- 28.05.2025 / 07:08 PM -
ช่องดาเรียน, ประเทศปานามา
ภายหลังที่แยกจากกลุ่มพรานอาร์เทมิสแล้ว ทีมทำภารกิจจากค่ายฮาล์ฟบลัดก็เดินทางกันต่อไปตามทิศเหนือภายใต้การนำของ ‘โคมะจิ’ ปีศาจสุนัขจิ้งจอกสี่หางของคิจิผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกพรานสาว การนำทางของเจ้าจิ้งจอกขาวเรียกได้ว่าสมเป็นมืออาชีพ มันพาพวกเขาไปตามร่องรอยที่กลุ่มพรานทิ้งไว้ก่อนหน้า จนตอนนี้อาจเรียกได้ว่าการเดินทางผ่านป่าดงดิบแห่งช่องดาเรียนกลายเป็นเรื่องง่ายกว่าที่คิดไว้มาก หลังจากบุกป่าผ่าดงกันมาได้ระยะหนึ่งแล้วก็ถึงเวลาอันควรแก่การพักผ่อนเสียที
“วันนี้เราหยุดพักกันตรงนี้ได้ไหมโคมะจิ”
แมคเคนซีถามขึ้นเมื่อรู้สึกว่าพวกเขาเดินมาได้ระยะใหญ่ และที่ตรงนี้เหมาะสมแก่การใช้เป็นที่ตั้งแคมป์ในคืนนี้
โคมะจิที่นำขบวนหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าบุตรเทพีแห่งม่านหมอก ก่อนจะเดินวนรอบบริเวณนั้นพลางทำจมูกฟุดฟิดแล้วกลับมาร้อง “ค๊อง!” ใส่
“โคมะจิบอกว่า ตรวจสอบแล้วไม่มีพลังเวทและกลิ่นอายอสุรกายแถวนี้ วันนี้พวกเราพักค้างคืนตรงนี้ได้ค่ะ”
อยู่ ๆ ชาร์ล็อตก็พูดขึ้นมาราวกับเธอแปลภาษาสุนัขออกเสียอย่างนั้นจนคนเป็นพี่ทำหน้าแปลกใจ
“ชาร์ล็อตฟังภาษาหมาออกด้วยเหรอ”
“ใช่ค่ะ สายเลือดพวกเรามีทักษะสื่อสารกับสุนัขด้วยนะคะพี่แมค หรือว่าพี่แมคยังไม่ได้เรียนรู้ทักษะนี้เหรอคะ”
เด็กสาวพยักหน้ารับแล้วมองพี่ชายด้วยความสงสัย
“ยังเลย คงหลังจากจบภารกิจนี้ล่ะมั้ง”
แมคเคนซีเองก็ส่ายหน้าด้วยความไม่รู้มาก่อน หากเขาเรียนรู้ทักษะนี้แล้วคงไม่ได้ยินโคมะจิเห่าดัง ‘ค๊อง’ อยู่หรอก จะว่าไปแล้วทักษะของสายเลือดเฮคาทีนี่ก็น่าแปลกไม่น้อย นอกจากจะสื่อสารกับภูติผีได้แล้ว ยังสื่อสารกับสุนัขได้อีก คงเหมือนทักษะของเหล่าสายเลือดโพไซดอนที่สามารถสื่อสารกับม้าและสัตว์ทะเลได้ละมั้ง ถ้าเป็นแบบนี้เขาก็สามารถคุยกับ ‘แอนดริว’ และ ‘แอนโทนี’ เจ้าสุนัขเซนต์เบอร์นาร์ดที่บ้านเกิดที่กลอสเตอร์ได้แล้วน่ะสิ
แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนแล้วกัน ถ้าทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ เขาก็คงไม่มีโอกาสไปคุยกับหมาตัวไหนทั้งนั้น
“ดีจังแฮะ ฉันเองก็อยากจะฟังภาษาหมาออกบ้าง—”
ความสามารถนี้ของเหล่าเฮคาทีช่างน่าอิจฉานัก ถึงดีนจะรักสัตว์และแฮปปี้ที่ฟังภาษาม้าและสัตว์ทะเลออก แต่ยังไงสัตว์ที่ชอบที่สุดก็ยังคงเป็นสุนัขอยู่ดี
“งั้นวันนี้เราพักที่นี่กันไหม”
“อืม ได้สิ ฉันเชื่อใจโคมะจิ”
“ค๊อง!” ปีศาจจิ้งจอกเห่ารับอีกครั้งราวกับจะบอกว่า ‘เชื่อใจได้เลย!’
เมื่อตกลงกันได้แล้วเดมิก็อดหนุ่มก็เปิดกระเป๋าเอาถุงเต็นท์จิ๋วเท่ากับฝ่ามือออกมา ชาร์ล็อตรู้งาน เธอร่ายเวทมนตร์เสกให้สัมภาระที่ถูกย่อกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ทันที
“แมกนัส เครสแคท”
แบกมาตั้งนานในที่สุดก็ได้ใช้ นึกว่าจะเอามาเสียเที่ยวแล้วเชียว จนเผลอคิดไปแว้บนึงว่า ‘หรือเราปักธงตัวเองให้มาที่นี่โดยจัดเต็นท์มาชุดใหญ่กันนะ?’ เพียงไม่นานเต็นท์สองหลังก็ถูกกางออกโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเป็นโฮมเลสในต่างแดน จุดไฟกองเล็ก ๆ ไว้กลางลาน ไม่ใช่เพื่อให้แสงสว่างยามค่ำคืนที่ไม่จำเป็น แต่อย่างน้อยการใช้ไฟอุ่นอาหารอาจทำให้ปลากระป๋องและถั่วกระป๋องอร่อยขึ้น
“ไม่อยากจะเชื่อ สุดท้ายก็ไม่พ้นต้องมากินอาหารกระป๋องเหมือนตอนอยู่ในแพฉุกเฉิน” ดีนบ่นอุบ
แม้สถานการณ์จะแตกต่างกัน แต่บอกไม่ได้เลยว่าอยู่กลางมหาสมุทรอันลึกลับกับค้างแรมกลางป่าที่มีไฮดร้าสามสิบหัวอย่างไหนชวนให้หายใจไม่ทั่วท้องมากกว่ากัน
“ถือว่ากินกันตายไปก่อนแล้วกันที่รัก”
แมคเคนซีพูดติดตลกแม้ว่าตัวเองก็แสนจะเอียนอาหารกระป๋องพวกนี้เต็มที แต่หากมองในแง่ดีแล้วล่ะก็ การที่พวกเขาเบื่ออาจทำให้ทานได้น้อยลง ก็จะส่งผลให้มีเสบียงเก็บตุนไว้ในกรณีฉุกเฉินแบบนี้เพิ่มขึ้นอีก
“ค๊อง!”
อยู่ ๆ โคมะจิที่นอนหมอบอยู่ข้างชาร์ล็อตก็ร้องขึ้นมา ราวกับว่ามันกำลังชวนคุยอะไรสักอย่าง
“โคมะจิบอกว่า ‘ถ้าพวกเจ้าเบื่ออาหารกระป๋อง ข้าไปล่าสัตว์มาให้ได้นะ’ ค่ะ”
และคราวนี้เด็กสาวคนเดียวในทีมก็กลายมาเป็นคนทำหน้าที่ฝ่ายล่ามจำเป็นแทน
“ละ.. ล่าสัตว์เหรอ” ดีนกล่าวเสียงเลิ่กลั่ก ถึงจะอยากรับประทานโปรตีนจากสัตว์อื่นมากแค่ไหนแต่คงทำใจไม่ได้หากต้องหม่ำกระต่ายน้อยขนปุยเป็นตัว ๆ โดยไม่ผ่านการชำแหละเป็นส่วน ๆ เขากินไม่ลงแถมยังกลัวเลือดอีกต่างหาก “ไม่เป็นไร ลูกพี่โคมะจิเพิ่งหายจากการบาดเจ็บมาหมาด ๆ อย่าลำบากเพื่อพวกเราเลย”
จะว่าไปอสุรกายตัวนี้ก็ควรได้เวลาพัก มันจะหิวหรือเปล่าก็ไม่รู้ บุตรแห่งโพไซดอนจึงลงทุนเปิดปลาซาดีนกระป๋องใหม่แล้วยื่นไปตรงหน้ามัน
“ไม่ดีต่อสุขภาพไตหรอก แต่ดีกว่าท้องหิว ถ้าอยากกินก็กินได้เลย”
“ค๊อง?”
