
วันที่ 15 เดือน ธันวาคม ปี 2025
เวลาบ่าย เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ณ CAESAR XLs
ยามบ่ายในนิวโรม แสงแดดสะท้อนบนหลังคากระเบื้องสีแดงและหินอ่อนจนระยิบระยับตา เอสต้าในร่างโมนีก้าเดินก้าวข้ามถนนวีอา แพรทอเรียด้วยท่าทีสบาย ๆ กระเป๋าเหรียญดีนาเรียสหนักพอให้ได้ยินเสียงกระทบกันเบา ๆ ทุกครั้งที่ก้าว พอเธอเงยหน้ามองป้ายร้านใหญ่ตรงหน้าแล้วอ่านออกเสียงช้า ๆ “LVCIVS AUTOMAGUS - The Future of Roman Mobility ?” เอสต้าอ่านเสร็จก็ยักไหล่นิด ๆ แล้วผลักประตูเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าอยากซื้อจริง ๆ
ทันทีที่ก้าวเข้าไป กลิ่นไม้โอ๊คผสมกลิ่นน้ำมันหอมและไอร้อนจากเหล็กที่เพิ่งถูกหลอมตีลอยอบอวลในอากาศ ภายในร้านกว้างขวางหรูหรากว่าที่คิด เสาหินอ่อนขาวตัดลายทองเรียงรายรับกับพื้นไม้เข้มขัดเงาแวววาวจนแทบสะท้อนใบหน้า แสงจากโคมไฟส่องกระทบผิวโลหะของรถม้าหลากรุ่นที่จอดเรียงอยู่ราวกับกำลังจัดแสดงในหอศิลป์ของจักรพรรดิ
“สวัสดีครับ! ยินดีต้อนรับสู่โชว์รูมของผม ลูเซียส หลิว!” เสียงทุ้มกังวานมาพร้อมเจ้าของร้านร่างสูงในชุดช่างหนังสีน้ำตาลอมแดงที่เปื้อนคราบโลหะนิด ๆ ผมสีดำขลับสะท้อนแสงเวทเล็กน้อยและมีรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ของคนขายของชำนาญสนาม “โอ้ ผมดูออกเลยนะ... เธอเพิ่งได้ใบขับขี่จากค่ายจูปิเตอร์มาใช่ไหมล่ะ สายตาแบบนี้เห็นมาหลายคนแล้ว!”
เอสต้าหัวเราะแห้ง ๆ “ดูออกขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
“แน่นอนสิ! บุตรของวัลแคนฉลาดนะ ในสายเลือดผมทำให้ผมมองเครื่องยนต์กับคนขับออกทันทีเลยล่ะ!” เขาพูดพลางผายมือไปยังรถม้ารุ่นใหม่ตรงกลางโชว์รูม “และนี่! ผลงานชิ้นเอกของปีนี้ Caesar Maximus! สุดยอดพาหนะผสานเวทกับวิศวกรรม! ทำจากไม้โอ๊คอบเวท เสริมโครงเหล็กกล้า มีระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS! ระบบกันสะเทือนพิเศษ แถมยังมีโล่พลังอัตโนมัติ ปลอดภัยจนพ่อของผมเองยังกล้าให้ขับแน่ ๆ!” เขาพูดด้วยเสียงตื่นเต้นและไฟในตาเป็นประกายราวกับกำลังขายม้าเพลิงศักดิ์สิทธิ์ แต่เอสต้าในร่างโมนีก้า... กลับนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทำหน้าเหวอแบบไม่มีปิดบัง…
ไอ้รถเหี้ยนี้อีกแล้ว!!
“อืม... คือว่า...” เธอกวาดตามองตั้งแต่หัวถึงท้ายรถ ตัวถังไม้โอ๊คเคลือบเงาสีทองสุกอร่าม สลักตราอินทรีย์โรมันตรงฝากระโปรง แถมยังมีผ้าหลังคาพับลายลูกไม้โบราณที่ดูเหมือนหลุดมาจากยุคพระเจ้าซีซาร์จริง ๆ และไม่ใช่ในทางดีนัก เธอยกมือขึ้นแตะคาง พลางหรี่ตาทำท่าทางคิด “มัน... ทองไปหน่อยไหมคะ?”
ลูเซียสหัวเราะเสียงดัง “ทองคือสีแห่งชัยชนะนะ! มันบ่งบอกถึงความรุ่งเรืองและอำนาจ เธอจะขับผ่านถนนนิวโรมเหมือนจักรพรรดีกลับมาจากศึก!”
