

Trigger Warning : มีเนื้อเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรง เลือด และการเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์
งานแต่งงานระหว่างแมคเคย์ล่าและวินสตันดำเนินไปอย่างงดงามในบรรยากาศที่เปี่ยมด้วยความสุข แขกทุกคน (ที่มีแต่เดมิก็อด เทพโดลอส และนกกระทาหนึ่งตัว) ต่างกำลังจัดท่าทางเพื่อเตรียมสำหรับการถ่ายรูปรวมเป็นที่ระลึก
“เอาล่ะทุกคนมาถ่ายรูปรวมกันค่ะ” ในที่สุดชุดกล้องที่การ์เซียได้พกมาก็ถึงเวลาได้ออกมาใช้เสียที เธอก้าวถอยหลังปรับเลนส์ เช็กแสงในเฟรมอย่างพิถีพิถัน
"โอเค เข้าใกล้ ๆ กันอีกหน่อยค่ะ นี่เอโลอิสยิ้มให้มันธรรมชาติหน่อยหน้าเธอยิ้มเกร็งไปแล้วนะ”
เอโลอิสที่ยืนอยู่ด้านขวาของเฟรม ยกมือขึ้นแตะหน้าตัวเองอย่างงุนงงนี่หน้าเธอเกร็งไปงั้นเหรอ?...เธอพยายามยิ้มกว้างกว่าเดิม แต่กลับดูเหมือนจะฝืนหนักกว่าเดิมอีก
“นี่มันแย่กว่าเดิมอีก! เอาเถอะ! จะทำหน้ายังไงก็เรื่องของเธอแล้วกัน ขอแค่ไม่ทำหน้าเหมือนคนกลัวกล้องก็พอแล้ว” สายตาการ์เซียเหลือบไปเห็นอีธานที่ยืนข้างเจ้าบ่าวตัวแทบจะบังวินสตันไปครึ่งตัว
“อีธานอย่ายืนบังเจ้าบ่าวเขยิบไปอีก”
อีธานถอนหายใจยาวเล็กน้อยก่อนจะขยับตัวไปทางด้านข้างอีกหน่อย
"แบบนี้พอไหม?"
“โอเค สวยมากฉันจะนับถึงสามนะ ยิ้มให้สวย ๆ…หนึ่ง…สอง…สา—”
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงรัวกระสุนดังสนั่นทำลายบรรยากาศแห่งความสุขในชั่วพริบตาทะลุกำแพงเข้ามาด้านในห้องทำพิธี
“ทุกคนหมอบลง!” อีธานตะโกนสั่งเสียงดัง พยายามรักษาสติท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย
“นี่มันบ้านป่าเมืองเถื่อนหรือยังไงนี่…ศาลากลางเมืองบอสตันนะบุกยิงได้ด้วยเหรอ!” เอโลอิสที่ตอนนี้หลบอยู่ได้โต๊ะพูดบ่นออกมาเสียงดัง
ทันใดนั้นเสียงหอนของโทรโข่งก็ดังลอดเข้ามาจากด้านนอกพร้อมกับเสียงพูดขาด ๆ หาย ๆ
“ฮัลโหล ๆ เทส ๆ อะแฮ่ม ๆ”
ทุกคนหยุดนิ่งไปชั่วครู่ทำหน้าอิหยังวะกับคุณภาพเสียงระดับไมค์อบต.ของโทรโข่งอันนี้ ก่อนที่จะได้ยินเสียงบ่นเบา ๆ แต่ชัดเจนจากโทรโข่งเหมือนกับว่าคนข้างนอกกำลังคุยกันอยู่
“โทรโข่งนี่หอนชะมัด! เอาอันใหม่มาเปลี่ยนซิ”
เสียงหอนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงดังจากโทรโข่งลอดเข้ามาอีกครั้งคราวนี้ชัดแจ๋วกว่าเดิมราวกับว่าทุกอย่างได้ถูกสับเปลี่ยนเป็นโทรโข่งอันใหม่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นเสียงจริงจังจากชายวัยกลางคนที่แสนคุ้นก็ดังขึ้นมา
“อะแฮ่ม ๆ หนึ่ง…สอง…สาม…สี่…เทส…นี่คือเสียงของนายพลแอนเดอร์สัน ฉันทำได้ทำการล้อมพวกแกไว้หมดแล้วจงยอมแพ้ซะ! แล้วส่งแมคเคย์ล่า แอนเดอร์สันมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!”
ขวัญเอ้ยขวัญมา…เอโลอิสตบที่อกเบา ๆ สองสามทีเพื่อเรียกขวัญจากเหตุการณ์กระหน่ำยิงอันน่าสะพรึงนี้ สถานการณ์แบบนี้มันเกินคาดเดาลำพังเด็กวัยรุ่นแค่ไม่กี่คนจะควบคุมสถานการณ์นี้ได้ยังไง อย่างน้อยก็ควรจะมีคนเก่ง ๆ ผู้ใหญ่เทพ ๆ สักคนมาช่วยสิ…ใช่! เทพ…เทพ…เทพ…มีเทพโดลอสอยู่ในงานด้วยนี่นา!
