วันที่: 20 ธันวาคม 2025
เวลา: 16.30 น.
สถานที่: ร้านสะดวกซื้อร้าง ห่างจากหอคอยนาฬิกาอิธากา 2 บล็อก
ภายในร้านสะดวกซื้อที่กระจกหน้าต่างถูกน้ำแข็งเกาะจนมืดมิด มีเพียงแสงสลัวจากไฟฉายกระบอกเล็กที่ เชลิค วางไว้บนเคาน์เตอร์ กลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสเผ็ดที่ แจสเปอร์ ต้มด้วยเตาแก๊สปิกนิกอบอวลไปทั่ว แต่อาหารมื้อนี้กลับไม่มีใครกินลง
เสียงวิทยุสื่อสารที่เชลิคจูนคลื่นสัญญาณข่าวท้องถิ่นดังซ่าก่อนจะปรากฏเสียงรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศที่พริมูล่าคุ้นเคย
"...รายงานโดย อลิสแตร์ เรดเมย์น BBC... ทาง FBI กำลังตรวจสอบกลุ่มวัยรุ่น 5 คนที่คาดว่าเป็นกลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรง รถตู้หุ้มเกราะสภาพพังยับเยินถูกระบุว่าเป็นพาหนะที่ใช้ในการก่อเหตุวินาศกรรมครั้งใหญ่กลางเมืองอิธากา..."
"ผู้ก่อการร้าย... กลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงงั้นเหรอ?" เฟลิทซ์ สบถพลางทุบโต๊ะ "พวกเราเพิ่งช่วยชีวิตคนทั้งเมืองจากนกยักษ์สายฟ้านั่นนะเว้ย! มลบังตาบ้านี่มันทำเกินไปแล้ว!"
"นั่นแหละคือสิ่งที่โลกมนุษย์เห็น เฟลิทซ์" เชลิค เอ่ยเสียงเรียบขณะกำลังพันผ้าพันแผลที่โชกเลือดตรงสีข้าง "ในสายตาพวกเขา เราไม่ใช่ลูกเทพเจ้า เราคือตัวอันตรายที่มาพร้อมกับระเบิดและพายุ"
รูบี้ นั่งนิ่งอยู่มุมห้อง มือขวากำขนอินทรีทองคำที่ตอนนี้เริ่มสั่นระริกและส่งเสียงเปรี๊ยะ ๆ ของกระแสไฟฟ้าออกมาเป็นระยะ เธอเหลือบมองไปทาง พริมูล่า ที่กำลังกดโทรศัพท์หน้าจอแตกอย่างบ้าคลั่ง
"พริมูล่า สถานการณ์ในโซเชียลเป็นยังไงบ้าง?" รูบี้ถาม
"แย่สุด ๆ ค่ะพี่สาว" พริมูล่าตอบโดยไม่เงยหน้า "ข่าวจาก BBC ถูกแชร์ไปทั่วทวิตเตอร์ (X) ตอนนี้แฮชแท็ก #IthacaTerrorist กำลังพุ่งเป็นอันดับหนึ่ง ฉันพยายามสร้างกระแสข่าวลือเรื่อง 'การทดลองลับของรัฐบาล' เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจแล้ว แต่มันก็ทำได้แค่ชะลอการตามล่าของตำรวจเท่านั้น"
"เจ่เจ้... ถ้าเราถูกจับ เราจะโดนขังคุกมนุษย์จริง ๆ เหรอ?" แจสเปอร์ถามด้วยสีหน้ากังวล เขาดูเหมือนซามอยที่กำลังกลัวความผิด
"เราจะไม่ถูกจับ แจสเปอร์" รูบี้ลุกขึ้นยืน แม้ร่างกายจะยังระบมไปทุกส่วน "เพราะเราไม่มีเวลาให้พวกเขาจับ เราต้องไปที่หอคอยนาฬิกานั่นเดี๋ยวนี้ ยิ่งเราอยู่นิ่งนานเท่าไหร่ หมอกบังตาก็จะยิ่งบิดเบือนภาพพวกเราให้กลายเป็นปีศาจมากขึ้นเท่านั้น"
เธอยกขนอินทรีทองคำขึ้นมา แสงสีทองจากขนนั้นเริ่มชี้ทิศทางไปยังหอคอยนาฬิกาที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมอกหนาสีน้ำเงินเข้มเบื้องหน้า
"นั่นไง... 'รัง' ของมัน" รูบี้พึมพำ
