231 แวะกินพิซซ่าชิคาโก
2/11/2024 - 6.00 น.~
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอย่างสดใสราวกับเที่ยงวัน จนตอนนี้ไม่รู้เลยว่าควรจะเรียกช่วงเวลาหกนาฬิกาว่า ‘เช้า’ อยู่ได้ไหม?
มือที่นอนจับกันตั้งแต่เมื่อคืนไม่คลายออก เกือบจะโรแมนติกอยู่แล้วเชียวถ้าไม่มีอีกเสียงหลายชีวิตเคลื่อนไหวภายในตู้ขบวนรถไฟเดียวกันอย่างจ้อกแจ้กจอแจก่อนหน้าพวกเขาจะตื่นกันเสียอีก จากที่บอกว่า ‘จะตื่นขึ้นมามองหน้านาย’ ก็ทำได้เพียงแค่สิบวินาที แล้วก็ได้เวลาเตรียมตัวเตรียมสัมภาระให้พร้อมก่อนที่ขบวนรถไฟจะเทียบชานชาลาที่ยูเนียนสเตชั่นเมืองชิคาโกในเวลาอีกครึ่งชั่วโมง
“แมคซี่ ได้เวลาตื่นแล้ว รถไฟจะถึงชิคาโกแล้ว”
สะกิดปลุกคนรักที่ดูเหมือนไม่ชินกับการตื่นเช้า ให้ล้างหน้าแปรงตอนนี้คงไม่ทันการ เอาไว้ค่อยไปจัดการตัวเองที่ห้องน้ำสาธารณะของสถานีรถไฟ
เมื่อรถไฟเทียบชานชาลาผู้โดยสารต่างทยอยลงรถไฟไปจนหมดเพราะเป็นปลายสถานีสำหรับการต่อรถไฟไปยังสถานที่อื่น ๆ ด้วยความที่ดีนและแมคเคนซีมีสัมภาระเพิ่มเติมคือสัตว์เลี้ยงพวกเขาจึงไม่รีบร้อนปล่อยให้คนอื่น ๆ ลงไปก่อนแล้วจึงค่อยลงมาตาม
“ฮึบ~ ถึงจะได้นอนดี ๆ แต่ก็อดเมื่อยไม่ได้เลยแฮะ”
ลงจากรถไฟมาได้ก็บิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายสักหน่อย
“รอสายเท็กซัสอีเกิลมาตอนสิบโมงล่ะ ตอนนี้พวกเรามีเวลาตั้งสามชั่วโมงกว่า ไปล้างหน้าล้างตากันก่อนแล้วค่อยหาอะไรกินกัน ชิคาโกมีอะไรขึ้นชื่อบ้างนะ”
พูดแบบนี้หมายความว่าไม่อยากรอจับเจ่าอยู่แค่ในสถานีรถไฟแต่อยากออกไปเซอร์เวย์ละแวกนี้ด้วย เพราะชิคาโกขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีอาหารอร่อยที่สุดในอเมริกาเลยนี่นา แว้บนึงที่ดีนคิดขึ้นมาได้
“รู้แล้ว! พิซซ่าสไตล์ชิคาโกยังไงล่ะ! เดี๋ยวเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วไปหากินกันเถอะ!”
แววตาสีเปลือกไม้เป็นประกายสดใสราวกับเด็กสิบขวบที่เพิ่งเคยมาทัศนศึกษาต่างเมืองก็ไม่ปาน
@Mackenzie
“สปาเหรอ น่าสนใจ มีร้านนวดไทยในตัวเมืองซานอันโตนิโอ ฉันเคยไปนวดมาจากที่นั่นแหล่ะ ถ้างั้นไว้สักวันเราไปกันนะ จดลงไปในลิสต์เพิ่มล่ะหนึ่ง”
ลากกระเป๋าออกจากชานชาลา ไถ่ถามเจ้าหน้าที่ว่าแถวนี้มีร้านพิซซ่าชิคาโกเด็ด ๆ บ้างไหม ดีนไม่ได้เสิร์จหาข้อมูลเองเพราะว่าไม่อยากเสี่ยงรับมืออสุรกายที่น่าจะเป็นตัวตึงกว่าตัวที่ไทย
“ร้านพิซซ่ามีที่สถานีค่ะ คุณไปทางนี้…….”
