[รัฐเท็กซัส] บ้านเลขที่ 252 ถนนเอนคานโตครีก ซานอันโตนิโอ

[คัดลอกลิงก์]

หากท่านเป็นกึ่งเทพผู้หลงทาง สามารถสมัครสมาชิกเข้าร่วมกับเราได้ที่นี่ https://t.me/+etLqVX17bGg5ZjBl

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×


1st Floor

ห้องรับแขก + ห้องรับประทานอาหาร


ห้องน้ำ ชั้น 1

ห้องครัว


ห้องนอนแขก

สวนหลังบ้าน


โรงรถ + เวิร์คช็อป
2nd Floor

ห้องนอนหลัก (โดนัลด์ + ไมค์)


ห้องน้ำในห้องนอนหลัก

ห้องของมาเรียนน่า


ห้องของดีน

ห้องน้ำ ชั้น 2


โถงทางเดิน ชั้น 2
Attic
ห้องเก็บของใต้หลังคา


≪ คลิกที่บ้านเพื่อเยี่ยมชมห้องต่าง ๆ



บ้านเลขที่ 252
ถนนเอนคานโตครีก

ซานอันโตนิโอ เท็กซัส สหรัฐอเมริกา


บ้านเดี่ยวสีส้มอิฐที่ตั้งอยู่บนถนนเอนคานโตครีก

ชานเมืองตอนเหนือของเมืองซานอันโตนิโอ

ที่อยู่อาศัยอันอบอุ่นของครอบครัวนีล และอัลวาเรซ

บริเวณหน้าบ้านปลูกส้มเท็กซัส

ที่จะออกผลช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงไปจนถึงปลายฤดูหนาว



≪สมาชิกตามทะเบียนบ้าน≫



1. ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล

2. โดนัลด์ นีล

3. ไมค์ จอห์นสัน

4. มาเรียนน่า คามิลล่า อัลวาเรซ




≪ความเป็นมาของบ้าน≫


เดิมทีครอบครัวของดีนมีฐานะไม่ดีนัก ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และคุณลุงล้วนแต่เป็นชนชั้นแรงงาน ทั้ง 4 ชีวิตอาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ให้เช่าสุดแคบ และใช้ขนส่งสาธารณะในชีวิตประจำวัน


ไมค์ จอห์นสัน ชื่นชอบการเสี่ยงดวงเป็นชีวิตจิตใจ วันหนึ่งเขาได้ลองให้ ดีน หลานชายสุดที่รักวัย 10 ขวบ ขูดใบล็อตโต้ที่ซื้อเป็นประจำ
ปรากฎว่าดีนเป็นตัวนำโชคขูดเลขล็อตโต้ได้รางวัลใหญ่ สถานะทางการเงินของครอบครัวจึงเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือ


โดนัลด์ และไมค์ ลาออกจากการเป็นพนักงานประจำโรงงานอาหารกระป๋อง นำเงินที่ได้เซ้งร้านตัดผมชายในตัวเมือง และมีเงินส่วนที่เหลือรวมเงินเก็บของ มาเรียนน่า ผู้เป็นแม่ของดีน มาซื้อบ้านพักที่แถบชานเมืองซานอันโตนิโอ และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


เมื่อดีนอายุได้ 20 ปี

ครอบครัวถึงได้เปลี่ยนชื่อเจ้าบ้านเป็น ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล
ในฐานะที่เขาเป็นเด็กนำโชคและสร้อยทองคล้องใจของครอบครัว








แสดงความคิดเห็น

God
โพสต์ 17146 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-10-30 15:52
โพสต์ 2024-11-26 01:07:33 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2024-11-26 01:10

232
บ้านส้มแสนรัก

               3/11/2024 - 8.00 น.~

               เข้าสู่วันที่สามของการเดินทางโดยรถไฟอันแสนยาวนาน ดีนตื่นขึ้นมาช่วงสายด้วยอาการปวดศีรษะจากที่ดื่มไปเมื่อคืน เขาหยิบเสื้อผ้าที่กองมั่วบนพื้นขึ้นมาสวมใส่ลวก ๆ รู้สึกว่าเสื้อจะเป็นของแมคเคนซี.. แต่ช่างมันเถอะ

               ตอนนี้พวกเขาถึงไหนกันแล้วนะ

               หนุ่มผิวเข้มเยื้องย่างไปแง้มม่านหน้าต่างรถไฟเปิดออก ภาพเบื้องหน้าคือผืนน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาจากความงดงามตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มแทบจะลืมอาการปวดหัวไปในทันที บางทีตอนนี้อาจอยู่รอยต่อแถว ๆ รัฐลุยเซียนาและนิวออร์ลีนส์ ส่วนวิวนี้ถ้าไม่ใช่ทะเลสาบพอนชาร์เทรนก็น่าจะเป็นทะเลสาบบอร์กนีนี่แหล่ะ

               ดีนไม่ลืมที่จะเรียกคนรักให้ชมวิวทะเลสาบที่สะท้อนแดดจนเป็นประกายระยิบระยับนี้ด้วยกัน

               “แมคซี่ ๆ ตื่นมาดูวิวนี่สิ!” เขย่าปลุกอีกฝ่ายราวกับหมาตัวใหญ่ปลุกเจ้าของในตอนเช้าก็ไม่ปาน

               @Mackenzie

               “คงจะนิวออร์ลีนส์มั้ง ฉันดูข้อมูลมาว่าเราได้นั่งรถไฟผ่านทะเลสาบพอนชาร์เทรนด้วย ถือเป็นวิวไฮไลท์เลย ดูสิ เหมือนกับว่ารถไฟกำลังวิ่งบนน้ำเลยนายว่าไหม”

               ริมฝีปากคลี่ยิ้มเมื่อมองวิวตรงหน้า เป็นไฮไลท์ที่งามสมราคาคุยจริง ๆ พอนึกได้ชายหนุ่มก็หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเก็บภาพวีดีโอที่รถไฟวิ่งผ่านทะเลสาบสักหน่อย ไม่รู้ว่าตอนขากลับพวกเขาจะได้ผ่านตรงนี้อีกครั้งกี่โมง ถ้าตอนนั้นหลับไปแล้วมีหวังได้อดเก็บภาพสวย ๆ เอาไว้แน่ ๆ

               กว่าที่รถไฟจะข้ามสะพานมาได้ก็ถือว่านานเลยทีเดียวจนทำเอาอยากรู้เลยว่าสะพานข้ามทะเลสาบดังกล่าวยาวติดอันดับโลกหรือเปล่านะ แต่ที่แน่ ๆ นี่น่าจะเป็นการนั่งรถไฟข้ามทะเลสาบที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของเขาเลยล่ะ

               หลังจากชมวิวกันอยู่พักหนึ่งท้องก็เริ่มส่งเสียง เริ่มจากท้องของเจ้าออมเล็ตเป็นตัวแรก ทั้งสองจึงตกลงกันว่าจัดการธุระยามเช้ากันเถอะแล้วไปหาอะไรกินกัน ซึ่งอาหารเช้าก็ทั่ว ๆ ไป ไม่ได้หรูหราอย่างมื้อค่ำเมื่อคืนอีกแล้ว รวมถึงมื้อกลางวันก็เช่นกัน การใช้ชีวิตบนรถไฟสาธารณะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั่ง ๆ นอน ๆ ชมวิวแล้วก็จกพุงสิงโต

               .
               .
               .

               18.45 น.

               จนเวลาผ่านเลยมาจนถึงช่วงเย็นที่ตะวันไม่ยอมตกเสียทีพวกเขาก็เดินทางกันมาถึงสถานีรถไฟซานอันโตนีโอ โหลดกระเป๋าลงจากนั้นก็ได้โบกมือบ๊ายบายรถไฟแอมแทรกสายอีเกิลเท็กซัส

               แล้วค่อยพบกันใหม่ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า

               @Mackenzie

               “คิดว่านะ แต่ตั้งแต่ไปอยู่นิวยอร์กฉันก็ไม่ได้กลับบ้านเลย มีครั้งล่าสุดก็ตอนที่ทำภารกิจเดินทางแล้วมาแวะนอนบ้านหนึ่งคืน ก็แบบว่านะ.. ฉันกลัวเครื่องบินอ่ะ แต่ก็คิดจะนั่งบัสหรือรถไฟกลับอยู่ ติดก็แต่ตอนปิดเทอมฉันชอบมีกิเลสให้เสียเงินอยู่เรื่อยเลยเอาแต่ทำงานที่ร้านน่ะ”

               นอกจากกิเลสแล้วยังติดเที่ยว เงินที่หามาได้ก็หมดไปกับส่วนนั้นจนไม่ได้กลับบ้านกลับช่องเสียที แต่ที่บ้านก็จะมีแวะมาหาบ้างปีละครั้งสองครั้ง ดีนได้เจอแม่บ่อยกว่าเพราะงานของแม่มีมาที่นิวยอร์กบ่อย ส่วนพ่อกับลุงมักจะขับรถกันมาในช่วงวันหยุดยาวถือว่าปิดร้านเที่ยวรายทางระหว่างซานอันโตนิโอมาจนถึงนิวยอร์กก็ว่าได้ อาจคล้ายดีนและแมคตอนไปเที่ยวไทยแบบที่ค่ำไหนก็นอนที่นั่น

               “แต่พอนายไปที่บ้านฉันแล้วจะไม่เบื่อ ก่อนอื่นก็ต้องไปหาบัสขึ้นกันตรงนั้น”

               กล่าวจบดีนก็พาแมคเคนซีเดินไปที่ป้ายรถประจำทางที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ แต่เพียงแค่ก้าวขาออกมาจากประตูสถานีรถไฟซานอันโตนีโอชายหนุ่มก็เห็นลุงหนวดสองคนยืนถือป้าย ‘ต้อนรับกลับบ้าน ดีน และ แมคเคนซี’ ตัวเบ้อเร่อ เห็นแล้วทั้งเขินแล้วก็ทั้งดีใจ เพราะว่ามันเด่นสะดุดตาสุด ๆ ไปเลยยังไงล่ะ

               “ให้ตายสิ นั่นพ่อกับลุงฉัน ไปกันแมคซี่”

               ชายหนุ่มลากกระเป๋าก้าวขาไว ๆ ไปทางลุงหนวดสองคนที่รอต้อนรับ เมื่อเจอหน้าทั้งสามก็สวมกอดกันด้วยความคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันนาน

               “พ่อ ลุง ไหงมาอยู่ตรงนี้ได้ ยังไม่ได้เวลาปิดร้านเลยนี่นา”
               “ลูกชายกลับบ้านทั้งทีก็ต้องปิดร้านไวหน่อยสิ พ่อเตรียมมื้อเย็นไว้ที่บ้านด้วยยังไม่ได้กินอะไรกันมาใช่ไหมล่ะ?”

               โดนัลด์พ่อของดีนเป็นชายผิวขาววัยกลางคนร่างท้วมแต่ก็ดูมีกล้ามเนื้อและแข็งแรงดี แม้ใบหน้าจะปกคลุมไปด้วยเคราแต่แววตาของเขาบ่งบอกได้เลยว่าเป็นคนใจดี

               “ยังเลย แหมพ่อนี่รู้ใจจัง แต่ถ้ารีบปิดร้านมาเตรียมมื้อเย็นไว้ก่อนแบบนี้” ดีนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้อยู่ราว ๆ หกโมงครึ่ง กว่าจะขับรถกลับไปทำอาหารที่บ้านแล้วมารอต้อนรับที่สถานีรถไฟอีก ถ้าไม่เปิดร้านแค่ครึ่งวันก็น่าจะไม่เปิดเลยทั้งวัน ซึ่งน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า “เฮ้! พ่อกับลุงโดดงานกันนี่นา”

               “ปิดร้านสักวันมันจะเป็นอะไรไป” อีกคนที่อยู่ข้าง ๆ พ่อคือลุงไมค์เป็นคนตอบ เขาเป็นชาวอเมริกันผิวขาวเช่นเดียวกัน ทว่าเป็นคนรูปร่างสูงเพรียวดูดี หนวดเคราจัดแต่งได้รูปดูออกได้ทันทีว่าตอนหนุ่ม ๆ เป็นคนหล่อเหลา เขาแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก็อต กางเกงยีนส์ และสวมหมวกคาวบอยที่ดูแล้วเท็กซั๊สเท็กซัส “แล้วนั่น จะไม่แนะนำแฟนให้พวกพ่อรู้จักอย่างเป็นทางการเหรอดีน”

               “โอ้ ต้องแนะนำสิครับ” ดีนขยับออกมายืนอยู่ข้าง ๆ แมคเคนซี พอถึงเวลาแนะนำครอบครัวให้อีกฝ่ายรู้จักมันก็ประหม่านิดหน่อยเหมือนมีคนคอยจะมาจี้เอวยังไงก็ไม่รู้ “นี่แมคซี่ครับ แฟนสุดหล่อของผมเอง ส่วนนี่พ่อของฉันชื่อโดนัลด์ กับลุงไมค์ แอดเฟซบุ๊กกันแล้วนี่ น่าจะรู้จักกันแล้วใช่ไหมล่ะ”

               @Mackenzie

               “ยินดีที่ได้รู้จักนะแมค อยู่บ้านเราก็ไม่ต้องเกรงใจ…” พ่อโดนัลด์พูดยังไม่ทันจบเสียงหนึ่งก็ดังแทรก

               โครกกกกก

               เสียงท้องร้องดังออกมาจากใครสักคน เรียกเสียงหัวเราะออกมาจากผู้ใหญ่ทั้งสอง ลุงไมค์เข้ามาล็อกคอดีนพร้อมกับตบไหล่หลานชายตุ้บ ๆ

               “โธ่เอ๊ย หิวแล้วก็ไม่บอก ป่ะ งั้นกลับบ้านกันดีกว่า”

               “เฮ้ ไม่ใช่ผมนะ” ดีนรีบโวยวาย ถึงจะหิวก็เถอะแต่ใครจะปล่อยให้ท้องร้องโครกครากต่อหน้าแฟนกันล่ะ!

               โครกกกก จ๊อกกก

               เสียงท้องร้องดังขึ้นมาอีกที คราวนี้จับต้นเสียงได้ มันมาจากกระเป๋าสัตว์เลี้ยงที่ดีนเทินไว้บนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อีกทีนึง

               “เสียงแกนี่เอง หิวแล้วล่ะสิเนี่ย”

               “อ๊าววว” ออมเล็ตส่งเสียงเล็ก ๆ ออกมา มันมองคนที่ไม่รู้จักซ้ายทีขวาทีผ่านผ้าตาข่าย สีหน้าดูกลัว ๆ นิดหน่อยเลยไม่กล้าส่งเสียงดังออกมามาก

               “โอ้ น้องหมาตัวใหม่ ดีนพามาด้วยสิเนี่ย” พ่อเดินเข้าไปหาออมเล็ตที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์เลี้ยงพลางทำเสียงสองอย่างเอ็นดูเจ้าตัวเล็ก “พันธุ์อะไรน่ะดีน เชาเชา?”

               “อ้อ… ใช่ครับ ชื่อออมเล็ต” ดีนยิ้มอย่างมีพิรุธ เขาเลือกที่ยังไม่บอกความจริงกับพ่อและลุงดีกว่า ทั้งสองอาจจะไม่สนิทใจหากรู้ว่ามีลูกสิงโตอยู่ในบ้าน ถึงเจ้าไข่เหลืองมันจะเชื่องแสนเชื่องก็เถอะ …..มั้ง “งั้นไปกันเถอะพ่อ ถึงบ้านจะได้ให้อาหารออมเล็ตมัน”

               หลังจากนั้นพวกเขาก็พากันไปขึ้นรถกระบะ โหลดกระเป๋าขึ้นด้านหลังส่วนดีนและแมคเคนซีต้องเข้าไปนั่งในแคปด้านหลัง แต่พอปีนขึ้นไปบนรถ ภาพที่เห็นทำเอาดีนชะงักไปเมื่อเห็นสิ่งที่นอนอยู่เบาะหลัง

               “ลุงไมค์ จะให้เอาปืนไว้ตรงไหนเนี่ย”

               ใช่ มันคือปืน… ปืนช็อตกันถูกวางไว้อยู่บนแคปหลังอย่างโจ่งแจ้งจนอยากจะมองแรงใส่ ที่เท็กซัสการพกปืนที่มีทะเบียนเป็นเรื่องถูกกฎหมาย แต่ลุงเล่นวางปืนไว้แบบนี้ขืนมีคนไม่ดีทุบกระจกรถแล้วขโมยเอาปืนไปปล้นร้านที่ไหนก็แย่น่ะสิ

               “โอ้ โทษที เดี๋ยวลุงเก็บให้เดี๋ยวนี้แหล่ะ พอดีว่ารีบมารับหลานรักก็เลยลืมเก็บดี ๆ” ลุงไมค์รีบเอาปืนไปเก็บใต้เบาะดี ๆ ก่อนจะผายมือให้ทั้งหลานสองขึ้นไปนั่งได้เลย

               “ไม่ต้องแก้ตัวเลยนะไมค์” พ่อโดนัลด์ยืนเท้าเอวทำสีหน้าตำหนิ ก่อนจะหันไปยิ้มแห้งให้แมคเคนซี “คงตกใจสินะ เท็กซัสมันก็.. แบบนี้แหล่ะ แดนคนเถื่อน”

               ลูกชายของบ้านได้แต่ยิ้มเฝื่อนแล้วก็ส่ายหน้า จำได้ว่าครั้งแรกที่เขาบอกคนรักว่าเป็นชาวเท็กซัส อีกฝ่ายมีภาพจำว่าเป็นเมืองที่สนุกสนานเต็มไปด้วยสีสันสไตล์เม็กซิกัน ซึ่งมัน… ก็สนุกตอนที่มีงานเทศกาลนั่นแหล่ะ แต่อาชญากรรมก็เกิดขึ้นสูงตามไปด้วย

               “ไม่ต้องตกใจนะแมคซี่ เดี๋ยวคืนนี้ฉันปลอบขวัญให้” เข้าไปกระซิบขยิบตาบอกแฟนหนุ่มชาวอังกฤษ ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนแคปรถหลังจากที่ลุงเอาปืนไปเก็บเรียบร้อย เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ ก็คิดว่านั่งสบายอยู่นะ แต่พอโตตัวเท่านี้ทุกอย่างมันน่าอึดอัดไปหมดจนแทบจะต้องงอเข่าขึ้นมา

               ลุงไมค์เป็นคนขับรถ แล้วพอรถเริ่มขับออกไปพ่อก็เปิดประเด็นทันที

               “เมื่อไรโลกจะกลับมาเป็นปกตินะ สงสัยปีนี้หิมะไม่ตกแน่ ๆ” โดนัลด์กล่าว เขาเว้นช่วงไปนิดนึงก่อนถามต่อ “เห็นแม่ของลูกบอกว่าเกิดจากเทพกรีก มันจะเป็นแบบนี้อีกนานไหม?”

