[บันทึกการเดินทาง] APOLLYON the DESTROYER

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-6-22 11:02







"มิตรภาพ การผจญภัย และความรัก"

ขอเชิญพบกับภารกิจสุดอบอุ่นหัวใจ

การันตีรางวัล "เหม็นความรักที่สุด" แห่งปี 2025


APOLLYON the DESTROYER

- but our love is unbreakable -


🔱 ❤︎


โอ้ วีรบุรุษแห่งโอลิมปัส ผู้ห้าวหาญ

บัดนี้เงาแห่งโครนอส คืบคลานเข้าครอบงำ

บ้านเลขต้องสาป ณ แดนเจอร์ซีย์

กลืนกินชีวิต ปลดปล่อยความมืด

พึงระวังน่านฟ้า เจ้าจักถูกจับตามอง....


หนึ่งชีพดับสูญ หนึ่งจมในห้วงลืมเลือนนิจนิรันดร์

หนึ่งถูกจองจำ รอคอยความตาย


จงฝ่าม่านแห่งมายา มองทะลุคำลวง

ไขปริศนาแห่งบ้านเลขต้องสาป

ก่อนพลังแห่งอดีตกาลจะตื่นขึ้น....


สายเลือดแห่งมนตรา จักเชื่อมต่อม่านแห่งเทพ

ซ่อมแซมบาดแผลแห่งมนตราที่แตกสลาย


มุ่งหน้าสู่แดนเอกวาดอร์ ดินแดนแห่งภูเขาไฟ

หยุดยั้งแผนการชั่วร้าย ก่อนความมืดจะครอบงำ

อะพอลลีออน จอมทำลาย รอวันปลดปล่อย

ชะตากรรมแห่งโลกอยู่ในมือของเจ้า

DEAN
ไม่พูดมาก ให้ภาพมันเล่าเรื่อง
mackenzie
พวกแกกล้ามากที่มาจับน้องสาวฉันไป ฉันกับแฟนจะลงทัณฑ์แกเอง !
charlotte

พวกพี่อย่ามัวจีบกัน
รีบช่วยหนูออกมาด้วยนะ ╥﹏╥





{ พลิกหน้าปกเพื่ออ่านรายละเอียดภารกิจ }

เอกสารอนุมัติการออกเดินทาง  พล็อตภารกิจ






ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 22337 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-5-15 07:41
โพสต์ 2025-5-15 23:02:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-5-15 23:10

I
มุ่งหน้าสู่บูเลอวาร์ด
 Mackenzie Claude Lincoln 
-15.05.25 / 05:35AM-


ช่วงเวลาเช้ามืดของวันแรกในการออกเดินทางไปทำภารกิจ แมคเคนซีกับดีนตื่นก่อนเวลาเพื่อตรวจเช็คสัมภาระต่าง ๆ และความพร้อมครั้งสุดท้าย ครั้งนี้นอกจากจะไปช่วยชาร์ล็อตซึ่งเป็นพี่น้องของเหล่าบุตรบ้านเฮคาทีแล้ว พวกเขายังต้องเดินทางไกลไปต่อถึงขั้นข้ามน้ำข้ามทะเลเลยทีเดียว


“ข้าวของเครื่องใช้ อาวุธ ยา อุปกรณ์ปฐมพยาบาล เสบียงฉุกเฉิน เสื้อผ้าของชาร์ล็อต…ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว นายจะเตรียมอะไรไปเพิ่มอีกไหมดีน”


แมคเคนซีหันมาถามคนรักที่ตอนนี้ควบตำแหน่งพาร์ทเนอร์และเจ้าของภารกิจครั้งนี้หลังจากไล่ดูลิสต์สิ่งที่ต้องเตรียมไปจนครบ


“คิดว่าไม่… ไม่น่ามีแล้ว”


ดีนตอบกลับ เขาเองก็ตรวจสอบสัมภาระอย่างระมัดระวังเป็นรอบที่สาม แล้วตอนนี้ก็ไม่มีอะไรที่ต้องบรรจุลงไปเพิ่มอีก


“แล้วนายจะพาเจ้านั่นไปไหม?”


บุตรแห่งโพไซดอนชี้ไปที่ลูกก๊อบลินตัวเขียวที่แมคเคนซีเจอระหว่างภารกิจ จะว่าบังเอิญได้ไหมที่ช่วงช่วยโพไซดอนหาเสียงที่นีออมดีนก็มีลูกก๊อบลินสัญชาติอาหรับเพิ่มเข้าทีมมาด้วยตัวนึง


ราวกับเทพแจกของ…


“ฉันกำลังคิดว่าจะพาควีนกับไข่ผำไปด้วยดีไหม?”


หากแค่ไปช่วยชาร์ล็อตที่นิวเจอร์ซีย์คงไม่ต้องยกโขยงกันไปมากขนาดนี้ แต่นี่พวกเขาต้องเดินทางไปไกลถึงเอกวาดอร์โดยปราศจากรถไฟเฮเฟตัสอำนวยความสะดวกในการเดินทาง


เมื่อแมคเคนซีหันมองไปตามที่ดีนชี้ก็เห็นแอนดี้นั่งตาใสแจ๋วมองพวกเขาอยู่ตรงปลายเตียง หากนับเวลาตั้งแต่ได้พบกันและเก็บลูกก็อบลินตนนี้มาเลี้ยง นี่ก็ใกล้จะเข้าเดือนที่สี่แล้ว แอนดี้เองก็ตัวโตขึ้นจากเดิมเล็กน้อย ที่เพิ่มขึ้นน่าจะเป็นน้ำหนักมากกว่า เนื่องจากเจ้าตัวเล็กกินเก่งใช่ย่อย


“ก็อยากพาไปนะ แอนดี้ช่วยชีวิตฉันตอนทำภารกิจมาหลายครั้ง ถ้าไปคราวนี้อาจจะมีประโยชน์ก็ได้ แต่มันจะยุ่งยากไหม เราต้องทำเรื่องพาสัตว์เลี้ยงขึ้นรถไฟด้วยหรือเปล่า”


พอคิดถึงขั้นตอนต่าง ๆ แล้วก็เริ่มสองจิตสองใจขึ้นมา


“ส่วนเรื่องควีน…ยังไงดีล่ะ ถ้าพาไปจะไปกันยังไง เราต้องขึ้นรถบัสด้วยใช่ไหม”


เมื่อนึกถึงม้าเพกาซัสสีดำขลับของดีนแล้วก็มุ่นคิ้วเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าเมื่อคราวไปนีออมดีนพาควีนเดินทางไปด้วยยังไง รู้แค่ว่าอีกฝ่ายนัดกับควีนที่เซ็นทรัลพาร์คเท่านั้น


“ตอนนั้นฉันให้เธอบินตามไปจนถึงนิวยอร์กน่ะ แล้วรถไฟเฮเฟตัสก็มีบริการขนย้ายเพกาซัสด้วย…”


ดีนตอบกลับพร้อมกับหยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะให้คำตอบแก่ทั้งตัวเองและแมคเคนซี


“ควีนน่าจะอยากอยู่ค่ายมากกว่า ตอนนั้นฉันพาเธอไปพบกับความลำบากมาเยอะ แถมเธอยังโกรธที่ฉันพาไปถูกหุ่นทองคำยิงจนขนปีกแหว่งอีกต่างหาก งั้นให้เธออยู่สบาย ๆ มีแซเทอร์คนงานคอยแปรงขนขูดเล็บเท้าให้ที่ค่ายเนี่ยแหล่ะ น่าจะดีกับเธอที่สุดแล้ว”


แมคเคนซีพยักหน้ารับเล็กน้อย เรื่องความเหนื่อยคงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ ขนาดบินจากลอนดอนมานิวยอร์กก็ทำมาแล้ว สมกับเป็นสัตว์วิเศษในตำนานจริง ๆ นั่นแหละ


“ป่านนี้ควีนหายโกรธนายแล้ว แต่ให้พักสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน” 


ฝ่ามือใหญ่ตบไหล่กว้างของดีนเบา ๆ เมื่อเห็นใบหน้าหงอย ๆ นั้น สำหรับแมคเคนซีแล้วเขาเป็นห่วงคนตรงหน้ามากกว่าอะไร หากควีนเกิดอันตรายขึ้นมาอีก สภาพจิตใจของคนรักสัตว์อย่างดีนก็คงย่ำแย่ตามไปด้วย ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น


“งั้นฉันว่าฉันก็ให้แอนดี้อยู่ที่ค่ายด้วยดีกว่า ถึงมันจะฉลาดก็เถอะ แต่ฉันไม่อยากห่วงหน้าพะวงหลัง…เข้าใจใช่ไหมแอนดี้”


แมคเคนซีหันไปถามเจ้าลูกก็อบลิน มันทำหน้าหงอยไปเล็กน้อยแต่ก็ร้อง “กี้…” รับเสียงเบาแล้วผงกหัว อย่างน้อยแอนดี้ก็เป็นขวัญใจของน้อง ๆ ที่บ้านอย่างจูลี่กับนิโคไล ทั้งคู่คงช่วยกันดูแลเจ้าตัวน้อยช่วงที่เขาไม่อยู่ได้เป็นอย่างดี


“ดูเหมือนว่าเราจะคิดเหมือนกันเลยนะ”

ดีนหัวเราะน้อย ๆ จากนั้นเขาก็หยิบสมาร์ทโฟนออกมาเขียนข้อความทิ้งไว้ในแชทกลุ่ม ‘POSEIDON CABIN 3’ ให้พี่น้องคนอื่น ๆ รู้ว่าตนเองมีภารกิจที่ต้องทำเป็นการเร่งด่วน พร้อมกับส่งไฟล์แผนการเดินทางให้น้อง ๆ ได้รับทราบโดยทั่วกัน


จากเหตุการณ์ของชาร์ล็อตและทีมบ้านเฮอร์มาโฟรไดตัสสร้างข้อคิดที่ดีสำหรับการตามหาคนหาย ยิ่งทิ้งเบาะแสไว้มากเท่าไรก็ยิ่งให้พี่น้องออกตามหาได้ง่ายขึ้นหากว่าเขาหรือแมคเคนซีหายตัวไปนานเกินเดือน ไม่ต้องพึ่งพาการเข้าฝันเพื่อแจ้งข่าว ซึ่งแฟนหนุ่มของดีนอาจจะแบ่งจิตนิมิตฝันให้คนอื่นได้ตามประสาพ่อมดหมอผี แต่ว่าดีนทำอย่างนั้นไม่เป็น


“เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางกันเถอะ”


เดมิก็อดแห่งโพไซดอนสะพายสัมภาระขึ้นบ่าหลังจากที่ไม่มีอะไรต้องเพิ่มเติม ข้าวของของชาร์ล็อตอยู่ที่แมคเคนซี ส่วนดีนรับผิดชอบเรื่องเสบียงอาหารและเต๊นท์ที่เอาไปเผื่อได้ใช้ ยังไงเผื่อเหลือก็ดีกว่าของขาด


หนุ่มอังกฤษเพียงแค่ยิ้มรับคำพูดนั้น รอให้ดีนส่งข้อความในมือถือให้เสร็จเรียบร้อยแล้วหอบหิ้วสัมภาระออกมาจากห้องนอนที่เพิ่งกลับมาอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือนก็ต้องห่างจากเตียงนอนนุ่ม ๆ และผ้าห่มอุ่น ๆ ไปอีกครั้ง

.


.

ภายในบ้านยังคงเงียบสงัดเช่นเคย แต่ก็อย่างว่า นี่ยังไม่ถึงเวลาตื่นนอนของสมาชิกส่วนใหญ่ภายในบ้าน เมื่อเดินผ่านโถงกลางแมคเคนซีก็หยุดมองรูปปั้นผู้เป็นมารดาครู่หนึ่ง


“ดีน…ฉันขอคุยกับแม่หน่อย”


เพื่อไม่ให้เสียเวลา หลังจากบอกคนรักแล้วแมคเคนซีก็หันกลับมามองยังใบหน้าของรูปปั้นแล้วเอ่ยเสียงเบาแต่แฝงความมุ่งมั่นอยู่ในนั้น


“ผมกับดีนกำลังจะไปช่วยชาร์ล็อตครับ พวกผมจะพาน้องกลับมาที่ค่ายอย่างปลอดภัย ขอให้คุณช่วยอวยพรให้การเดินทางของเราราบรื่นด้วยนะครับ”


ปลายนิ้วแตะลงที่ฐานอันเย็นเยียบของรูปปั้นเทพีเฮคาทีผู้เป็นมารดาแล้วจึงผละออกมาหาดีนที่รออยู่


“นายอยากพูดอะไรกับเธอหน่อยไหม”


“ฉันเหรอ?”


ดีนชี้หน้าตัวเองพร้อมกะพริบตาปริบ ๆ ไม่คิดว่าแมคเคนซีจะเอ่ยชวนให้เขามาเคารพรูปปั้นมารดา ซึ่งคิดอีกทีก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับก่อนเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับองค์เทพี แล้วทำเช่นเดียวกับที่เคยทำกับรูปปั้นของพ่อ วางมือทั้งสองลงไปบนมือรูปปั้นพระนางก่อนหลับตาสื่อจิตถึง


“ผมขอให้ชาร์ล็อตปลอดภัย และพวกเราทำภารกิจได้สำเร็จโดยปราศจากการสูญเสียครับ ช่วยคุ้มครองพวกเราด้วย”


ความรู้สึกที่ส่งถึงแตกต่างจากตอนขอพรจากโพไซดอน ดีนไม่ได้สัมผัสถึงสายน้ำเย็นเฉียบ แต่ก็ไม่อาจตอบได้ว่าบรรยากาศที่ห้อมล้อมอยู่คือเวทมนตร์หรือไม่ รู้แต่ว่ามันช่วยทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้นิดหน่อย ไม่ทราบด้วยคือการปลอบโยนจากเทพี หรือเป็นแค่ผลทางจิตวิทยาเมื่อเข้าถึงเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ


หลังขอพรเสร็จบุตรแห่งโพไซดอนก็ถอยกลับมายืนเคียงข้างคนรัก กุมมือสอดประสานปลายนิ้วกันและกันอย่างแนบแน่น ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะอันตรายเพียงใดแต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีกันและกัน ซึ่งตอนนี้กำลังใจเต็มเปี่ยม


“ไปกันเลยไหมแมคซี่ ฉันพร้อมแล้วล่ะ”


ดวงตาสีฮาเซลหลุบลงมองมือของดีนที่เกาะกุมมือตนเองไว้แล้วกระชับกุมมืออีกฝ่ายตอบ ริมฝีปากได้รูปเม้มซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ นี่พวกเขากำลังจะไปทำภารกิจแท้ ๆ ไม่ได้ไปเดทกันสักหน่อย แต่ก็บ้าจริง…เขาหยุดยิ้มไม่ได้เลย


“โอเค ไปกัน เดี๋ยวไม่ทันเวลารถไฟ”


ว่าแล้วก็พากันออกมาจากบ้าน แต่ช่วงเวลาหวานชื่นนั้นอยู่ได้เพียงไม่นานก็ถูกขัดจังหวะเข้าเสียก่อน


“ไง เจ้าพวกเด็ก จะไปกันแล้วเรอะ”


ซิลเวอร์ที่เดินออกมาจากทางเข้าไปในป่าต้องห้ามทักเสียงดัง ร่างสูงใหญ่ได้รูปเดินมาหาพวกเขาทั้งสอง แววตากรุ้มกริ่มมองที่มือของคู่รักเดมิก็อดหนุ่มจนอดเขินไม่ได้จึงค่อย ๆ คลายมือออกก่อน


“อรุณสวัสดิ์ซิลเวอร์ ใช่ เราวางแผนกันไว้ว่าจะไปเช้าหน่อย กว่าจะเดินไปถึงสถานีก็ใช้เวลานานเลย”


แมคเคนซีพยักหน้ารับแล้วบอกแผนการเดินทางเพียงสั้น ๆ แค่นึกถึงระยะทางจากหน้าประตูค่ายไปยังสถานีมอนทอกที่ใช้ระยะเวลากว่าครึ่งชั่วโมงก็เหนื่อยล่วงหน้าแล้ว


ส่วนดีนได้แต่ทำหน้าเหรอหราเมื่อเห็นซิลเวอร์เพิ่งเข้าบ้านมาตอนตีห้ากว่า ๆ หมอนั่นไปทำอะไรกันนะ? เปลี่ยนประสบการณ์การนอนใหม่? ไปฝึกวิชา? หรือแอบมีกิ๊กเป็นนิมฟ์สวย ๆ ในป่าต้องห้าม? แต่ก็ช่างมันเถอะ


“เอ่อใช่ ฉันเกลียดที่ต้องเดินออกไปที่หน้าสถานีชะมัด ค่ายฮาล์ฟบลัดก็อยู่มาเป็นร้อยปีแล้วควรจะมีบริการรถรับส่งจากหน้าค่ายไปสถานีบ้าง ไม่รู้พวกเทพเจ้าจะอะไรกับเกียรติยศการเดินด้วยเท้าหนักหนา หรืออย่างน้อยมีจักรยานให้ยืมสักคันสองคันก็ยังดี”


หลังจากที่ฟังเจ้าพวกคนหนุ่มแน่นบ่นถึงเรื่องการเดินเท้า ซิลเวอร์ก็เลิกคิ้วแล้วยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะตบบ่าดีนกับแมคเคนซีป้าบ ๆ


“แล้วนายจะไปสนใจเกียรติยศที่มันกินไม่ได้ไปทำไมล่ะเจ้าเด็ก ในเมื่อเรามีเครื่องทุ่นแรงที่ทำให้สะดวกสบายได้ตั้งเยอะแยะ ไง อยากลองเอาก้นนุ่ม ๆ ของพวกนายไปสัมผัสเบาะมัสแตงของฉันอีกสักรอบไหมล่ะ แต่ฉันไปส่งได้แค่มอนทอกนะ ยังไม่อยากโดนฟ้าผ่าซะก่อน”


ว่าแล้วก็ขยิบตาให้ทีนึง ซิลเวอร์เองก็รู้เรื่องมาตั้งแต่แรก แต่น่าเสียดายที่ภารกิจนี้กำหนดให้มีสมาชิกเดินทางไปได้แค่สองคน แมคเคนซีหันมองดีนเชิงถามความเห็น ทั้งที่ในใจก็คิดว่าข้อเสนอของซิลเวอร์น่าสนใจมากทีเดียว


“ว้าววว จริงเหรอครับ ลูกพี่จะไปส่งพวกเราสินะ แมคซี่นายนี่มีพี่ชายที่ดีชะมัด งามเลิศ เพริศพริ้ง สุดไฉไล ศรีวิไล แล้วก็อืม… สะแมนแตน”


ได้ทีก็เลียซิลเวอร์ยกใหญ่ด้วยคำศัพท์บางคำที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ความหมาย แถมยังขยับเข้าไปนวดบ่าไหล่หยอง ๆ แหยง ๆ


“ผมอดใจไม่ไหวที่จะได้นั่งเบาะรถมัสแตงของลูกพี่อีกครั้งแล้วครับ”


พูดจบก็กอดคอบุตรแห่งเฮคาทีสองคนออกจากกระท่อมที่ยี่สิบ ล็อคแขนที่คอซิลเวอร์แน่นหน่อยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ


แมคเคนซีถึงกับแอบเหวอนิดหน่อยเมื่อคนรักของเขาตอบตกลงทันทีแบบแทบไม่ต้องคิดซ้ำยังพูดจายกยอพี่ชายร่วมมารดาของตนเสียยกใหญ่


‘หรือว่าหมอนี่จะแค่บ่นเฉย ๆ ไม่ได้สนใจเกียรติยศการเดินเท้าอะไรนั่นอยู่แล้ว’


“ฮ่า ๆๆ อยู่เป็นนี่หว่าเจ้าเด็ก ที่จริงแค่ตอบตกลงฉันก็ไปแล้วน่า”


ซิลเวอร์หัวเราะชอบใจพลางปล่อยให้ดีนนวดบ่าให้ ก่อนจะกอดคอบุตรแห่งโพไซดอนตอบแล้วพากันเดินไปยังที่ที่จอดรถสุดหรูไว้จนแมคเคนซีถึงกับเกาหัวด้วยความงุนงงว่าสองคนนี้สนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่


ต้องเดินออกไปถึงเนินฮาร์ฟบลัดแต่ก็ยังดีกว่าต้องเดินไปถึงสถานีมอนทอกที่อยู่ห่างออกไปกว่าสองไมล์


เมื่อซิลเวอร์เปิดประตูรถให้เหล่าลูกน้อง (?) ได้เข้าไปนั่งแล้วดีนก็เอกเขนกบนเบาะหลังอย่างไม่เกรงใจเจ้าของรถ จากนั้นก็ชวนคุยทำลายบรรยากาศเงียบ ๆ ของเหล่าสายเลือดเฮคาที


“ฉันว่ามีรถนี่ก็ดีเหมือนกันนะ คิดถึงตอนที่นายยังมีแมคกี้อยู่เลยนะแมคซี่ เห็นซันซ์บอกว่าที่นิวโรมมีร้านขายรถเต่ากับมอเตอร์ไซค์ระบบพลังงานเทพอะไรสักอย่างด้วย ถ้าพวกค่ายจูปิเตอร์ขับรถกันไปทำภารกิจได้ ฉันว่าฮาล์ฟบลัดก็น่าจะได้เหมือนกัน …ใช่ไหมซิลเวอร์?”


แต่ยังไงถามผู้มีประสบการณ์ก่อนก็ดีกว่า อีกฝ่ายมีรถขับแบบนี้ถ้าเทพเจ้ายังบอกให้เดินเท้าไปอีกก็ทุเรศเกินไปหน่อย


แมคเคนซีถึงกับชะงักไปเล็กน้อยเมื่อดีนพูดถึงมอเตอร์ไซต์คู่ใจที่พังไม่มีชิ้นดีตั้งแต่วันแรกที่มาถึงค่าย แม้ว่าตอนนี้จะผ่านมานานจนทำใจได้แล้ว แต่เขาก็ยังคิดอยู่เสมอว่าวันหนึ่งจะต้องซื้อแมคกี้หมายเลขสองมาไว้ในครอบครองให้ได้


“แหงอยู่แล้ว มันอยู่ที่เราเลือกว่าจะเดินทางแบบไหน ทำภารกิจแต่ละทีก็เหนื่อยแทบแย่ แล้วมันผิดตรงไหนที่จะเลือกกินหรูอยู่สบายเพื่อเติมพลังงานให้ตัวเองกันล่ะ ถ้าเจอพวกอสุรกายระหว่างทางก็แค่…”


ซิลเวอร์เงียบลงแค่นั้นก่อนจะผละมือข้างนึงออกจากพวงมาลัย ทำมือเลียนแบบรูปปืนแล้วชี้ไปด้านหน้าก่อนจะกระดกข้อมือขึ้น


“ปัง !…หรือไม่ก็ซัดมันสักเปรี้ยงแล้วไปต่อ”


“ไม่แน่ใจเลยแฮะว่าใครจะซัดใครก่อน” ดีนพึมพำ

ซึ่งส่วนใหญ่คนเปิดก่อนมักจะเป็นอสุรกายที่หิวโหยเนื้อเดมิก็อดเสียนี่สิ…


การเดินเท้าไปยังสถานีมอนทอกใช้เวลาเกือบชั่วโมง แต่พอขับรถมาเองแบบนี้แล้วใช้เวลาแค่สามนาที คุยกันไม่ถึงไหนซิลเวอร์ก็พาผู้กล้าทั้งสองมาส่งที่หน้าสถานีรถไฟแอลไออาร์อาร์แล้ว


“เฮ้อ… ไม่อยากลงรถเลยแฮะ”

เพราะว่าถ้าลงจากรถมัสแตงคันงามไปแล้ว หมายความว่าวินาทีต่อจากนี้ไปทั้งสองจะต้องไปเผชิญหน้ากับความยากลำบากอันแสนสาหัส

“ถ้ายังไงพวกเราขอยืมรถไปต่อ—”


“ไม่ได้เฟ้ย!”

ซิลเวอร์โวย มาส่งน่ะได้ แต่ให้ยืมน่ะไม่ บางทีบุตรแห่งเฮคาทีคนนี้อาจจะยังเข็ดที่ดีนขอเอารถหรูไปขนอุปกรณ์ก่อสร้างอยู่ก็เป็นได้


“ก็ได้ ๆ งั้นขอบคุณนะลูกพี่” ดีนยกสองมือขึ้นยอมแพ้


แมคเคนซีหลุดหัวเราะเล็กน้อยเมื่อพี่คนโตของบ้านโวยวาย เรื่องนี้เขาเข้าใจดี คงไม่มีใครให้คนอื่นยืมรถง่าย ๆ ยิ่งเป็นรถคลาสสิคราคาสูงลิ่วแบบนี้ด้วยแล้ว ถึงแม้เกิดอีกฝ่ายจะบ้าจี้ให้ยืมจริง เวลาขับเขาคงเกร็งน่าดู ก็คิดดูสิ ค่าซ่อมมันถูกซะที่ไหน


“ขอบคุณซิลเวอร์ พวกผมไปก่อนนะ”


“เดินทางปลอดภัยเจ้าพวกเด็ก พาเจ้าเด็กชาร์ล็อตกลับมาให้ได้ล่ะ อย่ามัวแต่กระหนุงกระหนิงกันจนลืมทำภารกิจ ไม่งั้นฉันจะจับพวกนายนอนแยกกันซะให้รู้แล้วรู้รอด”


ซิลเวอร์โบกมือให้แล้วขับรถกลับค่าย แมคเคนซีถอนหายใจบาง ๆ กับคำขู่แปลก ๆ นั่นแล้วหันมาหาดีนพลางพูดติดตลก


“ได้เวลาเริ่มเดินทางตามวิถีเกียรติยศแห่งเทพแล้วสิ”


อดที่จะขำไม่ได้กับคำขู่ของซิลเวอร์ แต่ก็นั่นแหล่ะ… เขาไม่ยอมให้ใครมาแยกเตียงนอนของเขากับแมคเคนซีหรอก เว้นแต่ดีนจะเป็นคนไล่อีกฝ่ายให้ไปนอนนอกห้องเอง…


“เหอะ เกียรติยศไร้สาระน่ะสิ ฉันแค่อยากจะช่วยชาร์ล็อต แต่ถ้าจำเป็นต้องกู้โลกพ่วงไปด้วยก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”


อดคิดไม่ได้ว่าทำไมงานกู้โลกต้องเป็นหน้าที่ของบุตรแห่งโพไซดอนทุกทีเลยนะ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยของเพอร์ซีย์ แจ๊คสัน พี่ชายต่างมารดาของดีนแล้ว


ส่วนเรื่องเกียรติยศอะไรนั่นชายหนุ่มไม่สนใจ เขาเลือกมีชีวิตอยู่อย่างสำราญโดยไร้เกียรติ ดีกว่ามีเกียรติแต่อายุสั้นหรือไม่ก็ต้องเดินอยู่บนเส้นทางแสนบัดซบที่ไครอนกับไดโอนีซุสฝังหัวเด็ก ๆ ในค่ายว่า ‘เกียรติยศน่ะของดี’


เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านั้น ทั้งสองจึงไปซื้อตั๋วรถไฟขึ้นขบวนรถไปจนถึงใจกลางของนครนิวยอร์ก


แมคเคนซียักไหล่ยิ้ม ๆ เขาเองก็คิดไม่ต่างกัน นอกจากช่วยน้องสาวร่วมมารดาให้กลับมาโดยปลอดภัยแล้วเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก…นอกจากว่าขออัดเจ้าพวกที่มันจับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ไปกักขังไว้สักหน่อยน่ะนะ

.


.

รถไฟจากสถานีมอนทอกใช้เวลากว่าสามชั่วโมงกว่าจะถึงสถานีเพนซิลเวเนียร์ พวกเขาจึงใช้เวลานี้นอนหลับเอาแรงกันอีกหน่อย ก่อนจะไปขึ้นรถไฟใต้ดินต่อเพื่อไปยังสถานีรถบัสที่จะมุ่งหน้าสู่บลูเลอวาร์ดอีกทอดหนึ่ง


“รอบนี้รู้สึกใกล้ขึ้นมาหน่อย ตอนฉันนั่งรถไฟไปทำภารกิจที่แคนาดานี่นานมาก น่าเบื่อชะมัด”


อยู่ ๆ ก็นึกถึงการเดินทางของภารกิจก่อนหน้า แมคเคนซีเลยบ่นขึ้นมาหลังจากที่รถบัสออกเดินทางได้สักพัก


“ก็แค่ตอนนี้แหล่ะ นายอย่าลืมสิว่าพวกเราต้องไปถึงเอกวาดอร์กันเลย”


ย้อนนึกถึงคำทำนายที่ได้รับกันมามีท่อนหนึ่งระบุไว้ว่า ‘มุ่งหน้าสู่แดนเอกวาดอร์ ดินแดนแห่งภูเขาไฟ’ แค่คิดก็เหงื่อตกแล้วให้ตายสิ..


“อยากให้ช่วยชาร์ล็อตเสร็จก็กลับกันได้เลยชะมัด แล้วยกให้ทีมอื่นไปกู้โลกกันที่เอกวาดอร์กันแทน”


บุตรแห่งโพไซดอนคันปากยิบ ๆ อยากจะบ่นเหลือเกิน เดินทางก็ไปได้ยาก เครื่องบินก็นั่งไม่ได้ สถานีเฮเฟตัสก็ไม่มี บางทีเทพเจ้าก็เอาแต่ใจเกินไป อยากให้ลูกหลานเป็นฮีโร่แต่ไม่คำนึงถึงอันตรายที่พวกเขาต้องเจอ ป่านนี้คงนั่งปรบมือเมื่อดูความรันทดของเดมิก็อดลงมาจากสวรรค์


“อา…จริงด้วย นี่มันแค่เริ่มต้นนี่นะ”


พอดีนพูดถึงสถานที่ที่ต้องไปต่อหลังจากช่วยชาร์ล็อตเรียบร้อยแล้วก็โคลงศีรษะไปมา ของจริงมันน่าจะหลังจากนี้ต่างหาก


“เป็นแบบนั้นก็ดีสิ ทำไมตอนรับคำพยากรณ์นายไม่ต่อรองคุณเรเชลสักหน่อยล่ะ”


แกล้งพูดหยอกอีกฝ่ายเล่น ทำได้จริงก็แย่แล้ว


“เราลงป้ายหน้าแล้วใช่ไหม”


เมื่อเหลือบไปเห็นจอบอกสถานีตรงด้านหน้ารถบัสจึงจำเป็นต้องหยุดการคุยเล่นไว้เพียงเท่านี้แล้วเตรียมตัวลงจากรถกัน


“ฉันไม่ใช่นายนี่ ต่อรองกับเทพฉ่ำ”


แกล้งแซวแมคเคนซีกลับไป เขาได้อ่านบันทึกการเดินทางของอีกฝ่ายแล้วต้องอุทานว่า ‘เหลือจะเชื่อ! นายต่อรองโมมุสจนเทพหนี!’


หลังได้ยินที่อีกฝ่ายทักดีนก็ชะโงกหน้ามองป้ายถนนที่อยู่ข้างทาง เขาเห็นป้ายถนนสี่เหลี่ยมสีเขียวสองป้ายไขว้กัน ‘นอร์ธอีฟ’ และ ‘เอลม์สตรีท’

“ใกล้แล้วป้ายหน้านี่ล่ะ ลงกันเถอะ”


เมื่อรถบัสจอดสนิททั้งสองก็พากันลงมาพร้อมด้วยสัมภาระใบใหญ่ และเมื่อรถบัสคันนั้นแล่นผ่านไปจึงเห็นแผ่นป้ายสีซีดที่ปักไว้บนฝั่งตรงกันข้าม ‘ถนนบูเลอวาร์ด’


ดีนกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่จากนั้นเดินข้ามถนนสายหลักไปยังถนนซอยย่อย เมื่อมองออกไปก็พบกับถนนคอนกรีตที่ทอดยาวห้อมล้อมด้วยบ้านเรือนขนาบไปทั้งสองข้างในบรรยากาศเย็นยะเยือก ราวกับมีพลังชั่วร้ายแผ่กระจายออกมาปกคลุมไปทั่วทั้งถนน


“นี่มันเหมือนกับที่ฉันฝันเห็นเลย…“




ความคิดเห็นผู้บันทึก

ตอนนี้การเดินทางยังไม่ลำบากเท่าไหร่ ต้องขอบคุณซิลเวอร์ที่ช่วยขับรถมาส่งตรงสถานีมอนทอก ทางเข้าถนนบูเลอวาร์ดค่อนข้างวังเวงแปลก ๆ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าหมู่บ้านนี้ร้างไปหรือยัง


สรุปสถานการณ์

- ออกเดินทางจากค่ายฮาล์ฟบลัดด้วยรถของซิลเวอร์ไปยังสถานีมอนทอก

- ขึ้นรถไฟจากสถานีมอนทอกไปยังสถานีเพนน์

- ขึ้นรถไฟใต้ดินจากสถานีเพนน์เพื่อขึ้นรถบัสต่อไปยังบูเลอวาร์ด

- เดินทางถึงบูเลอวาร์ด


แสดงความคิดเห็น

God
ระหว่างนั่งบนรถไฟคุณพบชายหนุ่มคนหนึ่งดูท่าทางสะบัดสะบอม เขาแนะนำตัวชื่อ รัสเซล บุตรแห่งเฮคาที สภาพเขาร่อแร่ เขามองหน้าคุณพอมีเนคทาร์ให้สักอันไหม   โพสต์ 2025-5-15 23:25
โพสต์ 154060 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-5-15 23:02
โพสต์ 154,060 ไบต์และได้รับ +20 EXP +1 Point +20 ความกล้า +40 ความศรัทธา จาก เขตแดนเฮคาที  โพสต์ 2025-5-15 23:02
โพสต์ 154,060 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Hydro X  โพสต์ 2025-5-15 23:02
โพสต์ 154,060 ไบต์และได้รับ +15 EXP +25 เกียรติยศ +25 ความศรัทธา จาก คบเพลิงเวท  โพสต์ 2025-5-15 23:02

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เขตแดนเฮคาที
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
Hydro X
เวทมนต์ [II]
คบเพลิงเวท
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
รองเท้าเซฟตี้
น้ำหอม Unisex
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
สร้อยข้อมือถัก
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x3
x6
x3
x3
x3
x2
x3
x1
x1
x5
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x3
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x15
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x2
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x3
x2
x2
โพสต์ 2025-5-19 21:52:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-5-23 02:08

II
ศึกย่อยบนถนนบูเลอวาร์ด
Dean Eilwyn Alvarez Neal


-15.05.25 / 11:55AM-

หลังลงจากรถบัสและข้ามถนนกันมาแล้ว ดวงตาสีฮาเซลมองเข้าไปในถนนสายย่อยซึ่งมีป้ายสีซีดจางเขียนไว้ว่า ‘ถนนบลูเลอวาร์ด’ ถึงแม้ว่าแมคเคนซีจะไม่ใช่คนที่เซ้นส์ดีมาแต่ไหนแต่ไร แต่เมื่อเขาได้ก้าวข้ามมายังฝั่งโลกแห่งทวยเทพแล้วก็เริ่มสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาดจากอีกมิติที่มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถรับรู้ได้มากขึ้น

และครั้งนี้แมคเคนซีเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากดีนเช่นกัน…หรืออาจจะมากกว่า ด้วยทักษะ ‘ควบคุมหมอก’ ซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะของเหล่าบุตรแห่งเทพีเฮคาทีทำให้เขาเห็นได้ชัดว่ามนต์บังตาที่ใช้ซ่อนเร้นเหล่าอสุรกายของสถานที่แห่งนี้ดูไม่เข้มข้นเท่าที่อื่น ๆ

หากอธิบายให้ดูเป็นวิชาการหน่อยก็คงเปรียบได้กับชั้นบรรยากาศของโลกที่เบาบางลงเรื่อย ๆ จนรังสียูวีส่องทะลุผ่านลงมาได้จนกลายเป็นปัญหาโลกร้อนในปัจจุบัน จึงไม่น่าแปลกหากผู้คนที่นี่จะเห็นพวกอสุรกายเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมดเช่นเดียวกันกับพวกเขาที่เป็นเดมิก็อดจนไม่กล้าออกจากบ้าน

“นี่มันเหมือนกับที่ฉันฝันเห็นเลย…”

แม้เป็นตอนกลางวันที่ตะวันสว่างจ้า ทว่ากลับมีบรรยากาศบางอย่างแผ่ปกคลุมทำให้หายใจได้ไม่ทั่วท้อง ความไม่น่าไว้วางใจแบบนี้อย่างกับจะมีเหตุการณ์ร้าย ๆ บางอย่างเกิดขึ้นเหมือนในหนังเรื่อง ‘มิดซอมมาร์’

“แมคซี่… ฉันรู้สึกไม่ดี ใจหวิว ๆ เหมือนอยากจะอ้วกยังไงก็ไม่รู้”

ดีนเบะปากหันมองไปทางคนรักด้วยสายตาอ้อนวอนแบบ ‘ปลอบฉันทีที่รัก’

“ไหวหรือเปล่า นายคงไม่ได้เมารถใช่ไหม ฉันโอเคนะถ้านายอยากจะพักก่อน”

ฝ่ามือใหญ่ลูบหลังคนรักเบา ๆ เห็นหน้าหงอย ๆ ของดีนแล้วก็ไม่อยากพูดให้ใจเสียเลยทำทีเป็นชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อเบี่ยงประเด็น

“หรือบางทีฉันอาจจะแค่หิวจนน้ำตาลตก”

ดีนลูบท้องตัวเองปอย ๆ ตอนนี้ได้เวลามื้อเที่ยงแล้วก็จริง แต่ชายหนุ่มอาจจะแค่หาข้ออ้างเพื่อประวิงเวลาอย่างเช่นทุกครั้ง การช่วยชาร์ล็อตสำคัญแต่ว่าเขารู้สึกยังไม่พร้อมเท่าไรนี่นา

“ตรงนั้นมีคาเฟ่ด้วยเราแวะหาอะไรกินเพิ่มพลังกันก่อนดีไหม? เผื่อแวะซื้อเสบียงไปให้ชาร์ล็อตกินด้วย”

บุตรแห่งโพไซดอนชี้ไปที่คาเฟ่ต้นซอยบูเลอวาร์ดที่เปิดอยู่ร้านเดียวท่ามกลางบรรยากาศวังเวง

“ก็ดีเหมือนกัน แต่ขอร้องเลย นายอย่าดื่มกาแฟหวานตัดขาแบบนั้นอีกได้ไหม”

แมคเคนซีรีบพูดดักคอไว้ก่อน ถึงแม้รู้ว่าห้ามเท่าไหร่ดีนก็ไม่ค่อยฟังเสียที พอมองตามที่อีกฝ่ายชี้ไปแล้วก็เห็นคาเฟ่อยู่ไม่ไกล ไม่รู้ว่าเวลาเที่ยงวันแบบนี้จะมีลูกค้าเยอะหรือเปล่า แต่หากดูจากสภาพแวดล้อมโดยรวมแล้วก็น่าจะไม่ ส่วนเรื่องเจอชาร์ล็อต…เขาคิดว่ามันคงไม่ง่ายดายขนาดนั้น แต่ก็ไม่อยากขัดคนรักให้เสียอารมณ์

“ไหงงั้นล่ะ คนเราจำเป็นต้องใช้แคลอรีเป็นพลังงานให้ร่างกายนะ ซึ่งน้ำตาลน่ะให้แคลอรีเยอะสุด ๆ”

ดีนใช้ความรู้ที่เคยเรียนมาเข้าแถ แต่เหมือนจะเป็นการใช้วิชาอย่างผิด ๆ

“แต่ถ้านายไม่อยากให้กินสองร้อย งั้นฉันเอาหวานร้อยห้าสิบก็ได้”

พูดจบก็ยิ้มแป้นข่มความกลัวก่อนจะเดินนำเข้าไปในคาเฟ่ที่ต้นซอย

“แคลอรีหรือกลูโคสกันแน่…”

ผิดไปจากที่คิดที่ไหน หนุ่มอังกฤษกลอกตาไปหนึ่งรอบถ้วนเมื่อดีนบอกว่าจะลดความหวานลงมาเหลือแค่ ‘ร้อยห้าสิบ’ เท่านั้น ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายเข้าร้านไป

กรุ๊งกริ๊ง

กระดิ่งโมบายที่ถูกแขวนไว้เหนือประตูกระจกแกว่งไกวส่งเสียงเมื่อพวกเขาผลักบานประตูเข้ามาในร้านอาหาร 
ภายในร้านไม่มีลูกค้าแม้แต่โต๊ะเดียว จะมีก็แค่พนักงานคนนึงที่หน้าตาเหมือนอดนอนมาหลายคืน และแม้ว่าเสียงกระดิ่งจะดังก้องทว่าเสียงนั้นไม่อาจเรียกสติอันเหม่อลอยของบาร์ริสต้าหนุ่มสภาพโทรม ดวงตาลึกโบ๋อย่างกับยืนเฝ้าที่นี่จนไม่ได้หลับไม่ได้นอนยังไงยังงั้น ริมฝีปากของเขาพึมพำ

“ชีส…เบอร์เกอร์…. ชีส…เบอร์เกอร์….”

ราวกับไร้วิญญาณหรือไม่ก็สติหลุดลอยไปไกล แม้ว่าเดมิก็อดทั้งสองยืนต่อหน้าอีกฝ่ายก็ไม่ได้รู้สึกตัวขึ้นมาเลย

“เอ่อ.. ขอสั่งอาหารหน่อยครับ” ดีนเอ่ยขึ้น

“ชีส…เบอร์เกอร์…. ชีส…เบอร์เกอร์….”

ยิ่งคำว่า ‘ชีสเบอร์เกอร์’ ที่พูดซำไปซ้ำมาราวกับแผ่นเสียงตกร่องนั่นก็ด้วย 
จนดีนต้องหันไปมองหน้ากันกับแมคเคนซี

“……ฉันว่ามีบางอย่างไม่ปกติ”

นี่คือประโยคแรกที่แมคเคนซีพูดขึ้นเมื่อหันไปสบตากับดีน

“นะ.. นั่นสิ มันจะไม่ปกติตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอ ยังไม่ทันเข้าไปถนนบูเลอวาร์ดเลย–….”

ยังไม่ทันที่ดีนจะพูดจบประโยคดี บาร์ริสต้าก็แสดงปฏิกิริยาอื่นออกมา เขาไม่ได้คืนสติ แต่กำลังแสดงท่าทางหวาดกลัวแล้วกรีดร้องออกมาอย่างเสียสติ

“เหวอ!!! ผมรู้แล้วชีสเบอร์เกอร์!”

จากนั้นบาริสต้าก็มุดลงไปใต้เคาน์เตอร์แคชเชียร์

“เฮ้ คุณ! ใจเย็นก่อน พวกเรายังไม่ทันสั่งอะไรเลย”

ท่าทางตื่นตระหนกของชายคนนั้นทำให้แมคเคนซีขมวดคิ้ว ครั้นพอจะชะโงกหน้าไปดูคนที่หลบลงไปใต้แคชเชียร์ก็รู้สึกได้ถึงเงาดำขนาดใหญ่ที่ทาบทับพวกเขาจากด้านหลังซะก่อน

‘กลิ่นเดมิก็อด…’

‘จริงด้วย…กลิ่นเดมิก็อด เหมือนเหยื่อใต้ดินนั่น’

เสียงคุยกันของสิ่งมีชีวิตบางอย่างดังก้องในหัว พร้อมกับเสียงหายใจฟืดฟาดฟุดฟิดราวกับกำลังดมกลิ่นอยู่ตรงเหนือศีรษะ ดูท่าพวกเขาจะโดนต้อนรับแบบไม่เต็มใจซะแล้ว

“นายได้ยินเหมือนฉันไหมดีน”

แมคเคนซีทำทีขยับมายืนชิดดีนมากขึ้นแล้วถามเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน ดวงตาหรี่ลงแล้วปรายมองไปด้านหลังเพื่อบอกเป็นนัย

“อ๊ะ! จริงด้วย!”

ในระหว่างที่มัวแต่ตกใจกับท่าทางหลอน ๆ ของบาริสต้า ทำให้พวกเขาไม่ได้ทันรู้ตัวเลยว่ามีอสุรกายมาด้านหลัง พวกมันเงียบเชียบไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของกระดิ่งที่แขวนเหนือประตู

ดีนรีบหันกลับไปแต่ความเคลื่อนไหวของอสูรร้ายนั้นไวกว่า ไซคลอปส์เงื้อขวานจามลงมาใส่ทั้งสอง

“ระวัง!!”

บุตรแห่งสายน้ำพุ่งตัวกอดเอวของคนรักไว้พร้อมกับผลักไปอีกทางทำให้ทั้งคู่หลบคมขวานไปได้อย่างหวุดหวิด ทว่ากลิ้งล้มกันไปไม่เป็นท่า

โครม!!!

เคาน์เตอร์กาแฟแยกออกเป็นสองส่วน กระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ แล่นปราบไปทั่วซากปรักหักพัง ตอนนี้พนักงานร้านคาเฟ่ไร้แท่นกำบังกายแถมเขายังเกือบจะถูกขวานสายฟ้าผ่าแยกร่างพร้อมไปกับโต๊ะ ด้วยความหวาดกลัวสุดขีดเขาจึงกรีดร้องโหยหวน ล้มลุกคลุกคลานหาที่กำบังใหม่

“ว้ากกกกก!!”

“อึ้ก! แค่ก ๆ!”

ร่างของแมคเคนซีที่ถูกดีนกอดไว้แล้วพุ่งไปด้านข้างกลิ้งกระแทกกับกำแพงร้านเข้าอย่างจัง เขารีบยันตัวเองลุกขึ้นนั่งแล้วมองคู่ต่อสู้เพื่อประเมินสถานการณ์

“นั่นมันไซคลอปส์ ดีน นายโอเคไหม”

แมคเคนซีรีบช่วยพยุงคนรักให้ลุกขึ้นมา ภายในหัวก็คิดไปด้วยว่าจะจัดการเจ้าสองตัวนี้ยังไงดี

“ช่วยด้วยยย!! ผมยังไม่อยากตายยยย!!”

“เงียบหน่อยได้ไหม! มีสติแล้วก็รีบหาทางออกจากที่นี่ไปซะ!”

