แสงแดดยามบ่ายสาดกระทบกระจกใสของโตเกียวทาวเวอร์ที่สูงตระหง่านราวกับปราการของเหล่าเทพ แม้พื้นที่รอบด้านจะยังคงมีน้ำท่วมขัง แต่ชั้นบนสุดของจุดชมวิวกลับเงียบสงบผิดปกติ ไนมีเรียเดินไปตามทางเดินกระจก เธอหยุดยืนมองภาพทิวทัศน์ของเมืองโตเกียวเบื้องล่างที่ถูกปกคลุมด้วยเงาน้ำ
“เจ้าของเสียงนั่น...” เธอพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ก้าวเข้าใกล้ปลายสุดของจุดชมวิว ที่นั่นมีร่างของชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกล้องส่องทางไกล เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัวที่ดูเหมือนเพิ่งออกมาจากร้านซักรีด ผมสีดำขลับเป็นลอนนุ่มลื่น ราวกับภาพเทพบุตรที่หลุดออกมาจากตำนาน เขาดูไม่เหมือนนักท่องเที่ยวธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ด้วยรูปลักษณ์ที่สะอาดสะอ้านเกินไปสำหรับสถานการณ์น้ำท่วมขนาดนี้
"คลาริสซ่า? เธอยังอยู่ไหม?"
ไม่มีเสียงตอบ ไนมีเรียขมวดคิ้วและกุมสร้อยอัญมณีที่ห้อยอยู่รอบคอแน่น ความรู้สึกอ้างว้างเริ่มเกาะกุมหัวใจเธอ ไนมีเรียชะลอฝีเท้า ความรู้สึกแปลกประหลาดวิ่งผ่านสัญชาตญาณของเธอ คลาริสซ่าซึ่งปกติจะคอยออกความเห็นเงียบหายไป นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ
“ระวังตัวด้วย” วิญญาณแม่มดส่งประโยคสุดท้ายดังก้งอในหัวเธอก่อนจะเงียบงันไป “ชายผู้นั้น… เขาไม่ใช่มนุษย์”
“ในที่สุดเจ้าก็มาถึง ยินดีที่ได้พบสาวน้อยผู้กล้า”
คำแรกที่เขาเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขานุ่มลึก ราวกับสายลมพัดผ่านในยามเช้าที่พัดพาเมฆหมอก ท่าทางของเขาสง่างามราวกับจงใจสร้างความประทับใจแรกพบ ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องร่างเล็กด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก
“ใคร?” ต้องยอมรับว่าในบรรดาคนที่เธอพบมาเปลือกนอกนี้ดึงดูดสายตามากทีเดียว ไนมีเรียถามเสียงเรียบ ร่างกายของเธออยู่ในท่าพร้อมป้องกันทุกเมื่อหอกสัมฤทธิ์ในมือยังไม่ถูกปลดออกจากกลไกที่พับเก็บ
ชายหนุ่มยิ้มบาง ดวงตาสีดำของเขาดูลึกลับราวกับสามารถกลืนกินทุกความคิดในหัวของเธอได้ “เพียงแค่ผู้เฝ้าดู...และบางครั้งก็เป็นผู้ชี้นำ”
“คำตอบแบบนี้ทำให้คุณดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด” สำหรับเสียงของคนที่ชักนำเธอมาเจออันตรายช่วยไม่ได้ที่จะตอบกลับอย่างไม่ไว้หน้า
ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ดวงตาเป็นประกายเหมือนคนพบของเล่นชิ้นใหม่ “อย่าเพิ่งกังวล ข้าไม่ได้มาในฐานะศัตรู”