ปีศาจจิ้งจอกเอียงคอด้วยท่าทางน่าเอ็นดู มันทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นปลากระป๋อง จากนั้นก็ลองชิมอาหารฉุกเฉินของมนุษย์ ท่าทางของมันไม่ได้ชอบ คล้ายกับกินกันตายไม่ต่างจากพวกเขา
“จริงสิ… ช่วงตอนที่หลับเหมือนฉันถูกผีสิงให้ทำนั่นทำนี่ด้วยล่ะ” ดีนเล่าเรื่องแปลก ๆ ให้ฟัง เขาเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะทำเป็นไม่เชื่อเรื่องผีอีกรอบ “ไม่สิ.. บางทีมันอาจเป็นแค่อาการฮิพโนพอมปิค แฮลลูซิเนชั่น (อาการเห็นภาพหลอนขณะตื่น) มากกว่า”
‘กูสิงมึงไปตั้งขนาดนี้ มึงยังไม่เชื่อว่ากูมีจริงอีกเหรอวะไอ้แว่น!!’ ริเซ่ที่สิงสู่อยู่ในพวงกุญแจฟรุ้งฟริ้งเขย่าตัวเองไปมาเป็นการประท้วง พอไม่ได้อยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ดีนก็กลับมาเป็นคนไม่มีเซนส์เหมือนเดิมอีกครั้ง ‘งั้นกูจะพิสูจน์โดยการสิงมึงอีกรอบ—’
“ไม่ต้อง”
เป็นแมคเคนซีที่เอ่ยเสียงแข็งพร้อมจ้องเขม็งไปยังพวงกุญแจที่ห้อยอยู่กับกระเป๋าน้องสาว แล้วหันมามองคนรัก
“เรื่องที่นายถูกผีสิงนั่น…เป็นเรื่องจริง ริเซ่เล่าให้ฉันกับชาร์ล็อตฟังหมดแล้วตอนนายไปดับไฟกับธาเลีย เธอบอกว่าเธอสิงนายแล้วฆ่าเอล กาบาโยกับลูกน้องไปอีกหนึ่งตน”
ไม่รู้ว่าดีนฟังแล้วจะเชื่อไหม แต่หากต้องให้ริเซ่สิงดีนอีกครั้งเขาเลือกที่จะเล่าทุกอย่างให้ฟังเองดีกว่า ภาพคนรักที่หันมาแสยะยิ้มใส่ยังหลอนจนติดตาไม่หาย หากต้องเห็นรอยยิ้มแบบนั้นซ้ำ คืนนี้เขาคงไม่กล้านอนกอดดีนแน่ ๆ
“โอ้…” เมื่อแมคเคนซีย้ำขนาดนี้ดีนคงหนีความจริงไม่ได้อีกต่อไป “ถ้าเธอมีจริงงั้นเราต้องแบ่งอะไรให้กินไหม แบบว่าผียังต้องกินอาหารอยู่หรือเปล่า?”
แม้ดีนจะ (ทำเป็น) ไม่เชื่อเรื่องวิญญาณหรือโลกหลังความตาย แต่เขาก็เคยเข้าร่วม ‘เทศกาลแห่งความตาย’ ที่ชุมชนชาวเม็กซิกันในซานอันโตนิโอจัดขึ้นเมื่อช่วงเวลาเดียวกับวันฮาโลวีน ในวันนั้นเขาเห็นครอบครัวชาวเม็กซิกันวางอาหารจานโปรดของผู้ล่วงลับบนแท่นพิธี ดีนที่ตอนนั้นอยู่ในวัยเด็กซนจนเรียกว่าเด็กเปรต เคยแอบจิ๊กอาหารของคนตายกิน ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่อร่อย
อาหารที่ควรมีรสชาติจัดจ้านอย่างซุปพริกโมเลโพบลาโนยังแทบจะไร้รส แม้ในเชิงวิทยาศาสตร์รสชาติของอาหารสามารถเปลี่ยนไปได้ตามอุณหภูมิและระยะเวลาที่วางทิ้งเอาไว้ แต่มันก็ไม่ควรจะไม่อร่อยเหมือนกับไร้การปรุงแต่งสิ ดีนเลยคิดเอาเองว่า ‘ไหน ๆ ก็ทำอาหารเพื่อคนตายตามความเชื่อ พอหมดเทศกาลก็ต้องทิ้ง คนปรุงอาหารจึงตัดสินใจไม่ปรุงรสจะได้ไม่เปลืองหรือเปล่า’ ก็อาจจะเป็นไปได้ สมมติฐานนี้ดูมีเหตุผล
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญคือเขาอยากรู้ว่าริเซ่จำเป็นต้องรับประทานอาหารจริงหรือเปล่า
“ไม่ต้องก็ได้ค่ะพี่ดีน ตามหลักศาสนาคริสต์แล้วถ้าเรานำอาหารไปให้คนตาย ถือว่าเป็นการเคารพสิ่งอื่นนอกเหนือจากพระผู้เป็นเจ้า นั่นเป็นบาปนะคะ ถึงเราจะเป็นเดมิก็อด แต่เราอย่าลองเลยค่ะ”
ชาร์ล็อตรีบบอกก่อนที่พี่ชายต่างบ้านจะเปิดปลาซาร์ดีนอีกกระป๋องให้แก่วิญญาณสาวที่สิงอยู่ในพวงกุญแจ
‘ฝากบอกไอ้แว่นด้วยว่า ถึงมันอยากให้แต่วางเฉย ๆ ฉันก็กินไม่ได้หรอก ต้องสวดเรียก เผลอ ๆ มีพวกผีป่ามากินนอกจากฉันด้วยแน่ะ’
หลังจากที่ริเซ่บอกแล้วธิดาเฮคาทีก็นำความมาบอกต่ออีกครั้ง ฟังแล้วก็อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้จนแมคเคนซีเองยังต้องเขยิบเข้าไปนั่งใกล้ดีนอีกเล็กน้อย
“ฉันว่าเรารีบกินให้เสร็จแล้วเข้าเต็นท์พักผ่อนกันดีกว่า”
“ค๊อง!”
“โคมะจิบอกว่า ‘พวกเจ้าไปเข้านอนเถอะ ข้าจะอยู่เฝ้ายามให้เอง’ ค่ะ”
นอกจากแปลงสารวิญญาณแล้ว เด็กสาวก็มาแปลภาษาสุนัขให้ต่อ เธอลูบหัวโคมะจิที่ขยับตัวขึ้นมานั่งเบา ๆ
“สองคนนี้สนิทกันแล้วแฮะ” ดีนขำเบา ๆ “งั้นฝากบอกโคมะจิทีว่าผลัดกันเฝ้ายามก็ได้ โคมะจิเองก็น่าจะเหนื่อยหรือเปล่า ถึงรักษาแผลแล้วแต่ก็ต้องพักผ่อนด้วยนะ ฉันน่ะหลับมาทั้งวันแล้วยังอยู่ได้อีกนาน ให้เฝ้ายามกะแรกก็ได้”
ดีนรู้ว่าแมคเคนซีต้องเป็นห่วงแน่ ๆ จึงพูดดักคอ “นายไปเข้านอนก่อนได้นะที่รัก เดี๋ยวฉันจะตามไป”
“ค๊อง!” โคมะจิขานรับก่อนที่มันจะลุกเดินออกไปจากตรงนั้น
“โคมะจิบอกว่า ‘ได้ ข้าไปหาที่นอนก่อน เมื่อยามสองเข้าสู่ยามสามข้าจะมาเปลี่ยนเวรกับเจ้า’ ค่ะ”
ชาร์ล็อตแปลความให้แล้วมองตามปีศาจจิ้งจอกไป
“แล้วยามสอง - ยามสามอะไรนี่มันกี่โมงกันล่ะ?” ดีนเกาหัวแกรก ๆ ถึงชาร์ล็อตจะยังอยู่แต่เขาก็ไม่คิดว่าเธอจะรู้ภาษาโบราณนั่น
“นายไหวแน่ใช่ไหม ให้ฉันอยู่ด้วยหรือเปล่า”
ถึงดีนจะบอกอย่างนั้นแต่แมคเคนซีก็ยังเป็นห่วงอยู่ดีจึงเสนอตัวขึ้นมา
‘โอ๊ยยยย ดูสารรูปตัวเองบ้างเถอะ น่วมขนาดนี้ไปนอนซะไป๊’
แล้วก็เป็นวิญญาณสาวที่เอ่ยปากไล่ ซึ่งน้องสาวของเขาเองคงได้ยินเช่นกันเธอจึงพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย
“นั่นสิคะ หนูก็ว่าพี่แมคควรพักผ่อนก่อน เรายังต้องเดินทางกันอีกไกลนะ”
พอถูกทั้งผีทั้งน้องเอ็ดเข้า แมคเคนซีจึงเงียบไป ก็จริงที่ตอนนี้เขาบาดเจ็บอยู่ แม้เขากับชาร์ล็อตจะสามารถใช้เวทรักษาได้ แต่คาถานั้นจำเป็นต้องใช้สื่อเวทด้วย ซึ่งสื่อเวทที่เตรียมมาก็มีจำนวนจำกัด เขาจึงคิดว่าเก็บเอาไว้ใช้ยามจำเป็นจริง ๆ จะดีกว่า