หอคอยนาฬิกาประจำเมืองอิธากาในตอนนี้ดูไม่เหมือนอาคารสถาปัตยกรรมคลาสสิกอีกต่อไป แต่มันถูกปกคลุมด้วยแท่งน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่งอกออกมาจากผนังอิฐ ราวกับเป็นหนามของสัตว์ร้ายสายฟ้าสีน้ำเงินแลบแปลบปลาบอยู่รอบยอดหอคอยตลอดเวลา สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่เหนือกว่าอินทรีที่พวกเขาเพิ่งฆ่าไปหลายเท่าตัว
"ทุกคนเตรียมตัว" เชลิคเช็คกระสุนมีดสั้นและสวมแจ็คเก็ตหนังทับเกราะ "เราจะเดินเท้าไป รถ Ares-Cargo วิ่งต่อไปไม่ไหวแล้ว และเราต้องหลบสายตาของตำรวจที่กำลังปิดล้อมเมืองด้วย"
บ้านแอรีสทั้งห้าก้าวออกจากที่พักร้าง สภาพแต่ละคนดูสะบักสะบอมแต่ดวงตากลับลุกโชนด้วยไฟแห่งการพิสูจน์ตน พวกเขาต้องบุกฝ่าพายุเหมันต์และคำตราหน้าว่าเป็นอาชญากร เพื่อมุ่งสู่บทสรุปที่ยอดหอคอยนาฬิกาแห่งนั้น
วันที่: 20 ธันวาคม 2025
เวลา: 17.15 น.
สถานที่: ถนนมุ่งหน้าสู่หอคอยนาฬิกา (ห่างออกไป 1 บล็อก)
ลมหนาวกรรโชกแรงจนผิวหนังแสบไหม้ แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าพายุคือแสงไฟไซเรนสีแดงน้ำเงินที่สะท้อนกับน้ำแข็งบนพื้นถนน เบื้องหน้าของพวกเขาคือหน่วย SWAT และเจ้าหน้าที่รัฐที่ตั้งแถวปิดล้อมพื้นที่รัศมีรอบหอคอยนาฬิกาไว้ทั้งหมด รถหุ้มเกราะทหารจอดขวางถนน ลำกล้องปืนไรเฟิลจู่โจมนับสิบกระบอกเล็งตรงมายังทิศทางที่พวกเขาซุ่มอยู่
"หยุดอยู่ตรงนั้น! วางอาวุธและชูมือขึ้นเหนือหัว!" เสียงประกาศจากลำโพงดังกัมปนาทท่ามกลางเสียงลม "พวกคุณถูกล้อมไว้หมดแล้ว!"
"ให้ตายเถอะ... พวกเขาเห็นง้าวของแจสเปอร์เป็นไรเฟิลซุ่มยิงแน่ ๆ" เชลิค กระซิบพลางดึงรุ่นน้องหลบหลังซากกำแพงอิฐ "ถ้าเราสุ่มห้าสุ่มหกบุกเข้าไป พวกเขาจะเปิดฉากยิงทันที และเราฆ่ามนุษย์ไม่ได้... นั่นเป็นกฎเหล็ก"
"เจ่เจ้... ผมไม่อยากสู้กับตำรวจ" แจสเปอร์ เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ "พวกเขาเป็นคนดี พวกเขาแค่พยายามปกป้องเมือง"
รูบี้ ขมวดคิ้วแน่น เธอรู้ดีว่าลำพังพละกำลังของบุตรแห่งแอรีสสามารถฝ่าไปได้ แต่ต้องมีการนองเลือดเกิดขึ้นแน่นอน เธอหันไปมองพริมูล่า ที่กำลังยืนสั่นเล็กน้อยไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เพราะกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
"พริมูล่า... ถึงเวลาใช้อาวุธที่ร้ายกาจที่สุดของเธอแล้ว" รูบี้สั่งการ "จัดการพวกเขซะ โดยไม่ให้มีรอยขีดข่วน"
พริมูล่าสูดหายใจลึก ปรับเปลี่ยนท่าทางจากเด็กสาวที่ขี้อิจฉาให้กลายเป็น "เหยื่อ" ที่น่าสงสารที่สุดในโลก เธอทิ้งปืนอัจฉริยะไว้กับแจสเปอร์ แล้วเดินออกไปกลางถนนท่ามกลางแสงไฟสปอตไลท์ที่สาดส่องเข้ามาจนตัวเธอสว่างจ้า
"ช่วยด้วยค่ะ! อย่าพึ่งยิง!" พริมูล่าตะโกนด้วยสำเนียงบริติชที่สั่นเครือและเปี่ยมไปด้วยมารยา เธอใช้ทักษะ Gaslighting และการละครระดับรางวัลออสการ์ "พวกเราถูกจับตัวมา! คนร้ายหนีเข้าไปในหอคอยนั่นแล้ว! พวกเขามีระเบิด... พวกเขาจะฆ่าเรา!"
