𝕭𝖗𝖎𝖌𝖍𝖙 𝕬𝖒𝖊𝖘
𝕾𝖆𝖛𝖊 𝖕𝖆𝖌𝖊 13
กักตุนเสบียงอาหารมาอย่างเต็มที่พร้อมออกเดินทางสู่ทิศตะวันออก แม้เรื่องการเป็นเดมิก็อดของดีนจะไม่ใช่ความลับของครอบครัว แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้คนที่บ้านเป็นห่วงพวกเขาจึงมาประชุมแผนการเดินทางในรถบ้านแทนที่จะเป็นห้องรับแขกที่กว้างขวาง
“วันนี้เราน่าจะได้ไปพักที่โมบีล เส้นทางอยู่ริมทะเลเป็นส่วนใหญ่ วันนี้ฉันน่าจะช่วยซัพพอร์ตการต่อสู้ได้มากหน่อย” เหลือบสายตาไปมองตรีศูลของเจ้าสมุทร หากมีการต่อสู้เห็นทีคงต้องลองยืมใช้พลังสักทีนึง
“ตัวเมื่อวาน.. อะไรน่ะ? นีเมียนพิการ?” ดีนหวนนึกถึงอสุรกายที่วิ่งไล่พวกเขาตอนออกจากปั๊มน้ำมันที่สวีทวอเตอร์ แว้บแรกเขาเห็นมันเป็นราชสีห์นีเมียน แต่ก็ดันมีเขาเหมือนแพะ มันตามพวกเขาอยู่แป๊บเดียวก็ล้มเลิกความตั้งใจ.. แปลก
“ไคมีร่า ลูกรักของอีคิดน่า” เดม่อนพูดขึ้น เคยอ่านเจอในบันทึกของรุ่นพี่เพอร์ชีย์ ก่อนจะถอนหายใจพูดต่อ “เจ้าตัวนั้นเหนือชั้นยิ่งกว่าไฮดร้าที่หินแล้ว ทั้งแข็งแกร่ง เล่นงานยาก พิษและมีความไวเป็นที่หนึ่งในบรรดาอสุรกายทั้งหมด แม้ตัวใหญ่ก็ไม่ทำให้มันช้าลงเลย”
“ไคมีร่าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าปกติถ้ามันอยู่ใกล้อีคิดน่า เหมือนมันอยากโชว์พาวให้แม่มันภูมิใจ”
เดม่อนพูดเชิงบอกว่าถ้าตอนนี้เลี่ยงได้ให้เลี่ยงการปะทะ ใช้การโกยเผ่นแทน แต่ถ้ามันอยู่ตัวเดียวไม่มีแม่ของมันเราอาจจะมีโอกาสชนะ แต่จากที่พี่เพอร์ชีย์เขียนไว้ในบันทึก โอกาสน้อยมากที่ไคมีร่าจะแยกออกมาจากอีคิดน่า สองตัวนี้ตัวติดกันยิ่งกว่าปาท่องโก๋เสียอีก
"พึ่งรู้นะเนี่ย" เธอไม่มีค่อยลงลึกศึกษาอสุรกาย "เดม่อนนายเหมือนคลังตำราเคลื่อนที่เลยอ่ะ จนเกือบคิดว่าเป็นบุตรแห่งอะธีน่า แล้วไอ้เจ้าไคมีร่ามันสู้ยากกว่าราชสีห์นีเมียนหรือไฮดร้าสามหัว หรือเปล่า" เธอพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม แอบสงสัยพลังอสุรกายไคเมร่าขึ้นชื่อเป็นลูกอีคิดน่ามารดาแห่งอสุรกาย น่าจะหืดขึ้นคอ
นอนค้างบ้านครอบครัวดีน ได้เยียวยาพลังงานและพลังใจขึ้นเยอะ "วันนี้ต้องเป็นวันที่ดี พวกเราคงไม่ดวงซวยเจออสุรกายตลอดทั้งทริปหรอกเนาะ"
“ไคมีร่า ลูกรักของอีคิดน่า..” ดีนพึมพำทวนเสียงเบา ถ้าแค่ไคมีร่าพอจะคุ้นหูอยู่บ้าง แต่อีคิดน่าเนี่ยสิไม่คุ้นเลย สิงโตตัวเมียงั้นเหรอ? เพิ่งจะรู้เนี่ยแหล่ะว่าเหล่าอสุรกายก็มีสายตระกูลของมันด้วย