“ไม่เป็นไรน่าที่รัก ฉันไหว จะไม่แอบนอนยาม สาบานเลย” บุตรแห่งโพไซดอนชูสามนิ้วขึ้นมาเหมือนกล่าวคำปฏิญาณของลูกเสือสามัญ
“….ก็ได้ แต่ถ้ามีอะไรนายเรียกฉันได้ทันทีเลยนะ”
“โอเคที่รัก นายพักเถอะนะ ฝันดี” หนุ่มละตินจับแก้มคนรักมาหอมซ้ายหอมขวา ก่อนจะหันไปทางชาร์ล็อต “เธอก็ฝันดีด้วยนะ นอนพักผ่อนกันเยอะ ๆ ล่ะ”
ถูกหอมแก้มไปสองฟอด สุดท้ายก็ต้องยอมรามือแต่โดยดีเพื่อถนอมร่างกายตนเองเอาไว้ก่อน หลังจากที่ช่วยกันเก็บขยะจากมื้อเย็นที่รับประทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว สองพี่น้องเฮคาทีก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนในเต็นท์คนละหลัง
ทุกคนเข้าเต็นท์นอนกันหมด เหลือเพียงบุตรแห่งเจ้าสมุทรที่เฝ้ายาม เขายกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา ตอนนี้น่าจะราว ๆ สามทุ่ม แม้ไม่ดึกมากแต่คนที่บู๊กับอสุรกายฝูงใหญ่คงเหนื่อยล้าพอดู เสียงของคนที่อยู่ในเต็นท์จึงเงียบสนิท
ดีนหันมองไปรอบ ๆ ผ่านแมกไม้ที่ดูไม่น่าไว้วางใจ แม้จะดึกแล้วแต่ท้องฟ้าก็ยังไม่มีทีท่าจะมืดแสง กระนั้นก็ยังคงมีเสียงแมลงกลางคืนดังระงมไปทั่วผืนป่าคล้ายเสียงดนตรีธรรมชาติ ราวกับว่าพวกมันเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นตอนกลางวันกันได้หมดแล้ว สิ่งมีชีวิตต่างพยายามปรับตัวและใช้ชีวิตของพวกมันต่อไป ใครไม่สามารถอยู่รอดได้ก็เตรียมตัวสูญพันธุ์ไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ดีนไม่ค่อยแน่ใจนักว่ายังใช้คำว่า ‘กฎเกณฑ์’ ได้อยู่อีกหรือไม่ เพราะโลกในตอนนี้วิบัติไปหมด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับทวยเทพ
‘ไม่แฟร์เอาเสียเลย…’
แต่ถึงคิดตัดพ้อแค่ไหนความจริงก็เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับเพราะเขาไม่อาจบิดเบือนทุกสิ่งให้กลับมาเป็นปกติได้ด้วยตนเอง บางทีคำว่า ‘ปกติ’ อาจไม่มีอยู่บนโลกใบนี้ตั้งแต่แรกแล้วก็ได้กระมัง
ด้วยความไม่มีอะไรทำจึงทำให้ชายหนุ่มได้มีเวลาขบคิด แรก ๆ เขานำบันทึกส่วนของตัวเองออกมาเขียน ทว่าดีนไม่ใช่นักเขียนดีเด่น แม้จะผ่านงานยากอย่างการเขียนวิทยานิพนธ์มาก่อน เขาคงไม่เขียนสำนวนน่าเบื่อลงไปในบันทึกเดินทางที่ไม่มีใครอยากอ่าน เว้นแต่รุ่นน้องบางคนที่อยากหาข้อมูลอ้างอิง เขาจึงพยายามเขียนสรุปไว้ง่าย ๆ ไม่ให้เกินแปดบรรทัด เพราะรู้ว่าเด็กในค่ายเป็นดิสเล็กเซียแถมยังสมาธิสั้นอีกต่างหาก ทั้งที่เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเขียนบรรยายลงไปสิบหน้ากระดาษเอสี่ถึงจะจบ
นอกจากเขียนบันทึกการเดินทางด้วยลายมือห่วยแตกแล้ว เขาก็คิดว่าหลังจากจบภารกิจแล้วจะทำอะไรต่อไปดี (หมายถึงถ้าภารกิจไม่ล่มไปเสียก่อน และโลกยังไม่ระเบิด) ซึ่งมันก็อาจจะใกล้ได้เวลาแล้วที่เขาต้องออกไปหางานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง ที่แน่ ๆ คือเขาไม่ยอมเป็นเดมิก็อดที่รับทำแต่งานเสี่ยงตายเพื่อดอลลาร์อันน้อยนิดเมื่อเทียบกับความยากลำบาก ประทังชีวิตไปวัน ๆ ด้วยอาหารฟรีจากค่ายฮาล์ฟบลัดในวัยยี่สิบห้าปีอีกต่อไป
.
.
.
“ค๊อง” ปีศาจจิ้งจอกขาวสี่หางเดินออกมาจากมุมหนึ่งที่มันปลีกตัวออกไปนอนเป็นสัญญาณว่า ‘ยามสอง’ ได้สิ้นสุดลง
“หืม มาเปลี่ยนเวรแล้วเหรอ ดูเหมือนว่าฉันจะเฝ้ายามได้โดยสวัสดิภาพสินะ”
ดีนดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เผลอแป๊บเดียวเวลาก็เดินไปไวถึงเที่ยงคืน ในที่สุดก็รู้เสียทีว่ายามสองคือเวลากี่โมง ตอนที่นั่งเฝ้ายามก็ไม่ง่วงหรอกนะ แต่พอรู้ว่าได้เวลาพักเขาก็จัดไปเลยถึงสามหาว
“หาววว เริ่มง่วงขึ้นมาแล้วสิ ฉันฝากดูแลที่เหลือต่อด้วยนะโคมะจิ ชีวิตของพวกเราฝากไว้ที่นายเลย”
ก่อนเข้าเต็นท์ก็ขอลูบหัวหมาสักหน่อย โคมะจิหดคอหนี มันคงกัดมือบุตรเจ้าสมุทรไปแล้วด้วยซ้ำหากเจ้านายไม่ฝากฝังเอาไว้ก่อน
“ค๊อง!”
.
.
.
- 29.05.2025 / 07:19AM -
การนอนในเต็นท์กลางป่าไม่ได้สบายตัวนัก แต่ด้วยความเหนื่อยและล้าทางกายจึงทำให้แมคเคนซีหลับลงอย่างรวดเร็ว เมื่อร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่แล้วเขาก็ตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นโดยที่ตนเองนอนอยู่ในอ้อมกอดของดีนที่กำลังหลับสนิท ดวงตาสีฮาเซลมองใบหน้ายามหลับใหลของคนรัก ไม่ว่าจะเป็นเรียวคิ้วดกหนา แพขนตายาว จมูกโด่งเป็นสัน รวมถึงริมฝีปากสีนู้ดได้รูปซึ่งประกอบกันออกมาเป็นใบหน้าคมสันแสนรัก สามารถสร้างรอยยิ้มจากเขาได้ไม่ยาก แม้ว่ายามนี้พวกเขาจะกำลังตกระกำลำบากกันอยู่กลางป่าดงดิบในประเทศต่างบ้านต่างเมืองก็ตาม
ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว แมคเคนซีจึงหยิบสมาร์ทโฟนที่วางข้างตัวมาดูเวลา เมื่อเห็นว่ายังเช้าตรู่อยู่จึงปล่อยให้ดีนได้นอนพักผ่อนต่ออีกสักหน่อย ส่วนเขาก็ขยับตัวลุกขึ้นให้เงียบที่สุดเพื่อไม่ทำให้อีกฝ่ายตื่น
“อื๊อ..”
ดูเหมือนความพยายามในการขยับตัวให้เงียบที่สุดของแมคเดนซีจะไม่เป็นผล ดีนครางเบา ๆ ในลำคอก่อนค่อย ๆ กะพริบตาขึ้นมาสู้แสงด้วยท่าทางที่ไม่อยากตื่นนัก เขาเอ่ยเสียงพร่า ถามคนรักเสียงอ้อแอ้
“อรุณสวัสดิ์ที่รัก นี่กี่โมงแล้วน่ะ?”
