


"¡Papi, mami! Alguien que no conozco vino a la casa... ¡y da miedo! ¡Buaaa!" (พ่อจ๋า แม่จ๋า! มีใครไม่รู้มาที่บ้าน...น่ากลัวมากเลย! แงงง!)


“เหวอ ซวยล่ะสิ เธอวิ่งไปตามพ่อพร้อมกับปืนลูกซองออกมาแล้ว!”


คนที่ฟังภาษาสเปนได้เพียงคนเดียวในกลุ่มตื่นตระหนกหลังจากที่เด็กหญิงลินดาร้องจ้าเข้าไปในบ้าน เพียงไม่นานชายวัยกลางคนผมสีดอกเลาคนหนึ่งก็ออกจากบ้านมา แน่นอนว่าเขาไม่ได้มาพร้อมกับปืนลูกซอง


‘พ่อ…’ ริเซ่เอ่ยเสียงแผ่วน้ำตาซึม


แมคเคนซีมองวิญญาณสาวที่ลอยไปหยุดอยู่ตรงหน้าชายชาวพื้นเมืองคนนั้น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยและอาลัยห่วงหา


“¿Quiénes son? ¿Qué quieren?” (พวกคุณเป็นใคร มีธุระอะไรหรือเปล่า)


ชายผู้เป็นพ่อของริเซ่ถามขึ้น แน่นอนว่าดวงตาคู่นั้นมองทะลุร่างโปร่งแสงของลูกสาวมายังคนแปลกหน้าทั้งสี่คน สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง อาจเพราะสภาพที่ดูเหมือนพวกโฮมเลสเพิ่งถูกหมาไล่ฟัดมาของพวกเขาก็เป็นได้


แต่คราวนี้สองพี่น้องเฮคาทีไม่ยอมให้การสื่อสารมาเป็นอุปสรรคเหมือนคราวที่แล้ว ก่อนจะเดินทางเข้ามาในย่านชุมชน พวกเขาได้ทำการร่ายคาถาแปลภาษามาแล้วเรียบร้อย และแน่นอนว่าตอนนี้พวกเขาก็สามารถฟังและพูดภาษาเดียวกันกับคนที่นี่ได้เช่นกัน


“สวัสดีค่ะ พวกหนูเป็นเพื่อนพี่ริเซ่ค่ะ เอ่อ…เรามาจากที่ที่พี่ริเซ่ทำงานอยู่”


ชาร์ล็อตเป็นผู้เริ่มเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน ด้วยคิดว่าหากให้เด็กสาวที่ดูอ่อนโยนและท่าทางเป็นมิตรเป็นผู้เจรจา น่าจะทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายลงบ้าง


“ที่ที่ริเซ่ทำงาน? แล้วริเซ่ล่ะ ริเซ่กลับมาด้วยหรือเปล่า”


ผู้เป็นพ่อมองหาลูกสาวคนโต แม้ว่าตอนนี้เธอจะอยู่ตรงหน้าเขาแล้วก็ตาม


‘พ่อ หนูอยู่นี่ไง’


วิญญาณสาวเรียกพ่อเสียงแผ่ว ส่วนกลุ่มเดมิก็อดก็ได้เพียงแค่มองหน้ากันเงียบ ๆ ราวกับชั่งใจว่าควรจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ดี


ดูท่าการส่งวิญญาณสาวกลับบ้านจะไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดไว้ซะแล้ว


‘เอายังไงดีริเซ่…’


เมื่ออับจนหนทางว่าควรทำอย่างไรต่อ แมคเคนซีจึงลองปรึกษาวิญญาณสาวดู


‘บอกความจริงพวกเขาไป’


ริเซ่ตอบทั้งที่ไม่หันมามอง แต่คำพูดนั่นไม่ได้ทำให้หนุ่มอังกฤษสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย การบอกความจริงก็หมายถึงเขาต้องบอกคนในครอบครัวคนคนนึงว่า ‘ลูกสาวของเขาตายไปแล้ว’ ซึ่งใครมันจะไปเชื่อ และใครที่ไหนจะไปรับได้กัน แต่ก็อย่างว่า…ตอนนี้พวกเขาเองก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ในเมื่อตกปากรับคำว่าจะช่วยแล้ว การที่เธอบอกแบบนี้ถือว่าเป็นความปรารถนาสุดท้ายของผู้ตาย ที่ควรทำตาม


“คือว่า…ริเซ่เขากลับมากับพวกเราด้วยครับ แต่ไม่ใช่แบบที่พวกเราเป็นอยู่ เธอ…เสียชีวิตไปแล้วเมื่อห้าปีก่อน แล้วเธอก็อยากให้พวกผมมาส่งวิญญาณเธอกลับบ้าน—”


“อย่ามาพูดพล่อย ๆ นะ!”


ยังพูดไม่ทันจบดีก็ถูกผู้เป็นพ่อตะคอกกลับมาเสียงดังจนแมคเคนซีสะดุ้ง ใบหน้าของชายคนนั้นแสดงออกชัดเจนว่ากำลังโกรธขึ้งจนถึงขีดสุด


ว่าแล้วเชียวว่าคุณพ่อต้องไม่เชื่อ เอาเข้าจริงก็ไม่แปลก ใครจะมาเชื่อเรื่องพวกนี้ได้ง่าย ๆ จากชาวต่างชาติผิวขาว เนื้อตัวมอมแมมยกเว้นแค่ดีนเพียงคนเดียวที่ยังพอมีความละม้ายคล้ายคลึงกับชาวปานามาอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้พวกเขาก็มัวแต่คิดวิธีที่จะทำยังไงไม่ให้ตายกลางป่าจนลืมเตี๊ยมเรื่องนี้กับริเซ่ไปเสียสนิท


“ริเซ่จะตายได้ยังไง! ตอนฉันติดต่อไปที่โรงแรมเมื่อห้าปีก่อนพวกเขาบอกว่าเธอลาออกไปแล้ว แล้วยัยลูกไม่รักดีนั่นก็หายหัวไปไม่ติดต่อกลับมาเลย เงินสักแดงก็ไม่ส่งมาให้ ปล่อยให้พวกเราอยู่กันอย่างยากลำบาก ฉันไม่อยากได้ยินชื่อเด็กคนนั้นอีก ถ้าพวกเธอยังคิดจะมาป่วนอีกล่ะก็ ฉันคงต้องเรียกตำรวจให้มาจัดการพวกเธอแล้วนะ!”


“เอะอะอะไรกันน่ะ แล้วตกลงใครมาที่บ้านเราเหรอพ่อ”


หญิงวัยกลางคนในชุดนอนเดินออกมาจากบ้าน เธอดูอ่อนวัยกว่าผู้เป็นพ่อประมาณหนึ่ง แต่ใบหน้าและแววตาของเธอมีเค้าโครงของริเซ่อยู่บนนั้น


“ก็คนพวกนี้น่ะสิแม่ อยู่ ๆ ก็มาออที่บ้านเราแล้วบอกว่าริเซ่ตายแล้ว”


“ตายแล้ว…ทำไมถึงพูดแบบนี้ พวกเธอไม่ควรเอาเรื่องนี้มาล้อกันเล่นนะ”


ผู้เป็นแม่พอได้ฟังก็หน้าเสีย เธอยกมือขึ้นทาบอก น้ำเสียงสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด


“แย่ล่ะสิ ขืนเป็นงี้ต่อไปพวกเรามีหวังได้นอนซังเตแทนบ้านริเซ่แน่ ๆ แมคซี่นายช่วยบอกคุณผีหน่อยได้ไหมว่าให้รีบควักไม้เด็ดออกมาน่ะ”


แต่ไม้เด็ดที่ว่าจะยังไงกันล่ะ บอกว่า ‘หนูเอง ริเซ่ไง ที่ตอนห้าขวบเคยเหยียบชายกระโปรงป้านอร์ม่าจนทำให้ป้าล้มหน้าจิ้มเค้กในงานวันเกิด’ เหรอ? ถ้าเป็นดีนคงมีเรื่องป่วง ๆ มาเล่าจนคนที่บ้านจำความได้แน่ ๆ แต่สาวแม่บ้านอายุยี่สิบต้น ๆ จะมีเรื่องเด็ดคดีดังแบบนั้นเล่าให้ฟังไหม


‘ไอ้แว่น กูได้ยินที่มึงคิดในใจนะ!’ 


