เวลามักเป็นทรัพยากรที่เล่นตลกกับมนุษย์เสมอ ในยามที่เราต้องการให้มันเดินช้าเพื่อซึมซับความสุขมันกลับติดปีกบินหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่ในยามที่เราต้องแข่งกับเข็มนาฬิกามันกลับดูเหมือนจะหดสั้นลงจนน่าใจหาย เช่นตอนนี้ที่ช่องว่างระหว่างเข็มยาวและเข็มสั้นที่บ่งบอกระยะห่างของคลาสเรียนวิชาการขับขี่ยานยนต์และมอเตอร์ไซค์กับวิชาการระบุเทพเจ้านั้นช่างกระชั้นชิดจนแทบจะเรียกได้ว่าเหลื่อมซ้อนกันดั่งเกลียวเชือก
คลีเมนทิสลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ภายใต้หน้ากากแห่งความเรียบเฉย ขณะที่สองเท้าก้าวเดินออกจากอาณาเขตของเซอร์คัส แม็กซิมัส ฝุ่นทรายและกลิ่นน้ำมันเครื่องที่เคยอบอวลอยู่รอบกายเริ่มเจือจางลงตามระยะทางที่ห่างออกมา หญิงสาวนึกขอบคุณการตัดสินใจอันเฉียบขาดของตนเองที่เลือกอาสาทดสอบภาคปฏิบัติเป็นลำดับแรก ๆ ของคลาส ความกล้าที่จะยกมือขึ้นท่ามกลางความลังเลของเพื่อนร่วมชั้น ส่งผลให้เธอสามารถปลีกตัวออกมาได้ก่อนที่เสียงนกหวีดหมดเวลาจะดังขึ้นอย่างเป็นทางการ
แน่นอนว่าเครดิตส่วนหนึ่งต้องยกให้กับแจ็คสัน ฟอสเตอร์ ลาร์เรสหนุ่มผู้รับบทบาทครูฝึกสอนในวิชานั้น แม้ภายนอกเขาจะดูเป็นสิงห์นักบิดผู้เจนจัดในสนามแข่งที่ดูเข้าถึงยาก แต่เนื้อแท้กลับมีความเข้าอกเข้าใจในตารางชีวิตอันแสนวุ่นวายของเหล่าทหารฝึกหัดเป็นอย่างดี เพียงแค่เธอเอ่ยปากขอพร้อมเหตุผลที่สมควร เขาก็พยักหน้าอนุญาตพร้อมรอยยิ้มมุมปากโดยไม่มีการซักไซ้ให้มากความ
สายลมยามบ่ายพัดผ่านผิวกายช่วยระบายความร้อนที่สะสมมาจากชุดเกราะอ่อนและหมวกกันน็อกเมื่อครู่ แม้ความเหนื่อยล้าทางกายจะเริ่มเกาะกุมกล้ามเนื้อขาแต่ความตื่นตัวทางสมองกลับยังคงทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ จุดหมายปลายทางถัดไปไม่ใช่ลานประลองหรือห้องยุทธการอันเคร่งเครียด แต่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ฟังดูรื่นรมย์ที่สุดในกรุงโรมใหม่… บอมบีโญ คาเฟ่
เพียงแค่ได้ยินชื่อกลิ่นหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟคั่วบดและไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็ดูเหมือนจะลอยมาเตะจมูกล่วงหน้า มันเป็นสัญญาณที่ดีว่าวิชาสุดท้ายของวันจะเป็นช่วงเวลาที่เธอจะได้พักผ่อนทางกาย ลดระดับอะดรีนาลีนที่พุ่งพล่านลงและเปลี่ยนมาใช้สมองในเชิงวิชาการอย่างเต็มรูปแบบ
เมื่อคลีเมนทิสผลักบานประตูเข้าไปในร้านคาเฟ่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป เสียงกระดิ่งลมเหนือประตูดังต้อนรับ บรรยากาศภายในร้านช่างแตกต่างจากโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยเสียงตะโกนและเครื่องจักรราวกับเป็นหลุมหลบภัยทางจิตวิญญาณ แสงไฟสีนวลตาและเสียงเพลงบรรเลงคลอแผ่วเบาช่วยชะลอจังหวะการเต้นของหัวใจให้ช้าลง
