แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Cooper เมื่อ 2024-10-27 00:40
บทนำ
ณ มุมหนึ่งของเมืองแห่งดวงดาว เวสต์ฮอลลีวูด คูเปอร์ หนุ่มผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความฝันและความหวัง ได้ทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนมาไขว่คว้าโชคชะตาในดินแดนที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต เสียงเพลงแจ๊สแผ่วเบาดังลอดออกมาจากห้องพักเล็กๆ ที่เขาแบ่งเช่าอยู่กับเพื่อนนักดนตรีอีกสองชีวิต ผู้มาตามหาความฝันเฉกเช่นเดียวกับเขา
สามปีผ่านไป เส้นทางสู่ความสำเร็จยังคงทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา แต่ประกายในดวงตาของคูเปอร์ยังไม่เคยริบหรี่ลง ทุกเช้าเขายังคงตื่นขึ้นมาพร้อมความหวังใหม
ณ ร้านกาแฟเก่าแก่ที่เขาทำงานอยู่ กลิ่นอายของความคลาสสิกและเสน่ห์แบบวินเทจยังคงอวลอยู่ในทุกซอกทุกมุม
ที่นี่ไม่ใช่แค่ร้านกาแฟธรรมดา แต่เป็นเหมือนโรงละครเล็กๆ ที่ผู้คนในวงการภาพยนตร์แวะเวียนมาพักใจ ผู้กำกับมากฝีมือ นักเขียนบทผู้เปี่ยมด้วยจินตนาการ และบรรดาผู้ทรงอิทธิพลในวงการ ต่างเคยผ่านมาจิบกาแฟที่นี่ คูเปอร์เฝ้ารอโอกาสของเขาอย่างอดทน เก็บเกี่ยวทุกการพบปะ ทุกบทสนทนา ราวกับเม็ดทรายที่ค่อยๆ ก่อตัวเป็นปราสาท
เสียงเครื่องบดเมล็ดกาแฟดังกรอกแกรก ขณะที่คูเปอร์หมุนด้ามจับอย่างนุ่มนวล เสียงนี้พาเขานึกถึงเสียงล้อรถไฟที่แล่นผ่านเมืองเล็กๆ ของเขาในรัฐโอเรกอน ที่ซึ่งเขาเติบโตมากับกลิ่นของป่าสน และความฝันที่ใหญ่เกินกว่าขนาดของเมือง
"ลาเต้ร้อนหนึ่งแก้วค่ะ" เสียงลูกค้าดึงเขากลับมาสู่ปัจจุบัน
คูเปอร์พยักหน้ารับ มือของเขาเริ่มต้นพิธีกรรมที่คุ้นเคย เทนมสดลงในหม้อสแตนเลส ไอร้อนพวยพุ่งขึ้นมาเหมือนหมอกยามเช้าที่เคยปกคลุมสนามหญ้าหลังบ้าน ที่ซึ่งเขาเคยซ้อมบทละครคนเดียวตอนอายุสิบแปด เขายิ้มให้กับความทรงจำนั้น
ขณะที่รอนมร้อน เขาเริ่มชงเอสเพรสโซ่ มือขวากดผงกาแฟในโปรตาฟิลเตอร์อย่างพอดิบพอดี ไม่ต่างจากตอนที่พ่อสอนให้เขาตีตะปูลงบนแผ่นไม้
"ใช้แรงให้พอดีลูก มากไปก็พัง น้อยไปก็หลวม" เสียงของพ่อยังก้องในหู พ่อผู้ซึ่งไม่เคยเข้าใจว่าทำไมลูกชายถึงอยากเป็นนักแสดง แต่ก็ไม่เคยขัดความฝันนั้น
น้ำกาแฟสีน้ำตาลเข้มไหลลงสู่แก้วเป็นสายบาง กลิ่นหอมลอยกรุ่น คูเปอร์นึกถึงวันที่เขาประกาศกับครอบครัวว่าจะย้ายมาลอสแองเจลิส แม่ร้องไห้ แต่พ่อกลับเงียบ ก่อนจะพูดประโยคที่เขาไม่มีวันลืม "ถ้าลูกไม่ไป ลูกจะไม่มีวันรู้"
เขาตวัดข้อมือ วาดลวดลายบนฟองนมด้วยความชำนาญ ศิลปะเล็กๆ บนแก้วกาแฟที่เขาฝึกฝนมาตลอดสามปี
