[รัฐเท็กซัส] บ้านเลขที่ 252 ถนนเอนคานโตครีก ซานอันโตนิโอ

[คัดลอกลิงก์]

หากท่านเป็นกึ่งเทพผู้หลงทาง สามารถสมัครสมาชิกเข้าร่วมกับเราได้ที่นี่ https://t.me/+etLqVX17bGg5ZjBl

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×


1st Floor

ห้องรับแขก + ห้องรับประทานอาหาร


ห้องน้ำ ชั้น 1

ห้องครัว


ห้องนอนแขก

สวนหลังบ้าน


โรงรถ + เวิร์คช็อป
2nd Floor

ห้องนอนหลัก (โดนัลด์ + ไมค์)


ห้องน้ำในห้องนอนหลัก

ห้องของมาเรียนน่า


ห้องของดีน

ห้องน้ำ ชั้น 2


โถงทางเดิน ชั้น 2
Attic
ห้องเก็บของใต้หลังคา


≪ คลิกที่บ้านเพื่อเยี่ยมชมห้องต่าง ๆ



บ้านเลขที่ 252
ถนนเอนคานโตครีก

ซานอันโตนิโอ เท็กซัส สหรัฐอเมริกา


บ้านเดี่ยวสีส้มอิฐที่ตั้งอยู่บนถนนเอนคานโตครีก

ชานเมืองตอนเหนือของเมืองซานอันโตนิโอ

ที่อยู่อาศัยอันอบอุ่นของครอบครัวนีล และอัลวาเรซ

บริเวณหน้าบ้านปลูกส้มเท็กซัส

ที่จะออกผลช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงไปจนถึงปลายฤดูหนาว



≪สมาชิกตามทะเบียนบ้าน≫



1. ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล

2. โดนัลด์ นีล

3. ไมค์ จอห์นสัน

4. มาเรียนน่า คามิลล่า อัลวาเรซ




≪ความเป็นมาของบ้าน≫


เดิมทีครอบครัวของดีนมีฐานะไม่ดีนัก ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และคุณลุงล้วนแต่เป็นชนชั้นแรงงาน ทั้ง 4 ชีวิตอาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ให้เช่าสุดแคบ และใช้ขนส่งสาธารณะในชีวิตประจำวัน


ไมค์ จอห์นสัน ชื่นชอบการเสี่ยงดวงเป็นชีวิตจิตใจ วันหนึ่งเขาได้ลองให้ ดีน หลานชายสุดที่รักวัย 10 ขวบ ขูดใบล็อตโต้ที่ซื้อเป็นประจำ
ปรากฎว่าดีนเป็นตัวนำโชคขูดเลขล็อตโต้ได้รางวัลใหญ่ สถานะทางการเงินของครอบครัวจึงเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือ


โดนัลด์ และไมค์ ลาออกจากการเป็นพนักงานประจำโรงงานอาหารกระป๋อง นำเงินที่ได้เซ้งร้านตัดผมชายในตัวเมือง และมีเงินส่วนที่เหลือรวมเงินเก็บของ มาเรียนน่า ผู้เป็นแม่ของดีน มาซื้อบ้านพักที่แถบชานเมืองซานอันโตนิโอ และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


เมื่อดีนอายุได้ 20 ปี

ครอบครัวถึงได้เปลี่ยนชื่อเจ้าบ้านเป็น ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล
ในฐานะที่เขาเป็นเด็กนำโชคและสร้อยทองคล้องใจของครอบครัว








แสดงความคิดเห็น

God
โพสต์ 17146 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-10-30 15:52
โพสต์ 2024-11-26 01:07:33 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2024-11-26 01:10

232
บ้านส้มแสนรัก

               3/11/2024 - 8.00 น.~

               เข้าสู่วันที่สามของการเดินทางโดยรถไฟอันแสนยาวนาน ดีนตื่นขึ้นมาช่วงสายด้วยอาการปวดศีรษะจากที่ดื่มไปเมื่อคืน เขาหยิบเสื้อผ้าที่กองมั่วบนพื้นขึ้นมาสวมใส่ลวก ๆ รู้สึกว่าเสื้อจะเป็นของแมคเคนซี.. แต่ช่างมันเถอะ

               ตอนนี้พวกเขาถึงไหนกันแล้วนะ

               หนุ่มผิวเข้มเยื้องย่างไปแง้มม่านหน้าต่างรถไฟเปิดออก ภาพเบื้องหน้าคือผืนน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาจากความงดงามตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มแทบจะลืมอาการปวดหัวไปในทันที บางทีตอนนี้อาจอยู่รอยต่อแถว ๆ รัฐลุยเซียนาและนิวออร์ลีนส์ ส่วนวิวนี้ถ้าไม่ใช่ทะเลสาบพอนชาร์เทรนก็น่าจะเป็นทะเลสาบบอร์กนีนี่แหล่ะ

               ดีนไม่ลืมที่จะเรียกคนรักให้ชมวิวทะเลสาบที่สะท้อนแดดจนเป็นประกายระยิบระยับนี้ด้วยกัน

               “แมคซี่ ๆ ตื่นมาดูวิวนี่สิ!” เขย่าปลุกอีกฝ่ายราวกับหมาตัวใหญ่ปลุกเจ้าของในตอนเช้าก็ไม่ปาน

               @Mackenzie

               “คงจะนิวออร์ลีนส์มั้ง ฉันดูข้อมูลมาว่าเราได้นั่งรถไฟผ่านทะเลสาบพอนชาร์เทรนด้วย ถือเป็นวิวไฮไลท์เลย ดูสิ เหมือนกับว่ารถไฟกำลังวิ่งบนน้ำเลยนายว่าไหม”

               ริมฝีปากคลี่ยิ้มเมื่อมองวิวตรงหน้า เป็นไฮไลท์ที่งามสมราคาคุยจริง ๆ พอนึกได้ชายหนุ่มก็หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเก็บภาพวีดีโอที่รถไฟวิ่งผ่านทะเลสาบสักหน่อย ไม่รู้ว่าตอนขากลับพวกเขาจะได้ผ่านตรงนี้อีกครั้งกี่โมง ถ้าตอนนั้นหลับไปแล้วมีหวังได้อดเก็บภาพสวย ๆ เอาไว้แน่ ๆ

               กว่าที่รถไฟจะข้ามสะพานมาได้ก็ถือว่านานเลยทีเดียวจนทำเอาอยากรู้เลยว่าสะพานข้ามทะเลสาบดังกล่าวยาวติดอันดับโลกหรือเปล่านะ แต่ที่แน่ ๆ นี่น่าจะเป็นการนั่งรถไฟข้ามทะเลสาบที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของเขาเลยล่ะ

               หลังจากชมวิวกันอยู่พักหนึ่งท้องก็เริ่มส่งเสียง เริ่มจากท้องของเจ้าออมเล็ตเป็นตัวแรก ทั้งสองจึงตกลงกันว่าจัดการธุระยามเช้ากันเถอะแล้วไปหาอะไรกินกัน ซึ่งอาหารเช้าก็ทั่ว ๆ ไป ไม่ได้หรูหราอย่างมื้อค่ำเมื่อคืนอีกแล้ว รวมถึงมื้อกลางวันก็เช่นกัน การใช้ชีวิตบนรถไฟสาธารณะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั่ง ๆ นอน ๆ ชมวิวแล้วก็จกพุงสิงโต

               .
               .
               .

               18.45 น.

               จนเวลาผ่านเลยมาจนถึงช่วงเย็นที่ตะวันไม่ยอมตกเสียทีพวกเขาก็เดินทางกันมาถึงสถานีรถไฟซานอันโตนีโอ โหลดกระเป๋าลงจากนั้นก็ได้โบกมือบ๊ายบายรถไฟแอมแทรกสายอีเกิลเท็กซัส

               แล้วค่อยพบกันใหม่ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า

               @Mackenzie

               “คิดว่านะ แต่ตั้งแต่ไปอยู่นิวยอร์กฉันก็ไม่ได้กลับบ้านเลย มีครั้งล่าสุดก็ตอนที่ทำภารกิจเดินทางแล้วมาแวะนอนบ้านหนึ่งคืน ก็แบบว่านะ.. ฉันกลัวเครื่องบินอ่ะ แต่ก็คิดจะนั่งบัสหรือรถไฟกลับอยู่ ติดก็แต่ตอนปิดเทอมฉันชอบมีกิเลสให้เสียเงินอยู่เรื่อยเลยเอาแต่ทำงานที่ร้านน่ะ”

               นอกจากกิเลสแล้วยังติดเที่ยว เงินที่หามาได้ก็หมดไปกับส่วนนั้นจนไม่ได้กลับบ้านกลับช่องเสียที แต่ที่บ้านก็จะมีแวะมาหาบ้างปีละครั้งสองครั้ง ดีนได้เจอแม่บ่อยกว่าเพราะงานของแม่มีมาที่นิวยอร์กบ่อย ส่วนพ่อกับลุงมักจะขับรถกันมาในช่วงวันหยุดยาวถือว่าปิดร้านเที่ยวรายทางระหว่างซานอันโตนิโอมาจนถึงนิวยอร์กก็ว่าได้ อาจคล้ายดีนและแมคตอนไปเที่ยวไทยแบบที่ค่ำไหนก็นอนที่นั่น

               “แต่พอนายไปที่บ้านฉันแล้วจะไม่เบื่อ ก่อนอื่นก็ต้องไปหาบัสขึ้นกันตรงนั้น”

               กล่าวจบดีนก็พาแมคเคนซีเดินไปที่ป้ายรถประจำทางที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ แต่เพียงแค่ก้าวขาออกมาจากประตูสถานีรถไฟซานอันโตนีโอชายหนุ่มก็เห็นลุงหนวดสองคนยืนถือป้าย ‘ต้อนรับกลับบ้าน ดีน และ แมคเคนซี’ ตัวเบ้อเร่อ เห็นแล้วทั้งเขินแล้วก็ทั้งดีใจ เพราะว่ามันเด่นสะดุดตาสุด ๆ ไปเลยยังไงล่ะ

               “ให้ตายสิ นั่นพ่อกับลุงฉัน ไปกันแมคซี่”

               ชายหนุ่มลากกระเป๋าก้าวขาไว ๆ ไปทางลุงหนวดสองคนที่รอต้อนรับ เมื่อเจอหน้าทั้งสามก็สวมกอดกันด้วยความคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันนาน

               “พ่อ ลุง ไหงมาอยู่ตรงนี้ได้ ยังไม่ได้เวลาปิดร้านเลยนี่นา”
               “ลูกชายกลับบ้านทั้งทีก็ต้องปิดร้านไวหน่อยสิ พ่อเตรียมมื้อเย็นไว้ที่บ้านด้วยยังไม่ได้กินอะไรกันมาใช่ไหมล่ะ?”

               โดนัลด์พ่อของดีนเป็นชายผิวขาววัยกลางคนร่างท้วมแต่ก็ดูมีกล้ามเนื้อและแข็งแรงดี แม้ใบหน้าจะปกคลุมไปด้วยเคราแต่แววตาของเขาบ่งบอกได้เลยว่าเป็นคนใจดี

               “ยังเลย แหมพ่อนี่รู้ใจจัง แต่ถ้ารีบปิดร้านมาเตรียมมื้อเย็นไว้ก่อนแบบนี้” ดีนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้อยู่ราว ๆ หกโมงครึ่ง กว่าจะขับรถกลับไปทำอาหารที่บ้านแล้วมารอต้อนรับที่สถานีรถไฟอีก ถ้าไม่เปิดร้านแค่ครึ่งวันก็น่าจะไม่เปิดเลยทั้งวัน ซึ่งน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า “เฮ้! พ่อกับลุงโดดงานกันนี่นา”

               “ปิดร้านสักวันมันจะเป็นอะไรไป” อีกคนที่อยู่ข้าง ๆ พ่อคือลุงไมค์เป็นคนตอบ เขาเป็นชาวอเมริกันผิวขาวเช่นเดียวกัน ทว่าเป็นคนรูปร่างสูงเพรียวดูดี หนวดเคราจัดแต่งได้รูปดูออกได้ทันทีว่าตอนหนุ่ม ๆ เป็นคนหล่อเหลา เขาแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก็อต กางเกงยีนส์ และสวมหมวกคาวบอยที่ดูแล้วเท็กซั๊สเท็กซัส “แล้วนั่น จะไม่แนะนำแฟนให้พวกพ่อรู้จักอย่างเป็นทางการเหรอดีน”

               “โอ้ ต้องแนะนำสิครับ” ดีนขยับออกมายืนอยู่ข้าง ๆ แมคเคนซี พอถึงเวลาแนะนำครอบครัวให้อีกฝ่ายรู้จักมันก็ประหม่านิดหน่อยเหมือนมีคนคอยจะมาจี้เอวยังไงก็ไม่รู้ “นี่แมคซี่ครับ แฟนสุดหล่อของผมเอง ส่วนนี่พ่อของฉันชื่อโดนัลด์ กับลุงไมค์ แอดเฟซบุ๊กกันแล้วนี่ น่าจะรู้จักกันแล้วใช่ไหมล่ะ”

               @Mackenzie

               “ยินดีที่ได้รู้จักนะแมค อยู่บ้านเราก็ไม่ต้องเกรงใจ…” พ่อโดนัลด์พูดยังไม่ทันจบเสียงหนึ่งก็ดังแทรก

               โครกกกกก

               เสียงท้องร้องดังออกมาจากใครสักคน เรียกเสียงหัวเราะออกมาจากผู้ใหญ่ทั้งสอง ลุงไมค์เข้ามาล็อกคอดีนพร้อมกับตบไหล่หลานชายตุ้บ ๆ

               “โธ่เอ๊ย หิวแล้วก็ไม่บอก ป่ะ งั้นกลับบ้านกันดีกว่า”

               “เฮ้ ไม่ใช่ผมนะ” ดีนรีบโวยวาย ถึงจะหิวก็เถอะแต่ใครจะปล่อยให้ท้องร้องโครกครากต่อหน้าแฟนกันล่ะ!

               โครกกกก จ๊อกกก

               เสียงท้องร้องดังขึ้นมาอีกที คราวนี้จับต้นเสียงได้ มันมาจากกระเป๋าสัตว์เลี้ยงที่ดีนเทินไว้บนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อีกทีนึง

               “เสียงแกนี่เอง หิวแล้วล่ะสิเนี่ย”

               “อ๊าววว” ออมเล็ตส่งเสียงเล็ก ๆ ออกมา มันมองคนที่ไม่รู้จักซ้ายทีขวาทีผ่านผ้าตาข่าย สีหน้าดูกลัว ๆ นิดหน่อยเลยไม่กล้าส่งเสียงดังออกมามาก

               “โอ้ น้องหมาตัวใหม่ ดีนพามาด้วยสิเนี่ย” พ่อเดินเข้าไปหาออมเล็ตที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์เลี้ยงพลางทำเสียงสองอย่างเอ็นดูเจ้าตัวเล็ก “พันธุ์อะไรน่ะดีน เชาเชา?”

               “อ้อ… ใช่ครับ ชื่อออมเล็ต” ดีนยิ้มอย่างมีพิรุธ เขาเลือกที่ยังไม่บอกความจริงกับพ่อและลุงดีกว่า ทั้งสองอาจจะไม่สนิทใจหากรู้ว่ามีลูกสิงโตอยู่ในบ้าน ถึงเจ้าไข่เหลืองมันจะเชื่องแสนเชื่องก็เถอะ …..มั้ง “งั้นไปกันเถอะพ่อ ถึงบ้านจะได้ให้อาหารออมเล็ตมัน”

               หลังจากนั้นพวกเขาก็พากันไปขึ้นรถกระบะ โหลดกระเป๋าขึ้นด้านหลังส่วนดีนและแมคเคนซีต้องเข้าไปนั่งในแคปด้านหลัง แต่พอปีนขึ้นไปบนรถ ภาพที่เห็นทำเอาดีนชะงักไปเมื่อเห็นสิ่งที่นอนอยู่เบาะหลัง

               “ลุงไมค์ จะให้เอาปืนไว้ตรงไหนเนี่ย”

               ใช่ มันคือปืน… ปืนช็อตกันถูกวางไว้อยู่บนแคปหลังอย่างโจ่งแจ้งจนอยากจะมองแรงใส่ ที่เท็กซัสการพกปืนที่มีทะเบียนเป็นเรื่องถูกกฎหมาย แต่ลุงเล่นวางปืนไว้แบบนี้ขืนมีคนไม่ดีทุบกระจกรถแล้วขโมยเอาปืนไปปล้นร้านที่ไหนก็แย่น่ะสิ

               “โอ้ โทษที เดี๋ยวลุงเก็บให้เดี๋ยวนี้แหล่ะ พอดีว่ารีบมารับหลานรักก็เลยลืมเก็บดี ๆ” ลุงไมค์รีบเอาปืนไปเก็บใต้เบาะดี ๆ ก่อนจะผายมือให้ทั้งหลานสองขึ้นไปนั่งได้เลย

               “ไม่ต้องแก้ตัวเลยนะไมค์” พ่อโดนัลด์ยืนเท้าเอวทำสีหน้าตำหนิ ก่อนจะหันไปยิ้มแห้งให้แมคเคนซี “คงตกใจสินะ เท็กซัสมันก็.. แบบนี้แหล่ะ แดนคนเถื่อน”

               ลูกชายของบ้านได้แต่ยิ้มเฝื่อนแล้วก็ส่ายหน้า จำได้ว่าครั้งแรกที่เขาบอกคนรักว่าเป็นชาวเท็กซัส อีกฝ่ายมีภาพจำว่าเป็นเมืองที่สนุกสนานเต็มไปด้วยสีสันสไตล์เม็กซิกัน ซึ่งมัน… ก็สนุกตอนที่มีงานเทศกาลนั่นแหล่ะ แต่อาชญากรรมก็เกิดขึ้นสูงตามไปด้วย

               “ไม่ต้องตกใจนะแมคซี่ เดี๋ยวคืนนี้ฉันปลอบขวัญให้” เข้าไปกระซิบขยิบตาบอกแฟนหนุ่มชาวอังกฤษ ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนแคปรถหลังจากที่ลุงเอาปืนไปเก็บเรียบร้อย เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ ก็คิดว่านั่งสบายอยู่นะ แต่พอโตตัวเท่านี้ทุกอย่างมันน่าอึดอัดไปหมดจนแทบจะต้องงอเข่าขึ้นมา

               ลุงไมค์เป็นคนขับรถ แล้วพอรถเริ่มขับออกไปพ่อก็เปิดประเด็นทันที

               “เมื่อไรโลกจะกลับมาเป็นปกตินะ สงสัยปีนี้หิมะไม่ตกแน่ ๆ” โดนัลด์กล่าว เขาเว้นช่วงไปนิดนึงก่อนถามต่อ “เห็นแม่ของลูกบอกว่าเกิดจากเทพกรีก มันจะเป็นแบบนี้อีกนานไหม?”