“อะ..อรุณสวัสดิ์ ขอโทษที ฉันทำนายตื่นเหรอ”
ในเมื่อความพยายามไม่เป็นผล หนุ่มอังกฤษจึงกล่าวทักทายคนเพิ่งตื่นแล้วก้มลงมอร์นิ่งคิสเบา ๆ แทนก่อนผละออก
“เจ็ดโมงแล้ว นายอยากนอนต่อหรือเปล่า เราเดินทางกันสายหน่อยก็ได้นะ”
“เจ็ดโมงเหรอ” ดีนเด้งตัวขึ้นมาทั้งที่ตายังปิดปรืออยู่ครึ่งหนึ่ง ผมเผ้าสีดำหยักศกยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ก่อนจะไหลมากอดแมคเคนซีไว้หลวม ๆ “ออกสายไม่ได้ซี่ ถ้าเราถึงหมู่บ้านที่พี่สาวคนนั้นบอกช้าไปล่ะก็มีหวังได้นอนป่าอีกคืนหรอก”
พวกเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหมู่บ้านที่นาเยรีพูดถึงหน้าตาเป็นแบบไหน จะมีที่พักให้บริการคนต่างถิ่นหรือเปล่า… คงมีละมั้ง แต่ว่าจะเป็นที่ไหนล่ะ
“ก็จริงของนาย ถ้าวันนี้เราทำเวลาหน่อย อาจได้ออกจากป่านี่กันก็ได้”
ฝ่ามือใหญ่สางผมยุ่งฟูของคนรักเบา ๆ ให้เข้าทรงแล้วโอบไหล่กว้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อไว้ ได้อาบน้ำตัวหอมแล้วทั้งที เมื่อวานก็เกิดเหตุให้ต้องไม่ได้อาบน้ำอีกจนได้ แต่คราวนี้เขาไม่ยอมดองตัวเองให้เหม็นไปอีกหลายวันแน่
“งั้นเราเตรียมตัวกัน ฉันไปดูชาร์ล็อตก่อนว่าเธอตื่นหรือยัง”
ริมฝีปากอิ่มจูบเข้าที่ขมับคนรักอีกทีก่อนจะผละออกไปดูน้องสาวที่เต็นท์ด้านข้าง แต่เด็กสาวดูเหมือนจะตื่นก่อนพวกเขาเสียอีก เธอนั่งเล่นอยู่กับโคมะจิและข้าง ๆ ก็มีริเซ่ที่ออกจากพวงกุญแจมาอยู่ด้วย
“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่แมคพี่ดีน”
ทันทีที่เห็นพี่ชายทั้งสองเธอก็ทักทายด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นเคย ค่อยยังชั่วที่ความลำบากลำบนในป่าทำอะไรน้องสาวของเขาไม่ได้ อาจเป็นเพราะเคยเจอเหตุการณ์ที่ต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่านี้หลายเท่าตัวมาแล้ว นี่จึงกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเธอไป
หลังจากจัดการกับอาหารมื้อเช้าเสร็จ เดมิก็อดทั้งสามก็ช่วยกันเก็บเต็นท์และทำลายร่องรอยการพักแรมของพวกเขาให้เรียบร้อย อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจว่าจะไม่มีใครที่ไม่ประสงค์ดีตามมาได้อีก จนเมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้วทีมทำภารกิจก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ
เส้นทางการเดินป่าจากช่องดาเรียนไปยัง ‘เมืองยาวิซ่า’ ทรหดเหมือนกับสารคดีที่ดีนเคยดูไม่มีผิด พวกเขาต้องเดินผ่านทางที่ชื้นแฉะไปด้วยดินโคลนของป่าดงดิบกลางวสันตฤดู สายฝนโปรยปรายลงมาตั้งแต่ช่วงสายของวันจนถึงช่วงบ่าย ร่มไม้ทึบพอกำบังหยาดฝนได้บ้างทว่าไม่ทั้งหมด สามเดมิก็อดจึงต้องหยุดใส่เสื้อกันฝนที่เตรียมมาก่อนออกเดินต่อบนทางที่ฉ่ำแฉะยิ่งกว่าเดิม
ไม่มีเวลาให้หยุดพัก มิเช่นนั้นพวกเขามีหวังได้นอนกลางป่าอีกคืนแน่ ๆ และผู้นำทางอย่างปีศาจจิ้งจอกขาวโคมะจิคงไม่อยากอยู่ด้วยนาน แม้ว่ามันสัญญาจะช่วยนำทางไปจนถึงหมู่บ้าน แต่ใจของจิ้งจอกขาวคงไปอยู่กับเจ้าของที่ออกตามล่าไฮดร้าสามสิบหัวแล้ว
“กรร…”
ฝีเท้าทั้งสี่หยุดนิ่งที่เบื้องหน้า จิ้งจอกขาวคำรามเบา ๆ ในลำคอเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติในผืนป่า
“มีอะไรเหรอจ๊ะโคมะจิ” ชาร์ล็อตถาม
“ค๊อง!” จิ้งจอกสี่หางเห่าแจ้งเบา ๆ
ธิดาเฮคาทีพยักหน้าก่อนจะหันไปทางพี่ชายทั้งสอง
“โคมะจิบอกว่าได้กลิ่นของอสุรกายสามตัวอยู่ข้างหน้าน่ะค่ะ”
“อะ..อสุรกายสามตัวงั้นเหรอ!?” ดีนเม้มปาก เขาเรียกตรีศูลจากกำไลอัจฉริยะมากุมไว้เตรียมการสำหรับต่อสู้… ก็เผื่อเอาไว้ หากเลี่ยงได้ก็เลี่ยงดีกว่า
“ค๊อง!” โคมะจิสื่อสารอีกครั้ง
“อ๊ะ! โคมะจิบอกว่าได้กลิ่นเดมิก็อดแปลกหน้าคนนึงด้วยล่ะ แล้วตอนนี้พวกเขากำลังปะทะกันอยู่ค่ะ”
“ปะทะเหรอ.. เอาไงดีล่ะ หรือพวกเราควรจะใช้จังหวะนี้ชิ่งหนีเลยดีไหม”
“ค๊อง!” คราวนี้โคมะจิเห่าด้วยเสียงดุ
“เอ่อ.. พี่ดีนคะ โคมะจิบอกพี่ว่า ‘เจ้าจะทิ้งเขารึ เจ้าคนขี้ขลาด’ ล่ะค่ะ แหะ ๆ” เด็กสาวเกาแก้ม บางทีก็ลำบากใจเหมือนกันนะที่ต้องเป็นล่ามในการว่าคนอื่น
“เดมิก็อดคนเดียวถูกมอนสเตอร์สามตัวรุมก็หนักอยู่นะ ไหน ๆ ถ้าต้องผ่านทางนั้นเราลองดูสถานการณ์ก่อนก็ได้”
แมคเคนซีบอกขณะถือดาบทองคำจักรพรรดิที่เรียกมาจากหมอกไว้ ครั้งนี้เขาเลือกที่จะไม่ใช้คทาเวทที่เวทต่อสู้ที่ใช้ได้มีแค่เวทยิงลูกไฟด้วยยังไม่อยากเผาป่าอีกรอบ แม้ว่าจะยังบาดเจ็บอยู่แต่จากนิสัยที่ไม่ชอบพวกที่รังแกคนอ่อนแอกว่าก็ไม่อาจทำให้ทนอยู่เฉยได้ แต่ถ้าหากเดมิก็อดคนนั้นแข็งแกร่งพอจะล้มอสุรกายถึงสามตนได้ พวกเขาก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งและเดินทางกันต่อ
ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เสียงการปะทะกันยิ่งชัดเจนขึ้น ภาพตรงหน้าคือฝูงอสุรกายรูปร่างคล้ายหมีผสมสุนัขขนาดราว ๆ สี่ถึงห้าฟุตกำลังห้อมล้อมร่างหนึ่งที่อยู่ตรงกลางวง ด้วยความตัวใหญ่ของมันทำให้เห็นเดมิก็อดผู้นั้นได้ไม่ชัดนัก จึงไม่อาจประเมินได้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะได้กลิ่นเหยื่อรายใหม่ที่น่าดึงดูดกว่า เจ้าอสุรกายที่มีหนามแหลมขึ้นกลางหลังต่างทำจมูกฟุดฟิดแล้วหันมามองยังสามเดมิก็อดซึ่งนำโดยบุตรมหาเทพโพไซดอนที่กลิ่นสายฝนก็ไม่อาจกลบกลิ่นเย้ายวนชวนน้ำลายไหลได้ จนทำให้พวกเขาเห็นเดมิก็อดผู้นั้นชัดเจน
“นั่นมัน พี่ไฮรี่นี่คะ!”
ถึงจะมอมแมมเปรอะเปื้อนจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม แต่ชาร์ล็อตก็จำอดีตเพื่อนร่วมทีมของเธอได้ขึ้นใจ
“ไฮรี่คือคนนั้นน่ะเหรอ? แย่ล่ะสิ งั้นต้องไปช่วยแล้ว!”
ดวงตาสีเปลือกไม้มองไปทางชายหนุ่มร่างเพรียวที่กำลังต่อสู้กับชูปาคาบราสามตัวอย่างดุเดือด ชุดสูทชาแนลสีชมพูราคาแพงที่สวมทับเสื้อค่ายฮาล์ฟบลัดสีส้มซีดจางขาดวิ่นและเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน เรือนผมสองสียุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แว่นตากันแดดสีดำเลนส์หลุดไปข้างหนึ่ง
‘ก่อนหน้านี้หลายเดือนมาก ๆ ผมเห็นคนใส่เสื้อสีส้มเหมือนคุณ แต่ว่าเขา เอ่อ.. เหมือนสมงสมองไปหมดแล้วน่ะ ปากเพ้อแต่ ‘ต้องช่วยเพื่อน ชาร์ล็อต อาร์ตี้’ อะไรสักอย่าง’
จากคำพูดของรัสเซล สมาชิกกลุ่มฟอลคอนที่เคยพบกันช่วงต้นของการเดินทาง หากดูแค่ภายนอกก็ต้องบอกว่า ‘ใช่.. นี่แหล่ะคนบ้าไม่มีผิด’ แต่ก็เป็นคนบ้าที่มีฝีมือการต่อสู้ฉกาจฉกรรจ์จนน่ากลัว ไฮรี่ใช้ท่อนไม้ที่คาดว่าหามาได้จากแถวนั้นเข้าห้ำหั่นกับอสุรกายอย่างดุดันชนิดที่เรียกว่าไม่กลัวตาย
แต่ดูเหมือนว่าอสุรกายตัวหนึ่งจะออกจากวงต่อสู้สามรุมหนึ่งเสียแล้วหลังจากที่มันสูดกลิ่นของเดมิก็อดที่มาใหม่แล้วมั่นใจได้ว่ากลิ่นนั้นเป็นของสายเลือดเจ้าสมุทร มันกระโจนใส่ดีนในทันทีราวกับวิลอซีแรพเตอร์ (ความจริงควรเป็น ‘ไดโนนีคัส’ ต่างหาก) ในหนังจูราสสิกเวิร์ล
“โว้ว ๆ ใจเย็นพวก!” ดีนกระโดดหลบกรงเล็บคมกริบได้ฉิวเฉียด บุตรเจ้าสมุทรเคยรับมือกับชูปาคาบราเป็นฝูงมาแล้วฉะนั้นแค่สัตว์ประหลาดเพียงตัวเดียวไม่คณามือหรอก “ไม่ต้องห่วงฉัน พวกนายไปช่วยไฮรี่ก่อน!”