จากที่กำลังเศร้า ๆ อยู่ ริเซ่หันขวับมาทางดีนซึ่งเขาไม่ได้รู้ตัวเอาเสียเลย วิญญาณสาวหรี่ตามองบุตรเจ้าสมุทร บางทีหากเธอยืม (สิง) ร่างชายหนุ่มอีกครั้ง อะไร ๆ อาจง่ายขึ้น 


ยังไม่ทันที่แมคเคนซีจะได้ออกความเห็นอะไร เสียงของริเซ่ก็ดังแทรกขึ้นมาในหัวซะก่อน เขาพอจะอ่านสายตาของวิญญาณสาวที่มองมาทางคนรักของตนออกว่ากำลังคิดอะไรจึงเอ่ยห้ามในใจ


‘อย่าทำนะริเซ่—’


แต่ก็ไม่ทันแล้ว ริเซ่พุ่งไปทางดีนเพื่อหวังสิงร่างโดยไม่สนใจเสียงทักท้วงของใครก็ตาม ทว่าคราวนี้เธอสิงร่างของเขาไม่ได้ ร่างโปร่งใสทะลุผ่านกายเนื้อของดีนไปเหมือนกับที่โผเข้ากอดลินดาตัวน้อย


‘ทำไม!?’


ริเซ่ทดลองอีกครั้งแต่ก็ยังทะลุผ่านอยู่ดี เธอทำได้แค่เพียงให้ดีนรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ขนแขนสแตนอัปพร้อมโชว์ให้แมคเคนซีดู


‘พี่ริเซ่ใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ พี่ไม่ควรทำแบบนี้กับพี่ดีนเลย มันไม่ดีต่อเขานะคะ’ ชาร์ล็อตปรามในใจ ‘แล้วที่พี่กำลังทำอยู่ใช้ไม่ได้ผลกับพี่ดีนหรอกค่ะ ตอนนี้พี่เขาจิตแข็งมาก ๆ’


‘แล้วจะให้กูทำยังไง! ไอ้โรงแรมเหี้ย!! ตอนแรกเหมือนจะดี ออกค่านั่นค่านี้ให้มาทำงาน แต่พอตอนกูตายพวกมันเอาร่างกูไปอำพรางแล้วยังโกหกพ่อแม่กูแบบนี้อีก!!’


ผีสาวกรีดร้อง น้ำตาของเธอไหลออกมาเป็นสายเลือดและมีสภาพไม่น่าดูอีกครั้งเมื่อจิตคิดถึงความเคียดแค้นที่ยังคงปล่อยวางไม่ได้


“อยู่ ๆ ทำไมถึงเงียบกันล่ะ เฮโหลววว”


ในระหว่างที่พวกเฮคาทีกำลังคุยกับผีในจิต ไฮรี่ที่สติสตางค์ไม่ดีหันมาทางพวกพ้องแล้วโบกมือไปมาตรงหน้าทุกคน จนบุตรเจ้าสมุทรรู้สึกว่าเขากำลังถูกหนุ่มเฮอร์มาโฟรไดตัสแย่งตำแหน่งคนไร้กาละเทศะของกลุ่มไป…


“ให้ตายสิ คนบ้านี่ช็อตฟีลเป็นบ้าเลย..”


ดีนยกมือขึ้นกุมขมับเพราะเริ่มทนอยู่กับเดดแอร์นาน ๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะสายตาพ่อแม่ของริเซ่ที่กำลังจ้องมองมาในขณะที่เหล่าเฮคาทีเอาแต่สื่อสารกับผีผ่านทางจิต


‘บ้า… คนบ้างั้นเหรอ?’


ริเซ่คิดคำนวณในใจ คนบ้าแปลว่าประสาทไม่ดี หมายถึงไม่อยู่กับร่องกับรอย หมายถึงจิตอ่อน และหมายถึงสิงได้ ไวเท่าความคิด เธอรีบพุ่งตัวไปสิงสู่ในร่างของไฮรี่ทันที ชายหนุ่มกระตุกเฮือก ๆ เหมือนคนเป็นโรคลมชักอยู่ไม่กี่วินาที จากนั้นก้มหน้าลงเหมือนหุ่นยนต์แบตเตอรี่หมด


“พ่อ… แม่… นี่หนูเอง ริเซ่”


ไฮรี่เงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาแดงก่ำ น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง แม้แต่เสียงพูดที่ออกห้าวยังเปลี่ยนเป็นเสียงเล็กของผู้หญิง คงดีกว่านี้ถ้าหมอนี่ไม่กำลังสวมแว่นกันแดดที่เลนส์หลุดออกไปข้างหนึ่ง


ยอมรับว่าแมคเคนซีค่อนข้างไม่พอใจที่ริเซ่พยายามจะสิงร่างคนรักของตนอีกครั้งทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเคยเอ่ยปากห้ามอย่างเด็ดขาดไปแล้ว ดีที่ว่าตอนนี้ดีนจิตแข็งพอที่จะไม่โดนเธอทำเรื่องซ้ำเดิมอีกครั้ง


แต่มันดันไปเกิดกับสมาชิกใหม่ในทีมอย่างไฮรี่แทนนี่สิ


“แงงงง แม่จ๋า หนูกลัว”


ลินดาที่เห็นไฮรี่ทำท่าทางแปลก ๆ รีบวิ่งไปกอดแม่ของเธอไว้ อีกนิดเดียวก็จะร้องไห้อยู่แล้ว


“พวกเธอเล่นอะไรกันเนี่ย ฉันไม่ตลกด้วยนะ!”


ชายวัยกลางคนขยับมายืนขวางระหว่างไฮรี่กับลูกและภรรยาของเขาไว้ ดูเหมือนว่าเขาใกล้จะสติแตกเต็มทีที่คนกลุ่มนี้เอาชื่อลูกสาวคนโตของบ้านมาล้อเล่น


“ฮึก..ฮึก…พ่อ พ่อจำหนูไม่ได้เหรอ ถ้าอย่างนั้นพ่อจำเรื่องนี้ได้ไหม พ่อเคยจะเอาเงินในกระปุกออมสินของลินดาไปใช้หนี้เพื่อนที่ทำงาน หนูมาเห็นเข้าพอดีเลยเอาเงินที่หนูทำพาร์ทไทม์ให้พ่อแทน แล้วพ่อก็บอกหนูว่าอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกน้อง”


ริเซ่ในร่างไฮรี่เล่าเรื่องพลางสะอึกสะอื้น เธอถอดแว่นกันแดดสภาพชำรุดของไฮรี่ออกแล้วใช้หลังมือปาดน้ำตา


“……นั่นมัน ความลับของฉันกับริเซ่นี่”


ผู้เป็นพ่อถึงกับชะงักไปแล้วตาโต เขามองร่างเปื้อนดินโคลนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา


“พ่อเคยจะขโมยเงินในกระปุกคุณหมูอู๊ด ๆ หนูเหรอ”


ส่วนลินดาเองที่ได้ฟังเรื่องนี้เข้าก็ถามขึ้นมาด้วยความใคร่รู้ที่บดบังความกลัวไปจนหมด จนแม่ของเธอต้องจับไหล่เด็กหญิงไว้แล้วปรามว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร


“ยังมีอีกเรื่องนะพ่อ หนูเป็นคนทำความสะอาดบ้าน หนูรู้หมดเลยว่าพ่อซ่อนเงินเอาไว้ที่ไหน ใต้ฟูกที่นอน ในหนังสือ ตู้กับข้าวชั้นล่างสุด แล้วก็หลังกระจกในห้องน้ำ—”


“พอแล้ว ๆ บ้าจริง นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”


ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ชายคนนั้นถึงกับต้องรีบเบรคเอาไว้ก่อนที่ไฮรี่จะพูดเยอะไปกว่านี้ เหมือนแมคเคนซีจะแอบเห็นหญิงผู้เป็นภรรยาเริ่มจะหรี่ตามองสามีของเธอแล้วด้วย


“แล้วก็แม่น่ะ ชอบแอบเจียดเงินไปซื้อเครื่องประดับมาเก็บรวมไว้ในกล่องแล้วซุกไว้ในตู้เสื้อผ้า แล้วก็บอกพ่อว่านายจ้างให้ค่าแรงน้อยบ่อย ๆ”


“จริงเหรอแม่”


คราวนี้ถึงตาคนเป็นพ่อถามขึ้นบ้าง ส่วนภรรยาก็เริ่มทำตาเลิ่กลั่กก่อนจะตอบอ้อมแอ้ม


“ก็…นิดเดียวเอง ไม่เยอะหรอกน่า ฉันเก็บไว้เก็งกำไร ถ้าเอาไปขายต่อก็ได้ราคาดีนะพ่อ”