แมคเคนซีตะโกนบอกบาริสต้าที่อยู่อีกฟากหนึ่งของร้าน หมอนั่นรบกวนสมาธิของเขาเกินไปจนเกรงว่าจะใช้พลังเวทย์จัดการกับอสุรกายพวกนี้ไม่ได้

“ไม่ ฉะ..ฉันไม่เป็นไร”

เพราะว่าล้มอยู่บนตัวของแมคเคนซีเลยทำให้ดีนจุกน้อยกว่าแต่แค่เสียวหลังนิดหน่อย ดีนทำตรงข้ามกับคนรัก เขาตะโกนบอกชายที่กำลังแหกปากอย่างเสียสติจนเสียงตีกัน

“ใจเย็น ๆ นะคุณ ทุกอย่างจะโอเค!”

แต่พนักงานร้านดูเหมือนจะไม่ฟังพวกเขาเลย ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ฟังตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในร้านแล้ว ทำเหมือนกับว่าสองหนุ่มเป็นเพียงแค่อากาศ

“ช่วยไม่ได้แฮะ!”

บุ๋ง!

ดีนดึงหางม้าน้ำกระเป๋าของขวัญระดับเทพที่ได้รับมาจากโพไซดอนในช่วงวันเกิด ให้มันพ่นฟองอากาศขนาดใหญ่ห่อหุ่มชายคนนั้นเอาไว้ กะจะให้ช่วยป้องกันลูกหลง (ซึ่งไม่รู้ว่ากันได้จริงไหม) แต่ผลดีอีกอย่างก็คือฟองอากาศช่วยทอนเสียงโวยวายให้เบาลงไปได้เยอะ

ปุ้ง!

กลุ่มหมอกที่ควบแน่นจนเป็นลูกบอลขนาดย่อมพุ่งอัดเข้าใส่ไซคลอปส์ตนนึงที่เงื้อขวานวิ่งตรงมาทางดีนจนมันหน้าหงายล้มตึงไปกับพื้นร้าน

'ให้ตายสิ ยังจะห่วงคนอื่นอีก ทั้งที่ตัวเองนั่นแหละจะถูกไซคลอปส์พวกนี้เขมือบอยู่แล้ว’

ถึงจะอยากดุแค่ไหนแต่ก็ทำได้เพียงแค่เก็บไว้ในใจแล้วแสดงออกมาทางสีหน้าที่ดูหงุดหงิดแทน ไม่รู้ว่าดีนลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเองเป็นลูกมหาเทพ สายเลือดที่มีพลังเข้มข้นจนเป็นที่หมายตาของพวกอสุรกายมากกว่าเขาหรือบาริสต้าที่เป็นมนุษย์ธรรมดาซะอีก

“ฉันว่าเราต้องแบ่งงานกัน จัดการคนละตัว”

แมคเคนซีบอกพลางรีบหยิบคทาเวทออกมาจากกระบอกซูมที่สะพายหลังอยู่มาถือไว้จนแสงจากอาวุธเวทย์ส่องสว่างไปทั่วบริเวณร้าน

“โอ๊ะ โอเค!”

ดีนรับด้วยสีหน้าทึ่งจัดใจสกิลของเฮคาทีที่เขาไม่เคยเห็น

ในเมื่อคนรักชักอาวุธแล้วตัวเองก็ควรเอาอาวุธออกมาบ้าง เพียงแค่จิตปรารถนาอัญมณีบนกำไลอัจฉริยะบนข้อมือขวาก็เรืองแสง โลหะเปลี่ยนแปรงรูปร่างยืดออกกลายเป็นมีดดาบสามง่ามที่มีคมสีน้ำทะเล

‘แก ตาย!!’

ไซคลอปส์อีกตนพุ่งตัวเข้าหาสองเดมิก็อดหลังจากที่มันเห็นเพื่อนถูกหมอกจู่โจมจนล้มลง แต่ด้วยความไวของบุตรแห่งเจ้าสมุทรเองที่พุ่งตัวเข้าหาในจังหวะเดียวกัน ดีนหมุนตัวเพิ่มความแรงส่ง ตวัดปลายดาบสามง่ามฟันกลางลำตัวของไซคลอปส์ตนนั้นขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดายราวกับมีดตัดเนย

ก่อนออกเดินทางดีนเสริมแกร่งอาวุธทั้งหมดด้วยหินแร่จากการถวายความกล้าหาญแก่เทพซุส จากอาวุธที่ทรงอานุภาพอยู่แล้วจึงยิ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

ร่างใหญ่โตของยักษ์ตาเดียวสลายเป็นธุลีในทันทีก่อนที่ร่างของมันจะล้มตึงลงสู่พื้นเสียอีก

ทางด้านแมคเคนซีเอง หลังจากที่บอกดีนแล้วก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลา เขาชี้ปลายคทาไปยังไซคลอปส์ที่ยังนั่งสะบัดหัวไปมาด้วยความงุนงง จากนั้นก็ตวัดข้อมือขึ้นลงทันที

“อินคันทาเร เฟลมมา มาจิกา!”

ลูกไฟขนาดย่อมแต่ร้อนแรงเทียบเท่าแมกมาถูกยิงออกมาจากคทาเวท แผดเผาร่างของไซคลอปส์ตนนั้นจนไหม้เป็นจุณ แม้จะเป็นเวทบทเดิมแต่หลังจากที่แมคเคนซีกลับมาจากการทำภารกิจที่แคนาดา เขาก็ซุ่มซ้อมทั้งทักษะการต่อสู้และการใช้เวทอย่างจริงจัง จนตอนนี้มีความคล่องตัวมากกว่าแต่ก่อน สามารถใช้เวทได้อย่างรวดเร็วว่องไว ทั้งยังควบคุมพลังของตนเองได้ดียิ่งขึ้น

หลังการต่อสู้จบลง ดวงตาสีฮาเซลก็มองไปยังร่างของบาริสต้าหนุ่มที่ยังนั่งกอดเข่าคุดคู้ตัวสั่นงันงกอยู่ในฟองอากาศขนาดใหญ่ที่ดีนสร้างขึ้น

“หมอนั่น…ไหวไหมเนี่ย”

“เขาดูเหมือนคนจิตพังไปแล้วเลย…”

ดีนชั่งใจว่าจะปล่อยพนักงานร้านออกมาดีไหม แต่คิดอีกทีปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ในนั้นต่อไปอีกสักพักอาจจะดีกว่า อย่างไรเสียเมื่อพวกเขาเว้นระยะห่างออกมาฟองอากาศก็น่าจะสลายไปเองได้อยู่ดี

“เราคงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้หรอก เผลอ ๆ คนที่นี่อาจมีอาการคล้ายแบบนี้กันไปหมดเพราะพวกเขาเจอมอนสเตอร์มานานเกินไป…”

แมคเคนซีเงียบไปเล็กน้อยพลางสังเกตอาการของมนุษย์ตรงน้าอย่างถี่ถ้วน ที่เขาพูดนั้นไม่เกินจริง หากนับช่วงเวลาที่ชาร์ล็อตกับทีมทำภารกิจของเธอมาที่นี่ก็เป็นเวลาเกือบปีแล้ว มนต์บังตาที่เสียหายตั้งแต่ตอนนั้นจนมาถึงตอนนี้อาจขยายวงกว้างมากกว่าเดิม ซึ่งนั่นก็เปรียบเหมือนประตูมิติที่เปิดกว้างขึ้น ส่งผลให้โอกาสที่มนุษย์ละแวกนี้จะเห็นอสุรกายเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

บุตรแห่งโพไซดอนเก็บอาวุธให้คืนในรูปแบบของกำไลเหลียวมองไปรอบ ๆ ร้าน เคาน์เตอร์พัง ข้าวของกระจัดกระจาย โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาดได้รับความเสียหาย จนต้องเปลี่ยนมาเป็นท่ายืนกุมหัว

“โอ้ตายล่ะ! ดูร้านสิ แบบนี้ขายของกินให้เราไม่ได้แน่ ๆ”

โครก…

เสียงท้องร้องของคนอนามัยแจ้งเตือนเบา ๆ แต่ช่างเถอะ…

“แมคซี่นายทนหิวไหวไหม? ฉันคิดว่าเรารีบไปช่วยชาร์ล็อตออกมาแล้วค่อยหาอะไรกินหลังปิดงานดีกว่า”

ดวงตาสีฮาเซลเหล่มองคนรักด้วยหางตาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงท้องร้องโครกครากที่ไม่ได้ดังมาจากตนเอง

“นิดหน่อย แต่ฉันทนได้ เอาตามที่นายว่าเลยที่รัก พอจัดการเรื่องนี้เสร็จ ทุกอย่างที่บูเลอวาร์ดอาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ได้”

‘ยกเว้นร้านนี้ที่โดนเรากับพวกไซคลอปส์พังไปแล้ว…’

แมคเคนซีคิดเช่นนั้นก่อนพยักหน้ารับพลางกระชับคทาเวทในมือแน่นแล้วพากันเดินออกจากคาเฟ่ไปพร้อมดีน บรรยากาศตึงเครียดทำให้ลืมความรู้สึกหิวไปได้ชั่วครู่ หากช่วยชาร์ล็อตได้สำเร็จจะกินให้เต็มคราบเลยคอยดู

ถึงแม้ว่าแสงแดดสว่างจ้า ทว่าซอยถนนกลับดูอึมครึมและแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายออกมาผิดปกติ ทั้งที่ดีนไม่ได้มองเห็นเขตเฮคาทีที่กำลังพังทลายเกิดรอยแยกขนาดใหญ่ก็ตามที กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่าตนถูกความชั่วร้ายคุกคามจนรู้สึกมวนท้องแปลก ๆ

หรือไม่ก็แค่หิว…

เพียงแค่ต้นถนนก็ได้จัดการกับไซคลอปส์ไปแล้วตั้งสองตัว แล้วกว่าจะไปถึง ‘บ้านเลขที่หกห้าเจ็ด’ ที่อยู่อีกตั้งไกล ไม่รู้เลยว่าบนเส้นทางข้างหน้าพวกเขาต้องเจอกับอะไรอีกตั้งเท่าไร

“พ่อหนุ่มมาหาใครเหรอจ๊ะ?”

เสียงทักดังมาจากหญิงวัยเกษียณที่กำลังรดน้ำทำสวนตอนเวลาเกือบบ่ายโมงจากบ้านหลังหนึ่งฝั่งซ้ายมือที่ดีนและแมคเคนซีกำลังเดินผ่าน ทำเอาเดมิก็อดหนุ่มสะดุ้งจนชะงัก

แว้บแรกที่ผุดขึ้นมาในมโนสำนึกคือ ‘แปลก’ แต่เอาเข้าจริงพอโลกมีสภาพเหมือนยามเที่ยงตลอดเวลาจะรดน้ำทำสวนตอนไหนก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย

“อ้อ พอดีแวะมาหาเพื่อนแถวนี้น่ะครับ” ด้วยความเป็นคนเฟรนด์ลี่ดีนจึงตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตร ก่อนจะหันกลับไปกระซิบกับแมคเคนซี “แถวนี้มีคนอยู่ด้วยแฮะ คิดว่าจะเป็นเมืองร้างไปแล้วซะอีก”

แต่ในขณะที่บุตรแห่งโพไซดอนหันหน้าไปหาคนรัก สายลมวูบหนึ่งพัดพาทำเอาวิกสีขาวที่อยู่บนศีรษะของหญิงชราเกือบปลิว นางรีบคว้าเอาไว้ก่อนที่วิกจะหลุดออกจากศีรษะ เป็นจังหวะที่ดวงตาทั้งสองข้างของหญิงชราไหลมารวมกัน ก่อนจะแยกตัวเป็นตาสองข้างอีกครั้งแบบคนธรรมดา

เมื่อจัดวิกผมเสร็จเรียบร้อยเธอก็ยิ้มหวานให้หนุ่มต่างถิ่นด้วยริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีแดงสดเหมือนเลือดนกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นั่นสิ หรือว่ามันจะไม่ได้ร้ายแรง—”

แมคเคนซีที่กำลังซุบซิบตอบอยู่ ๆ ก็เงียบไปราวกับโดนดูดเสียงไปเสียอย่างนั้น เมื่อเขาดันเห็นภาพตรงหน้าเข้าอย่างจัง

‘เชร้ดดด ! นึกว่าโดนผีหลอกกลางวันแสก ๆ’

บุตรเฮคาทีซึ่งมีสกิลสื่อสารกับวิญญาณแต่ยังไม่ชินกับการเห็นผีสักทียกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจแล้วรีบคว้าไหล่คนรักข้างนึงบีบไว้เบา ๆ

“ไม่ ๆ ดีน ฉันว่าไม่ใช่…เธอ-ไม่ใช่-คน”

แมคเคนซีจ้องเข้าไปในดวงตาสีเปลือกไม้ของดีนแล้วบอกประโยคหลังช้า ๆ ชัด ๆ ก่อนจะเพยิดหน้านิด ๆ เป็นเชิงบอกให้มองกลับไปยังหญิงชราตัวต้นเรื่องที่ยังยิ้มค้างให้

ซึ่งตอนนี้เหมือนจะกลายเป็นแสยะยิ้มเสียมากกว่า

“ห๊ะ! ไม่ใช่คน? นายจะบอกว่าคุณป้าเธอเป็นไซคลอปส์เหมือนที่เราเจอกันตะกี้เหรอ?”

บุตรแห่งโพไซดอนหน้าตาตื่น ซึ่งความจริงอาจจะเป็นอสุรกายอย่างอื่นก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นผี…

ดีนเหลือบสายตากลับไปมองหญิงชราที่กำลังเหยียดยิ้มหลอน ๆ มาให้ เธอไม่ได้พุ่งเข้ามาจู่โจมอย่างบ้าเลือด เพียงแต่แค่ยินยิ้มเป็นรูปปั้นสวัสดีเฉย ๆ จะเป็นไปได้ไหมว่าต่อให้เป็นอสุรกาย ก็อาจเป็นอสุรกายที่ดีแบบไทสันหรือเจ๊ ๆ ฮาร์ปี้ในค่ายฮาล์ฟบลัด

เอาเป็นว่าดูท่าทีไปก่อน ถ้าบุกมาก็ค่อยสวน…

“แหะ ผมรีบ เดี๋ยวขอตัวก่อนนะครับ”

หนุ่มใบหน้าละตินยิ้มตอบให้เธอนิดนึงพร้อมกับค้อมหัวให้ จากนั้นเขาก็ควงแขนแมคเคนซีเดินลิ่ว ๆ ต่อ

“ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่เมื่อกี้ตอนลมพัด เหมือนฉันเห็น…”

แมคเคนซีเงียบไป ชั่งใจว่าจะพูดให้ดีนฟังดีไหม สภาพที่เขาเห็นเมื่อกี้มันออกแนวเหมือนหนังสยองขวัญไปหน่อย แต่ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วคงต้องเจออะไรอีกเยอะ บอกไปเลยก็แล้วกัน

“ตาของผู้หญิงคนนั้น…ไหลมารวมกันตรงกลาง แล้วก็แยกออกมาใหม่”

หนุ่มอังกฤษอธิบายสิ่งที่เห็นขณะที่ดีนพาเขาเดินออกไปจากตรงนั้น พอเหลือบตาไปมองอีกครั้ง เธอยังยิ้มยิงฟันให้เช่นเดิมพลางมองตามพวกเขาตาไม่กระพริบเลยด้วย

“ตาไหลมารวมกันตรงกลาง ไซคลอปส์อีกแล้วเหรอ!?”

ดีนรีบปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าเผลอเสียงดังเกินไปหน่อย ภาพแบบนี้ดีนเห็นไทสันทำบ่อย ๆ ตอนที่เขาเผลอหลุดการจำแลงกาย เขาเหลียวมองไปทางป้าคนนั้นอีกครั้ง เธอยังคงยืนส่งยิ้มสยองมาให้จากหน้าบ้านหลังเดิม

‘นี่มันฉากของหนังค่ายเอ-ทเวนตี้โฟร์หรือไงฟะ?!’

บ้านเลขที่หกสี่เก้า หกห้าศูนย์ หกห้าหนึ่ง…

เมื่อดีนและแมคเคนซีเดินไปถึงกลางซอย อีกไม่กี่เมตรก็จะถึงเป้าหมายคือบ้านหมายเลขหกห้าเจ็ด หญิงชราต้องสงสัยก็ผิวปาก

‘วิ้ด~’

ประตูของบ้านหมายเลข หกห้าสาม หกห้าสี่ และหกห้าห้าเปิดออก จากนั้นชายและหญิงร่างสูงใหญ่ก็ก้าวเท้าดาหน้ากันออกมาดักทางไว้ กลุ่มคน (?) จ้องเดมิก็อดทั้งสองหน้าตาถมึงทึง ครั้นจะถอยหลังตั้งหลักใหม่ ประตูบ้านหมายเลขหกห้าหนึ่ง หกห้าศูนย์ และหกสี่เก้าก็เปิดออก มีกลุ่มคนอีกกลุ่มล้อมหลังของพวกเขาไว้ไม่ให้หนี

“โอ๊ะโอ..”

“ยังไงดี…แบ่งกันไปจัดการอีกดีไหม”

แมคเคนซีจ้องกลุ่มคน (?) ที่ล้อมรอบพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นี่มันดงไซครอปส์หรือยังไงกัน ปกติเคยได้ยินแต่คำว่า ‘หมาหมู่’ แต่วันนี้ได้เจอ ‘ไซครอปส์หมู่’ ซะงั้น

“เราคอยระวังหลังให้กันจะดีกว่าหรือเปล่า”

“พวกมันเยอะเกินไป ถึงแยกกันจัดการฉันว่าก็โดนรุมอยู่ดี พวกเราคอยระวังหลังให้กันแล้วกันนะ”

ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดาหรือไซคลอปส์ แต่เอาอาวุธออกมารอไว้ก่อนดีกว่าอย่างน้อยถ้าเอามาฟาดคนก็ไม่ทำให้พวกเขาถึงตาย กำไลอัจฉริยะที่ข้อมือดีนเปล่งแสงจากนั้นเปลี่ยนมาอยู่ในรูปแบบของตรีศูลสีน้ำทะเล

“โอเค…”

แมคเคนซีพยักหน้ารับ พร้อมกับที่ได้ยินเสียงดังก้องในหัวมาจากอสุรกายสักตนที่ล้อมพวกเขาอยู่

‘กลิ่นของสายเลือดมหาเทพ.. หอมเหลือเกิน’

แต่จากกระแสเสียงงึมงำที่ส่งออกมาดูเหมือนว่ากลุ่มคนทั้งหกจะไม่ใช่เพียงแค่ชาวบ้านบูเลอวาร์ดเสียแล้ว

‘จงมาเป็นเครื่องสังเวย!!!’

ชายหญิงร่างยักษ์กระโจนเข้ามาแทบจะในเวลาเดียวกัน หนึ่งตัวพุ่งเข้าใส่แมคเคนซี ส่วนที่เหลือมุ่งแต่จู่โจมสายเลือดแห่งเจ้าสมุทร ระหว่างที่พวกมันกระโจนเข้าใส่ร่างมนุษย์ของพวกมันก็กลายร่างเป็นยักษ์ตาเดียวร่างกำยำพร้อมกับอาวุธสายฟ้าหลากหลายประเภทในมือ ตอนนี้แยกไม่ออกแล้วว่าตัวไหนตัวผู้ตัวไหนตัวเมีย

“หนอย…กล้ามาดมกลิ่นแฟนฉันงั้นเหรอ ฉันดมได้คนเดียวไม่รู้หรือไง!”

ถึงจะเป็นไซคลอปส์แต่พอฟังประโยคแทะโลม (ที่ตีความไปเองคนเดียว) แล้วมันเลือดขึ้นหน้า เขาตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้เมื่อคนกลุ่มนั้นกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดอย่างที่ดีนบอก

“อินคันทาเร เฟลมมา มาจิกา!”

ลูกไฟขนาดใหญ่กว่าในคาเฟ่ยิงออกจากปลายคทาใส่ไซครอปส์ตนนึงที่กระโจนใส่เขาเข้าอย่างจัง แรงปะทะนั้นทำให้มันกระเด็นไปด้านหลังแล้วร่วงลงกับพื้นก่อนจะกลายเป็นฝุ่นผง

ตัดสลับมาทางบุตรเจ้าสมุทรที่กำลังโดนรุม เขากวาดตรีศูลไปด้านหน้าเพื่อรักษาระยะต่อสู้ในวงกว้าง

ไซคลอปส์บางตัวกระโดดหลบ แต่มีตัวหนึ่งที่พ้นวิถีหอก มันฟาดค้อนสายฟ้าเข้าใส่ทำให้ดีนต้องเปลี่ยนอาวุธในมือเป็นโล่สีทองรูปเพกาซัส ทว่าโล่กันได้แต่แรงแต่ไม่อาจกันสายฟ้า ร่างสูงจึงถูกไฟช็อตเข้าอย่างจัง ทั้งแสบ ทั้งร้อน ทั้งชา ทว่าไม่อาจกรีดร้องออกมามีเสียง

“อะห์!!”

หลังจากจัดการไปได้หนึ่งแมคเคนซีก็ได้ยินเสียงโลหะกระทบกัน เมื่อหันกลับไปดูก็เห็นดีนใช้โล่รับค้อนไซคลอปส์อีกตนอยู่ จากกระแสไฟฟ้าที่ออกมาจากค้อนนั้น คงไม่ใช่ว่าดีนจะโดนไฟช็อตไปแล้วหรอกนะ

“ดีน!”

แมคเคนซีตะโกนเรียกชื่อคนรักลั่น เขาต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่กระแสไฟฟ้าจากไซคลอปส์ตนนั้นจะทำให้บุตรโพไซดอนหัวใจหยุดเต้นไปซะก่อน เขารีบชี้คทาไปทางดีนทันที

“อินคันทาเร สกูตุ้ม—เฮ้ย! บ้าเอ๊ย ตัวอะไรอีก!”

ยังไม่ทันร่ายเวทย์เกราะป้องกันถูกขัดกลางคัน เมื่อตัวอะไรสักอย่างโฉบร่างของเขาบินขึ้นไปบนฟ้า พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเป็นอสุรกายที่มีรูปร่างคล้ายคน แต่มีปีกเหมือนค้างคาวและเขาแพะที่งอกออกมาจากหัว

.
.
.

ส่วนการต่อสู้ที่พื้นราบ...

“อึก! มีตัวอะไรมาเพิ่มอีกเนี่ย!?”

ดีนกัดฟันกรอด เขาพยายามตั้งหลักยืนให้อยู่หลังจากที่สลัดการจู่โจมด้วยไฟฟ้าจากไซคลอปส์ถือค้อนออกไปได้ ทว่าไม่มีเวลามัวพะวงถึงคนอื่น ไซคลอปที่ใส่อาวุธสนับก็พุ่งเข้าชกรัวหมัดใส่บุตรแห่งโพไซดอนที่ยกโล่ขึ้นมากันหน้าเอาไว้ โดยไม่สนว่าจะเจ็บมือ

“โอ๊ย!! ใจเย็น ๆ ซี่!!”

แม้จะร้องขอทว่าไซคลอปส์สายลุยก็ไม่หยุด มิหนำซ้ำตัวที่ถือค้อนและดาบยังวิ่งเข้ามาโจมตีซ้ำพร้อม ๆ กัน

“เหวอ!!!”

ดีนหมุนตัวหลบก่อนจะตบโล่ใส่อสุรกายบ้าเลือดทั้งสามตัวนั้น ในจังหวะที่มีช่องว่างไซคลอปส์จอมฉวยโอกาสตัวที่สี่ก็หวดกระบองสายฟ้าใส่ดีนจนเดมิก็อดหนุ่มกระเด็นขลุก ๆ ไปบนพื้นถนน

‘ฮึก! ไม่ไหว… โดนรุมแบบนี้สู้ไม่ได้เลย!’

‘....’

ในขณะที่ไซคลอปส์สี่ตัวกำลังรุมสกรัมบุตรแห่งเจ้าสมุทร ไซคลอปส์ตัวที่ห้าที่วิ่งแห่มารุมดีนในตอนแรกก็ได้แต่ยืนเกาหัวแกรก ๆ เพราะว่าเพื่อนร่วมลัทธิเดอะวอชเชอร์ไม่เปิดช่องให้มันแทรกเข้ารุมยำสายเลือดมหาเทพได้เลย

มันมองซ้ายมองขวาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเดมิก็อดมาด้วยอีกคน จึงเปลี่ยนเป้าถือหอกทัณฑ์นภาเปล่งพลังของสายฟ้าไปจัดการบุตรแห่งเฮคาทีที่กำลังถูกอสุรกายแห่งเจอร์ซีย์รังควานแทน

.
.
.

“เฮ้! ปล่อยฉันลงนะ เจ้าค้างคาวครึ่งแพะ!”

แมคเคนซีตะโกนพลางดิ้นไปด้วยเพื่อหวังให้เจ้าอสุรกายที่กำลังบินอยู่ปล่อยเขาลง แต่เหมือนว่าจะไม่ได้ผล มันดูไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย แขนทั้งสองข้างที่ถูกหิ้วปีกอยู่ทำให้ไม่สามารถใช้คทาเวทได้ ไหนจะดีนที่ถูกฝูงไซคลอปส์รุมอยู่ด้านล่างอีก ความร้อนใจนั้นทำให้เขากัดฟันกรอด

ฟึ่บ!

“กร๊าซซซซซ !”

เสียงกรีดร้องดังขึ้นเมื่อบุตรเทพีแห่งมนตราใช้พลังควบคุมหมอกให้กลายสภาพเป็นใบมีดบินคมกริบนับสิบฟันเข้าที่ตามตัวของอสุรกายนั้น ความเจ็บปวดทำให้มันปล่อยร่างแมคเคนซีทันทีก่อนที่จะสลายหายไป

“ว้ากกกก!!”

แมคเคนซีร้องลั่นขณะที่ร่างกำลังร่วงลงมาจากที่สูง ถ้าตกลงไปกระแทกพื้นได้เละกับเละศพไม่สวยแน่ ๆ ดวงตาสีฮาเซลรีบหลับลงแล้วพยายามรวบรวมสมาธิอีกครั้ง

ตุ้บ!

หมอกที่เป็นใบมีดบินในคราแรกกลับมารวมตัวกันแล้วควบแน่นแปรสภาพเป็นเบาะหนานุ่มขนาดใหญ่รองรับร่างแมคเคนซีที่ตกลงมาได้ทันพอดี

“ฟู่ว…..”

ริมฝีปากได้รูปเป่าลมออกมาอย่างโล่งใจ ในขณะเดียวกันกับที่เสียงฝีเท้าหนัก ๆ กำลังวิ่งมาทางนี้

.
.
.

หลังจากถูกไล่บี้อยู่นาน ดีนได้แต่วิ่งหลบหรือไม่ก็ยกโล่ขึ้นมากันโดยไม่อาจจู่โจมกลับสาวกเดอะวอชเชอร์ได้เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ชายหนุ่มมีสภาพไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว กลิ่นสนิมคละคลุ้งไปทั่วโพรงปาก เนื้อตัวก็เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ กำลังวังชาค่อย ๆ ถดถอยไปเรื่อย ๆ

‘ให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้!!’

เขาจึงใช้พลังของสายเลือดทำสมาธิขั้นสูงใช้กระแสจิตรวบรวมน้ำที่อยู่ใกล้ ๆ ให้ออกมา

ครืนนนนน ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!!

น้ำใต้ดินตอบรับมนตรามหาสมุทร มันแย่งตัวกันโพยพุ่งออกมาจากพื้นพิภพ ดันฝาท่อระบายน้ำจนกระเบิดออกจากนั้นกระเด็นตกสู่พื้นไปไกลอีกหลายเมตร

“ฉันยอมพวกแกมามากพอแล้วนะ!”

ด้วยแรงโทสะผสมกับความหิวบุตรแห่งโพไซดอนควบคุมมวลน้ำมหาศาลยิงอัดไซคลอปสี่ตัวที่มารุมกินโต๊ะเขาด้วยน้ำแรงดันสูง ร่างทั้งสามกระเด็นอัดติดกับผนังบ้านบ้าง ไม่ก็พื้นถนนบ้าง แต่ดีนไม่หยุดพลังแต่เพียงเท่านั้น เขาเพิ่มแรงดันน้ำโถมใส่จนกว่ามันจะสลายไป

เหลือเพียงไซคลอปแค่ตัวเดียวที่ยังหนีปืนฉีดน้ำของดีนไปได้ แต่ว่าตอนนี้บุตรแห่งโพไซดอนหมดแรงไล่ตาม เขาทรุดตัวลงบนพื้นคอนกรีตพร้อมด้วยลมหายใจที่หอบหนัก

.
.
.

แมคเคนซีลุกขึ้นยืนดี ๆ  ได้ไม่ถึงนาที ไซคลอปส์ร่างยักษ์อีก 2 ตนก็วิ่งมุ่งหน้ามาทางนี้แล้ว นี่มันเรียกว่าหนีปีศาจเจอร์ซีย์มาปะไซคลอปส์ชัด ๆ!

‘จะไม่ให้พักสักหน่อยเลยหรือไง !’

“ฮึ้ย!”

แมคเคนซีรีบเบี่ยงตัวไปด้านหลังหลบคมดาบของไซคลอปส์ตนนึงที่ฟันลงมาได้เฉียดฉิว ไซคลอปส์อีกตนเห็นว่าได้ทีก็ถือโอกาสแทงหอกซ้ำเข้ามาจนต้องแอ่นหลังหลบมากขึ้นราวกับกำลังเล่นลิมโบแดนซ์ก็ไม่ปาน

‘รุมกันเลยงั้นเรอะ’

แม้จะมีรูปร่างใหญ่เทอะทะแต่ไซคลอปส์พวกนี้ก็ว่องไวไม่ใช่น้อย อาวุธที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าของพวกมันคือจุดอันตราย หากพลาดพลั้งขึ้นมาอาจบาดเจ็บหนักได้ อีกอย่างไม่รู้ว่าตอนนี้ดีนเป็นยังไงบ้าง เขาจึงไม่มีเวลามาต่อกรกับอสุรกายตรงหน้านี้มากนัก

“อื๋อ…?”

ไซคลอปส์ที่กำลังตั้งใจจะรุมเล่นงานเหยื่อตรงหน้าถึงกับชะงักไปเมื่ออยู่ ๆ บริเวณรอบ ๆ ที่เคยสว่างกลับถูกความมืดมิดปกคลุมราวกับบถูกสีดำเทใส่ พวกมันมองรอบ ๆ อย่างงุนงง จนกระทั่งหันกลับมาอีกที เดมิก็อดที่ตกเป็นเป้าหมายก็หายไปแล้ว

“ถึงตาฉันล่าพวกแกบ้าง”

แมคเคนซีโผล่ออกมาจากมุมหนึ่งของความมืด ทักษะเขตแดนเฮคาทีทำให้เขาหลอมรวมตนเองเข้ากับอนธกาลและกลับกลายมาเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในการต่อสู้ กริชจันทราสีเลือดวาววับอยู่ภายในมือราวกับแววตาของสัตว์ร้ายที่ซุ่มจ้องจะขย้ำเหยื่อได้ทุกเมื่อ กว่าไซคลอปส์พวกนั้นจะรู้ตัว ก็ถูกกริชเงินแทงเข้าที่จุดสำคัญอย่างลูกตาดวงโตกับตรงขั้วหัวใจซะแล้ว

ความมืดสลายหายไปพร้อมกับร่างอสุรกายที่กลายเป็นฝุ่นธุลี เมื่อจัดการคู่ต่อสู้ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว แมคเคนซีก็รีบวิ่งกลับไปยังจุดที่ดีนอยู่

“ดีน! พระเจ้า…นายโดนเจ้าพวกนั้นรุมหนักขนาดนี้เลย”

พอเห็นสภาพคนรักแล้วก็รีบเข้าไปประคองอีกฝ่ายไว้ ทั่วบริเวณเปียกชุ่มไปหมดราวกับฝนเพิ่งตกลงมาห่าใหญ่ ดีนคงจะใช้พลังไปมากทีเดียว

“นาย..นายโอเคหรือเปล่า ให้ฉันทำแผลหรือใช้เวทรักษาให้ก่อนไหม”

จะตอบแฟนหนุ่มว่าไม่เป็นไรก็ดูจะเป็นการโกหก เพราะว่าตอนนี้ดีนน่วมไปทั้งตัว


“เจ็บอ่าาาา”

เขาโอดโอยก่อนจะเข้าไปโผกอดคนรักแนบแน่นพร้อมกับเอาหน้าถูไถวงแขนแกร่ง

หนทางการรักษาบาดมีอยู่ไม่กี่อย่าง ปฐมพยาบาลพื้นฐานช่วยห้ามเลือดได้ แต่ไม่อาจบรรเทาความเจ็บปวด ครั้นจะใช้น้ำทิพย์หรืออาหารเทพก็ไม่เหมาะสม บาดแผลของดีนไม่ได้หนักหนาพอที่จะใช้ของวิเศษในการรักษามิฉะนั้นมันจะเผาผลาญกำลังกายอย่างสาหัส อีกทั้งพวกเขามียาวิเศษในจำนวนที่จำกัดมาก เอาไว้ใช้ในเหตุฉุกเฉินกว่านี้ย่อมดีกว่า

สำหรับบุตรแห่งโพไซดอน วิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือการแช่ตัวลงไปในแหล่งน้ำธรรมชาติ แต่อยู่กลางหมู่บ้านจะไปหาแหล่งน้ำธรรมชาติจากที่ไหน ดังนั้นจึงเหลือวิธีสุดท้ายในการรักษาให้ได้ผลอย่างชะงักงันเพื่อจะได้ไปต่อ

“สงสัยต้องใช้เวทรักษาแล้ว มันเป็นยังไง ฉันจะเจ็บไหมแมคซี่”

ถึงจะเจ็บแต่ก็ไม่วายที่จะอ้อนแฟนสุดฤทธิ์

“ไม่เจ็บสิ เวทรักษานะ นายจะเจ็บได้ไง”


“ฉันกลัวเจ็บเหมือนตอนที่หมอฉีดยา...”

แมคเคนซีกอดดีนตอบพลางลูบหลังเพื่อปลอบขวัญ ถึงดีนจะตัวโตกล้ามล่ำมองแล้วเพลินตาเป็นที่สุดสำหรับเขาก็ตาม แต่เวลาหมอนี่อ้อนก็อย่างกับเจ้าหมายังไงอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่ว่ากำลังมาทำภารกิจกันคงจับฟัดสักทีให้หายมันเขี้ยว

“ไหน ให้ฉันดูแผลนายหน่อย อืมมม…แผลไม่ได้รุนแรงมาก ใช้พลังเวทย์ไม่เยอะหรอก นายอยู่เฉย ๆ ก่อนนะ”

หนุ่มอังกฤษค่อย ๆ คลายกอดแล้วขยี้ผมหยักศกสีเข้มเบามือก่อนจะหยิบคทาเวทย์ออกมาจากกระบอกซูมแล้วชี้มาที่ดีน

“อินคันทาเร ซานาเร่”


เสียงทุ้มบริกรรมคาถาพร้อมกับวาดไม้คทาเป็นสัญลักษณ์รูปไม้กางเขนไปด้วย ลำแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาจากรูปสัญลักษณ์และปลายคทาเวทย์ครู่หนึ่งก่อนจะหายไป

ใบหน้าคมคายตำหรับหนุ่มเท็กซัสโดยกำเนิดหลับตาพริ้มรับเวทมนตร์รักษาอันอบอุ่นไม่ต่างไปจากอ้อมกอดของอีกคน

เพียงไม่นานหลังจากที่มนตราซึมเข้าไปตามบาดแผลและรอยฟกช้ำรอบร่างกายก็ค่อย ๆ สมานเข้าด้วยกันเป็นอย่างดี ความเจ็บปวดค่อย ๆ หายไป เหลือทิ้งไว้เพียงแค่แผลเป็นนูนบนหางคิ้วจาง ๆ คราบเลือดเปรอะเล็กน้อยบนใบหน้า และฝุ่นที่ติดอยู่บนเนื้อตัวตอนที่ถูกสกรัมจนกลิ้งไปกับพื้น

“เป็นไงบ้าง ดีขึ้นไหม”


แมคเคนซีถามพลางมองสำรวจดีนไปด้วย สภาพภายนอกของอีกฝ่ายยังเหมือนเดิม แต่อาการบาดเจ็บนี่สิ

ดีนลืมตาขึ้นก่อนจะโผเข้าสวมกอดคนรักอีกครั้งนึง ฝากของแถมด้วยจุมพิตซ้ายขวาที่ข้างแก้ม


“ขอบคุณนะแมคซี่ ฉันหายเจ็บแล้วล่ะ เวทมนตร์ของสายเลือดเฮคาทีนี่สะดวกดีชะมัด”

อยากจะอ้อนแฟนต่ออีกนิดถ้าไม่ติดว่าตอนนี้อยู่กลางถนนที่แดดเผาหัวจนอาจเป็นฮีทสโตรกขึ้นมาได้ และต้องไม่ลืมจุดประสงค์หลักของการมาที่บูเลอวาร์ดนั่นคือการ ‘ช่วยชาร์ล็อต’

อ้อมกอดถูกคลายออกเปลี่ยนเป็นช่วยประคับประคองกันและกันให้ยืนขึ้นแทน

“เอาล่ะพวกเราลุยกันต่อ บ้านเลขที่หกห้าเจ็ดอยู่ข้างหน้าอีกสามหลังนี่เอง”

มือข้างหนึ่งถืออาวุธ อีกข้างกุมมือกันและกัน สายตามองตรงไปยังเป้าหมาย จากนั้นสองเดมิก็อดก็ออกเดินต่อมุ่งหน้าไปยังบ้านเดี่ยวหลังหนึ่งที่แผ่ออร่าชั่วร้ายปกคลุมออกมาอย่างน่ากลัว



ความคิดเห็นผู้บันทึก
แค่บทที่สองก็บู๊กันแหลกอย่างกับหนังมาร์เวลองค์แรก
ถ้าแมคซี่ไม่มาด้วยผมคงแค่ช่วยชาร์ล็อตแล้วหนีกลับบ้าน
มีแฟนมาด้วยนี่ฮีลทั้งกายฮีลทั้งใจได้ดีจริง ๆ เลย อิอิ

สรุปสถานการณ์
- เดินทางมาถึง ถนนบูเลอวาร์ด เมืองเวสต์ฟิลด์ รัฐนิวเจอร์ซีย์
- ถูกไซคลอปส์ (สาวก The Watcher) จู่โจมที่คาเฟ่หน้าปากซอย
- เดินเข้าซอยมาก็ถูกไซคลอปส์ดักตีหัว (+1 ปีศาจเจอร์ซีย์เข้ามาแจม)
- ชาร์ล็อตรอก่อนนะ
- รัสเซลก็รอก่อนนะ ยังไม่ถึงบทของนาย

สรุปผลการต่อสู้

DEAN

สาวกลัทธิ The Watcher Lv.65 [1] ไซคลอปส์กลุ่ม 4 ตน Lv.65 (จัดการได้ 3 ตัว) [2-3-4]

สินสงคราม

ตาไซคลอสป์ 4 ea

**หินตีบวกตามเลขไบต์หลังสุด**


MACKENZIE

สาวกลัทธิ The Watcher Lv.65 [1] [2] [3] [4]

ปีศาจเจอร์ซีย์ Lv.91 [5]


สินสงคราม

+2 ตื่นรู้จากการพิชิต [ปีศาจเจอร์ซีย์] ครั้งแรก 

ตาไซคลอสป์ 4 ea

เขาปีศาจ 2 ea


แสดงความคิดเห็น

God
โดยร่างเงาจะพูดวนลูป ช่วยซาร์ล็อต ๆๆ ทำให้พวกคุณรู้ว่าเทพีก็มีความรักลูก แม้จะไม่รู้ว่าร่างเงานี้เกิดอะไรขึ้น  โพสต์ 2025-5-19 22:24
God
แต่เมื่อล้มเหลวและมนต์บังตาพังทำให้เธอแยกมิตรสัตรูไม่ได้ มีเพียงแต่ต้องทำลาย  โพสต์ 2025-5-19 22:21
God
บ้านหลังที่ 2 คุณได้พบเจอร่างเงาเฮคาทีที่คลุ้มคลั่งจากมนต์บังตาที่ผิดปกติ เดิมเธอถูกส่งมาช่วยชาร์ล็อตก่อนที่เธอจะถูกจับ ฃ  โพสต์ 2025-5-19 22:21
God
เผชิญหน้าร่างเงาเฮคาที Level 51  โพสต์ 2025-5-19 22:18
โพสต์ 88427 ไบต์และได้รับ 48 EXP!  โพสต์ 2025-5-19 21:52
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่แห่งเกียรติยศ
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
แว่นตา
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
น้ำหอม Unisex
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x50
x1
x1
x1
x4
x1
x1
x1
x3
x1
x1
x1
x1
x2
x2
x1
x1
x1
x5
x4
โพสต์ 2025-5-23 01:54:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด
III
แม่ที่คลุ้มคลั่งกับน้องสาวที่หายไป
 Mackenzie Claude Lincoln 

-15.05.25 / 01:00PM-


“บ้านหลังนี้ใช่ไหม…”


แมคเคนซีหันมาถามดีนหลังพวกเขาเดินมาจากจุดที่เพิ่งต่อสู้กับกลุ่มไซคลอปส์ได้ระยะหนึ่ง หน้าบ้านมีป้ายเขียนบอกเลขที่ 657 ชัดเจน จากภายนอกดูไม่ต่างจากบ้านหลังอื่น ๆ เท่าไหร่ แต่กระนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงรังสีและพลังเวทย์บางอย่างที่แข็งแกร่งซึ่งแผ่ออกมาจากภายใน


ดีนมองไปที่บ้านสองชั้นทรงอเมริกันโคโลเนียลมุงหลังคาทรงยุ้งฉาง ผนังบ้านไม้สีเทาอมฟ้าตีเกล็ดทับแบบยอดนิยมช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ สนามหญ้าหน้าบ้านกว้างขวางเหมาะกับการอยู่อาศัยเป็นครอบครัวใหญ่และเลี้ยงหมาสักตัว


ทว่าดีนไม่ได้รู้สึกถึงความอบอุ่นจากบ้านหลังนี้แม้แต่น้อย แม้ตัวบ้านจะสวยงามแต่กลับไม่ได้รับการดูแลมาระยะใหญ่ หญ้าหน้าบ้านขึ้นสูงไม่เป็นระดับ ใบไม้แห้งโปรยเกลื่อนกลาดไปทั่ว พุ่มไม้ดอกไม้ที่ปลูกล้อมบ้านแห้งตาย หากจะบอกว่าบ้านในถนนบูเลอวาร์ดโทรมแล้ว บ้านเลขที่ 657 น่าจะเป็นบ้านหลังที่โทรมมากที่สุด


แล้วยังความรู้สึกขมุกขมัวเหมือนกับตอนที่ไปเฮติอีก…


“ใช่ บ้านหลังนี้แหล่ะที่ฉันฝันเห็น แล้วคุณไครอนก็รับรองด้วยว่าพวกชาร์ล็อตมาแก้ปัญหากันที่บ้านหลังนี้”


ยิ่งมาถึงต้นตอแล้วดีนยิ่งบีบมือของแมคเคนซีแน่นขึ้นไปอีก ถ้าอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงมือที่ชื้นเหงื่อคงรู้ได้ว่าเขากำลังตื่นเต้นมากแค่ไหน


“งั้นเรารีบเข้าไปข้างในกัน”


เมื่อดีนยืนยันอย่างนั้นก็ยิ่งร้อนใจ ป่านนี้ชาร์ล็อตจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ไม่ว่าข้างในจะเป็นยังไงวันนี้ก็ต้องช่วยเธอออกมาให้ได้


“รู้ไหม ตอนนี้นายมือเย็นเฉียบเลย อยากตั้งหลักสักหน่อยไหม…”


ถึงจะอยากบุกเข้าไปแค่ไหน แต่แรงบีบที่ฝ่ามือกับสัมผัสเปียกชื้นทำให้แมคเคนซีต้องพยายามใจเย็นไว้ก่อน เขาก้มลงมองมือที่จับกันไว้แล้วมองไล่ขึ้นมายังใบหน้าคมคายของดีนที่ตอนนี้ก็เริ่มมีเหงื่อซึมออกมาตามไรผมเช่นกัน ริมฝีปากได้รูประบายยิ้มบางหวังให้คนรักคลายความกังวล


“ไม่เป็นไรแมคซี่ ฉันแค่ตื่นเต้นนิดหน่อย แต่ชาร์ล็อตกำลังรอให้พวกเราช่วยเหลือทุกวินาที”


ดีนหลุบสายตามองมือที่กุมกันไว้ แม้ถูกทักแต่ว่าเขาไม่ยอมปล่อย กระนั้นจิตใจของบุตรเจ้าสมุทรก็ไม่ได้กล้าแกร่งขนาดนั้น เขาช้อนตาขึ้นมองคนรักที่สูงกว่าเล็กน้อย เรียวปากสีนู้ดเม้มเข้าหากัน ในขณะที่แววตาสีเปลือกไม้มีแต่ประกายของความอกสั่นขวัญแขวน


“แมคซี่.. คือ… คือฉันยังกลัวอยู่นิดหน่อย จะเป็นไรไหมถ้านายเป็นคนที่นำเข้าไปข้างในนั้น“


คิดไว้ไม่มีผิด…สายตาของดีนไม่เคยโกหกเขาได้แม้แต่น้อย


“ได้แน่นอนที่รัก เราจะเข้าไปในนั้นด้วยกัน นายห้ามอยู่ห่างจากฉันเด็ดขาดเลยรู้ไหม”


แมคเคนซียกมือที่กุมกันไว้ขึ้นมา แล้วประทับริมฝีปากแตะลงไปที่หลังมือของดีนเบา ๆ ก่อนจะมองรอบ ๆ ให้แน่ใจว่าแถวนั้นไม่มีพวกอสุรกายเพ่นพ่านอยู่อีก แล้วจึงจับมือเดินนำดีนไปยังตัวบ้านหมายเลข 657 อย่างระมัดระวัง


ให้ตายสิที่แมคเคนซีทำอยู่ตะกี้กำลังทำให้หัวใจของดีนกระโดดโลดเต้น!