“ได้ ระวังตัวด้วยนะดีน”
แมคเคนซีรับคำแล้วรีบไปร่วมวงต่อสู้กับสายเลือดเฮอร์มาโฟรไดตัสทันที เขารู้ว่าดีนสามารถรับมือกับเจ้าตัวนั้นได้สบาย ๆ แต่ไฮรี่นี่สิ ไม่รู้ว่าต่อสู้มานานหรือยัง เจ้าตัวอาจจะใกล้หมดแรงแล้วก็ได้
ผัวะ!
เสียงท่อนไม้ฟาดเข้าหน้าชูปาคาบราเต็ม ๆ จนเซ เหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นฟันแหลม ๆ ของมันกระเด็นออกมาจากปากด้วยสองสามซี่
ดูท่าฝ่ายที่เสียเปรียบจะไม่ใช่ไฮรี่ซะแล้ว
“เข้ามาเด้! นึกว่ากลัวเหรอ พ่อจะฟาดให้ยับเลย ฮ่า ๆๆๆๆ!”
จากที่ว่าจะเข้ามาช่วยก็กลายเป็นมองหน้ากันกับชาร์ล็อตด้วยความงุนงงแทน นั่นจึงเป็นช่องว่างให้ชูปาคาบราเห็นเดมิก็อดผู้มาใหม่พอดี หากคนที่มันกำลังต่อกรอยู่แข็งแกร่งเกินไป ก็ได้เวลาเปลี่ยนไปจัดการเหยื่อใหม่แทน
“ชาร์ล็อตระวัง!”
เคร้ง!
ดาบทองคำจักรพรรดิในมือแมคเคนซีกันกรงเล็บของชูปาคาบราที่กำลังจะโจมตีน้องสาวของตนได้ทันพอดี เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีดันร่างอสูรขนาดห้าฟุตให้ผละออกไปแล้วรีบใช้ปลายคมดาบแทงกลางร่างของมันจนสูญสลาย และนั่นก็เป็นผลทำให้ไฮรี่ที่กำลังต่อสู้กับอสุรกายอีกตนชะงักไป
“ชาร์ล็อต…ชาร์ล็อตเหรอ อั้ก!”
ชูปาคาบราอีกตนอาศัยจังหวะนั้นโถมตัวใส่จนทั้งไฮรี่และมันล้มคะมำกลิ้งไปด้วยกัน เขี้ยวแหลม ๆ นั่นเกือบจะงับศีรษะของบุตรเฮอร์มาโฟรไดตัสได้แล้วหากเขาไม่ใช้ท่อนไม้ยัดใส่ปากมันในแนวขวางไว้ก่อนจนมันหุบปากไม่ลง แมคเคนซีจึงใช้โอกาสนั้นวิ่งไปใช้ดาบเล่มเดิมแทงเจ้าอสุรกายรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวจากด้านหลังจนมันสลายกลายเป็นธาตุอากาศไปอีกตน
“พี่ไฮรี่ ปลอดภัยดีใช่ไหมคะ”
ชาร์ล็อตรีบมาดูอาการชายหนุ่มผู้เคยเป็นอดีตทีมทำภารกิจของตน ร่างผอมบางของไฮรี่ที่ตอนนี้เลอะดินโคลนเต็มไปหมดลุกขึ้นนั่ง ดวงตาที่ไร้เลนส์แว่นกันแดดบดบังข้างนึงมองจ้องเด็กสาวตรงหน้าชั่วครู่แล้วคว้าร่างของเธอไปกอดไว้แน่น
“ชาร์ล็อต! ใช่เธอจริง ๆ ด้วย!”
“เฮ้ย—!”
ส่วนคนเป็นพี่ชายก็ได้แต่ร้องอุทานเมื่อน้องสาวถูกเจ้าหนุ่มหน้าตาดีดึงไปกอดต่อหน้าต่อตา แต่ก็ไม่รู้จะขัดอย่างไรเมื่อชาร์ล็อตเองก็กอดตอบอีกฝ่ายด้วยความดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่าที่รอดชีวิตอีกครั้ง
ดีนตามมาสมทบหลังจากที่กำจัดชูปาคาบราเสร็จไปตัวหนึ่งซึ่งมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เขาชะงักไปพร้อม ๆ กับแมคเคนซีเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
“ไฮรี่กับชาร์ล็อตเป็นแฟนกันเหรอ” ดีนกระซิบถามผู้เป็นพี่ชาย
“บ..บ้าน่า ไม่หรอก…ไม่มั้ง”
แมคเคนซีหันไปกระซิบกระซาบตอบ เขาเองก็ยังไม่กล้าฟันธงเพราะน้องสาวก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แต่สำหรับคนเป็นพี่ชายแล้วก็ต้องคิดว่าไม่ใช่ไว้ก่อนล่ะ
“ชักช้าจริง แค่ให้จัดการเดมิก็อดเสียสติคนเดียวทำไมมันนานนักนะ”
เสียงของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลังจนต้องหันไปมอง
“อุ๊ยตาย มีคนเพิ่มมางั้นเหรอ….กลิ่นแรงขนาดนี้ พวกเธอเป็นเดมิก็อดกันหมดเลยเหรอเนี่ย หรือว่าพวกเอล กาบาโยเอา ‘ของ’ มาส่งแล้วเหรอ”
หญิงสาวที่เดินออกมาจากหลังต้นไม้รกทึบมุมหนึ่งพูดเองเออเองไปคนเดียวต่าง ๆ นานา แต่ดันมีอะไรบางอย่างที่สะกิดใจของเหล่าเดมิก็อดเข้า
“คุณรู้จักเอล กาบาโยด้วยเหรอ”
แมคเคนซีถามพลางกระชับดาบทองจักรพรรดิในมือแน่นขึ้น เขาเริ่มรู้สึกไม่ไว้ใจหญิงตรงหน้าขึ้นมาแปลก ๆ
“แน่นอนสิพ่อหนุ่ม เจ้านั่นบอกฉันว่ามีของดีมาให้ สายเลือดเฮคาทีสองคน คนนึงเอาไปทำลาเมีย ส่วนอีกคนก็…ส่งไปทำพิธีบูชายัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ยังไงล่ะจ๊ะ”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าที่ม่านตารับแสงของเธอดูแคบลงจนเหมือนสัตว์จำพวกงู ดวงตาคู่นั้นมองมายังชาร์ล็อตราวกับสัตว์ป่าที่กำลังมองเหยื่อ
“หนึ่ง.. สอง.. สาม.. สี่.. อุ๊ยตาย ดูเหมือนว่าเอล กาบาโยจะให้ของแถมมาถึงสอง แถมหนึ่งในนั้นจะเป็นบุตรเจ้าสมุทรอีกต่างหาก”
หญิงสาวนัยน์ตางูแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก ซึ่งลิ้นของเธอนั้นเล็กเรียวและมีปลายสองแฉกเหมือนกับอสรพิษไม่มีผิด และเวลานี้ร่างที่แท้จริงของเธอก็ปรากฏให้เห็นแล้ว ร่างกายท่อนบนมีเกล็ดขึ้นตามตัว ส่วนร่างกายท่อนล่างก็กลายเป็นหางของสัตว์เลื้อยคลานแทนที่จะเป็นขา
“ตะ.. ตัวอะไรอีกเนี่ย นั่นลาเมียที่นายเคยเจอเหรอแมคซี่” ดีนกระซิบถามคนรักของเขาอีกครั้ง แต่เมื่อพิจารณาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอสุรกายหญิงตรงหน้ากลับมีท่อนล่างเป็นงูสองหาง “หรือจะเป็นเมลูซีนสายพันธุ์ใหม่?”
“ไม่น่าใช่ ลาเมียที่ฉันเคยเจอร่างคนไม่มีเกล็ด แต่นี่มีเกล็ดทั้งตัวแถมมีสองหางอีก ส่วนพวกเมลูซีนน่าจะอยู่ในน้ำไม่ใช่เหรอ”
ถึงจะอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแต่แมคเคนซีก็ยังหันไปซุบซิบกายวิภาคอสุรกายกับบุตรโพไซดอนกันสองคน
ในระหว่างที่สองหนุ่มกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ไฮรี่ก็ปล่อยกอดชาร์ล็อตออกแล้วจะโจนเข้าใช้ท่อนไม้ฟาดใส่สาวงูอย่างรุนแรง
“แก! แกน่ะมันลูกน้องไอ้ไฮเปอเรียน!!”