“จริงสิ! เรามีคุณนิค ฟิวรีอยู่ด้วยนี่ ไม่ต้องกลัวหรอก…ใช่ไหมคุณนิ—-”
เธอหยุดพูดกะทันหัน มองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาแตกตื่น…เอ๋?…
หายไปแล้ว!!! หายไปเฉยเลย!!!
เทพโดลอสในคราบของ คุณนิค ฟิวรี หายไปในพริบตาเหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่ที่นั่น สายตาของทุกคนที่หมอบอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของห้องยังคงมองไปที่จุดที่เทพโดลอสยืนอยู่เมื่อครู่ แม้แต่เงาของเขาก็ยังไม่หลงเหลืออยู่เลย สมกับเป็นเทพแห่งคำลวง ปลิ้นปล้อนไม่มีใครเกินจริง ๆ พอเกิดเรื่องก็เผ่นแน่บก่อนเพื่อนเลยให้ตายเถอะ!
เดมิก็อดทั้งสามคนยืนขึ้นจากที่ซ่อนตัวในเมื่อไม่มีเทพอยู่คุ้มกะลาหัวก็มีเพียงต้องปกป้องกันเองและปกป้องผู้บริสุทธิ์อีกสามคนในห้องคือ แมคเคย์ล่า วินสตัน และเจ้าพนักงานผู้ดำเนินพิธีแต่งงานอีกหนึ่งคน พวกเขารู้ดีว่าการเผชิญหน้ากับนายพลแอนเดอร์สัน ผู้ที่มีอำนาจทางการทหารล้นมือนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าต้องปกป้องชีวิตของทุกคนในห้องนี้พวกเขาก็ต้องยืนหยัดและพร้อมสู้!
เอโลอิสตั้งสมาธิเต็มที่ร่างเธอยืนนิ่งอยู่กลางห้อง เธอยกมือขึ้นอย่างแน่วแน่พยายามที่จะควบคุมสถานการณ์ตรงหน้าไว้ให้ได้ เธอเป็นคนเดียวในห้องนี้ที่มีพลังของเทพเฮเฟตัสที่สามารถควบคุมโลหะได้ ฉะนั้นเธอต้องพยายามที่จะหยุดลูกตะกั่วพวกนั้นให้ได้มากที่สุด เอโลอิสเริ่มใช้พลังที่เธอมีเพื่อต้านโลหะทุกอย่างที่ทะลุกำแพงเข้ามา กระสุนที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วถูกหยุดกลางคันก่อนจะร่วงลงพื้นอย่างไร้พลัง เสียงกระสุนกระทบพื้นดังเป็นจังหวะต่อเนื่องเหมือนเสียงฝนกระทบหลังคา โชคดีทุกมนุษย์ธรรมดาในห้องทุกคนต่างกำลังตกอยู่ในสภาวะหวาดกลัวก้มหน้าหมอบหลับตาปี๋ จึงไม่เห็นสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ มิฉะนั้นเธอคงจะต้องหาข้ออ้างสารพัดมาแก้ตัวให้เรื่องเหนือธรรมชาตินี้
เอโลอิสเริ่มกัดฟันแน่น ร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อยจากการใช้พลังอย่างหนัก คิดว่าอีกไม่นานก็คงจะต้านทานกระสุนพวกนี้ไม่ไหวแล้ว ทันใดนั้นเองเสียงกระสุนที่รัวเข้ามาก็หยุดลงกะทันหัน ความเงียบเข้ามาแทนที่ ทุกคนในห้องต่างเหลียวมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงง ก่อนที่เสียงโทรโข่งจะดังขึ้นจากข้างนอกอีกครั้ง
“กระสุนครั้งนี้เป็นการเตือน เวฟต่อไปจะจัดชุดใหญ่ไฟกะพริบกว่านี้ หากอยากให้ทุกคนปลอดภัยจงส่งแมคเคย์ล่ามาให้ฉัน!” น้ำเสียงอันแข็งกร้าวของท่านนายพลทำให้ความเงียบในห้องเปลี่ยนเป็นความตึงเครียดอีกครั้ง
“เอโลอิสเธอโอเคไหม?” การ์เซียรีบวิ่งเข้ามาหาเอโลอิสที่ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเพราะความเหนื่อยล้าจากการใช้พลังงานจำนวนมากในการควบคุมลูกตะกั่วให้หยุดกลางอากาศ
“เธอพักเถอะ ฉันจะออกไปลุยกับพวกเขาเอง!” อีธานเข้ามาช่วยอีกแรง เขาพยุงแขนของเอโลอิสอีกข้างเพื่อช่วยประคองเธอให้ลุกขึ้นมา
“ฉันก็จะไปด้วย” การ์เซียพูดเสริม
“พูดบ้าอะไรน่ะ ฉันยังไหวถ้าพวกเธอไปยังไงฉันก็จะไปด้วย” เอโลอิสตอบกลับอย่างดื้อรั้น เธอเป็นคนชวนพวกเขามาทำภารกิจนี้ จะปล่อยให้พวกเขาแบบรับสถานการณ์เพียงสองคนได้อย่างไรกัน
“เธอดูสภาพตัวเองตอนนี้สิ เธอต้องพัก…แรงของเธอตอนนี้จะไปสู้กับคนพวกนั้นได้ยังไงกัน!” การ์เซียพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังยังไงเอโลอิสก็ไม่ควรใช้พลังไปมากกว่านี้ หากเกินขีดจำกัดมากเกินไปอาจอันตรายกับตัวเธอได้
“ทุกคนพอเถอะ!...” เสียงตะโกนของแมคเคย์ล่าดังขึ้นขัดจังหวะการโต้เถียงของเดมิก็อดทั้งสาม เธอลุกขึ้นจากจุดที่หลบกระสุนก่อนจะก้าวมาข้างหน้า “พอแล้วล่ะ…ฉันจะเป็นคนไปเอง…”
“อะไรนะแมคเคย์ล่าเธอจะมอบตัวกับพ่อของเธอเหรอ!” เอโลอิสหันขวับไปถามแมคเคย์ล่าอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
แมคเคย์ล่าพยักหน้า ใบหน้าของเธอเหมือนจะร้องไห้ออกมาแต่กลั้นเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยเหตุพลที่ต้องการออกไปเผชิญหน้ากับพ่อของตน
“ฉันไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนเพราะฉันอีกแล้ว ในเมื่อฉันเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ฉันก็จะออกไปเพื่อคุยกับพ่อของฉันเอง!”
