แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2025-4-3 17:53
306 'พ่อ' ที่ไม่ใช่ 'พ่อ' 20/03/2025 เวลา 10.25 น.
เพราะว่าเป็นแขกวีไอพีของราชาแห่งแอตแลนติส ดีนจึงสามารถออกจากโรงพยาบาลโอเชียนนิกส์ได้ทันทีโดยไม่ต้องทำเรื่องจ่ายเงินให้วุ่นวาย
‘ลูอิส’ ไซคลอปส์ตาเดียวผู้ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ในวังหลวงพาเขากลับสู่พระราชวังแอตแลนติสด้วยรถสปอรต์สุดหรูที่ขับเคลื่อนด้วยพลังน้ำ รถหลวงพุ่งทะยานจากถนนหน้าโรงพยาบาลใจกลางนคร มุ่งสู่พระราชวังแอตแลนติสซึ่งตั้งอยู่บนเนินที่มีแนวปะการังสวยที่สุดในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ
แอตแลนติสในจินตนาการกับความจริงที่ประสบพบเจอค่อนข้างผิดคาด แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ตัวเมืองใต้ท้องสมุทรถูกปกคลุมด้วยโดมขนาดใหญ่ซึ่งภายในเต็มไปด้วยอากาศบริสุทธิ์ ไม่ใช่พื้นที่ที่ถูกเติมเต็มด้วยน้ำเค็มอย่างที่คิด
ดีนเกาะกระจกรถชมวิวนครใต้น้ำด้วยความตื่นเต้นเหมือนกับเด็กชายซน ๆ ที่ผู้ปกครองพาออกไปเที่ยวตากอากาศเป็นครั้งแรก
บ้านเรือนของชาวแอตแลนติสยังคงมนต์เสน่ห์สไตล์กรีกโบราณผสมผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยนำหน้าโลกด้านบนได้อย่างลงตัว แม้จะมีถนนหนทางให้รถยนต์สัญจร ทว่าคูคลองที่กั้นเขตแดนของแต่ละเมืองดูเหมือนจะมีมากกว่า หากเดินทางไกลกว่าที่เท้าจะเดินไหวประชาชนชาวแอตแลนติสจะนิยมโดยสารเรือกอนโดล่าลำเล็กล่องไปตามแม่น้ำ ราวกับว่าที่นี่คือเวนิสที่อยู่ใต้สมุทรอีกทีหนึ่ง
“แอตแลนติสไม่เหมือนที่ผมคิดไว้เลย นึกว่าเราต้องนั่งเรือดำน้ำกลับวังกันซะอีก”
“เดิมทีแอตแลนติสคือนครที่รุ่งเรืองเหนือพื้นพิภพขอรับ ทว่าวันหนึ่งถูกราชันแห่งทวยเทพลงทัณฑ์ทำให้เมืองทั้งเมืองจมสู่บาดาล หากท่านราชาเจ้าสมุทรไม่เสกโดมอากาศขนาดใหญ่ครอบคลุมไว้ เมืองที่สวยงามและประชากรนับล้านจักสูญสิ้นในบัดดลขอรับ”
“ใช้ภาษายากมาก...” ดีนพึมพำเบา ๆ บ่นกับตนเอง ไม่คิดว่าลูอิสจะได้ยิน แต่ห้องโดยสารก็มีแค่นี้ คนขับที่นั่งข้างจึงได้ยินชัดเต็มสองหู
คำอธิบายด้วยภาษาที่เหมือนหลุดออกมาจากหนังแฟนตาซียุคกลางขององครักษ์ชวนให้ดีนหัวหมุนนิดหน่อย คนคลังศัพท์น้อยพยายามแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาอังกฤษอีกทีจากบริบทตามความเข้าใจ บางทีผู้พูดคงต้องเปลี่ยนการใช้คำเสียใหม่ ให้เหมือนกับสนทนากับทารกแรกเกิด...
