-18.01.25 / 07:00AM.-
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
แล้วก็มาถึงวันออกเดินทาง
หลังจากเมื่อคืนตรวจตราสัมภาระว่าไม่ลืมอะไรแน่ ๆ แล้วแมคเคนซีก็เข้านอน ทั้งที่ตั้งใจว่าจะหลับเอาแรงเพื่อให้พร้อมสำหรับการเดินทางไกลแล้วแท้ ๆ แต่อาจเป็นเพราะความตื่นเต้นหรือความกังวลลึก ๆ ภายในใจก็ตามแต่ เขาจึงได้แค่นอนมองหน้าดีนที่หลับไปก่อนหลายชั่วโมงเพียงเงียบ ๆ กว่าจะข่มตาลงได้ก็เล่นเอานานอยู่เหมือนกันจนแทบลืมตื่นในตอนเช้าหากไม่ได้นาฬิกาปลุกจากมือถือของคนรักช่วยเอาไว้
เมื่อออกมาจากบ้านหมายเลข 20 ดีนขอแยกไปคอกม้าเพื่อไปหาเพกาซัสนามว่า ‘ควีน’ ซึ่งเจ้าตัวไปจับมาได้เมื่อตอนพวกเขาไปลอนดอนด้วยกัน อันที่จริงเรียกว่าจับก็ไม่ถูก จากที่ดีนเคยเล่าให้ฟังว่าไปช่วยทำแผลให้เพกาซัสตัวนั้นแล้วยื่นข้อเสนออะไรสักอย่างที่น่าสนใจให้ ม้าสาว (?) จึงได้ตกลงปลงใจบินจากเมืองหลวงอังกฤษมาถึงลองไอแลนด์และเลิกพยศ ยอมเป็นม้าเลี้ยงของดีนในคอกแต่โดยดี
เดมิก็อดหนุ่มบุตรแห่งเฮคาทีหอบกระเป๋าสัมภาระมารอตรงจุดนัดพบที่บริเวณประตูทางเข้าค่าย เวลานี้นอกจากเขาแล้วก็ยังไม่มีใครมา ดวงตาสีฮาเซลมองรอบ ๆ จนกระทั่งมาหยุดที่รูปปั้นอะธีน่า พาร์เธนอน ตัวแทนเทพีอะธีน่าสัญลักษณ์แห่งความเฉลียวฉลาดและไหวพริบ และหากจำไม่ผิดจากหนังสือที่เขาเคยอ่าน เทพีผู้ชาญฉลาดยังถือเป็นนักรบที่กล้าหาญด้วย ซึ่งเรื่องนี้แมคเคนซีได้เห็นมากับตาตนเองแล้วเมื่อช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา รูปปั้นตรงหน้าเขาต่อสู้กับเทพโลกิที่ชักนำฝูงอสุรกายมาบุกค่ายอย่างไม่หวั่นเกรง
“อรุณสวัสดิ์ครับเทพีอะธีน่า…”
นึกแปลกใจตนเองเหมือนกันที่อยู่ ๆ ก็ทักทายรูปปั้น แต่อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาเริ่มพูดคุยกับมารดาผ่านประติมากรรมที่บ้านและส่งของผ่านเตาผิงที่โรงอาหารบ่อยขึ้นจึงไม่ได้รู้สึกกระดากที่ต้องสนทนาคนเดียวเหมือนแต่ก่อน
“ถึงจะผ่านมาได้เกือบเดือนแล้วแต่ผมยังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย ขอบคุณนะครับที่ช่วยปกป้องค่ายและทุกคนในฮาล์ฟบลัดเมื่อช่วงสิ้นปีไว้ สงครามวันนั้นหนักหนามากจริง ๆ หากไม่ได้ท่านคอยช่วยต่อสู้กับเทพโลกิ เหตุการณ์อาจย่ำแย่กว่านี้ก็ได้…”
“แล้วก็ขอบคุณที่คอยช่วยดูแลปกป้องค่ายฮาล์ฟบลัดมาตลอดนะครับ ความเก่งและกล้าหาญของท่านน่านับถือมากทีเดียว หากว่าผมในตอนนี้มีความกล้ามากกว่านี้ก็คงดี…”
