-26.01.25 / 11:32AM.-
“อรุณสวัสดิ์ ครอฟต์ฟี่คาเฟ่ยินดีให้บริการครับ”
เสียงกระดิ่งลมที่ทางร้านติดไว้ดังกรุ๊งกริ๊งเมื่อเปิดประตูเข้าไป ชายซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการชงเครื่องดื่มหลังเคาน์เตอร์บาร์เอ่ยทักทายลูกค้าผู้มาเยือนกลุ่มใหม่โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง
“……พ่อฮะ”
“นิโคไล…นั่นลูกเหรอ โอ้ สวรรค์ ! ลูกจริง ๆ ด้วย พระเจ้า !”
เสียงโลหะหล่นกระทบพื้น คงเป็นช้อนที่ร่วงหล่นลงจากมือชายผู้นั้นที่เหมือนจะชะงักไปเล็กน้อย ความตื่นตะลึงฉายบนใบหน้าชัดเจน เขาละทิ้งทุกสิ่งอย่างที่ทำอยู่แล้ววิ่งมากอดลูกชายไว้อย่างหวนแหนราวกับค้นพบของมีค่าที่ทำหายมาเนิ่นนาน
“เป็นยังไงบ้าง บาดเจ็บตรงไหนไหม แล้วลูกกลับมาได้ยังไง“”
ผู้เป็นพ่อยิงคำถามใส่เป็นชุดพลางสำรวจตามร่างกายของลูกชายไปด้วย
“ผมปลอดภัยดีฮะ พวกพี่เขาไปช่วยผมไว้
นิโคไลบอกก่อนหันมามองเดมิก็อดทั้งสามที่ยืนอยู่ด้านหลังเป็นแบ็คกราวน์
“ขอบคุณพวกคุณมากนะที่ช่วยลูกผมไว้ แย่ล่ะสิ ผมลืมแนะนำตัวซะได้ ผมเจมส์ ครอฟต์ เป็นพ่อของนิโคไล”
ผู้เป็นพ่อรีบแนะนำตัว พวกเขาทั้งสามคนจึงแนะนำตัวกลับบ้าง จากนั้นเจมส์ก็ขอตัวไปฝากงานให้พนักงานในร้านคนอื่นช่วยดูแลร้านไปก่อน แล้วจึงพาทั้งหมดมาคุยกันต่อที่หลังร้าน
.
.
“จับพวกมันไม่ได้งั้นเหรอ แย่จริง ๆ เจ้าแก๊งค์ลักพาตัวพวกนั้น แต่ก็ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรกันมาก”
เจมส์พึมพำอย่างไม่สบอารมณ์หลังฟังเรื่องราวเพียงคร่าว ๆ จบ แม้จะบอกว่า ‘ไม่เป็นอะไรกันมาก’ แต่เมื่อมองมายังแมคเคนซีซึ่งมีแผลตามใบหน้าทั้งยังมีผ้าพันศีรษะไว้แล้วก็ถึงกับต้องพูดเสริมขึ้นมา “ยกเว้นเธอ…หาหมอสักหน่อยดีไหม”
“ผมไม่เป็นไรครับ มีเพื่อนคอยทำแผลให้เดี๋ยวก็หาย”
แมคเคนซียิ้มตอบเล็กน้อย แผลที่ใบหน้าไม่ค่อยรู้สึกเจ็บแล้ว จะมีก็แต่แผลใหม่ตรงศีรษะที่ยังปวดอยู่บ้าง แต่ก็อย่างว่า ในกลุ่มเขามีคุณหมออยู่ตั้งคนนึง และเธอเองก็คอยทำแผลและตามอาการให้เป็นอย่างดี
“ถ้าอย่างนั้นก็โอเค แต่ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกได้ตลอดนะ”
เจมส์พยักหน้าเล็กน้อย มองพนักงานที่ยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้แขกทั้งสามคน ถือว่าเป็นการเลี้ยงตอบแทนที่ช่วยชีวิตลูกชายไว้
“พ่อฮะ ผมมีเรื่องอยากคุยกับพ่อ”
นิโคไลเปิดบทสนทนาอีกครั้ง รอให้ผู้เป็นพ่อพยักหน้ารับอนุญาตก่อนจะให้ดูแขนทั้งสองข้างของตนเอง
“น..นี่มันอะไรกัน ทำไมเป็นแบบนี้”
เจมส์มองแขนของลูกชายที่มีเกล็ดงูขึ้นมาจนถึงนิ้วมือด้วยความตื่นตระหนก แต่ด้วยความเป็นพ่อ เขากลับหาได้รังเกียจไม่ ซ้ำยังจับมือคู่นั้นมาดูอย่างละเอียด
“คุณครอฟต์รู้ใช่ไหมคะ…ว่าลูกของคุณแตกต่างจากคนทั่วไป”
คีธถามอย่างตรงไปตรงมาจนทำให้เจมส์นิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ายอมรับ
“….ใช่ แม่ของนิโคไลเธอไม่ใช่มนุษย์”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงเล่าอีกเวอร์ชั่นได้แล้ว”
รูบี้เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหยิบการินน้ำชาใส่จอก กลิ่นชาหอมหมื่นลี้อบอวลไปทั่วบริเวณชวนให้บรรยากาศผ่อนคลายลง จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งอย่างละเอียดตั้งแต่เริ่มต้นทำภารกิจ จนถึงเรื่องราวของค่ายฮาล์ฟบลัดให้เจมส์ฟัง
.