“แหม ๆๆ นึกว่าใคร ที่แท้ก็แกเองรึ ของเล่นของนายท่าน รอดมาได้ถึงนี่หนังเหนียวไม่เบา” แดรกคีเน่หัวเราะในลำคอคล้ายกับว่าเธออยากจะหยอกของเล่นเก่าต่อจากนาย
“ย้ากกกก!!”
โทสะเข้าครอบงำบุตรแห่งเฮอร์มาโฟรไดตัสอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มไปโกรธเกลียดเคียดแค้นนางปีศาจตั้งแต่ตอนไหน คงมีแค่เขาและมันที่รู้ หรือไม่ก็อาจจะชาร์ล็อตอีกคน… ธิดาแห่งเฮคาทียืนตัวแข็งทื่อ เมื่อตอนที่ถูกจองจำอยู่ในชั้นใต้ดินบ้านในซอยบูเลอวาร์ด เธอเคยได้ยินเสียงเลื้อยของงูปะปนอยู่กับเสียงฝีเท้าของเหล่าไซคลอปส์ เดอะ วอชเชอร์ ไม่แน่ว่าแดรกคีเน่ตนนี้อาจเป็นลูกน้องคนสนิทของ ‘ไททัน’ ที่พวกเดอะ วอชเชอร์คุยกัน
“พี่แมค พี่ดีนคะ แย่แล้ว! แดรกคีเน่ตนนี้ต้องเป็นลูกสมุนของหัวหน้ากลุ่มวอชเชอร์แน่ ๆ เลยค่ะ!” ชาร์ล็อตตะโกนบอก
“ค๊อง!” โคมะจิเห่ารับ คล้ายบอกให้ทุกคนเตรียมตัวสู้กับศัตรูที่ร้ายกาจ ก่อนที่มันจะกลายร่างเป็นปีศาจจิ้งจอกตัวมหึมาเหมือนในมังงะนารุโตะ
“นี่รองบอสเหรอ งี้แปลว่าบอสอาจอยู่แถว ๆ นี้สินะ!” ดีนตอบกลับน้ำเสียงตื่นตะลึง แต่ไม่มีเวลาให้มัวมาอึ้งเพราะไฮรี่ถูกอัดกระเด็นจนตัวลอยแล้วกำลังจะถูกอสุรกายสาวพ่นพิษใส่ “โอ้ เชี่ย!! แย่แล้ว กำแพงน้ำ!!”
ดีนดึงเอาพลังของน้ำฝนมาเป็นเกราะป้องกันพิษที่กำลังพ่นใส่ไฮรี่ทำให้อีกฝ่ายรอดไปได้อย่างหวุดหวิด
“แดรกคีเน่เหรอ”
ชื่อไม่คุ้นหูโผล่ขึ้นมาอีกชื่อ แต่ก็เดาได้ไม่ยากเย็นว่าคงเป็นชื่อของอสุรกายตนนี้แน่ ๆ นอกจากนี้เธอยังมีหอกเป็นอาวุธประจำตัวด้วย ซึ่งดูจากท่าทางการจับแบบมืออาชีพแล้วคงไม่ได้ถือมาเล่น ๆ แน่นอน
“กรรรร—”
โคมะจิร่างยักษ์ส่งเสียงขู่ในลำคอก่อนเปิดฉากสู้ด้วยการกระโจนเข้าใส่ แต่แดรกคิเน่ก็ว่องไวพอที่จะเลื้อยหลบได้อย่างคล่องแคล่ว เหมือนว่าเธอมีเป้าหมายที่แน่ชัดแล้วว่าต้องเป็น ‘ชาร์ล็อต’ ซึ่งถูกวางตัวให้เป็น ‘เครื่องสังเวย’ สำหรับการทำพิธีการในครั้งนี้
“ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะ!”
แมคเคนซีเข้ามาขวางไว้ เขาลงดาบฟันไปเต็มแรงแต่แดรกคิเน่เองก็เอาหอกรับไว้ได้ทุกครั้ง และด้วยชั้นเชิงการใช้อาวุธที่เหนือกว่า อสูรครึ่งอสรพิษสาวก็ใช้หอกปัดป้องและสวนกลับจนดาบในมือแมคเคนซีกระเด็นหลุดออกจากมือและสลายไป บุตรเทพีแห่งมนตราพยายามตั้งสมาธิเพื่อเรียกหมอกพรางตา แต่ก็ดูเหมือนจะช้าไปเมื่อหางของแดรกคิเน่เลื้อยมาพันรัดร่างของเขาไว้แน่นจนเกือบหายใจไม่ออกจนไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้ ซ้ำยังแทบจะครองสติไว้ไม่อยู่
“พวกเจ้ามีฝีมือกันแค่นี้เองรึ อ่อนหัดเสียจริง”
“ปล่อยแฟนฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
บุตรแห่งสายน้ำพุ่งทะลุผ่านม่านหมอกอันเจือจางฟันหางของแดรกคีเน่จนขาดกระเด็น ปีศาจสาวกรีดร้องโหยหวน เมื่อหางงูโดนฟันขาดไปครึ่งนึงแบบนี้ก็ยากจะคงร่างอยู่ในโลกมนุษย์ได้อีกต่อไป ทว่าไม่…
“กร๊าซซซ”
นังงูพิษรวบรวมพิษมหาศาลพ่นเข้าใส่บุตรเจ้าสมุทร
“อิกนิส พาร์วัส!”
ลูกไฟน้อยพุ่งออกมาจากปากกาเวทมนตร์ฟรุ้งฟริ้ง และเมื่อมันสัมผัสกับละอองพิษก็เกิดการลุกไหม้ขนานใหญ่ลามเข้าไปในปากของอสูรสาวจนแผดเผาลำคอ
“นังเด็กนี่!!”
แดรกคีเน่เหลือจะอด นางเสือกตัวเลื้อยไปตามพื้น แม้จะหางขาดไปหนึ่งแต่ก็ยังคงรวดเร็วแม้ไม่เท่าแต่ก่อน มันรีบพุ่งถลาไปทางชาร์ล็อต การรับมือกับเดมิก็อดสี่คนและอสุรกายจิ้งจอกยักษ์พร้อมกันดูเหมือนจะตึงมือเกินไป นางจึงเล็งไปที่เป้าหมายกะจะพาหนีไม่ว่าเหยื่อจะกลับไปในสภาพไหนก็ตาม ไฮรี่ที่ถูกตบคว่ำไปในตอนแรกสุดถลาตัวมาขวางชาร์ล็อตไว้ด้วยเนื้อตัวที่เปื้อนโคลนจนดูไม่ได้
“กรร!!”
ยังไม่ทันถึงตัวโคมะจิกระโดดขึ้นคร่อมปีศาจงูเอาไว้ มันกัดหลังคอของนางก่อนจะสะบัดไปมาอย่างรุนแรง แดรกคีเน่สาวกรีดร้องเสียงหลงเมื่อเนื้อของมันถูกฉีกกระชากกลายเป็นฝุ่นผง
‘ลูกพี่โคมะจิโคตรโหด!’
ดีนที่ยืนช็อตไปตั้งแต่ที่เกือบถูกพ่นพิษใส่อ้าปากค้าง ด้วยความเจ็บปวดแดรกคีเน่พ่นพิษออกมาไม่หยุดหย่อนอย่างไร้ทิศทางจนปีศาจจิ้งจอกขาวยังต้องกระโดดหลบออกมา แมคเคนซีอยู่ในพิสัยของพิษแถมเจ้าตัวยังดูเหมือนว่าลุกขึ้นมาหลบไม่ไหว ดีนจึงกางโล่ฮิปโปแคมปัสออกมาก่อนจะย่อตัวลงยกโล่ขึ้นคุ้มกันอีกฝ่ายไว้
“ที่รักนายไหวหรือเปล่า!”
ประเมินจากสายตาหนุ่มอังกฤษลุกไม่ขึ้นแน่ ๆ แต่ให้กางโล่ต่อไปแบบนี้คงไม่ดี แม้โล่ฮิปโปแคมปัสจะเป็นอาวุธเทพที่ยากจะบุบสลายก็ตาม
“อึ้ก! แค่ก ๆ! โอเค ฉันโอเค”
แมคเคนซีตอบเสียงแผ่วทั้งที่ยังไอโขลก ดีที่ดีนมาช่วยไว้ทัน ไม่อย่างนั้นเขาคงได้กระดูกหักไม่ก็เครื่องในบีบตัวรวมกันจากแรงรัดของอสุรกายสาวตนนั้นแน่ ๆ
“โอเคกับผีน่ะสิ!”