เจ้าหน้าที่ SWAT ชะงักไปครู่หนึ่ง หมอกบังตาเริ่มทำงานร่วมกับคำพูดของเธอ พลแม่นปืนเริ่มลังเลใจ
"ตอนนี้แหละ! เฟลิทซ์! เชลิค!" รูบี้ให้สัญญาณ
เฟลิทซ์ วิ่งอ้อมไปด้านข้าง เขาไม่ได้ขว้างเพลิงกรีกใส่คน แต่เขาใช้หินเพลิงเทพ กระแทกกับพื้นถนนจนเกิดควันสีแดงหนาทึบพุ่งขึ้นปกคลุมทัศนวิสัยของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด
"มองไม่เห็นอะไรเลย! ควันแดง! ระวังควันพิษ!" เสียงเจ้าหน้าที่ตะโกนสับสน
เชลิค ทะยานเข้าสู่กลุ่มควันด้วยความเร็ว เขาไม่ได้ใช้หมัดเหล็ก แต่ใช้ทักษะไอคิโดและยิวยิตสูเข้าประชิดตัวเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ที่สุด เหวี่ยงร่างของพวกเขาให้พ้นทางและปลดอาวุธอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้ใครได้รับบาดเจ็บสาหัส
"ไป! แจสเปอร์! รูบี้!" เชลิคตะโกนผ่านหมอกควัน
แจสเปอร์ แบกถุงเสบียงและง้าววิ่งนำรูบี้ฝ่าวงล้อมไปดุจหมาซามอยที่หลุดจากโซ่ เขาใช้พละกำลังมหาศาลผลักรถตำรวจที่ขวางทางออกไปดุจเข็นของเล่น เปิดทางให้ทุกคนมุ่งหน้าสู่ประตูหอคอยนาฬิกา
พริมูล่าอาศัยจังหวะชุลมุน วิ่งกลับมารวมกลุ่มกับพี่น้องพร้อมรอยยิ้มแสยะ "การละครหนึ่งศูนย์หนึ่งค่ะ... พวกโง่เอ๊ย"
ทิ้งให้หน่วย SWAT งุนงงกับกองควันสีแดงและปืนที่ถูกถอดแม็กกาซีนทิ้งไว้บนพื้น บ้านแอรีสทั้งห้าก็มาถึงตีนหอคอยนาฬิกาได้สำเร็จ ท่ามกลางเสียงสายฟ้าสีน้ำเงินที่ฟาดลงมาบนยอดหอคอยดังกึกก้อง ราวกับกำลังต้อนรับศัตรูที่คู่ควร
วันที่: 20 ธันวาคม 2025
เวลา: 18.00 - 19.00 น.
สถานที่: ยอดหอคอยนาฬิกาประจำเมืองอิธากา
เสียงเฟืองยักษ์ที่ถูกน้ำแข็งเกาะกินจนบิดเบี้ยวส่งเสียงครืดคราดน่าสยดสยอง บ้านแอรีสทั้งห้าบุกฝ่าบันไดวนที่เต็มไปด้วยกับดักน้ำแข็งจนขึ้นมาถึงชั้นบนสุด พื้นที่เปิดโล่งบนยอดหอคอยเผชิญหน้ากับพายุคลั่ง ลมหนาวที่นี่ไม่ได้พัดเป็นทิศทาง แต่มันหมุนวนราวกับพายุทอร์นาโดแช่แข็ง
ท่ามกลางแสงสายฟ้าสีน้ำเงินที่ฟาดลงมาเป็นระยะ ร่างหนึ่งยืนเด่นอยู่ขอบระเบียงหอคอย เขาไม่ได้สวมเกราะแบบเดมิก็อดทั่วไป แต่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหม่นที่ชายผ้าขาดวิ่น ผิวหนังของเขาซีดเผือดจนเห็นเส้นเลือดสีฟ้า และดวงตาที่ไร้ลูกตาดำนั้นเปล่งประกายไฟฟ้าสถิตออกมาตลอดเวลา
"ในที่สุด... สายเลือดของไอ้เทพนักเลงนั่นก็มาถึง" เสียงของเขาแหบพร่าดุจเสียงน้ำแข็งปริแตก
"แกเป็นใคร?" รูบี้ ก้าวออกมาข้างหน้า กระชับกระบี่เทียนหวงที่ตอนนี้เรืองแสงสีเลือดต้านไอเย็น "และทำไมต้องใช้พลังของซุสสร้างความเดือดร้อนให้คนในเมืองนี้!"
ชายผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ พลางหันกลับมา "ข้าคือ คิโอนิด (Chionid)... บุตรแห่งบอเรอัส ที่ถูกโอลิมปัสทอดทิ้ง ข้าเคยเป็นเดมิก็อดเหมือนพวกเจ้า เคยสู้เพื่อความยุติธรรมจนกระทั่งข้าถูกสายฟ้าของซุสฟาดลงมาเพียงเพราะข้า 'รู้มากเกินไป' เกี่ยวกับความล้มเหลวของพวกทวยเทพ"
เขายกมือขึ้น เผยให้เห็นกรงเล็บน้ำแข็งที่กำลังโอบอุ้ม หัวใจแห่งพายุ ซึ่งเป็นลูกแก้วไฟฟ้าที่ชิงมาจากข้ารับใช้ของซุส "ข้าใช้เวลาหลายร้อยปีสิงสถิตอยู่ในความหนาวเหน็บ จนกระทั่งข้าพบวิธีผสานพลังเหมันต์เข้ากับสายฟ้า ข้าจะทำให้อิธากากลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคน้ำแข็งใหม่ ยุคที่ไม่มีเทพเจ้าองค์ไหนจะมาชี้นิ้วสั่งข้าได้อีก!"
"ยุคน้ำแข็งบ้านป้านายสิ!" เฟลิทซ์ ตะโกนขัดจังหวะพลางเขวี้ยงเพลิงกรีกขวดสุดท้ายเข้าใส่ "ข้าชอบหน้าร้อนโว้ย!"
บึ้ม!
เปลวไฟสีเขียวระเบิดออก แต่คิโอนิดเพียงแค่สะบัดมือ กำแพงน้ำแข็งหนาทึบก็พุ่งขึ้นจากพื้นดินกักขังเปลวไฟไว้ภายในและดับมันลงในชั่วพริบตา
"เจ้าเด็กเมื่อวานซืน..." คิโอนิดคำราม สายฟ้าสีน้ำเงินพุ่งออกจากปลายนิ้วเข้าใส่เฟลิทซ์จนเขากระเด็นไปกระแทกกับระฆังใบยักษ์ดังกังวาน เหง่งงง!
"เฟลิทซ์!" แจสเปอร์ คำรามด้วยความโกรธ เขาพุ่งเข้าใส่คิโอนิดด้วยง้าวเยี่ยนหยาในมือ พลังบ้าเลือดในกายเขาปะทุขึ้นจนร่างกายเริ่มมีไอความร้อนระเหยออกมาต้านความหนาว "แกทำร้ายน้องชายฉัน!"
"แจสเปอร์ อย่าเข้าไปตรง ๆ!" เชลิค ตะโกนเตือนพลางพยายามหาจังหวะเข้าคลุกวงในด้วยมวยยิวยิตสู แต่พื้นหอคอยที่กลายเป็นน้ำแข็งลื่นปรื๊ดทำให้การเคลื่อนที่ทำได้ลำบาก
พริมูล่า หลบอยู่หลังเสาหิน เธอสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่คิโอนิดปล่อยพลัง สายฟ้าจะวิ่งผ่านขนอินทรีทองคำที่รูบี้ถืออยู่ "พี่รูบี้! ขนนั่น! มันไม่ใช่แค่กุญแจ แต่มันคือตัวล่อฟ้า! ถ้าเราส่งพลังกลับไปที่หัวใจแห่งพายุของมันได้ มันจะระเบิดจากข้างใน!"
รูบี้สบตากับพริมูล่าแล้วพยักหน้า เธอรู้ดีว่านี่คือโอกาสเดียว "เชลิค! แจสเปอร์! ตรึงมันไว้ให้ได้ 5 วินาที!"