ไม่ต่างจากการฝึกซ้อมการแสดงในห้องพักเล็กๆ ของเขาทุกคืน หลังเลิกงาน
"เชิญครับ ลาเต้ร้อนหนึ่งแก้ว"
เขายิ้มให้ลูกค้า เป็นรอยยิ้มที่เขาเคยฝึกซ้อมหน้ากระจกนับครั้งไม่ถ้วน
ลูกค้าคนต่อไปเดินเข้ามา เป็นชายวัยกลางคนในชุดสูทสีเทา ถือแล็ปท็อปเครื่องบาง คูเปอร์สังเกตว่าเขามักจะมานั่งทำงานที่นี่บ่อยๆ บางครั้งก็นั่งคุยโทรศัพท์เป็นชั่วโมง พูดถึงเรื่องบทภาพยนตร์และการคัดเลือกนักแสดง
"อเมริกาโน่ร้อนครับ" ชายคนนั้นสั่ง พลางเปิดแล็ปท็อป
คูเปอร์พยักหน้ารับ เริ่มต้นพิธีกรรมอีกครั้ง มือของเขาทำงานไปอัตโนมัติ ขณะที่ความคิดล่องลอยไปถึงการออดิชันครั้งล่าสุดเมื่อสองสัปดาห์ก่อน เขาไม่ผ่าน เหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ผู้กำกับคนหนึ่งเรียกเขาไว้ บอกว่าเขามีบางอย่างที่น่าสนใจ แค่ยังต้องฝึกฝนอีกสักหน่อย
น้ำร้อนไหลผ่านเมล็ดกาแฟบด ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง คูเปอร์สูดลมหายใจลึก รสขมของกาแฟเตือนเขาว่าความฝันทุกอย่างต้องแลกมาด้วยความอดทน เหมือนที่พ่อเคยบอก
"กาแฟที่ดีต้องรอ ลูกพ่อก็เหมือนกัน"
เขายกแก้วอเมริกาโน่ร้อนวางบนเคาน์เตอร์ "เชิญครับ"
ท่ามกลางไอหอมกรุ่นของกาแฟที่ลอยอวลในร้าน
คูเปอร์ยืนสง่างามอยู่หลังเคาน์เตอร์ที่เป็นอาณาจักรของเขา มือทั้งสองข้างเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วราวกับนักเต้นบัลเลต์ ขณะที่เขาหมุนแก้วและจัดการกับเครื่องชงกาแฟด้วยความชำนาญ
แต่ละเช้า เสียงฟู่ของไอน้ำจากเครื่องชงและกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟคั่วใหม่คือสิ่งที่ปลุกหัวใจของเขาให้ตื่น
คูเปอร์รู้จักเมล็ดกาแฟแต่ละชนิดเหมือนรู้จักเพื่อนเก่า ทั้งรสชาติ กลิ่น และอุณหภูมิที่เหมาะสมในการชง ดวงตาของเขาเป็นประกายทุกครั้งที่ได้สร้างสรรค์เครื่องดื่มให้ลูกค้าแต่ละคน
การวาดลวดลายบนฟองนมของเขานั้นประณีตราวกับศิลปิน บางครั้งเป็นรูปหัวใจที่ละเอียดอ่อน บางคราวเป็นใบไม้ที่พลิ้วไหว ทุกแก้วที่ส่งถึงมือลูกค้าผ่านการตรวจสอบด้วยมาตรฐานที่สูงของเขา
เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของลูกค้าที่ได้จิบกาแฟรสเลิศคือรางวัลที่คูเปอร์ภาคภูมิใจที่สุด สำหรับเขาแล้ว การชงกาแฟไม่ใช่เพียงงานประจำ
แต่เป็นศิลปะที่ต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด เป็นการเดินทางแห่งรสชาติที่เขามีความสุขที่จะพาลูกค้าทุกคนไปด้วยกัน
"สวัสดียามเช้าครับ วันนี้อยากลองอะไรดีครับ?" คูเปอร์ทักทายลูกค้าสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน เธอดูเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาทำงาน
"เอ่อ... ขอกาแฟที่ช่วยให้ตื่นหน่อยได้ไหมคะ วันนี้ง่วงมาก" เธอตอบพลางถอนหายใจเบาๆ
คูเปอร์ยิ้มอย่างเข้าใจ
"ผมแนะนำ Single Origin จากเอธิโอเปียสักแก้วไหมครับ? มีความเปรี้ยวสดชื่นของผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ตามด้วยความหอมหวานละมุนของดอกไม้ รับรองว่าช่วยปลุกความสดชื่นได้แน่นอน"
"ฟังดูน่าสนใจจังเลยค่ะ" เธอพยักหน้า
"งั้นขอแบบนั้นแก้วนึงค่ะ"
คูเปอร์เริ่มพิธีกรรมการชงกาแฟด้วยความตั้งใจ เขาเลือกเมล็ดกาแฟที่บดใหม่ๆ จัดการกับเครื่องชงอย่างพิถีพิถัน
"คุณรู้ไหมครับว่ากาแฟเอธิโอเปียเนี่ย มีตำนานว่าแพะเลี้ยงตัวนึงเป็นผู้ค้นพบ หลังจากกินผลกาแฟแล้วกระโดดโลดเต้นไปทั่ว" เขาเล่าพลางรินกาแฟลงแก้ว
ลูกค้าสาวหัวเราะเบาๆ "จริงเหรอคะ? น่าสนใจจัง"
"ครับ และนี่ครับ กาแฟของคุณ" เขายื่นแก้วที่มีลวดลายรูปนกฮูกฟองนมให้ "
ลองจิบดูครับ แล้วบอกผมหน่อยว่ารู้สึกยังไง"
เธอรับแก้วไปแล้วจิบเบาๆ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
"ว้าว! หอมมากเลยค่ะ แล้วก็มีความเปรี้ยวหวานกลมกล่อมจริงๆ ด้วย" "ดีใจที่คุณชอบครับ" คูเปอร์ยิ้มอย่างภูมิใจ "ถ้าวันไหนอยากลองรสชาติใหม่ๆ บอกผมได้เลยนะครับ เรามีกาแฟจากแหล่งอื่นๆ อีกเยอะเลย แต่ละที่ก็มีเรื่องราวน่าสนใจทั้งนั้น"
"ขอบคุณมากนะคะ" เธอยิ้มตอบ "คิดว่าคงต้องแวะมาอีกแน่ๆ เลย"
เสียงเพลงเบาๆ และกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นยังคงลอยอวลในร้าน ขณะที่คูเปอร์หันไปต้อนรับลูกค้าคนต่อไปด้วยรอยยิ้มและความกระตือรือร้นเช่นเคย การได้แบ่งปันความรู้และความหลงใหลในเรื่องกาแฟให้กับผู้คน คือความสุขที่เขาไม่เคยเบื่อเลยสักครั้ง
เจ็ดโมงเช้า ร้านกาแฟเก่าแก่ในเวสต์ฮอลลีวูดเริ่มต้อนรับลูกค้าประจำรายแรกของวัน เสียงกระดิ่งเหนือประตูดังกรุ๊งกริ๊ง พร้อมกับร่างของมาร์แชล นักเขียนบทละครเวทีวัยห้าสิบที่มาที่นี่ทุกเช้าตรงเวลาราวกับนาฬิกาปลุก
"มอคค่าร้อน ช็อตเอสเพรสโซ่เพิ่ม ไม่หวานมาก" คูเปอร์พูดขึ้นก่อนที่มาร์แชลจะเอ่ยปาก
มาร์แชลยิ้ม
"นายนี่จำได้ไม่เคยพลาดเลยนะ" เขาวางกระเป๋าเอกสารที่โต๊ะประจำ มุมริมหน้าต่างที่แสงแดดยามเช้าส่องถึงพอดี
"แล้วบทที่ฝากให้อ่านล่ะ มีความเห็นยังไงบ้าง?"
คูเปอร์เริ่มชงกาแฟ มือเคลื่อนไหวคล่องแคล่วขณะที่ความคิดย้อนกลับไปถึงบทละครที่มาร์แชลให้เขาอ่านเมื่อสองวันก่อน
"ผมชอบตอนที่ตัวละครหลักต้องเลือกระหว่างความฝันกับครอบครัว มันสะท้อนความจริงดีครับ" เขาตอบพลางวาดลวดลายบนฟองนม
"เหมือนนายไง" มาร์แชลพูดพลางหยิบโน้ตบุ๊กเก่าๆ ออกมา
"นายเคยคิดจะกลับบ้านบ้างไหม?"
คูเปอร์ยกแก้วกาแฟไปวางที่โต๊ะ "บางครั้งครับ แต่..." เสียงกระดิ่งดังขึ้นอีกครั้ง ขัดจังหวะบทสนทนา
"อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณคูเปอร์" เสียงหวานใสของเอวา นักแสดงละครเพลงสาวที่มักจะแวะมาก่อนไปซ้อมการแสดง ดังขึ้น
"วันนี้ขอเหมือนเดิมนะคะ คาปูชิโน่เย็น ใส่นมถั่วเหลือง"
"และช็อตเอสเพรสโซ่เพิ่มสำหรับวันออดิชัน" คูเปอร์ต่อประโยคให้จบ ทำให้เอวาหัวเราะเบาๆ
"นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะที่ฉันมาขอช็อตเอสเพรสโซ่เพิ่มก่อนไปออดิชัน?" เธอถามพลางนั่งลงที่บาร์
"สิบสองครั้ง และคุณได้งานมาแล้วสามครั้ง" คูเปอร์ตอบขณะเตรียมเครื่องดื่ม "ผมจดไว้ในสมุดโน้ตเล็กๆ ของผมน่ะ"
เอวายิ้มกว้าง
"คูเปอร์ นายไม่ได้เป็นแค่บาริสต้านะ นายเป็นเหมือน... ผู้เก็บบันทึกความฝันของพวกเราทุกคน"
ขณะที่คูเปอร์กำลังจะตอบ เสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นโรเบิร์ต ผู้กำกับโฆษณาวัยกลางคนที่มักจะมาพร้อมกับทีมงานอีกสองสามคน พวกเขามักจะจับจองโต๊ะยาวกลางร้านสำหรับประชุมงาน
"เอสเพรสโซ่ดับเบิลช็อตสี่แก้ว" โรเบิร์ตตะโกนมาจากประตู
"และขนมปังอบกรอบสองชิ้นด้วย วันนี้มีออดิชันใหญ่"
คูเปอร์พยักหน้ารับ รู้ดีว่าวันนี้โรเบิร์ตกำลังคัดเลือกนักแสดงสำหรับโฆษณารายการทีวีเรียลลิตี้โชว์ใหม่ เขาเคยได้ยินโรเบิร์ตคุยเรื่องนี้กับทีมงานมาหลายวันแล้ว
"คูเปอร์" โรเบิร์ตเรียกขณะที่รอกาแฟ "ฉันเห็นนายฝึกซ้อมบทตอนร้านใกล้ปิดบ่อยๆ นายเคยคิดจะลองออดิชันโฆษณาบ้างไหม? บางทีมันอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี"
ก่อนที่คูเปอร์จะได้ตอบ เสียงของมาร์แชลก็ดังแทรกขึ้นมาจากมุมห้อง
"เขาเกิดมาเพื่อเล่นละครเวทีต่างหาก โรเบิร์ต ฉันดูออก"
เอวาหัวเราะเบาๆ "ไม่ว่าจะเป็นละครเวที ภาพยนตร์ หรือโฆษณา ฉันว่าคูเปอร์ทำได้หมดแหละ เขามีบางอย่างที่พิเศษ"
คูเปอร์รู้สึกอบอุ่นใจ ที่นี่ไม่ใช่แค่ร้านกาแฟ แต่เป็นเหมือนโรงละครเล็กๆ ที่เขาได้แสดงบทบาริสต้าทุกวัน และลูกค้าประจำเหล่านี้ก็เหมือนครอบครัวที่คอยเป็นกำลังใจให้เขาไม่ยอมแพ้ต่อความฝัน
เขาหันไปชงกาแฟต่อ
พลางคิดว่าบางทีชีวิตก็เหมือนการชงกาแฟ ต้องใจเย็น รอจังหวะที่เหมาะสม และเมื่อถึงเวลา ทุกอย่างก็จะลงตัวเอง เหมือนฟองนมที่ค่อยๆ ผสานกับกาแฟร้อน กลายเป็นเครื่องดื่มที่สมบูรณ์แบบ
"วันนี้ช็อตเอสเพรสโซ่เพิ่มสองช็อตเลยนะคะ" เอวาพูดพลางวางกระเป๋าสะพายสีน้ำตาลที่มีสติกเกอร์โลโก้ละครบรอดเวย์หลายใบติดอยู่ลงบนเคาน์เตอร์
คูเปอร์เลิกคิ้ว
"ออดิชันใหญ่เหรอครับ?"
"ละครเพลงเรื่องใหม่" เอวาถอนหายใจ นิ้วเรียวยาวเคาะเบาๆ บนเคาน์เตอร์ไม้เก่า
"บทนำค่ะ"
คูเปอร์พยักหน้าเข้าใจ เริ่มชงกาแฟด้วยความพิถีพิถัน เขารู้ดีว่าในวันออดิชันสำคัญ แม้แต่รสชาติของกาแฟก็มีผลต่อความมั่นใจ เอวาเองก็เคยบอกเขาว่า กาแฟแก้วแรกของวันเป็นเหมือนพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ก่อนขึ้นเวที
"คุณจำได้ไหม" เอวาเอ่ยขึ้นขณะที่คูเปอร์กำลังตวัดข้อมือวาดลายหัวใจบนฟองนม "วันแรกที่ฉันเดินเข้ามาที่นี่..."