เจ้าหน้าที่บอกทางอย่างสุภาพ ในที่สุดก็ได้กินพิซซ่าชิคาโกที่ร่ำลือหนักหนาว่าเด็ดเสียทีนึง เอาจริงมีแว้บหนึ่งด้วยซ้ำที่ดีนคิดว่า ‘จะมีร้านพิซซ่าเปิดตอนเจ็ดโมงเช้าด้วยเหรอ?’ ปรากฏว่ามีแฮะ ดูเหมือนเทพแห่งดวงจะเข้าข้างเขาอยู่ ไม่สิ.. บางทีดีนนี่แหล่ะที่เป็นเทพแห่งความโชคดี
ทั้งสองจึงไปตามทางที่เจ้าหน้าที่บอกจนเห็นร้านดังกล่าวอยู่ในชั้นล่างของสถานี
“นั่นไงร้านอยู่ตรงนั้น ถ้างั้นเดี๋ยวเราไปเข้าห้องน้ำแล้วกินกัน นายตื่นเต็มตาหรือยังแมคซี่”
หันไปมองใบหน้าคนรักก็หัวเราะน้อย ๆ แม้รอบดวงตาจะดำคล้ำแต่ก็ยังดูหล่ออยู่เสมอ
@Mackenzie
“เป็นร้านเดียวกันแหล่ะ จองไว้ก็ดีนะเผื่อร้านติดลูกค้าเยอะ” ดีนกล่าว
ทว่าการไปย่านนั้นไม่ได้มีความยุ่งยากอะไรเลยเพราะร้านตัดผมของพ่อและลุงก็อยู่ระแวกนั้น ค่อยติดรถไปตอนสาย ๆ ก็ยังได้
“โอเคเลยที่รัก ไม่ก็.. ต้องรอให้ถึงรถไฟ พวกเรายังต้องรอที่ชานชาลาอีกสามชั่วโมง ระหว่างนั้นนายก็งีบ”
หรือไม่พอได้ล้างหน้าล้างตาและได้ความเย็นสดชื่นจากยาสีฟันรสมินต์ก็อาจจะทำให้หายง่วงเป็นปลิดทิ้งแล้วก็ได้ ส่วนคนที่ตื่นเต็มที่อย่างดีนพอได้แปรงฟันแล้วก็ยิ่งรู้สึกสดชื่นและสะอาดขึ้นยิ่งกว่าเก่า เมื่อหมดธุระกับการเข้าห้องน้ำพวกเขาก็ตรงดิ่งไปที่ร้านพิซซ่าที่เปิดอยู่ไม่ไกล
คงเพราะเป็นร้านที่เปิดในสถานีรถไฟใหญ่ของเมืองล่ะมั้งร้านถึงได้เปิดแต่เช้าตรู่ โดยทั่วไปแล้วคงไม่มีใครรับประทานพิซซ่าเป็นมื้อเช้ากัน ร้านอื่น ๆ จึงเปิดให้บริการในช่วงสาย ตัวร้านไม่มีที่นั่งให้บริการมีเพียงแค่เคาน์เตอร์และตู้กระจกใส่พิซซ่าที่เรียงยาวอยู่หน้าร้านเพียงเท่านั้น ซึ่งพิซซ่าที่วางเรียงรายโชว์หราทำเอาชายหนุ่มที่เพิ่งรับประทานแมคแอนด์ชีสชืด ๆ มาเมื่อคืนน้ำลายสอ
“น่ากินเยอะชะมัด ถ้าสั่งมาหลายอันจะกินหมดไหมเนี่ย”
ถ้าจะสั่งไปเพื่อเผื่อเป็นมื้อกลางวันบนรถไฟก็ไม่คุ้มกัน เพราะหลังจากนี้พวกเขาจะได้รับประทานอาหารสุดหรูที่คิดราคารวมในแพ็กเกจรถไฟไปแล้วเนี่ยสิ เพราะงั้นต้องตัดใจเลือกอย่างระมัดระวังไม่ให้เกินสองชิ้น แถมยังต้องกินสลัดเพื่อกระตุ้นลำไส้อีกด้วย
“สลัดไก่หนึ่ง แพนซูพรีมสไลซ์หนึ่ง แล้วก็แพนไส้กรอกเบค่อนอีกหนึ่งครับ ทั้งสองหน้าขอเพิ่มพาเมซานชีสด้วย” หลังจากเลือกได้แล้วก็เงยหน้าสั่งกับแคชเชียร์ สั่งแบบที่คนรักสุขภาพ (แบบใด) เขาสั่งกัน
@Mackenzie
“นั่นสิ ฉันกินหมดหรือเปล่า แต่ก็อยากลองหลาย ๆ รสนี่นา”
จ่ายเงินรอรับอาหารแล้วก็ต้องไปหาที่นั่งกิน ตอนนี้ดีนกำลังคิดว่าจะกลับไปรอแถว ๆ ชานชาลาดีหรือเปล่านะ ที่นั่นพอจะมีที่ว่างอยู่
“ไปหาที่นั่งที่ไหนดีล่ะแมคซี่ เดินหาแถว ๆ นี้หรือจะกลับไปที่ชานชาลาดีล่ะ?”
ยังไงก็มีเวลาอีกเยอะแยะ เดินไปเดินมาก็ไม่เสียหาย ติดแค่ว่าพวกเขาสัมภาระเยอะเท่านั้นเอง
@Mackenzie
“อืม ใช่ แต่ไม่รู้ขากลับได้มาเปลี่ยนสายที่นี่กี่โมงเนี่ยสิ ถ้ามาตรงกับช่วงที่ปิดร้านก็เซ็งเลย”
ดีนตอบกลับ จากนั้นเขาก็มองไปที่โซนม้านั่งที่แทบไม่มีใครนอกจากคนไร้บ้านชายหญิงคู่หนึ่งที่จับจองแทนที่นอน ดีนไม่ได้รังเกียจคนไร้บ้าน แต่เขาเคยมีความทรงจำไม่ดีกับพวกขี้ยาที่สถานีรถไฟใต้ดินนิวยอร์กเลยรู้สึกคนกลุ่มนี้นิดหน่อย หากไม่มาสร้างความเดือดร้อนต่อกันก็ถือว่าอยู่ร่วมกันในสังคมได้
พอได้ที่นั่งก็จัดแจงเปิดห่ออาหารเตรียมรับประทาน ทว่าชายหนุ่มได้ยินเสียงที่เปล่งออกมาคล้ายสื่อกระแสจิตมากกว่าเสียงทางกายภาพ
「กลิ่นพวกเดมิก็อด….」
「หอมเหลือเกิน ฆ่าพวกมันทิ้งแล้วกินเลยได้ไหม」
“หา?”