ถึงจะบอกแบบนั้นแต่อาการอีกฝ่ายก็ดูไม่ดีเอาซะเลย ดีนจึงต้องรีบปิดจ๊อบอย่างรวดเร็ว เขารวบรวมน้ำพิษเป็นก้อนมวลใหญ่ ก่อนจะบังคับให้มวลน้ำยักษ์เข้าไปครอบคลุมแดรกคีเน่ตนนั้น แม้แต่เจ้าของพิษยังต้องแพ้ภัยจากพิษของตนเอง ร่างปีศาจถูกกัดกร่อนจนสลายถึงกระดูก กระนั้นก็ยังอุตส่าห์ทิ้งสินสงครามไว้ให้ดูต่างหน้า
แดรกคีเน่ถูกกำจัดไปแล้ว แต่ปัญหาต่อจากนี้คือจะทำยังไงกับพิษจำนวนมากนี้ดี ยิ่งฝนพรำลงมาก้อนน้ำพิษก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่สุดท้ายก็จำเป็นต้องทิ้ง ดีนทุ่มมวลน้ำนั้นไปที่ก้อนหินใหญ่ มันแหลกเป็นผงได้ภายในพริบตาจากการกัดกร่อนรุนแรง ดีนะที่ไม่มีใครโดนพิษเข้าจัง ๆ …
ปิดจ๊อบได้อย่างเสร็จสมบูรณ์ดีนถึงกลับมาดูอาการแมคเคนซีอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร…
“แก ไอ้ปีศาจตายซะ!!” เสียงของไฮรี่ตะโกนขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขามีเป้าหมายที่โคมะจิที่เพิ่งกลับร่างเล็กลงเป็นจิ้งจอกจิ๋ว
“หยุดนะคะพี่ไฮรี่!!”
ชาร์ล็อตรีบมายืนขวางหน้าโคมะจิไว้เพื่อไม่ให้ไฮรี่ลงมือทำร้าปีศาจจิ้งจอกสี่หางได้ ซึ่งก็ได้ผล บุตรเฮอร์มาโฟรไดตัสถึงกับหยุดชะงักนิ่งสนิทไปทันทีเหมือนกับถ่านหมด
“โคมะจิมาช่วยพวกเราค่ะ ไม่ได้เป็นศัตรู โคมะจิจะพาเราออกจากป่า แล้วนั่นก็พี่ดีนกับพี่แมคเคนซี พวกพี่เขามาจากค่ายฮาล์ฟบลัดเหมือนกัน เขาจะมาช่วยพาพวกเรากลับบ้าน”
ได้ทีธิดาเฮคาทีก็รีบอธิบายต่อ เธอไม่รู้ว่าคำพูดของเธอจะช่วยดึงสติไฮรี่ได้มากแค่ไหน แต่ก็ได้แค่หวังว่าอีกฝ่ายจะยอมฟังเธอบ้าง
“บ้าน…กลับบ้านเหรอ ฉันอยากกลับบ้าน แล้วอาร์ตี้ล่ะ อาร์ตี้อยู่ที่ไหน เราต้องรีบไปช่วยอาร์ตี้กันนะชาร์ล็อต แล้วพวกเราจะได้กลับบ้านกัน”
ไฮรี่ที่นั่งคุกเข่าลงไปกับพื้นสงบเสงี่ยมได้ไม่นานก็เริ่มลนลานขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเพื่อนร่วมทีมและถือเป็นพี่น้องร่วมบ้านอีกคนที่ตอนนี้ไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วย เขารีบคว้ามือชาร์ล็อตไว้แล้วบีบมือของเธอแน่นราวกับเหลือเด็กสาวเป็นเพียงที่ยึดเหนี่ยวสุดท้าย
“พี่อาร์ตี้…พี่อาร์ตี้บอกว่าจะล่วงหน้าไปก่อนค่ะ พวกเราต้องรีบตามไป พอพวกเราเจอพี่อาร์ตี้แล้วก็จะกลับบ้านกันนะคะ”
ชาร์ล็อตกุมมือของชายหนุ่มตอบโดยไม่สนว่ามือจะเปื้อนดินโคลนไปด้วย เธอคงคิดมาดีแล้วว่าถึงบอกความจริงไปก็คงไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเท่าไหร่ แม้จะอยากร้องไห้ให้กับชะตากรรมอันโหดร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ แต่ก็ต้องทำเป็นเข้มแข็งแล้วยิ้มเอาไว้
“จริงเหรอ จริง ๆ นะ งั้นพวกเรารีบไปกันเร็ว ๆ เลย”
เมื่อได้รู้ความเป็นไปในทางที่ดีขึ้นก็เหมือนทำให้มีกำลังใจขึ้นมา ไฮรี่รีบลุกขึ้นยืนในทันทีด้วยจิตใจอันฮึกเหิม
“ค๊อง!” โคมะจิหันมามองทางเดมิก็อดสองหนุ่มแล้วเห่าไปทีนึง
“โคมะจิบอกว่าจากจุดนี้ไปถึงชายป่าของเมืองที่ใกล้ที่สุดใช้เวลาประมาณเจ็ดชั่วโมงค่ะ พวกพี่ไหวกันหรือเปล่าคะ” แล้วก็เป็นชาร์ล็อตที่ยังคงทำหน้าที่แปลภาษาให้เป็นอย่างดี
“พี่ไหว ไปกันต่อได้เลย”
แมคเคนซีรีบพยักหน้ารับ เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ในป่าไปนานกว่านี้ ยิ่งฝนตกแบบนี้ด้วยแล้ว ทั้งยุงและแมลงคงจะชุมไปหมด หากไม่ได้เป็นไข้เพราะฝนก็อาจติดเชื้อจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ไหนจะต้องคอยระวังพวกอสุรกายที่จะโผล่มาอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“เจ็ดชั่วโมงเหรอ… ไหวสิ ไหวแหละ”
ดีนตอบรับด้วยน้ำเสียงที่แทบจะแหบแห้งหายไปในลำคอ แอบท้อนิดหน่อยที่เดินมาทั้งวันแต่ก็ยังมาได้แค่ครึ่งทาง กระนั้นพวกเขาก็ต้องไปต่อ เพราะนั่นคือหนทางเดียวที่จะมีชีวิตต่อไปได้ นี่ไม่ใช่การแข่งขันเดินเทรลที่หากไม่ไหวจะส่งสัญญาณเรียกสต๊าฟมารับตัวได้ แม้พวกเขาจะมีโคมะจิเป็นที่พึ่งก็จริง แต่ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าหากมันหอนแล้วพวกพรานสาวจะมาช่วย
เมื่อมติเป็นเอกฉันท์แล้ว ทีมทำภารกิจซึ่งมีเพื่อนร่วมทีมเพิ่มขึ้นมาอีกคนจึงเริ่มออกเดินทางกันต่อ
.
.
.
- 09:23PM -
ภายหลังจากใช้เวลาเดินอยู่ในป่ากันมาครึ่งค่อนวัน ในที่สุดพวกเขาก็พ้นจากเขตป่าดงดิบสุดหฤโหดของช่องดาเรียนแล้ว
“ค๊อง!”
“เอ๊ะ…จะไปแล้วเหรอจ๊ะ พี่ ๆ คะ โคมะจิบอกว่าจากตรงนี้ไปจะเข้าเขตเมืองยาวิซ่าแล้ว ให้พวกเราหาที่พักที่นี่กันก่อน ส่วนโคมะจิจะกลับไปรวมกลุ่มกับพวกพี่ ๆ พรานอาร์เทมิสแล้วค่ะ”
ชาร์ล็อตถามโคมะจิ แต่ก็ไม่ลืมที่จะแปลสารให้พวกพี่ชายของเธอฟังด้วย
“ไม่พักสักหน่อยเหรอ เดินทางกันมาตั้งหลายชั่วโมง”
แมคเคนซีที่ตอนนี้เรี่ยวแรงเริ่มหมดจนต้องให้ดีนช่วยพยุงถามขึ้น
“ค๊อง!”