ดีนชะโงกหน้าโบกมือลาครอบครัวที่ออกมาส่งหน้าบ้านจากนั้นจึงถอยรถออกจากบ้านแสนสุขที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเยือนอีกทีเมื่อไร
“แฮ่ ๆ ไม่ขนาดหรอกไบร์ท ผมใช้เวลาว่างไปอ่านบันทึกเก่า ๆ ของพวกรุ่นพี่เท่านั้นเอง บ้างก็คุยกับพี่ไพเพอร์ที่เป็นหนึ่งในเจ็ดวีรบุรุษแห่งยุค” เดม่อนพูดขึ้นก่อนจะเดินไปขึ้นรถบ้าน
และหันมาโค้งขอบคุณครอบครัวดีนสำหรับที่พักและอาหารจนเต็มตู้เย็นบนรถ หวังว่าการเดินทางวันนี้พวกเขาจะราบรื่นนะ แต่ก็พูดยาก มีลูกสามมหาเทพถึงสามคน ยิ่งช่วยกระจายกลิ่นได้ไวติดจรวดยิ่งกว่าสิ่งใดเสียอีก
"เออนี่" ฉันที่เพิ่งนึกอะไรออก ก่อนหยิบบางสิ่งที่ดูล้ำค่าส่งยื่นให้กับเดม่อน ดาบเธซีอุสที่เธอได้มาจากดีนและกะส่งต่อบุตรแห่งอะโฟร์ไดท์อีกทอดนึง ไม่ใช่ว่ามันไม่น่าสนใจหรอก ทว่าตัวฉันเองก็มีเจตจำนงของตัวเอง เธอนั้นเหมาะกับอาวุธระยะไกลมากกว่าและชื่นชอบการใช้ปืนเป็นพิเศษ ถึงปืนที่มีอยู่จะกากและเทียบเท่าดาบในตำนานไม่ได้สุดขั้วเพียงใด ก็ยังจะเลือกใช้อยู่ดี
"เดม่อนนายใช้ดาบใช่ป่ะ เอาดาบเธซีสอุสไปใช้สิมันต้องเหมาะกับนายแน่ ๆ" เห็นเดม่อนใช้ดาบควบคู่กับโล่มาตลอด
ส่วนดีนเองก็คงเหมือนกับฉันที่ใช้อาวุธที่ตัวเองชอบและถนัดจริง ๆ ไม่ลุ่มหลงแม้สิ่งนั้นจะเป็นของล้ำค่าละนะ ไม่งั้นจะโยนดาบส่งมาให้ฉันมาทำไมตั้งแต่ตอนนั้น
“งืม ใช่ครับ” เดม่อนตอบอีกฝ่าย ก่อนจะมองใบดาบที่ดูท่าทางแข็งแกร่งตรงหน้า แต่เดม่อนคิดว่าตอนนี้มันคงยังไม่ขานรับเขาเท่าไหร่ แต่สักวันเดม่อนจะต้องแสดงความกล้าหาญให้มันยอมรับให้ได้อย่างแน่
“ขอบคุณนะไบร์ท” เดม่อนรับดาบเล่มนั้นมาก่อนจะมีเสียงกระซิบบางอย่าง ‘บุตรแห่งอะโฟร์ไดต์ เจ้าจงพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าเจ้าคู่ควรที่จะเป็นคู่หูข้า’ เดม่อนกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนมองซ้ายมองขวา หรือเสียงเมื่อครู่จะเป็นเสียงดาบ เพราะมันดังขึ้นทันทีที่เขารับดาบมาจากฉัน
เดม่อนมองดาบสีฟ้าเป็นประกายดุจสายน้ำตรงหน้า บางทีสิ่งนี้อาจจะจำเป็นในการผนึกอสุรกายตัวนั้นกลับ… แม้จะไม่รู้ว่าเธซีอุสใช้พลังทั้งหมดของตัวเองรวมกับดาบก็เถอะ เดม่อนเดินนำดาบเล่มนั้นไปวางไว้ในรถบ้าน เอาไว้ค่อยหาปลอกดาบสักเล่มมาเก็บมันตอนถึงค่าย เขาไม่รู้ว่าดาบในตำนานจะมีอะไรพิเศษไหมนะ อย่างดาบริพไทด์ของเพอร์ซีย์ที่เป็นปากกา