"จำได้สิครับ" คูเปอร์ยิ้ม "คุณสั่งชาร้อน แต่ผมได้กลิ่นยาอมบรรเทาอาการเจ็บคอ เลยแนะนำให้ลองคาปูชิโน่ร้อนใส่น้ำผึ้งแทน"
เอวาหัวเราะเบาๆ
"และนั่นก็กลายเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้ฉันร้องเพลงได้จนจบออดิชัน จนได้บทแรกในละครเวทีเล็กๆ" เธอหยุดไปครู่หนึ่ง
"นายรู้ไหม บางทีฉันคิดว่าที่นี่ไม่ใช่แค่ร้านกาแฟ แต่เป็นเวทีเล็กๆ ของพวกเราทุกคน"
คูเปอร์วางแก้วกาแฟตรงหน้าเอวา ฟองนมขาวนวลเป็นรูปหัวใจที่มีตัวโน้ตดนตรีเล็กๆ อยู่ตรงกลาง
"ลายใหม่ครับ" เขาอธิบาย "สำหรับนักร้องนำคนต่อไปของบรอดเวย์"
ดวงตาของเอวาเป็นประกาย แต่แล้วก็หม่นลง
"ฉันเคยคิดว่าการเป็นนักแสดงคือการแข่งขัน ทุกคนเป็นคู่แข่งกัน แต่พอมาที่นี่..." เธอมองไปรอบๆ ร้าน ที่ซึ่งนักแสดง นักร้อง และศิลปินหลายคนนั่งทำงานอยู่
"ที่นี่สอนให้ฉันรู้ว่าเราทุกคนต่างก็มีบทของตัวเอง"
"แล้วคูเปอร์" เธอหันมามองเขาตรงๆ
"นายล่ะ? เมื่อไหร่จะให้ฉันดูการแสดงของนายบ้าง? ฉันเห็นนายซ้อมบทตอนร้านปิดนะ"
คูเปอร์ชะงัก มือที่กำลังเช็ดเครื่องชงกาแฟหยุดนิ่ง "ผมยัง... ยังไม่พร้อม"
"รู้ไหม ตอนฉันเริ่มต้น ฉันก็คิดว่าตัวเองไม่พร้อมเหมือนกัน" เอวาจิบกาแฟ "แต่มีคนบอกฉันว่า เราไม่มีวันพร้อมหรอก จนกว่าเราจะก้าวออกไป"
เสียงเพลงแจ๊สเบาๆ จากลำโพงในร้านแว่วมา เอวาเริ่มฮัมเพลงตามเบาๆ นิ้วเคาะจังหวะเบาๆ บนแก้วกาแฟ
"วันพฤหัสนี้" เธอพูดขึ้นลอยๆ "มีออดิชันละครเวทีเรื่องใหม่ที่โรงละครเล็กๆ แถวนี้ ต้องการนักแสดงสมทบหลายคน" เธอหยิบใบปลิวออกจากกระเป๋า วางลงบนเคาน์เตอร์
"ฉันว่า... มีบทที่เหมาะกับนายอยู่บทหนึ่ง"
คูเปอร์มองใบปลิว มือข้างหนึ่งยังถือผ้าเช็ดเครื่องชงกาแฟค้างไว้
"นายชงกาแฟให้พวกเราทุกคนมาตั้งนานแล้ว" เอวาลุกขึ้นยืน สะพายกระเป๋า "ถึงเวลาที่นายจะได้ดื่มกาแฟในฐานะนักแสดงบ้างแล้วล่ะ" เธอยิ้มให้ครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินออกไป เสียงกระดิ่งเหนือประตูดังกริ๊งแผ่วเบา
คูเปอร์มองตามร่างของเอวาที่เดินจากไป
ความจริงแล้วเมื่อไม่นานมานี้ชีวิตของคูเปอร์ก็มีเรื่องน่ากังวลเกิดขึ้นเล็ก ๆ หรือจะว่าไม่ก็ได้เพราะมันก็กระทบกับสุขภาพจิตของเขาเหมือนกัน และก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมในช่วงที่ผ่านมาเขาถึงไม่กล้าไปออดิชั่นที่ไหน มันเป็นอาการเห็นภาพหลอนที่ไม่รู้สาเหตุ
มันเริ่มต้นมาได้ประมาณปีนึงแล้ว ภาพประหลาดที่ปรากฏขึ้นในชีวิตประจำวันของเขา บางครั้งเป็นเงาวูบไหว บางครั้งเป็นรูปทรงแปลกตาที่ไม่ควรมีอยู่จริง ทุกครั้งที่เขาพยายามจะโฟกัสที่ภาพเหล่านั้น มันก็จางหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่
‘นี่ฉันเป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่า?’ คูเปอร์ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าในยามที่อยู่คนเดียว เสียงกาแฟที่หยดลงในแก้วดังติ๋งๆ เป็นจังหวะ แต่ความคิดของเขากลับวนเวียนอยู่กับภาพประหลาดเหล่านั้น
ด้วยความกังวลใจ เขาตัดสินใจไปพบจิตแพทย์และจักษุแพทย์หลายคน ทั้งจิตแพทย์สาวผู้มีชื่อเสียงในแมนฮัตตัน หลังจากการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด เธอกลับแนะนำให้เขาไปที่ค่ายฮาล์ฟบลัด
เช่นเดียวกับจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีคิวยาวนานหลายเดือน หลังจากตรวจตาอย่างละเอียดและไม่พบความผิดปกติใดๆ กลับพูดถึงค่ายแห่งนั้นเช่นกัน
ความประหลาดใจยิ่งทวีคูณเมื่อไม่กี่วันก่อน ลูกค้าสาวผมทองคนหนึ่งที่แวะมาสั่งมอคค่าร้อน สังเกตเห็นอาการสะดุ้งของคูเปอร์ขณะที่เขามองเห็นเงาประหลาดผ่านหน้าต่างร้าน
"ฉันว่าคุณควรไปที่ค่ายฮาล์ฟบลัด" เธอพูดเบาๆ พลางจ้องมองเขาอย่างมีความหมาย ก่อนจะรีบเดินออกจากร้านไปโดยไม่รอฟังคำตอบ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมประหลาดคล้ายดอกไม้ป่า
เขาตัดสินใจเก็บออมเงินจากการทำงานในร้านกาแฟมาหลายเดือน ในที่สุดก็ไปพบกับดร.อะไรสักอย่าง แพทย์ที่ทางบ้านรู้จักและไว้ใจมาหลายปี ผู้มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านจิตเวชและจักษุวิทยา
ห้องตรวจของดร.อบอุ่นและสงบ ผนังสีครีมประดับด้วยภาพวาดโบราณที่ดูคุ้นตาอย่างประหลาด
คูเปอร์นั่งลงบนเก้าอี้หนังนุ่ม เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมถึงคำแนะนำแปลกๆ ที่ได้รับจากแพทย์คนอื่นและลูกค้าปริศนา ดร.ฟังอย่างตั้งใจ จดบันทึกเป็นระยะ สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงความประหลาดใจหรือกังวลแต่อย่างใด
"ผมคิดว่าคุณน่าจะลองไปที่ค่ายฮาล์ฟบลัดดู" ดร.เอ่ยขึ้นหลังจากการซักถามอันยาวนาน
คูเปอร์ขมวดคิ้ว "ค่ายลูกครึ่งเหรอครับ?" เขาทวนคำพูดอย่างงุนงง "หมอครับ ผมมาปรึกษาเรื่องอาการผิดปกติทางสายตา แล้วทำไมทุกคนถึงแนะนำให้ผมไปค่ายด้วยล่ะครับ?"
ดร.ยิ้มบางๆ ก่อนจะเขียนที่อยู่ลงบนกระดาษโน้ต
"บางทีคำตอบที่คุณต้องการอาจอยู่ที่นั่น"
คูเปอร์รับกระดาษมาอย่างลังเล ในใจนึกสงสัยว่าทำไมทุกคนถึงพูดเป็นเสียงเดียวกัน และทำไมไม่มีใครยอมอธิบายอะไรให้ชัดเจนเลยสักคน
หลังจากวันนั้น เขากลับมาใช้ชีวิตตามปกติ พยายามเมินเฉยต่อภาพประหลาดที่ยังคงปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราว แต่กระดาษโน้ตใบนั้นยังคงอยู่ในกระเป๋าสตางค์ของเขา เหมือนความลับที่รอวันถูกเปิดเผย หรือบางทีอาจเป็นกุญแจที่จะไขความลึกลับทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตของเขา คำพูดของลูกค้าปริศนาคนนั้นยังก้องอยู่ในหัว ราวกับเป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง
กรุ๋ง.. กริ๋ง..
"ไง! มาแล้วเหรอ เจค" คูเปอร์ทักทายเพื่อนร่วมงานที่เพิ่งผลักประตูร้านเข้ามา เสียงกระดิ่งดังกรุ๋งกริ๋งรับการมาถึงของชายหนุ่มในหมวกปีกกว้างสีน้ำตาลที่ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขาไปแล้ว
"อื้ม... เช้าๆ" เจคพึมพำตอบกลับมาเบาๆ พลางเดินอ้อมเคาน์เตอร์มาหยิบผ้ากันเปื้อนของตัวเอง หมวกปีกกว้างยังคงอยู่บนศีรษะเช่นเคย แม้จะอยู่ในร้านที่มีแสงไฟนวลตาและแอร์เย็นฉ่ำ
คูเปอร์เหลือบมองเพื่อนร่วมงานแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปจัดเรียงถ้วยกาแฟต่อ เขาเคยสงสัยเรื่องหมวกใบนั้นอยู่บ้าง แต่ก็เลือกที่จะเคารพความเป็นส่วนตัวของเจค บางที มันอาจจะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะถาม
"วันนี้เมล็ดใหม่มาส่งนะ เป็นอราบิก้าจากโคลอมเบีย หอมมาก ลองชิมดูไหม?" คูเปอร์ชวน พยายามสร้างบรรยากาศให้เป็นปกติ
เจคพยักหน้าเล็กน้อย ปรับหมวกเล็กน้อยตามความเคยชิน
"ดี... ชงให้หน่อยสิ แต่ขอเอสเพรสโซ่ดำๆ เหมือนหมวกฉันเลย" เขาพูดติดตลก มุมปากยกขึ้นนิดๆ
"ได้เลย" คูเปอร์หัวเราะ เริ่มบดเมล็ดกาแฟใหม่ "แต่รับรองว่ารสชาติไม่ดำมืดเหมือนหมวกนายหรอกนะ มีความหวานซ่อนอยู่นิดๆ เหมือนเจ้าของหมวกนั่นแหละ"
เจคส่งเสียงฮึในลำคอ แต่คูเปอร์เห็นรอยยิ้มบางๆ ซ่อนอยู่ใต้ปีกหมวกนั้น บางทีความลึกลับของเจคและหมวกใบนั้นก็เป็นสีสันที่ทำให้การทำงานในร้านกาแฟแห่งนี้น่าสนใจขึ้นมาอีกนิด
ในยามเช้าที่ลูกค้าทยอยเข้ามาใช้บริการ คูเปอร์และเจคต่างแบ่งหน้าที่กันอย่างลงตัว ราวกับการเต้นรำที่ซ้อมมาอย่างดี คูเปอร์รับหน้าที่ชงกาแฟและพูดคุยกับลูกค้า ส่วนเจคจัดการงานด้านหลังเคาน์เตอร์ทั้งหมด เขาเคลื่อนไหวเงียบๆ ใต้หมวกปีกกว้าง คอยเติมเมล็ดกาแฟ ล้างอุปกรณ์ และจัดเตรียมแก้วให้พร้อมใช้
"ลาเต้ร้อนหนึ่งแก้วครับ" คูเปอร์ขานออเดอร์
เจคพยักหน้ารับรู้ มือของเขาเคลื่อนไหวอย่างว่องไวในการหยิบแก้วและจานรองมาวางให้ ก่อนที่จะหันไปจัดการกับเครื่องสตีมนม ไอขาวพวยพุ่งขึ้นมาเบื้องหน้า ทำให้ปีกหมวกของเขามีหยดน้ำเกาะพราว
"เจค ช่วยดูหน้าร้านแป๊บนึงได้ไหม? ผมจะไปเอาของในสต็อก" คูเปอร์ถาม
"อืม..." เจคตอบรับสั้นๆ เขาเลื่อนตัวมายืนตรงจุดรับออเดอร์ ปรับหมวกเล็กน้อยให้พ้นใบหน้า
ลูกค้าสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา "ขอมอคค่าเย็นค่ะ"
"...ครับ" เจคตอบเบาๆ เริ่มจดออเดอร์ลงในแก้วพลาสติก
คูเปอร์แอบยิ้มขณะที่กำลังยกลังนมเข้าร้าน เจคอาจจะไม่ใช่คนช่างพูด แต่เขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ บางครั้งความเงียบของเจคกลับทำให้ลูกค้าบางคนรู้สึกสนใจและกลับมาใช้บริการซ้ำ โดยเฉพาะลูกค้าสาวๆ ที่ดูจะหลงใหลในความลึกลับของชายหนุ่มในหมวกปีกกว้าง