“แล้วก็ลินดา…เธอเคยบอกพี่ว่าอยากเป็นแอร์โฮสเตส อยากแต่งตัวสวย ๆ เธอเคยวาดรูปเครื่องบินแล้วพี่บอกว่ามันเหมือนแมลงปอยักษ์ แล้วตอนที่เราไปเดินเล่นด้วยกันเธอลื่นหกล้มจนโดนเศษแก้วบาดแถวต้นขา แต่เธอไม่ให้พี่บอกใคร พี่ต้องคอยทำแผลให้จนเธอหายดี ตอนนี้เธอก็ยังมีแผลเป็นอยู่ตรงต้นขาข้างขวาเลยใช่ไหมล่ะ”  


“จริงเหรอลินดา”


ผู้เป็นแม่ถามแล้วไม่รอช้า จับกระโปรงชุดนอนของลูกสาวคนเล็กเลิกขึ้นมาดูทันที แล้วก็พบว่ามีแผลเป็นอยู่ตรงต้นขาข้างขวาของเด็กหญิงจริง ๆ


“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกแม่หา”


“ก็หนูกลัวโดนพ่อกับแม่ดุอะ”


“………..”


ตอนนี้กลุ่มเดมิก็อดกำลังรู้สึกเหมือนดูละครน้ำเน่าครอบครัวมีปัญหาฉากนึงอยู่ยังไงยังงั้น เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าระหว่างรอให้คนในครอบครัวริเซ่ยอมรับว่าเธอตายไปแล้วจริง ๆ (รวมถึงเคลียร์เรื่องที่วิญญาณสาวเป็นผู้กุมความลับทั้งหมดจบ) กับการที่พวกเขาไปหาที่อื่นนอนอย่างไหนจะง่ายกว่ากัน


“พี่คือพี่ริเซ่จริง ๆ เหรอ”


แต่แล้วก็เหมือนทวยเทพทรงเมตตา ดลใจให้ลินดาหันมาถามไฮรี่ที่ตอนนี้ร้องไห้จนตาบวมช้ำหมด นั่นทำให้ทั้งผู้เป็นพ่อและแม่หันมาสนใจชายหนุ่มตรงหน้าพวกเขาอีกครั้ง


“ใช่สิจ๊ะ ลินดา” ไฮรี่ตอบเสียงหวานเจือเสียงสะอื้นในลำคอ “พี่ขอโทษนะที่กลับมาหาเราด้วยร่างของพี่ไม่ได้”


ริเซ่คุมร่างไฮรี่ย่อตัวลง ลูบเส้นผมของเด็กหญิงที่จ้องมองมาด้วยความงุนงงและดีใจในเวลาเดียวกัน ตัวของน้องสาวนั้นอบอุ่น เป็นความอบอุ่นเดียวกับที่เธอเคยสัมผัสเมื่อยามยังมีชีวิตอยู่ เธอยังจำกลิ่นแชมพูราคาถูกที่ซื้อมาจากตลาดได้เป็นอย่างดี ที่มัดผมรูปตัวการ์ตูนซีดจางไปตามกาลเวลา มันคือที่มัดผมที่ริเซ่เคยซื้อให้ลินดาก่อนเธอจะเดินทางไปทำงานที่ปวยร์โต้ โอบัลดิอา จากความเก่าของมันรู้ได้ทันทีเลยว่านี่เป็นที่มัดผมอันโปรดของน้องแค่ไหน


ความทรงจำตอนยังเป็นมนุษย์หลั่งไหลเข้ามาทีละเล็กละน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบมองพ่อกับแม่ตาแดงก่ำ


“พ่อ… แม่… หนูอยากกลับบ้านมาตลอด ตลอดห้าปีที่ผ่านมาหนูทรมานมาก พวกมันใจร้ายกับหนู ฆ่าหนูแล้วอำพรางศพ วิญญาณหนูต้องกลายเป็นผีไม่มีญาติ ฮึก… ฮื่อ…”


พ่อของริเซ่แทบจะทรุดลงเมื่อทราบความจริงอันน่าเวทนาจากปากของลูกสาวที่เพิ่งเล่าไปเพียงส่วนนึง ส่วนผู้เป็นแม่เข้ามาสวมกอดพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้น ภาพตรงหน้าที่หญิงวัยกลางคนเห็นไม่ใช่คนบ้าเนื้อตัวมอมแมม แต่เป็นลูกสาวสุดที่รัก เด็กดีที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว


ครอบครัวของริเซ่และไฮรี่สวมกอดกันกลม พวกเขาต่างซับน้ำตาให้แก่กัน แม้ใครคนใดคนหนึ่งจะจากไปแล้วทว่าครอบครัวก็ยังเป็นที่พึ่งพิงให้กันเสมอไม่ว่ายามเป็นหรือตาย ทำเอาลืมไปสนิทเลยว่าก่อนหน้านี้พ่อกับแม่ถูกริเซ่แฉอย่างเมามัน


ไฮรี่ผละกอดออกมาเล็กน้อย ซับน้ำตาที่หางตา


“โชคดีที่หนูเจอกับคนพวกนี้ พวกเขาพาหนูออกมาจากรีสอร์ทนรกนั่น แล้วก็พาหนูกลับบ้าน…”


เธอหันหน้ามาทางเหล่าเดมิก็อดที่กำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ ทำอะไรไม่ถูก ดีนและชาร์ล็อตดูเหมือนเป็นคนประเภทเดียวกันที่มักพ่ายแพ้ต่อสัตว์นุ่มฟูและเรื่องราวน่าประทับใจ ทั้งสองจึงใช้เสื้อของแมคเคนซีแทนผ้าเช็ดหน้ากันไปเรียบร้อย


“พ่อต้องขอบคุณพวกเธอมาก ว่าแต่พวกเธอทำได้ยังไง?” พ่อริเซ่ถาม


“พี่แมคคะ เอาไงดี เราควรบอกความจริงพวกเขาไหมคะ” ชาร์ล็อตเงยหน้าถามพี่ชายที่สูงหกจุดสองฟุต ก่อนจะกระซิบเสียงเบา “ถ้าเราเอ่ยนามท่านแม่ออกมาบางทีท่านแม่อาจจะได้ผู้ศรัทธาเพิ่มก็ได้นะคะ…”


“ฮื่อ ฉันว่าตอนนี้ต่อให้พวกเราพูดอะไรไปพวกเขาก็เชื่อหมดแหละ” ดีนกล่าวก่อนจะไถใบหน้าที่ไร้แว่นไปกับไหล่ของแมคเคนซีเพื่อเช็ดน้ำตาของตัวเอง


แมคเคนซีฟังสิ่งที่น้องสาวกับคนรักพูดกรอกหูกันคนละข้าง ดูท่าทั้งสองคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์ซาบซึ้งคงไม่สะดวกตอบคำถามคนทางบ้านริเซ่


“พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลยครับ พวกเราแค่ไปเข้าพักที่โรงแรมนั้น แล้วน้องสาวพวกเราเธอมีซิกเซ้นส์เลยสามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณของริเซ่ได้ เราเลยทำตามคำขอของเธอเท่านั้นเอง”


ที่ดีนพูดก็มีส่วนจริง ในเมื่อสามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าพวกเขาไม่ได้โกหกเรื่องริเซ่ เวลานี้สมาชิกครอบครัวบ้านนี้คงเชื่อทุกอย่างแม้ว่าเขาจะเล่าเรื่องเหลือเชื่อกว่านี้มากเพียงใดก็ตาม แต่จุดประสงค์หลักของพวกเขามีเพียงแค่มาส่งริเซ่และหาที่พักเท่านั้น หากพูดเรื่องเดมิก็อดและโลกแห่งทวยเทพคงต้องอธิบายกันอีกยาว แมคเคนซีจึงเลือกที่จะบอกความจริงแค่บางส่วนขณะที่ปล่อยให้ดีนซุกหน้ากับไหล่ และชาร์ล็อตที่กำลังดึงแขนเสื้อตนไปเช็ดน้ำตาของเธอ


“อ้อ อย่างนั้นเอง คงเดินทางกันมาเหนื่อยเลยล่ะสิ แล้วนี่มีที่พักกันหรือยัง” 


“จะไปมีได้ยังไงล่ะพ่อ ที่นี่ไม่มีโรงแรมหรือโฮมสเตย์สักหน่อย”