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาชายหนุ่มก็เห็นเงาขนาดใหญ่พาดผ่าน ด้านหนึ่งของค้อนเหล็กทุบลงมากลางวงอาหาร ด้วยสัญชาตญาณนักสู้ทำให้ดีนกระโจนหนี และเหมือนว่าแมคเคนซีคนรักของเขาก็จะหลบได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่หลบไม่พ้นนั่นก็คือถุงพิซซ่าที่ซื้อมา
“ตาเถร!!”
ดีนอุทาน เมื่อเขาหันมองอีกทีก็เห็นว่าไซคลอปส์ตัวใหญ่หยิบชิ้นพิซซ่าของเขา (อันที่จริงก็ระบุไม่ได้ว่าเป็นของดีนหรือว่าแมคเคนซี) ขึ้นมากินหมดในคำเดียว
「อาหย่อย」
“หนอยแน่แก นั่นมันพิซซ่าฉ้านนนน!!!”
อะไรก็ไม่โกรธเท่าโดนแย่งของกิน ดีนม้วนตัวไปที่กระเป๋าเดินทางก่อนจะหยิบเอาหอกสัมฤทธิ์ที่ใส่ปลอกผ้าเอาไว้ดูไม่ใช่วัตถุต้องสงสัยออกมา เมื่อตั้งหลักได้ชายหนุ่มก็กระหน่ำแทงไปที่ไซคลอปส์ตัวนั้นรัว ๆ ด้วยความโมโห เขาจะล้างแค้นแทนแพนพิซซ่าชิ้นนั้นให้สาสมใจไม่ว่าไซคลอปส์โง่นั่นอาจเป็นลูกพ่อเดียวกันกับเขาเองก็ตาม
การต่อสู้นั้นปลุกเร้าสัญชาตญาณของออมเล็ตมันจึงพยายามตะกุยกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงออกมา แม้ว่าเขี้ยวและเล็บของราชสีห์นีเมียนจะคมกริบ แต่ก่อนเดินทางดีนใช้ตะใบสัมฤทธิ์ฝนเล็บทั้งสิบแปดนิ้วจนกุดทำให้ไม่สามารถหลุดออกมาจากกระเป๋าใส่สัตว์ได้
「เอื้อ!」 ไซคลอปส์อีกตัวถูกแมคเคนซีจัดการได้อย่างรวดเร็ว ร่างของมันกลายเป็นฝุ่นผงไปก่อนไซคลอปส์ตัวใหญ่ จนเจ้าตัวที่ต่อสู้อยู่กับดีนร่ำร้องด้วยความเสียใจ (?) 「เมียจ๋าาาา」
“แล้วแกก็จะได้ตามมันไปอีกตัว!” หอกสัมฤทธิ์ที่ใช้สำหรับพิฆาตอสุรกายโดยเฉพาะแทงสวนไปในดวงตาเพียงหนึ่งเดียวของเจ้ายักษ์ มันร้องโหยหวนก่อนที่ร่างกายจะแตกสลายกลายเป็นผง เหลือเพียงแค่ดวงตาไซคลอปส์ติดปลายหอกทิ้งไว้เป็นสินสงคราม
หลังจากสิ้นสุดการต่อสู้ชายหนุ่มสายเลือดโพไซดอนทรุดนั่งลงกับพื้นก่อนจะโอดครวญด้วยน้ำเสียงทรมาณ (?)
“พิซซ่ากับสลัดตกพื้นหมดเลยอ่า!!!”
ดีนะที่ไม่มีคนอยู่แถวนี้…
@Mackenzie
“ฉันไม่เป็นไร แล้วนายล่ะแมคซี่”
ฮึบเอาไว้ก่อนจะไปสำรวจคนรัก เหมือนมีแผลถลอกนิดหน่อยไม่จำเป็นต้องใช้อาหารเทพในการเยียวยา แต่ยังไงก็ต้องทำแผล แต่พวกเขาต้องเก็บกวาดตรงนี้ก่อนถึงไปซื้อเซตใหม่มาได้ เสียเงินโดยใช่เหตุจริง จะสู้กันทั้งทีทำไมต้องทำข้าวของเสียหายด้วยฟะ
สุดท้ายพวกเขาก็ต้องหอบทุกอย่างไปนั่งกินบนชานชาลาที่ผู้คนพลุกพล่านกว่า ทำแผลให้แมคเคนซีจากนั้นก็รับประทานอาหารเช้าสักที
“อย่างน้อยชิ้นนี้ก็ไส้เยอะกว่าชิ้นที่แล้ว”
รอบก่อนยังไม่ทันได้เอาพิซซ่าเข้าปากเลยด้วยซ้ำดีนก็แค่พยายามปลอบใจตัวเอง…
จุดเด่นของพิซซ่าชิคาโก คือ การอบพิซซ่าในกระทะ มันจึงมีชื่อเล่นว่า ‘แพนพิซซ่า’ หรือ ‘พิซซ่ากระทะ’ ไปโดยปริยาย จุดเด่นของพิซซ่าชิคาโกจึงเป็นขอบที่สูงขึ้นกว่าพิซซ่าทั่วไปทำให้จุส่วนที่เป็นหน้าได้เยอะกว่าปกติ เรียกว่า ‘เบิ้ม ๆ คือลือ’ จนแทบจะเป็น ‘คีช’ ไปแล้ว เป็นที่รักของชาวพิซซ่าเลิฟเวอร์โดยแท้ ในสหรัฐอเมริกาชิคาโกพิซซ่าหาซื้อได้ไม่ยากแต่จะดีกว่าไหมหากได้มากินร้านในท้องถิ่น
“อร่อยแฮะ!”