แมคเคย์ล่าสูดหายใจเข้าลึก โดยปกติแล้วคุณหนูที่แสนบอบบางอย่างเธอนั้นขี้กลัวเป็นที่สุด โดยเฉพาะหากเป็นบุคคลอย่างท่านนายพลแล้วหัวใจของเธอก็เต้นรัวด้วยความกลัวเป็นอย่างยิ่ง เสียงฝีเท้าของเธอที่กำลังเดินไปที่ประตูดังก้องไปทั่วห้องพิธี มือที่กำลังจะจับลูกบิดออกไปกลับถูกรั้งเอาไว้ด้วยมือของวินสตัน
“เดี๋ยว!...” น้ำเสียงของวินสตันเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “ฉันจะไปด้วย”
“แต่ว่า—”
“ตอนนี้พวกเราเป็นสามีภรรยากันแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ควรเผชิญหน้าไปด้วยกัน” วินสตันไม่ยอมให้แมคเคย์ล่าพูดจบเขาจับมือของเธอแน่น ในเมื่อเขามีส่วนร่วมในความผิดครั้งนี้ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้คนรักของตนเผชิญเรื่องนี้เพียงลำพังแน่นอน
“ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี” วินสตันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
แมคเคย์ล่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าดวงตาของเธอฉายแววความมุ่งมั่นขึ้นมาทันที ความกลัวในตอนแรกบัดนี้พลันหายไปหมดสิ้น พวกเขาสบตากันราวกับโลกทั้งใบเหลือเพียงเขาสองคน…ส่วนเดมิก็อตทั้งสามและเจ้าพนักงานก็ไม่มีอะไรจะพูดเพราะทุกอย่างล้วนเป็นความประสงค์ของทั้งแมคเคย์ล่าและวินสตัน
ทั้งสองจับมือกันแน่นก่อนจะก้าวออกไปพร้อมกัน ขณะที่เดมิก็อดทั้งสามคนตามหลังมาติด ๆ โดยที่เอโลอิสไม่ลืมจะหันไปพูดกับเจ้าพนักงานทำพิธีก่อนเดินออกจากห้องว่า…
“หมดบทของคุณแล้วค่ะ รีบออกไปตอนนี้แล้วหาวิธีโทรแจ้ง 911 ซะ!”
“คะ..ครับ!” เจ้าพนักงานรีบตอบก่อนจะรีบเผ่นหนีออกจากห้องในช่วงที่เวฟกระสุนหมดไปนี้
นายพลยืนอยู่ท่ามกลางกองกำลังของเขา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ เมื่อเห็นร่างของแมคเคย์ล่าลูกสาวของเขาก้าวออกมาจากศาลากลางเมืองบอสตัน แต่รอยยิ้มนั้นกลับหายวับไปในทันทีเมื่อสายตาเขาเหลือบไปเห็นวินสตันที่เดินเคียงข้างและจับมือแมคเคย์ล่าไว้แน่น สายตาของเขาจ้องมองไปที่วินสตันอย่างไม่พอใจ แมคเคย์ล่าเดินมาหยุดตรงหน้าของท่านนายพลก่อนจะเริ่มพูดกับพ่อของเธอ
“พ่อคะ ได้โปรดหยุดทุกอย่างไว้เท่านี้เถอะค่ะ หนูจะยอมกลับไปกับพ่อขอเพียงแค่พ่อปล่อยวินสตันกับทุกคนไป จะลงโทษหนูอย่างไรก็ได้”
ท่านนายพลมองลูกสาวด้วยสายตาที่เย็นชา เขายืนนิ่งคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างคิดหนัก แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ตอบอะไรวินสตันก็ขัดขึ้นมาก่อน
“ไม่ครับท่านนายพล นี่ไม่ใช่ความผิดของแมคเคย์ล่าอย่าลงโทษเธอ ผมน้อมรับทุกอย่างขอแค่ปล่อยทุกคนไปผมยินดีรับผิดชอบทุกสิ่งที่เกิดขึ้น” วินสตันพูดด้วยเสียงหนักแน่น
“รับผิดชอบ…คนอย่างนายน่ะเหรอ? กล้าดีนี่” น้ำเสียงของท่านนายพลเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เขาหัวเราะในลำคอ สายตาที่เขามองไปที่วินสตันนั้นแข็งกร้าวและดูหมิ่น
“ไม่นะ วินสตันฉันเป็นคนหนีมาเองนี่ไม่ใช่ความผิดเธอ” แมคเคย์ล่าแย้งขึ้นมา
“ลูกรัก…เอาอย่างนี้หลีกไปก่อน ขอพ่อคุยกับพ่อหนุ่มคนนี้อย่างลูกผู้ชาย พ่อรับรองว่าทุกอย่างจะดีขึ้น…”
ท่านนายพลหันไปพูดกับแมคเคย์ล่าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แมคเคย์ล่ามองพ่อของเธอด้วยความลังเล ก่อนจะยอมถอยออกไป แต่ทันทีที่เธอทำเช่นนั้นลูกน้องของนายพลก็พุ่งเข้ามาล็อกแขนเธอทั้งสองข้างไว้จนไม่สามารถขยับตัวได้ วินสตันหันไปมองด้วยความตกใจและพยายามจะพูดอะไรกับท่านนายพล แต่ก่อนที่เขาจะได้รับโอกาสนั้น นายพลก็พูดขึ้นเสียงดุดัน
“ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง…ถ้าไม่มีแกสักคน!”
