11/07/2025 16.00 น. - 17.00 น.
บทที่ 66
คูเปอร์ใช้เงินดอลลาร์ที่เหลืออยู่น้อยนิดอย่างทะนุถนอม ขึ้นรถไฟจากนิวยอร์กมายังบอสตันด้วยจังหวะที่เรียกได้ว่า "ระดับประหยัดถึงขั้นหายใจเบาเพื่อไม่ให้เปลืองพลังงาน" ตลอดทางมีแต่เสียงร้องของบัตรเครดิตในจินตนาการ กับภาพดรักม่าทองวาววับที่ยังสะเทือนใจไม่หาย
กว่าจะถึงบอสตันก็บ่ายคล้อยแล้ว พระอาทิตย์ยังคงลอยเด่นเหนือชายฝั่งเหมือนรอให้เขาตัดสินใจพังพินาศทางการเงินอีกรอบ และชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง
“เรือ... ข้ากำลังจะซื้อ เรือ”
คูเปอร์พึมพำกับตัวเองขณะเดินเลียบชายหาดของเมืองบอสตัน รอยเท้ากดลงบนทรายเปียกที่สะท้อนแสงแดดจ้า เขาสะพายกระเป๋าใบเล็กที่ตอนนี้ไม่ได้มีอะไรนอกจากเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้น ดรักม่า 500 เหรียญ และความหวังที่เริ่มบางเบาเหมือนฟองคลื่น
จนกระทั่งเขาเห็นร้านไม้เล็ก ๆ หลังหนึ่งอยู่ตรงหัวมุมริมหาด ตัวร้านไม่ได้สะดุดตาอะไรนัก แต่ป้ายไม้สลักลายอย่างปราณีตที่เขียนว่า The Goldhammer Family Canoe Shop — ก็เหมือนมีพลังแม่เหล็กดูดเขาให้เดินเข้าไป
เสียงกระดิ่งไม้ดังขึ้นเมื่อเขาดันประตูเข้าไป กลิ่นไม้สนสดใหม่กับไออุ่นของงานฝีมืออบอวลอยู่ในอากาศ และก่อนที่เขาจะทันได้หายใจเต็มปอด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา
แม้จะเป็นแค่ร้านขายเรือแคนูริมหาด แต่ทุกอย่างในร้านนี้กลับทำให้เขารู้สึกราวกับยืนอยู่กลางห้องโถงของกษัตริย์แห่งเผ่าคนแคระ กลิ่นไม้สดใหม่ผสมกลิ่นน้ำมันยางเรือจาง ๆ ลอยแตะปลายจมูก ทุกตารางนิ้วในร้านดูเหมือนผ่านการขัดเงาและเคาะด้วยฆ้อนศักดิ์สิทธิ์อย่างพิถีพิถัน
คูเปอร์เดินผ่านเรือแคนูไม้ที่ตั้งเรียงราย แต่ละลำดูสง่าราวกับพร้อมจะล่องทะเลไปต่อกรกับไฮดราหรือเรือโจรสลัดได้ในทันที ทว่าดวงตาสีเทาของเขากลับหยุดอยู่ตรงเรือสีเหลืองฉูดฉาดที่แปะโลโก้รูปกล้วยด้านข้าง พร้อมป้ายเล็ก ๆ ที่เขียนว่า “สินค้าลิมิเต็ด!”
“ยินดีต้อนรับสู่ร้านของกิลเลอร์ฮามาร์!”
เสียงทุ้มเล็กแต่มั่นใจดังมาจากหลังเคาน์เตอร์ ชายแคระร่างเล็กในชุดหนังสีน้ำตาลกำลังยืนเท้าสะเอวมองเขา ดวงตาสีฟ้าฉายประกายเฉียบคม เคราสีแดงถักเปียคล้ายคนพร้อมจะลุยสงคราม หรือไม่ก็ล้มราคาให้ลูกค้าจนซื้อของแพงขึ้น
“ใครกันเนี่ย? หน้าตาเหมือนคนกำลังจะขายไตเพื่อซื้อเรือเลยนะ!”
คูเปอร์ยิ้มแห้ง เดินเข้าไปใกล้แล้วพยักหน้าเบาๆ
“ผมมองหาเรือครับ… เอาไว้ใช้เดินทางไกล”
ธอรินเหลือบตามองขึ้นลงเหมือนประเมินราคาตัวเขาทั้งคน “เจ้าดูเหมือนนักผจญภัยมือใหม่ที่เพิ่งหมดเงินค่าข้าวมากกว่าเดินทางไกลนะ”
คูเปอร์ยิ้มเจื่อน “ก็... ไม่ผิดครับ”
เจ้าของร้านหัวเราะเสียงเบา ก่อนจะผายมือให้เดินตามไปยังแผงจัดแสดงที่มีเรือจำลองวางเรียงกันพร้อมป้ายรายละเอียดติดอยู่ เขาหยิบไม้ชี้ออกมาจากไหนไม่รู้ แล้วเคาะไปที่เรือลำแรก
“นี่ เรือแคนูไม้ ราคา 250 ดรักม่า สร้างจากไม้โอ๊คผสมไม้มะฮอกกานี เสริมด้วยมนตร์ต้านคลื่น ต้านลม และต้านงูทะเลที่ชอบว่ายตามเสียงเพลง… ใช่ เจ้าคิดไม่ผิด — ไม่มีระบบพายอัตโนมัติ ต้องออกแรงเอาเอง”
คูเปอร์พยักหน้าช้า ๆ มองเรือด้วยสายตาชื่นชม...ที่แฝงความสิ้นหวัง
“แล้วลำนั้นล่ะ?” เขาชี้ไปที่อีกลำหนึ่ง สีเหลืองนีออนสดใสราวกับถูกเทพีไอริสจับมาฟอกสี
ธอรินยิ้มทันที เหมือนรอจังหวะนี้มาทั้งวัน “อา... เจ้าเลือกถามถูกลำ! ลำนี้เรียกว่า เรือมินิบานาน่า ราคา 490 ดรักม่า ใช่ ข้าไม่ได้พูดผิด มันแพงกว่าอีกลำนึงเกือบสองเท่า แต่ฟังข้าก่อน...”