“ไม่ล่ะค่ะ” เอสต้าตอบทันทีแบบไม่ต้องคิด “ถ้าขับผ่านถนน ฉันคงเหมือนคนหนีมาจากขบวนพาเหรดมากกว่า”
เขาหัวเราะพรืดแต่ยังไม่ยอมแพ้ “งั้นลองขึ้นไปนั่งดูก่อนสิ เบาะหนังแท้จากฟีนิเซีย ระบายอากาศได้ มีระบบกันสะเทือนจากเวทหมอ—”
“ไม่ค่ะ มันไม่เข้ากับสไตล์ฉันเลย” เธอตัดบทแต่ยังยิ้มอย่างสุภาพในแบบที่แฝงความกวนประสาเอสต้า “คือ... ฉันไม่ได้จะว่าคนประดิษฐ์นะคะ แต่ออกแบบทองขนาดนี้... ถ้าโดนแดดสะท้อนคงแสบตาคนทั้งเมือง” เอสต้าพยักหน้าช้า ๆ พลางเหลือบมองซีซ่าร์ แม็กซิมัสอีกครั้ง สีทองยังวับจนสะท้อนเข้าตาเพราะตอนนี้เขากำลังโม้ส่วนดีของรถที่ทำอยู่ “...ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงไม่มีใครกล้าขับมันบนถนนตอนเที่ยงวัน” เธอพึมพำเบา ๆ ก่อนหันมายิ้มกว้างตอแหลให้คุณเจ้าของร้านสบายใจ
ลูเซียสยังคงยิ้มกว้างเหมือนนักขายระดับตำนาน มือหนึ่งชี้ไปยังรถคันใหม่ที่ถูกตั้งอยู่กลางไฟสปอร์ตไลต์สีทองสว่างจ้าเสียจนเอสต้าต้องหรี่ตา เธอยืนอึนอยู่พักหนึ่งก่อนขมวดคิ้ว เพราะใช่เลย มันทองอีกแล้ว! ทองทั้งคันตั้งแต่หัวจรดล้อ เงาวับเหมือนเทพโฟบัสกลืนหลอดไฟไว้ในท้อง
“และนี่! คือ Equus Ferrum ม้าเหล็กตัวท็อปของยุคนี้!” ลูเซียสพูดเสียงดังด้วยความภาคภูมิใจ มือปัดไปที่ตัวถังอย่างกับกำลังเปิดม่านมหาเวท “งานคราฟต์ล่าสุดจาก Jupiter ดีไซน์มาให้ดูคลาสสิกแบบโรมันแต่ยัดเทคโนโลยีล้ำสมัยไว้ข้างใน ทั้งแรงทั้งนิ่ง สมรรถนะระดับเทพเลยละ!”
เอสต้าก้มมองมัน แล้วในหัวก็เริ่มบ่นยาวรัวเป็นชุดโดยไม่มีฟิลเตอร์ สีทองอีกแล้วเหรอ? จะคลั่งอะไรขนาดนั้น นี่กะจะขายรถหรือจะเปิดศาลเจ้าพ่อเนี่ย โคตรลิเกเลยให้ตายสิ แสงสะท้อนแสบตาขนาดนี้ ถ้าขับออกไปตอนเที่ยงมีหวังตาบอดก่อนพ้นปากซอยแน่ เธอไม่ได้พูดออกไปหรอกนะ แต่สีหน้าที่นิ่งเกินไปบวกรอยยิ้มขื่น ๆ ก็แทบไม่ต้องแปลความหมายใด ๆ เพิ่มเลย
ลูเซียสยังคงพูดไม่หยุด “บอดี้ทำจากทองคำจักรพรรดิผ่านการอบเคลือบพิเศษครับ แข็งแรงทนทานทุกสภาพถนน ล้อเสริมเวทเหล็กกล้า เบาะหนังแท้นั่งสบายไม่ร้อน ระบบเบรก ABS ก็มี แถมมี GPS อัจฉริยะแบบเรียลไทม์ ติดโล่พลังงานกับระบบสื่อสารตรงถึงค่ายมาให้เสร็จสรรพเลย!”
“อืมม์…” เอสต้าครางในลำคอพลางพยายามฝืนยิ้ม เท่ตรงไหนเนี่ย? เหมือนเอารถถังไปชุบทองเตรียมเข้างานประกวดแฟชั่นโชว์มากกว่า… เธอบ่นในใจพลางพยักหน้าเบา ๆ แค่ให้เขารู้ว่าได้ฟังอยู่ แต่ในหัวคืออยากเอาผ้ามาคลุมปิดมันทั้งคันแทน “แน่นอน ถ้าไม่ชอบสีทอง ผมเปลี่ยนให้ได้นะ!” ลูเซียสยิ้มทะเล้นออกมาเหมือนรู้ว่าลูกค้ากำลังคิดอะไรอยู่ “รุ่นนี้ Customize สีได้ตามสั่งเลยครับ อยากได้ดำด้าน เทาเงิน หรือน้ำเงินมิดไนท์บลู จัดให้ได้หมดเลย!”