.
“อืม…เพราะอย่างนี้ค่ายฮาล์ฟบลัดถึงเป็นที่ปลอดภัยสำหรับพวกเธอกับนิโคไลใช่ไหม”
เจมส์พยักหน้าเข้าใจหลังฟังเรื่องราวทั้งหมดจบ ก่อนจะหันมามองลูกชายของตนเองแล้วลูบผมนุ่มมือเบา ๆ
“ไม่ใช่ว่าแม่ของเขาไม่เคยพูดถึง แต่เป็นฉันเองที่คิดว่านิโคไลคงไม่เป็นอะไรจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ถ้าลูกตัดสินใจดีแล้วก็ไปเถอะ ไปฝึกฝนตนเองให้แข็งแรงและอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ถูกปิศาจพวกนั้นทำร้าย ถึงเวลานั้นลูกค่อยกลับมาบ้านเราก็ได้”
“จริงเหรอฮะ พ่ออนุญาตให้ผมไปอยู่ค่ายฮาล์ฟบลัดเหรอ”
นิโคไลมองผู้เป็นพ่อที่พยักหน้าให้ด้วยแววตาเป็นประกายสุกใส
“อืม…ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องทางนี้ พ่อจะทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนรวมถึงคุยกับแม่และน้องให้เข้าใจเอง ส่วนพวกเธอช่วยรอหน่อยได้ไหม ฉันจะพานิโคไลไปทำพาสสปอร์ตกับวีซ่าให้เรียบร้อย ระหว่างนี้พวกเธอพักที่นี่ก่อนก็ได้ บ้านเรามีห้องพอต้อนรับอยู่แล้ว”
“ได้ครับ คุณเจมส์ไม่ต้องรีบร้อน พวกผมรอได้ ขอบคุณเรื่องที่พักด้วยนะครับ”
แมคเคนซียิ้มให้เล็กน้อย ในตอนแรกก็คิดว่าคงได้ไปจองโรงแรมนอนกันอีก ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะใจกว้างเช่นนี้ หากปฏิเสธก็คงจะไร้มารยาทเกินไป
“ที่ใกล้ ๆ ค่ายฮาล์ฟบลัดมีโรงเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงไฮสคูล คุณครอฟต์สามารถขอเอกสารจากโรงเรียนเดิมเพื่อนำไปเทียบชั้นให้นิโคไลได้นะคะ นิโคไลจะได้เรียนต่อจากชั้นปีเดิมได้เลย”
ส่วนคีธก็แนะนำเรื่องโรงเรียนนานาชาติลองไอแลนด์เสริมให้ ซึ่งทั้งเจมส์และนิโคไลต่างก็เห็นด้วย หลังจากที่คุยกันอีกสักพักแล้ว เจมส์ก็ขอตัวไปทำงานต่อ ส่วนนิโคไลก็พาทีมทำภารกิจทั้งสามคนไปดูห้องพัก
.
.
.
