I
14 NOV 2024 — ᴾᴹ03:24
ชายป่าแห่งหนึ่งในทรานส์นีสเตรีย
“วิตนั่นมันตัวอะไร?”
ภาพที่ฉันมองเห็นผ่านไรเฟิลสโคปแทนที่จะเป็นกวางหรือหมูป่าสักตัว กลับเป็นสัตว์ประหลาดที่มีท่อนบนเป็นมนุษย์ส่วนท่อนล่างเป็นม้า บางทีอาการนอนไม่หลับในช่วงหลายวันที่ผ่านมา จากการที่พระอาทิตย์ไม่ตกดินมาเป็นระยะเวลาราวหนึ่งเดือนเศษจะทำให้ประสาทตาของฉันพร่ามัว ลองขยี้ตาแล้วกลับมามองในสโคปทว่าภาพดังกล่าวยังคงเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน
“เธอเห็นอะไร?” เสียงบุรุษด้านหลังโต้ตอบฉัน วิตาลี โปรโว หรือคนที่ฉันเรียกว่า วิต เขาคือคู่หูออกล่าในตำแหน่งของพลชี้เป้า แม้ไม่ได้หันกลับไปมองแต่ฉันมั่นใจว่าอีกฝ่ายกำลังสอดส่องสายตาผ่านเลนส์กล้องส่องทางไกลเป็นแน่ “ไม่เห็นมีอะไรนี่”
เพียงแค่ได้ยินคำตอบก็ทำให้หัวคิ้วของฉันขมวดเข้าหากันยิ่งกว่าเดิม จะไม่มีอะไรได้ยังไงในเมื่อภาพตรงหน้ายังคงปรากฏชัดอยู่ในเลนส์ ปลายนิ้วที่แตะอยู่บนไกปืนลังเลที่จะลั่นไกสู่เป้าหมาย จากหลักสูตรที่เรียนรู้มา หากเป้าหมายยังไม่ถูกยืนยัน ไม่ทราบชัดว่าคืออะไร ให้สังเกตการณ์จนกว่าจะแน่ใจ ห้ามลั่นไกออกไปโดยพลการอย่างเด็ดขาดหากไม่ได้รับคำสั่งมาจากพลชี้เป้า มิเช่นนั้นข้าศึกอาจรู้ตัวและทราบแหล่งหลบซ่อนของพลแม่นปืนได้ ในตอนนี้หากวิตาลีบอกให้ฉันยิง ฉันก็พร้อมที่จะล้มเจ้าตัวประหลาดนั่นลงภายในพริบตา
“สนใจนั่นดีกว่า สิบนาฬิกา ที่ข้างหน้าสี่ร้อยเมตร อย่าลืมคำนวนค่าแรงต้านด้วยนะเอส”
“รับทราบ”
ฉันตอบกลับก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปตามทิศทางดังกล่าวที่คู่หูบอก ตรงนั้นมีกวางตัวใหญ่กำลังเดินเยื้องย่างอยู่บนพื้นหญ้าท่ามกลางแมกไม้โดยหารู้ไม่ว่ามีนักล่าจากระยะไกลเตรียมลั่นไกล่าสังหาร ฉันเล็งศูนย์กลางไปที่บริเวณอกของมัน หากไร้ข้อผิดพลาดกระสุนนัดนี้จะยิงตัดขั้วหัวใจของมันและล้มกวางตัวนั้นลงได้ทันที แต่หากพลาดเป้ากระสุนนัดที่สองก็พร้อมจะพุ่งตรงไปยังสมอง
“ยิง”
ปัง!