               ดีนหันไปมองแมคเคนซีที่ขึ้นมานั่งเบาะหลังข้าง ๆ กัน เอาจริงดีนยังไม่รู้เลยว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่ จะเป็นเทพอะพอลโล่เล่นสนุกอย่างที่พ่อพูด หรือเกิดอะไรขึ้นกับเทพแห่งกลางคืนจนรัตติกาลสูญหายไป

               “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่าจะเป็นแบบนั้นนะครับ แค่หวังว่าจะไม่เป็นแบบในก็อดออฟวอร์”

               พอคิดว่าเป็นแบบในเกมก็ได้แต่แค่นยิ้มที่มุมปาก มีใครสักคนสังหารเทพแล้วหลังจากนั้นธรรมชาติก็วิบัติ มีฉากหนึ่งที่โพไซดอนถูกฆ่าจากนั้นน้ำก็ท่วมโลก…

               “ถ้ามองถึงข้อดีมันก็พอมีอยู่ เช่น.. เดือนที่แล้วค่าไฟลดลงตั้งครึ่งนึง แถมกุ๊ยแถวร้านที่ชอบมามั่วสุมกันตอนกลางคืนก็หายไปด้วย”

               “หืม.. มีข้อดีแบบนั้นด้วยสินะ”

               ดีนไม่ได้อ่านข่าวเลยไม่รู้ว่าเกิดผลกระทบอะไรยังไงบ้าง เขาได้แต่คาดการณ์ผลกระทบตามความรู้ที่เรียนมา แล้วคาดหวังว่าจะมีเดมิก็อดสักคนไปรับคำทำนาย ค่ายฮาล์ฟบลัดมีคนเก่งตั้งหลายคนมันต้องมีสักคนสิน่า

               @Mackenzie

               รถกระบะเคลื่อนตัวไปทางทิศเหนือของเมืองซานอันโตนิโอ ละแวกตั้งของบ้านดีนอยู่ในเขตนอร์ทเซ็นทรัลซานอันโตนิโอ ซึ่งเป็นย่านที่ผสมผสานระหว่างที่พักอาศัยและแหล่งเศรษฐกิจต่าง ๆ ระหว่างทางดีนก็แนะนำสถานที่ให้แมคเคนซีรู้จักด้วย

               “ข้างหน้าคือสโตนโอ๊ค เป็นย่านที่พักอาศัยสุดไฮโซล่ะ”

               หากมองไปข้างหน้าจะเห็นป้ายหินขนาดใหญ่สลักตัวหนังสือหรูหรา และต้นปาล์มที่ถูกปลูกสองข้างทางเรียงรายไปตามข้างและเกาะกลางถนนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยราวกับเป็นพนักงานต้อนรับ ถ้ามองดี ๆ จะเห็นรั้วบ้านใหญ่โตหรูหราอยู่ลิบตา  ทว่ารถที่พวกนั่งอยู่กลับเลี้ยวขวาก่อนถึงป้าย ‘สโตนโอ๊ค’ เพียงแค่นิดเดียว จากนั้นยานพาหนะพาไต่ขึ้นเนินสูง ภาพของย่านหรูหราห่างไกลออกไปเห็นแต่เพียงวิวข้างทางที่ออกจะชนบทเสียเหลือเกิน

               ป้าย ‘เอนคานโต้ ครีก’ ตั้งอยู่ด้านหน้า เป็นป้ายเล็ก ๆ ไร้ความหรูหรา ดูธรรมดาเหมือนป้ายบอกทางของรัฐทั่วไปทว่าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ภาพของบ้านเรือนเลื่อนผ่านเข้ามาทั้งสองข้างทาง เป็นบ้านของชนชั้นกลางธรรมด๊าธรรมดาที่ถ้าบ้านไหนมีสระว่ายน้ำหลังบ้านจะถือว่าโดดเด่นที่สุดกว่าใครเพื่อน

               รถกระบะคันเก่าหักเลี้ยวเข้าไปจอดหน้าโรงรถของบ้านสีอิฐหลังหนึ่งที่ด้านหน้าปลูกส้มเท็กซัสที่ ณ ตอนนี้กำลังออกผลสีส้มสุกปลั่งอยู่เต็มต้น พ่อกับลุงลงจากรถก็ช่วยสองหนุ่มจากแดนไกลขนกระเป๋าลงมาจากหลังรถกระบะ

               “โธ่พ่อ บริการอย่างกับผมตอนอายุสิบขวบที่ไปเข้าค่ายครั้งแรก แต่ก็ขอบคุณครับ”

               “เล็กน้อยน่า”

               ตอนเด็ก ๆ ที่ยังยกกระเป๋าเองไม่ไหวก็ได้พ่อหรือไม่ก็ลุงนี่แหล่ะที่คอยยกให้ แต่ว่าตอนนี้ดีนอายุยี่สิบสามปีแล้ว ถือว่าบรรลุนิติภาวะมาตั้งสามปีถือเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แต่ดูเหมือนว่าครอบครัวจะยังมองเขาเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ อยู่เสมอมา และคาดว่าน่าจะเผื่อแผ่สายตานั้นไปทางแมคเคนซีด้วย จะลากกระเป๋าเข้าบ้านก็ถูกสองคนนั้นฉวยไปอีกจนมือว่าง ดีนเลยเดินไปทางต้นส้มแทนที่จะตามพ่อกับลุงเข้าไปในบ้านแล้วเด็ดส้มลูกเขื่องมาด้วยสองลูก

               “ยินดีต้อนรับสู่บ้าน”

               หันไปยิ้มให้แมคเคนซีพร้อมกับโยนส้มลูกหนึ่งไปให้อีกฝ่ายเป็นเวลคัมกิฟต์

               @Mackenzie

               “ขอบคุณ”

               ยิ้มรับคำชม รู้สึกประหม่าเล็กน้อยที่ถูกคนบ้านใหญ่กว่ามาชมแบบนี้ แต่ดีนก็ชอบบ้านหลังนี้จริง ๆ แม้หลังจากนี้เขาอาจจะไม่ได้มาอยู่ก็ตาม

               “คงงั้นมั้ง แต่ฉันชอบส้มก่อนจะย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้อีก ส้มบ้านฉันปลูกเองไร้สารพิษ นายกินทั้งเปลือกเลยยังได้” เขาหัวเราะ มือใหญ่แกะเปลือกส้มออกไม่เหมือนอย่างที่พูด “ฉันล้อเล่น เปลือกมันไม่อร่อยหรอก อย่างน้อยก็ต้องเอาไปตากแห้งก่อนถึงค่อยกิน แต่ว่านึกถึงตอนเด็ก ๆ เลยแฮะ ช่วงฤดูร้อนเด็ก ๆ จะชอบออกมาตั้งแผงขายน้ำมะนาวหน้าบ้านกันใช่ไหม แต่ที่บ้านฉันขายน้ำส้มล่ะ คั้นสด ๆ จากต้นเลย โอ๊ะ! ฉันลืมไป เด็กอังกฤษทำแบบนั้นกันหรือเปล่านะ?”

               พูดจบก็มีเสียงแว่ว ๆ ดังออกมาจากในบ้าน

               “รอพ่ออุ่นอาหารสิบห้านาทีนะ พาแฟนไปเดินเล่นก่อนก็ได้”

               “ครับพ่อ” ดีนตะโกนตอบกลับไปก่อนจะหันกลับมาที่แมคเคนซี “พ่อบอกว่างั้นล่ะ ถ้างั้นเราเริ่มจากตรงไหนกันก่อนดี?”

               @Mackenzie

               “หืม งั้นเหรอ แต่ฉันก็พอเข้าใจ นายเป็นคุณหนูคงไม่ขายน้ำมะนาวหน้าบ้าน”
               
               ส่งกลีบส้มเข้าปาก ลิ้มรสชาติอันคุ้นเคยจนยิ้มตาหยี น่าเสียดายอยู่ถ้าเขาย้ายไปอยู่อังกฤษคงไม่ได้กินผลจากส้มต้นนี้ ครั้นจะให้พ่อส่งไปให้ก็ไม่รู้จะเน่าเสียก่อนหรือเปล่า

               “ถ้างั้นเริ่มจากที่มาของบ้านก่อนดีกว่า เมื่อก่อนบ้านฉันฐานะแย่กว่านี้มาก ต้องอยู่ห้องเช่าแคบ ๆ ใกล้โรงงานในแถบอีสต์ไซด์ แต่วันนึงลุงไมค์ดันถูกล็อตโต้รางวัลใหญ่ พวกเราก็เลยได้ย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่ ตอนนั้นฉันอายุสิบขวบมั้งยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรแต่ก็ดีใจที่มีห้องส่วนตัว ตอนแรกที่บ้านยังไม่มีส้มล่ะ แต่ว่าญาติของพ่อที่ริโอแกรนด์วัลเล่ย์ส่งต้นส้มเล็ก ๆ มาให้ ก็เลยปลูกไว้หน้าบ้าน”

               อธิบายไปก็ส่งส้มเข้าปากเคี้ยว ๆ กินเนื้อส้มก่อนจะคายเมล็ดเก็บไว้ในมือ

               “อ้อ ใต้ต้นส้มเป็นสุสานของโรบินด้วย หมามินิเจอร์ซเนาเซอร์ที่อยู่ในอัลบัมเฟซของฉัน ถ้านายจำได้”

               ชายหนุ่มนั่งยอง ๆ ลงใต้ต้นส้ม แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วแต่ยังพอเห็นร่องรอยของหินกรวดสีขาวที่เรียงเป็นวงกลมล้อมหลุมศพเล็ก ๆ ของมันได้ แต่ตอนนี้ร่างของโรบินคงกลายเป็นปุ๋ยชั้นดีให้แก่ต้นส้มประจำบ้านนี้ไปแล้ว

               “แบบนี้เหมือนกับกำลังกินหมาอยู่ด้วยหรือเปล่านะ…”

               จู่ ๆ รำพึงความคิดสุดแย่ของตัวเองออกมา บอกไม่ถูกเลยเชียวว่าส้มที่กินค้างไว้อร่อยขึ้นหรือจะกินต่อไม่ลง

               @Mackenzie

               “เห จริงอ่ะ เพิ่งรู้เลยนะเนี่ย แต่ว่าครอบครัวนายสร้างตัวขึ้นมาได้ขนาดนั้นในช่วงสองอายุคน เก่งมากเลยนะ”

               ส่วนตัวเองเขาคิดไม่ออกเลยว่าจะมีปัญญาทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้ไหม เรื่องรับช่วงต่อกิจการร้านบาร์เบอร์ของบ้านน่ะลืมไปได้เลย ยังไงก็ไม่คิดจะทำต่อเด็ดขาด แต่บางทีถ้าเขาไปช่วยแมคเคนซีทำงานที่ฟาร์มนมของอีกฝ่ายก็อาจจะสร้างชื่อให้แบรนด์โด่งดังไปทั่วโลกได้ ก็ได้มั้ง

               “อื้ม ฉันก็ลืมไปเลย ถ้าบอกว่าเป็นรูปพักหน้าจอมือถือง่ายกว่าอีก”

               ผ่านมาสี่ถึงห้าปีได้แล้วมั้งที่ดีนไม่ได้เปลี่ยนรูปภาพพักหน้าจอมือถือเลย เคยคิดจะเปลี่ยนแต่ก็ทำใจปลดภาพคู่ของเขาและโรบินออกจากเครื่องไม่ลง เหมือนกับภาพโปรไฟล์เฟซบุ๊กที่ยังไงก็คงอย่างนั้นหลายปีมาจนถึงตอนนี้ ขัดกับอุปนิสัยชอบอัปโซเชียลโดยแท้จนเพื่อนหลายคนแซวว่า ‘ผ่านมาหลายปียังใช้รูปเดิมอยู่เหรอ กลัวจำหน้าไม่ได้หรือไง’ เอาเข้าจริงเขาไม่ได้คิดแบบนั้นเลย แต่กลับคิดถึงคนที่เปลี่ยนชื่อและรูปโปรไฟล์ทุก ๆ หนึ่งอาทิตย์มากกว่า เปลี่ยนบ่อยจนบางทีก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาแอดใครมา แต่ก็ไม่เคยคิดจะลบเพื่อน

               แล้วดีนก็ขำพรืดตามแมคเคนซีไปอีกคนที่อีกฝ่ายบอกว่าดมหมา

               “อื้อใช่ โรบินเป็นหมากลิ่นส้ม” เล่นมุกตอบกลับ เขาพยายามคิดว่าที่หน้าบ้านมีอะไรให้เล่าอีกแต่ก็นึกไม่ออก “ตรงนี้น่าจะไม่มีอะไรให้เล่าแล้วมั้ง เดี๋ยวเราเข้าไปหลังบ้านผ่านประตูเล็กกัน” สองแขนกางออกยื่นมือไปข้างหน้า “แมคซี่ดึงฉันขึ้นมาหน่อย” มีแฟนให้อ้อนก็ต้องอ้อนเยอะ ๆ สิ

               @Mackenzie

               จับมือคนรักแล้วดึงตัวเองขึ้นมาหยัดยืนเต็มความสูงพร้อมกับหยีตายิ้มกว้างให้

               “แมคซี่นายน่ารักที่สุดในโลกเลย ฉันรักนายจัง ปะ ไปดูหลังบ้านกันดีกว่า”

               จากนั้นก็จูงมือแมคเคนซีเดินนำเข้าไปยังรั้วหลังบ้าน พื้นที่สวนหลังบ้านของดีนไม่ใหญ่ไม่เล็ก พื้นทางเดินปูด้วยอิฐสีส้มครอบคลุมเกือบจะทั่วพื้นที่ เว้นวงไว้เฉพาะให้ต้นไม้ใหญ่ได้เติบโตแผ่กิ่งก้านสาขา ส่วนพืชพรรณและไม้พุ่มถูกปลูกในกระถางดินเผาอย่างดี ที่เด่นสะดุดตามากที่สุดเห็นจะเป็นดอกเวอร์บีนาสีขาวที่ออกดอกตลอดทั้งปี ที่ส่วนหนึ่งหลังบ้านมีลานกองไฟและโต๊ะล้อมรอบ คาดเดาได้ไม่ยากว่าหนึ่งในกิจกรรมของสมาชิกในบ้านหลังนี้คือการก่อกองไฟย่างบาร์บีคิวในฤดูร้อน และปิ้งมาร์ชเมลโล่พร้อมกับดูดาวในฤดูหนาวเป็นแน่แท้

               งานจัดสวนถือเป็นงานอดิเรกหนึ่งของโดนัลด์ ต้นไม้ทุกต้นในบ้านจึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ตรงกันข้ามกับไมค์ผู้เป็นสามีที่มีงานอดิเรกสายลุยอย่างการตกปลา ล่าสัตว์ และสะสมปืน

               “ส่วนนั่นห้องนอนแขก” ดีนผายมือไปห้องหนึ่งที่มีระเบียงติดกับสวนหลังบ้านพอดิบพอดี “แบบว่าบางทีญาติของพ่อจะมาเยี่ยมก็เลยยังต้องมีห้องนอนแขกอยู่ เอามาทำเป็นห้องอื่นไม่ได้ ตอนไม่มีแขกบางทีฉันก็มานอนกลางวันเล่นที่ห้องนี้แหล่ะ อ้อ ลืมถามไปเลยว่าเราจะนอนห้องไหนดี ถ้าห้องนอนแขกก็จะใหญ่กว่าห้องฉันเยอะเลย”

               คิดไปก็น่าตลก ครอบครัวใส่ชื่อดีนเป็นเจ้าบ้านตอนที่เขาอายุยี่สิบเอ็ดปี ทว่าห้องนอนของเจ้าของบ้านกลับเป็นห้องนอนที่เล็กที่สุดในบ้านเสียอย่างนั้น

               @Mackenzie

               “ไม่รู้สิ แต่สีประจำรัฐเท็กซัสคือสีส้ม ขนาดว่าสีประจำโรงเรียนยังเป็นสีส้มกับน้ำเงินเข้มเลย น่าจะยังมีชุดวอร์มสีนั้นเก็บไว้อยู่มั้ง”

               เดาว่าแมคเคนซีน่าจะอยากเห็น หรืออยากให้เขาลองใส่ชุดวอร์มสมัยไฮสคูล แต่ไม่รู้ว่าแม่ยังเก็บมันเอาไว้หรือเปล่าหรือบริจาคให้องค์กรการกุศลไปแล้ว บางทีเขาอาจต้องลองไปหาที่ตู้เสื้อผ้าหรือไม่ก็ห้องเก็บของใต้หลังคา แต่คิดว่าคงจะยัดเอาตัวโต ๆ เข้าไปในชุดวอร์มไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นมีหวังได้เห็นฉากตะเข็บเสื้อปริ

               “ได้สิที่รัก ที่บ้านฉันไม่ว่าอยู่แล้ว หรือวันไหนขี้เกียจเข้าห้องนอนก็นอนมันห้องรับแขกเลยยังได้”

               ดีนหัวเราะ ก่อนที่เขาจะพาอีกฝ่ายเข้าบ้านผ่านทางห้องครัวชายหนุ่มกลับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังกุกกักมาจากมุมนึงของสวน ในใจหวนคิดไปถึง ‘เจ้านั่น’ ที่เจอตอนกลับมาบ้านก่อนซัมเมอร์

               “นึกว่าเผ่นกันไปหมดแล้ว ยังไม่ไปกันสินะ..”

               แม้ว่าสัมภาระจะถูกยกเข้าไปเก็บในบ้านแล้วแต่เดมิก็อดทั้งสองยังคงมีอาวุธสัมฤทธิ์อยู่ข้างกายตลอดเวลา ตามที่ไครอนเคยสั่งสอนว่าออกนอกค่ายอย่าได้ปล่อยให้อาวุธอยู่ห่างกาย ถึงที่นี่จะเป็นบ้านของดีน แต่เท็กซัสมันแหล่งกบดานอสุรกายหลากสายพันธุ์อยู่แล้ว แม้ว่าไอ้ตัวที่พวกเขากำลังจะเผชิญหน้าคือก๊อบลินที่คุ้นหน้าก็ตาม

               ดีนถือหอกในมือให้มั่นก่อนจะเดินไปยังมุมสวนที่ใบไม้ไหวกระดุกกระดิก เขายื่นหอกเข้าไปเขี่ยพุ่มไม้ ในใจหวังให้มันเป็นแค่แมวหรือตัวตุ่นไม่ใช่อสุรกายที่ทำรังอยู่ใต้บ้าน แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว เพราะตัวที่กระโดดจั๊มป์สแกร์ออกมาเป็นเจ้าตัวเขียวน่ารำคาญไม่ใช่แมวเหมียวข้างบ้าน

               “แฮ่!”

               “โธ่เว้ย พวกแกนี่มันน่ารำคาญชะมัด คราวนี้เอาไง จะสู้กันหรือว่าจะหนีไปอีก”

               ก๊อบลินเขียวมองดีนตัวสั่น แต่เมื่อมันหันไปมองแมคเคนซีเจ้านั่นกลับมีท่าทีเปลี่ยนไป ลิ้นเล็ก ๆ แล่บเลียริมฝีปากอย่างน่าเกลียด จากนั้นเจ้าก็อบกินก็ผิวปากเรียกพวกของมันมาอีกหลายตัว

               “กี้!!!”

               ก๊อบลินเป็นสิบโผล่มาจากพุ่มไม้ในสวนหลังบ้านทำเอาชายหนุ่มกุมขมับ ให้ตายสิ นี่บ้านเขาเป็นรังก๊อบลินจริง ๆ เหรอ!? โชคดีในความโชคร้ายที่เจ้าพวกนี้จ้องแต่จะกินเดมิก็อดแต่ไม่ทำร้ายคนธรรมดา พวกมันแค่ขโมยอาหารกินนิดหน่อย

               “สวนหลังบ้านเละแน่ ๆ แต่ได้เวลาเก็บกวาดแล้ว!”

               @Mackenzie

               “เกิดอะไรขึ้น!?”