การมองหาตัวผู้สอนในวิชานี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใด แม้จะมีลูกค้าหนาตาบ้างในบางมุมแต่บุรุษผู้เป็นเป้าหมายของเธอนั้นมีความโดดเด่นสะดุดตาจนไม่อาจกลมกลืนไปกับฝูงชนได้ ข้อมูลที่ได้รับมาจากรุ่นพี่ผู้หวังดีระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ลาร์เรสที่ชื่อ ‘เมาคลี’ นั้น มีเอกลักษณ์การแต่งกายที่ฉีกกฎเกณฑ์ของความทันสมัยไปอย่างสิ้นเชิง
และสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาก็ยืนยันข้อมูลนั้นได้เป็นอย่างดี
ท่ามกลางเก้าอี้ไม้และแก้วกาแฟเซรามิก ร่างของชายหนุ่มผิวสีแทนคนหนึ่งนั่งอยู่อย่างสงบนิ่ง ทว่าเครื่องแต่งกายของเขากลับตะโกนก้องถึงความเป็นป่า อาภรณ์ที่ทำจากหนังสัตว์ฟอกหยาบพาดเฉียงอยู่บนไหล่ เครื่องประดับที่ร้อยเรียงขึ้นจากเขี้ยวสัตว์และกระดูกชิ้นเล็กห้อยระย้าอยู่ตามคอและข้อมือ ทุกองค์ประกอบบนตัวเขาดูขัดแย้งกับบรรยากาศร้านกาแฟอย่างสิ้นเชิง แต่ในความขัดแย้งนั้นกลับมีความกลมกลืนอย่างน่าประหลาด ราวกับเขานำพาเอากลิ่นอายของพงไพรเข้ามานั่งจิบกาแฟด้วย
คลีเมนทิสสูดลมหายใจเข้าลึก ปรับสีหน้าให้เป็นมิตรและสุภาพ ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปใกล้โต๊ะตัวนั้น
“หวังว่าจะไม่มาสายเกินไปนะคะ คีเพิ่งเรียนอีกวิชาเสร็จน่ะ”
เสียงนุ่มนวลของเด็กสาวเอ่ยทักทายทำลายความเงียบระหว่างกัน เธอเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออกอย่างเบามือแล้วทิ้งตัวลงนั่งด้วยท่วงท่าที่สำรวมแต่ผ่อนคลาย ดวงตาสีน้ำตาลเทาทอดมองคู่สนทนาด้วยความเคารพ
เมาคลีเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน รอยยิ้มของเขาดูซื่อตรงและใจดี ปราศจากความถือตัวหรือตำหนิติเตียนในเรื่องเวลา ดูเหมือนธรรมชาติของผู้ที่อยู่กับป่าเขามักจะมีความยืดหยุ่นและใจกว้างดั่งสายน้ำเสมอ หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างแนะนำตัวกันพอสังเขปเพื่อให้ทราบถึงนามที่ควรเรียกขานและลำดับขั้น ความเป็นทางการก็ค่อย ๆ ลดลง เหลือไว้เพียงบรรยากาศของการเรียนรู้ที่ลื่นไหล
บทเรียนเริ่มต้นขึ้นโดยไม่มีพิธีรีตองยืดเยื้อ เมาคลีไม่เสียเวลาไปกับการเกริ่นนำที่ไร้สาระ เขาพาคลีเมนทิสดำดิ่งลงสู่โลกแห่งปกรณัมอันยิ่งใหญ่ โลกที่ถูกปกครองโดยเหล่าทวยเทพแห่งเทือกเขาโอลิมปัส หรือที่ในบริบทของค่ายจูปิเตอร์แห่งนี้พวกเขาขานนามด้วยชื่อภาษาโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