มันก็ดีแหล่ะนะเพราะว่าความมั่นใจที่อีกฝ่ายมอบให้ทำให้ลดความกลัวไปได้มาก


“ฉันไม่มีทางอยู่ห่างนายอยู่แล้ว”


บ้าเอ๊ย! หุบยิ้มไม่ได้ แต่ก็ต้องพยายามปั้นหน้าปรับโหมดเข้าสู่เรื่องจริงจังที่กำลังจะเกิดเมื่อพวกเขาเดินไปถึงบานประตู


ออกจะค่อนข้างผิดปกติไปสักหน่อยที่บ้านหลังนี้ดูเงียบเชียบกว่าที่คิด แต่ก็ไม่แน่ที่ว่าพวกลัทธิอะไรนั่นอาจอยู่ในบ้านก็ได้ แมคเคนซีจับลูกบิดประตูบ้านที่ทำจากโลหะ จากนั้นก็ค่อย ๆ หมุนมันโดยพยายามให้ไร้เสียงที่สุดแล้วค่อย ๆ แง้มบานประตูไม้ให้เปิดออกก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน


.

.


ภายในบ้านหมายเลข 657 มืดตื๋อ มีเพียงแสงแดดที่สาดเข้ามาตามซอกหลืบของหน้าต่างที่ถูกตีแผ่นไม้ปิดและประตูที่เปิดอ้าออก

ภายในมีสภาพไม่ต่างจากบ้านร้างที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยมานาน แต่กลับมีร่องรอยบางอย่างของผู้บุกรุก ขยะจากร้านสะดวกซื้อกลาดเกลื่อนไปหมด ขวดเครื่องดื่มถูกวางระเกะระกะไปตามพื้น ไหนจะรอยขี้บุหรี่อีก หากเป็นบ้านร้างธรรมดาคงสันนิษฐานได้ว่าถูกคนเร่ร่อนหรือไม่ก็เด็กเกเรเข้ามามั่วสุมกันในนี้ ทว่าเมื่อทราบเบื้องหลังของบ้านแล้ว…


‘ไซคลอปส์พวกนั้นสูบบุหรี่ด้วยเหรอ?’


อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ เพราะพวกมันดูพยายามใช้ชีวิตกลมกลืนกับมนุษย์กันอยู่


“ถ้าตามความฝันชาร์ล็อตจะถูกจับขังอยู่ใน เอ่อ.. คุกใต้ดิน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเดินไปทางนั้น”


ดีนชี้ไปทางห้องครัวจะเห็นบันไดทางลงไปห้องใต้ดิน


“แต่นายต้องระวังเส้นเชือกที่ขึงไว้ด้วยนะ เหมือนว่าพวกมันจะเป็นกับดัก แต่ว่าในนี้มืดชะมัด เฟลมมา มาจิก้าของนายใช้แทนไฟฉายได้ไหม”


“บ้านแบบนี้มีคุกใต้ดินด้วยเหรอ โอ้ว !”


แมคเคนซีมองตามที่ดีนชี้ขณะค่อย ๆ ลากเท้าคลำทางมืด ๆ ที่เต็มไปด้วยของวางระเกะระกะเพื่อเดินไปยังบันไดที่ว่านั้น นี่มันบ้านคนหรือรูหนูกันแน่ สถานีรถไฟใต้ดินในเมืองที่ว่ากันว่าสกปรกยังสะอาดกว่านี้ แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเผลอไปเตะขวดใบหนึ่งล้มลงจนส่งเสียง ‘เกร๊งงง !’ ดังก้องไปทั่วบ้าน


“อินคันทาเร ลูเมน”


ดวงไฟลูกเล็กสว่างวาบขึ้นจากปลายคทาเวทย์แล้วลอยค้างในอากาศเมื่อแมคเคนซีร่ายคาถาและสะบัดข้อมือเพียงเล็กน้อย แม้จะเป็นแสงเล็ก ๆ แต่ก็ช่วยให้ทั่วบริเวณนั้นสว่างขึ้นราวกับเปิดไฟฉาย


“ถ้าใช้คาถาเปลวเพลิงฉันกลัวว่าบ้านหลังนี้จะโดนเผาจนวอดซะก่อนที่เราจะเจอชาร์ล็อต นี่สินะ…กับดักที่นายพูดถึง”


หนุ่มอังกฤษพูดติดตลก พลางเพยิดหน้าไปยังทางเดินที่ปรากฏเชือกบาง ๆ หลายเส้นซึ่งถูกขึงอยู่ทั้งตำแหน่งสูงและต่ำเมื่อยามต้องแสงไฟจนกระทั่งถึงหน้าบันไดทางลงห้องใต้ดิน ตอนแรกเขาไม่อยากใช้เวทย์ส่องแสงสว่างเพราะหากมีศัตรูแอบซุ่มอยู่ในบ้านหลังนี้จริง ๆ วิธีนี้จะเป็นการบอกตำแหน่งของทั้งคู่ไปโดยปริยาย แต่เขาอาจระแวงมากเกินไป


“ก็จริง ฉันไม่รู้นี่ว่านายมีลูมอสใช้ด้วย”


บางทีเวทมนตร์ของเหล่าเฮคาทีอาจมีหลายบทที่เหมือนกับในแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ แต่อาจแตกต่างนิดหน่อยตรงคำร่ายก็ได้ ดีเหมือนกันเพราะว่าดีนจินตนาการไม่ออกหากอีกฝ่ายใช้ลูกไฟใหญ่เบิ้มแทนไฟฉาย


“อ่า… เชือกพวกนั้นน่าจะโดนไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่ามันทำลายยังไงด้วยสิ เราอย่าเสี่ยงดีไหม พยายามเดินเลี่ยง ๆ เอา”


เจ็บใจตัวเองชะมัดที่จำไม่ได้ว่าไซคลอปส์ในฝันทำยังไงกับกับดัก


“มีเวทย์อีกเยอะแยะเลยล่ะ ถ้านายได้เข้าไปในห้องสมุดบ้านฉันแล้วจะทึ่ง หนังสือเกี่ยวกับเวทมนต์คาถาเต็มไปหมดอย่างกับหลุดไปอยู่ในโลกแม่มดจริง ๆ ก่อนหน้านั้นฉันไม่ค่อยสนใจฝึกฝนการใช้พลังเวทย์เท่าไหร่ เพิ่งได้มาฝึกจริงจังก็ตอนช่วงที่นายไปทำธุระต่อที่แอตแลนติสนั่นแหละ”


แมคเคนซีเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้พลางเดินเลี่ยงกับดักเชือกตามที่ดีนบอกไปด้วยโดยให้ดวงไฟจากเวทย์ส่องแสงสว่างคอยนำทาง นึกไปถึงหนังแนวสายลับที่ต้องค่อย ๆ เยื้อง ย่อง ยก ย่างพยายามหลบลำแสงเลเซอร์แล้ว พอมาเจอกับตัว…มันก็น่าตื่นเต้นดี


“ไม่เอาล่ะ ขอให้หนังสือที่ฉันอ่านยาว ๆ เป็นอย่างสุดท้ายคืองานวิจัย ‘จุลินทรีย์ใต้ทะเลลึกที่สามารถผลิตเอนไซม์กลุ่มไฮโดรเลสชอบอุณหภูมิสูง และมีความเสถียรในตัวทำละลายอินทรีย์ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้เป็นแหล่งผลิต ตัวเร่งปฏิกิริยาทางชีวภาพชนิดใหม่’ เถอะ”


แค่ชื่อก็รับประกันความหนาของรูปเล่มวิทยานิพนธ์ได้เป็นอย่างดี


ดีนเดินตามหลังของแมคเคนซีไม่ห่างด้วยใจระทึก เขามองไม่ค่อยเห็นเส้นด้ายที่ขึงไว้เป็นกับดัก ถ้าเหยียบไปแล้วจะเป็นยังไงนะ สัญญาณเตือนจะดังแล้วมีเลเซอร์ออกมาตัดครึ่งตัวแบบในหนังเรซิเดนต์อีวิลเหรือเปล่า


“เชื่อเลย นายยังจำชื่องานวิจัยได้อีก เหวอ ! ดีนระวัง !”


ถึงจะมีแสงสว่างแต่ด้วยความรก สุดท้ายแมคเคนซีก็พลาดไปเหยียบกระป๋องที่ล้มอยู่บนพื้นจนเท้าลื่นพรืดไปโดนเชือกเส้นนึงที่ขึงไว้เข้าอย่างจัง เขารีบหันกลับมากอดดีนเพื่อเอาตัวบังไว้ เตรียมพร้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้


“ว้ากกก!! อะไรนะ ไม่จริง พวกเราจะตายกันแล้วเหรอ!?!”


ดีนหลับหูหลับตากอดกับคนรักจนตัวกลม อย่างน้อยหากพวกเขาต้องถูกเลเซอร์ตัดกลางตัวก็ขอให้ร่างกายครึ่งบนได้กอดกันไว้ก็ยังดี


ทั้งคู่กอดกันอยู่นานสองนานแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรจนเริ่มผิดสังเกต แมคเคนซีจึงค่อย ๆ คลายกอดจากคนรักแล้วลองเอานิ้วไปจิ้ม ๆ แตะ ๆ แล้วจบลงด้วยเดินเข้าไปชนทั้งตัว ซึ่งผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม


“ไม่เห็นมีอะไรเลย หรือนี่จะเป็นกับดักหลอก…”


ให้ตายสิ…พวกเขาโดนไซคลอปส์เล่นซะแล้วงั้นเหรอ


“อะ เอ๋?”


ดีนได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาลองไล่สายของเส้นด้ายนั้นดู มันคือเชือกที่ใช้มัดกล่องไปรษณีย์ที่ปลายอยู่ด้านหนึ่งและใจเชือกอยู่อีกทาง


“เวรเอ๊ย! ตกใจเก้อหมด ถ้าหัวใจวายตายไปจะทำไง”


บุตรโพไซดอนพ่นลมหายใจหนัก ๆ ออกมาพร้อมกับทำหน้ายุ่ง แต่ก็ดีแล้วที่ไม่ใช่กับดักจริง ทั้งคู่จึงเดินลงไปที่ชั้นใต้ดินต่อโดยไม่ต้องสนใจเชือกที่ขวางทางอยู่อีก


“เอ่อ… แล้วนั่นน่ะใช่กับดักหรืออะไรทำนองนั้นหรือเปล่า?”


ดีนชี้นิ้วไปที่ประตูห้องเก็บของใต้ดิน เบื้องหน้าของเขาคือบานประตูไม้ธรรมดา ๆ ที่เขียนอักขระเวทมนตร์จารึกไว้เต็มบาน แมคเคนซีมีสายเลือดราชินีแห่งแม่มดหมอผีจะเข้าใจสัญลักษณ์ดังกล่าวหรือเปล่านะ


“ขอฉันดูหน่อย”


แมคเคนซียืนจ้องบานประตูไม้ที่มีทั้งตัวหนังสือและสัญลักษณ์แปลก ๆ แม้จะยังจดจำทุกอย่างในตำราได้ไม่หมด แต่ก็พอจะรู้ความหมายอยู่บ้าง


“นี่มันเหมือน…อาคมเวทย์ที่ไว้ใช้กักขังอสุรกายหรือพวกที่มีพลังฤทธิ์เดชสูง แปลกจริง…แค่ขังชาร์ล็อตถึงกับต้องใช้เวทย์นี้เลยเหรอ”


ถึงจะอยากช่วยน้องสาวมากแค่ไหนแต่ก็ยังแคลงใจอยู่ แมคเคนซีจึงยังไม่ลงมือทำอะไรในทันที ท่ามกลางความเงียบนั้น เหมือนจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากด้านในจนต้องหันมาถามคนข้าง ๆ


“นายได้ยินเสียงอะไรไหม…“


ดีนเงี่ยหูฟังเสียงที่เล็ดรอดออกมาจากเบื้องหลังบานประตู คล้ายกับเสียงกรีดร้องของผู้หญิงที่เกือบคุ้นหู ความสยองขวัญนั้นทำเอาขนแขนลุกซู่จนต้องชูให้แมคเคนซีดู


“คงไม่ใช่ว่าชาร์ล็อตถูกขังจนเสียสติ แล้วเวทระเบิดเหมือนสกาเล็ตวิชท์ในซีรี่ย์วานด้าวิชั่นหรอกนะ ไอ้พวกนั้นเลยต้องจับเธอผนึกไว้ด้วยอาคมเหล่านี้…”


นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าจะเป็นอย่างอื่นนอกจากนี้ไปได้ ซึ่งบุตรโพไซดอนระแวงตราเวทอย่างถึงที่สุด เขากลัวว่าจะเผลอไปปลดผนึกอสุรกายบิ๊กบึ้มอะไรสักอย่างเข้าเหมือนกับที่เกิดเมื่อตอนทำภารกิจค้นหาตรีศูลฯ แต่ในฝันของเขานำพามาที่ห้องนี้นี่นา หรือจะเป็นฝันลวงหลอกแบบที่สายเลือดเทพหลอกลวงชอบทำ


ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังไตร่ตรอง บานประตูที่ถูกผนึกก็ถูกซัดพะเงิบพะงาบ ผนึกที่ตราไว้ใกล้สลายเต็มแก่


ปึง ! ปึง !


แมคเคนซียกแขนขึ้นกันดีนไว้ด้านหลังเมื่อรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย พลางคิดไปด้วยว่าควรจะชิงพังประตูบานนี้หรือปล่อยให้สิ่งที่อยู่ด้านในพังประตูออกมาเองดี


‘แต่ถ้าชาร์ล็อตอยู่ข้างในล่ะ’


เรียวคิ้วขมวดมุ่นขึ้นมาทันที ครั้นจะใช้คาถาสลายมนต์สะกดก็ใช้ไม่ได้เนื่องจากไม่มีสื่อนำเวทย์ คิดแล้วก็ชวนให้หงุดหงิดอยู่ไม่น้อย


ปึง ! ปึง !


เสียงประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้อาคมที่ลงไว้ด้านหน้าประตูเริ่มอ่อนจางลงไปทุกที กลอนประตูเองก็ทำท่าจะพังแหล่มิพังแหล่อยู่แล้ว มัวแต่รอก็คงเสียเวลาเปล่า ๆ


‘ก็เปิดมันเข้าไปเลยสิ !’


ปัง !


แมคเคนซีถีบประตูอย่างแรง ประตูใกล้พังกับอาคมที่ใกล้เสื่อมหรือจะสู้ความใจร้อนของเขาในยามนี้ได้ เมื่อบานประตูเปิดออกก็เผยให้เห็นร่างร่างหนึ่งที่อยู่ภายในนั้น เรือนผมและชุดคลุมสีดำนั่น…


ไม่ใช่เพียงคล้าย…แต่แมคเคนซีคุ้นเคยเป็นอย่างดี


“คุณ……”


ดวงตาสีฮาเซลเบิกกว้างด้วยไม่นึกมาก่อนว่าจะเจอผู้เป็นมารดาของตนที่นี่


“เทพีเฮคาที…?”


“โอ๊ะโอ…”


ดีนที่หลบอยู่ด้านหลังของแมคเคนซีตลอดเวลาหลุดอุทานเสียงเบาเมื่อเห็นบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาไม่ใช่ไซคลอปส์ ไม่ใช่อสุรกาย และไม่ใช่ชาร์ล็อต ไม่มีอะไรที่เหมือนกับนิมิตในฝันที่เขาเห็น ถึงจะเป็นกลลวงแล้วทำไมคนที่อยู่หลังประตูถึงเป็นเทพีเฮคาทีไปได้ล่ะ


แถมยังมาสคาร่าเยิ้มอีกต่างหาก…


“แมคซี่… ไม่ใช่ว่านี่คือชาร์ล็อตที่โตแล้วเลยหน้าเหมือนแม่นายใช่ไหม?” เขาแอบกระซิบ


แมคเคนซีหันมามองดีนด้วยสีหน้าเหมือนจะถามว่า “นายคิดงั้นจริงดิ…?”


“ชาร์ล็อตเพิ่งหายจากค่ายไปเกือบปีเอง น้องคงไม่ดูมีอายุขึ้นมาขนาดนี้หรอกมั้ง”


ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอารมณ์ซุบซิบนินทาระยะเผาขนอยู่ แม้มาสคาร่านั่นจะเปรอะเปื้อนใบหน้าไปบ้าง แต่แมคเคนซีมั่นใจมากว่านี่คือแม่ของเขาไม่ผิดแน่ ถึงจะเคยพบกันเพียงไม่กี่ครั้งก็ตาม


“ชาร์ล็อต..ช่วย…ต้องช่วยชาร์ล็อต…”


เมื่อได้ยินสองเดมิก็อดหนุ่มพูดชื่อชาร์ล็อต เทพีเฮคาทีก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอพึมพำคำเดิมวนซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนเสียสติ จนพวกเขาต้องหยุดเม้าท์มอยกันไว้เท่านี้ก่อน


“เมื่อกี้คุณบอกว่าอะไรนะครับ มาช่วยชาร์ล็อตเหรอ แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหน”


แมคเคนซีถามขึ้นมา เมื่อมองไปด้านในห้องนั้นแล้วไม่เจอใครนอกจากเทพีแห่งมนตราผู้นี้


“ชาร์ล็อต..ชาร์ล็อต…ชาร์ล็อตไม่ได้อยู่ที่นี่ ! พวกมันเอาตัวชาร์ล็อตไปแล้ว ! ช่วย…ต้องช่วยชาร์ล็อต !”


เหมือนจะตอบคำถามแต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เมื่อเทพีเฮคาทีกลับไปพูดประโยคเดิมแบบวนลูปอีกครั้งราวกับถูกสะกดจิต


“ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ พวกเรามาช่วย— อุ๊บ !”


ยังพูดไม่ทันจบประโยค แมคเคนซีก็ถูกแรงมหาศาลผลักไปกระแทกเข้ากับกำแพงแล้วล้มลงไปกับพื้น


‘แรงเยอะชะมัด แต่เหมือนมีอะไรแปลก ๆ’


แมคเคนซีเงยหน้ามองร่างผู้เป็นแม่ที่มีบางอย่างต่างไปจากเดิม ความสงบเยือกเย็นที่สัมผัสไม่ได้ดังเช่นทุกครั้งที่พบกัน เหมือนกับคนคลุ้มคลั่งครองสติไม่อยู่ไปแล้ว


“ดีน ระวัง !”


เขารีบตะโกนบอกคนรักเมื่อเทพีเฮคาทีชี้คทาเวทย์ไปทางอีกฝ่ายแล้วร่ายคาถาบางอย่าง


“แมคซี่!!”


ดีนตะโกนร้องด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าคนรักของเขาถูกเวทมนตร์บางอย่างผลักกระเด็นไปต่อหน้าต่อตา ยังไม่ทันตั้งตัวเขาก็เห็นว่าเทพีเฮคาทีชี้ปลายคทาเวทมนตร์มาทางนี้แล้ว


“อินคันทาเร่… เฟลมมา… มาจิกา…”


แม้แต่เทพีแห่งมนตราก็ยังต้องร่ายคาถาอย่างนั้นเหรอ!? แต่นาทีนี้ไม่มีเวลามาสนใจ ดีนรีบหลบก่อนที่ลูกไฟร้อนราวกับลาวาจะมาปะทะถึงตัว ความรุนแรงของบอลเพลิงทำให้เพลิงร้อนเริ่มลุกลามไปตามผนังบ้านที่ทำจากไม้


“แย่ล่ะ! น้ำ! ขอน้ำหน่อย!!!”


เมื่อเรียกหาน้ำ ๆ ก็มา มวลน้ำใต้ดินลำเลียงตัวกันดันหัวก๊อกห้องครัวออกจนก๊อกแตก น้ำจำนวนมากลอยละล่องลงมายังชั้นใต้ดินราวกับว่ามีใครฉีดสายยางลงมาใส่ ไฟที่ลุกลามมอดดับไปหลายส่วน


“แมคซี่ พวกเราถอยกันก่อน ตรงนี้แคบเกินไป!”


‘แปลก…นี่มันแปลกเกินไป’


ท่าทางไร้เหตุผลนั้นทำให้แมคเคนซียิ่งสงสัย แต่ก็ไม่มีเวลาให้มัวไตร่ตรองมากไปกว่านั้น เขารีบพยุงตัวเองลุกขึ้นทันทีที่ดีนบอกแล้วคว้ามืออีกฝ่ายวิ่งกลับขึ้นบันไดไปชั้นบนโดยมีร่างของเทพีเฮคาทีตามมาติด ๆ


“ฉันว่านี่มันไม่ปกติ แม่ที่ฉันเคยเจอไม่ใช่แบบนี้ แต่ร่างของเธอก็ไม่ได้ถูกมนต์บังตาบังเอาไว้ แปลว่านี่ไม่ใช่อสุรกาย”


แมคเคนซีบอกสิ่งที่ประมวลผลออกมาได้ให้ดีนฟัง อีกฝ่ายอาจมีความเห็นอะไรบ้าง


“นายกำลังจะบอกว่า…”


จะว่าไปเทพีเฮคาทีที่ดีนพบในครั้งแรกไม่ใช่แบบนี้จริง ๆ ด้วย ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินพวกแซเทอร์เม้ามอยภารกิจเดินทางของธิดาฮิปนอสที่คอกเพกาซัสตอนที่เขาไปหาควีน


“หรือว่าจะเป็นร่างแยกของแม่นาย ฉันเคยได้ยินมาว่าเด็กที่ชื่อเฟเรียเคยสู้กับร่างเงาของเฮคาทีด้วย”


แต่แล้วในสถานการณ์นี้มันคืออะไรกันแน่ล่ะ ไม่ใช่เทพีที่มุ่งร้ายอยากจัดการกับศัตรู แต่เหมือนมารดาที่เป็นบ้าตอนหาลูกไม่เจอ

“หรือแม่นายจะ—..”


พูดไม่ทันจบเทพีเฮคาทีหลอน ๆ ก็ตามมาทัน จากนั้นก็ยิงลูกไฟใส่รัว ๆ จนดีนต้องเรียกมวลน้ำมาเป็นม่านขวางกั้นจนพอจะลดทอนความรุนแรงไปได้บ้าง แต่จากที่สังเกต เธอไม่โจมตีใส่แมคเคนซีเลยนอกจากที่ผลักอีกฝ่ายออกในตอนแรก เพราะว่าเธอยังมีความเป็นแม่อยู่ สมมติฐานจึงค่อนข้างลงล็อค


“แม่นายจะมาช่วยชาร์ล็อตแต่หาเธอไม่เจอก็เลยคลั่งแบบนี้อ่ะ! อั่ก!”


ร่างกายของดีนถูกเวทมนตร์ยกตัวขึ้นไปชนกับเพดานบ้าน จากนั้นร่างของเขาก็ร่วงลงมากระแทกพื้นจนจุกไปพร้อมกับฝุ่นที่ร่วงกราว


จากที่ดีนพูดก็ดูมีความเป็นไปได้ เป็นถึงเทพีแห่งเวทมนต์ทั้งทีคงไม่ถึงกับต้องมาลงไม้ลงมือจัดการเอง แต่ก็น่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย มารดาที่ไม่เคยแสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ให้เห็น เวลาพบกันก็พูดจาแข็งทื่อราวกับแม่ผู้เข้มงวดจนแทบสัมผัสความรักความโอบอ้อมอารีไม่ได้จะมีความห่วงใยต่อบุตรสาวที่ถูกจับตัวไปจนถึงขนาดต้องส่งร่างเงามาช่วยเลยหรือ


ดูท่าเขาคงต้องมองผู้เป็นแม่ใหม่ซะแล้ว


‘แต่การที่ร่างเงาของเธอถูกขังไว้ที่นี่จนเกิดอาการคุ้มคลั่งขึ้นมาขนาดนี้…มันผิดพลาดตรงไหนกันนะ’


“ร่างเงางั้นเหรอ…อะ ดีน !”


แมคเคนซีรีบหันกลับไปมองเมื่อมือของพวกเขาที่จับกันอยู่หลุดออกจากกัน ก่อนจะรีบวิ่งกลับมาช่วยพยุงดีนให้ลุกขึ้น


ปัง !


เสียงประตูบ้านถูกเปิดออกอย่างแรง ปรากฏร่างของไซคลอปส์ยักษ์สี่ตนที่ขนาดของมันเพียงตนเดียวก็สามารถยืนบังกรอบประตูได้มิดแล้ว


“ไม่จบไม่สิ้นสักทีแฮะ นายโอเคไหมดีน”


แมคเคนซีเริ่มมีสีหน้าตึงเครียด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังห่วงดีนมากกว่า


“ฉัน..ได้”


ดีนกัดฟันพูดก่อนจะค่อยยันตัวเองขึ้นมา ตอนนี้จะมามัวสำออยไม่ได้แล้ว ข้างหน้าก็เป็นเงาของเทพีเฮคาที หลังก็เป็นไซคลอปส์อีกตั้งสี่ตน


“ฉันรับมือกับเงาแม่นายเองแมคซี่ นายไม่อยากทำร้ายเธอ แล้วเธอก็ไม่อยากทำร้ายนาย แต่นาย.. สู้พวกมันสี่ตัวไหวไหม?”


“……โอเค ถ้างั้นฉันฝากด้วยนะ ส่วนไซคลอปส์พวกนั้นไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมากวนใจนายสักตัว”


แมคเคนซีพยักหน้ารับ ถึงจะไม่พูดแต่ดีนก็คงเข้าใจดีว่าเขาไม่อยากปะทะและต่อสู้กับผู้เป็นแม่ แม้จะเป็นเพียงร่างเงาก็ตาม


“ระวังตัวด้วยนะ”


ฝ่ามือใหญ่ของแมคเคนซีตบไหล่คนรักเบา ๆ แล้วเดินแยกไปยังกลุ่มไซคลอปส์ที่พยายามเบียดเสียดกันเพื่อเข้าประตู


“ส่วนพวกแก…มาเจอฉันนี่”


“นายก็ระวังตัวด้วยแมคซี่”


เป็นอีกครั้งที่ต้องแยกกันต่อสู้ แถมคราวนี้ยังต้องเผชิญหน้ากับเทพีแห่งมนตราที่เป็นแม่ของแฟนอีกซะนี่ ความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจเมื่อดีนนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เฮติ มือที่ถือดาบตรีศูลสั่นไหวอย่างควบคุมไม่อยู่ จนต้องใช้มืออีกข้างช่วยประคองด้ามดาบ


‘ไม่สิ จะมาสั่นตอนนี้ไม่ได้!’


ดีนสูดหายใจเข้าลึก อย่างไรนี่ก็เป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นรีบสู้ให้มันจบ ๆ ไปเลยดีกว่า


“ชาร์ล็อต…ลูก… ลูกสาวฉัน… แก.. คืนเธอมา…”


น้ำตาสีดำไหลออกมาจากดวงตาของร่างเงา เธอดูทรมานมากจนเขาอยากเบือนหน้าหนี หรือบางทีควรเจรจาดีไหม…


“ไอ้พวกที่จับลูกคุณแม่ไปกำลังสู้กับแมคซี่อยู่ข้างหลัง เอาเป็นว่าพวกเราร่วมมือกัน—.. อั่ก!”


พูดไม่ทันจบดีนก็ถูกพลังลึกลับจับยกเขย่าไปมา ลำตัวลอยฟาดตัวบ้าน 657 อย่างมั่วซั่ว แรงสะเทือนทำเอาดาบตรีศูลกระเด็นหลุดออกจากมือ

“อะ.. โอ๊ยยย คุณแม่ใจเย๊นนนน”


ชายหนุ่มพยายามยกแขนขึ้นมากันหัว ไม่ให้ส่วนที่สำคัญที่สุดได้รับความเสียหาย แต่ไม่ว่าจะร้องขอแค่ไหนเงาเฮคาทีก็ไม่ยอมปล่อยเขาลงสักที


“โธ่เว้ย! ผมไม่อยากทำแบบนี้เลยจริง ๆ นะ!”


มวลน้ำที่ท่วมขังในชั้นใต้ดินถูกพลังลูกเจ้าสมุทรยกลอยขึ้นมา ดีนเปลี่ยนมันเป็นหนามแหลมแล้วซัดเข้าหาเงาร่างของเทพี


ฉึก! ฉึก! ฉึก!


ถึงจะเป็นเพียงเงาแต่ดูเหมือนว่าเธอจะสะท้านจากการโจมตีเมื่อครูอยู่ไม่น้อย ร่างของดีนถึงได้ถูกปล่อยร่วงลงพื้น ชายหนุ่มใช้วิชาพละศึกษาที่เรียนมาตอนเกรดหนึ่ง ม้วนหน้าลงพื้นไม่หล่นตุ้บเสียฟอร์มอย่างครั้งแรก เขารีบพุ่งไปหยิบดาบประจำตัวก่อนเปลี่ยนรูปร่างเป็นตรีศูลแล้วพุ่งแหลนใส่กลางอกของเงาเทพี

“ผมขอโทษนะคุณแม่!”


จากนั้นก็ตามเข้าไปผลักเธอจนหลังติดข้างฝา ฝังหอกตรีศูลไปสุดคม จนปลายหอกเสียบแน่นกับผนังไม้


“ฮึก!! อาห์!!” เงาเทพีเฮคาทีครวญครางอย่างอ่อนแรง เธอเอ่ยคำพูดสุดท้ายก่อนที่พลังจะสลายไป “ช่วย…ชาร์…ล็อต”


“ไม่ต้องห่วงครับคุณแม่ ผมกับแมคซี่ต้องช่วยเธอออกมาให้ได้เลย”


ส่วนทางด้านแมคเคนซีก็เสียเวลาอยู่ครู่นึงเพื่อยืนรอให้พวกไซครอปส์เข้ามาภายในบ้านจนครบ เจ้าอสุรกายร่างยักษ์พวกนี้ดูท่าว่าจะไม่เฉลียวฉลาดเท่าไทสันที่เป็นพี่น้องของดีน เมื่อเข้ามาในบ้านได้ตนหนึ่งแล้ว มันก็ยังอุตส่าห์ช่วยกันดึงเพื่อนที่เหลือให้เข้ามาภายในบ้านอย่างทุลักทุเล แน่นอนว่าบุตรแห่งเฮคาทีไม่คิดจะขัดจังหวะนั้น เพราะเขาเองก็รอที่จะจัดการพวกมันทีเดียวพร้อมกันเพื่อไม่ให้หลุดรอดสายตาแล้วไปป่วนการต่อสู้ของคนรักกับร่างเงาของแม่ตนเอง


“ฮ่าาาา !!”


เมื่อจัดระเบียบกันเรียบร้อยแล้ว ไซคลอปส์ตนนึงก็หันมาเห็นแมคเคนซี มันเงื้อค้อนขนาดใหญ่ในมือขึ้นแล้ววิ่งนำฝูงของมันซึ่งแต่ละตนต่างก็มีอาวุธครบมือมาทางนี้ ซึ่งก็เข้าทางเขาพอดี


ความมืดประดุจราตรีกาลโอบคลุมห้อมล้อมแมคเคนซีกับฝูงไซคลอปส์ไว้ จากที่ภายในบ้านมืดอยู่แล้ว เวลานี้กลับยิ่งมืดมิดทบทวี และปฏิกิริยาของอสุรกายกลุ่มนี้ก็ไม่ต่างกับกลุ่มแรกที่เจอด้านนอก พวกมันต่างยืนงุนงงเมื่อทัศนวิสัยรอบตัวเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน รวมถึงเหยื่อที่หมายตาไว้ก็หายไปด้วย


ฉึก !


เสียงกริชเงินปักเข้าที่ข้างลำคอของไซคลอปส์ตนนึงจนมิดด้าม หากเปรียบเทียบกับมนุษย์แล้วตรงนั้นก็คือจุดเส้นเลือดใหญ่ข้างลำคอซึ่งถือเป็นจุดสำคัญจุดนึงของร่างกาย ทันทีที่ชักมีดออกร่างใหญ่โตก็ล้มตึงลงกับพื้นทันที ขณะเดียวกันกับที่ร่างเงาอีกสองร่างซึ่งแมคเคนซีสร้างขึ้นในเขตแดนนี้ก็ลงมือสังหารไซคลอปส์อีกสองตนจนสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้วเช่นกัน


“จะไปไหน !?”


“โฮรกกกก !!”


ดวงตาสีฮาเซลตวัดมองไซคลอปส์ที่เหลืออีกตนซึ่งกำลังจะวิ่งหนีแล้วกระโดดสกายคิกเข้าใส่กลางหลังของมันเต็มเปาจนล้มหน้าคะมำไปกับพื้น จากนั้นก็รีบจับร่างนั้นให้พลิกนอนหงายแล้วขึ้นคร่อมนั่งทับไว้ แมคเคนซีจำได้ขึ้นใจว่าการใช้มือเปล่าต่อยอสุรกายไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ นอกจากมันจะไม่ระคายผิวแล้วก็เป็นเขาเองที่เจ็บมือไปหมด แต่เวลานี้เขามีเครื่องทุ่นแรงแล้ว


เขตแดนมืดมิดรอบ ๆ หายไป กลับกลายเป็นหมอกควันบีบอัดตัวห่อหุ้มมือทั้งสองข้างของแมคเคนซีไว้ราวกับสวมนวมสีเทา เขามองเห็นดีนจากตรงที่ไม่ไกลออกไปนัก ดูจากสถานการณ์อีกฝ่ายคงจัดการร่างเงามารดาของตนเรียบร้อยแล้ว


“บอกมา พวกแกเอาตัวชาร์ล็อตไปไว้ที่ไหน”


คำถามมาพร้อมกับหมัดหนัก ๆ ที่ชกเข้าหน้าของไซคลอปส์ซึ่งตกเป็นสนามอารมณ์ไม่ยั้ง มือที่ถูกหุ้มด้วยหมอกทำให้แมคเคนซีไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย ช่างเป็นทักษะสานฝันคนที่อยากต่อยอสุรกายด้วยมือเปล่าอย่างเขาจริง ๆ


“ขะข้า.. ไม่บอกเจ้าหรอก แอ่ฟ!”


ในเมื่อไม่ยอมเปิดปากพูดมันจึงโดนหมัดหลุน ๆ ซัดเข้าไปอีกที ดีนเพิ่งจัดการกับเงาของเทพีเฮคาทีเสร็จรีบมาหาแมคเคนซี เขาชะงักนิดหน่อยเมื่อเห็นคนรักเข้าโหมดโหดราวกับเอาอย่าง ซิลเวอร์ ควินน์ พี่ชายของบ้านมา

ใจนึงก็อยากจะบอกว่า ‘รีบ ๆ จัดการมันดีไหม ดูน่าสงสาร’ แต่อีกใจก็คิดว่า ‘ไซคลอปส์พวกนี้เจ้าเล่ห์ไว้ใจไม่ได้ ถ้าไม่ได้ที่ซ่อนของชาร์ล็อตก็ไม่ควรมอบความตายให้มันไปสบาย’


เออ.. สงสัยว่าดีนจะแอบติดความคิดแบบซิลเวอร์มาอีกคน


ฉะนั้นเรื่องรีดความจริงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแฟนดีกว่า เขาเพียงแค่เข้าไปอยู่ข้าง ๆ ให้รู้ว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยแล้ว


เจ้าไซคลอปส์ตนนี้ปากแข็งใช่ย่อย ขนาดโดนแมคเคนซีซ้อมจนอ่วมแล้วก็ยังไม่ปริปากบอกแม้แต่น้อย หรือไม่ก็คงเจ็บระบมไปหมดเสียจนพูดไม่ไหว ในเมื่อไม้แข็งไม่ได้ผลก็คงต้องใช้ไม้ซุง


“แย่ชะมัด ซ้อมไปก็เสียเวลาเปล่า บ้านแค่ไม่กี่หลังพวกฉันหาเองก็ได้ ได้เวลาส่งแกไปทาร์ทารัสแล้ว”


หมอกที่ปกคลุมมืออยู่หายไป แมคเคนซีหยิบกริชจันทราสีเลือดออกมา คมมีดส่องประกายในความมืดราวกับบอกว่าพร้อมที่จะทำหน้าที่แล้ว


“บอกแล้ว ! ข้ายอมบอกแล้ว ! ธิดาเฮคาทีคนนั้น…อยู่ถัดจากบ้านหลังนี้ไปอีกเก้าหลัง”


อาจเป็นเพราะความตายที่มาจ่อตรงหน้าและชื่อ ‘ทาร์ทารัส’ จึงทำให้สุดท้ายแล้วไซคลอปส์ตนนี้ยอมคายความลับออกมา แมคเคนซีหันไปมองดีนเล็กน้อยก่อนจะเก็บมีดสั้นลงแล้วค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นยืนโดยปล่อยให้อสุรกายร่างยักษ์นอนพะงาบอยู่อย่างนั้น


“นายเจ็บตรงไหนไหมดีน แม่ฉันรุนแรงกับนายหรือเปล่า”


เขาจับไหล่ทั้งสองข้างของคนรักหันไปมาเพื่อตรวจสอบร่องรอยบาดแผล ราวกับปีศาจที่สิงสู่ก่อนหน้านั้นออกจากร่างไป กลับมาเป็นแมคเคนซีที่อบอุ่นปานไมโครเวฟเหมือนเคย


“ฉันไม่เป็นไร แค่จุก ๆ นิดหน่อยแต่แค่นี้ยังไหว”


ดีนหัวเราะเสียงแห้ง บอกยังไหวก็จริงแต่ใจก็คือ ‘พอแล้วได้ไหม!’ ยังหาชาร์ล็อตไม่เจอก็ยังรับประกันไม่ได้ว่าต้องบู๊แหลกอีกกี่รอบ ร่างกายร้าวพอ ๆ กับตอนที่โลกิบุกค่าย… มีหวังคืนนี้ได้สลบเหมือดจนถึงเช้าแน่ ๆ


เนตรสีเปลือกไม้เสมองไปทางไซคลอปส์ที่นอนพังพาบอย่างหมดสภาพอยู่บนพื้น


“เจ้านี่ไว้ใจได้ไหม จะอยู่ในบ้านอีกเก้าหลังถัดไปจริงหรือเปล่า หรือเราควรลากคอมันไปด้วยถ้าโกหกค่อยเชือดทิ้ง”


แกล้งพูดขู่ไปงั้น ๆ แต่คนที่มาด้วยอาจจะทำจริงก็ได้ มันจึงได้แต่สั่นสะท้านด้วยความกลัวตาย


แมคเคนซีเพียงแค่ยิ้มบาง ดูจากสีหน้าดีนแล้วเหมือนมีคำว่า ‘ไม่ไหวบอกไหว’ เขียนอยู่บนหน้าผากชัด ๆ มาจนถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่าคิดถูกแล้วจริง ๆ ที่เดินทางมาทำภารกิจด้วยกัน อย่างน้อยก็ยังพอช่วยแบ่งเบาภาระดีนได้


“สภาพแบบนี้พาไปด้วยน่าจะไม่สะดวกพวกเรา ทิ้งไว้ที่นี่เถอะ อีกแค่เก้าหลังเอง…”


เขาปรายตามองไซคลอปส์ตนนั้น หากนับบ้านเลขที่ถัดไปอีกเก้าหลังก็มีความเป็นไปได้สูง ‘บ้านเลขที่ 666’ เลขสวยเสียด้วย


‘ผิดคาดนิดหน่อยแฮะ’


ก่อนหน้านี้แมคเคนซีดูโหดสลัดกลอสเตอร์แท้ ๆ แต่กลับยอมปล่อยไซคลอปส์ไปง่าย ๆ ส่วนดีนไม่ได้มีปัญหาอะไร เขามองเข้าไปในดวงตาอันใหญ่โตเพียงหนึ่งเดียวกลางใบหน้าของสาวกลัทธิบูชายัญ แค่นี้ก็รู้ว่ามันกลัวจนไม่กล้าลุกขึ้นมาซ่าอีก

“โอเคที่รัก ถ้านายว่าแบบนั้นฉันก็เห็นว่าดี”


ส่วนหนึ่งเพราะว่าไซคลอปส์บางตัวอาจมีสายเลือดโพไซดอนด้วยเนี่ยแหล่ะเลยรู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นมา ถึงแม้ที่ผ่านมาจะสังหารไปหลายตัวแล้วก็ตาม… ไม่รู้สิ ช่างเป็นอะไรที่ย้อนแย้งในใจบุตรเจ้าสมุทรเหลือเกิน


“ไปกันต่อเถอะ อย่าเสียเวลาตรงนี้เลย”


เรียวแขนพาดกอดคอคนรักไว้แล้วพากันออกจากบ้านหมายเลข 657 หากแต่สมาธิของแมคเคนซียังคงจดจ่ออยู่กับไซคลอปส์ตนนั้น เมื่อบานประตูไม้ปิดลง หมอกควันหนาทึบก็โอบล้อมอสุรกายเพียงหนึ่งเดียวในบ้าน ก่อนที่ร่างใหญ่ยักษ์จะหายไปในนาทีต่อมา




ความคิดเห็นผู้บันทึก

ค่อนข้างเหนือความคาดหมาย ไม่สิ…ต้องบอกว่าเหนือความคาดหมายไปมากที่เจอร่างเงาของเทพีเฮคาทีที่นี่ ถึงขนาดส่งร่างเงามาช่วยชาร์ล็อต นั่นก็แปลว่า…ไม่ใช่แม่ที่ไม่สนใจไยดีลูกไปซะทีเดียวหรอก ใช่ไหม แต่ใด ๆ ก็คือ…ดีนเห็นด้านที่น่ากลัวของผมเข้าแล้วนี่สิ ไม่นะ ดีนจะกลัวหรือเปล่า คราวหน้าผมต้องควบคุมตัวเองให้ดีกว่านี้แล้ว


สรุปสถานการณ์

- มาถึงบ้านเลขที่ 657 แต่ไม่พบชาร์ล็อต

- พบร่างเงาของเทพีเฮคาทีแทน ดีนต่อสู้กับร่างเงา

- แมคเคนซีต่อสู้กับฝูงไซครอปส์

- ได้รับเบาะแสเพิ่มเติมว่า ชาร์ล็อตถูกนำไปไว้ที่บ้านเลขที่ 666

- รัสเซลรออีกนิดนะ ใกล้ถึงบทของนายแล้ว


สรุปผลการต่อสู้

DEAN

ร่างเงาเทพีเฮคาที Lv.51 [1]


MACKENZIE

สาวกลัทธิ The Watcher Lv.65 [1] [2] [3] [4]


สินสงคราม

ตาไซคลอปส์ จำนวน 4 **หินตีบวกตามเลขไบต์หลังสุด**


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 192471 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-5-23 01:54
โพสต์ 192,471 ไบต์และได้รับ +20 EXP +1 Point [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +20 ความกล้า +40 ความศรัทธา จาก เขตแดนเฮคาที  โพสต์ 2025-5-23 01:54
โพสต์ 192,471 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก กริชจันทราสีเลือด  โพสต์ 2025-5-23 01:54
โพสต์ 192,471 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +88 ความกล้า +88 ความศรัทธา จาก มาลาแห่งอัสสัมชัญ  โพสต์ 2025-5-23 01:54
โพสต์ 192,471 ไบต์และได้รับ +18 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ จาก Hydro X  โพสต์ 2025-5-23 01:54
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เขตแดนเฮคาที
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
Hydro X
เวทมนต์ [II]
คบเพลิงเวท
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
รองเท้าเซฟตี้
น้ำหอม Unisex
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
สร้อยข้อมือถัก
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x3
x6
x3
x3
x3
x2
x3
x1
x1
x5
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x3
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x15
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x2
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x3
x2
x2
โพสต์ 2025-5-27 00:21:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-5-27 01:24

IV
บุตรแห่งเฮคาที VS บุตรแห่งโพไซดอน
Dean Eilwyn Alvarez Neal

- 15.05.2025 / 3:10 PM -


หลังจากที่กำจัดสาวกเดอะวอชเชอร์ไปได้หนึ่งฝูงใหญ่ ๆ จากนี้ก็ไม่มีตัวอะไรโผล่มาอีก ราวกับว่าเราฆ่าล้างบางพวกมันกันไปหมดแล้ว


แต่ดีนจำได้… ยังมีไซคลอปส์ตัวป้าที่ยิ้มสยองต้อนรับพวกเขาทั้งสองตั้งแต่เดินเข้ามาในซอย ถ้าไม่ถูกกำจัดไปพร้อมกับเพื่อนพ้องน้องพี่แล้วล่ะก็ เจ้านั่นอาจจะยังหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง รอเปิดตัวอย่างอลังการเพื่อมาเซอร์ไพรส์พวกเราอีกรอบ เพราะว่าดีนรู้สึกได้ถึงออร่าความไม่ธรรมดาจากป้าคนนั้น


ทั้งที่จริงก็อาจจะเป็นแค่ ‘คาเรน’ (ป้ามหาภัย) ธรรมดา ๆ คนนึง แต่ด้วยความที่เป็น ‘คาเรน’ นั่นแหละถึงได้ไม่ธรรมดา


จนพวกเขาทั้งสองได้มาหยุดอยู่หน้าบ้านเลขที่หกหกหก ที่อยู่ถัดมาอีกเก้าหลังจากบ้านหกห้าเจ็ด


“อื้อหือ… เลขที่บ้านเป็นมงคลมาก” เหมือนว่าดีนจะเพิ่งเอะใจ

“ปกติเขาจะข้ามเลขนี้ไปหรือเปล่า…”


แมคเคนซีมองบ้านตรงหน้าอย่างไม่วางใจนัก ขนาดโรงแรมยังละเลขห้องบางเลขไว้แล้วข้ามไปเลขถัดไป บ้านเลขที่ก็น่าจะเหมือนกัน แถมยังไม่มีอะไรคุ้มกันอีก ยิ่งน่าสงสัยไปกันใหญ่

“นั่นสิ แถวบ้านฉันข้ามนะ แต่คนนิวเจอร์ซีย์คงไม่ถือมั้ง”

ดีนมองสแกนเข้าไปในบ้านเลขที่ตองหกอีกครั้ง ดูเผิน ๆ ก็คล้าย ๆ กับบ้านหกห้าเจ็ดที่เพิ่งไปลุยกันมา มีเพียงบางส่วนที่แตกต่างออกไปนิดหน่อยคือสีบ้านและการจัดสวน ซ้ำยังมีประตูข้างบ้านบานหนึ่งเปิดทิ้งไว้ ดูแล้วเหมือนเป็นทางลงห้องเก็บของชั้นใต้ดินที่อยู่นอกตัวบ้าน


“ประตูนั่น…”


ดีนชี้ให้แมคเคนซีดู พลันนึกเอะใจขึ้นมาจึงรีบวิ่งไปที่ประตูนั้น มีรอยเท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามา แต่ขาออกกลับมีรอยเท้าสองคู่ที่มีร่องรอยของการขัดขืน ยื้อยุดฉุดกระชากกันด้วย แถมยังเป็นรอยเท้าสดใหม่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วอีกต่างหาก

“แมคซี่ หรือว่าชาร์ล็อตจะถูกพาหนีไปอีกแล้ว!?”