               เสียงโครมครามหลังบ้านเรียกให้พ่อและลุงออกมาดู ลุงไมค์เตรียมลูกซองเอาไว้พร้อมดึงรั้งคันชักพร้อมกับลั่นไก ภาพที่ทั้งสองเห็นคือลูกหลานและแฟนหนุ่มกำลังสัประยุทธ์กับกระรอกและฝูงหนูท่อตัวเขื่องนับสิบด้วยท่อแป๊บและตะกร้อตีแป้ง ทั้งสองถึงกับต้องขยี้ตามองอีกครั้ง

               ก็ว่าอยู่ทำไมดีนกับแมคเคนซีถึงพกของแปลก ๆ ติดตัว ก็ว่าจะทัก มันเอาไว้ทำแบบนี้เองสินะ…

               ใครสักคนหรือทั้งคู่อาจจะคิดเช่นนี้อยู่ แต่ไม่กล้าถาม และตอนนี้ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้าดี ใช้ลูกโม่กับหนูสกปรกก็ดูจะรุนแรงไปเสียหน่อย ผู้ปกครองทั้งสองจึงได้แต่เกาะขอบประตูดูแบบนั้น

               “ไม่มีอะไรครับพ่อ มันอันตราย รีบเข้าไปหลบในบ้านเร็ว!”

               ดีนตะโกนบอกทั้งสองที่แอบมองจนพ่อและลุงยอมเข้าไปในบ้านดี ๆ เรื่องนี้เอาไว้อธิบายกันทีหลัง ๆ จากกำจัดก๊อบลินพวกนี้หมด

               ด้วยสัญชาตญาณและประสบการณ์การต่อสู้อันเกือบโชกโชน ถ้าพูดให้โม้แบบการ์ตูนโชเน็นก็คงบอกว่า ‘จิตวิญญาณของเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหอกไปแล้ว’ ก็ไม่เกินจริงเท่าไร เพราะว่าดีนควงหอกพุ่งจ้วงแทงอสุรกายตัวเขียวได้อย่างมั่นคงและแม่นยำแม้ว่าก๊อบลินจะกวนโอ๊ยวิ่งกระโดดไปมาจนยากหาตัวจับ แต่สวนมันก็มีแค่นี้ถ้าพวกมันตัดสินใจที่จะสู้แทนหนีก็ไม่มีทางหลบพ้น ก๊อบลินเขียวราวสิบตัวถูกจัดการลงอย่างรวดเร็วเหลือเพียงตัวสุดท้ายที่ดูท่าทางจะเก๋าเอาเรื่อง

               “กี้!!”

               มันควงดาบเล็ก ๆ ไซส์เดียวกับมีดพร้าเข้าหา ดีนเบี่ยงตัวหลบก่อนที่จะพุ่งหอกแทงงัดร่างเล็กลอยหลา มันดิ้นทุรนทุรายบิดกายไปมาอย่างเจ็บปวด และเมื่อดีนทุ่มหอกลงพื้นจ่าฝูงก๊อบลินก็สลายกลายเป็นผงเหมือนถูกดีดนิ้วเหลือแต่เพียงสินสงครามเป็นโหลทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า

               “แฮ่ก.. เวรเอ๊ย มีอีกไหมเนี่ย!”

               ดีนสบถพร้อมกับยกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อ มือหนึ่งค้ำหอกกรีกกับพื้นศิลาสีแดง บอกตามตรงว่าคืนนี้ถ้าไม่กำจัดเจ้าก๊อบลินจอมป่วนให้หมดไปจากบ้านคงนอนไม่หลับ

               บานประตูห้องครัวเปิดแง้มอีกครั้งแล้วพ่อกับลุงก็ค่อย ๆ โผล่หน้าออกมาดู

               “ดีน แมค เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นน่ะ หนูงั้นเหรอ?”

               โดนัลด์เอ่ยถามอย่างงุนงง เขารับรู้ปัญหาของบ้านที่อยู่อาศัยอยู่ทุกวันนี้ดีน มีรังหนูอยู่ใต้บ้าน บางทีก็เห็นมันแอบเข้ามาขโมยอาหารในครัวจากนั้นก็วิ่งหลบหนีเข้าไปในสวนหลังบ้าน จ้างบริษัทกำจัดหนูและแมลงมาดูแล้วแต่ก็จับหนูดังกล่าวไม่ได้สักตัวจนแทบจะยอมแพ้ แล้วไหงหนูพวกนั้นที่มักจะหลบคนถึงได้เกิดอาการคุ้มคลั่งไล่กัดลูกชายกันได้นะ

               หรือว่าจะผิดกลิ่น?

               ยังไม่ทันได้ตอบคำถามอะไรไข่เหลืองก็วิ่งมุดประตูออกมาท่าทางของมันเหมือนได้รับแรงกระตุ้นบางอย่างให้คึกคัก แต่ในยามที่มันถูกเวทมนตร์บังตาก็ไม่ต่างจากลูกหมาเชาเชาซุกซนตัวหนึ่ง ออมเล็ตเหมือนจะเจืออะไรบางอย่างอยู่ที่มุมรั้วจึงขุดดินใหญ่ อาจดมกลิ่นของก๊อบลินได้มั้ง แต่ตอนนี้ดีนต้องตอบพ่อก่อน

               “เอ่อ.. ครับ ใช่ หนู ไม่มีอะไรแล้วพ่อกับลุงไว้ใจได้เลย”

               ถึงทุกคนในครอบครัวจะรู้ว่าเขาเป็นเดมิก็อดแล้วต้องต่อสู้พิชิตอสุรกายมากมายเฉกเช่นวีระบุรุษในตำนาน แต่ตอนนี้บอกพ่อกับลุงไม่ได้หรอกว่าหนูที่เข้าใจกันมานานความจริงแล้วมันเป็นปีศาจตัวจิ๋วไม่ใช่สัตว์ตามธรรมชาติ อย่างน้อยก็จนกว่าจะกำจัดก๊อบลินให้ตายยกรังจนหมดสิ้น

               “อ๊าววว งั่บ! งั่ม ๆๆๆๆ”

               “กี้!! แก๊กกกกก”

               หันไปมองทางสัตว์เลี้ยงอีกทีก็เห็นว่าออมเล็ตฟัดก๊อบลินตัวหนึ่งที่ยังเหลือรอดไม่ก็ขึ้นจากหลุมมาใหม่ แล้วก็เห็นว่านีเมียนน้อยของเขาฉีกกระชากร่างเขียว ๆ แล้วเคี้ยวหงับ ๆ ดีนก็ลืมไปเลยว่าตอนนี้มันคงหิวจนตาลาย เขาไม่ทันได้เห็นภาพสยดสยองแบบในสารคดีเนชั่นแนลจีโอกราฟิกเพราะเบือนหน้าหนีไปก่อน แต่ก็พอจะนึกสภาพออกเลย

               ‘ไอ้นั่นมันกินได้ด้วยสินะ… แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน’

               “ออมเล็ต คืนนี้ฝากแกเฝ้าสวนหน่อยนะ ถ้าเจออะไรเขียว ๆ ก็ซัดได้เลย”

               “อ๊าววว” ออมเล็ตขานรับพร้อมกับเลียมุมปาก จากนั้นมันก็ทำจมูกฟุ้ดฟิ้ดเพื่อหาเหยื่อตัวต่อไป

               “แมคซี่ นายไม่เป็นไรใช่ไหม?” ตอนต่อสู้มัวแต่พัลวันจนไม่ได้มองคนรัก เขาไม่ได้กลัวว่าอีกฝ่ายจะถูกทำร้ายเพราะก๊อบลินมันกากเกินไป กลัวก็ได้อีกฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บจากหอกของตนตอนที่ออกลวดลายไล่ฟาด “ฉันว่าเราเข้าบ้านกันก่อน ตรงนี้ปล่อยให้ไข่เหลืองจัดการ”

               หลังจากสำรวจร่างกายคนรักว่าไม่ได้รับบาดแผลก็โอบคออีกฝ่ายเข้าบ้านกันไป

               @Mackenzie

               คล้ายอยากถามแต่ไม่ยังไม่กล้าถามเพราะลูกชายของบ้านดูมีบางอย่างที่อยากปกปิด

               โดนัลด์กับไมค์พยายามไม่คิดว่าสัตว์คลั่งเมื่อกี้เป็นไอ้สิ่งที่ดีนเคยบอกว่าพวกมันตามรังควานชีวิตเขา ใช่… หมายถึง ‘อสุรกาย’ นั่นแหล่ะ ไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร ปีศาจหนูอย่างนั้นเหรอ? แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริงการปล่อยให้เจ้าออมเล็ตลูกหมาน้อยน่ารักอยู่กับปีศาจหนูและปีศาจกระรอกมันจะปลอดภัยอย่างนั้นหรือ? แต่ไม่แน่ว่าออมเล็ตเองก็อาจจะไม่ธรรมดา ลูกชายอยู่ค่ายฮาล์ฟบลัดอะไรนั่นที่เป็นศูนย์รวมสิ่งพิลึกกึกกือเหนือธรรมชาติจะไปหาสัตว์เลี้ยงมาจากไหน ไม่แน่มันอาจเป็นสุนัขเทพอะไรแบบนี้ เหมือนจะเคยมีตำนานเรื่องดาวซิริอุสที่เป็นสุนัขล่าเนื้อของนายพราน ไม่แน่ว่าออมเล็ตต้องเป็นแบบนั้นแหล่ะ.. ต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน

               เมื่อทุกคนพร้อมรับประทานมื้อเย็นแล้ว เนื้ออบถาดใหญ่ก็ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ มันไม่ใช่อาหารท้องถิ่นของอเมริกัน แต่หากเป็นชาวอังกฤษอย่างแมคเคนซีต้องรู้จักอย่างแน่นอน เนื้ออบวันอาทิตย์ที่นิยมรับประทานกับครอบครัวหลังจากเข้าโบสถ์ ทานแนมกับเครื่องเคียงมากมาย อาทิ ยอร์กเซียร์พุดดิ้ง และผักต่าง ๆ ที่ย่างเนยมาจนหอมกรุ่น โดยมีซอสเกรวี่สูตรพิเศษรับประทานคู่กัน นอกจากนี้ยังมีกะหล่ำดอกอบชีสเพิ่มคาร์โบรไฮเดรตให้ทานกันจนพุงตึง


               “โอ้โห มื้อใหญ่เป็นบ้า อะไรกันครับเนี่ย!” ดีนมองอาหารบนโต๊ะด้วยดวงตาลุกวาว ผิดคาดไปเสียหน่อย เขาคิดว่าพ่อจะจัดหนักอาหารอเมริกันหรือไม่ก็ของทอดที่ถนัดทำเสียอีก

               “ซันเดย์โรสต์ เห็นเขาว่าคนอังกฤษชอบกินเมนูนี้กันวันอาทิตย์” โดนัลด์หันไปยิ้มให้แมคเคนซี ภาพในหัวของคุณพ่อชาวอเมริกันที่มีต่อคนอังกฤษคงไม่พ้นกินซันเดย์โรสต์แล้วก็ดูพรีเมียร์ลีคในคืนวันอาทิตย์เสียล่ะมั้ง

               “โดนัลด์ซุ่มทำเมนูนี้เป็นเดือนตอนที่แกบอกจะกลับบ้าน ฉันน่ะกินซ้ำ ๆ จนหน้าจะกลายเป็นเดวิด เบคแฮม” ไมค์หัวเราะอันที่จริงเขาก็มีความหล่อแพ้เบคแฮมไปนิดเดียว จากนั้นลุงก็ยื่นเบียร์เท็กซัสเย็นฉ่ำให้แก่ดีนและแมคเคนซี “ลองหน่อยไหม ของดีจากเท็กซัสเชียวนะ”

               “ขอบคุณครับลุง” ดีนรับกระป๋องเบียร์มาเปิดออกในทันที นี่สิเป็นมื้อเย็นที่ดีสุด ๆ แล้วก็ไม่ลืมจะหันไปแซวคุณพ่อบุญธรรมของตัวเอง “พ่อก็ไม่ค่อยจะเห่อลูกเขยเลยนะ อืม.. ฉันนึกศัพท์ไม่ออก ใช้คำนี้แทนได้ไหม?” แล้วจึงหันไปยิ้มให้แก่เมคเคนซี “แล้ว… ว่าแต่.. แม่ล่ะ ไม่ต้องรอแม่เหรอ?”

               “อ้าว มาเรียนน่าไม่ได้บอกลูกเหรอว่าติดงานช่วงนี้พอดี แต่ว่าเธอกลับมาทันแตงส์กิฟวิ่งเดย์นะ ลูกอยู่ยาวถึงช่วงนั้นเลยนี่” โดนัลด์ตอบ

               “แม่น่าจะบอกแหล่ะ แต่ว่าผมไม่ได้เช็คเมลเลยหลัง ๆ มานี้” หลังจากที่ปริ้นท์ใบจองตั๋วรถไฟเสร็จดีนก็ลาก่อนบ้านเฮอร์มีส แล้วใช้ชีวิตแบบโนโซเชียลมาเป็นอาทิตย์ ๆ บางทีแม่คงส่งข้อความมาแล้วแต่ว่าเขาไม่ทันได้ดูเองแหล่ะ “ใช่พ่อ ความจริงผมอยู่ยาวยันเคาท์ดาวน์ปีใหม่เลยก็ได้นะ” พูดทีเล่นทีจริง แต่คนว่างงานจะกลับไปค่ายเมื่อไรก็ได้อยู่แล้ว ถ้าไม่ต้องรอแม่ก็ไม่รีรอที่จะส่งชิ้นเนื้อเข้าปาก “อื้ม อร่อย! พ่อก็มีฝีมือทำอาหารอังกฤษนะเนี่ย”

               ดีนยกนิ้วโป้งชมคุณพ่อบุญธรรมของตัวเอง ก่อนจะลากเนื้อชิ้นโตที่หั่นแล้วใส่จานแมคเคนซี

               “ลองชิมดูสิที่รัก รสชาติแบบนี้เหมือนต้นตำหรับหรือเปล่า”

               @Mackenzie

               พ่อทำส้อมร่วงจากมือ ส่วนดีนยกเบียร์ขึ้นจิบพอดีถึงกับสำลัก
               
               “แค่ก ๆ นายนี่มัน..”

               หาคำพูดมาบรรยายต่อไม่ได้ จากคำพูดที่แมคเคนซีล้อเล่น ความจริงแล้วถ้าโดยนิตินัยก็ถือว่ายังไม่ใช่ แต่ถ้าโดยพฤตินัยก็เรียบร้อยไม่มีเหลือ ดีนไม่ได้ตกใจที่พ่อกับลุงรู้เรื่องนี้ อันที่จริงก็เคยปรึกษาเรื่องการเตรียมตัวของผู้ชายกับผู้ชายกับทั้งสองมาก่อนในช่วงที่รู้จักกับหนุ่มอังกฤษใหม่ ๆ (ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีทางบอกแมคเคนซีหรอก ใครจะไปบอกกัน!) แต่ที่ตกใจก็คือ.. หมอนี่ช่างกล้าออกตัวแรงต่อหน้าพ่อกับลุง ทั้งสองคงไม่คิดอะไรมาก แต่ยังไงก็เถอะ หมอนี่มันร้ายจริง ๆ

               “อะแฮ่ม..” โดนัลด์กระแอมปรับอารมณ์และสีหน้าจากที่ตกใจเมื่อกี้นี้ ปรับโหมดกลับมาเป็นคุณพ่อแสนดีเช่นเคย “ถ้าอร่อยก็กินเยอะ ๆ”

               แล้วมื้ออาหารเย็นอันแสนสุขสันต์ก็ดำเนินต่อไปจนทั้งสี่อิ่มหนำสำราญจากเนื้ออบแสนอร่อยและเบียร์เท็กซัสที่ลุงซื้อตุนไว้เป็นโหล ๆ ดีนพยายามทำตัวไม่ให้เมามากเพราะตระหนักได้ว่ามีฝูงก๊อบลินอยู่ที่หลังบ้านของตนเอง

               คุณพ่อเป็นคนทำอาหารแล้ว คนเป็นลูกจึงขันอาสาที่จะช่วยเก็บล้างจานชามให้จนเสร็จจากนั้นก็เปิดประตูรับออมเล็ตที่ออกล่าเหยื่อเป็นครั้งแรกให้กลับเข้ามานอนในบ้าน บนเบาะนอนอันแสนอบอุ่น ที่สวนเงียบกริบหากก๊อบลินไม่ถูกหม่ำยกฝูงไปแล้วก็เป็นไปได้ว่าพวกมันหนีหางจุกตูดไปกันหมด กระนั้นก็ยังวางใจไม่ค่อยได้อยู่ดี

               “ฉันคิดว่าวันนี้เราควรจะนอนที่ห้องนอนแขกกัน อย่างน้อยก็ให้แน่ใจว่าถ้ามีก๊อบลินโผล่มาอีกจะรื้อสวนกันใหม่ ส่วนห้องนอนฉัน.. เก็บไว้เซอร์ไพรส์นายวันอื่นดีไหม?”

               ดีนกล่าวพลางหัวเราะ อันที่จริงถึงก๊อบลินจากไปแล้วแต่ก็ควรปรับปรุงสวนหลังบ้านใหม่อยู่ดี อย่างน้อยก็อุดช่องทางที่พวกมันจะเข้ามาทำรังจากร่องรอยกลิ่นเดมิก็อดที่หลงเหลืออยู่

               @Mackenzie

               “โอเค ถ้างั้นฉันว่าคืนนี้เรารีบเข้านอนกันดีกว่า ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราต้องรับมือกับอะไรบ้าง หรือไม่แน่ว่าต้องรับมือตั้งแต่คืนนี้”

               ได้แต่เบะปาก รู้สึกแย่ชะมัดที่พาอีกฝ่ายมาเจออะไรก็ไม่รู้ที่บ้านตัวเองที่ควรจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด แต่มันก็เป็นบทเรียนที่ดีในฐานะเดมิก็อดที่มีแผนจะออกมาใช้ชีวิตอยู่นอกค่ายฮาล์ฟบลัดที่ไม่มีรูปปั้นของเทพีอะธีน่ามาปล่อยแสงเลเซอร์ออกจากตา ยิงใส่อสุรกายที่พยายามกกร้ำกรายเข้ามาในอาณาเขต ไม่มีพลังของขนแกะทองคำที่มีม่านพลังปกป้องค่าย แต่ว่าพวกเขาจะต้องรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ให้ได้เหมือนกับรุ่นพี่คนอื่น ๆ ใช้ชีวิตกันมา

               แต่ก็รู้เลยว่าทำไม ทีน่า แซนโดวาล ถึงไม่ยอมออกไปใช้ชีวิตนอกค่ายเหมือนคนโตคนอื่น ๆ

               ดีนลากกระเป๋าสัมภาระทั้งหมดมาไว้ในห้องนอนแขกอันกว้างขวางที่ตั้งในปีกหนึ่งของบ้าน การตกแต่งเป็นสไตล์เรียบง่ายแต่อบอุ่น ไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์อะไรตั้งอยู่มากมายที่สะดุดตาเห็นจะเป็นเตียงกว้างหกฟุตตั้งอยู่กลางห้อง และชุดโซฟาเล็กที่ตั้งอยู่ริมระเบียงที่เดินทะลุออกไปยังสวนหลังบ้านได้ สิ่งที่กั้นขวางระหว่างพวกเขาและฝูงก๊อบลินมีเพียงแค่ประตูกระจกบานเลื่อนและผ้าม่านเนื้อบางกั้นแสงอาทิตย์ แต่ให้ตายสิตอนนี้จะสี่ทุ่มอยู่แล้วแสงสว่างยังส่องแสงทะลุม่านรำไรอยู่เลย คงไม่มีที่ไหนที่มืดสนิทเหมาะแก่การนอนหลับไปกว่าห้องนอนของบ้านเฮคาทีอีกแล้ว

               “หวังว่าคืนนี้เราจะนอนหลับกันดีนะ..”