รับประทานด้วยสีหน้ามีความสุข พอท้องอิ่มก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้นแล้ว เวลาหลังจากนี้ทั้งสองก็ว่างยาว ๆ อีกหลายชั่วโมงกว่าที่รถไฟสายเท็กซัสอีเกิลจะมา ต่อให้ดีนอยากออกไปซุกซนแค่ไหนแต่เขาตระหนักได้ว่าข้างนอกมีอสุรกายเต็มไปหมด จึงขอรออย่างสงบเสงี่ยมที่ชานชาลาแล้วเล่นกับออมเล็ตไปพลาง แมคเคนซีที่รักจะได้แอบงีบพักตรงนี้ด้วย ว่าแต่เมื่อกี้เหมือนมันเป็นอสุรกายคู่รักกันหรือเปล่านะ ไซคลอปส์มีตัวเมียด้วยเหรอ? หรือว่าจะเป็นคู่เกย์? แต่ก็ช่างมันเถอะ
@Mackenzie
. . .
สามชั่วโมงผ่านไปไวเหมือนโกหก
ในที่สุดรถไฟก็มาเทียบท่าชานชาลาตามเวลาออกเดินทาง ได้เวลาที่ออมเล็ตจะได้กลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์เลี้ยงแสนอุดอู้อีกรอบ เจ้าตัวเล็กดูเหมือนจะยังอยากเล่นอยู่มันจึงดื้อเล็กน้อยพยายามมุดออกมาตอนที่ดีนรูดซิบจนต้องดันหัวมันเข้าไปในกระเป๋าตั้งหลายรอบ แล้วก็ปลุกแมคเคนซีที่นั่งสัปหงกบนม้านั่งด้วยท่าทางที่ดูน่าเมื่อยคอ จากนั้นทั้งสองลากสัมภาระขึ้นรถไฟไป เอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่เก็บที่ชั้นวางสัมภาระ ก่อนจะเดินไปยังห้องโดยสารที่จองเอาไว้
เมื่อเปิดประตูเข้าไปสิ่งแรกที่พบคือซิงก์ล้างมืออยู่ทางผนังด้านขวาถัดไปอีกหน่อยคือที่นั่งยาวติดผนัง ด้านหน้าเป็นกระจกรถไฟ และโต๊ะพับตัวเล็ก ๆ ติดกับผนังเอาไว้สำหรับทำงานก็ได้ หรือจะวางขนมขบเคี้ยวเอาไว้กินระหว่างดูวิว เมื่อหันหลังกลับมาจะเจอกับห้องน้ำเล็ก ๆอ อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับอ่างล้างมือ มีซอยแคบ ๆ ที่สุดห้องที่จะข้ามไปยังส่วนของห้องนอนเตียงสองชั้นขนาดราว ๆ สามฟุตครึ่ง ไม่ได้กว้างขวางแต่ก็ถือว่ากว้างพอสำหรับในยานพาหนะประเภทราง
“มีที่ให้นายนอนต่อแล้วแมคซี่ แต่ว่าในนี้แคบชะมัด รู้เลยว่าทำไมถึงมีตู้เอาไว้นั่งชมวิว”
ในส่วนชั้นสองของตู้นอนจะมีที่นั่งให้ชมวิวข้างทาง ตัวที่นั่งมีความแตกต่างจากแบบโค้ชคลาสตอนขามา ซึ่งดูปลอดโปร่งกว่ากันมาก
“ส่วนแกก็ออกมาได้แล้วไข่เหลือง”
“อ๊าววว”
ลูกสิงโตรีบตะกุยกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยงใหญ่ เมื่อซิบถูกรูดเปิดออกมันก็กระโจนออกมาสู่อ้อมแขนดีนพร้อมกับเลียหน้าเขาด้วยลิ้นสาก ๆ
“ฮะฮะ แกเนี่ยนะ” ชายหนุ่มฟัดเจ้าลูกนีเมียนพุงป่องก่อนจะใส่แพมเพิร์สสัตว์ให้แก่มันจะได้สะดวกเวลาขับถ่าย
@Mackenzie
“ไม่เอาอ่ะ ฉันจะนอนกับนาย ส่วนออมเล็ตนอนพื้นได้” ตอบอย่างตรงไปตรงมา “อยู่ตรงนี้ก่อนแหล่ะ เจ้าไข่เหลืองยังไม่อยากกลับไปอยู่ในตะกร้าอีก เอาไว้ใกล้ถึงเวลาอาหารเราค่อยออกไปกันก็ได้”
ชายหนุ่มเดินไปนั่งที่เตียงนอนชั้นล่างโดยมีสิงโตน้อยตามติดเหมือนหมา มันกระโดดตามขึ้นมาแล้วอ้อนน้วยเหมือนแมว เป็นแมวในร่างหมา ที่ความจริงแล้วเป็นสิงโตปีศาจอีกที
พอได้นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงที่จัดว่านุ่มและสะอาดทำเอาดีนและออมเล็ตเผลอหลับไปพร้อมกันหลังจากที่เล่นมาจนเหนื่อย
@Mackenzie
. . .