“ไม่คิดว่าตำนานจะเป็นจริงเลยแฮะ…” กล่าวออกมาแล้วก็รู้สึกว่าโง่มากที่พูดประโยคนี้ออกมา ในเมื่อเรื่องเทพเจ้าที่มีความผูกพันทางสายเลือดกับตนเองยังเป็นเรื่องจริง แล้วจะมัวมาตื่นเต้นกับตำนานที่เป็นจริงอยู่อีกหรือ ทว่าคนอย่างดีนไม่ถนัดติเตียนตัวเองเขาจึงไม่ได้สนใจมากนัก “ราชันแห่งทวยเทพหมายถึงอาซุสสินะ มีเรื่องกันมาตั้งแต่เมื่อก่อนนี่เอง พ่อถึงได้ไม่ชอบอาหนักหนา”
หากว่ากันถึงตำนานของนครแอตแลนติสตามงานเขียนของ ‘เพลโต’ นักปราชญ์ชื่อดังชาวกรีก ที่ต่อให้ไม่รู้ว่าชายคนนั้นมีความสำคัญอย่างไร แต่พนันได้เลยว่าทุกคนต้องรู้จักชื่อนี้ ได้กล่าวถึง ‘นครโบราณแอตแลนติส’ ตั้งอยู่บนเกาะแอตลาส เป็นเมืองที่เรียกได้ว่าเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในบรรดานครโบราณทั้งหมดทั้งมวล แอตแลนติสมีชื่อเสียงทั้งด้านศิลปะวัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง แต่ที่ลือชื่อที่สุดเห็นจะเป็นในด้านคุณธรรมน้ำมิตรที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อนราวกับว่าประชากรทั้งเกาะเป็นเทพและเทพีผู้ประเสริฐจากชั้นฟ้าจำแลงลงมาในร่างมนุษย์
ทว่าเมื่อมหานครรุ่งเรืองถึงขีดสุด อำนาจของแอตแลนติสเปลี่ยนผู้คนจากแสนดีให้กลายเป็นหยิ่งผยอง จองหอง และบ้าอำนาจ คอยระรานประเทศอื่น ๆ อยู่เนือง ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘เอเธนส์’ นครที่เทพโอลิมปัสรังสรรค์ให้เกิดขึ้น ความทะเยอทะยานและความชั่วร้ายอันบ้าคลั่งในจิตใจของชาวแอตแลนติสทำให้เทพแห่งสายฟ้าพิโรธจนส่งสายฟ้า พายุ และแผ่นดินไหว สาปส่งให้เมืองทั้งเมืองจมบาดาล หายไปจากแผนที่โลกตลอดกาลในชั่วข้ามคืน
ตำนานของนครที่สาปสูญซึ่งไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเท็จ เป็นสิ่งที่เย้ายวนใจเสมอสำหรับชาวนักทฤษฎีสมคบคิด ไม่ต่างอันใดกับที่แฟน ๆ ดิสนีย์ทั่วโลกหลงใหลไปกับหนังรีเมคไลฟ์แอคชั่นนิทานปรัมปราเจ้าหญิงนานาชาติ ดีนถึงได้ตื่นเต้นหนักหนากับสิ่งที่อยู่รอบตัวเขาในตอนนี้ แต่จะบอกว่าชายหนุ่มเป็นนักทฤษฎีสมคบคิดอย่างนั้นหรือ? เจ้าตัวก็จะตอบว่า ‘ปล๊าวววว’
“จะว่าไป… ที่นี่ไม่มีเงือกเลย ดูแล้วมีแต่ชาวเมืองธรรมดา ไม่มีไซคลอปส์เหมือนกับคุณด้วย”
ดวงตาสีเปลือกไม้พยายามสอดสองหาสิ่งมีชีวิตครึ่งมนุษย์อื่นที่ผ่านตามท้องถนน ทว่าผู้คนที่เขาเห็นกลับเป็นคนธรรมดาเดินดินที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้ากรีกประยุกต์ให้ดูทันสมัย หากแต่ว่าไม่พบไซคลอปส์หรือแม้แต่เผ่าเงือกที่คิดว่าจะได้เห็นเต็มเมือง จะว่าไป.. หากมีชาวเงือกแหวกว่ายผ่านอากาศคงเป็นเรื่องแปลกประหลาดพิลึก
“หรือว่ามีหมู่บ้านเงือกอยู่นอกเมืองแอตแลนติสอย่างนั้นเหรอครับ?”
“ท่านชายสันนิษฐานถูกครึ่งนึงขอรับ” ลูอิสตอบโดยไม่ละสายตาออกจากถนนเบื้องหน้า “ชาวแอตแลนติส คือ เหล่า 'เงือก' ที่โลกเบื้องบนรู้จัก เมื่ออยู่ในน้ำพวกเขาจะมีหางเป็นปลา แต่เมื่อขึ้นบกจะมีขาแบบมนุษย์ทั่วไป ส่วนไซคลอปส์ และฮิปโปแคมปัส อาศัยอยู่บริเวณ ‘ค่ายฟิชบลัด’ และเผ่าเลือดผสมอื่นนอกเหนือจากชาวแอตแลนติสจะอาศัยอยู่ในเขตเมืองชั้นล่างขอรับ”
“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ? ค่ายฟิชบลัด!?”