หือ?!!
เอสต้าหันขวับมาทันที “พูดจริงเหรอคะ!?” แววตาเธอสว่างวาบทันใด เหมือนเจอทางรอดจากทะเลทองคำ
“แน่นอน! แต่มีหมายเหตุเล็กน้อยนะ” เขายกนิ้วขึ้นพลางหยิบกระดาษข้อมูลส่งให้ “ต้องมาซ่อมบำรุงและแต่งสีใหม่ทุก ๆ หกเดือน เพราะวัสดุมันย้อมสียากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเลยกำหนดต้องปรับแต่งใหม่หมดเลย”
“…” เธอเงียบไปอึดใจ ก่อนค่อยพูดเสียงเรียบ “ดีนะที่ฉันไม่ได้เป็นคนขี้เบื่ออะไรเลย…” เสียงเน้นตรงท้ายเรียบแต่กัดเล็ก ๆ ตามสไตล์ของเธอ
“ค่าใช้จ่ายครั้งแรก 20 ดีนาเรียส ค่าย้อมสีก่อน 10 ดีนาเรียส” ลูเซียสกล่าวจบพร้อมรอยยิ้มมืออาชีพ “ราคาตัวรถอยู่ที่ 600 ดีนาเรียสเท่านั้น คุ้มยิ่งกว่าคุ้มสำหรับเดมิก็อดนักผจญภัยอย่างเธอ!” ลูเซียนเอ่ยบอกแบบนั้นระหว่างที่เอสต้ามองรถม้าสามล้อคันนั้นอีกรอบสลับกับรถมอเตอร์ไซส์คันนี้ แสงทองกระทบพื้นสะท้อนเข้าตาอีกครั้ง เธอถึงกับหลับตาแน่น โอ๊ย แสบตา… ไม่สิ แสบใจมากกว่า สีทองบ้าบอนี่มันตามหลอกฉันทุกที่เลยหรือไงเนี่ย? แต่ถึงจะด่าในใจขนาดนั้น มุมปากของเธอกลับยกขึ้นช้า ๆ
“ถ้าเปลี่ยนเป็นดำด้านได้ ฉันว่ามันอาจจะ... พอเท่ขึ้นนิดหนึ่งก็ได้มั้ง” เอสต้าพูดพลางหัวเราะเบา ๆ มือหนึ่งเกาหัวอย่างขัดเขินนิด ๆ ก่อนจะหันไปมองลูเซียสที่ยังคงยิ้มแบบคนมั่นใจในฝีมือตัวเองอยู่เต็มเปี่ยม เธอก็เลยถามออกไปตรง ๆ ด้วยน้ำเสียงครึ่งประชดครึ่งอยากรู้ “แล้วแบบ... มีรุ่นอื่นอีกไหมคะ? ที่มันไม่ต้องสะท้อนแดดจนคนทั้งเมืองตาบอดเวลาฉันขับผ่าน” คำถามนั้นทำให้ลูเซียสหัวเราะลั่นอีกครั้ง “ฮ่าๆ มีสิครับ ของเด็ดผมเก็บไว้หลังร้านนี่แหละ” เขาว่าแล้วก็เดินนำไปยังส่วนจัดแสดงด้านในสุดของโชว์รูมที่ถูกกั้นไว้ด้วยม่านกำมะหยี่สีดำ เมื่อเขาดึงเชือกคลายผ้าคลุมออก เสียงผ้าหนา ๆ ลื่นไหลลงกับพื้นดัง ฟึ่บ!