ราวกับรู้เวลา เมื่อผ่านไปสองชั่วโมงดีนก็ตื่นขึ้นมาเพื่อรับประทานอาหารกลางวันบนรถไฟ ส่วนออมเล็ตยังคงหลังปุ๋ยอยู่ในอ้อมแขนสมกับธรรมชาติของแมวใหญ่ที่นอนวันละสิบหกถึงยี่สิบชั่วโมง ชายหนุ่มจึงปล่อยมันนอนไปก่อนจึงค่อยไปที่ตู้ดินเนอร์
มื้อแรกของสลีปเปอร์คลาสหรือตู้นอนดีขึ้นกว่ามื้อเย็นเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด เมนูที่ให้เลือกแม้จะไม่ละลานตาเหมือนในร้านอาหารหรูทว่าน่ารับประทาน ซีซาร์สลัดอกไก่ย่าง แซนวิชเนยแข็งย่าง เบอร์เกอร์เนื้อแองกัส แซนวิชเนื้อย่างชีส เบอร์เกอร์ผัก และเมนูสุดท้ายที่เป็นอาหารพื้นถิ่นเท็กซัสอย่าง ‘ซาโวรี่ชิลลี่โบลว์’ หรือ ‘ชามพริกเผ็ดร้อน’ แน่นอนว่าดีนต้องสั่งเมนูซินเนเจอร์ของสายเท็กซัสอีเกิ้ลอยู่แล้ว เพื่อเปิดต่อมรับรสของบ้านเกิดตั้งแต่เนิ่น ๆ
“แมคซี่ นายลองซาโวรี่ชิลลี่โบลว์ไหม อาหารเท็กซัสแท้ ๆ เลยนะ”
แกล้งชวนถาม รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายกินเผ็ดไม่ค่อยไหว แต่เขาชอบตอนที่ผิวขาว ๆ แบบชาวยุโรปแท้ดั้งเดิมตัดกับสีของริมฝีปากแดงจัดตอนกินของเผ็ดร้อนมากเลยนี่นา
@Mackenzie
“ไว้ใจได้สิที่รัก ฉันคิดว่ามันน่าจะ……. เผ็ดน้อยกว่าบัตเตอร์ชิกเก้นแถบบ้านนายอีกนะ”
ถึงจะเปรียบเทียบกับแกงกะหรี่อินเดียสูตรปรับปรุงใหม่ให้เข้าปากชาวอังกฤษก็ตาม แต่ชิลลี่โบลว์เป็นอาหารที่ทำจากพริกหวานของแท้แน่นอน ไม่เหมือนกับที่บัตเตอร์ชิกเก้นที่เน้นกลิ่นหอมเครื่องเทศส่วนรสเผ็ดมีอย่างเจือจาง
“ฝึกเอาไว้ก่อนจะได้กินอาหารเม็กซิกันเดือนนึง ฉันคิดว่านายคงไม่ถึงกับพ่นไฟออกจากปาก”
@Mackenzie
“เผ็ดขนาดนั้นเลยเหรอ”
เป็นอย่างคาดเพียงแค่คำเดียวฤทธิ์ของพริกในจานก็ทำให้แมคเคนซีปากขึ้นสีเห่อร้อนขึ้นมาในทันที
“โอ้ ไม่แน่นอนอยู่แล้ว แค่ส่วนใหญ่มันอาจจะเผ็ดอ่ะนะ”
ต้องอยู่ที่คุณพ่อแล้วว่าจะปรุงอะไรให้พวกเขาได้รับประทานกันในแต่ละวัน แต่พนันได้เลยว่ามื้อแรกที่ไปถึงบ้านพ่อต้องจัดหนักจัดเต็มไม่แพ้มื้ออาหารคืนวันคริสต์มาสแน่นอน
“ถ้ากินไม่ได้เดี๋ยวให้กินสลัด”
ดีนยิ้มกริ่มก่อนที่เขาจะยกแก้วน้ำส้มขึ้นจิบ
@Mackenzie
“ล้อเล่นน่า ใครจะให้นายกินแต่ผักได้ลง”
ยิ้มขำมองสีหน้าคนรักที่ราวกับอยากจะจดจำรสชาติเนื้อของเบอร์เกอร์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะไม่ได้ชิมมันเป็นอีกเดือน ๆ อย่างไรอย่างนั้น ไม่แน่ว่าที่แมคเคนซีมาเท็กซัสในครั้งนี้อีกฝ่ายอาจจะกินเผ็ดเก่งขึ้นก็ได้… มั้ง
ในรถไฟไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่านั่ง ๆ นอน ๆ กินขนมชมวิวที่ตู้ชมวิวหรือจากห้องนอนด้านล่าง ถ้าไม่มีคนที่ไว้ใจพูดจากันถูกคอเดินทางมาด้วยคงน่าเบื่อแย่ จนดีนแอบคิดในใจว่าคนสมัยก่อนเวลาเดินทางก็คงเป็นแบบนี้ ในยุคที่โทรศัพท์ยังเล่นอินเทอร์เน็ตไม่ได้ก็ต้องหาอย่างอื่นทำแทนเช่นอ่านหนังสือ (ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำไม่ได้เพราะสมาธิสั้น) หรือหาเพื่อนใหม่บนขบวนรถไฟ (ซึ่งสำหรับดีนแล้วมันง่ายกว่า) ชายหนุ่มเหลือบมองไปที่คนอื่นที่ส่วนมากจะก้มหน้ามองจอโทรศัพท์มือถือมากกว่าวิวทิวทัศน์ตรงหน้าที่อาจดูมาแล้วหลายชั่วโมงจนเบื่อ