เป็นอีกครั้งที่ดีนตกใจจนเผลอทำตาโต จากประสบการณ์การเป็นเดมิก็อดมาหนึ่งปี (จริง ๆ ก็ตั้งแต่เกิดแต่เพิ่งมารู้ตัวเมื่อปีที่แล้ว) ดีนรู้ว่าเทพเจ้าตามความเชื่อของคนทั่วทั้งโลกจากหลากหลายตำนานมีอยู่จริง เอาแบบชัวร์ ๆ ที่พบเจอตรง ๆ ก็มีเทพกรีก (และโรมัน) เทพนอร์ส ลูซิเฟอร์ของศาสนาคริสต์ และเดมิก็อดของเทพอินเดีย ส่วนเทพอื่น ๆ อย่างเทพรัสเซีย เทพจีน เทพญี่ปุ่น และเทพเฮติ เคยได้ยินบ้างว่ามีจริงการการซุบซิบเม้ามอยกันในค่ายฮาล์ฟบลัด และจากกระดานภารกิจที่เขียนด้วยตัวหนังสือสีทอง
ซึ่งเทพเจ้าในแต่ละความเชื่อคงมีสาวกและลูกหลานของตนไม่ต่างจากเทพกรีกและโรมัน จนมีค่ายเดมิก็อดเป็นของตนเอง แต่กระนั้นชายหนุ่มไม่คิดว่าในตำนานความเชื่อเดียวกันจะมีแบ่งย่อยค่ายลูกครึ่งเทพออกเป็นสาขาย่อยมากกว่าหนึ่ง จะว่าก็ไปคงลำบากแย่ถ้าไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งให้แก่เดมิก็อดครึ่งเงือก เพราะอันตรายจากอสุรกายในน่านน้ำมีอยู่เต็มไปหมด
“ผมอยากไปเที่ยวค่ายฟิชบลัดจัง น่าจะอยู่ไม่ไกลจากแอตแลนติสใช่ไหม?” ดีนถาม
“ไปไม่ได้ขอรับท่านชาย ค่ายฟิชบลัดไม่ต้อนรับเดมิก็อดจากราชาและราชินีแห่งแอตแลนติส” ทว่าลูอิสปฏิเสธทันควัน
“อ้าว ทำไมล่ะ? จะบอกว่าฟิชบลัดไม่ได้อยู่ในสังกัดของโพไซดอนงั้นเหรอ?” นั่นคือสิ่งที่ดีนสงสัย
“ค่ายฟิชบลัดขึ้นตรงต่อ ‘เทพไตรตัน’ ขอรับ พระองค์มิทรงโปรดปรานบุตรนอกสมรสของบิดามารดาท่านเท่าไร” ซึ่งคำตอบจากปากของลูอิสทำให้ดีนกระจ่างขึ้นมา
“อ๋า… ก็พอเข้าใจได้อยู่”
บางทีก็เกือบลืมไปเลยว่าตัวเองเป็นลูกนอกสมรสของราชวงศ์เทพใต้สมุทร แม้ว่าราชินีแอมฟิไทรต์จะทรงเอ็นดูและเมตตาดีน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกคนในบ้านใหญ่จะคิดเหมือนกันหมด อันที่จริงดีนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความใจดีที่ราชินีแห่งแอตแลนติสมอบให้เป็นเพราะว่านางเป็นแม่เลี้ยงใจดี หรืออาจเพียงเพราะนางไม่อยากมีเรื่องกับสวามีจึงพยายามเป็นบ้านใหญ่ที่ปรองดองกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ดีนก็อยากจะสนิทกับเทพีแอมฟิไทรต์ในฐานะของผู้ใหญ่ในครอบครัวคนหนึ่ง
“ถ้างั้น.. แล้วเรื่องที่บอกว่าเมืองแอตแลนติสมีการแบ่งเขตที่อยู่นี่คือ…?”
“เขตที่พวกเราอยู่ ณ ตอนนี้คือเขตเมืองชั้นบนขอรับ เป็นเขตเมืองที่มีแต่ชาวแอตแลนติสซึ่งถือเป็นชนชั้นสูง ส่วนประชากรเลือดผสมอื่น ๆ และชาวกรีกโบราณจะอยู่เขตชั้นล่างที่อยู่นอกกำแพงชั้นในออกไปขอรับ”
“ทำไมฟังเหมือนจะเหยียดเชื้อชาติกันเลยแฮะ..”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ขอรับ ชาวกรีกโบราณ ไซคลอปส์ และเลือดผสม ถือเป็นชนชั้นแรงงานของแอตแลนติส ไม่มีสิทธิ์เทียบเท่ากับชาวแอตแลนติสโดยกำเนิดขอรับท่านชาย”
“โอ๊ยยย อะไรกันฟะ! นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้วยังมาแบ่งชนชั้นกันอีก!” ดีนโวยวาย ความคิดนั้นอาจโดนใจลูอิสอยู่บ้างเขาจึงยิ้มที่มุมปาก “แต่ผมเห็นคุณหมอในแผนกเป็นไซคลอปส์กันเยอะแยะนี่นา ผมก็นึกว่าที่นี่จะจ้างงานเท่าเทียมกันเสียอีก”
“หากท่านเห็นสายเลือดอื่นนอกจากชาวแอตแลนติสในกลุ่มชนชั้นสูง คิดได้เสมอเลยขอรับว่าเป็นลูกหลานมีฝีมือที่องค์ราชาฝากงานเข้ามา”
“เป็นเด็กเส้นของพ่อสินะ… ผมในตอนนี้ก็คงไม่ได้ต่างกัน” ดีนเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างรถพลังน้ำ
กว่าจะมาถึงพระราชวังดีนก็ได้รับความรู้เรื่องวัฒนธรรมแอตแลนติสมาอีกหลายอย่างจากการเป็นเจ้าหนูจำไม ถามทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสงสัยตลอดทาง
. . .
ไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมที่พระราชวังแอตแลนติสดูเงียบเหงากว่าครั้งแรกที่เคยมา?
ภายในพระราชวังใต้น้ำยังคงงดงามราวกับทองที่สะท้อนเงาวูบไหวของท้องน้ำเบื้องบน ตามทางเดินเข้าสู้ห้องโถงหลักเต็มไปด้วยทหารยามไซคลอปส์ทำหน้าที่อารักขาองค์ราชันแห่งท้องทะเล ทว่าดีนกลับรู้สึกถึงบรรยากาศอึมครึมอย่างน่าประหลาดแผ่ซ่านออกมาจากประตูเบื้องหน้าที่เขาหยัดยืนอยู่
“ปุ๋ง~~~~~~” oO(เอลวิน อัลวาเรซ บุตรแห่งโพไซดอนขอเข้าเฝ้า~~~~~)
ประตูของท้องพระโรงเปิดออก พร้อมกับเสียงปูเป่าแตรขานชื่อเสียงเรียงนามสายเลือดกษัตริย์ผู้มาเยือนแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงบุตรนอกสมรสก็ตาม แม้ดีนจะเป็นคนหน้าหนา แต่เขาก็ยังรู้สึกขัด ๆ เขิน ๆ เป็นที่สุดกับพิธีรีตองการเข้าเฝ้า ส่วนหนึ่งเพราะว่าเสื้อฮาวายที่เขาสวมใส่ดูไม่เข้ากับสถานที่และการต้อนรับสุดแสนอลังการตามธรรมเนียมชาววังที่มอบให้ มิหนำซ้ำชื่ออันแสนยาวเหยียดของเขายังถูกตัดสั้นจนเหลือแค่ชื่อกลางที่โพไซดอนตั้งและนามสกุลของมารดาผู้ให้กำเนิด
เจ้าสมุทรก็เอาแต่ใจนิดหน่อยตามประสาเจ้าสมุทร
บนบัลลังก์ปะการังสีทอง… ร่างใหญ่กำยำของมหาเทพโพไซดอนประทับอยู่บนนั้นด้วยชุดสูทโก้หรู เป็นภาพที่แปลกตาจากการพบเจอกันในทุกครั้ง ในมือกุมตรีศูลล้ำค่าสัญลักษณ์ของราชันแห่งท้องทะเล ซึ่งดีนดีใจที่ได้เห็นมันอยู่ในมือพ่อ
ทว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวดีนก็เห็นว่าพ่อของเขากลับมาอยู่ในชุดชาวประมงสบาย ๆ เช่นทุกที ทันทีที่พ่อสลับชุด ดีนก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศอึมครึมที่ปกคลุมวังในตอนแรกได้หายไปเหลือเพียงแค่ความสดใสของปะการังและดอกไม้ทะเลที่ผลิบาน สงสัยว่าพ่อคงอยากสร้างบรรยากาศสบาย ๆ กับลูกชายจึงได้เปลี่ยนชุดต้อนรับ.. แต่ว่ามาเปลี่ยนชุดเอาต่อหน้าต่อตาแบบนี้เนี่ยนะ?
ความประหลาดอย่างหนึ่งที่ไม่คุ้นตาคือบังลังก์วาง ๆ ที่อยู่เคียงกัน ไร้เงาของราชินีจากแอตแลนติส…
แต่ดีนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก การมาเยือนของเขาไม่ได้มีพิธีรีตองมากมายเหมือนกับการมาเยือนแอตแลนติสครั้งแรกเมื่อกลางปีที่แล้ว บางทีราชินีอาจจะง่วนอยู่กับการดูแลสวนดอกไม้ทะเลที่นางโปรดปรานอยู่ก็เป็นได้
เดมิก็อดหนุ่มเดินเข้าไปหาองค์ราชาที่หน้าบังลังก์ สิ่งที่เขาทำไม่ใช่การคุกเข่าต่อราชา แต่กลับมอบกอดแห่งความรักของลูกชายผู้คิดถึงพ่อซึ่งไม่ได้เจอกันมานาน
“ดีครับพ่อ คิดถึงพ่อจัง”
การกระทำของเดมิก็อดหนุ่มสร้างความแตกตื่นตกใจแก่ลูอิส ทหารยามไซคลอปส์ รวมถึงปูผู้เป็นมหาดเล็ก จนหลายคนสะดุ้ง เพราะไม่มีใครเลยที่เคยแสดงความรักเช่นนี้ต่อเทพราชาอันสูงส่งของพวกเขา แม้แต่เพอร์ซีย์ แจ็คสัน เดมิก็อดที่โพไซดอนภาคภูมิใจเป็นที่สุดก็ยังไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน ทหารยามคงจะลากคอดีนออกไปในอีกสิบวินาทีข้างหน้าแน่ ๆ หากโพไซดอนไม่อ้อมมือข้างหนึ่งมาปรามจากนั้นแตะโอบหลังลูกชายตอบเสียก่อน
“เอลวินพ่อดีใจที่ลูกหายดีแล้ว”
ความนุ่มฟูของเจ้าสมุทรที่มีต่อบุตรชายเดมิก็อดไม่คุ้นหน้า เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นชินเอาเสียเลยสำหรับข้าราชบริพารชาวแอตแลนติสจนเหล่าทหารต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
‘นี่คือท่านเจ้าสมุทรที่พวกเรารู้จักหรือเปล่าเนี่ย!?’