               ดีนหันไปมองแมคเคนซีที่ขึ้นมานั่งเบาะหลังข้าง ๆ กัน เอาจริงดีนยังไม่รู้เลยว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่ จะเป็นเทพอะพอลโล่เล่นสนุกอย่างที่พ่อพูด หรือเกิดอะไรขึ้นกับเทพแห่งกลางคืนจนรัตติกาลสูญหายไป

               “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่าจะเป็นแบบนั้นนะครับ แค่หวังว่าจะไม่เป็นแบบในก็อดออฟวอร์”

               พอคิดว่าเป็นแบบในเกมก็ได้แต่แค่นยิ้มที่มุมปาก มีใครสักคนสังหารเทพแล้วหลังจากนั้นธรรมชาติก็วิบัติ มีฉากหนึ่งที่โพไซดอนถูกฆ่าจากนั้นน้ำก็ท่วมโลก…

               “ถ้ามองถึงข้อดีมันก็พอมีอยู่ เช่น.. เดือนที่แล้วค่าไฟลดลงตั้งครึ่งนึง แถมกุ๊ยแถวร้านที่ชอบมามั่วสุมกันตอนกลางคืนก็หายไปด้วย”

               “หืม.. มีข้อดีแบบนั้นด้วยสินะ”

               ดีนไม่ได้อ่านข่าวเลยไม่รู้ว่าเกิดผลกระทบอะไรยังไงบ้าง เขาได้แต่คาดการณ์ผลกระทบตามความรู้ที่เรียนมา แล้วคาดหวังว่าจะมีเดมิก็อดสักคนไปรับคำทำนาย ค่ายฮาล์ฟบลัดมีคนเก่งตั้งหลายคนมันต้องมีสักคนสิน่า

               @Mackenzie

               รถกระบะเคลื่อนตัวไปทางทิศเหนือของเมืองซานอันโตนิโอ ละแวกตั้งของบ้านดีนอยู่ในเขตนอร์ทเซ็นทรัลซานอันโตนิโอ ซึ่งเป็นย่านที่ผสมผสานระหว่างที่พักอาศัยและแหล่งเศรษฐกิจต่าง ๆ ระหว่างทางดีนก็แนะนำสถานที่ให้แมคเคนซีรู้จักด้วย

               “ข้างหน้าคือสโตนโอ๊ค เป็นย่านที่พักอาศัยสุดไฮโซล่ะ”

               หากมองไปข้างหน้าจะเห็นป้ายหินขนาดใหญ่สลักตัวหนังสือหรูหรา และต้นปาล์มที่ถูกปลูกสองข้างทางเรียงรายไปตามข้างและเกาะกลางถนนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยราวกับเป็นพนักงานต้อนรับ ถ้ามองดี ๆ จะเห็นรั้วบ้านใหญ่โตหรูหราอยู่ลิบตา  ทว่ารถที่พวกนั่งอยู่กลับเลี้ยวขวาก่อนถึงป้าย ‘สโตนโอ๊ค’ เพียงแค่นิดเดียว จากนั้นยานพาหนะพาไต่ขึ้นเนินสูง ภาพของย่านหรูหราห่างไกลออกไปเห็นแต่เพียงวิวข้างทางที่ออกจะชนบทเสียเหลือเกิน

               ป้าย ‘เอนคานโต้ ครีก’ ตั้งอยู่ด้านหน้า เป็นป้ายเล็ก ๆ ไร้ความหรูหรา ดูธรรมดาเหมือนป้ายบอกทางของรัฐทั่วไปทว่าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ภาพของบ้านเรือนเลื่อนผ่านเข้ามาทั้งสองข้างทาง เป็นบ้านของชนชั้นกลางธรรมด๊าธรรมดาที่ถ้าบ้านไหนมีสระว่ายน้ำหลังบ้านจะถือว่าโดดเด่นที่สุดกว่าใครเพื่อน

               รถกระบะคันเก่าหักเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าโรงรถของบ้านสีอิฐหลังหนึ่งที่ด้านหน้าปลูกส้มเท็กซัสที่ ณ ตอนนี้กำลังออกผลสีส้มสุกปลั่งอยู่เต็มต้น พ่อกับลุงลงจากรถก็ช่วยสองหนุ่มจากแดนไกลขนกระเป๋าลงมาจากหลังรถกระบะ

               “โธ่พ่อ บริการอย่างกับผมตอนอายุสิบขวบที่ไปเข้าค่ายครั้งแรก แต่ก็ขอบคุณครับ”

               “เล็กน้อยน่า”

               ตอนเด็ก ๆ ที่ยังยกกระเป๋าเองไม่ไหวก็ได้พ่อหรือไม่ก็ลุงนี่แหล่ะที่คอยยกให้ แต่ว่าตอนนี้ดีนอายุยี่สิบสามปีแล้ว ถือว่าบรรลุนิติภาวะมาตั้งสามปีถือเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แต่ดูเหมือนว่าครอบครัวจะยังมองเขาเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ อยู่เสมอมา และคาดว่าน่าจะเผื่อแผ่สายตานั้นไปทางแมคเคนซีด้วย จะลากกระเป๋าเข้าบ้านก็ถูกสองคนนั้นฉวยไปอีกจนมือว่าง ดีนเลยเดินไปทางต้นส้มแทนที่จะตามพ่อกับลุงเข้าไปในบ้านแล้วเด็ดส้มลูกเขื่องมาด้วยสองลูก

               “ยินดีต้อนรับสู่บ้าน”

               หันไปยิ้มให้แมคเคนซีพร้อมกับโยนส้มลูกหนึ่งไปให้อีกฝ่ายเป็นเวลคัมกิฟต์

               @Mackenzie

               “ขอบคุณ”

               ยิ้มรับคำชม รู้สึกประหม่าเล็กน้อยที่ถูกคนบ้านใหญ่กว่ามาชมแบบนี้ แต่ดีนก็ชอบบ้านหลังนี้จริง ๆ แม้หลังจากนี้เขาอาจจะไม่ได้มาอยู่ก็ตาม

               “คงงั้นมั้ง แต่ฉันชอบส้มก่อนจะย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้อีก ส้มบ้านฉันปลูกเองไร้สารพิษ นายกินทั้งเปลือกเลยยังได้” เขาหัวเราะ มือใหญ่แกะเปลือกส้มออกไม่เหมือนอย่างที่พูด “ฉันล้อเล่น เปลือกมันไม่อร่อยหรอก อย่างน้อยก็ต้องเอาไปตากแห้งก่อนถึงค่อยกิน แต่ว่านึกถึงตอนเด็ก ๆ เลยแฮะ ช่วงฤดูร้อนเด็ก ๆ จะชอบออกมาตั้งแผงขายน้ำมะนาวหน้าบ้านกันใช่ไหม แต่ที่บ้านฉันขายน้ำส้มล่ะ คั้นสด ๆ จากต้นเลย โอ๊ะ! ฉันลืมไป เด็กอังกฤษทำแบบนั้นกันหรือเปล่านะ?”

               พูดจบก็มีเสียงแว่ว ๆ ดังออกมาจากในบ้าน

               “รอพ่ออุ่นอาหารสิบห้านาทีนะ พาแฟนไปเดินเล่นก่อนก็ได้”

               “ครับพ่อ” ดีนตะโกนตอบกลับไปก่อนจะหันกลับมาที่แมคเคนซี “พ่อบอกว่างั้นล่ะ ถ้างั้นเราเริ่มจากตรงไหนกันก่อนดี?”

               @Mackenzie

               “หืม งั้นเหรอ แต่ฉันก็พอเข้าใจ นายเป็นคุณหนูคงไม่ขายน้ำมะนาวหน้าบ้าน”
               
               ส่งกลีบส้มเข้าปาก ลิ้มรสชาติอันคุ้นเคยจนยิ้มตาหยี น่าเสียดายอยู่ถ้าเขาย้ายไปอยู่อังกฤษคงไม่ได้กินผลจากส้มต้นนี้ ครั้นจะให้พ่อส่งไปให้ก็ไม่รู้จะเน่าเสียก่อนหรือเปล่า

               “ถ้างั้นเริ่มจากที่มาของบ้านก่อนดีกว่า เมื่อก่อนบ้านฉันฐานะแย่กว่านี้มาก ต้องอยู่ห้องเช่าแคบ ๆ ใกล้โรงงานในแถบอีสต์ไซด์ แต่วันนึงลุงไมค์ดันถูกล็อตโต้รางวัลใหญ่ พวกเราก็เลยได้ย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่ ตอนนั้นฉันอายุสิบขวบมั้งยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรแต่ก็ดีใจที่มีห้องส่วนตัว ตอนแรกที่บ้านยังไม่มีส้มล่ะ แต่ว่าญาติของพ่อที่ริโอแกรนด์วัลเล่ย์ส่งต้นส้มเล็ก ๆ มาให้ ก็เลยปลูกไว้หน้าบ้าน”

               อธิบายไปก็ส่งส้มเข้าปากเคี้ยว ๆ กินเนื้อส้มก่อนจะคายเมล็ดเก็บไว้ในมือ

               “อ้อ ใต้ต้นส้มเป็นสุสานของโรบินด้วย หมามินิเจอร์ซเนาเซอร์ที่อยู่ในอัลบัมเฟซของฉัน ถ้านายจำได้”

               ชายหนุ่มนั่งยอง ๆ ลงใต้ต้นส้ม แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วแต่ยังพอเห็นร่องรอยของหินกรวดสีขาวที่เรียงเป็นวงกลมล้อมหลุมศพเล็ก ๆ ของมันได้ แต่ตอนนี้ร่างของโรบินคงกลายเป็นปุ๋ยชั้นดีให้แก่ต้นส้มประจำบ้านนี้ไปแล้ว

               “แบบนี้เหมือนกับกำลังกินหมาอยู่ด้วยหรือเปล่านะ…”

               จู่ ๆ รำพึงความคิดสุดแย่ของตัวเองออกมา บอกไม่ถูกเลยเชียวว่าส้มที่กินค้างไว้อร่อยขึ้นหรือจะกินต่อไม่ลง

               @Mackenzie

               “เห จริงอ่ะ เพิ่งรู้เลยนะเนี่ย แต่ว่าครอบครัวนายสร้างตัวขึ้นมาได้ขนาดนั้นในช่วงสองอายุคน เก่งมากเลยนะ”

               ส่วนตัวเองเขาคิดไม่ออกเลยว่าจะมีปัญญาทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้ไหม เรื่องรับช่วงต่อกิจการร้านบาร์เบอร์ของบ้านน่ะลืมไปได้เลย ยังไงก็ไม่คิดจะทำต่อเด็ดขาด แต่บางทีถ้าเขาไปช่วยแมคเคนซีทำงานที่ฟาร์มนมของอีกฝ่ายก็อาจจะสร้างชื่อให้แบรนด์โด่งดังไปทั่วโลกได้ ก็ได้มั้ง

               “อื้ม ฉันก็ลืมไปเลย ถ้าบอกว่าเป็นรูปพักหน้าจอมือถือง่ายกว่าอีก”

               ผ่านมาสี่ถึงห้าปีได้แล้วมั้งที่ดีนไม่ได้เปลี่ยนรูปภาพพักหน้าจอมือถือเลย เคยคิดจะเปลี่ยนแต่ก็ทำใจปลดภาพคู่ของเขาและโรบินออกจากเครื่องไม่ลง เหมือนกับภาพโปรไฟล์เฟซบุ๊กที่ยังไงก็คงอย่างนั้นหลายปีมาจนถึงตอนนี้ ขัดกับอุปนิสัยชอบอัปโซเชียลโดยแท้จนเพื่อนหลายคนแซวว่า ‘ผ่านมาหลายปียังใช้รูปเดิมอยู่เหรอ กลัวจำหน้าไม่ได้หรือไง’ เอาเข้าจริงเขาไม่ได้คิดแบบนั้นเลย แต่กลับคิดถึงคนที่เปลี่ยนชื่อและรูปโปรไฟล์ทุก ๆ หนึ่งอาทิตย์มากกว่า เปลี่ยนบ่อยจนบางทีก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาแอดใครมา แต่ก็ไม่เคยคิดจะลบเพื่อน

               แล้วดีนก็ขำพรืดตามแมคเคนซีไปอีกคนที่อีกฝ่ายบอกว่าดมหมา

               “อื้อใช่ โรบินเป็นหมากลิ่นส้ม” เล่นมุกตอบกลับ เขาพยายามคิดว่าที่หน้าบ้านมีอะไรให้เล่าอีกแต่ก็นึกไม่ออก “ตรงนี้น่าจะไม่มีอะไรให้เล่าแล้วมั้ง เดี๋ยวเราเข้าไปหลังบ้านผ่านประตูเล็กกัน” สองแขนกางออกยื่นมือไปข้างหน้า “แมคซี่ดึงฉันขึ้นมาหน่อย” มีแฟนให้อ้อนก็ต้องอ้อนเยอะ ๆ สิ

               @Mackenzie

               จับมือคนรักแล้วดึงตัวเองขึ้นมาหยัดยืนเต็มความสูงพร้อมกับหยีตายิ้มกว้างให้

               “แมคซี่นายน่ารักที่สุดในโลกเลย ฉันรักนายจัง ปะ ไปดูหลังบ้านกันดีกว่า”

               จากนั้นก็จูงมือแมคเคนซีเดินนำเข้าไปยังรั้วหลังบ้าน พื้นที่สวนหลังบ้านของดีนไม่ใหญ่ไม่เล็ก พื้นทางเดินปูด้วยอิฐสีส้มครอบคลุมเกือบจะทั่วพื้นที่ เว้นวงไว้เฉพาะให้ต้นไม้ใหญ่ได้เติบโตแผ่กิ่งก้านสาขา ส่วนพืชพรรณและไม้พุ่มถูกปลูกในกระถางดินเผาอย่างดี ที่เด่นสะดุดตามากที่สุดเห็นจะเป็นดอกเวอร์บีนาสีขาวที่ออกดอกตลอดทั้งปี ที่ส่วนหนึ่งหลังบ้านมีลานกองไฟและโต๊ะล้อมรอบ คาดเดาได้ไม่ยากว่าหนึ่งในกิจกรรมของสมาชิกในบ้านหลังนี้คือการก่อกองไฟย่างบาร์บีคิวในฤดูร้อน และปิ้งมาร์ชเมลโล่พร้อมกับดูดาวในฤดูหนาวเป็นแน่แท้

               งานจัดสวนถือเป็นงานอดิเรกหนึ่งของโดนัลด์ ต้นไม้ทุกต้นในบ้านจึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ตรงกันข้ามกับไมค์ผู้เป็นสามีที่มีงานอดิเรกสายลุยอย่างการตกปลา ล่าสัตว์ และสะสมปืน

               “ส่วนนั่นห้องนอนแขก” ดีนผายมือไปห้องหนึ่งที่มีระเบียงติดกับสวนหลังบ้านพอดิบพอดี “แบบว่าบางทีญาติของพ่อจะมาเยี่ยมก็เลยยังต้องมีห้องนอนแขกอยู่ เอามาทำเป็นห้องอื่นไม่ได้ ตอนไม่มีแขกบางทีฉันก็มานอนกลางวันเล่นที่ห้องนี้แหล่ะ อ้อ ลืมถามไปเลยว่าเราจะนอนห้องไหนดี ถ้าห้องนอนแขกก็จะใหญ่กว่าห้องฉันเยอะเลย”

               คิดไปก็น่าตลก ครอบครัวใส่ชื่อดีนเป็นเจ้าบ้านตอนที่เขาอายุยี่สิบเอ็ดปี ทว่าห้องนอนของเจ้าของบ้านกลับเป็นห้องนอนที่เล็กที่สุดในบ้านเสียอย่างนั้น

               @Mackenzie

               “ไม่รู้สิ แต่สีประจำรัฐเท็กซัสคือสีส้ม ขนาดว่าสีประจำโรงเรียนยังเป็นสีส้มกับน้ำเงินเข้มเลย น่าจะยังมีชุดวอร์มสีนั้นเก็บไว้อยู่มั้ง”

               เดาว่าแมคเคนซีน่าจะอยากเห็น หรืออยากให้เขาลองใส่ชุดวอร์มสมัยไฮสคูล แต่ไม่รู้ว่าแม่ยังเก็บมันเอาไว้หรือเปล่าหรือบริจาคให้องค์กรการกุศลไปแล้ว บางทีเขาอาจต้องลองไปหาที่ตู้เสื้อผ้าหรือไม่ก็ห้องเก็บของใต้หลังคา แต่คิดว่าคงจะยัดเอาตัวโต ๆ เข้าไปในชุดวอร์มไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นมีหวังได้เห็นฉากตะเข็บเสื้อปริ

               “ได้สิที่รัก ที่บ้านฉันไม่ว่าอยู่แล้ว หรือวันไหนขี้เกียจเข้าห้องนอนก็นอนมันห้องรับแขกเลยยังได้”

               ดีนหัวเราะ ก่อนที่เขาจะพาอีกฝ่ายเข้าบ้านผ่านทางห้องครัวชายหนุ่มกลับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังกุกกักมาจากมุมนึงของสวน ในใจหวนคิดไปถึง ‘เจ้านั่น’ ที่เจอตอนกลับมาบ้านก่อนซัมเมอร์

               “นึกว่าเผ่นกันไปหมดแล้ว ยังไม่ไปกันสินะ..”

               แม้ว่าสัมภาระจะถูกยกเข้าไปเก็บในบ้านแล้วแต่เดมิก็อดทั้งสองยังคงมีอาวุธสัมฤทธิ์อยู่ข้างกายตลอดเวลา ตามที่ไครอนเคยสั่งสอนว่าออกนอกค่ายอย่าได้ปล่อยให้อาวุธอยู่ห่างกาย ถึงที่นี่จะเป็นบ้านของดีน แต่เท็กซัสมันแหล่งกบดานอสุรกายหลากสายพันธุ์อยู่แล้ว แม้ว่าไอ้ตัวที่พวกเขากำลังจะเผชิญหน้าคือก๊อบลินที่คุ้นหน้าก็ตาม

               ดีนถือหอกในมือให้มั่นก่อนจะเดินไปยังมุมสวนที่ใบไม้ไหวกระดุกกระดิก เขายื่นหอกเข้าไปเขี่ยพุ่มไม้ ในใจหวังให้มันเป็นแค่แมวหรือตัวตุ่นไม่ใช่อสุรกายที่ทำรังอยู่ใต้บ้าน แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว เพราะตัวที่กระโดดจั๊มป์สแกร์ออกมาเป็นเจ้าตัวเขียวน่ารำคาญไม่ใช่แมวเหมียวข้างบ้าน

               “แฮ่!”

               “โธ่เว้ย พวกแกนี่มันน่ารำคาญชะมัด คราวนี้เอาไง จะสู้กันหรือว่าจะหนีไปอีก”

               ก๊อบลินเขียวมองดีนตัวสั่น แต่เมื่อมันหันไปมองแมคเคนซีเจ้านั่นกลับมีท่าทีเปลี่ยนไป ลิ้นเล็ก ๆ แล่บเลียริมฝีปากอย่างน่าเกลียด จากนั้นเจ้าก็อบกินก็ผิวปากเรียกพวกของมันมาอีกหลายตัว

               “กี้!!!”

               ก๊อบลินเป็นสิบโผล่มาจากพุ่มไม้ในสวนหลังบ้านทำเอาชายหนุ่มกุมขมับ ให้ตายสิ นี่บ้านเขาเป็นรังก๊อบลินจริง ๆ เหรอ!? โชคดีในความโชคร้ายที่เจ้าพวกนี้จ้องแต่จะกินเดมิก็อดแต่ไม่ทำร้ายคนธรรมดา พวกมันแค่ขโมยอาหารกินนิดหน่อย

               “สวนหลังบ้านเละแน่ ๆ แต่ได้เวลาเก็บกวาดแล้ว!”

               @Mackenzie

               “เกิดอะไรขึ้น!?”