“น่าจะเอาบอร์ดเกมมาเล่นด้วย” เขาโอดครวญเล็กน้อยเมื่อเวลาผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไรนอกจากการนั่งเฉย ๆ
จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่มื้อเย็นก็ได้เวลากินอีกรอบ ดีนเปลี่ยนความเบื่อเป็นเอ็นจอยกับเมนูมื้อเย็นแทน อาหารถูกเสิร์ฟเป็นคอร์สตามที่เลือกเอาไว้ เรียกว่าเป็นมื้อดินเนอร์หรูหราที่มีวิวดี ๆ มื้อนึงได้เลย หากภาพข้างหน้าต่างเป็นวิวกลางคืนคงจะโรแมนติกไม่เบา แต่พอฟ้าสว่างแบบนี้แล้วก็เห็นอะไรชัดเจนดี ในมื้อเย็นชายหนุ่มสั่งเมนูแอลกอฮอล์มาเพิ่ม ไวน์แดงยี่ห้อดังกินคู่กับสเต็กเนื้อเมนูแนะนำเข้ากันได้เป็นอย่างดี ถือเป็นมื้ออาหารเย็นอันยอดเยี่ยม
“เฮ้อ นาน ๆ ทีจะได้กินแบบนี้ดีชะมัดเลย สั่งเพิ่มมาเป็นขวดเลยได้ไหมนะ” หมายถึงไวน์นั่นแหล่ะ ดูท่าว่าการเสิร์ฟเป็นแก้วจะไม่เพียงพอกับคนลงแดงเสียแล้ว
@Mackenzie
“ก็แค่แก้วเดียวมันไม่พอนี่นา นายก็รู้ว่าฉันน่ะซัดไวน์ได้เป็นแกลลอน”
จิบไวน์แดงรสชาติดีทีละนิดราวกับกลัวว่าจะหมดแก้วเร็วเกินไป ดีนมองเนื้อไก่ที่ถูกหั่นมาไว้ในจาน บางทีก็คิดว่าแมคเคนซีเลือกคนละเมนูกับเขาเพื่อจะได้แบ่งกันกิน ตนจึงหั่นสเต็กเนื้อส่วนแฟลตไอรอนราดซอสพอร์ตไวน์วางไว้ข้างจานอีกฝ่ายในปริมาณที่ไม่งก ก่อนจะเริ่มชิมเนื้อไก่ส่วนที่อีกฝ่ายส่งมาก่อนหน้า
“โอ๊ย ไก่อบนี่อร่อยจัง!”
อาจเพราะกินเนื้อมาก่อนหน้าทำให้อกไก่ที่เพิ่งกินตามไปมีรสสัมผัสที่นุ่มละมุนผิดปกติจากการที่ประสาทสัมผัสหลอกลวง และไม่ปฏิเสธคำชวน เขาลองดื่มไวน์ขาวของแมคเคนซีตามไป
“อื้อหือ นี่ก็อร่อยสุด ๆ น่าเสียดายที่อาหารพรุ่งนี้ไม่รวมมื้อเย็น ไม่งั้นกะจะลองปลาแซลมอนกับสปาเก็ตตี้วีแกนสักหน่อย”
คิดแล้วก็น่าเสียดายกว่าจะได้ชิมอาหารรสชาตินี้อีกทีก็ต้องรอขากลับอีกตั้งเป็นเดือน
@Mackenzie
“ที่บ้านฉันเขาชินกันแล้วล่ะ ถ้ากินเป็นขวดไม่ได้งั้นขออีกสองแก้วได้ไหม”
หัวเราะปร๋ออย่างไม่สะทกสะท้าน คิดถึงตัวเองวัยสิบห้าสิบหกที่แอบปีนหน้าต่างห้องนอนออกจากบ้านไปตอนสามทุ่มไปปาร์ตี้บ้านรุ่นพี่ แล้วต้องย่องกลับบ้านแบบเมา ๆ พร้อมทั้งเลี่ยงตำรวจไปด้วย แต่สุดท้ายคุณแม่ก็จับได้ทุกที โทษที่ได้รับคือกักบริเวณหนึ่งเดือน แต่พอหมดเดือนเขาก็แอบหนีเที่ยวใหม่ พ่อ แม่ ลุง ได้แต่ทำใจ หนีเที่ยวนิดหน่อยก็ยังดีกว่าลูกหลานติดยา
“ช่าย คุณพ่อฉันน่ะทำอาหารอร่อยสุด ๆ แล้วนายจะติดใจ”
ทานเมนคอร์สหมดของหวานก็ถูกยกมาเสิร์ฟ ดีนสั่งเป็นไวท์ช็อกโกแลตบลูเบอร์รี่คอบเบิลชีสเค้ก แค่หน้าตาก็ดูน่ารับประทานแล้ว “ถึงซานอันโตนิโอพรุ่งนี้เย็นหกโมงครึ่ง ฉันไม่ได้บอกให้ที่บ้านมารับเราอาจต้องนั่งบัสไปกันเอง”
แจ้งที่บ้านแค่วันและเวลาที่จะไปถึง คุณพ่อกับลุงยังไม่ถึงเวลาปิดร้าน ส่วนคุณแม่ก็ไม่แน่ไม่นอนแต่ส่วนมากก็มักจะติดงานตลอด
@Mackenzie
“เยี่ยม! งั้นก็”