ใครบางคนในห้องบัลลังก์อาจคิดเช่นนั้น เพราะโพไซดอนที่พวกเขารู้จักทรงเป็นราชาที่เคร่งขรึม ทว่ามีอารมณ์ที่ผันผวนเป็นบางเวลา กับลูกหลานไซคลอปส์ที่ทำงานรับใช้พระองค์ก็ไม่ได้แสดงความอ่อนโยนถึงขนาดนี้ แต่สำหรับลูก ๆ ที่อยู่ในค่ายฮาล์ฟบลัดหลังยุคของเพอร์ซีย์ มองบิดาของพวกเขาแตกต่างไป แม้จะไม่ใช่เทพช่างสนทนา ทว่าโพไซดอนเป็นพ่อที่เมตตาลูก ๆ ไม่แพ้ใคร
บางทีเจ้านายก็ต้องเก๊กขรึมต่อหน้าลูกน้อง (และเมียหลวง) ดูจะเป็นข้อสรุปที่ดี…
“ผมคิดว่าจะตายซะแล้ว เคยเห็นคราเคนแค่ในหนังกับเกม ไม่คิดว่าตัวจริงมันจะน่ากลัวขนาดนี้”
ดีนพรรณาความหวาดกลัวในช่วงเวลานั้นของตัวเองออกมา พลันนึกถึงอสุรกายที่มีรูปลักษณ์คล้ายกัน แต่ว่าตัวใหญ่เบิ้มกว่าร้อยเท่าอย่าง ‘คธุลฮู’ ไม่อยากจะคิดว่าถ้าวันนั้นโลกิไม่เปิดวาร์ปเก็บหมึกยักษ์ใหญ่เท่าภูเขาไปเสียก่อน ตัวเองได้ถูกมันบี้เละเป็นโจ๊กแบบที่เวทรักษาฟื้นฟูไม่ทันแม้จะอยู่ในน้ำแน่ ๆ แว้บหนึ่งดีนนึกขอบคุณเทพแห่งคำลวงของนอร์สที่โผล่ออกมาไว แต่คิดอีกทีก็ไม่รู้จะไปขอบคุณทำไมในเมื่อตัวเองถูกหลอกใช้ให้มาปลดปล่อยอสุรกาย
“เดิมทีคราเคนจะอาศัยอยู่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ทว่าความแปรปรวนของโลกทำให้มันหลุดออกมาหากินในสถานที่อื่น ส่วนหนึ่งเป็นความผิดของพ่อด้วย ช่วงนั้นอาการแปรปรวนของพ่อน่าจะกำเริบพอดี”
“พ่ออย่าโทษตัวเองเลยครับ เรื่องแบบนี้ใครจะคิดว่ามันจะเกิด…” ‘แต่ถ้าป้องกันไว้เนิ่น ๆ จะดีกว่า’ คือคำที่ละไว้ไม่พูดออกมา…
“เอลวิน เจ้าเล่าให้พ่อฟังได้ไหมว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น” โพไซดอนถาม
“ได้ครับพ่อ แต่บอกก่อนว่าผมเองก็จำอะไรได้ไม่ค่อยมากนะ” ชายหนุ่มปล่อยกอดออก เขาสูดลมหายใจพลางนึกถึงวันนั้นเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว ตอนนั้นเขากำลังนอยด์ที่ไม่ได้อยู่กับแฟน อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจึงค่อนข้างกระทันหันจนประติดประต่อเรื่องได้ยาก “ตอนนั้นพวกเราน่าจะเดินทางอ้อมผ่านเบอร์มิวด้ามาได้สักระยะนึง จากนั้นโทรศัพท์มือถือผมก็ร้องแจ้งเตือน รวมถึงกำไลที่พ่อให้มาก็ด้วย มันเรืองแสงวูบวาบไปหมด ผมที่กำลังนอนอยู่ในห้องเลยรีบออกมาดู ก็เห็นว่ามีฮิปโปแคมปัสตัวหนึ่งถูกจัดการ น่าเสียดายที่ผมไม่รู้ชื่อของเขาเลย”
ดีนเงียบไปนิดหนึ่ง ส่วนโพไซดอนกำลังฟังอย่างตั้งใจ
“ตอนนั้นผมแทบไม่มีสติในสถานการณ์ฉุกเฉินเลย ผมพยายามปีนขึ้นที่สูงเพื่อหลบหนวดหมึกที่กำลังรัดเรือ เพกาซัสเพื่อนผมพยายามบินลงมารับแต่ก็ถูกกวนจนมารับผมไม่ได้ ผมจึงให้เธอกลับไปค่ายก่อนเพื่อความปลอดภัย ส่วนผมอยู่ร่วมสู้กับฮิปโปแคมปัสที่เหลือเพราะสู้ตายน่าจะมีโอกาสรอดมากกว่าหนีอสุรกายตัวใหญ่แถมยังว่ายน้ำเร็วน่ะครับ”
