ภายในพิพิธภัณฑ์เลื่องชื่อไม่กี่แห่งของกรุงปารีส เงาร่างของหญิงสาววัยสิบเก้าที่สวมใสกางเกงสกินนี่สีดำเข้ม รับกับเสื้อคอเต่าเข้ารูปสีเดียวกัน และทับด้านนอกสุดไว้ด้วยโค้ทยาวสีเหลืองมัสตาร์ด ผนวกกับเส้นผมสีบลอนด์ยาว รวมไปถึงบุคลิกภาพภายนอกที่ดูมั่นใจทำให้เธอโดดเด่นขึ้นมาจากผู้คนมากมายที่ต่างก็ร่วมใช้เวลาชื่นชมผลงานศิลปะในสถานที่แห่งนี้ น่าเสียดายที่ทั้งเอเดรียนและไนมีเรียต่างก็มีธุระหรือไม่ก็ส่วนจัดแสดงที่อยากไปชม ดังนั้นด้วยนิสัยของพวกเขาทั้งสาม ทำให้ตัวเลือกการแยกย้ายกันไปดูสิ่งที่ต้องการแล้วค่อยกลับมาพบหน้ากันนั้นถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดและแน่นอน ทั้งหมดย่อมไม่ลืมที่จะนัดหมายเวลาพบหน้าเมื่อถึงคราวที่ต้องกลับ หรือกำชับบอกให้เช็คข้อความทางโทรศัพท์กันบ่อย ๆ หากมีเรื่องที่ต้องการจะตามตัวก่อนถึงเวลานัด
ไม่ว่าคนอื่นจะเลือกไปที่ส่วนไหน เธอก็ไม่ได้สนใจ เนเรซ่าเลือกที่จะใช้เวลาอยู่กับส่วนจัดแสดงของนิทรรศการว่าด้วยงานศิลป์ในหัวข้อปกรณัมซึ่งหาได้ทั่วไปหากต้องการจะพูดถึงศิลปะในยุคสมัยก่อน ตามประสาสาวโลกส่วนตัวสูงที่ไม่ต้องการให้ใครมารบกวนช่วงเวลาของเธอ เนเรซ่าเลือกที่จะหยิบหูฟังครอบหูแบบใช้แล้วทิ้งของพิพิธภัณฑ์ติดมาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องปวดหัวกับเสียงผู้คนที่สนทนากันอย่างออกรส หญิงสาวกวาดสายตามองดูภาพวาดที่แขวนเรียงรายพลางกดปุ่มเล็ก ๆ บนเครื่องเสียงพกพาของทางพิพิธภัณฑ์ที่มีไว้เพื่อบรรยายข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกจะอ่านคำอธิบายตามใต้ภาพหรือทางเข้าโซนใหม่ ๆ
เสียงส้นสูงกระทบพื้นหินดังเป็นจังหวะแช่มช้า ท่ามกลางฝีเท้าเร่งรีบของผู้คนมากมาย หนึ่งในนั้นยังมีหญิงสาววัยทำงานที่รูปร่างใกล้เคียงกับตัวเธออีกหนึ่งรายกำลังหอบข้าวของเต็มสองมือ และเอ่ยปากขอทางเดินผ่านอยู่เป็นระยะ จนกระทั่งถึงโอกาสที่ทั้งสองอยู่ในระยะประชิดตัว บางทีคงเป็นเพราะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่ทำให้สุดท้ายทั้งสองก็ต่างฝ่ายต่างหันหน้าเข้าหากัน และจบลงที่การชนกันอย่างแรงจนทำให้ข้าวของในแขนของกระจัดกระจาย รวมไปถึงฝากรอยเปื้อนสีน้ำตาลเข้มไว้บนเสื้อเชิ้ตขาวของฝ่ายที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนด้วยเช่นกัน
“ พระเจ้าช่วย ! โอ้ .. ตายแล้ว ฉันขอโทษจริง ๆ นะคะ ขอโทษจริง ๆ ! ”
หญิงสาวแปลกหน้าทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมพึมพัมคำขอโทษออกมาในระหว่างที่สองมือก็พยายามควานเก็บข้าวของที่ตกอยู่กับพื้น โชคยังดีที่เนเรซ่าไม่ได้รับบาดเจ็บหรือมีข้าวของที่เสียหาย ดังนั้นในฐานะคนที่ยังพอหลงเหลือคำว่าน้ำจิตน้ำใจ เธอจึงตัดสินใจทำตัวเป็นพลเมืองดีด้วยการดึงหูฟังออกมาคล้องไว้ที่ลำคอ และย่อตัวลงเก็บแว่นสายตาที่กระเด็นมาอยู่ใกล้ปลายเท้าของเธอเพื่อนำไปยื่นคืนให้กับฝ่ายที่คงจำเป็นต้องใช้มัน