สิ้นเสียง นายพลก็กระชากเอาอาวุธปืนจากมือของลูกน้องที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วกดไกปืนรัว ๆ เสียงปืนดังลั่นไปทั่วบริเวณหน้าศาลากลางเมืองบอสตัน กระสุนพุ่งตรงไปยังร่างของวินสตันอย่างไม่ยั้งมือ ท่านนายพลหัวเราะด้วยความสะใจอย่างบ้าคลั่ง แมคเคย์ล่ากรีดร้องด้วยความตกใจ
“วินสตัน!!!”
เหล่าเดมิก็อดที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดช็อกจนพูดไม่ออก เอโลอิสพยายามใช้พลังควบคุมโลหะเพื่อหยุดกระสุนนั้นไว้ แต่เมื่อเธอลองใช้พลังดูกลับรู้สึกได้ถึงความอ่อนล้าในร่างกาย พลังงานที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอที่จะหยุดกระสุนที่พุ่งเข้าใส่วินสตันได้ ภาพตรงหน้าจึงเป็นภาพของกระสุนที่พุ่งใส่วินสตัน เธอมองภาพนั้นอย่างเจ็บปวดที่ไม่สามารถช่วยเขาไว้ได้ ทุกอย่างมันเกินการควบคุมไปแล้ว
ในขณะที่ทุกคนยังคงตกตะลึงกับการกระทำอันอุกอาจของนายพลคลั่งผู้นั่น จู่ ๆ ลูกน้องที่ยึดแขนของแมคเคย์ล่าไว้ก็ถูกพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นทำให้พวกเขาร่วงลงไปด้วยแรงมหาศาลทำให้แมคเคย์ล่าหลุดออกจากการจับกุม เธอพุ่งไปข้างหน้าและกอดร่างของวินสตันไว้ใช้ร่างของตนเองบังกระสุนที่พุ่งเข้ามาหาคนรักของเธอ กระสุนที่พุ่งเข้ามากระทบทั้งแมคเคย์ล่าและวินสตันจนพวกเขาทั้งสองล้มลงไปหลังจากได้รับแผลจากลูกตะกั่วหลายจุด
นายพลมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ เขาหยุดยิงมือไม้อ่อนจนทำปืนร่วงลงพื้น มองร่างลูกสาวที่เขายิงด้วยน้ำมือของตนและเริ่มสติแตกขึ้นมา เขาทรุดลงกับพื้นเบื้องหน้าคือสองร่างที่เลือดไหลออกมามากมาย
“ไม่…ไม่…ฉันไม่ได้ทำ” เสียงของนายพลสั่นเครือ มือของเขาเริ่มทึ้งหัวของตัวเอง ทุกอย่างดูเหมือนฝันร้ายที่กำลังหลอกหลอนเขาอยู่
อีธานที่สังเกตเห็นความตกใจของนายพลเขารีบพุ่งตัวเข้าไปใช้จังหวะนี้เตะปืนที่หลุดจากมือของนายพลออกไปให้ไกลจากตัวเขา เดมิก็อดทั้งสองคนที่เหลือรีบเข้ามาดูอาการของแมคเคย์ล่าและวินสตันในทันที พวกเขาพยายามหยุดเลือดและทำการปฐมพยาบาลอย่างเร่งด่วน การ์เซียรีบบอกให้คนแถวนั้นเรียกรถพยาบาลโดยด่วน
ท่านนายพลที่เห็นทุกคนพยายามที่จะช่วยเหลือลูกของเขา ก็เริ่มพึมพำกับตัวเองเหมือนว่าเขาจะเริ่มคิดได้และรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“พ่อขอโทษ...ขอโทษ...” เขาพูดซ้ำไปซ้ำมา น้ำตาเริ่มไหลออกจากดวงตาของเขา
เอโลอิสและอีธานพยายามกดบาดแผลของทั้งสองคนเพื่อหยุดเลือดที่ไหลไม่หยุด เธอหันไปทางการ์เซียเพื่อดูว่าอีกฝ่ายได้หาทางติดต่อรถพยาบาลแล้วหรือยัง เมื่อการ์เซียทำสัญญาณมือว่าเรียบร้อยก็รีบหันกลับมาดูอาการทั้งสองพยายามชวนคุยไม่ให้ทั้งสองหลับ
“อดทนไว้นะทั้งสองคนอีกไม่นานรถพยาบาลก็จะมาแล้ว พวกเธอจะต้องไม่เป็นไร” เอโลอิสเอ่ยเสียงดังพยายามดึงสติทั้งคู่
“ขอบคุณพวกคุณมาก แต่ผมคิดว่าผมคงรอไม่ไหว” วินสตันเอ่ยเสียงสั่นเล็กน้อย เสียงของเขาแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินหากไม่ตั้งใจฟังดี ๆ