คูเปอร์เริ่มกลืนน้ำลาย
“มันพับเก็บได้เป็นผ้าเช็ดปาก มีออโตไพลอต! ไม่ต้องพายเองเลยแม้แต่นิดเดียว ข้าบอกเลยว่าแม้แต่ลูกน้องของเฟรย์ยังต้องหันมามองสองที! นี่ล่ะลำที่แม็กนัส เชสเคยใช้ต้นแบบมันในการล่องทะเลเชียวนะ!”
“ผมไม่แน่ใจว่าข้อมูลส่วนนั้นช่วยให้รู้สึกปลอดภัยขึ้นนะครับ…”
“เอาเป็นว่า มันเร็วเหมือนยอร์ช พับเก็บได้ น้ำหนักเบา ล่องทะเลได้ และไม่เปียกก้น”
“...อันสุดท้ายค่อนข้างสำคัญ”
คูเปอร์หันไปมองดรักม่าในกระเป๋า แค่คิดภาพตอนเทเหรียญทั้ง 490 ลงบนเคาน์เตอร์ก็น้ำตาซึมแล้ว และที่เจ็บใจกว่าคือพอซื้อเสร็จแล้วจะเหลือเงินเกือบเท่ากับศูนย์ ไม่ใช่แบบเปรียบเปรย แต่เกือบศูนย์จริง ๆ แบบพิมพ์ตัวกลมได้พอดี
“ผมจะไม่มีเงินกินข้าวอีกหลายวันเลยสินะ...” เขาพึมพำ ขณะก้มหน้าล้วงหยิบกล่องเหรียญออกมา
“แต่ก็อย่างว่า ถ้าจะไปช่วยคนทั้งที การไม่ต้องพายเองก็น่าจะช่วยประหยัดแรงไว้เจออสุรกายได้บ้าง”
“เออ! พูดแบบนั้นสิดี!” ธอรินยิ้มแฉ่ง ยื่นถุงใส่มนตราผ้าเช็ดปากมาให้พร้อมค้อนประทับตราแบบคนแคระ
คูเปอร์วางดรักม่า 490 เหรียญบนเคาน์เตอร์ เสียงเหรียญกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊งเหมือนเสียงลาพักร้อนของบัญชีทรัพย์สินส่วนตัว แล้วเจ้าตัวก็ก้มหน้าถอนใจ
“ข้าชอบเจ้านะ เจ้าดูตรงไปตรงมาดี” ธอรินกล่าวเสียงสดใส พลางนับเงินด้วยความคล่องแคล่ว
“โชคดีล่ะ
ถ้าเจอปลาหมึกยักษ์กลางทางอย่าลืมถ่ายรูปมาให้ข้าดูด้วย!”
“แน่นอนครับ ถ้ามันไม่กินผมก่อน”
คูเปอร์รับผ้าเช็ดปากสีเหลืองเข้มพร้อมลายรูปกริฟฟอนตรงมุมอย่างระมัดระวัง เหมือนกำลังรับของวิเศษชิ้นสุดท้ายจากเทพเจ้าก่อนจะโดนโยนเข้าเขาวงกต
เขายิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันหลังออกจากร้าน เดินลุยหาดกลับไปพร้อมสัมภาระเบาเท่าผ้าเช็ดปากหนึ่งผืน และกระเป๋าสตางค์ที่ตอนนี้เบาพอจะปลิวตามลมได้เลย
เสียงหัวเราะของธอรินดังตามหลังขณะที่คูเปอร์เดินออกจากร้านไป กล่องเหรียญทองว่างเปล่าถูกเก็บลงกระเป๋าอย่างแผ่วเบา มืออีกข้างลูบผ้าเช็ดปากสีเหลืองที่แนบตัวเบา ๆ
บนถนนริมทะเลของบอสตัน ลมทะเลพัดแรงพอจะปลุกหัวใจให้กลับมากระปรี้กระเปร่าขึ้นนิดหนึ่ง แม้ในกระเป๋าเขาจะว่างเปล่าราวกับความหวัง แต่ในใจ... ก็ยังพอมีเสียงแว่วว่า
“อย่างน้อย…ฉันก็มีเรือเป็นของตัวเองแล้วนะเว้ย”
แม้มันจะเป็นเรือกล้วยก็เถอะ...
แต่นั่นแหละ… ชีวิตของเดมิก็อด บางทีมันก็ต้องเดิมพันหนัก แล้วล่องไปกับกล้วยใหญ่ ๆ ที่แล่นทะลุคลื่นอย่างไม่แคร์สายตาใคร
ก็หวังว่าอย่างน้อย... เคย์ล่า เฮย์เดน จะยังไม่ถูกกินหรือถูกสายลับเจอตัวไปก่อนที่เขาจะไปถึงน่ะนะ
ซื้อเรือมินิบานาน่า 490 ดรักม่า