“สรุปก็คือผมกับฮิปโปแคมปัสจัดการคราเคนได้สำเร็จ แต่ก่อนที่คราเคนจะตายมันบีดรัดผมไว้กับดิวดรอป... หมายถึงฮิปโปแคมปัสตัวหนึ่ง... เขาตาย ส่วนผมรอดด้วยอาการสาหัส” ดีนถอนหายใจออกมา เมื่อนึกถึงสหายร่วมรบที่จากไปแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็อดที่จะใจหายไม่ได้ กระนั้นเขาก็ไม่ได้หลั่งน้ำตาออกมา อาจด้วยเพราะผลข้างเคียงของยาที่ได้รับเข้าไปจำนวนมากจึงทำให้เขายังอ๊อง ๆ อยู่นิดหน่อยจนไร้ความเศร้ามาเจอปนในตอนนี้ “ดิวดรอป ไบร์นี่ ซีบรีซ และอีกตัวนึงที่ผมไม่รู้ชื่อ ..คือผู้ที่จากไป”
“โอ้ ซีบินเน่ เจ้าไม่น่าจากข้าไปเลย…” ฟังถึงตรงนี้โพไซดอนเริ่มรำพึง ใบหน้าของเจ้าสมุทรเศร้าโศกเป็นอย่างมาก
“ซีบินเน่ที่พ่อพูดคือ?”
“ซีบินเน่… พวกฮิปโปแคมปัสเด็กชอบเรียกนางว่า ‘ซีบรีซ’” คำอธิบายของโพไซดอนทำให้ดีนถึงบางอ้อ “เอลวินเจ้าจำได้ไหมว่านางจากไปอย่างไร”
“ถ้าเป็นซีบรีซล่ะก็..” ดีนเอ่ยเสียงแผ่ว “ตอนนั้นผมกำลังจะถูกหนวดคราเคนแทงจากด้านหลัง แล้วเธอก็เอาตัวมาบัง ผลักผมกับดิวดรอปไปจนโดนจัดการแทนครับ”
“โอ้.. ซีบินเน่ จุดจบของนางเป็นไปอย่างกล้าหาญ” โพไซดอนเริ่มครวญคราง หัตถ์ราชายกขึ้นมากุมพระพักตร์ เสียงสะอื้นเปล่งออกมาหลังจากนั้นไม่นาน “ฮึก! ฮื่อ…”
“พ่อ!”
ความอ่อนแอที่เจ้าสมุทรแสดงออกมาทำเอาดีนตกใจ แต่ดูเหมือนไม่ได้มีแค่ชายหนุ่มเท่านั้น ทุกคน (และตัว) ในที่นี้ต่างตกใจกันถ้วนหน้า ดีนไม่รู้จะพูดปลอบใจอย่างไรเขาจึงได้แต่สวมกอดบิดาพลางลูบหลังเบา ๆ ยิ่งเขากอดพ่อแน่นขึ้นเท่าไร ดูเหมือนว่าโพไซดอนจะยิ่งปลดปล่อยความเศร้าโศกมากขึ้นเท่านั้น
แต่แล้วเสียงสะอื้นก็หยุดลงอย่างฉับพลัน ตามด้วยแรงสะดุ้งน้อย ๆ จากร่างใหญ่ในอ้อมแขนของดีน เขาปล่อยกอดหลวม ๆ ออกมานิดหน่อย ก่อนจะมองใบหน้าของบิดาแล้วก็ต้องงงงวยเมื่อสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลง
บนใบหน้าของเจ้าสมุทรไร้ความโศกาให้เห็น มีแต่คิ้วที่ขมวดมุ่นผูกกันเป็นโบว์ราวกับไม่พอใจดีนที่สวมกอดเขาอยู่ เจ้าสมุทรผลักลูกชายออกอย่างไม่ปราณี ดีนไม่ถึงกับเซล้ม แต่ก็ต้องถอยกรูออกไปจากบัลลังก์
โพไซดอนที่ก่อนหน้านี้อยู่ในลุคของเอ็นพีซีนักตกปลาประจำเมือง เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เป็นชุดสูทหรูเนี้ยบมาดนักธุรกิจผู้เคร่งขรึม โกนหนวดเคราจนใบหน้าเกลี้ยง แม้แต่ทรงผมก็ถูกจัดแต่งเรียบสนิท เป็นรูปลักษณ์เดียวกับตอนที่ดีนเห็นเมื่อย่างเข้ามาในท้องพระโรงไม่มีผิด
“พ่อ?” ดีนส่งเสียงเรียกชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยความงุนงง
“พ่อ?” แต่คนที่อยู่เบื้องหน้ากลับเลิกคิ้วถามพร้อมกับทวนคำ
“ขออภัยขอรับฝ่าบาท” ลูอิสที่สังเกตการณ์อยู่นานรีบคุกเข่าเคารพราชาก่อนจะดึงตัวดีนออกมาจากนั้นกระซิบใกล้ ๆ “ท่านเอลวิน นั่นคือท่านเนปจูนมิใช่ท่านโพไซดอนขอรับ”