“ไม่ได้พวกเธอห้ามหลับนะเข้าใจไหม” เอโลอิสพยายามตบแก้มวินสตันเบา ๆ เพื่อเรียกสติ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความร้อนรนที่รถพยาบาลมาไม่ถึงสักที
“ในที่สุดพวกเราก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป” แมคเคย์ล่าที่นอนอยู่ข้างวินสตันยกมือขึ้นมากุมมือชายคนรักแน่น ลมหายใจเธอโรยรินแต่ใบหน้ายังเปี่ยมด้วยความรัก
“แน่นอน พวกเธอจะได้อยู่ด้วยกันหลังจากที่หมอรักษาพวกเธอจนหาย” อีธานพูดออกมาบ้าง ในใจของเขาก็เริ่มกลัวไม่แพ้คนอื่น
“ไม่ต้องพูดปลอบใจหรอกพวกฉันรู้ดีกว่าเหลือเวลาอีกไม่มาก ขอบคุณพวกเธอมาก พวกเธอช่วยเหลือฉันกับวินสตันไว้มาก และขอโทษที่ชาตินี้ไม่ทันได้ตอบแทน”
“ไม่นะพวกเธออย่าเพิ่งด่วนสรุปสิ ฉันขอโทษที่ช่วยพวกเธอไม่ได้ไม่มากพอจนทำให้พวกเธอบาดเจ็บ” เอโลอิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ห้ามโทษตัวเองเด็ดขาดเข้าใจไหม พวกคุณช่วยมามากแล้ว และไม่ต้องเสียใจไป” วินสตันพูดขัดขึ้น “จำเอาไว้ว่า…แค่ก ๆ ๆ ๆ…ว่า…” เหมือนวินสตันอยากจะพูดอะไรบ้างอย่างเอโลอิสจึงโน้มตัวเข้ามาใกล้เพื่อฟัง
“ว่าอะไรวินสตันนายอยากจะพูดอะไร…ฉันรอฟังและฉันจะทำตามคำขอทุกอย่าง”
“ว่า…คุณนิค ฟิวรี…ชอบดื่มน้ำแร่ยี่ห้อ…เปอริเอ้” วินสตันพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“เวลาแบบนี้เธอยังจะคิดถึงเขาอีกเหรอ? เขาหายไปก่อนเพื่อนเลยนะ!...แต่ได้!…ฉันจะจำไว้” เอโลอิสรับปากเขา แม้จะไม่ได้อยากจำเรื่องนี้ก็เถอะ เทพบ้าอะไรเวลาสำคัญหายตัวไปทุกที!
“และขอให้ฝังฉันไว้ข้างวินสตัน” แมคเคย์ล่าพูดเสริมเสียงแผ่ว
“ได้…ฉันรับปาก…”
“เพียงเท่านี้พวกเราก็หมดห่วงแล้ว…”
เสียงของแมคเคย์ล่าดังแผ่วเบา เธอส่งยิ้มที่แสนอ่อนโยนที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ขณะที่มือของเธอยังกุมมือวินสตันแน่น วินสตันหันมาสบตากับเธอในสายตาคู่นั้นยังคงเปี่ยมไปด้วยคำสัญญาโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมา ทั้งสองค่อย ๆ หลับตาลงพร้อมกันเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนสงบตลอดกาล มือของพวกเขากุมกันไว้แน่นจวบจนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่มีสิ่งใดสามารถพรากพวกเขาออกจากกันได้อีกต่อไป
บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าโศก เอโลอิสเงยหน้าขึ้นสายตาของเธอเปี่ยมไปด้วยความเสียใจและความรู้สึกผิดที่ไม่อาจปกป้องพวกเขาไว้ได้ เธอหันมองไปรอบ ๆ รู้สึกแปลกประหลาดราวกับว่ามีใครกำลังแอบจ้องมองอยู่ เมื่อเธอหันไปมองยังจุดที่ความรู้สึกนั้นนำพา สายตาของเธอพลันสบเข้ากับร่างของชายคนหนึ่งยืนอยู่ไกล ๆ…
เทพโดลอส…
เขายืนมองมาที่เธอ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ยากจะตีความ ก่อนที่รถตำรวจซึ่งแล่นเข้ามาพร้อมเสียงไซเรนจะขับผ่าน เอโลอิสกระพริบตาอีกครั้ง ร่างของเขาก็เลือนหายไปเหมือนกับภาพลวงตา