               เสียงโครมครามหลังบ้านเรียกให้พ่อและลุงออกมาดู ลุงไมค์เตรียมลูกซองเอาไว้พร้อมดึงรั้งคันชักพร้อมกับลั่นไก ภาพที่ทั้งสองเห็นคือลูกหลานและแฟนหนุ่มกำลังสัประยุทธ์กับกระรอกและฝูงหนูท่อตัวเขื่องนับสิบด้วยท่อแป๊บและตะกร้อตีแป้ง ทั้งสองถึงกับต้องขยี้ตามองอีกครั้ง

               ก็ว่าอยู่ทำไมดีนกับแมคเคนซีถึงพกของแปลก ๆ ติดตัว ก็ว่าจะทัก มันเอาไว้ทำแบบนี้เองสินะ…

               ใครสักคนหรือทั้งคู่อาจจะคิดเช่นนี้อยู่ แต่ไม่กล้าถาม และตอนนี้ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้าดี ใช้ลูกโม่กับหนูสกปรกก็ดูจะรุนแรงไปเสียหน่อย ผู้ปกครองทั้งสองจึงได้แต่เกาะขอบประตูดูแบบนั้น

               “ไม่มีอะไรครับพ่อ มันอันตราย รีบเข้าไปหลบในบ้านเร็ว!”

               ดีนตะโกนบอกทั้งสองที่แอบมองจนพ่อและลุงยอมเข้าไปในบ้านดี ๆ เรื่องนี้เอาไว้อธิบายกันทีหลัง ๆ จากกำจัดก๊อบลินพวกนี้หมด

               ด้วยสัญชาตญาณและประสบการณ์การต่อสู้อันเกือบโชกโชน ถ้าพูดให้โม้แบบการ์ตูนโชเน็นก็คงบอกว่า ‘จิตวิญญาณของเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหอกไปแล้ว’ ก็ไม่เกินจริงเท่าไร เพราะว่าดีนควงหอกพุ่งจ้วงแทงอสุรกายตัวเขียวได้อย่างมั่นคงและแม่นยำแม้ว่าก๊อบลินจะกวนโอ๊ยวิ่งกระโดดไปมาจนยากหาตัวจับ แต่สวนมันก็มีแค่นี้ถ้าพวกมันตัดสินใจที่จะสู้แทนหนีก็ไม่มีทางหลบพ้น ก๊อบลินเขียวราวสิบตัวถูกจัดการลงอย่างรวดเร็วเหลือเพียงตัวสุดท้ายที่ดูท่าทางจะเก๋าเอาเรื่อง

               “กี้!!”

               มันควงดาบเล็ก ๆ ไซส์เดียวกับมีดพร้าเข้าหา ดีนเบี่ยงตัวหลบก่อนที่จะพุ่งหอกแทงงัดร่างเล็กลอยหลา มันดิ้นทุรนทุรายบิดกายไปมาอย่างเจ็บปวด และเมื่อดีนทุ่มหอกลงพื้นจ่าฝูงก๊อบลินก็สลายกลายเป็นผงเหมือนถูกดีดนิ้วเหลือแต่เพียงสินสงครามเป็นโหลทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า

               “แฮ่ก.. เวรเอ๊ย มีอีกไหมเนี่ย!”

               ดีนสบถพร้อมกับยกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อ มือหนึ่งค้ำหอกกรีกกับพื้นศิลาสีแดง บอกตามตรงว่าคืนนี้ถ้าไม่กำจัดเจ้าก๊อบลินจอมป่วนให้หมดไปจากบ้านคงนอนไม่หลับ

               บานประตูห้องครัวเปิดแง้มอีกครั้งแล้วพ่อกับลุงก็ค่อย ๆ โผล่หน้าออกมาดู

               “ดีน แมค เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นน่ะ หนูงั้นเหรอ?”

               โดนัลด์เอ่ยถามอย่างงุนงง เขารับรู้ปัญหาของบ้านที่อยู่อาศัยอยู่ทุกวันนี้ดีน มีรังหนูอยู่ใต้บ้าน บางทีก็เห็นมันแอบเข้ามาขโมยอาหารในครัวจากนั้นก็วิ่งหลบหนีเข้าไปในสวนหลังบ้าน จ้างบริษัทกำจัดหนูและแมลงมาดูแล้วแต่ก็จับหนูดังกล่าวไม่ได้สักตัวจนแทบจะยอมแพ้ แล้วไหงหนูพวกนั้นที่มักจะหลบคนถึงได้เกิดอาการคุ้มคลั่งไล่กัดลูกชายกันได้นะ

               หรือว่าจะผิดกลิ่น?

               ยังไม่ทันได้ตอบคำถามอะไรไข่เหลืองก็วิ่งมุดประตูออกมาท่าทางของมันเหมือนได้รับแรงกระตุ้นบางอย่างให้คึกคัก แต่ในยามที่มันถูกเวทมนตร์บังตาก็ไม่ต่างจากลูกหมาเชาเชาซุกซนตัวหนึ่ง ออมเล็ตเหมือนจะเจืออะไรบางอย่างอยู่ที่มุมรั้วจึงขุดดินใหญ่ อาจดมกลิ่นของก๊อบลินได้มั้ง แต่ตอนนี้ดีนต้องตอบพ่อก่อน

               “เอ่อ.. ครับ ใช่ หนู ไม่มีอะไรแล้วพ่อกับลุงไว้ใจได้เลย”

               ถึงทุกคนในครอบครัวจะรู้ว่าเขาเป็นเดมิก็อดแล้วต้องต่อสู้พิชิตอสุรกายมากมายเฉกเช่นวีระบุรุษในตำนาน แต่ตอนนี้บอกพ่อกับลุงไม่ได้หรอกว่าหนูที่เข้าใจกันมานานความจริงแล้วมันเป็นปีศาจตัวจิ๋วไม่ใช่สัตว์ตามธรรมชาติ อย่างน้อยก็จนกว่าจะกำจัดก๊อบลินให้ตายยกรังจนหมดสิ้น

               “อ๊าววว งั่บ! งั่ม ๆๆๆๆ”

               “กี้!! แก๊กกกกก”

               หันไปมองทางสัตว์เลี้ยงอีกทีก็เห็นว่าออมเล็ตฟัดก๊อบลินตัวหนึ่งที่ยังเหลือรอดไม่ก็ขึ้นจากหลุมมาใหม่ แล้วก็เห็นว่านีเมียนน้อยของเขาฉีกกระชากร่างเขียว ๆ แล้วเคี้ยวหงับ ๆ ดีนก็ลืมไปเลยว่าตอนนี้มันคงหิวจนตาลาย เขาไม่ทันได้เห็นภาพสยดสยองแบบในสารคดีเนชั่นแนลจีโอกราฟิกเพราะเบือนหน้าหนีไปก่อน แต่ก็พอจะนึกสภาพออกเลย

               ‘ไอ้นั่นมันกินได้ด้วยสินะ… แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน’

               “ออมเล็ต คืนนี้ฝากแกเฝ้าสวนหน่อยนะ ถ้าเจออะไรเขียว ๆ ก็ซัดได้เลย”

               “อ๊าววว” ออมเล็ตขานรับพร้อมกับเลียมุมปาก จากนั้นมันก็ทำจมูกฟุ้ดฟิ้ดเพื่อหาเหยื่อตัวต่อไป

               “แมคซี่ นายไม่เป็นไรใช่ไหม?” ตอนต่อสู้มัวแต่พัลวันจนไม่ได้มองคนรัก เขาไม่ได้กลัวว่าอีกฝ่ายจะถูกทำร้ายเพราะก๊อบลินมันกากเกินไป กลัวก็ได้อีกฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บจากหอกของตนตอนที่ออกลวดลายไล่ฟาด “ฉันว่าเราเข้าบ้านกันก่อน ตรงนี้ปล่อยให้ไข่เหลืองจัดการ”

               หลังจากสำรวจร่างกายคนรักว่าไม่ได้รับบาดแผลก็โอบคออีกฝ่ายเข้าบ้านกันไป

               @Mackenzie

               คล้ายอยากถามแต่ไม่ยังไม่กล้าถามเพราะลูกชายของบ้านดูมีบางอย่างที่อยากปกปิด

               โดนัลด์กับไมค์พยายามไม่คิดว่าสัตว์คลั่งเมื่อกี้เป็นไอ้สิ่งที่ดีนเคยบอกว่าพวกมันตามรังควานชีวิตเขา ใช่… หมายถึง ‘อสุรกาย’ นั่นแหล่ะ ไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร ปีศาจหนูอย่างนั้นเหรอ? แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริงการปล่อยให้เจ้าออมเล็ตลูกหมาน้อยน่ารักอยู่กับปีศาจหนูและปีศาจกระรอกมันจะปลอดภัยอย่างนั้นหรือ? แต่ไม่แน่ว่าออมเล็ตเองก็อาจจะไม่ธรรมดา ลูกชายอยู่ค่ายฮาล์ฟบลัดอะไรนั่นที่เป็นศูนย์รวมสิ่งพิลึกกึกกือเหนือธรรมชาติจะไปหาสัตว์เลี้ยงมาจากไหน ไม่แน่มันอาจเป็นสุนัขเทพอะไรแบบนี้ เหมือนจะเคยมีตำนานเรื่องดาวซิริอุสที่เป็นสุนัขล่าเนื้อของนายพราน ไม่แน่ว่าออมเล็ตต้องเป็นแบบนั้นแหล่ะ.. ต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน

               เมื่อทุกคนพร้อมรับประทานมื้อเย็นแล้ว เนื้ออบถาดใหญ่ก็ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ มันไม่ใช่อาหารท้องถิ่นของอเมริกัน แต่หากเป็นชาวอังกฤษอย่างแมคเคนซีต้องรู้จักอย่างแน่นอน เนื้ออบวันอาทิตย์ที่นิยมรับประทานกับครอบครัวหลังจากเข้าโบสถ์ ทานแนมกับเครื่องเคียงมากมาย อาทิ ยอร์กเซียร์พุดดิ้ง และผักต่าง ๆ ที่ย่างเนยมาจนหอมกรุ่น โดยมีซอสเกรวี่สูตรพิเศษรับประทานคู่กัน นอกจากนี้ยังมีกะหล่ำดอกอบชีสเพิ่มคาร์โบรไฮเดรตให้ทานกันจนพุงตึง


               “โอ้โห มื้อใหญ่เป็นบ้า อะไรกันครับเนี่ย!” ดีนมองอาหารบนโต๊ะด้วยดวงตาลุกวาว ผิดคาดไปเสียหน่อย เขาคิดว่าพ่อจะจัดหนักอาหารอเมริกันหรือไม่ก็ของทอดที่ถนัดทำเสียอีก

               “ซันเดย์โรสต์ เห็นเขาว่าคนอังกฤษชอบกินเมนูนี้กันวันอาทิตย์” โดนัลด์หันไปยิ้มให้แมคเคนซี ภาพในหัวของคุณพ่อชาวอเมริกันที่มีต่อคนอังกฤษคงไม่พ้นกินซันเดย์โรสต์แล้วก็ดูพรีเมียร์ลีคในคืนวันอาทิตย์เสียล่ะมั้ง

               “โดนัลด์ซุ่มทำเมนูนี้เป็นเดือนตอนที่แกบอกจะกลับบ้าน ฉันน่ะกินซ้ำ ๆ จนหน้าจะกลายเป็นเดวิด เบคแฮม” ไมค์หัวเราะอันที่จริงเขาก็มีความหล่อแพ้เบคแฮมไปนิดเดียว จากนั้นลุงก็ยื่นเบียร์เท็กซัสเย็นฉ่ำให้แก่ดีนและแมคเคนซี “ลองหน่อยไหม ของดีจากเท็กซัสเชียวนะ”

               “ขอบคุณครับลุง” ดีนรับกระป๋องเบียร์มาเปิดออกในทันที นี่สิเป็นมื้อเย็นที่ดีสุด ๆ แล้วก็ไม่ลืมจะหันไปแซวคุณพ่อบุญธรรมของตัวเอง “พ่อก็ไม่ค่อยจะเห่อลูกเขยเลยนะ อืม.. ฉันนึกศัพท์ไม่ออก ใช้คำนี้แทนได้ไหม?” แล้วจึงหันไปยิ้มให้แก่เมคเคนซี “แล้ว… ว่าแต่.. แม่ล่ะ ไม่ต้องรอแม่เหรอ?”

               “อ้าว มาเรียนน่าไม่ได้บอกลูกเหรอว่าติดงานช่วงนี้พอดี แต่ว่าเธอกลับมาทันแตงส์กิฟวิ่งเดย์นะ ลูกอยู่ยาวถึงช่วงนั้นเลยนี่” โดนัลด์ตอบ

               “แม่น่าจะบอกแหล่ะ แต่ว่าผมไม่ได้เช็คเมลเลยหลัง ๆ มานี้” หลังจากที่ปริ้นท์ใบจองตั๋วรถไฟเสร็จดีนก็ลาก่อนบ้านเฮอร์มีส แล้วใช้ชีวิตแบบโนโซเชียลมาเป็นอาทิตย์ ๆ บางทีแม่คงส่งข้อความมาแล้วแต่ว่าเขาไม่ทันได้ดูเองแหล่ะ “ใช่พ่อ ความจริงผมอยู่ยาวยันเคาท์ดาวน์ปีใหม่เลยก็ได้นะ” พูดทีเล่นทีจริง แต่คนว่างงานจะกลับไปค่ายเมื่อไรก็ได้อยู่แล้ว ถ้าไม่ต้องรอแม่ก็ไม่รีรอที่จะส่งชิ้นเนื้อเข้าปาก “อื้ม อร่อย! พ่อก็มีฝีมือทำอาหารอังกฤษนะเนี่ย”

               ดีนยกนิ้วโป้งชมคุณพ่อบุญธรรมของตัวเอง ก่อนจะลากเนื้อชิ้นโตที่หั่นแล้วใส่จานแมคเคนซี

               “ลองชิมดูสิที่รัก รสชาติแบบนี้เหมือนต้นตำหรับหรือเปล่า”

               @Mackenzie

               พ่อทำส้อมร่วงจากมือ ส่วนดีนยกเบียร์ขึ้นจิบพอดีถึงกับสำลัก
               
               “แค่ก ๆ นายนี่มัน..”

               หาคำพูดมาบรรยายต่อไม่ได้ จากคำพูดที่แมคเคนซีล้อเล่น ความจริงแล้วถ้าโดยนิตินัยก็ถือว่ายังไม่ใช่ แต่ถ้าโดยพฤตินัยก็เรียบร้อยไม่มีเหลือ ดีนไม่ได้ตกใจที่พ่อกับลุงรู้เรื่องนี้ อันที่จริงก็เคยปรึกษาเรื่องการเตรียมตัวของผู้ชายกับผู้ชายกับทั้งสองมาก่อนในช่วงที่รู้จักกับหนุ่มอังกฤษใหม่ ๆ (ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีทางบอกแมคเคนซีหรอก ใครจะไปบอกกัน!) แต่ที่ตกใจก็คือ.. หมอนี่ช่างกล้าออกตัวแรงต่อหน้าพ่อกับลุง ทั้งสองคงไม่คิดอะไรมาก แต่ยังไงก็เถอะ หมอนี่มันร้ายจริง ๆ

               “อะแฮ่ม..” โดนัลด์กระแอมปรับอารมณ์และสีหน้าจากที่ตกใจเมื่อกี้นี้ ปรับโหมดกลับมาเป็นคุณพ่อแสนดีเช่นเคย “ถ้าอร่อยก็กินเยอะ ๆ”

               แล้วมื้ออาหารเย็นอันแสนสุขสันต์ก็ดำเนินต่อไปจนทั้งสี่อิ่มหนำสำราญจากเนื้ออบแสนอร่อยและเบียร์เท็กซัสที่ลุงซื้อตุนไว้เป็นโหล ๆ ดีนพยายามทำตัวไม่ให้เมามากเพราะตระหนักได้ว่ามีฝูงก๊อบลินอยู่ที่หลังบ้านของตนเอง

               คุณพ่อเป็นคนทำอาหารแล้ว คนเป็นลูกจึงขันอาสาที่จะช่วยเก็บล้างจานชามให้จนเสร็จจากนั้นก็เปิดประตูรับออมเล็ตที่ออกล่าเหยื่อเป็นครั้งแรกให้กลับเข้ามานอนในบ้าน บนเบาะนอนอันแสนอบอุ่น ที่สวนเงียบกริบหากก๊อบลินไม่ถูกหม่ำยกฝูงไปแล้วก็เป็นไปได้ว่าพวกมันหนีหางจุกตูดไปกันหมด กระนั้นก็ยังวางใจไม่ค่อยได้อยู่ดี

               “ฉันคิดว่าวันนี้เราควรจะนอนที่ห้องนอนแขกกัน อย่างน้อยก็ให้แน่ใจว่าถ้ามีก๊อบลินโผล่มาอีกจะรื้อสวนกันใหม่ ส่วนห้องนอนฉัน.. เก็บไว้เซอร์ไพรส์นายวันอื่นดีไหม?”

               ดีนกล่าวพลางหัวเราะ อันที่จริงถึงก๊อบลินจากไปแล้วแต่ก็ควรปรับปรุงสวนหลังบ้านใหม่อยู่ดี อย่างน้อยก็อุดช่องทางที่พวกมันจะเข้ามาทำรังจากร่องรอยกลิ่นเดมิก็อดที่หลงเหลืออยู่

               @Mackenzie

               “โอเค ถ้างั้นฉันว่าคืนนี้เรารีบเข้านอนกันดีกว่า ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราต้องรับมือกับอะไรบ้าง หรือไม่แน่ว่าต้องรับมือตั้งแต่คืนนี้”

               ได้แต่เบะปาก รู้สึกแย่ชะมัดที่พาอีกฝ่ายมาเจออะไรก็ไม่รู้ที่บ้านตัวเองที่ควรจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด แต่มันก็เป็นบทเรียนที่ดีในฐานะเดมิก็อดที่มีแผนจะออกมาใช้ชีวิตอยู่นอกค่ายฮาล์ฟบลัดที่ไม่มีรูปปั้นของเทพีอะธีน่ามาปล่อยแสงเลเซอร์ออกจากตา ยิงใส่อสุรกายที่พยายามกกร้ำกรายเข้ามาในอาณาเขต ไม่มีพลังของขนแกะทองคำที่มีม่านพลังปกป้องค่าย แต่ว่าพวกเขาจะต้องรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ให้ได้เหมือนกับรุ่นพี่คนอื่น ๆ ใช้ชีวิตกันมา

               แต่ก็รู้เลยว่าทำไม ทีน่า แซนโดวาล ถึงไม่ยอมออกไปใช้ชีวิตนอกค่ายเหมือนคนโตคนอื่น ๆ

               ดีนลากกระเป๋าสัมภาระทั้งหมดมาไว้ในห้องนอนแขกอันกว้างขวางที่ตั้งในปีกหนึ่งของบ้าน การตกแต่งเป็นสไตล์เรียบง่ายแต่อบอุ่น ไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์อะไรตั้งอยู่มากมายที่สะดุดตาเห็นจะเป็นเตียงกว้างหกฟุตตั้งอยู่กลางห้อง และชุดโซฟาเล็กที่ตั้งอยู่ริมระเบียงที่เดินทะลุออกไปยังสวนหลังบ้านได้ สิ่งที่กั้นขวางระหว่างพวกเขาและฝูงก๊อบลินมีเพียงแค่ประตูกระจกบานเลื่อนและผ้าม่านเนื้อบางกั้นแสงอาทิตย์ แต่ให้ตายสิตอนนี้จะสี่ทุ่มอยู่แล้วแสงสว่างยังส่องแสงทะลุม่านรำไรอยู่เลย คงไม่มีที่ไหนที่มืดสนิทเหมาะแก่การนอนหลับไปกว่าห้องนอนของบ้านเฮคาทีอีกแล้ว

               “หวังว่าคืนนี้เราจะนอนหลับกันดีนะ..”