"เสร็จแล้ว กลับมาแล้ว" คูเปอร์วางลังนมลงและรีบกลับมาที่เคาน์เตอร์
เจคถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก ก่อนจะกลับไปยังตำแหน่งเดิมของเขา ที่ซึ่งเขาสามารถทำงานได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องพูดคุยมากนัก
ทั้งสองทำงานประสานกันอย่างลงตัว เสียงเครื่องบดกาแฟ เสียงไอน้ำ และกลิ่นหอมของเมล็ดคั่ว ผสมผสานกันเป็นซิมโฟนีแห่งยามเช้า คูเปอร์เป็นนักดนตรีที่สร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ขณะที่เจคเป็นจังหวะหัวใจที่เต้นเงียบๆ แต่สม่ำเสมอ หล่อเลี้ยงให้ร้านกาแฟแห่งนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น
ยามบ่ายคล้อยผ่านไป แสงสีส้มอ่อนลอดผ่านกระจกร้านเข้ามา คูเปอร์เหลือบมองนาฬิกาที่ผนัง อีกสิบห้านาทีจะถึงเวลาปิดร้าน ลูกค้าเหลือเพียงไม่กี่โต๊ะ บางคนนั่งจิบกาแฟแก้วสุดท้ายของวัน บางคนเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับ
"วันนี้ขายดีนะ" คูเปอร์พูดขึ้นขณะเช็ดเครื่องชงกาแฟ
เจคพยักหน้า มือยังคงง่วนอยู่กับการจัดเรียงถ้วยที่ล้างเสร็จใหม่ "อืม... โดยเฉพาะตอนเที่ยง" เขาตอบสั้นๆ
"นายสังเกตไหม ลูกค้าคนที่สั่งคาปูชิโน่สามแก้วติด?" คูเปอร์หัวเราะเบาๆ
"ดูเหมือนเธอจะมาดูนายมากกว่ามาดื่มกาแฟนะ"
เจคชะงักมือนิดหนึ่ง ปีกหมวกก้มต่ำลงจนบังใบหน้าเกือบมิด "...ไม่ได้สังเกต"
คูเปอร์ยิ้มขำๆ ก่อนจะหันไปเปลี่ยนป้ายหน้าร้านเป็น "ปิดร้าน"
ลูกค้าโต๊ะสุดท้ายทยอยลุกขึ้นจ่ายเงินและเดินออกไป เสียงกระดิ่งดังกริ๊งเป็นครั้งสุดท้ายของวัน
"เดี๋ยวผมเช็ดโต๊ะเอง นายทำความสะอาดเครื่องชงต่อเถอะ"
คูเปอร์บอกพลางคว้าผ้าเช็ดโต๊ะ
เจคเงียบไปครู่หนึ่ง "...ขอบคุณ" เขาพูดเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟอย่างพิถีพิถัน
เสียงดนตรีเบาๆ จากลำโพงร้านยังคงเล่นอยู่ ผสานกับเสียงน้ำไหลและเสียงถ้วยชามกระทบกันเบาๆ คูเปอร์เช็ดโต๊ะไปพลางฮัมเพลงไปพลาง ขณะที่เจคทำงานของเขาอย่างเงียบๆ เหมือนเคย
"เสร็จแล้ว" คูเปอร์วางผ้าเช็ดโต๊ะลง "จะกลับพร้อมกันไหม?"
เจคส่ายหน้าเบาๆ "ขออยู่ต่ออีกนิด... ต้องเช็คสต็อก"
"โอเค งั้นผมไปก่อนนะ" คูเปอร์ถอดผ้ากันเปื้อนและหยิบกระเป๋า "พรุ่งนี้เจอกัน"
"...อืม แล้วเจอกัน" เจคตอบ ยังคงยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ หมวกปีกกว้างสีน้ำตาลยังคงอยู่บนศีรษะเช่นเคย
คูเปอร์เดินออกจากร้าน ทิ้งให้เจคอยู่กับความเงียบและแสงสุดท้ายของวัน เขาแอบสงสัยว่าทำไมเจคชอบอยู่ในร้านคนเดียวหลังเลิกงาน และทำไมถึงไม่เคยถอดหมวกใบนั้น แต่บางทีความลับบางอย่างก็ควรปล่อยให้เป็นความลับต่อไป เพราะมันทำให้ชีวิตน่าสนใจขึ้นมาอีกนิด เหมือนรสชาติแปลกใหม่ในแก้วกาแฟที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อน
|