แมคเคนซีรีบวิ่งตามดีนไป มองจากร่องรอยแล้วก็ดูจะเป็นอย่างที่ดีนว่า มีทั้งรอยเท้าใหญ่และเล็ก ซึ่งรอยเท้าเล็ก ๆ นั้นคงจะเป็นของชาร์ล็อต น้องสาวต่างมารดาของเขาอย่างแน่นอน


“พวกนั้น…คราวนี้ฉันไม่ปล่อยให้หนีไปอีกแน่”


หากเป็นรอยที่เพิ่งเกิดขึ้น แน่นอนว่าฝ่ายนั้นคงยังพาชาร์ล็อตหนีไปได้ไม่ไกล หากรีบตามไปตอนนี้จะต้องเจอตัวแน่ ๆ


“ไปกันดีน ทนอีกหน่อยนะ เดี๋ยวพวกเราก็ได้พักแล้ว”


เขาหันมาบอกดีนที่ตอนนี้สีหน้าดูเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะออกวิ่งตามรอยเท้านั้นไป แม้จะเป็นลูกมหาเทพแห่งพื้นสมุทร มีทักษะมากมายเหลือล้น แต่การใช้สกิลแต่ละอย่างเห็นแล้วก็ชวนให้เสียพลังงานไปไม่น้อย จบจากภารกิจนี้แมคเคนซีจึงสัญญากับตนเองว่าดีนกับชาร์ล็อตจะต้องได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ในที่ที่สะดวกสบาย


“อื้ม! ถ้าปล่อยให้หนีไปได้อีกทีคราวนี้แย่แน่ ๆ”


.
.
.



ทางด้านหนึ่ง...

“อื้อ! อื้อ!”

ชาร์ล็อตกำลังยื้อยุดฉุดกระชากอยู่กับป้าแก่ที่หลังตรอกซอยถนนบูเลอวาร์ด ที่ลำตัวของหญิงสาวถูกมัดด้วยโซ่ขนาดใหญ่ราวกับโซ่ล่ามสัตว์ โดยเฉพาะบริเวณมือที่ถูกพันจนมิดไม่เห็นปลายนิ้ว ทำให้ธิดาเฮคาทีไม่อาจใช้เวทมนตร์ได้ ปากก็ถูกมัดไว้ด้วยผ้าทำให้ไม่สามารถส่งเสียงร้องออกมาถนัด


“อย่าขัดขืนน่านังหนู!”


หญิงชราริมฝีปากสีเลือดนกเปล่งเสียงดุ เป็นน้ำเสียงผสมผสานระหว่างหญิงและชายรวมกัน เมื่อเห็นว่านักโทษไม่ยอมจำนน มันจึงอุ้มเธอขึ้นพาดบ่าแล้วออกวิ่ง กระโดดข้ามรั้วสูงด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลไม่สมกับรูปร่างหญิงชราผู้บอบบาง


ฝ่ายดีนและแมคเคนซีตามมาไม่ห่างจนพอเห็นภาพตรงหน้า พวกเขาปีนรั้วสูงข้ามตามมาได้ แต่ก็เห็นว่าคนร้ายอุ้มชาร์ล็อตวิ่งหนีไปได้ไกลแล้ว


“บ้าเอ๊ย! เจ้านั่นวิ่งเร็วชะมัดเลย”


ดีนย่อตัวลงหายใจหอบ ขนาดว่าตนวิ่งจ๊อกกิ้งแทบทุกเช้ายังเหนื่อยอ่อนขนาดนี้ ร่างกายคงใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มแก่


“ทำไงดีแมคซี่ แบบนี้เราจับมันไม่ได้แน่ นายพอจะมีเวทสักบทที่เพิ่มความเร็วหรือไม่ก็จับมันได้ไหม”


“ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี…”


แมคเคนซีที่หอบหายใจหนักไม่แพ้กันมองจ้องร่างคนที่อุ้มน้องสาวของตนหนีตาไม่กระพริบ เขาอยากใช้เวทโซ่ตรวนจัดการกับหญิงชราคนนั้นซึ่งมีพละกำลังเหลือล้นผิดมนุษย์เหลือเกิน แต่ก็ติดที่ว่าชาร์ล็อตอาจเป็นอันตรายไปด้วย


“ฉันจะใช้สกิลควบคุมหมอก ถ้านายเห็นภาพอะไรก็อย่าตกใจไป มันเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น”


บุตรเฮคาทีเอ่ยเตือนคนรักไว้ก่อนเพื่อให้เตรียมตัวรับมือกับทักษะที่กำลังจะใช้ อีกฝ่ายจะได้ไม่สติแตกไปเสียก่อน การสร้างภาพลวงตาจากหมอกไม่ได้มีผลเพียงแค่กับอสุรกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมนุษย์ทั่วไปและเดมิก็อดด้วยกันเองด้วย


จากนั้นแมคเคนซีก็รวบรวมสมาธิ เพ่งกระแสจิตไปยังหญิงสูงอายุนั้น ฉับพลันภาพเปลวเพลิงโหมกระหน่ำราวกับไฟป่าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าและล้อมรอบตัวของเธอไว้จนหยุดชะงัก ไม่สามารถวิ่งไปทางใดได้อีก


“ได้ผล ไปกันดีน เราต้องคว้าโอกาสนี้ไว้”


เมื่อเห็นว่าแผนของตนประสบผลสำเร็จ แมคเคนซีก็รีบวิ่งแบบลืมเหนื่อยไปยังร่างนั้นที่พยายามใช้มือนึงปัดป้องเปลวไฟปลอมส่วนอีกมือก็ยังคอยอุ้มร่างชาร์ล็อตไว้


“สมจริงชะมัด… นี่แค่ภาพลวงตาใช่ไหม”


ดีนเอ่ยเสียงแผ่ว หากแมคเคนซีไม่เกริ่นออกมาก่อนว่าอาจเห็นภาพแปลก ๆ เขาคงแหกปากโพล่งออกมาลั่นแล้วว่า ‘นายถึงขนาดเผาหมู่บ้านเพียงเพราะจะจับคนที่ลักพาตัวน้องสาวนายไปเลยเหรอแมคซี่!’

“ฉันจะรีบไปดักหน้ามันเอาไว้!”


บุตรสายน้ำบอกคนรัก จากนั้นก็เร่งความเร็วเต็มฝีเท้าวิ่งฝ่าเปลวไฟปลอมไปดักหน้าหญิงแก่ ยกหอกตรีศูลชี้หน้ามันไว้

“หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้เลยแก.. ยัยป้าแก่!”


เสียงที่เปล่งเหินขึ้นกลืนไปกับลมหายใจหอบเหนื่อย ตอนนี้แทบไม่มีแรงเหลือจนต้องย่อตัวลงยันแขนข้างที่ว่างไว้กับหน้าขา


“หึ! ดูสภาพเจ้าสิน้องชาย เจ้าคงเหนื่อยเต็มทน ไหน ๆ เราก็เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดบิดา ทำไมเจ้าไม่เข้าร่วมกับข้าแล้วขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของโลกใบนี้ด้วยกันล่ะ”


หญิงชราเอ่ยด้วยสองน้ำเสียงผสมกัน นั่นยังสร้างความงงไม่เท่ากับสิ่งที่มันพูด


“อะไรนะ.. พี่น้องกัน?”


“อื้อ! อื้อ ๆ!”


ชาร์ล็อตเมื่อเห็นดีนก็ยิ่งดิ้น มือที่ถูกมัดไว้ทุบหลังร่างที่อุ้มเธออยู่อย่างแรง รวมถึงขาทั้งสองก็เตะปัดป่ายไปมา แต่น่าแปลกที่หญิงสูงอายุคนนี้กลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่น้อย


ภาพลวงตาเลือนลางหายไปกลับกลายมาเป็นถนนหลังซอยบูเลอวาร์ดเช่นเดิมเมื่อแมคเคนซีตามมาถึง


“ชาร์ล็อต…มัวแต่พูดพล่ามบ้าบออะไร ปล่อยน้องสาวฉันเดี๋ยวนี้!”


แน่นอนว่าเขาได้ยินที่อีกฝ่ายพูด ถึงจะสงสัยเช่นกันว่าหมายความว่าอะไร แต่ชาร์ล็อตเองก็สำคัญ


“เช่นนั้นขอแนะนำตัวเสียหน่อย ข้าธาลาโคลน บุตรแห่งโพไซดอนกับเนเรียดแห่งท้องทะเล รองผู้นำเหล่าสาวกเดอะวอชเชอร์”


ระหว่างที่ยายแก่แนะนำตัวมันก็กลับร่างเดิมเป็นไซคลอปส์ตาเดียวรูปร่างใหญ่โต วิกผมสีขาวร่วงหล่นลงมาจากศีรษะใหญ่ล้าน


หลายสิ่งประดังประเดคล้ายถูกรถบรรทุกพุ่งชน บุตรแห่งโพไซดอนอีกคนที่กำเนิดจากมนุษย์หญิงมัวแต่อึ้ง ในหัวคิดอะไรไม่ออก ความจริงเขาก็เตรียมใจไว้บ้างนิดหน่อยว่าไซคลอปส์ที่ต่อสู้อาจมีสักตัวที่สายเลือดเดียวกัน ดังนั้นดีนจึงเลือกถามสิ่งสำคัญที่สุดที่เด่นชัดในใจก่อน

“บุตรงั้นเหรอ? ฉันนึกว่าแกเป็นผู้หญิงซะอีก”

“ช่างเขลาจริง ๆ น้องชายข้า เจ้าเคยเห็นไซคลอปส์ตนไหนในตำนานปกรนัมเป็นหญิงบ้าง เผ่าพันธุ์เราไม่มีเพศเมีย!”

แมคเคนซีถึงกับผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหญิงชราแท้ที่จริงแล้วคือไซคลอปส์ปลอมตัวมาอย่างที่ดีนบอกไว้แต่แรก แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือไซคลอปส์ตนนี้ก็เป็นบุตรของมหาเทพโพไซดอนเช่นเดียวกันกับคนรักของเขา


‘เมื่อกี้ก็เจอร่างเงาของแม่ นี่ยังมาเจอไซคลอปส์พี่น้องดีนอีก ให้ตายสิ นี่มันศึกสายเลือดหรือไง’


“ไม่อ่ะ… ฉัน… ไม่เคยอ่าน”

หนุ่มเท็กซัสตอบตามตรงไปอย่างซื่อ ๆ จนธาลาโคลนเกือบทำชาร์ล็อตที่อุ้มอยู่ร่วง ดีนหวนนึกถึงไซคลอปส์ที่เคยกำจัด หญิงแจกใบปลิวที่ปารีส ไซคลอปส์คู่รักคนไร้บ้านที่ชิคาโก แล้วก็ยังฝูงที่เจอเมื่อกี้นี้...


‘ปลอมตัวให้กลมกลืนหรือว่าใจรักกันล่ะนั่น’

“จะยังไงก็ช่าง! หากเจ้าไม่เข้าร่วมกับเราก็ถือว่าเป็นผู้ทรยศต่อสายเลือด จักต้องถูกกำจัด!!” ธาลาโคลนคำรามราวกับสัตว์ร้ายที่มีตาเดียว

คำว่าผู้ทรยศต่อสายเลือดทำเอาจิตใจของดีนหวั่นไหวไม่ใช่น้อย จนมือที่ชูอาวุธขู่ลดลงชั่วครู่

“อื้อ! อื้อ!”

แต่เสียงร้องของชาร์ล็อตเรียกสติของเขาให้กลับคืนมา ไปเข้าพวกกับมันสิถึงเรียกว่าทรยศต่อพวกพ้อง!

“แกไม่รู้อะไรซะแล้ว ขนาดว่าเทพพิทักษ์ธีซีอุสฉันยังตบคว่ำมาแล้วเลย นับประสาอะไรกับรองผู้นำลัทธิโนเนม ฉันไม่อยากนับญาติกับแกด้วยซ้ำ!”

ดีนแค่นยิ้มมุมปาก ซ้ำยังปากดีใส่แม้ท้ายเสียงจะสั่น ทว่าคล้ายจะได้ผล สีหน้าของธาลาโคลนซีดลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของธีซีอุส


‘แล้วยังธีซีอุสอะไรนั่นอีก…’


เหมือนว่าตอนนี้ทั้งสองคนนั่นกำลังพูดถึงบุคคลที่แมคเคนซีไม่รู้จัก แต่ฟังจากชื่อที่เป็นภาษากรีกแล้วแถมยังมีตำแหน่งเทพพิทักษ์อะไรนั่นอีก คงเดาได้คร่าว ๆ ว่าเหตุการณ์นั้นคงเกิดขึ้นตอนที่ดีนไปทำภารกิจล่ะมั้ง


“เขาก็บอกแล้วว่าไม่นับแกเป็นญาติ เพราะงั้นรีบปล่อยชาร์ล็อตซะ ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว”


ซึ่งแน่นอนว่าแมคเคนซีหมายความตามนั้นจริง ๆ


“เรื่องอะไรต้องปล่อย ธิดาแห่งเทพีเฮคาทีคนนี้คือของสำคัญในพิธีบูชายัญของพวกข้า!”


ไซคลอปส์ร่างยักษ์คำรามลั่นแล้วทำท่าจะพาชาร์ล็อตหนีไปอีกรอบ


“เดี๋ยว! ฉันมีข้อเสนอ ฉันเองก็เป็นลูกเทพีเฮคาทีเหมือนกัน แกปล่อยชาร์ล็อตแล้วมาสู้กับฉัน ถ้าฉันแพ้ก็เอาตัวฉันไปทำพิธีแทนได้เลย และดีนก็จะจบภารกิจนี้ทันที ตกลงไหม”


แมคเคนซีออกมายืนด้านหน้าดีนแล้วรีบรั้งไว้ก่อนที่อสุรกายจะพาน้องสาวของตนไป เขาชูคทาคบเพลิงซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวของบุตรเทพีแห่งมนตราขึ้นมาให้ดูเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดตนเอง


“เดี๋ยว! นายยกข้อเสนออะไรเนี่ยแมคซี่ ฉันไม่เห็นด้วย!” ดีนค้าน


“แล้วมีประโยชน์อะไรที่ข้าต้องเอาเจ้าไป….ไม่สิ จะว่าไปก็น่าสนใจดี ถ้าข้าชนะเจ้า น้องชายของข้าก็จะยุติภารกิจนี้ แล้วก็จะไม่มีเดมิก็อดหน้าไหนมาขัดขวางพวกข้าอีก…..”


ธาลาโคลนมองคทาเวทในมือแมคเคนซี ดวงตาลูกโตไล่มองผู้ที่ได้ชื่อว่าพ่อมดหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับกำลังประเมินคู่ต่อสู้ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าตนนั้นได้เปรียบกว่าเห็น ๆ


“หึ ๆ แล้วเจ้าจะเสียใจที่ยื่นข้อเสนอนี้กับข้า ตกลง ข้ารับคำท้าเจ้า”


หลังจบประโยคนั้น ธาลาโคลนก็ปล่อยร่างชาร์ล็อตลงแล้วเสกค้อนขนาดยักษ์ที่มีกระแสไฟฟ้าแล่นดังเปรี๊ยะ ๆ มาไว้ในมือ


“เฮ้! เดี๋ยว พวกนายสัญญาอะไรกัน ฉันขอคัดค้าน!!”

ดีนหันมองแมคเคนซีทีนึง หันมามองธาลาโคลนทีนึง ทว่าทั้งสองต่างเอาแต่จ้องตากันเปรี๊ยะ ราวกับมีกระแสไฟฟ้าประชันกันแบบในฉากการ์ตูนญี่ปุ่น ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครที่สนใจเสียงของดีนที่ยืนหัวโด่จนชายหนุ่มได้แต่กำหมัด


‘จบงานนี้นายกับฉันได้คุยกันแมคซี่!’

“อื้อ! อื้อ!”

เห็นทีว่าคนที่สนใจหนุ่มเท็กซัสอยู่เพียงคนเดียวคือ ชาร์ล็อต ลิเลี่ยน ที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ

“โธ่เว้ย!”

ดีกว่าช่วยอะไรใครไม่ได้เลย ดีนเก็บอาวุธให้อยู่ในรูปแบบของกำไลอัจฉริยะ รีบพุ่งตัวไปอุ้มชาร์ล็อตออกมาจากสนามประลองก่อนที่การดวลกันระหว่างไซคลอปส์บุตรโพไซดอนและเดมิก็อดสัญชาติอังกฤษบุตรแห่งเฮคาทีจะเกิดขึ้น


สิ่งแรกที่ทำคือแก้มัดที่ปากออกก่อน จากนั้นทำลายโซ่ที่พันธนาการสาวน้อยเอาไว้ ผิวเนื้อสีขาวที่เคยนวลผ่องช้ำเป็นรอยโซ่ตามเนื้อตัวเหมือนถูกงูรัด หนักหนาที่สุดคือบริเวณมือทั้งสองข้างที่ถูกพันรัดแน่นจนนิ้วมือแทบจะกางออกไม่ได้ เนื่องจากถูกรัดอยู่ในท่าเดิมนานเกินไป

ส่วนชุดที่ใส่… ไม่ใช่ชุดเจ้าสาวแต่เป็นชุดนางพยาบาลแฮะ

“ชาร์ล็อตเธอเป็นอะไรไหม บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ดีนเอ่ยถามน้ำเสียงเป็นห่วง

“หนู..”

ชาร์ล็อตพยายามตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่าราวกับคำพูดนั้นกลืนหายไปในลำคอจากการที่ไม่อาจส่งเสียงพูดมาเป็นเวลานาน

“โอ้ เธอต้องกินน้ำก่อน ค่อย ๆ นะชาร์ล็อต”

บุตรแห่งโพไซดอนเปิดขวดน้ำที่พกพามาให้แก่น้องสาวของแฟน ได้พักสักครู่อาการของเธอน่าจะดีขึ้น ใจนึงก็ห่วงน้องสาวในค่ายอีกใจก็ห่วงแฟน หนุ่ม ดีนที่ได้แต่มองดูการต่อสู้อยู่ตรงนี้เฉย ๆ รู้สึกเจ็บใจชะมัด!

.
.
.


หลังจากที่ดีนพาชาร์ล็อตหลบไปยังที่ปลอดภัยและห่างไกลจากสนามต่อสู้ชั่วคราวแล้ว แมคเคนซีก็กระชับคทาเวทในมือแน่น ดวงตาสีฮาเซลมองจ้องไซคลอปส์ตรงหน้าตาไม่กระพริบ เขามีเพียงโอกาสเดียว หากพ่ายแพ้ก็เท่ากับว่าส่งตัวเองไปตายและดีนก็จะทำภารกิจไม่สำเร็จ ซึ่งเขาไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเป็นอันขาด


“มาเป็นเหยื่อบูชาให้ลัทธิข้าซะ!”


ธาลาโคลนเองก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ค้อนขนาดใหญ่ถูกฟาดลงมาโดยมีแมคเคนซีเป็นเป้าหมาย ซึ่งความไวของบุตรแห่งโพไซดอนตนนี้จัดว่าเหนือชั้นกว่าฝูงไซคลอปส์ที่เขาจัดการได้อย่างง่ายดายก่อนหน้านี้มากนัก แมคเคนซีรีบกระโดดหลบไปด้านข้างแต่ก็ถูกเศษคอนกรีตที่ถูกค้อนทุบแตกกระเด็นมาโดนใบหน้าจนเลือดซิบ ดูจากถนนที่แตกละเอียดจนเป็นหลุมแล้ว หากเมื่อครู่หลบไม่ทันคงเป็นเขาที่หัวแบะแน่ ๆ


“ใครจะไปยอม เตรียมกลับไปมือเปล่าซะ อุ๊บ !”


ดูเหมือนธาลาโคลนจะไม่เปิดช่องว่างให้เขาได้สวนกลับแม้แต่น้อยทั้งคำพูดและการต่อสู้ ค้อนยักษ์ที่มีกระแสไฟแล่นถูกเหวี่ยงมาทางแมคเคนซีอีกครั้ง ดูยังไงก็เหมือนค้อนปอนด์ชัด ๆ แต่ไซคลอปส์ตนนี้กลับใช้งานมันได้อย่างคล่องแคล่วราวกับค้อนของเล่น


“อินคันทาเร มูรุส โปรเทโก!”


กำแพงเวทโปร่งแสงถูกกางกั้นระหว่างแมคเคนซีที่ล้มลงไปและค้อนที่ฟาดลงมาห่างจากเขาเพียงไม่กี่เซนฯ พอดี แรงปะทะนั้นมากพอที่จะทำให้เห็นบาเรียกระเทือนได้ด้วยตาเปล่า ดูท่าว่าหากถูกโจมตีด้วยความรุนแรงเท่านี้ซ้ำกันหลายรอบเข้า เวทป้องกันของเขาคงจะถูกทำลายไปก่อน


“อินคันทาเร เฟลมมา มาจิกา!”


แมคเคนซีรีบใช้โอกาสนี้ร่ายคาถาเปลวเพลิงต่อทันที ลูกไฟขนาดเท่าลูกฟุตบอลพุ่งออกมาจากปลายคทา แต่ธาลาโคลนกลับหลบทัน อสุรกายตาเดียวถอยออกไปเพื่อตั้งหลัก ส่วนแมคเคนซีเองก็รีบลุกขึ้นมาเช่นกัน


“ไม่เลวบุตรแห่งเฮคาที แต่ข้าเบื่อจะเล่นกับเจ้าแล้ว เตรียมตัวรับความพ่ายแพ้ซะ!”


ร่างใหญ่โตนั้นวิ่งเข้ามาอีกครั้งด้วยความเร็วพร้อมกับเงื้อค้อนในมือขึ้น ซึ่งแมคเคนซีเองก็เตรียมพร้อมจะรับมือกับอาวุธอันตรายนั่นอีกครั้ง


พลั่ก!


“อ้อก! …แค่ก ๆ!”


จากที่คิดว่าจะโดนค้อนสายฟ้าโจมตี แต่แมคเคนซีกลับถูกหลอกเข้าอย่างจัง ร่างของเขาทรุดลงไปกองกับพื้นจากกำปั้นที่ชกเข้าท้องเต็มแรง


“ฮ่า ๆๆ คิดว่าข้ามีดีแค่ค้อนงั้นเรอะ ประมาทเกินไปแล้วเดมิก็อด”


ธาลาโคลนยกค้อนขึ้นพาดบ่ายืนหัวเราะเยาะขบขันแมคเคนซีที่นอนตัวงอกุมท้องอยู่ หมัดนั้นหนักใช่เล่น อารมณ์อย่างกับถูกเตะบอลอัดใส่หนัก ๆ ไปหลายทีจนจุกไปหมด


“อย่าลืมสัญญาที่เจ้าให้ไว้กับข้าล่ะ…”


ดวงตาตรงกลางหน้าเหลือบมองไปยังดีนและชาร์ล็อตก่อนจะยิ้มหยัน


“ความผิดของเจ้าเองนะน้องชายที่ไม่ร่วมมือกับข้า ภารกิจของเจ้าสิ้นสุดที่ตรงนี้แหละ”


ค้อนยักษ์ถูกยกขึ้นสุดแขน กระแสไฟฟ้าแล่นเปรี๊ยะเป็นประกายพร้อมจะจัดการเหยื่อบูชายัญรายใหม่

“แมคซี่!!”


ดีนทนดูเฉย ๆ ไม่ได้อีกต่อไป เขารีบลุกขึ้น หน้าปัดอัญมณีบนกำไลอัจฉริยะเรืองแสงสีฟ้าก่อนที่มันจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นอะไรสักอย่าง ซึ่งตอนนี้จิตใจของผู้ใช้งานไม่มั่นคง มันจึงเดี๋ยวเป็นดาบ เดี๋ยวยืดออกเป็นตรีศูล แล้วก็แผ่ออกกลายเป็นโล่


เขาพยายามวิ่งไปสุดแรงที่มีแต่เหมือนหนทางข้างหน้าช่างไกลเหลือเกินจนเห็นเป็นภาพช้า


“แกเองก็อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับฉันล่ะ”


ฉึก!


“อ๊ากกกก !”


กริชจันทราสีเลือดถูกปาออกไป คมมีดนั้นปักเข้าที่ลูกตากลางใบหน้าของธาลาโคลนจนมันร้องลั่น มีดลงอาคมที่เปี่ยมไปด้วยพลังของเทพีแห่งมนตราสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้ไซคลอปส์ตนนั้นจนไม่อาจทานทนได้ ร่างใหญ่ยักษ์นั้นค่อย ๆ สลายเป็นเถ้าธุลีและจางหายไป


“ฉันก็ไม่ได้ใช้แค่คทาเวทไหมล่ะ แค่ก ๆ”


แมคเคนซีมองอาวุธประจำกายอีกชิ้นที่ร่วงลงสู่พื้น ความจุกเสียดที่ท้องยังคงอยู่จนไม่มีแรงแม้แต่จะขยับไปเก็บกริชนั้นมาไว้กับตัว เป็นอีกเรื่องที่ต้องขอบคุณซิลเวอร์พี่ใหญ่ของบ้านที่ช่วยสอนทักษะใช้มีดสั้นให้


เมื่อเห็นว่าร่างของธาลาโคลนพี่ชายร่วมสายเลือดสลายไป ในใจของดีนรู้สึกวูบหวิวนิดหน่อยทว่ากลับโล่งใจมากกว่าเพราะคนรักเอาชนะมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด

“แมคซี่!”

ดีนโผเข้าไปสวมกอดแมคเคนซีคนรักก่อนที่จะประทับจูบหนัก ๆ ลงไปที่เรียวปากอิ่มได้รูป กัดริมฝีปากนั้นแรง ๆ เป็นการลงโทษ แล้วจึงถอนจูบออกหลังรับรสของสนิม

“ไอ้บ้า! นายสัญญาอะไรของนาย!”

หงุดหงิดจนทนไม่ไหว กุมกำปั้นทุบไหล่ของอีกฝ่ายไปอีกตุ้บ


“อื้ม…ดีน เจ็บ เบา ๆ หน่อย”


ถึงจะบอกแบบนั้นแต่แมคเคนซีกลับหลุดขำน้อย ๆ ก่อนจะมุ่นคิ้วเมื่อยังรู้สึกเจ็บที่ท้องอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็กอดดีนที่กำลังโกรธไว้แล้วเลื่อนมือขึ้นไปขยี้ผมหยักศกสีเข้มเบามือ พยายามปลอบให้อีกฝ่ายใจเย็นลง ให้ตายสิ พอเจ็บตัวแล้วได้รับจูบจากดีนแบบนี้ช่างชวนเคลิ้มอย่างกับได้ขึ้นสวรรค์ เขาเลียริมฝีปากที่เพิ่งถูกคนรักกัดไปแล้วอมยิ้มเล็กน้อย


“ใจเย็นสิ ฉันก็แค่ต่อรอง ถ้าฉันไม่พูดแบบนั้นแล้วไซคลอปส์นั่นจะยอมปล่อยชาร์ล็อตเหรอ แล้วต่อให้ฉันแพ้…นายก็จะไม่มีทางยกเลิกภารกิจนี้หรอกใช่ไหม”


ก่อนที่ดีนจะหัวร้อนไปกว่านี้ แมคเคนซีเลยรีบอธิบายแผนการของตนเองให้ฟัง แล้วคว้ามือที่กำอยู่ของดีนข้างนึงมากุมไว้แล้วจูบที่กำปั้นเบา ๆ


“และสุดท้าย…ฉันไม่มีทางแพ้”


ดวงตาสีฮาเซลมองเข้าไปในตาสีเลือกไม้ของดีนอย่างจริงจังก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้


“ชาร์ล็อตล่ะ ชาร์ล็อตอยู่ที่ไหน เธอปลอดภัยดีใช่ไหม”


มัวแต่หวานแหววกับแฟนจนเกือบลืมน้องสาวไปซะได้


“ยกเลิกสิ ถ้านายไม่อยู่ฉันก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปทำอะไรต่อทั้งนั้นแหล่ะ...”

ดีนบุ้ยปากเอ่ยเสียงแผ่ว จากที่โมโห ๆ อยู่ก็เป็นต้องใจอ่อนทุกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเอาความหวานเข้ากลบจนผิวหน้าร้อนผ่าว

“ชาร์ล็อตปลอดภัยแต่ว่าเธอยังไม่แข็งแรง ฉันว่าก่อนจะเป็นห่วงคนอื่นนายเป็นห่วงตัวเองก่อนไหม? ที่ถูกชกเมื่อกี้เจ็บมากหรือเปล่า”

คิ้วเข้มขมวดเป็นปม ดีนวางมือลงบนท้องของแมคเคนซีเบา ๆ ไม่อยากให้คนรักของเขาเจ็บเพิ่ม ฟังจากเสียงของการปะทะกันเมื่อครู่นี้แล้วคงจะถูกชกแรงน่าดู หากกระดูกซี่โครงไม่หักก็ดีไป กระนั้นก็ยังวางใจไม่ได้ว่าจะช้ำในหรือเปล่า


“ถ้าจะยกเลิกอย่างน้อยก็พาชาร์ล็อตกลับค่ายด้วยนะ”


พูดอย่างกับสั่งเสีย ก่อนจะไล่สายตามองตามมือดีนที่วางอยู่ตรงหน้าท้อง


“อา…เจ็บสิ เจ็บชะมัด ตอนโดนชกฉันรู้สึกเหมือนเครื่องในทุกอย่างแทบจะปนกันเลย”


ไซคลอปส์ตนนั้นแรงเยอะจริง ๆ ถ้าตอนนั้นเขาโดนชกอีกสักที ป่านนี้คงได้ไปนอนอยู่โรงพยาบาลแน่ ๆ


“แย่กว่าที่คิด…..”


พอลองเลิกเสื้อขึ้นดูก็เห็นรอยช้ำสีม่วงแดงขนาดใหญ่ตามกำปั้นของธาลาโคลนตัดกับหน้าท้องขาว ๆ คราวนี้แมคเคนซีเลยได้แค่ยิ้มเจื่อน


“ไว้ฉันมีแรงกว่านี้จะลองใช้เวทรักษาดู เราไปหาชาร์ล็อตกันก่อนเถอะ นายช่วยพยุงฉันหน่อยได้ไหม”


‘ฉันน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้…’

ทั้งที่ตัวเองเป็นบุตรแห่งสามมหาเทพสูงสุดของกรีกอย่างโพไซดอนแล้วแท้ ๆ แต่ดีนกลับคิดว่าตัวเองช่างกระจอกงอกง่อยเสียเหลือเกิน ในเคสนี้เขาทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าฉีดน้ำ แล้วถ้าที่ไหนไม่มีน้ำเขาก็แทบจะทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากหยิบอาวุธขึ้นสู้ พลังในการรักษาก็ช่วยได้แค่ตัวเอง แถมยังต้องพึ่งพาแหล่งน้ำธรรมชาติอีกต่างหาก

แม้แรงธรรมชาติจะทรงพลังจริงแต่มันก็เท่านั้นถ้าใช้ประโยชน์ไม่ได้ในยามนี้ ฉะนั้นการเป็นบุตรแห่งโพไซดอนจึงแม่งโคตรจะเปล่าประโยชน์…

“ได้ ถ้านายรู้สึกไม่ดีรีบบอกฉันห้ามฝืนเด็ดขาดเลยนะ”


แมคเคนซีพยักหน้ารับแล้วพยายามยันตัวขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ก่อนจะไปก็ยังไม่ลืมใช้เวทเรียกของเก็บกริชจันทราสีเลือดให้กลับมาหาตนเองด้วย


ดีนตามประกบประคองแมคเคนซีให้ลุกขึ้น จากนั้นหิ้วปีกอีกฝ่ายไปหาชาร์ล็อตที่รออยู่ เมื่อหญิงสาวเห็นพี่ชายของเธอน้ำตาก็ไหลพรากลงมาจากดวงตาคู่งามทันที พร้อมกับเปล่งเสียงเรียกชื่อพี่ชายได้ยังไม่เต็มเสียง

“พี่..แม…”

“ชาร์ล็อต…เจ็บมากหรือเปล่า ขอโทษนะ พี่มาช้าไปมากเลย”


พอเห็นสภาพน้องสาวร่วมมารดาชัด ๆ แล้ว แมคเคนซีก็ฝืนร่างกายตนเองผละจากดีนไปกอดเธอไว้แน่น


หญิงสาวดูผอมไปจากเดิมนิดหน่อย แต่ผมสองสีที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของเธอบัดนี้ยาวขึ้นจากเดิมมาก เนื้อตัวก็เปื้อนฝุ่นเปื้อนดินจนดูมอมแมมไปหมด เขาค่อย ๆ ลูบแผ่นหลังที่สั่นเทาของชาร์ล็อตอย่างปลอบประโลม เธอคงจะหวาดกลัวมาโดยตลอด ท่าทางของชาร์ล็อตในตอนนี้ทำให้แมคเคนีนึกย้อนไปถึงกลุ่มน้อง ๆ ของเขาเมื่อตอนไปทำภารกิจที่แคนาดา


ความเจ็บปวดจากเหตุการณ์นั้นกลับขึ้นมาเกาะกุมจิตใจจนน้ำใส ๆ รื้นขึ้นมาที่ดวงตา แต่ก็จำเป็นต้องสะกดกลั้นเอาไว้จนตาทั้งสองข้างแดงก่ำไปหมด


ส่วนดีนได้แต่ปล่อยให้สองพี่น้องได้ใช้เวลาด้วยกันครู่ใหญ่ เขาเพียงแค่ลูบหลังปลอบโยนทั้งสองให้ได้รู้ว่าไม่ได้เผชิญหน้ากับเรื่องแย่ ๆ กันเพียงลำพัง


ใช้เวลาสักพักเลยทีเดียวชาร์ล็อตถึงรู้สึกดีขึ้น แล้วยอมผละกอดออกมาจากพี่ชาย

“ต้อง..ซ่อม…เขตแดนต่อ..คะ”

หญิงสาวพยายามแค่นเสียงพูด เหมือนน่าเสียงของเธอค่อย ๆ ดีขึ้นหลังจากได้พูดคุยกับมนุษย์ด้วยกัน

“หนูซ่อน…สินสงคาม… ในบ้านหมา..แค่ก หกห้าเก้า”

“ใจเย็น ๆ นะชาร์ล็อต เธออยากดื่มน้ำอีกไหม?”

ดีนเอ่ยถามแต่หญิงสาวส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ เป็นการขอบคุณ เขาจึงหันไปถามแมคเคนซีแทน ชาร์ล็อตน่าจะเหนื่อยที่ต้องพูดยาว ๆ แล้ว ไม่แน่ว่าบุตรแห่งเฮคาทีที่เอาแต่ศึกษาตำราและการใช้เวทมนตร์ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้อาจพอรู้อะไรบางอย่าง

“สินสงครามที่เธอพูดถึงหมายถึงอะไรน่ะแมคซี่?”


“ชาร์ล็อตคงหมายถึงสินสงครามที่ใช้เป็นสื่อนำเวทมนตร์…ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ที่ชาร์ล็อตมาร่วมทีมทำภารกิจนี้ก็เพื่อมาซ่อมมนตร์บังตา จากที่ฉันอ่านในตำราเวท เหมือนว่าจะใช้ของสามอย่าง ก็คงเป็นของที่ชาร์ล็อตเอาไปซ่อนไว้นั่นแหละ ใช่ไหม”


แมคเคนซีหันไปถามน้องสาวเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนเองคิดอีกที ซึ่งเธอก็พยักหน้าแทนคำตอบ แล้วหันกลับมาบอกดีน


“เราคงต้องไปเอาของที่บ้านหกห้าเก้าก่อน ไม่งั้นคงซ่อมมนตร์บังตาไม่ได้แน่”


“งี้นี่เอง ถ้างั้นไปกัน พวกนายเดินกันไหวใช่ไหม?”

สองพี่น้องสายเลือดเฮคาทีพยักหน้า จากนั้นทั้งสามก็ช่วยประคับประคองกันและกันไปที่บ้านหกห้าเก้า ซึ่งหน้าบ้านหลังนั้นมีบ้านสุนัขเล็ก ๆ อยู่จริง ทว่าไม่มีสุนัขหรือร่องรอยของชีวิตอื่นอยู่เลย สมาชิกในบ้านรวมถึงสุนัขอาจถูกไซคลอปส์จับกินไปเมื่อปีที่แล้ว แต่ดีนภาวนาขอให้บ้านหลังนี้เป็นบ้านร้างมานานก่อนพวกไซคลอปส์จะมาถึง

“เจอกระเป๋าแล้ว ฉันขอเปิดออกมาหน่อยนะ”

ชาร์ล็อตพยักหน้าลงเป็นการอนุญาต จากนั้นดีนจึงลงมือหาของที่เหมือนกับสินสงครามท่ามกลางสมบัติของหญิงสาวโดยพยายามไม่แตะต้องสิ่งของอื่น

“อันนี้หรือเปล่า?”

ชายหนุ่มนำห่อผ้าแพรสีม่วงเข้มอย่างดีออกมาจากกระเป๋า มันดูเป็นของต้องสงสัยที่ไม่เข้าพวกมากที่สุดเมื่อเทียบกับสารพัดเครื่องใช้กุ๊กกิ๊กและชุดสีพาสเทล สิ่งที่พอจะเข้าคู่ได้มีเพียงอย่างเดียวคือคบเพลิงเฮคาทีที่ซุกอยู่ใต้ก้นกระเป๋า

“ใช่…ค่ะ”

ดีนส่งมอบถุงผ้าแพรและคบเพลิงเฮคาทีให้กับชาร์ล็อต เธอรับมันมา แต่มือที่ถูกรัดอยู่ในรูปทรงเดิมมานานแกะสินสงครามออกจากถุงผ้าได้อย่างยากลำบาก จึงเป็นหน้าที่ของแมคเคนซีในการช่วยเหลือ สินสงครามในนั้นประกอบด้วย เกล็ดฮิปนาลิส น้ำมันคบเพลิง และไขกระดูกอัลกูลที่บรรจุในหลอดแก้วอย่างดี

หลังจากนี้ก็ได้เวลาของสองพี่น้องเฮคาทีจัดการงานหลัก เปลวเพลิงปลายคทาลุกโชติช่วงอีกครั้งเมื่อสายเลือดแห่งมนตราทั้งสองจับไปที่คบเพลิงเดียวกัน

“อะเพอริเร่ โอคูลุส คลาวิส เวริทัส”

เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคาถาอื่นที่ไม่ได้ขึ้นต้นด้วย ‘อินคันทาเร่’

สินสงครามทั้งสามถูกมนตราดึงดูดขึ้นมาลอยเหนือไฟคบเพลิง เปลวเพลิงแห่งเฮคาทีเผาผลาญจนของทั้งสามผสานไปกับเวทมนตร์ระดับสูง จนเกิดเป็นลำแสงสีม่วงจากเวทอาณุภาพสูงพุ่งออกจากปลายคทา มุ่งสูงสู่ฟากฟ้าที่ครอบคลุมอยู่เหนือบูเลอวาร์ด ชั่วพริบตาเดียวที่ไอเวทมนตร์ครอบคลุม รอยแตกร้าวขนาดใหญ่เหนือน่านฟ้าก็ถูกฉาบเคลือบ รูโหว่ปิดสนิท เขตแดนแห่งมนตราถูกซ่อมแซมอย่างเสร็จสมบูรณ์

เวทมนตร์บทนี้กินพลังงานของเดมิก็อดหนุ่มสาวไปอย่างมาก พวกเขาเหนื่อยอ่อนกันอย่างเห็นได้ชัดแม้จะช่วยส่งพลังไปด้วยกันทั้งคู่

“โอเคกันไหม?” ดีนที่เฝ้ามองมาโดยตลอดถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง


“ฉัน…โอเค แต่ชาร์ล็อต…น่าจะต้องการพักผ่อนสักหน่อย”


ขนาดแมคเคนซีทีเจ็บแค่ร่างกายแต่สามารถใช้พลังเวทได้เต็มเปี่ยมเมื่อใช้คาถาบทนี้ไปยังรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาอย่างกับไปวิ่งมาราธอนมาหลายสิบกิโลเมตร ชาร์ล็อตที่ตอนนี้สภาพร่างกายไม่สมบูรณ์แข็งแรงคงจะเหนื่อยอ่อนกว่าหลายเท่า  สังเกตได้ชัดจากใบหน้าที่เริ่มซีดลงของเธอ


“ตอนนี้ก็ซ่อมมนตร์บังตาเสร็จแล้ว อีกไม่นานที่นี่คงกลับเข้าสู่สภาพเดิม พวกเราออกจากที่นี่ไปหาที่พักกันก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยกันว่าจะเอายังไงต่อ”


ไม่ใช่แค่ชาร์ล็อต แต่ตอนนี้ทั้งดีนและแมคเคนซีต่างก็ได้แผลกันมาจากการต่อสู้ พวกเขาควรไปจากที่นี่ก่อนที่จะเจออสุรกายอะไรอีกก็ไม่รู้ เมื่อตกลงกันได้เช่นนั้นแล้ว ทั้งสามคนจึงพากันออกจากถนนบูเลอวาร์ดอันร้างไร้ผู้คน


.
.
.


[เพลงประกอบ กด ► ฟังเพื่อเพิ่มอรรถรส]


ดวงตาอันใหญ่โตยังสลายไปสู่ทาร์ทารัสไม่ทันหมด ภาพสุดท้ายที่เห็นคือภาพของเดมิก็อดสามคนที่เพิ่งพิชิตมันได้พากันเดินจากไป


‘ข้าแพ้แล้ว… ข้าทำไม่สำเร็จ… ท่าน…พ่อ’


ก่อนที่วิญญาณจะกลับสู่ทาร์ทารัสไปทั้งหมดธาลาโคลนหวนนึกถึงภาพในอดีต

‘ท่านแม่ ท่านพ่อของพวกเราคือท่านโพไซดอนจริงเหรอฮะ?’


‘จริงสิจ๊ะ โคลลินน์ลูกรัก… เมื่อเติบโตขึ้นไปเจ้าจะยิ่งใหญ่เหมือนบิดาของเจ้าอย่างแน่นอน’

‘สักวันหนึ่งข้าจะยิ่งใหญ่เหมือนท่านพ่อ…’

เนเรียดสาวผู้งดงามโอบกอดลูกไซคลอปส์น้อยสุดที่รักในอ้อมแขนของเธอ ทั้งสองอาศัยอยู่ในถ้ำใต้หน้าผาแห่งหนึ่งของทะเลแคริบเบียน บนเนื้อตัวของอสุรกายเด็กเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากบาดแผล กระนั่นดวงตาอันใหญ่โตเพียงหนึ่งเดียวก็ยังใสซื่อ

ทว่าโลกใบนี้กลับโหดร้ายกับโคลลินน์น้อยเหลือเกิน…

‘กรี๊ดดด ตัวอะไรช่างอัปลักษณ์เหลือเกิน!?’


‘นั่นมันอสุรกายไซคลอปส์ที่ดุร้าย!’

‘ออกไปจากหมู่บ้านของพวกเรานะ!’


เด็ก ๆ รุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาต่างรุมพากันขว้างปาก้อนหินใส่บุตรแห่งโพไซดอนด้วยความรังเกียจ ต่างเผ่าพันธุ์ มิหนำซ้ำยังอันตราย ผิวกายของไซคลอปส์เด็กนับว่ายังอ่อนแอกว่าช่วงโตเต็มวัยมากนัก แม้ไม่อาจทำให้เขาถึงตายแต่ก็สร้างความเจ็บปวดและรอยบาดแผลให้ทั้งทางกายและใจ


‘เดี๋ยวก่อน! ข้าก็แค่! ข้าก็แค่อยากจะเล่นด้วยกับพวกเจ้า!’


ด้วยเหตุนี้ข้าจึงได้ชิงชังเหล่ามนุษย์!


วันเวลาผ่านไป โคลลินน์ในช่วงวัยรุ่นอธิษฐานต่อหน้าวิหารของโพไซดอน เขาคลุมผ้าปิดหน้าแต่งกายเยี่ยงมนุษย์เสี่ยงตายมาที่นี่เพื่อภาวนา


‘ข้าจะโตขึ้นไปยิ่งใหญ่แบบท่านพ่อได้จริงหรือ? แล้วไฉนบุตรแห่งเจ้าสมุทรจึงได้ถูกรังแกเช่นนี้! ท่านพ่อ ท่านพ่อขอรับ ได้โปรดทรงช่วยลูก เมตตาลูก’


ทว่ากลับไร้เสียงตอบกลับจากบิดาผู้ให้กำเนิด ราวกับเรื่องเล่าของมารดาคือนิทานหลอกเด็ก

ในเมื่อไม่ได้รับเสียงตอบกลับจากบิดาไซคลอปส์จึงจำเป็นต้องหาหนทางด้วยวิธีการอื่น


‘แม่มดแห่งท้องทะเล โปรดทรงเมตตา จะมีวิธีใดบ้างที่ข้าสามารถเข้าสู่แอตแลนติสได้’

‘เจ้าอยากมุ่งสู่แอตแลนติสอย่างนั้นรึ? เป็นเรื่องยากที่ผู้ถูกเนรเทศจะกลับไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ก็พอจะมีวิธี…’

‘ถูกเนรเทศ ท่านหมายความว่าอะไร?’ โคลลินน์เอ่ยถามแม่มดด้วยความสงสัย


‘อุ๊ปส์! นี่เจ้าไม่รู้ถึงชาติกำเนิดของตนเองอย่างนั้นหรือไซคลอสป์หนุ่มน้อย หากอยากรู้ล่ะก็…’


แม่มดแห่งท้องทะเลร่ายมนต์คาถาเสกลูกแก้วให้เรืองแสง ฉายภาพในอดีตออกมา เป็นภาพของ ‘เอฟีเมร่า’ มารดาของโคลลินน์ ไซคลอปส์หนุ่มกำลังจะอ้าปากเอ่ยถาม ทว่าแม่มดกลับยกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปาก จากนั้นชี้ไปที่ลูกแก้วให้ชมภาพไม่ขัดจังหวะ


‘ท่านแม่มดแห่งท้องทะเล โปรดช่วยข้า ความรักของข้ามิอาจห้ามใจ’


‘เอฟีเมร่าผู้งดงาม ชายใดเล่าคือผู้ที่ได้ครอบครองหัวใจของเจ้า’


‘ท่านราชาโพไซดอนเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เจ้าค่ะ ท่านแม่มด’ เนเรียดสาวเอ่ยนามเจ้าสมุทร จนแม่มดแห่งท้องทะเลยกมือทาบอกพร้อมกับอุทานออกมาว่า ‘อุ๊ต๊ะ!


‘เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าต้องการคือ?’


