-24.01.25 / ??:??PM.-
“ที่พวกเจ้าดั้นด้นเดินทางกันมาจนถึงที่นี่คงไม่ใช่เพียงแค่มาเที่ยวเล่นหรอกใช่ไหม”
ชายข้างกายเปิดบทสนทนาขณะที่พวกเขาเริ่มเดินเรียบเรื่อยไปภายในป่า
“ครับ พวกผมมาทำธุระ…อะไรบางอย่าง”
แมคเคนซีจงใจตอบเพียงสั้น ๆ พลางมองเส้นทางรอบ ๆ เพื่อเป็นทางหนีทีไล่ไปด้วย แม้อีกฝ่ายจะดูไม่เหมือนพวกประสงค์ร้ายแต่เขาก็ยังไม่อาจวางใจได้
“ธุระที่ว่าหมายถึงภารกิจการเดินทางของเดมิก็อดล่ะสิ”
เป็นไปตามคาด คนคนนี้รู้เรื่องของพวกเขาจริง ๆ แมคเคนซีหันกลับมามองคู่สนทนาแล้วก็พบว่าบางสิ่งของร่างตรงหน้าดูแปลกตาไปจากเมื่อครู่ เสื้อผ้าบาง ๆ ที่สวมใส่ถูกแทนที่ด้วยเสื้อเชิ้ตผ้าฟลานเนลเนื้อดี กางเกงยีนส์สีซีดและรองเท้าเดินป่าที่ก็ยังดูเหมือนจะป้องกันความหนาวไม่ได้อยู่ดี หากแต่ใบหน้ารูปโฉมยังคงงดงามตรึงใจเหล่านางไม้ที่ได้พบเห็นเฉกเช่นชนเผ่าเอลฟ์ตามที่เคยเห็นจากในหนัง
“…ถ้าคุณรู้แล้ว ผมก็หวังว่าคุณจะไม่ถ่วงเวลาพวกผม”
เดมิก็อดหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ มือข้างหนึ่งแตะที่กระบอกซูมเตรียมพร้อมหยิบอาวุธเวทย์ประจำตัว ตั้งแต่เดินทางมาเขาเจอทั้งเทพเจ้าเล่ห์ที่มายื่นข้อเสนออันไม่คุ้มค่า กองทหารขององค์กรลึกลับที่ไล่โจมตีเกือบตลอดทางราวกับพวกเขาเป็นนักโทษหนีคดี แล้วยังมีฝูงมอนสเตอร์ที่จ้องคอยสังหารทั้งยามหลับและยามตื่น แม้จะมีน้ำใจจากผู้คนที่หยิบยื่นมาให้ แต่ก็ยังไม่อาจเชื่อใจใครได้ง่าย ๆ อยู่ดี
“เพื่อความสบายใจของเจ้า ข้าคงต้องแนะนำตัวสักหน่อย ข้าคือเฟรย์ เทพแห่งสันติภาพ ความอุดมสมบูรณ์และฤดูร้อน…เจ้าเรียกข้าว่าเฟรย์ก็ย่อมได้ และแน่นอน ข้าไม่คิดจะถ่วงเวลาเจ้าไว้…แม้สักวินาที”
ดวงตาวูบไหวกอปรกับรอยยิ้มขื่นเพียงชั่วครู่ที่ปรากฏขึ้นมาบนดวงหน้านั้นทำให้แมคเคนซีค่อย ๆ ลดมือลงมาที่ข้างตัว แต่กระนั้นความสงสัยก็ยังไม่ได้รับการคลี่คลายให้กระจ่างเสียทีเดียว
“แล้วทำไมคุณ เอ่อ…ท่านถึงมาปรากฏตัวให้ผมเห็น”
เมื่อรู้ว่าผู้ที่สนทนาอยู่ด้วยเป็นถึงเทพก็เริ่มเปลี่ยนสรรพนามวุ่นวายไปหมดจนเฟรย์ต้องยกมือขึ้นปรามแล้วบอกให้ “พูดตามปกติ” ใบหน้าได้รูปจึงพยักหน้ารับแล้วถามต่อ
“หรือว่าคุณมีอะไรอยากบอกผมหรือเปล่า”
อย่างว่า…เทพแห่งฤดูร้อนคงไม่ได้มีอารมณ์สุนทรีย์ถึงขนาดตั้งใจเพียงแค่มาเล่นดนตรีให้ฟังท่ามกลางอากาศหนาวจัดแล้วกลับไปเฉย ๆ หรอก แบบนั้นคงดูใจดีเกินไปหน่อย