               อุปสรรคมีหลายอย่างเสียเหลือเกินให้ตายสิ! สองวันมานี้ก็นอนบนรถไฟหลับได้ไม่ค่อยสนิทเท่าไรทำเอาเพลียไปหมด อยากฝังตัวลงไปนอนบนเตียงนิ่ม ๆ เต็มแก่

               “ห้องน้ำต้องออกไปใช้ห้องน้ำที่ชั้นหนึ่งล่ะ แต่ก็อยู่ติดกันนี่เอง” ดีนเดินเข้าไปหาแมคเคนซี มือกร้านโอบเอวสอบรั้งเข้าหา ดวงตาช้อนมองคนที่สูงกว่าหนึ่งนิ้ว “คืนนี้สนใจอาบน้ำด้วยกันไหมที่รัก”

               @Mackenzie

               ถึงแม้ฟ้าจะสว่างแต่แล้วยังไง ในเมื่อหัวใจเต้นตึกตักเมื่อได้รับสัมผัสที่อบอุ่นจากมือประคองใบหน้ารวมทั้งลมหายใจที่ปะผิวแก้ม

               “ห้องน้ำบ้านฉันจะเก็บเสียงได้ไง นายต้องอาบน้ำเบา ๆ หน่อยนะที่รัก”

               กดปลายจมูกโด่งไปที่สันจอนประทับริมฝีปากจูบยังสันกรามได้รูปก่อนจะผละออกมา ตอนนี้อยากกระโจนขึ้นเตียงเสียยิ่งกว่าไปอาบน้ำ แต่เมื่อกี้บู๊หนักกับฝูงก๊อบลินมา ไม่ล้างตัวสักหน่อยคงไม่ไหว เปิดกระเป๋ารีบหยิบอุปกรณ์อาบน้ำและผ้าเช็ดตัวอย่างลวก ๆ ส่วนชุดนอนคืนนี้คงไม่จำเป็น

               ไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ (ส่วนนึงรู้ว่าแมคเคนซีคงไม่ปฏิเสธ) ดีนจูงมือของแมคเคนซีออกจากห้องนอนแขกแล้วเข้าห้องน้ำไปด้วยกัน

               @Mackenzie

              




สินสงคราม: หมวกก็อบลิน 12 หน่วย และดาบก็อบลิน 11 หน่วย (LUK50+)


แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
44. Go to My Sweetie's Home IIIM [ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ] วันนี้ก็ยังคงเป็นวันที่อากาศดีอีกวัน แมคเคนซีที่กำลังหลับสบา  รายละเอียด ตอบกลับ โพสต์ 2024-11-26 15:39
God
ดี: 5
  โพสต์ 2024-11-26 10:13
โพสต์ 97690 ไบต์และได้รับ 54 EXP!  โพสต์ 2024-11-26 01:07
โพสต์ 97,690 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก แจ๊กเก็ตยีนส์  โพสต์ 2024-11-26 01:07
โพสต์ 97,690 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก แว่นตา  โพสต์ 2024-11-26 01:07
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่แห่งเกียรติยศ
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
แว่นตา
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
น้ำหอม Unisex
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x60
x1
x1
x1
x4
x1
x1
x1
x3
x1
x1
x1
x1
x2
x2
x1
x1
x1
x6
x4
โพสต์ 2024-11-26 15:39:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด
Dean ตอบกลับเมื่อ 2024-11-26 01:07
232บ้านส้มแสนรัก
               3/11/2024 - 8.00 น.~

44. Go to My Sweetie's Home III
M

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

วันนี้ก็ยังคงเป็นวันที่อากาศดีอีกวัน แมคเคนซีที่กำลังหลับสบายต้องตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงียเพราะถูกคนที่มาด้วยกันปลุก

“โอเคดีน…ฉันตื่นแล้ว”

ปรามคนรักเหมือนปรามสุนัขยามที่เห็นอะไรน่าสนใจแล้วมาร้องเรียกเจ้าของ เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่ง มือก็ควานหาเสื้อผ้าไปด้วย ก่อนจะมุ่นคิ้วเมื่อเห็นเสื้อคุ้นตาที่เหมือนว่าเขาเคยใส่เมื่อวานแต่เวลานี้มันไปอยู่บนตัวดีนซะแล้ว แมคเคนซีจึงหยิบกางเกงมาสวมและหยิบเสื้อที่น่าจะเป็นของดีนขึ้นมาพาดบ่าไว้ อีกเดี๋ยวก็อาบน้ำแล้ว ไม่ต้องใส่ก็ได้

“โห ทะเลสาบงั้นเหรอ เรามาถึงไหนกันแล้ว”

พอเดินตามอีกฝ่ายมาดูก็ถึงกับตื่นเต็มตา ภาพทะเลสาบตรงหน้าที่ผิวน้ำสะท้อนแสงแดดส่องเป็นประกายระยิบระยับราวกับทะเลดาว แบบนี้ค่อยคุ้มค่ากับที่ปลุกให้เขาถ่างตาตื่นขึ้นมาหน่อย

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“ก็เหมือนจริง ๆ ถ้าเป็นตอนกลางคืนคงไม่เห็นวิวสวย ๆ แบบนี้”

นี่อาจเป็นข้อดีอย่างนึงของปรากฏการณ์พระอาทิตย์ 24 ชม.ล่ะมั้ง นั่งชมวิวจนอิ่มตาอิ่มใจแล้วก็ถึงเวลาไปหาอะไรทานให้อิ่มท้อง พอต่างคนต่างจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็ไปทานมื้อเช้าและกลางวันตามลำดับ จากนั้นก็มานั่งชมวิวคุยกันต่อ ยอมรับว่ามันค่อนข้างจำเจ แต่พวกเขาจะทำอะไรไปได้มากกว่านี้อีก

ในที่สุดการเดินทางอันยาวนานบนรถไฟก็ได้สิ้นสุดลง พวกเขามาถึงซานอันโตนีโอกันในเวลาเย็น แต่หากไม่ดูนาฬิกามันก็จะยังเหมือนยามสายอยู่

“เฮ่อ…ถึงสักที เวลานายกลับบ้านคงเบื่อแบบนี้ตลอดเลยไหม”

แมคเคนซีบิดขี้เกียจซ้ายทีขวาทีพลางมองบรรยากาศรอบ ๆ ไปด้วย

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

ถึงจะสงสัยในคำพูดดีนที่ว่า ‘ไปที่บ้านฉันแล้วจะไม่เบื่อ’ กระนั้นแมคเคนซีก็ไม่คิดจะถามอะไร หากไปถึงแล้วก็คงรู้เอง แถมอีกฝ่ายยังดูกระตือรือร้นหารถที่จะขึ้นกลับบ้านด้วย แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องนั่งรถสาธารณะกันแล้ว เมื่อพ่อ ๆ ของดีนพากันมารับถึงที่สถานีรถไฟ ป้ายยินดีต้อนรับกลับที่มีทั้งชื่อดีนและชื่อเขาสร้างความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นในใจ อาจเป็นความอบอุ่นที่ครอบครัวของดีนต้อนรับ
แมคเคนซีเหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัวคนนึงก็เป็นได้

หนุ่มอังกฤษยืนมองคนรักกับครอบครัวทักทายและกอดกันกลมด้วยรอยยิ้ม จนเมื่อดีนแนะนำตัวเขากับคุณพ่อทั้งสองจึงกระแอมเล็กน้อย

“สวัสดีครับ ผมแมคเคนซี คลอดด์ ลินคอล์น ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

แม้จะแอดเฟรนด์กันผ่านทางเฟซบุ๊คแล้วแต่แมคเคนซีก็แนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกรอบแล้วยื่นมือไปจับกับคุณโดนัลด์และคุณไมค์ตามมารยาท

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

แมคเคนซียิ้มรับคำต้อนรับของคุณโดนัลด์ หากให้พูดตามตรงแล้วคุณพ่อทั้งสองของดีนนั้นหน้าตาดีกว่ารูปถ่ายในเฟซบุ๊คเสียอีก บางครั้งที่เขาไปใช้อินเทอร์เน็ตที่บ้านเฮอร์มีสก็จะแวะเข้าไปเช็คหน้าฟีดเฟซบุ๊คบ้าง แล้วก็มักจะเห็นคุณโดนัลด์กับคุณไมค์ลงรูปคู่กันอยู่บ่อย ๆ และบางครั้งก็เห็นคุณแม่ดีนร่วมเฟรมอยู่ด้วย ทักทายกันได้ไม่เท่าไหร่ ‘เจ้าออมเล็ต’ สิงโตนีเมียนในคราบลูกสุนัขเชาเชาก็ท้องร้องเสียงดัง คงจะได้เวลาอาหารเจ้าตัวเล็กแล้ว พวกเขาจึงพากันไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน

“โอ้…!”

ยังไม่ทันได้ก้าวขาขึ้นรถก็ต้องตกใจเสียก่อน เมื่อเปิดประตูรถด้านหลังแล้วเห็นช็อตกันสีดำเมี่ยมนอนแน่นิ่งอยู่บนเบาะทั้งยังหันปากกระบอกมาทางเขาเป็นการทักทายอีก แม้ว่าที่บ้านของแมคเคนซีเองจะมีปืนไว้ป้องกันตัว แต่พ่อของเขาก็มักจะเก็บไว้ในที่ลับตาและปลอดภัยเสมอ ไม่ได้วางไว้ให้เห็นจะ ๆ และหยิบใช้ง่ายราวกับร่มที่สามารถหยิบออกไปกางได้ทันทีในเวลาฝนตก จนอดคิดไม่ได้ว่าที่คุณไมค์บอกลืมเก็บปืนนั้น เป็นเพราะจงใจวางไว้เป็นเชิงขู่อ้อม ๆ ว่า ‘อย่าทำหลานสุดที่รักของฉันเสียใจเชียวนะเฟ้ย !’ หรือเปล่า

“ก..ก็นิดหน่อยครับ แต่ไม่เป็นไร ผมโอเค”

แมคเคนซียิ้มเจื่อนให้คุณโดนัลด์ก่อนจะขึ้นรถมานั่งข้างดีน ก่อนจะขยับไปกระซิบตอบกลับประโยคก่อนหน้านั้น

“หวังว่านายจะปลอบให้สมกับที่ฉันตกใจ” แล้วเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยหางตา ริมฝีปากยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

ภายในรถพวกเขาพูดคุยกันถึงสภาพอากาศที่ผิดแปลกไปในช่วงนี้ ที่เห็นได้ชัดก็คงจะเป็นปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนซึ่งกินเวลามาเป็นเดือนและไม่มีทีท่าว่าจะได้เห็นดวงจันทร์ขึ้นบนฟากฟ้า แมคเคนซียักไหล่แล้วส่ายหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบ เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หากสาเหตุมาจากเทพกรีกตามคำบอกเล่าของคุณแม่ดีนจริง ๆ ทำไมพวกเขาที่อยู่ในค่ายฮาร์ฟบลัดซึ่งถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่น่าจะได้ข่าวไวกว่าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

พวกเขานั่งรถไปเรื่อย ๆ จนมาถึงเขตนอร์ทเซ็นทรัลซานอันโตนิโอ ซึ่งระหว่างทางดีนก็ยังทำหน้าที่เป็นไกด์อีกเช่นเคย แต่คราวนี้อาจใช้คำว่าไกด์ท้องถิ่นแทนคำว่าไกด์จำเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นคนในพื้นที่ย่อมรู้จักสถานที่ต่าง ๆ เป็นอย่างดีโดยไม่จำเป็นต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติม แมคเคนซีเห็นสโตนโอ๊คซึ่งเป็นย่านอยู่อาศัยของกลุ่มชนชั้นร่ำรวยอยู่ไม่ไกล เขาเคยเห็นมันผ่านตามาบ้างจากตามเว็บไซต์ แต่รถของครอบครัวดีนก็เลี้ยวไปยังเอนคานโต้ ครีกแทน แม้ว่าบ้านผู้คนในย่านนี้จะหรูหราเทียบกับที่สโตนโอ๊คไม่ได้ แต่ก็มีพื้นที่ดูเป็นสัดส่วนน่าอยู่ไม่น้อย ซึ่งบ้านของครอบครัวของคนรักที่เขามาถึงก็เช่นกัน

“ขอบคุณครับ”

หลังจากที่ยื้อแย่งกันถือกระเป๋าอยู่สักพัก สุดท้ายพวกเขาก็ต้องยอมให้คุณโดนัลด์และคุณไมค์เป็นฝ่ายช่วยเอาสัมภาระเข้าไปในบ้านให้ แมคเคนซีกล่าวขอบคุณไล่หลังชายวัยกลางคนทั้งสองก่อนจะเดินตามดีนไป

“ขอบคุณ บ้านนายดูน่าอยู่นะ”

แมคเคนซีรับส้มเท็กซัสที่คนรักโยนมาให้ด้วยมือข้างเดียว สีของมันเป็นสีส้มสว่างสดใสเหมือนดีนไม่มีผิด เมื่อลองจรดผลส้มกับปลายจมูกก็ได้กลิ่นหอมชวนให้สดชื่นด้วย

“มีต้นส้มหน้าบ้านนี่เอง ไม่น่านายถึงชอบเค้กส้ม”

จะว่าเค้กส้มอย่างเดียวก็ไม่ถูก ดีนดูจะชอบอาหารอีกหลากหลายที่ทำมาจากส้ม ไม่ว่าจะเป็นผลส้มสด ๆ น้ำส้มคั้น หรือแม้แต่โอลด์แฟชั่นที่ใส่เปลือกส้มลงไป

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“ตลกสิ”

กำปั้นชกเข้าที่ไหล่ดีนไปเบา ๆ ทีนึงก่อนจะแกะส้มในมือทานบ้าง รสชาติหวานอมเปรี้ยวจนต้องหยีตาแต่ก็สดชื่นดี

“ก็คงมี แต่ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนั้น ถ้าออกบูธก็มีแต่ที่งานโรงเรียน”

พอนึกถึงเรื่องราวสมัยเด็กของตนเองแล้วมันก็ออกจะจืดชืดไปสักหน่อย แมคเคนซีในวัยเยาว์ไม่ค่อยมีกลุ่มเพื่อนที่จะพากันออกไปวิ่งเล่นหรือทำกิจกรรมอะไร เขาแค่ชอบใช้เวลาอยู่คนเดียวมากกว่า ตอนนี้ชอบเก็บตัวยังไง วัยเด็กของเขายิ่งกว่านั้น

“นายบอกจะพาฉันย้อนวัยเด็กของนายไม่ใช่เหรอ เริ่มเลยสิ นายชอบทำอะไร หรือไปทำอะไรตรงส่วนไหนของบ้าน พาฉันไปดูหน่อย”

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“ไม่เกี่ยวหรอกว่าจะเป็นลูกคุณหนูหรือเปล่า เมื่อตอนเด็ก ๆ ฉันก็แค่ไม่ค่อยมีเพื่อนพากันไปทำเรื่องสนุกแบบนั้น ตอนที่ฉันยังเด็กปู่ฉันเพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ จำได้ว่าบางครั้งฉันก็นั่งรถไปกับปู่และพ่อ เอานมกับชีสไปส่งตามบ้านกับพวกร้านค้านั่นล่ะ”

ครอบครัวของแมคเคนซีเองก็ไม่ได้ร่ำรวยมาแต่กำเนิดและเขาก็ไม่ได้เป็นลูกคุณหนูอย่างที่ดีนเข้าใจ กว่าแบรนด์ของครอบครัวเขาจะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ก็ใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่หลายปี ความเป็นอยู่ทางบ้านที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนั้นเป็นสิ่งที่ปู่หลงเหลือไว้ให้กับครอบครัว ซึ่งในตอนนี้แมคคอยพ่อของเขาคือผู้สานต่อและในอนาคตแมคเคนซีก็ต้องรับช่วงต่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน

“จำได้สิ โรบิน…ที่นายนอนหลับข้าง ๆ ใช่ไหม”

แมคเคนซีฟังสิ่งที่ดีนเล่าอย่างตั้งใจ ดวงตาสีฮาเซลหลุบลงมองตามร่างอีกฝ่ายที่นั่งยอง ๆ ใต้ต้นส้ม ในตอนแรกเขาคิดว่าดีนคงกำลังรำลึกความหลังถึงเจ้าสุนัขตัวนั้นอยู่ แต่พอได้ยินสิ่งที่พูดออกมาก็ทำเอาแทบจะหลุดขำ

“ถ้านายว่าอย่างนั้น เมื่อกี้ที่ฉันดมกลิ่นส้มไม่ใช่ว่าฉันสูดกลิ่นโรบินเข้าไปด้วยหรือไง”

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“อืม…ฉันก็ว่าปู่กับพ่อเก่งมาก ฉันเลยไม่อยากทิ้งสิ่งที่พวกเขาสร้างมากับมือ”

บอกพลางจับมือของดีนทั้งสองข้างและดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมา ให้ตายสิ เขาชอบเวลาดีนอ้อนชะมัด อย่างกับเจ้าหมาขี้อ้อนไม่มีผิด

“นายก็เป็นเจ้าหนุ่มกลิ่นส้ม”

ยื่นหน้ามากระซิบก่อนผละออกแต่ยังกุมฝ่ามือใหญ่ของคนรักไว้ข้างนึง รอให้อีกฝ่ายนำไปยังประตูเล็กตรงหลังบ้านที่ว่า

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“อะไรกัน อยู่ ๆ ก็บอกรักกันซะงั้น แบบนี้ให้ฉันดึงมือนายอีกสักกี่ร้อยรอบก็ยังได้”

โดนบอกรักแบบไม่ทันตั้งตัวก็เล่นเอาเขินเหมือนกันเลยยิงมุกฝืดไปดอกนึง เมื่อมายังสวนหลังบ้านก็พบพื้นที่สีส้มอีกแล้ว ไม่เพียงแค่ตัวบ้านแต่พื้นด้านหลังบ้านก็ยังปูอิฐสีส้มด้วย

“อย่างกับอาณาจักรสีส้มแน่ะ ครอบครัวนายชอบสีส้มกันทั้งบ้านหรือว่าพวกเขาทำเพราะนายชอบสีส้มเนี่ย”

พอมองไปตามมือของดีนก็เห็นระเบียงของห้องห้องหนึ่ง ในตอนแรกเขานึกว่าเป็นระเบียงจากห้องรับแขก ที่แท้แล้วคือห้องนอนอีกห้องนั่นเอง หากได้นอนที่ห้องนั้นแล้วตื่นมาชมสวนจากตรงระเบียงในยามเช้าคงเป็นภาพที่งดงามมากแน่ ๆ

“เราอยู่กันตั้งหลายวัน สลับนอนทั้งสองห้องเลยได้ไหม คือฉันอยากนอนทั้งเตียงของนายที่ห้องนอนส่วนตัว แล้วก็อยากนอนห้องนี้ด้วย อ้อ แต่นายไม่ต้องห่วงเรื่องทำความสะอาดนะ ก่อนกลับค่ายฉันจะทำให้สะอาดเอี่ยมเลย”

แน่นอนว่ามันอาจเป็นคำขอที่มากไป และคนในครอบครัวของดีนอาจต้องเหนื่อยทำความสะอาดหากเขาใช้ห้องนอนสองห้อง แต่แมคเคนซีจะไม่ยอมให้ใครมาตำหนิดีนว่าเอาคนที่ไม่ได้เรื่องมาทำแฟนแน่ ๆ เพราะงั้นเขาจะลงมือทำความสะอาดห้องก่อนกลับเอง

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“สีประจำรัฐคงไม่มีผลต่อสีโปรดของนายหรอกใช่ไหม แต่ฉันอยากเห็นนายใส่ชุดวอร์มโรงเรียนนะ ถึงตอนนี้กางเกงวอร์มอาจจะกลายเป็นกางเกงขาเดฟก็เถอะ”

แน่นอน แมคเคนซีไม่เชื่อว่าดีนจะชอบสีส้มเพราะเป็นสีประจำรัฐ เช่นเดียวกับเขาที่ไม่ได้ชอบสีประจำเมืองเกิดตนเอง แต่เขาอยากเห็นดีนใส่ชุดวอร์มนั่นจริง ๆ นะ ไม่สิ…เขาอยากเห็นกระทั่งดีนสวมเครื่องแบบไฮสคูลด้วยซ้ำ แม้จะรู้ว่าตอนนี้ดีนใส่ชุดพวกนั้นไม่ได้แล้วก็ตาม

“อย่างกับนายกำลังบอกให้ฉันทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านตัวเองเลย”

พึมพำพลางเดินตามดีนไปต่อ แต่พวกเขาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากตรงพุ่มไม้ ในตอนแรกแมคเคนซีนึกว่าคงเป็นพวกกระรอกหรือไม่ก็เจ้าแรคคูนแอบมาคุ้ยขยะ แต่พอได้ยินคำพูดของดีนก็นึกไปถึงประโยคนึงที่อีกฝ่ายบอกไว้ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มออกเดินทางมาที่นี่

‘แถวบ้านฉันมอนสเตอร์มันดุ นายต้องเตรียมตัวให้พร้อมนะแมคซี่!’