ศึกสุดท้ายบนยอดหอคอยนาฬิกาเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางเสียงสายฟ้าที่กึกก้องและชะตากรรมของเมืองอิธากาที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายของพี่น้องบ้านแอรีส
"ตอนนี้แหละ!" รูบี้ ตะโกนก้องท่ามกลางเสียงพายุ เธอกระโดดทะยานตัวขึ้นเหนืออากาศ พลางชูขนอินทรีทองคำขึ้นรับสายฟ้าสีน้ำเงินที่ฟาดลงมาจากฟากฟ้าโดยตรง
กระแสไฟฟ้าแรงสูงวิ่งผ่านร่างของรูบี้ ความเจ็บปวดแทรกซึมไปถึงกระดูก แต่เธอใช้ทักษะการคุมลมปราณวูซูผนึกพลังนั้นไว้ชั่วขณะ ก่อนจะวาดกระบี่เทียนหวงพุ่งเป้าไปที่ หัวใจแห่งพายุ ในมือของคิโอนิด พลังสายฟ้าที่ถูกบีบอัดพุ่งกลับไปยังจุดกำเนิดดุจลูกธนูที่ย้อนคืนเจ้าของ
เปรี้ยงงงงง!
แรงระเบิดมหาศาลทำให้ยอดหอคอยสั่นคลอน พลังเหมันต์ที่เคยแกร่งกล้าแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ คิโอนิดกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อพลังที่เขาพยายามควบคุมย้อนกลับมาแผดเผาจิตวิญญาณของเขาเอง ร่างของเขาเริ่มกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งที่กำลังระเหยกลายเป็นไอสีฟ้าจาง ๆ สายฟ้าในตัวเขากำลังจะระเบิดออกมาเพื่อทำลายล้างทุกอย่างรวมถึงตัวเขาเองด้วย
"จบสิ้นกันที..." คิโอนิดพึมพำ ดวงตาที่ไร้ลูกตาดำนั้นสั่นเครือด้วยความหวาดกลัวเป็นครั้งสุดท้าย
แต่ก่อนที่ร่างนั้นจะสลายไป แจสเปอร์ ที่ร่างกายสะบักสะบอมและมีรอยไหม้เกรียม กลับพุ่งฝ่ากลุ่มควันเข้าไป เขาไม่ได้เข้าไปเพื่อซ้ำเติม แต่เขาทิ้งง้าวเยี่ยนหยาแล้วใช้มือเปล่าคว้าไหล่ของคิโอนิดไว้แน่น
"แจสเปอร์! ถอยออกมา! มันกำลังจะระเบิด!" เชลิค ตะโกนลั่นพลางพยายามจะวิ่งเข้าไปช่วยแต่ถูกพายุหมุนกั้นไว้
"ไม่! เขาแค่หลงผิด!" แจสเปอร์ตะโกนตอบ น้ำตาของเขาไหลผ่านใบหน้าที่เปื้อนเขม่า "เขาแค่เจ็บปวด... ผมรู้สึกได้! พี่ครับ! อย่าเพิ่งยอมแพ้!"
แจสเปอร์ใช้พลัง "อึด ถึก ทน" ของเขาทำในสิ่งที่บ้าบิ่นที่สุด เขาพยายามดึงดูดพลังสายฟ้าส่วนเกินจากร่างของคิโอนิดเข้าสู่ร่างกายของตัวเอง เพื่อลดภาระให้วิญญาณของบุตรแห่งลมเหนือ ร่างของแจสเปอร์สั่นสะท้าน ผิวหนังของเขาเริ่มปริแตกจากพลังงานที่มหาศาลเกินรับไหว
"เจ้า... เจ้าทำแบบนี้ทำไม?" คิโอนิดถามด้วยความตกใจ "ข้าพยายามจะฆ่าพวกเจ้านะ!"
"เพราะผมเป็นบุตรแห่งแอรีส..." แจสเปอร์กัดฟันพูดจนเลือดซิบ "พ่อสอนให้เราสู้... แต่เจ่เจ้สอนให้เราปกป้องคนอื่น... พี่ไม่ใช่ปีศาจ พี่แค่เป็นเดมิก็อดที่หัวใจเยือกเย็นเกินไปเท่านั้นเอง!"