‘ความงามของข้ามิอาจเทียบเท่าเทพีแอมฟิไทรต์หรือนางนิมฟ์ระดับสูงตนอื่นได้ ท่านโพไซดอนจึงมิชายตามอง ทว่ารักของข้าคือรักจริง เช่นนั้นข้าจึงมาขอยาเสน่ห์จากท่านเจ้าค่ะ’


ภาพในอดีตจบลงเพียงเท่านี้ นั่นสร้างความตกตะลึงแก่ไซคลอปส์หนุ่มเป็นอย่างมาก

‘ท่านแม่ก็เลยใช้ยาเสน่ห์กับท่านพ่อหรือขอรับ…’


‘เจ้าเดาได้เก่ง พ่อกับแม่ของเจ้าแบบว่า อะหื้ม…. น่ะ’

แม่มดยิ้มอย่างมีเลศนัย นางชูนิ้วชี้ทิ้งสองมือมาชิดกัน เป็นอันเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายความหมาย

‘จนมีเจ้าถือกำเนิดขึ้นมานี่แหล่ะ แต่ความน่าเศร้าก็คือ วันนึงมีผู้ค้นพบการเล่นคุณไสยของแม่เจ้า ท่านเจ้าสมุทรจึงได้พิโรธ โทษของเอฟีเมร่าที่รักคือทัณฑ์ประหาร ทว่าในตอนนั้นนางตั้งครรภ์เด็กในท้อง...ซึ่งก็คือเจ้า จึงเป็นเรื่องยากที่เจ้าสมุทรจะตัดสินพระทัย ราชินีแอมฟิไทรต์ผู้มีเมตตาเสนอลดโทษประหาร เปลี่ยนให้พวกเจ้าสองแม่ลูกถูกเนรเทศออกจากแอตแลนติสไปตลอดกาล’

‘เพราะเหตุนี้ข้าจึงมีชีวิตตกต่ำเช่นนี้…’ โคลลินน์กำหมัด ในแววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น


‘แล้วเจ้ายังอยากจะกลับไปแอตแลนติสอยู่หรือเปล่าล่ะ… โอ๊ะ ไม่ต้องตอบข้า นั่นคือเรื่องที่นอกเหนือจากคำขอ เอาเป็นว่าหากเจ้านำลมหายใจสุดท้ายของเนเรียดมาให้ได้ล่ะก็ หนทางสู่แอตแลนติสก็อยู่ไม่ไกลเกินไขว้คว้า’

โคลลินน์หนุ่มไม่ได้ตอบกลับแม่มด แต่หลังจากนั้นเขาได้พรากเอาลมหายใจสุดท้ายของเอฟีเมร่านำมาใส่ขวดเพื่อเป็นบันไดสู่อำนาจในนครใต้น้ำ

แม้ว่าเขาจะไปถึงแอตแลนติสได้จริง แต่การไปถึงบัลลังก์เจ้าสมุทรก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด ไซคลอปส์หนุ่มพ่ายแพ้แก่ทหารยามและฮิปโปแคมปัสเพียงไม่กี่หยิบมือตั้งแต่หน้าประตูเมือง

เขาควรจะตายตั้งแต่ตอนนั้น ทว่ากลับได้เห็นแสงสว่างเหนือผิวน้ำ

‘โคลลินน์ผู้น่าสงสาร ท้องทะเลทอดทิ้งเจ้า โลกมนุษย์ทอดทิ้งเจ้า ท่านแม่ทอดทิ้งเจ้า ท่านพ่อก็ชิงชังเจ้า’

‘แต่อย่ากลัวไปเลย จากนี้เจ้าจะไม่อยู่อย่างเดียวดาย จงมาร่วมกันก่อตั้ง The Watcher’


‘ท่าน… คือใครกัน?’


‘จำนามนี้ไว้ให้ดี จากนี้ไป  ▓▓▓▓▓▓▓▓ จักเป็นบิดาของเจ้า มารดาของเจ้า และนายเหนือหัวสูงสุดของเจ้า จงละทิ้งนามเก่าไปเสีย แล้วเกิดใหม่ในชื่อ ‘ธาลาโคลน’ ผู้โกรธเกรี้ยวท้องทะเล’


‘ขอรับ ท่านพ่อ’

ภายใต้นามองค์กรเดอะวอชเชอร์ ธาลาโคลนรวบรวมมิตรสหายไซคลอปส์จำนวนมาก พวกเราอยู่กันเหมือนพี่น้อง เหมือนญาติมิตร กลมเกลียวกันเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกวันมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ สุขสบายด้วยการล่ามนุษย์กินกันจนอิ่มหนำ

ประกายความสุขปรากฏขึ้นบนดวงตาเพียงหนึ่งเดียว ทว่าภาพนั้นผันเปลี่ยนเป็นมืดมนในพริบตา เพราะดวงตาที่ถูกกรีดแทงกำลังจะตายอย่างสมบูรณ์ น้ำตาหยดสุดท้ายไหลคลอเบ้า


‘โปรดอภัย… ให้ข้า ทะ..ท่านพ่อ ▓▓▓▓▓▓▓▓’


จนทั้งหมดสูญสลายไปกับอากาศ ไม่เหลือทิ้งร่องรอยเจ้าของนาม ‘ผู้โกรธเกรี้ยวท้องทะเล ธาลาโคลน’ หรือแม้แต่ ‘ไซคลอปส์น้อยผู้อ่อนโยน โคลลินน์’



ความคิดเห็นผู้บันทึก
ผมบันทึกบทนี้ในฐานะผู้สังเกตการณ์
ตอนที่แมคซี่ทำข้อตกลงแลกตัวประกัน ตอนนั้นผมโกรธมากจริง ๆ นะ
หลังจากนี้หมอนั่นยังมีหน้ามาบอกว่ารู้สึกดีที่ผมกัดปากอีก
รู้งี้มันน่าจะลงโทษจูบปากสวย ๆ นั่นให้ช้ำจนพูดอะไรไม่ออกไปเลยจริง ๆ!

สรุปสถานการณ์
- มาที่บ้าน 666 ตามคำสารภาพจากสาวก The Watcher ตัวสุดท้ายที่เหลือ
- ชาร์ล็อตอยู่ที่นั่นจริงแต่เธอกำลังถูกยายแก่พาหนี ซึ่งยายคนนั้นความจริงคือรองหัวหน้ากลุ่มที่ชื่อว่า ธาลาโคลน
- แมคเคนซีท้าธาลาโคลนประลองเพื่อแลกเปลี่ยนตัวประกัน ทั้งสองต่อสู้กัน ผลออกมาคือชัยชนะของแมคเคนซี
- ก่อนร่างสลายธาลาโคลนนึกถึงเรื่องราวในอดีตแบบที่อสูรข้างขึ้นชอบทำกัน
- สายเลือดแห่งเฮคาทีทั้งสองทุ่มพลังในการซ่อมแซมเขตแดนบังตาให้กลับมาสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
- ดีน แมคเคนซี และชาร์ล็อต ออกจากถนนบูเลอวาร์ด ไปหาที่พักแรมในตัวเมืองเวสต์ฟิลด์
- รัสเซลรอก่อน เกือบจะถึงบทแล้ว อีกนิดส์เดียว

สรุปผลการต่อสู้

DEAN


**หินตีบวกตามเลขไบต์หลังสุด**

MACKENZIE

รองผู้นำลัทธิ The Watcher Lv. 85 [1]


สินสงคราม 

ตาไซคลอสป์ 1 ea

แก่นวิญญาณไซคลอปส์ 1 ea


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 133661 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-5-27 00:21
โพสต์ 133,661 ไบต์และได้รับ +1 Point จาก เข็มกลัดโพไซดอน  โพสต์ 2025-5-27 00:21
โพสต์ 133,661 ไบต์และได้รับ +4 เกียรติยศ +4 ความกล้า +4 ความศรัทธา จาก ล็อคเก็ตรูปหัวใจ  โพสต์ 2025-5-27 00:21
โพสต์ 133,661 ไบต์และได้รับ +20 EXP +40 เกียรติยศ +40 ความศรัทธา จาก กุหลาบสีน้ำเงินทอง  โพสต์ 2025-5-27 00:21
โพสต์ 133,661 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Hydro X  โพสต์ 2025-5-27 00:21

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่แห่งเกียรติยศ
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
แว่นตา
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
น้ำหอม Unisex
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x50
x1
x1
x1
x4
x1
x1
x1
x3
x1
x1
x1
x1
x2
x2
x1
x1
x1
x5
x4
โพสต์ 2025-6-1 23:14:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-6-2 00:00

V
เรื่องกังวลใจของบุตรแห่งจ้าวสมุทร
 Mackenzie Claude Lincoln 

-17.05.2025-

“สวัสดีครับ ผมอยากทราบข้อมูลการเดินเรือจากท่าเรือนิวยอร์กหรือว่านิวเจอร์ซีย์ก็ได้ ผมอยากจองห้องบนเรือสินค้าไปเอกวาดอร์ในช่วงอาทิตย์นี้หน่อยครับ ……… ไม่เป็นไรครับ ไปลงที่โคลัมเบียก็ได้ ………. โอ้! มีเหรอครับ ………… เรือออกจากท่าวันที่สิบเก้า ตอนสิบเอ็ดโมงสินะครับ แล้วถ้าผมจะจองห้องพักสำหรับสามคน ………. อะไรนะ? ต้องจองล่วงหน้าสามเดือนเลยเหรอครับ ………. อ่า… เดี๋ยวถ้าจองผมไปลงทะเบียนหน้าเว็บก็แล้วกันครับ ขอบคุณครับ บาย”

หลังตัดสายสมาร์ทโฟนดีนก็โยนมันทิ้งลงบนเตียงนอนของโรงแรมในเมืองเวสต์ฟิลด์อย่างไม่สนใจใยดี ใบหน้าหล่อเหลาบึนปากทำหน้ายุ่ง

นี่เป็นบริษัทเดินเรือแห่งที่สามแล้วที่ดีนโทรไปสอบถามข้อมูลการเดินทางโดยสารด้วยเรือสินค้า แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีบริษัทใดเลยที่เปิดรับจองคิวในเวลาเร่งด่วน ถ้าไม่ติดว่าภารกิจกู้โลกเป็นเหตุฉุกเฉิน เขาคงจองคิววันนี้ กลับไปค่าย แล้วรออีกสามเดือนค่อยออกมาขึ้นเรือ แต่หากทำแบบนั้นโลกอาจถึงคราวสูญสิ้นจากราชาแห่งปีศาจตั๊กแตนคืนชีพไปแล้วก็เป็นได้

“ฉันว่าเราคงต้องตัดใจจากเรือขนส่งสินค้าแล้วหาวิธีอื่นแทน”

แมคเคนซีที่นั่งฟังดีนเจรจากับบริษัทเดินเรืออยู่นานสองนานเสนอขึ้นมา ถึงจะบอกให้ลองคิดหาวิธีอื่นแต่ก็อาจใช้เวลานานพอ ๆ กันกับจองห้องพักบนเรือล่วงหน้าสามเดือน เพราะพวกเขามีข้อจำกัดด้านการเดินทางเรื่องการขึ้นเครื่องบินอยู่

“วิธีอื่นยังไง? นอกจากขึ้นเรือสินค้าก็มีเดินทางทางบก ซึ่งเราจะไปสุดกันได้แค่ปานามาแล้วก็ติดป่าที่กว้างร้อยไมล์  มีพวกแก๊งค้ายากับสัตว์ร้ายยุบยับคอยดักสอยพวกเราอยู่”

ไม่ใช่ว่าไม่เคยคุยเรื่องแผนการเดินทางกันมาก่อน มันเลยทำให้ดีนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาจากที่แย่เป็นทุนเดิม

“ไม่งั้นนายกับชาร์ล็อตก็ขึ้นเครื่องบินกันไปสองคน แล้วฉันหาวิธีเดินทาง ๆ น้ำเองคนเดียว กับแค่ว่ายน้ำหรือขอเกาะครีบโลมาไปมันคงไม่ได้ยากเย็นนักหรอก”

ที่น่าโมโหที่สุดก็คือการมีสายเลือด ‘โพไซดอน’ กลายเป็นตัวถ่วงของทุกคน เขารู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้ว

“ใจเย็น ๆ ดีน ฉันเข้าใจว่านายขึ้นเครื่องบินไม่ได้ และฉันก็ไม่ได้บอกว่าเราจะต้องขึ้นเครื่องบินไป…”

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอารมณ์เสียเรื่องอะไร แต่ตั้งแต่ออกมาจากบูเลอวาร์ดจนมาเข้าพักที่โรงแรม ดีนก็ดูไม่ร่าเริงเท่าไหร่ แมคเคนซีเองก็ยังไม่ได้มีโอกาสถามสักที แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากให้ดีนรู้สึกสงบกว่านี้จึงลุกไปกอดศีรษะของคนรักให้แนบกับตนเองไว้แล้วลูบผมเบา ๆ

“ฉันแค่คิดว่าถ้าไปเรือส่งสินค้าไม่ได้ เราลองไปด้วยเรือแบบอื่นแทนไหม ส่วนการเดินทางทางบกมันก็อันตรายอย่างที่นายว่า ถ้าไม่มีการปะทะ กว่าจะออกจากป่ามาได้เราก็อาจเป็นไข้ป่าไปก่อน”

จริง ๆ ก็แอบคิดว่าถ้าเช่าเรือสปีดโบ๊ทจะพอเป็นไปได้ไหม แต่ใครจะให้เช่าเรือขับไปไกลขนาดนั้น หรือจะบอกดีนว่าให้ลองไปยืมเรือยอร์ชเจโรมผู้เป็นน้องชายมันก็ดูจะเอิกเกริกไปสักหน่อย

ความอ่อนโยนของแมคเคนซีทำให้ดีนใจสงบลงไปได้หลายส่วน เขาสวมกอดเอวคนรักก่อนจะซุกหน้าซบลงไป

“เรือเช่าน่ะเหรอ… ตอนที่ลองหาคร่าว ๆ มันไม่มี….”

แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่การหาข้อมูลคร่าว ๆ จากอินเทอร์เน็ต ยังไม่ได้โทรไปสอบถามจริง ๆ เลยสักหน่อย ดีนสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะผ่อนออกยาว ๆ เขาคลายกอดจากคนรักแล้วหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาใหม่

“โอเคแมคซี่ ฉันจะลองอีกทีด้วยวิธีอื่น”

เวลานี้พวกเขาพักอยู่ในโรงแรมกันเป็นวันที่สองแล้ว เมื่อได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ร่างกายของดีนกับแมคเคนซีก็ค่อย ๆ ฟื้นฟูและแข็งแรงขึ้น แผลที่ท้องของแมคเคนซีเมื่อใช้เวทย์รักษาแล้วความเจ็บปวดก็ค่อย ๆ เบาบางลง เหลือเพียงรอยช้ำจาง ๆ ที่ต้องใช้เวลากว่าจะหายดี

ด้านบุตรเจ้าสมุทรเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยช้ำจากการถูกร่างเงาของเทพีเฮคาทีจับฟาดไปมาจนบ้านแทบจะพัง ทว่าดีนปฏิเสธเวทมนตร์รักษา เขาอยากให้คนรักเก็บพลังไว้ใช้กับมนตราบทอื่นที่มีความสำคัญมากกว่า ส่วนตัวเองบรรเทาปวดด้วยการประคบน้ำแข็งและแผ่นแปะเย็น

ส่วนชาร์ล็อตเองหลังจากได้ทานอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ นอกจากฟาสต์ฟู้ด ได้นอนบนเตียงนุ่มและมีผ้าห่มอุ่น ๆ คอยคลุมกาย ได้อาบน้ำสระผมจนตัวหอมฟุ้ง เธอก็ดูหน้าตาสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมา โดยคืนก่อนหน้านั้นเธอได้เล่าถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทีมทำภารกิจของเธอประสบพบเจอให้ฟัง

.


.


.

ย้อนความกลับไปเมื่อ 1-2 วันก่อนหน้า

สามเดมิก็อดเข้าพักโรงแรมในตัวเมืองเวสต์ฟิลด์ที่ไม่ห่างไกลจากถนนบูเลอวาร์ดมากเท่าไร ห้องพักเป็นห้องสวีทเตียงคู่ขนาดควีนไซส์พักอาศัยได้สามคนแบบสบาย ๆ สุขภาพของชาร์ล็อตยังค่อนข้างแย่ แค่เธอเดินทางมาได้ขนาดนี้คงฝืนขีดจำกัดอย่างที่สุดแล้ว จึงไม่อาจแยกห้องนอน ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดกันไปก่อน

บอกตามตรง… พอเจอของจริงแล้วก็ทำอะไรไม่ค่อยถูก

ดีนพอจะหาข้อมูลมาบ้างว่าต้องดูแลคนที่ถูกลักพาตัวมาอย่างไรหากถูกขังอยู่ที่มืดเป็นเวลานานดวงตาอาจปรับโฟกัสแสงไม่ทันเมื่อมาเจอแสงแดด การถูกมัดให้อยู่ในท่าเดียวเป็นระยะเวลานาน ๆ ทำให้การไหลเวียนโลหิตบกพร่อง เส้นประสาทถูกกดทับ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และข้อกระดูกติด จำเป็นต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกาย

ในกรณีของชาร์ล็อตสิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดคือกล้ามเนื้อการพูดและการออกเสียงฝ่อจากการถูกรัดปาก เธอน่าจะถูกปล่อยให้ปากมีอิสระแค่ตอนรับประทานอาหารเพียงเท่านั้น ไหนจะภาวะการขาดแคลนสารอาหารและผลกระทบด้านจิตใจอีก ที่ผ่านมาสาวกลัทธิเดอะวอชเชอร์ทำอะไรเธอบ้างก็ไม่รู้

“ชาร์ล็อต เธอโอเคนะ พวกมันไม่ได้ทำร้ายอะไรเธอใช่ไหม?”

สิ้นคำถามน้องสาวบ้านเฮคาทีก็สะอื้น นั่นทำให้ดีนหวนนึกย้อนไปถึงไพ่ทาโรต์ที่เปิดได้

‘ความหมายของ ไพ่เดอะเดวิล คือ การจองจำ ความยึดติด ความหลงใหล ความงมงาย เรื่องผิดศีลธรรม’

“ไอ้ไซคลอปส์เวรพวกนั้น!” ชายหนุ่มกำหมัดแน่น

“นายอย่าเพิ่งคิดไปไกลสิ ฟังชาร์ล็อตเล่าก่อน”

แมคเคนซีรีบปรามดีนไว้เมื่ออีกฝ่ายดูจะหัวร้อนขึ้นมา หากไซคลอปส์พวกนั้นทำรุนแรงจริง ๆ ค่อยไปล้างแค้นทีหลังก็ยังไม่สาย แต่ก็นั่นแหละ…รอฟังให้จบก่อนดีกว่า

“ทำไมนายยังใจเย็นอยู่ได้ นั่นน้องสาวนายนะ!”

ดีนหันไปโวยใส่แมคเคนซีแทน เหมือนว่าตอนนี้แฟนหนุ่มได้กลายเป็นเหยื่ออารมณ์แทนไซคลอปส์

“มะ.. ไม่ได้ทำค่ะ” ชาร์ล็อตรีบแทรกขึ้นก่อนที่พี่ชายทั้งสองจะตีกันโดยที่มือยังปิดหน้าร้องไห้อยู่ “พวกมัน…บังคับให้หนูใส่ชุดประหลาด ๆ … รองหัวหน้าตัวที่เป็นป้า… มันบอกว่าถ้าหนูแต่งตัวแบบนี้…แล้วจะสวย… แต่หนูว่ามันแปลก… แล้วก็…พวกมันให้หนูกินแต่ชีสเบอร์เกอร์ทุกวัน…ไม่มีเมนูอื่นให้กินบ้างเลย”

“บังคับให้แต่งตัวประหลาด… งี้เอง ในฝันถึงได้เห็นเธอใส่ชุดเจ้าสาว แล้วเธอยังอยู่ในชุดพยาบาลอีก”

ว่าไปเจ้าพวกนั้นก็ไม่ได้ทารุณกรรมเหยื่อบูชายัญมากเท่าไหร่ ถ้าสิ่งที่มันทำกับเธอจะมีเพียงแค่เท่านี้นะ..

แต่ว่าหญิงสาวยังคงร้องไห้ไม่หยุดจนแอบคิดว่ามีอย่างอื่นอีกหรือเปล่า

“..…..”

แมคเคนซีที่ฟังมาถึงตรงนี้ได้แต่เหลือบมองคนรักของตัวเองนิดหน่อย ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมการที่ต้องการรับฟังให้จบก่อนถึงโดนดุว่าใจเย็น ทั้งที่นั่นเป็นนิสัยของเขาอยู่แล้ว…แต่ก็ช่างเถอะ เขายักไหล่เล็กน้อยแล้วฟังน้องสาวเล่าต่อ

“พวกหนู…มาทำภารกิจ เรามาสำรวจ…ที่บูเลอวาร์ดกันหลายวัน พี่ไฮรี่..วางแผนนัดนายหน้าขายบ้าน..แต่เขาไม่มาค่ะ เขาบอกว่าภรรยาของเขาที่เป็นคนนัดกับ..พวกเรา ประสบอุบัติเหตุ ไม่กี่วันหลังจากนั้น พวกหนูก็…มา..สำรวจที่บ้านหลังนั้นอีก แต่พวกเราถูกพวกอสุกายลัทธิเดอะวอชเชอร์ดักโจมตี พวกมันทำร้ายพี่อาร์ตี้กับพี่ไฮรี่..ฮึก…พี่อาร์ตี้หนีไปได้ แต่พี่ไฮรี่..หนู…หนูไม่รู้..ฮึก หนูโดนจับตัวไว้…แล้วมันก็พาหนูไปขังไว้ในห้องใต้ดิน…”

พอพูดถึงสมาชิกอีกสองคนจากบ้านเฮอร์มาโฟร์ไดตัส ชาร์ล็อตก็ร้องไห้หนักกว่าเก่า ภาพเหตุการณ์นั้นคงสร้างความสะเทือนใจให้เธอเป็นอย่างมากจนแมคเคนซีต้องลูบผมเพื่อปลอบโยนน้องสาวของตนเอง ซึ่งคำบอกเล่าของชาร์ล็อตก็ตรงตามคำทำนายที่ดีนได้รับ

‘หนึ่งจมในห้วงลืมเลือนนิจนิรันดร์ หนึ่งถูกจองจำ’ และ ‘หนึ่งชีพดับสูญ’

ซึ่งเขาหวังให้คำทำนายเรื่องการดับสูญของไฮรี่นั้นไม่เป็นความจริง

“สองคนนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ เราพอจะช่วยอะไรพวกเขาได้บ้างหรือเปล่า…”

แม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ก็อดที่จะเป็นห่วงเพื่อนร่วมค่ายไม่ได้ ชะตากรรมของทั้งสองแขวนอยู่บนเส้นด้าย เผลอ ๆ อาจมีเส้นหนึ่งขาดไปแล้วด้วยซ้ำ ตามข้อความของคำทำนาย แต่มันคิดเป็นอื่นไม่ได้เลยจริง ๆ ในเมื่อเหยื่อบูชายัญมีเพียงธิดาแห่งเฮคาที แล้วแบบนี้ไฮรี่ที่ถูกทำร้ายจะไปอยู่ไหน ซึ่งพวกเขาลืมความจริงข้อหนึ่งไปไม่ได้

เดมิก็อดคือแหล่งพลังงานชั้นดีของอสุรกาย

“อาร์ตี้หนีไปได้…อาจเป็นไปได้ว่าตอนนี้คงปลอดภัยอยู่ที่ไหนสักที่ แต่ไฮรี่…”

แมคเคนซีเงียบไปเล็กน้อยเพื่อนึกอะไรบางอย่าง

“พวกเรามีทักษะติดต่อสื่อสารกับวิญญาณใช่ไหม ตั้งแต่วันที่ถูกจับ เห็นวิญญาณหรือสื่อถึงไฮรี่ได้บ้างหรือเปล่า”

เขาพยายามถามถึงความเป็นไปได้ แม้จะมีเพียงน้อยนิดก็ตาม หากสถานการณ์เลวร้ายที่สุดคือไฮรี่เสียชีวิตตามคำทำนาย ชาร์ล็อตที่ได้ชื่อว่ามีซิกเซ้นส์แรงที่สุดในบ้านอาจเห็นวิญญาณของบุตรแห่งเฮอร์มาโฟร์ไดตัสบ้างก็เป็นได้

“ไม่ค่ะ…หนูไม่เห็น ตลอดเวลามานี้…หนูติดต่อสื่อสารกับพี่ไฮรี่..หรือพี่อาร์ตี้ไม่ได้เลย”

ชาร์ล็อตส่ายหน้าไปมาช้า ๆ

“งั้นก็แปลว่า ไม่แน่ว่าไฮรี่อาจยังมีชีวิตอยู่”

ถึงความหวังจะมีเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์แต่แมคเคนซีก็ยังอยากจะเชื่อเช่นนั้น

“ต้องมีสิ ต้องมีชีวิตอยู่แหล่ะ…”

ดีนเม้มปาก แม้จะดูไม่มีหวังแต่อย่าเพิ่งละทิ้งความหวังไปก่อน

“แล้ว… เนื้อหาภารกิจของพี่ดีน…ว่ายังไงบ้างเหรอคะ?” ชาร์ล็อตถาม

“โอ้ ฉันเกือบลืมไปเลย เธอยังไม่รู้เนื้อหาภารกิจใหม่สินะ นี่คือเทปที่ฉันอัดไว้ตอนคุยกับคุณไครอน เรามาฟังกันอีกที นายอย่าเพิ่งเบื่อนะแมคซี่”

หนุ่มโพไซดอนกล่าว สำหรับชาร์ล็อตคือครั้งแรก แต่สำหรับแมคเคนซีและดีนฟังวนซ้ำตอนคิดแผนเดินทางกันมาเป็นสิบรอบ หนุ่มเท็กซัสหยิบสมาร์ทโฟนที่อัดเสียงการสนทนาออกมา จากนั้นกดเล่นให้ได้ฟังกันอีกครั้งจนจบ แล้วภายในห้องก็ปกคลุมด้วยความเงียบ…

“หนึ่งชีพดับสูญ…หนึ่งจมในห้วง…ลืมเลือนนิจนิรันดร์”

ชาร์ล็อตพึมพำด้วยริมฝีปากแห้งผาก น้ำตากลับมาคลอเบ้าอีกรอบ เธอดึงหมอนมากอดก่อนจะซุกหน้าลงไป แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้ร่วมเดินทาง แต่โศกนาฏกรรมครั้งนั้นทำให้สาวน้อยสะเทือนใจเป็นอย่างมาก

“ในภารกิจไม่ได้บอกวิธีช่วยสองคนนั้นเลยแฮะ…” ดีนพึมพำ แต่เมื่อเห็นท่าทีของชาร์ล็อตเขาก็รีบพูดเสริม “แต่ว่าตอนที่เคยไปทำภารกิจเดี๋ยวมันจะมีอะไรที่นอกเหนือคำทำนายโผล่ออกมาให้เราเจอเอง ไม่แน่ว่าเราอาจช่วยสองคนนั้นสำเร็จกลางทางก็ได้

“อืม…พี่เห็นด้วยกับดีนนะ คำทำนายบางทีก็ไม่ได้บอกทั้งหมดหรอก”

เห็นท่าทางแบบนั้นของน้องสาวแมคเคนซีก็ยิ่งไม่อยากทำตัวอ่อนแอให้เห็น เขานั่งลงข้างชาร์ล็อต มือยังคงลูบผมที่ตอนนี้ยาวเลยกลางหลังอยู่ไม่ห่าง

“พอได้ฟังคำทำนายของดีนแล้ว ชาร์ล็อตพอมีข้อมูลหรือได้ยินอะไรเกี่ยวกับภารกิจนี้เพิ่มเติมบ้างไหม”

แม้จะยังเป็นกังวลกับสองเดมิก็อดบ้านเฮอร์มาโฟร์ไดตัสแต่เวลานี้ภารกิจของพวกเขายังต้องดำเนินต่อไป ซึ่งชาร์ล็อตที่ถูกจับตัวอยู่ในถิ่นของศัตรูมาเกือบแรมปีอาจพอมีเบาะแสอะไรบ้างก็ได้

ธิดาเฮคาทีสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วพยักหน้าหงึก ๆ มือบอบบางปาดหยาดน้ำใสที่ไหลออกจากตา

“ฮื่อ…หนูได้ยิน..พวกไซคลอปส์คุยกันตอนเอาอาหารมาให้..มันบอกว่าจะเก็บหนูไว้ทำพิธีบูชายัญ…เพื่อปลุกใครสักคนให้ตื่น..ขึ้นมา…วันครีษมายัน ภูเขาไฟที่อเมริกาใต้

“ก็น่าจะเป็นอะพอลลีออน ปีศาจร้ายในภัยพิบัติสิบประการที่มาพร้อมกับฝูงแมลง ส่วนภูเขาไฟที่อเมริกาใต้… พอจะมีข้อมูลเจาะจงนอกเหนือไปกว่านั้นไหม?” ดีนถาม

“ไม่.. ไม่รู้เลยค่ะ…หนูได้ยินมันพูดแค่ว่า…ดินแดนแห่งภูเขาไฟ…ที่อเมริกาใต้”

ชาร์ล็อตตอบกลับทำเอาต้องมาขบคิดต่อ

“คุณไครอนให้เบาะแสมาแค่สามที่ซะด้วยสิ เราอาจต้องไล่หากันไปทีละที่… งานงอกของจริง หวังว่าเบาะแสจะมาระหว่างการเดินทาง…

“ตอนนี้แผนที่จะใช้ชาร์ล็อตเป็นเครื่องบูชายัญของพวกมันก็ล้มเหลวไปแล้ว คงพอถ่วงเวลาได้อีกหน่อย ตอนนี้แค่ต้องหาวิธีที่จะไปเอกวาดอร์ให้ได้เท่านั้น แต่นี่ก็ค่ำแล้ว พวกบริษัทเรือคงปิดทำการกันหมด ไว้พรุ่งนี้เราค่อยคิดกันต่อว่าจะเอายังไงก็แล้วกัน คืนนี้พักผ่อนกันก่อนเถอะ”

แมคเคนซีที่เงียบฟังอยู่สักพักบอกขึ้นมา ดูท่าว่าภารกิจและปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญตอนนี้ค่อนข้างหนักหนาเอาการ คิดมากตอนนี้ก็คงยังทำอะไรไม่ได้ สู้เอาเวลาไปพักผ่อนเอาแรงแล้วพรุ่งนี้ค่อยตื่นมาระดมสมองกันต่อดีกว่า เมื่อตกลงกันได้เช่นนั้น ทั้งสามคนก็แยกย้ายกันไปนอน (โดยที่ดีนกับแมคเคนซีแยกย้ายไปนอนเตียงเดียวกัน)

.


.


.

ตัดกลับมาปัจจุบัน

“.........เช่าเรือไปได้แค่บาฮามาสเองเหรอ?.. เอ่อ เดี๋ยวผมขอพิจารณาอีกทีก็แล้วกัน”

แม้แต่บริษัทเช่าเรือก็ไม่มีหวัง ด้วยความที่ระยะทางของพวกเขานั้นไกลเกินไป ไกลจนเรียกว่าข้ามทวีปก็ได้

“บริษัทนี้ก็ไม่ได้เลยแมคซี่”

ดีนกล่าวด้วยน้ำเสียงสิ้นหวังหลังจากที่เขาโทรไปบริษัทเช่าเรือแทบทุกแห่งในนิวยอร์กหรือแม้แต่นิวเจอร์ซีย์ ตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ในภาวะเครียดสุดขีดจนรู้สึกปวดไมเกรนตุ้บ ๆ เขาควรได้พักสักหน่อย การออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกน่าจะเป็นหนทางการผ่อนคลายตัวเองได้ดีกว่าอุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้

“ฉันว่าจะออกไปซื้อของ มีใครอยากได้อะไรไหม?

“กะแล้วเชียว…”

แมคเคนซีถอนหายใจ แต่ก็เข้าใจดีด้านระยะทางที่ไกลเกินไป เลยไม่ได้รู้สึกผิดหวังเท่าไหร่

“ฉันไม่เอาอะไร นายรีบไปรีบกล—”

“หนูเอาค่ะ”

ชาร์ล็อตรีบยกมือขึ้นบอกทั้งที่พี่ชายยังพูดไม่ทันจบ

“หนูอยากได้ เยลลี่รสองุ่น โยเกิร์ตรสธรรมชาติ น้ำส้ม น้ำแอปเปิ้ล ล..แล้วก็…ครัวซองก์ นมจืดกับซีเรียลค่ะ”

ถึงจะยังพูดได้ไม่เป็นปกตินักแต่หญิงสาวก็พรั่งพรูเมนูมามากมายจนแมคเคนซีมองด้วยความตกใจระคนสงสัย

“หิวเหรอชาร์ล็อต ฝากซื้อซะเยอะเชียว”

“อะ..ใช่ค่ะ คือว่ามื้อเช้าหนูกินไม่ค่อยอิ่ม แล้วก็…ไม่ได้กินอย่างอื่นนอกจากชีสเบอร์เกอร์ตั้งนาน เลยอยากกินอย่างอื่นบ้าง พี่แมค..พี่แมคไปช่วยพี่ดีนถือของหน่อยสิคะ”

ชาร์ล็อตพยักหน้ารัวก่อนจะยิ้มเล็กน้อยอย่างเขินอาย…ซึ่งพี่ชายอย่างแมคเคนซีก็เชื่อสนิทใจ

“ก็ได้ แต่อยู่ห้องคนเดียวได้เหรอเราน่ะ”

ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นห่วงน้องสาวอยู่ ด้วยสภาพร่างกายที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เธออาจยังทำอะไรไม่ถนัด

“ได้ค่ะ..หนูอยู่ได้ หนูว่าจะนอนพักสักหน่อย…พี่ ๆ ไม่ต้องห่วงนะคะ”

พอได้ยินว่าอยากพักผ่อน แมคเคนซีจึงไม่คิดเซ้าซี้เธออีก การต้องอยู่กับชายหนุ่มถึงสองคน แม้จะได้ชื่อว่าเป็นพี่ชาย แต่ชาร์ล็อตก็โตเป็นสาวแล้ว บางทีเธอคงอยากมีช่วงเวลาส่วนตัวบ้าง

“โอเค งั้นล็อคห้องดี ๆ นะ อย่าเปิดประตูให้ใครนอกจากพวกพี่ ไปกันเถอะดีน”

หนุ่มอังกฤษหันไปบอกคนรักแล้วลุกไปหยิบกระเป๋าตังค์กับสมาร์ทโฟน โดยไม่ลืมหยิบกระบอกซูมที่มีคทาเวทย์อยู่ภายในสะพายหลังไปด้วย

“แน่ใจเหรอว่าไม่ต้องอยู่คอยดูแลชาร์ล็อต ไม่รู้ยังมีเจ้าพวกนั้นหลงเหลืออยู่ในเมืองนี้หรือเปล่า”

ดีนยังรู้สึกไม่วางใจแม้ที่ผ่านมาสองวันทุกอย่างดูปกติสุขไม่มีภัยร้ายระรานตั้งแต่เข้าพักในโรงแรมแห่งนี้ แต่มันจะเป็นการเงียบเพื่อรอให้พายุใหญ่ก่อตัวขึ้นมาหรือเปล่า อสุรกายเจ้าเล่ห์เหล่านั้นมันไว้ใจได้ที่ไหนกันเชียว

“จริง ๆ ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ของเยอะขนาดนั้นนายถือไหวหรือเปล่า”

แมเคนซีที่ถูกดีนเบรคไว้ชะงักไปแล้วหันมาถาม เหมือนว่าเริ่มจะไม่รู้แล้วว่าตอนนี้ควรเอาตนเองไปไว้ตรงไหน

“หนูอยู่ได้…จริง ๆ นะคะ มินิมาร์ทก็อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง”

ชาร์ล็อตพูดยืนยันขึ้นมาอีกครั้ง แมคเคนซีจึงมองไปที่ดีนว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจอย่างไร

หนุ่มเท็กซัสโคลงหัวมองชาร์ล็อตที่ยืนยันแบบนั้น ถ้าตอนนี้หญิงสาวมีร่างกายที่ปกติ น่าจะได้เห็นภาพเธอดันหลังพี่ชายให้ออกไปแน่ ๆ บางทีชาร์ล็อตอาจจะแค่อยากมีเวลาอยู่กับตัวเองเพียงลำพังก็ได้มั้ง

“ก็ได้แมคซี่ เผื่อฉันจะซื้อเบียร์มากินซักโหลนายจะได้ช่วยถือ”

กล่าวจบเขาก็เดินออกจากห้องไปก่อนแล้วรอหน้าห้องพัก

“ชาร์ล็อตเอามือถือพี่ไว้นะ รหัสคือ $#&^!& ถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่ดีนทันทีเลยรู้ไหม”

แมคเคนซีให้สมาร์ทโฟนเดดาลัสของตนเองไว้กับน้องสาวใช้แทนของเธอที่แบตหมดไปเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วรีบตามดีนออกมา

“ไปกันที่รัก ให้ตายสิ ไม่ยักรู้ว่านายดื่มเบียร์เป็นโหลตอนทำภารกิจด้วย ระวังจะเมาเอาล่ะ”

เขากอดคอดีนไว้แล้วแกล้งพูดหยอกพลางพากันเดินไปขึ้นลิฟต์ พยายามทำตัวอเลิร์ทเข้าข่มความนิ่งเงียบอันผิดปกติของดีน

“ฉันก็แค่พูดเล่น คิดว่านายจะห้ามซะอีก งั้นเอาจริงเลยแล้วกัน”

ดีนยิ้มน้อย ๆ ให้แมคเคนซีที่เข้ามากอดคอ 

“ห้ามได้ไหมล่ะ ถ้าห้ามได้ฉันก็จะห้ามตอนนี้เลย”

พอประตูลิฟต์เปิดที่ชั้นหนึ่ง พวกเขาก็เดินออกไปยังมินิมาร์ทที่อยู่ถัดไปหนึ่งช่วงตึก

.


.

ตื๊อ~ตืด~

เสียงสัญญาณหน้าประตูมินิมาร์ทดังขึ้นเมื่อมันเปิดออกและทั้งสองก็เดินเข้าไป

“เมื่อกี้น้องนายบอกว่าจะเอาอะไรบ้างนะ เยลลี่? โยเกิร์ต? น้ำส้ม? นม?” 

ดีนกล่าวขณะหยิบตะกร้าขึ้นมา

“เยลลี่รสองุ่น โยเกิร์ตรสธรรมชาติ น้ำส้ม น้ำแอปเปิ้ล ครัวซองก์ นมจืด ซีเรียล”

แมคเคนซีพูดตามที่ชาร์ล็อตบอกตรงตามลำดับทุกอย่างแล้วเริ่มจากหยิบสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุดก่อนก็คือซีเรียล

“นายเอาด้วยไหม

“จำเก่งดีแฮะ”

ทั้งที่ปกติเป็นคนความจำดี แต่ดีนในตอนนี้เหมือนอยู่ในภาวะสมองตีบตัน จำไม่ได้นึกไม่ออก ขนาดจะซื้ออะไรเขายังหยุดอยู่หน้าชั้นวางของอยู่ตั้งนาน พอแมคเคนซีเรียกถามเขาก็ย่นจมูกเล็กน้อยพร้อมกับส่ายหัว

“ไม่อ่ะ กินแค่มื้อเช้าของโรงแรมก็พอแล้ว

“ตอนทำงานที่คลับฉันต้องจำออเดอร์ลูกค้าตั้งเยอะแยะ อย่างเช่นโอลด์แฟชั่น เน้นหวาน ไม่เอาเข้ม…”

อดีตบาร์เทนเดอร์บอกพลางเหลือบมองคนข้างตัวแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย เขายังจำวันแรกที่เจออีกฝ่ายได้ดี ฝ่ามือใหญ่คว้ามือคนรักพาเดินมายังโซนเบเกอร์รี่ หยิบครัวซองก์เนยสดใส่ตะกร้าแล้วจูงมือต่อมายังโซนตู้แช่เครื่องดื่มอย่างกับเจ้าของพาเจ้าหมาตัวโตมาทัวร์มินิมาร์ทไม่มีผิด

“หมู่นี้นายดูไม่ค่อยร่าเริงเลยนะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

อยู่ ๆ แมคเคนซีก็ถามขึ้นมาขณะที่เปิดตู้หยิบน้ำผลไม้ เขาเลือกที่จะถามด้วยน้ำเสียงปกติและไม่จริงจังจนเกินไปด้วยไม่อยากให้ดีนรู้สึกกดดันที่จะต้องเล่าสิ่งที่อยู่ภายในใจออกมา

เรื่องเก่า ๆ ที่แมคเคนซีขุดขึ้นมาทำให้ดีนยิ้มออก

บางทีเขาก็อยากจะหวนคืนกลับไปในช่วงเวลาก่อนรู้ว่าตัวเองคือเดมิก็อดเหมือนกัน อย่างน้อยงานวิจัยเรื่อง ‘จุลินทรีย์ใต้ทะเลลึกที่สามารถผลิตเอนไซม์กลุ่มไฮโดรเลสชอบอุณหภูมิสูง และมีความเสถียรในตัวทำละลายอินทรีย์ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้เป็นแหล่งผลิตตัวเร่งปฏิกิริยาทางชีวภาพชนิดใหม่’ ที่ทำเอาดีนน้ำตาตกไปหลายรอบก็ยังไม่บั่นทอนมากเท่าภารกิจเดินทาง

“มองออกด้วยแฮะ ฉันดีใจนะที่นายยังไม่ลืมสกิลของบาร์เทนเดอร์ไปซะหมด”

สายตาจดจ้องไปยังเบียร์ที่วางเรียงอยู่ในตู้แช่เครื่องดื่ม จากนั้นมองไปที่แมคเคนซีเหมือนหมาขอของกินเจ้าของ

“ฉันดื่มได้ไหม?”

“บอกแบบนี้แปลว่ามี ?…ยังไม่ลืมหรอก ฉันชงเหล้าให้พ่อตั้งแต่อยู่กลอสเตอร์เชียวนะ”

รอยยิ้มเล็ก ๆ ประดับตรงมุมปากให้กับเรื่องที่ไม่น่าอวดเท่าไหร่ ก่อนจะมองหน้าดีนแล้วพยักหน้า

“อืมฮึ…แน่นอน นายดื่มได้ที่รัก แต่อย่าให้ถึงขั้นเมา แค่สาม…ไม่สิ หนึ่งถึงสองกระป๋องก็พอ อย่าลืมว่าพวกเรามีเรื่องต้องทำต่อ”

เขารู้ดีว่าดีนไม่มีทางลืม แต่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายดื่มเกินขนาด ส่วนเรื่องไม่สบายใจนั้นก็ยังเลือกที่จะไม่คาดคั้นตอนนี้แม้จะสงสัยเสียเต็มประดา รอให้ดีนสบายใจที่จะเล่าออกมาเองคงดีกว่า

“อยากกินเหล้าฝีมือนายอีกจัง อุตส่าห์ได้บาร์เทนเดอร์ที่ทำโอลด์แฟชั่นได้ถูกใจทั้งที ยังใช้งานไม่คุ้มเลย”

พอแมคเคนซีอนุญาตดีนก็หยิบเบียร์ใส่ตะกร้าสามกระป๋อง โดยชูกระป๋องสุดท้ายพร้อมอ้าง

“กระป๋องนี้เอาไว้กินหลังคิดงานไม่ออกจริง ๆ”

พูดจบก็วางกระป๋องนั้นลงในตะกร้า จากนั้นหยิบเครื่องดื่มอื่นเพิ่มอีกสองสามอย่างแล้วมูฟไปที่ชั้นวางอื่น

“ไว้คุณดีจัดปาร์ตี้ที่ค่ายอีก ฉันทำให้นายได้นะ”

น่าเสียดายที่ค่ายฮาล์ฟบลัดมีแต่คาเฟ่อเมซอน ถ้ามีบาร์ด้วยก็คงดี เขาจะได้เคาะสนิมทักษะบาร์เทนเดอร์ของตัวเองสักหน่อย แต่ก็อย่างว่า ค่ายที่มีแต่เยาวชนเป็นส่วนใหญ่จะมีบาร์ไปทำไมกันล่ะ

ดวงตาสีเปลือกไม้จดจ้องแผงขายบุหรี่อยู่ครู่หนึ่ง ปกติดีนไม่ใช่คนสูบบุหรี่ แต่เขาก็เคยพึ่งพานิโคตินในช่วงเรียน สูบเล็กน้อยก่อนสอบให้สมองปลอดโปร่ง แล้วก็สูบหนักหน่อยตอนที่ปวดหัวกับงานวิจัย

“แล้วนี่… สูบได้ไหม? สัญญาว่ากลับไปห้องแล้วจะรีบอาบน้ำแล้วเอาเสื้อผ้าไปซัก น้องสาวนายจะไม่ได้กลิ่นบุหรี่แน่นอน

“…ก็…ได้ ถ้านายบอกว่างั้น แล้วก็แปรงฟันด้วย เผื่อฉันอยากจูบนายขึ้นมา”

แมคเคนซีชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นซองบุหรี่ในมือดีน ไม่ใช่ว่าไม่ชอบแต่เรียกว่าแปลกใจน่าจะถูกกว่า เมื่อตอนที่พวกเขารู้จักกันตั้งแต่ก่อนมาเจอกันอีกครั้งที่ค่ายฮาล์ฟบลัด บางครั้งดีนก็หอบงานวิจัยมาทำที่ห้องของเขา แม้บางคราวจะมีกลิ่นบุหรี่ติดเสื้อผ้ามาบ้าง พอถามเจ้าตัวก็ยอมรับแบบไม่ปิดบังว่าสูบเวลาเครียด แต่เขาไม่เคยเห็นดีนสูบมันอีกเลยหลังจากมาอยู่ที่ค่าย

‘หมอนี่เครียดเรื่องอะไรขนาดนั้นกันแน่’

พอคิดแล้วหัวคิ้วของแมคเคนซีก็ขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว

“โอเค ฉันจะขัดตัวทุกซอกทุกมุมให้สะอาดเอี่ยมเลยที่รัก”

เห็นหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของแมคเคนซีก็ยิ้มออกมาบาง ๆ ดีนพูดติดตลกไม่ให้อีกฝ่ายใส่ใจกับอาการเครียดของตัวเองมากนัก

“หรือว่านายจะช่วยมาขัดฉันก็ไม่ปฏิเสธ” ดีนยักคิ้วให้ “นายจะเอาอะไรอีกไหม จ่ายเงินกันเลยหรือเปล่า ?