               อุปสรรคมีหลายอย่างเสียเหลือเกินให้ตายสิ! สองวันมานี้ก็นอนบนรถไฟหลับได้ไม่ค่อยสนิทเท่าไรทำเอาเพลียไปหมด อยากฝังตัวลงไปนอนบนเตียงนิ่ม ๆ เต็มแก่

               “ห้องน้ำต้องออกไปใช้ห้องน้ำที่ชั้นหนึ่งล่ะ แต่ก็อยู่ติดกันนี่เอง” ดีนเดินเข้าไปหาแมคเคนซี มือกร้านโอบเอวสอบรั้งเข้าหา ดวงตาช้อนมองคนที่สูงกว่าหนึ่งนิ้ว “คืนนี้สนใจอาบน้ำด้วยกันไหมที่รัก”

               @Mackenzie

               ถึงแม้ฟ้าจะสว่างแต่แล้วยังไง ในเมื่อหัวใจเต้นตึกตักเมื่อได้รับสัมผัสที่อบอุ่นจากมือประคองใบหน้ารวมทั้งลมหายใจที่ปะผิวแก้ม

               “ห้องน้ำบ้านฉันจะเก็บเสียงได้ไง นายต้องอาบน้ำเบา ๆ หน่อยนะที่รัก”

               กดปลายจมูกโด่งไปที่สันจอนประทับริมฝีปากจูบยังสันกรามได้รูปก่อนจะผละออกมา ตอนนี้อยากกระโจนขึ้นเตียงเสียยิ่งกว่าไปอาบน้ำ แต่เมื่อกี้บู๊หนักกับฝูงก๊อบลินมา ไม่ล้างตัวสักหน่อยคงไม่ไหว เปิดกระเป๋ารีบหยิบอุปกรณ์อาบน้ำและผ้าเช็ดตัวอย่างลวก ๆ ส่วนชุดนอนคืนนี้คงไม่จำเป็น

               ไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ (ส่วนนึงรู้ว่าแมคเคนซีคงไม่ปฏิเสธ) ดีนจูงมือของแมคเคนซีออกจากห้องนอนแขกแล้วเข้าห้องน้ำไปด้วยกัน

               @Mackenzie

              




สินสงคราม: หมวกก็อบลิน 12 หน่วย และดาบก็อบลิน 11 หน่วย (LUK50+)


แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
44. Go to My Sweetie's Home IIIM [ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ] วันนี้ก็ยังคงเป็นวันที่อากาศดีอีกวัน แมคเคนซีที่กำลังหลับสบา  รายละเอียด ตอบกลับ โพสต์ 2024-11-26 15:39
God
ดี: 5
  โพสต์ 2024-11-26 10:13
โพสต์ 97690 ไบต์และได้รับ 54 EXP!  โพสต์ 2024-11-26 01:07
โพสต์ 97,690 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก แจ๊กเก็ตยีนส์  โพสต์ 2024-11-26 01:07
โพสต์ 97,690 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก แว่นตา  โพสต์ 2024-11-26 01:07
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
Anker PowerCore
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่อัสพิสขัดเกลา
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x2
x2
x2
x10
x2
x3
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x3
x1
x3
x1
x1
x4
x6
x1
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x6
x2
x1
x1
x1
โพสต์ 2024-11-26 15:39:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด
Dean ตอบกลับเมื่อ 2024-11-26 01:07
232บ้านส้มแสนรัก
               3/11/2024 - 8.00 น.~

44. Go to My Sweetie's Home III
M

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

วันนี้ก็ยังคงเป็นวันที่อากาศดีอีกวัน แมคเคนซีที่กำลังหลับสบายต้องตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงียเพราะถูกคนที่มาด้วยกันปลุก

“โอเคดีน…ฉันตื่นแล้ว”

ปรามคนรักเหมือนปรามสุนัขยามที่เห็นอะไรน่าสนใจแล้วมาร้องเรียกเจ้าของ เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่ง มือก็ควานหาเสื้อผ้าไปด้วย ก่อนจะมุ่นคิ้วเมื่อเห็นเสื้อคุ้นตาที่เหมือนว่าเขาเคยใส่เมื่อวานแต่เวลานี้มันไปอยู่บนตัวดีนซะแล้ว แมคเคนซีจึงหยิบกางเกงมาสวมและหยิบเสื้อที่น่าจะเป็นของดีนขึ้นมาพาดบ่าไว้ อีกเดี๋ยวก็อาบน้ำแล้ว ไม่ต้องใส่ก็ได้

“โห ทะเลสาบงั้นเหรอ เรามาถึงไหนกันแล้ว”

พอเดินตามอีกฝ่ายมาดูก็ถึงกับตื่นเต็มตา ภาพทะเลสาบตรงหน้าที่ผิวน้ำสะท้อนแสงแดดส่องเป็นประกายระยิบระยับราวกับทะเลดาว แบบนี้ค่อยคุ้มค่ากับที่ปลุกให้เขาถ่างตาตื่นขึ้นมาหน่อย

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“ก็เหมือนจริง ๆ ถ้าเป็นตอนกลางคืนคงไม่เห็นวิวสวย ๆ แบบนี้”

นี่อาจเป็นข้อดีอย่างนึงของปรากฏการณ์พระอาทิตย์ 24 ชม.ล่ะมั้ง นั่งชมวิวจนอิ่มตาอิ่มใจแล้วก็ถึงเวลาไปหาอะไรทานให้อิ่มท้อง พอต่างคนต่างจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็ไปทานมื้อเช้าและกลางวันตามลำดับ จากนั้นก็มานั่งชมวิวคุยกันต่อ ยอมรับว่ามันค่อนข้างจำเจ แต่พวกเขาจะทำอะไรไปได้มากกว่านี้อีก

ในที่สุดการเดินทางอันยาวนานบนรถไฟก็ได้สิ้นสุดลง พวกเขามาถึงซานอันโตนีโอกันในเวลาเย็น แต่หากไม่ดูนาฬิกามันก็จะยังเหมือนยามสายอยู่

“เฮ่อ…ถึงสักที เวลานายกลับบ้านคงเบื่อแบบนี้ตลอดเลยไหม”

แมคเคนซีบิดขี้เกียจซ้ายทีขวาทีพลางมองบรรยากาศรอบ ๆ ไปด้วย

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

ถึงจะสงสัยในคำพูดดีนที่ว่า ‘ไปที่บ้านฉันแล้วจะไม่เบื่อ’ กระนั้นแมคเคนซีก็ไม่คิดจะถามอะไร หากไปถึงแล้วก็คงรู้เอง แถมอีกฝ่ายยังดูกระตือรือร้นหารถที่จะขึ้นกลับบ้านด้วย แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องนั่งรถสาธารณะกันแล้ว เมื่อพ่อ ๆ ของดีนพากันมารับถึงที่สถานีรถไฟ ป้ายยินดีต้อนรับกลับที่มีทั้งชื่อดีนและชื่อเขาสร้างความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นในใจ อาจเป็นความอบอุ่นที่ครอบครัวของดีนต้อนรับ
แมคเคนซีเหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัวคนนึงก็เป็นได้

หนุ่มอังกฤษยืนมองคนรักกับครอบครัวทักทายและกอดกันกลมด้วยรอยยิ้ม จนเมื่อดีนแนะนำตัวเขากับคุณพ่อทั้งสองจึงกระแอมเล็กน้อย

“สวัสดีครับ ผมแมคเคนซี คลอดด์ ลินคอล์น ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

แม้จะแอดเฟรนด์กันผ่านทางเฟซบุ๊คแล้วแต่แมคเคนซีก็แนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกรอบแล้วยื่นมือไปจับกับคุณโดนัลด์และคุณไมค์ตามมารยาท

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

แมคเคนซียิ้มรับคำต้อนรับของคุณโดนัลด์ หากให้พูดตามตรงแล้วคุณพ่อทั้งสองของดีนนั้นหน้าตาดีกว่ารูปถ่ายในเฟซบุ๊คเสียอีก บางครั้งที่เขาไปใช้อินเทอร์เน็ตที่บ้านเฮอร์มีสก็จะแวะเข้าไปเช็คหน้าฟีดเฟซบุ๊คบ้าง แล้วก็มักจะเห็นคุณโดนัลด์กับคุณไมค์ลงรูปคู่กันอยู่บ่อย ๆ และบางครั้งก็เห็นคุณแม่ดีนร่วมเฟรมอยู่ด้วย ทักทายกันได้ไม่เท่าไหร่ ‘เจ้าออมเล็ต’ สิงโตนีเมียนในคราบลูกสุนัขเชาเชาก็ท้องร้องเสียงดัง คงจะได้เวลาอาหารเจ้าตัวเล็กแล้ว พวกเขาจึงพากันไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน

“โอ้…!”

ยังไม่ทันได้ก้าวขาขึ้นรถก็ต้องตกใจเสียก่อน เมื่อเปิดประตูรถด้านหลังแล้วเห็นช็อตกันสีดำเมี่ยมนอนแน่นิ่งอยู่บนเบาะทั้งยังหันปากกระบอกมาทางเขาเป็นการทักทายอีก แม้ว่าที่บ้านของแมคเคนซีเองจะมีปืนไว้ป้องกันตัว แต่พ่อของเขาก็มักจะเก็บไว้ในที่ลับตาและปลอดภัยเสมอ ไม่ได้วางไว้ให้เห็นจะ ๆ และหยิบใช้ง่ายราวกับร่มที่สามารถหยิบออกไปกางได้ทันทีในเวลาฝนตก จนอดคิดไม่ได้ว่าที่คุณไมค์บอกลืมเก็บปืนนั้น เป็นเพราะจงใจวางไว้เป็นเชิงขู่อ้อม ๆ ว่า ‘อย่าทำหลานสุดที่รักของฉันเสียใจเชียวนะเฟ้ย !’ หรือเปล่า

“ก..ก็นิดหน่อยครับ แต่ไม่เป็นไร ผมโอเค”

แมคเคนซียิ้มเจื่อนให้คุณโดนัลด์ก่อนจะขึ้นรถมานั่งข้างดีน ก่อนจะขยับไปกระซิบตอบกลับประโยคก่อนหน้านั้น

“หวังว่านายจะปลอบให้สมกับที่ฉันตกใจ” แล้วเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยหางตา ริมฝีปากยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

ภายในรถพวกเขาพูดคุยกันถึงสภาพอากาศที่ผิดแปลกไปในช่วงนี้ ที่เห็นได้ชัดก็คงจะเป็นปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนซึ่งกินเวลามาเป็นเดือนและไม่มีทีท่าว่าจะได้เห็นดวงจันทร์ขึ้นบนฟากฟ้า แมคเคนซียักไหล่แล้วส่ายหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบ เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หากสาเหตุมาจากเทพกรีกตามคำบอกเล่าของคุณแม่ดีนจริง ๆ ทำไมพวกเขาที่อยู่ในค่ายฮาร์ฟบลัดซึ่งถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่น่าจะได้ข่าวไวกว่าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

พวกเขานั่งรถไปเรื่อย ๆ จนมาถึงเขตนอร์ทเซ็นทรัลซานอันโตนิโอ ซึ่งระหว่างทางดีนก็ยังทำหน้าที่เป็นไกด์อีกเช่นเคย แต่คราวนี้อาจใช้คำว่าไกด์ท้องถิ่นแทนคำว่าไกด์จำเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นคนในพื้นที่ย่อมรู้จักสถานที่ต่าง ๆ เป็นอย่างดีโดยไม่จำเป็นต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติม แมคเคนซีเห็นสโตนโอ๊คซึ่งเป็นย่านอยู่อาศัยของกลุ่มชนชั้นร่ำรวยอยู่ไม่ไกล เขาเคยเห็นมันผ่านตามาบ้างจากตามเว็บไซต์ แต่รถของครอบครัวดีนก็เลี้ยวไปยังเอนคานโต้ ครีกแทน แม้ว่าบ้านผู้คนในย่านนี้จะหรูหราเทียบกับที่สโตนโอ๊คไม่ได้ แต่ก็มีพื้นที่ดูเป็นสัดส่วนน่าอยู่ไม่น้อย ซึ่งบ้านของครอบครัวของคนรักที่เขามาถึงก็เช่นกัน

“ขอบคุณครับ”

หลังจากที่ยื้อแย่งกันถือกระเป๋าอยู่สักพัก สุดท้ายพวกเขาก็ต้องยอมให้คุณโดนัลด์และคุณไมค์เป็นฝ่ายช่วยเอาสัมภาระเข้าไปในบ้านให้ แมคเคนซีกล่าวขอบคุณไล่หลังชายวัยกลางคนทั้งสองก่อนจะเดินตามดีนไป

“ขอบคุณ บ้านนายดูน่าอยู่นะ”

แมคเคนซีรับส้มเท็กซัสที่คนรักโยนมาให้ด้วยมือข้างเดียว สีของมันเป็นสีส้มสว่างสดใสเหมือนดีนไม่มีผิด เมื่อลองจรดผลส้มกับปลายจมูกก็ได้กลิ่นหอมชวนให้สดชื่นด้วย

“มีต้นส้มหน้าบ้านนี่เอง ไม่น่านายถึงชอบเค้กส้ม”

จะว่าเค้กส้มอย่างเดียวก็ไม่ถูก ดีนดูจะชอบอาหารอีกหลากหลายที่ทำมาจากส้ม ไม่ว่าจะเป็นผลส้มสด ๆ น้ำส้มคั้น หรือแม้แต่โอลด์แฟชั่นที่ใส่เปลือกส้มลงไป

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“ตลกสิ”

กำปั้นชกเข้าที่ไหล่ดีนไปเบา ๆ ทีนึงก่อนจะแกะส้มในมือทานบ้าง รสชาติหวานอมเปรี้ยวจนต้องหยีตาแต่ก็สดชื่นดี

“ก็คงมี แต่ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนั้น ถ้าออกบูธก็มีแต่ที่งานโรงเรียน”

พอนึกถึงเรื่องราวสมัยเด็กของตนเองแล้วมันก็ออกจะจืดชืดไปสักหน่อย แมคเคนซีในวัยเยาว์ไม่ค่อยมีกลุ่มเพื่อนที่จะพากันออกไปวิ่งเล่นหรือทำกิจกรรมอะไร เขาแค่ชอบใช้เวลาอยู่คนเดียวมากกว่า ตอนนี้ชอบเก็บตัวยังไง วัยเด็กของเขายิ่งกว่านั้น

“นายบอกจะพาฉันย้อนวัยเด็กของนายไม่ใช่เหรอ เริ่มเลยสิ นายชอบทำอะไร หรือไปทำอะไรตรงส่วนไหนของบ้าน พาฉันไปดูหน่อย”

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“ไม่เกี่ยวหรอกว่าจะเป็นลูกคุณหนูหรือเปล่า เมื่อตอนเด็ก ๆ ฉันก็แค่ไม่ค่อยมีเพื่อนพากันไปทำเรื่องสนุกแบบนั้น ตอนที่ฉันยังเด็กปู่ฉันเพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ จำได้ว่าบางครั้งฉันก็นั่งรถไปกับปู่และพ่อ เอานมกับชีสไปส่งตามบ้านกับพวกร้านค้านั่นล่ะ”

ครอบครัวของแมคเคนซีเองก็ไม่ได้ร่ำรวยมาแต่กำเนิดและเขาก็ไม่ได้เป็นลูกคุณหนูอย่างที่ดีนเข้าใจ กว่าแบรนด์ของครอบครัวเขาจะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ก็ใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่หลายปี ความเป็นอยู่ทางบ้านที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนั้นเป็นสิ่งที่ปู่หลงเหลือไว้ให้กับครอบครัว ซึ่งในตอนนี้แมคคอยพ่อของเขาคือผู้สานต่อและในอนาคตแมคเคนซีก็ต้องรับช่วงต่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน

“จำได้สิ โรบิน…ที่นายนอนหลับข้าง ๆ ใช่ไหม”

แมคเคนซีฟังสิ่งที่ดีนเล่าอย่างตั้งใจ ดวงตาสีฮาเซลหลุบลงมองตามร่างอีกฝ่ายที่นั่งยอง ๆ ใต้ต้นส้ม ในตอนแรกเขาคิดว่าดีนคงกำลังรำลึกความหลังถึงเจ้าสุนัขตัวนั้นอยู่ แต่พอได้ยินสิ่งที่พูดออกมาก็ทำเอาแทบจะหลุดขำ

“ถ้านายว่าอย่างนั้น เมื่อกี้ที่ฉันดมกลิ่นส้มไม่ใช่ว่าฉันสูดกลิ่นโรบินเข้าไปด้วยหรือไง”

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“อืม…ฉันก็ว่าปู่กับพ่อเก่งมาก ฉันเลยไม่อยากทิ้งสิ่งที่พวกเขาสร้างมากับมือ”

บอกพลางจับมือของดีนทั้งสองข้างและดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมา ให้ตายสิ เขาชอบเวลาดีนอ้อนชะมัด อย่างกับเจ้าหมาขี้อ้อนไม่มีผิด

“นายก็เป็นเจ้าหนุ่มกลิ่นส้ม”

ยื่นหน้ามากระซิบก่อนผละออกแต่ยังกุมฝ่ามือใหญ่ของคนรักไว้ข้างนึง รอให้อีกฝ่ายนำไปยังประตูเล็กตรงหลังบ้านที่ว่า

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“อะไรกัน อยู่ ๆ ก็บอกรักกันซะงั้น แบบนี้ให้ฉันดึงมือนายอีกสักกี่ร้อยรอบก็ยังได้”

โดนบอกรักแบบไม่ทันตั้งตัวก็เล่นเอาเขินเหมือนกันเลยยิงมุกฝืดไปดอกนึง เมื่อมายังสวนหลังบ้านก็พบพื้นที่สีส้มอีกแล้ว ไม่เพียงแค่ตัวบ้านแต่พื้นด้านหลังบ้านก็ยังปูอิฐสีส้มด้วย

“อย่างกับอาณาจักรสีส้มแน่ะ ครอบครัวนายชอบสีส้มกันทั้งบ้านหรือว่าพวกเขาทำเพราะนายชอบสีส้มเนี่ย”

พอมองไปตามมือของดีนก็เห็นระเบียงของห้องห้องหนึ่ง ในตอนแรกเขานึกว่าเป็นระเบียงจากห้องรับแขก ที่แท้แล้วคือห้องนอนอีกห้องนั่นเอง หากได้นอนที่ห้องนั้นแล้วตื่นมาชมสวนจากตรงระเบียงในยามเช้าคงเป็นภาพที่งดงามมากแน่ ๆ

“เราอยู่กันตั้งหลายวัน สลับนอนทั้งสองห้องเลยได้ไหม คือฉันอยากนอนทั้งเตียงของนายที่ห้องนอนส่วนตัว แล้วก็อยากนอนห้องนี้ด้วย อ้อ แต่นายไม่ต้องห่วงเรื่องทำความสะอาดนะ ก่อนกลับค่ายฉันจะทำให้สะอาดเอี่ยมเลย”

แน่นอนว่ามันอาจเป็นคำขอที่มากไป และคนในครอบครัวของดีนอาจต้องเหนื่อยทำความสะอาดหากเขาใช้ห้องนอนสองห้อง แต่แมคเคนซีจะไม่ยอมให้ใครมาตำหนิดีนว่าเอาคนที่ไม่ได้เรื่องมาทำแฟนแน่ ๆ เพราะงั้นเขาจะลงมือทำความสะอาดห้องก่อนกลับเอง

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“สีประจำรัฐคงไม่มีผลต่อสีโปรดของนายหรอกใช่ไหม แต่ฉันอยากเห็นนายใส่ชุดวอร์มโรงเรียนนะ ถึงตอนนี้กางเกงวอร์มอาจจะกลายเป็นกางเกงขาเดฟก็เถอะ”

แน่นอน แมคเคนซีไม่เชื่อว่าดีนจะชอบสีส้มเพราะเป็นสีประจำรัฐ เช่นเดียวกับเขาที่ไม่ได้ชอบสีประจำเมืองเกิดตนเอง แต่เขาอยากเห็นดีนใส่ชุดวอร์มนั่นจริง ๆ นะ ไม่สิ…เขาอยากเห็นกระทั่งดีนสวมเครื่องแบบไฮสคูลด้วยซ้ำ แม้จะรู้ว่าตอนนี้ดีนใส่ชุดพวกนั้นไม่ได้แล้วก็ตาม

“อย่างกับนายกำลังบอกให้ฉันทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านตัวเองเลย”

พึมพำพลางเดินตามดีนไปต่อ แต่พวกเขาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากตรงพุ่มไม้ ในตอนแรกแมคเคนซีนึกว่าคงเป็นพวกกระรอกหรือไม่ก็เจ้าแรคคูนแอบมาคุ้ยขยะ แต่พอได้ยินคำพูดของดีนก็นึกไปถึงประโยคนึงที่อีกฝ่ายบอกไว้ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มออกเดินทางมาที่นี่

‘แถวบ้านฉันมอนสเตอร์มันดุ นายต้องเตรียมตัวให้พร้อมนะแมคซี่!’