ความอบอุ่นและพลังบวกที่ไร้เดียงสาของแจสเปอร์ไหลซึมผ่านสัมผัสไปยังร่างที่กำลังแช่แข็ง สายฟ้าสีน้ำเงินเริ่มอ่อนแสงลง พลังเหมันต์ที่เคยดุร้ายค่อย ๆ สงบลงและกลายเป็นเพียงเกล็ดหิมะธรรมดาที่โรยราลงบนพื้นหอคอย
คิโอนิดทรุดตัวลงบนพื้นหอคอย ร่างกายของเขากลับมามีสีผิวเหมือนมนุษย์อีกครั้ง แม้จะดูอ่อนแรงและวิญญาณเกือบสลาย แต่เขายังมีลมหายใจ เขาเงยหน้ามองเด็กชายปัญญาทึบที่เพิ่งช่วยชีวิตเขาไว้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
"วีรบุรุษ... ไม่ได้วัดกันที่ชัยชนะ..." คิโอนิดพึมพำ "แต่วัดกันที่สิ่งที่เหลืออยู่... หลังจากสงครามจบลง"
รูบี้ เชลิค เฟลิทซ์ และพริมูล่า วิ่งเข้ามาถึงตัวแจสเปอร์ที่ล้มฟุบลงข้าง ๆ คิโอนิด รูบี้ประคองน้องชายขึ้นมาพลางตรวจเช็คชีพจรด้วยมือที่สั่นเทา
"นายมันไอ้เด็กโง่จริงๆ แจสเปอร์" รูบี้กระซิบ น้ำตาคลอเบ้า "โง่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลย"
แจสเปอร์ลืมตาขึ้นช้า ๆ แล้วส่งยิ้มกว้างที่เป็นเอกลักษณ์ "เจ่เจ้... ผมทำรถวายาพังไปนิดนึง... เขาจะยังกินบะหมี่ฝีมือผมอยู่ไหมนะ?"
เสียงหัวเราะเบา ๆ ปนน้ำตาของพี่น้องบ้านแอรีสดังขึ้นบนยอดหอคอย ท่ามกลางหิมะที่เริ่มตกอย่างสงบเงียบเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน พายุสลายไปแล้ว พร้อมกับหัวใจที่ด้านชาของวีรบุรุษผู้ถูกลืมที่ได้รับการเยียวยาด้วยความเมตตาที่คาดไม่ถึง
ท่ามกลางกลุ่มควันที่ค่อย ๆ จางหายไปและเกล็ดหิมะที่โปรยปรายอย่างสงบ ร่างของชายผู้หนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากเงากองไฟที่ลุกไหม้อยู่มุมระเบียง แอรีสในชุดเกราะนักรบเต็มยศก้าวออกมา ดาบยักษ์ในมือของเขาลากไปกับพื้นจนเกิดประกายไฟ ดวงตาที่ลุกเป็นไฟจับจ้องไปที่ร่างของคิโอนิด ที่นอนหายใจรวยรินอยู่แทบเท้าของแจสเปอร์
"ข้าบอกให้พวกแก 'พิชิต' มันไม่ใช่เหรอ?" เสียงของแอรีสดังกัมปนาทจนระฆังหอคอยสั่นสะเทือน "การพิชิตคือการเหยียบย่ำศัตรูให้จมดิน ไม่ใช่การเข้าไปกอดมันเหมือนลูกหมาหลงทางแบบนี้ แจสเปอร์!"