แมคเคนซีมองดีนที่แกล้งทำเป็นติดเล่นแล้วถอนหายใจบาง ๆ ก่อนจะส่ายหน้า

“ฉันไม่เอา แค่มาช่วยนายถือของกับซื้อของให้ชาร์ล็อต…”

เขาวางมือบนบ่าดีนแล้วบีบเบา ๆ มองเข้าไปในดวงตาสีเปลือกไม้คู่นั้นด้วยแววตาจริงจัง

“ดีน…ฉันขออะไรอย่าง หลังนายสูบบุหรี่เสร็จแล้ว ช่วยบอกเรื่องที่นายไม่สบายใจให้ฉันฟัง…ได้ไหม”

หนุ่มอังกฤษขบฟันกับริมฝีปากล่างที่เพิ่งถูกดีนกัดจนได้แผลเล็ก ๆ เมื่อวันก่อน จากนั้นก็ฉวยซองบุหรี่ในมืออีกฝ่ายมาใส่ไว้ในตะกร้าก่อนผละไปหยิบเยลลี่กับโยเกิร์ตต่อจนได้ของที่น้องสาวฝากซื้อจนครบทุกอย่างแล้วเดินไปเข้าคิวจ่ายเงินโดยไม่รอให้คนรักตอบตกลง

เพราะไม่ว่ายังไงดีนก็ต้องเล่า ใช่…ตอนนี้แมคเคนซีแทบจะใจเย็นไม่ไหวอีกต่อไป แต่ก็ยังพยายามอดทนอยู่

“....”

ดีนนิ่งไปเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่าแมคเคนซีกำลังโมโหอยู่ ตั้งแต่คบกันมาอีกฝ่ายไม่เคยฉุนเฉียวใส่เขาเลยสักครั้งไม่ว่าเขาจะทำตัวงี่เง่าแค่ไหน แต่ครั้งนี้ตนคงทำตัวเหลือทนจริง ๆ คนใจเย็นอย่างแมคเซนซีถึงได้หน้าเครียดแบบนี้ จากทำเป็นตลกเลยสลดในทันที

“ได้สิที่รัก แล้วฉันจะบอกนายทุกเรื่องที่ไม่สบายใจเลย”

ดีนตอบเสียงเบา ไม่รู้ว่าแมคเคนซีจะได้ยินหรือเปล่า จากนั้นเดินตามไปที่แคชเชียร์เงียบ ๆ จนจ่ายเงินเสร็จก็ออกจากร้านกัน

.


.

“นายอยากกลับไปก่อนไหมแมคซี่ เดี๋ยวฉันสูบเสร็จแล้วจะตามไป”

ดีนยกกำปั้นขึ้นชี้นิ้วโป้งไปทางจุดสูบบุหรี่ที่อยู่ในตรอกข้างร้านสะดวกซื้อ อีกฝ่ายเคยทำงานกลางคืน น่าจะคุ้นเคยกับกลิ่นนี้ดี แต่เขาไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะชอบหรือเปล่า

“ไม่เป็นไร ฉันรอได้”

แมคเคนซีมองไปยังตรอกที่ดีนชี้แล้วส่ายหน้า เขาไม่ได้รังเกียจคนสูบบุหรี่ แต่ด้วยความเป็นคนเนี้ยบติดสะอาดเลยไม่ค่อยพึงใจเวลามีกลิ่นเขม่าควันติดเสื้อผ้า ซึ่งนั่นก็รวมถึงกลิ่นบุหรี่ด้วย

และแน่นอน…ดีนคือข้อยกเว้น


“นอกจากว่านายอยากอยู่คนเดียวเหมือนชาร์ล็อต ฉันจะรออยู่ตรงหน้ามินิมาร์ทก็ได้

“ก็ไม่ได้อยากอยู่คนเดียวขนาดนั้น งั้นก็กลับพร้อมกัน”

พูดจบก็เดินนำไปยังจุดสูบบุหรี่ หยิบพาร์เลียเมนต์ไลท์ออกมาจากถุงมินิมาร์ท เปิดซองคีบมวนบุหรี่ออกมาคาบไว้แล้วจุดไฟแช็คที่พกไว้เสมอเผื่อต้องต่อสู้กับอสุรกายอย่างไฮดร้า ดีนสูดกลิ่นหอมของใบยาสูบอ่อน ๆ ที่สะอาดเหมือนกับหน้าหนังสือ เขาไม่ชอบอ่านหนังสือแต่การได้สูดกลิ่นแบบนี้เข้าไปก็ไม่เลวนัก สารนิโคตินที่เข้าสู่ร่างกายช่วยทำให้สมองของเขาปลอดโปร่งขึ้นได้นิดหน่อย

โครมมม!!

ยังไม่ทันได้ซึมซับมะเร็งเข้าไปในปอดอย่างจุใจ บางสิ่งจากฟากฟ้าก็บินโฉบลงมาชนดีนกระเด็นล้มแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งข้าวของที่ซื้อมาและบุหรี่ในมือกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง บุตรแห่งโพไซดอนรีบลุกขึ้นมาพร้อมกับเปลี่ยนกำไลเป็นดาบตรีศูลเผชิญหน้ากับภัยร้ายที่รุกคืบเข้ามา มันคืออสุรกายไม่ผิดแน่ เจ้าสัตว์ประหลาดตรงหน้าคล้ายกับตัวที่แมคเคนซีปะทะด้วยเมื่อวันก่อนบนถนนบูเลอวาร์ด

“ตัวอะไรวะเนี่ย…

“ดีน !”

แมคเคนซีที่เดินตามเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับเบิกตาโพลงเมื่อดีนถูกสิ่งมีชีวิตบางอย่างพุ่งชนจนล้มลงไป เขารีบวิ่งจะไปช่วยพยุงแต่อีกฝ่ายกลับลุกขึ้นมาได้ก่อนทั้งในมือยังถืออาวุธประจำตัวพร้อมเข้าต่อสู้ด้วย เมื่อมองไปยังตัวต้นเหตุก็จำได้ทันที

“นั่นมันปีศาจเจอร์ซีย์ ระวังตัวด้วยนะดีน”

หลังจากเคยโดนหิ้วขึ้นฟ้าไปครั้งนึง เมื่อกลับมาพักที่โรงแรม แมคเคนซีก็ลองเปิดหาข้อมูลของอสุรกายตนนั้นในสมาร์ทโฟนดูจึงได้รู้ชื่อของมัน แม้ว่าจะเป็นปีศาจท้องถิ่นที่จัดว่าไม่มีพิษภัยระดับอันตรายก็ประมาทไม่ได้

แต่หากมองตามความเป็นจริงแล้ว คงต้องบอกว่าฝ่ายที่ชะตาขาดอาจเป็นเจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้ที่โผล่มาตอนที่คนรักของเขากำลังอยู่ในโหมดอารมณ์ไม่ดีก็เป็นได้

“ปีศาจเจอร์ซีย์…”

ริมฝีปากเอ่ยทวนชื่ออสุรกายแผ่วเบา ถามว่ารู้จักไหม ก็ไม่.. ตอนนี้ชายหนุ่มหงุดหงิดมากกว่า กำลังจะผ่อนคลายตัวเองแท้ ๆ แต่ไอ้บ้านี่ดันโผล่มาโฉบทำของที่ซื้อมาเสียหายไปหลายส่วน กลายเป็นเพิ่มระดับความโกรธให้มากขึ้นกว่าเดิม

“กร๊าซซซ”

อสุรกายเจอร์ซีย์คำรามขู่เหยื่อที่มันหมายปอง แน่นอนว่าต้องเป็นสายเลือดแห่งเจ้าสมุทรที่มีกลิ่นดึงดูดกว่าลูกเทพอื่น มันกระพือปีกบินขึ้นสูงจากนั้นก็โฉบลงมาทำให้ดีนต้นกระโดดหลบไปอีกทาง ความกวนประสาทของปีศาจที่บินได้คือมันมักจะบินหนีไปได้ก่อนทุกทีที่เขาจะโจมตีใส่

“ไอ้เวร!”

หนุ่มในอารมณ์กรุ่นสบถ เขามองตามขึ้นไปยังท้องฟ้าที่ปีศาจเจอร์ซีย์บินฉิวไปมาเพื่อหลอกล่อหาทางโจมตี ดีนสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่งจนพอจะจับทางออก ยังไงซะไอ้พวกนี้มันก็มีกระบวนท่าต่อสู้ในแพทเทิร์นเดิม ๆ คราวนี้ดีนกระโดดหลบเข้าหากำแพงตึกในจังหวะที่ปีศาจครึ่งแพะโจมตีลงมา ใช้โมเมนตัมทางฟิสิกส์ช่วยดีดตัว กระโดดขึ้นคออสุรกายแล้วแทงดาบใส่หัวแพะไม่ยั้งจนร่างปีศาจสลายเป็นธุลี

จากที่ประเมินสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว แมคเคนซีก็รู้ได้ทันทีว่าปีศาจเจอร์ซีย์ตนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อของดีน แล้วเวลาคนที่กำลังหงุดหงิดต้องทำอะไรล่ะ แน่นอนว่าก็ต้องหาสนามอารมณ์เพื่อระบายมันออกมาน่ะสิ  เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเข้าไปขัด เลยหาอะไรทำไม่ให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ดีกว่า

“กล่องแตกเลยแฮะ เสียดายชะมัด”

เขาพึมพำเบา ๆ ขณะเก็บถุงใส่ของที่เพิ่งซื้อขึ้นมาดู แล้วก็พบว่ากล่องเครื่องดื่มที่น้องสาวฝากซื้อซึ่งหล่นกระจัดกระจายแตกเลอะเทอะซะแล้ว กระป๋องเบียร์ของดีนบางกระป๋องก็บุบบู้บี้ แอบคิดไปว่าถ้าเขาเก็บมันเอาไว้แล้วให้คนรักของเขาเปิด แรงดันอากาศภายในกระป๋องคงทำให้ฟองเบียร์พุ่งมาอัดหน้าหล่อ ๆ นั่นแน่ ถึงจะสนใจว่าดีนจะตอบสนองยังไง แต่ก็ไม่เสี่ยงไปแหย่คนกำลังอารมณ์เสียจะดีกว่า แมคเคนซีจึงเก็บของที่น่าจะทานไม่ได้แล้วไปทิ้ง จากนั้นก็เข้าไปซื้อของในมินิมาร์ทอีกรอบแล้วจึงกลับออกมา

“เรียบร้อยแล้วเหรอ ฉันมาทันเวลาพอดี ได้ซัดมอนสเตอร์แล้วอารมณ์ดีขึ้นบ้างไหม”

เขากลับมายืนข้าง ๆ คนรักที่ตอนนี้ไร้วี่แววอสุรกายตนใดอีกแล้วถามเป็นเชิงหยอก

“ไม่ค่อยเท่าไหร่..”

ดีนตอบพร้อมกับหลุบสายตาลง เขาไม่อยากใช้กำลังแก้ปัญหา แต่คงเป็นนิสัยตามสายเลือดล่ะมั้งที่พอหงุดหงิดขึ้นมาก็เดือดปุดเป็นน้ำร้อน และเมื่อมองไปบนพื้น ของที่เสียหายถูกเก็บกวาดเรียบร้อยจนเผลอเลิกคิ้ว ไหนจะแมคเคนซีที่หิ้วถุงสินค้ามาใหม่อีก แบบนี้เสียเงินซื้อของสองเที่ยวเลยไม่ใช่หรือไงน่ะ

“สูบต่อก็ได้นะ คงไม่มีใครมาขัดจังหวะแล้ว”

“ฉันไม่รู้ว่าจะสูบต่อดีไหม เจ้านั่นทำเอาฉันหมดอารมณ์ไปเลย” ดีนพูดแล้วเป่าปาก “ว่าแต่นายซื้อของมาใหม่หมดเลยเหรอ

“ไม่ทั้งหมดหรอก ก็แค่ที่มันแตก”

แมคเคนซียกถุงที่มีน้ำผลไม้และเบียร์ที่ไปซื้อมาใหม่ให้ดูก่อนจะยิ้มให้เล็กน้อย

“จะสูบหรือไม่สูบก็ได้ทั้งนั้น แต่นายไม่เล่าเรื่องที่ไม่สบายใจให้ฉันฟังไม่ได้”

ถึงแม้น้ำเสียงจะยังคงราบเรียบปกติ แต่ก็แฝงความเด็ดขาดอยู่ในคำพูดนั้น

“โอเค คราวนี้ถึงเวลาที่ฉันจะถูกจัดการแทนแล้วสินะ”

ดีนยิ้มแหย ๆ ก่อนจะเก็บอาวุธแล้วอิงหลังพิงกำแพง แม้จะอยู่ในที่แจ้งแต่ตอนนี้บุตรแห่งโพไซดอนไม่กลัวอสุรกายอีกต่อไป ถ้ากล้าเข้ามาก็ซัดหมด เขานิ่งไปเล็กน้อยเพื่อเรียบเรียงภาระอันหนักอึ้งที่ตนเองแบกรับอยู่ ดวงตาสีเปลือกไม้มองสบตาสีฮาเซลของแมคเคนซีด้วยความจริงจัง 

“ฉันรู้สึกไม่โอเคกับตัวเอง เหมือนว่าในภารกิจนี้ฉันทำอะไรแทบไม่ได้เลย พลังที่ใช้ได้ก็มีแต่ควบคุมน้ำ ถ้าไม่มีน้ำก็เหมือนเปล่าประโยชน์ แถมฉันยังสู้ไม่เก่ง ถ้าต้องสู้ระยะประชิดก็เจ็บตัวบ่อยเป็นภาระให้นายต้องรักษาอีก ฉันไม่อยากเป็นภาระของนาย”

ไม่เพียงแค่เรื่องที่ตัวเองเป็นตัวถ่วง ไหนยังต้องรับผิดชอบอีกสองชีวิตที่พามาซวยด้วยอีก การที่เขาแก้ปัญหาเรื่องการเดินทางต่อไม่ได้เลยยิ่งเพิ่มความเครียดเป็นทวีคูณ

แมคเคนซีมองสบตาดีนตอบ รับฟังทุกอย่างที่อีกฝ่ายพูดตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ขัดเหมือนทุกครั้ง ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ระหว่างคนทั้งสองก่อนที่มือข้างหนึ่งของบุตรแห่งเทพีแห่งมนตราจะทาบลงแก้มของคนรักแล้วเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือกับผิวที่เริ่มมีตอหนวดขึ้นมาเล็กน้อย

“ภาระงั้นเหรอ…ฉันไม่รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้นนะ ถ้านายไม่ใช่คนที่ถูกเลือกให้รับคำพยากรณ์นี่ ป่านนี้ชาร์ล็อตอาจจะแย่กว่านี้ก็ได้ ฉันควรต้องขอบคุณนายด้วยซ้ำ ตอนนี้นายคือเจ้าของภารกิจ เป็นหัวหน้าทีม มั่นใจในตัวเองเหมือนที่ฉันมั่นใจในตัวนายสิ”

ฝ่ามือใหญ่เลื่อนลงมาวางบนบ่ากว้างของคนตรงหน้าแล้วบีบเบา ๆ

“แล้วใครบอกว่านายสู้ไม่เก่ง ตอนนี้นายเก่งขึ้นมาก ฉันถึงวางใจจนกลับเข้าไปซื้อของในมินิมาร์ทแล้วก็ออกมาไงล่ะ แล้วเห็นไหมที่รัก…นายไม่เป็นอะไรเลย ทักษะสายเลือดมหาเทพของนายคือข้อได้เปรียบทางน้ำก็จริง แต่ถึงช่วงเวลาที่นายใช้มันไม่ได้นายก็ยังมีความสามารถอื่น ๆ ในฐานะมนุษย์คนนึงอีกตั้งเยอะแยะ นายต่อสู้ระยะประชิดไม่เก่งก็ไม่เป็นไร ฉันพร้อมจะช่วยนาย และถ้านายเจ็บตัวฉันก็พร้อมรักษานาย ตอนนี้เราเป็นทีมเดียวกันนะดีน พึ่งพาฉันบ้างก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”

ให้ตายสิ ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังพูดมากกว่าที่วันนึงพูดรวมกันทั้งหมดซะอีก

“ฉันจะพยายามมั่นใจในตัวเองนะ แต่ฉันกลัวว่านายจะคิดผิด”

บอกตามตรงถ้าแข่งกันเรื่องหน้าตาดีนก็คิดว่าเขาไม่แพ้ใคร แต่ตอนนี้ดันมีความเป็นความตายมาเกี่ยวข้อง

“ก่อนหน้านี้ภารกิจแต่ละอย่างอันตรายถึงตายก็จริง แต่ว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจนกระทั่งถึงภารกิจของชาร์ล็อต… มันคงไม่ง่าย ฉันไม่รู้จะทำไงดีเลย แค่คิดว่าต้องมีใครตายไปต่อหน้าโดยเฉพาะคนสำคัญอย่างนาย หรือว่าน้องนาย ถ้าต้องสูญเสียใครไปฉันคงไปต่อไม่ไหวแน่ ๆ”

ดีนถอนหายใจ ยกมือขึ้นนวดขมับที่ดูเหมือนจะปวดตุ้บขึ้นมาอีก

“กับแค่หาทางไปต่อ… ในฐานะหัวหน้าทีมฉันยังหาทางไปไม่ได้เลย

พอได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่ดีนกำลังกลัว แมคเคนซีก็กอดอีกฝ่ายไว้แล้วลูบแผ่นหลังกว้างเนิบ ๆ เกยคางลงกับลาดไหล่สมส่วนของคนที่ตนรัก

“ถ้าเป็นเรื่องนี้ ฉันเองก็กลัวไม่ต่างจากนายหรอก เพราะงั้นฉันเลยตั้งใจว่าจะทำมันให้ดีที่สุด ต่อให้ฉันต้องสู้กับอะไร ต้องใช้เวทย์รักษานายอีกกี่สิบรอบฉันก็จะทำ ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่ยอมเสียนายไป รวมถึงคนในครอบครัวของฉันด้วย”

ริมฝีปากได้รูปกดจูบที่ไหล่ดีนผ่านเสื้อก่อนจะค่อย ๆ ผละออกมา สำหรับแมคเคนซีแล้วตอนนี้คำว่า ‘ครอบครัว’ สำหรับเขาไม่ใช่เพียงแค่พ่อที่อังกฤษหรือพี่น้องในบ้านพักหมายเลข 20 แต่เป็นผู้คนทั้งหมดที่ค่ายฮาล์ฟบลัดเลยต่างหาก

“เรากลับห้องไปช่วยกันคิดต่อเถอะ มันต้องมีสักทางที่เราจะไปถึงเอกวาดอร์ นายยังมีฉันกับชาร์ล็อตอยู่นะ”

ดีนไม่อยากจะผละออกจากอ้อมกอดอุ่นของแมคเคนซี ราวกับร่างกายของอีกฝ่ายอาบไล้ไปด้วยเวทมนตร์แห่งความอุ่นใจ ปลอดภัย เหมือนได้รับการปกป้อง ความรู้สึกด้านบวกทั้งหมดช่วยทำให้บุตรแห่งโพไซดอนรู้สึกดีขึ้นได้หลายส่วน

“ขอบคุณนะแมคซี่ ฉันจะใจเย็นกว่านี้และเชื่อมั่นใจตัวเองเหมือนที่นายเชื่อฉัน เราจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ พวกเราทั้งสามคนจะได้กลับค่ายด้วยกันอย่างปลอดภัยในตอนจบ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันไม่มีทางทิ้งนายและชาร์ล็อตไปแน่”

เพราะว่าพวกเราคือครอบครัว และครอบครัวแปลว่าเราจะไม่ทอดทิ้งกัน

“มา ฉันช่วยนายถือ”

ฝ่ามือของดีนแบรอให้แมคเคนซีส่งถุงมาให้

ริมฝีปากได้รูประบายยิ้มแล้วส่งถุงให้ดีนช่วยถือใบนึง มือที่ว่างก็จับมืออีกฝ่ายไว้พากันเดินกลับไปยังห้องพักที่โรงแรม

‘พวกเราจะผ่านมันไปได้ด้วยกันเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา’

แมคเคนซีเชื่ออย่างนั้น

.


.

“พวกพี่หายไปนานจัง…แอบไปจู๋จี๋กันมาเหรอคะ”

ชาร์ล็อตมาเปิดประตูให้หลังจากที่พวกเขาเคาะประตู แววตาสุกใสและรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเธอทำให้แมคเคนซีเดาออกได้ในทันที

น้องสาวตัวแสบวางแผนให้เขาออกไปปรับความเข้าใจกับคนรักนี่เอง

แมคเคนซีหยิบน้ำผลไม้ให้ชาร์ล็อตแล้วเอาเครื่องดื่มที่ซื้อมากับของอื่น ๆ ที่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นไปแช่ไว้ หยิบเบียร์ที่ซื้อมาให้ดีนกระป๋องนึงแล้วก็ถือโอกาสดื่มด้วยซะเลย

“เอาล่ะ ฉันว่าตอนนี้พวกเราต้องมาคิดแผนเดินทางไปเอกวาดอร์กันต่อแล้ว”

บุตรแห่งเทพีมนตราบอกขึ้นหลังกลับมานั่งรวมกลุ่มแล้วยกกระป๋องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดื่มไปอึกนึง




ความคิดเห็นผู้บันทึก

ถึงจะพอมองออกว่าคงมีเรื่องไม่สบายใจ แต่ผมไม่รู้มาก่อนว่าดีนจะคิดมากขนาดนี้ เขาไม่รู้ตัวบ้างหรือไงนะว่าตัวเองเก่งขึ้นขนาดไหนตั้งแต่มาอยู่ที่ค่าย ทำเรื่องบ้าระห่ำมากมายตั้งแยอะแยะจนผมอยากจะเอาคทาเวทย์บ๊องหัวสักทีแล้วบอกว่า “ระวังตัวเองให้ดีกว่านี้หน่อยได้ไหม !” แต่น่าเสียดายที่เธอคนนั้นสั่งห้ามผมไว้ว่าไม่ให้เอาคทาเวทย์ไปตีใคร ผมจำได้น่า…ไม่ทำหรอก เพราะอย่างนี้ไงล่ะ ดีนถึงจำเป็นต้องมีผมคอยอยู่ข้าง ๆ


สรุปสถานการณ์

- ทีมทำภารกิจเข้าพักที่โรงแรมในตัวเมืองเวสต์ฟิลด์

- สภาพร่างกายของทุกคนค่อย ๆ ดีขึ้น

- ดีนพยายามโทรติดต่อบริษัทเรือสินค้าเพื่อเดินทางต่อไปยังเอกวาดอร์…แต่ยังหาไม่ได้

- ดีนปะทะกับปีศาจเจอร์ซีย์ข้างมินิมาร์ทใกล้โรงแรม

- ดีนกับแมคเคนซีพูดคุยและปรับความเข้าใจกันถึงเรื่องที่ดีนกังวลอยู่

- ทีมทำภารกิจเริ่มวางแผนการเดินทางไปเอกวาดอร์ต่อ

- รัสเซลยังรออยู่ไหม…รอเถอะ นายต้องมีบทแน่ ๆ !


สรุปผลการต่อสู้

DEAN

ปีศาจเจอร์ซีย์ Lv. 91  Link


สินสงคราม

[LUK 80+]  :  เขาปีศาจเจอร์ซีย์ 8 อัน

 ตื่นรู้จากการพิชิตปีศาจเจอร์ซีย์ครั้งแรก  :  +2


แสดงความคิดเห็น

God
หากดีนเป็นคนตื่นเช้าตั้งแต่ฟ้าสางและออกมาผ่อนคลายที่สวนสาธารณะจะพบเจอคุณดีเซย์ไฮ คุณ....(เรียกชื่อผิด) คุณดีบอกไอเดียนายเมื่อวานน่าสนใจนะ (ที่เหลือดูด้านล่าง)  โพสต์ 2025-6-2 00:14
God
โชคดี คุณ (เรียกอีกชื่อ)   โพสต์ 2025-6-1 23:50
God
ฮ่าฮ่า ถึงยังไงถ้าฉันไปที่... ฉันก็ไม่ถือเป็นการแสวงหาเอง เพราะเดมี่ก็อตชงให้ฉัน ฮ่าๆ   โพสต์ 2025-6-1 23:50
God
ถ้ารอดกลับมาได้ ก็ลองดำเนินการสิ ชาวบ้านเฮเฟตัสน่าจะสร้างได้ไวอยู่กับอะธีน่าออกแบบเจ้าสิ่งนั้น นายก็คงรู้เนาะฉันพูดขอให้ทำไม่ได้ แต่รู้ไว้นะนี่นายทำเองไม่ใช่ฉันให้ทำ   โพสต์ 2025-6-1 23:49
โพสต์ 111885 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-6-1 23:14
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เขตแดนเฮคาที
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
Hydro X
เวทมนต์ [II]
คบเพลิงเวท
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
รองเท้าเซฟตี้
น้ำหอม Unisex
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
สร้อยข้อมือถัก
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x3
x6
x3
x3
x3
x2
x3
x1
x1
x5
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x3
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x15
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x2
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x3
x2
x2
โพสต์ 2025-6-8 20:06:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-6-9 07:37