ด้วยเหตุนี้แมคเคนซีจึงพกดาบสัมฤทธิ์ไว้กับตัวตลอดเวลา แต่ก็ไม่นึกว่าพวกอสุรกายมันจะชุกชุมถึงขนาดอยู่รอบ ๆ บริเวณบ้านของคนรักขนาดนี้

“แฮ่ !”

ก๊อบลินตัวเขียวตนหนึ่งโดดพรวดออกมาเมื่อดีนใช้หอกสัมฤทธิ์เขี่ยเข้าไปที่พุ่มไม้ ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหมที่พอเห็นดีนก็ดูจะหน้าถอดสี แต่พอมันเห็นเขาเข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดฮึกเหิมมาจากไหนถึงได้ทำตาวาวแล้วเรียกพวกพ้องออกมาอีกจำนวนนึง แมคเคนซีจึงชักดาบออกมาเตรียมพร้อมต่อสู้กับฝูงก๊อบลินตรงหน้า แต่คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเขาว่องไวกว่า เพราะเขายังไม่ทันเงื้อดาบ อีกฝ่ายก็เริ่มจัดการฝูงก๊อบลินแล้ว

“กิ้ว ๆ !”

ในความวุ่นวายโกลาหลนั้น อยู่ ๆ ก็มีกระรอกบินตัวหนึ่งโดดลงมาจากกิ่งไม้ บอกได้เลยว่าถ้าเบี่ยงศีรษะหลบไม่ทัน ใบหน้าหล่อเหลาของเขาคงได้มีรอยกรงเล็บของเจ้ากระรอกตนนั้นเป็นแน่

“ตัวอะไรเนี่ย”

แล้วก็ต้องอุทานออกมาด้วยความงงสุดขีด เมื่อเจ้ากระรอกบินได้กลายร่างเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ที่มีปีกเหมือนค้างคาว แต่ใบหน้ากลับมีงวงเหมือนช้าง หนำซ้ำมือและเท้ายังเหมือนกบอีกต่าหาก

“กิ้ว !”

อสุรกายตนนั้นไม่ปล่อยให้แมคเคนซีได้งงนาน มันบินโฉบลงมาทอีกครั้ง ซึ่งเขาก็สามารถโชว์ทักษะการเล่นเบสบอลอันยอดเยี่ยมของตนด้วยการฟาดดาบใส่เจ้าอสุรกายหน้าตาประหลาดตนนั้นเต็มหวดจนมันกระเด็นลอยละลิ่วไปกระแทกเข้ากับต้นไม้แถวนั้นแล้วสลายเป็นผุยผงไป

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

เมื่อกำจัดเจ้ากระรอกบินปิศาจไปได้ แมคเคนซีก็มาคอยช่วยปัดป้องคุ้มกันไม่ให้พวกเจ้าก๊อบลินกรูกันเข้าไปรุมทำร้ายดีนจนกลายกลุ่มหนูท่อหมู่ แม้ในความเป็นจริงจะดูเหมือนว่าเจ้าตัวเขียวพวกนั้นมีเป้าหมายเป็นตัวเขาเอง ส่วนดีนเป็นฝ่ายคอยจัดการส่งพวกมันกลับไปยังทาร์ทารอสก็ตาม เขาได้ยินเสียงคุณโดนัลด์กับคุณไมค์ หางตาเหลือบไปเห็นทั้งคู่กำลังยืนดูอยู่พร้อมอาวุธครบมือ จนกระทั่งดีนบอกให้ไปหาที่หลบก่อน ทั้งคู่ก็ทำตามแต่โดยดี จนกระทั่งพวกเขาจัดการมอนสเตอร์ทั้งหมดเสร็จสิ้น คุณโดนัลด์กับคุณไมค์จึงออกมาคุยด้วย และเจ้าออมเล็ตที่ไม่รู้โผล่มาจากไหน มันวิ่งออกมาแล้วตรงไปที่มุมรั้วทันที

“อุบ…”

ภาพลูกสิงโตนีเมียนคาบเอาก๊อบลินชะตาขาดขึ้นมาฉีกทึ้งร่างกินปรากฏสู่สายตาแมคเคนซีที่มองตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาถึงกับยกมือขึ้นปิดปากกลืนก้อนอาหารมื้อกลางวันที่เกือบสำรอกออกมาแล้วรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“ไม่เป็นไร ให้ตายสิ นายน่าจะบอกฉันด้วยว่านอกจากมอนสเตอร์ดุแล้ว มันยังทำรังอยู่ที่บ้านนายด้วย”

แมคเคนซีถองศอกเข้าสีข้างดีนเบา ๆ พลางหันไปกระซิบกระซาบขณะพากันเดินเข้าบ้าน ดูท่าว่าพวกเขาจะไม่ได้เที่ยวซานอันโตนิโอกันอย่างสงบสุขเสียแล้วสิ

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

แล้วก็มาถึงเวลามื้อเย็น ในตอนแรกแมคเคนซีนึกว่าครอบครัวของคนรักจะต้อนรับเขาด้วยอาหารแม็กซิกันอย่างที่ดีนเคยบอกไว้ตอนอยู่ในรถไฟเสียอีก แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือซันเดย์โรสต์จานโต พร้อมด้วยเครื่องเคียงมากมายตามแบบฉบับชาวอังกฤษที่เห็นแล้วชวนให้นึกถึงประเทศบ้านเกิด

“ขอบคุณครับ”

แมคเคนซีรับเบียร์มาพร้อมกับยิ้มให้คุณโดนัลด์และคุณไมค์ จากนั้นก็ไม่รีรอที่จะเปิดป๋องแล้วกระดกดื่มไปอึกใหญ่แก้กระหาย แล้วเหลือบมองดีนที่ใช้คำว่า ‘ลูกเขย’ แทนตัวเขา

“จะแฟนหรือลูกเขยก็ได้ทั้งนั้น สามียังได้เลย โอ้ ขอโทษนะครับ ผมแค่แกล้งดีนเฉย ๆ”

แมคเคนซีวางกระป๋องเบียร์ลงแล้วหันมายิ้มตอบคนรัก ก่อนจะรีบหันไปขอโทษขอโพยคุณพ่อทั้งสองหลังได้ยินเสียงมีดหรือส้อมหล่นกระทบจานดัง ‘แคร๊ง !’ จากใครคนใดคนหนึ่ง น่าเสียดายที่คุณมาเรียนน่าผู้เป็นแม่ของดีนไม่อยู่บ้าน คงต้องรอทักทายเธออีกทีในวันแตงส์
กิฟวิ่ง

“ขอบคุณ….ว้าว รสชาติแบบนี้เหมือนที่ผมเคยทานตอนอยู่บ้านที่อังกฤษเลย อร่อยมากครับ”

หลังกล่าวขอบคุณดีนที่จิ้มเนื้ออบให้แล้วแมคเคนซีก็ลองชิมดู สาบานเลยว่าเขาไม่ได้พูดเกินจริง ซันเดย์โรสต์ฝีมือคุณโดนัลด์อร่อยไม่แพ้ฝีมือคุณแม่บ้านที่บ้านลินคอล์นเลย ยิ่งทานกับเครื่องเคียงแล้วก็ยิ่งชูรสของเนื้อให้มีความอร่อยยิ่งขึ้นไปอีก

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

แน่นอนว่าแมคเคนซีไม่ปล่อยให้คำชวนของคุณโดนัลด์เสียเปล่า เขาทานมื้อเย็นเข้าไปเยอะมากอย่างที่ไม่ได้ทานจนอิ่มขนาดนี้มานาน จากนั้นก็ไปช่วยดีนล้างจาน ปล่อยให้ผู้ปกครองทั้งคู่ของคนรักได้พักผ่อนกัน

“ได้เลย นายนอนไหนฉันนอนนั่น”

หนุ่มอังกฤษที่กำลังมองเจ้าสิงโตนีเมียนตัวน้อยหลับสบายหลังจากที่ไปล่าเหยื่อมาพยักหน้ารับเห็นด้วยกับข้อเสนอของดีน ยังไงพวกเขาก็ยังอยู่ที่นี่กันอีกหลายวัน ต้องมีสักวันล่ะน่าที่เขาจะได้นอนห้องอีกฝ่าย

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“ก็ดี เมื่อกี้ฉันดื่มไปเยอะด้วยสิ คืนนี้ฉันอาจหลับสนิทจนไม่ได้ยินเสียงมอนสเตอร์พวกนั้นเลยก็ได้”

เบียร์เท็กซัสรสชาติดีใช่ย่อย เขาน่าจะดื่มไปเยอะพอ ๆ กับที่ทานซันเดย์โรสเลยทีเดียว ด้วยปริมาณขนาดนั้นก็ทำเอาคนที่คอแข็งพอควรอย่างแมคเคนซีเริ่มกรึ่ม ๆ ไปได้เหมือนกัน

“หือ…นายชวนฉันอาบน้ำตอนกลางคืนที่ฟ้าสว่างแบบนี้งั้นเหรอ”

หลุบตาลงมองคนที่โอบเอวตนเองอยู่ ใบหน้าที่แดงฝาดไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ยิ้มกว้างแบบไม่เห็นฟันจนตาแทบปิด มือสองข้างยกขึ้นประคองแก้มคนรักไว้ นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยที่แก้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบ

“ห้องน้ำบ้านนายเก็บเสียงไหมที่รัก”

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

ให้ตายสิ เขาชอบเวลาที่อีกฝ่ายค่อย ๆ จูบตามส่วนต่าง ๆ บนใบหน้าของเขาชะมัด ไม่ต้องบอกดีนก็คงจะเห็นว่าตอนนี้เขายิ้มจนเห็นฟันขาวไปหมด

“แน่นอน ฉันอาบน้ำเบาสุด ๆ แต่อย่างอื่นน่าจะไม่”

เขาปล่อยให้ดีนจับมือพาไปยังห้องน้ำที่อยู่ติดห้องที่พวกเขาจะใช้นอนกันในคืนนี้ แต่กว่าจะได้นอนก็คงใช้เวลาอาบน้ำกันนานสักหน่อย




ตื่นรู้ +2 จากการพิชิตอิมป์ครั้งแรก
สินสงคราม : ผงพิษอิมป์ 1 หน่วย

@God

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 53098 ไบต์และได้รับ 30 EXP!  โพสต์ 2024-11-26 15:39
โพสต์ 53,098 ไบต์และได้รับ +5 EXP +6 เกียรติยศ จาก ต่างหูเงิน  โพสต์ 2024-11-26 15:39
โพสต์ 53,098 ไบต์และได้รับ +4 ความกล้า จาก ผ้าพันคอไหมพรม  โพสต์ 2024-11-26 15:39
โพสต์ 53,098 ไบต์และได้รับ +5 ความศรัทธา จาก แว่นกันแดด  โพสต์ 2024-11-26 15:39
โพสต์ 53,098 ไบต์และได้รับ +6 EXP +9 เกียรติยศ +8 ความกล้า จาก รองเท้าเซฟตี้  โพสต์ 2024-11-26 15:39

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เหรียญนกฮูก
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
สร้อยคอดีไซน์เท่
กางเกงเดินป่า
ตำราเวทมนต์เฮคาที
เข็มกลัดเฮคาที
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
เกราะนักรบสีทองแดง
การควบคุมหมอกขั้นสูง
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
เรียกอาวุธจากหมอก
Hydro X
การปลุกผี
คบเพลิงเวท
การร่ายคาถา
ศาสตร์การปรุงยา
ต่างหูเงิน
หมวกแก๊ป
แจ็คเก็ต YANKEES
แว่นกันแดด
นาฬิกาสปอร์ต
รองเท้าเซฟตี้
สื่อสารกับภูตผีปีศาจ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x2
x2
x1
x1
x2
x5
x1
x10
x2
x1
x2
x2
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
โพสต์ 2024-11-27 23:09:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด
234
เพื่อนบ้านคนใหม่

               4/11/2024 - 12.00 น.

               กลับมาถึงบ้านก็ได้เวลาพัก นำไอศกรีมที่ซื้อมาลำเลียงใส่ช่องฟรีซ จากนั้นก็รับประทานอาหารกลางวันที่ซื้อมาจากฟู้ดมาร์ท ดีที่ถุงอาหารร้อนอยู่ที่แมคเคนซีไม่อย่างนั้นมีหวังชุดไก่ทอดที่ซื้อมาต้องเปียกแฉะเคล้ากลิ่นคาวปลาจากสระน้ำสวนสาธารณะด้วยเป็นแน่

               ดีนนอนเอกเขนกบนโซฟารับแขกตัวยาวมือนึงถือกระดาษห่อไก่ทอดไม่มีกระดูกกิน อีกมือกุมรีโมทโทรทัศน์ เป็นภาพที่ถ้าแม่มาเห็นต้องถูกเอ็ดแน่ ๆ ส่วนแมคเคนซีนั่งกินบนโซฟาเช่นเดียวกันในท่าทางที่สุภาพกว่ากันมาก ช่องโทรทัศน์ถูกกดเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ด้วยอารมณ์เบื่อหน่าย

               “เวลาแบบนี้ในวันทำงานไม่มีช่องอะไรที่น่าดูเลยหรือไงนะ”

               โทรทัศน์ดูจะเป็นสิ่งเดียวที่พอจะสร้างความบันเทิงใจให้แก่สองหนุ่มเดมิก็อดได้ในเวลานี้ ถึงจะกลับมาบ้านแต่ก็ยังไม่ควรใช้ไวไฟเชื่อมต่อสัญญาณโทรศัพท์มือถือ แม้จะจัดการปิดโพรงก๊อบลินเรียบร้อยแต่ก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี ไม่รู้ว่าคลื่นสัญญาณจะนำพาอะไรมาหา จะเป็นก๊อบลินอีกฝูงหรืออสุรกายตนอื่นที่เหนือชั้นกว่า หน้าจอโทรทัศน์แอลอีดีเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ แต่ก็หยุดลงแล้วย้อนกลับไปช่องเมื่อกี้หลังดีนมองเห็นสิ่งที่พอจะดึงดูดความสนใจจากเขาได้

               “ภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นยังไม่มีหิมะปกคลุมยอดเขาจนถึงขณะนี้ ถือเป็นการรอคอยหิมะที่นานที่สุดในรอบปี นับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติมาเมื่อหนึ่งร้อยสามสิบปีก่อน ตามปกติยอดเขาของภูเขาไฟฟูจิมักจะมีหิมะปกคลุมตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม แต่ในปีนี้ เข้าเดือนพฤศจิกายนแล้วกลับยังไม่มีหิมะตกเลยเนื่องจากสภาพอากาศที่อบอุ่นผิดปกติ”

               ดูข่าวไปหัวคิ้วเข้มก็ขมวดมุ่นเข้าหากัน เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะปรากฏการณ์รัตติกาลหายสาบสูญซึ่งล่วงเลยมาแล้วเกือบเดือน แม้ว่าดีนจะทำตัวเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ไม่ค่อยใส่ใจกับเหตุการณ์นี้ แต่ความจริงแล้วเขาก็ค่อนข้างเป็นกังวลกับสภาพโลกในปัจจุบันไม่แพ้ใคร แต่ด้วยความที่ถูกภารกิจคราวก่อนบั่นทอนร่างกายจิตใจทำให้เขาค่อนข้างเข็ดหลาบกับการรับภารกิจเดินทางอีกรอบ

               ‘ไม่อยากไปแล้วทำผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง…’

               ครั้งที่แล้วพลาดถูกหลอกปลดผนึกคธูลฮูให้เทพโลกิตัวร้ายนำไปใช้งาน ดีนกลัวเหลือเกินว่าความผิดนั้นจะส่งผลทำให้โลกวิบัติอยู่ในขณะนี้

               ‘แต่ถ้าไม่ไปจะเป็นการทำผิดครั้งที่สองหรือเปล่านะ…’

               ความกังวลใจทำให้ไม่สามารถนอนเอกเขนกอย่างในตอนแรกได้ ดีนจึงผุดลุกขึ้นมากัดไก่ทอดที่ถือไว้ในมือจนหมด โทรทัศน์ถูกกดปุ่มปิดสร้างความงุนงงแก่แมคเคนซีที่นั่งอยู่ใกล้กัน แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายเอ่ยถามดีนก็หยิบดรักม่าขึ้นมาเหรียญหนึ่ง จากนั้นโยนมันขึ้นฟ้า

               ‘ติดต่อหาซันซ์’

               เพียงแค่จิตปรารถนาภาพสีรุ้งก็ฉายสะท้อนลงไปบนจอทีวีเงาวับ ภาพของน้องชายร่วมสายเลือดที่คุ้นหน้าคุ้นตา แต่ว่าตอนนี้หมอนี่ดูตาโหล ๆ ชอบกล

               “เฮ้ ซันซ์ ฉันอยู่นี่ นายเห็นฉันไหม?”

               หลังได้ยินเสียงทักเจ้าของชื่อก็ทำตาโตเหมือนเห็นผี ทางฝั่งของ ซันซ์ มาเดิล เคานต์ เห็นภาพสะท้อนของดีนผ่านถ้วยชาเขียว ใบหน้าของดีนจึงเขียวไม่ต่างอะไรกับก๊อบลินตัวใหญ่ที่มีหนวดหรอมแหรมสะท้อนอยู่

               “เห็น.. เห็นแล้ว จู่ ๆ ติดต่อมาหาตอนตีสามนายมีอะไรเนี่ย”

               “ตีสาม? ตอนนี้มันแค่เที่ยงไม่ใช่เหรอ? ไม่สิ ที่ลองไอแลนด์ก็น่าจะบ่ายโมง”

               “ไม่ ๆ ตอนนี้ฉันอยู่ที่โตเกียว มาช่วยงานไทสันน่ะ”

               ซันซ์แถลงไขเหตุที่นาฬิกาของพวกเขาทั้งสองต่างกันถึงสิบห้าชั่วโมง ส่วนไทสันที่อีกฝ่ายพูดถึงคือพี่ชายต่างมารดา ดีนไม่เคยเจอเพียงแค่ได้ข่าวว่ามาค่ายและรู้จักเพียงชื่อแค่นั้นเอง

               “ช่วยงาน.. มีภารกิจอะไรงั้นเหรอ แล้วนี่นายตอนนี้ยังไม่นอน?”