“ ฉันว่าคุณคงจำเป็นต้องใช้เจ้านี้นะคะ ”
ชั่วขณะหนึ่งที่เผลอสบตา เนเรซ่าคิดว่าตัวเองตาฝาด เมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตคู่นั้นเริ่มทอประกายเรืองรองขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ รวมไปถึงท่าทีนิ่งค้างและสีหน้าประหลาดใจเป็นอย่างมากที่ประดับอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่าย เนเรซ่าเห็นว่าคู่กรณีพยายามที่จะกวาดสายตามองเธออย่างพิจารณา ราวกับพบเจอของล้ำค่า ซึ่งนั่นทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่มากทีเดียว
“ คุณคะ ? คุณโอเคไหม ? ”
“ อ อ๋อ ขอโทษทีค่ะ พอดีคุณสวยมากจนฉัน ” ท่าทีลุกลี้ลุกลนของฝ่ายตรงข้ามทำให้เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นานมากแล้วที่เนเรซ่าไม่ได้พบใครที่ตกตะลึงกับรูปลักษณ์ของเธอ และมันก็คงจะนานยิ่งกว่าสำหรับในด้านที่จะมีหนึ่งในใครเหล่านั้นกล้าพูดออกปากเพื่อชมในรูปลักษณ์ที่สะดุดตาของเธอ
“ หวังว่าหน้าตาของฉันจะไม่เผลอทำให้คุณต้องประหม่าจนเกินไปหรอกนะคะ ” เนเรซ่ากล่าวคล้ายติดตลก แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เธอสัมผัสได้ถึงสายตาหลายคู่ที่กำลังจ้องมองเข้ามา และนั่นทำให้หญิงสาวร่างสูงโปร่งผู้ครอบครองเส้นผมบลอนด์สว่างให้ความตั้งใจในการสวมบทบาทคนใจบุญมากยิ่งขึ้นไปอีก ข้าวของที่กระจายไปตามพื้นถูกเก็บขึ้นมาทีละชิ้นด้วยฝีมือของเนเรซ่าที่คล่องแคล่วเสียยิ่งกว่าผู้เป็นเจ้าของ “ เสื้อคุณเลอะด้วย ถ้าไม่รีบล้างคงฝังคราบเอาไม่ออกแน่นอน ทางที่ดีลองเอาไปล้างที่ห้องน้ำก่อนดีกว่าไหมคะ ? ไม่สิ .. เอาแบบนี้ดีกว่า คุณเอาเสื้อโค้ทของฉันไปใช้ก่อน มันน่าจะเข้ากันได้ดีกับคุณ ”
ถึงจะฟังดูรวบรัดตัดตอนไปหน่อย แต่เชื่อเถอะว่านี่เป็นหนทางที่ดีที่สุดเพื่อให้พวกเขาทั้งสองหลุดพ้นจากสถานการณ์น่าอึดอัดนี้สักที เนเรซ่าพูดพลางขยับแขนถอดเสื้อโค้ทสีเหลืองมัสตาร์ดตัวยาวออกจากตัว เผยให้เห็นชุดสีเข้มด้านในที่สุดจะกระฉับกระเฉง ทว่าก่อนที่เธอจะได้ยื่นเสื้อโค้ทให้อีกฝ่ายตามอย่างที่ตั้งใจ ทางนั้นกลับพูดขึ้นมาว่า
“ คุณสะดวกไปที่ห้องน้ำกับฉันไหมคะ ? ”
คำถามนี้ทำให้เนเรซ่าหยุดชะงักไปได้ครู่หนึ่ง เธอเลื่อนสายตาเข้าพิจารณาผู้กล่าวที่มีท่าทีลังเล แต่ก็เหมือนกับจะคาดหวังให้เธอตอบตกลง “ คือฉัน คงไม่ถนัดถ้าต้อง—-- ”
อันที่จริงประโยคจริงของอีกฝ่ายยืดยาวกว่านี้มาก แต่ทั้งหมดที่เนเรซ่าฟัง และจับใจความได้คงไม่พ้นการที่ฝ่ายนั้นต้องการให้เธอ ‘ รับผิดชอบ ’ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น โอเค ถึงมันจะเป็นความผิดร่วมที่เธอยอมคล้อยตามและให้ความร่วมมือ แต่เดิมที เธอไม่มีความจำเป็นต้องลงไปให้การช่วยเหลือเลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายมัวแต่วิ่งไม่ลืมหูลืมตาในสถานที่จัดแสดงซึ่งมีป้ายประกาศห้ามวิ่งอยู่แล้ว อะไรแบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