กระดกไวน์แดงอย่างไม่เหนียมอีกต่อไป จากนั้นก็ยกมือเรียกบริกรขอไวน์แดงเพิ่มอีกแก้ว
“ความจริง.. ฉันก็คิดไว้บ้างนะเรื่องออกจากค่าย คือแบบว่า… ฉันก็เรียนจบมาจะปีนึงแล้วยังไม่ได้หางานทำเลย ถึงจะแก๊บเยียร์ได้ไม่น่าเกลียดก็เถอะ แต่คงไม่อยู่ค่ายกับเด็ก ๆ เป็นนีทไปตลอดชีวิตหรอกใช่ไหมล่ะ แต่คงต้องบอกคุณไครอนก่อนว่าจะขอออกจากค่ายอ่ะนะ”
มือที่ตักชีสเค้กค้างอยู่นานก่อนจะเอาเข้าปาก ดีนคิดว่าแมคเคนซีคงคิดไม่ต่างกัน อีกฝ่ายยังเรียนไม่จบเสียด้วย แต่ว่าถ้าออกจากค่ายฮาล์ฟบลัดแล้วพวกเขาจะยังไงกันต่อนะ? ถ้าแมคเคนซีกลับไปเรียนที่นิวยอร์ก หนทางที่พบกันง่ายสุดคือดีนต้องไปหางานทำในเมืองใหญ่ด้วย เขาไม่เกี่ยงงานอยู่แล้วถ้าไม่หนักหรือลำบากเกินไป
รสหวานอมเปรี้ยวของชีสเค้กแสนอร่อยช่วยเปลี่ยนสีหน้าจากเคร่งเครียดเป็นยิ้มแป้นได้ภายในเสี้ยววินาที เขาเลื่อนจานไปนิดหน่อยให้คนรักได้ลองชิม
“ลองนี่ อร่อย ไม่หวานมาก”
@Mackenzie
“กลับไปช่วยงานพ่อเหรอ…”
ดีนครุ่นคิดเล็กน้อยขณะที่ปลายช้อนยังแตะอยู่ที่ริมฝีปาก แมคเคนซีมีกิจการที่บ้านรออยู่แล้วถ้าไม่กลับไปรับช่วงต่อก็คงต้องขายแล้วไปหาอย่างอื่นทำแทน วิธีการที่ง่ายที่สุดคงเป็นกลับไปอังกฤษเพื่อสืบทอดกิจการ ดูแล้วอีกฝ่ายก็ชอบงานที่บ้านคงไม่อยากหางานอื่น
“จะได้สัญชาติต้องอยู่ที่อังกฤษกี่ปีนะ? ถ้างั้นอีกไม่กี่ปีฉันต้องทิ้งพาสปอร์ตอเมริกาแล้วสิ.. สงสัยระหว่างนั้นคงต้องเป็นแรงงานเถื่อนฟาร์มนายแล้ว หมายถึง… ถ้าพ่อนายจะไม่ว่าอะไรอ่ะนะ อย่างน้อยฉันก็เรียนไบโอเทคฯ มาน่าจะทำงานฝ่ายอาร์แอนด์ดี (วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์) ได้อยู่”
ดีนไม่มีปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย บ้านของเขาไม่มีอะไรให้ต้องสืบทอด แม้ว่าพ่อกับลุงจะเปิดบาร์เบอร์แต่ก็ใช่ว่าดีนจะชื่นชอบด้านนี้แล้วก็ตัดผมเป็น อีกอย่างทางบ้านไม่เคยเรียกร้องให้เขาต้องสืบทอดกิจการหรือแม้กระทั่งต้องมาใช้ชีวิตที่ซานอันโตนิโอด้วยซ้ำ การจะเทียวไปเทียวมาระหว่างกลอสเตอร์ซานอันโตนิโออาจลำบากนิดหน่อยเพราะขึ้นเครื่องบินไม่ได้ แต่รถไฟที่กำลังนั่งอยู่นี่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลยนี่นา
แล้วจานช็อกโกแลตเค้กก็เลื่อนมาตรงหน้า ดีนมองมันก่อนจะยิ้มที่มุมปาก
“ชิงบอกก่อนเลยเหรอ กลัวฉันผิดหวังที่มันไม่หวานหรือไง”
หัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะชิมช็อกโกแลตมูสของอีกฝ่ายบ้าง มันช่างเข้มข้นดีจริง ๆ!
@Mackenzie
“โอ้ งั้นคงไม่ยากมั้ง ถ้ามีคนจ้างงานแล้วก็เข้าประเทศอย่างถูกกฎหมาย…”
แต่เข้าประเทศอย่างไรให้ถูกกฎหมายก่อน เรื่องทำวีซ่าแล้วก็หางานทำที่อังกฤษคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเนี่ยสิ.. ที่รถไฟเฮเฟตัสก็ไม่ได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเสียด้วย ถึงมีวีซ่าแต่ก็คล้ายกับหลบเลี่ยงการตรวจตราอยู่ดี ไม่อย่างนั้นก็ต้องโดยสารทางเรือ
“เดินทางไปกลับแบบแจ๊คกับโรสงั้นเหรอ...”