               “เอ่อ…”

               ใบหน้าที่มองผ่านจอโทรทัศน์มีท่าทีอึกอักราวกับไม่อยากกล่าวถึงเหตุที่เขามาโตเกียว หลังจากดีนกลับมาจากท่องเที่ยวระยะยาวรอบก่อนเคยบอกกับซันซ์ไว้ว่า ‘ฉันไม่อยากตรวจเช็คบอร์ดหิน ไปดูทีไรมีแต่เรื่องหนักใจทุกที’ และพนันได้เลยว่าหากดีนรู้ว่าพ่อของพวกเขาทำน้ำท่วมสถานีรถไฟโตเกียวจะยิ่งปวดหัวคูณสอง

               “ใช่ ภารกิจน่ะ วันนี้งานเยอะเลยเพิ่งเสร็จแล้วก็มากินราเม็งกันก่อนกลับค่าย ว่าแต่นายถึงบ้านแล้วสินะ บ้านสวยดีนี่นาดีน”

               “ขอบใจที่ชม ว่าแต่นายเห็นชัดขนาดนั้นเลย?” ไม่ได้ซักไซ้ถามต่อ เพราะเรื่องที่เขาร้อนใจทำให้ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องทางฝั่งซันซ์ลดน้อยลงไป จึงเปลี่ยนเป็นเข้าประเด็นในทันที “แต่ว่าช่างมันเถอะ คือฉันอยากจะถามน่ะว่า… มีใครไปรับคำทำนายบ้างหรือยัง”

               “หมายถึงเรื่องที่กลางคืนหายไปใช่ไหม? เท่าที่ฉันรู้ก็ยังไม่มีนะ”

               “งั้นเหรอ.. ไม่มีใครรับเลยเหรอ” เขาได้แต่พึมพำ

               “ใช่ แต่ก็ว่าไม่ได้ เดือนที่แล้วจนถึงเดือนนี้มีภารกิจบนกระดานเยอะแยะมากมายไปหมด ทุกคนเลยไม่ค่อยว่างกันเท่าไรน่ะ”

               “ดูท่าทางจะมีเรื่องให้ปวดหัวเยอะเลยสินะที่ค่ายน่ะ..”

               ซันซ์ไม่ตอบคำถามนั้นแต่เพียงแค่ยิ้มผ่านภาพเงา

               “นี่ดีนฟังฉันนะ นาน ๆ ทีนายจะได้กลับบ้านก็อยู่กับที่บ้านให้เต็มที่ ไม่ต้องห่วงเรื่องที่ค่ายนะโอเคไหม พวกเราจัดการกันได้”

               สงสัยว่าหน้าตาของเขาคงจะยับมาก ๆ เลยสินะซันซ์ถึงได้กล่าวเช่นนี้ออกมาแทนที่จะรบเร้าขอให้รีบกลับมาช่วยงานที่ค่าย เดมิก็อดน้อยคนนักที่พอจะมีฝีมือออกไปผจญโลกกว้างท่ามกลางอสุรกายโหดร้าย ดังนั้นการกลับบ้านแต่ละครั้งจึงเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อพวกเขาทุกคน

               ใช่ เขาควรจะซึมซับช่วงเวลาดี ๆ เหล่านี้เอาไว้แล้วทิ้งความกังวลใจทั้งหลายไปก่อน

               “ขอบคุณนะซันซ์ ฉันจะพยายามใจเย็นลง นายกินอิ่มแล้วก็อย่าเพิ่งรีบนอนเดี๋ยวเป็นกรดไหลย้อน แล้วกลับไปเจอกันที่บ—..”

               กล่าวลาไม่ทันจบคลื่นสัญญาณไอริสก็ถูกตัดขาด ช่างเป็นระบบเครือข่ายที่ห่วยแตกได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายเลยจริง ๆ

               “กังวลเรื่องที่หิมะไม่ปกคลุมภูเขาไฟฟูจิงั้นเหรอ?” แมคเคนซีที่สังเกตการณ์อย่างเงียบ ๆ มานานเอ่ยถามแฟนหนุ่มหลังจากการติดต่อกับคนที่ค่ายถูกตัดขาด

               “อืม ใช่ ยังไงการที่ไม่มีกลางคืนก็ส่งผลเสียต่อโลกอยู่แล้ว ฉันรู้ว่าเทพีคิโอเน่กำลังพยายามใช้พลังของเธอรักษาสมดุลย์อยู่ แต่ว่าเธอก็เป็นแค่มินิก็อดที่ไม่ค่อยมีคนบูชา ไม่รู้ว่าจะยังมีพลังแผ่ไอเย็นได้อีกแค่ไหน.. จริงสิ ฉันว่าฉันช่วยเสริมพลังให้เธอด้วยดีกว่า”

               กล่าวจบดีนก็ลุกพรวดออกจากโซฟา เดินเข้าห้องนอนแขกไปหยิบเทปเฮอร์มีสออกมา จากนั้นก็วนไปเปิดตู้ในครัวหยิบเอาขนมที่เจ้าตัวคิดว่าอร่อยที่สุดติดมือมาด้วย

               “นายทำอะไร อย่าบอกนะว่าจะส่งโดริโทสไปให้เทพีน่ะ”

               “อ้อ ใช่ รสชีสด้วย อร่อยสุด ๆ เธอต้องชอบแน่”

               พูดจบดีนก็เขียนโน้ตเล็ก ๆ แนบไปกับถุงขนม จากนั้นติดเทปเฮอร์มีสคาดใส่พัสดุในถุงร้านสะดวกซื้อ จากนั้นถุงขนมก็กลายเป็นละอองสีทองน่าจะส่งถึงเทพีคิโอเน่ได้ในเวลาไม่ช้านาน

               อาการคิดปุ๊บทำปั๊บนี้ทำให้แมคเคนซีได้แต่หัวเราะหึหึ ร่างสูงลุกขึ้นขยับเข้าไปนั่งข้างคนรัก มือทั้งสองจับไหล่กว้างของดีนเอาไว้ บังคับให้คนตรงหน้าต้องหันมาสบตาโดยอัตโนมัติ

              “ฉันรู้ว่านายกำลังคิดอะไรอยู่ดีน ตอนนี้นายควรพักผ่อนแล้วลืมเรื่องที่ค่ายไปก่อน ไม่งั้นกว่าจะถึงวันกลับนายอยู่ไม่สุขแน่ ๆ เอาไว้ถึงตอนนั้นถ้าจะไปกู้โลกฉันก็จะไม่ห้าม หรือถ้าไม่ไปก็ไม่บังคับ”

               ดีนอึ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหลุบสายตาลง เอนหน้าผากพิงซบไหล่กว้าง จากนั้นอ้อมกอดอุ่นก็คอยประคองเขาเอาไว้

               “ฉันแค่รู้สึกว่าหลาย ๆ คนเอาแต่ตั้งความหวังไว้ที่ฉันที่เป็นลูกของโพไซดอน ที่ไม่มีใครเริ่มขยับเลยอาจเป็นเพราะแบบนั้น กับแค่รับคำทำนายมาก่อนจะได้รู้ว่าต้องทำอะไรมันก็เป็นเรื่องง่าย ๆ ไม่ใช่เหรอ แต่ว่าถ้ารับแล้วก็ต้องไปทำ เพราะงั้นเลยไม่มีใครอยากไปหาคุณเรเชล”

               พรูหายใจหนักออกมา การเป็นลูกของสามมหาเทพไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่ต้องแบกความหวังของมวลมนุษยชาติ ไอ้พวกเทพเจ้านี่ก็ชอบก่อเรื่องกันจัง น่าหงุดหงิดเป็นบ้า! แต่พอคิด ๆ ดูตามจริงแล้วคนที่แบกรับแรงกดดันนี้อาจไม่ใช่แค่เขาเพียงคนเดียวแต่ยังมีเอมีเลีย ไทสัน รอฟีอัส อเล็กเซย์ ซันซ์ และเลนน็อค ที่มีสายเลือดของสามมหาเทพไหลเวียนอยู่ในตัว

               “อย่ากดดันตัวเองมากไป น้องชายนายก็พูดเมื่อกี้นี่ว่าไม่ต้องคิดมากทุกคนจัดการได้ ช่วงนี้นายก็แค่เครียดที่นอนหลับไม่พอ ฮอร์โมนอะไรนะที่นายบอกว่าจะทำงานได้ดีตอนกลางคืน”

               “โกรทฮอร์โมนเหรอ หรือว่าเมลาโทนินที่ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นในเวลากลางคืน อืม.. น่าจะใช่ ไม่มีที่ไหนมืดเท่าห้องนายอีกด้วย”

               “ออกจากค่ายมาแค่สี่วันก็คิดถึงห้องฉันแล้วเหรอ แล้วแบบนี้พอจะแทนกันได้ไหม?”

               มือใหญ่คลายกอดออกข้างหนึ่งก่อนจะเลื่อนมาปิดช่วงตา ภาพที่เห็นจึงมืดสนิทยิ่งกว่าช่วงเวลากลางคืน ราวกับว่ามือนี้มีเวทมนตร์ที่เมื่อทาบปิดก็ทำให้เกิดอาการง่วงขึ้นมา ความสบายนี้ทำให้ใบหน้าเป็นกังวลเกิดรอยยิ้มขึ้นมาแทนได้

               “แมคซี่ฉันรู้สึกดีจัง แล้วก็เริ่มจะง่วงขึ้นมาแล้วสิ…”

               “ถ้าง่วงก็นอน ฉันจะเสกมนต์ให้นายหลับเอง”

               คำพูดล้อเล่นทำให้ดีนเชื่อสนิทใจจนเขาหัวเราะน้อย ๆ ออกมา ก็อีกฝ่ายเป็นบุตรชายของเทพีเฮคาทีทั้งทีจะไม่ให้เชื่อได้ไงว่าร่ายมนตราได้จริง

               “โอเค.. งั้นตอนเย็นค่อยตื่นมาเตรียมมื้อค่ำกันที่รัก”

                แม้ดวงตาจะปิดปรือไปจนมองสิ่งใดไม่เห็น แต่ริมฝีปากก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสนุ่มที่ทาบลงมาจนแน่นสนิทก่อนสติจะดับลง

               .
               .
               .

               17.00 น.

               ได้นอนกลางวันไปหนึ่งตื่นทำให้สดชื่นสดใสขึ้นมามาก ตอนนี้มีแรงมาเตรียมมื้อเย็นต่อแล้ว!

               ดีนรับหน้าที่เป็นเฮดเชฟประจำครัวเย็นวันนี้และมีแมคเคนซีเป็นซูเชฟผู้ช่วยงานครัว เมนูที่พวกเขาตัดสินใจทำเพื่อพิสูจน์ฝีมือว่าทำครัวไม่ไหม้คือ ‘ชนิทเซิล’ เนื้อทอดสไตล์ออสเตรียที่หารับประทานได้ทั่วไปไม่ต้องบินไปไกลถึงยุโรป เพียงแค่มีวัตถุดิบหลักอย่างเนื้อสัตว์ เกล็ดขนมปัง ไข่ไก่ และแป้งทอดกรอบ ก่อนหน้านี้ดีนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทอดไก่ในร้านสะดวกซื้อมาแล้วดังนั้นงานนี้ไม่มีคำว่าพลาด!

               ดีนจัดการเนื้อสัตว์ส่วนแมคเคนซีรับผิดชอบทอดเฟรนฟราย ถึงจะบอกว่าตนเป็นเฮดเชฟในวันนี้แต่ก็ไม่มีอะไรยาก เริ่มแรกจากการหั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นสเต็กจากนั่นก็ทุบจนแบนและขยายออกข้างแล้วนำไปเข้าตู้เย็นพักเอาไว้ประมาณสิบนาที ระหว่างนั้นเตรียมแป้งสำหรับทอด ผสมแป้งอเนกประสงค์ ไข่ไก่ เกลือ และผงปาปริก้า เติมน้ำเย็นเพียงเล็กน้อยก่อนจะคลุกเคล้าให้เข้ากัน นำเนื้อหมูที่พักเอาไว้มาคลุกกับแป้งแล้วหมักต่อในตู้เย็นอีกครึ่งชั่วโมง ช่วงรอเวลาก็ไปรดน้ำต้นไม้รอบบ้านให้พ่อจากนั้นก็กลับมาเตรียมอาหารต่อ

               เนื้อหมูที่หมักไว้เข้าแป้งได้ดีทีเดียว เขานำมันไปคลุกกับเกล็ดขนมปังจนทั่ว จากนั้นก็ได้เวลาทอดในหม้อ บทเรียนที่ได้จากการเป็นพนักงานร้านฟาสต์ฟู้ดคือ เวลาทอดเนื้อให้ได้ความร้อนทั่วถึงไม่อมน้ำมัน ๆ ต้องท่วมเนื้อและได้อุณหภูมิตามที่กำหนด หากไม่ใช่โปรเฟสเชินเนิลหรือกำลังแข่งขันอยู่ในรายการมาสเตอร์เชฟก็ควรใช้เครื่องทุ่นแรง อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้คือเครื่องวัดอุณหภูมิและตัวจับเวลา อย่าอายที่จะใช้มันหากอยากรับประทานเนื้อทอดที่กรอบนอกนุ่มในและสุกสม่ำเสมอทั้งชิ้น

               ฉ่าาา

               ยืนมองชิ้นเนื้อที่ค่อย ๆ ถูกน้ำมันร้อน ๆ ทอดจนสีสันออกมาเหลืองทองอร่าม นาฬิกาจับเวลาร้องติ๊ดก็ได้เวลาเอาเนื้อชิ้นแรกขึ้นจากหม้อทอดรองน้ำมันออกด้วยตะแกรง เมื่อลองหั่นเทสดูเนื้อด้านในเป็นสีขาวสุกกำลังดีไม่โอเวอร์คุ้กเกินไปก็ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อ ไม่ได้ทอดอาหารมาตั้งนานหลังจากลาออกจากเวนดีส์ ถือว่าฝีมือยังไม่ตก

               “แมคซี่ ทางนายเป็นไงบ้าง”

               เอ่ยถามคนข้าง ๆ ที่ยืนทอดเฟรนฟรายสไตล์ครินเกิลคัทจากอีกหัวเตา

               “โอเคนะ นายคิดว่าเฟรนฟรายประมาณนี้เป็นไง ไม่แข็งไม่นุ่มเกินไป กรอบกำลังดี”

               “เอาตามที่นายชอบเลยที่รัก อ้อ ชนิทเซิลต้องกินคู่กับมะนาว นายช่วยเอามะนาวในตู้เย็นมาหั่นเป็นสี่ส่วนที”

               “ได้เลย”

               หลังรับคำแมคเคนซีก็จัดการหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายต่อ ส่วนดีนทอดเนื้อทีละชิ้นต่อจนครบสี่ เป็นเวลาเดียวกับที่เขาได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้านและประตูโรงรถเปิดพอดี

               “พวกเรากะเวลาได้พอดีเป๊ะเลยแฮะ เก่งมาก เจ๋งแจ๋ว!”

               ทั้งสองแปะมือกันหลังภารกิจพิชิตสนิทเซลสำเร็จได้ตื่นรู้กันคนละสองหน่วยถ้วนหน้า…


               “วันนี้เป็นไงบ้างสองหนุ่ม ทำอะไรเป็นมื้อค่ำกันเนี่ย โห หน้าตาน่ากินแฮะ” โดนัลด์โผล่หน้าออกมาก่อน เขามองชนิทเซิลที่แมคเคนซีกำลังตกแต่งจานด้วยสีหน้าประหลาดใจ

               “เอามาห้าดอลลาร์เลยดั๊ค บอกแล้วว่าพวกหลานทำได้” ตามมาด้วยไมค์ที่แบมือไปทางคนรัก

               “หา ยังไงนะ ลุงพนันข้างผมเหรอ? แล้วไหงพ่อคิดว่าผมทำไม่ได้ล่ะ” นี่สิที่น่าประหลาดใจกว่า ลุงไมค์เป็นคู่แข่งแท้ ๆ แต่กลับลงเงินฝั่งเขาซะอย่างนั้น

               “โอ้ ดีน พ่อไม่ได้ดูถูกลูกนะ ก็แค่ไม่เคยกินเลยคิดว่าอาจจะมีชิ้นที่ไหม้ก็ได้” โดนัลด์ตอบก่อนจะยัดเงินใส่มือไมค์พร้อมกำชับ “เอาไปเปลี่ยนมาเป็นเบียร์เลยนะ”

               “รับทราบไม่มีปัญหา” เมื่อได้เงินมาแล้วลุงไมค์ก็เดินออกไปจากกรอบประตูครัว

               ดีนตรวจสอบความเรียบร้อยของจานอาหารในฐานะเฮดเชฟ ดูเหมือนว่ามันจะขาดตกบกพร่องอะไรไปอย่าง

             “โอ้ พระเจ้า ลืมไปเลยยังไม่ได้ทำสลัดเลยนี่นา พ่อเดี๋ยวรอแป๊บนะ ยังไม่หิวกันใช่ไหมเดี๋ยวผมทำสลัดเพิ่มก่อน”

               “ยังดีน พ่อรอได้ งั้นเดี๋ยวไปตรวจความเรียบร้อยของสวนก่อนนะ” โดนัลด์ขยิบตาให้สองหนุ่มก่อนจะเดินออกหลังบ้านไปดูสวนที่จัดการทุกอย่างให้กลับมาดูเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว

               การเตรียมสลัดก็ไม่มีอะไรยาก แค่เอาผักสลัดที่มีในตู้เย็นมาล้างให้สะอาดแล้วก็ราดครีมสลัดสำเร็จรูปลงไปแค่นี้ก็เสร็จ จากนั้นไม่นานไมค์ก็กลับมาพร้อมเบียร์กระป๋อง แล้วมื้ออาหารเย็นของวันที่สองก็เริ่มขึ้น ดูเหมือนว่าวันนี้แมคเคนซีจะคุ้นเคยกับครอบครัวของดีนมากขึ้นแล้ว

               .
               .
               .

               20.32 น.

               ปิ๊งป่อง...