ทันทีที่วิตาลีสั่งฉันก็แตะไกปืนในทันที กระสุนสังหารพุ่งแหวกกระแสลมจนเกิดเสียงตัดอากาศ ไม่ทันที่เหยื่อจะทันได้สะดุ้งตัวโลหะแหลมคมก็พุ่งตรงตัดขั้วหัวใจกวางตัวใหญ่จนล้มลง ฉันมองภาพทั้งหมดด้วยอารมณ์เยือกเย็น ไม่ได้สนุกกับการเข่นฆ่า พวกเราแค่ออกล่าเพื่ออาหาร มันคือหนึ่งในภารกิจ
เสียงชมเชยของวิตาลีดังขึ้นพร้อมกับมือใหญ่แตะลงที่บ่า “เป้าหมายล้มแล้ว เก่งมากเอส เธอไม่เคยต้องยิงซ้ำเลยสักครั้ง”
ฉันไม่ได้สนใจคำชมนั้นเท่าไรแต่รีบส่องกล้องกลับไปยังทิศทางเดิมที่มีสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งม้าเดินอยู่ ทว่า… มันหายไปแล้ว
“ลงไปเอาอาหารเย็นกัน จะได้กลับค่ายกันสักที”
ชายหนุ่มผมดำเอ่ยบอกพร้อมกับตบบ่าฉันทีนึง จากนั้นพวกเราก็ลงจากห้างที่ขัดไว้อย่างเรียบง่ายบนต้นไม้ใหญ่ หอบหิ้วเอาไรเฟิลล่าสัตว์เดินเข้าป่าไปในทิศทางที่ล้มกวางตัวเมื่อกี้มาได้ กวางป่าทั้งตัวใหญ่ทั้งหนักอึ้ง แต่ทั้งสองก็ใช้ไม้คานสอดหามมันขึ้นบนบ่าโดยไม่มีใครปริปากบ่น การออกล่าอาหารจากในป่าเป็นเรื่องปกติของพวกเรา และมันค่อนข้างสบายกว่าการได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจอย่างอื่นที่มีความสำคัญมากกว่านี้…
.
.
.
ᴾᴹ05:35
ค่ายกลุ่มต่อต้านฯ เมืองทีรัสปอล
กวางที่ล่ามาถูกส่งไปยังโรงครัวเพื่อทำอาหารหล่อเลี้ยงเด็ก ๆ ทั้งค่าย แม้ว่ากวางจะตัวใหญ่จนคนทั้งสองแบกหามกันจนหอบ แต่เมื่อนำเนื้อที่ได้มาปรุงอาหารและแจกจ่ายแล้ว กลับเหลือชิ้นเนื้อให้รับประทานเพียงน้อยนิด และเมนูที่แม่ครัวรังสรรค์ออกมาก็ไม่มีอะไรวิเศษวิโสมากไปกว่าสตูว์เนื้อกวาง หรือไม่ก็สปาเก็ตตี้มีตบอลเนื้อกวาง
ค่ายเราควรเลี้ยงไก่
ใครบางคนเคยเสนอความคิดนี้ ทว่าค่ายของกลุ่มต่อต้านฯ มีพื้นที่ไม่มากพอสำหรับการทำปศุสัตว์ ไก่ที่ใครสักคนพยายามเลี้ยงให้ผลผลิตได้เพียงแค่ไข่ไก่ซึ่งเพียงพอบ้างไม่พอบ้างแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีกิน
อันที่จริงพวกเราไม่ได้ยากจนข้นแค้นขนาดนั้น แต่ค่ายต่อต้านฯ จำเป็นต้องปิดบังตัวเองเป็นความลับ หากไม่ได้ไปเพื่อภารกิจพวกเราจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก เสบียงอาหารจะถูกส่งจากบ้านใหญ่ของท่านผู้นำกลุ่มเข้ามาในค่ายเดือนละครั้ง มันเพียงพอต่อความต้องการ แต่ก็แค่เพียงพอให้มีชีวิตรอด เนื้อสัตว์ที่ถูกส่งมาเพียงพอแค่ในช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ หลังจากนั้นชาวค่ายจะต้องผลัดเวรและออกล่ากันเอาเองหากไม่อยากจะรับประทานเพียงแค่สตูว์ผักกับขนมปังแข็ง ๆ
“...แต่วันนี้มีเค้ก?”