ถอนหายใจออกมาบาง ๆ แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้สบายใจขึ้น เขาไม่ชอบความรู้สึกของตัวเองในช่วงนี้เอาซะเลย ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่ากำลังกังวลอะไร สำหรับเดมิก็อดหลาย ๆ คนคงคิดว่าการได้ออกไปทำภารกิจเป็นการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่นำไปสู่การพัฒนาตนเอง แต่สำหรับแมคเคนซีแล้วการออกไปทำภารกิจนั้นเต็มไปด้วยอันตรายและสิ่งที่ยากจะคาดเดา แม้เคยออกไปทำภารกิจมาบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่คุ้นชิน ซึ่งครั้งนี้ถือว่ายากลำบากที่สุดตั้งแต่เจอมาเนื่องจากเขาไม่สามารถย่นเวลาการเดินทางโดยใช้รถไฟเฮเฟตัสหรือขึ้นเครื่องบินได้
แต่ก็อย่างว่า…ทุกอย่างย่อมมีครั้งแรกเสมอ ถ้าไม่ลองไปให้สุดดูสักตั้งแล้วจะรู้ความสามารถที่แท้จริงของตัวเองได้ยังไง
“วันนี้ผมกำลังจะออกเดินทางไปทำภารกิจครับ มีคนรอความช่วยเหลือจากผมอยู่ ไม่ว่ายังไง…หรือด้วยวิธีไหน ด้วยเกียรติของผม ผมสัญญาว่าจะช่วยให้เขาปลอดภัย และจะพาทุกคนในทีมกลับมาถึงค่ายโดยสวัสดิภาพให้ได้”
ดวงตาสีฮาเซลฉายแววมุ่งมั่นเมื่อยามจ้องมองดวงหน้าของรูปปั้นเทพีแห่งปัญญา หลังก้าวออกจากค่ายไปก็หมดเวลาที่จะมัวมากลัวหรือกังวลอีกต่อไป มีแต่ต้องมุ่งหน้าไปเท่านั้น
“อรุณสวัสดิ์คุณลินคอล์น มารอนานแล้วหรือยัง”
เสียงทักทายจากเบื้องหลังเรียกให้แมคเคนซีหันกลับมามอง คีธกับรูบี้ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทีมกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ แต่ละคนล้วนหอบหิ้วกระเป๋าสัมภาระส่วนตัวมาด้วย ชายหนุ่มในทีมเพียงคนเดียวจึงช่วยหยิบกระเป๋าถือในมือของหญิงสาวตัวเล็กแห่งบ้านแอรีสมาช่วยถือใบนึง
“ลำบากศิษย์น้องแล้ว รบกวนด้วย”
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจภาษาของเธอเท่าไหร่ แต่ท่าทีไม่ปฏิเสธนั้นทำให้แมคเคนซีเหมารวมไปว่าเป็นคำขอบคุณแบบอ้อม ๆ ของรูบี้ เขาจึงยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะหันไปคุยกับคีธ
“เอาชุดปฐมพยาบาลมาด้วยเลยเหรอ เตรียมพร้อมดีนะ”
“เผื่อฉุกเฉินไงล่ะ ไม่มีใครบอกได้หรอกว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อไหร่”
แพทย์สาวเหลือบมองกระเป๋าปฐมพยาบาลขนาดใหญ่ที่สะพายไว้ข้างตัว ไม่รู้ว่าภายในนั้นบรรจุยาหรือเวชภัณฑ์ที่จำเป็นอะไรไว้บ้าง แต่ดูเหมือนเธอค่อนข้างจัดระเบียบสัมภาระได้ดี นอกจากเป้ใบโตที่สะพายหลังแล้วก็มีกระเป๋าปฐมพยาบาลอีกใบหนึ่งเท่านั้น ซึ่งแมคเคนซีเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้
“แล้วบุตรแห่งโพไซดอนผู้นั้นล่ะ เห็นว่าจะออกเดินทางพร้อมพวกเราไม่ใช่เหรอ”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เหมือนว่าหญิงสาวเชื้อสายจีนจะดูสนใจคนรักเขาเป็นพิเศษ ตอนที่แมคเคนซีบอกว่าดีนจะเดินทางไปที่สถานีรถไปด้วย เธอก็ดูกระตือรือร้นขึ้นมา
“ดีนไปคอกม้าน่ะ หมอนั่นจะพาเพกาซัสเดินทางไปด้วย เดี๋ยวก็ตามมา”
พอบอกแบบนั้นรูบี้จึงพยักหน้าเข้าใจ แล้วพวกเขาก็ยืนรอดีนพลางคุยเรื่องแผนการเดินทางกันไปด้วย
.