"ไหนลองโชว์ท่าฟันดาบให้ดูหน่อย" ดวงตาของฉันเปล่งประกายมองเดม่อนราวกับเด็กน้อยเจอของเล่น
ระหว่างที่กำลังเอนตัวพิงเบาะรถ มือข้างนึงถือกระป๋องน้ำอัดลม กระดกซดเกือบหมดครึ่งกระป๋องก่อนหยิบพอตออกมาสูบตามสไตล์ไอเทมลับเฉพาะตัวที่ขาดไป ใจระทม
“เออ จะว่าไปฉันก็ได้หมวกจากไอ้เจ้าแร็กนาร์มาด้วย มีใครอยากได้ไหม? ถ้าไม่มีฉันจะเอาไปถวายพ่อ หรือไม่ก็เอาไปใส่เตาหลอม”
ดีนพูดขณะที่บังคับพวงมาลัยรถแล้วขับไปตามเส้นทางที่ตนเองคุ้นเคย สำหรับเขาหมวกมีเขารูปทรงประหลาดของแร็กนาร์คือสิ่งที่น่ารังเกียจไม่ว่ามันจะมีสรรพคุณดีอย่างไรก็ตามแต่เมื่ออยู่ในมือของคนที่ไม่ต้องการและไม่เห็นคุณค่า สิ่งนั้นถือว่าเปล่าประโยชน์
เดม่อนเบือนสายตาหันมองทางดีน หมวกแร็กนาร์ เงาของเขาไม่ได้ใส่หมวก หรือว่าพวกเขาเจอตัวจริงมากันนะ
ก่อนเดม่อนจะพูดขึ้น “ว่าแต่มันทำอะไรได้เนี่ย หรือใส่เพื่อป้องกันอย่างเดียว”
เดม่อนมองตามดีนที่หยิบหมวกรูปร่างแปลก ๆ ออกมา แต่ก็คล้ายในหนังมาร์เวลอยู่ ดูเหมือนหนังมาร์เวลคงมีแรงบันดาลใจมาจากโลกิจริง ๆ สินะ อย่าบอกนะว่าหนังมหากาพย์ระดับโลกจะเป็นศูนย์รวมเทพหลากหลายตำนานเข้าไปมีบทบาททั้งหมด อย่างเฮอร์มีสก็ไปร่วมแจมด้วยในบทสตาร์ลอร์ด
"แล้วไอ้หมวกนั่นมันทำอะไรได้ คงไม่ใช่สร้างภาพลวงตาอะไรได้ทำนองนั้นนะ" ฉันถามอย่างสงสัยพลางประมวลผลวิเคราะห์ หมวกไอ้เวรตะไลแร็กนาร์ หากมันมีประโยชน์ก็น่าสนใจในระดับนึงละมั้ง
สายตาทอดมองนอกกระจกเชยชมวิวทิวทัศน์สวย ๆ
“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันวางไว้หลังรถ ใครอยากทดสอบก็ลองหยิบไปเล่นดู”
ดีนพูดจาอย่างไม่แยแสแรร์ไอเท็มที่ได้ เขาโฟกัสแค่เส้นทางที่ขับผ่านเป็นเส้นนอกเมืองแต่ยังคงเห็นสถาปัตยกรรมสเปนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 ได้อยู่ประปรายท่ามกลางบ้านเรือนสมัยใหม่ น่าเสียดายที่การเดินทางไม่ใช่ทัศนศึกษา ไม่งั้นเขาคงพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวชมของดีประจำเมืองอย่าง ดิ อลาโม่ หรือไม่ก็สวนสนุกเฟียสต้าเท็กซัสไปแล้ว
ขยับมุมปากแสดงอาการเกลียดชัง "ไม่อ่ะ ไม่อยากทดสอบเอง บอกตามตรงโคตรเกลียดมันเลยว่ะ"
"เดม่อนเอาไหมล่ะ" เห็นทีคนที่จะได้งานนี้เดม่อนเหมาะสมสุดละ ถึงจะเป็นสิ่งแรร์ไอเทม ในฐานะบุตรธิดาแห่งโพไซดอนที่เจอความปั่นประสาทของเจ้าหมวกสุดบรรลัย ปฏิเสธทันควัน เป็นของที่ไม่อยากเก็บไว้เป็นเสนียด "หากเป็นพ่อให้ของมาฉันอาจจะรับ"
“ไม่ดีกว่า ผมไม่ค่อยชอบอะไรที่เป็นแนวนอร์ส ๆ เท่าไหร่ด้วยสิ” เดม่อนพูดขึ้นก่อนจะมองหมวกที่ดีนไปหยิบมาโชว์
“จริงสิ นายเอาไปบริจาคที่คลังอุปกรณ์ของค่ายได้นะ ข้าง ๆ เคบินอะธีน่าจะมีห้องคลังอาวุธอยู่ เป็นส่วนกลางของค่าย” เดม่อนพูดขึ้น เหมือนลิเลียน่าจะเคยบอกเรื่องนี้ ให้คนที่ต้องการใช้อุปกรณ์สามารถไปเบิกได้ ขอเพียงมีส่วนร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในค่าย
เดม่อนคิดว่าคงจะมีใครสักคนชอบมันก็ได้ ก่อนจะถามดีน “จริงสิ นายลองใส่มันดูหน่อย แล้วเพ่งมาที่ตัวผมก็ได้ เผื่อมันอาจทำให้ผมเห็นภาพมายาแบบที่เจ้านั่นทำกับพวกเราบ่อย ๆ ก็ได้”
พูดอย่างไม่แน่ใจนักว่านั่นคือพลังเจ้าตัวหรือหมวกใบนี้มีส่วนช่วยเหลือกันนะ
“ให้คนอื่นทดลองสิ ฉันขับรถอยู่” ดีนบอก
“ให้ฉันลองก็ได้” เอมีเลียรับอาสา วันนี้เธออยู่แสตนบายเป็นหน่วยป้องกันทางอากาศไม่ได้ขับรถเช่นวันแรก ๆ ดังนั้นจึงค่อยข้างว่าง หญิงสาวรับเอาหมวกมีเขามาจากเดม่อนจากนั้นจึงลองสวมดู “ยังไงนะ เพ่งจิตไปที่นายเหรอเดม่อน”
เอมีเลียทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองไปยังเด็กหนุ่มอายุน้อยของทีม จากนั้นใบหน้าของหญิงสาวก็กลายเป็นเดม่อนคนที่สอง “เอ่อ.. ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเลย.. เฮ้! ทำไมเสียงฉันเป็นผู้ชาย!?” เอมีเลียมีสีหน้าตื่นจะลึงรีบเอามือตะครุบปากตัวเองไว้ก่อนจะหันรีหันขวางหากระจกส่องหน้าตัวเอง
ฉันดูเอมีเลียที่ใส่หมวกของแร็กนาร์ ซึ่งเอมีเลีย จู่ ๆ กลายเป็นผู้ชายไปซะแล้ว "อย่างกับมายากล แต่มันคงเป็นการสร้างภาพมายาหรือเปล่า"
"สรุปไม่มีใครเอาจริงดิ ฮ่า ๆ" เธอถึงกับหลุดหัวเราะและเห็นด้วยกับความเดม่อนเอาไปเก็บไว้ให้คนอื่นในค่ายลองใส่กันก็ดี
เดม่อนมองตัวเองใส่หมวกแร็กนาร์ ดูเหมือนจะได้เห็นตัวเองตอนใส่หมวกด้วยเฉยเลย ก่อนจะพูดขึ้น “กับผมไม่น่าจะใช้งานได้เท่าไหร่ มันทับซ้อนกับพลังแปลงกายของผม… ไบร์ทน่าจะเหมาะสมนะ ถึงแม้ว่าจะยังเห็นหมวกก็เถอะ ฮ่า ๆ แต่ก็ปลอมตัวได้อยู่ มนุษย์ธรรมดาน่าจะมองเห็นหมวกนั่นเป็นอย่างอื่นตามที่สมองพวกเขาจประมวลผลได้แหละ”
เดม่อนคิดว่าถ้าไม่เจอเดมี่ก็อต ยังไงมนุษย์ธรรมดาก็คงไม่เห็นหมวกใบนั้นเป็นแบบนั้นหรอก ขนาดหมวกเกราะกับเสื้อเกราะของเขา ยังมีบางคนเห็นเป็นชุดกีฬาเบสบอลเลย
"รู้มั้ยไอ้แร็กนาร์เนี่ยทำไว้เจ็บแสบมาก สายเลือดโพไซดอนอย่างฉันขอปฏิเสธ" หากเก็บมาใช้เองก็ไม่ต่างจากเก็บของที่ตัวเองชิงชังกลับมาตอกย้ำทิ่มแทงใจ กับความฉิบหายที่มันสร้างขึ้น
"ตอนนี้ถึงไหนแล้วดีน" ตะโกนถามดีนที่อาสาขับรถบ้าน
ดีนมองภาพผ่านกระจกหลัง เมื่อเห็นว่ามีเดม่อนสองคนก็หลุดขำก๊าก
“นี่สินะอุปกรณ์ที่มันใช้ปลอมตัวเป็นลุค แสบจริง ๆ ไอ้หมอนี่” ตบไฟเลี้ยวออกสู่ทางหลวงเพื่อออกจากเมืองซานอันโตนีโอ “ถ้าบริจาคให้ค่ายได้ก็เอาไปเลย ฉันไม่ได้รังเกียจของมือสอง แต่ถ้าเป็นของไอ้แร็กนาร์ก็ไม่เอาหรอก”
“เพิ่งออกจากเมืองเอง ขับไปอีกหน่อยก็เข้าฮิวสตัน อยากแวะข้างทางหรือเปล่าไบร์ท หรือว่าเธอลืมของ?”
“งั้นสรุป เอามันไปโยนในคลังอุปกรณ์ของค่ายกันสินะ” เดม่อนพูดขึ้น แอบนึกภาพหมวกใบนั้นหยากใย่ขึ้นเหมือนชิ้นอื่น ๆ ที่ถูกวางไว้นาน ถ้าไม่มีใครไปเบิกออกมา
เดม่อนมองดีนจากหางตา ก่อนแปลงกายเป็นดีน และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอีกฝ่าย “มีอะไรเหรอดีน”
“และก็สรุปอีกอย่าง ลุคไม่ได้หนีออกมาจากโลกใต้พิภพสินะ ยังคงชดใช้กรรมความผิดพลาดที่ตอนมีชีวิตอยู่ในนั้น…” เดม่อนพูดก่อนจะถอนหายใจ “ฟู่วว เกือบจะมีมลทินแล้วไหมล่ะหมอนั่น”
ลุค แคสเทลลัน บุตรแห่งเฮอร์มีส ฉันถึงกับเงียบรู้เรื่องของชายคนนั้นนิดหน่อย ไม่ได้ศึกษาตามอ่านบันทึกเก่า ๆ หรือถามพวกรุ่นพี่ในค่ายสักเท่าไหร่ "ควรพักเรื่องมัน ไม่ไหวหัวจะปวด" บุคคลที่ทำให้อยากเหมาพาราจากร้านขายยา
“หยุดเลยเดมี่ อย่าทำสันดานแบบไอ้เวรนั่น” ดีนปราม นึกถึงแร็กนาร์ทีไรคนที่แค้นใจที่สุดคนไม่พ้น ดีนคนนี้ที่ดึงดาบศักดิ์สิทธิ์ของผู้พิทักษ์เธเซอุสออกมาเองกับมือหรอก
“แต่อย่างน้อยก็ถือว่าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้แก่ลูกชายเทพเฮอร์มีสได้ ถือว่าเราทำความดีกันอยู่นะ” คล้ายกับปลอบใจตัวเองอยู่หน่อย ๆ เพราะสัญญากับเทพเฮอร์มีสไว้ด้วยว่าจะเปิดเผยความจริงล้างความผิดให้ลูกชายเขาให้ได้ ถึงภารกิจจะล้มเหลวแบบตะโกนแต่อย่างน้อยก็รายละเอียดปลีกย่อยก็สำเร็จหลายอย่าง และสิ่งสุดท้ายที่ต้องทำคือเอาตรีศูลไปคืนพ่อแล้วกลับไปที่ค่ายอย่างปลอดภัย
ส่วนเอมีเลียที่ทดลองหมวกอย่างหนำใจเธอก็ถอดหมวกออกหลังจากที่แปลงหน้าเป็นดาราสาวในยุคสมัยของเธออย่าง ออดรีย์ เฮปเบิร์น และ มาริลีน มอนโร
“โอเค ๆ กลับร่างเดิมแปบ~” เดม่อนก่อนจะคืนร่างกลับ แต่ในหัวดันเผลอไปคิดอะไรแวบเข้ามาจังหวะที่กำลังรวบรวมสมาธิจะคืนร่างกลายเป็นแปลงกายคริส อีแวนส์ไปโดยไม่รู้ตัว
“เฮอร์มีสจะได้สบายใจแล้ว ถ้าได้รับรู้ข่าวดีนี้ อย่างน้อยลุคไม่ได้จะทำผิดซ้ำสอง แต่จะว่าข่าวร้ายสำหรับเขาได้ไหมนะ เหมือนตอนพูดถึงลุคเขาเหมือนจะดีใจที่อีกฝ่ายกลับมามีชีวิต…” เดม่อนพูดขึ้นก่อนจะฉุดคิดสีหน้าอีกฝ่ายตอนนั้นได้
“เอาล่ะ เราไปหาอะไรกินกันเถอะ” เดม่อนพูดขึ้นก่อนยกมือกุมท้อง รู้สึกจะเริ่มหิวขึ้นมาแล้ว
"เจอพ่อเมื่อไหร่ต้องแจ้งเรื่องคธุลฮูที่ถูกปลดผนึกด้วยสินะ พ่อจะได้ไปแจ้งพวกทวยเทพบนโอลิมปัส ภัยคุกคามจริง ๆ" อสุรกายห้วงทะเลลึกที่ถูกปลดปล่อยออกมาให้ช้ำใจเล่น ตอนนี้ภารกิจเดียวคือนำตรีศูลไปคืนและกลับค่าย
“ดีมากเดมี่” ดีนกล่าวหลังจากที่อีกฝ่ายเลิกปลอมตัวเป็นเขาสักทีนึง คนหล่อ ๆ อย่าง ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล น่ะ มีได้แค่คนเดียวในโลกเท่านั้น!
“เอาจริงฉันไม่ค่อยรู้จักเรื่องของคนชื่อลุคเท่าไร แค่เทพเฮอร์มีสกล่าวถึงกับมีในเรื่องเล่าของรุ่นพี่ไพเพอร์อยู่กระจึ๋งนึง” ตัวตนของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร แทบไม่รู้เลยด้วยซ้ำ รู้แค่ว่าเป็นคนที่ทรยศพี่ชายของดีน เพอร์ซีย์ และเป็นคนที่ขโมยสายฟ้าของเทพซุสที่แท้จริงเพื่อเทพในหลุมดำอะไรนั่นสักอย่าง
“นั่นล่ะ เราไม่รู้ด้วยว่าโลกิเอาคธุลฮูไปทำไม เขากำลังร่วมมือกับลูซิเฟอร์จริงไหม หรือว่าโดนต้มกันมาเป็นทอด ๆ ไม่รู้ว่าโอลิมปัสต้องรับมือกับภัยร้ายตั้งกี่ด้าน” พอคิดถึงตรงนี้ก็ได้แต่กำพวงมาลัยไว้แน่นด้วยความเจ็บใจ แต่พยายามไม่หงุดหงิดขณะขับรถเพื่อสวัสดิภาพของทุกคน
“นายหิวไวจังเดมี่ เด็กวัยกำลังโตนี่นะ มีขนมอยู่ในตู้เย็นเล็กเอาออกมากินรองท้องไปก่อน อีกครึ่งชั่วโมงล่ะมั้งถึงจะเข้าชานเมืองฮิวสตัน” เอ่ยปากบอกน้องเล็กของทีม
“ดูเหมือนอสุรกายนั่นจะเป็นภัยของโพไซดอนโดยตรงเลยมั้ง ตามตำนานมันเป็นอสุรกายแห่งห้วงทะเลที่ร้ายกาจที่สุดในทะเลลึก” เดม่อนพูดขึ้น และอาจจะเป็นภัยถึงชาวแอตแลนติสอีกด้วย ไม่เพียงแต่โลกมนุษย์
เดม่อนอยากจะเปิดมือถือที่พกมาเพื่อเข้ากูเกิลนะ แต่การทำแบบนั้นเกรงว่าจะดึงดูดอสุรกายเข้ามาอีก ดังนั้นจึงเลือกไม่เสี่ยงดีกว่า ไหน ๆ ตอนนี้ก้ได้พักเต็มอิ่มสักเล็กน้อยน่ะนะ…
"เวรเหอะ" ฉันหน้าเครียดขึ้นมาทันที ภัยอันตรายที่ส่งต่อกันเป็นทอด ๆ
“ภัยร้ายกาจที่สุดของพ่อเลยเหรอ.. แต่มันเคยถูกผนึกมาครั้งนึงนี่นา ถ้าเกิดว่าผนึกมันกลับลงไปอีกครั้ง… บ้าชิบ! ตอนนี้ไม่รู้ด้วยสิว่าโลกิเอามันไปซ่อนไว้ที่ไหน” ดีนเดาะลิ้นอย่างหัวเสียออกมาจนเผลอเหยียบคันเร่งแรงขึ้นไปอีกจนรู้ตัวว่าขับเกินความเร็วกำหนดจึงพยายามปรับไมล์ลงมาเมื่อเข้าเขตชุมชนของเมืองใหญ่ด้านหน้า
ดีนเคยมาเมืองนี้ไม่กี่ครั้ง แต่พอจะทราบอยู่บ้างว่าเขตไหนควรแวะหรือไม่ควรแวะเพราะเป็นเขตอาชญากรรมสูง โชคดีที่พวกเราไม่ผ่าน แต่เรื่องการเผชิญหน้ากับอสุรกายไม่อาจรับประกันได้ ดีนขับมาจอดที่ลานจอดรถใกล้กับโบสถ์แห่งหนึ่ง แถวนี้เป็นย่านที่มีร้านอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ตให้ได้ซื้อของพอดี
“ฉันรอในรถนะ”
เดม่อนลืมตาขึ้นมาแวบหนึ่งหลังรถจอดก่อนจะหลับตาต่อ ขอยืดตัวนอนหลับให้สบายสักวัน หวังว่าจะไม่มีอะไรมารบกวนในเวลานี้นะ แล้วก็เดม่อนก็ยังไม่รู้ตัวว่าไม่ได้คืนร่างตัวเอง แต่อยู่ในร่างนักแสดงกัปตันอเมริกา กำลังนอนในรถบ้าน
"เยี่ยมอยากแวะซื้อน้ำยาเติมพอตพอดี" มองร้านสะดวกซื้อที่ตั้งตระหง่านและโบสถ์ที่ดูโดดเด่นเป็นสง่าไม่แพ้กัน ทันทีที่รถจอดเธอเปิดประตูลงจากรถคนแรก พร้อมกับคว้ากระเป๋าเงินเตรียมจับจ่ายใช้สอยเติมที่
ฉันเดินตรงมาหาพนักงานสาวซูเปอร์มาร์เก็ตก่อนจะสั่งซื้อน้ำยาฟรีเบสสีฟ้ากลิ่นเปปเปอร์มินต์ ขณะเดียวกันสายตาเหลือบเห็นตัวอะไรแปลก ๆ คล้ายหุ่นใหญ่โตอยู่ข้างนอกมองผ่านลอดบานกระจกสีใส เมื่อจ่ายเงินเสร็จแล้ว ฉันเดินไปดูสิ่งลึกลับปริศนาใกล้ ๆ โบถส์แห่งนั้น
"เหวอออ ตัวอะไรวะเนี่ย" ฉันลั่นปืนใส่ยักษาตัวนั้น ไม่ดิ ไม่ใช่
โกเลมที่ยืนสงบนิ่งเมื่อมีอาวุธกระทบกระทั่งผิวหนังหินของมัน สายตาดุดันมองไปยังร่างของฉันก่อนโจมตีผู้บุกรุกที่เข้ามารุกรานมันก่อน ทางด้านตัวเองก็สับสน ไม่เข้าใจ "โก….โกเลม ใช่ป่าววะ" ปืนยิงใส่ยังไงก็ยิ่งไม่เข้าสักลูก ลูกกระสุนร่วง ร่างหินอึดถึกทนประดุจยักษาง้างมือขนาดใหญ่กว่าตัวฉันกระแทกลงมาเต็มพื้น
ฉันกลิ้งตัวหลบ จังหวะนั้นทำให้เห็นอักษร EMETH