เอสต้าก้าวเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วถึงกับตาค้าง เธอเผลอยกมือปิดปากเพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่รถม้าหรือรถสามล้อชุบทองแบบที่เห็นก่อนหน้านี้ แต่มันคือซูเปอร์คาร์ของจริง คันนี้จอดนิ่งอยู่ใต้แสงไฟสลัวบนเพดาน ตัวถังสีดำสนิทแต่มีประกายสีแดงเรื่อเหมือนลาวาที่ไหลอยู่ใต้ผิวโลหะ ลวดลายเพลิงจาง ๆ ขยับวูบวาบตามจังหวะเหมือนรถกำลังหายใจ มันดูดุดันและมีพลังจนเธอไม่แน่ใจว่าควรจะกลัวหรือหลงใหลมันดี
เช็กบิลเลยไหมล่ะ... ดีไซน์อย่างกับเอา McLaren 650S มามิกซ์กับ Ferrari 458 แล้วยัดวิญญาณ Lamborghini ลงไปชัด ๆ เอสต้าสบถในใจอย่างอึ้งๆ ไอ้พี่ช่างคนนี้บทจะหลุดโลกก็ทำรถซะเว่อร์เกินเบอร์ ฝันร้ายทางวิศวกรรมแท้ ๆ
ลูเซียสยืนยิ้มกว้าง รอยยิ้มนั้นคราวนี้มีแววภาคภูมิใจปนจริงจัง “นี่แหละครับ... ผลงานชิ้นเอกของผม Vulcan’s Ember มันไม่ใช่แค่รถ แต่มันคือการรวมกันของเทคโนโลยีกับพลังธาตุไฟให้เป็นหนึ่งเดียวเลยนะ” เขาเอามือเคาะเบา ๆ ที่ฝากระโปรงรถ เสียงโลหะดัง ตึ้ง ลึกและกังวาน “ตัวถังเป็นอัลลอยโลหะผสมพิเศษ เบาเหมือนคาร์บอนไฟเบอร์แต่แข็งแบบไทเทเนียม เสริมอะดาแมนไทต์เข้าไปด้วย ทนร้อนทนแรงกระแทกได้ในระดับที่อาวุธหนักยังทำอะไรไม่ได้เลย”
“ส่วนเครื่องยนต์... มันไม่ได้ใช้น้ำมันแต่วิ่งด้วยแก่นพลังงานไฟที่ผมดึงมาจากเตาหลอมของวัลแคนโดยตรง ถ้าได้ลองสตาร์ทดูคุณจะรู้เลยว่าเสียงมันไม่ใช่เครื่องยนต์ทั่วไป แต่มันคือเสียงคำรามของจริง”
เอสต้าค่อย ๆ เดินวนรอบรถเหมือนถูกมนตร์สะกด ดวงตาเธอสะท้อนแสงไฟสีส้มแดงจากพื้นผิวของมัน ในห้องโดยสารที่มองลอดผ่านกระจกสีดำเข้ม เห็นเพียงเงาของเบาะหนังสีไวน์แดงที่ดูเหมือนจะอบอุ่นด้วยความร้อนจากข้างใน
“สเปกโหดใช่ไหมล่ะ? กลไกข้างในเป็นงานคราฟต์มือทุกชิ้น มีระบบเซนเซอร์กันกระแทกอัตโนมัติกับเกราะพลังงานที่จะกางออกทันทีถ้าโดนโจมตี แถมยังสลับโหมดขับขี่ได้ระหว่าง Street Mode กับ Combat Mode ด้วยนะ” เขาหันมามองเอสต้าในร่างโมนีก้าแบบภูมิใจสุดขีด “แต่ก็นะ... ส่วนใหญ่คันนี้มีไว้แค่โชว์เพราะค่าตัวมันอยู่ที่ 1,200 ดีนาเรียสน่ะ แพงไปหน่อยแต่คุ้มค่า” เอสต้าชะงักทันทีที่ได้ยินจำนวนเงินราคาของมัน หันมามองหน้าเขา แล้วหันกลับไปมองรถอีกที “...พันสอง?” น้ำเสียงเธอเหมือนจะยังไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกไหม
“ใช่ครับ พันสอง” ลูเซียสยิ้มร่าอย่างถูมติใจ
เอสต้ามองรถอีกครั้ง สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วคิดในใจ โอเค... จากม้าเหล็กชุบทองสุดเสร่อ มาถึงปีศาจเพลิงคันนี้... ดีไซน์ระดับเทพเจ้าจริง แต่นี่มันก็ราคาเทพเจ้าชัด ๆ ขับไปล้มทีมีหวังได้ทำสัญญาเงินกู้กับนรกแน่ เธอเงยหน้าขึ้นพูดเสียงเรียบแต่ปากแอบยกยิ้ม “สวยมากค่ะ แต่ราคานี่... ขายรถกับขายวิญญาณอันไหนเร็วกว่าเหรอคะ?” เมื่อถามก็เริ่มคิดอะไรบางอย่าง ถ้าขับไอ้นี่ออกถนนจริง ฉันอาจจะต้องหมดตัวหมดใจหมดกระเป๋าแน่ ๆ... แต่โว้ย เท่มาก... เหี้ยเอ๊ย มันเท่มากกก