“ใช่ วันนี้วันเกิดของทาช่าน่ะ”
เสียงสนทนาในครัวดึงความสนใจจากฉันได้นิดหน่อย ในหัวประมวลนึกถึงหน้าเจ้าของชื่อ ทาช่าเป็นเด็กสาวอายุมากกว่าฉันสองปี เราไม่ค่อยได้พูดคุยกันเท่าไรแต่รู้สึกว่าเธอจะเป็นคนดี ยังจำได้อยู่เลยตอนที่พวกเรารู้จักกันแรก ๆ เธอพยายามชวนฉันคุยด้วยเรื่องอะไรบางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ
เธอชอบดาราคนไหนเหรอ? อาหารจานโปรดล่ะ? ฉันเห็นกระโปรงลายสก็อตในเมืองน่ารักมาก อยากใส่แบบนั้นบ้างจัง …อะไรทำนองนี้
ฉันแทบจะไม่ได้ดูโทรทัศน์นอกไปจากข่าวที่เปิดในช่วงเย็น ผู้ประกาศข่าวถือว่าเป็นดาราได้ไหม? ถ้าใช่ฉันคงชอบ คูเทีย เนียกรือ มั้ง
อาหารจานโปรดไม่มี ฉันไม่เรื่องมาก กินได้ทุกอย่าง
กระโปรง.. เครื่องแต่งกายแบบนั้นไม่เหมาะสำหรับการทำภารกิจ
คำตอบของฉันทำเอาทาช่าเหวอไป แล้วหลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ค่อยมาชวนฉันคุยอีก เพียงแค่ทักทาย อรุณสวัสดิ์ และราตีสวัสดิ์ ตอนที่เราเดินสวนกันในห้องน้ำหรือไม่ก็ในโรงอาหาร
“แต่เธอโชคร้ายชะมัดดันต้องออกไปทำภารกิจในวันเกิดซะได้”
“งั้นเค้กก็รอทาช่ากลับมาค่อยเอาออกมาฉลองให้กับเธอแล้วกัน”
“อื้ม ตามนั้น”
แล้วฉันก็ไม่ได้สนใจบทสนทนาเหล่านี้อีก ปลีกตัวออกมากลับที่พักล้างเนื้อล้างตัวสักหน่อย ฉันไม่ชอบเวลาที่กลิ่นคาวเลือดเปรอะตามตัว แต่ก็ทำใจยอมรับมันได้จนกว่าภารกิจจะสิ้นสุด
ตารางงานวันนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าฝึกซ้อมช่วงเช้า ออกล่าช่วงบ่าย และอ่านหนังสือในตอนเย็น ฉันต้องทำใจนิดหน่อยก่อนจะหยิบหนังสือสนทนาภาษาอังกฤษขึ้นมาเรียนรู้บทสนทนาใหม่ ๆ ตัวหนังสือที่ลอยล่องอยู่บนหน้ากระดาษทำให้ฉันปวดตาจนเพ่งมองเนิ่นนานไม่ได้ แต่ก็ยังจะพอฝืนอ่านมันต่อได้เพราะเนื้อหาในนั้นแตกต่างจากวิถีชีวิตที่ฉันอยู่
ฉันได้เรียนรู้ว่า เด็ก ๆ ในประเทศโลกเสรีจะไปโรงเรียนวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เด็กผู้ชายเล่นฟุตบอล บาสเก็ตบอล ส่วนเด็กผู้หญิงเล่นบ้านตุ๊กตา
ปลายนิ้วลูบสัมผัสบนหน้ากระดาษพิมพ์สี นี่หรือเปล่านะกระโปรงลายสก็อตแบบที่ทาช่าอยากใส่ มันเหมาะจริง ๆ กับเด็กผู้หญิงที่เล่นบ้านตุ๊กตา แต่ไม่ใช่กับทหารเด็กอย่างเช่นพวกเรา
การต่อสู้ของพวกเราจะทำให้มอลโดวาไม่ถูกรัสเซียครอบครอง… ท่านอาคีม ผู้นำกลุ่มต่อต้านฯ บอกกับเราไว้อย่างนั้น
กลุ่มต่อต้านรัสเซียแห่งทีรัสปอล หรือชื่อที่เคยได้ยินจากข่าวว่า กลุ่มกบฏทีรัสปอล เป็นสถานที่รวบรวมกลุ่มคนผู้ไม่ต้องการให้มอลโดวาถูกรัสเซียครอบครองและกลับไปมีสถานะตกต่ำเฉกเช่นเมื่อยังมีสหภาพโซเวียต
จากบทเรียนประวัติศาสตร์ที่อ่านยากแสนยากบอกว่าเมื่อครั้งที่มอลโดวาเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ประชาชนถูกบังคับให้ทำนารวม ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ต้องอาศัยสวัสดิการรัฐจัดสรรอย่างเท่าเทียม ซึ่งไม่ใช่ความเท่าเทียมอย่างแท้จริง ประชาชนผู้ถูกบังคับให้ทำนาได้รับส่วนแบ่งเป็นอาหารเพียงน้อยนิด ตรงกันข้ามกับชนชั้นปกครองที่มีชีวิตกินอยู่อย่างสุขสบาย เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย มอลโดวาจึงประกาศตนเป็นเอกราช ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่คนในชาติมีสิทธิเสรีภาพในการใช้ชีวิตและประกอบอาชีพ ไม่ต้องหวังพึ่งพิงเศษอาหารที่ชนชั้นปกครองโยนลงมาให้
ทว่าเมื่อไม่กี่ปีมานี้รัสเซียได้ขยายอำนาจและทำท่าจะรุกรานประเทศในกลุ่มอดีตสหภาพโซเวียตอีกครั้ง ประเทศแรกที่โดนคือยูเครนที่มีชายแดนติดกับทีรัสปอล หรือแม้แต่ทีรัสปอลเองก็ถูกอำนาจของรัสเซียครอบงำยุยงปลุกปั่นจนพยายามประกาศแยกตนออกจากมอลโดวา ทว่ายังมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยอย่างกลุ่มต่อต้านฯ ที่คอยส่งกองกำลังช่วยเหลือยูเครนหรือแม้กระทั่งต่อต้านรัฐอยู่ลับหลัง
คนในค่ายจึงมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เด็ก ๆ อย่างเราส่วนมากถูกรับมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เมื่อโตขึ้นมาจะถูกฝึกฝนให้ใช้อาวุธ ให้ได้เรียนรู้ภาษาและวิชาการทหารเพื่อเป็นกำลังแก่กลุ่มต่อต้านต่อไป
ถ้าเราไม่ถูกครอบครอง ก็ไม่ต้องต่อสู้อีกต่อไป แล้วเด็กผู้หญิงทุกคนก็คงจะสวมชุดกระโปรงได้โดยไม่ต้องใส่กางเกงและสะพายปืนไปทำภารกิจลอบสังหาร ในจุด ๆ นี้ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวเองที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของค่ายต่อต้านฯ ต่อสู้เพื่อนำความหวังมาสู่ทุกคน
แต่ก่อนอื่นนั่น… ฉันต้องต่อสู้กับตัวหนังสือที่อ่านยากเหล่านี้เสียก่อน
.
.
.
ᴾᴹ07:00
อาหารเย็นของวันเป็นสูตว์กวางกับขนมปังแข็ง ๆ เดาไม่ผิดเลยจริง ๆ ว่าต้องเป็นเมนูนี้ราวกับว่าแม่ครัวทำเป็นอยู่เมนูเดียว
ไม่มีอย่างอื่นนอกจากสูตว์เนื้อกับสปาเก็ตตี้มีตบอลแล้วเหรอไง?
