ประวัติตัวละคร
คูเปอร์ โจนส์ ชายหนุ่มเชื้อสายฝรั่งเศส-อเมริกัน เด็กกำพร้าที่ถูกอุปการะโดยคู่สามีภรรยานักวิชาการ เขาไม่ทราบว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาคือใคร แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรกับคูเปอร์มากนัก สิ่งหนึ่งที่ทั้งเจมส์และมาเรียบอกก็คือ คูเปอร์ไม่ใช่เด็กที่ถูกทอดทิ้ง แม้เขาจะไม่ได้ปักใจเชื่อเต็มร้อยแต่อย่างน้อยกว่าก็ดีกว่าเก็บเอามาเป็นปมความทุกข์ในใจ
คูเปอร์เติบโตในบ้านหลังเล็กสไตล์วิคตอเรียนอายุกว่าร้อยปี ในย่านที่อยู่อาศัยเก่าแก่ของพอร์ตแลนด์ บ้านที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ ด้วยชั้นหนังสือไม้โอ๊คที่ทอดตัวจากพื้นจรดเพดาน โบราณวัตถุจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่วางประดับอยู่ทั่วบ้าน และกลิ่นหอมของขนมอบสูตรฝรั่งเศสโบราณที่มาเรีย แม่บุญธรรมของเขามักจะอบในวันหยุดสุดสัปดาห์
ชีวิตในวัยเด็กของคูเปอร์เต็มไปด้วยเรื่องเล่าจากประวัติศาสตร์และตำนานโบราณที่พ่อบุญธรรมของเขา ศาสตราจารย์เจมส์ โจนส์ มักจะเล่าให้ฟังในยามค่ำคืน เสียงทุ้มนุ่มของพ่อที่เล่าเรื่องราวของวีรบุรุษและราชินีในอดีต กลายเป็นเสียงกล่อมที่ทำให้จินตนาการของเด็กชายเบ่งบาน
ตั้งแต่อายุ 12 ปี คูเปอร์เริ่มเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น และเผชิญกับเหตุการณ์เฉียดตายหลายครั้ง แต่เขาไม่เคยกล้าบอกใคร เพราะทุกครั้งที่มีคนอื่นอยู่ด้วย พวกเขามักเห็นเหตุการณ์ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป ราวกับมีม่านหมอกบางอย่างบดบังความจริง
พวกเขามักจะเห็นเหตุการณ์ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป อุบัติเหตุธรรมดา เหตุบังเอิญ หรือความเข้าใจผิด ราวกับมีมนต์บางอย่างที่ทำให้พวกเขาเห็นในสิ่งที่พวกเขาเข้าใจได้
ในวัยเรียน คูเปอร์เป็นเด็กที่เงียบขรึม ชอบใช้เวลาว่างอยู่ในห้องสมุด ผลการเรียนของเขาอยู่ในระดับปานกลาง ยกเว้นวิชาประวัติศาสตร์และวรรณคดีที่เขามักจะได้คะแนนดีเป็นพิเศษ ความหลงใหลในเรื่องเล่าและการเล่าเรื่องที่ซึมซับมาจากพ่อ ค่อยๆ หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนช่างฝัน ชอบจินตนาการถึงตัวเองในบทบาทต่างๆ
จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตเกิดขึ้นในปีสุดท้ายของมัธยมปลาย เมื่อครูสอนการละครชักชวนให้เขาลองแสดงในละครเวทีของโรงเรียน เรื่อง "A Midsummer Night's Dream" คูเปอร์ได้รับบทพัค (Puck) ตัวตลกแห่งป่า การที่ได้สวมบทบาทเป็นผู้อื่น ได้เล่าเรื่องผ่านการแสดง ทำให้เขาค้นพบความหลงใหลที่แท้จริง เสียงปรบมือกึกก้องในคืนการแสดงรอบปิดการแสดง กลายเป็นเสียงที่ดังก้องในความทรงจำและผลักดันให้เขาตัดสินใจเลือกเส้นทางสายศิลปะการแสดง
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของคูเปอร์เต็มไปด้วยการค้นหาและพัฒนาตัวเอง เขาทุ่มเทให้กับการเรียนและการแสดงละครเวทีของมหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่ ทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านหนังสือเก่าในวันหยุด และใช้เวลาว่างไปกับการฝึกฝนทักษะการแสดง ทั้งการเข้าเวิร์กช็อป การดูละครเวที และการอ่านบทละครคลาสสิกมากมาย
ความสามารถบนเวทีของคูเปอร์โดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในบทที่ต้องการความลึกซึ้งทางอารมณ์ อาจารย์หลายท่านกล่าวว่าเขามีพรสวรรค์ในการเข้าถึงแก่นแท้ของตัวละคร ราวกับว่าเขาเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้อย่างลึกซึ้งโดยสัญชาตญาณ
หลังจบการศึกษาในปี 2021 ด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง คูเปอร์ตัดสินใจทำในสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นความเสี่ยง ย้ายจากพอร์ตแลนด์มาลอสแองเจลิส ด้วยเงินเก็บจากการทำงานพาร์ทไทม์และเงินที่พ่อแม่ให้มาเป็นทุนตั้งต้น แม้ครอบครัวจะเป็นห่วง แต่ก็เข้าใจและสนับสนุนความฝันของเขา
ช่วงแรกในลอสแองเจลิสเต็มไปด้วยความท้าทาย คูเปอร์ต้องนอนบนโซฟาที่บ้านของรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยเดียวกันเป็นเวลาสองเดือน ใช้ชีวิตอย่างประหยัดที่สุด พยายามปรับตัวกับจังหวะชีวิตอันเร่งรีบของเมืองใหญ่ที่ไม่เคยหลับใหล และความโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนนับล้าน
หลังจากส่งประวัติและพอร์ตโฟลิโอไปยังตัวแทนนักแสดงนับสิบแห่ง เขาได้เซ็นสัญญากับเอเจนซี่ขนาดเล็กที่รับดูแลนักแสดงหน้าใหม่ ระหว่างรอโอกาสในการออดิชั่น คูเปอร์ได้งานเป็นบาริสต้าที่ร้านกาแฟเก่าแก่ในย่านเวสต์ฮอลลีวูด ร้านที่ตั้งอยู่ในตึกอิฐสีน้ำตาลอายุกว่าร้อยปี ภายใต้เงาของโรงละครเก่าแก่ที่ปิดตัวลงนานแล้ว
ชีวิตของเขาเริ่มลงตัวขึ้นเมื่อได้ย้ายเข้าอพาร์ตเมนต์เก่าในย่านที่พอจะจ่ายค่าเช่าไหว แบ่งห้องกับนักดนตรีสองคนที่กำลังไล่ตามความฝันเช่นเดียวกับเขา วันๆ หมดไปกับการชงกาแฟ การออดิชั่น และการฝึกซ้อมการแสดงในสตูดิโอเล็กๆ ที่จ่ายค่าเรียนด้วยเงินเดือนอันน้อยนิด
ที่ร้านกาแฟ เขาเริ่มสังเกตเห็นลูกค้าบางคนที่ดูผิดแปลกไปจากคนทั่วไป บางคนสูงเกินปกติ บางคนมีดวงตาที่เปล่งประกายผิดธรรมชาติ
บางที การมาถึงลอสแองเจลิสของเขา อาจทำให้คูเปอร์เจอเรื่องไม่คาดฝันที่จะเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาลก็ได้