ผู้เป็นแม่รีบบอกทั้งที่ยังกอดไฮรี่ไว้ในอ้อมอก


“จริงด้วย มาสิ เข้ามาในบ้านกันก่อน วันนี้พวกเธอพักกันที่นี่เถอะ บ้านเราอาจคับแคบไปหน่อยแต่น่าจะพอสำหรับพวกเธอนะ”


จากท่าทางไม่เป็นมิตร จ้องจะขับไล่ไสส่งก็กลายมาเป็นต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ชายวัยกลางคนผายมือเชื้อเชิญเหล่าเดมิก็อดโดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องร้องขอด้วยซ้ำ


“โอ้ ขอบคุณมากนะครับ พวกคุณช่างมีน้ำใจจริง ๆ”


แมคเคนซีบอกครอบครัวของริเซ่ที่ยิ้มรับ พวกเขาพากันประคองไฮรี่ที่มีวิญญาณของลูกสาวคนโตสิงอยู่เข้าไปในบ้าน หนุ่มอังกฤษหันมามองเพื่อนร่วมทีมด้วยใบหน้าแต้มยิ้มเล็ก ๆ แล้วทั้งสามก็พากันเดินตามไป


ซึ่งบ้านของริเซ่ก็คับแคบจริง ๆ และยิ่งดูเล็กไปถนัดตาเมื่อมีแขกแปลกหน้ามาเยือนถึงสี่คน งานหนักของคุณแม่ที่ต้องเตรียมหุงหาอาหารใหม่ตอนสี่ทุ่ม คุณพ่อกับน้องเล็กไปจัดเตรียมที่นอน ส่วนเหล่าเดมิก็อดก็ขออนุญาตใช้ห้องน้ำเป็นอันดับแรก เพื่อความรวดเร็วดีนและแมคเคนซีจึงตกลงที่จะอาบน้ำด้วยกัน


“โอ้ แมคซี่ ห้องน้ำบ้านนี้เหมือนที่ไทยเลย ไม่มีอ่าง ไม่มีฝักบัว แต่ว่ามีถังกับเอ่อ.. บีเกอร์ (?) เอาไว้ตักน้ำด้วย”


ดีนดูตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้สัมผัสวิถีชีวิตแบบชาวบ้านท้องถิ่นปานามาที่หาโอกาสได้ยาก


“ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจเอาน้ำนี่มาจากแม่น้ำที่เห็นในแมพก็ได้นะ”


ดีนกล่าวพร้อมกับถอดเสื้อผ้าออกไปทีละชิ้นแล้วพาดมันไว้กับราวแขวนผ้าในห้องน้ำอันจิ๋ว 


เสื้อเน่าอีกแล้ว และคราวนี้มันเละเทะแบบสุด ๆ ชนิดที่ว่าทิ้งก็ได้นะถ้าไม่อยากเสียเวลาแพ็คกลับไปหาซักในตัวเมือง ซึ่งร้านซักรีดไม่ยอมรับแน่ ๆ


“ยังดีที่เราอาบน้ำกันตอนสี่ทุ่มที่ฟ้าสว่าง และไม่ใช่หน้าหนาว”


แมคเคนซีมองถังน้ำที่แม้จะเปิดก๊อกน้ำแล้วแต่น้ำก็ยังไหลอ่อน ๆ อาจเป็นเพราะบ้านของครอบครัวริเซ่อยู่ตรงหมู่บ้านแถบชานเมือง การแจกจ่ายน้ำในพื้นที่แถบนี้เลยไม่ค่อยทั่วถึงก็เป็นได้ ถึงน้ำจะไม่ได้ดูใสแจ๋วและมีตะกอนตกอยู่ที่ก้นถัง แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีน้ำให้อาบ


เมื่อดีนเริ่มถอดเสื้อผ้าแล้ว แมคเคนซีจึงถอดของตนเองบ้าง และทันทีที่เสื้อเปื้อนดินโคลนถูกปลดออกจากร่างท่อนบน เขาถึงได้เห็นว่าตามเนื้อตัวมีรอยฟกช้ำอยู่หลายจุด


ไม่มีสิแปลก โดนฝูงเซนทอร์รุมกระทืบขนาดนั้น แล้วยังมาเจอแดรกคีเน่รัดอีก รอดมาได้โดยที่กระดูกไม่หักก็โชคดีแค่ไหนแล้ว


ด้วยความที่อยากชำระล้างร่างกายเสียเต็มแก่เลยลืมนึกไปว่าดีนอาจจะเห็นก็เป็นได้ แต่ถึงจะรีบคว้าเสื้อมาปิดไว้ก็คงไม่ทันแล้ว


“ใช่ สว่างจนเห็นทุกอย่างชัดไปหมดเลยล่ะ…”


หนุ่มผิวน้ำผึ้งขยับเข้าไปใกล้คนรักแล้วสวมกอดหนุ่มอังกฤษผิวขาวจัดจากด้านหลัง เขาแนบริมฝีปากอุ่นนุ่มลงรอยช้ำเหนือหัวไหล่ของอีกฝ่าย


“รอยแบบนี้ฉันทำได้แค่คนเดียวสิ…”


ดีนเอ่ยเสียงแผ่วด้วยความเป็นห่วง ระหว่างที่เขาหลับอยู่ในป่าอีกฝ่ายคงบู๊แหลกเอาตัวเข้าแลกน่าดูถึงได้บาดเจ็บเยอะขนาดนี้ แล้วยังปฎิเสธเวทรักษาจากชาร์ล็อตอีก


“อาบน้ำเสร็จแล้วเดี๋ยวฉันทายาให้นะที่รัก คราวนี้นายห้ามปฏิเสธล่ะ”


เขาปล่อยกอดออกหลวมโดยวางมือไว้บนเอวสอบของคนรักแทน


แม้ดีนจะกอดซ้อนอยู่จากด้านหลังแต่แมคเคนซีก็อดยิ้มเจื่อนไม่ได้ เขาไม่ได้อยากให้ดีนไม่สบายใจเพราะคอยเป็นห่วงเขาเลย แต่ทำยังไงได้…


เขาเองก็ไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายตายไปต่อหน้าต่อตาเช่นกัน


รอยยิ้มฝืดเฝื่อนถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มละมุนเมื่อริมฝีปากอุ่นของดีนประทับลงซ้ำรอยช้ำตรงช่วงหัวไหล่ มันไม่เจ็บเลยสักนิด แต่ทำไมน้ำตาถึงได้รื้นขึ้นมาก็ไม่รู้ ดวงตาสีฮาเซลกะพริบถี่ปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะค่อย ๆ หันกลับไปหาดีน สองมือประคองแก้มที่เพิ่งโกนหนวดไปได้วันเดียวก็เริ่มมีตอหนวดขึ้นมาเอาไว้แล้วมองเข้าไปในดวงตาสีเปลือกไม้คู่นั้น


“ได้เลยที่รัก จะรอยจูบหรือทายาก็จะให้นายได้ทำทั้งหมด”


ริมฝีปากอิ่มกดจูบที่หน้าผากบุตรเจ้าสมุทรหนัก ๆ แล้วผละออก ตอนนี้เขาน่าจะรู้เหตุผลแล้วว่าทำไมถึงเกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่


ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด แต่เป็นความดีใจที่ได้ปกป้องคนที่ตนเองรัก 


มันดีจริง ๆ ที่ยังได้เห็นดีนอยู่ตรงนี้…ดีจริง ๆ ที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ด้วยกัน


“อื้อ แต่ก่อนอื่นเรามาอาบน้ำกัน ฉันจะขัดถูนายให้เอี่ยมอ่องเลยที่รัก”


ดีนจูบปลายคางของแมคเคนซีกลับก่อนจะผละออกมาแล้วยิ้มเผล่ให้จนตาหยี


 ไม่ว่าช่วงเวลาที่เขาไม่ได้สติจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่การเดินทางครั้งนี้ที่ต้องบุกทั้งป่าฝ่าทั้งดง ลอยอยู่บนแพชูชีพกลางมหาสมุทรแบบไร้จุดหมาย ต่อสู้กับอสุรกายชั่วร้ายและภยันตรายมากมายจนไม่รู้จะมีชีวิตรอดหรือไม่ แต่มันก็มีความหมายและน่าจดจำว่าทั้งคู่ได้ฝ่าฟันสิ่งใดร่วมกันมาบ้าง พวกเขาได้ตระหนักแล้วว่ารักแท้ไม่จำเป็นต้องราบรื่นหรือสวยงามเสมอไป มันคือการยืนหยัดอยู่เคียงข้างกันในวันที่โลกทั้งใบสั่นคลอนโดยไม่ปล่อยมือออกจากกัน


หลังจากที่อาบน้ำกันเสร็จพวกเขาก็ออกมาจากห้องน้ำที่เต็มไปด้วยไอรักหอมกรุ่น สิ่งที่ชวนให้ตกใจอย่างหนึ่งก็คือตอนนี้ไฮรี่อยู่ในชุดนอนกระโปรงยาวสีชมพูตัวเก่าที่ออกจะคับไปเล็กน้อย


“เอ่อ… ทำไมไฮรี่ เอ้ย! ริเซ่ถึงอยู่ในชุดนั้น-... ไม่สิ เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อไรน่ะครับ?”