ไม่ช้ารถตำรวจหลายคันก็มาถึงที่เกิดเหตุตามสูตรละครไทยที่ตำรวจจะต้องมาตอนจบและช้าสุดเสมอ และคนเรียก 911 ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากผู้ดำเนินพิธีแต่งงานในตอนต้นนั่นแหละ นายพลที่ยังคงนั่งทรุดอยู่กลางลานพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิดถูกเจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมตัวโดยไม่ขัดขืน เขาเอาแต่พร่ำพูดคำว่าขอโทษไม่รู้กี่หนราวกับคนที่กำลังสติแตก เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นที่สถานที่ราชการท่ามกลางสายตาประชาชนมากมายทำให้มีพยานในที่เกิดเหตุเยอะเสียจนเขาคงไม่สามารถหลุดจากคดีนี้ได้แน่นอน และคงจะกลายเป็นข่าวดังของเมืองไปอีกหลายวัน…

ท้องฟ้าในยามบ่ายคล้อยดูอึมครึม เมฆหนาปกคลุมเหนือสุสานกว้างอันเงียบสงัด หลังจากการเสียชีวิตของแมคเคย์ล่าและวินสตันเพียงไม่กี่วัน ตอนนี้เดมิก็อดทั้งสามก็ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าหลุมศพของสองคู่รัก หลุมศพทั้งสองถูกจัดวางเคียงคู่กันอย่างสงบ ภายใต้การจัดการของคุณหญิงแอนเดอร์สัน ผู้ที่ใส่ใจในรายละเอียดเพื่อให้ทั้งคู่ได้อยู่ร่วมกันแม้ในวาระสุดท้าย ช่อดอกไม้สดหลากสีถูกวางประดับประดารอบหลุมศพ
เอโลอิสจัดการวางช่อดอกลิลลี่สีขาวสองช่อลงกลางหลุมศพทีละหลุม ตามด้วยอีธานและการ์เซียที่ทยอยวางช่อดอกไม้ของตนเช่นกัน ขณะที่พวกเขากำลังยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัย จู่ ๆ ก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
“พวกเธอรู้สึกเหมือนฉันไหม?” การ์เซียถามเสียงเบามือของเธอจับด้ามดาบไว้เตรียมพร้อมจะชักออกมาทุกเมื่อ
“เหมือนมีใครกำลังจ้องมองเราอยู่” เอโลอิสก็รู้สึกไม่ต่างจากการ์เซีย
ไม่ไกลจากพวกเขาคือสัปเหร่อที่ยืนดูแลหลุมศพ เขาจ้องมองมาที่เดมิก็อดทั้งสามก่อนจะแสยะยิ้มเล็กน้อย ทันใดนั้นร่างของเขาก็เริ่มบิดเบี้ยว เสื้อผ้าขาดวิ่น จนเผยโฉมแท้จริงว่านี่คือแม่มดดำที่แปลงกายมา
"กลิ่นเดมิก็อดช่างหอมหวนชวนรับประทานเสียเหลือเกิน..."
แม่มดดำกล่าวพร้อมหัวเราะเสียงแหลม มันพุ่งเข้าหาเดมิก็อดทั้งสามด้วยความรวดเร็ว เอโลอิสถอยหลังอย่างรวดเร็วเพื่อตั้งหลักก่อนคว้าคันธนูของตนเองขึ้นมา ง้างมันออกไปหมายจะให้พุ่งใส่แม่มดดำ ทว่าพลาดเป้า อีธานเริ่มบุกโจมตีด้วยมีดของเขาบ้างแต่แม่มดดำกลับหลบได้ทุกดอก
"ระวังข้างหลัง!"
การ์เซียร้องเตือน แต่ไม่ทันเสียแล้วมือของแม่มดดำที่โผล่ขึ้นจากพื้นคว้าข้อเท้าของอีธานไว้ ก่อนที่เธอจะพยายามลากอีธานลงไปใต้ดิน เอโลอิสตัดสินใจใช้ทักษะที่เธอมีง้างลูกศรขึ้นและพุ่งไปปักเข้าที่มือของแม่มดดำได้สำเร็จ มันกรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยวและปล่อยอีธานในทันที การ์เซียไม่รอช้าฟาดดาบลงไปเต็มแรงไปที่บางส่วนของร่างกายแม่มดจนทำให้มันบาดเจ็บหนัก
"ดีมากการ์เซีย! ฉันจะจบเรื่องนี้เอง!"
เอโลอิสตะโกนพร้อมหยิบลูกศรสุดท้ายขึ้นมา ดึงคันธนูจนสุดก่อนจะปล่อยออกไป มันพุ่งเข้ากลางอกแม่มดดำพร้อมพลังที่ทำให้ร่างของมันแหลกสลายเป็นละอองสีทอง
“ยอดเยี่ยม ทุกคนเก่งมาก!”
เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมการปรากฏกายของเทพโดลอส ท่าทางของเขาดูสบาย ๆ ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวล
“ทำไมไม่โผล่มาตอนกลับค่ายฮาล์ฟบลัดเลยล่ะคะ? หายไปตั้งแต่เกิดการระดมยิงวันนั้นแล้วก็ไม่โผล่มาเลย” เอโลอิสเอ่ยพร้อมสีหน้าหงุดหงิด
“ถ้าข้าไม่หายไปจะได้เห็นละครฉากใหญ่เช่นนี้หรือ? อีกอย่างใครว่าข้าไม่โผล่หัว ข้าก็อยู่ที่นั่นตลอด…รับรู้ทุกเหตุการณ์…” เทพโดลอสเน้นคำพูดตอนท้ายราวกับตั้งใจให้ทุกคนจับสังเกต
“หมายความว่ายังไงคะ?” การ์เซียถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“หมายความว่าแบบนั้นแหละ” โดลอสตอบพลางยักไหล่
“อย่าบอกนะว่าเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนั้นเป็นฝีมือของท่าน?” เอโลอิสหรี่ตาอย่างจับผิด
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะสาวน้อย ข้าก็แค่ยื่นมือเข้าไปเล็กน้อยเห็นว่าเจ้าสาวกำลังจะแต่งงานก็เลยส่งการ์ดเชิญไปให้พ่อเจ้าสาวเสียหน่อย ทำไม่ถูกตรงไหน?” สีหน้าของเทพโดลอสดูยียวนกวนประสาทมาก เขาไม่ได้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำเลยแม้แต่น้อย
“แต่นี่มันทำคนตายทั้งคนเลยนะคะ” เอโลอิสกัดฟันพูด
“ฆ่า? ใครว่าข้าเป็นคนฆ่า? พะยูนไม่ได้ฆ่า…” โดลอสตอบพลางยักไหล่อีกครั้ง “พวกมนุษย์น่ะฆ่าแกงกันเอง พอโดนปั่นหัวนิดหน่อยก็ใส่กันยับ ข้าเองก็มีหน้าที่แค่ถือป๊อบคอร์นกับโค้กแก้วใหญ่แล้วนั่งดูละครฉากใหญ่นี้เท่านั้น”
“ท่านทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน?” เอโลอิสถามอย่างต้องการคำตอบ
“ไม่รู้สิ…” โดลอสลากเสียงยาวอย่างจงใจ “แก้เผ็ดมั้ง?”
“เรื่องที่หนูถีบน่ะเหรอ? ขอโทษก็แล้ว เอาอกเอาใจก็แล้ว ทำไมยังไม่หายโกรธอีกคะ? แล้วก็พวกเขาไม่เกี่ยวอะไรด้วยทำไมถึงไปลงกับพวกเขา” เอโลอิสยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงต้องไปลงกับผู้ที่ไม่รู้เรื่องด้วย ทั้งที่คนที่ถีบเขาก็มีแต่เธอคนเดียวแท้ ๆ
“เกี่ยวสิ” โดลอสตอบพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ “จะไม่เกี่ยวได้ไงในเมื่อพวกเขาคือสาเหตุที่พวกเจ้าบุกไปคฤหาสน์ในวันนั้น พอพวกเจ้าบุกไปก็เจอกับข้า พอเจอข้าเจ้าก็ถีบข้า…เห็นมั้ย? มันเกี่ยวกับพวกเขาเห็น ๆ อีกอย่างเจ้านายพลบ้านั่นคิดจะจับข้าไปนั่งยาง ตอนนี้ก็เตรียมไปกินข้าวแดงในคุกแล้ว…ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งหลายตัว ปิ้ว ๆ ๆ” เทพโดลอสพูดจบก็ทำท่ายิงปืนประกอบอย่างอารมณ์ดี
“ถ้าเช่นนั้นหากเจ้าจะโทษต้นเหตุที่แท้จริงก็คงโทษข้าด้วยใช่หรือไม่?”
เสียงที่นุ่มนวลอันทรงสเน่ห์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบชั่วขณะ ก่อนที่ร่างของเทพีอะโฟร์ไดท์จะปรากฏขึ้น ร่างของนางงดงามจนทุกสายตาไม่อาจละไปได้
“อุ๊ปส์! ดูเหมือนจะมีแขกมาเพิ่มนะ” โดลอสพูดขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสนุกสนาน
“ข้าเป็นผู้มอบภารกิจให้เหล่าเดมิก็อดกลุ่มนี้เอง เหตุใดแค่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จึงทำให้เจ้ายุยงให้มนุษย์ฆ่าแกงกันเอง” เทพีอะโฟร์ไดท์ปรายตามองเทพโดลอสด้วยสายตาเชิงตำหนิ
“ทำมาเป็นพูด…ทีเจ้าล่ะ แค่แย่งแอปเปิ้ลลูกเดียวเจ้ายังทำให้เกิดสงครามกรุงทรอย หนักกว่าข้าตั้งเยอะ” พอได้ทีเทพโดลอสก็ขุดเรื่องราวในอดีตขึ้นมาแซะ คำพูดนั้นทำให้เทพีอะโฟร์ไดท์นิ่งไปชั่วขณะ
“เจ้านี่นะ!”