แต่ยังไงเสีย ขอแค่ได้เปลี่ยนคน มุมมองที่มีต่อเรื่องหนึ่งเรื่องย่อมต้องแตกต่างกันเป็นธรรมดา แม้ว่าคำชวนในครั้งนี้จะทำให้เนเรซ่าขมวดคิ้ว แต่เธอก็ยังยกแขนข้างซ้ายขึ้นมาตรวจสอบดูเวลาที่แสดงอยู่บนนาฬิกาข้อมือเพื่อตัดสินใจว่าเธอยังพอจะมีเวลาสำหรับการเล่นสนุกหรือทำอะไรไร้สาระแบบนี้ได้อีกมากน้อยแค่ไหน คงเป็นโชคดีของอีกฝ่ายที่ในตอนนี้เนเรซ่ายังเหลือเวลาอยู่อีกมาก เธอเลยทำเพียงแค่ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้าเป็นการตกลงที่จะร่วมเดินตามอีกฝ่ายไปยังห้องน้ำเพื่อจัดการอะไร ๆ ให้มันเสร็จสิ้น
โดยไม่ทันได้สังเกตถึงท่าทางดีอกดีใจราวกับได้รับรางวัลชิ้นโตของฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่นิดเดียว
...
“ ขอบคุณมากนะคะ ที่คุณยอมมาเป็นเพื่อน ฉันซาบซึ้งใจมากจริง ๆ ”
จากส่วนจัดแสดงมาจนถึงห้องน้ำหญิงที่ไร้ผู้คนจนผิดหูผิดตา เนเรซ่ายืนอยู่หน้าบริเวณที่ล้างมือ พร้อมกับวางสายตามองตรงเข้าไปยังกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนเงาร่างของสาววัยทำงานซึ่งเดินตามเข้ามาทีหลัง
สาวสวยจากบ้านเฮนลาดิสรู้สึกได้ว่ามีอะไรที่แปลกไป บรรยากาศรอบด้านที่เริ่มเย็นลง รวมไปถึงการที่คนด้านหลังกำลังค่อย ๆ เคลื่อนมือแตะกับลูกบิดและกดคลิกลงกลอนล็อคประตูแบบที่ไม่ได้เกรงกลัวว่าเธอจะรู้หรือไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ท่ามกลางความผิดปกติเหล่านี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวสูงโปร่งที่มีเสื้อโค้ทสีสดพาดอยู่กับแขนมีแค่การเปลี่ยนแปลงของสีหน้า จากใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร หลงเหลือก็แต่รอยยิ้มเย้ยหยันที่ชวนให้คนมองรู้สึกขัดใจ
“ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย ”
เนเรซ่ากล่าวขึ้นพร้อมก้มลงจัดเสื้อโค้ทที่พาดอยู่บนแขนของตัวเอง ให้ลดระดับลงมาอยู่แถวช่วงข้อมือราวกับกำลังเตรียมพร้อมรับมือบางอย่าง
“ ว่าการจะเปลี่ยนเสื้อ จำเป็นต้องล็อคประตูแน่นหนาถึงขนาดนี้ด้วย ? ”
สุภาพสตรีวัยทำงานเค้นเสียงหัวเราะดังขึ้นตอบรับ ฝ่ายตรงข้ามวาดรอยยิ้มปลอมเปลือกขึ้นบดบังใบหน้า “ ถ้างั้นหลังจากนี้รู้ไว้ก็ดีนะคะ เพราะมัน จำ เป็น มาก ”
บางทีเธอก็ควรจะเชื่อเซนต์ตัวเองตั้งแต่แรกให้มันจบ ๆ