“เทพเจ้าหลักที่เราควรรู้จัก... มีทั้งสิ้นสิบสี่องค์”
เสียงของเมาคลีทุ้มต่ำ กังวานราวกับเสียงเล่านิทานรอบกองไฟ เขาเริ่มไล่เรียงรายนามของทวยเทพทีละองค์พร้อมกับอธิบายเชื่อมโยงถึงชื่อในฝั่งกรีก พลังอำนาจ และสัญลักษณ์ประจำตัว คลีเมนทิสตั้งใจฟังและจดจำรายละเอียดเหล่านั้นพลางขบคิดตามและเชื่อมโยงข้อมูลใหม่เข้ากับคลังความรู้เดิมที่มีอยู่ เริ่มจากจูปิเตอร์ ตามด้วยจูโน่ เนปจูน พลูโต มาร์ส มิเนอร์วา วีนัส อะพอลโล ไดอานา วัลแคน เมอร์คิวรี เซเรส แบคคัส และสุดท้ายเวสต้า
เมาคลีถ่ายทอดเรื่องราวตำนานต่าง ๆ สอดแทรกเข้ามาเป็นระยะ บางเรื่องเป็นนิทานปรัมปราที่คลีเมนทิสเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างตั้งแต่ยังเล็ก แต่บางเรื่องก็เป็นเกร็ดความรู้ใหม่ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะมุมมองของชาวโรมันที่มีต่อเทพเจ้าซึ่งเน้นไปที่ระเบียบวินัย หน้าที่ และรัฐ มากกว่าเรื่องราวชู้สาวหรือดราม่าส่วนตัวแบบกรีก
สำหรับเด็กสาววัยสิบห้าปีที่ไม่เคยหมกมุ่นในเรื่องเทพปกรณัมมาก่อน การได้รับรู้ว่าตนเองมีสายเลือดของเทพีถึงสององค์ไหลเวียนอยู่ในกายทำให้เธอรู้สึกเชื่อมโยงกับบทเรียนนี้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น คงเพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเล่าไกลตัวอีกต่อไป
ด้วยพื้นฐานความเป็นคนหัวไวและช่างสังเกตจึงสามารถซึมซับข้อมูลปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว เมื่อถึงช่วงเวลาแห่งการทดสอบความเข้าใจผ่านมินิเกมจับคู่เทพเจ้าเธอก็สามารถทำมันได้อย่างราบรื่น นิ้วเรียวหยิบจับแผ่นป้ายสัญลักษณ์และชื่อเทพมาวางคู่กันได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ราวกับกำลังต่อจิ๊กซอว์ที่มองเห็นภาพต้นแบบชัดเจนอยู่แล้วในหัว ทว่าความท้าทายที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
“ทีนี้... ลองมาวิเคราะห์จากของจริงกันบ้าง”
เมาคลียิ้มกว้างขึ้น เขานำเสนอกรณีศึกษาแบบจำลองสถานการณ์โดยให้คลีเมนทิสลองวิเคราะห์บุคลิกลักษณะของรุ่นพี่หรือบุคคลในค่ายที่เธอเคยพบเจอ เพื่อเชื่อมโยงว่าพวกเขาเหล่านั้นน่าจะเป็นบุตรธิดาของเทพองค์ใด พิจารณาจากจุดเด่น ความสามารถพิเศษ และอุปนิสัยใจคอที่แสดงออกมา
คลีเมนทิสนิ่งคิด ทบทวนภาพความทรงจำของรุ่นพี่หลายคนที่เธอเคยพูดคุยหรือสังเกตเห็นในค่าย บางคนมีความดุดันและเชี่ยวชาญการใช้อาวุธ เดาได้ไม่ยากว่าเป็นสายเลือดของมาร์ส บางคนมีความเฉลียวฉลาดและวางแผนเก่งซึ่งน่าจะเป็นลูกหลานของมิเนอร์วา การคาดเดาของเธอมีทั้งที่ถูกต้องแม่นยำจนเมาคลีปรบมือชม และมีบางส่วนที่คลาดเคลื่อนไปบ้าง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับมือใหม่หัดดูเทพ