.
.
-07:30AM.-
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
รออยู่ไม่นานนักดีนก็ออกจากประตูค่ายมาสมทบตรงหน้ารูปปั้นอะธีน่า พาร์เธนอน ยังไม่ทันที่แมคเคนซีจะอ้าปากแนะนำตัวคนรักให้รู้จักกับเพื่อนใหม่ อีกฝ่ายก็ชิงแนะนำตัวเองไปเสียก่อน
“ฮาย ทุกคน ขอบคุณที่รอนะ ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันดีน นีล เป็นแฟนของแมคซี่เอง”
หนุ่มอังกฤษอมยิ้มกับประโยคแนะนำตัวของคนรัก เขาไม่ได้ซีเรียสเวลาที่ดีนบอกใครต่อใครถึงสถานภาพของพวกเขา ตรงกันข้ามกลับยินดีเสียด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายไม่คิดจะปกปิด
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
คีธแนะนำตัวด้วยท่าทางเป็นมิตร ส่วนรูบี้…แม้จะมีสีหน้าเรียบนิ่งจนดูเหมือนเป็นคนหยิ่ง แต่แมคเคนซีก็ค้นพบว่าหากไม่นับการพูดจาที่เหมือนหลุดออกมาจากหนังจีนกำลังภายในจนยากแก่การเข้าใจแล้ว เธอก็ไม่ใช่คนถือตัวแม้แต่น้อย จนกระทั่งเมื่อดีนทักขึ้นมา แมคเคนซีจึงมองที่ใบหน้าหญิงสาวเชื้อสายจีนด้วยความสงสัย แต่รูบี้กลับเบือนหน้ามองไปทางอื่นเสียแล้ว
“ขออภัย แค่คิดว่า... หากมีโอกาสอยากขอให้คุณช่วยชี้แนะ”
คำตอบของรูบี้ไม่ได้ช่วยคลายความสงสัยมากเท่าไหร่ แน่นอนว่าวงสนทนาตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ จนกระทั่งดีนตอบไปในเชิงปฏิเสธ แมคเคนซีจึงพอเข้าใจว่า ‘ชี้แนะ’ ที่รูบี้พูดนั้นหมายความว่าอะไร แต่ที่น่าแปลกใจไม่แพ้กันคือ คนรักเขาพูดภาษาในหนังจีนรู้เรื่องซะด้วย
“พวกเราพร้อมเดินทางกันหรือยัง?”
แต่ก็เหมือนว่าบุตรแห่งโพไซดอนคงไม่ได้ถนัดสนทนาภาษาแห่งวงการยุทธภพแดนมังกรนักจึงรีบเปลี่ยนมาคุยเรื่องการเดินทางแทน
“พร้อมแล้ว ไปกันเลยก็ได้”
แมคเคนซีพยักหน้ารับ เมื่อทุกคนแนะนำตัวทำความรู้จักกันเรียบร้อยพอสมควรแล้วก็ได้เวลาเดินทางกันเสียที
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
“ไม่เรียกแท็กซี่สามพี่น้องสีเทาเหรอ ?”