ใครบางคนเคยตั้งคำถาม ส่วนแม่ครัวก็ตอบว่า
ทำเป็นสิ ทำเป็น แต่สตูว์เนื้อมันคำนวนวัตถุดิบง่ายดีนี่นา ถ้าอยากได้สเต็กก็ไปล่ากวางหรือหมูป่ามาอีกห้าตัวสิ
สเต็กเหรอ.. ฉันเคยกินมันตอนที่วิตาลีพาออกไปทำภารกิจครั้งนึง เนื้อชิ้นใหญ่ถูกย่างจนหอมราดด้วยซอสเกรวี่ มันอร่อยมากแม้วิตาลีจะบอกว่าร้านนี้เป็นแค่ร้านข้างทางราคาถูก ตรงกันข้ามกับสตูว์เนื้อที่ตักขึ้นมามีแต่แคร์รอตกับมันฝรั่งลิบลับ แต่ฉันเป็นคนกินง่ายไม่เรื่องมาก แน่นอนว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรกับสตูว์ไร้เนื้อของแม่ครัวอยู่แล้ว
ฉันรับประทานอาหารเย็นจนหมด แต่จนแล้วจนรอดเจ้าของวันเกิดอย่างทาช่าก็ยังไม่กลับมา บางทีเค้กที่ได้ยินแม่ครัวคุยกันตอนเย็นเราอาจจะได้กินมันพรุ่งนี้หรือไม่ก็วันมะรืนก็ได้ ฉันคาดหวังนิดหน่อยเพราะนานทีจะได้กินขนมหวาน
หลังมื้อเย็นฉันตรงไปที่ประจำ มันคือซากรถถังขึ้นสนิมที่ตั้งอยู่หลังค่าย ตอนปีนขึ้นไปต้องระวังเหล็กบาดนิดหน่อยแต่ว่าฉันไม่เคยพลาด ที่นี่เงียบสงบและเปิดโล่งทำให้สายลมพัดผ่านเย็นสบาย เหมาะอย่างยิ่งกับการดูดาว เมื่อพรูลมหายใจออกมากลายเป็นไอสีขาวลอยฟุ้งไปทั่ว กระนั่นฉันชินกับอากาศของภูมิภาคบ้านเกิดไปเรียบร้อยแล้วจึงไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นเสียเท่าไร
หากเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ตอนนี้ท้องฟ้าคงเต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราว ไม่ใช่ดวงตะวันที่ไม่เคยลับฟ้า
จะว่าไป… ฉันก็เริ่มเห็นอะไรประหลาด ๆ เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเช่นกัน บางครั้งตอนออกลาดตระเวนหรือล่าสัตว์ก็มักจะเห็นสัตว์ประหลาดอยู่ในป่าด้วยเสมอ วัวประหลาดถือค้อนยืนสองขา สิงโตที่ตัวใหญ่เท่าช้าง มังกรที่มีสิบหัว และล่าสุดก็คือ คนที่มีตัวเป็นม้า พอไปหาหมอที่ห้องพยาบาลก็ได้รับการวินิจฉัยว่าฉันน่าจะตาพร่าจากการพักผ่อนน้อยเกินไป
คงเป็นแบบนั้นแหล่ะ เพราะว่ามีแค่ฉันคนเดียวที่เห็นภาพเหล่านั้นผ่านสโคปแต่คู่หูกลับไม่เห็นมันเลยสักครั้ง หวังว่าอาการป่วยของฉันจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำภารกิจ…
กระนั้นการที่พระอาทิตย์สว่างตลอดวันคือเรื่องจริงที่ทุกคนในค่ายประสบ ซึ่งแสงสว่างไร้เงามืดกระทบต่องานลอบเร้นของกลุ่มต่อต้านเข้าเต็ม ๆ
“เด็กโดดอ่านหนังสือมาอยู่ตรงนี้นี่เอง”
เสียงเรียกทักจากด้านล่างทำให้ฉันรีบหันลงไปมอง คนที่ยืนอยู่เป็นชายหนุ่มผมดำที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี วิตาลีนั่นเอง การมาถึงของคู่หูไร้สุ้มเสียงสมกับที่เป็นอดีตมือสังหารฝีมือดีที่สุดของกลุ่ม
“เปล่า ฉันแค่มาดูดาวแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับไปอ่านต่อ”
“ดาว ไหนดาว?” ชายหนุ่มขยับยิ้มที่มุมปากก่อนจะแหงนหน้ามองฟ้าด้วยท่าทางล้อเลียน “รู้ว่าเธอจะมาอยู่นี่เลยเอาตำรามาให้ ได้เวลาท่องศัพท์แล้วคุณหนู”