รู้สึกจะถามผิดประเด็นไปหน่อย แต่ดีนอยากรู้เรื่องแรกมากกว่า 


ข้าง ๆ คือชาร์ล็อตที่นั่งยิ้มประหม่าอยู่ในชุดนอนสีหวานเช่นเดียวกัน พนันเลยว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นคือชุดเก่าของริเซ่ที่คุณแม่อนุเคราะห์ให้สาว ๆ (?) ใส่ เพราะว่าตอนที่ดีนและแมคเคนซีช่วยกันจัดกระเป๋าให้ชาร์ล็อต พวกเขาไม่ได้ยัดชุดพวกนี้ลงกระเป๋า ส่วนสัมภาระเดิมของน้องสาวก็ไม่ได้พกเสื้อผ้ามาเยอะเพราะเป็นภารกิจที่ใช้เวลาไม่นาน (แต่ดันมาล่มเสียก่อน…)


“ป้าไปขอยืมห้องน้ำของข้างบ้านมาน่ะจ้ะ ยังไงแถวนี้ก็คนกันเองอยู่แล้ว ตอนเด็ก ๆ ริเซ่ยังเคยไปเล่นกับลูกเขาบ่อย ๆ เลย”


แม่ริเซ่ตอบ ซึ่งการตัดสินใจนี้นับว่าถูกต้อง หากต้องรออาบน้ำกันครบทุกคน คนสุดท้ายมีหวังได้เข้านอนหลังเที่ยงคืนแน่ ๆ


“ถึงจะดึกไปหน่อยแต่เดินทางมาไกล ยังไงพวกหนูก็กินอะไรรองท้องกันหน่อยเถอะนะจ๊ะ”


“ขอบคุณครับคุณป้า ถ้างั้นผมไม่เกรงใจ ขอรับน้ำใจไว้เลยนะครับ”


ดีนตอบรับไม่ปฏิเสธ ความจริงพวกเขาแวะพักรับประทานอาหารกระป๋องชุดสุดท้ายกันกลางป่าช่วงราว ๆ ห้าโมงเย็นไปแล้ว แต่นี่ก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแถมยังใช้พลังงานไปเยอะ อย่างน้อยได้รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ ย่อมดีต่อร่างกายมากกว่าอาหารกระป๋องแน่นอน


“ขอบคุณครับ” 


แมคเคนซีกล่าวขอบคุณเช่นกัน ถึงจะไม่ได้หิวมากแต่ก็ตอบรับคำชวนของเจ้าบ้านเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท


เหล่าเดมิก็อดสนทนากับเจ้าของบ้านระหว่างมื้ออาหารเล็กน้อย ส่วนใหญ่ก็ถามสารทุกข์สุขดิบ เป็นใคร มาจากไหน จะไปไหนต่อ พวกเขาก็ตอบตรงบ้าง ตอบเลี่ยงบ้างไปตามสมควร จากนั้นต่างทยอยกันเข้านอนบนฟูกนอนที่คุณพ่อของริเซ่จัดเอาไว้ให้


ก่อนที่สมองจะชัตดาวน์ ดีนเห็นว่าไฮรี่ยังคงพูดคุยกับครอบครัวของริเซ่อย่างออกรสตามประสาครอบครัวที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานไม่ว่าตอนนี้จะดึกดื่นค่อนคืนมากแค่ไหน ราวกับพวกเขารู้ดีว่านี่คือโอกาสสุดท้ายแล้วที่ครอบครัวจะได้อยู่ด้วยกันสี่คน พ่อ แม่ และลูกสาวทั้งสอง…



.

.

.



- 30.05.2025 / 08:32 A.M. -



หนึ่งคืนที่ได้นอนในบ้านของครอบครัวริเซ่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง ทีมทำภารกิจจากค่ายฮาล์ฟบลัดก็ได้เวลาออกเดินทางกันต่อ ซึ่งคุณแม่ของริเซ่ก็ใจดีทำมื้อเช้าให้พวกเขาได้รับประทานกันอีกมื้อจนน่าจะอิ่มกันไปถึงมื้อกลางวัน 


“พ่อ แม่ เดี๋ยวหนูต้องออกจากร่างเขาแล้วนะ”


ริเซ่ที่ยังสิงร่างไฮรี่อยู่บอกคนที่บ้านเมื่อทีมทำภารกิจเตรียมตัวกันพร้อมแล้ว ไฮรี่ในตอนนี้ต้องยืมชุดแมคเคนซีใส่ไปก่อนแม้จะหลวมโพรกก็ตาม เพราะนอกจากเสื้อผ้าเปื้อนโคลนชุดนั้นกับแว่นกันแดดสภาพไม่สมประกอบแล้วเขาก็ไม่มีอะไรติดตัวสักชิ้น


“ต้องไปกันแล้วสินะ แล้วลูกจะไปอยู่ที่ไหน”


ผู้เป็นแม่บอกเสียงเศร้า หากเลือกได้เธอคงอยากเอาตัวไฮรี่ไว้ให้เป็นร่างของลูกสาวเธอตลอดไป แม้จะรู้ดีว่าเป็นความคิดที่แสนเห็นแก่ตัวก็ตาม แต่เพราะไม่อาจทำเช่นนั้นได้ สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องยอมปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ทำใจยอมรับความสูญเสียนี้ให้ได้


“เอ่อ ถ้าเรื่องที่อยู่ของพี่ริเซ่ หนูให้อันนี้ไว้ได้นะคะ พี่ริเซ่เคยสิงอยู่ในพวงกุญแจนี้ตอนเดินทางมากับพวกหนูค่ะ”


ชาร์ล็อตรีบถอดพวงกุญแจสีชมพูฟรุ้งฟริ้งที่ห้อยกระเป๋าออกมาแล้วส่งให้ลินดา และดูเหมือนเด็กหญิงจะชอบตุ๊กตาตัวเล็กน่ารักตัวนี้ไม่น้อยจึงยิ้มกว้างออกมา


“ขอบคุณค่ะพี่ชาร์ล็อต ถ้าพี่ริเซ่มาอยู่ในพวงกุญแจนี้ได้จริง ๆ หนูจะคุยกับพี่ริเซ่ทุกวันเลย”


“ได้สิยัยตัวเล็ก ทีนี้เธอจะพาฉันไปไหนมาไหนด้วยได้ทุกที่เลย”


ฝ่ามือใหญ่ของไฮรี่ขยี้ผมของลินดาเบา ๆ แม้จะไม่ใช่ฝ่ามือของพี่สาว แต่จากน้ำหนักของมือช่างเป็นสัมผัสอันคุ้นเคยยากที่จะลืมเลือน เมื่อผละมือออกมา ริเซ่ก็หันไปทางพ่อกับแม่ต่อ


“พ่อ แม่ ถึงเราจะไม่ได้คุยกันแบบนี้แล้ว แต่ก็มาเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้หนูฟังได้ตลอดนะ หนูจะอยู่ในนี้ไม่ไปไหน พ่อแม่แล้วก็ลินดาต้องรักษาสุขภาพดี ๆ นะ ใช้ชีวิตให้มีความสุขเผื่อหนูด้วย”


“ได้สิริเซ่ พวกเราจะคิดถึงลูกนะ ต่อไปนี้พวกเราก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว”


ผู้เป็นพ่อบอกแล้วก็รวบทั้งภรรยาและลูกสาวทั้งสองมากอดไว้ ทั้งสี่คนกอดกันกลมอีกครั้งจนเดมิก็อดทั้งสามต่างมองภาพตรงหน้าด้วยความตื้นตันใจ


“หนูขอบอกลาเพื่อนของหนูหน่อยนะ”