“ไม่เด็ดขาด !”
หลังจากรูบี้ถามถึงแท็กซี่สามพี่น้องสีเทา ดีนกับคีธก็โพล่งขึ้นมาเป็นเสียงเดียวกันแทบจะทันทีจนแมคเคนซีสงสัย
“ทำไมล่ะ ฉันเคยได้ยินว่าแท็กซี่สามพี่น้องสีเทาช่วยประหยัดเวลาเดินทางไปได้เยอะไม่ใช่เหรอ”
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
“แบบที่ฉันเคยเล่านั่นแหล่ะ ไอ้แท็กซี่บ้านั่นไปถึงไทม์แสควร์ได้ภายในครึ่งชั่วโมงอยู่หรอก แต่อย่าหาทำถ้ายังไม่อยากตาย ฉันกลัวว่าพวกเราจะซี้ม่องเท่งกันก่อนจะได้ไปทำภารกิจ”
เมื่อได้ฟังที่ดีนอธิบายแมคเคนซีก็ร้อง “อ้อ….” เบา ๆ พร้อมกับพยักหน้าช้า ๆ ยิ่งคีธเสริมมาว่า “เสี่ยงตายได้” ก็รู้แล้วว่าเขาไม่ยังไม่ควรลองขึ้นแท็กซี่ในตำนาน (?) นั่นในตอนนี้ พอเหลือบมองรูบี้ก็เหมือนจะเห็นใบหน้างดงามนั่นง้ำงอนิดหน่อย อาจจะงอนที่โดนขัดใจเข้าล่ะมั้ง
หลังตกลงกันได้ว่าพวกเขาจะเริ่มต้นจากนั่งรถไฟ LIRR ไปเพนน์สเตชั่นซึ่งเป็นสถานีที่กลุ่มของแมคเคนซีจะไปต่อรถไฟแอ็มแทร็กสายที่จะเดินทางไปยังเมืองซีแอตเทิลซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับเมืองแวนคูเวอร์ของประเทศแคนาดาแล้ว ในตอนแรกเขานึกว่าดีนจะโดยสารต่อไปยังสถานีแกรนด์เซ็นทรัลที่อยู่ถัดไป แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าจะแวะไปย่านโซโหก่อนเสียอย่างนั้น
“หือ นายมีธุระที่โซโหงั้นเหรอ”
หนุ่มอังกฤษถามอย่างแปลกใจ ก่อนหน้านี้ดีนไม่เคยบอกมาก่อนว่าจะไปแวะที่ไหน หรือว่ามีเรื่องอะไรกระทันหันหรือเปล่านะ
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
แล้วก็ต้องยิ่งแปลกใจไปกันใหญ่กับคำตอบของคนรักที่บอกให้เขาไปที่โซโหด้วยกัน ซ้ำยังบอกว่า “เป็นเรื่องสำคัญ” ก็ยิ่งชวนให้สงสัยเข้าไปใหญ่ ดีนคงไม่ได้คิดจะถือเอาวันที่พวกเขาทั้งคู่ต้องแยกย้ายกันเป็นฤกษ์งามยามดีขอเขาแต่งงานหรอกใช่ไหม
‘แต่ทำไมถึงต้องเป็นที่โซโหกันล่ะ’
ยิ่งหาเหตุผลก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองช่างเพ้อเจ้อเสียเหลือเกิน จึงต้องรีบสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นไป หรือนี่คือสาเหตุที่ดีนไม่ยอมออกเดินทางไปนีออมก่อนแล้วรอเขาที่ต้องเตรียมตัวเรื่องภารกิจมาจนถึงป่านนี้กันนะ ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้น ธุระที่อีกฝ่ายพูดถึงก็คงเป็นเรื่องที่สำคัญจริง ๆ