ด้วยเหตุนี้แมคเคนซีจึงพกดาบสัมฤทธิ์ไว้กับตัวตลอดเวลา แต่ก็ไม่นึกว่าพวกอสุรกายมันจะชุกชุมถึงขนาดอยู่รอบ ๆ บริเวณบ้านของคนรักขนาดนี้

“แฮ่ !”

ก๊อบลินตัวเขียวตนหนึ่งโดดพรวดออกมาเมื่อดีนใช้หอกสัมฤทธิ์เขี่ยเข้าไปที่พุ่มไม้ ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหมที่พอเห็นดีนก็ดูจะหน้าถอดสี แต่พอมันเห็นเขาเข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดฮึกเหิมมาจากไหนถึงได้ทำตาวาวแล้วเรียกพวกพ้องออกมาอีกจำนวนนึง แมคเคนซีจึงชักดาบออกมาเตรียมพร้อมต่อสู้กับฝูงก๊อบลินตรงหน้า แต่คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเขาว่องไวกว่า เพราะเขายังไม่ทันเงื้อดาบ อีกฝ่ายก็เริ่มจัดการฝูงก๊อบลินแล้ว

“กิ้ว ๆ !”

ในความวุ่นวายโกลาหลนั้น อยู่ ๆ ก็มีกระรอกบินตัวหนึ่งโดดลงมาจากกิ่งไม้ บอกได้เลยว่าถ้าเบี่ยงศีรษะหลบไม่ทัน ใบหน้าหล่อเหลาของเขาคงได้มีรอยกรงเล็บของเจ้ากระรอกตนนั้นเป็นแน่

“ตัวอะไรเนี่ย”

แล้วก็ต้องอุทานออกมาด้วยความงงสุดขีด เมื่อเจ้ากระรอกบินได้กลายร่างเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ที่มีปีกเหมือนค้างคาว แต่ใบหน้ากลับมีงวงเหมือนช้าง หนำซ้ำมือและเท้ายังเหมือนกบอีกต่าหาก

“กิ้ว !”

อสุรกายตนนั้นไม่ปล่อยให้แมคเคนซีได้งงนาน มันบินโฉบลงมาทอีกครั้ง ซึ่งเขาก็สามารถโชว์ทักษะการเล่นเบสบอลอันยอดเยี่ยมของตนด้วยการฟาดดาบใส่เจ้าอสุรกายหน้าตาประหลาดตนนั้นเต็มหวดจนมันกระเด็นลอยละลิ่วไปกระแทกเข้ากับต้นไม้แถวนั้นแล้วสลายเป็นผุยผงไป

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

เมื่อกำจัดเจ้ากระรอกบินปิศาจไปได้ แมคเคนซีก็มาคอยช่วยปัดป้องคุ้มกันไม่ให้พวกเจ้าก๊อบลินกรูกันเข้าไปรุมทำร้ายดีนจนกลายกลุ่มหนูท่อหมู่ แม้ในความเป็นจริงจะดูเหมือนว่าเจ้าตัวเขียวพวกนั้นมีเป้าหมายเป็นตัวเขาเอง ส่วนดีนเป็นฝ่ายคอยจัดการส่งพวกมันกลับไปยังทาร์ทารอสก็ตาม เขาได้ยินเสียงคุณโดนัลด์กับคุณไมค์ หางตาเหลือบไปเห็นทั้งคู่กำลังยืนดูอยู่พร้อมอาวุธครบมือ จนกระทั่งดีนบอกให้ไปหาที่หลบก่อน ทั้งคู่ก็ทำตามแต่โดยดี จนกระทั่งพวกเขาจัดการมอนสเตอร์ทั้งหมดเสร็จสิ้น คุณโดนัลด์กับคุณไมค์จึงออกมาคุยด้วย และเจ้าออมเล็ตที่ไม่รู้โผล่มาจากไหน มันวิ่งออกมาแล้วตรงไปที่มุมรั้วทันที

“อุบ…”

ภาพลูกสิงโตนีเมียนคาบเอาก๊อบลินชะตาขาดขึ้นมาฉีกทึ้งร่างกินปรากฏสู่สายตาแมคเคนซีที่มองตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาถึงกับยกมือขึ้นปิดปากกลืนก้อนอาหารมื้อกลางวันที่เกือบสำรอกออกมาแล้วรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“ไม่เป็นไร ให้ตายสิ นายน่าจะบอกฉันด้วยว่านอกจากมอนสเตอร์ดุแล้ว มันยังทำรังอยู่ที่บ้านนายด้วย”

แมคเคนซีถองศอกเข้าสีข้างดีนเบา ๆ พลางหันไปกระซิบกระซาบขณะพากันเดินเข้าบ้าน ดูท่าว่าพวกเขาจะไม่ได้เที่ยวซานอันโตนิโอกันอย่างสงบสุขเสียแล้วสิ

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

แล้วก็มาถึงเวลามื้อเย็น ในตอนแรกแมคเคนซีนึกว่าครอบครัวของคนรักจะต้อนรับเขาด้วยอาหารแม็กซิกันอย่างที่ดีนเคยบอกไว้ตอนอยู่ในรถไฟเสียอีก แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือซันเดย์โรสต์จานโต พร้อมด้วยเครื่องเคียงมากมายตามแบบฉบับชาวอังกฤษที่เห็นแล้วชวนให้นึกถึงประเทศบ้านเกิด

“ขอบคุณครับ”

แมคเคนซีรับเบียร์มาพร้อมกับยิ้มให้คุณโดนัลด์และคุณไมค์ จากนั้นก็ไม่รีรอที่จะเปิดป๋องแล้วกระดกดื่มไปอึกใหญ่แก้กระหาย แล้วเหลือบมองดีนที่ใช้คำว่า ‘ลูกเขย’ แทนตัวเขา

“จะแฟนหรือลูกเขยก็ได้ทั้งนั้น สามียังได้เลย โอ้ ขอโทษนะครับ ผมแค่แกล้งดีนเฉย ๆ”

แมคเคนซีวางกระป๋องเบียร์ลงแล้วหันมายิ้มตอบคนรัก ก่อนจะรีบหันไปขอโทษขอโพยคุณพ่อทั้งสองหลังได้ยินเสียงมีดหรือส้อมหล่นกระทบจานดัง ‘แคร๊ง !’ จากใครคนใดคนหนึ่ง น่าเสียดายที่คุณมาเรียนน่าผู้เป็นแม่ของดีนไม่อยู่บ้าน คงต้องรอทักทายเธออีกทีในวันแตงส์
กิฟวิ่ง

“ขอบคุณ….ว้าว รสชาติแบบนี้เหมือนที่ผมเคยทานตอนอยู่บ้านที่อังกฤษเลย อร่อยมากครับ”

หลังกล่าวขอบคุณดีนที่จิ้มเนื้ออบให้แล้วแมคเคนซีก็ลองชิมดู สาบานเลยว่าเขาไม่ได้พูดเกินจริง ซันเดย์โรสต์ฝีมือคุณโดนัลด์อร่อยไม่แพ้ฝีมือคุณแม่บ้านที่บ้านลินคอล์นเลย ยิ่งทานกับเครื่องเคียงแล้วก็ยิ่งชูรสของเนื้อให้มีความอร่อยยิ่งขึ้นไปอีก

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

แน่นอนว่าแมคเคนซีไม่ปล่อยให้คำชวนของคุณโดนัลด์เสียเปล่า เขาทานมื้อเย็นเข้าไปเยอะมากอย่างที่ไม่ได้ทานจนอิ่มขนาดนี้มานาน จากนั้นก็ไปช่วยดีนล้างจาน ปล่อยให้ผู้ปกครองทั้งคู่ของคนรักได้พักผ่อนกัน

“ได้เลย นายนอนไหนฉันนอนนั่น”

หนุ่มอังกฤษที่กำลังมองเจ้าสิงโตนีเมียนตัวน้อยหลับสบายหลังจากที่ไปล่าเหยื่อมาพยักหน้ารับเห็นด้วยกับข้อเสนอของดีน ยังไงพวกเขาก็ยังอยู่ที่นี่กันอีกหลายวัน ต้องมีสักวันล่ะน่าที่เขาจะได้นอนห้องอีกฝ่าย

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“ก็ดี เมื่อกี้ฉันดื่มไปเยอะด้วยสิ คืนนี้ฉันอาจหลับสนิทจนไม่ได้ยินเสียงมอนสเตอร์พวกนั้นเลยก็ได้”

เบียร์เท็กซัสรสชาติดีใช่ย่อย เขาน่าจะดื่มไปเยอะพอ ๆ กับที่ทานซันเดย์โรสเลยทีเดียว ด้วยปริมาณขนาดนั้นก็ทำเอาคนที่คอแข็งพอควรอย่างแมคเคนซีเริ่มกรึ่ม ๆ ไปได้เหมือนกัน

“หือ…นายชวนฉันอาบน้ำตอนกลางคืนที่ฟ้าสว่างแบบนี้งั้นเหรอ”

หลุบตาลงมองคนที่โอบเอวตนเองอยู่ ใบหน้าที่แดงฝาดไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ยิ้มกว้างแบบไม่เห็นฟันจนตาแทบปิด มือสองข้างยกขึ้นประคองแก้มคนรักไว้ นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยที่แก้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบ

“ห้องน้ำบ้านนายเก็บเสียงไหมที่รัก”

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

ให้ตายสิ เขาชอบเวลาที่อีกฝ่ายค่อย ๆ จูบตามส่วนต่าง ๆ บนใบหน้าของเขาชะมัด ไม่ต้องบอกดีนก็คงจะเห็นว่าตอนนี้เขายิ้มจนเห็นฟันขาวไปหมด

“แน่นอน ฉันอาบน้ำเบาสุด ๆ แต่อย่างอื่นน่าจะไม่”

เขาปล่อยให้ดีนจับมือพาไปยังห้องน้ำที่อยู่ติดห้องที่พวกเขาจะใช้นอนกันในคืนนี้ แต่กว่าจะได้นอนก็คงใช้เวลาอาบน้ำกันนานสักหน่อย




ตื่นรู้ +2 จากการพิชิตอิมป์ครั้งแรก
สินสงคราม : ผงพิษอิมป์ 1 หน่วย

@God

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 53098 ไบต์และได้รับ 30 EXP!  โพสต์ 2024-11-26 15:39
โพสต์ 53,098 ไบต์และได้รับ +5 EXP +6 เกียรติยศ จาก ต่างหูเงิน  โพสต์ 2024-11-26 15:39
โพสต์ 53,098 ไบต์และได้รับ +4 ความกล้า จาก ผ้าพันคอไหมพรม  โพสต์ 2024-11-26 15:39
โพสต์ 53,098 ไบต์และได้รับ +5 ความศรัทธา จาก แว่นกันแดด  โพสต์ 2024-11-26 15:39
โพสต์ 53,098 ไบต์และได้รับ +6 EXP +9 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก รองเท้าเซฟตี้  โพสต์ 2024-11-26 15:39

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เขตแดนเฮคาที
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
Hydro X
เวทมนต์ [II]
คบเพลิงเวท
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
รองเท้าเซฟตี้
น้ำหอม Unisex
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
สร้อยข้อมือถัก
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x3
x6
x3
x3
x3
x2
x3
x1
x1
x5
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x3
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x15
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x2
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x3
x2
x2
โพสต์ 2024-11-27 23:09:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด
234
เพื่อนบ้านคนใหม่

               4/11/2024 - 12.00 น.

               กลับมาถึงบ้านก็ได้เวลาพัก นำไอศกรีมที่ซื้อมาลำเลียงใส่ช่องฟรีซ จากนั้นก็รับประทานอาหารกลางวันที่ซื้อมาจากฟู้ดมาร์ท ดีที่ถุงอาหารร้อนอยู่ที่แมคเคนซีไม่อย่างนั้นมีหวังชุดไก่ทอดที่ซื้อมาต้องเปียกแฉะเคล้ากลิ่นคาวปลาจากสระน้ำสวนสาธารณะด้วยเป็นแน่

               ดีนนอนเอกเขนกบนโซฟารับแขกตัวยาวมือนึงถือกระดาษห่อไก่ทอดไม่มีกระดูกกิน อีกมือกุมรีโมทโทรทัศน์ เป็นภาพที่ถ้าแม่มาเห็นต้องถูกเอ็ดแน่ ๆ ส่วนแมคเคนซีนั่งกินบนโซฟาเช่นเดียวกันในท่าทางที่สุภาพกว่ากันมาก ช่องโทรทัศน์ถูกกดเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ด้วยอารมณ์เบื่อหน่าย

               “เวลาแบบนี้ในวันทำงานไม่มีช่องอะไรที่น่าดูเลยหรือไงนะ”

               โทรทัศน์ดูจะเป็นสิ่งเดียวที่พอจะสร้างความบันเทิงใจให้แก่สองหนุ่มเดมิก็อดได้ในเวลานี้ ถึงจะกลับมาบ้านแต่ก็ยังไม่ควรใช้ไวไฟเชื่อมต่อสัญญาณโทรศัพท์มือถือ แม้จะจัดการปิดโพรงก๊อบลินเรียบร้อยแต่ก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี ไม่รู้ว่าคลื่นสัญญาณจะนำพาอะไรมาหา จะเป็นก๊อบลินอีกฝูงหรืออสุรกายตนอื่นที่เหนือชั้นกว่า หน้าจอโทรทัศน์แอลอีดีเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ แต่ก็หยุดลงแล้วย้อนกลับไปช่องเมื่อกี้หลังดีนมองเห็นสิ่งที่พอจะดึงดูดความสนใจจากเขาได้

               “ภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นยังไม่มีหิมะปกคลุมยอดเขาจนถึงขณะนี้ ถือเป็นการรอคอยหิมะที่นานที่สุดในรอบปี นับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติมาเมื่อหนึ่งร้อยสามสิบปีก่อน ตามปกติยอดเขาของภูเขาไฟฟูจิมักจะมีหิมะปกคลุมตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม แต่ในปีนี้ เข้าเดือนพฤศจิกายนแล้วกลับยังไม่มีหิมะตกเลยเนื่องจากสภาพอากาศที่อบอุ่นผิดปกติ”

               ดูข่าวไปหัวคิ้วเข้มก็ขมวดมุ่นเข้าหากัน เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะปรากฏการณ์รัตติกาลหายสาบสูญซึ่งล่วงเลยมาแล้วเกือบเดือน แม้ว่าดีนจะทำตัวเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ไม่ค่อยใส่ใจกับเหตุการณ์นี้ แต่ความจริงแล้วเขาก็ค่อนข้างเป็นกังวลกับสภาพโลกในปัจจุบันไม่แพ้ใคร แต่ด้วยความที่ถูกภารกิจคราวก่อนบั่นทอนร่างกายจิตใจทำให้เขาค่อนข้างเข็ดหลาบกับการรับภารกิจเดินทางอีกรอบ

               ‘ไม่อยากไปแล้วทำผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง…’

               ครั้งที่แล้วพลาดถูกหลอกปลดผนึกคธูลฮูให้เทพโลกิตัวร้ายนำไปใช้งาน ดีนกลัวเหลือเกินว่าความผิดนั้นจะส่งผลทำให้โลกวิบัติอยู่ในขณะนี้

               ‘แต่ถ้าไม่ไปจะเป็นการทำผิดครั้งที่สองหรือเปล่านะ…’

               ความกังวลใจทำให้ไม่สามารถนอนเอกเขนกอย่างในตอนแรกได้ ดีนจึงผุดลุกขึ้นมากัดไก่ทอดที่ถือไว้ในมือจนหมด โทรทัศน์ถูกกดปุ่มปิดสร้างความงุนงงแก่แมคเคนซีที่นั่งอยู่ใกล้กัน แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายเอ่ยถามดีนก็หยิบดรักม่าขึ้นมาเหรียญหนึ่ง จากนั้นโยนมันขึ้นฟ้า

               ‘ติดต่อหาซันซ์’

               เพียงแค่จิตปรารถนาภาพสีรุ้งก็ฉายสะท้อนลงไปบนจอทีวีเงาวับ ภาพของน้องชายร่วมสายเลือดที่คุ้นหน้าคุ้นตา แต่ว่าตอนนี้หมอนี่ดูตาโหล ๆ ชอบกล

               “เฮ้ ซันซ์ ฉันอยู่นี่ นายเห็นฉันไหม?”

               หลังได้ยินเสียงทักเจ้าของชื่อก็ทำตาโตเหมือนเห็นผี ทางฝั่งของ ซันซ์ มาเดิล เคานต์ เห็นภาพสะท้อนของดีนผ่านถ้วยชาเขียว ใบหน้าของดีนจึงเขียวไม่ต่างอะไรกับก๊อบลินตัวใหญ่ที่มีหนวดหรอมแหรมสะท้อนอยู่

               “เห็น.. เห็นแล้ว จู่ ๆ ติดต่อมาหาตอนตีสามนายมีอะไรเนี่ย”

               “ตีสาม? ตอนนี้มันแค่เที่ยงไม่ใช่เหรอ? ไม่สิ ที่ลองไอแลนด์ก็น่าจะบ่ายโมง”

               “ไม่ ๆ ตอนนี้ฉันอยู่ที่โตเกียว มาช่วยงานไทสันน่ะ”

               ซันซ์แถลงไขเหตุที่นาฬิกาของพวกเขาทั้งสองต่างกันถึงสิบห้าชั่วโมง ส่วนไทสันที่อีกฝ่ายพูดถึงคือพี่ชายต่างมารดา ดีนไม่เคยเจอเพียงแค่ได้ข่าวว่ามาค่ายและรู้จักเพียงชื่อแค่นั้นเอง

               “ช่วยงาน.. มีภารกิจอะไรงั้นเหรอ แล้วนี่นายตอนนี้ยังไม่นอน?”