ดีนยักไหล่ก่อนที่เขาจะตักขนมเข้าปากอีกคำ อมยิ้มกรุ่มกริ่มกับคนออกตัวเรื่องของหวาน
“อือฮึ ก็น่าจะประมาณนั้น เพราะยังไงนายก็คงไม่ยอมจะโยนกิจการพันล้านทิ้งไปใช่ไหมล่ะ? ฉันไปอยู่กับนายน่าจะง่ายกว่าที่นายมาอยู่กับฉันเยอะ”
@Mackenzie
“โอ้ แน่สิที่รัก ตอนทำแลปฉันเคยทดสอบเพาะแบคทีเรียในชีสด้วยนะ นายเลี้ยงวัวไปเดี๋ยวฉันเลี้ยงแบคทีเรียให้นายเอง”
เลี้ยงแบคทีเรียหรือเชื้อราในชีสถือเป็นเรื่องเบสิกสำหรับการเรียนในศาสตร์นี้ก็ว่าได้ อย่างน้อยเขาก็มีความรู้และเคยทำ ส่วนเรื่องรสชาติความอร่อยอาจต้องให้คนจบฟู้ดไซน์มาทำงานแทน
ดีนฟังที่แมคเคนซีพูดแล้วก็พยักหน้าหงึกหงัก
“อือฮึ ฉันก็พอจะเดาถูก”
แค่รู้ว่าลูกเศรษฐีเรียนบริหารธุรกิจก็พอจะรู้แล้วว่าจะนำไปต่อยอดอะไรต่อ จนมาถึงท้ายประโยคที่อีกฝ่ายเว้นช่วงไว้ ศอกถูกยกขึ้นมาบนโต๊ะ มือเกยค้ำคาง ริมฝีปากขยับยิ้มดวงตาหยีลง ไม่ได้สนใจบริกรที่เข้ามารินน้ำให้ สายตามัวแต่มองจดจ่ออยู่ที่คนตรงหน้า
“นายหมายถึงแต่งงานน่ะเหรอ?”
@Mackenzie
ให้ตายสิ นาน ๆ ทีจะได้เห็นหมอนี่เขินอายน่ารักเป็นบ้า!
ร่างสูงยืดแขนไปตบบ่าคนรักที่นั่งตรงกันข้ามพร้อมกับส่งรอยยิ้มนุ่มนวลไปให้
“ฉันเข้าใจ นายไม่ต้องรีบหรอก ฉันก็อยากให้นายมั่นใจในตัวฉันมากกว่านี้อีกเหมือนกันแมคซี่”
แม้ว่าดีนจะเป็นคนมั่นหน้าแต่เขากลับไม่มั่นใจในตัวเองเรื่องความรักเอาเสียเลย แน่นอนที่เขารักอีกฝ่ายมาก แต่ก็คิดอยู่เสมอว่าตัวเองอาจไม่ดีพอจนทำให้คนรักเบื่อได้สักวันนึง การแต่งงานไม่ใช่เรื่องที่ปุ๊บปั๊บจะทำกันได้ จะต้องมั่นใจว่าคนสองคนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ รับในข้อเสียของกันและกัน และยังมีเรื่องจุกจิกอย่างเรื่องเงินทอง แม้มันจะนอกกายแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเงินคือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด
“นายจริงจังแบบนี้งี้ฉันต้องฉลองให้ตัวเองหน่อยแล้ว”
กล่าวจบดีนก็ยกแก้วไวน์รสเลิศขึ้นดืมรวดเดียวราวกับน้ำเปล่า จากนั้นก็สั่งน้ำองุ่นหมักบ่มตามมาอีกเป็นแก้วที่สี่และห้า จนต้องพาร่างตัวเองกลับไปที่ห้องด้วยสภาพเกือบเมาแอ๋
“แมคซี่ คืนนี้นายคงไม่ปล่อยให้ฉันนอนเตียงล่างคนเดียวใช่ไหม?” คนเมาเอาหัวถูไถกับไหล่คนข้างเคียงเป็นไข่เหลืองสอง
@Mackenzie
“ไม่นี่ โซฟาเรายังนอนกันมาแล้วเลย เตียงนี่กว้างกว่าโซฟาตั้งเยอะ”
เหมือนยิ่งออมเล็ตเอาหัวถูไถขาของดีนมากขึ้นเท่าไรดีนก็ยิ่งถูไถแมคเคนซี่ต่อเป็นทอด ๆ ราวกับเล่นเกมอะไรบ้างอย่าง ดวงตาสีเปลือกไม้ปรือขึ้นมองคนรักที่อยู่ข้างเคียงส่งสายตาหยาดเยิ้มให้ ดีนคิดว่าแมคเคนซีคงเข้าใจได้ไม่ยากว่าหมายถึงอะไร ร่างกายทิ้งน้ำหนักซบไหล่ไปที่อีกคนจนต้องถอยไปที่เตียงนอนของตู้รถไฟ
เจ้านายจะนอนแล้วสิงห์น้อยในคราบสุนัขที่รู้ความก็ผละออกจากขาชายหนุ่มไม่ดื้อไม่ซน ออมเล็ตยืดตัวหาวก่อนที่มันจะกระโดดไปนอนขดอยู่บนเบาะนอนสุนัขที่เตรียมไว้ มันผงกหัวมองร่างทั้งสองก่อนจะฟุบราบกับเบาะนุ่มราวกับเห็นภาพแบบนี้จนชินตา แรงโยกเยกของขบวนรถคล้ายเปลกล่อมสิงโตน้อยในคราบสุนัขให้หลับไหล เหลือแต่เสียงเพอร์ของสัตว์ป่า เสียงพรูของลมหายใจ และเสียงกุกกักของล้อราง
@Mackenzie
|