“อ้อ ดีจัง” ไนมีเรียเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ปกติคนที่จะช่วยฉันปิดจ๊อบไซคลอปส์มักจะไม่โผล่มาหลังจากงานเสร็จแล้วแบบนี้”
วาจาของเธอทำเขาหัวเราะเบา ๆ “ข้าเฝ้าดูการต่อสู้ของเจ้า...และข้าก็ต้องยอมรับว่าเจ้าทำได้ไม่เลว”
“นั่นไม่ได้ตอบคำถามฉัน” ไนมีเรียกล่าวพร้อมก้าวเข้าไปใกล้ “คุณเป็นใคร? และคุณต้องการอะไรถึงเรียกฉันมาที่นี่ อย่าต้อบว่าชวนเดทชมวิวเชียวคงมีแต่ปลาสวายเท่านั้นที่ปลื้ม”
ชายหนุ่มยังคงยิ้มอยู่ “นามแห่งทวยเทพสูงส่งและเป้นภัยต่อมนุษย์ หากเจ้าอยากเรียกข้าในนามใด เอาเป็น ‘ตี้จวิน’ ก็ดี”
“ดูเหมือนชื่อที่ตั้งเองง่าย ๆ นะ ความจริงใจสักนิดก็ไม่มีแต่ก็ยังไม่ตอบอยู่ดีว่าคุณต้องการอะไร”
ชายปริศนาไม่สนใจคำพูดของเธอที่เริ่มขมวดคิ้วมุ่น เขามองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงบและลอบประเมินเธอราวกับนักตรวจสอบสินค้า “สำหรับสายเลือดเฮคาที..เจ้าเป็นเด็กสาวที่น่าสนใจ”
“และคุณก็เป็นคนที่น่าสงสัย” ร่างบางโต้กลับหยักรอยยิ้มไปไม่ถึงแววตา เหลี่ยมมาทำไมต้องดีกลับ “มีอะไรพูดก็รีบพูด ฉันไม่มีเวลามาเล่นเกม”
“ข้าต้องการให้เจ้าช่วยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเผยกล่องรูบิคสีทองที่ดูเหมือนจะเป็นของโบราณ เงาสูงของเขาก้าวเข้ามาใกล้ นิ้วเรียวลูบกล่องเล็ก ๆ ที่เมื่อมองดูดีๆ เหมือนจะเป็นรูบิคกลไกในมือ “งานง่าย ๆ ให้เจ้า นำสิ่งนี้ไปส่งให้ เอโลอิส เพจ ธิดาแห่งเฮเฟตัสที่ค่ายฮาล์ฟบลัด”
ดวงตาสีเฮเซลจ้องกล่องในมือของเขาด้วยความสงสัย “ง่ายนักทำไมคุณไม่ทำเองล่ะ?”
“เพราะข้ามีข้อจำกัด” เขาตอบด้วยรอยยิ้มบาง “และเจ้าเองก็เหมาะสมที่สุดที่จะทำหน้าที่นี้”
อาณาเขตค่ายฮาล์ฟบลัดถูกพิทักษ์ด้วยเทพโอลิมเปียน เสมือนพื้นที่ลับแลไม่ปรากฎในการรับรุ้ของเทพฝ่ายอื่น แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องบอกเธอ.. อย่างน้อยก็ตอนนี้ การครุ่นคิดหาวิธีทำให้เด็กสาวตรงหน้ารับปากเหมือนหยิบยื่นลูกกวาดที่เธอถูกใจ จนกว่าจะถึงตอนนั้นเขาขอเพลิดเพลินต่ออีกสักหน่อย
ไนท์หัวเราะเสียงใสปิดด้วยรอยยิ้มไปไม่ถึงแววตา “คำตอบไม่เคลียร์เลย ฉันบอกทางไปเฮอร์มีสเอ็กเพรสที่ใกล้ที่สุดได้นะ”
“เจ้ามักระวังตัวเกินไป” ตี้จวินกล่าว “ข้าเป็นเทพ ไม่ใช่ปีศาจที่จะหลอกลวงเจ้า”
“อ้อ แล้วคุณเป็นเทพประเภทไหน?” ไนมีเรียถามพร้อมจ้องเขาเขม็ง “คุณรู้ไหม เทพไม่ได้แปลว่าไว้ใจได้ โลกนี้เทพมีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายร้าย แล้วคุณกล้าบอกไหมว่าตัวเองเป็นประเภทไหน? หรือคุณแค่เป็นพวกที่ชอบทำตามอำเภอใจ?”
มีข้อเท็จจริงเรื่องหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ โลกนี้เทพมีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายร้าย ในบรรดานั้นเทพที่ก่อเรื่องวุ่นวายอำเภอใจตัวเองโดยไม่สนว่ามนุษย์หรือลูกหลานของพวกเขาจะเดือดร้อนแค่ไหนมีอัตรามากกว่าครึ่ง ยกตัวอย่างหนึ่งในนั้นก็เป็นต้นเหตุน้ำท่วมโตเกียว
ชายปริศนาหรุบสายตาลงจดจ้องแฝงกลิ่นอายกดดัน “หากข้าเป็นเทพฝ่ายร้าย เจ้าคงไม่ได้ยืนพูดคุยกับข้าแบบนี้”
“นามบัตรไม่มี ชื่อไม่แจ้ง เปิดปากมาก็ขู่กันแล้ว” ทุกคำตอบของเธอชี้ชัดถึงความระแวดระวัง สถานการณ์ใกล้เคียงคำว่าหลุมพรายดูเหมาะเจาะจนเกินไป และใครบางคนตรงหน้าก็ดูไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด “ทำไมฉันต้องช่วยคุณด้วยล่ะ? จรรยาบรรณเทพของพวกคุณนี่เจริญลงทุกวันจริง ๆ”
“นามของข้าไม่อาจเอ่ยถึงในหมู่มนุษย์ได้ มันสูงส่งเกินกว่าจะบอกแก่ผู้ที่ไม่ใช่เทพ หากเจ้าช่วยงานนี้จะได้รับความโปรดปรานและประสบการณ์ต่อสู้จากข้า”
“เหมือนจะมาขายตรงเลยนะ เสนออะไรให้ฉันเป็นการแลกเปลี่ยนกันดีล่ะ?”
“ฉลาดสมกับเป็นบุตรีของเฮคาที” ตี้จวินยกกล่องรูบิคขึ้นเขากล่าวด้วยรอยยิ้มที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความเย้ยหยันบางอย่าง “กล่องนี้จำเป็นต้องไปถึงมือของ เอโลอิส เพจ ธิดาแห่งเฮเฟตัสที่ค่ายฮาล์ฟบลัด และเจ้าเหมาะสมที่สุดที่จะทำเช่นนั้น “ข้าจะมอบหยกเครื่องรางที่นำโชคมาให้เจ้าหากเจ้าทำงานนี้ให้สำเร็จ”
“ไม่มีข้อยืนยันว่าเป็นหลุมพราง คุณควรเพิ่มโบนัสด้านความรักด้วยสิ จะได้คุ้มกับความเสี่ยง”
“ข้าไม่ได้ดูแลวาสนาความรักของมนุษย์” น้ำเสียงเขาติดจะถือตัวแม้รอยยิ้มนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
“ปิดดีล ไว้พบกันใหม่โอกาสหน้า ลาก่อน”
เทพปริศนาเอ่ยรั้งเธอไว้ก่อนคู่ค้าจะเก็บประเป๋าแล้วจากไป “หยุดก่อน ดูเหมือนวิญญาณของเจ้าจะถูกตราคำสาปบางอย่างจากเฮเฟตัส.. ข้าลบล้างออกให้แล้ว อีกอย่าง.. ถ้าเจ้ารับปากช่วยงานข้า องค์ความรู้ รึแม้แต่ความลับของเหล่าเทพเอเชียข้าก็เล่าให้ฟังได้ เทียบเอเชียไม่ค่อยชอบเกรคัสเท่าไร มนต์สเน่ห์ของพวกโอลิมเปียนทำผู้ศรัทธาเราเอาใจออกห่าง”
โดนสาปอะไรตอนไหนก่อนยังไม่รู้เลยโว้ยย!!
ไนมีเรียหมุนตัวกลับมาเหมือนมีระฆังในหัวว่ายกที่สอง เริ่ม!
“ถ้าสเน่ห์แรงไม่พอเอง รึไม่กล้าเป็นฝ่ายรุกจีบสาวก่อนก็ยื่นอุธรณ์ไม่ได้นะคะ” รอบหน้าเธอจะเผาตำรากลยุทธิ์บริหารสเน่ห์ให้เทพเอเชียสักลัง
“นั่นเพราะพวกเขาถูกเทพของพวกเจ้าเป่าหูสร้างความเคลือบแคลงต่อเผ่าเทพของข้า”
สาวเคบินยี่สิบยินตรงแขนกอดอกแล้วพยักหน้ารับก่อนเอดดูเขตท่านเทพอีกสักกระบวน “ถ้าพวกคุณศักดิ์สิทธิ์หรือทรงพลังน่าศรัทธาจริงอย่างที่อ้าง มนุษย์ไม่ใช่เผ่าที่ทอดทิ้งลืมเลือนเทพของพวกเขาโดยง่าย ให้เดา คุณหรือพวกพ้องเทพของคุณคงนิ่งดูดายด้วยกฎที่ว่าไม่ยุ่งเกี่ยวชะตามนุษย์ อยู่เฉยๆ มองพวกเขาเดือดร้อนหนแล้วหนเล่า ไม่ว่าจะภัยพิบัติจากเทพรึมนุษย์ด้วยกันเอง สุดท้ายคนเราจะเสื่อมศรัทธามันก็เป็นแค่เรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น โทษใครได้นอกจากตัวเอง?”
“เจ้าไม่เคยได้ยินตำนานหนี่วาอุดรูรั่วฟ้าช่วยชาวจีนนับล้านชีวิตให้ปลอดภัยสินะ นั่นไม่เรียกว่าการนิ่งดูดาย”
“นั่นมันผ่านมากี่ยุคสมัยแล้ว เอาที่ใหม่กว่านี้ไมไ่ด้รึไง มนุษย์เราอายุขับไม่กี่สิบปี ช่วยทำงานให้สมเป็นเทพที่พวกเขาให้ความศรัทธาหน่อย ดูอย่างน้ำท่วมวันนี้เทพีแอมฟิไรต์ก็ขอให้เดมิก็อดมาช่วยเหลือ จะบอกว่าเทพอีกซีกโลกหูตาไวกว่ารึไง” ไนมีเรียกลอกตาเรื่องที่เขายกมาดึกดำบรรพ์เป็นตำนานเรียกแขกของบริษัททัวร์ยังพอว่า สรรหาอะไรมาโต้เธอไม่ได้เลย คนตรงหน้าตามแฮชแท็คเรื่องราวรอบโลกบ้างไหมนะ
ดูเหมือนเทพองค์นี้นานครัง้จะลงมาโลกจริงๆ เพราะสิ่งที่เขายกเรื่องถัดมาก็คือ..
“ในช่วงยุคเหนือใต้ของจีน ไม่เพียงแผ่นดินโกลาหล แต่ยังมีภัยจากกระบี่โบราณจากเผ่าเทพตกลงไปในโลกมนุษย์จนสร้างจอมมาร พวกเราเผ่าเทพก็ส่งตัวแทนลงไปช่วยเหลือและร่วมสู้กับเผ่ามนุษย์.... ใหม่พอรึยัง” น้ำเสียงเขาดูไม่ยอมรับคำของเธออยุ่บ้าง จะเรียกนิ่งดูดาย มองอยู่เฉยๆ ได้ยังไงถึงครั้งนั้นจับเซียมซีเลือกกันลงไปก็ยังถือว่าหยิบยื่นความช่วยเหลือ สวรรค์ประทานวีรบุรุษอยู่ดี
“นั่นไม่เรียกว่าการช่วยเหลือ ในเมื่อต้นเหตุเกิดจากเทพอย่างคุณเก็บของในบ้านไม่ดีพอ ทำให้เพื่อนบ้านด้านล่างเดือดร้อนต้องไปตามแก้ไขสิถูกแล้ว จะปัดความรับผิดชอบไปให้คนอื่นได้ยังไง?” มือเรียวลูบริมฝีปากตัวเองส่งเสียงเค่นในลำคอ “พวกคุณควรเรียนรู้งานจากเทพเกรคัสนะ”
“ตกลงเจ้าต้องการอะไรสำหรับข้อแลกเปลี่ยนนี้?” น้ำเสียงยิ่งมายิ่งไม่เป็นมิตร หรือกลายเป็นมิจขึ้นเขาก็ไม่ทราบ