VI
แผนการ...อะไรนะ?
Dean Eilwyn Alvarez Neal

- 18.05.2025 / 5:00 A.M. - เช้าตรู่ของวันที่สาม และถือเป็นวันสุดท้ายสำหรับการพักที่โรงแรมแห่งนี้ ไม่ใช่เพราะดีนและคณะคิดออกแล้วว่าจะเดินทางด้วยวิธีอะไร แต่พวกเขาจองพักไว้เพียงสี่คืน แล้วไม่อาจจองต่อได้ พนักงานแจ้งว่าห้องที่พวกเขากำลังพักอยู่ จะมีลูกค้าคนอื่นที่จองไว้ล่วงหน้าหลายเดือนมาเข้าพักแทน เป็นการบีบบังคับอ้อม ๆ ให้ดีนต้องรีบหาหนทางไปต่อให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องย้ายโรงแรม ซึ่งดีนภาวนาให้เป็นอย่างแรก เพราะตอนนี้ค่าใช้จ่ายเริ่มบานปลาย เงินที่ไครอนให้มาถูกใช้หมดตั้งแต่วันแรกที่ออกเดินทาง แม้แมคเคนซีจะเป็นลูกเศรษฐี แต่ไม่ดีแน่หากต้องพักโรงแรมต่อโดยไม่มีอะไรคืบหน้า แบบนี้สู้ช่วยกันแบกชาร์ล็อตกลับไปที่ค่ายฮาล์ฟบลัดก่อนจะดีเสียกว่า พอตารางเวลาลงล็อคเมื่อไรค่อยออกเดินทาง แต่ก็เป็นการเสียเวลาไปอีกหลายเดือน ยังไม่ต้องพูดถึงกำหนดการเดินเรือ แค่ไปกลับฮาล์ฟบลัดกับนิวยอร์กก็กินเวลาไปแล้วครึ่งค่อนวัน ดีนจึงพยายามลดความเครียดด้วยวิธีการของตัวเอง ดื่มเบียร์ที่ชอบ กินอาหารที่อร่อย กระนั้นเขาก็ยังคิดทางไปต่อไม่ออก ครั้นจะพึ่งพาพาร์เลียเมนต์ไลท์ที่ยังเหลืออยู่เกือบเต็มซองมากไปก็ไม่ดี กลิ่นของมันไม่เป็นที่พึงประสงค์สำหรับสองพี่น้องสายเลือดเฮคาทีและไม่ดีต่อสุขภาพของเขาเอง จะให้อาบน้ำแปรงฟันหอบเสื้อผ้าไปซักทุกครั้งที่สูบก็ใช่ที่ ดังนั้นจึงเหลือวิธีสุดท้ายในการระบายความเครียด นั่นก็คือการออกกำลังกายยามเช้าในวันที่ออกจะร้อนเกินไปเสียหน่อย ที่พักของพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะในตัวเมืองเวสต์ฟิลด์มากเท่าไร ดีนจึงมาวิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกายให้ได้เหงื่อสักรอบก่อนกลับไปคิดหาวิถีทางต่อ แม้เป็นใจกลางเมืองแต่สวนสาธารณะยามเช้าค่อนข้างเงียบสงบแทบไม่ต่างจากตอนอยู่ค่าย อาจมีผู้ที่รักในสุขภาพมาวิ่งก่อนไปทำงานอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครเลยที่เขารู้จัก ซึ่งนี่คือจุดต่างจากค่ายฮาล์ฟบลัดไม่ได้เหมือนกันไปเสียทีเดียว ซึ่งหากมีคนรู้จักอยู่ตรงนี้ก็คงประหลาดมาก ก็แถวนี้น่ะมีแค่ชายไร้บ้านที่นอนอยู่ ถึงเดมิก็อดจะต้องนอนกลางดินกินกลางทรายบ่อย ๆ แต่คงไม่มีใครเป็นคนเร่ร่อน… “เฮ้! ทางนี้ แด๊ง นิฟต์” จู่ ๆ ชายไร้บ้านที่นอนเอาหนังสือพิมพ์คลุมตัวก็ลุกพรวดขึ้นมา เขากะจะทำเป็นไม่สนใจแล้ววิ่งหนีให้ไวเพราะกลัวโดนปล้น แต่น้ำเสียงและวิธีการเรียกช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน ไหนแอบมองสักนิดสิ... “อ้าวเฮ้ย! คุณดี!? ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ?” ทำเอาชะงักไปเล็กน้อย กำลังคิดอยู่เลยว่าแถวนี้คงไม่มีคนรู้จักแต่ก็ดันมีออกมาเสียนี่ ทว่าดีนเคยมีประสบการณ์พบกับเดมิก็อดนอร์สที่ปลอมแปลงใบหน้าได้ คราวนี้เขาจะไม่หลงกลอีก! “อย่ามาหลอกกันซะให้ยาก! จะเป็นคุณดีได้ยังไง ผมไม่เชื่อหรอก คุณต้องยืนยันตัวตนมาก่อน หัวเสือดาวที่หน้าห้องของคุณดีมีชื่อว่าอะไร!” “เฮ้อ ทำอะไรของเจ้าน่ะแด๊ง ไร้สาระ” คุณดีกลอกตา นั่งไขว่ห้างแล้วสะบัดมือเรียกไวน์ขึ้นมาจิบ ตรงนี้อยู่นอกอาณาเขตค่ายฮาล์ฟบลัดถือว่าไม่ผิดสัญญาต่อซุส “พิสูจน์ด้วยเจ้านี่น่าจะเชื่อได้มากกว่า” คุณดีดีดนิ้วอีกครั้ง แก้วไวน์ปรากฏขึ้นตรงหน้าของดีน หนุ่มขี้เมาจากบ้านโพไซดอนรีบคว้ามาไว้ เขาลองดมกลิ่นดูก่อนชิม เป็นไวน์ชั้นเลิศที่ไม่ฉุนบาดจมูก นี่เป็นฝีมือการหมักของเทพแห่งไวน์อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะต่อให้แร๊กนาร์สร้างภาพมายาได้แต่คงไม่สมจริงขนาดนี้หรอกมั้ง... แต่ทันทีที่ดีนกำลังจะจิบไวน์แก้วนั้นเขาก็เหมือนซดอากาศ ของเหลวสีม่วงแดงทั้งหมดที่เคยมีอยู่ก่อนหน้าหายไปราวกับเป็นแค่ภาพลวงตากลางทะเลทราย “อยู่ในระหว่างภารกิจไม่ควรดื่มไวน์เทพ อยากกินนักก็ไปซบอกน้ำข้าวมอลต์ห่วย ๆ ที่เจ้าซดไปเมื่อวานแทนละกัน” “อ้าว…” คิดไปเองไหมว่าคุณดีแอบงอนที่เขาดื่มเบียร์แทนที่จะดื่มไวน์ เพิ่งบอกอยู่ว่าเงินหมดไปตั้งแต่วันแรกแล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อไวน์มาจิบกันล่ะ! แต่ก็จริงอย่างที่เทพเจ้าพูด เขายังต้องคิดงานให้ทันก่อนเช็คเอาต์ออกจากโรงแรมในวันรุ่งขึ้น ฉะนั้นเรื่องเมาเอาไว้ก่อน ชายหนุ่มจึงหันมาเผชิญหน้ากับที่ปรึกษาค่ายฮาล์ฟบลัดอีกครั้ง “แล้วที่คุณดีมาหาผม…” พูดยังไม่ทันจบ ดวงตาสีเปลือกไม้ก็เบิกกว้างขึ้น ดีนเปลี่ยนท่าทีเป็นตระหนก สีหน้าซีดเซียว แสดงถึงความแพนิกเรื่องนี้จัด ๆ “หรือว่าค่ายฮาล์ฟบลัดถูกถล่มอีกแล้ว! คุณมาตามพวกเรากลับไปป้องกันค่ายเหรอครับ!?” “ม่ายช่าย” เทพเจ้าตอบด้วยท่าทางชิล ๆ “อ้าว… งั้นมาทำไมล่ะครับ? คุณออกจากค่ายทีไรเกิดเรื่องทุกทีเลย รีบกลับเข้าค่ายไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ดีนออกปากไล่พร้อมกับเดินไปดันหลังเทพน้ำเมาอย่างไม่เกรงใจอำนาจเทพ “อย่าเพิ่งไล่สิ ข้าก็กำลังจะพูดธุระอยู่เนี่ย!” คุณดีย่นจมูกพ่นลมออกมาเมื่อถูกเดมิก็อดที่ชื่อคล้ายกันขับไล่ “ก็ที่พวกเจ้าคุยกันเมื่อวานน่ะ… ถ้ารอดกลับมาได้ ก็ลองดำเนินการสิ ชาวบ้านเฮเฟตัสน่าจะสร้างได้ไวอยู่กับอะธีน่าออกแบบเจ้าสิ่งนั้น เจ้าก็คงรู้เนาะว่าข้าพูดขอให้ทำไม่ได้ แต่รู้ไว้นะนี่เจ้าทำเองไม่ใช่ข้าให้ทำ ฮ่า ถึงยังไงถ้าข้าไปที่... ข้าก็ไม่ถือเป็นการแสวงหาเอง เพราะเดมิก็อดให้ ฮ่า ๆ” “หา อะไรนะ!?” คำพูดอย่างมีลับลมคมในจากปากเทพที่พยายามละคำบางคำเอาไว้ทำให้ดีนงงเป็นไก่ตาแตก คุณดีกำลังหมายถึงอะไร เมาไวน์จนเพี้ยน? ที่พวกเขาคุยกันเมื่อวานมีแต่แผนการเดินทางนี่นา นอกจากนั้นก็เป็นตอนที่เขาปรับทุกข์กับแมคเคนซีที่รัก ‘คุณดีไปโดนตัวไหนมาวะ…’ “อุ ฉิบ! ข้าลืมไป นั่นมันแค่ความคิดในใจของเจ้าเด็กแมคโดนัลด์” “ความคิดในใจของแมคโดนัลด์…” ดีนเอ่ยทวนคำ จู่ ๆ เทพเจ้าก็เอาชื่อย่อของแฟนมาผสมกับชื่อพ่อบุญธรรมของเขา แต่นั้นไม่ใช่ประเด็น… “เดี๋ยวนะ คุณบอกว่าความคิดในใจของแมคซี่ นี่คุณแอบอ่านใจพวกเราจากระยะไกลอย่างนั้นเหรอ!?” ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วที่คุณดีงอนเรื่องแอบดื่มเบียร์ระหว่างปฏิบัติภารกิจ ไม่รู้ว่าเทพเจ้าแอบส่องช่วงเวลาส่วนตัวอะไรของเขาบ้าง แล้วเรื่องสิบแปดบวกนี่ส่องด้วยไหม… “ชะอุ๊ย ข้าไปล่ะ” ยังไม่ทันที่ไดโอนีซุสจะวาร์ปหนี ดีนก็ตะครุบตัวเทพเจ้าไว้ทัน กล้ามแขนกำยำล็อคคอเน้น ๆ “จะรีบไปไหน คุณกับผมมีเรื่องที่ต้องคุยกัน!” “เจ้าเพิ่งไล่ข้ากลับค่ายไม่ใช่รึ ข้ามาบอกธุระกับเจ้าเสร็จแล้วกำลังจะกลับอยู่นี่ไง เพราะงั้น ปล๊อยยยย” “มาเพื่อธุระแค่นี้อ่ะนะ! คุณให้เด็กบ้านไดโอนีซุสส่งข้อความมาให้ผมก็ได้ม้าง จริงด้วยสิ! ไหน ๆ คุณก็มาอยู่ตรงนี้แล้วก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ในฐานะที่ปรึกษาซะหน่อย ผมกำลังตันกับการหาทางไปต่อพอดี” “นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องหาทางเอาเอง เทพเจ้าไม่มีสิทธิ์แทรกแซงสิ่งนี้!” ดีโอนีซุสประกาศขณะดิ้นขลุกขลั่กไปมาไม่สมกับเป็นเทพเจ้า น่าหงุดหงิดชะมัด เทพเจ้าชอบอ้างแบบนี้ทุกที ทั้งที่แอบส่องภารกิจเดินทางอยู่ตลอดเวลาเนี่ยนะ! “โธ่เว้ย! ถ้างั้นเรื่องของสองคนก่อนหน้าที่มาทำภารกิจล่ะ ที่คำทำนายบอกว่าคนนึงตายอีกคนจะถูกลืมเลือน ไม่มีวิธีช่วยพวกเขาบ้างหรือไงครับ!?” “ไม่รู้ คำพยากรณ์เหล่านี้อยู่นอกเหนือเทพอย่างเรา มีเพียงเจ้าที่คำพยากรณ์เลือกให้รู้คำตอบนั้น จงใช้สัญชาตญาณของเจ้า แต่พึงจำไว้ คำพยากรณ์ไม่เคยตรงตัวเลยสักครั้ง อย่ายึดติดกับคำว่า ‘ตาย’ ดับสูญอาจมีความหมายอื่นนอกจากนั้น” “ยังไงนะ?” “ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้! ข้าไปล่ะ ปิ๊ง!” แล้วคุณดีก็หายแว้บไป กลายเป็นดีนที่กอดตัวเองไว้แน่น คล้ายจะมีปัญหาให้ปวดหัวเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างเสียแล้วสิ ‘สรุปว่าธุระอันนั้น… คุณดีให้กลับไปทำอะไรวะ?’ กระนั้นเขาก็คล้ายได้รับเบาะแสบางอย่างเพิ่มเติมแม้ตอนนี้จะยังตีความไม่ออก ทั้งเรื่องคำไหว้วานอันเป็นปริศนาของเทพแห่งไวน์ ไหนจะเรื่องการดับสูญที่ไม่ได้หมายถึงตายอีก แล้วแมคเคนซีคิดอะไรในใจ ทางเดียวที่จะคลี่คลายคงมีแต่กลับไปถามเจ้าตัวโดยตรง . . . “พี่ดีนยังไม่กลับเหรอคะ” ชาร์ล็อตถามหลังจากที่เธอออกมาจากห้องน้ำแล้วยังไม่เห็นวี่แววของพี่ชายผู้เป็นบุตรแห่งมหาเทพโพไซดอน “ยังเลย เดี๋ยวก็คงกลับมาตอนใกล้เวลามื้อเช้าล่ะมั้ง” แมคเคนซีเงยหน้าขึ้นจากจอสมาร์ทโฟนที่กำลังเซิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับการขึ้นเรือโดยสารชนิดต่าง ๆ แล้วมองตามน้องสาวที่ค่อย ๆ เดินมานั่งหวีผมตรงหน้ากระจก สองสามวันมานี้ชาร์ล็อตเดินได้คล่องขึ้นแต่ก็ยังเดินเร็วมากและเดินนาน ๆ ไม่ได้ ส่วนมือก็เริ่มหยิบจับอะไรได้มากขึ้น รวมไปถึงการสนทนาที่เริ่มพูดประโยคยาว ๆ ได้แล้วแต่ก็ยังคงต้องเว้นช่วงบ้าง ไม่เช่นนั้นเธอจะรู้สึกเหนื่อย คงต้องให้เวลาร่างกายได้ปรับตัวอีกสักพัก “แล้วเราหิวหรือยัง ถ้าหิวแล้วเราไปกินมื้อเช้ารอดีนที่ห้องอาหารก็ได้นะ” “ยังค่ะ หนูยังไม่ค่อยหิว รอพี่ดีนก่อนก็ได้” ชาร์ล็อตส่ายหน้าช้า ๆ แล้วยิ้มให้ผู้เป็นพี่ผ่านกระจกก่อนจะสางผมต่อ “โอเค…” แมคเคนซีพยักหน้ารับแล้วดูเวลาจากจอสมาร์ทโฟน จากนั้นก็หาข้อมูลเรื่องที่ค้างไว้ต่อ นี่ก็ใกล้จะเจ็ดโมงเช้าแล้ว ดีนที่บอกเขาตั้งแต่เช้ามืดว่าจะออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งคงกำลังกลับมาที่โรงแรม ปิ๊บ.. แกร่ก บานประตูห้องพักเปิดออกหลังจากที่ดีนแตะการ์ดแล้วเปิดเข้าไป ชายหนุ่มชะงักเท้านิดหน่อยเมื่อเห็นว่าทุกคนตื่นกันหมดแล้ว จนต้องยกสมาร์ทวอชขึ้นมาดูเวลา “อรุณสวัสดิ์ วันนี้ทุกคนตื่นเช้ากันจังแฮะ หรือว่าไม่ได้นอนต่อเลยหลังจากที่ฉันบอกว่าจะออกไปวิ่งน่ะ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่ดีน หนูเพิ่งตื่นสักพักเองค่ะ แต่พี่แมคตื่นก่อนหนูอีก” ชาร์ล็อตที่มัดผมทรงโปรดเสร็จหันมาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “อรุณสวัสดิ์ ฉันก็นอนต่ออีกตื่นหลังนายออกไปแล้วนั่นแหละ” ตามมาด้วยแมคเคนซีที่นั่งเอนหลังพิงหัวเตียง เขาไม่รู้เวลาแน่ชัดว่าตนเองตื่นกี่โมง แต่คิดว่าคงหลังดีนออกไปสักพัก “พักสักหน่อยแล้วค่อยไปล้างหน้าล้างตาสิ เราจะได้ไปกินมื้อเช้ากัน” พอคนรักบอกว่าพักสักหน่อยดีนก็ถลาขึ้นเตียงไปนอนกอดทันที ไม่รู้ว่าแมคเคนซีจะได้กลิ่นเหงื่อของเขาไหม แต่ตอนนี้ไม่สนแล้วล่ะ “หนูว่าจะถาม… ตอนนี้พวกพี่ เอ่อ… คือแบบ… หนูถามได้ไหมเนี่ย” ชาร์ล็อตถามพร้อมกับยกหมอนขึ้นมาปิดหน้าด้วยความเขินอายหลังจากที่เธอกลับมานั่งที่ปลายเตียง ก่อนจะถูกอาร์ตี้ชวนมาทำภารกิจ เธอรู้แค่ว่าพี่ชายและหนุ่มบ้านโพไซดอนเป็นเพื่อนสนิทที่มีกลิ่นแปลก ๆ แต่เพื่อนผู้ชายเขาอาจจะเล่นถึงเนื้อถึงตัวกันก็ได้มั้ง จนตอนนี้ผ่านมาเกือบปี กลิ่นที่ดูทะแม่ง ๆ โชยออกมาแรงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก “ถามได้สิชาร์ล็อต เธอมีอะไรสงสัยล่ะ?” ดีนหันไปถามน้องสาวแฟนโดยที่ยังกอดคนรักกลม ชาร์ล็อตทำใจอยู่นาน หากว่าเธอเข้าใจผิดไปเองทั้งสองคนคงมองหน้ากันไม่ติดแน่ ๆ เธอจึงอ้อมค้อมนิดหน่อย “พวกพี่เป็นเพื่อนที่สนิทกันจังเลยนะคะ แหะ ๆ” แมคเคนซีที่กอดดีนไว้เหมือนกอดเจ้าหมาตัวโตที่โดดขึ้นเตียงเจ้าของมองน้องสาวตาปริบ ๆ เมื่อได้ฟังประโยคนั้น แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าชาร์ล็อตที่ออกเดินทางไปทำภารกิจตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนปีก่อนยังไม่รู้เรื่องสถานะในตอนนี้ของพวกเขานี่นา “อ้อ…ก็สนิทกันจริง ๆ คือ…พี่หมายถึง พวกพี่คบกันแล้ว แบบคนรัก…” ประโยคหลังสุดพูดเบาลงจนเหมือนพูดกับตนเอง ไม่ใช่ว่าการคบกันของพวกเขาเป็นเรื่องน่าอายหรือต้องปิดบัง แมคเคนซีเต็มใจบอกให้ทุกคนรู้ด้วยซ้ำถึงสถานะของเขากับดีน แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจดีว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับความสัมพันธ์ฉันคนรักระหว่างเพศเดียวกันได้ และตอนนี้ชาร์ล็อตที่มองมายังทั้งคู่ก็ตาโตเป็นไข่ห่านไปแล้วเรียบร้อย “หนู…หนู…หนูว่าแล้วไม่มีผิด ! เรด้าของหนูยังทำงานได้ดีอยู่ !” “เอ่อ…แล้วชาร์ล็อต…อ..โอเคไหม” กลายเป็นแมคเคนซีเองที่เหวอขึ้นมาเมื่อเห็นปฏิกิริยาของน้องสาวที่กำลังเอามือปิดปากหัวเราะคิกคักอยู่ “โอเคสิคะ หนูโอเคมากเลย เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสองคนนะคะ แล้วหนูก็ดีใจมากที่เห็นพวกพี่มีความสุขแบบนี้ นี่หนูคงเป็นคนสุดท้ายในค่ายที่รู้เลยหรือเปล่า” “ขอบคุณนะชาร์ล็อต จะบอกว่าเธอรู้เป็นคนสุดท้ายของค่ายไหมก็อาจจะใช่ ก่อนหน้านี้เรื่องความรักของเราลงในหนังสือพิมพ์เทพได้ตีพิมพ์หลายฉบับด้วย คนน่าจะรู้กันไปทั้งโอลิมปัส พวกเทพนี่ขี้เผือกกันจริง ๆ” ไม่ใช่เผือกแค่ผิวเผินด้วยเนี่ยสิ แต่เป็นการเผือกไปถึงจิตใจ “จริงเหรอคะ ถ้าหนูกลับค่ายต้องไปหาอ่านย้อนหลังแล้ว อยากรู้จังว่าเขียนถึงพวกพี่ว่ายังไงบ้าง” ชาร์ล็อตมีสีหน้าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เหมือนอยากเห็นข่าวพวกพี่ชายที่กลายเป็นคนดังในนิตยสารกอซซิปยังไงยังงั้น “พูดถึงเรื่องเทพขี้เผือก เมื่อกี้ตอนที่ไปจ๊อกกิ้งมาฉันเจอคุณดีด้วย คิดว่าเป็นคุณดีตัวจริงแหล่ะเพราะว่าเสกไวน์ออกมาได้ แต่เหมือนเขาจะทักผิดคนแฮะ ความจริงเขาน่าจะอยากมาหานายน่ะแมคซี่” ดีนหันกลับมามองแมคเคนซีที่นอนเกยอยู่ “หือ…คุณดีน่ะเหรอ” แมคเคนซีที่ยิ้มกริ่มกำลังตกอยู่ในโหมดอารมณ์ดีที่น้องสาวเข้าใจในความรักของตนเองสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อดีนหันมาคุยด้วย “หาฉัน ? เรื่องอะไร” ดวงตาสีฮาเซลหลุบลงมองใบหน้าละตินหล่อเหลาพลางลูบผมดีนเล่นไปด้วย พอได้คัมมิ่งเอาท์กับน้องสาวแล้ว ทีนี้ก็โชว์หวานได้ไม่ต้องแคร์สื่อ (ถ้าชาร์ล็อตจะไม่เหม็นความรักของพวกเขาซะก่อน) แต่ก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่าเทพแห่งไวน์มีธุระเรื่องอะไรจนถึงกับต้องออกมาจากค่ายแบบนี้ “ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าที่คุณดีพูดหมายถึงอะไร” ดีนดันตัวขึ้นมานั่ง จากน้้นกระแอมไอเลียนแบบเสียงเทพไดโอนีซุสแต่เหมือนกับเสียงตัวเองตอนเมามากกว่า “ถ้ารอดกลับมาได้ ก็ลองดำเนินการสิ ชาวบ้านเฮเฟตัสน่าจะสร้างได้ไวอยู่กับอะธีน่าออกแบบเจ้าสิ่งนั้น เจ้าก็คงรู้เนาะว่าข้าพูดขอให้ทำไม่ได้ แต่รู้ไว้นะนี่เจ้าทำเองไม่ใช่ข้าให้ทำ ฮ่า ถึงยังไงถ้าข้าไปที่... ข้าก็ไม่ถือเป็นการแสวงหาเอง เพราะเดมิก็อดให้ ฮ่า ๆ… เนี่ย คุณดีว่ามาแบบนี้” “อุบ…..ให้ตายสิ พูดธรรมดาไม่ได้หรือไง” แมคเคนซีถึงกับต้องเม้มปากเพื่อกลั้นขำเมื่อดีนพูดเลียนแบบเทพแห่งไวน์ผู้นั้น ซึ่งคิดว่าแมคเคนซีคงจะงงน่าดูดีนเลยขยายความต่ออีกหน่อย “เหมือนว่าคุณดีจะแอบมาส่องพวกเราอยู่ห่าง ๆ น่ะ แล้วเขาก็อ่านใจนายแมคซี่ เพราะงั้นนายน่าจะรู้ว่าคุณดีพูดถึงอะไร” “ว่าไงนะ อ่านใจฉันงั้นเหรอ……ต่อไปนี้คงต้องระวังความคิดตัวเองซะแล้วสิ” แมคเคนซีขมวดคิ้ว พึมพำคำพูดท้ายเบา ๆ แล้วยกมือกุมคางใช้ความคิด “ว่าแต่คุณดีหมายถึงเรื่องอะไร…ดำเนินการที่ว่า พวกเราคุยกันตั้งหลายเรื่อง…..” เมื่อวานพวกเขาคุยกันมากมายหลายเรื่องจริง ๆ ตั้งแต่เรื่องวางแผนเดินทางไปเอกวาดอร์ เรื่องที่ดีนไม่สบายใจ ไปจนถึงเรื่องมื้ออาหารเย็นที่ซุปเย็นชืดไปหน่อย รวมไปถึงเรื่องเล็ก ๆ อย่างงานปาร์ตี้ของคุณดีที่ค่ายฮาล์ฟบลัด การชงค็อกเทลสูตรที่ดีนชอบและเรื่องสมัยที่เขาทำงานบาร์เทนเดอร์ที่คลับ ‘เดี๋ยวนะ….’ “ฉันว่าฉันพอจะนึกออกแล้วว่าคุณดีหมายถึงเรื่องอะไร นายจำเรื่องที่พวกเราคุยกันในมินิมาร์ทได้ไหมดีน เรื่องที่ฉันทำงานที่มิดไนท์วอลุ่ม ตอนนั้นฉันคิดว่าค่ายน่าจะมีบาร์ แต่ฉันก็แค่คิด…ไม่นึกเลยว่าคุณดีจะสนใจเข้าจริง ๆ” “แล้วนายไม่สนใจที่เขาอยู่ห่างไปตั้งแปดสิบไมล์แต่มาแอบฟังพวกเราจู๋จี๋กันเหรอ ให้ตายสิ! จะได้ลงหนังสือพิมพ์เทพซุบซิบนั่นอีกไหมเนี่ย!” ดีนล้มตัวลงนอนอีกรอบแต่คราวนี้นอนลงข้างกับแมคเคนซีแทน “เขาเอาเรื่องแบบนั้นไปเขียนข่าวเหรอคะ” ชาร์ล็อตถาม “ใช่ อะไรประมาณนั้น บอกได้เลยน้องสาว การลงข่าวกับหนังสือพิมพ์เฮอร์มีสไม่ใช่เรื่องดี บางทีแค่เดินชนใครก็ไม่รู้แล้วเผลอมองตาก็อาจเป็นข่าวได้” ดีนหันไปตอบชาร์ล็อตก่อนจะตะแคงกลับมาทางแมคเคนซี “แต่เรื่องมีบาร์ที่ค่ายฉันก็คิดว่าเป็นไอเดียที่ดีนะที่รัก” ยกนิ้วโป้งให้เลย แต่เอาจริงเรื่องนี้ผิดกฎหมายการตั้งร้านเหล้าใกล้แหล่งชุมชน โบสถ์ และสถานศึกษาของนิวยอร์กเข้าเต็ม ๆ ซึ่งค่ายฮาล์ฟบลัดก็ตรงตำราสถานที่ที่ว่า แต่ที่นี่อยู่นอกเหนือกฎหมายของสหรัฐและสภาโอลิมปัสคงไม่แคร์เรื่องนี้ (อาจยกเว้นซุสไว้องค์นึง) “มันก็…น่าอายนั่นล่ะที่อยู่ ๆ ก็มีเทพมาอ่านความคิด ดูท่าฉันคงต้องคิดเรื่องอย่างว่าให้น้อยลงหน่อย” แมคเคนซีพลิกตัวตะแคงเข้าหาดีนวางมือเท้าศีรษะไว้ ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ ที่มีใครมาอ่านความคิดราวกับฝังตัวอยู่ในสมอง แต่ใครที่ว่าก็เป็นถึงเทพซะด้วย เขาคงไม่สามารถบอกเทพทุกองค์ในโอลิมปัสได้ว่าให้เลิกส่องความคิดเขาเสียที แต่จะให้เลิกคิดเรื่องสัปดนหรือชื่นชมดีนในใจตามประสาคนคลั่งรักก็ทำไม่ได้เหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าใครแอบส่องก็ทนเหม็นความรักของเขาหน่อยแล้วกัน ส่วนเรื่องลงหนังสือพิมพ์ซุบซิบประจำค่ายแมคเคนซีก็ไม่ได้แคร์เท่าไหร่ ยังไงซะคนที่เขาตกเป็นข่าวด้วยก็มีแค่ดีนอยู่แล้ว “เรื่องอย่างว่า—” “หมายถึงเรื่องบาร์! พี่หมายถึงเรื่องบาร์” แมคเคนซีเลิกเล่นเกมจ้องตากับดีนแล้วรีบหันไปบอกความเท็จน้องสาวที่เอ่ยทวนด้วยความสงสัยก่อนขยับตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ “ถึงมันจะน่าสนใจก็เถอะ แต่ถ้ามีบาร์ขึ้นมาจริง ๆ จะมีใครรับหน้าที่ดูแลล่ะ อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่ชงเครื่องดื่มเป็นใช่ไหม ฉันคงไม่ต้องอยู่เฝ้าบาร์จนดึกดื่นค่อนคืนหรอกนะ” เขาไม่ได้คิดจะฏิเสธเรื่องดูแลบาร์หากจำเป็น แต่ถ้าต้องอยู่เฝ้าจนไม่เป็นอันทำอะไร เกรงว่าเขาคงต้องสิงสถิตอยู่ที่บาร์แทนที่จะเป็นบ้านพักหมายเลขยี่สิบน่ะสิ “นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอกที่รัก ฉันว่าเด็กบ้านไดโอนีซุสน่าจะพร้อมรับหน้าที่นั้น แต่ละคนชงเหล้ากันเก่งชะมัด” ดีนหัวเราะ ตอนไปเล่นเกมที่บ้านเทพน้ำเมาราวกับเป็นสวรรค์ แต่สาบานได้ว่าไม่มีใครที่ทำโอลด์แฟชั่นท์ได้ถูกใจเท่าที่แมคเคนซีทำแล้ว ตอนนี้ดีนนอนทับเหงื่อตัวเองจนรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว เขาจึงลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ผึ่งไว้ “ฉันว่าจะไปอาบน้ำสักหน่อย เดี๋ยวเสร็จจากนี่เราไปกินอาหารเช้ากันนะ วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่ต้องระดมสมองให้เต็มที่” “อ้อ จริงด้วย ไม่น่าล่ะนายถึงได้คอพับอย่างกับคนถูกมอมเหล้า” นึกถึงวันนั้นที่บุตรของเทพไดโอนีซุสมาเรียกเขาถึงบ้านให้ไปหิ้วดีนที่เมามายหมดสภาพกลับบ้านแล้วก็พาลอารมณ์คุกรุ่นขึ้นมานิด ๆ จนต้องกอดอกมองตามคนที่บอกว่าจะไปอาบน้ำหน้าง้ำหน้างอ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น “แหงมล่ะสิ มันคือเกมกินไวน์ใส่ยานอนหลับช่วยให้นอนได้ในช่วงที่ตะวันส่องทั้งวันทั้งคืนต่างหาก ฉันไม่ได้เมาปลิ้นว้อย” ดีนที่เข้าห้องน้ำไปแล้วชะโงกหน้าออกมาตอบแล้วปิดประตูเข้าไปใหม่ “ตอนที่หนูไม่อยู่ที่ค่าย คงมีเรื่องอะไรเยอะแยะเลยนะคะ” ชาร์ล็อตยิ้มบาง ๆ สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเสียดายช่วงเวลาที่หายไปมากเพียงใด “ก็…เยอะเหมือนกันนะ อยากฟังหรือเปล่า พี่จะเล่าให้ฟัง แต่ต้องใช้เวลาเป็นวันเลย” จบคำพูดที่เหมือนจะหยอกเล่นนั้นชาร์ล็อตก็หัวเราะออกมาน้อย ๆ “อยากค่ะ หนูฟังได้เป็นวันเลย” ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักพยักหน้ารับ แล้วแมคเคนซีก็เริ่มเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้น้องสาวฟังระหว่างรอดีนอาบน้ำ “จะว่าไป… ที่ว่าสว่างตลอดเวลานี่มัน” ชาร์ล็อตเอ่ยขึ้น ไม่แน่ใจว่าหากถามออกมาแล้วแมคเคนซีจะทราบคำตอบไหม ก่อนหน้านี้เธอถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินมาตลอด ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันมานานจนแทบจะลืมแสง ความสว่างที่พอเห็นได้เรียกได้ว่าช่างน้อยนิด เธอจึงไม่รู้เรื่องราวของโลกภายนอกแม้แต่น้อย หญิงสาวเพิ่งรู้มาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เองว่าตอนนี้ราตรีกาลได้หายไปจากโลก แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร และเพราะอะไร “เรื่องนั้น…พี่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เดือนตุลาปีก่อนแล้ว อาจจะเกิดความผิดปกติอะไรสักอย่าง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครได้รับคำพยากรณ์” แมคเคนซีบอกได้เพียงเท่าที่ตนเองรู้ เขาเคยได้ยินคุณเรเชลบ่นเรื่องนี้เหมือนกัน รวมทั้งดีนด้วย แต่ก็แอบสงสัยว่าทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่ยังไม่มีเดมิก็อดคนไหนได้รับคำพยากรณ์ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติอันแปลกประหลาดก็เป็นได้ “ยังไม่มีคำพยากรณ์ปรากฏเลยเหรอคะแปลกจัง ปกติคำทำนายมักจะออกมาก่อนเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น หรือว่าจะยังไม่มีเดมิก็อดคนไหนเหมาะสมสำหรับคำพยากรณ์นั้นกันนะ…” เดมิก็อดไม่ใช่ผู้เลือกรับคำพยากรณ์ แต่เป็นคำพยากรณ์ต่างหากที่เลือกวีรบุรุษ แม้ว่าครึ่งเทพจะเป็นฝ่ายเข้าไปหานักทำนายก่อนก็ตาม นั่นเป็นเรื่องที่ถูกลิขิตไว้อยู่แล้ว คือชะตาที่ไม่อาจเลี่ยง อย่างการที่มีคนรับภารกิจมาช่วยเหลือนี้ก็ด้วย แปลว่าวันนี้ ชาร์ล็อต ลิเลี่ยน ยังไม่ถึงที่ตาย สองพี่น้องเฮคาทีคุยกันได้หนึ่งอึดใจใหญ่ ๆ ดีนก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดใหม่ กลิ่นหอมฟุ้งแตกต่างจากตอนเข้าไป นับว่าเขาใช้เวลาในห้องน้ำน้อยลงมาก เมื่อเทียบกับการอาบน้ำที่ค่ายแล้วมีครีมบำรุงผิวมาประทินโฉมสิบกว่าตัว “ไงทุกคน รอนานไหม หิวกันแล้วหรือยัง?” เหล่าสายเลือดแห่งเวทมนต์พักเรื่องที่สนทนากันไว้แล้วหันมามองดีนเป็นตาเดียว “หิวนิดหน่อยค่ะ พี่ดีนไปออกกำลังกายมาน่าจะหิวกว่าหนูแน่เลย” ชาร์ล็อตยิ้มให้แล้วพูดตามมาด้วยประโยคขี้เล่น ส่วนแมคเคนซีก็ลุกขึ้นจากเตียง “รอจนฉันเล่าเรื่องช่วงที่ชาร์ล็อตไม่อยู่ค่ายจบไปหลายเรื่อง จะแปดโมงแล้ว ไปกันเลยไหม” กลิ่นหอมจาง ๆ จากตัวดีนลอยมาแตะจมูก หากอยู่เพียงสองคนคงได้มีการถึงเนื้อถึงตัวกันบ้าง แมคเคนซีจึงแค่เหลือบมองดีนแล้วอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพาชาร์ล็อตที่ยังเดินได้ไม่ค่อยคล่องนักออกจากห้อง อาหารเช้ามื้อที่สามของโรงแรมเหมือนเดิมทุกอย่างจนเริ่มเบื่อ ความจริง... เมื่อก่อนก็รับประทานอะไรแบบนี้แทบทุกเช้า ทว่าตั้งแต่มาอยู่ค่ายฮาล์ฟบลัดที่มีแม่ครัวฮาร์บี้คนเก่ง ขยันรังสรรค์เมนูอาหารเช้านานาชาติให้ได้เปลี่ยนรสไม่มีเบื่อ ไลน์บุฟเฟ่ต์อาหารเช้าอื่น ๆ กลายเป็นจืดชืดไปทันที แต่นั่นก็อาจถือเป็นข้อดีในเวลานี้ที่เดมิก็อดทั้งสามมีเวลาเหลืออยู่อีกไม่มากนัก พวกเขาเลยเลือกที่จะรับประทานเพื่อประทังท้องมากกว่าค่อย ๆ ละเลียดชิมแฮม ไส้กรอก และเบค่อนหอมกรุ่น กับแพนเค้กราดน้ำผึ้งจนชุ่มฉ่ำแบบในเช้าวันแรก ๆ พอกินเสร็จก็มาคิดแผนการเดินทางกันต่อ “ถ้าเอาทั้งหมดมาเรียงกันก็น่าจะได้ประมาณนี้” ดีนส่งตารางเทียบการเดินทางของเก่าที่ทำมาลวก ๆ ก่อนออกจากค่าย เปรียบเทียบกับข้อมูลการเดินเรืออัปเดตใหม่ในช่วงหนึ่งถึงสองวันนี้ให้แมคเคนซีดู “เรือสินค้าที่ออกจากท่าเร็วสุดคือของบริษัทโบอิ้งแมรี่ รอบสิบเอ็ดโมงเช้าของวันพรุ่งนี้ แต่ว่าพวกเราจะต้องแอบขึ้นเรือกันไป หรือไม่ถ้าไม่เอาแผนนี้ก็มีแผนนั่งบัส เดินทางทางบกแล้วไปหาเรือขึ้นแถว ๆ ปานามา อาจจะมีเรือไปต่อหรือไม่เราต้องเสี่ยงดวงกันอีกที” แมคเคนซีดูแผนการเดินทางทั้งสองฉบับพลางฟังดีนอธิบายไปด้วย เขาเงียบอยู่สักพักเพื่อครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “แผนหลังดูไม่ชัวร์เลย ส่วนแผนแรก…ฉันช่วยได้นะถ้าต้องแอบขึ้นเรือกันไปจริง ๆ แต่เราอาจต้องซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บสัมภาระไม่ก็คอกสัตว์ โอเคกันหรือเปล่าถ้าต้องอยู่ในนั้นเกือบสัปดาห์” หากถามตัวเองก็สามารถตอบได้ทันทีว่า ‘ไม่โอเค’ แต่ตอนนี้พวกเขามีตัวเลือกมากกันซะที่ไหน “หนู…คิดว่าได้ค่ะ” ชาร์ล็อตพยักหน้าน้อย ๆ ดูจากท่าทางแล้วเธอเองคงไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่ก็คงคิดแบบเดียวกัน “ภาวนาขอให้มีคอกสัตว์เถอะ ส่วนใหญ่ตู้เปล่าจะอยู่ด้านในสุดเลยต้องแอบเข้าไปในตู้เปล่าก่อนโหลดของเสร็จ ซึ่งเอาเข้าจริงถ้าโหลดตู้ขึ้นเรือเขาคงทำกันตั้งแต่คืนนี้” เรื่องอาหารสำหรับหนึ่งสัปดาห์คิดว่าไม่มีปัญหาเพราะว่าดีนพกอาหารฉุกเฉินมาเต็มพิกัด แต่เรื่องการขับถ่ายเนี่ยสิ… ถ้าต้องอยู่กับของเสียเหล่านั้นในตู้อับ ๆ ไร้ทางออกเพราะถูกบล็อกประตูนานเป็นสัปดาห์ ไม่จมูกตายก็ติดโรคตายก่อนจากสุขภาวะที่ไม่ดี แต่จากที่สืบมา บริษัทโบอิ้งแมรี่ เน้นการขนย้ายสัตว์มากกว่าสินค้าอยู่แล้ว จู่ ๆ คงไม่ซวยหรอกมั้ง “ไม่ก็ทำแบบหนังสายลับ ตุ้บตั้บลูกเรือสามคนแล้วเราก็ขโมยยูนิฟอร์มเขามาใส่ สวมรอยไปเลย ฮ่า ๆ ว่าไปนั่น…” ดีนหัวเราะน้อย ๆ ถึงจะปลอมตัวผ่านแต่ความคงแตกได้ในไม่ช้า ก็ใครเล่าจะจำเพื่อนร่วมงานของตัวเองไม่ได้ แถมช่างเรือหายไปสามคนการเดินทางต้องมีข้อบกพร่องแน่ ๆ “คือ.. หนูมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อยค่ะ” หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวยกมือขึ้นด้วยสีหน้าพะวง “ชาวเรือเชื่อกันว่า ‘ถ้าผู้หญิงขึ้นเรือแล้วจะซวย’ พวกเราจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?” ทำเอาดีนหันไปมองหน้ากับแมคเคนซีทำตาปริบ ๆ “โธ่เอ๊ย เรื่องแค่นี้เอง ยุคสมัยนี้คำสาปไม่ทำงานแล้วน่า อีกอย่างบนเรือสำราญมีผู้หญิงโดยสารเยอะแยะไป” “จริงนะคะ หนูค่อยสบายใจหน่อย” ได้ยินดีนพูดเหมือนเป็นเรื่องเล็กชาร์ล็อตก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “งั้นนายก็หมายความว่า เราควรออกไปกันตั้งแต่คืนนี้? ฉันกำลังคิดว่าถ้าบริษัทขนส่งที่เราจะไปมีบริการขนส่งสัตว์ เราน่าจะอาศัยจังหวะนั้นแฝงตัวขึ้นไปบนเรือพร้อมพวกมันได้” แมคเคนซีที่นิ่งเงียบไปอีกครั้งระหว่างที่ดีนกับชาร์ล็อตกำลังคุยกันเพื่อคิดถึงสิ่งที่สามารถเป็นไปได้มากที่สุดถามและเสนอขึ้นมา เขาไม่มีข้อมูลเลยว่าเรือสินค้าจะเริ่มลำเลียงสัตว์ให้เข้าไปอยู่ในเรือช่วงเวลาไหน “เรือออกสิบเอ็ดโมง มีเวลาหลายชั่วโมงอยู่…เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะเริ่มขนย้ายสัตว์เข้าเรือช่วงเช้า” “ถ้าขนตู้คอนเทนเนอร์สินค้าจะเป็นคืนนี้ ส่วนขนย้ายสัตว์น่าจะเป็นตอนเช้าตรู่ แต่ตอนนี้เวลาเช้าไม่มีแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนตารางเวลากันไหม” “คงไม่หรอก ถึงไม่มีกลางคืนแต่คนเราก็ยังต้องพักผ่อนอยู่” แม้ตอนนี้ช่วงเวลากลางวันและกลางคืนจะวิปริตแต่วันนึงก็ยังมียี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนเดิม อย่างน้อยคนทั่วไปก็น่าจะยังกินนอนใช้ชีวิตประจำวันเป็นเวลาละมั้ง ดีนขบคิดแผนการ เขาไม่อยากไปอุดอู้อยู่ในตู้แคบ ๆ ไม่มีแสงตะวันเป็นสัปดาห์ แม้จะเอาเต็นท์ เครื่องนอน และห้องน้ำพกพามาด้วยก็ตาม ดังนั้นการแฝงตัวอยู่ในคอกสัตว์อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า อาจเหม็นนิดหน่อยแต่อย่างน้อยมันก็ไม่น่าอึดอัดเท่า “เราไม่จำเป็นเข้าไปพร้อมสัตว์ก็ได้ มันอาจโจ่งแจ้งเกินไป แต่ฉันคิดว่าเราควรไปให้ถึงท่าเรือนิววาร์คกันก่อนเก้าโมงเช้า พวกเขาน่าจะยังไม่ปิดสะพานเรือ ไม่งั้นเราอาจต้องไต่โซ่ขึ้นเรือกันเข้าไป ฉันว่าฉันไม่น่าไหว” ถ้าดีนไม่ไหวชาร์ล็อตนี่ไม่ต้องสืบ เธอได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ “นายจะบอกว่าถ้าเราขึ้นไปตอนที่เขาขนย้ายสัตว์เรียบร้อยแล้วจะไม่มีใครมาเฝ้าตรงสะพานเรืองั้นเหรอ” “ก็ไม่อยู่ดี” ดีนตอบ เช้า ๆ คงมีคนป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณสะพานเรือกันให้ควั่ก ส่วนแมคเคนซีเลิกคิ้ว พยายามนึกภาพตามแล้วเปรียบเทียบว่าระหว่างใช้ทักษะควบคุมหมอกสร้างภาพลวงตาให้คนเห็นว่าพวกเขาเป็นสัตว์แล้วเดินปะปนขึ้นไปตอนขนย้ายกับปล่อยหมอกหนาออกมาแล้วใช้จังหวะนี้ขึ้นสะพานเรือไปหลังขนย้ายสัตว์เสร็จ แบบไหนจะแนบเนียนและไม่เสี่ยงถูกจับได้มากกว่ากัน “ถ้างั้น… พวกเราออกจากโรงแรมสักเจ็ดโมงดีไหมคะ ถ้าดูตามตารางของพี่ ๆ น่าจะไปถึงท่าเรือประมาณแปดโมงนิด ๆ” “เรื่องเวลาฉันโอเคนะ เรายังขาดอาหารหรือเสบียงอะไรไหม จะได้ออกไปซื้อเตรียมไว้วันนี้เลย” “งั้นเรามารีเช็คของที่ต้องใช้กันอีกทีไม่ให้มีอะไรที่ขาด” ดีนลุกขึ้นเดินไปที่กระเป๋าเดินทางจากนั้นก็เริ่มเช็คลิสต์ “เอ็มอาร์อีห้าชุด สามคนกินได้ห้าวัน.. เต็นท์หนึ่ง ถุงนอนสาม ห้องน้ำหนึ่ง ถุงขยะหนึ่งม้วน ชุด เสื้อผ้า อืม.. อยู่นี่ อ้อ แล้วฉันก็เอานี่มาให้เธอด้วยชาร์ล็อต ไม่รู้ใช้แบบนี้ไหมแต่ใช้ไปก่อนแล้วกัน” ดีนชูแพ็คผ้าอนามัยขึ้นมาโบกหวอย ๆ ทำเอาหญิงสาวเลิ่กลั่กจากนั้นเปลี่ยนเป็นยิ้มเขิน “ฉันคิดว่าเราเหลือ… อืมมม น้ำดื่ม ส่วนการเดินทางกว่าจะถึงคลองปานามาราว ๆ หกวัน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดหรือเลท เพราะงั้นเราต้องซื้ออาหารแห้งขึ้นไปตุนไว้ด้วย” สองพี่น้องบ้านเฮคาทีนั่งมองบุตรจ้าวสมุทรเช็คของแต่ละอย่างแล้วก็เริ่มตาโตขึ้นเรื่อย ๆ บางอย่างที่ไม่คิดว่าจะอยู่ในกระเป๋าเดินทางได้ดีนก็ใส่เข้ามาจนน่าทึ่ง ‘ข้างในกระเป๋านายเป็นหลุมดำเหรอ ใส่เข้ามาเยอะขนาดนี้’ พวกเต็นท์ ถุงนอนก็เหมือนว่าจะเคยเห็นดีนเอาใส่เข้าไปอยู่ แต่หมอนี่ถึงขนาดเอาส้วมพกพามาด้วยแล้วงั้นเหรอ “น้ำร้อนใช้ เฟลมมา มาจิก้า ของนายช่วยต้มได้ไหมแมคซี่?”

“ได้ ถ้าพวกสัตว์ไม่ตกใจจนร้องลั่นคอก” เขาแกล้งพูดไปอย่างนั้น ยังไงทั้งเขากับชาร์ล็อตก็สามารถควบคุมขนาดและอุณหภูมิของไฟเวทได้แล้ว “โอเค งั้นไปซื้อของกันก่อน ชาร์ล็อตอยากได้ของใช้ส่วนตัวอะไรเพิ่มเติมบอกได้เลยนะ พี่จะจดไว้” แมคเคนซีหันไปบอกน้องสาวที่ตอบรับอย่างแข็งขันแล้วเปิดแอพเมโมในสมาร์ทโฟนเพื่อลิสต์รายการของที่จะต้องซื้อเพิ่มเติม “จะซื้อกันเลยเหรอ น้ำน่าจะต้องซื้อหลายขวดเลย ห้าวันก็น่าจะต้องใช้อย่างต่ำยี่สิบลิตรเลยหรือเปล่านะ…” ดีนคิดคำนวณในหัวไว ๆ ซึ่งสำหรับคนรักสุขภาพอย่างบุตรแห่งโพไซดอนคิดว่าน้อยเกินไปด้วยซ้ำ อย่างต่ำควรดื่มน้ำให้ได้สามลิตร ไหนจะเป็นน้ำที่ใช้ล้างหน้าล้างตาอะไรอีก มีอีกทีคือขโมยน้ำแพะ (ซึ่งจะใช่แพะหรือเปล่าก็ไม่รู้) “ไม่ซื้อวันนี้แล้วจะซื้อตอนไหน พวกเราต้องเดินทางวันพรุ่งนี้แล้วไม่ใช่เหรอ” แมคเคนซีเลิกคิ้วเล็กน้อย พอดีนบอกจำนวนน้ำที่ต้องใช้ก็ก้มหน้าลงพิมพ์ข้อความต่อ ก็ซื้อพรุ่งนี้เช้าไงที่รัก ให้แบกน้ำยี่สิบกว่าลิตรไปมาก็ไม่ไหว“พรุ่งนี้เช้าจะไม่ชุกละหุกไปเหรอ” แค่คิดว่าต้องเตรียมตัวแอบขึ้นเรือก็ต้องใช้เวลาเตรียมใจนานแล้ว แต่ดีนยังดูชิล ๆ อยู่เลย หรือแมคเคนซีควรจะผ่อนคลายมากกว่านี้ดีก็ไม่รู้เหมือนกัน

“พวกนายมีเวทหลุมดำอะไรแบบนี้ไหม? หรืออย่างน้อยก็เวทยกของให้ลอยตาม” เวลาแบบนี้ทำให้ดีนคิดถึงเพื่อนที่ใช้เงาเก็บของอย่างเลนน็อคขึ้นมา บางทีเขาก็อยากได้พลังหรือไอเท็มที่เก็บของไว้ในช่องว่างของมิติได้บ้าง จะได้ไม่ต้องมาลำบากหิ้วของหนักแบบนี้ “มีเวทบังคับสิ่งของอยู่นะคะ แต่เราจะใช้เวทเสกให้ของลอยตามมาตอนไปซื้อของเหรอ” ชาร์ล็อตถามตาปริบ ๆ ดีนชูนิ้วไปทางชาร์ล็อตทำนองว่า ‘แบบนั้นล่ะใช่เลย’ ตอนนี้มนตร์บังตาในเมืองเวสต์ฟิลด์ก็แข็งแรงดีเหมือนเดิมแล้ว คนธรรมดาคงไม่พลาดเห็นตอนที่สายเลือดแห่งมนตราร่ายมนตร์บังคับของลอยเป็นเรื่องผิดปกติ แต่มันจะออกมาภาพไหนเนี่ยสิ “ถ้าใช้เวทนั้นคนธรรมดาจะเห็นภาพเป็นยังไงกันนะ? แต่ถ้าใช้แล้วไม่แปลก พวกเราไปซื้อกันตอนนี้เลยก็ได้แหล่ะ” “อาจจะเห็นเป็นอะไรสักอย่างที่ลอยได้อย่างลูกโป่ง ไม่ก็เครื่องบินบังคับค่ะ แต่ที่จริงหนูก็ไม่เคยใช้เวทนี้ต่อหน้าคนธรรมดาเหมือนกัน” ดูจากสีหน้าแล้วชาร์ล็อตเองก็คงตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย เธอเองคงสงสัยถึงข้อนี้ไม่ต่างจากดีน “ถ้างั้นเราไปซื้อกันเลยไหมล่ะ ถ้าเห็นเป็นลูกโป่งลอยได้มันก็ไม่แปลกเลย แค่ตอนเอาเข้ามาในโรงแรมต้องเปลี่ยนเป็นหิ้วกันแทน ไม่งั้นโดนห้ามเข้าแน่” อากาศที่อยู่ภายในลูกโป่งเป็นก๊าซฮีเลียมไม่ก็ไฮโดรเจนซึ่งอย่างหลังติดไฟได้ อาคารส่วนใหญ่จึงไม่อนุญาตให้นำลูกโป่งเข้าไปเสี่ยงระเบิดแล้วเกิดเพลิงไหม้ “แล้วชาร์ล็อตล่ะเอาไงดี อยากไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้างไหม ฝึกเดินหน่อยพรุ่งนี้น่าจะได้เดินเยอะเลย” ถึงพูดอย่างนั้นแต่ความจริงดีนไม่ค่อยไว้ใจให้ธิดาเฮคาทีอยู่ในห้องเพียงลำพังนานเกินไป ถึงแม้ผ่านมาสามวันแล้วจะไม่มีอะไรมารังควานนอกจากปีศาจเจอร์ซีย์ตัวเมื่อวาน กระนั้นเขาก็ยังไม่วางใจ “ไปค่ะไป หนูอยากไปด้วย เรื่องใช้เวทพี่ดีนไม่ต้องห่วงนะคะ ให้หนูจัดการเอง” สาวน้อยคนเดียวในทีมรีบตอบรับทันทีราวกับว่าถ้าช้ากว่านี้แล้วดีนจะเปลี่ยนใจ แมคเคนซีเองก็ไม่คิดจะขัดอะไร ด้วยเข้าใจว่าน้องอยู่แต่ในห้องพักอุดอู้มาหลายวันก็คงจะเบื่อแย่ ให้เธอออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้างก็ดีเหมือนกัน “ไปกันเลยก็ดี เราจะได้กลับมาจัดกระเป๋ากันต่อ ดูท่าคงพะรุงพะรังน่าดู” . . . - 19.05.2025 / 7:00 A.M. - เช้าวันใหม่เริ่มขึ้นโดยที่แสงแดดภายนอกยังคงทำงานดีไม่มีตก สามเดมิก็อดตื่นกันแต่เช้าตรู่โดยไม่มีใครอิดออด พวกเขารู้แล้วว่าจากนี้ไปอาจจะไม่ได้อาบน้ำเลยอย่างต่ำหกวัน แต่ละคนจึงใช้เวลาอยู่ในห้องอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณร่างกายกันนานหน่อย จากนั้นลงไปรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับสัมภาระอันหนักอึ้งที่ซื้อตุนกันเมื่อวาน เรียกว่าแบกกันจนเอวเคล็ด… เช่นเดียวกันกับการอาบน้ำ นี่จะเป็นอาหารเช้ามื้อสุดท้ายก่อนไม่ได้กินอะไรดี ๆ แล้วต้องทนกินอาหารฉุกเฉินและอาหารสำเร็จรูปท่ามกลางกลิ่นสาบสางสัตว์อีกร่วมอาทิตย์ การรับประทานครั้งนี้จึงเป็นการเติมเต็มไม่ใช่กันตาย จากนั้นไปเช็คเอาท์แล้วออกจากโรงแรมก่อนเจ็ดโมงเช้า ถือว่าพวกเราทำเวลากันได้ดีมาก เมื่อออกมาพ้นจากโรงแรมเหล่าสายเลือดเฮคาทีก็ใช้คาถาทำให้วัตถุลอยตามมา ช่วยทุ่นแรงไปได้หลายส่วน สิ่งที่พวกเขาต้องทำต่อในเวลานี้คือการเดินทางไป ‘ท่าเรือนิววาร์ค’ หนึ่งในท่าเรือหลักของนิวเจอร์ซีย์ “แม่ฮะ ลูกโป่งยักษ์ล่ะ” เด็กชายที่เดินสวนกับแมคเคนซีกระตุกชายเสื้อผู้เป็นมารดาแล้วร้องเรียกให้ดูลูกโป่งสีพาสเทลขนาดยักษ์ที่ลอยตามหลังเขามา ดูเหมือนว่ามนตร์บังตาจะทำงานตามที่ชาร์ล็อตบอกจริง ๆ เพราะในสายตาพวกเขาทั้งสามคนมันคือถุงสัมภาระขนาดใหญ่ที่ลอยได้ต่างหาก “โอ๊ะ ว้าย ขอโทษค่ะ เป็นอะไรหรือ— อ๊ะ แย่แล้วค่ะ พี่แมคพี่ดีน มีคนบาดเจ็บ” ระหว่างกำลังจะเดินไปขึ้นรถไปที่สถานีเวสต์ฟิลด์ อยู่ ๆ ชายคนหนึ่งก็เดินโซเซออกมาจากตรอกเล็ก ๆ แล้วชนกับชาร์ล็อตเข้าก่อนจะล้มลงไป แมคเคนซีรีบมากันน้องสาวของตนเองให้ออกห่างไว้แล้วมองดูร่างที่นอนอยู่กับพื้น สัมภาระที่ลอยอยู่ร่วงตุ้บลงมากับพื้นหลังจากที่สองสายเลือดเฮคาทีหันเหสมาธิมาทางคนเจ็บ ส่วนดีนที่อยู่ใกล้กับสัมภาระที่ถูกมัดรวมพยายามประคองมันไว้ไม่ให้ทุกอย่างเสียหาย จากนั้นก็หันไปดูว่าชาร์ล็อตกับแมคเคนซีเป็นอะไรกัน “ช่วย…ด้วย…” เสียงกระซิบแผ่วเบาและแห้งผาก เมื่อลองย่อตัวลงสำรวจก็พบว่าตามเนื้อตัวมีบาดแผลเต็มไปหมด ร่างของเด็กหนุ่มตรงหน้าหายใจรวยรินเต็มที “เกิดอะไรขึ้น นายโอเคไหม เราต้องเรียกรถพยาบาล” แมคเคนซีรีบหยิบสมาร์ทโฟนออกมา แต่ก็ถูกมือที่แทบไร้เรี่ยวแรงคว้าแขนไว้ “ไม่ได้…ไม่ต้องครับ….ผมรัสเซล….เป็นเดมิก็อด เหมือนพวกคุณ…..บุตรแห่งเฮคาที….” แม้จะได้ยินไม่ชัดแต่ก็พอจับใจความได้ แล้วตอนนี้คิ้วของแมคเคนซีก็ขมวดมุ่นอีกแล้ว “เมื่อกี้นายว่าไงนะ บุตรของเฮคาที ?” “ครับ…ช่วยผม..ด้วย ได้โปรด….ขอน้ำทิพย์ให้ผม…แค่ก ๆ !” ของเหลวสีแดงกระอักออกมารดพื้นเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นไออย่างรุนแรง แมคเคนซีจึงรีบหันมามองเพื่อนร่วมทีมทั้งสอง “เขาบอกว่าต้องการน้ำทิพย์” “น้ำทิพย์.. น้ำทิพย์เหรอ! ฉันมี! ฉันมี! รอเดี๋ยวนะ!” หลังช็อคกับภาพการกระอักเลือดของคนไม่คุ้นหน้าที่อ้างตัวว่าเป็นบุตรของเฮคาที ดีนไม่มีเวลามาประมวลผลข้อเท็จจริงใด ๆ ทั้งสิ้นในเมื่อความเป็นตายของคนเจ็บสำคัญกว่า มือใหญ่ของหนุ่มโพไซดอนรูดซิปควานหาขวดน้ำทิพย์เพียงหนึ่งเดียวในกระเป๋าคาดอก เขาเปิดฝาขวดออกก่อนจะเข้าไปประคองรัสเซลแทนเสบียงทั้งหมด “ค่อย ๆ จิบนะ ถ้ากินรวดเดียวมันจะเผาผลาญภายในร่างกายนายมากไป” ฝ่ามือเปื้อนเลือดแตะมือหนาของดีนเบา ๆ ทำเอาเขาสะดุ้งเล็กน้อย กระนั้นดีนก็ค่อย ๆ ป้อนน้ำทิพย์ให้รัสเซลดื่ม…



ความคิดเห็นผู้บันทึก
คุณดีแอบมาส่องชีวิตส่วนตัวของผมอ่ะ แย่ที่สุด!
แบบนี้ก็รู้หมดสิว่าผมน่ะรักแมคเคนซีมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่เนอะ อิอิ

สรุปสถานการณ์
- ดีนออกไปจ๊อกกิ้งตอนเช้าแล้วเจอคุณดีที่มาบอกอะไรบางอย่าง
- ดีนนำเรื่องธุระของคุณดีกลับไปบอกแมคเคนซีและชาร์ล็อตที่ห้องพัก
- วางแผนการเดินทางต่อ เมื่อตกลงแผนกันได้เลยไปซื้อเสบียง
- วันเดินทางจริง พบ [รัสเซล บุตรแห่งเฮคาที] ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
- ดีนป้อน [น้ำทิพย์] ขวดสุดท้ายให้รัสเซลอย่างไม่ลังเล

DEAN


พบเทพไดโอนีซุส 
BELIEVER (ผู้ศรัทธาเหล่าเทพ) โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +15

MACKENZIE

-


แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-14-1] ไดโอนีซุส (คุณดี) เพิ่มขึ้น 15 โพสต์ 2025-6-9 13:04
God
แต่เราก็ไม่ไปหรอก เราอยู่ในสเปนมาจนชินแล้ว ช่วยเหลือคนแปลกแบบเรา เอาตัวรอดกันเอง  โพสต์ 2025-6-9 12:28
God
เขาเป็นคนกลุ่มฟอลคอน หัวหน้าเราเป็นบุตรแห่งซุสที่หนีเพราะเขาบอกว่าเป็นลูกเทพต้องห้าม พวกเราไม่เคยรู้การมีอยู่ของค่ายพวกนาย จนกระทั่งหลายปีก่อนเหล่าเทพพากันรับรองพวกเรา   โพสต์ 2025-6-9 12:27
God
เขาแนะนำตัวเอง (คุณได้รับโควต้าเสนอ รัสเชล [ห้องรวบรวม NPC เดมิกอตกลุ่มอื่น ๆ]) (ไม่นับโควต้าปกติ)  โพสต์ 2025-6-9 12:26
God
ดูเหมือนว่าเขาพูดว่าลงใต้ ไม่รู้ตอนนี้เป็นไงบ้าง แต่ดูจากการที่เขาสู้อสุรกายนับสิบคงรอดได้แหละ แค่ เขายกมือชี้สมอง ดูจิตหลุดน่ะ  โพสต์ 2025-6-9 12:25
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่แห่งเกียรติยศ
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
แว่นตา
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
น้ำหอม Unisex
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x50
x1
x1
x1
x4
x1
x1
x1
x3
x1
x1
x1
x1
x2
x2
x1
x1
x1
x5
x4
โพสต์ 6 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2025-6-22 10:49

VII
แผนลอบขึ้นเรือ(?)
 Mackenzie Claude Lincoln 


- 19.05.2025 -


“………”

ทีมทำภารกิจมองคนเจ็บที่บอกว่าตนเองเป็นเดมิก็อดเช่นกันซ้ำยังเป็นบุตรเทพีเฮคาทีเหมือนแมคเคนซีกับชาร์ล็อตอีกด้วย การดื่มน้ำทิพย์อาจเป็นการพิสูจน์อย่างนึงว่าเด็กหนุ่มคนนี้พูดจริงหรือไม่

“อ๊ะ แผลค่อย ๆ ดีขึ้นแล้วจริง ๆ ด้วยค่ะ” 


ชาร์ล็อตยกมือขึ้นปิดปากเมื่อเห็นว่าบาดแผลฉกรรจ์ตามร่างของรัสเซลค่อย ๆ สมานกันจนเหลือเพียงแค่แผลเป็น ลมหายใจรวยรินเมื่อครู่ก็เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เมื่อร่างกายฟื้นตัวแล้ว รัสเซลที่ถูกดีนประคองอยู่ก็ค่อย ๆ ขยับตัวนั่ง


“ขอบคุณพวกคุณมากที่ช่วยผมไว้“


พอได้เห็นคนเจ็บถูกรักษาจนหายทั้งสามคนก็เบาใจลง


“ไม่เป็นไร เอ๊ะ ! เดี๋ยวนะ…” คล้ายเพิ่งเอะใจขึ้นมาได้ว่าดีนไม่เคยเจอเดมิก็อดคนนี้มาก่อน “เมื่อกี้นายพูดว่าไงนะ ?”


หนุ่มเครื่องหน้าละตินเรือนผมสีเมล็ดกาแฟคั่วมัดยุ่ง ๆ ครึ่งหัวโคลงศีรษะเล็กน้อยกะพริบตาปริบก่อนจะพูดอีกรอบ


“ขอบคุณมาก… ที่ช่วยผมไว้”


“ไม่ ไม่ ไม่ ฉันหมายถึงก่อนหน้านั้น… ก่อนหน้านั้นไปอีก ที่นายบอกว่าเป็นบุตรของใครนะ ? ทำไมฉันไม่เคยเห็นนายมาก่อน ถึงเป็นเด็กใหม่ก็ต้องพอคุ้นหน้าบ้างสิ” ดีนอธิบายคำถามของเขาไปอีก สายตาที่มองรัสเซลเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ “หรือว่านายเป็นคนจากค่ายจูปิเตอร์ ?”


“อ้อ ผมบอกว่า ผมชื่อรัสเซล เป็นบุตรแห่งเฮคาที แล้วผมก็ขอน้ำทิพย์พวกคุณ ส่วนค่ายจูปิเตอร์… ไม่ใช่นะ“


เมื่อได้ฟังคำตอบของรัสเซลแล้วก็ยิ่งสงสัยไปกันใหญ่ แมคเคนซีที่ยืนดูอยู่เงียบ ๆ มาสักพักเอียงคอแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย


“ถ้าไม่ใช่คนจากค่ายจูปิเตอร์ แล้วนายมาจากไหน หรือว่าเป็นเดมิก็อดอิสระที่ออกมาใช้ชีวิตนอกค่ายฮาล์ฟบลัดแล้ว”

จากที่เคยคุยกับชาวค่ายจูปิเตอร์เมื่อสิ้นปีก่อนทำให้แมคเคนซีพอมีความรู้มาบ้างว่าคนจากค่ายนั้นเป็นลูกหลานเทพจากภาคโรมัน แม้จะเป็นเทพองค์เดียวกันแต่มีชื่อเรียกต่างกัน และรัสเซลเองก็บอกว่าตนเป็นบุตรแห่งเทพีเฮคาที เพราะงั้นก็ตัดเรื่องค่ายจูปิเตอร์ออกไปได้เลย


“ก็ไม่ใช่เหมือนกัน ผมมาจากกลุ่มฟอลคอน พวกคุณคงไม่รู้จักหรอกใช่ไหม แต่ว่าผมรู้จักค่ายฮาล์ฟบลัดกับค่ายจูปิเตอร์นะ พวกเราเคยส่งทรัพยากร…ผมหมายถึงสินสงครามจากอสุรกายที่กลุ่มเราล่าได้ไปให้ทั้งสองค่ายอยู่“


“กลุ่มฟอลคอน… ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแฮะ”


ไม่รู้ว่ากลุ่มฟอลคอนที่ว่านี้ลึกลับเกินไปหรือเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ค่อยอยู่ติดค่ายจึงตามข่าวสารบ้านเมืองไม่ทัน ดีนหันไปทางเพื่อนร่วมทีมทั้งสอง ชาร์ล็อตส่ายหน้าว่าไม่รู้จัก ส่วนแมคเคนซีก็น่าจะมีความรู้พอ ๆ กันกับเขาล่ะมั้ง

แมคเคนซีเองก็หลุบตาลงมองดีนกลับก่อนจะส่ายหน้าแทนคำตอบเช่นกัน แล้วหันไปคุยกับรัสเซลอีกครั้ง


“พวกเราก็ไม่รู้จักกลุ่มของนายจริง ๆ นั่นล่ะ แล้วทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้คนเดียว มาทำอะไรที่นี่”


“ผมกับเพื่อนมาจากสเปนเพื่อมาล่าอสุรกายท้องถิ่น พวกเราแยกกันไปตามจุดต่าง ๆ แต่ผมดันพลาดท่าให้พวกมันซะได้ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น”


เดมิก็อดจากกลุ่มฟอลคอนมองตามเนื้อตัวของตนเองที่เสื้อผ้ามีรอยขาดวิ่น เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและคราบเลือดที่แห้งกรัง


“มาจากสเปนเชียว..”