“เนปจูน!?” ได้ฟังคำตอบดีนก็ถึงกับร้องเสียงสูง ก็รู้อยู่นะว่าช่วงนี้พ่อมีอาการไม่ปกติ บุคลิกสองด้านตีกันจนแปรปรวน แต่ก็ไม่ทันคิดว่าอีกร่างจะออกมาแบบนี้ เขาค่อย ๆ หันหน้าไปมองทางเทพโรมันอีกครั้ง “เอ่อ.. สวัสดีครับ พ่ออีกร่าง”
เนปจูนส่งเสียงคำรามในลำคอออกมาเบา ๆ แทนคำตอบ ซึ่งดูแล้วไม่พึงพอใจเสียเท่าไร
‘แย่แฮะ ดูเหมือนว่าพ่อคนนี้จะอารมณ์บ่จอยยิ่งกว่าเก่า’
แต่ยังไงพ่อก็เป็นพ่อ ถึงแม้บุคลิกจะเป็นคนละคนกัน แต่เขาก็มีดีเอ็นเอของเทพเจ้าตรงหน้าไหลเวียนอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะดีจะเลวอย่างไรเขาก็อยากจะสนิทกับพ่อและรู้จักอีกฝ่ายให้ครบทุกมุม ไอเท็มโปรดปรานที่ช่วยสร้างความสนิทแก่เทพเจ้าน่าจะช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย บุตรแห่งโพไซดอนรื้อสัมภาระของตัวเองจากนั้นก็หยิบไอเท็มกระชับมิตรที่ได้จากการล็อกอินแอปพลิเคชั่นมือถือส่งมาให้เป็นของกำนัล
ได้เวลาของ ดอกกุหลาบทองคำ!
“ของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกครับ… พ่อ”
แม้หัวคิ้วจะยังขมวดเข้าหากันทว่าเนปจูนก็ยินดีที่จะรับกุหลาบทองคำจากมือเดมิก็อดที่เพิ่งเคยพบหน้า มันเป็นสิ่งบูชาที่เขาไม่ได้รับมานานแสนนาน ก็อย่างว่า ‘เนปจูน’ ไม่ใช่เทพที่ป๊อปปูล่ามากเท่าไร แม้แต่กับบุตรหรือธิดาของเขาก็ตามที
“ข้าไม่ใช่พ่อของเจ้า” เทพเจ้าตอบเสียงแข็งทำเอาดีนยิ้มเจื่อน
“เจ็บจี๊ดเลยแฮะ ถูกปฏิเสธซึ่ง ๆ หน้าเลยเนี่ย…” ดีนพึมพำ แต่บอกเลยว่าเรื่องแค่นี้ล้มเลิกความตั้งใจในการสนิทกับพ่ออีกภาคไม่ได้หรอก! “ถึงพ่อจะพูดแบบนั้น แต่อาการของ ‘ดีไอดี’ หรือโรคความผิดปกติทางอัตลักษณ์ ก็ไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางชีวภาพอยู่ดีครับ ถึงบุคลิกและความทรงจำของของโพไซดอนกับเนปจูนจะแตกต่างกัน แต่ร่างกายก็คือพ่อคนเดียวกันอยู่ดีนั่นแหล่ะ” การเอ่ยนามเจ้าสมุทรสั้น ๆ ห้วน ๆ ทำเอาเนปจูนคิ้วกระตุก เขากุมตรีศูลในมือแน่น กัดฟันเกร็ง แต่เหมือนว่าบุตรแห่งโพไซดอนจะไม่หยุดพล่ามเสียทีนึง
“วาจาสามหาวจริง ๆ”
“สามหาว? โอ้โห ศัพท์โบราณที่แทบไม่ใช้ในชีวิตจริง!” ดีนไหวไหล่เบา ๆ ท่าทางนั้นยิ่งกระตุกต่อมหัวร้อนของเนปจูนได้ไม่ยาก
“ท่านเอลวินขอรับ ข้าคิดว่าท่านพอก่อน…” ลูอิสยังคงกระซิบปรามพร้อมกับสะกิดแขนของชายหนุ่มรัว ๆ “พอ? พออะไรเหรอคุณลูอิส ถ้าไม่อธิบายให้เขาเข้าใจก็แย่น่ะสิ ถึงบุคลิกภาพจะต่างกันแต่ถ้าจับเขาไปตรวจเลือดล่ะก็ต้องมีดีเอ็นเอตรงกันมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นชัวร์”
ยิ่งพูดเหมือนจะสร้างความเดือดดาลให้เทพสมุทรเวอร์ชั่นโรมันให้พิโรธยิ่งขึ้น ความมาคุปกคลุมไปทั่วทั้งพระราชวังจนทุกคนต่างขนลุกซู่ มีไม่รู้ตัวอยู่แค่คนเดียวก็คือดีนเนี่ยแหล่ะ ส่วนไซคลอปส์องครักษ์ได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ ด้วยอาการพูดแทรกไม่ทัน
“เดมิก็อด ข้าชักจะหมดความอดทนกับเจ้าแล้วนะ!!”