“ข้าสามารถเล่าเรื่องราวของเทพในฝั่งเอเชียให้ฟังได้ รวมถึงความลับบางอย่างที่อาจเป็นประโยชน์กับเจ้าในอนาคต รู้อะไรไหม เจ้าควรรับไมตรีในยามที่มีคนหยิบยื่นให้”
“บางที เริ่มจากความจริงใจคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะคะ” ประโยคลงหางเสียงครั้งแรกของสาวบลอนด์บ่งบอกว่าเธอคือกุหลาบหนามคม หลังจากชั่งใจอยู่สักพักเธอไมไ่ด้เห็นแก่สินน้ำใจหรือตกบ่วงสเน่ห์หา ตรงกันข้ามไนมีเรียกับสงสัยว่าเขาจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่ “อย่าทำให้ขำหน่อยเลย ฉันไม่ใช่ผู้ศรัทธาของคุณเอาอะไรมารู้สึกเป็นเกียรติกัน? ปุบปับมาบอกจะส่งกลับไปนิวยอร์คให้ทำงานให้ เจ้านายก็ไม่ใช่ ผู้ปกครองหรือก็เปล่า ค่าตอบแทนยังเป็นความโปรดปรานกับอะไรที่จับต้องไม่ได้อีก… ข้อเสนอของคุณไม่เอาเปรียบเกินไปหน่อยหรอ? ความไว้ใจของธิดาแห่งเฮคาทีไม่ได้ได้มาฟรี ๆ นะ”
รอยยิ้มของเขาจางลงเล็กน้อย แต่ดวงตายังคงนิ่งสนิท “น้อยครั้งข้าจะมอบหมายงานให้มนุษย์ การที่ข้าเลือกเจ้าคือเกียรติที่ยิ่งใหญ่ และข้าเองก็หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
ด้วยความค้างคาใจว่าในกล่องนั้นเป็นอะไรกันแน่ไนมีเรียหยิบกล่องรูบิคจากมือเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความระแวง ดวงตาคู่คมจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่งเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน ถ้าอีกฝ่ายตุกติกเธอแค่โยนกล่องนี่ลงทะเลไปซะ
“นี่มันดีลธุรกิจ ฉันทำการค้ากับผู้ที่มีที่มาที่ไปชัดเจนเท่านั้น ในธุรกิจเราถือความน่าเชื่อถือเป็นสำคัญนี่คือกฎของบ้านเฮนลาดิส ส่วนเรื่องจะรับข้อเสนอรึไม่... ขึ้นอยู่กับอารมณ์และความพึงพอใจของฉัน” ไนมีเรียกล่าวพลางยกกล่องขึ้น “และขอโทษที ฟังแล้วไม่ได้รู้สึกเป็นเกียรติเลยสักนิด คุณน่าจะลองปรับปรุงการตลาดก่อนจะมาขายตรงนะ ถ้าคุณคิดว่าจะได้อะไรจากฉันมากกว่านั้น …คิดผิดแล้วเทพนิรนาม”
“เด็กดี.. เจ้าเป็นคนที่น่าสนใจจริง ๆ สาวน้อย ข้าหวังว่าเราได้พบกันอีกแน่” แววตาคมปลาบจดจ้องสตรีตรงหน้าด้วยความคิดยากจะอ่านออก เมื่อเขายิ้มออกมาอีกครั้งเสียงดีดนิ้วก็ดังขึ้นวาร์ปส่งเธอกลับไปยังนิวยอร์ค ไทม์สแควร์
โอ้ อย่าเลย อย่าพบฉัน!
“ย้ำอีกครั้งว่าข้อแลกเปลี่ยนของฉันทำเพราะธุรกิจ ไม่ใช่เพราะฉันเชื่อใจคุณ ทุกอย่างจบแค่กล่องนี้ถึงมือคนรับ” ก่อนร่างเธอจะหายวับไปยังอีกซักโลกคำทิ้งท้ายของเธอคล้ายกับเสียงถอนหายใจ
“ฉันเองก็หวังว่างานครั้งนี้จะไม่ใช่ข้อเสนอที่ขาดทุน”