แจสเปอร์ที่ยังคงสะบักสะบอมพยายามยันกายลุกขึ้นยืนขวางระหว่างพ่อกับศัตรูที่เพิ่งสยบลง "เขาแพ้แล้วครับท่านพ่อ... และเขาก็ไม่ใช่คนเดิมที่อยากจะทำลายเมืองนี้แล้ว ความโกรธของเขาหายไปหมดแล้วครับ"
แอรีสแสยะยิ้มที่ดูน่าขนลุก เขาชูดาบขึ้นสูง แสงสะท้อนจากคมดาบพาดผ่านใบหน้าของลูก ๆ ทั้งห้าคน เชลิคกระชับหมัดแน่น รูบี้ก้าวขึ้นมาเคียงข้างน้องชาย ส่วนเฟลิทซ์และพริมูล่า แม้จะหวาดกลัวแต่ก็ไม่ถอยหนี
"แกจะขวางทางข้าเพื่อปกป้องไอ้ขยะนี่งั้นเหรอ?" แอรีสถามเสียงต่ำ
"พวกเราขวางทางท่านเพื่อปกป้อง 'เกียรติ' ของบ้านแอรีสค่ะ" รูบี้เอ่ยด้วยเสียงที่มั่นคง "การฆ่าคนที่ไร้ทางสู้ไม่ใช่ความภาคภูมิใจของพวกเรา... นั่นไม่ใช่สิ่งที่วีรบุรุษทำ"
ความเงียบที่น่าอึดอัดปกคลุมยอดหอคอยอยู่พักใหญ่ แอรีสจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของลูก ๆ ของเขา เขามองเห็นความดื้อรั้นที่ได้รับสืบทอดมาจากเขา แต่เขาก็เห็น "บางอย่าง" ที่เขาไม่มี... นั่นคือความกล้าหาญที่จะเมตตา
"หึ... ไอ้พวกเด็กเหลือขอ" แอรีสลดดาบลงพลางพ่นลมหายใจออกมาเป็นไอความร้อน "ข้าเป็นเทพแห่งสงคราม ข้ารักการนองเลือด... แต่ข้าก็เกลียดการฆ่าที่ไม่มีรสชาติ พลังของมันสลายไปหมดแล้วจริง ๆ อย่างที่เจ้าว่า แจสเปอร์"
แอรีสเดินเข้าไปใกล้คิโอนิด แล้วใช้เท้าเขี่ยเบา ๆ "ไสหัวไปซะ คิโอนิด ไปใช้ชีวิตที่เหลือในฐานะมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีใครจำได้ และถ้าข้าเห็นแกแตะต้องสายฟ้าหรือน้ำแข็งอีกครั้ง ข้าจะเป็นคนลากแกลงไปหาฮาเดสด้วยมือข้าเอง"
คิโอนิดพยักหน้าอย่างสั่นเครือ ก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไปในเงามืดของหอคอย ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า
เทพแห่งสงครามหันมามองลูก ๆ ทั้งห้าคนอีกครั้ง "พวกแกทำได้ไม่เลว... โดยเฉพาะเจ้า แจสเปอร์ ความโง่ของแกมันดันมีความอบอุ่นมากพอจะละลายน้ำแข็งโบราณได้ ข้าจะถือว่าภารกิจนี้สำเร็จ"
เขาสะบัดมือหนึ่งครั้ง แสงสีแดงวาบขึ้นปกคลุมร่างของทุกคน บาดแผลที่เหลืออยู่หายเป็นปลิดทิ้ง และรถ Ares-Cargo V.1 ที่พังยับเยินอยู่ด้านล่างก็กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์เหมือนใหม่ราวกับปาฏิหาริย์
"กลับค่ายไปซะ ก่อนที่ตำรวจมนุษย์จะแห่กันมาถึงที่นี่" แอรีสกล่าวทิ้งท้ายก่อนร่างจะเลือนหายไปในกองเพลิง "บอกแคลรีสด้วยว่าข้า 'พอใจ' ...แต่นิดเดียวเท่านั้นนะ!"
---- 1 ชั่วโมงต่อมา ----
รถ Ares-Cargo วิ่งฉิวไปตามถนนไฮเวย์มุ่งหน้ากลับสู่ลองไอส์แลนด์ ภายในรถเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการแย่งบะหมี่กันอย่างสนุกสนาน แจสเปอร์ นั่งทำบะหมี่รสเผ็ดให้ทุกคนกินอย่างมีความสุข โดยมีพริมูล่าคอยบ่นเรื่องกลิ่นอาหารแต่ก็แอบคีบเส้นเข้าปาก เฟลิทซ์หัวเราะร่าพลางเล่าเรื่องตอนตัวเองเกือบโดนสายฟ้าฟาด ส่วนเชลิคและรูบี้นั่งมองดูน้อง ๆ ด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
ที่กระจกหลัง... เมืองอิธากาที่เคยถูกแช่แข็งเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แสงไฟจากหอคอยนาฬิกาส่องสว่างท่ามกลางหิมะที่ตกอย่างอ่อนโยน
พวกเขาเดินทางกลับค่ายด้วยฐานะผู้ก่อการร้ายในสายตาโลกมนุษย์... แต่ในหัวใจของวีรบุรุษบ้านแอรีส พวกเขารู้ดีว่าความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่การฆ่าศัตรู แต่คือการรักษาความเป็นมนุษย์เอาไว้ได้ท่ามกลางสมรภูมิที่หนาวเหน็บที่สุด
- จบ -