“หมดเวลาสนุกแล้วสิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ” เทพโดลอสหัวเราะร่าพร้อมทำท่าราวกับกำลังจะโค้งคำนับ ก่อนที่ร่างของเขาจะเลือนหายไปในพริบตา ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะสะท้อนเบา ๆ ในอากาศ
“เทพติงต๊อง…” เทพีอะโฟร์ไดท์พึมพำเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจพร้อมกับมองไปที่จุดที่เทพโดลอสหายตัวไป
“อันที่จริงมันก็เป็นความผิดของหนูเองค่ะที่ทำให้เทพโดลอสไม่พอใจจนทำให้เกิดความสูญเสียเช่นนี้” เอโลอิสเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก เมื่อไม่รู้ย่อมไม่ผิด อีกอย่างต่อให้เจ้าไม่ถีบเขา เขาก็หาข้ออ้างมาปั่นหัวพวกมนุษย์อยู่ดี โลกใบนี้ก็เหมือนกับสนามเด็กเล่นของเขา”
“ทั้งที่ท่านมอบภารกิจนี้มาให้หนูแท้ ๆ” เอโลอิสพูดพร้อมก้มหน้ามองพื้น
“เจ้าอย่าได้ห่วง ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อมารับดวงวิญญาณของพวกเขาไปสู่ดินแดนแห่งความรัก พวกเจ้าทำให้คู่รักได้มีช่วงเวลาดี ๆ ที่มีความสุขก่อนจะถึงวาระสุดท้าย นั่นคือสิ่งที่สำคัญกว่า ข้าขอขอบคุณพวกเจ้า”
ดวงวิญญาณสองดวงลอยขึ้นจากบริเวณหลุมศพของแมคเคย์ล่าและวินสตัน ท่ามกลางความเงียบสงัดในสุสาน แสงสองดวงค่อย ๆ รวมตัวกันเป็นร่างของทั้งสองคนที่ยืนเคียงข้างกัน แม้จะเป็นแค่ภาพร่างของวิญญาณ แต่ท่าทีของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความรักและสันติสุข
“ฉันขอบคุณทุกคนจากใจจริง พวกเราจะไปที่นั่นไม่ได้เลยถ้าไม่มีพวกเธอช่วยไว้” แมคเคย์ล่ายิ้มบาง ๆ พร้อมกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณพวกคุณจริง พวกคุณช่วยเราไว้มากเลย” วินสตันกล่าวเสริม เสียงของเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและยินดียิ่ง
ทั้งคู่กุมมือกันแล้วหันไปมองเทพีอะโฟร์ไดท์ที่ยืนรออยู่ไม่ไกล ใบหน้าของทั้งคู่ดูมีความสุข พวกเขาค่อย ๆ เดินไปยังจุดที่เทพีอะโฟร์ไดท์รออยู่
“ถึงเวลาแล้วล่ะ”
เทพีอะโฟร์ไดท์กล่าวด้วยน้ำเสียงอันแสนอ่อนโยน ดวงวิญญาณของแมคเคย์ล่าและวินสตันจับมือกันแน่น และเดินตามเทพีอะโฟรไดท์ไปอย่างสงบ ก่อนที่ทั้งสามจะหายไปในแสงสว่างที่เจิดจ้า ดวงวิญญาณของพวกเขาลอยขึ้นไปในท้องฟ้าสู่ดินแดนแห่งความรักที่แสนอบอุ่นและสงบสุข
“แมคเคย์ล่า วินสตัน โชคดีน้าาาาา!!!” เอโลอิสป้องปากตะโกนออกไป เธอโบกมือให้คดวงวิญญาณของคู่รักทั้งสอง สายตาของเธอเต็มไปด้วยความทรงจำที่ยังคงอยู่ในใจ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว ทั้งสามคนยืนโบกมือส่งดวงวิญญาณของทั้งสองจนหายลับไป
“คงถึงเวลาที่พวกเราต้องกลับแล้วล่ะ” การ์เซียเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณพวกเธอมากที่มาช่วยฉันทำภารกิจนี้” เอโลอิสหันไปขอบคุณเพื่อนร่วมภารกิจของเธอ
“ขอบคุณเช่นกันเป็นประสบการณ์ที่ดีนะแม้ตอนสุดท้ายจะเศร้าไปหน่อยแต่พอรู้ว่าพวกเขาได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในท้ายที่สุด ก็สบายใจขึ้นเยอะ” อีธานกล่าว
ทั้งสามคนเดินเคียงข้างกันออกจากสุสานเพื่อเตรียมตัวกลับไปยังค่ายฮาล์ฟบลัด ประสบการณ์การเดินทางในครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่บทเรียนของชีวิต แต่ยังเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเข้าใจความหมายของความรักและความเสียสละมากขึ้นกว่าเดิม เรื่องราวความรักของแมคเคย์ล่าและวินสตันคงจะอยู่ในความทรงจำของเหล่าเดมิก็อดไปอีกนานแสนนาน แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดก็ตาม….

(ครั้งแรก) +2 ตื่นรู้
สินสงคราม: น้ำยาเวทมนต์
รางวัล:
+2 level up ,+40 ดรักม่า และ กุหลาบทอง 3 ดอก
และ 150 เกียรติยศ และ ศรัทธา , 50 ความกล้า
ได้รับความโปรดปรานจากเทพีอะโฟร์ไดต์ +35 แต้ม
HEROES [วีรบุรุษผู้โปรดปราน] โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+25
ทำภารกิจเดินทางทวยเทพสำเร็จ ได้โบนัสความโปรดปรานหัวใจ 1 ดวง - +5 Point