“น่าเสียดายที่ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่าไม่มีเทพหรือเทพีองค์ใดสามารถยื่นมือเข้ามาช่วยภารกิจได้…”
ดวงตาคู่เรียวหันมาสบมองดวงตาสีฮาเซล มือข้างที่ไม่ได้ถือเครื่องดนตรียกขึ้นมาก่อนจะปรากฏอัญมณีเปล่งแสงเรืองรองอยู่เหนือฝ่ามือนั้น
“เจ้าว่ามันสวยไหม…”
เฟรย์ถามขณะเลื่อนสายตามอง ‘มูนสโตน’ ที่เปล่งประกายพร้อมรอยยิ้มบาง
“ข้าจะให้เจ้า หากเจ้าช่วยบุตรแห่งข้าจากกลุ่มคนที่เจ้ากำลังจะไปเผชิญหน้า”
เรียวคิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย ภายในหัวประมวลผลคำพูดเหล่านั้นจนได้ข้อสรุปว่า
‘งานงอกนี่หว่า’
“คุณจะบอกว่าลูกคุณก็ถูกองค์กรนั่นจับตัวไปทดลองเหมือนกันงั้นเหรอ”
เฟรย์พยักหน้าน้อย ๆ แทนคำตอบก่อนจะกล่าวต่อ
“บุตรข้าผู้นี้เป็นเด็กน่าสงสาร ไม่ผ่านการทดสอบสู่วัลฮัลล่า แล้วยังโชคร้ายต้องพบเจอกับองค์กรลึกลับอีก เมื่อไร้การฝึกฝนก็ยากจะป้องกันตนเอง ข้าเองก็ไม่อาจช่วยอะไรได้”
แมคเคนซีได้เพียงแต่กระพริบตาปริบ ๆ ฟังเรื่องที่เทพแห่งสันติภาพเล่า ยอมรับว่าตนเองไม่เข้าใจในบางจุด อย่างเช่นการทดสอบสู่วัลฮูล่าฮัลล่าอะไรนั่น หากให้เดาจากบริบทก็คงคล้าย ๆ กับการฝึกฝนตนในค่ายแบบพวกเขาก่อนที่จะออกมาเผชิญโลกภายนอกล่ะมั้ง
“อืม…ผมพอเข้าใจนะ เทพคงเข้าไปแทรกแซงเรื่องของพวกมนุษย์ไม่ได้ ถึงคนที่อยู่ในอันตรายจะเป็นลูกของคุณก็ตาม…ตกลง ผมจะช่วยลูกคุณ แต่เป็นเพราะผมอยากช่วยจริง ๆ ไม่ได้เห็นแก่มูนสโตนหรอก แล้วผมจะช่วยลูกคุณได้ยังไง”
มูนสโตนถือเป็นอัญมณีลึกลับล้ำค่า หากถามถึงความงดงามแล้วเขาเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อสงสัย เพียงแต่ตอนนี้แมคเคนซีเองก็มีมูนสโตนอยู่กับตัวแล้วจำนวนหนึ่ง นอกจากใช้จับกริมาลคินแล้วเขาก็ยังไม่เห็นประโยชน์อื่นใดอีก หากเทียบกับชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่มีชะตากรรมเดียวกันกับน้องร่วมมารดาของเขาแล้ว มูนสโตนชิ้นนี้จึงถือเป็นผลพลอยได้เล็กน้อยเท่านั้น
“เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับเขา จงพยายามเข้าใกล้เพื่อเปิดจิตใต้สำนึกของบุตรแห่งข้า ให้สิ่งนี้ที่ออกจากตัวเจ้าได้เข้าไปเกลี้ยกล่อมและนำพาเขากลับมาซะแมคเคนซี”
“…………!?”
ดวงตาสีฮาเซลเบิกขึ้นเมื่อเรียวนิ้วของเฟรย์แตะเข้าที่กลางอก ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบขึ้นพร้อมกับความรู้สึกราวกับมีกระแสพลังอะไรบางอย่างแล่นผ่านปลายนิ้วเข้าไปอยู่ในร่างกายเหมือนกับตอนที่เขาแตะรูปปั้นผู้เป็นมารดาเพียงแต่ครั้งนี้เบาบางกว่า จนกระทั่งแสงนั้นหายไปร่างของเฟรย์ก็หายไปด้วย
“อ้าว…ไปซะแล้ว ให้ตายสิ ไม่คิดจะอธิบายให้เข้าใจง่ายกว่านี้หรือไงนะ แล้วนี่จะออกจากป่ายังไง”
แมคเคนซีพรูลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขาควรชินได้แล้วใช่ไหมกับข้อความที่ชวนให้ต้องไปขบคิดต่อของเหล่าเทพ เพียงแต่ตอนนี้เขาต้องหาทางออกจากป่าสนนี่เสียก่อน
“หืม…? อะไรกันเนี่ย”
เมื่อหันกลับไปยังทางเดิมที่เดินมาหมอกควันก็ค่อย ๆ จางลง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือหมู่บ้านที่เขาและเพื่อนร่วมทีมพักอาศัยชั่วคราว ทั้งที่มั่นใจเหลือเกินว่าเมื่อขามานั้นเดินเข้าไปลึกกว่านี้แท้ ๆ แต่ทำไมตอนนี้ถึงมาโผล่ตรงชายป่าได้…ราวกับว่าเขาไม่ได้เดินเข้าไปเลยแม้แต่น้อย
‘ข้าไม่คิดจะถ่วงเวลาเจ้าไว้…แม้สักวินาที’
คำพูดของเทพแห่งคิมหันต์ฤดูแวบเข้ามาในความคิด บางทีนี่อาจแสดงถึงความจริงใจในประโยคนั้นก็เป็นได้
“ขอบคุณครับเฟรย์”
แมคเคนซียิ้มเล็กน้อยแล้วเดินกลับบ้าน ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว ก่อนที่เช้ารุ่งขึ้นจะมาถึง เขาคงต้องนอนหลับเอาแรงเสียหน่อย
.
.
.
-25.01.25 / 09:10AM.-
เมื่อได้พักผ่อนกันเต็มอิ่มแล้ว เช้าวันนี้ทีมทำภารกิจจากค่ายฮาร์ฟบลัดทั้งสามคนจึงได้เวลาออกเดินทางสู่ ‘เยลโลวไนฟ์’ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของภารกิจนี้เสียที
ในตอนแรกทั้งรูบี้และแมคเคนซีต่างก็ยังเป็นห่วงอาการคีธอยู่ แต่ธิดาฮีบี้ยืนยันว่าสภาพร่างกายของเธอกลับมาแข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้ว แล้วคนที่ไม่ได้เรียนจบแพทย์อย่างพวกเขาจะไปเถียงคุณหมอสาวได้อย่างไร
หลังจากทานอาหารเช้าพลางสอบถามเส้นทางและกล่าวขอบคุณพร้อมกับร่ำลาเจ้าของบ้านผู้ใจดีอย่างทราวิสแล้ว รถออฟโร้ดก็ได้เวลาล้อหมุนออกเดินทางไปตามถนนที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนมุ่งหน้าสู่เยลโลวไนฟ์ โดยระหว่างทางแมคเคนซีก็ไม่ลืมที่เล่าเรื่องที่เขาได้พบกับเทพเฟรย์เมื่อคืนไปด้วย
.
.
-12:40AM.-
กว่าสามชั่วโมงกับการขับรถท่ามกลางสภาพอากาศหนาวจัด ในที่สุดทีมทำภารกิจก็เริ่มเข้าสู่ตัวเมืองเยลโลวไนฟ์ จากที่อ่านบทความในเว็บไซต์ต่าง ๆ ก่อนออกเดินทางว่าสภาพอากาศช่วงฤดูหนาวของที่นี่ต่ำมากจนติดลบนั้นไม่เกินจริง
“ฉันว่าเราควรเปลี่ยนวิธีเดินทาง”
รูบี้เสนอขณะพวกเขาทานมื้อเที่ยงกันในร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในตัวเมือง
“ฉันเห็นด้วยนะ ถ้าเราใช้รถขององค์กรเดินทางไปต่อจนถึงฐานลับน่าจะเป็นจุดเด่นเกินไป”
คีธเสริมพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม แมคเคนซีพยักหน้ารับกับความเห็นของเพื่อนร่วมทีมทั้งสองพลางนึกไปถึงรถออฟโร้ดที่เขาจอดไว้ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก แม้จะค่อนข้างเสียดายยานพาหนะที่สามารถวิ่งลุยพื้นหิมะได้ก็ตาม แต่เมื่อเข้าพื้นที่เมืองเยลโลไนฟ์แล้วก็ไม่แน่ว่าอาจมีพวกคนในองค์กรคอยจับตาดูพวกเขามากกว่าเดิม การระแวดระวังภัยจึงต้องเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
“อืม…ในแผนที่นั่นเขียนไว้ว่าหมู่บ้านออโรร่าใช่ไหม ตรงนั้นเป็นจุดที่เห็นแสงเหนือชัด ฉันเคยอ่านรีวิวว่ามีทัวร์พาไปดูแสงเหนือที่นั่น ถ้าเราไปในฐานะนักท่องเที่ยวล่ะ”
หลังจากได้แผนที่แสดงที่ตั้งฐานลับขององค์กรนั้นมา แมคเคนซีก็ลองเซิร์ทหาข้อมูลเกี่ยวกับ ‘หมู่บ้านออโรร่า’ เพิ่มเติม สิ่งที่เขาได้รับจากการหาข้อมูลครั้งนี้คือ หมู่บ้านออโรร่าเป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ของชาวพื้นเมืองที่ต้องนั่งรถออกจากตัวเมืองไปอีกหน่อย ที่นั่นถือได้ว่าเป็นที่ที่สามารถเห็นแสงเหนือได้อย่างชัดเจน ดังนั้นนักท่องเที่ยวส่วนมากจึงมาเยือนเพียงช่วงเวลากลางคืนเพื่อชื่นชมความงดงามของแสงเหนือเท่านั้น และจากนั้นก็จะนอนค้างในเต๊นท์หนังกวางซึ่งทางหมู่บ้านจัดเตรียมไว้ให้เช่าแล้วค่อยกลับมาในตัวเมืองหลังจากทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างการนั่งรถสุนัขลากเลื่อน การตกปลา และซื้อของที่ระลึกเสร็จ ซึ่งนั่นทำให้เขานึกแปลกใจว่าฐานลับที่ใช้ทำการทดลองรวมไปถึงทำพีธีกรรมจะไปอยู่ในย่านชุมชนได้อย่างไร บางทีพวกเขาคงต้องไปค้นหาอาคารที่ตั้งขององค์กรในพื้นที่กันต่อ
“ก็ดี เดินทางไปในฐานะนักท่องเที่ยวคงไม่ตกเป็นที่สงสัย”
ธิดาแอรีสพยักหน้ารับ หลังจากทานมื้อเที่ยงกันเรียบร้อย ทั้งสามคนก็ไปเอาสัมภาระทั้งหมดออกมาจากรถแล้วเริ่มทำตามแผนการที่วางไว้
.
.
“โอ้ยยยย ช่วงนี้มันโลวซีซั่น ดูสภาพอากาศตอนนี้สิ ฟ้าสว่างทั้งวันแบบนี้จะไปเห็นแสงเหนือได้ยังไงกัน ไม่มีทัวร์ไปที่นั่นหรอก สนใจไปรูทอื่นแทนไหมล่ะ”
ยังไม่ทันไรก็ประสบปัญหาเข้าเสียแล้ว นี่น่าจะเป็นทัวร์ที่สี่แล้วที่ปฏิเสธพวกเขา หากจะโทษอะไรสักอย่างก็คงต้องโทษปรากฏการณ์รัติกาลสาบสูญล่ะมั้ง ที่พอไม่มีกลางคืนก็พลอยไม่เห็นแสงเหนือไปด้วย ยามนี้จึงหาทัวร์ที่จะไปยังหมู่บ้านออโรร่าซึ่งมีจุดขายด้านการดูแสงเหนือได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นทุกทัวร์ก็ยังพยายามขายทัวร์เพื่อไปยังสถานที่อื่นในเมืองเยลโลวไนฟ์ให้ และแน่นอนว่าพวกเขาเองก็ปฏิเสธไปทั้งหมดเช่นกัน
“ทำอย่างไรดี เรากลับไปใช้รถองค์กรนั่นดีหรือไม่ ขืนอยู่แบบนี้ไม่ได้ไปไหนกันพอดี”
รูบี้ตีหน้ายุ่งเมื่อรู้สึกว่าแผนนี้เริ่มจะไม่เวิร์ค
“ลองดูอีกสักหน่อยเถอะ อาจเจอทัวร์ที่ยังไปอยู่ก็ได้”
คีธบอกอย่างใจเย็นแล้วมองหาบริษัททัวร์แถวนั้นต่อ ซึ่งแมคเคนซีเองก็เพียงแค่ถอนหายใจที่ถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลางช่วยหาไปด้วย เดิมทีเขาไม่ใช่คนใจร้อน แต่ภายในใจก็แอบคิดว่าหากไปถึงได้เร็วเท่าไหร่คงยิ่งดี
“………?”