เมื่อปืนยิงไม่เข้าจำใจต้องใช้สิ่งอื่นแทน อาวุธที่น่าจะยาวพอมาฟาดฟันกับโกเลมยักษ์ตัวนี้ ไบร์ทเองก็ได้รับบาดเจ็บมาเหมือนกันยามถูกแรงเหวี่ยงกระแทกแต่ละที ทำให้ฉันถึงกับเห็นดาวลอยวิ้งอยู่บนหัว มือข้างขวาเปลี่ยนมาถือหอกก่อนจะดีดตัวขึ้นเพื่อให้สูงพอและเหวี่ยงมีดสั้นปลายแหลมพุ่งทะยานไปตัวอักษรปริศนา E อย่างส่งเดช
ฉับพลันร่างโกเลมยักษ์กลายเป็นกองซากหินมหึมาตรงเบื้องหน้า เธอรู้สึกฉิบหายแล้ว ดันไปวิวาทกับโกเลมผู้พิทักษ์โบถส์ซะได้
ก่อนเดินกลับขึ้นรถมาด้วยสีหน้าอึน ๆ อึ้ง ๆ
ได้ยินเสียงปืนอัจฉริยะดังขึ้นก็ตกใจ ครั้นจะวิ่งลงไปดูฉันก็กลับมาที่รถแล้ว “เจอตัวอะไรงั้นเหรอ?” ดีนถามหน้าตาตื่น
เดม่อนลุกขึ้นก่อนเดินออกมาหน้ารถ เห็นดีนกับฉันกลับมาพร้อมกัน ดูเหมือนทุกคนจะปลอดภัยดี ก่อนจะถอนหายใจโล่งอก ดูเหมือนจะคละสายตาไม่ได้เลย โลกข้างนอกนี้อันตรายจริง ๆ อสุรกายปะปนกับมนุษย์เต็มไปหมด
เดม่อนมองรอบ ๆ ตัว ถ้าไม่มีเทพีเฮคาที ไม่อยากคิดเลยว่าโลกจะโกลาหลแค่ไหน หากเทพีทำลายมนตร์บังตาที่นางสร้างขึ้น จะว่าไปแล้วเดม่อนมีอะไรอยากจะส่งของขวัญให้เทพีอะธีน่าเหมือนกัน เอาไว้ค่อยกลับไปคิดสักหน่อยว่าจะฝากอะไรดี ไม่รู้ว่าซื้อเทปเฮอร์มีสติดมือมาจากยูพีเอสหรือเปล่า ม้วนเทปที่แปะติดพัสดุก่อนกล่องจะหายไปแท้จริงมันถูกส่งไปยังยูพีเอส ให้เฮอร์มีสคัดแยกพัสดุ ตามที่พี่ไพเพอร์บอกเกี่ยวกับม้วนเทปนี้ ถ้าซื้อติดมือไว้ก็คงดี จะได้ลองใช้…
"ต่อไปใครจะขับรถ ดีนนายเปลี่ยนผลัดเลยหรือเปล่า"
“ขับต่อไปก่อนก็ได้ฉันยังไหว แล้วพวกเราค่อยไปเปลี่ยนกะกันแถว ๆ ทะเลสาบชาร์ลส์ก็ได้ กลางทางพอดี” ดีนเปิดแผนที่ให้ฉันดูก่อนจะจิ้มไปยังจุดกึ่งกลางของเส้นทาง
เมื่อทุกคนแวะพักกันเพียงพอที่จะออกเดินทางต่อไปแล้ว ดีนก็ขับรถต่อไปเรื่อย ๆ อย่างระมัดระวังจนถึงทะเลสาบชาร์ลส์ในรัฐหลุยส์เซียน่า ทิวทัศน์แถวนี้ถือว่าสวยงามทีเดียว น่าเสียดายที่พวกเขาไม่อาจหยุดแวะได้นานเพราะกลิ่นของเหล่าเดมิก็อดถึงห้าคนอาจดึงดูดให้อสุรกายดุร้ายเข้ามาขย้ำอีก
คนขับรถกะสองคือฉัน พาพวกเราไปถึงเมืองโมบีลโดยสวัสดิภาพแล้วค้างคืนกันแถบชานเมืองในวันนี้ ก่อนจะเดินทางต่อไปที่ไมอามี่ในวันรุ่งขึ้น โชคดีจริง ๆ ที่วันนี้ไม่เจออสุรกายตัวใหญ่เป้งอย่างไคมีร่าไล่กวดระหว่างทาง
ผลการต่อสู้ของไบร์ท
โกเลม