ข้าวของที่พึ่งเก็บขึ้นจากพื้นและยัดใส่ในอ้อมแขนของสาววัยทำงานกลายเป็นว่าร่วงตกลงพื้นอีกครั้ง ไม่มีเวลามานั่งทำความเข้าใจหรือให้ความเมตตา เมื่อตัวต้นเหตุที่พาเธอมาจนถึงห้องน้ำเริ่มขดตัวโค้งงอพร้อมด้วยสิ่งแปลกปลอมอย่าง ‘ ปีก ’ ที่อยู่ ๆ ก็งอกขึ้นมาจากแผ่นหลังเรียบเนียนนั้น เสียงหัวเราะของคนครึ่งนกที่คลุ้มคลั่งได้ที่ก้องกังวานไปทั่วบริเวณที่เธออยู่ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเจอตัวประหลาดอะไรแบบนี้ แต่อย่างน้อย ๆ มันก็เป็นครั้งแรกที่เจอการไล่ล่าในสถานที่แคบซึ่งไม่อำนวยต่อการหลบหนีเท่าไหร่นัก
สาวครึ่งนกผละออกจากประตู แล้วพุ่งเข้าหาร่างเพรียว และคิดดูว่าหญิงสาวหน้ามึนอายุสิบเก้าปีที่ไร้อาวุธอย่างเธอจะไปทำอะไรได้นอกซะจากการหันขวับแล้วง้างมือข้างที่ถือเสื้อคลุม สะบัดฟาดปลายโค้ทเข้าที่ใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามอย่างจังจนชะงักกันไปทั้งคู่
ด้านฮาร์ปี้ก็ไม่คิดว่ายัยเด็กตรงหน้าจะยังมีสติต่อต้าน
ส่วนด้านคนฟาดก็แค่คิดว่า เ*ย วิธีนี้พอใช้ได้ด้วยว่ะ
แต่เอาเถอะ การไล่ล่ามันยังไม่จบ
ฮาร์ปี้สาวไม่รีรออีกต่อไป เธอกางกรงเล็บแหลมคมหมายจะเข้าตะปบความลำตัวของเหยื่อที่หมายตา แต่ก็ไม่พ้นถูกเนเรซ่าใช้เสื้อโค้ทหนา ๆ ตั้งรับกรงเล็บที่กดลงมา และตามต่อด้วยการยกเท้าขึ้นถีบกลางลำตัวของอีกฝ่ายจนเซถอยไปอีกทาง ท่ามกลางศึกของสาว ๆ ที่ยื้อยุดฉุกกระชากกันแบบไม่มีใครยอมใคร อยู่ ๆ ก็มีเสียงคึกโครมจากด้านหลังดังขึ้นพร้อมกับควันโขมงที่เป็นสัญญาณการมาถึงของคนพิเศษ
ปัง !! โคร้ม !!!
เสียงแรกคือเสียงของประตูห้องน้ำที่ถูกถีบจนเปิดอ้า ส่วนเสียงที่สองนั้นเป็นเสียงของร่างฮาร์ปี้สาวที่กระเด็นไปกระแทกผนังด้วยฝีมือของชายแปลกหน้าท่านหนึ่งที่อยู่ ๆ ก็มุ่งเข้ายกเท้ายันตัวอสูรกายให้ออกไปห่าง ๆ จากหญิงสาวที่สมควรจะได้รับการช่วยเหลือ
“ คลาดสายตาหน่อยเป็นไม่ได้ เกือบตายแล้วนะ ”
เนเรซ่าทรุดตัวลงกับพื้นพลางหอบหายใจ เธอเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาวิตก ถึงแม้เธอจะเจอกับเรื่องแบบนี้มามากกว่าหนึ่งครั้งก็ตาม แต่ขอสาบานเลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีใครสักคนเข้ามาช่วยราวกับรู้ว่าเธอกำลังเจอกับอะไร “ คุณจะมาจับฉันกินแทนหล่อนเหรอ ? ”
“ ก็ฟังดูน่าสนใจอยู่หรอก แต่หยุดคิดอะไรพิลึก ๆ เลย ” ผู้ให้การช่วยเหลือหัวเราะร่วนในขณะที่สองแขนยกขึ้นง้างธนูโดยมีเป้าหมายปลายทางเล็งไปที่ร่างของฮาร์ปี้ที่กำลังยันตัวลุกขึ้นจากพื้น
ตลอดชีวิตเนเรซ่าพบเจอเรื่องอัศจรรย์มามาก เธอจัดระดับความประทับใจ รวมไปถึงความสับสนที่น่าจดจำเอาไว้เสมอ แต่ดูเหมือนเรื่องนี้จะเบียดภาพจำเก่า ๆ ขึ้นมาเป็นอันดับหนึงได้ในทันทีเมื่อปลายศรที่พุ่งเข้าปักลงกับร่างของอสูรกายครึ่งนกกำลังทำให้ร่างนั้นกำลังค่อย ๆ สลายหายไปกับอากาศพร้อมกับเสียงกรีดร้องอ้อนวอน
wtf —- นี่เธอดูอะไรอยู่เนี่ย
“ ไม่เอาน่าคนสวย ทำเวลาหน่อย เราต้องรีบไปแล้ว ”
เรา ?