               เสียงกระดิ่งดังขึ้นหลังมื้ออาหารเย็นจบลงเป็นเวลาที่ครอบครัวของดีนกำลังหาลือกันเรื่องไปเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้

               “เดี๋ยวผมไปเปิดประตูให้เอง” ดีนรับอาสาไปต้อนรับแขก ใครกันนะที่มาเยือนในยามวิกาล หรือจะเป็นแม่กลับบ้านมาแล้ว.. คงไม่ใช่หรอกมั้ง

               พอประตูไม้เปิดออกดีนก็เห็นชายหนุ่มวัยกลางคนผู้มีเรือนผมสีดำคนหนึ่งสวมแว่นตาทรงกลมและเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กำลังส่งยิ้มด้วยท่าทีประหม่ามาให้ แล้วเมื่อมองลงมาอีกนิดเขาเห็นเด็กผู้ชายผมดำวัยประมาณรีชายืนถือกล่องของขวัญอยู่ข้าง ๆ

               “สวัสดีครับ เอ่อ.. ผมฌอน แคตต์ ส่วนนี่ลูกชายผมเชมัส พวกเราเพิ่งย้ายบ้านมาใหม่เมื่อไม่กี่วันนี้เอง ต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนเวลามื้อเย็น เอ่อ.. พวกเราเอาของฝากมาให้”

               จากน้ำเสียงตะกุกตะกักรู้ได้ทันทีว่าเพื่อนบ้านคนใหม่เกรงใจแค่ไหนที่มากดกริ่งรบกวนพวกเขายามวิกาล แต่ยังไม่ถึงเวลาสามทุ่มไม่น่าจะถูกเรียกตำรวจมาลากคอ เชมัสยื่นกล่องขนมมาที่ดีนมันคือช็อกโกแลตราคาแพงที่ไม่มีขายในร้านสะดวกซื้อ นับว่าเป็นของดีเลยทีเดียว ซึ่งดีนไม่ปฏิเสธน้ำใจของแขกและรับมาไว้อย่างแน่นอน

               “โอ้ ขอบคุณครับ พวกคุณเพิ่งย้ายมาเหรอ อยู่บ้านหลังไหนกันครับเนี่ย ลืมแนะนำตัวไปเลย ผมชื่อดีน ส่วนครอบครัวเรา… เรียกบ้านส้มก็ได้ คนแถวนี้ใคร ๆ ก็เรียกเราว่าแบบนี้กันทั้งนั้น”

               “ใครมาเหรอดีน?” เสียงแว่วถามดังมาจากโต๊ะอาหาร

               “อ้อ เพื่อนบ้านใหม่น่ะครับพ่อ เขาเอาขนมมาให้” ดีนตอบ

               “งั้นเหรอ ชวนแขกเข้ามานั่งเล่นก่อนสิ” ไมค์บอกอีกที เรื่องมันก็เลยเป็นแบบนี้แหล่ะ

               “ถ้าไงก็เชิญเข้ามานั่งเล่นก่อนสิครับ”

               ดีนเปิดประตูกว้างขึ้นด้วยอัธยาศัยไมตรีและตามคำสั่งของผู้ปกครอง เห็นแบบนี้เพื่อนบ้านขี้เกรงใจก็อดที่จะเข้ามาตามคำเชิญอย่างเสียมิได้ ทั้งที่คิดว่าจะมาทักทายตามมารยาทแป๊บเดียวเท่านั้นเอง จากนั้นการแนะนำตัวก็เกิดขึ้น ไมค์ยื่นเบียร์กระป๋องให้กับฌอนดื่ม เมื่อได้ฤทธิ์แอลกอฮอล์สักหน่อยเพื่อนบ้านก็สนทนาได้อย่างลื่นไหลกว่าเดิม ส่วนเชมัสได้ไอศกรีมรสคุ้กกี้แอนด์ครีมเป็นค่าทำขวัญระหว่างรอผู้ใหญ่คุยกัน

               “ผมเพิ่งย้ายที่อยู่มาที่ซานอันโตนิโอเมื่อไม่กี่วันนี้เอง กว่าจะจัดการบ้านเช่าเสร็จถึงได้มาทักทายเนี่ยล่ะครับ”

               “พวกคุณย้ายกันมาจากที่ไหนนะ”

               “ตอบลำบากจัง คือพวกเราสองพ่อลูกไม่มีที่อยู่ประจำกันน่ะครับ ผมต้องเปลี่ยนที่ทำงานทุกสามปี ก่อนหน้านี้ก็ไปอยู่ที่เมลเบิร์นกันมา”

               “เมลเบิร์น… รัฐไหนนะ?” โดนัลด์ทำหน้าฉงน พอเป็นเรื่องที่ไกลจากเท็กซัสก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไร

               “เมลเบิร์นไม่ได้อยู่ในสหรัฐฯ ครับพ่อ แต่เป็นออสเตรเลียใช่ไหมครับคุณแคตต์?” ดีนตอบพ่อ แต่เพื่อความชัวร์เขาถามเจ้าของเรื่องเพื่อความแน่ใจดีกว่า

               “ใช่ครับ แต่ความจริงพวกเราเป็นคนไอร์แลนด์น่ะ แต่ว่าไม่มีบ้านที่ไอร์แลนด์แล้วครับ” คนเป็นพ่อตอบแต่คนลูกเงียบกริบ เชมัสนั่งนิ่งเงียบกริบแล้วปั้นหน้ายิ้มเหมือนกับเมคเคนซีที่ไม่มีบทในตอนนี้

               “แล้วตอนนี้ลูกชายคุณได้โรงเรียนหรือยัง โรงเรียนที่ดีนเรียนก็ดีนี่ใช่ไหม?” ไมค์ถาม

               “ใช่ครับลุง เป็นระบบเคสิบสองด้วย วันนี้ผมก็เพิ่งพาแมคซี่ไปขี่จักรยานชมโรงเรียนเก่ากันมาเอง” ดีนเล่าเรื่องราวของวันโดยไม่ได้กล่าวถึงช่วงเวลาประสบภัยกับอสุรกายตัวใหม่ที่ไม่ทราบชื่อ เขาจึงเรียกมันว่า ‘ปีศาจเม่น’ ไปก่อน

               “ดูออนไลน์ไว้บ้างแล้วครับแต่ยังไม่ได้พาไปดูสถานที่จริง ผมกะจะให้เชมัสเข้าเรียนในเทอมที่สองต้นเดือนมกราคมนี่แหล่ะครับ ส่วนตอนนี้… ต้องหาแนนนี่ให้แกตอนที่ผมไปทำงาน”

               “แนนนี่เหรอ อีกแค่เดือนเดียวไม่ต้องก็ได้ ยังไงช่วงนี้ดีนก็ว่างอยู่แล้วนี่ใช่ไหม”

               คำพูดของพ่อทำเอาดีนแทบสำลักเบียร์ในจังหวะยกดื่ม ไหงถึงได้มีชื่อเขาขึ้นมาในบทสนทนาได้ล่ะเนี่ย

               “หา! อะไรนะพ่อ เมื่อกี้ว่าไงนะ!?”

               “ก็ช่วงนี้ลูกว่างไม่ใช่เหรอ ยังไม่ต้องกลับไปค่า—.. หมายถึงนิวยอร์ก ยังไม่ต้องทำงาน ยังไงก็รับจ๊อบเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้เพื่อนบ้านเราหน่อยเป็นไง”

               นี่ไง ออกจากค่ายมาได้ไม่เท่าไรงานพี่เลี้ยงเด็กก็กลับมาหาอีกรอบ…

               “อย่าพูดเองเออเองสิพ่อ! จ้างแนนนี่กับฝากคนข้างบ้านดูแลมันไม่เหมือนกัน อีกอย่างไม่ให้คุณแคตต์เขาตัดสินใจเองเหรอ”

               “เอาจริง ๆ ผมยังติดต่อหาแนนนี่ไม่ได้เลยครับ ทุกวันนี้เลยต้องพาเชมัสไปที่ไซต์งานด้วยทุกวัน.. แต่—” ยังไม่ทันที่ฌอนจะพูดต่อก็ถูกโดนัลด์แทรกขึ้น

               “เห็นไหมล่ะเพื่อนบ้านลำบาก เราต้องช่วยสิใช่ไหม”

               เหตุผลที่พ่อยกมาก็ทำเอาเถียงไม่ออกอยู่นะ ในวัยเด็กดีนเคยต้องอยู่ที่อะพาร์ตเม้นต์เพียงลำพังในช่วงปิดเทอมตอนที่ทุกคนในบ้านไปทำงาน มันไม่ค่อยโอเคเท่าไรในด้านความปลอดภัยและอาหารการกิน

               “โอเค ๆ ผมรับปากช่วยก็ได้ ยังไงก็ว่างอีกเป็นเดือนเลย”

               “ขอบคุณนะครับคุณนีล ผมเกรงใจจัง ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจ่ายค่าจ้างให้เท่ากับที่จ้างแนนนี่เลย”

               พอได้ยินคำว่าเงินก็ตาโต แถมค่าจ้างของแนนนี่ก็ไม่ใช่ถูก ๆ ถ้าเพื่อนบ้านยินดีที่จะจ่ายให้แล้วล่ะก็.. ใบหน้าจากที่เคยเป็นกังวลพลันเบิกบานขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าจะมีเงินก้อนใหญ่เข้ากระเป๋า

               “ยินดีครับ เดี๋ยวผมสอนภาษาสเปนแบบงู ๆ ปลา ๆ แถมให้ด้วย ยังไงก็ต้องอยู่ที่เมืองนี้อีกประมาณสามปีใช่ไหม ภาษาสเปนก็สำคัญเหมือนกันนะ”

               สองครอบครัวสนทนากันต่ออีกสักครู่ก็ได้เวลาส่งแขกแล้วต่างแยกย้ายกันไปเข้านอน

แบบฟอร์มถวายของ
(โดยเทปเฮอร์มีส)
ชื่อของคุณ: ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล
ของที่ถวาย: มันฝรั่งทอด
เทพที่ถวายของ: คิโอเน่
คำพูดที่อยากคุยกับเทพ:
"สวัสดีครับพี่สาวคิโอเน่คนสวย
ผมดีนเจ้าเก่าเจ้าเดิม
ตอนนี้ผมกลับมาบ้านที่เท็กซัส ดูโทรทัศน์เห็นข่าวว่าภูเขาไฟฟูจิไม่มีหิมะปกคลุม เป็นเรื่องผิดปกติในรอบร้อยกว่าปี
เลยส่งเสบียงมาเติมพลังให้ครับ เอาไว้ถ้าได้ออกไปเที่ยวข้างนอกเดี๋ยวผมหาของฝากที่ดีกว่านี้ให้
จาก ดีน นีล"
------------------------------------------------------------
HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+25
------------------------------------------------------------
ใช้เครือข่ายไอริสติดต่อหา [ซันซ์ มาเดิล เคานต์]
ขอโอนเงินในระบบแบบเหมา ๆ (1/5)

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-25] คิโอเน่ เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2024-11-27 23:31
โพสต์ 62951 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2024-11-27 23:09
โพสต์ 62,951 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 ความกล้า จาก แว่นตา  โพสต์ 2024-11-27 23:09
โพสต์ 62,951 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +8 ความศรัทธา จาก GPS ทะเล   โพสต์ 2024-11-27 23:09
โพสต์ 62,951 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] เกียรติยศ จาก ตรีศูลน้อย  โพสต์ 2024-11-27 23:09
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
Anker PowerCore
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่อัสพิสขัดเกลา
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x2
x2
x2
x10
x2
x3
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x3
x1
x3
x1
x1
x4
x6
x1
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x6
x2
x1
x1
x1
โพสต์ 2024-12-13 16:30:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2024-12-13 16:32

239
แม่กลับบ้าน


               15/11/2024                              
                                                            
               กิจวัตรยามเช้าของดีนเริ่มลงตัวมาได้หลายวันแล้ว ตั้งแต่ที่รับหน้าที่ดูแลเด็กชายเชมัส แคตต์ ในฐานะพี่เลี้ยงเด็ก ดีนกลับมาตื่นเวลาเดิมเหมือนตอนอยู่ค่ายฮาล์ฟบลัด เขาออกมาวิ่งจ๊อกกิ้งแต่เช้าตรู่ พยายามทำร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอเพราะโลกใบนี้มีแต่ภัยอันตรายรออยู่ แถมตะวันที่ส่องกลางหัวทั้งที่เป็นเวลาเช้ามืดเป็นหลักฐานบ่งบอกอย่างชัดเจนว่ายังไม่มีใครสำเร็จภารกิจทวงคืนรัตติกาล ไม่สิ.. ต้องบอกว่ายังไม่มีคนไปรับคำทำนายเลยเห็นจะจริงกว่า ไม่อย่างนั้นรีชาต้องรีบโทรมาบอกเล่าสถานการณ์ผ่านเครือข่ายไอริสแล้ว
                                                            
               ระหว่างที่จ๊อกกิ้งไปตามตรอกซอกซอยที่คุ้นเคย เห็นบางบ้านเริ่มขนเอาต้นสนมาตั้งรอหน้าบ้านตั้งแต่ยังไม่ถึงวันขอบคุณพระเจ้าเลยด้วยซ้ำ ดีนจึงปิ๊งไอเดียนึงขึ้นมาได้ เด็ก ๆ น่ะชอบคริสต์มาสกันจะตายไป ไม่มีใครที่ไม่รอของขวัญวันคริสต์มาสจากซานตาคลอสหรอก ถึงแม้จะรู้ว่าซานตาคลอสไม่มีจริงแต่เป็นพ่อแม่ที่เอาของขวัญมายัดใส่ถุงเท้าก็ตามที ทว่าชาวค่ายฮาล์ฟบลัดเป็นบุตรและธิดาของเทพเจ้ากรีกน่าจะอดของขวัญเหล่านั้น พนันได้เลยว่าโอลิมปัสไม่มีคริสต์มาสแน่ ๆ
                                                            
               ‘เอาไว้สายกว่านี้ค่อยส่งข้อความไปหาซันซ์แล้วกัน…’
                                                            
               ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของเดมิก็อดสายเลือดมหาเทพโพไซดอนผู้ยิ่งใหญ่ จะแพร่กระจายไปในหมู่อสุรกายระดับล่างในซอยถนนลองครีก ตั้งแต่ที่ดีนตบแก๊งปีศาจเม่นไปยกฝูงรวมถึงแวนมีเทอร์นักซิ่งลอยฟ้าจนสลบกลับไปพบยมบาล เขาก็ไม่เจอพวกกีกี้ตามปองร้ายอีก จะเห็นก็แต่หลังสีเขียว ๆ หรือเม่นตัวเล็ก ๆ วิ่งสองข้าหนีเข้าพงไปตอนที่ดีนวิ่งผ่านไว ๆ
                                                            
               อยากจะรู้จริง ๆ ว่าอสุรกายเหล่านั้นซุบซิบนินทากันว่ายังไง ‘ระวัง! เดมิก็อดแสงออกเท้ามาเยือน ย้ำอีกครั้ง! ระวังเดมิก็อดแสงออกเท้ามาเยือน หากพบเห็นให้รีบเข้าที่ซ่อน อย่าคิดซ่าไม่งั้นกลายเป็นผงแน่!’ อะไรทำนองนี้หรือเปล่า? แต่จะยังไงก็ช่าง ถ้าเจียมเนื้อเจียมตัวไม่เข้ามาทำร้ายก็ถือว่าอยู่ทางใครทางมัน
                                                            
               เมื่อวิ่งวนย่านที่พักอาศัยได้หนึ่งรอบรวมระยะทางประมาณสามไมล์ก็ได้เวลากลับบ้าน ถึงตอนนั้นก็ใกล้เวลาที่คุณฌอนพาเชมัสมาส่ง แล้วเมื่อเด็กชายมาถึงบ้านหมายเลขสองห้าสองอย่างปลอดภัย ดีนก็เตรียมลงมือทำอาหารเช้าให้ทุกคน
                                             
               คร่าว ๆ ก็ประมาณนี้…
                                                            
               แต่วันนี้มีเรื่องพิเศษอีกอย่าง นั่นก็คือคุณแม่จะกลับมาจากการทำงานที่ต่างประเทศแล้ว น่าจะมีเรื่องให้คุยกันเยอะแยะ เห็นพ่อบอกว่าแม่จะกลับมาตอนบ่าย ถ้างั้นเขาควรติดต่อหาซันซ์ก่อน คนที่บ้านจะได้ไม่ตกใจ
                                                            
               ดีนเข้าไปหมกตัวอยู่ในห้องนอน นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่เคยเปิดใช้งานมานานแรมปี บางทีมันอาจจะพังไปแล้วก็ได้เพราะไม่ได้ใช้งานมานานเกินไป แต่จะพังก็พังไปตอนนี้เขาแค่อยากใช้มันเป็นกระดานรับภาพเฉย ๆ ฉะนั้นจึงไม่ต้องกังวล กลัวอย่างเดียวก็แต่เครือข่ายไอริสวันนี้จะสัญญาณคมชัดแค่ไหน …เขายังหวังกับมันได้หรือเปล่านะ?
                                                            
               เหรียญดรักม่าถูกดีดขึ้นเพื่อติดต่อเครือข่าย ดีนเพ่งสมาธิไปหา 'ซันซ์ มาเดิล เคานต์' น้องชายบ้านโพไซดอนที่พึ่งยามลำบาก แต่ต่อให้ไม่ลำบากเขาก็พึ่งพาอีกฝ่ายอยู่ดี เหรียญทองแดงที่ลอยอยู่บนอากาศหายวับไปกับตา คล้ายทวยเทพยื่นมือลงมารับไว้ จากนั้นใบหน้าของซันซ์ก็โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์สีดำสนิท
                                                            
               “ไฮฮาย ซันซ์นี่”
                                             
               “เหวอ!!”
                                             
               ไม่รู้ทำไมเวลาพอใช้เครือข่ายไอริสติดต่อใครไปคนรับสายเป็นอันต้องหน้าเหวอทุกที..
                                             
               “ร้องซะลั่นเลย ทำอะไรอยู่” ดีนพยายามกั้นขำไม่ให้หัวเราะใส่น้อยชายที่กำลังทำหน้ายุ่ง
                                             
               “เล่นเกมน่ะสิ นายทำฉันเกมโอเวอร์เลยเนี่ยดีน” ซันซ์มุ่ยหน้า เขามองหน้าจอเกมเอลเดนริงค์ขึ้นตัวอักษร ‘You Died’ ตัวเบ้อเร่อและมีเงาหน้าของดีนพาดผ่านอยู่

               “อ้าวเหรอ โทษที งั้นก็พอสเกมไว้ก่อน หลังคุยกับฉันนายค่อยเล่นใหม่” ดีนหัวเราะเบา ๆ เหมือนไม่ได้สำนึกจริงจัง ที่เขาทำให้ซันซ์ตาย

               “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันก็เลิกเล่นแล้ว งั้นเลิกเลยละกัน” ไม่อยากจะโทษพี่ชาย วันนี้ซันซ์ควรจะพักเกมไว้ก่อนจริง ๆ นั่นแหล่ะ หลังจากที่พยายามพิชิตเดธไรท์เบิร์ดเป็นรอบที่ยี่สิบเอ็ด เจ้านี่มันยากกว่าการสังหารฮาร์ปี้หรือแวนมีเทอร์ตั้งสิบเท่า “แล้ววันนี้มีอะไรให้รับใช้ครับคุณผู้ชาย?”

               “คุณผู้ชายอะไร นายประชดป่ะเนี่ย แต่ถ้าอยากเรียกก็เรียกไป ฉันจะได้โรลเพลย์ตอบกลับ”
                                             
               “โอ๊ย!! ไม่ต้อง ๆ หยุด! ไม่ต้องโรลเพลย์เลยนะ ดีอีเอเอ็น!”