แต่แล้วกลับมีคำเฉลยหนึ่งที่ทำให้คิ้วเรียวสวยของเธอต้องขมวดเข้าหากันด้วยความประหลาดใจ
“รุ่นพี่ปาปาโดปูลอสน่ะเหรอคะบุตรแห่งจูปิเตอร์”
น้ำเสียงของเธอเจือไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้รับคำยืนยันจากผู้สอน ภาพจำของรุ่นพี่หนุ่มนามสกุลยาวเหยียดคนนั้นผุดขึ้นมาในหัว บุรุษผู้นั้นมีรอยยิ้มที่สว่างไสวเจิดจ้าดั่งดวงตะวัน บุคลิกที่เต็มไปด้วย..
อ่า.. ความมั่นใจในตัวเองที่ล้นปรี่ ช่างดูคล้ายคลึงกับภาพลักษณ์ของอะพอลโล เทพแห่งศิลปะและดวงอาทิตย์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน ไหนจะความเจ้าสำราญเล็ก ๆ ที่แฝงอยู่ในแววตานั่นอีก หากให้เธอพนันเธอก็คงเทหมดหน้าตักว่าเขาต้องเป็นลูกชายของเทพแห่งดนตรีผู้นั้นแน่ ๆ
“แน่ใจนะคะว่าไม่ใช่บุตรแห่งอะพอลโล”
เธอย้ำถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อความรู้ของครูผู้สอน แต่ความขัดแย้งในใจมันเรียกร้องคำอธิบาย เมาคลีหัวเราะแผ่วในลำคอ ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมถึงแง่มุมของจูปิเตอร์ที่เธออาจมองข้ามไป ทายาทออร์คัสทำได้เพียงพยักหน้าช้า ๆ ขณะเริ่มทำความเข้าใจในมุมมองใหม่ โลกใบนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่รอคอยจะสร้างความประหลาดใจให้เธอเสมอ
เมื่อลองพิจารณาดูให้ลึกซึ้งการที่เธอคาดเดาว่าเขามีความสัมพันธ์กับอะพอลโลก็ไม่ได้ถือว่าผิดหรือห่างไกลจากความจริงจนกู่ไม่กลับไปเสียทีเดียว เพราะในตำนานเทพปกรณัอะพอลโลเองก็เป็นโอรสของจูปิเตอร์ การที่รุ่นพี่คนนั้นจะมีบุคลิกบางอย่างที่ทับซ้อนหรือคล้ายคลึงกันระหว่างพ่อกับพี่ชายต่างแม่ก็ดูจะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย เหมือนคำกล่าวที่ว่าลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น... หรือในกรณีนี้ อาจจะแค่กลิ้งไปอยู่ใต้ต้นข้าง ๆ เท่านั้นเอง
รอยยิ้มบาง ๆ เผยบนดวงหน้าสวยให้กับความคิดของตัวเอง ความเชื่อมโยงที่เธอคาดเดาเอาไว้ แม้จะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ในแง่ของสายเลือดโดยตรง แต่มันก็แม่นยำในแง่ของลักษณะนิสัยที่ถ่ายทอดกันมาในวงศ์ตระกูลเทพอย่างน่าตกใจ
คลีเมนทิสในตอนนี้ไม่มีทางรู้เลยว่าการคาดเดาเล่น ๆ และข้อสังเกตเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นำไปสู่คำตอบที่ผิดเหล่านี้อาจจะกลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในอนาคต