สถานีรถไฟพิตต์สเบิร์ก
EP. 1 ลอร์ร่าเดินทางไป อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (ภารกิจกู้ภัยเดมิกอต)
[09:30 // 11 มค 68]
เช้าของวันนั้นเองเด็กสาวก็เดินลงออกมาจากค่าย พร้อมของกินเเละอื่นๆ จำนวนหนึ่ง เธอลงมาท่าทางก็คือลำบาคอยู่แล้ว ปกจินอนที่ค่ายสวยๆ ็ดีอยู่แล้ว ไม่ชอบดันต้องมาตรากตำอะไรแบบนี้อีก
เด็กสาวที่ไม่แน่ใจว่าเดินมาไกลขนาดไหนแล้ว ทางไปก็ลำบาคเหลือเกิน จะมีรถไปส่งหน่อยก็ไม่ได้เลยนะ เธอแบบจะไปทั้งทีทำไมชีวิตเหมือนเล่นตลกยังไงไม่รู้
“ทำไมฉันถึงตกลงมาทำอะไรแบบนี้นะ…” ลอร์ร่าพึมพำขณะยืนรอรถบัสเที่ยวเช้าที่สถานีรถในลองไอแลนด์ เธอหันมองรอบๆ ด้วยสายตากังวล
“ โรงเรียนของพวกเขาก็ออกเดินทางไปกันหมดแล้ว แล้วทำไมฉันต้องเดินทางคนเดียวล่ะ ” เธอบ่นอีกครั้งก่อนจะดึงเป้ที่หนักจนไหล่ชาให้เข้าที่เข้าทาง ไม่น่าเเบกบ้านมาก็แบบนี้หละ พวกสัมภาระเยอะยังไงหละ!!
เธอรอที่ป้ายนั้นพักใหญ่ๆ บางทีเธอก็แอบคิดลึกๆ ว่ามันผิดที่เปล่านะ ทำไมไม่มีรถมาเลย เเบบมาผิดเวลา ผิดป้าย ผิดหลงทางหรือเปล่าหนะ
แต่สักพักหลังจากการนั่งรอที่นานอยู่เสียงเครื่องยนต์ของรถบัสที่จอดอยู่ดังขึ้น ลอร์ร่าเงยหน้ามองคนขับที่กำลังเรียกผู้โดยสารขึ้นรถ
เธอสูดลมหายใจลึกและก้าวขึ้นไป รถบัสคันใหญ่สีฟ้าจอดนิ่งรอผู้โดยสาร เธอเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง ดึงแผนที่ที่พับเก็บอย่างรีบร้อนออกมาดู “ จากนี่ไปถึงพิตต์สเบิร์กก็เกือบห้าชั่วโมง… ไม่หวังว่าหรอนะ ว่าจะถึงง่าย นอนรอเลยน่าจะดี ” เธอบ่นกับตัวเอง ซึ่งท่าทางก็จะได้นอนจริงๆ นั้นหละ
ไม่นานนัก หลังรับคนที่ป้ายของเด็กสาว รถบัสเริ่มออกเดินทาง ทิวทัศน์ของลองไอแลนด์ค่อยๆ ละลายไปเป็นภาพของเมืองใหญ่ ที่ดูไม่ชินตา เพราะเธอออกมาจากเมืองเหล่านี้กลับเข้าป่าไปนานมากเลย
เธอเปิดกระเป๋า หยิบหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มเล็กขึ้นมาแต่สายตาของเธอกลับลอยไปที่หน้าต่าง ดวงตาชมวิวที่เปลี่ยนจากบ้านเรือนหนาแน่นสู่ทุ่งหญ้ากว้างและทางหลวงที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
ก่อนที่ตัวเธอนั้นจะเผลอเข้าสู่ห่วงนิทรา หัวของเธอโขกเข้ากับกระจกรถอย่างเเรงมันปลุกให้เด็กสาวตื่น เพราะรถมันเลี้ยวไปจุดพักรถก่อน
หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง รถบัสหยุดพักที่สถานีเล็กๆ แห่งหนึ่งกลางชนบท เสียงคนขับประกาศว่า “เราจะจอดพัก 20 นาทีนะครับ”
ทำให้ผู้โดยสารต่างพากันลงไปยืดเส้นยืดสาย ลอร์ร้าตัดสินใจลงไปซื้อของกินเล็กๆ น้อยๆ ที่ร้านค้าในสถานี
แต่เหมือนว่านอกจากคันของเธอก็ยังจะมีคันอื่นๆ มาเเวะด้วย เป็นสถานีไม่ช่เเต่ก็ดูจะมีของครบพอสมควรเลย เด็กสาวเองก็เเจ้นไปห้องน้ำก่อนเลย เพราะเเบบนะ
" ห้องน้ำสกปรกชะมัด " เธอที่แบบลำบาคอยู่มาก เพราะว่ามาคนเดียวเลยต้องหอบของลงมาด้วย เเม่ที่รถบัสจะให้ฝากกระเป๋าแต่ของเล็กๆ ก็ยังคงต้องขนอยู่ดีนะ ร่างเล็กหยิบออกมาด้วยเดินไปจัดเเจงตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินออกมาล้างไม้ล้างมือ
แล้วค่อยเดินไปที่ร้านค้า เเละเมื่อเข้าไปก็คือ ..... คนเยอะมาก เเบบมากๆ แถวยาวมาก แต่หากมองเวลาแล้ว ยังพอมีเวลาอีก 10 นาทีเห็นจะได้ ยังพอทันอยู ่ไม่ทันก็ยัดๆ ไม่ก็กินมันบนรถนั้นหละ
เธอต่อเเถวอยู่ม่นานมาก ราวๆ 3 นาทีหลังจากนั้น เมื่อถึงคิว เธอก็สั่งเมนูทันที แบบมองมานานเเล้ว เเต่ทำไมกันนะไม่มีชุดคอมโบเลย เด็กสาวเเอบเซงๆ
“ ขอแซนด์วิชไก่กับน้ำเปล่าค่ะ” เธอพูดกับพนักงานพร้อมจ่ายเงินอย่างรีบๆ เพราะเกรงว่าจะไม่ทัน
เธอต้องรอคิวอาหารอยู่อีกสักนึงด้วย ไม่นานเขาก็เรียนชื่อเธอ เธอรีบเดินไปรับอาหารและเดินออกไปข้างนอกเพื่อนั่งทางเงียบๆ ระว่างรอเวลา
ลอร์ร่านั่งบนม้านั่งไม้ใกล้สถานี กินแซนด์วิชไปพลางมองผู้คนที่เดินไปมา ความรู้สึกโดดเดี่ยวค่อยๆ จางหายเมื่อเธอเริ่มคิดถึงเป้าหมายของการเดินทาง แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ต้องเดินทางไกลขนาดนี้ แต่เธอก็รู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่เธอจะไม่มีวันลืม และบอกตัวเองเป็นข้อเตือนใจไว้เลยว่า อย่าได้หาทำอีกหละ!!
หลังจากทานหมดเธอก็ไปล้างมือและเดินกลับไปขึ้นบัสคันเดิม กับตำเเหน่งเดิมอีกครั้งและแน่นอนว่าอีกไกลเลยทีเดียวกว่าจะถึงจุดหมายของตัวเอง
เด็กสาวก็คือกินอิ่มนั่งมองวิวเพลินๆ ก่อนจะหลับอีกครั้ง เพราะเธอมันพวกหนังท้อตึงหลังตาหย่อนด้วย ก็หลับไปตลอดๆ ทางเลย เธอเอาหัวพิงกับกระจกบ้าง โยนไปมาบ้าง รถนั้นวิ่งยาวๆไปยังปลายทางของมัน นั้นน่าจะเป็นหมุดหมายของเธอในวันนี้
เเบบว่ามันเรียกว่า 1 ส่วน 3 ของเส้นทางเธอด้วยซ้ำ นี้ขนาดแค่ไปนะ ไม่ต้องคิดถึงภาพตอนขากลับ หลังผ่าอะไรต่ออะไรยิ่งใหญ่มากๆไปแล้ว เเทบไม่อยากพูดถึงเลยว่าสภาพจะออกเป็นยังไงบ้าง
เธอหลับๆ ตื่นๆ ไปตลอดทางเเม้จะเน้นนอนไปมากก็ตาม
หลังจากการเดินทางที่ยาวนาน รถบัสพาลอร์ร่ามาถึงพิตต์สเบิร์กในช่วงเย็นพอดี ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอมชมพู แสงสุดท้ายของวันทอดเงาบนถนนที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน เธอรู้สึกเหนื่อยล้าหลังจากนั่งรถมาทั้งวัน แม้จะนอนหลับมาเสียเยอะ
แม้ใจหนึ่งอยากหาที่พักอบอุ่นสักแห่ง แต่เมื่อเปิดกระเป๋าดูจำนวนเงินที่เหลืออยู่ เธอถอนหายใจเบาๆ เเล้วเวลาแบบนี้ออกไปตอนนี้ หาได้จากไหน “คงไปหาที่พักไม่ได้แล้ว… ค่ารถยังต้องใช้”
ลอร์ร่าตัดสินใจเดินต่อไปยังสถานีรถไฟในเมืองซึ่งเธอได้ยินมาว่าเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ระหว่างทาง เธอเดินผ่านผู้คนมากมาย บางคนดูรีบเร่ง บางคนยืนพูดคุยกันใต้แสงไฟริมถนน แม้เมืองจะคึกคัก แต่ลอร์ร่ากลับรู้สึกโดดเดี่ยวและอ่อนล้า
" น่ากลัวจังเลย " เธอไม่เคยตกในสภาพแบบนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ ไม่เคยเเม้แต่จะคิดว่าต้องมานอนที่แบบนี้ด้วยซ้ำไป มันน่ากลัวนะบอกเลย
ใครๆ ก็รู้ว่าสถานีรถไฟในอเมริกาแบบนี้มันยังไง เเม้จะไม่เหยียดเเต่อย่างใด เเต่ก็รู้ได้เลยว่า คนผิวสีค่อนข้างน่ากลัวมาก พวกเขาจะชอบขโมยของ และปล้นแบบซึ่งๆ หน้าซึ่งเเน่นอนลอร์ร่าไม่มีไรให้ปล้นหรอก หน้าตามอมแมมแบบนี้ น่าจะมาปล้นเขามากกว่าหนะสิ พวกเขาต้องกลัวเธอแล้วทรงนี้
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ เสียงประกาศตารางเดินรถดังขึ้นเป็นระยะ เธอมองไปรอบๆ พบรอยเก่าแก่ของสถานีที่ยังคงไม่ได้ซ่อมแซม
ผู้โดยสารบางคนหลับอยู่บนม้านั่ง บางคนจิบกาแฟจากแก้วกระดาษเพื่อคลายความหนาว ลอร์ร่าเลือกที่นั่งริมผนังมุมหนึ่งที่ดูเงียบสงบ เธอวางเป้ลงกับพื้นและนั่งพิงผนัง
“ คืนนี้คงต้องนอนที่นี่แหละ… ” เธอบ่นกับตัวเองก่อนจะหยิบเสื้อกันหนาวตัวหนามาคลุมตัว ฟังดูเศร้าๆ อย่างบอกไม่ถูก
เสียงรถไฟเข้าเทียบชานชาลาดังขึ้นเป็นระยะ พร้อมกับเสียงล้อบดกับรางเหล็กที่กึกก้อง เธอพยายามปิดหูเพื่อหลับตาพักผ่อน แต่ความเย็นจากพื้นคอนกรีตและเสียงรบกวนรอบข้างทำให้การนอนครั้งนี้ไม่ง่ายเลย
ลอร์ร่ามองไปรอบๆ เธอเห็นชายคนหนึ่งกำลังขนกล่องกระดาษออกจากรถเข็น เธอลังเลเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปขอ
“ขอโทษค่ะ… คือว่า....หนูขอ…กล่องพวกนี้สักใบได้ไหมคะ?” เธอถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ ชายคนนั้นมองเธอครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าและส่งกล่องขนาดกลางให้
เธอกลับไปยังมุมเดิม ใช้กล่องกระดาษบังลมที่พัดมาจากประตูสถานี เธอพยายามจัดให้มันเป็นเหมือนกำแพงเล็กๆ เพิ่มความอบอุ่นให้ตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะห่มตัวด้วยเสื้อกันหนาวหนาและนอนขดตัวบนม้านั่ง
เสียงประกาศยังดังเป็นระยะ เสียงผู้โดยสารเดินผ่านไปมาทำให้เธอตื่นขึ้นเป็นครั้งคราว เธอหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืน แต่ในใจกลับรู้สึกว่าเธอได้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากครั้งนี้ได้
“ แค่อีกไม่กี่วัน… ฉันก็จะถึงที่หมายแล้ว…” เธอบอกกับตัวเองก่อนจะหลับไปอีกครั้ง แบบว่าอย่างนอนตอนหลับ ก็จะไม่รู้สึกถึงความลำบาคก็แล้วกันนะ
แม้จะเป็นคืนที่ลำบาก แต่ลอร์ร่าก็ได้เรียนรู้ที่จะปรับตัวกับความยากลำบากในเส้นทางการเดินทางของเธอ การนอนในสถานีรถไฟครั้งนี้ไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่เป็นการทดสอบความกล้าและความอดทนของเธอด้วยเช่นกัน เธอนอนกอดตัวเอง พร้อมของเอาไว้ เนื่องจากความระเเวงเบาๆ
ยิ่งเป็นสาวสวยด้วยหนะสิ เเต่ว่าไป ทำไมพ่อของเธอไม่ห่วงเธอเลย เงียบหายไปเลย หรือว่าโกรธเรื่องนั้นหละ ไม่น่าเลย เเค่เครียเรื่องนั้นจริงๆ ก็จบแล้วจะออกมาให้ลำบาคทำไมเล่า!!
[07:00 // 12 มค 68]
เวลาเช้าของอีกวัน แสงแดดอ่อนๆ ของเช้าวันใหม่ส่องผ่านกระจกหน้าต่างสถานี ลอร์ร่าตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเหนื่อยล้าที่ยังหลงเหลือจากคืนที่ผ่านมา เธอขยี้ตาและลุกขึ้นนั่ง ยืดเส้นยืดสายบนม้านั่งไม้ที่เธอใช้เป็นที่นอนชั่วคราว
หลังจากสำรวจรอบๆ เธอเดินกลับไปหาชายที่ให้กล่องกระดาษเมื่อคืน
“ ขอบคุณสำหรับกล่องค่ะ นี่คืนให้ค่ะ ” เธอยิ้มเล็กน้อย แม้จะยังรู้สึกเขินอาย
ชายคนนั้นยิ้มรับและพยักหน้าให้เธอเช่นกัน “ ไม่เป็นไรๆ ”
ลอร์ร่ามุ่งหน้าไปยังห้องน้ำของสถานีรถไฟ เธอใช้เวลาล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อปลุกตัวเองให้สดชื่นขึ้น จากนั้นหยิบแปรงสีฟันและยาสีฟันขนาดเล็กที่พกติดตัวมาแปรงฟันอย่างรวดเร็วในอ่างล้างหน้า
แม้จะไม่ใช่ห้องน้ำหรูหรา แต่เธอก็รู้สึกขอบคุณที่มีพื้นที่ให้เธอเตรียมตัวสำหรับการเดินทางต่อไป
หลังจากจัดการตัวเองเสร็จ ลอร์ร่าแวะซื้อกาแฟและขนมปังเล็กๆ จากร้านค้าในสถานีรถไฟ
“ อย่างน้อยวันนี้ก็ดูจะเริ่มต้นได้ดีขึ้น (มั้ง) ” เธอพูดกับตัวเองพลางจิบกาแฟร้อนๆ ที่ช่วยเพิ่มพลังงานในเช้าหนาวๆ แม้เมื่อคืนจนนอนไม่โอเคเท่าไรนัก
เเบบว่าวันนี้ก็คือทำทรงเสียหน่อย อย่างน้อยๆ อากาศก็หนาวจนไม่ต้องอาบน้ำ เเค่ล้างหน้าเเต่งหน้าก็เพียงพอแล้ว
ลอร์ร่ากลับมาที่ม้านั่งพร้อมแผนที่ในมือ เธอวางแผนเส้นทางต่อไปอย่างตั้งใจ
เป้าหมายถัดไปของเธอคือ ชิคาโก ซึ่งเธอต้องขึ้นรถไฟสายยาวที่มุ่งหน้าสู่จุดหมายนี้ แม้ว่าจะเป็นการเดินทางที่ยาวนานอีกครั้ง แต่เธอก็พร้อมแล้วสำหรับความท้าทายที่รออยู่
เมื่อเสียงประกาศรถไฟดังขึ้น ลอร์ร่าลุกขึ้นยืน สะพายเป้ที่หนักพอสมควร เธอเดินไปยังชานชาลาด้วยความมั่นใจเล็กๆ ที่ก่อตัวขึ้นในใจ
“ วันนี้จะต้องดีกว่าเมื่อวานแน่ๆ ” เธอบอกตัวเอง เสริมกำลังใจสักหน่อยนึงก่อนก่อนจะก้าวขึ้นรถไฟที่กำลังรออยู่ที่ถสานีนั้นหละหลังศึกษา ถามไถ่คนอื่นมาอย่างดีแล้วว่ามันยังไงกัน
แต่คิดแล้วนะ ว่าขึ้นถูก ต้องถูกอยู่แล้ว เเต่มันต้องต่อหลายสายเสียหน่อยหนะสิ