               “แหม่ เรียกชื่อย่อฉันซะด้วย ง่ายกว่าเรียกว่าดีนเยอะเลยเนอะ” ดีนเหน็บกลับไปบ้าง แต่ไม่ต่อล้อต่อเถียงแล้วรีบเข้าเรื่องดีกว่า ก่อนที่สัญญาณจะถูกตัดขาดไป “พอดีฉันมีไอเดียน่ะ กิจกรรมในค่ายยังเสนอได้อยู่ใช่ไหม?”
                                                                                          
               “คิดว่าได้นะ นายมีแผนอะไร?” ซันซ์ถาม ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีความสนใจอยู่ไม่น้อย
                                                                                          
               “คือว่างี้.. ฉันอยากจัดกิจกรรมคริสต์มาสน่ะ เป็นการแจกของขวัญให้เด็กดีในค่าย แต่ไม่รู้ว่าจะกลับไปทันคริสต์มาสไหมเลยอยากให้นายช่วยเหลือ”
                                                                                          
               “คริสมาสต์ก็อีกตั้งนานนายจะกลับมาไม่ทันอีกเหรอ แต่เอาเถอะ… กิจกรรมดี ๆ แบบนี้คนหล่ออย่างฉันจะไม่ช่วยเหลือได้ยังไง”
                                             
               ได้ฟังน้องชายหลงตัวเองก็เบะหน้า ฟังแฟนหลงตัวเองแล้วเขายังต้องมาเจอเจ้าซันซ์หลงตัวเองอัดใส่อีกคนงั้นเหรอ

               “ทำไมรอบตัวฉันถึงมีแต่คนหลงตัวเองนะ ขนาดว่าฉันหล่อมากแท้ ๆ ยังไม่เที่ยวเอาแต่พูดชมว่าตัวเองหล่ออยู่ได้ทุกวี่ทุกวันเลย”

               “นายก็เหมือนกันแหล่ะพี่ชาย เพิ่งจะชมตัวเองไปหมาด ๆ ไม่ใช่เหรอ มันคือกฎของแรงดึงดูดยังไงล่ะ ที่ว่าคนนิสัยเหมือนกันมักจะดึงดูดเข้าหากัน พวกเราเลยได้มาเป็นพี่น้องกัน”

               “อ๋อ เหรอออ งั้นคงต้องดีใจสินะที่พวกนายเป็นคนหลงตัวเองน่ะ แต่หยุดเวิ่นเว้อไว้แค่นี้ก่อน เดี๋ยวสัญญาณขาดต้องมาดีดเหรียญใหม่อีก นายไม่เปลือง ฉันสิเปลือง”

               ถึงจะในชีวิตประจำวันจะไม่ได้ใช้ดรักม่าที่ว่ามานี้ก็ตาม แต่เขาก็ยังอยากอดออม ไม่ใช้จ่ายไปกับค่าวีดีโอคอลทางไกลสัญญาณกาก ๆ นี้เพียงอย่างเดียว เพราะบางทีดรักม่าอาจมีค่าในอนาคต ที่ไม่รู้ว่าจะมีค่าจริงไหม หรือจะมีค่าเมื่อไรก็ตามทีเถอะ

               “ถ้างั้นก็ว่ามา” ซันซ์ตั้งใจฟังดี ๆ ไม่หยอกเล่นอีกแล้ว

               “รายละเอียดคืองี้ ให้ชาวค่ายเอาถุงเท้าไปแขวนที่หน้าเตาผิง เขียนคำอธิษฐานลงไปพร้อมกับความดีที่ทำในปีนี้อย่างน้อยหนึ่งอย่าง จากนั้นซันซ์ตาคลอสจะย่องเข้าบ้านเอาของขวัญไปให้หลังเที่ยงคืน…”

               “เดี๋ยว ๆๆๆๆ อะไรนะ ซันซ์ตาคลอส? ไม่ทราบว่าฉันฟังอะไรผิดไปไหม” ซันซ์รีบแย้งขึ้นมาทันที “แล้วอีกอย่างย่องเข้าบ้านคนอื่นยามวิกาลนี่มันโจรชัด ๆ เปลี่ยนเป็นที่อื่นดีกว่าใหม่ เช่น หน้าบ้านใหญ่ หรือกองไฟเฮสเทีย”

               “ซันซ์ตาคลอสน่ะถูกแล้ว เพราะว่าชื่อเป็นจุดขาย เพราะงั้นฝากด้วยนะซันซ์ตาคลอส ถ้าไม่ถนัดย่องเข้าบ้านคนอื่นตอนเที่ยงคืนไม่เป็นไร งั้นเอาเป็นที่หน้ากองไฟก็ได้ ยังไงทุกคนก็ต้องผ่านไปผ่านมาอยู่แล้ว อาจจะทำราวแขวนหรือไม่ก็ให้ติดถุงเท้าบนต้นคริสต์มาส เรื่องค่าใช้จ่ายเดี๋ยวฉันโอนเงินไปให้ ลายเซ็นที่ปรึกษาก็ใช้อันเดิมที่ส่งเมลไป นายกรอกแบบฟอร์มแล้วเอาไปยื่นบ้านใหญ่ได้เลย”

               “เอ่อ.. โคตรจะมัดมือชกเลยว่ะพี่ชาย” คราวนี้เป็นฝ่ายหนุ่มบราชิลเบ้หน้ากุมหัว

               “พี่ซันซ์จะแต่งเป็นซานตาคลอสเหรอคะ เดี๋ยวหนูช่วยแต่งให้นาาาา”

               แม้ไม่เห็นตัวแต่ได้ยินเสียงรีชาเย้ว ๆ มาจากด้านหลังเลยทักทาย ดีนยิ้มแสยะอย่างเข้าทาง ไม่มีใครทนลูกอ้อนของน้องสาววัยใสได้ลงหรอก

               “ไฮฮายรีช พี่ฝากเราแต่งตัวซันซ์ตาคลอสด้วยนะ แล้วกิจการนิทานของเธอเป็นไงบ้าง?”
                                             
               “ก็ดีนะคะ มีคนมาเขียนนิทานด้วยล่ะค่ะ แต่ละคนเขียนเรื่องได้น่าสนใจมากเลยค่ะ อิอิ”

               นางฟ้าตัวน้อยแว้บเข้ามาในหน้าจอนิด ๆ หน่อย ๆ พอให้หายคิดถึง แต่ดีนคิดว่าตอนนี้เป็นโอกาสในการตัดจบเพื่อมัดมือชกแล้ว
                                                            
               “ดีเลย งั้นพวกเราก็มาพยายามกันทั้งสองกิจกรรม ในเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วก็ฝากด้วยนะทั้งคู่ เดี๋ยวฉันต้องขอตัวไปก่อนแล้ว ไว้เจอกัน บายยยย”
                                             
               แล้วดีนก็ตัดสัญญาโทรศัพท์ทิ้งไม่ปล่อยให้น้อง ๆ ได้ล่ำลา พนันได้เลยว่าซันซ์ต้องพูด ‘มีแค่ฉันกับรีชนี่แหล่ะที่พยายาม’ แน่ ๆ แต่เวลาทำรายงานกลุ่ม คนที่ออกเงินทุนหรือไอเดียก็ถือว่าทำงานเหมือนกันไม่ใช่เหรอ

               แต่นอกจากที่คุยกัน เป็นไม่กี่ครั้งที่เขาต้องอึ้ง... เครือข่ายไอริสวันนี้ทำงานดีไม่มีบกพร่อง ราวกับว่าได้รับการปรับปรุงใหม่เพื่อสู้กับบริษัทคู่แข่งอย่างไรอย่างนั้น ก็ว่าไปนั่น…

               เมื่อเสร็จธุระดีนก็ลงจากชั้นสองกลับมาที่ห้องนั่งเล่นหาเชมัสกับแมคเคนซีต่อ แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นแฟนหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าโทรศัทพ์บ้าน มือเพิ่งจะวางสายไปหมาด ๆ

               “มีคนโทรมาเหรอแมคซี่ พวกขายตรงหรือเปล่า?”

               “เอ่อ.. เปล่า คือว่าเมื่อกี้แม่นายโทรมาน่ะ บอกว่าถึงสนามบินซานอันโตนิโอแล้ว อีกแป๊บนึงน่าจะขับรถกลับมาถึงบ้าน”

               แมคเคนซีจำใจต้องเป็นคนรับโทรศัพท์ไม่อย่างนั้นมันก็จะดังไม่หยุด และอีกฝ่ายน่าจะไม่อยากรบกวนเขาที่ต้องคุยธุระกับคนในค่ายจึงตัดสินใจรับสายเอง หนุ่มอังกฤษยังคงหน้าตาตื่น ก็ใครบ้างจะไม่ตื่นเต้นตอนที่คุยเสียงกับแม่แฟนเป็นครั้งแรก ส่วนดีนก็… เอ่อ… ตื่นเต้นดีเพราะเกือบตาย…..

               “โอ้ แม่ใกล้กลับมาถึงแล้วสินะ แล้วเป็นไงบ้างแมคซี่ ความประทับใจแรกกับคุณแม่ฉันน่ะ” ดีนหัวเราะ

               “เสียงเหมือนจะเป็นคนดุ แต่แม่นายก็ใจดีนะ”
                                                                                                                        
               นี่สินะที่ทำให้แมคเคนซีตัวแข็งทื่ออยู่แบบนี้ ซึ่งเขาก็เห็นด้วยว่าแม่เสียงดุ... แม่ เทพีเฮคาที เจ๊แม่ครัวฮาร์ปี้ คือตัวท็อปของผู้หญิงน่ากลัวในชีวิตเลยล่ะ ดีนเดินเข้าไปบีบบ่าคนรัก
                                                            
               “ใจเย็นแมคซี่ ผ่อนคลายหน่อย เดี๋ยวนายก็ชิน เหมือนกับตอนที่เจอพ่อกับลุงครั้งแรกล่ะน่า ตอนนี้นายก็ดูเข้ากับพวกเขาได้ดีนี่”

               “คงงั้นมั้ง” บุตรแห่งเฮคาทีตอบ พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นจนหน้าผากยับ แต่ก็ยอมที่จะผ่อนลมหายใจเข้าออกลึกเพื่อคลายความตื่นเต้น ด้วยอาชีพเก่าทำให้อีกฝ่ายเข้ากับคนง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เบียร์เข้าปากไปแล้วครึ่งกระป๋อง แม้ว่าอดีตบาร์เทนเดอร์หนุ่มจะเป็นคนรักสันโดษมากก็ตาม

               “โอ้ ฉันว่าฉันรีบไปเก็บบ้านก่อนดีกว่า ถ้าแม่เห็นอะไรรก ๆ เข้าล่ะก็มีหวังโดนด่าแน่ ๆ”
                                                            
               พูดจบดีนก็พรวดพราดไปดูความเรียบร้อยตามส่วนต่าง ๆ ของบ้านแล้วจัดการให้เป็นระเบียบ เก็บเศษผมที่กองอยู่บนตะแกรงฝาท่อห้องน้ำ ขัดอ่างล้างหน้าให้คราบยาสีฟันล้างออก เอากล่องอาหารสำเร็จรูปที่สั่งมากินพับทิ้งให้เป็นที่เป็นทาง ไม่ลืมเก็บเตียง แล้วก็ออกไปกวาดใบไม้ที่ร่วงอยู่หน้าบ้านด้วย

               แล้วคุณนายอัลวาเรซก็มาถึงบ้านพร้อมกับรถญี่ปุ่นสีน้ำทะเลคันใหม่ที่ดีนไม่คุ้นตา เพราะว่าแม่ผ่อนรถใหม่หลังจากที่เขาไปเรียนที่นิวยอร์กแล้ว
                                                            
               “ดีฮะแม่ รถสวยนี่นา” เอ่ยทักหลังจากที่บานประตูซ้ายเปิดออก

               “ไงจ๊ะพ่อโรมีโอ ไม้กวาดในมือนั่นกำลังสร้างภาพอยู่เหรอ”

               มาเรียนน่า คามิลล่า อัลวาเรซ หญิงสาววัยกลางคนแต่ยังสวยพริ้งเหมือนอายุสามสิบกลาง ๆ เอ่ยแซว ลูกชายที่กวาดใบไม้อยู่หน้าบ้าน หลักฐานของความเป็นแม่ลูกมีอยู่เต็มไปหมด ทั้งโครงหน้า สีผิว ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ที่ประดับแพขนตาแน่นโดยไม่ต้องพึ่งพามาสคารา ยิ่งกว่านั้นคือโรคทางพันธุกรรม ที่ทั้งสองสวมแว่นตากรอบหนาเหมือนกันต่างกันแค่คนละทรง

               “นิดหน่อย ผมไม่อยากถูกคุณนายอัลวาเรซด่าตอนเห็นบ้านรก” ดีนยิ้มมุมปากก่อนจะเดินเข้าไปสวมกอด หอมแก้มทั้งสองข้างของสตรีที่รักที่สุดในชีวิต “ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับแม่ งานเป็นไงบ้าง คราวนี้บินไปเมืองไหนมา?”

               มาเรียนน่าครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะยอมตอบ “อืม.. กาซ่าน่ะ”

               “อะไรนะ กาซ่าเหรอ!?!” ดีนโวยวายเสียงดัง ใคร ๆ ก็รู้ว่าตอนนี้ฉนวนกาซ่า ดินแดนของปาเลสไตน์มีสภาพเป็นยังไง จะบอกว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในโลกในนาทีก็คงจะพูดได้ไม่ผิด ถึงแม้ช่วงนี้อิสราเอลจะมัวแต่วุ่นถล่มกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนก็เถอะ แต่จะเอาอะไรมารับประกันว่าปลอดภัยล่ะ “ทำไมแม่เอาแต่ไปในที่ที่อันตรายล่ะ ตอนเฮติก็ทีนึงแล้ว”

               “หืม รู้ได้ไงว่าแม่ไปเฮติมา? จำไม่ได้เลยนะว่าเคยเล่าให้ฟัง”

               แทนที่จะถูกรุกไล่แต่มาเรียนน่าโต้กลับทำเอาดีนสะอึก แม่ปิดบังเรื่องไปเฮติ ส่วนดีนก็ปิดบังเรื่องที่แอบตามไปช่วยเธอที่เฮติอีกที จะให้แม่รู้เรื่องที่เฮติได้ไงก็ภารกิจนั้นเขาถูกยิงมา เสียเลือดในระดับหนึ่งแต่โชคดีที่ไม่ถึงตาย หลักฐานคือรอยกระสุนยังคงติดประทับบนต้นขาไม่เลือนหาย

               “พ่อบอกมา…” ชายหนุ่มผินใบหน้าหนีก่อนค่อย ๆ ผละกอดออก

               “พ่อคนไหน?” แต่แม่ไม่ลดละที่จะคาดคั้น นางจับใบหน้าคมสันของลูกชายให้หันมาสบตา ตอนนี้คุณนายอัลวาเรซน่ากลัวโคตร ๆ

               “พ่อ… โพไซดอนน่ะ” ไม่ได้โกหกเสียทีเดียว เพราะในภารกิจนั้นดีนได้กระแสเสียงของบิดาเทพคอยช่วยเหลือนำทางอยู่หลายครั้ง ถือว่ารับรู้ความนี้ร่วมกัน

               “หืม?” หญิงสาวเลิกคิ้วก่อนจะปล่อยมือออก ตอนแรกเธอคิดว่าโดนัลด์หลุดปาก เพราะตาคนนี้เก็บความลับไม่เคยจะได้เลยสักครั้ง แต่พอได้ยินชื่ออดีตสามีเก่า ก็เหมือนจะเปลี่ยนความโกรธไปลงที่อีกคนแทน “ยังจะตามตื๊อไม่เลิกอีกเหรอ น่ารำคาญจริง ๆ”

               “เอาน่า ๆ พ่อเขาก็เป็นห่วงแม่แหล่ะ แต่กาซ่าเนี่ย…”

               “แม่ไปกับยูเอ็น ความจริงก็ไม่เห็นต้องบอกเลย แม่ทำงานอยู่กับองค์กรพิทักษ์สตรีของยูเอ็นนี่ลูกรัก”

               “ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ… แต่คราวหลังเลือกสถานที่ที่อันตรายน้อยกว่านี้น้อยเถอะครับ ไม่ดิ เอาแบบที่ไม่อันตรายเลยดีที่สุด”

               ถึงมาเรียนน่าจะเป็นหญิงแกร่งขนาดเคยหอบท้องหนีเจ้าสมุทรมาแล้ว แต่ดีนก็รู้สึกว่าแม่ออกจะบ้าบิ่นไม่กลัวตายเกินไปหน่อย เข้าใจว่าในสถานที่ดังกล่าวต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและสตรีที่มีความเป็นอยู่อย่างยากลำบากในสถานการณ์วิกฤต เพราะครอบครัวอาจพลัดพรากหรือสูญหาย

               พูดถึงความใจกล้าของเขาและแม่แล้วช่างต่างกันลิบลับราวกับโอลิมปัสกับเหวทาร์ทารัส นี่คงเป็นอย่างเดียวที่ไม่สืบทอดผ่านดีเอ็นเอ

               “รับทราบ เอาไว้จะเก็บไปพิจารณาก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ลูกชายไปช่วยแม่ยกกระเป๋าลงมาจากรถก่อนดีไหม?”

               “รับทราบแต่ไม่รับปากเนี่ยนะ แม่ใครทำไมดื้อจัง” ในเมื่อไม่ได้อยู่กับแม่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็คงต้องยอมแพ้ ถึงแม้แม่จะชอบเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายแต่อย่างน้อยแม่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ หากไม่เอาตัวรอดเก่งคงไม่มีชีวิตรอดมาจนทุกวันนี้หรอก ชายหนุ่มจึงได้แต่ยกมือขึ้นสองข้างอย่างยอมแพ้แล้วได้แต่เชื่อใจนาง “คร้าบ ๆ จะไปช่วยยกกระเป๋าให้เดี๋ยวนี้แหล่ะ เชิญคุณแม่เข้าบ้านไปรอได้เลย”

               “ไหน ๆ แล้วก็เอารถไปเก็บให้ด้วยล่ะ ฝากด้วยลูกรัก”

               มาเรียนน่าเข้าบ้านไปแล้ว เหลือดีนที่ยังอยู่ตรงนี้ในมือถือไม้กวาดและรถสีน้ำทะเลอีกหนึ่งคัน

               .
               .
               .

               มื้อเย็นวันนี้คุณนายอัลวาเรซแสดงฝีมือการทำอาหารเย็นเอง เพราะว่าโดนัลด์และไมค์ติดงานลูกค้าจึงต้องกลับช้ากว่าปกติ ความจริงดีนที่เตรียมมื้อเช้าให้ทุกคนเป็นเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์ สามารถเตรียมมื้อเย็นแทนได้ แต่คุณแม่อยากแสดงฝีมือเข้าครัวมากกว่า ไม่รู้ว่าอยากโชว์ลูกเขยหรือไม่ไว้ใจฝีมือการทำอาหารของดีนกันแน่ เอาเข้าจริงก็ดีเหมือนกันนะ เพราะว่าไม่ได้กินอาหารฝีมือแม่มาตั้งนาน

               ซึ่งเมนูที่แม่ทำคือทาโก้สูตรเด็ดดั้งเดิมจากชาวเม็กซิกันแท้ ๆ อาจจะเผ็ดไปหน่อยสำหรับแมคเคนซีและเชมัส แต่รับรองได้ว่ารสแซ่บเหมือนคนทำและลูกชาย


               ‘จะว่าไปพ่อโพไซดอนเคยกินอาหารฝีมือแม่หรือเปล่านะ?’

               เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก...

               ดีนจึงจิ๊กทาโก้มาชิ้นหนึ่ง จับยัดใส่กล่องแล้วคาดด้วยเทปเฮอร์มีส จ่าหน้ากล่องส่งถึง ‘โพไซดอน’ พร้อมกับแนบข้อความ ‘ทาโก้ฝีมือแม่ กินให้อร่อยนะพ่อ!’ จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ มองกล่องระเหยไปกลายเป็นละอองแสงสีทอง

               

แบบฟอร์มถวายของ
(โดยเทปเฮอร์มีส)
ชื่อของคุณ: ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล
ของที่ถวาย: ทาโก้ (ฝีมือแม่)
เทพที่ถวายของ: โพไซดอน
คำพูดที่อยากคุยกับเทพ:
"ทาโก้ฝีมือแม่ กินให้อร่อยนะพ่อ!"
------------------------------------------------------------
HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+25
------------------------------------------------------------
ใช้เครือข่ายไอริสติดต่อหา [ซันซ์ มาเดิล เคานต์]
โอนเงินรวมไปแล้วกับครั้งก่อนหน้า (3/5)

แสดงความคิดเห็น

God
((รสชาติที่คุ้นเคย ไม่ได้กินเสียนานเลย))  โพสต์ 2024-12-13 16:45
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-03-1] โพไซดอน เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2024-12-13 16:45
โพสต์ 51288 ไบต์และได้รับ 30 EXP!  โพสต์ 2024-12-13 16:30
โพสต์ 51,288 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +15 ความกล้า จาก แจ๊กเก็ตยีนส์  โพสต์ 2024-12-13 16:30
โพสต์ 51,288 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก แว่นตา  โพสต์ 2024-12-13 16:30
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
น้ำมันหอมกลิ่นสุริยะ
กางเกงเดินป่า
Anker PowerCore
หมวกคอรินเธียน
เข็มทิศมหาสมุทร
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
เข็มกลัดโพไซดอน
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่อัสพิสขัดเกลา
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ควบคุมน้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x2
x2
x2
x10
x2
x3
x2
x1
x1
x1
x1
x1
x2
x3
x1
x3
x1
x1
x4
x6
x1
x2
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x6
x2
x1
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้