เมื่อคลายกอดแล้วริเซ่ก็บอกคนในครอบครัว พวกเขาพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วขยับถอยไปด้านหลังเพื่อให้ลูกสาวคนโตและกลุ่มเพื่อนได้ร่ำลากัน


“พวกเธอ…ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมาทั้งหมดนะ ถ้าไม่ได้พวกเธอมาช่วยไว้ฉันคงต้องเป็นผีตายโหงอยู่เฝ้าโรงแรมนั้นไปอีกนานแน่ ๆ”


ริเซ่ที่อยู่ในร่างไฮรี่ส่งยิ้มให้เดมิก็อดทั้งสาม ท่าทางของเธอดูสงบและน้ำเสียงนุ่มนวลลงมาก ไม่เกรี้ยวกราดเหมือนที่ผ่านมา


“ขอบคุณชาร์ล็อตที่คอยอยู่เป็นเพื่อนฉันนะ ได้พูดคุยหลาย ๆ เรื่องกับเธอฉันหายเหงาไปเยอะเลย น่าเสียดายที่เราต้องบอกลากันซะแล้ว แล้วก็ทั้งหมดไม่ใช่เพราะสร้อยนั่นหรอกนะที่ควบคุมฉันได้ แต่เพราะเธอเป็นเด็กดีและมีน้ำใจ นั่นทำให้ฉันไม่คิดทำร้ายเธอ และฉันหวังว่าวิญญาณตนอื่นก็คงเป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่ก็ระวังอย่าให้พวกผีบ้าที่ไหนมาเอาเปรียบจากความใจดีของเธอเด็ดขาดนะ”


“เข้าใจแล้วค่ะ จากนี้ไปหนูก็ขอให้พี่ริเซ่มีความสุขมาก ๆ นะคะ”


ชาร์ล็อตส่งยิ้มให้แล้วทั้งสองคนก็โผเข้ากอดกัน คนเป็นพี่อย่างแมคเคนซีตาค้างนิดหน่อย แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเป็นริเซ่ที่สิงร่างไฮรี่อยู่เลยไม่ติดใจอะไร


“ส่วนนาย ไอ้หน้าหล่อ…ถึงตอนนี้จะไม่ค่อยหล่อเท่าไหร่เพราะโดนซ้อมมาก็เถอะ”


หลังจากที่ผละกอดจากชาร์ล็อตแล้ว ริเซ่ก็หันมาพูดกับแมคเคนซีต่อ


“ฉันรู้ การเจอกันครั้งแรกของเราไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ แต่ฉันนับถือนายนะที่กล้าเอาตัวเองเข้าแลกเพื่อปกป้องในสิ่งที่นายรัก ถ้าเป็นฉันก็คงทำแบบนั้นเหมือนกันแหละ แต่นายอย่าลืมสิ ถ้านายตายไปแล้ว…คนที่อยู่ข้างหลังจะต้องจมอยู่กับความเสียใจไปอีกนานแค่ไหน ฉันไม่อยากให้พวกเขาเป็นเหมือนคนในครอบครัวฉัน จากนี้ไประวังตัวเองให้ดี ห้ามตายล่ะแมคเคนซี ถ้าฉันรู้จะตามไปด่านายถึงปรโลกเลย”


ประโยคสุดท้ายทำเอาบุตรเทพีแห่งม่านหมอกหลุดขำนิด ๆ ถึงใบหน้าและตามร่างกายจะยังมีรอยฟกช้ำเหลืออยู่ แต่พอดีนช่วยทายาและทำแผลให้อีกครั้งเมื่อคืน อาการเจ็บป่วยก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ (ถ้าไม่เจออสุรกายอีกนะ)


“โอเค ผมจะพยายามรักษาตัวให้ดี ไม่รีบตายเร็ว ๆ นี้ ผมไม่อยากโดนคุณด่าจนหูชาหรอกนะ จากนี้ไปขอให้คุณได้อยู่กับครอบครัวแบบสงบสุขนะริเซ่”


พูดจบริเซ่ก็เข้ามากอดแบบไม่ทันตั้งตัว  แมคเคนซีไม่ปฏิเสธกอดแห่งมิตรภาพนี้ เขากอดตอบเธอหลวม ๆ เพียงชั่วครู่ก่อนที่ทั้งสองจะผละออกจากกัน


“แล้วก็นาย เจ้าแว่น นี่เป็นครั้งแรกเลยสินะที่เราได้คุยกันตรง ๆ แบบนี้ ก่อนอื่นก็ขอโทษล่ะที่ฉันสิงร่างนายในวันนั้น แต่พูดก็พูดเถอะ ลูกเทพอะไรนะ…โพเซ..โพไซดอนหรือเปล่า นั่นล่ะ นายนี่มีพลังล้นเหลือจริง ๆ ตอนที่ฉันสิงนายก็แทบจะคุมร่างนายไม่อยู่ รู้เลยว่านายน่ะมีของแน่ ๆ ถึงนายจะดูบื้อ ๆ ไปหน่อยแต่ฉันว่านายเป็นผู้นำที่เจ๋งนะ อะไรสักอย่างในตัวนายมันบอกฉันว่านายต้องพาสามคนนี่กลับไปสู่ที่ที่พวกนายมาได้อย่างปลอดภัยแน่ เพราะงั้นฉันเอาใจช่วยนะดีน”


ว่าแล้วริเซ่ก็สวมกอดดีนอีกคน แม้ดีนจะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ยินเสียงเธอมาตลอดทางแต่เธอก็คิดว่าชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถอันน่าทึ่งซ่อนอยู่ภายใน หากยังไม่ตายไปเสียก่อนล่ะก็ เธอกับดีนอาจเป็นพาร์ทเนอร์ที่ทำงานเข้าขากันไม่ก็เป็นเพื่อนที่เม้าท์กันได้สนุกปากแน่ ๆ


“ทำซึ้งจนเอาซะฉันเขินเลยนะ” ดีนยิ้ม เมื่อคลายกอดออกเขาก็ยกปลายนิ้วขึ้นเขี่ยแก้ม แล้วก็ทำอย่างทุกครั้งในเวลาที่รู้สึกเขิน นั่นคือการพูดไปเรื่อยเพื่อกลบเกลื่อนและไม่ให้ตัวเองมีเดดแอร์ “พูดตรง ๆ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผีมีจริงจนกระทั่งเธอสิงไฮรี่และทำให้เขาเป็นคนที่พูดจารู้เรื่อง”


“ฉันล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ นายเชื่อสิ่งที่เหนือสามัญสำนึกของโลกใบนี้และต่อสู้กับมันแต่กลับไม่เชื่อเรื่องผีเนี่ยนะ คงไม่ใช่ว่านายเป็นพวกคลั่งศาสนาหรอกนะตาแว่น” ริเซ่ในร่างของไฮรี่ทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ เธอจิ้มอกบุตรแห่งเจ้าสมุทรจึ้ก ๆ


“เปล่าสักหน่อย ฉันไม่นับถือศาสนาแต่เชื่อในวิทยาศาสตร์” ดีนยักไหล่ “อ้อ.. วิทยาศาสตร์ที่ว่าไม่ใช่ ลัทธิไซแอนโทโลจี’ บ้าบอ ล้างสมองคนให้เชื่อเรื่องพิลึก ๆ แถมยังมี ทอม ครูซ ที่หน้าตาเหมือนซุสเป็นสาวกตัวเอ้หรอกนะ”


“ไซอะไรนะ? แล้วก็ทอม ครูซ กับ ซุส…” ตอนนี้ผีสาวชักอยากจะคืนความคิดที่ว่า ‘เป็นพาร์ทเนอร์ที่เข้าขากันดีในที่ทำงาน’ ทิ้งไป เพราะหมอนี่ชักจะพูดจาไม่รู้เรื่อง


“โอ้! แย่ล่ะสิ ฉันเผลอหลุดปากเปิดโปงความลับของสวรรค์!” โพล่งออกมาหนึ่งจบก่อนที่หนุ่มละตินจะยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ตบมันเบา ๆ สามครั้งก่อนจะทำท่าโยนไปข้างหลัง “ไม่ต้องใส่ใจหรอก ฉันก็พูดไปเรื่อยน่ะ”