เนปจูนคำราม สุรเสียงจากเทพเจ้ายิ่งทำให้ท้องทะเลแปรปรวน กระแสน้ำวนนอกแอตแลนติสบ้าคลั่ง ก่อเกิดพายุลูกใหญ่เหนือมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ
“ผมพูดความจริงนี่นา โกหกตรงไหนเอาปากกามาวงได้เลย—”
สิ่งที่วงไม่ใช่ปากกา แต่เป็นปลายตรีศูลแหลมคมที่ครั้งหนึ่งดีนเคยเป็นผู้อารักขาพุ่งจ่อเสียดแก้มข้างซ้ายของชายหนุ่มจนเลือดซึม ดีนได้แต่อ้าปากค้างที่อีกบุคลิกภาพของพ่อตั้งใจทำร้ายโดยไม่ยั้งคิด อาการนั้นไม่ต่างจากลูอิสที่อยู่ข้าง ๆ ซึ่งเกือบจะถูกลูกหลงไปด้วย ทว่าปลายตรีศูลนั้นชะงักงันก่อนที่จะทำร้ายชายตรงหน้าจนตัวแหลกเป็นผง ร่างของเนปจูนกลับคืนสู่ร่างของโพไซดอน ราชาเจ้าสมุทรหอบแฮ่กเมื่อเขาฝืนดึงสติจนกลับสู่บุคลิกภาพหลักโดยที่ยังไม่ถึงเวลาการสลับร่าง มือที่กุมตรีศูลแน่นดึงอาวุธเทพกลับมาไว้ข้างตัว
“เอลวิน.. พ่อขอโทษ เจ้าเจ็บมากไหม?”
ขณะที่ชายหนุ่มอ้าปากค้าง โพไซดอนก็เรียกสายน้ำมาพอกที่ข้างแก้มที่เลือดซึมไหลซิบของลูกชาย ทักษะติดตัวจากสายเลือดทำงานทันที บาดแผลจากตรีศูลหายไปไม่เหลือแม้กระทั่งรอยแผลเป็น
“เอ่อ.. อ่า.. ไม่เป็นไรครับพ่อ ผมรู้ว่าพ่อไม่ได้ตั้งใจ.... เนี่ย! น้ำของพ่อรักษาผมจนหายแล้ว แต่อีกบุคลิกของพ่อน่ากลัวชะมัดเลย!”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว…” โพไซดอนยังไม่หายจากอาการเหนื่อย ในตอนนี้เขาใช้ความพยายามระงับอีกบุคลิกของตนที่กำลังคุ้มคลั่งอย่างยากลำบาก “เอลวินเจ้าออกไปก่อน ไม่เช่นนั้นพ่ออาจจะเผลอตีเจ้าอีกได้”
‘ไม่ใช่ตีแล้วพ่อ! นี่เกือบจะฆ่ากันชัด ๆ !’
ดีนร้องแหว๋วในใจแต่ไม่กล้าโวยวายหลังจากที่เกือบตายมาหมาด ๆ
“ลูอิส เจ้าพาเอลวินออกไปก่อน อยู่กับข้าตอนนี้จักอันตราย”
“ขอรับฝ่าบาท” องค์รักษ์ไซคลอปส์น้อมรับคำสั่ง “ออกไปกันก่อนเถิดขอรับท่านชาย”
“ถ้าพ่อพูดแบบนั้นก็ได้ครับ…”
ดีนอดมองท่าทางของบิดาด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ เขาจำยอมต้องออกมาจากท้องพระโรงเพื่อให้โพไซดอนได้ปลดปล่อยความเป็นตัวของตัวเอง ในหัวพลางคิดว่าจะมีวิธีไหนที่ช่วยพ่อไปพร้อม ๆ กระชับมิตรกับเนปจูนได้บ้างหรือเปล่านะ… แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าแค่ให้ของเพียงอย่างเดียวคงเอาไม่อยู่
ถวาย [กุหลาบทองคำ] แก่ [เนปจูน]
+5 โบนัสความสัมพันธ์จากการใส่ [เสื้อฮาวาย]
+5 โบนัสความสัมพันธ์จากการใส่ [กุหลาบสีน้ำเงินทอง]
HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25 โบนัสจากกลุ่มสมาชิก (ผู้โปรดปรานเหล่าเทพ) - โบนัสความโปรดปราน+15
รวม 100 ความสัมพันธ์ (หรือเปล่า?)

คุณชายไซม่อน รออีกแป๊บนะ...
|