ไม่ทันให้เนเรซ่าได้ปริปาก ชายตัวสูงก็ปรี่เข้ามาดึงให้เธอลุกขึ้นจากพื้น แถมยังถือวิสาสะปัดฝุ่นตามเนื้อตัวเธอ และริบเอาเสื้อโค้ทสีเหลืองมัสตาร์ดนั้นไปสะบัด ๆ ราวกับจะสวมให้
แต่น่าเสียดายที่สภาพขาดยู่ยี่ของมันค่อนข้างถือวาเกินเยียวยา
“ … ฉันว่าไว้เธอค่อยหาซื้อใหม่ดีกว่า ตอนนี้ไปกับฉันก่อน เร็วเข้า ”
“ เดี๋ยว ๆ อะไรทำให้นายมั่นใจ ว่าฉันจะไปกับนาย ? ” ท้ายประโยคถูกเน้นเสียงลงที่คำว่า ‘ ฉัน ’ และ ‘ นาย ’ เพื่อสร้างระยะอย่างอย่างชัดเจน เธอไม่คิดจะขอไปข้องเกี่ยวกับคนที่พึ่งยิงคน หมายถึง ยิงตัวประหลาดหายไปซะดื้อ ๆ ต่อหน้าต่อตาเธอ แม้ว่านั่นจะเป็นการทำเพื่อช่วยชีวิตเธอก็ตาม
“ เธอยังปฏิเสธแม้ว่าจะพึ่งถูกแม่สาวคนเมื่อกี้จ้องจะจับกินเนี่ยนะ ? เป็นตัวเลือกที่ไม่ฉลาดเท่าไหร่ ” หนุ่มหน้ามนปัดฝุ่นออกจากสองมือหนา เขาเก็บธนูของตัวเองกลับไปเมื่อครู่ก่อนจะก้าวเข้ามาประชิดตัวเนเรซ่าที่ยืนพิงกับอ่างล้างมือ “ อย่าห่วงเลย เอเดรียนไม่ว่าหรอกถ้าเธอจะไปกับฉัน ”
ชื่อบุคคลที่สามที่ปรากฏขึ้นมาทำเอาเนเรซ่าหันขวับกลับไปมองผู้พูดอย่างไว แต่เคราะห์ร้ายไปนิดที่อีกฝ่ายไม่ใช่พวกความอดทนสูงหากต้องเจรจาในบางเรื่อง “ ฉันจะบอกเขาเองว่าพาเธอไปไหน และถ้ารู้ว่าเธอได้ไปที่นั้น บางทีพ่อไม่ก็แม่ของเธอคงสบายใจขึ้น เพราะงั้น ขออนุญาตนะ ” เมื่อพูดจบ ท่อนแขนแกร่งก็ขยับเข้ารวบลำตัวของสาวสวยในชุดเข้ารูปสีเข้มขลับนั้นขึ้นมา
“ ขอบอกไว้ก่อนว่าฉันไม่ใช่พวกความอดทนสูง อย่าคิดดิ้นเชียว ”
โอ้ พระเจ้าช่วย …
ประสบการณ์ชีวิตในวัย 19 ปีของเนเรซ่า เฮนลาดิสกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์วิกฤตขั้นสุด
เอเดรียน !! ลูกสาวนายกำลังถูกลักพาตัวแล้ว นี่นายหายหัวไปไหนเนี่ย !!!