“โอเค เชื่อ…” ริเซ่เท้าสะเอว


“ถึงเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อว่าเคยร่วมทางกับวิญญาณมาตั้งหนึ่งวันเต็ม ๆ แต่โอเค ฉันจะไม่ลืมเธอ และจะเขียนเรื่องราวของเธอลงในบันทึกของพวกเรา ขอบคุณที่อวยพรพวกเรานะ แน่นอนว่าฉันจะดูแลแมคซี่และชาร์ล็อตเป็นอย่างดี ...ถ้าฉันอวยพรขอให้เธอดูแลตัวเองดี ๆ ก็ออกจะแปลกไปหน่อย แต่เอาเป็นว่าตอนนี้เธอคงมีความสุขแล้วนะที่ได้กลับบ้าน ฉันรู้ว่าครอบครัวเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดในชีวิตที่เรามี เพราะงั้นฉันและทุกคนก็จะกลับบ้านโดยปลอดภัยเช่นกัน”


“ฮึ! มาบอกฉันทำซึ้ง ตัวนายก็ใช่ย่อยซะที่ไหน” ริเซ่หัวเราะในลำคอ อมยิ้มมุมปาก “ได้เวลาลาจากของจริงแล้ว พ่อบอกว่าอยากไปส่งพวกนายถึงเมตีติเลยนะ แต่น่าเสียดายที่บ้านเรามีแค่มอเตอร์ไซค์น่ะ”


“ไม่เป็นไร พวกเราดูแลตัวเองกันได้ อีกอย่างถ้าให้ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นมากเกินไป ‘ทอม ครูซ’ จะต้องไม่ปลื้มแน่ ๆ” บุตรเจ้าสมุทรชี้บนฟ้า


“เลอะเทอะ” ริเซ่กลอกตาก่อนจะหันไปทางชาร์ล็อตอีกครั้ง “โชคดีอีกครั้งนะ ฉันไม่หวังว่าพวกเราจะได้พบกันใหม่ เพราะถ้าเจอกันอีกรอบ แปลว่าพวกเธอต้องเดินทางมาลำบากอีกแน่ ๆ แต่ถ้าอยากมายาวิซ่า บ้านนี้ยินดีต้อนรับเสมอ”


ที่เธอกล่าวแบบนั้นก็เพราะรู้ว่าการมาถึงเมืองเล็ก ๆ ทั้งจากแผ่นดินปานามาและผ่านช่องดาเรียนมันลำบากแค่ไหน ไม่อย่างนั้นหญิงสาวคงไม่บากบั่นไปหางานทำที่อื่นจนต้องจบชีวิตที่ต่างเมืองหรอก  


“ฉันจะคืนร่างให้เขาแล้ว โชคดีทุกคน”


ริเซ่หลับตาลง แล้วเมื่อลืมตาอีกครั้งไฮรี่คนเดิมก็กลับมา เขาเซเล็กน้อย แต่สิ่งแรกที่ทำคือคลำใบหน้าของตัวเองอย่างหนักแล้วโวยวายเหมือนเด็กเมื่อรู้สึกว่าบนใบหน้าของตัวเองขาดแว่นตาเลนส์พังไป


“แว่นตา.. แว่นตาของฉันไปไหน? จะเอา จะเอาแว่นตา!”


“เฮ้! ไฮรี่ ใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งงอแง หน้าบ้านคนอื่นสิ เดี๋ยวผ่านตลาดฉันซื้อให้ใหม่โอเคไหม”


แต่จนแล้วจนรอดไฮรี่ก็ไม่ฟังใครเหมือนเดิมจนกระทั่งชาร์ล็อตต้องเข้ามาคุมเหมือนเป็นผู้ปกครองอีกครั้ง หนุ่มเฮอร์มาโฟรไดตัสยอมเงียบลงแต่หน้างอปากคว่ำเป็นเครื่องหมายยูเทิร์น ทำให้ทั้งสี่ต้องรีบบอกลาครอบครัวผู้มีอุปการะคุณแล้วเดินทางต่อไปยังท่ารถใกล้ตลาดอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วเมื่อได้แว่นตากันแดดอันใหม่มาหมอนี่ก็ยิ้มแฉ่งเป็นพระอาทิตย์เทเลทับบี้ในตอนที่ยังไม่หมดเวลาสนุกแล้วสิ


แอบปวดหัวนิดหน่อยที่เวลานี้ทีมพวกเขาเหมือนมีเด็กเล็กเพิ่มมาหนึ่งคน ยังดีที่ว่าชาร์ล็อตกำราบได้ ไม่อย่างนั้นคงอาจนึกเสียดายที่ริเซ่รีบออกจากร่างของไฮรี่ไป


“ตั๋วไปเมตีติสี่คนครับ”


แล้วก็เป็นแมคเคนซีที่ไปติดต่อเรื่องซื้อตั๋วโดยสารสำหรับขึ้นรถไปยังเมืองเมตีติ คาถาแปลภาษาช่วยเขาไว้ได้มาก อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียเวลาบุ้ยใบ้ใช้ภาษามือหรือแอปพลิเคชั่นแปลภาษา


“อีกประมาณยี่สิบนาทีรถจะออก ใครอยากไปทำธุระส่วนตัวก็ไปก่อนนะ”


เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลา ชาร์ล็อตเลยขอตัวไปเข้าห้องน้ำอีกรอบโดยมีไฮรี่ที่งอแงขอตามไปด้วยเหมือนลูกติดแม่ แมคเคนซีนั่งลงตรงม้านั่งแถวนั้นเพื่อรอทั้งคู่แล้วหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาดู


“ให้ตายสิ พวกนั้นเอาเงินสดไปหมดกระเป๋าเลย”


เรียวคิ้วขมวดมุ่นเมื่อนึกถึงเงินสดที่ถูกใครสักคนขโมยไป หากไม่ใช่เจ้าลุงคนขับรถที่วางยาพวกเขาก็อาจเป็นมาเฟียเซนทอร์ฝูงนั้น แม้ไม่ใช่จำนวนมากมายอะไรแต่ก็น่าจะพอจ่ายค่าเดินทางระยะใกล้และค่าอาหารไปได้อีกสามถึงสี่มื้อ


“เงินสดหมดกระเป๋าเลยเหรอ!?”


ดีนโพล่งออกมาทำตาโต ถ้านายทุนของกลุ่มถูกปล้นแบบนี้ก็แย่น่ะสิ แล้วแผนการที่วางไว้คร่าว ๆ ว่าจะหาเช่าเรือจาก ลา ปาลมา ไปเอกวาดอร์ต้องทำยังไงล่ะ!


ลืมบอกไปเลยว่าเมื่อคืนพวกเขาวางแผนการเดินทางกันใหม่รอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของทริปนี้ จากคำแนะนำของคุณพ่อริเซ่บอกว่า การไปเอกวาดอร์มีเพียงแค่วิธีเดียวคือโดยสารเครื่องบินจากปานามาซิตี้เมืองหลวงของประเทศ แต่เหล่าลูกเทพแจงเหตุผล (แถ) ว่าไม่สามารถนั่งเครื่องบินได้ จึงอาจต้องใช้วิธีการที่ช้ากว่าอย่างการหาเช่าเรือจากท่าเรือที่ใกล้ที่สุดอย่าง ลา ปาลมา ไปยังแผ่นดินเอกวาดอร์


ว่าแต่..


“เมื่อกี้นายใช้บัตรเครดิตจ่ายเงินเหรอที่รัก”


“ใจเย็น ๆ ก่อนดีน ฉันก็เอาเงินสดจ่ายนั่นล่ะ พวกนั้นเอาไปได้แค่ส่วนที่อยู่ในกระเป๋านี้ แต่พวกเรายังมีอีกส่วนแบ่งเก็บไว้ในอีกกระเป๋า ฉันให้ชาร์ล็อตช่วยร่ายเวทย่อส่วนให้แล้วเก็บไว้ในกระเป๋าคาดอก พวกนั้นคงไม่ได้สังเกต”


แมคเคนซีหยิบกระเป๋าอีกใบที่มีเงินสดเก็บไว้อีกส่วนออกมาให้ดู ถือว่ายังโชคดีที่เขาวางแผนแบ่งเงินอีกส่วนหนึ่งรวมไว้กับพวกเอกสารสำคัญอย่างพาสสปอร์ต ใบขับขี่รวมถึงบัตรเครดิตที่เก็บเอาไว้ในกระเป๋าอีกใบและใส่ไว้ในช่องลับสุดยอด (?) ของกระเป๋าคาดอก ของส่วนนี้จึงไม่ได้ถูกเอาไปด้วย เท่ากับว่าเงินที่ถูกขโมยไปก็เป็นแค่หนึ่งในสี่ส่วนเท่านั้น