เมื่อสองสาวจากบ้านฮีบี้และบ้านแอรีสรับรู้แล้วก็ได้เวลาออกเดินทางกันสักที ท่อนแขนซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามของดีนควงเข้าที่แขนของแมคเคนซีแล้วพาออกเดินนำไปยังสถานีรถไฟ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าวันนี้คนรักของเขาทำตัวแปลก ๆ แต่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าแปลกตรงไหน ที่แน่ ๆ คือหางตาของบุตรแห่งบ้านเฮคาทีเหลือบไปเห็นคีธยกมือขึ้นป้องปากแล้วหลุดขำเล็กน้อยราวกับสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเช่นกันขณะเดินตามพวกเขามา
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
กว่าจะเดินทางไปถึงสถานีเพนน์ หรือที่มีชื่อเต็มว่าสถานีรถไฟเพนซิลเวเนียก็ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงกว่า แมคเคนซีมองคนข้าง ๆ ที่นอนหนุนไหล่เขาต่างหมอน หากดูไม่ผิดเมื่อคืนเขาเห็นดีนหลับสนิทจนเรียกได้ว่าน่าจะได้นอนเต็มอิ่มแท้ ๆ แต่ทำไมหลังจากขึ้นรถไฟมาได้ไม่กี่สถานีอีกฝ่ายก็ถึงได้นอนต่อราวกับไปอดหลับอดนอนที่ไหนมา ซึ่งคนนอนน้อยตัวจริงอย่างแมคเคนซีก็ไม่อยากเสียเวลาคิดให้มากความ ขณะที่ดูทิวทัศน์ข้างทางไปได้สักพักเขาก็เอนศีรษะพิงเข้ากับเส้นผมสีดำสนิทของดีนแล้วผล็อยหลับตามไป
.
.
.
“เดี๋ยวฉันกับแมคซี่จะขอไปที่โซโหกันต่อล่ะ พวกเธอเอาไงกันต่อ ? จะไปด้วยไหม หรือว่ารอแถวนี้”
ดีนหันมาถามหญิงสาวทั้งสองคนหลังจากที่พวกเขามาถึงสถานีเพนน์ ซึ่งแน่นอนว่าคีธปฏิเสธและนัดแนะสถานที่ใกล้ ๆ สถานีไว้เพื่อเป็นจุดนัดพบหลังจากพวกเขาทำธุระที่โซโหเสร็จก่อนจะพารูบี้แยกตัวออกไป
“ไปกันที่รัก เราขึ้นซับเวย์ไปที่โซโหกันต่อ”
“โอเค ดีน…ฉันว่าวันนี้นายดูแปลก ๆ นะ มีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า”
แมคเคนซีมองรอยยิ้มหวานจับใจจนตาแทบปิดของดีน มันยังงดงามและดูดีสำหรับเขาเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางอย่างเล็ก ๆ ที่บอกว่าไม่ปกติให้ติดใจสงสัยจึงลองถามออกไป แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ
“ไม่มีอะไรนี่ นายคิดมากไปแล้วที่รัก”
พร้อมกับเสียงหัวเราะทุ้ม ๆ ของอีกฝ่าย ซึ่งเขาอยากจะเชื่อว่าเป็นแบบนั้น
‘มันอาจไม่มีอะไรจริง ๆ ก็ได้’
อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากผิดใจอะไรก็ตามกับคนรักก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง แมคเคนซีภาวนาให้เป็นแบบนั้นพลางเดินเคียงข้างดีนไปขึ้นรถไฟใต้ดินเพื่อเดินทางไปยังย่านโซโหต่อ

“ข้า แมคเคนซี คลอดด์ ลินคอล์น ขอถวายเกียรติยศแก่เหล่าเทพ แก่เทพีอะธีน่า เทพีแห่งปัญญา”
จำนวนเกียรติยศที่มอบให้ : 5,000
BELIEVER (ผู้ศรัทธาเหล่าเทพ) : โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +15
@God