               “เอ่อ…”

               ใบหน้าที่มองผ่านจอโทรทัศน์มีท่าทีอึกอักราวกับไม่อยากกล่าวถึงเหตุที่เขามาโตเกียว หลังจากดีนกลับมาจากท่องเที่ยวระยะยาวรอบก่อนเคยบอกกับซันซ์ไว้ว่า ‘ฉันไม่อยากตรวจเช็คบอร์ดหิน ไปดูทีไรมีแต่เรื่องหนักใจทุกที’ และพนันได้เลยว่าหากดีนรู้ว่าพ่อของพวกเขาทำน้ำท่วมสถานีรถไฟโตเกียวจะยิ่งปวดหัวคูณสอง

               “ใช่ ภารกิจน่ะ วันนี้งานเยอะเลยเพิ่งเสร็จแล้วก็มากินราเม็งกันก่อนกลับค่าย ว่าแต่นายถึงบ้านแล้วสินะ บ้านสวยดีนี่นาดีน”

               “ขอบใจที่ชม ว่าแต่นายเห็นชัดขนาดนั้นเลย?” ไม่ได้ซักไซ้ถามต่อ เพราะเรื่องที่เขาร้อนใจทำให้ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องทางฝั่งซันซ์ลดน้อยลงไป จึงเปลี่ยนเป็นเข้าประเด็นในทันที “แต่ว่าช่างมันเถอะ คือฉันอยากจะถามน่ะว่า… มีใครไปรับคำทำนายบ้างหรือยัง”

               “หมายถึงเรื่องที่กลางคืนหายไปใช่ไหม? เท่าที่ฉันรู้ก็ยังไม่มีนะ”

               “งั้นเหรอ.. ไม่มีใครรับเลยเหรอ” เขาได้แต่พึมพำ

               “ใช่ แต่ก็ว่าไม่ได้ เดือนที่แล้วจนถึงเดือนนี้มีภารกิจบนกระดานเยอะแยะมากมายไปหมด ทุกคนเลยไม่ค่อยว่างกันเท่าไรน่ะ”

               “ดูท่าทางจะมีเรื่องให้ปวดหัวเยอะเลยสินะที่ค่ายน่ะ..”

               ซันซ์ไม่ตอบคำถามนั้นแต่เพียงแค่ยิ้มผ่านภาพเงา

               “นี่ดีนฟังฉันนะ นาน ๆ ทีนายจะได้กลับบ้านก็อยู่กับที่บ้านให้เต็มที่ ไม่ต้องห่วงเรื่องที่ค่ายนะโอเคไหม พวกเราจัดการกันได้”

               สงสัยว่าหน้าตาของเขาคงจะยับมาก ๆ เลยสินะซันซ์ถึงได้กล่าวเช่นนี้ออกมาแทนที่จะรบเร้าขอให้รีบกลับมาช่วยงานที่ค่าย เดมิก็อดน้อยคนนักที่พอจะมีฝีมือออกไปผจญโลกกว้างท่ามกลางอสุรกายโหดร้าย ดังนั้นการกลับบ้านแต่ละครั้งจึงเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อพวกเขาทุกคน

               ใช่ เขาควรจะซึมซับช่วงเวลาดี ๆ เหล่านี้เอาไว้แล้วทิ้งความกังวลใจทั้งหลายไปก่อน

               “ขอบคุณนะซันซ์ ฉันจะพยายามใจเย็นลง นายกินอิ่มแล้วก็อย่าเพิ่งรีบนอนเดี๋ยวเป็นกรดไหลย้อน แล้วกลับไปเจอกันที่บ—..”

               กล่าวลาไม่ทันจบคลื่นสัญญาณไอริสก็ถูกตัดขาด ช่างเป็นระบบเครือข่ายที่ห่วยแตกได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายเลยจริง ๆ

               “กังวลเรื่องที่หิมะไม่ปกคลุมภูเขาไฟฟูจิงั้นเหรอ?” แมคเคนซีที่สังเกตการณ์อย่างเงียบ ๆ มานานเอ่ยถามแฟนหนุ่มหลังจากการติดต่อกับคนที่ค่ายถูกตัดขาด

               “อืม ใช่ ยังไงการที่ไม่มีกลางคืนก็ส่งผลเสียต่อโลกอยู่แล้ว ฉันรู้ว่าเทพีคิโอเน่กำลังพยายามใช้พลังของเธอรักษาสมดุลย์อยู่ แต่ว่าเธอก็เป็นแค่มินิก็อดที่ไม่ค่อยมีคนบูชา ไม่รู้ว่าจะยังมีพลังแผ่ไอเย็นได้อีกแค่ไหน.. จริงสิ ฉันว่าฉันช่วยเสริมพลังให้เธอด้วยดีกว่า”

               กล่าวจบดีนก็ลุกพรวดออกจากโซฟา เดินเข้าห้องนอนแขกไปหยิบเทปเฮอร์มีสออกมา จากนั้นก็วนไปเปิดตู้ในครัวหยิบเอาขนมที่เจ้าตัวคิดว่าอร่อยที่สุดติดมือมาด้วย

               “นายทำอะไร อย่าบอกนะว่าจะส่งโดริโทสไปให้เทพีน่ะ”

               “อ้อ ใช่ รสชีสด้วย อร่อยสุด ๆ เธอต้องชอบแน่”

               พูดจบดีนก็เขียนโน้ตเล็ก ๆ แนบไปกับถุงขนม จากนั้นติดเทปเฮอร์มีสคาดใส่พัสดุในถุงร้านสะดวกซื้อ จากนั้นถุงขนมก็กลายเป็นละอองสีทองน่าจะส่งถึงเทพีคิโอเน่ได้ในเวลาไม่ช้านาน

               อาการคิดปุ๊บทำปั๊บนี้ทำให้แมคเคนซีได้แต่หัวเราะหึหึ ร่างสูงลุกขึ้นขยับเข้าไปนั่งข้างคนรัก มือทั้งสองจับไหล่กว้างของดีนเอาไว้ บังคับให้คนตรงหน้าต้องหันมาสบตาโดยอัตโนมัติ

              “ฉันรู้ว่านายกำลังคิดอะไรอยู่ดีน ตอนนี้นายควรพักผ่อนแล้วลืมเรื่องที่ค่ายไปก่อน ไม่งั้นกว่าจะถึงวันกลับนายอยู่ไม่สุขแน่ ๆ เอาไว้ถึงตอนนั้นถ้าจะไปกู้โลกฉันก็จะไม่ห้าม หรือถ้าไม่ไปก็ไม่บังคับ”

               ดีนอึ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหลุบสายตาลง เอนหน้าผากพิงซบไหล่กว้าง จากนั้นอ้อมกอดอุ่นก็คอยประคองเขาเอาไว้

               “ฉันแค่รู้สึกว่าหลาย ๆ คนเอาแต่ตั้งความหวังไว้ที่ฉันที่เป็นลูกของโพไซดอน ที่ไม่มีใครเริ่มขยับเลยอาจเป็นเพราะแบบนั้น กับแค่รับคำทำนายมาก่อนจะได้รู้ว่าต้องทำอะไรมันก็เป็นเรื่องง่าย ๆ ไม่ใช่เหรอ แต่ว่าถ้ารับแล้วก็ต้องไปทำ เพราะงั้นเลยไม่มีใครอยากไปหาคุณเรเชล”

               พรูหายใจหนักออกมา การเป็นลูกของสามมหาเทพไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ต้องแบกความหวังของมวลมนุษยชาติ ไอ้พวกเทพเจ้านี่ก็ชอบก่อเรื่องกันจัง น่าหงุดหงิดเป็นบ้า! แต่พอคิด ๆ ดูตามจริงแล้วคนที่แบกรับแรงกดดันนี้อาจไม่ใช่แค่เขาเพียงคนเดียวแต่ยังมีเอมีเลีย ไทสัน รอฟีอัส อเล็กเซย์ ซันซ์ และเลนน็อค ที่มีสายเลือดของสามมหาเทพไหลเวียนอยู่ในตัว

               “อย่ากดดันตัวเองมากไป น้องชายนายก็พูดเมื่อกี้นี่ว่าไม่ต้องคิดมากทุกคนจัดการได้ ช่วงนี้นายก็แค่เครียดที่นอนหลับไม่พอ ฮอร์โมนอะไรนะที่นายบอกว่าจะทำงานได้ดีตอนกลางคืน”

               “โกรทฮอร์โมนเหรอ หรือว่าเมลาโทนินที่ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นในเวลากลางคืน อืม.. น่าจะใช่ ไม่มีที่ไหนมืดเท่าห้องนายอีกด้วย”

               “ออกจากค่ายมาแค่สี่วันก็คิดถึงห้องฉันแล้วเหรอ แล้วแบบนี้พอจะแทนกันได้ไหม?”

               มือใหญ่คลายกอดออกข้างหนึ่งก่อนจะเลื่อนมาปิดช่วงตา ภาพที่เห็นจึงมืดสนิทยิ่งกว่าช่วงเวลากลางคืน ราวกับว่ามือนี้มีเวทมนตร์ที่เมื่อทาบปิดก็ทำให้เกิดอาการง่วงขึ้นมา ความสบายนี้ทำให้ใบหน้าเป็นกังวลเกิดรอยยิ้มขึ้นมาแทนได้

               “แมคซี่ฉันรู้สึกดีจัง แล้วก็เริ่มจะง่วงขึ้นมาแล้วสิ…”

               “ถ้าง่วงก็นอน ฉันจะเสกมนต์ให้นายหลับเอง”

               คำพูดล้อเล่นทำให้ดีนเชื่อสนิทใจจนเขาหัวเราะน้อย ๆ ออกมา ก็อีกฝ่ายเป็นบุตรชายของเทพีเฮคาทีทั้งทีจะไม่ให้เชื่อได้ไงว่าร่ายมนตราได้จริง

               “โอเค.. งั้นตอนเย็นค่อยตื่นมาเตรียมมื้อค่ำกันที่รัก”

                แม้ดวงตาจะปิดปรือไปจนมองสิ่งใดไม่เห็น แต่ริมฝีปากก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสนุ่มที่ทาบลงมาจนแน่นสนิทก่อนสติจะดับลง

               .
               .
               .

               17.00 น.

               ได้นอนกลางวันไปหนึ่งตื่นทำให้สดชื่นสดใสขึ้นมามาก ตอนนี้มีแรงมาเตรียมมื้อเย็นต่อแล้ว!

               ดีนรับหน้าที่เป็นเฮดเชฟประจำครัวเย็นวันนี้และมีแมคเคนซีเป็นซูเชฟผู้ช่วยงานครัว เมนูที่พวกเขาตัดสินใจทำเพื่อพิสูจน์ฝีมือว่าทำครัวไม่ไหม้คือ ‘ชนิทเซิล’ เนื้อทอดสไตล์ออสเตรียที่หารับประทานได้ทั่วไปไม่ต้องบินไปไกลถึงยุโรป เพียงแค่มีวัตถุดิบหลักอย่างเนื้อสัตว์ เกล็ดขนมปัง ไข่ไก่ และแป้งทอดกรอบ ก่อนหน้านี้ดีนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทอดไก่ในร้านสะดวกซื้อมาแล้วดังนั้นงานนี้ไม่มีคำว่าพลาด!

               ดีนจัดการเนื้อสัตว์ส่วนแมคเคนซีรับผิดชอบทอดเฟรนฟราย ถึงจะบอกว่าตนเป็นเฮดเชฟในวันนี้แต่ก็ไม่มีอะไรยาก เริ่มแรกจากการหั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นสเต็กจากนั่นก็ทุบจนแบนและขยายออกข้างแล้วนำไปเข้าตู้เย็นพักเอาไว้ประมาณสิบนาที ระหว่างนั้นเตรียมแป้งสำหรับทอด ผสมแป้งอเนกประสงค์ ไข่ไก่ เกลือ และผงปาปริก้า เติมน้ำเย็นเพียงเล็กน้อยก่อนจะคลุกเคล้าให้เข้ากัน นำเนื้อหมูที่พักเอาไว้มาคลุกกับแป้งแล้วหมักต่อในตู้เย็นอีกครึ่งชั่วโมง ช่วงรอเวลาก็ไปรดน้ำต้นไม้รอบบ้านให้พ่อจากนั้นก็กลับมาเตรียมอาหารต่อ

               เนื้อหมูที่หมักไว้เข้าแป้งได้ดีทีเดียว เขานำมันไปคลุกกับเกล็ดขนมปังจนทั่ว จากนั้นก็ได้เวลาทอดในหม้อ บทเรียนที่ได้จากการเป็นพนักงานร้านฟาสต์ฟู้ดคือ เวลาทอดเนื้อให้ได้ความร้อนทั่วถึงไม่อมน้ำมัน ๆ ต้องท่วมเนื้อและได้อุณหภูมิตามที่กำหนด หากไม่ใช่โปรเฟสเชินเนิลหรือกำลังแข่งขันอยู่ในรายการมาสเตอร์เชฟก็ควรใช้เครื่องทุ่นแรง อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้คือเครื่องวัดอุณหภูมิและตัวจับเวลา อย่าอายที่จะใช้มันหากอยากรับประทานเนื้อทอดที่กรอบนอกนุ่มในและสุกสม่ำเสมอทั้งชิ้น

               ฉ่าาา

               ยืนมองชิ้นเนื้อที่ค่อย ๆ ถูกน้ำมันร้อน ๆ ทอดจนสีสันออกมาเหลืองทองอร่าม นาฬิกาจับเวลาร้องติ๊ดก็ได้เวลาเอาเนื้อชิ้นแรกขึ้นจากหม้อทอดรองน้ำมันออกด้วยตะแกรง เมื่อลองหั่นเทสดูเนื้อด้านในเป็นสีขาวสุกกำลังดีไม่โอเวอร์คุ้กเกินไปก็ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อ ไม่ได้ทอดอาหารมาตั้งนานหลังจากลาออกจากเวนดีส์ ถือว่าฝีมือยังไม่ตก

               “แมคซี่ ทางนายเป็นไงบ้าง”

               เอ่ยถามคนข้าง ๆ ที่ยืนทอดเฟรนฟรายสไตล์ครินเกิลคัทจากอีกหัวเตา

               “โอเคนะ นายคิดว่าเฟรนฟรายประมาณนี้เป็นไง ไม่แข็งไม่นุ่มเกินไป กรอบกำลังดี”

               “เอาตามที่นายชอบเลยที่รัก อ้อ ชนิทเซิลต้องกินคู่กับมะนาว นายช่วยเอามะนาวในตู้เย็นมาหั่นเป็นสี่ส่วนที”

               “ได้เลย”

               หลังรับคำแมคเคนซีก็จัดการหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายต่อ ส่วนดีนทอดเนื้อทีละชิ้นต่อจนครบสี่ เป็นเวลาเดียวกับที่เขาได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้านและประตูโรงรถเปิดพอดี

               “พวกเรากะเวลาได้พอดีเป๊ะเลยแฮะ เก่งมาก เจ๋งแจ๋ว!”

               ทั้งสองแปะมือกันหลังภารกิจพิชิตสนิทเซลสำเร็จได้ตื่นรู้กันคนละสองหน่วยถ้วนหน้า…


               “วันนี้เป็นไงบ้างสองหนุ่ม ทำอะไรเป็นมื้อค่ำกันเนี่ย โห หน้าตาน่ากินแฮะ” โดนัลด์โผล่หน้าออกมาก่อน เขามองชนิทเซิลที่แมคเคนซีกำลังตกแต่งจานด้วยสีหน้าประหลาดใจ

               “เอามาห้าดอลลาร์เลยดั๊ค บอกแล้วว่าพวกหลานทำได้” ตามมาด้วยไมค์ที่แบมือไปทางคนรัก

               “หา ยังไงนะ ลุงพนันข้างผมเหรอ? แล้วไหงพ่อคิดว่าผมทำไม่ได้ล่ะ” นี่สิที่น่าประหลาดใจกว่า ลุงไมค์เป็นคู่แข่งแท้ ๆ แต่กลับลงเงินฝั่งเขาซะอย่างนั้น

               “โอ้ ดีน พ่อไม่ได้ดูถูกลูกนะ ก็แค่ไม่เคยกินเลยคิดว่าอาจจะมีชิ้นที่ไหม้ก็ได้” โดนัลด์ตอบก่อนจะยัดเงินใส่มือไมค์พร้อมกำชับ “เอาไปเปลี่ยนมาเป็นเบียร์เลยนะ”

               “รับทราบไม่มีปัญหา” เมื่อได้เงินมาแล้วลุงไมค์ก็เดินออกไปจากกรอบประตูครัว

               ดีนตรวจสอบความเรียบร้อยของจานอาหารในฐานะเฮดเชฟ ดูเหมือนว่ามันจะขาดตกบกพร่องอะไรไปอย่าง

             “โอ้ พระเจ้า ลืมไปเลยยังไม่ได้ทำสลัดเลยนี่นา พ่อเดี๋ยวรอแป๊บนะ ยังไม่หิวกันใช่ไหมเดี๋ยวผมทำสลัดเพิ่มก่อน”

               “ยังดีน พ่อรอได้ งั้นเดี๋ยวไปตรวจความเรียบร้อยของสวนก่อนนะ” โดนัลด์ขยิบตาให้สองหนุ่มก่อนจะเดินออกหลังบ้านไปดูสวนที่จัดการทุกอย่างให้กลับมาดูเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว

               การเตรียมสลัดก็ไม่มีอะไรยาก แค่เอาผักสลัดที่มีในตู้เย็นมาล้างให้สะอาดแล้วก็ราดครีมสลัดสำเร็จรูปลงไปแค่นี้ก็เสร็จ จากนั้นไม่นานไมค์ก็กลับมาพร้อมเบียร์กระป๋อง แล้วมื้ออาหารเย็นของวันที่สองก็เริ่มขึ้น ดูเหมือนว่าวันนี้แมคเคนซีจะคุ้นเคยกับครอบครัวของดีนมากขึ้นแล้ว

               .
               .
               .

               20.32 น.

               ปิ๊งป่อง...