คำพูดของอีกฝ่ายทำเอาฉันเผลอกลอกตา รู้สึกตัวอีกทีร่างสูงโปร่งของคู่หูก็ปีนขึ้นมานั่งบนรถถังเคียงข้างกันแล้ว หนังสือคำศัพท์ภาษาอังกฤษถูกยัดใส่มือ ฉันจำใจรับมันมาเปิดอ่านต่อจากที่เรียนรู้ครั้งที่แล้ว
“เรียนภาษา เรียนเองคนเดียวไม่ได้หรอก เธอต้องมีคู่สนทนา แล้วก็ต้องได้ใช้งานจนชินปากด้วย”
“เข้าใจแล้ว”
แล้วบทเรียนนอกเวลาก็เริ่มต้นขึ้น ถ้าไม่ต้องอ่านหนังสือไม่ว่าอะไรฉันก็ทำได้หมด ไม่เว้นแม้แต่การต่อบทสนทนาภาษาอังกฤษ
“หืม แอบไปซุ่มเรียนมาหรือเปล่าเนี่ย เธอก็พูดได้คล่องนะ ไหงไม่ชอบการอ่าน”
“นายไม่อยากอ่านหนังสือที่ตัวหนังสืออ่านไม่ได้หรอก”
ฉันแค่นหัวเราะพ่นลมออกทางจมูก ในค่ายคงมีแค่ฉันเท่านั้นมั้งที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นดิสเล็กเซีย เป็นเรื่องโชคร้ายที่ช่วยไม่ได้ จำใจต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต
ใช่.. ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
.
.
.
15 NOV 2024 — ᴬᴹ08:17
ค่ายกลุ่มต่อต้านฯ เมืองทีรัสปอล
กิจวัตรยามเช้าทุกวันคือการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงพร้อมรับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น คงเหมือนค่ายทหารทั่วไปที่ต้องตื่นขึ้นมาวอร์มร่างกาย จ๊อกกิ้งรอบค่าย ฝึกฝนพละกำลังจากการปีนป่าย เรียกเหงื่อได้นิดหน่อย ก่อนจะถูกปล่อยให้แยกย้ายกันไปรับประทานอาหารเช้า ทางเดินที่ต้องผ่านในวันนี้ฉันเห็นผู้ใหญ่หลายคนกำลังยืนมุงแท่นไว้อาลัยกันอยู่ หลายคนร้องไห้ ที่ไม่ร้องก็ปราศจากรอยยิ้ม รู้ได้ทันทีว่าเมื่อคืนมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ชื่อของมันคือ แท่นไว้อาลัย นี่นา
เมื่อเหล่าผู้คนไว้อาลัยผู้จากไปกันเสร็จก็ถึงคราวของฉันที่เดินเข้าไป
แท่นไว้อาลัยเป็นโต๊ะที่ชาวค่ายจัดขึ้นเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้ที่เพิ่งจากไป เทียนสีขาวถูกจุดขึ้นรายรอบแท่นที่ประดับไปด้วยดอกไม้ที่มีทั้งสดและแห้ง ตัวโต๊ะปูด้วยผ้าสีขาวสะอาดตาที่เปรอะไปด้วยน้ำตาเทียนนิดหน่อย ใจกลางนั้นคือรูปภาพของผู้ที่จากไป ทั้งก่อนหน้าและล่าสุด สายตาของฉันมองผ่านรูปภาพเหล่านั้น ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บางคนเคยพูดคุยสนทนา บางคนไม่เคยรู้จัก จนมาสะดุดอยู่ที่ภาพหนึ่ง ภาพของหญิงสาวผมสั้นสีน้ำตาลแดง เธอคลี่ยิ้มสดใสราวกับดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยดับ
หัวใจวูบไหวทุกครั้งเมื่อรู้ว่าผู้ที่จากไปคือคนรู้จัก
ดวงตาของฉันมองไปที่เค้กปอนด์ที่คุ้นตาอยู่เบื้องหน้ารูปถ่าย มันยิ่งทำให้ฉันต้องข่มตัวเองด้วยการเม้มปาก กว่าจะแค่นวลีออกมาทำได้อย่างยากเย็นเหมือนในลำคอมีจุกก็อกขวางไว้อยู่
“สุขสันต์วันเกิด… ทาช่า”
นี่คือถ้อยคำไว้อาลัยแก่เจ้าของวันเกิดผู้ที่ไม่มีวันได้กลับมา