เอสต้ามอง Vulcan’s Ember อีกครั้งด้วยแววตาเป็นประกาย เหมือนเด็กที่เพิ่งเห็นของเล่นราคาแพงชิ้นสุดท้ายในโลก เธอขยับมือแตะฝากระโปรงเบา ๆ ปลายนิ้วรู้สึกถึงความอุ่นราวกับรถทั้งคันยังหายใจอยู่จริง ๆ เสียงเครื่องในยังไม่ติดแต่กลับมีพลังบางอย่างไหลวนอยู่รอบ ๆ ตัวมันเหมือนรอเจ้าของ เธอเงยหน้ามองลูเซียนที่ยืนเท้าเอวมองอยู่อย่างภูมิใจ แล้วพูดขึ้นเสียงเรียบแต่แฝงด้วยความตื่นเต้นที่ซ่อนแทบไม่อยู่ “งั้นฉันขอซื้อคันนี้เลยก็แล้วกันค่ะ Vulcan’s Ember”
ชายหนุ่มกะพริบตาปริบ ๆ เหมือนยังไม่แน่ใจว่าได้ยินถูก “เดี๋ยวนะครับ... คุณหมายถึง คันนี้ จริง ๆ เหรอครับ?” น้ำเสียงของเขามีทั้งความตกใจและดีใจในคราวเดียวกัน
“ค่ะ คันนี้แหละ” เอสต้าพยักหน้าเบา ๆ “เอาไว้มีเงินเพิ่มอีกหน่อยค่อยกลับมาซื้อรถมอเตอร์ไซด์อีกคันก็ได้ แต่ตอนนี้ฉันว่าคันนี้มันกันน้ำกันฝนได้ดีกว่า... แล้วก็ดูเข้ากับฉันดีด้วย” เธอพูดพลางยักคิ้วให้ราวกับเรื่องซื้อรถราคาพันสองร้อยดีนาเรียสเป็นเรื่องช้อปขนมปัง
ลูเซียนหัวเราะออกมาเบา ๆ พลางส่ายหน้า “ฮะ ๆ ๆ ผมต้องบอกเลยว่านี่เป็นดีลที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินในวันนี้เลยนะครับ คุณโมนีก้า ผมขอยอมแพ้จริง ๆ”
เอสต้ากระพริบตาช้า ๆ ก่อนยิ้มกว้าง "อ๋อ ยินดีด้วยนะคะพี่ แต่ความจริงไม่ต้องเสียดายหรอกค่ะ ราคานี้คนปกติเขาคงไม่ซื้อกันหรอก” เธอพูดติดตลกด้วยน้ำเสียงเฉียบพลันแบบคนชอบกัดขำ ๆ “งั้นเตรียมรถให้ฉันเลยแล้วกัน แต่ก่อนอื่น...” เธอชี้นิ้วไปที่ตัวถัง “ฉันขอเปลี่ยนเป็นสีดำด้าน นะคะ เอาแบบเนียน ๆ ไม่สะท้อนแสง แต่ขอเพิ่มกิมมิกเป็นลายเส้นสีแดงเบอร์กันดี้ หรือไม่ก็ม่วงอินดิโก้เข้ม ๆ อยากให้ฟีลแบบดูขรึมแต่มีประกายไฟซ่อนอยู่ข้างในน่ะค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่สายตาเขายังเต็มไปด้วยความทึ่ง “เทสต์คุณนี่ดีเลยครับพี่ ผมว่าถ้าทำโทนนั้นคันนี้จะดูดุดันขึ้นเยอะเลย”
“แน่นอนค่ะ สีทองน่ะเอาไว้สำหรับพวก... เอ่อ คนที่มีความมั่นใจสูงมั้งคะ ไม่ใช่ทางของฉันจริงๆ” เธอยักไหล่ พยายามกลั้นคำว่าเสร่อไว้สุดชีวิต แต่แววตายังมีความซุกซนเหมือนกำลังนึกสนุกที่จะได้ควบปีศาจคันนี้ออกไปอาละวาด
ลูเซียนหัวเราะอีกครั้ง “จัดไปครับ งั้นรอแป๊บนึงนะ ผมจะให้ช่างรีแมพสีกับเซตระบบเวทให้ใหม่ ไม่เกินครึ่งชั่วโมง รับรองว่าพี่จะได้ขับรถออกไปแบบหล่อ ๆ เลย”
“โอเคค่ะ รอได้ แต่ขอแบบไม่ระเบิดกลางทางนะคะ พอดีช่วงนี้งบทำประกันชีวิตยังไม่มี” เธอพูดกลั้วหัวเราะเสียงใส