               เสียงกระดิ่งดังขึ้นหลังมื้ออาหารเย็นจบลงเป็นเวลาที่ครอบครัวของดีนกำลังหาลือกันเรื่องไปเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้

               “เดี๋ยวผมไปเปิดประตูให้เอง” ดีนรับอาสาไปต้อนรับแขก ใครกันนะที่มาเยือนในยามวิกาล หรือจะเป็นแม่กลับบ้านมาแล้ว.. คงไม่ใช่หรอกมั้ง

               พอประตูไม้เปิดออกดีนก็เห็นชายหนุ่มวัยกลางคนผู้มีเรือนผมสีดำคนหนึ่งสวมแว่นตาทรงกลมและเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กำลังส่งยิ้มด้วยท่าทีประหม่ามาให้ แล้วเมื่อมองลงมาอีกนิดเขาเห็นเด็กผู้ชายผมดำวัยประมาณรีชายืนถือกล่องของขวัญอยู่ข้าง ๆ

               “สวัสดีครับ เอ่อ.. ผมฌอน แคตต์ ส่วนนี่ลูกชายผมเชมัส พวกเราเพิ่งย้ายบ้านมาใหม่เมื่อไม่กี่วันนี้เอง ต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนเวลามื้อเย็น เอ่อ.. พวกเราเอาของฝากมาให้”

               จากน้ำเสียงตะกุกตะกักรู้ได้ทันทีว่าเพื่อนบ้านคนใหม่เกรงใจแค่ไหนที่มากดกริ่งรบกวนพวกเขายามวิกาล แต่ยังไม่ถึงเวลาสามทุ่มไม่น่าจะถูกเรียกตำรวจมาลากคอ เชมัสยื่นกล่องขนมมาที่ดีนมันคือช็อกโกแลตราคาแพงที่ไม่มีขายในร้านสะดวกซื้อ นับว่าเป็นของดีเลยทีเดียว ซึ่งดีนไม่ปฏิเสธน้ำใจของแขกและรับมาไว้อย่างแน่นอน

               “โอ้ ขอบคุณครับ พวกคุณเพิ่งย้ายมาเหรอ อยู่บ้านหลังไหนกันครับเนี่ย ลืมแนะนำตัวไปเลย ผมชื่อดีน ส่วนครอบครัวเรา… เรียกบ้านส้มก็ได้ คนแถวนี้ใคร ๆ ก็เรียกเราว่าแบบนี้กันทั้งนั้น”

               “ใครมาเหรอดีน?” เสียงแว่วถามดังมาจากโต๊ะอาหาร

               “อ้อ เพื่อนบ้านใหม่น่ะครับพ่อ เขาเอาขนมมาให้” ดีนตอบ

               “งั้นเหรอ ชวนแขกเข้ามานั่งเล่นก่อนสิ” ไมค์บอกอีกที เรื่องมันก็เลยเป็นแบบนี้แหล่ะ

               “ถ้าไงก็เชิญเข้ามานั่งเล่นก่อนสิครับ”

               ดีนเปิดประตูกว้างขึ้นด้วยอัธยาศัยไมตรีและตามคำสั่งของผู้ปกครอง เห็นแบบนี้เพื่อนบ้านขี้เกรงใจก็อดที่จะเข้ามาตามคำเชิญอย่างเสียมิได้ ทั้งที่คิดว่าจะมาทักทายตามมารยาทแป๊บเดียวเท่านั้นเอง จากนั้นการแนะนำตัวก็เกิดขึ้น ไมค์ยื่นเบียร์กระป๋องให้กับฌอนดื่ม เมื่อได้ฤทธิ์แอลกอฮอล์สักหน่อยเพื่อนบ้านก็สนทนาได้อย่างลื่นไหลกว่าเดิม ส่วนเชมัสได้ไอศกรีมรสคุ้กกี้แอนด์ครีมเป็นค่าทำขวัญระหว่างรอผู้ใหญ่คุยกัน

               “ผมเพิ่งย้ายที่อยู่มาที่ซานอันโตนิโอเมื่อไม่กี่วันนี้เอง กว่าจะจัดการบ้านเช่าเสร็จถึงได้มาทักทายเนี่ยล่ะครับ”

               “พวกคุณย้ายกันมาจากที่ไหนนะ”

               “ตอบลำบากจัง คือพวกเราสองพ่อลูกไม่มีที่อยู่ประจำกันน่ะครับ ผมต้องเปลี่ยนที่ทำงานทุกสามปี ก่อนหน้านี้ก็ไปอยู่ที่เมลเบิร์นกันมา”

               “เมลเบิร์น… รัฐไหนนะ?” โดนัลด์ทำหน้าฉงน พอเป็นเรื่องที่ไกลจากเท็กซัสก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไร

               “เมลเบิร์นไม่ได้อยู่ในสหรัฐฯ ครับพ่อ แต่เป็นออสเตรเลียใช่ไหมครับคุณแคตต์?” ดีนตอบพ่อ แต่เพื่อความชัวร์เขาถามเจ้าของเรื่องเพื่อความแน่ใจดีกว่า

               “ใช่ครับ แต่ความจริงพวกเราเป็นคนไอร์แลนด์น่ะ แต่ว่าไม่มีบ้านที่ไอร์แลนด์แล้วครับ” คนเป็นพ่อตอบแต่คนลูกเงียบกริบ เชมัสนั่งนิ่งเงียบกริบแล้วปั้นหน้ายิ้มเหมือนกับเมคเคนซีที่ไม่มีบทในตอนนี้

               “แล้วตอนนี้ลูกชายคุณได้โรงเรียนหรือยัง โรงเรียนที่ดีนเรียนก็ดีนี่ใช่ไหม?” ไมค์ถาม

               “ใช่ครับลุง เป็นระบบเคสิบสองด้วย วันนี้ผมก็เพิ่งพาแมคซี่ไปขี่จักรยานชมโรงเรียนเก่ากันมาเอง” ดีนเล่าเรื่องราวของวันโดยไม่ได้กล่าวถึงช่วงเวลาประสบภัยกับอสุรกายตัวใหม่ที่ไม่ทราบชื่อ เขาจึงเรียกมันว่า ‘ปีศาจเม่น’ ไปก่อน

               “ดูออนไลน์ไว้บ้างแล้วครับแต่ยังไม่ได้พาไปดูสถานที่จริง ผมกะจะให้เชมัสเข้าเรียนในเทอมที่สองต้นเดือนมกราคมนี่แหล่ะครับ ส่วนตอนนี้… ต้องหาแนนนี่ให้แกตอนที่ผมไปทำงาน”

               “แนนนี่เหรอ อีกแค่เดือนเดียวไม่ต้องก็ได้ ยังไงช่วงนี้ดีนก็ว่างอยู่แล้วนี่ใช่ไหม”

               คำพูดของพ่อทำเอาดีนแทบสำลักเบียร์ในจังหวะยกดื่ม ไหงถึงได้มีชื่อเขาขึ้นมาในบทสนทนาได้ล่ะเนี่ย

               “หา! อะไรนะพ่อ เมื่อกี้ว่าไงนะ!?”

               “ก็ช่วงนี้ลูกว่างไม่ใช่เหรอ ยังไม่ต้องกลับไปค่า—.. หมายถึงนิวยอร์ก ยังไม่ต้องทำงาน ยังไงก็รับจ๊อบเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้เพื่อนบ้านเราหน่อยเป็นไง”

               นี่ไง ออกจากค่ายมาได้ไม่เท่าไรงานพี่เลี้ยงเด็กก็กลับมาหาอีกรอบ…

               “อย่าพูดเองเออเองสิพ่อ! จ้างแนนนี่กับฝากคนข้างบ้านดูแลมันไม่เหมือนกัน อีกอย่างไม่ให้คุณแคตต์เขาตัดสินใจเองเหรอ”

               “เอาจริง ๆ ผมยังติดต่อหาแนนนี่ไม่ได้เลยครับ ทุกวันนี้เลยต้องพาเชมัสไปที่ไซต์งานด้วยทุกวัน.. แต่—” ยังไม่ทันที่ฌอนจะพูดต่อก็ถูกโดนัลด์แทรกขึ้น

               “เห็นไหมล่ะเพื่อนบ้านลำบาก เราต้องช่วยสิใช่ไหม”

               เหตุผลที่พ่อยกมาก็ทำเอาเถียงไม่ออกอยู่นะ ในวัยเด็กดีนเคยต้องอยู่ที่อะพาร์ตเม้นต์เพียงลำพังในช่วงปิดเทอมตอนที่ทุกคนในบ้านไปทำงาน มันไม่ค่อยโอเคเท่าไรในด้านความปลอดภัยและอาหารการกิน

               “โอเค ๆ ผมรับปากช่วยก็ได้ ยังไงก็ว่างอีกเป็นเดือนเลย”

               “ขอบคุณนะครับคุณนีล ผมเกรงใจจัง ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจ่ายค่าจ้างให้เท่ากับที่จ้างแนนนี่เลย”

               พอได้ยินคำว่าเงินก็ตาโต แถมค่าจ้างของแนนนี่ก็ไม่ใช่ถูก ๆ ถ้าเพื่อนบ้านยินดีที่จะจ่ายให้แล้วล่ะก็.. ใบหน้าจากที่เคยเป็นกังวลพลันเบิกบานขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าจะมีเงินก้อนใหญ่เข้ากระเป๋า

               “ยินดีครับ เดี๋ยวผมสอนภาษาสเปนแบบงู ๆ ปลา ๆ แถมให้ด้วย ยังไงก็ต้องอยู่ที่เมืองนี้อีกประมาณสามปีใช่ไหม ภาษาสเปนก็สำคัญเหมือนกันนะ”

               สองครอบครัวสนทนากันต่ออีกสักครู่ก็ได้เวลาส่งแขกแล้วต่างแยกย้ายกันไปเข้านอน

แบบฟอร์มถวายของ
(โดยเทปเฮอร์มีส)
ชื่อของคุณ: ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล
ของที่ถวาย: มันฝรั่งทอด
เทพที่ถวายของ: คิโอเน่
คำพูดที่อยากคุยกับเทพ:
"สวัสดีครับพี่สาวคิโอเน่คนสวย
ผมดีนเจ้าเก่าเจ้าเดิม
ตอนนี้ผมกลับมาบ้านที่เท็กซัส ดูโทรทัศน์เห็นข่าวว่าภูเขาไฟฟูจิไม่มีหิมะปกคลุม เป็นเรื่องผิดปกติในรอบร้อยกว่าปี
เลยส่งเสบียงมาเติมพลังให้ครับ เอาไว้ถ้าได้ออกไปเที่ยวข้างนอกเดี๋ยวผมหาของฝากที่ดีกว่านี้ให้
จาก ดีน นีล"
------------------------------------------------------------
HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+25
------------------------------------------------------------
ใช้เครือข่ายไอริสติดต่อหา [ซันซ์ มาเดิล เคานต์]
ขอโอนเงินในระบบแบบเหมา ๆ (1/5)

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-25] คิโอเน่ เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2024-11-27 23:31
โพสต์ 62951 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2024-11-27 23:09
โพสต์ 62,951 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 ความกล้า จาก แว่นตา  โพสต์ 2024-11-27 23:09
โพสต์ 62,951 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +8 ความศรัทธา จาก GPS ทะเล   โพสต์ 2024-11-27 23:09
โพสต์ 62,951 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] เกียรติยศ จาก ตรีศูลน้อย  โพสต์ 2024-11-27 23:09
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่แห่งเกียรติยศ
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
แว่นตา
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
น้ำหอม Unisex
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x60
x1
x1
x1
x4
x1
x1
x1
x3
x1
x1
x1
x1
x2
x2
x1
x1
x1
x6
x4
โพสต์ 2024-12-13 16:30:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2024-12-13 16:32

239
แม่กลับบ้าน


               15/11/2024                              
                                                            
               กิจวัตรยามเช้าของดีนเริ่มลงตัวมาได้หลายวันแล้ว ตั้งแต่ที่รับหน้าที่ดูแลเด็กชายเชมัส แคตต์ ในฐานะพี่เลี้ยงเด็ก ดีนกลับมาตื่นเวลาเดิมเหมือนตอนอยู่ค่ายฮาล์ฟบลัด เขาออกมาวิ่งจ๊อกกิ้งแต่เช้าตรู่ พยายามทำร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอเพราะโลกใบนี้มีแต่ภัยอันตรายรออยู่ แถมตะวันที่ส่องกลางหัวทั้งที่เป็นเวลาเช้ามืดเป็นหลักฐานบ่งบอกอย่างชัดเจนว่ายังไม่มีใครสำเร็จภารกิจทวงคืนรัตติกาล ไม่สิ.. ต้องบอกว่ายังไม่มีคนไปรับคำทำนายเลยเห็นจะจริงกว่า ไม่อย่างนั้นรีชาต้องรีบโทรมาบอกเล่าสถานการณ์ผ่านเครือข่ายไอริสแล้ว
                                                            
               ระหว่างที่จ๊อกกิ้งไปตามตรอกซอกซอยที่คุ้นเคย เห็นบางบ้านเริ่มขนเอาต้นสนมาตั้งรอหน้าบ้านตั้งแต่ยังไม่ถึงวันขอบคุณพระเจ้าเลยด้วยซ้ำ ดีนจึงปิ๊งไอเดียนึงขึ้นมาได้ เด็ก ๆ น่ะชอบคริสต์มาสกันจะตายไป ไม่มีใครที่ไม่รอของขวัญวันคริสต์มาสจากซานตาคลอสหรอก ถึงแม้จะรู้ว่าซานตาคลอสไม่มีจริงแต่เป็นพ่อแม่ที่เอาของขวัญมายัดใส่ถุงเท้าก็ตามที ทว่าชาวค่ายฮาล์ฟบลัดเป็นบุตรและธิดาของเทพเจ้ากรีกน่าจะอดของขวัญเหล่านั้น พนันได้เลยว่าโอลิมปัสไม่มีคริสต์มาสแน่ ๆ
                                                            
               ‘เอาไว้สายกว่านี้ค่อยส่งข้อความไปหาซันซ์แล้วกัน…’
                                                            
               ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของเดมิก็อดสายเลือดมหาเทพโพไซดอนผู้ยิ่งใหญ่ จะแพร่กระจายไปในหมู่อสุรกายระดับล่างในซอยถนนลองครีก ตั้งแต่ที่ดีนตบแก๊งปีศาจเม่นไปยกฝูงรวมถึงแวนมีเทอร์นักซิ่งลอยฟ้าจนสลบกลับไปพบยมบาล เขาก็ไม่เจอพวกกีกี้ตามปองร้ายอีก จะเห็นก็แต่หลังสีเขียว ๆ หรือเม่นตัวเล็ก ๆ วิ่งสองข้าหนีเข้าพงไปตอนที่ดีนวิ่งผ่านไว ๆ
                                                            
               อยากจะรู้จริง ๆ ว่าอสุรกายเหล่านั้นซุบซิบนินทากันว่ายังไง ‘ระวัง! เดมิก็อดแสงออกเท้ามาเยือน ย้ำอีกครั้ง! ระวังเดมิก็อดแสงออกเท้ามาเยือน หากพบเห็นให้รีบเข้าที่ซ่อน อย่าคิดซ่าไม่งั้นกลายเป็นผงแน่!’ อะไรทำนองนี้หรือเปล่า? แต่จะยังไงก็ช่าง ถ้าเจียมเนื้อเจียมตัวไม่เข้ามาทำร้ายก็ถือว่าอยู่ทางใครทางมัน
                                                            
               เมื่อวิ่งวนย่านที่พักอาศัยได้หนึ่งรอบรวมระยะทางประมาณสามไมล์ก็ได้เวลากลับบ้าน ถึงตอนนั้นก็ใกล้เวลาที่คุณฌอนพาเชมัสมาส่ง แล้วเมื่อเด็กชายมาถึงบ้านหมายเลขสองห้าสองอย่างปลอดภัย ดีนก็เตรียมลงมือทำอาหารเช้าให้ทุกคน
                                             
               คร่าว ๆ ก็ประมาณนี้…
                                                            
               แต่วันนี้มีเรื่องพิเศษอีกอย่าง นั่นก็คือคุณแม่จะกลับมาจากการทำงานที่ต่างประเทศแล้ว น่าจะมีเรื่องให้คุยกันเยอะแยะ เห็นพ่อบอกว่าแม่จะกลับมาตอนบ่าย ถ้างั้นเขาควรติดต่อหาซันซ์ก่อน คนที่บ้านจะได้ไม่ตกใจ
                                                            
               ดีนเข้าไปหมกตัวอยู่ในห้องนอน นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่เคยเปิดใช้งานมานานแรมปี บางทีมันอาจจะพังไปแล้วก็ได้เพราะไม่ได้ใช้งานมานานเกินไป แต่จะพังก็พังไปตอนนี้เขาแค่อยากใช้มันเป็นกระดานรับภาพเฉย ๆ ฉะนั้นจึงไม่ต้องกังวล กลัวอย่างเดียวก็แต่เครือข่ายไอริสวันนี้จะสัญญาณคมชัดแค่ไหน …เขายังหวังกับมันได้หรือเปล่านะ?
                                                            
               เหรียญดรักม่าถูกดีดขึ้นเพื่อติดต่อเครือข่าย ดีนเพ่งสมาธิไปหา 'ซันซ์ มาเดิล เคานต์' น้องชายบ้านโพไซดอนที่พึ่งยามลำบาก แต่ต่อให้ไม่ลำบากเขาก็พึ่งพาอีกฝ่ายอยู่ดี เหรียญทองแดงที่ลอยอยู่บนอากาศหายวับไปกับตา คล้ายทวยเทพยื่นมือลงมารับไว้ จากนั้นใบหน้าของซันซ์ก็โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์สีดำสนิท
                                                            
               “ไฮฮาย ซันซ์นี่”
                                             
               “เหวอ!!”
                                             
               ไม่รู้ทำไมเวลาพอใช้เครือข่ายไอริสติดต่อใครไปคนรับสายเป็นอันต้องหน้าเหวอทุกที..
                                             
               “ร้องซะลั่นเลย ทำอะไรอยู่” ดีนพยายามกั้นขำไม่ให้หัวเราะใส่น้อยชายที่กำลังทำหน้ายุ่ง
                                             
               “เล่นเกมน่ะสิ นายทำฉันเกมโอเวอร์เลยเนี่ยดีน” ซันซ์มุ่ยหน้า เขามองหน้าจอเกมเอลเดนริงค์ขึ้นตัวอักษร ‘You Died’ ตัวเบ้อเร่อและมีเงาหน้าของดีนพาดผ่านอยู่

               “อ้าวเหรอ โทษที งั้นก็พอสเกมไว้ก่อน หลังคุยกับฉันนายค่อยเล่นใหม่” ดีนหัวเราะเบา ๆ เหมือนไม่ได้สำนึกจริงจัง ที่เขาทำให้ซันซ์ตาย

               “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันก็เลิกเล่นแล้ว งั้นเลิกเลยละกัน” ไม่อยากจะโทษพี่ชาย วันนี้ซันซ์ควรจะพักเกมไว้ก่อนจริง ๆ นั่นแหล่ะ หลังจากที่พยายามพิชิตเดธไรท์เบิร์ดเป็นรอบที่ยี่สิบเอ็ด เจ้านี่มันยากกว่าการสังหารฮาร์ปี้หรือแวนมีเทอร์ตั้งสิบเท่า “แล้ววันนี้มีอะไรให้รับใช้ครับคุณผู้ชาย?”

               “คุณผู้ชายอะไร นายประชดป่ะเนี่ย แต่ถ้าอยากเรียกก็เรียกไป ฉันจะได้โรลเพลย์ตอบกลับ”
                                             
               “โอ๊ย!! ไม่ต้อง ๆ หยุด! ไม่ต้องโรลเพลย์เลยนะ ดีอีเอเอ็น!”