“ขอโทษทีนะ…ผมได้ยินว่าพวกคุณจะไปหมู่บ้านออโรร่า ใช่ไหม”
ใครคนหนึ่งสะกิดไหล่แมคเคนซีจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองดวยคววามสงสัยก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มน้อย ๆ ให้
“ใช่ พวกเรากำลังจะไปที่นั่นแต่ยังหารถไม่ได้เลย คุณพอจะช่วยแนะนำทัวร์ให้เราได้หรือเปล่า”
“ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมขับไปส่งพวกคุณได้นะ เอ่อ…ขอโทษที่เสียมารยาท ผมลืมแนะนำตัว ผมริกกี้”
ชายหนุ่มที่ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกเขาแนะนำตัวแล้วยกมือลูบท้ายทอยอย่างประหม่า
“เดี๋ยวนะ คุณบอกว่าคุณจะไปส่งพวกเราที่หมู่บ้านออโรร่าอย่างนั้นเหรอ”
แมคเคนซีถึงกับตาโตที่อยู่ ๆ ก็มีผู้มาเสนอตัวให้ถึงที่ราวกับฟ้ามาโปรดจนแทบอยากจะตีแขนตนเองสักทีเพื่อเช็คว่าฝันไปหรือเปล่า
“ใช่ อย่างที่คุณเพิ่งรู้ ช่วงนี้ไม่มีใครไปที่นั่นเพราะไม่เห็นแสงเหนือ บริษัททัวร์เลยพากันเปลี่ยนสถานที่หมด อย่าว่าแต่หมู่บ้านออโรร่าเลย ขนาดเยลโลวไนฟ์ยังธุรกิจซบเซาจนผมต้องมารับจ้างขับรถเป็นอาชีพเสริม เอาเป็นว่าถ้าคุณสนใจผมคิดราคาแค่ครึ่งนึงของทัวร์ก็ได้นะ เพราะผมคงได้แค่ไปส่ง แต่คงแนะนำหรือพาพวกคุณเที่ยวแบบทัวร์ไม่ได้หรอก”
“ตกลง ! เรารับข้อเสนอ พวกเราแค่อยากไปสัมผัสบรรยากาศของชาวบ้านพื้นเมืองเพียงเท่านั้น แม้ไม่ได้ดูแสงเหนือก็ไม่เป็นไร เรารีบเดินทางกันเถอะ”
รูบี้รีบตอบตกลง ซึ่งอีกสองคนก็ไม่ได้คิดจะขัดอะไร ข้อเสนอดี ๆ แบบนี้ใครจะปฏิเสธกันล่ะ
“โอ้ ขอบคุณพวกคุณมาก ! เชิญทางนี้เลย”
ริกกี้ยิ้มออกมาด้วยความดีใจแล้วเดินนำทั้งสามคนไปที่รถ

สรุปสถานการณ์
- แมคเคนซีตอบตกลงช่วยเหลือบุตรแห่งเทพเฟรย์
- ทีมทำภารกิจเดินทางมาถึงเมืองเยลโลวไนฟ์และเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านออโรร่าตามแผนที่
(ที่คาดว่าเป็นที่ตั้งฐานลับขององค์กรลึกลับ)