เวลายี่สิบนาทีไม่ได้นานเกินรอ เมื่อรถทัวร์สีฟ้าสองชั้นมาจอดรอให้ผู้โดยสารขึ้นรถกันจนครบแล้ว รถก็เริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองเมตีติ


หากเปรียบเทียบเส้นทางจากเมืองยาวิซ่าไปยังเมืองเมตีติก็คงจะเหมือนการนั่งรถจากชานเมืองเข้าสู่ตัวเมืองที่มีความเจริญขึ้น เห็นได้ชัดจากสภาพถนนของเมืองยาวิซ่าที่แม้จะเทปูนแต่ก็ยังไม่แข็งแรงพอ บางพื้นที่เมื่อถูกรถใหญ่วิ่งผ่านเป็นเวลานาน ถนนก็เริ่มเป็นหลุมบ่อและไม่ได้รับความสนใจจากทางการที่จะทำการซ่อมแซมเท่าที่ควร การนั่งรถในช่วงแรกจึงไม่ค่อยสบายตัวนัก 


แต่เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่เหมือนว่าจะตั้งขึ้นมาพอเป็นพิธี ด้วยเจ้าหน้าที่ประจำด่านไม่ได้ตรวจตรารถที่ผ่านไปมาทุกคันอย่างเข้มงวด ซึ่งรถคันที่เหล่าเดมิก็อดโดยสารมาก็เป็นหนึ่งในคันที่ไม่โดนสุ่มตรวจ ทำให้พวกเขาผ่านเข้าสู่เขตเมืองเมตีติได้อย่างราบรื่น


เห็นได้ชัดว่าเมืองเมตีติมีความเจริญกว่าเมืองยาวิซ่า ทั้งถนนที่ถูกลาดยางเป็นอย่างดี รวมถึงที่อยู่อาศัยของผู้คนที่ดูแข็งแรงและสร้างจากวัสดุที่ดีกว่า นอกจากนั้นสองข้างทางก็ยังมีร้านรวงต่าง ๆ มากมาย แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศก็ยังคงคล้ายตามต่างจังหวัดของประเทศไทยที่ดีนกับแมคเคนซีเคยไปมาอยู่ดี


เพลิดเพลินกับการดูทิวทัศน์ใหม่ ๆ ได้ไม่นาน ในที่สุดรถทัวร์ก็มาถึงท่ารถเมืองเมตีติในเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงกับอีกสามสิบนาทีถัดไป



.

.

.



- 11:45AM -

เมืองเมตีติ, ประเทศปานามา



“ให้ตายสิ นี่คือการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุดของทริปนี้แล้วหรือเปล่านะ”


ดีนถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากลงรถบัสที่เมืองเมตีติแล้วสัมผัสกับความศิวิไลซ์เสียที แม้ไม่เท่านิวยอร์กที่คุ้นชินแต่ก็ถือว่าที่นี่คึกคักที่สุดในรอบสิบห้าวันนับตั้งแต่ออกเดินทาง แม้จะแอบลุ้นตอนที่ต้องผ่านด่านตรวจนิดหน่อยแต่สุดท้ายพวกเขาก็รอดจากการตรวจสอบได้โดยสวัสดิภาพ


 “ต่อไปเราต้องหาเรือไป ‘ลา ปาลมา’ ต่อสินะ ถ้างั้นก็ต้องนั่งเอิ่ม.. ‘ชีวา’ (กระบะรถสองแถว) ต่อไปที่ท่าเรือปวยร์โต้ คิมบา” ดีนพูดขณะที่เขาเลื่อนสมาร์ทโฟนอ่านโน้ตการเดินทางที่ทำไว้ “เอาล่ะ มีใครจะไปเข้าห้องน้ำกันอีกสักรอบไหม กว่าจะถึงลา ปาลมาก็น่าจะอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ชีวาออกเป็นรอบ ๆ ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร–...”


ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ก็พบว่าสมาชิกของทีมหายไปสองคน


“หืม ชาร์ล็อตกับไฮรี่ล่ะ?”


เขาเอ่ยถามแฟนหนุ่ม แต่ยังไม่ทันได้คำตอบเจ้าตัวก็ร้อง “อ๊า!” เมื่อเห็นว่าคนบ้ากำลังเดินดุ่ม ๆ ไปทางชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ทางทิศสองนาฬิกา โดยมีธิดาแห่งเฮคาทีตัวเล็ก ๆ วิ่งไปห้ามปรามอยู่ไม่ห่าง


“ซวยแล้วแมคซี่ รีบไปเร็ว!”


กล่าวจบดีนก็รีบจูงมือลากแขนของคนรักตามไปทันทีเหมือนหมาตัวใหญ่วิ่งลากเจ้าของ


“ขอ.. ขอโทษครับ เพื่อนของพวกเราทำให้คุณลำบากหรือเปล่า”


บุตรแห่งเจ้าสมุทรรีบแทรกตัวใหญ่ ๆ ของเขาและแมคเคนซีบังไฮรี่และชาร์ล็อตที่ตัวเล็กกว่าโดยไม่ทันได้สนใจว่าคนที่มาก่อนได้ก่อเรื่องอะไรขึ้นหรือยัง ชายคนนั้นเงยหน้ามองหนุ่มร่างสูงทั้งสองแววตาเศร้าสร้อย ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกได้ถึงออร่าที่ไม่ธรรมดาบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากชายคนนี้จนทำให้รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ…




ความคิดเห็นผู้บันทึก
ขอพูดอีกครั้งว่า "ไม่อยากจะเชื่อว่าผีมีจริง!" ผมจะคิดแบบนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วพยายามเปิดใจรับให้ได้แม้มันจะขัดกับความเชื่อดั้งเดิมของผมก็ตาม
แต่มันจะไปยากอะไรในเมื่อทุกอย่างที่เจอทุกวันนับตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ก็แปลกประหลาดอยู่แล้ว
แต่เรื่องนี้ไม่ได้สำคัญแล้วมันก็เกี่ยวกับบันทึกแค่นิดเดียว
บันทึกบทนี้ตัวเอกไม่ใช่ผม แมคซี่ ชาร์ล็อต หรือไฮรี่ แต่คือ ริเซ่ ดังนั้นผมจึงขออุทิศบันทึกบทนี้ให้แก่เธอ ริเซ่ เพนญ่า
ไม่ว่าตอนนี้ดวงวิญญาณของเธอจะเป็นอย่างไร แต่ "บ้าน" น่าจะเป็น "สุขคติ" ที่เธอได้พบ
ป.ล. ผมแอบไปถามนามสกุลของเธอมาแล้วแต่ดันลืมเขียนในเนื้อเรื่อง เขียนบอกตรงนี้คงไม่สายเกินไป

สรุปสถานการณ์
- กลุ่มเดมิก็อดเดินทางมาถึงเมืองยาวิซ่า ซึ่งเป็นบ้านของริเซ่
- วิญญาณสาวสิงร่างของไฮรี่ เพื่อเจรจากับพ่อแม่ ทำให้วันนี้กลุ่มนักเดินทางมีที่ซุกหัวนอน
- ออกเดินทางในตอนเช้า บอกลาริเซ่ และครอบครัว มุ่งหน้าสู่เมืองเมตีติ
- ระหว่างที่กำลังจะขึ้นรถชีวา (รถกระบะสองแถว) ไปท่าเรือ ไฮรี่ก็เดินดุ่ม ๆ เข้าไปหาคน ๆ หนึ่งที่หน้าตาแบบนี้ [คลิก]

แสดงความคิดเห็น

God
และทุกคนในบริเวณนี้ต่างรู้สึกว่าอากาศอเมริกาใต้ยิ่งร้อนอบอ้าวกว่าทุกครั้ง สายลมร้อนกรุ่นเกิดขึ้นไปทั่วบริเวณนี้  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
God
เขาเงยหน้าขึ้นมามอง "ระวังตัว" ก่อนก้มหน้าต่อไป ยื่นหนังสือเรียนสงครามไททันให้พวกคุณ "รีบไล่พวกมันออกไปจากเขตใต้นี้" เขาพูดสั้นๆก่อนจะก้มหน้าต่อไป  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
โพสต์ 148291 ไบต์และได้รับ 42 EXP!  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
โพสต์ 148,291 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก เหรียญนกฮูก  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
โพสต์ 148,291 ไบต์และได้รับ +25 EXP +35 เกียรติยศ +55 ความศรัทธา จาก น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เหรียญนกฮูก
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x5
x1
x10
x2
x1
x2
x2
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
123
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้