“โคมะจิบอกว่า ‘ไม่เป็นไร ไฮดร้าสามสิบหัวร้ายกาจมาก ถึงกลุ่มพรานอาร์เทมิสจะมีฝีมือแต่ข้าก็ต้องรีบไปช่วยพวกนาง’ ค่ะ” ธิดาเฮคาทีช่วยแปลให้หลังจากที่ปีศาจจิ้งจอกส่ายหน้าไปมา
“อืม…ทางนั้นเองก็คงลำบากไม่น้อย ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ เดินทางปลอดภัยนะโคมะจิ ขอบคุณที่ช่วยนำทางให้พวกเรา ขอให้จัดการไฮดร้าสามสิบหัวนั่นสำเร็จนะ”
เมื่อฟังเหตุผลของโคมะจิแล้วก็เข้าใจได้ในทันที จะรั้งไว้ก็คงไม่เป็นผลในเมื่ออีกฝ่ายต้องกลับไปทำหน้าที่ของตนเองเช่นกัน ตอนนี้จึงได้เวลาบอกลาจิ้งจอกสี่หางแล้ว
“ขอบคุณมากนะลูกพี่โคมะจิ ขากลับก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ถ้าเหนื่อยก็พัก ความปลอดภัยต้องมาเป็นที่หนึ่ง” ดีนกล่าวลา ในใจเขาอยากจะกอดสิ่งมีชีวิตสีขาว ๆ ขนฟู ๆ สักทีนึง แต่อีกฝ่ายคงไม่ยอมแน่ ๆ จึงได้แต่โบกมือบ๊ายบาย
“ขอบคุณมากนะจ๊ะโคมะจิ ถ้ามีโอกาสเราคงได้พบกันอีกนะ”
ชาร์ล็อตก้มลงลูบหัวโคมะจิเบา ๆ ซึ่งครั้งนี้มันก้มหัวให้เล็กน้อยก่อนจะเห่าดัง “ค๊อง!” รับเป็นครั้งสุดท้ายแล้ววิ่งหายกลับเข้าไปในป่า
“ทีนี้เราจะเอายังไงกันต่อดี หาโรงแรมสักที่เข้าพักก่อนไหม”
พอเหลือกันอยู่สี่คน แมคเคนซีจึงหันมาถามความเห็นเพื่อนร่วมทีมทั้งสองต่อ (เว้นไฮรี่ที่คงจะช่วยออกความเห็นไม่ได้ไว้)
‘โอ๊ยยยยย โรงรงโรงแรมอะไร ไม่มีหรอกที่นี่ นักท่องเที่ยวยังไม่มีเลยเถอะ ฉันถึงต้องระหกระเหินไปทำงานไกลบ้านไงล่ะ’
เสียงจากวิญญาณสาวที่สิงอยู่ในพวงกุญแจดังขึ้นมาในหัวสองพี่น้องเฮคาทีหลังจากที่เธอเงียบมาทั้งวัน จนชวนให้นึกว่าเธอหายไปสู่ภพภูมิใหม่ระหว่างทางแล้วซะอีก
“หมายความว่ายังไง คุณจะบอกว่าเมืองนี้ไม่มีที่พักงั้นเหรอ”
ได้ยินแบบนั้นแมคเคนซีก็ตาโตทันที ที่พวกเขาเดินทางกันทั้งวี่วันเพื่อจะรีบเข้าเมืองมาหาที่พักที่ดีกว่าการนอนเต็นท์กลางป่าเขา กลับกลายเป็นว่ามาเจอเมืองที่ไม่มีแม้แต่ที่จะให้พวกเขาซุกหัวนอนงั้นเรอะ
‘ก็…ประมาณนั้น แต่ว่าฉันมีข่าวดีนิดหน่อยนะ เมืองนี้น่ะเป็นบ้านเกิดฉันเอง ไหน ๆ พวกนายกับชาร์ล็อตก็พาฉันกลับบ้านได้สำเร็จแล้ว ฉันจะให้นอนค้างที่บ้านสักคืนเพื่อเป็นการตอบแทน’
“พูดอย่างกับเป็นเรื่องง่าย ถึงจะบอกว่าเป็นบ้านคุณแต่คนในบ้านจะยอมให้คนแปลกหน้าเข้าพักได้ไง”
“เป็นบ้าเหรอ พูดคนเดียว”
เสียงไฮรี่แทรกขึ้นมาจนแมคเคนซีนึกขึ้นได้ นั่นสิ…ในที่นี้ยังมีดีนและไฮรี่ที่สื่อสารกับวิญญาณไม่ได้นี่นะ
ว่าแต่ทำไมเขาถึงต้องโดนคนสติไม่ดีทักว่า ‘เป็นบ้า’ ด้วยฟะ
“ริเซ่บอกว่าที่เมืองนี้ไม่มีโรงแรมให้เราเข้าพัก แต่ที่นี่คือบ้านเกิดของเธอ เธอจะให้พวกเราพาเธอไปส่งที่บ้านแล้วให้พวกเราพักที่บ้านเธอคืนนึง”
แมคเคนซีเลือกที่จะปล่อยผ่านคำพูดของไฮรี่ไปแล้วหันมาบอกเรื่องที่สนทนากับวิญญาณสาวให้ดีนรับรู้ก่อนจะเงียบไปเพื่อรอฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมทีม
“ผีนี่ก็มีประโยชน์เหมือนกันนะเนี่ย คิดถูกแล้วที่พามาด้วย” ดีนตอบ หลังจากนั้นริเซ่ก็กรี๊ดจนพวงกุญแจสั่น แต่คงมีแค่สายเลือดแห่งเฮคาทีเท่านั้นที่ได้ยิน “ถ้างั้นฝากขอบคุณเธอด้วยนะ ยังไงมีที่ซุกหัวนอนก็คงจะดีกว่าต้องนอนกลางดินกินกลางทรายในเมืองที่ไม่รู้จัก”
แม้พวกเขาจะเอาเต็นท์มาก็เถอะ แต่จู่ ๆ มีใครก็ไม่รู้มาปักเต็นท์ในหมู่บ้าน เผลอ ๆ จะถูกหัวปิงปองมาลากเข้าซังเต อีกอย่างเมืองนี้ติดกับช่องดาเรียนเอามาก ๆ ถือว่ายังเป็นพื้นที่อันตรายจากคนร้าย ๆ ได้อยู่
“แต่ว่า… แล้วเราจะพูดยังไงให้ที่บ้านของริเซ่เข้าใจได้ล่ะ แบบว่า… จะมีหลักฐานอะไรมายืนยันได้ว่าเราพาวิญญาณลูกสาวเขามาส่งจริง ๆ ไม่ใช่แก๊งต้มตุ๋น สิบแปดมงกุฎ หรืออะไรทำนองนั้น แล้วดูพวกเราสิ… โคตรจะเละเลย”
ดีนกางแขนออกทั้งสองข้าง เสื้อกันฝนที่ใส่ช่วยกันดินโคลนกระเด็นใส่เสื้อผ้าได้บ้าง แต่รองเท้าและขากางเกงก็เละเทะไปหมด ส่วนที่เละยิ่งกว่าก็คือไฮรี่ที่มอมไปทั้งตัว
เมื่อได้ฟังที่ดีนบอก ชาร์ล็อตก็ครุ่นคิดเล็กน้อย
“ถ้าเล่าเรื่องที่มีแค่ที่บ้านรู้ บางทีเขาอาจจะเชื่อก็ได้นะคะ ยังไงเราก็ไม่มีหลักฐานอะไรมากไปกว่านั้น จากนี้คงต้องให้พี่ริเซ่ช่วยสื่อสารแล้วล่ะค่ะ”
‘ไม่ต้องห่วงชาร์ล็อต พวกเธอพาฉันมาส่งถึงบ้านได้ก็ขอบคุณมากแล้ว ฉันต้องสื่อสารให้พ่อกับแม่เชื่อให้ได้ว่าวิญญาณของฉันอยู่ตรงนี้’ ผีสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทั้งที่เธอไม่จำเป็นต้องหายใจแล้วด้วยซ้ำ คล้ายกับการเตรียมใจเพื่อเผชิญหน้า ‘เอาล่ะ อย่าเสียเวลาเลย ตามฉันมาเถอะ’
กล่าวจบริเซ่ก็พุ่งทะลุออกมาอยู่ด้านนอกพวงกุญแจ แล้วเดินนำเดมิก็อดทั้งสี่ตรงเข้าไปในหมู่บ้าน

ความคิดเห็นผู้บันทึก
การเดินทางในป่าดงดิบน่ากลัวมากค่ะ มีแต่ต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด พวกเราโชคดีมากที่มีโคมะจิช่วยนำทาง ไม่อย่างนั้นพวกเราอาจหลงอยู่ในป่า ไม่ได้ออกจากป่าไวขนาดนี้แน่ และน่าไม่น่าเชื่อเลยค่ะว่าพวกเราจะได้พบพี่ไฮรี่อีกครั้งที่นี่ ถึงพี่ไฮรี่จะมีสภาพไม่เหมือนเดิมแต่หนูก็จะพาพี่เขากลับค่ายกับพวกเราให้ได้ แล้วก็จะคอยดูแลพี่เขาให้หายดีด้วย
สรุปสถานการณ์
- ทีมทำภารกิจพักแรมกลางป่าหนึ่งคืน
- เดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น พบ ‘ไฮรี่’ เดมิก็อดบุตรแห่งเทพเฮอร์มาโฟรไดตัส
ผู้ร่วมทีมทำภารกิจเก่าของชาร์ล็อตที่หายสาบสูญกำลังต่อสู้กับฝูงอสุรกาย
- ทีมทำภารกิจต่อสู้กับอสุรกายและออกเดินทางต่อโดยให้ ‘ไฮรี่’ ที่อยู่ในสภาพเสียสติร่วมเดินทางไปด้วย
- เดินทางออกจากป่าดงดิบของช่องดาเรียน มาถึงเมืองยาวิซ่า ประเทศปานามา
พิชิตอสุรกาย
โบนัสสินสงคราม [LUK มากกว่า 100]
(โอนเข้า @Mackenzie ได้เลย ใช้ของร่วมกันกับ @Dean) เขี้ยวแวมไพร์ 1 ea
ขวดเลือดชูปาคาบรา 2 ea
เกล็ดแดรกคีเน่ 2 ea
ขวดเลือดแดรกคีเน่ 4 ea
DEAN
+2 ตื่นรู้จากการพิชิต [แดรกคีเน่] ครั้งแรก |
MACKENZIE
+2 ตื่นรู้จากการพิชิต [แดรกคีเน่] ครั้งแรก
+2 ตื่นรู้จากการพิชิต [ชูปาคาบรา] ครั้งแรก
|