ถือเป็นความรู้ใหม่ หากมีโอกาสดีนน่าจะลองถามคุณไครอนเกี่ยวกับเดมิก็อดกลุ่มอื่น ๆ ดูบ้าง บางทีสายสืบเซนทอร์ของเขาน่าจะรู้ข้อมูลเรื่องนี้ดี


“อา…แล้วนายจะเอายังไงต่อ”


แมคเคนซีถามพลางทำทีเหลือบมองเวลาจากนาฬิกาข้อมือ พวกเขาเองก็ยังมีเรื่องที่ต้องไปทำ คงไม่มีเวลามาสนทนามากนัก


“ผมจะกลับไปหาเพื่อน เขาอยู่เมืองใกล้ ๆ นี้เอง”


ระหว่างนั้นที่ดีนสังเกตเห็นแมคเคนซียกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก่อนจะทำตาม

“โอ้ เกือบลืมไปเลย พวกเราก็รีบ นายจะกลับไปหาพวกนายเลยไหมรัสเซล น่าเสียดายที่พวกเรารีบจริง ๆ คงไปเป็นเพื่อนนายที่ต่างเมืองไม่ได้”


“ไม่เป็นไร” รัสเซลตอบพร้อมกับยกมือปัดไปมา ถึงเขาจะเพิ่งโดนยำใหญ่มาเมื่อกี้ แต่ฝีมือไม่ได้กระจอกถึงขนาดให้ใครตามไปปกป้อง “เอ้อจริงสิ ก่อนหน้านี้หลายเดือนมาก ๆ ผมเห็นคนใส่เสื้อสีส้มเหมือนคุณ”


บุตรเฮคาทีจากกลุ่มฟอลคอนชี้นิ้วไปทางชาร์ล็อตที่สวมเสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด


“เสื้อแบบนี้เหรอคะ”


ชาร์ล็อตชี้ที่โลโก้ม้าเพกาซัสสีดำบนเสื้อยืดสีส้ม รัสเซลพยักหน้าลงก่อนพูดต่อ


“แต่ว่าเขา เอ่อ..” ปลายนิ้วของบุตรเฮคาทีแห่งสเปนชี้วนที่ข้างขมับ ทำสีหน้าอธิบายยาก “เหมือนสมงสมองไปหมดแล้วน่ะ ปากเพ้อแต่ ‘ต้องช่วยเพื่อน ชาร์ล็อต อาร์ตี้’ อะไรสักอย่าง”

“เอ๋ ! เพ้อชื่อฉันเหรอคะ ” หญิงสาวทำตาโต เธอรีบถามจนลิ้นแทบจะพันกัน “เขา.. เขาคนนั้นลักษณะเป็นยังไงคะ” 

“นั่นชื่อเธอเหรอ” รัสเซลโคลงหัว คิดถูกแล้วเชียวที่ลองเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง “ผู้ชาย… เอ หรือผู้หญิงหว่า โทษทีผมแยกไม่ค่อยออก แต่เขาสวมแว่นกันแดดสีดำที่แตกไปครึ่งนึง แล้วก็ผมข้างหน้าสีชมพู”


“นั่นมันลักษณะตรงกับคุณไฮรี่เลยนี่นา !” ชาร์ล็อตยกมือขึ้นปิดปากน้ำตาซึม


“ไฮรี่เหรอ คนที่คำทำนายบอกว่าสูญเสียชีวิตอ่ะนะ !?” ดีนทำตาโตตาม เขาเคยได้ยินแต่ชื่อบุตรแห่งเฮอร์มาโฟรไดตัสคนนั้นแต่ไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาเสียที “นายเจอแค่คนเดียวเหรอรัสเซล“


“อื้ม ก็…เห็นเขามาคนเดียวนะ แต่ถึงจะสภาพนั้นก็…เจ๋งชะมัด จะว่าไงดี ผมเห็นเขาสู้กับพวกอสุรกายเป็นสิบตัวด้วยตัวคนเดียวจนพวกมันลงไปนอนกองกับพื้นเลย”


รัสเซลเล่าด้วยความตื่นเต้น ตรงกันข้ามกับเดมิก็อดทั้งสามจากค่ายฮาล์ฟบลัดที่ได้แต่ฟังแล้วทำตาปริบ ๆ


“…..จากลักษณะที่นายเล่ามา เขาเป็นคนจากค่ายเราจริง ๆ พอจำได้ไหมว่าตอนนั้นเจอเขาที่ไหน”


แมคเคนซีที่ลูบหลังปลอบชาร์ล็อตถามขึ้นมา แม้จะผ่านมาหลายเดือนแต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้เบาะแสของไฮรี่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี


“นิวเจอร์ซีย์นี่ล่ะ แต่ก็ตั้งแต่เมื่อต้นปีแล้วนะ ป่านนี้ไม่รู้ไปถึงไหนแล้ว ผมได้ยินเขาบอกว่าจะ ‘ลงใต้’ อะไรทำนองนี้”


รัสเซลกลอกตานึกย้อนไปถึงช่วงเวลานั้นแล้วโคลงศีรษะไปมาอีกครั้ง


“ลงใต้ ?”


เบาะแสะที่ได้เพิ่มเติมมาทำให้แมคเคนซีเลิกคิ้ว แต่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไร หนุ่มชาวสเปนก็พูดขึ้นต่อ


“พวกคุณจะเดินทางต่อแล้วใช่ไหม เอางี้ไหมล่ะ เรามาแลกคอนแทคกัน พวกคุณช่วยชีวิตผมไว้ ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็ติดต่อมาได้เลย”


“อ..โอเค ขอบคุณมาก เมมเบอร์พวกเราไว้สิ แอพแชทก็แอดจากเบอร์โทรได้เลย”


แมคเคนซีหยิบสมาร์ทโฟนเปิดหน้ารายชื่อผู้ติดต่อส่งให้รัสเซลที่รับไปบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ของพวกเขาอย่างคล่องแคล่ว


“ขอโทษที่เสียมารยาทแนะนำตัวช้าไป นั่นดีน บุตรแห่งมหาเทพโพไซดอน ส่วนผู้หญิงคนนั้นคือชาร์ล็อต และฉันแมคเคนซี พวกเราเป็นบุตรเทพีเฮคาทีเหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จัก…น้องชาย”


เรียวนิ้วที่กำลังจะกดบันทึกข้อมูลชะงักไปเล็กน้อย รัสเซลเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องร่วมมารดาของตนก่อนจะยิ้มให้แล้วส่งสมาร์ทโฟนคืน


“ยินดีที่ได้รู้จักพี่ชายทั้งสองคนและน้องสาวเช่นกัน”


หลังจากนั้นสามเดมิก็อดจากฮาล์ฟบลัดก็แยกทางกับรัสเซลแล้วเดินทางไปถึงท่าเรือนิววาร์ค
.
.
.
- 8:45AM. -


ดีน แมคเคนซีและชาร์ล็อต มาถึงท่าเรือนิววาร์คก่อนเวลาออกเรือเกือบสามชั่วโมง หากเป็นการเดินทางปกติถือว่ากะเวลาได้ดี แต่สำหรับคนที่วางแผนว่าจะแอบขึ้นเรือไปโดยอาศัยตู้ขนสินค้าฟรี (ในที่นี้คือขนปศุสัตว์) เรียกว่าเกือบเลท


“เราต้องไปท่าเรือที่เก้า”


ดีนชี้นิ้วบอกพรรคพวกทั้งสองไปทางท่าหมายเลขเก้าซึ่งมีเรือสินค้าขนาดใหญ่จอดอยู่ไกลลิบ ๆ จนเห็นเรือยักษ์บนน้ำเหลือขนาดเพียงแค่รถคันหนึ่ง ซึ่งจากที่พวกเขาอยู่กันตอนนี้กว่าจะไปถึงท่าดังกล่าวก็ต้องเดินไปอีกไกลมาก ๆ

“เดี๋ยวพวกเราต้องไปเจอกับความลำบากแล้ว มีใครอยากเข้าห้องน้ำหรือซื้ออะไรเป็นครั้งสุดท้ายไหม”


“หนูขอไปเข้าห้องน้ำค่ะ”


ชาร์ล็อตยกมือขึ้นระดับศีรษะหลังจากที่มองไปยังเรือขนส่งสินค้าลำนั้น


“งั้นพวกนายไปทำธุระกันก่อน เดี๋ยวฉันเฝ้าของให้”


แมคเคนซีเสนอตัว ข้าวของเยอะแยะแบบนี้ไปพร้อมกันสามคนคงไม่สะดวกเท่าไหร่


“โอเค งั้นเดี๋ยวฉันมานะที่รัก”


ดีนตอบก่อนจะไปเข้าห้องน้ำกับชาร์ล็อต แมคเคนซีเพียงพยักหน้ารับพลางมองแผ่นหลังของคนรักกับน้องสาวเดินไปยังห้องน้ำสาธารณะที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าสัมภาระที่ดี


“ช่วยด้วยค่ะ ! ช่วยเพื่อนฉันด้วยนะคะ !”


อยู่ ๆ หญิงสาวคนหนึ่งที่มาจากไหนไม่รู้ก็มาดึงแขน พอหันไปมองก็ถึงกับต้องตะลึง เมื่อเห็นสาวสวยผมบรอนซ์ดัดเป็นคลื่นถึงกลางหลังในชุดเดรสวันพีชลายดอกเข้ารูป หุ่นอย่างกับนางแบบวิคตอเรียซีเคร็ทกำลังร้องขอความช่วยเหลือด้วยใบหน้าตื่นตกใจ


แต่นั่นใช่ประเด็นที่ไหนกันล่ะ


“อ..เอ่อ เดี๋ยวนะครับ คุณจะให้ผมช่วยอะไร”


“เพื่อนฉัน เพื่อนฉันจมน้ำค่ะ อยู่ตรงนั้น ไปช่วยเพื่อนฉันหน่อยนะคะ”


หญิงสาวชี้ไปยังร่างหนึ่งที่อยู่ห่างจากชายฝั่งออกไป หากเป็นดีนที่มีสายเลือดเจ้าสมุทรแถมเห็นสาวสวยระดับนี้คงไม่ลังเลที่จะรีบไปช่วย แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น แมคเคนซีก็ถูกดึงไปด้วยแรงมหาศาลจนต้องตามไปอย่างเสียไม่ได้


“ด..เดี๋ยวก่อนคุณ ผมว่าเรียกเจ้าหน้าที่—”


ความเย็นเยียบอันผิดปกติของมือหญิงตรงหน้าถ่ายทอดมายังแขนของแมคเคนซี เมื่อก้มลงดูก็พบว่าหลังมือของเธอมีสิ่งที่คล้าย ๆ เกล็ดขึ้นมาปกคลุมไว้ เดมิก็อดหนุ่มรีบสะบัดแขนออกทันทีจนอีกฝ่ายชะงัก เมื่อเธอหันมา ใบหน้าสะสวยนั้นก็มีเกล็ดงอกออกมาจากบางส่วนเช่นกัน

“อุ๊ยตาย รู้ตัวซะแล้วเหรอพ่อรูปหล่อ”


ส่วนขาทั้งสองข้างกลายสภาพเป็นสิ่งที่คล้ายกับหางงู ในคราแรกเขาเข้าใจว่าเธอคงเป็นลาเมียไม่ก็กอร์กอน แต่ปีกที่งอกขึ้นมากลางหลังทำให้รู้ว่าไม่ใช่

“ชักช้าจริง รีบจับโยนลงมาในน้ำเลยสิ !”


เมื่อหันไปมองตามเสียงก็เห็นอสุรกายสาวอีกตนที่มีลักษณะคล้ายกันกำลังว่ายน้ำมาทางนี้ ดูท่าคงจะเป็นคนที่ทำทีเป็นจมน้ำเพื่อล่อให้เขาไปติดกับ


“อุ๊บ โอ๊ย !”


ส่วนที่เป็นหางงูเลื้อยรัดพันข้อเท้าของแมคเคนซีไว้ด้วยความเร็วแล้วดึงอย่างแรงจนเขาเสียหลักล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้า ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากจนแมคเคนซีหยิบคทาเวทย์ในกระบอกซูมที่สะพายหลังอยู่ไม่ทัน อสุรกายครึ่งงูเริ่มเลื้อยไปรอบตัว หวังจะรัดร่างเหยื่อให้ขาดอากาศหายใจแล้วพาลงไปใต้น้ำ


ฉับพลันพื้นที่บริเวณนั้นก็เริ่มมีไอหมอกปกคลุมหนาขึ้นเรื่อย ๆ แมคเคนซีรวบรวมสมาธิบังคับให้หมอกบางส่วนควบรวมตัวกันจนเป็นลูกบอลขนาดย่อม 2-3 ลูกแล้วพุ่งโจมตีใส่อสุรกายตนนั้นอย่างแรง แม้จะไม่ถึงตายแต่ก็พอถ่วงเวลาให้เขาได้หยิบคทาเวทย์ออกมา


“จบงานนี้แล้วพวกเราไปฉลองกันเถอะ”


“พูดไปเรื่อย ค่าเช่าห้องเดือนที่แล้วฉันยังไม่จ่ายเลย ขอผ่านก่อนแล้วกัน”


“ฉันพอมีเงินเก็บบ้าง คราวนี้ฉันจ่ายส่วนของนายให้ก็ได้นะ”


“เฮ้ย เจ๋งอะ จ่ายให้ฉันด้วยสิเพื่อน”


“นายเป็นคนชวนแปลว่ามีเงิน ก็จ่ายเองเซ่”


เสียงพูดคุยกันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ปรากฏเป็นเงาราง ๆ ของคนสามคนกำลังเดินมาทางนี้

“พวกคุณทำอะไรกันน่ะ”


ชายหนุ่มคนหนึ่งทักขึ้นเมื่อเดินผ่านม่านหมอกมนตรามาแล้วเห็นฉากการต่อสู้เข้า


“เฮ้ย น..น..นั่นมันตัวอะไร สัตว์ประหลาด ! ช่วยด้วยยยย !”


“อยู่ไม่ได้แล้วโว้ยยยยย !”


กลุ่มวัยรุ่นถึงกับวงแตก สองคนวิ่งกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง ส่วนอีกคนที่ดูจะกลัวมากที่สุดก็เป็นลมล้มพังพาบอยู่ตรงนั้น


“เวรล่ะ…”


แมคเคนซีสบถเบา ๆ ในยามปกติหากมนุษย์มาเห็นเดมิก็อดต่อสู้กับอสุรกายก็จะเห็นเป็นภาพคนทั่วไปกำลังทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่คนกลุ่มนี้คงถึงคราวโชคไม่ดีที่เดินผ่านมาขณะที่เขาใช้ทักษะควบคุมหมอก อานุภาพของหมอกเวทย์คงส่งผลกระทบให้มนต์บังตาแถวนี้ไม่เสถียรเท่าที่ควร พวกเขาจึงเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้าจนนำไปสู่อาการสติหลุดเช่นนี้


“พวกมนุษย์อ่อนแอเสียจริง กรี๊ดดด !”


เสียงกรีดร้องดังขึ้นเมื่อคมกริชจันทราสีเลือดแทงเข้าที่ส่วนลำตัวงูจนอสุรกายตนนั้นรีบคลายหางที่พันข้อเท้าแมคเคนซีอยู่ พอเห็นว่าเพื่อนถูกทำร้าย อสุรกายสาวอีกตนก็รีบบินขึ้นมาจากน้ำ เดมิก็อดหนุ่มจึงใช้จังหวะนี้เล็งคทาเวทย์แล้วร่ายคาถายิงลูกไฟใส่จนร่างนั้นสลายเป็นฝุ่นผงกลางอากาศ ก่อนจะตั้งสมาธิควบคุมหมอกอีกครั้งให้ปกคลุมร่างอสุรกายตรงหน้าแล้วบีบอัดจนแตกสลายเหลือเพียงสินสงครามที่ร่วงลงมากับพื้น


“อูย เจ็บชะมัด”


แมคเคนซีค่อย ๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นแล้วลูบตรงบั้นท้ายที่ยังรู้สึกเจ็บระบม หลังจากเก็บคทาเวทย์เรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบไปดูมนุษย์ผู้เคราะห์ร้ายที่เป็นลมไม่ได้สติอยู่


“เฮ้ เป็นอะไรหรือเปล่า…..หืม”


ขณะที่พยายามจะปลุกอีกฝ่าย สายตาแมคเคนซีก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อคนคนนั้น


“เจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ประจำเรือขนส่งสินค้า…”


พอไล่สายตาอ่านข้อมูลในนามบัตรนั้นจนครบถ้วน เขาก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หนุ่มอังกฤษรีบเดินกลับไปหาดีนกับชาร์ล็อตตรงจุดที่พวกเขาวางสัมภาระไว้ ป่านนี้ทั้งคู่คงกลับมาจากเข้าห้องน้ำแล้ว โดยไม่ลืมแจ้งเจ้าหน้าที่แถวนั้นให้ไปช่วยดูคนที่นอนสลบอยู่ด้วย
.
.
ทางด้านดีนและชาร์ล็อตหลังจากที่ไปเข้าห้องน้ำกันเสร็จเรียบร้อยก็ได้กลิ่นหอมฉุยลอยมา แน่นอนว่าไม่ใช่กลิ่นของห้องน้ำ พวกเขาไม่ได้หิวจนตาลายจนคิดว่าของเหม็นคือความหอม แต่เป็นเพราะไม่ไกลจากตรงนี้มีแผงขายแซนด์วิชย่างตั้งอยู่ต่างหาก

เดมิก็อดทั้งสองมองหน้ากันอย่างที่รู้ความต้องการของอีกฝ่าย

‘อย่างน้อยมื้อกลางวันและมื้อเย็นวันนี้ต้องไม่ใช่อาหารกระป๋อง !’

บุตรแห่งโพไซดอนและธิดาแห่งเฮคาทีตรงดิ่งไปซื้อแซนด์วิชย่างติดกระเป๋ามาด้วยหลายชิ้นราวกับว่าจะไปปิกนิก จากนั้นจึงกลับไปหาแมคเคนซีโดยที่ไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง

“ที่รักรอนานไหม พวกเราซื้อแซนด์วิชมื้อกลางวันมาเพิ่มด้วย”


“โอ้ ไม่ ไม่นานเลย แซนด์วิชงั้นเหรอ เยี่ยมเลยสิ อย่างน้อยมื้อนี้ก็ยังไม่ต้องกินอาหารเสบียง”


แมคเคนซีที่กลับมาก่อนรีบส่ายหน้าก่อนจะเออออเรื่องแซนด์วิชย่างที่ทั้งคู่ซื้อมา ทั้งที่ตอนนี้ภายในหัวมีเรื่องที่อยากบอกมากมายจนเลือกไม่ถูกว่าจะพูดเรื่องไหนก่อนดีในช่วงเวลาอันจำกัดเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะปิดบังเรื่องที่เจอมากับสมาชิกร่วมทีม ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม


“เอ่อ…คือว่าฉันมีเรื่องจะเล่าให้พวกนายฟัง แล้วก็อยากปรึกษาอะไรนิดหน่อย…” 


“หืม มีอะไรเหรอ”


ดีนโคลงศีรษะถาม หรือว่าช่วงที่เขากับชาร์ล็อตไม่อยู่อีกฝ่ายจะเจออะไรกันนะ ดวงตาสีเปลือกไม้จึงมองสำรวจคนรักไปทั่ว


แมคเคนซีมองใบหน้าสงสัยใคร่รู้ของดีนกับชาร์ล็อตก่อนจะเริ่มเล่า


“ตอนที่รอพวกนายไปเข้าห้องน้ำ มีมอนสเตอร์มารังควานฉันน่ะ แต่ฉันจัดการพวกมันเรียบร้อยแล้วนะ ไม่ต้องห่วง”


เขาเล่าแบบสรุปเฉพาะส่วนที่สำคัญโดยข้ามรายละเอียดไป ไม่ว่าจะเป็นมอนสเตอร์ที่มาในคราบสาวสวยเซ็กซี่ รวมถึงอาการบาดเจ็บตรงช่วงบั้นท้าย ไม่เช่นนั้นดีนคงได้ซักไซ้ไล่เรียงยาวเหยียดมากกว่าใช้ตามองเหมือนเมื่อครู่แน่


“แล้วก็ระหว่างที่ฉันต่อสู้อยู่ ดันมีคนธรรมดากลุ่มนึงมาเห็นเข้า ดูท่าว่าพวกเขาจะโดนผลข้างเคียงของทักษะควบคุมหมอกไปเลยอาจเห็นอะไรที่น่ากลัว มีสองคนวิ่งหนีไป ส่วนอีกคนเป็นลม…”


เมื่อเล่าถึงตรงนี้แมคเคนซีก็เงียบไปอีกรอบ พอได้ค่อย ๆ เรียบเรียงเหตุการณ์ทั้งหมดออกมาเป็นคำพูดแล้วก็ตระหนักได้ว่าค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่พอควร แต่ตอนนี้เรื่องที่พวกเขาต้องไปทำสำคัญยิ่งกว่า


“ฉันเรียกเจ้าหน้าที่ให้ไปช่วยดูอาการคนที่เป็นลมแล้ว ส่วนเรื่องที่ฉันอยากปรึกษาก็คือเรื่องนี้…”


บุตรแห่งเทพีมนตราหยิบบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ซึ่งนำติดมือมาด้วยออกมาให้สมาชิกร่วมทีมทั้งสองดู


“อย่างที่เห็น…พวกที่มาเจอฉันเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ของบริษัทเรือขนส่งสินค้าที่พวกเรากำลังจะไปกัน พวกนายว่าเป็นไปได้ไหมถ้าฉันจะใช้พลังควบคุมหมอกสร้างภาพลวงตาให้เจ้าหน้าที่ประจำเรือเห็นว่าพวกเรามีใบอนุญาตให้ขึ้นเรือไปในฐานะเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ได้”


ดีนกำลังจะอ้าปากโพล่งออกมาว่า ‘แล้วทำไมนายไม่เอาบัตรไปคืน !’ ตามความเป็นคนดีศรีอเมริกัน จนกระทั่งแมคเคนซีอธิบายจบความเป็น ‘คนดี’ ก็ถูกพับใส่กล่อง


“แบบนี้ก็ดีน่ะสิ ! พวกเราจะได้ไม่ต้องนอนในคอกสัตว์กันแล้ว”


บุตรแห่งโพไซดอนกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ใครจะคิดเล่าว่าจากที่เคยพูดเล่น ๆ ออกไปว่า ‘ตุ้บตั้บลูกเรือสามคนแล้วสวมรอยแทน’ จะเป็นจริงได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องออกแรงทำร้ายร่างกายผู้บริสุทธิ์เลยด้วยซ้ำ ทว่าความตื่นเต้นนั้นก็ลดลงนิดหน่อยหลังจากที่พูดคำว่า ‘พวกเรา’ ออกมา

“แต่ว่ามันมีแค่ใบเดียว… ถ้างั้นอีกสองคนก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เหรอ” มือหนายกขึ้นลูบปลายคาง “ถ้าได้ห้องเดี่ยวก็คงจะพอซ่อนอีกสองคนได้หรอกนะ”


“แล้วถ้าเกิดว่าเราปลอมบัตรอีกสองใบล่ะคะ” ชาร์ล็อตเสนอความเห็น


แมคเคนซีพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดเสริม


“พี่ว่าเราน่าจะทำได้ ตอนไปทำภารกิจที่แคนาดาพี่ก็เคยใช้หมอกสร้างภาพวีซ่าปลอมมาก่อน….”


แล้วก็ต้องเงียบไปเล็กน้อยเมื่อถูกดวงตาใสแจ๋วราวกับลูกแก้วของชาร์ล็อตมองจ้องมาเลยทำได้แค่ยิ้มเจื่อนให้ เขารู้ว่าเรื่องที่ทำมันไม่ถูกต้องและผิดกฎหมาย แต่สถานการณ์ตอนนั้นมันเร่งรีบ และครั้งนี้ก็เช่นกัน


“พี่แมคออกไปทำภารกิจมาด้วยเหรอคะ ไม่เห็นเล่าให้หนูฟังเลย”


พอรู้ว่าเธอสงสัยเรื่องอะไรแมคเคนซีก็พรูลมหายใจแล้วหลุดขำน้อย ๆ ให้ตายสิ เขานึกว่าจะโดนน้องสาวงอนที่ทำเรื่องไม่ดีเข้าซะอีก


“ไว้พี่จะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้เรามาวางแผนเรื่องขึ้นเรือกันให้ได้ก่อน ฉันคิดว่าแต่ละคนควรมีนามบัตรหรือกระดาษอะไรก็ได้ที่ขนาดเท่าบัตรพนักงานนี่ ส่วนเรื่องสร้างภาพลวงตาให้เป็นหน้าที่ของฉันกับชาร์ล็อตเอง”


“บัตรเท่ากับบัตรพนักงานนี่เหรอ…”


ดีนหยิบบัตรพนักงานที่แมคเคนซีถืออยู่มาดู เท่าที่เห็นขนาดมันก็เท่ากับนามบัตรทั่วไป เขาส่งมันคืนจากนั้นลองเปิดกระเป๋าสตางค์มาค้นดู นอกจากไอดีการ์ดและใบขับขี่ดีนยังพบนามบัตรค่ายฮาล์ฟบลัดที่คาดว่าน่าจะได้มาจากคนที่ชื่อเพอร์ซีย์ แจ๊กสัน แต่ของสำคัญแบบนี้ไม่เอามาปลอมแปลงหรอก


“ฉันว่าบัตรสองใบนี้น่าจะได้”


เขาส่งบัตรสะสมแต้มร้านอาหารสองใบที่หมดอายุตั้งแต่ปีที่แล้วเพราะมัวแต่ติดแหงกอยู่ที่ค่ายลูกเทพให้


“เลือกได้ดีนี่ที่รัก”


ดวงตาสีฮาเซลหลุบมองบัตรในมือคนรักแล้วยิ้มบาง ๆ ก่อนนำคูปองทั้งสองใบมาเก็บไว้แล้วเอาบัตรพนักงานตัวจริงวางใส่มือดีนแทน


“นายเก็บเจ้านี่ไว้แล้วกัน แค่เปลี่ยนรูปกับข้อมูลในบัตรนิดหน่อยน่าจะใช้พลังเวทย์น้อยกว่า จะได้ผ่านเข้าไปได้ง่าย ๆ”


นั่นหมายความว่าหากการใช้ทักษะควบคุมหมอกกับบัตรคูปองซึ่งต้องใช้พลังเวทย์มากกว่าเกิดปัญหาหรือไม่ได้ผลขึ้นมา อย่างน้อยดีนที่เป็นเจ้าของคำพยากรณ์ก็ยังสามารถเดินทางไปต่อได้อยู่


“โอเค ฉันจะเก็บไว้อย่างดีเลย”


ดีนรับบัตรพนักงานมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อยีนส์จากนั้นตบที่อกตัวเองเบา ๆ


“ใกล้ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ”


แมคเคนซีบอกแล้วยกกระเป๋าสัมภาระขึ้นสะพาย ก่อนจะร่ายเวทย์ย่อส่วนของที่ซื้อเพิ่มมาเมื่อวานให้มีขนาดเล็กลงด้วยเข้าใจดีว่าไม่สามารถนำพวกมันลงเรือไปในสภาพลูกโป่งลอยได้ จากนั้นพวกเขาจึงพากันเดินไปยังท่าเรือหมายเลขเก้า.


จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าการใช้มนต์ลวงตาไม่เคยเกิดข้อผิดพลาดเลยสักครั้ง กระนั้นดีนก็รู้สึกใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ทุกครั้งเมื่อต้องผ่านด่านตรวจ ด้วยความที่ตนเองมีบัตรพนักงานของจริง (แต่ข้อมูลปลอม) อยู่ในมือ เขาจึงโชว์บัตรแก่คนเรือที่อยู่บริเวณหน้าประตู

“สวัสดี ผมเป็นสัตวแพทย์ ส่วนสองคนนี้เป็นผู้ช่วยผมแล้วก็คนดูแลสัตว์ พวกเราเป็นพนักงานใหม่ที่บริษัทส่งมาน่ะต้องทำยังไงบ้างเหรอ”


“มาซะเกือบเรือออกเชียวคุณหมอ”


พนักงานเรือทักกลับเล่นทำเอาดีนยิ้มแหย ทว่าบัตรพนักงานในมือดีนไม่ได้ถูกตรวจสอบโดยละเอียดเลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายแค่มองผ่าน ๆ พอเห็นว่าเป็นบัตรที่คุ้นเคยก็ให้ผ่านไปได้ ช่างทำงานหละหลวมเสียจริง


“เข้าไปตามทางจะเจอจุดเช็คอิน รับกุญแจห้องตรงนั้น เอาของไปเก็บแล้วก็ไปที่ห้องประชุมตอนสิบโมงจะมีเซฟตี้บรีฟก่อนออกเดินทาง”


“เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะ”


ดีนยิ้มกลับตามมารยาท (หรืออาจเพื่อเล่นละครให้แนบเนียน) จากนั้นมองไปทางแมคเคนซีกับชาร์ล็อตแล้วพยักหน้าให้ ก่อนที่เขาจะรีบเดินไปตามทางเดินในเรือเพื่อไม่ให้ถูกเรียกตัวมาไถ่ถามอะไรอีก แต่พอเดินนำไปได้ไม่เกินห้าก้าว ชาร์ล็อตที่เดินตามมาก็ถูกเรียกตัวไว้ ทำเอาผู้ลักลอบขึ้นเรือสะดุ้งกันเป็นแถบ ๆ

“เฮ้ เดี๋ยวนะ ผู้หญิงงั้นเหรอ”


“อะ…เอ่อ…”


โชคดีที่การตรวจสอบข้อมูลของเจ้าหน้าที่เป็นไปแบบรวดเร็ว คูปองอาหารหมดอายุที่แมคเคนซีกับชาร์ล็อตใช้ทักษะควบคุมหมอกสร้างภาพลวงตาปิดทับไว้ให้กลายเป็นบัตรเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์จึงไม่เป็นที่ผิดสังเกต แต่รูปลักษณ์ของชาล็อตกลับไม่รอดพ้นสายตาเจ้าหน้าที่เรือไปได้ ทั้งสามคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แมคเคนซีที่ยืนอยู่ด้านหลังน้องสาวกำลังจะตอบ แต่ชาร์ล็อตก็ขัดขึ้นมาก่อน


“อุ๊ยตายยยย คุณพี่นี่ตาถึงจังเลยนะคะ กะเทยค่ะ ! หนูเป็นกะเทย หนูสวยใช่ไหมคะคุณพี่”


น้ำเสียงและท่าทางที่ถูกดัดให้มีจริตจะก้านมากขึ้นทำให้คนเป็นพี่ชายอย่างแมคเคนซีเผลอมองน้องสาวตาโต แต่ก็ต้องรีบตีหน้านิ่งไว้แล้วเสสายตามองไปทางอื่น


“…ก็…ก็สวยจริง อะแฮ่ม ! ไปเถอะ เอาของไปเก็บกันได้แล้ว”


เจ้าหน้าที่ไล่สายตามองชาร์ล็อตตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้ง แม้จะยังมีความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยแต่ก็ยังให้เกียรติไม่คิดดูถูกหรือเหยียดเพศสภาพใครในยุคที่ความหลากหลายทางเพศมีความเท่าเทียม


“ข..ขอบคุณครับ”


แมคเคนซีรีบพยักหน้าให้แล้วรุนหลังน้องสาวเบา ๆ ให้รีบเดินตามดีนไปต่อ


“เกือบไปแล้ว ฉันนึกว่าพวกเราจะความแตกตั้งแต่ต้น”


ดีนกระซิบกระซาบกับเหล่าสายเลือดเฮคาทีหลังจากที่หลุดออกมาจากด่านแรก ถึงจะเคยบอกชาร์ล็อตว่าความเชื่อเรื่องผู้หญิงกับโชคร้ายบนเรือเป็นเรื่องไร้สาระ ยุคสมัยนี้ไม่มีใครเชื่อถือโชคลางนั้นแล้ว และสตรีสามารถทำงานบนเรือได้ แต่นั่นคือเรือสำราญไม่ใช่เรือสินค้าที่แรงงานหลักยังคงต้องเป็นผู้ชายอยู่ดี


มาถึงด่านที่สองคือการเช็คอินเพื่อรับกุญแจห้อง ตรงนี้ก็ผ่านไปได้ฉลุย โชคดีกว่านั้นคือพวกเขาได้ห้องพักเดี่ยวเป็นของตัวเอง เป็นห้องพักขนาดไม่เกินสิบตารางเมตรที่มีห้องน้ำภายในตัว ในห้องมีเตียงขนาดสามฟุต โต๊ะเก้าอี้เล็ก ๆ ที่ใช้เขียนหนังสือ และตู้ล็อกเกอร์เก็บของ ส่วนห้องน้ำนั้นแคบมาก ๆ แทบจะนั่งชักโครกไปพร้อมกับอาบน้ำถูตัวได้ แต่นั่นก็ถือว่าดีมากแล้ว


ซึ่งชาร์ล็อตดูดีใจเป็นพิเศษที่จะได้นอนห้องเดี่ยวสักที เธอน่าจะเกรงใจพี่ชายทั้งสองแหละ คงไม่ได้เหม็นความรักหรอกมั้ง…


“ห้องอย่างแคบเลย แล้วเราเอาไงดีล่ะที่รัก นายคงไม่บอกว่าจะนอนคนเดียวเหมือนกับเธอหรอกนะ”


ดีนบุ้ยปากไปอีกทางหลังจากที่ชาร์ล็อตแยกตัวออกไปแล้ว


ห้องพักคนงานเรือสร้างความแปลกใจให้แมคเคนซีไม่น้อย ตอนแรกเขานึกว่าจะเป็นห้องนอนรวม ไม่ก็ต้องนอนเบียดเสียดกันในห้องใต้ท้องเรือ แต่ที่จริงแล้วกลับสะดวกสบายมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะเรื่องที่มีห้องน้ำในตัว แม้จะเล็กไปหน่อยก็ตาม


“ไม่สิ ไม่แน่นอน แต่นายแน่ใจใช่ไหมว่าจะนอนเบียดกับฉันบนเตียงสามฟุตเกือบอาทิตย์นึง”


ถ้าเป็นไปได้แมคเคนซีก็อยากนอนกับดีนอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากให้คนรักได้นอนพักผ่อนอย่างสบาย แม้ว่าพวกเขาจะเคยนอนเบียดกันบนเตียงในรถไฟมาแล้วก็ตาม

“นายพูดเหมือนว่าเราไม่เคยนอนเบียดกัน”

พูดจบดีนก็ผลักแมคเคนซีเข้าไปในห้องก่อนจะเตะประตูสปริงให้ปิด ตามไปประกบกอดจูบอย่างดูดดื่มเหมือนกับคนของขาดมานาน เขาปล่อยสัมภาระที่ถูกย่อส่วนลงพื้น ส่วนร่างกายทิ้งลงบนเตียงสามฟุต บดเบียดลูบไล้ไปตามกล้ามเนื้อที่กำยำขึ้นกว่าแต่ก่อนผ่านร่มผ้า หลังจากที่พรมจูบไปทั่วซอกคอขาวดีนก็ผละตัวออกมาด้วยท่าทีเสียดายเล็กน้อย

“อืม.. เทสแล้ว ฉันว่าเรานอนกันได้สบาย”


“อา…บ้าเอ๊ย”


แมคเคนซีถึงกับสบถออกมาเบา ๆ เมื่อถูกคนรักจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว ดวงตาสีฮาเซลปรือมองร่างด้านบนที่ผละออกไปแล้วขบริมฝีปากล่างที่แดงเห่อขึ้นมาจากจูบเมื่อครู่ ให้ตายสิ มันดีจนเขาอยากอยู่ในห้องนี้สองต่อสองกับดีนต่ออีกสักครึ่งค่อนวัน แต่ตอนนี้พวกเขาลักลอบขึ้นเรือมาในฐานะลูกเรือ ไม่ได้มาขึ้นเรือสำราญเพื่อฮันนีมูนกันสักหน่อย

“ถ้าไม่ติดว่าต้องขึ้นไปรายงานตัวสิบโมง ฉันก็อยากเทสเตียงกับนายต่อ”


เขาขยับตัวลุกขึ้นตาม ยึดคางมนของดีนไว้แล้วเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือไล่ไปตามกลีบปากสีนู้ดก่อนจะค่อย ๆ ละมือออก


“ดูเหมือนว่าฉันกับนายจะใจตรงกันอีกแล้ว”


บุตรเจ้าสมุทรหัวเราะเบา ๆ ตั้งแต่ออกเดินทางมาได้สี่วันพวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่ากอดจูบ ซึ่งดีนคิดถึงช่วงเวลาที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังมาก ฉะนั้นคืนนี้ต้องมีเรื่องสนุก ๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

“ถ้าอยากเทสเตียงทั้งวันสงสัยคราวหน้าต้องเก็บเงินซื้อเรือยอร์ชแบบเจรี่แล้วล่ะที่รัก บางทีฉันก็คิดนะว่าพวกเฮเฟตัสอาจจะสร้างยานพาหนะได้”


อย่างโซเฟียยังมีบิ๊กไบค์ที่เก็บในรูปพวงกุญแจได้เลย แต่ว่ามันต้องทำยังไงนะ ซื้อยานพานหะมาแล้วใส่สสารพิมพ์ (สารย่อยขยายส่วนจากเรื่องแอนท์แมน) ดัดแปลงให้ยืดได้หดได้อย่างนั้นเหรอ


จะอะไรก็ช่าง ตอนนี้พวกเขามีเวลาพักสงบสติอารมณ์อีกเกือบ ๆ ชั่วโมงกว่าจะถึงนัดบรีฟงาน

“ถึงกับสร้างยานพาหนะได้เลยเหรอ สมกับเป็นเทพแห่งการประดิษฐ์จริง ๆ”


ฟังที่ดีนพูดแล้วก็พยักหน้าช้า ๆ แม้จะน่าสนใจแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเรือยอร์ชลำนึงกว่าจะสร้างเสร็จต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าสายเลือดของเทพเฮเฟตัสจะเป็นผู้สร้างก็ตาม แล้วดีนจะต้องไปตามล่าหาของมาใช้สำหรับสร้างเหมือนพวกอาวุธต่าง ๆ ที่เคยเล่าให้เขาฟังอีกไหม หากต้องเป็นเช่นนั้น แมคเคนซีก็คิดว่าจองห้องโดยสารแล้วซื้อตั๋วขึ้นเรือธรรมดาซะยังจะง่ายกว่า


“ฉันว่าพวกเราใช้ห้องนี้เป็นห้องเก็บสัมภาระดีไหม แล้วห้องนายก็ไว้นอนด้วยกัน คงไม่มีใครสงสัยหรอก”


บุตรเทพีแห่งเวทมนต์บอกพลางปรายตามองไปยังสัมภาระที่ตอนนี้กลับมามีขนาดเท่าเดิมจนเกะกะห้องไปหมด เมื่อครู่ที่ทดสอบเตียงกันทำเอาซะเขาสติกระเจิดกระเจิง มนต์คาถาที่ร่ายไว้จึงสลายไปหมด

ดีนมองตามไปยังข้าวของที่ระเกะระกะเต็มห้อง เขาไม่ทันรู้ตัวเลยสักนิดว่ามันกลับมามีขนาดเท่าเดิมแล้ว แถมยังแทบจะเหมาพื้นที่ห้องไปจนหมด


“เอางั้นก็ได้ที่รัก แบ่งของที่จำเป็นไปนิดหน่อยก็พอ” เขากล่าวจากนั้นก็เริ่มจัดของ คัดแยกเฉพาะสิ่งจำเป็นใส่ไว้อีกกระเป๋าแล้วบ่นต่อ “แล้วฉันก็ซื้อแซนด์วิชมาตุนไว้ซะเยอะเลย ของแห้งเก็บไว้ได้ แต่เอายังไงกับแซนด์วิชดีล่ะเนี่ย”


ถ้ากินแซนด์วิชด้วยกินอาหารของทางเรือด้วย บอกได้เลยว่าอิ่มจุก


แมคเคนซีพยักหน้าเห็นด้วยแล้วช่วยดีนจัดของ


“แซนด์วิชนี่น่ะเหรอ ฉันว่าหอมดีนะ เก็บไว้ให้ฉันสักอันสองอันสิ แล้วถ้ากินไม่หมดแน่ ๆ เราเอาไปแบ่งพวกลูกเรือคนอื่นดีไหม พวกเขาทำงานหนักคงใช้พลังงานเยอะ ถือว่าเป็นการสร้างมิตรภาพด้วย”


เมื่อเช้าพวกเขารีบเช็คเอาท์ออกมาจากโรงแรม แมคเคนซีเลยทานมื้อเช้าเพียงแค่รองท้องแต่ไม่ได้ถึงกับอิ่ม ส่วนที่ทานไม่ไหวก็แบ่งให้คนบนเรือบ้าง อย่างน้อยยังต้องใช้ชีวิตอยู่บนเรือลำนี้กันอีกหนึ่งอาทิตย์กว่าจะถึงโคลอมเบีย พวกเขาควรสร้างมิตรไว้ดีกว่าสร้างศัตรู


“แน่นอนที่รัก ถ้างั้นฉันเก็บไว้ให้เลย”


ดีนตอบก่อนจะดูเวลา เหลือเวลาอีกราว ๆ ยี่สิบนาทีจะถึงเวลาสิบนาฬิกา


“ส่วนตอนนี้พวกเราไปแสตนบายรอก่อนดีกว่า ต้องไปหาห้องประชุมบรีฟงานอะไรนั่นอีก ไปถึงช้าจะยิ่งถูกเพิ่งเล็ง”


เขากล่าว จากนั้นนำโทรศัพท์มือถือทั้งสองเครื่องใส่ไว้ในล็อกเกอร์เหมือนกับตอนที่ทำงานร้านเวนดี้ส์เบอร์เกอร์ เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วทั้งสองก็เคาะประตูห้องชาร์ล็อตก่อนจะ (เนียน) ไปประชุมบรีฟงานเสมือนกับลูกเรือคนหนึ่ง





ความคิดเห็นผู้บันทึก

บันทึกตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย เรื่องแรก…ผมเพิ่งรู้ว่านอกจากค่ายฮาล์ฟบลัดกับค่ายจูปิเตอร์แล้วก็ยังมีเดมิก็อดรวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่มอื่น ๆ อีก อย่างรัสเซลที่อยู่กลุ่มฟอลคอน นอกจากนี้เขายังเป็นบุตรของเทพีเฮคาทีเหมือนผมกับชาร์ล็อตด้วย ผมหวังว่าเขาจะได้พบกับคนรอบข้างที่ดีกับเขานะ ไม่เพียงแค่นั้น พวกเรายังได้เบาะแสเพิ่มเติมของไฮรี่ด้วย หากเขาเดินทางลงได้จริง เป็นไปได้ไหมไฮรี่จะมีจุดหมายเดียวกันกับพวกเรา เรื่องถัดมา…ผมค่อนข้างรู้สึกผิดเลยล่ะที่ทำให้คนธรรมดาต้องถึงกับสติหลุดกับทักษะควบคุมหมอกของผม ถ้าพวกเขาได้สติกลับคืนมาก็คงจะดี เรื่องต่อไป…ทักษะการแสดงของชาร์ล็อตทำให้ผมทึ่งมาก มันค่อนข้างเสี่ยง แต่ผมกับดีนจะปกป้องเธอจนถึงโคลอมเบียแน่นอน และเรื่องสุดท้าย…จูบกับสัมผัสของดีนยังคงน่าหลงใหลและเร่าร้อนสำหรับผมเสมอ


สรุปสถานการณ์

-รัสเซลจากกลุ่มกองกำลังฟอลคอนหายจากอาการบาดเจ็บ

-ได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับไฮรี่ว่า ‘ยังมีชีวิตอยู่’ และกำลังมุ่งหน้า ‘ลงทางใต้’

- แยกย้ายกับรัสเซล

-ทีมทำภารกิจลักลอบขึ้นเรือขนส่งสินค้าในฐานะผู้ดูแลสัตว์ได้สำเร็จ


สรุปผลการต่อสู้

Mackenzie

เมลูซีน Lv. 71  Link

เมลูซีน Lv. 100 Link


สินสงคราม

น้ำตาเมลูซีน [LUK 90+]  :  7x2 = 14 

 ตื่นรู้จากการพิชิตเมลูซีนครั้งแรก   +2


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 105747 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 105,747 ไบต์และได้รับ +20 EXP +1 Point +20 ความกล้า +40 ความศรัทธา จาก เขตแดนเฮคาที  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 105,747 ไบต์และได้รับ +1 Point +88 ความกล้า +88 ความศรัทธา จาก มาลาแห่งอัสสัมชัญ  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 105,747 ไบต์และได้รับ +18 EXP +30 เกียรติยศ จาก Hydro X  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 105,747 ไบต์และได้รับ +20 EXP +35 ความกล้า +40 ความศรัทธา จาก เวทมนต์ [II]  โพสต์ 6 วันที่แล้ว

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เขตแดนเฮคาที
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
Hydro X
เวทมนต์ [II]
คบเพลิงเวท
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
รองเท้าเซฟตี้
น้ำหอม Unisex
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
สร้อยข้อมือถัก
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x3
x6
x3
x3
x3
x2
x3
x1
x1
x5
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x3
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x15
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x2
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x3
x2
x2
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้