               “แหม่ เรียกชื่อย่อฉันซะด้วย ง่ายกว่าเรียกว่าดีนเยอะเลยเนอะ” ดีนเหน็บกลับไปบ้าง แต่ไม่ต่อล้อต่อเถียงแล้วรีบเข้าเรื่องดีกว่า ก่อนที่สัญญาณจะถูกตัดขาดไป “พอดีฉันมีไอเดียน่ะ กิจกรรมในค่ายยังเสนอได้อยู่ใช่ไหม?”
                                                                                          
               “คิดว่าได้นะ นายมีแผนอะไร?” ซันซ์ถาม ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีความสนใจอยู่ไม่น้อย
                                                                                          
               “คือว่างี้.. ฉันอยากจัดกิจกรรมคริสต์มาสน่ะ เป็นการแจกของขวัญให้เด็กดีในค่าย แต่ไม่รู้ว่าจะกลับไปทันคริสต์มาสไหมเลยอยากให้นายช่วยเหลือ”
                                                                                          
               “คริสมาสต์ก็อีกตั้งนานนายจะกลับมาไม่ทันอีกเหรอ แต่เอาเถอะ… กิจกรรมดี ๆ แบบนี้คนหล่ออย่างฉันจะไม่ช่วยเหลือได้ยังไง”
                                             
               ได้ฟังน้องชายหลงตัวเองก็เบะหน้า ฟังแฟนหลงตัวเองแล้วเขายังต้องมาเจอเจ้าซันซ์หลงตัวเองอัดใส่อีกคนงั้นเหรอ

               “ทำไมรอบตัวฉันถึงมีแต่คนหลงตัวเองนะ ขนาดว่าฉันหล่อมากแท้ ๆ ยังไม่เที่ยวเอาแต่พูดชมว่าตัวเองหล่ออยู่ได้ทุกวี่ทุกวันเลย”

               “นายก็เหมือนกันแหล่ะพี่ชาย เพิ่งจะชมตัวเองไปหมาด ๆ ไม่ใช่เหรอ มันคือกฎของแรงดึงดูดยังไงล่ะ ที่ว่าคนนิสัยเหมือนกันมักจะดึงดูดเข้าหากัน พวกเราเลยได้มาเป็นพี่น้องกัน”

               “อ๋อ เหรอออ งั้นคงต้องดีใจสินะที่พวกนายเป็นคนหลงตัวเองน่ะ แต่หยุดเวิ่นเว้อไว้แค่นี้ก่อน เดี๋ยวสัญญาณขาดต้องมาดีดเหรียญใหม่อีก นายไม่เปลือง ฉันสิเปลือง”

               ถึงจะในชีวิตประจำวันจะไม่ได้ใช้ดรักม่าที่ว่ามานี้ก็ตาม แต่เขาก็ยังอยากอดออม ไม่ใช้จ่ายไปกับค่าวีดีโอคอลทางไกลสัญญาณกาก ๆ นี้เพียงอย่างเดียว เพราะบางทีดรักม่าอาจมีค่าในอนาคต ที่ไม่รู้ว่าจะมีค่าจริงไหม หรือจะมีค่าเมื่อไรก็ตามทีเถอะ

               “ถ้างั้นก็ว่ามา” ซันซ์ตั้งใจฟังดี ๆ ไม่หยอกเล่นอีกแล้ว

               “รายละเอียดคืองี้ ให้ชาวค่ายเอาถุงเท้าไปแขวนที่หน้าเตาผิง เขียนคำอธิษฐานลงไปพร้อมกับความดีที่ทำในปีนี้อย่างน้อยหนึ่งอย่าง จากนั้นซันซ์ตาคลอสจะย่องเข้าบ้านเอาของขวัญไปให้หลังเที่ยงคืน…”

               “เดี๋ยว ๆๆๆๆ อะไรนะ ซันซ์ตาคลอส? ไม่ทราบว่าฉันฟังอะไรผิดไปไหม” ซันซ์รีบแย้งขึ้นมาทันที “แล้วอีกอย่างย่องเข้าบ้านคนอื่นยามวิกาลนี่มันโจรชัด ๆ เปลี่ยนเป็นที่อื่นดีกว่าใหม่ เช่น หน้าบ้านใหญ่ หรือกองไฟเฮสเทีย”

               “ซันซ์ตาคลอสน่ะถูกแล้ว เพราะว่าชื่อเป็นจุดขาย เพราะงั้นฝากด้วยนะซันซ์ตาคลอส ถ้าไม่ถนัดย่องเข้าบ้านคนอื่นตอนเที่ยงคืนไม่เป็นไร งั้นเอาเป็นที่หน้ากองไฟก็ได้ ยังไงทุกคนก็ต้องผ่านไปผ่านมาอยู่แล้ว อาจจะทำราวแขวนหรือไม่ก็ให้ติดถุงเท้าบนต้นคริสต์มาส เรื่องค่าใช้จ่ายเดี๋ยวฉันโอนเงินไปให้ ลายเซ็นที่ปรึกษาก็ใช้อันเดิมที่ส่งเมลไป นายกรอกแบบฟอร์มแล้วเอาไปยื่นบ้านใหญ่ได้เลย”

               “เอ่อ.. โคตรจะมัดมือชกเลยว่ะพี่ชาย” คราวนี้เป็นฝ่ายหนุ่มบราชิลเบ้หน้ากุมหัว

               “พี่ซันซ์จะแต่งเป็นซานตาคลอสเหรอคะ เดี๋ยวหนูช่วยแต่งให้นาาาา”

               แม้ไม่เห็นตัวแต่ได้ยินเสียงรีชาเย้ว ๆ มาจากด้านหลังเลยทักทาย ดีนยิ้มแสยะอย่างเข้าทาง ไม่มีใครทนลูกอ้อนของน้องสาววัยใสได้ลงหรอก

               “ไฮฮายรีช พี่ฝากเราแต่งตัวซันซ์ตาคลอสด้วยนะ แล้วกิจการนิทานของเธอเป็นไงบ้าง?”
                                             
               “ก็ดีนะคะ มีคนมาเขียนนิทานด้วยล่ะค่ะ แต่ละคนเขียนเรื่องได้น่าสนใจมากเลยค่ะ อิอิ”

               นางฟ้าตัวน้อยแว้บเข้ามาในหน้าจอนิด ๆ หน่อย ๆ พอให้หายคิดถึง แต่ดีนคิดว่าตอนนี้เป็นโอกาสในการตัดจบเพื่อมัดมือชกแล้ว
                                                            
               “ดีเลย งั้นพวกเราก็มาพยายามกันทั้งสองกิจกรรม ในเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วก็ฝากด้วยนะทั้งคู่ เดี๋ยวฉันต้องขอตัวไปก่อนแล้ว ไว้เจอกัน บายยยย”
                                             
               แล้วดีนก็ตัดสัญญาโทรศัพท์ทิ้งไม่ปล่อยให้น้อง ๆ ได้ล่ำลา พนันได้เลยว่าซันซ์ต้องพูด ‘มีแค่ฉันกับรีชนี่แหล่ะที่พยายาม’ แน่ ๆ แต่เวลาทำรายงานกลุ่ม คนที่ออกเงินทุนหรือไอเดียก็ถือว่าทำงานเหมือนกันไม่ใช่เหรอ

               แต่นอกจากที่คุยกัน เป็นไม่กี่ครั้งที่เขาต้องอึ้ง... เครือข่ายไอริสวันนี้ทำงานดีไม่มีบกพร่อง ราวกับว่าได้รับการปรับปรุงใหม่เพื่อสู้กับบริษัทคู่แข่งอย่างไรอย่างนั้น ก็ว่าไปนั่น…

               เมื่อเสร็จธุระดีนก็ลงจากชั้นสองกลับมาที่ห้องนั่งเล่นหาเชมัสกับแมคเคนซีต่อ แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นแฟนหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าโทรศัทพ์บ้าน มือเพิ่งจะวางสายไปหมาด ๆ

               “มีคนโทรมาเหรอแมคซี่ พวกขายตรงหรือเปล่า?”

               “เอ่อ.. เปล่า คือว่าเมื่อกี้แม่นายโทรมาน่ะ บอกว่าถึงสนามบินซานอันโตนิโอแล้ว อีกแป๊บนึงน่าจะขับรถกลับมาถึงบ้าน”

               แมคเคนซีจำใจต้องเป็นคนรับโทรศัพท์ไม่อย่างนั้นมันก็จะดังไม่หยุด และอีกฝ่ายน่าจะไม่อยากรบกวนเขาที่ต้องคุยธุระกับคนในค่ายจึงตัดสินใจรับสายเอง หนุ่มอังกฤษยังคงหน้าตาตื่น ก็ใครบ้างจะไม่ตื่นเต้นตอนที่คุยเสียงกับแม่แฟนเป็นครั้งแรก ส่วนดีนก็… เอ่อ… ตื่นเต้นดีเพราะเกือบตาย…..

               “โอ้ แม่ใกล้กลับมาถึงแล้วสินะ แล้วเป็นไงบ้างแมคซี่ ความประทับใจแรกกับคุณแม่ฉันน่ะ” ดีนหัวเราะ

               “เสียงเหมือนจะเป็นคนดุ แต่แม่นายก็ใจดีนะ”
                                                                                                                        
               นี่สินะที่ทำให้แมคเคนซีตัวแข็งทื่ออยู่แบบนี้ ซึ่งเขาก็เห็นด้วยว่าแม่เสียงดุ... แม่ เทพีเฮคาที เจ๊แม่ครัวฮาร์ปี้ คือตัวท็อปของผู้หญิงน่ากลัวในชีวิตเลยล่ะ ดีนเดินเข้าไปบีบบ่าคนรัก
                                                            
               “ใจเย็นแมคซี่ ผ่อนคลายหน่อย เดี๋ยวนายก็ชิน เหมือนกับตอนที่เจอพ่อกับลุงครั้งแรกล่ะน่า ตอนนี้นายก็ดูเข้ากับพวกเขาได้ดีนี่”

               “คงงั้นมั้ง” บุตรแห่งเฮคาทีตอบ พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นจนหน้าผากยับ แต่ก็ยอมที่จะผ่อนลมหายใจเข้าออกลึกเพื่อคลายความตื่นเต้น ด้วยอาชีพเก่าทำให้อีกฝ่ายเข้ากับคนง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เบียร์เข้าปากไปแล้วครึ่งกระป๋อง แม้ว่าอดีตบาร์เทนเดอร์หนุ่มจะเป็นคนรักสันโดษมากก็ตาม

               “โอ้ ฉันว่าฉันรีบไปเก็บบ้านก่อนดีกว่า ถ้าแม่เห็นอะไรรก ๆ เข้าล่ะก็มีหวังโดนด่าแน่ ๆ”
                                                            
               พูดจบดีนก็พรวดพราดไปดูความเรียบร้อยตามส่วนต่าง ๆ ของบ้านแล้วจัดการให้เป็นระเบียบ เก็บเศษผมที่กองอยู่บนตะแกรงฝาท่อห้องน้ำ ขัดอ่างล้างหน้าให้คราบยาสีฟันล้างออก เอากล่องอาหารสำเร็จรูปที่สั่งมากินพับทิ้งให้เป็นที่เป็นทาง ไม่ลืมเก็บเตียง แล้วก็ออกไปกวาดใบไม้ที่ร่วงอยู่หน้าบ้านด้วย

               แล้วคุณนายอัลวาเรซก็มาถึงบ้านพร้อมกับรถญี่ปุ่นสีน้ำทะเลคันใหม่ที่ดีนไม่คุ้นตา เพราะว่าแม่ผ่อนรถใหม่หลังจากที่เขาไปเรียนที่นิวยอร์กแล้ว
                                                            
               “ดีฮะแม่ รถสวยนี่นา” เอ่ยทักหลังจากที่บานประตูซ้ายเปิดออก

               “ไงจ๊ะพ่อโรมีโอ ไม้กวาดในมือนั่นกำลังสร้างภาพอยู่เหรอ”

               มาเรียนน่า คามิลล่า อัลวาเรซ หญิงสาววัยกลางคนแต่ยังสวยพริ้งเหมือนอายุสามสิบกลาง ๆ เอ่ยแซว ลูกชายที่กวาดใบไม้อยู่หน้าบ้าน หลักฐานของความเป็นแม่ลูกมีอยู่เต็มไปหมด ทั้งโครงหน้า สีผิว ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ที่ประดับแพขนตาแน่นโดยไม่ต้องพึ่งพามาสคารา ยิ่งกว่านั้นคือโรคทางพันธุกรรม ที่ทั้งสองสวมแว่นตากรอบหนาเหมือนกันต่างกันแค่คนละทรง

               “นิดหน่อย ผมไม่อยากถูกคุณนายอัลวาเรซด่าตอนเห็นบ้านรก” ดีนยิ้มมุมปากก่อนจะเดินเข้าไปสวมกอด หอมแก้มทั้งสองข้างของสตรีที่รักที่สุดในชีวิต “ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับแม่ งานเป็นไงบ้าง คราวนี้บินไปเมืองไหนมา?”

               มาเรียนน่าครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะยอมตอบ “อืม.. กาซ่าน่ะ”

               “อะไรนะ กาซ่าเหรอ!?!” ดีนโวยวายเสียงดัง ใคร ๆ ก็รู้ว่าตอนนี้ฉนวนกาซ่า ดินแดนของปาเลสไตน์มีสภาพเป็นยังไง จะบอกว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในโลกในนาทีก็คงจะพูดได้ไม่ผิด ถึงแม้ช่วงนี้อิสราเอลจะมัวแต่วุ่นถล่มกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนก็เถอะ แต่จะเอาอะไรมารับประกันว่าปลอดภัยล่ะ “ทำไมแม่เอาแต่ไปในที่ที่อันตรายล่ะ ตอนเฮติก็ทีนึงแล้ว”

               “หืม รู้ได้ไงว่าแม่ไปเฮติมา? จำไม่ได้เลยนะว่าเคยเล่าให้ฟัง”

               แทนที่จะถูกรุกไล่แต่มาเรียนน่าโต้กลับทำเอาดีนสะอึก แม่ปิดบังเรื่องไปเฮติ ส่วนดีนก็ปิดบังเรื่องที่แอบตามไปช่วยเธอที่เฮติอีกที จะให้แม่รู้เรื่องที่เฮติได้ไงก็ภารกิจนั้นเขาถูกยิงมา เสียเลือดในระดับหนึ่งแต่โชคดีที่ไม่ถึงตาย หลักฐานคือรอยกระสุนยังคงติดประทับบนต้นขาไม่เลือนหาย

               “พ่อบอกมา…” ชายหนุ่มผินใบหน้าหนีก่อนค่อย ๆ ผละกอดออก

               “พ่อคนไหน?” แต่แม่ไม่ลดละที่จะคาดคั้น นางจับใบหน้าคมสันของลูกชายให้หันมาสบตา ตอนนี้คุณนายอัลวาเรซน่ากลัวโคตร ๆ

               “พ่อ… โพไซดอนน่ะ” ไม่ได้โกหกเสียทีเดียว เพราะในภารกิจนั้นดีนได้กระแสเสียงของบิดาเทพคอยช่วยเหลือนำทางอยู่หลายครั้ง ถือว่ารับรู้ความนี้ร่วมกัน

               “หืม?” หญิงสาวเลิกคิ้วก่อนจะปล่อยมือออก ตอนแรกเธอคิดว่าโดนัลด์หลุดปาก เพราะตาคนนี้เก็บความลับไม่เคยจะได้เลยสักครั้ง แต่พอได้ยินชื่ออดีตสามีเก่า ก็เหมือนจะเปลี่ยนความโกรธไปลงที่อีกคนแทน “ยังจะตามตื๊อไม่เลิกอีกเหรอ น่ารำคาญจริง ๆ”

               “เอาน่า ๆ พ่อเขาก็เป็นห่วงแม่แหล่ะ แต่กาซ่าเนี่ย…”

               “แม่ไปกับยูเอ็น ความจริงก็ไม่เห็นต้องบอกเลย แม่ทำงานอยู่กับองค์กรพิทักษ์สตรีของยูเอ็นนี่ลูกรัก”

               “ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ… แต่คราวหลังเลือกสถานที่ที่อันตรายน้อยกว่านี้น้อยเถอะครับ ไม่ดิ เอาแบบที่ไม่อันตรายเลยดีที่สุด”

               ถึงมาเรียนน่าจะเป็นหญิงแกร่งขนาดเคยหอบท้องหนีเจ้าสมุทรมาแล้ว แต่ดีนก็รู้สึกว่าแม่ออกจะบ้าบิ่นไม่กลัวตายเกินไปหน่อย เข้าใจว่าในสถานที่ดังกล่าวต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและสตรีที่มีความเป็นอยู่อย่างยากลำบากในสถานการณ์วิกฤต เพราะครอบครัวอาจพลัดพรากหรือสูญหาย

               พูดถึงความใจกล้าของเขาและแม่แล้วช่างต่างกันลิบลับราวกับโอลิมปัสกับเหวทาร์ทารัส นี่คงเป็นอย่างเดียวที่ไม่สืบทอดผ่านดีเอ็นเอ

               “รับทราบ เอาไว้จะเก็บไปพิจารณาก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ลูกชายไปช่วยแม่ยกกระเป๋าลงมาจากรถก่อนดีไหม?”

               “รับทราบแต่ไม่รับปากเนี่ยนะ แม่ใครทำไมดื้อจัง” ในเมื่อไม่ได้อยู่กับแม่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็คงต้องยอมแพ้ ถึงแม้แม่จะชอบเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายแต่อย่างน้อยแม่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ หากไม่เอาตัวรอดเก่งคงไม่มีชีวิตรอดมาจนทุกวันนี้หรอก ชายหนุ่มจึงได้แต่ยกมือขึ้นสองข้างอย่างยอมแพ้แล้วได้แต่เชื่อใจนาง “คร้าบ ๆ จะไปช่วยยกกระเป๋าให้เดี๋ยวนี้แหล่ะ เชิญคุณแม่เข้าบ้านไปรอได้เลย”

               “ไหน ๆ แล้วก็เอารถไปเก็บให้ด้วยล่ะ ฝากด้วยลูกรัก”

               มาเรียนน่าเข้าบ้านไปแล้ว เหลือดีนที่ยังอยู่ตรงนี้ในมือถือไม้กวาดและรถสีน้ำทะเลอีกหนึ่งคัน

               .
               .
               .

               มื้อเย็นวันนี้คุณนายอัลวาเรซแสดงฝีมือการทำอาหารเย็นเอง เพราะว่าโดนัลด์และไมค์ติดงานลูกค้าจึงต้องกลับช้ากว่าปกติ ความจริงดีนที่เตรียมมื้อเช้าให้ทุกคนเป็นเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์ สามารถเตรียมมื้อเย็นแทนได้ แต่คุณแม่อยากแสดงฝีมือเข้าครัวมากกว่า ไม่รู้ว่าอยากโชว์ลูกเขยหรือไม่ไว้ใจฝีมือการทำอาหารของดีนกันแน่ เอาเข้าจริงก็ดีเหมือนกันนะ เพราะว่าไม่ได้กินอาหารฝีมือแม่มาตั้งนาน

               ซึ่งเมนูที่แม่ทำคือทาโก้สูตรเด็ดดั้งเดิมจากชาวเม็กซิกันแท้ ๆ อาจจะเผ็ดไปหน่อยสำหรับแมคเคนซีและเชมัส แต่รับรองได้ว่ารสแซ่บเหมือนคนทำและลูกชาย


               ‘จะว่าไปพ่อโพไซดอนเคยกินอาหารฝีมือแม่หรือเปล่านะ?’

               เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก...

               ดีนจึงจิ๊กทาโก้มาชิ้นหนึ่ง จับยัดใส่กล่องแล้วคาดด้วยเทปเฮอร์มีส จ่าหน้ากล่องส่งถึง ‘โพไซดอน’ พร้อมกับแนบข้อความ ‘ทาโก้ฝีมือแม่ กินให้อร่อยนะพ่อ!’ จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ มองกล่องระเหยไปกลายเป็นละอองแสงสีทอง

               

แบบฟอร์มถวายของ
(โดยเทปเฮอร์มีส)
ชื่อของคุณ: ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล
ของที่ถวาย: ทาโก้ (ฝีมือแม่)
เทพที่ถวายของ: โพไซดอน
คำพูดที่อยากคุยกับเทพ:
"ทาโก้ฝีมือแม่ กินให้อร่อยนะพ่อ!"
------------------------------------------------------------
HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+25
------------------------------------------------------------
ใช้เครือข่ายไอริสติดต่อหา [ซันซ์ มาเดิล เคานต์]
โอนเงินรวมไปแล้วกับครั้งก่อนหน้า (3/5)

แสดงความคิดเห็น

God
((รสชาติที่คุ้นเคย ไม่ได้กินเสียนานเลย))  โพสต์ 2024-12-13 16:45
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-03-1] โพไซดอน เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2024-12-13 16:45
โพสต์ 51288 ไบต์และได้รับ 30 EXP!  โพสต์ 2024-12-13 16:30
โพสต์ 51,288 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก แจ๊กเก็ตยีนส์  โพสต์ 2024-12-13 16:30
โพสต์ 51,288 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก แว่นตา  โพสต์ 2024-12-13 16:30
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่แห่งเกียรติยศ
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
แว่นตา
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
น้ำหอม Unisex
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x60
x1
x1
x1
x4
x1
x1
x1
x3
x1
x1
x1
x1
x2
x2
x1
x1
x1
x6
x4
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้