-10.02.25 / 08:27PM.-
ใช้เวลากว่าอาทิตย์ ในที่สุดนิโคไลก็จัดการเรื่องเอกสารต่าง ๆ จนครบถ้วนและจัดกระเป๋าสำหรับการเดินทางไกลอันยาวนานเสร็จเรียบร้อย เจมส์ผู้เป็นพ่ออาสาพาพวกเขามาส่งที่สนามบินประจำเมืองเยลโลวไนฟ์ที่พวกเขามีกำหนดการขึ้นเครื่องกันในค่ำคืนนี้ ซึ่งหลังจากที่ทีมทำภารกิจปรึกษาหารือกันแล้วก็ตกลงได้ว่าจะใช้เครื่องบินเป็นพาหนะในการเดินทางกลับค่าย เพื่อความประหยัดทั้งเวลาและเงินในกระเป๋า
“อยู่ที่นั่นก็ติดต่อมาบ่อย ๆ ล่ะ”
เจมส์บอกขณะที่กอดลูกชายไว้ในอ้อมแขน ฝ่ามือใหญ่ลูบแผ่นหลังบอบบางเบามือ
“ได้ฮะ ผมจะติดต่อมาทุกวันจนพ่อรำคาญเลย”
ประโยคขี้เล่นจากนิโคไลเรียกเสียงหัวเราะจากผู้เป็นพ่อได้นิดหน่อย เห็นเด็กชายยังร่าเริงแบบนี้ก็ค่อยสบายใจไปได้บ้าง
“ฉันฝากพวกเธอดูแลนิโคไลด้วยนะ โดยเฉพาะเธอ…แมคเคนซี ฝากดูแลน้องด้วย”
หลังจากผละกอดจากลูกชายแล้ว เจมส์ก็หันมาฝากฝังกับเดมิก็อดอีกสามคน ณ ที่นั้น ก่อนจะตบบ่าแมคเคนซีเบา ๆ ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง เนื่องด้วยรู้แล้วว่าลูกของตนเป็นพี่น้องร่วมมารดากับหนุ่มชาวอังกฤษผู้นี้
“วางใจเถอะครับคุณเจมส์ ทั้งผม พี่น้องที่บ้านและคนในค่ายจะดูแลนิโคไลเป็นอย่างดี“”
แมคเคนซีที่ได้พักฟื้นอย่างเต็มที่จนตอนนี้บาดแผลต่าง ๆ หายสนิทและใบหน้ากลับมาหล่อเหลาดังเดิมส่งยิ้มให้ หลังจากที่จบสิ้นภารกิจนี้ทำให้เขาเห็นความสำคัญของความเป็นพี่น้องและคนในครอบครัวมากกว่าเดิม รวมถึงการเชื่อใจเพื่อนร่วมทีม อาจเรียกได้ว่ามีความละเอียดอ่อนทางความรู้สึกมากขึ้นก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เลือกที่จะไม่ให้คำสัญญาที่สวยหรูเกินจริงเช่นเคยด้วยไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าเขาต้องเจอกับอะไร อาจมีเหตุการณ์ที่ทำให้จำเป็นต้องออกจากค่ายอีกจนไม่สามารถดูแลนิโคไลได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เชื่อว่าพี่น้องคนอื่น ๆ และชาวค่ายฮาล์ฟบลัดจะต้อนรับและให้ความช่วยเหลือน้องชายคนนี้ของเขาเป็นอย่างดี
“ประกาศเรียกไปที่เกทแล้ว ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันเวลา พวกเราไปก่อนนะคะคุณครอฟต์ ไม่ต้องห่วงนิโคไล พวกเราจะดูแลเขาเอง”
คีธบอกหลังจากที่ได้ยินเสียงประกาศและดูเวลาจากนาฬิกาในสนามบิน
“ขอบคุณลำหรับที่พักและน้ำใจไมตรีตลอดเวลาที่ผ่านมา บุญคุณนี้ฉันจะไม่ลืม ลาก่อนคุณเจมส์”
รูบี้ค้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วกล่าวลาด้วยประโยคราวกับถอดมาจากหนังกำลังภายในที่ชวนให้ต้องตีความอีกเช่นเคย
“ลาก่อนครับคุณเจมส์ ขอบคุณที่ช่วยเหลือพวกเราหลายอย่าง ถ้ามีโอกาสคงได้พบกันอีก”
ส่วนแมคเคนซีก็บอกลาเพียงสั้น ๆ แล้วให้เวลาพ่อลูกได้บอกลากันอีกสักเล็กน้อย
“ลาก่อน เดินทางปลอดภัย ขอให้พวกเธอเดินทางถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพนะ”
เจมส์โบกมือลาแล้วยืนส่งจนทั้งสี่คนเดินหายลับไปหลังประตูผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ
