12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: Dean

[บันทึกการเดินทาง] คำพยากรณ์บทแรก: ตรีศูลที่หายไป

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2024-5-23 19:04:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2024-5-25 22:08

145

DAY 9: ภัยพิบัติอสุรกายห้วงทะเลลึก Part 2



ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล
ผู้จดบันทึกวันที่ 9




             [ 23 พฤษภาคม 2024 ]


             สวัสดีบันทึกของวันที่ 9 นี่ก็น่าจะผ่านมาได้ครึ่งทางแล้วสำหรับการเดินทางอันแสนยาวนานของพวกเรา ผมดีน นีล เป็นผู้รับผิดชอบในส่วนของการเดินทางแทน เดม่อน แคนเนลท์ ที่หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2024


             สำหรับบันทึกอันยาวนานของวันนี้ ผมไม่มีอารมณ์ที่จะเขียนมันเลยแม้แต่น้อย แต่เรื่องราวที่ประสบมาในวันนี้ทุกเรื่องราวล้วนแต่เป็นเหตุการณ์สำคัญ ผมจำเป็นต้องปรับอารมณ์ตัวเองเป็นอย่างมากก่อนเขียนบันทึกเรื่องราว และพยายามบันทึกทั้งหมดลงไปโดยพยายามไม่ให้ขาดตกบกพร่องอะไร หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยล่วงหน้ามา ณ ที่นี้



             5.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             จำเป็นต้องตั้งเวลาให้ตื่นเช้ากว่าปกติเพราะว่าคณะเดินทางจะต้อง “พุ่งชนหมอกยามเช้า” ตามคำทำนาย และวันนี้เราก็มีสมาชิกใหม่ร่วมเดินทางเพิ่มด้วย 2 คน คือ “แม็กนัส เชส บุตรแห่งเฟรย์” และ “ซามิราห์ อัล อับบาส (แซม) ธิดาแห่งโลกิ” (ที่มีภูมิต้านทานเวทมนตร์ทุกอย่างของสายเลือดตนเอง) ทั้งสองเป็น “วัลคิรีจากโรงแรมวัลลาฮา” หรือผมจะขอเรียกว่า “ค่ายนอร์ส” เพื่อความเข้าใจง่าย พวกเขาทั้งคู่มาเพื่อแกะรอยตามสืบเพราะดูเหมือนว่าตอนนี้ “เทพโลกิ” กำลังวางแผนร้ายทำอะไรสักอย่างซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับภารกิจของเราเหล่าชาวค่ายฮาล์ฟบลัด


             เช้านี้ผมลองใช้เครื่องมือสือสารไอริสติดต่อไปยังเดม่อนอีกครั้ง แต่ก็ยังขึ้นเป็นข้อความสีทองเหมือนเดิมว่า “โปรดลองติดต่อใหม่ อีกฝ่ายกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว” บางทีเดม่อนอาจจะกำลังตามมาสมทบกับพวกเราก็เป็นได้ ผมภาวนาให้เป็นอย่างนั้น แล้วได้กลับมาพบกันที่อ่าวซานฟรานซิสโก


             6.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             พวกเราทั้ง 6 คนออกจากโฮสต์เทลมายังอ่าวซานฟรานซิสโกแต่ก็ยังไร้เงาของเดม่อน แต่ภารกิจจำต้องไปต่อ หากไม่ทันหมอกยามเช้าคงต้องรออีกทีพรุ่งนี้เลย เท่ากับเสียเวลาไปหนึ่งวันโดยใช่เหตุ ผมถามแม็กนัสว่า “เรียกเรือมารับเราได้ไหม” พวกเรามีความรู้เกี่ยวกับค่ายนอร์สกันน้อยมา แล้วทางนอร์สขึ้นชื่อเรื่องไวกิ้งผมจึงหวังว่าพวกเขาอาจมีเรือ แต่ถ้าไม่มีอาจจะต้องขี่โลมไปยังเกาะที่ไม่รู้พิกัดเอา และขอให้การขโมยเรือเป็นวิธีการสุดท้ายที่พวกเราจะทำเมื่ออับจนหนทาง


             แม็กนัสตอบว่า “บุตรแห่งโพไซดอนสิที่ต้องเรียก”


             น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่ เจโรม ปาร์ค ซึงยอน ถึงจะได้มีเรือยอร์ชส่วนตัว (ขออนุญาตอ้างอิงถึงโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า) แต่ตอนนี้ผมคิดไว้บ้างแล้ว บุตรแห่งโพไซดอนโดยสารเครื่องบินไม่ได้ เรือจึงเป็นยานพาหนะที่ดีที่สุดในการเดินทางไปต่างประเทศ ไม่นับรถไฟด่วนพิเศษของเหล่าเทพจากสถานีหมายเลข 9 (ไม่มีเศษ 3 ส่วน 4)


             ผมจึงถามไบร์ทว่าเราควรจะเช่าเรือ แต่ปัญหาก็คือเวลานี้เช้าเกินกว่าที่บริษัทเรือเฟอร์รี่สำหรับท่องเที่ยวจะเปิดให้บริการ


             ไบร์ทให้ความคิดเห็นว่า “ติดต่อเช่าเรือน่าจะดีนะ แล้วใครขับเรือ หลังจากได้เรือแล้วพิกัดที่เราจะไปคือที่ไหนนะ ขับสุ่มมั่ว ๆ ไม่น่าไหว เรือจะมีค่าหน่วยองศาที่ต่างออกไป เราต้องรู้องศาลิปดา องศาพิลิปดาและละติจูด ลองจิจูด เหมือนกับค่าหน่วยของเครื่องบิน”


             แต่แม็กนัสแทรกขึ้น “คิดว่าไม่น่าใช่ความคิดที่ดี มีโอกาสโดนค่าปรับสูงกว่าค่าเช่า” อีกฝ่ายส่งกระดาษใบหนึ่งมาให้ผม ในนั้นมีข้อควรระวังหลากหลายจะประสบการณ์ของเจ้าตัวเอง “ข้อที่ 10 ไม่แนะนำเช่าอุปกรณ์มนุษย์ เพราะหลายเหตุการณ์คุณจะไม่มีโอกาสได้มาคืน หรือหากมีวาสนาได้มาคืนข้าวของเสียหายโดนค่าปรับ”


             นั่นทำเอาผมแทบเหวอเพราะพวกเราเพิ่งเช่ารถบ้านกันมา จริงอยู่ว่าการเดินทางของเดมิก็อดเต็มไปด้วยอันตราย แต่การใช้รถบ้านก็สะดวกสบายมากกว่านั่งรถบัสอยู่มากโข ขอแค่มีใครคนใดคนหนึ่งในทีมที่มีใบขับขี่ให้ประจำเป็นพลขับ และทีมเราก็มีคนที่ขับรถได้ถึงสามคน แม้ผมไม่มั่นใจว่าเอมีเลียจะมีใบขับขี่ของปัจจุบัน แต่เอาเป็นว่าเธอสามารถขับขี่ยานพาหนะได้หลายรูปแบบ จากคำเตือนของแม็กนัสทำเอาผมต้องเอาสัญญาการเช่ารถออกมาเปิดกางดูตอนนั้น โชคดีที่ผมยอมทุ่มเงินซื้อประกันภัยชั้นหนึ่งมาด้วยเพราะคิดอยู่แล้วว่าการเดินทางของพวกเรามันต้องทรหด ตามสัญญาได้ครอบคลุมอุบัติเหตุทุกอย่างตามวงเงินที่กำหนด แต่ถึงกระนั้นอย่าให้เกิดอุบัติเหตุเลยเป็นการดีที่สุด


             แม็กนัสยังเสนอต่อ “ถนนลอมบาร์ดน่าจะมีเรือไวกิ้งจิ๋วขายในราคา 5 ทองคำ เราอาจจะต้องซื้อสองลำ เนื่องจากเมื่อเรือจิ๋วถึงเป้าหมายมันจะสลายไป ดรักม่าเหมือนจะหลอมจากทองน่าจะพอใช้แทนกันได้ เจ้าของร้านเป็นคนแคระ”


             ผมคิดว่ามันออกจะไม่แฟร์ไปสักหน่อยที่ทางฝ่ายนอร์สจะให้ชาวค่ายฮาล์ฟบลัดไปหลอมดรักม่าเป็นทองคำ ผมจึงเสนอให้ฝั่งกรีกและนอร์สจ่ายค่าเรือกันคนละครึ่ง เพราะวัลคิรีก็มาทำงานสืบหาเบาะแสของเทพโลกิด้วยเหมือนกัน แล้วพอผมเรียกร้องก็ดูเหมือนแม็กนัสจะนึกออกได้พอดีว่าเขามีเรือส่วนตัวที่ผนึกไว้ในรูปแบบของผ้าเช็ดหน้า ตอนนั้นผมไม่คิดอะไรแต่เพิ่งมาคิดตอนที่กำลังเขียนบันทึกของวันนี้ แม็กนัสอาจจะฮั้วกับคนแคระที่ขายเรือเพื่อหลอกเอาเงินพวกเราอยู่ก็ได้


            แม็กนัสโบกผ้าเช็ดหน้าจากนั้นก็มีเรือไวกิ้งลำหนึ่งออกมา “บิ๊กบานาน่า” คือชื่อของเรือ เป็นเรือไวกิ้งหัวเรือสลักรูปมังกรที่ต้องอาศัยแรงพาย ซึ่งดูจากไม้พายที่ประกบข้างเรือมีทั้งหมด 5 แถว จึงเท่ากับจำเป็นต้องใช้แรงงาน 5 คน และผู้คุมหางเสืออีก 1 คน ช่างตรงกับจำนวนของคณะเดินทางอย่างพอเหมาะพอเจาะ ตัวเรือมีสีเหลืองนีออนทั้งลำราวกับว่าจะสะท้อนแสงในความมืดได้ เจ้าของเรือเชิญให้ทุกคนขึ้นไปบนนั้น (อ้างอิงภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ตตามเอกสารแนบ แต่ขอให้จินตนาการไว้ว่า “บิ๊กบานาน่า” เป็นสีเหลืองสะท้อนแสงทั้งลำ)


             แม้จะมียานพาหนะแต่เหมือนจะเห็นลางแห่งความสิ้นหวังมาแต่ไกล พิกัดอยู่ที่ไหนยังไม่รู้เลยแล้วต้องพายเรือใหญ่ฝ่าคลื่นลมล่องมหาสมุทรอีก ผมจึงลองผิวปากเรียกโลมาเผื่อจะเป็นแรงงานหลักในการช่วยลากเรือ แต่เมื่อเทียบขนาดกันแล้วโลมาไม่น่าจะช่วยลากได้ไหว แล้วแม็กนัสก็เพิ่งมาเฉลยว่าเพียงแค่บอกพิกัดเรือก็สามารถล่องสมุทรไปเองได้ ผมจึงไม่รบกวนแรงงานโลมาแล้วให้มันกลับสู่ทะเลไปเช่นเดิม ส่วนเรื่องการนำทางไบร์ทได้นำวิญญาณแสงสีขาวที่ได้รับมาจากลูซิเฟอร์มาแทนนาวิเกเตอร์  ไม่อยากจะเชื่อว่าวิญญาณมีจริงและผมมองเห็น ถึงจะเห็นเป็นเพียงก้อนแสงสีขาวก็ตามที


             แม็กนัสเสนอความคิดเห็น “ลองบอกมัน (ก้อนวิญญาณแสง) ให้สื่อสารกับเรือลำนี้ดูไหม โดยปกติมีแค่เขาคุยได้ แต่เขาไม่ได้ยินอะไรจากก้อนพลังงานนั้นเลย บางทีจิตวิญญาณกับจิตวิญญาณย่อมคุยกันได้ บางทีบิ๊กบานาน่าอาจจะใช้ระบบขับเคลื่อนตัวเองไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้”


             ผมบอกให้ไบร์ทลองทำตามที่แม็กนัสแนะนำดู จากนั้นเธอจึงอ้อนวอนวิญญาณแสง “ฉันอยากให้เธอลองสื่อสารเรือของแม็กนัส ได้ไหมเจ้าหญิง”


             ในระหว่างที่ไบร์ทส่งวิญญาณแสงไปปรับจูนกับบิ๊กบานาน่าของแม็กนัส ผมก็ลองโยนเหรียญติดต่อเดม่อนอีกที แต่ก็ยังทำไม่ได้ตามเดิม แม้ใจจะว้าวุ่นแต่พวกเราต้องเดินทางต่อ หากอีกฝ่ายมาไม่ทันค่อยกลับมาเจอกันที่ซานฟรานซิสโกแล้วเอาตรีศูลไปคืนพ่อด้วยกันก็ยังไม่สาย ตอนนี้ทีมเรามีตั้ง 6 คน ผมมั่นใจว่ายังไงก็คงไม่แพ้หรอกมั้ง ลูซิเฟอร์กล่าวแล้วว่าให้เชื่อใจในเพื่อนแล้วทุกอย่างจะสำเร็จราบรื่น ผมเชื่อใจในทุกคน ไม่ว่าจะเป็น ไบร์ท เดม่อน เอมีเลีย อารีแอนน์ หรือกระทั่งเพื่อนใหม่อย่างแม็กนัส และแซมก็ตาม


             “ขอให้ทุกคนระมัดระวังตัวด้วย ปกติโลกิไม่เคยเชื่อใจลูก ๆ ของพวกเขาเลย เขามักจะลงมาจัดการด้วยตัวเอง แร็กนาร์แค่น้ำจิ้ม แต่โลกิร้ายกาจยิ่งกว่านั้นร้อยเท่าพันเท่า” แม็กนัสกล่าวเตือนก่อนที่พวกเราทุกคนจะออกเดินทาง


             แล้วไหนจะลางร้ายอย่างการพบเจอ “เทพีมอยเร” อีกต่างหาก จากที่อารีแอนน์ช่วยอธิบาย พวกเธอเป็นเทพีสามพี่น้องแห่งโชคชะตาที่ปรากฏกายอยู่ในร่างหญิงชราใส่เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด คนหนึ่งปั่นด้าย อีกคนทอด้าย ส่วนคนสุดท้ายตัดเส้นด้าย “ถ้าตัดเส้นด้ายก็เหมือนตัดชีวิต อาจมีคนในนี้ที่ต้องตาย” อารีแอนน์กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นเฉียบเหมือนกำลังเล่าเรื่องสยองขวัญ แต่ผมคิดว่าเธอไม่ได้โกหก หญิงสาวธิดาเฮคาทีคนนี้ดูเป็นคนลึกลับ ไม่ได้หน้านิ่งแต่ขี้กวนประสาทเหมือนกับน้องชายของเธอ (ผมหมายถึงคนที่เกิดปี 2003)


             ความสิ้นหวังถึงขีดสุด ผมแทบจะกระโดดลงจากเรือบิ๊กบานาน่าเสียเดี๋ยวนั้น แต่เมื่อหวนคิดแล้วว่า “อาจมีคนในนี้ที่ต้องตาย” ซึ่งคน ๆ นั้นอาจเป็นผมก็ได้ใครจะไปรู้ สมองอดคิดถึงหนังเรื่อง “ไฟนอล เดสติเนชั่น” ไม่ได้ เช่นถ้าผมกระโดดลงเรือไปแต่ร่างกายไม่พ้นจากตัวเรือ โดนมวลที่มากกว่าของเรือดูด หรือด้านล่างอาจจะมีหินโสโครกอยู่พอดี อย่างน้อยถ้าต้องตายขอไม่ตายสยองอย่างโง่ ๆ ถ้าคนชะตาขาดคือผมจริงก็ขอให้เพื่อนเขียนบันทึกแทนว่าผมได้เสียชีวิตตามหน้าที่ ในการต่อกรกับเทพเจ้าโลกิเพื่อทวงคืนตรีศูลให้พ่อคืนมา แต่ก็เท่าที่คุณทราบ ผมยังมีชีวิตรอดจนมาเขียนบันทึกของวันนี้


             ระหว่างที่อยู่บนเรือบิ๊กบานาน่าผมรู้สึกพะอึดพะอมเป็นอย่างมากระหว่างที่เรือเคลื่อนไปกลางมหาสมุทรที่พายุโหมกระหน่ำ ทั้งใจไม่ดี พะว้าพะวง คลื่นไส้ สังหรณ์ในใจผมบอกว่าไม่ควรไปที่เกาะแห่งนั้น สถานที่ที่ตรีศูลปักอยู่ตามภาพนิมิตที่เดม่อนเคยกล่าวถึง ตอนนั้นผมคิดว่าคงเพราะกำลังใจไม่ดีจากการเห็นลางบอกเหตุ และอาการเมาเรือประกอบเข้าด้วยกัน และคล้ายจะสงสัยว่าแร็กนาร์ได้ร่ายมนตร์อะไรใส่ผมด้วยหรือเปล่าที่ทำให้ใจไม่อยากมาซานฟรานซิสโกเพื่อนำตรีศูลคืนมา ในใจร่ำร้องเสมอว่า “ผมทำสำเร็จตั้งนานแล้ว ตอนสถานที่ที่ต้องไปคือไมอามี่”


             ผมที่ทนอาการมึนหัวของตัวเองไม่ไหวจึงขอไปนั่งพักพิงเสากระโดงเรือแล้วคอยสังเกตการณ์รอบ ๆ ไปด้วย วิญญาณแห่งแสงลอยนำหน้าหัวเรือรูปมังกรไปราวกับมีเชือกผูกจูงทั้งที่พวกเราไม่มีใครออกแรงพายเรือ นับเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างหนึ่งที่ได้เห็นกับตาตั้งแต่ที่ได้เข้ามาเหยียบอยู่ในโลกแห่งทวยเทพ เรือบิ๊กบานาน่าถูกชักจูงเข้าไปในสายหมอก ตอนนี้คงถูกต้องตามคำทำนายท่อนนั้นแล้ว “พุ่งหาหมอกยามรุ่งอรุณ หยุดยั้งบุตรแห่งเทพโป้ปด”




             7.30 น. (เวลาโดยประมาณ)


             หลังจากที่ลำเรือแล่นผ่านเข้ามาในสายหมอก คลื่นลมรุนแรงของทะเลก็กลายเป็นสงบนิ่ง ผมเห็นเกาะ ๆ หนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกสีขาว ราวกับว่าเกาะแห่งนั้นไม่ได้ตั้งอยู่กลางน้ำแต่ลอยอยู่ท่ามกลางก้อนเมฆ จนกระทั่งเรือบิ๊กบานาน่าเกยบนฝั่งผมจึงลงจากเรือตามคนอื่น ๆ ที่ลงเรือไปก่อนหน้านี้กันหมดแล้ว


             ไบร์ทบอกลาวิญญาณแห่งแสง ดูเหมือนว่าพอหมดหน้าที่ในการนำทางวิญญาณตนนั้นก็ได้รับการปลดปล่อย จากนั้นแม็กนัสก็โบกผ้าเช็ดหน้าทำให้เรือบิ๊กบานาน่ากลับมาอยู่เป็นลวดลายในผ้าเช็ดหน้าดังเดิม


             “ที่นี่ดูวังเวงชอบกล สัมผัสถึงอสุรกายไม่ได้สักตัว ตอนบนบก เจอกันรายทางเลยล่ะ” ไบร์ทเล่าให้ชาวนอร์สฟัง


             “ฉันคิดว่าแผนการของโลกิจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่นี่แหล่ะ ถ้าตามคำพยากรณ์บอกไว้แบบนั้น เกาะนี้ในตำนานพวกนายมีชื่อไหม ดูเหมือนสถาปัตยกรรมเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับพวกนายโดยตรง” แม็กนัสพูดขึ้นมา


             เมื่อสังเกตทัศนียภาพบนเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้มีลักษณะเหมือนกับสถาปัตยกรรมกรีกจริง ๆ ด้วย ถึงแม้ผมจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปตยกรรมแต่ก็พูดได้ว่าเสาที่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าทางเข้าเป็นเสากรีก หรือหากไม่ใช่ย่อมเป็นวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน เช่น โรมัน หรือทรอย ผมสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าใครสร้างเกาะแห่งนี้ขึ้นมา พ่ออย่างนั้นหรือ แล้วถ้าหากเกาะนี้เป็นส่วนหนึ่งของแอตแลนติสจริงแร็กนาร์จะเอาตรีศูลมาซ่อนไว้ที่นี่เนี่ยนะ ไม่มีความสมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ แถมสังหรณ์ในตัวผมก็ออกอาการอย่างรุนแรงจนทำให้ผมอาเจียนออกมา


             “ออกไปจากที่นี่” ผมได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นเพื่อขับไล่ผม


             แรงกดดันมหาศาลที่ไม่รู้ว่าเกิดมาจากอะไรทำให้ผมไม่สามารถเดินต่อไปไหว จนอารีแอนน์ได้หยิบยื่นยาสมุนไพรบางอย่างให้ผมสูดดม แล้วเธอก็ร่ายมนตร์บางอย่างแก่ผมทำให้ผมไม่ได้ยินเสียงขับไล่อีก อาการคลื่นไส้จึงได้ทุเลาลงตามลำดับ


             ไบร์ทเสนอความคิดเห็น “สำรวจเกาะก่อนดีป่ะ พวกเราไม่ควรแยกกัน”


             ส่วนแม็กนัสให้ความคิดเห็นว่า “สัญชาตญาณของเขาคิดว่าซากถนนนี้น่าจะนำไปสู่ใจกลางเกาะ สถานที่สำคัญที่โลกิกำลังจะไปขโมยอะไรสักอย่างที่เกี่ยวพันกับการทำลายโลกนี้ เขาคิดว่าเราควรไปหยุดยั้งก่อนที่ของที่ถูกเก็บรักษาที่นี่จะถูกขโมยไป”


             “แต่รู้สึก เหมือนมีเสียงในหัวห้ามไม่ให้เข้าไป” ไบร์ทกล่าว ในที่สุดก็มีคนที่รู้สึกแบบเดียวกันกับผมสักที และอาจมีแค่เราที่เป็นสายเลือดโพไซดอนที่สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง


             ทันใดนั้นความเงียบสงบก็ถูกสั่นคลอน ใต้ฝ่าเท้าของพวกเราราวกับเกิดแผ่นดินไหว ผมเห็นลำแสงสีทองสว่างวาบจากจุดหนึ่งของเกาะยิงขึ้นสู่พากฟ้า


             “ทุกคนด้านหลัง แผ่นดินกำลังหายไป” แม็กนัสตะโกนเตือน


             เมื่อหันกลับไปผมเห็นว่าพื้นที่ส่วนแผ่นดินค่อย ๆ พังทลายและถูกน้ำทะเลกลืนกิน และเหมือนว่าพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดอยู่ใต้วงแสงในตำแหน่งที่สว่างวาบขึ้นมาราวกับเป็นม่านพลัง แม็กนัสใช้พลังอะไรบางอย่างแก่ผมจนทำให้มีแรงวิ่งไปข้างหน้า ผมก้าวขาเข้ามาในวงแสงได้อย่างฉิวเฉียดก่อนที่แผ่นดินใต้ฝ่าเท้าจะพังทลายลงไป ตอนนี้พวกเราอยู่ใจกลางของซากวิหารหรืออะไรสักอย่างที่ตอนนี้กลายเป็นเพียงแค่ซากปรักหักพังกลางมหาสมุทรแปซิฟิก และใจกลางของม่านพลังนี้อีกทีหนึ่งคือลำเสาแสงที่พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า




             8.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             “บางทีอาจมีใครบางคนแตะต้องดาบศักดิ์สิทธิ์ แย่ล่ะสิ ฉันคิดว่าพวกเราไม่ควรจะมาที่นี่ตั้งแต่แรก” แซมกล่าวเสียงเครียด


             แต่ใครจะไปสัมผัสกับดาบล่ะในเมื่อพวกเราวิ่งมาถึงพร้อม ๆ กันทุกคน แต่ที่แคลงใจมากที่สุดก็คือ “ดาบศักดิ์สิทธิ์” เธอกำลังหมายถึงอะไรกันแน่ แต่แซมต้องรู้อะไรแน่ ๆ เธอถึงได้มีสีหน้าถอดสีแบบนั้น ทำเอาผมคิดตามไปว่าตอนนี้เราตกหลุมพลางของเทพโลกิเข้าเต็ม ๆ แม้จะไม่เข้าใจว่าเรื่องอะไรก็ตามที รอบนอกอาณาเขตวงแสงคือทะเลที่กำลังพิโรธไม่หยุด ระหว่างที่พวกเรากำลังคิดว่าควรทำอะไรต่อแสงสว่างที่กลางวงพื้นที่ค่อย ๆ ปรากฏเป็นรูปร่างของ “ตรีศูล” ที่ถูกปักอยู่บนโขดหิน และอีกร่างหนึ่งที่สวมชุดเกราะสีขาวบริสุทธิ์ยื่นตระหง่านเพื่อคุ้มครอง


             ในที่สุดก็ได้พบกับตรีศูลของพ่อเสียทีอย่างน้อยก็ถือว่าการมายังเกาะแห่งสายหมอกนี้ไม่ได้เสียเที่ยว และสังหรณ์ของผมผิดพลาด แต่ก่อนจะนำตรีศูลคืนกลับมาคงต้องจัดการกับผู้พิทักษ์ที่อยู่ตรงหน้าเสียก่อน ร่างในชุดเกราะขยับกายชักอาวุธออกมาเมื่อพวกเรายิ่งเข้าใกล้ตรีศูล แต่ผมรู้สึกว่ามันแปลก ๆ ทำไมสมุนของโลกิถึงมาในรูปแบบของผู้พิทักษ์ไปได้ หรือเทพองค์นั้นต้องการจัดฉากเวทีการต่อสู้ให้ยิ่งใหญ่อลังการกันแน่


             ยังไม่ทันได้เข้าปะทะกับอัศวินเกราะขาว แซมก็ถูกพลังบางอย่างซัดตกทะเลไปจนแม็กนัสต้องกระโดดน้ำตามลงไปช่วย ผมอยากจะช่วยทั้งสองคนเหลือเกินแต่จากคำบอกเล่าของแม็กนัสในคืนแรกของการเป็นแชร์เมท ถึงได้รู้ว่าพวกค่ายนอร์สคือเด็กที่เสียชีวิตแล้วกลายเป็นชวัลคิรีตามตำนานนอร์ส กายเนื้อที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกเขาคือร่างกายที่ “เทพโอดิน” ประทานให้สำหรับการทำภารกิจบนโลกมนุษย์ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจหรือสูญเสียกายเนื้อไปอีกครั้ง (ตาย) วิญญาณของพวกเขาจะกลับสู่โรงแรมวัลฮาลา ดังนั้นทั้งสองจึงน่าจะไม่เป็นอะไร


             เมื่อเริ่มการต่อสู้คราวนี้เอมีเลียถูกพลังปริศนาพัดออกจากพื้นที่ไปอีกคน แต่ว่าเธอบินได้ผมจึงได้แต่หวังว่าเธอจะปลอดภัย ในสังเวียนนี้จึงเหลือเพียงแค่ผม ไบร์ท และอารีแอนน์ ผู้พิทักษ์อีกตนปรากฏตัวขึ้นเล่นงานไบร์ทผมจึงต้องต่อสู้ตัวต่อตัวกับผู้พิทักษ์ตนแรกที่เงื้อดาบเข้ามาหา ฝีมือของอัศวินเก่งกาจยิ่งกว่าอสุรกายที่ประสบมาระหว่างการเดินทาง จนทำให้ผมไม่อาจละสายตาไปมองทางไบร์ทได้ ผมได้ยินเสียงปืนนอัจฉริยะของเธอลั่นไกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นได้ยินเสียงของโลหะกระทบกัน


             ชุดเกราะสีขาวของผู้พิทักษ์แข่งแกร่งราวกับโลหะสัมฤทธิ์เวทที่พวกเราเดมิก็อดชาวค่ายฮาล์ฟบลัดสวมใส่กันจึงทำให้หอกของผมฟันแทงไม่เข้า แต่พื้นที่แห่งนี้รายรอบไปด้วยน้ำทะเล ผมที่มีสายเลือดเจ้าสมุทรสามารถควบคุมน้ำเพื่อต่อกรกับผู้พิทักษ์ได้ แต่เรื่องชวนอึ้งยิ่งกว่าก็คือ “ผู้พิทักษ์ตนนั้นก็สามารถใช้พลังควบคุมน้ำได้เช่นกัน” และเหนือกว่านั้นดูเขาจะใช้ทักษะนี้ได้คล่องแคล่วและทรงพลังกว่าผมเสียอีก


             การต่อสู้เป็นไปอย่างยากลำบาก ผมถูกแรงดันน้ำมหาศาลโจมตีใส่จนตกทะเล แต่ด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้และการฝึกฝนอย่างหนักที่ผ่านมา ผมควบคุมแรงดันน้ำใต้ขาดันร่างตัวเองให้ลอยสูงขึ้นเพื่อกลับมาต่อสู้บนสังเวียนที่เต็มไปด้วยน้ำได้ใหม่ ผู้พิทักษ์เรียกตรีศูลน้อยออกมาควบคุมน้ำจนทะเลรอบด้านปั่นป่วนไปหมดทุกทิศทาง จากนั้นมวลน้ำจำนวนมหาศาลก็ถล่มลงมายังใจกลางพร้อม ๆ กัน


             จากท่าไม้ตายของผู้พิทักษ์ทำเอาผมตื่นตะลึงเพราะว่าผมยังไม่มีทักษะที่จะเรียกตรีศูลน้อยออกมาได้เลย เมื่อประมาณ 1-2 เดือนก่อนผมได้พบกับรุ่นพี่สายเลือดโพไซดอนคนหนึ่งในตัวเมืองนิวยอร์ก พวกเราคุยกันหลายอย่างรวมถึงพลังที่พ่อจะประทาน ซึ่ง “ตรีศูลน้อย” ถือเป็นพลังสุดท้ายราวกับท่าไม้ตายของเหล่าบุตรและธิดาของเจ้าสมุทร


             ผมควบคุมน้ำส่วนหนึ่งสร้างเป็นกำแพงวารีป้องกันมวลน้ำนั้นเอาไว้ ถ้าเกิดว่ากำแพงนี้ถล่มไปทุกคนต้องไม่รอดแน่ ๆ ไม่สิ ผมกับไบร์ทอาจจะรอดเพราะหายใจใต้น้ำได้ แต่ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากที่จะต้านทานกระแสน้ำที่มากกว่าเอาไว้ ผมอธิษฐานถึงเทพโพไซดอนและเทพีแอมฟิไทรต์ แต่ดูเหมือนว่าเทพแห่งท้องทะเลทั้งสองจะไม่รับฟังทั้งที่อยู่ในนาทีวิกฤตเช่นนี้


             “เทพจะไม่ช่วยเหลือเหล่าเดมิก็อดในภารกิจเดินทาง” รุ่นพี่ไพเพอร์ แม็กลีน เคยกล่าวไว้เช่นนั้น


             ช่วยไม่ได้ผมคงต้องขอกำลังใจจากทางอื่น ตอนนี้ผมมีสภาพไม่ต่างจาก “ซง โกฮัง” (จาก ดราก้อนบอล) ที่ร่ายบอลเก็งกิเพื่อพิชิตเซลล์ ผมนึกถึงใบหน้าทุกคนในค่ายฮาล์ฟบลัด คนรู้จักที่นิวยอร์ก ครอบครัว และอีกหลายชีวิตที่ต้องสูญเสียหากว่าภารกิจครั้งนี้ต้องล้มเหลวมาเป็นพลังเพื่อพิชิต ผมซัดพลังน้ำทั้งหมดกลับไปยังผู้พิทักษ์ตรีศูลด้วยพลังใจเหมือนการ์ตูนโชเน็น จากนั้นเทพพิทักษ์ตนนั้นก็สลายหายไปในพริบตาเดียว


             ทางด้านไบร์ท ผมรู้มาภายหลังว่าเธอใช้กระบวนดาบพิชิตผู้พิทักษ์ตรีศูลตนที่ 2 ได้สำเร็จ โดยเข้าห้ำหั่นกันกว่า 109 รอบ โดยเน้นทำลายจุดข้อต่อระหว่างชุดเกราะที่มีอยู่อย่างน้อยนิด ผมเพิ่งจะรู้เอาตอนนี้เนี่ยแหล่ะว่าเธอมีวิชาดาบติดตัวด้วย แถมยังมีฝีมือที่ร้ายกาจไม่ธรรมดา ถ้าพ่อจะภูมิใจลูกคนไหนสักคนในฐานะนักรบก็ควรเป็นเธอ




             9.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             ผมใช้พลังควบคุมน้ำมากเกินไปจนร่างกายทรุดลงไปกับพื้น แต่ภารกิจยังไม่สำเร็จดี ผมต้องลงน้ำไปช่วยแม็กนัสกับแซม แล้วยังเอมิเลียที่ตอนนี้ไม่รู้ชะตากรรม จากนั้นจึงต้องกลับมาดึงตรีศูลออกจากโขดหิน ในเมื่อภารกิจยังไม่สำเร็จจะมามัวนั่งพักไม่ได้เด็ดขาด แต่ไม่ทันจะลงช่วยเพื่อน ๆ แร็กนาร์ก็ปรากฏกายเหนือตรีศูล มันขยับรอยยิ้มน่ารักเกียจพร้อมกับเอื้อมมือไปด้านหน้า ทำท่าจะดึงตรีศูลขึ้นมา


             ดีนปล่อยให้แร็กนาร์ขโมยตรีศูลของพ่อไปไม่ได้อีกเด็ดขาด จึงรีบพุ่งตัวไปยังโขดหินให้ทันก่อนแล้วรีบดึงตรีศูลขึ้นมา ฉับพลันตรีศูลของพ่อก็ปกคลุมไปด้วยควันสีเขียวแล้วกลายสภาพเป็นดาบ ทันใดนั้นใต้ฝ่าเท้าก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่มากยิ่งกว่าตอนที่ทะเลพิโรธเมื่อครู่นี้


             “ขอบคุณที่ปลดผนึกให้” แร็กนาร์กล่าวกับผมด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย


             สมองหนักอึ้งคิดอะไรต่อไม่ออก แต่ผมก็ได้รู้ตัวแล้วว่าตอนนี้ตนเองได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ผมหน้าชาไปหมด หูก็อื้ออึง ทั้งโกรธไอ้บ้าตรงหน้าแล้วก็โกรธตัวเอง สัญชาตญาณส่วนตัวบอกผมมาตั้งแต่แรกว่าควรไปไมอามี่ตั้งแต่ที่ได้รับเหรียญรูปตรีศูลมา แล้วไหนจะผู้พิทักษ์ที่ใช้พลังแบบเดียวกันอีก ผู้พิทักษ์ที่พยายามต่อสู้อย่างสุดกำลังเพื่อพิทักษ์ดาบเล่มนี้ที่ผนึกอะไรสักอย่างที่ตอนนี้เขารู้ได้แล้วว่าปลดผนึกที่ว่าคือผนึกของอะไร จนคำตอบที่เป็นส่วนหนึ่งของคำทำนายได้ปรากฏขึ้นมาเสี้ยวหนึ่งในหัว “อสุรกายห้วงทะเลลึก” ยังไงล่ะ


             เสียงแว่ว ๆ ของไบร์ทดังขึ้น เธอพยายามเรียกสติผม “แต่มันยังมีคำทำนายอยู่นะ พึงเลือกโชคชะตา โทสะแห่งสมุทรเทพหรืออสุรกายห้วงทะเลลึก บางทีเราอาจจะได้ตรีศูลพ่อคืนจากที่ไหนสักแห่งในเกาะนี้”


             “ไม่ ไบร์ท ฉันว่าตรีศูลของพ่อมันอยู่กับฉันมาตลอดตั้งแต่ที่ลาสเวกัสแล้ว” ผมตบที่กระเป๋าอกเสื้อตัวเอง แม้ไม่ได้สัมผัสตรง ๆ ยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของท้องทะเล และเมื่อนำเหรียญออกมาจากกระเป๋าเสื้อมันก็กลายเป็นตรีศูลจากผนึกเวทลวงตาคลี่คลายออก


             “แต่ในเมื่อพวกแกช่วยข้าขนาดนี้แล้ว จะบอกใบ้อะไรบางอย่างให้ก็ได้ ในนี้ขาดหายใครไปคนนึงนะ บุตรแห่งอะโฟรไดท์หายไปหรือเปล่าเอ่ย แน่นอนว่าทำแต่ไม่ถึงตาย ลองไปตามหาดูแถว ๆ โมฮาวี วัลเลย์แล้วกันนะ ถ้าโชคดีก็คงเจอตัวแหล่ะ แต่ถ้าไม่…” แร็กนาร์พูดยียวนทำมือคล้ายกับตัดเส้นด้าย


             ด้วยความเหลืออดผมจึงพุ่งเข้าไปต่อยมันเต็มแรงจนหมวกทรงประหลาดของมันหลุดออกจากศีรษะ เผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา ใบหน้าของ แร็กนาร์ บุตรแห่งโลกิ ไม่ใช่ “ลุค คาสเทลแลน” ที่มันสวมรอยอยู่ตลอดเวลา


             ระหว่างที่ผมกำลังระเบิดโทสะใส่ศัตรูที่น่ารังเกียจ ก็มีเงาหนึ่งปรากฏกายเหนือน่านฟ้า เงาสีเขียวสวมหมวกเขาโง้งยาวน่ากลัว ที่เห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่าเป็นเทพเจ้าระดับสูง ร่างของแร็กนาร์ที่ผมกำลังรัวหมัดใส่หายไปทำให้กำปั้นของผมกระทบพื้นเข้าจัง ๆ ความเจ็บปวดพอจะรั้งสติเอาไว้ได้ ผมมองไปรอบ ๆ เห็นไบร์ทกำลังเถียงกับแม็กนัสเรื่องอะไรสักอย่าง แต่แล้วผมก็เห็นว่าคนจากค่ายนอร์สหันคมดาบใส่อสุรกายตัวใหญ่มหึมาจนคิดว่าไม่น่ามีอะไรที่จะสยองขวัญได้มากกว่านี้อีกแล้ว


             อสุรกายใต้ทะเลลึกที่โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ ตัวของมันใหญ่โตมหึมาราวกับภูเขา ใบหน้าคล้ายหมึกยักษ์ ดวงตาแดงก่ำ มีร่างกายครึ่งท่อนบนคล้ายมนุษย์ส่วนท่อนล่างผมไม่ทราบเพราะจมอยู่ใต้น้ำ ความสยองขวัญของมันราวกับฝันร้าย และมันจ้องมองผมกับไบร์ทด้วยสายตาเคียดแค้น ผมเคยเห็นภาพวาดที่คล้ายคลึงกันมาก่อนตอนหาข้อมูลของอสุรกายที่อาจต้องรับมือ มันคือ “คธุลฮู” หรืออาจจะออกเสียงได้อย่างอื่นที่ใกล้เคียงจากนั้น (อ้างอิงรูปภาพจากอินเทอร์เน็ตตามเอกสารแนบ) ในตอนนั้นผมไม่ทราบเลยจริง ๆ ว่าจะเอาอะไรไปสู้กับมันได้


             “จงสดับฟังและปลาบปลื้ม ข้าโลกิ เทพเจ้าแห่งการหลอกลวงผู้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าเทพแห่งการหลอกลวงใดใดทั้งปวงในพิภพ จงรับเกียรตินี้ไว้เถิดเหล่าเดมิก็อดจากฮาล์ฟบลัดที่พวกเจ้าเต้นไปตามปลายนิ้วมือของข้าและช่วยให้สำเร็จตามแผน น่าเสียดายบุตรแห่งเฟรย์ คธุลฮูตัวนี้ไม่ใช่ของเล่นของเจ้าหรอกเด็กน้อย แผนการของข้ายังมีอีกเยอะ ขอตัวก่อน”


             เทพที่มาใหม่แนะนำตัวว่าคือ “โลกิ เทพแห่งการลวงหลอก” ซึ่งตรงตามที่แม็กนัสคาดคะเนไว้เป๊ะว่าเทพโลกิจะต้องออกมา เทพโลกิร่ายมนตร์บางอย่างใส่อสุรกายตัวมหึมาจนทำให้มันสงบลง และดูดมันรวมถึงแร็กนาร์เข้าหลุมดำก่อนที่เทพจอมโป้ปดจะหายไปตัว


             “ข้าจะต้องรีบตามโลกิไป พวกเราคงต้องแยกทางกันตรงนี้แล้ว ระวังตัวด้วย ขอให้พวกนายช่วยเพื่อนได้สำเร็จล่ะนะ” แม็กนัสกล่าวก่อนที่เขาจะเรียกเรือบิ๊กบานาน่าแล้วรีบตามร่องรอยเวทมนตร์ของเทพโลกิไป การร่วมมือระหว่างเดมิก็อดทั้ง 2 ค่ายจึงยุติลงเพียงเท่านี้


             หลังการต่อสู้สิ้นสุดลง แผ่นดินที่พวกผมยืนเหยียบแตกออกเป็น 2 ซีกน่าจะเป็นช่วงที่แผ่นดินไหวมาก ๆ และอสุรกายโผล่ออกมา ผมมองดูสมาชิกภายในทีม อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็อยู่กันครบ เอมีเลียอาจจะกลับมาได้ด้วยตัวเองระหว่างที่ผมกำลังซัดอยู่กับแร็กนาร์ ส่วนแซมผมไม่มั่นใจในชะตากรรมของเธอ แต่จากคำบอกเล่าจากผู้เห็นเหตุการณ์อย่างอารีแอนน์เธอบอกว่า หญิงสาวคนนั้นถูกสะพานสายรุ้งรับตัวไป


             ไม่เคยรู้สึกสิ้นหวังไร้เรี่ยวแรงได้มากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ผมแทบจะไม่มีแรงยืนหยัดขึ้นมาหลังจากทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ลงไป แต่ชีวิตก็ต้องไปต่อ ผมเก็บตรีศูลของพ่อขึ้นมารวมทั้งดาบศักดิ์สิทธิ์แล้วนำมันไปส่งให้ไบร์ท เหตุผลที่ 1 เพราะว่าเธอใช้ดาบในการต่อสู้ และเหตุผลที่ 2 คือ ผมไม่สามารถเก็บความอัปยศไว้กับตนเองได้ไหว


             “แล้วจะกลับยังไงล่ะ ขี่โลมากลับไหม” ไบร์ทเสนอ เธอคงอยากออกจากที่นี่เต็มทน ผมก็เช่นกัน


             “ทำไมลูซิเฟอร์ถึงพยายามให้เรามาที่นี่ล่ะ เขาไม่ได้หลอกใช้พวกเราเหมือนกันใช่ไหม” ผมถามเพื่อนร่วมค่าย


             ตอนนี้รู้สึกไม่ไว้วางใจอดีตเทวทูตตนนั้นขึ้นมา ลูซิเฟอร์มอบตรีศูลให้ และยังมอบวิญญาณแสงที่นำพาให้พวกผมมายังเกาะแห่งนี้ ทั้งช่วยเหลือและหลอกลวงพวกเราไปพร้อม ๆ กันหรือเปล่า ซึ่งดูเหมือนว่าไบร์ทก็จะฉุกใจคิดขึ้นมาได้ ที่อีกฝ่ายบอกให้เชื่อใจเพื่อน ถ้าไม่มาที่นี่แล้วภารกิจจะล้มเหลวเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ แต่ตอนนี้ช่างเรื่องลูซิเฟอร์ไปก่อนเพราะเรายังต้องไปช่วยเดม่อนที่โมฮาวีวัลเลย์ ถ้าแร็กนาร์ไม่ได้โกหกพวกเราอีก




             10.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             ผมเรียกโลมามา 4 ตัว เพื่อช่วยนำทางให้พวกเรากลับไปยังอ่าวซานฟรานซิสโกได้โดยปลอดภัย ไบร์ทสอนสาว ๆ เรื่องการขี่โลมา ส่วนผมคอยประกบข้างเพื่อควบคุมฝูงอีกทีนึง




             12.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             พวกเราทั้ง 4 มาถึงอ่าวซานฟรานซิสโกได้โดยสวัสดิภาพ ซึ่งตอนนี้ผมเหนื่อยและท้อใจเหลือเกินสำหรับการเดินทางครั้งนี้ จึงขอพักกายและใจก่อนจะเริ่มเดินทางใหม่ในวันพรุ่งนี้ ขอให้เดม่อนยังปลอดภัยและพวกผมไปช่วยเขาได้ทันเวลา


             ความคิดเห็นของผู้เขียนบันทึก: ผมต้องขอโทษทุกคนในความโง่เขลาของตัวเองที่ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ในอนาคต ผมไม่มีอะไรจะกล่าวมากไปกว่า ผมเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ขอโทษครับ


จบบันทึกของวันที่ 9
ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล





 ผลการต่อสู้ของดีน
  ผลการต่อสู้ของไบร์ท


 ▼กดปิดเสียงข้างล่าง▼

แสดงความคิดเห็น

God
ผู้พิทักษ์ไม่ใช่อสุรกายจึงไม่ได้ตื่นรู้ แต่จะได้จากการจดบันทึกประสบการณ์การต่อสู้ในเล่มรวมการต่อสู้กับอสุรกายแทน  โพสต์ 2024-5-23 21:04
โพสต์ 90425 ไบต์และได้รับ 54 EXP!  โพสต์ 2024-5-23 19:04
โพสต์ 90,425 ไบต์และได้รับ +7 EXP +6 เกียรติยศ จาก นาฬิกาสปอร์ต  โพสต์ 2024-5-23 19:04
โพสต์ 90,425 ไบต์และได้รับ +4 เกียรติยศ +4 ความกล้า +4 ความศรัทธา จาก ล็อคเก็ตรูปหัวใจ  โพสต์ 2024-5-23 19:04
โพสต์ 90,425 ไบต์และได้รับ +8 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก ควบคุมน้ำ  โพสต์ 2024-5-23 19:04
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เข็มกลัดโพไซดอน
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่แห่งเกียรติยศ
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
เข็มทิศมหาสมุทร
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
ควบคุมน้ำ
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
น้ำหอม Unisex
หมวกเกราะ
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x10
x1
x2
x4
โพสต์ 2024-5-24 19:53:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด

𝕭𝖗𝖎𝖌𝖍𝖙 𝕬𝖒𝖊𝖘

𝕾𝖆𝖛𝖊 𝖕𝖆𝖌𝖊 10




คณะเดินทางอยู่ในสภาพที่หมดอาลัยตายอยาก


ภารกิจตามหาตรีศูลสำเร็จแต่ก็ล้มเหลว ถูกหลอกใช้ให้ปลดผนึกอสุรกายห้วงทะเลลึก จะเกิดปัญหากับเทพฝั่งนอร์สหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่หวังว่าแม็กนัส เชส จะอธิบายให้แก่พวกเขาได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ต้องเร่งเดินทางไม่มีเวลาพักกายพักใจก็คือ เดม่อน แคนเนลท์ ถูกจับตัวไปขังไว้ที่โมฮาวีวัลเลย์ ที่อยู่ห่างไกลไปจากอ่าวซานฟรานซิสโกถึง 560 ไมล์ทางตะวันออก 


หลังพวกเขาจัดการธุระส่วนตัวและเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมมาก็รีบออกเดินทางโดยรถบ้านทันที โชคดีที่มีเอมีเลียอยู่เป็นพลขับ เพราะตอนนี้ดีนไม่ไหวส่วนเขาไม่แน่ใจแต่คงกำลังใจดีกว่าแน่ ๆ


“ไอ้เจ้าแร็กนาร์คงไม่โผล่มาป่วนอีกนะ…”


ฉันมีอาการอ่อนเพลียจากอุปสรรคมากกว่าการเดินทาง ถึงระยะทางจะไกลแต่สิ่งที่พบเจอก็ทำเอาหัวใจห่อเหี่ยวยิ่งกว่าดอกไม้เหี่ยวเฉาซะอีก 


"เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ไอ้เวรนั่นคงไม่โผล่มากวนพวกเราแล้วล่ะ" ฉันส่งเสียงแข็งก้าว นึกถึงสิ่งที่แร็กนาร์พูดไว้ครั้งตอนที่เผชิญหน้ากันครั้งล่าสุด "เหมือนมันเป็นเด็กขี้อิจฉาเลยอ่ะ อยากให้คนสนใจตัวเอง ดีนนายคิดว่าไง"


“ถ้าเป็นงั้นได้ก็ดี ฉันเหนื่อยที่ต้องสู้อีกต่อไปแล้ว บอกตรง ๆ ว่าถ้าภารกิจนี้มันไม่สำคัญฉันคงหนีกลับไปค่ายตั้งแต่วันแรกที่ออกมา”


ดีนที่นั่งข้างคนขับเอนหัวพิงกระจกมองดูวิวด้วยสายตาเลื่อนลอย ถ้าจบจากภารกิจนี้แล้วดีนไม่เอาอีกแล้วภารกิจเดินทาง ท้อกายยังพอไหวท้อใจสิไปต่อไม่ได้ ต่อให้โลกจะแตกก็ช่างมันแล้ว ถ้าทุกคนไม่รอดเขาก็จะไม่รอดไปด้วยกันเนี่ยแหล่ะ


“คงงั้น… ฉันไม่รู้นะว่าที่แม็กนัสพูดถึงโรงแรมวัลฮัลลาจะเป็นยังไง แต่ถ้าพูดถึงไวกิ้ง วัลคีรี หรืออะไรนอร์ส ๆ แล้วน่าจะแข่งขันกันดุเดือดกว่าค่ายฮาล์ฟบลัด ขนาดว่าค่ายเราเด็ก ๆ ยังต้องไปเสี่ยงอันตรายเพื่อให้พ่อแม่เทพภูมิใจเลย ค่ายนอร์สคงยิ่งกว่านั้นเยอะล่ะมั้ง ส่วนฉัน… ไม่เคยมีความคิดแบบนั้นล่ะ พ่อจะไม่ภูมิใจก็ช่างพ่อสิ ฉันแค่ไม่อยากตายเฉย ๆ” พูดจบก็ถอนหายใจ


"ฉันเห็นด้วยเหนื่อยทั้งกายและใจ" พยายามไม่นึกถึงเรื่องเมื่อวาน ก็อดคิดไม่ได้จริง ๆ ท้อแท้สิ้นหวัง ปลดปล่อยอสุรกายที่ผู้พิทักษ์แห่งเธซีอุสพยายามจะปกป้อง การที่มันมองด้วยสายตาเคียดแค้นมีความเป็นไปได้ว่า คนที่ผนึกมันต้องเป็นเทพสมุทรโพไซดอน พ่อของพวกเขา


"แล้วจะไปตามหาเดม่อนเจอจริงใช่หรือเปล่า  ไม่ใช่ว่าหายไปอีกรอบนะ คือตอนที่อยู่ลาสเวกัสเดม่อนอย่างกับจะเทพวกเราซะดื้อ ๆ ไม่บอกกล่าวไรสักอย่างปล่อยให้พวกเราต้องคิดกันไปเอง" หันไปหาเอมีเลีย "ขับซิ่ง ๆ ได้มั้ย เผื่อจะได้ถึงที่หมายเร็ว ๆ" เอมีเลียเป็นธิดาแห่งซุสถึงจะขับรถเป็นก็ไม่มีทางเร็วเท่าแท็กซี่สามพี่น้องสีเทา ซึ่งมันก็ดีแล้วล่ะ เร็วในระดับมนุษย์ก็พอ !


“ไม่รู้สิ ฉันไม่รู้อะไรเลย โมฮาวีวัลเลย์มันก็ไม่ใช่เล็ก ๆ แถมยังเป็นทะเลทรายอีก ถ้าเกิดว่าขาดน้ำ.. ฉันกลัวว่าหมอนั่นจะเป็นเนื้อแดดเดียวมากกว่าจะมีแรงไปต่อ”


แต่ที่แน่ ๆ ดีนจะไม่ยอมทิ้งเพื่อนไปโดยเด็ดขาด หากเทพีอะโฟรไดท์อยากช่วยเหลือลูกของนางน่าจะต้องสงสัญญาณความช่วยเหลืออะไรมาบ้างสิ เหมือนกับที่เคยทำก่อนหน้านี้


“ซิ่งกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถ้าเกินความเร็วเดี๋ยวได้ไปโรงพักแทนไปถึงโมฮาวีนะ” เอมิเลียกล่าวตอบฉัน อีกอย่างใบขับขี่ของเอมีเลียก็หมดอายุไปตั้ง 80 ปีแล้วด้วย


ฉันพยักหน้ายังไงก็ไม่ยอมทิ้งเดม่อนไว้เด็ดขาด ถึงจะหงุดหงิดกับการกระทำก่อนหน้า แต่ในฐานะของความเป็นสหายย่อมห่วงใยอยู่แล้ว "ฉันเคยไปที่โมฮาวี วัลเลย์ สภาพอากาศก็เหมือนทะเลทรายในประเทศอื่น ๆ แต่ที่นั่นมีชั้นหินแร่ธาตุที่เหมาะกับเอามาวิจัย ศึกษาคุณสมบัติทางเคมีของหินคาร์บอเนตอะไรทำนองนั้น" 


ฉัรเห็นอารีแอนน์ทำงง เอมีเลียก็เหมือนจะกึ่งเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ 


"โทษที ที่เผลอพูดอะไรแปลก ๆ"


จากนั้นเธอจึงเอนหลังลงเบาะรถ ฟังเพลงที่เปิดบนรถในการขับเดินทางไกล เดมิก็อดทั้งสี่คนยังต้องร่วมเดินทางไปจนกว่าจะถึงจุดหมายจากซานฟรานซิสโก ไปยังรัฐแอริโซน่า


นั่นจะเป็นวันที่ดีของพวกเขาหรือเปล่านะ ?


“ไปเที่ยวหรือว่าเก็บตัวอย่างน่ะ น่าสนใจชะมัดเลยแฮะ” ที่ดีนหมายถึงคือทั้งสองอย่าง จะเที่ยวก็ดีหรือจะทำงานก็ได้ เพราะอย่างน้อยก็ได้เปิดหูเปิดตา


การเดินทางยิงยาวตั้งแต่ซานฟรานซิสโกมาถึงจุดหมายโดยแทบไม่ได้หยุดพัก ความสะดวกของรถบ้านก็คือในนี้มีห้องน้ำและตู้เย็นเสร็จสรรพ จึงซื้อเสบียงตุนตั้งแต่เช้าแล้วกินอยู่ในรถมาเลย และเอมีเลียก็ยังขับรถได้ถึกทนเหมือนเดิม ถ้าเป็นดีนขับคงต้องแวะพักบ่อยแน่ ๆ แต่ถึงจะมาได้เร็วที่สุดพวกเขาก็มาถึงโมฮาวีวัลเลย์เอาตอนเย็นกันอยู่ดี


จอดรถไว้จุดตั้งแคมป์ของอุทยานให้เรียบร้อยทั้ง 4 ก็พากันลงมาจากรถบ้าน


“เอาล่ะ เราเริ่มจากจุดไหนก่อนดีล่ะ?” ดีนคิ้วขมวด สถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลไม่ต่างกับที่ดูในสารคดี ในช่วงที่ตะวันยังไม่ลับฟ้าดีเขาพยายามมองหานกพิราบหรือสัญญาณอะไรบางอย่างของเทพีอะโฟรไดท์เป็นการบอกใบ้ แต่อีกใจก็แอบคิด ไม่ใช่ว่าแร็กนาร์มันต้มพวกเขาเป็นครั้งสุดท้ายหรอกนะ? 


"เป็นตัวแถมน่ะ ฮ่า ๆๆๆ ฉันเรียนคนละสายงานกันไปกับกลุ่มรุ่นพี่ MIT สำรวจเก็บตัวอย่างหินและปรับปรุงแผนที่ธรณีวิทยา" มหาลัยของเธอโดดเด่นเรื่องงานวิจัยและการศึกษาเกี่ยวข้องด้านวิทยาศาสตร์ 


ฉันลงจากรถบ้านก่อนจะปิดประตูรถ ขยับตัวยืดแขนยืดขาว สูดรับบรรยากาศสดชื่นเต็มปอด "นั่นสิแล้วพื้นที่โคตรใหญ่"


“อย่าว่าแต่เดมี่เลย พวกเราจะหลงกันในนี้ก่อนหรือเปล่าเถอะ เดี๋ยวฉันไปติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานขอแผนที่แป๊บนึงนะ”


จุดให้บริการอยู่ไม่ไกลแค่มองไปก็เห็น พวกเขาคงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องแยกกันแล้วจะโดนสอยเหมือนที่ผ่านมา


"ไม่ชอบที่อากาศร้อน ๆ เลย" เป็นสถานที่มีนักท่องเที่ยวพากันไปเยือนสัมผัสสภาพอากาศร้อนสุดขั้วจำนวนมาห ฉันไม่เข้าใจทำไมผู้คนถึงท่องเที่ยวแทนที่จะหลีกเลี่ยง อย่างก่อนหน้านี้เห็นคณะทัวร์กลุ่มใหญ่พึ่งผ่านไป 


มีแต่ต้นหญ้าแห้งอุณหภูมิสูงปรี๊ด 45°


“ได้มาแล้วแผนที่รูททางเดินในโมฮาวีวัลเลย์”


ดีนแจกจ่ายแผนที่นำเที่ยว 4 ฉบับให้ทุกคน ตอนนี้เป็นห่วงอารีแอนน์ เธอมาจากยุคกลางหรืออาจจะนานกว่านั้น หญิงสาวบ้านเฮคาทีจะดูแผนที่เป็นหรือเปล่านะ


“แต่เอาเป็นว่าพยายามอย่าแยกกันน่าจะดีที่สุด ถึงแร็กนาร์จะไม่มากวนตีนพวกเราอีกแต่ก็อาจจะมีอสุรกายเก่ง ๆ โผล่ออกมาก็ได้” แถมตรงนี้ยังเป็นพื้นที่ธรรมชาติที่มีสายเลือดของสามมหาเทพอยู่ตั้ง 3 คน


“เดี๋ยวฉันจะลองใช้เครือข่ายไอริสดูอีกทีนึง คราวนี้ขอให้ติดทีเถอะน่า..” ดีนนำเหรียญดรักม่าออกมาดีดอีกครั้ง คราวนี้ภาพที่สะท้อนบนโล่จะเป็นภาพแบบใด… 


"เป็นไงติดต่อได้มั้ย สัญญาณแถวนี้น่าจะไม่ติดขัดละมั้ง" จากที่เคยเห็นดีนติดต่อเดม่อนมาหลายครั้งหลายครา จะมีปัญหาตรงเรื่องเสมอและเหรียญดรักม่าที่ใช้เสียเปลืองไปแบบไร้ประโยชน์ 


เด็กต้องห้ามของมหาเทพแห่งโอลิมปัสถึงสามคน ความซวยจึงทวีคูณสามเสมอถ้าเจออสุรกาย 


ภาพที่สะท้อนบนโล่อัลพิสคือความมืดที่ยากจะมองเห็น แต่ตรงนั้นมีร่างของคน ๆ หนึ่งนอนหลับไหลไม่ได้สติ นอนอยู่บนแท่นหินระหว่างเสา 2 เสาที่เหมือนว่าจะแผ่พลังงานอะไรบางอย่างออกมา


“เสาหิน.. น่าจะต้องหาจุดที่มีเสาก่อน” ดีนกล่าว


“จะมีจุดในแผนที่ไหมนะ” เอมีเลียกางแผนที่ในมือของเธอออก กวาดสายตาหาสัญลักษณ์ 


"ลองเดินหาดูก่อน ไม่ก็ต้องสอบถามเจ้าหน้าที่อุทยานคนที่นายไปขอแผนที่มาน่ะดีน" คนชำนาญพื้นต้องรู้ดีกว่าพวกเขาที่เพิ่งมาถึง 


“ภาพดูไม่เป็นธรรมชาติเลย อย่างกับลานทำพิธีอะไรสักอย่าง” คิ้วยิ่งขมวดเป็นปม ดีนไม่แน่ใจเลยว่ามันเป็นพื้นที่ ๆ มีอยู่แล้วหรือว่าแร็กนาร์มันจัดฉากขึ้นมาใหม่ ดูทรงแล้วสายเลือดแห่งโลกิ (ที่ไม่นับซามิราห์) ชอบทำตัวเวอร์วังอลังการน่าหมั่นไส้กันอยู่ด้วย “ได้ เดี๋ยวฉันลองไปถามดู”


ดีนฝากโล่ให้เอมีเลียถือจากนั้น ก็หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายภาพที่สะท้อนจากโล่ก่อนที่เครื่อข่ายสัญญาณจะถูกตัดไป ดีนไม่รู้เลยว่าเจ้าหน้าที่ที่เห็นภาพนี้จะทำหน้าอย่างไร มันจะมีมนตร์บังตาทำให้มองเห็นเป็นอย่างอื่นหรือเปล่านะ…


จากนั้นดีนก็เดินไปถามเจ้าหน้าที่ โชคดีที่ภาพไม่ค่อยชัดแต่ยังพอจะรู้รายละเอียดอยู่บ้าง เจ้าหน้าที่อุทยานจึงมาร์คจุดไว้ในแผนที่ที่คาดว่าใช่ให้แก่เขา แล้วดีนก็รีบกลับมาสมทบกับเพื่อน ๆ


“คาดว่าน่าจะเป็นตรงนี้” ดีนชี้นิ้วไปยังจุดที่มาร์ค ซึ่งอยู่ห่างจากตรงนี้ไปตั้ง 1.5 กิโลเมตร ยังดีที่ตอนเย็นอากาศของทะเลทรายจึงไม่ร้อนตับแลบเหมือนกับตอนกลางวัน


"โอเค" ฉันสะพายกระเป๋าและโล่ไว้ด้านหลัง ก่อนที่ชาวคณะจะไปตามจุดมาร์คที่ดีนได้ไปสอบถามเจ้าหน้าที่ 


"ระวังเป็นไข้ล่ะ สภาพอากาศมันชักจะแปรปรวนแล้วนะ" พอใกล้ตกค่ำทีไรเป็นงี้ทุกทีเลย อากาศที่ผันผวนของทะลทราย อีกไม่กี่อึดใจก็จะสามารถไปถึงจุดนั้นและช่วยเหลือเดม่อนได้สำเร็จ และจะได้พักผ่อนกันยาว ๆ ออกเดินทางนั่งรถบ้านตลอดทั้งวัน


มุมมองของเดม่อนที่เล่าให้ฉันฟังเพื่อนำมาเขียนลงบันทึก—-- เดม่อนที่โดนผงหลับใหล ยังคงหลับไม่ได้สติดูเหมือนรอบตัวเขายังมีเสาบางอย่างสองเสาที่อยู่ระหว่างศิลาจะมีม่านพลังบางอย่างปล่อยออกมาทำให้คนภายในม่านพลังยังคงไม่ได้สติ เดม่อนเดินอยู่ในวังวนความฝัน เขาฝันแล้วฝันเล่าวนกันไป โดยส่วนใหญ่จะฝันเกี่ยวกับพ่อเสียมากกว่า เป็นคืนตั้งแคมป์ฤดูร้อนในป่ากับพ่อทุกปี นับเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขทุกปี น่าเสียดายที่มีนจะไม่มีอีกแล้ว… พ่อยอมสละชีวิตเพื่อให้เขาหนีจากยักษ์ไซคลอปส์ที่บุกบ้านในคืนนั้น เขาได้ยินเสียงร้องโหยหวน ภาพความฝันร้ายสลับฝันดีวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า..


มอร์เฟียส นี่ท่านโกรธอะไรหรือเปล่า… เดม่อนในฝันครุ่นคิด



“โอเค” เมื่อได้รับคำเตือนจากฉัน ดีนก็เปิดกระเป๋าแล้วเอาแจ๊กเก็ตยีนส์มาสวมใส่ ช่วงนี้อยู่แต่อากาศร้อน ๆ จึงม้วนเสื้อแขนยาวใส่กระเป๋าเป้ไว้ตั้งหลายวัน มีแจ๊กเก็ตแค่ตัวเดียวส่วนสาว ๆ คนอื่นก็น่าจะซื้อเสื้อผ้ามาจากมินิมาร์ทที่ปั๊มน้ำมัน คงไม่ต้องเป็นห่วง


การเดินทางบนพื้นทรายยวบยาบทำให้พวกเขาเดินเท้าช้ากว่าบนถนน เมื่อใกล้ถึงที่หมายดีนเห็นคล้ายกับแท่นทำพิธีอยู่ไกลลิบ ๆ แต่ที่แย่กว่านั้นคือ ดีนเห็นอีกสองเงาใหญ่โตที่กำลังตรงไปที่จุดต้องสงสัยเสียด้วย โอ๊ะโอ.. ดูเหมือนว่าท่าจะไม่ดีแล้วสิ


“อสุรกายหรือเปล่าน่ะ มันกำลังจะกินเดม่อนแล้ว!!” ดีนตะโกนบอกทุกคน จากนั้นดีนก็วิ่งไปข้างหน้าสุดกำลัง


“เดี๋ยวฉันไปช่วยตึงกำลังไว้ก่อน รีบตามมานะ!” เอมีเลียเรียกสายลมพัดผ่านร่างกาย จากนั้นเธอก็ลอยฉิวจากพื้นล่วงหน้าไปสะกัดอสุรกาย 2 ตัวที่เป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ตรงแท่นทำพิธี


"โธ่เว้ย"


ฉันคว้าด้ามปืนพกที่เหน็บไว้ช่วยยิงสกัดอสุรกายไม่ให้เข้าใกล้เดม่อน เหนี่ยวไกดังเปรี้ยงชูปาคาบราถูกลูกกระสุนพุ่งทะลุกลางหลัง พร้อมเลือดสีแดงพุ่งกระฉูด ดวงตาของมันเบิกกว้างอย่างประหลาดใจที่โดนธิดาแห่งโพไซดอนเล่นงานจากอาวุธระยะไกล ก่อนที่จะหงายหลังลงไปกองกับพื้น 


ทางฝั่งดีนก็ต้องสู้กับอสุรกายอีกตัวเพื่อปกป้องร่างที่หลับใหลของเดม่อน ผู้ยังไม่ได้สติ


ตอนนี้ดีนอยากได้อาวุธระยะไกลเหมือนพี่สาวหรือบินได้แบบเอมีเลียเป็นบ้า ดีนรีบวิ่งใกล้เข้าไปจนเห็นว่าอสุรกายตัวนึงคือชูปาคาบรา และมันถูกฉันยิงจนเลือดพุ่งกระฉูด ส่วนอีกตัวหนึ่งก็คือ แวนมีเทอร์ ค้างคาวยักษ์กลิ่นเหม็นฉึ่ง


“เอมีเลีย เอาไอ้นั่นลงมาให้ฉันที!” ดีนตะโกนบอก


“รับทราบ” จากนั้นนักบินสาวก็พุ่งหอกสายฟ้าใส่แวนมีเทอร์ที่บินอยู่จนมันร่วงลงมากองอยู่บนพื้น การรับมือครั้งแรกมันยากแต่ครั้งที่สองไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว จุดอ่อนของมันคล้ายกับราชสีห์นีเมียน ต้องโจมตีที่จุดอ่อน ตา ปาก อะไรเทือกนั้น


ดีนกลั้นหายใจเมื่อเข้าไปใกล้ก่อนจะสปรินท์ตัวเองด้วยความรวดเร็วแทงหอกใส่หน้าของแวนมีเทอร์ มันพลิกตัวหลบจึงได้แผลเฉียดถากที่ปลายจมูกแต่ก็สร้างความเสียหายแก่มันได้พอสมควร เอมีเลียที่อยู่บนฟ้า ให้พลังพายุน้อยของเธอกดให้อสุรกายสองตัวให้ติดอยู่แนบพื้นจนแทบจะเป็นเป้านิ่ง 


เมื่อจัดการชูปาคาบราสำเร็จ ดูท่าความซวยจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ อาจเป็นเพราะกลิ่นเหล่าเดมิก็อดที่หอมหวนเรียกเชิญสัตว์ร้ายโผล่มาอีกตัว ไฮดร้าสามหัวที่ไม่รู้มาจากไหน มันพ่นลมหายใจพิษมาใส่พวกเขา ฉันก็ต้องหลบลมหายใจไฮดร้าเพราะพิษที่ร้ายแรงสามารถทำให้ถึงตายได้ในทันที 


"อารีแอนน์ช่วยที"


"ได้ ฉันจะช่วยร่ายเวทไฟ" ธิดาแห่งเฮคาทีตอบกลับ


ฉันสลับเปลี่ยนอาวุธเป็นใช้ดาบแทนปืน เพราะต้องเข้าไปฟันคอ ร่างกายปกคลุมด้วยเกล็ด


ยังไม่ทันจะจัดการกับแวนมีเทอร์ได้ก็โดนไฮดร้าเข้ามาป่วนเป็นตัวที่ 3 


ทางนั้นต้องปล่อยให้ฉันกับอารีแอนน์ช่วยรับมือ


ส่วนดีนและอามีเลียรีบช่วยกันจัดการเจ้าค้างคาวหนังหนานี่ให้ได้เสียก่อน แวนมีเทอร์ทำท่าจะบินขึ้นฟ้าแต่ก็ถูกหอกสายฟ้าของเอมีเลียฟาดลงจมพื้นอีกรอบ มีโอกาสให้ดีนเข้าไปซัดมัน คราวนี้เล็งดี ๆ ไม่ให้พลาด ดีนแทงหอกหอกใส่มันอีกครั้งแต่แวนมีเทอร์กลับซัดปีกใส่ดีนจนกระเด็นไปหลายหลา พื้นทรายแม้จะอ่อนยวบกว่าพื้นถนนแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการล้มลุกคลุกคลานบนนั้นโคตรแสบผิว


ดีนหยัดกายขึ้นมาใหม่แล้วรีบขว้างหอกใส่หน้าของแวนมีเทอร์ก่อนที่มันจะลุกขึ้นมา อาวุธสัมฤทธิ์ทะลุผ่านดวงตาของอสุรกายกลิ่นเหม็น ร่างของมันสลายไปทันทีเหลือทิ้งไว้แต่ปีกแข็ง ๆ เป็นสินสงคราม


จากนั้นฉันวิ่งใส่ไฮดร้ารวมถึงคอยหลบหลีกหัวของมัน ทันทีที่มีโอกาสดาบฟาดฟันสะบั้นตัดหัวของมันทิ้ง


"อินคันทาเร อินเซนดิโอ (คาถาจุดไฟ)" อารีแอนน์ร่ายคาถาที่มีคบเพลิงเป็นสื่อกลางควบคุมส่งกระแสพลังเวทมนตร์ หัวแรกถูกตัด ตามมาด้วย หัวที่สอง…..


สาม


หัวของอสุรกายไม่สามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้ ทำให้ร่างมันสลายหายไปเหลือแค่สินสงครามก็คือหัวไฮดร้าที่เก็บไว้ให้ผู้พิชิตดูเล่น 


"ดีนฝั่งนายเรียบร้อยแล้วใช่ไหม" ฉันถามพลางเก็บดาบ และหันไปทางธิดาแห่งเฮคาที "ขอบคุณนะอารีแอนน์" ถ้าไม่ได้เวทมนตร์แห่งไฟช่วยก็ไม่มีทางสำเร็จ


“อื้อ เรียบร้อย” ดีนยกนิ้วโป้งให้ฉัน แต่ทรุดลงนั่งกับพื้นด้วยอาการหอบแฮ่ก


ส่วนเอมีเลียเมื่อจัดการกับอสุรกายสำเร็จแล้วจึงร่อนลงสู่พื้น เธอเดินวนรอบเสาหินแท่นทำพิธีที่ส่งพลังงานบางอย่างออกมา “น่าจะต้องทำลายเจ้านี่ซะก่อน แต่.. ถ้าทำลายดื้อ ๆ เลยจะมีผลอะไรหรือเปล่านะ?” นักบินสาวสงสัย 


"ไม่รู้"


เธอเดินวนรอบแท่นเสาหินที่เหมือยทำพิธีอะไรบางอย่าง "มันจะมีกลไกซ่อนมั้ย"


“ให้ข้าจัดการเอง อินคันทาเร คอนเทรัม อินคานทาทอเรส (สลายมนตร์สะกด)” อารีแอนน์พึมพัมคาถาบางอย่างหลังจากที่เกริ่นนำบทร่าย จากนั้นม่านพลังที่ปกคลุมระหว่างแท่นศิลาก็สลายไป หญิงสาวเกิดอาการหอบเล็กน้อยเมื่อใช้คาถาสลายข่ายมนตรา


“เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” ดีนหยัดกายขึ้นมา เนื้อตัวเต็มไปด้วยทราย ดีนเดินไปหาเดม่อนแล้วพยายามเขย่าตัวปลุกเดม่อน “เดมี่ ตื่นสิ”


"สำเร็จสักที" การช่วยเหลือบุตรแห่งอะโฟร์ไดท์ลุล่วง


เดม่อนที่กำลังหลับฝันดี ก่อนจะสะดุ้งตื่นราวกับถูกไฟช็อก เหงื่อไหลออกตามลำตัวอย่างมาก เดม่อนกะพริบตามองรอบ ๆ ข้าง ก่อนจะลุกขึ้น เห็นทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า หรือจะยังฝันอยู่อีกแล้ว… 


“ทุกคน… นี่คือความฝันของผมอีกฝันหนึ่งหรือเปล่า” เดม่อนมองทุกคนด้วยสายตาสงสัย ตลอดหลายชั่วโมงนี้ ฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่รู้จะแยกออกยังไงแล้ว


“ไม่ นี่คือความจริงไม่ใช่ความฝัน นายโอเคนะ?” เห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นมาก็คิดว่าคงไม่เป็นไร ดีนส่งน้ำดื่มให้เดม่อน ไม่รู้อีกเดม่อนไปนานเท่าไร ขาดน้ำขาดอาหารบ้างไหม หรือว่าข่ายเวทมนตร์นี้จะทำงานคล้ายกับคาสิโนโลตัสที่ร่างกายไม่ได้เติบโตขึ้นเลย


"ลุกขึ้นไหวไหม" ฉันเข้ามาถามอาการอย่างเป็นกังวล "ให้ช่วยพยุงเปล่า ฉันกลัวนายล้มกลางคันน่ะเดม่อน" ถึงจะดูทรงตัวได้แล้วแต่ไม่รู้ว่าเดม่อนได้รับสารอาหารบ้างหรือยัง 


“ขอบคุณนะทุกคน” เดม่อนรับขวดน้ำจากดีนมาดื่มอย่างกระหาย ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว ก่อนจะถามทุกคน


“นี่เราอยู่ซานฟรานซิสโกกันใช่ไหม” จากเหตุการณ์ล่าสุดจำได้แค่ว่าหลังสู้กับแวนมีเทอร์ รู้สึกหมดแรงและร่วงจากฟ้า จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย.. 


"โมฮาวี วัลเลย์….." เธอบอกเดม่อนที่ดูจะมีความทรงจำช่วงเวลาก่อนหน้านี้และจำอะไรไม่ได้เลยหลังจากโดนแร็กนาร์เล่นงาน "ถ้างั้นพวกเราไปหาที่พักกันเลยดีกว่า ฉันชักจะอยากนอนแล้ว" ฉันเสนอความคิด


“นับจากวันที่เราแยกกันหลังออกจากลาสเวกัสก็ผ่านมา 3 วันแล้ว วันนี้คือวันที่ 4 ส่วนตรีศูลพวกเราได้คืนมากันแล้วล่ะเดมี่ เหลือแค่เอาไปคืนพ่อที่แอตแลนติสกันอย่างเดียว” ดีนยิ้มขื่นขมออกมา ไม่อยากจะพูดเลยว่าตอนที่เดม่อนไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นมาก มันมากมายเกินกว่าจะเล่าไหว แต่เดม่อนมีสิทธิ์ที่จะรู้แหล่ะ 


“เอาไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ระหว่างเดินทางฉันจะเล่าให้นายฟัง แต่ตอนนี้กลับไปที่รถบ้านกันก่อนเถอะ 1.5 กิโลเมตร นายเดินไหวไหม?” ดีนถาม


“ถ้าไม่ไหวมีลูกหาบช่วยแบกได้นะ” เอมีเลียเสนอ เมื่อเธอโบกมือสายสมก็พร้อมที่จะโอบอุ้มเดม่อนขึ้นมา


“โอเค งั้นเรารีบออกไปจากที่นี่ดีกว่า” เดม่อนพูดขึ้นก่อนจะเดินตามทุกคนไปที่รถบ้าน


“ไม่เป็นไรดีกว่าครับพี่เอมีเลีย ผมคิดว่าถ้าไม่ออกแรงสักหน่อยแขนขาคงจะอ่อนแรงมากกว่านี้แน่” พูดในขณะเดินอยู่ เดม่อนรู้สึกหิวด้วย นอกจากน้ำ ไม่แปลกหรอกถ้าจากที่อีกฝ่ายบอก ดูเหมือนจะนอนหลับมานานติดต่อกัน 4 วันโดยไม่ได้แตะอะไรถึงท้อง และแขนขาก็แทบจะไม่มีแรง ลากสังขารตัวเองมาจนถึงรถบ้านได้ก็บุญแล้ว


เดม่อนทานขนมสักห่อก่อนจะขอตัวทุกคนไปยืดแข้งยืดขาท้ายรถ คงต้องบริหารร่างกายสักพักหนึ่งแล้วให้เลือดไหลเวียน… 




ผลกการต่อสู้ของดีน

แวนมีเทอร์

 



ผลการต่อสู้ของไบร์ท

ชูปาคาบรา 

 


ไฮดร้า

 






แสดงความคิดเห็น

God
ส่งปีกค้างคาวให้ดีน  โพสต์ 2024-5-25 11:05
โพสต์ 113311 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2024-5-24 19:53
โพสต์ 113,311 ไบต์และได้รับ +6 EXP +8 เกียรติยศ +6 ความศรัทธา จาก ชุดเครื่องเพชร  โพสต์ 2024-5-24 19:53
โพสต์ 113,311 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-5-24 19:53
โพสต์ 113,311 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก สร้างฟองอากาศ  โพสต์ 2024-5-24 19:53
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ควบคุมน้ำ
ตรีศูลน้อย
เข็มทิศมหาสมุทร
น้ำหอมบุรุษ
ชุดเครื่องเพชร
หมวกนีเมียน
ฟองอากาศแห่งชีวิต
ภูมิคุ้มกันเปียก
แว่นกันแดด
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะหนัง
กำไลหินนำโชค
หายใจใต้น้ำ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x17
x2
x3
x2
x3
x3
x20
x4
x6
x1
โพสต์ 2024-5-25 15:59:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด


Chapter 11
Daemon





เป็นอีกวันที่เราเดินทางออกมาจากโมฮาวีวัลเลย์ กำลังมุ่งหน้าไปซานตาโรซา ผมตื่นขึ้นมาจากการหลับตลอดทั้งคืน รู้สึกเหมือนได้พักผ่อนเต็มอิ่มจนหลับเป็นตายเลย ก่อนสายตาปรับโฟกัสรับแสง เขาเห็นไบร์ทผลัดเวรขับรถแทนเอมีเลียแล้ว ก่อนใช้พลังหอมเย้ายวนชำระร่างกายและทำความสะอาดช่องปาก 


หลังจากนั้นผมก็เดินไปหาด้านหน้าที่นั่งคนขับ นั่งลงข้าง ๆ เบาะข้างคนขับ หันไปทักทายยามเช้ากับหญิงสาวร่วมเดินทาง

“อรุณสวัสดิ์ไบร์ท ว่าแต่เธอขับรถมากี่ชั่วโมงแล้วเหรอ” เดม่อนทักทายหญิงสาวก่อนจะนั่ มองออกไปผ่านกระจกรถ ถนนด้านหน้าในยามเช้านับว่าโล่ง


ดูเหมือนว่าคนอื่น ๆ จะยังพักผ่อนกันอยู่ โดยเฉพาะธิดาแห่งซุสที่เป็นคนขับก่อนหน้าไบร์ทหลายชั่วโมง เอมีเลียเองก็ผล็อบลงไปแล้ว 


พลันหญิงสาวหันไปมองหน้าต่าง 

"3-4 ชั่วโมงเอง" ไบร์ทตอบกลับ สัญลักษณ์บนหน้าปัดรถบ่งบอกความเร็ว เพราะตอนนี้ยังเช้าอยู่มากจึงไม่ค่อยเจอรถอื่นบนถนนเส้นนี้เท่าไหร่นัก


"ไปนั่งพักผ่อนเถอะเดม่อน" ไม่รู้ว่าร่างกายเดม่อนหายดีแล้วหรือยัง


“อืม ถ้ามีอะไรตะโกนเรียกได้นะ” เดม่อนพูดขึ้นก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะนั่งพักผ่อน และหาอะไรกินมื้อเช้าสักหน่อย


เดม่อนเดินไปยังโต๊ะในตัวรถบ้าน ก่อนเขามองดูของที่เหลืออยู่ งืม ขนมปังพอจะประทังชีวิตได้อยู่ ก่อนหยิบขนมปังมาแกะห่อ เขากัดกินอย่างช้า ๆ พลางมองออกไปทางหน้าต่างรถด้านข้างเพื่อชมวิวด้านข้างตัวรถ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า บ่งบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่าพวกเขาหลุดพ้นจากโมฮาวี วัลเลย์ 


"ถ้าจะไปไมอามี่ ก็ต้องขับไปเส้นชานเมืองซานตาโรซา กว่าจะถึงก็อีกพักใหญ่แหละ" ไบร์ทพูดขึ้นจากที่นั่งคนขับ 


การที่มีรถบ้านมันก็สะดวกสบายแบบนี้นี่แหละ ไม่ต้องเปลืองค่าเช่าห้อง สิ่งที่ต้องใช้เงินจ่ายจริง ๆ คือการซื้ออาหารและค่าน้ำมันรถ แต่ก็คงใช้ไม่ได้ทุกภารกิจแบบนี้เสมอไป


ดูเหมือนตอนนี้ดีนจะดูเซื่องซึมผิดปกติ หมู่นี้หรือว่าเขาจะนอนไม่ค่อยหลับกันแน่นะ หรือว่าเขามีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า เดม่อนหันไปมองดีนที่เพิ่งติ่น สีหน้าไม่สู้ดีนัก ไว้เขาค่อยหาโอกาสไปถามอีกฝ่ายแล้วกัน ถ้าเรายังเดินทางราบรื่นแบบนี้ แต่ทว่าในขณะที่เขากำลังทานมื้อเช้าขนมปัง เขาก็ได้ยินเสียงไบร์ทตะโกน ก่อนจะเปิดหน้าต่างด้านข้างรถ ยื่นศีรษะออกไปดูซ้ายดูขวา ดูเหมือนเป็นอสุรกายไล่ตามรถมา เจ้านั่นอีกแล้ว 


"เฮ้ย ไอ้เวรนั่นมันตามมาอีกแล้ว" อสุรกายแวนมีเทอร์ที่บินโฉบรอบรถ ทั้งบนหลังและหน้าปัดรถยนต์ "รีบจัดการมันเร็ว โอ๊ย มันจะพังรถเราใช่ไหม"


“ดีนดูแลทุกคนในรถไว้นะ เดี๋ยวผมไปจัดการเอง” เดม่อนหันไปบอกดีน ก่อนเขาแปลงกายเป็นพิราบบินลอดหน้าต่างรถออกไป และกลับคืนเป็นคนเมื่อถึงหลังคารถ


ไบร์ทขับรถเบี่ยงซ้ายทีขวาที ดูท่าอสุรกายจะต้องการกลิ่นพวกเขานั้นแหละ แต่เพราะอยู่ในรถเลยทำอะไรไม่ได้ แวนมีเทอร์จึงพยายามทำให้เกิดความเสีย หรือเอาตรง ๆ มันจะพังรถ !! และถ้ารถบ้านพังฉิบหายคูณสองแน่ ค่าปรับคงบานเบอะ 


ตอนนี้เธอกำลังสวมวิญญาณนักซิ่ง "เกาะดี ๆ นะ" เธอเหยียบคันเร่งเดินทางเต็มกำลัง 


“โอ้!” ดีนพยายามขานรับ แต่ให้ปกป้องคนในรถเหรอ ทำยังไงล่ะ ลำพังตัวเองยังเอาไม่รอดเลย แต่ก็ได้แค่คิด ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า


“อาริแอนน์ คาดเข็มขัดไว้” ดีนบอกหญิงสาวบ้านเฮคาทีที่ตื่นอยู่ทว่าเอาแต่เงียบ เมื่อเธอคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จเรียบร้อยก็ลดอาการโคลงเคลงของตัวรถลงได้ จากนั้นเขาก็ปลุกเอมีเลียที่เพิ่งหลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมง 


“เอมีเลียตื่นก่อน คาดเข็มขัดนิรภัยไว้”


เดม่อนที่ตอนนี้บินขึ้นมาบนหลังคารถบ้าน ก่อนเขากลับคืนเป็นร่างคนหันไปมองแวนมีเทอร์ที่กำลังไล่ตามรถบ้านอย่างไม่หยุดยั้ง ตอนนี้เขาเหมือนกำลังอยู่ในหนังสักเรื่องเลย


“เข้ามาเจ้าเพื่อนยาก” เดม่อนพูดขึ้นก่อนเตรียมโล่และดาบออกมาตั้งท่าเตรียมต่อสู้


แวนมีเทอร์ขยายปีกก่อนบินพุ่งมาทางเขา เดม่อนยกโล่ขึ้นปัดป้องอีกฝ่ายเพื่อรับการโจมตี เขาพยายามนับการตวัดกรงเล็บของมันใส่โล่ของผมรัว ๆ จนมันเริ่มทุเลาลง และอาศัยจังหวะนี้ฟาดดาบสัมฤทธิ์เข้าลำตัวมัน


มันบินถอยกลับไปตั้งหลัก ก่อนเดม่อนจะเก็บโล่เข้าที่หลัง ดูเหมือนการต่อสู้จะยิ่งลำบากขึ้นถ้าตกลงไปคงลำบาก เขาแปลงกายเป็นอินทรี ก่อนพุ่งจู่โจมมันบ้าง ไม่ปล่อยให้มันเป็นโจมตีอย่างเดียว เพราะถ้าเขาหลบการโจมตีของมันก็จะโดนตัวรถ


อินทรีเดม่อนกำลังก่อกวนแวนมีเทอร์ จนมันยิงลำแสงใส่ ก่อนอินทรีบินหลบลำแสงรัว ๆ ที่มันยิงมาไม่หยุด เดม่อนโฉบเฉี่ยวบินพุ่งต่ำ และเขาเหมือนเห็นลำแสงของเจ้าอสุรกายนั่นไปโดนรถข้างทางระเบิดตู้ม แต่เหมือนคนข้างในกระโดดลงมาทัน เขาไม่รู้ว่าพวกเขาคิดว่ารถเกิดเสียหลักหรืออะไรกันนะ 


“ขอโทษนะ” เดม่อนพูดในใจก่อนพุ่งโจมตีแวนมีเทอร์ สลับกลับเป็นร่างคนฟาดมันและแปลงกายกลับเป็นอินทรีเพื่อหลบ อีกนัยยะก็เพื่อผดุงตัวเองให้ยังบินอยู่ได้โดยไม่ร่วงตกถนนไปเสียก่อน


เดม่อนก็ยังคงบินรักษาระยะห่างรถบ้านของพวกเรา ทุกครั้งที่รถแล่นไปไกล เขาก็เปลี่ยนจากบินหลบเป็นพุ่งตามตัวรถไปก่อน  และหันมาต่อสู้กับมัน แต่การสลับไปสลับมากินแรงไม่น้อย ก่อนเดม่อนจะตัดสินใจกลับไปบนหลังคารถและกลับคืนร่างคน เขาชักดาบออกมาเพียงเล่มเดียวเพื่อจะได้ต่อสู้ถนัดกว่าในสถานการณ์แบบนี้ 


แวนมีเทอร์ยิงลำแสงมา คราวนี้มันไม่ยอมพุ่งโจมตีด้วยกรงเล็บ เดม่อนยกแขนขวาขึ้นก่อนนึกภาพเปลี่ยนแค่ส่วนแขนส่วนเดียวให้กลายเป็นโล่อัลพิส อีกฝ่ายยังคงยิงไม่ยอมหลุด เขาพยายามต้านไว้ เท้าไถลไปตามหลังคารถบ้าน จนเขาถูกดันมาส่วนหน้าของหลังคารถ 


เดม่อนมองซ้ายมองขวา ก่อนเขาปล่อยแขนกลับเป็นสภาพเดิมและสไลด์ก้มลงอย่างรวดเร็ว ลำแสงแวนมีเทอร์ยิงเต็ม ๆ ถนนด้านหน้ารถจนควันโขม่ง


ฉากบู้แอคชั่นราวกับหนังมาร์เวล แต่เรื่องนี้ไบร์ทขอตั้งชื่อว่า 'มาไหม' อสุรกายจะตามรังควานไปถึงไหน


มือของเธอหมุนพวงมาลัยรถซิ่งรักษาระยะห่าง เพราะมันสามารถปล่อยลำแสงสว่างจ้าออกมาจากหน้าผาก "เชี่ย" 

รถบรรทุกคันใหญ่เลี้ยวผ่านทางสีแยก ไบร์ทเบรกรถกะหันทันทำให้ผู้โดยสารเดมิก็อดหน้าแทบล้มคว่ำคะมำหงาย เสียงบีบแตรจากรถหรูอีกคันดังมาจากด้านขวา สถานการณ์สุดแสนจะวุ่นวายทั้งฝั่งคนสู้สัตว์ประหลาด ฝั่งคนขับก็ปวดหัวไม่แพ้กัน


“เชี่ย! ไบร์ทระวัง!!”  ดีนอุทานออกมาเสียงดังเมื่อเห็นถนนถูกลำแสงของแวนมีเทอร์ฉายใส่จนถนนเป็นรู 


ตัดมาที่ผมกันต่อ ตอนนี้ผมกำลังต่อสู้กับแวนมีเทอร์บนหลังคารถบ้าน ก่อนจะอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังเหนื่อยจากการยิงแสงเป็นเวลานานเมื่อครู่ วิ่งไปทางแวนมีเทอร์ ระยะห่างมันกับตัวรถน่าจะพอจะกระโดดสุดแรงได้ ได้เวลากระโดดไกลตามที่คุณแซเทอร์จอห์นสันฝึกเขาแล้ว เดม่อนกระโดดสุดกำลัง ก่อนตวัดดาบสัมฤทธิ์ตรงไปที่คอมัน แต่ก็ฟาดได้เพียงหน้าอก เขาแปลงกายเป็นนกพิราบในขณะกำลังร่วงตกไปที่พื้นถนน 


"ย….ยังไม่เสร็จอีกเรอะ" ไบร์ทพูดถามขึ้น ด้วยเห็นสถานการณ์ยังตึงเครียดอยู่


ถนนสัญจรเมื่อถึงเวลาของผู้คนชาวเมืองออกมาทำงาน ก็เริ่มมีรถบนถนนมากขึ้น และเธอไม่สามารถขับเร็วได้แล้ว ไม่อย่างนั้นโดนตำรวจไล่ตามจับแน่ แถมรถคันนี้มีป้ายทะเบียนบอกชัดเจน 


ความเร็วรถเริ่มชะลอช้าลง


“ไบร์ท หาที่จอดข้างทางก่อนไหม?” 



ทางด้านของเดม่อน เขาที่กลายเป็นนกพิราบ ได้บินพุ่งไปด้านหลังแวนมีเทอร์ก่อนกลับคืนร่างคน ปักดาบเต็ม ๆ แผ่นหลังมัน และใช้แขนสองข้างล็อคแขนมัน ขากอดร่างมันไว้


“ดีน นายพอจะพุ่งหอกมาตอนนี้ได้ไหม!” เดม่อนตะโกนเรียกอีกฝ่าย เขาพยายามกอดอสุรกายไว้แน่น ไม่ให้มันสลัดเขาหลุด แต่ก็คงอีกไม่นาน


“หาาา นายจะบ้าเหรอ คราวที่แล้วมาท่านี้ฉันก็ปักหอกแทงทะลุอกนายไปเองนะไอ้บ้า!!” ดีนโวยวายใส่เดม่อน สถานการณ์ตอนนี้ชักจะยุ่งเหยิงกันไปใหญ่ ส่วนดีนไม่กล้าที่จะพลาดเป็นครั้งที่สอง


ใช่.. ในการเดินทางครั้งนี้มีแต่พลาด ๆๆๆๆ ไม่เคยมีสักอย่างที่ถูกต้อง คนจิตตกคิดว่าเขาจะต้องพลาดอีกแน่ ๆ


“ครานี้เชื่อใจผม จังหวะที่นายพุ่งหอกมา ผมจะรีบแปลงกายหนี!” เดม่อนตะโกนบอกอีกฝ่ายเพิ่มความเชื่อมั่นให้เจ้าตัว ครั้งนี้เขาน่าจะใช้พลังแปลงร่างนี้ได้คล่องแคล่วขึ้นมาบ้างแล้ว


แต่เจ้าแวนมีเทอร์นี่ก็ดิ้นจริงจัง เดม่อนพยายามรัดตัวมันไว้ให้แน่นขึ้น เกาะมันให้แน่น ๆ จนขยับแม้แต่ปีกก็ลำบาก


“ถ้านายไม่กล้าฉันจัดการเอง” เอมีเลียที่เริ่มตื่นเต็มตาปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วลุกจากที่นั่ง เธอสไลด์ตัวออกจากหน้าต่างรถแล้วเรียกสายลมประคองตัวเอาไว้ หอกที่ร้อยอยู่กับพวงกุญแจรูปเครื่องบินขยายใหญ่กลับมาสู่ขนาดเท่าเดิม นักบินสาวหาจังหวะเล็งก่อนจะปาหอกใส่แวนมิเทอร์ตัวนั้นโดยใช้สายลมช่วยนำทาง


ไบร์ทขับรถไปทางเลนซ้ายก่อนจะมีเสียงแตรดังอีกรอบ "จะบีบแตรหาพ่อ…..หรอ" 

ช่วงเร่งด่วนของคนไปทำงานฉิบหายจริงเชียว แล้วไอ้อสุรกายบ้าดันมาโผล่จังหวะนี้ได้ ตอนถนนโล่ง ๆ ไม่มากันล่ะ 


เดม่อนพยายามนึกสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กที่สุด เขามองเอมีเลียและหอกในมือเธอเพื่อกะจังหวะ หากเขาปล่อยไวเกินไปมันก็จะขยับปีกหนีได้ ก่อนเขาจะเริ่มนับสามในใจ สายตาจับจ้องหอกไม่ละไปจากมัน เมื่อหอกที่พุ่งมาด้วยความเร็วกำลังจะถึงตัวแวนมีเทอร์ เดม่อนรีบกลายเป็นสัตว์ขนาดเล็กที่สุด เห็บเกาะบนตัวมัน 


‘อ้ากกก’ แวนมีเทอร์ร้องลั่น ร่างค่อย ๆ สลายเป็นฝุ่นละอองสีทอง เดม่อนเห็บที่เกาะตัวกำลังจะหลุดออกเพราะไร้ที่ยืดเกาะ ก่อนกระโดดดีดตัวและกลายเป็นแวนมีเทอร์ คว้าหอกของเอมีเลียไว้ ผงละอองสีทองที่สลายถูกลมพัดมาทางเขาเป็นจังหวะที่กลายร่างพอดี จนดูเหมือนแวนมีเทอร์ก่อรูปร่างขึ้นมาใหม่(?)  และบินพุ่งมาทางรถบ้าน


ไบร์ทที่มองกระจกเห็นพอดี ก่อนจะละทิ้งกฎหมายจราจร เหยียบคันเร่ง ร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับรถปาดหน้าปาดหลัง ไม่ให้แวนมีเทอร์พุ่งมาที่ตัวรถบ้านได้ทัน


ว้ากกกกกก


"ไอ้แม่เหยด ขับรถภาษาไรว๊ะ" คนขับรถที่โดนปาดแซงหน้าตะโกนด่า


รถคันหรูเปิดประทุนของไฮโซอีกคนด่า "เบื่อกินข้าว อยากกินน้ำเกลือโรงพยาบาลใช่ไหม พ่อฉันต้องรู้เรื่องนี้แน่ !"


เธอสุดจะปวดหัวกับคำด่า คำขู่ และบลา ๆ "นี่มันวันเวรวันกรรมอะไรว่ะเนี่ย" เธอพึมพำ


ความอดทนใกล้แตกเต็มที ไบร์ทเลี้ยวหักพวงมาลัยไปทางซอกหน้าที่เป็นทางไปชานเมืองซานตาโรซาเหมือนกันแต่ถนนเส้นนี้จะลำบากกว่าขึ้นทางด่วน


เพื่อหาที่จอดรถลงมาจัดการแวนมีเทอร์ที่ตามป่วนไม่เลิก เส้นทางพิสดารรกร้างไม่มีเสาไฟแถมไร้คนสัญจร พลันวิวทิวทัศน์รอบด้านเริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยเห็นต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี กลับกลายเป็นกำแพงแตกพุพังคล้ายเคยมีโครงการก่อสร้างแต่หมดงบไปซะก่อน



“หนอยแน่แก!” เอมีเลียที่บินอยู่บนฟ้าเอาตัวเข้ามาขวางแวนมีเทอร์ตัวนั้น ตอนนี้หอกของเธออยู่ในมือของมัน มีวิธีการเดียวในการต่อสู้คือใช้สายฟ้า ประจุขั้วบวกและลบเสียดสีกันจนเกิดเสียงดัง เปรี๊ยะ! และสว่างวาบขึ้นมา เธอต้องใช้เวลาในการชาร์จเสียหน่อย อาจจะช็อตแวนมีเทอร์ได้หากมันบินเข้ามาใกล้ในระยะประชิด



เดม่อนแวนมีเทอร์ครุ่นคิด เอมีเลียจะทำอะไรหว่า ก่อนเขามองเห็นแขนตัวเอง เธอน่าจะเข้าใจผิดแน่ ๆ เดม่อนปาหอกในมือพุ่งไปคืนเอมีเลีย ก่อนเขากลายกลับเป็นเดม่อนดังเดิม กระโดดพุ่งไปที่รถบ้าน 


“โว้ว นี่ผมเอง”


“หืม เดม่อน?” เอมีเลียรับหอกคืนกลับมาก่อนจะคลายสายฟ้าบนฝ่ามือลง


ไบร์ทเบรกเอี๊ยด "ฝากจัดการมันด้วย ฉันจะเฝ้ารถ" ปล่อยให้พวกดีน เดม่อน เอมีเลีย ช่วยกันรุมกระทืบอสุรกายจอมตื้อ เธอหยิบพอตมาสูบอย่างสบายใจ ปลดปล่อยความเครียดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และส่องดูพวกเขาเผชิญหน้ากับแวนมีเทอร์ 


และเมื่อรถตู้เบรกเอี๊ยด อารีแอนน์รีบปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วลงมาอาเจียนโอ้กอ้ากชุดใหญ่จากการที่รถขับซิ่งเหวี่ยงไปมาจนมื้อเช้าที่ทานเข้าไปล้นออกมาจากคอ


ส่วนดีนที่ตัวแข็งทื่อมาตลอดทั้งเส้นทางรีบไปดูอาการของพี่สาวเพื่อน สถานการณ์ดูกลับกันนิดหน่อยจากบนเกาะที่ผนึกคธุลฮู


“การต่อสู้จบหรือยัง?” ดีนเงยหน้ามอง ตอนนี้เดม่อนกลับมาถึงรถบ้านที่จอดอยู่ ส่วนเอมีเลียก็ร่อนลงมายืนอยู่ข้าง ๆ พลางปิดปากหาว


“เรียบร้อยแล้ว” เดม่อนพูดขึ้นพลางปรบมือปัดฝุ่นตามตัว 


“ทุกคนไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เดม่อนพูดถามขึ้นก่อนมองดูทุกคนในรถ อารีแอนน์ที่สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก 


"รถไม่มีรอยขีดข่วนสินะ" เอาละ ทีนี้ก็หมดเวรกะไบร์ทขับรถสักที


"มีใครอยากอาสาขับต่อไหม ขอคนที่มีใบขับขี่" ไบร์ทเปิดประตูด้านคนขับแล้วลงไปสูบอากาศบริสุทธิ์ในระแวกห่างไกลชุมชน ก่อนจะกลับขึ้นรถมาหาของกินต่อ 


“ถ้าคนที่ขับต่อได้คงเหลือแต่ฉันแล้วล่ะ” ไบร์ทคงเหนื่อยแย่แล้วจากการขับรถซิ่งอย่างฉวัดเฉวียน ส่วนเอมีเลียเธอก็ง่วงเหลือเกิน เมื่อคืนเธออาจนอนไม่หลับทั้งที่พวกเราก็พักค้างแรมกันที่โมฮาวีวัลเลย์กันแล้ว 


“ฉันขอเสนออะไรหน่อย” ดีนยกมือ “ถ้าเราถูกโจมตีกลางทางไม่เอาแบบเมื่อกี้อีก พวกเราแม่งโคตรไม่มีทีมเวิร์คกันเลย คนที่บินได้สองคน ไม่เดมี่ก็เอมิเลียออกไปถ่วงเวลาศัตรูไว้ก่อน” 


แต่ไม้หนึ่งน่าจะเป็นเดมี่เพราะหน้าที่หลักของเอมีเลียคือพลขับ “ส่วนคนขับหาจังหวะรถชะลอจอดข้างทางให้ได้แล้วค่อยลงไปช่วยกันสู้ เผื่อฉันจะหาน้ำแถวนี้มาช่วยสู้ได้ด้วย ให้ปาหอกจากที่อยู่บนรถมันไม่โอเคนะเว้ย”


“โอเค ๆ เข้าใจแล้วครับ” เดม่อนพยักหน้าเข้าใจ  “ผมขอไปพักสักหน่อยล่ะกัน เหมือนรู้สึกเมื่อกี้จะกินพลังงานไปเยอะพอสมควร”


ก่อนเขาจะเดินไปยังที่นอนเพื่อพักผ่อนเอาแรง 


"หาที่จอดแถวนั้นยาก แถมมีชาวเมืองอีก" ไบร์ทตอบกลับ บางทีพวกเขาคงเห็นอสุรกายเป็นแค่ค้างคาวกันละมั้ง


"แต่ยังไงก็เถอะ ขอโทษด้วยละกันที่ทำตะกี้" โอเคเธอเข้าใจระบบทีมของพวกเขาดูจะย่ำแย่กว่าที่คิด 


“อืม ทุกคนไปพักผ่อนกันก่อน เดี๋ยวฉันพาไปต่อเอง” ปล่อยให้คณะเดินทางพักกันก่อนสักนิดก่อนจะออกเดินทางต่อ ดูสภาพแล้วไม่มีใครพร้อมที่จะคอยบอกทางเป็นเพื่อนเลยสักคน คงต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่มากกว่านี้ ถึงจะใช้เวลานานไปหน่อยแต่จนสุดท้ายพวกเขาก็ได้มาถึงซานตาโรซาจุดหมายของที่พักในคืนนี้














แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-06] เอมีเลีย แอร์ฮาร์ต เพิ่มขึ้น 500 โพสต์ 2024-5-31 10:28
โพสต์ 51934 ไบต์และได้รับ 30 EXP!  โพสต์ 2024-5-25 15:59
โพสต์ 51,934 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-5-25 15:59
โพสต์ 51,934 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ทักษะดาบ  โพสต์ 2024-5-25 15:59
โพสต์ 51,934 ไบต์และได้รับ +7 EXP +6 เกียรติยศ จาก นาฬิกาสปอร์ต  โพสต์ 2024-5-25 15:59
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
ตาหลากสี
เกราะหนัง
โล่อัสพิส
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x7
x10
x1
x2
x1
x11
x2
x8
x1
x2
x1
x3
x2
x1
x18
x1
โพสต์ 2024-5-26 04:40:18 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2024-5-26 04:49

146

DAY 12: Take Me Go Home


ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล

ผู้จดบันทึกวันที่ 12




             [ 26 พฤษภาคม 2024 ]


             สวัสดีบันทึกของวันที่ 12 ตอนนี้สมุดบันทึกกลับมาสู่มือผม ผมดีน นีล อีกครั้ง 




             9.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             หลังจากที่จัดการธุระยามเช้ากันเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาประชุมแผนการเดินทางในวันนี้ ผมได้เสนอเส้นทางไปยังไมอามี่แก่สมาชิกภายในทีมจำนวน 2 เส้นทางด้วยกัน ดังนี้


             เส้นทางที่ 1: เดินทางในทิศตะออก ผ่านอามาริลโล แดสลัส ชรีฟพอร์ต แจ็กสัน แฮตติสเบิร์ก โมบีล แทลลาแฮสซี เกนส์วิลล์ ออร์แลนโด และไมอามี่ รวมมระยะทางประมาณ 1,850 ไมล์

             ข้อดี: ใกล้กว่าเส้นทางที่ 2 ประหยัดระยะเวลาการเดินทางไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที

             ข้อเสีย: ช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปีจะมีน้ำท่วมแถวลองวิลล์ที่อยู่ระหว่างแดลลัสและชรัฟพอร์ต ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง แม้มีพลังควบคุมน้ำแต่ไม่มั่นใจว่าจะสามารถจัดการมวลน้ำมหาศาลขนาดนั้นได้ และเผลอ ๆ อาจจะเสียเวลามากกว่าเดิม


             เส้นทางที่ 2: เดินทางลงใต้สู่รัฐเท็กซัส ผ่านลับบ็อก ซานอันโตนีโอ แล้วไปต่อทางทิศตะวันออกสู่ ฮิวสตัน โบมอนต์ ลาฟาแยต แบตันรูช โมบีล แทลลาแฮสซี เกนส์วิลล์ ออร์แลนโด และไมอามี่ รวมระยะทางประมาณ 1,970 ไมล์

             ข้อดี: มีแวะจุดพักเติมเสบียงคือบ้านของผมที่ซานอันโตนีโอ พวกเราจะได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ ตุนเสบียงอาหารไว้รับประทานระหว่างการเดินทางได้ฟรี และลดค่าใช้จ่ายสำหรับที่จอดรถหรือโรงแรมได้ 1 คืน

             ข้อเสีย: ระยะทางไกลกว่าเส้นทางที่ 1 ประมาณ 100 ไมล์ (ซึ่งอาจใช้เวลาเดินทางน้อยกว่าเพราะไม่ติดน้ำท่วม)


             จากนั้นจึงเปิดโหวตให้แก่สมาชิกในทีมได้ลงความเห็น โดยแต่ละคนมีความเห็นดังนี้


             ความคิดเห็นจากเดม่อน “ก็ดีนะ จะได้ประหยัดค่าเดินทาง” จากนั้นก็ชี้แจงเรื่องสภาพร่างกายของตัวเอง “สัก 2-3 วันนี้ผมคงไม่สามารถแปลงกายซัพพอร์ตได้ แต่ก็ยังพอจะสู้ได้อยู่”


             ความคิดเห็นจากเอมีเลีย “ช้อยส์ที่ 2 น่าสนใจ พวกเราไม่ได้กินอิ่มนอนหลับกันมาดี ๆ ตั้งกี่วันแล้วล่ะ”


             ความคิดเห็นจากอารีแอนน์ “ส่วนข้าแล้วแต่พวกเจ้า ขอแค่สำเร็จภารกิจของพวกเจ้าก็ถือว่าบรรลุจุดหมายของข้าเช่นกัน”


             ผมลงความเห็นเลือกเส้นทางที่ 2 คือแวะพักที่บ้านตัวเอง ในเมื่อคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ไบร์ทจึงได้ต้องความเห็นเพิ่มเติม แต่ผมเชื่อว่าเธอก็น่าจะชอบข้อนี้


             ส่วนเรื่องแผนการต่อสู้และขับรถอาจต้องวางใหม่เพราะหน่วยต่อต้านอสุรกายทางอากาศลดไปคนนึง ผมจึงเสนอว่าให้เดม่อนพักไปก่อนจนใช้พลังแปลงร่างได้แบบไม่ฝืน ระหว่างนั้นให้เอมีเลียแสตนบายเป็นหน่วยป้องกันทางอากาศ ส่วนผมกับไบร์ทจะผลัดกันขับรถให้แทน


             เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่มีหน้าที่ใด ๆ อารีแอนน์จึงเสนอบทบาทของตัวเอง “ข้าไม่อยากเป็นตัวถ่วงของพวกเจ้าเพียงอย่างเดียว ข้าใช้เวทมนตร์ช่วยต่อสู้ได้”


             หลังจากตกลงแผนการเดินทางได้แล้วพวกเราจึงเคลื่อนขบวนกันออกจาก เมืองซานตาโรซา รัฐนิวเม็กซิโก โดยมีไบร์ทเป็นผู้ขับรถในครึ่งแรก


             ระหว่างเดินทางเดม่อนได้เสนอความคิดเห็นบางอย่างขึ้นมาซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจดีทีเดียว “ว่าแต่นายจะวางตรีศูลนอนไว้บนโซฟานั่นแน่เหรอ จริงสิ บางทีนายหรือไบร์ทอาจจะใช้นี่เพื่อใช้ควบคุมน้ำได้อยู่นะ มันน่าจะเสถียรกว่าปกติ” 


             เรื่องที่เก็บคงไม่มีที่ไหนเหมาะไปว่าอยู่กลางรถที่มีเดมิก็อดทั้ง 5 นั่งคุ้มกันอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีที่เก็บ พอมันไม่ได้อยู่ในรูปแบบของเหรียญก็คงเก็บรักษาอย่างปลอดภัยที่สุดไว้ได้เพียงเท่านี้ จะว่าไปผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าไบร์ทใช้ตรีศูลของพ่อจะสามารถควบคุมน้ำโดยที่ยังไม่ได้รับพลังในการควบคุมน้ำมาได้หรือไม่ แต่พี่สาวของผมเธอปฏิเสธ งี้คงมีแต่ผมแล้วแหล่ะที่จะลองใช้งาน




             11.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             เกิดเหตุการจราจรติดขัดที่หน้าเมืองโคลวิส เมื่อมองไปไกล ๆ ระยะหลายร้อยเมตรผมก็เห็นสัญญาณไฟและป้ายสีส้มสะท้อนแสง “แจ้งเตือนการซ่อมแซมถนน” รถถึงได้ติดกันในบริเวณนี้ แต่ผมรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนผิดปกติมาจากด้านหน้าราวกับเกิดแผ่นดินไหวอ่อน ๆ ซึ่งเพียงแค่การซ่อมถนนไม่น่าเกิดแรงสั่นสะเทือนได้ถึงขนาดนี้


             จากนั้นเอมีเลียก็กล่าวเตือน “นั่นมันอสุรกายกำลังสู้กันอยู่ไม่ใช่เหรอ”


             ถ้าไม่ได้เห็นกับตาผมคงไม่เชื่อแน่ ๆ ผมเห็นอะไรบางอย่างสองจุดในระยะไกลกำลังพุ่งโหมใส่กันจนถนนพัง แต่ในสายตามนุษย์กลับมองไม่เห็น เท่าที่มองจากระยะไกลตัวหนึ่งคือ “ราชสีห์นีเมียน” ส่วนอีกตัวคือ “มิโนทอร์” เมื่อรู้สึกตัวไม่ทันไรดีอสุรกาย 2 ตัวที่กำลังฟัดกันอย่างดุเดือดนั้นสมานฉันท์กันชั่วคราว พวกมันหยุดสู้กันเองแล้วเปลี่ยนมาเพ่งเล็งรถบ้านของพวกผมที่กำลังติดอยู่ในถนน สายเลือดของมหาเทพถึง 3 คน และเดมิก็อดธรรมดาอีก 2 คงมีกลิ่นออร่าที่ดึงดูดใจมากกว่าอะไรก็ตามที่ทำให้พวกมันต่อสู้กันเอง


             ความคิดเห็นจากผู้เขียนบันทึก: ไม่น่าเชื่อว่าอสุรกายจะต่อสู้กันเองเยี่ยงสัตว์ป่า ผมดูสารคดีสัตว์มาพอสมควร ทั้งสิงโตและกระทิงป่าต่างหวงอาณาเขตของพวกมันเอง บางทีอสุรกายทั้ง 2 ตัวอาจจะทะเลาะกันด้วยเหตุนี้


             ผมถืออาวุธประจำตัวคือหอกและโล่ที่ทำจากสัมฤทธิ์ ลงไปเตรียมประจันหน้ากับอสุรกายยักษ์ 2 ตัว ผมได้ยินเสียงปืนอัจฉริยะของไบร์ทดังขึ้นจากด้านหลัง เธอช่วยยิงล่อมิโนทอร์ออกมาให้จนเหลือผมที่ต้องเผชิญหน้ากับราชสีห์นีเมียนตัวต่อตัว อสุรกายสิงโตตัวนี้แข็งแกร่งกว่าตัวในป่าต้องห้ามและที่พบในฟิลาเดเฟียอยู่มาก เมื่อผมซัดมันไปทีนึงก็ถูกมันซัดกลับมาอีกสองที เนื้อตัวในจุดที่ไม่ได้สวมเกราะเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยบาดแผล ทั้งปวดทั้งแสบจนแทบจะยืนไม่ไหว แต่ผมจำเป็นจะต้องสู้ต่อ (ในระหว่างการต่อสู้เอมีเลียเป็นผู้ควบคุมรถให้ไหลไปตามถนนท่ามกลางสภาพการจราจรที่ติดขัด)


             “อินคันทาเร เฟลมมา มาจิกา” ผมได้ยินเสียงบทร่ายมาจากอารีแอนน์ จากนั้นลูกไฟจำนวนหนึ่งก็ถูกยิงช่วยเหลือเป็นการสมทบจากสายเลือดของเทพีเฮคาที


             ผมเห็นได้ว่าอสุรกายกำลังไขว้เขวซึ่งมันคงลังเลว่าจะกินผมหรืออารีแอนน์ก่อนดี แต่ว่ามันกลับกระโจนใส่เดม่อนที่ใช้พลังประจำตัวแผ่กลิ่นหอมดึงดูดใจออกมา ขนาดว่าผมอยู่ห่างจากเขาเกือบสิบหลายังได้กลิ่นหอม ๆ โชยมาถึงตรงนี้


             “อินคันทาเร คาเทน่า” โซ่ตรวนสีดำพุ่งออกมารัดขาทั้งสีข้างของราชสีห์จนมันคะมำหน้าลงกับพื้น ผมเคยเห็นเวทมนตร์บทนี้ที่อารีแอนน์ใช้มาก่อน มันมาจากแม่มดดำที่เคยสู้ที่เฮติ


             เมื่อได้โอกาสผมจึงซัดหอกเข้าใส่ช่องปากของราชสีห์นีเมียนอย่างรุนแรงจนปลายหอกทะลุออกหลังศีรษะของมัน อสุรกายตัวใหญ่สลายกลายเป็นเถ้าธุลีกลับสู่ทาร์ทารัสอย่างง่ายดายเมื่อพวกเราช่วยกันต่อสู้ไม่ลุยเดียว ผมทรุดลงจากบาดแผลจำนวนมากที่ได้รับ ไหนจะคำที่อารีแอนน์เอ่ยเมื่อมองหน้าผมอีก เธอบอกว่าผมเสียโฉมไปแล้ว ผมจึงรีบเอาอาหารเทพที่พกติดตัวมารับประทานเพื่อรักษาบาดแผล


             ความคิดเห็นของผู้เขียนบันทึก: อาหารเทพที่หน้าตาเหมือนกับช็อกโกแลตแสนอร่อย แต่แท้จริงแล้วรสชาติของมันไม่มีอย่างอื่นนอกจากความขม เป็นความขมที่ยิ่งกว่าอมยาพาราเซตามอลไว้ในปาก ถ้าคุณไม่อยากลิ้มรส ๆ ชาติแบบนี้แนะนำให้ขอเบิกน้ำทิพย์มาชโลมบาดแผลแทนจะดีกว่าการรับประทานอาหารทิพย์


             ผมหันไปมองไบร์ทดูเหมือนว่าเธอจะจัดการกับฝั่งของเธอได้แล้วเหมือนกัน ส่วนเดม่อนเล่าให้ฟังภายหลังว่าพลังหอมเย้ายวนที่แผ่ออกมาเพื่อดึงดูดอสุรกายส่งผลให้ผู้คนระแวกนั้นหลงไหลเขาด้วยเช่นกัน จนต้องเกลี้ยกล่อมให้คนเหล่านั้นใจเย็นลงอยู่พักหนึ่ง


             เสื้อผ้าที่ผมใส่อยู่ขาดวิ่นและเปื้อนไปด้วยคราบเลือดเต็มไปหมด เมื่อกลับมาถึงรถบ้านได้ผมก็รีบเช็ดตัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทันที 




             14.30 น. (เวลาโดยประมาณ)


              น้ำมันใกล้จะหมดพวกเราจึงเลี้ยวเข้าไปเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันชานเมืองสวีทวอเตอร์ ผมเคยสอนเอมีเลียในการเติมน้ำมันในการขับรถวันแรก ๆ แล้วจึงไม่มีปัญหา อย่างน้อยไบร์ทก็อยู่ตรงนั้นด้วยหากเกิดปัญหาอะไรคงพอช่วยเหลือได้ ระหว่างรอเติมน้ำมันผมจึงอาสาไปซื้อเครื่องดื่มมาให้ทุกคน แต่พอกลับมาที่รถบ้านพวกเราต้องต้องเจอเวรกรรมเป็นครั้งที่ 2 ของวัน ผมเห็นไซคลอปส์กำลังทำท่าจะคุกคามเอมีเลียที่กำลังถือหัวจ่ายน้ำมัน (เอมีเลียเล่าในภายหลังว่าไซคลอปส์ตัวนี้เข้ามาในรูปแบบของพนักงานปั๊มน้ำมัน)


             ไบร์ทและอารีแอนน์ไม่สามารถต่อสู้ได้เพราะทักษะของพวกเธออาจไปจุดชนวนให้น้ำมันระเบิดผมจึงจำเป็นต้องล่อมันออกมาเพื่อจัดการโดยใช้เครื่องดื่มที่ซื้อมาเป็นกระสุนน้ำยิงใส่เพื่อดึงดูดความสนใจจากมัน (อย่างไรเสียกระสุนน้ำของผมก็มีอานุภาพการทำลายล้างเพียงแค่สะกิดผิวอยู่แล้ว) โดยมีเดม่อนช่วยต่อสู้ลดกำลังของไซคลอปส์จนพวกเราจัดการมันได้ในที่สุด


             เมื่อขึ้นรถมาได้ผมก็ผลัดเวรขับรถจากเอมีเลีย (ที่รับหน้าที่ต่อจากไบร์ทอีกทีนึง) แล้วขับรถออกจากปั๊มน้ำมันแห่งนี้ไป


             “ดีนรีบชิ่งรถเลย!! ชิ่งเร็ว!” ผมได้ยินเสียงเดม่อนที่ตะโกนมาจากเบาะด้านหลังด้วยน้ำเสียงตระหนกสุดขีด


             เมื่อมองกระจกหลังผมเห็นน้องหมาชิสุห์น่ารักตัวหนึ่งวิ่งตามมา แต่มันก็ขยายร่างกายใหญ่ยักษ์กลายเป็นอสุรกายบางอย่างที่ผมไม่รู้จัก มันเหมือนกับสิงโตที่มีเขาและมีหางเป็นแมงป่อง ทำเอาผมเกือบจะเหยียบคันเร่งจนมิดไมล์ น่าประหลาดที่มันไม่ได้ไล่ตามรถของพวกเราต่อ แต่ก็ถือว่าดีแล้วที่มันหยุดอยู่แค่นั้น




             18.30 น. (เวลาโดยประมาณ)


             เดินทางต่อกันอีก 4 ชั่วโมงจนมาถึงซานอันโตนิโอถึงได้อุ่นใจ จากถนนสายนี้ผมจำถนนหนทางที่จะกลับมาถึงบ้านได้แล้วจึงไม่จำเป็นต้องดูแผนที่ทางหลวงไปขับรถไปได้เสียที


             ก่อนอื่นคงต้องเกริ่นว่า ผมเป็นประเภทที่ว่าเมื่อเจอปัญหาอะไรก็รีบปรึกษาที่บ้านก่อนเป็นอันดับแรก ๆ ทางบ้านของผมอันประกอบด้วย คุณแม่ คุณพ่อ (บุญธรรม) และคุณลุง (ไม่สามารถระบุชื่อของทุกท่านได้ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและกฎหมาย PDPA) ทราบพร้อมผมเมื่อประมาณ 2 เดือนก่อนว่า ตัวผมเป็นเดมิก็อด แล้วต้องรับมือกับการที่ตัวเองแตกต่างจากคนปกติอย่างไรบ้าง แน่นอนว่าพวกท่านตกใจ แต่ก็รับได้และเข้าใจในตัวผมในเวลาไม่นาน


             ก่อนออกเดินทางผมได้แจ้งทางบ้านแล้วว่าอาจมีแวะไปแต่หาไม่สามารถบอกวันและเวลาได้แน่ชัด ตอนนั้นแจ้งคุณแม่ไว้ว่าจะมีแขกมาด้วย 2 คน คือ ไบร์ท และ เดม่อน แต่มาถึงวันจริงเพิ่มจากสมาชิกจาก 3 เป็น 5 คน หวังว่าทางบ้านจะไม่ตกใจมากนัก เมื่อมาถึงบ้านผมก็ลงไปทักทายและแสดงความรักกับครอบครัวจากนั้นก็แนะนำตัวเพื่อน ๆ ให้ได้รู้จัก การจัดการปัญหาเรื่องจำนวนคนไม่ได้ยากเย็นเท่าไร ให้หญิงสาว 3 คนนอนห้องนอนแขกส่วนผมกับเดม่อนนอนที่ห้องนอนเก่าของผม จากนั้นก็ให้ทุกคนเอาเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักมาใส่ตะกร้าผ้าเพื่อซักและปั่นแห้งไปพร้อม ๆ กัน


             ในระหว่างนั้นเอง คุณแม่ คุณพ่อ และคุณลุงก็ช่วยกันจัดเตรียมครัวสำหรับอาหารมื้อใหญ่ ตลอดทั้งทริปแทบไม่มีเรื่องดี ๆ ให้เยียวยาจิตใจ เพราะฉะนั้นผมจึงขอลงรูปอาหารแทนความประทับใจไม่กี่อย่างในการเดินทางครั้งนี้ (รูปภาพตามเอกสารแนบ)






             20.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             ผมปลีกตัวออกมาจากคนอื่น ๆ เพื่อนั่งเล่นที่สวนหลังบ้านซึมซับบรรยากาศเก่า ๆ สมัยตอนยังเป็นเด็ก วิ่งเล่นไปกับสุนัขตัวโปรดซึ่งตอนนี้มันได้ทอดกายลงใต้ต้นส้มเท็กซัสที่ปลูกไว้ในสวนหลังบ้านชั่วนิรันดร์


             มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่ได้บอกกับเพื่อน ๆ แต่พวกเขาคงรู้ได้เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ผมเจอ “ลูกก็อบลิน” ตัวเล็กตัวหนึ่งในสวนหลังบ้านของตัวเอง มันมีท่าทีสั่นกลัวมากเมื่อเห็นหน้าผม แปลกมาก ปกติก็อบลินจะอยากกินเดมิก็อดสายเลือดรุนแรงอย่างผมไม่ใช่เหรอ แต่เจ้าตัวเล็กนี่กลับไม่กระโจนเข้าหา ในเมื่อมันไม่จู่โจมผมก็ปล่อยมันไป ใครจะไปฆ่าสัตว์ประหลาดที่หวาดกลัวได้ลง จากประสบการณ์ก็อบลินพวกนี้ไม่ได้ก่อความรำคาญมากไปกว่าสร้างความสกปรก บางทีที่คุณพ่อพูดว่า “พักนี้หนูเยอะ” อาจจะเป็นเพราะก็อบลินตัวเล็ก ๆ พวกนี้ก็เป็นได้




จบบันทึกของวันที่ 12

ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล





แจกจ่ายเสบียงจากบ้านดีน
ดีนใช้อาหารเทพ
-------------------------------------------------------------
ผลการต่อสู้ของดีน
ค่า LUK 100+ เลขไบต์ 0 , 7 , 9 จะมีโอกาสดรอปไข่นีเมียน
     

ผลการต่อสู้ของไบร์ท

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 64509 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2024-5-26 04:40
โพสต์ 64,509 ไบต์และได้รับ +7 EXP +6 เกียรติยศ จาก นาฬิกาสปอร์ต  โพสต์ 2024-5-26 04:40
โพสต์ 64,509 ไบต์และได้รับ +4 เกียรติยศ +4 ความกล้า +4 ความศรัทธา จาก ล็อคเก็ตรูปหัวใจ  โพสต์ 2024-5-26 04:40
โพสต์ 64,509 ไบต์และได้รับ +8 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก ควบคุมน้ำ  โพสต์ 2024-5-26 04:40
โพสต์ 64,509 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก ภูมิคุ้มกันเปียก  โพสต์ 2024-5-26 04:40
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เข็มกลัดโพไซดอน
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่แห่งเกียรติยศ
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
เข็มทิศมหาสมุทร
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
ควบคุมน้ำ
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
น้ำหอม Unisex
หมวกเกราะ
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x10
x1
x2
x4
โพสต์ 2024-5-27 00:13:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด

𝕭𝖗𝖎𝖌𝖍𝖙 𝕬𝖒𝖊𝖘

𝕾𝖆𝖛𝖊 𝖕𝖆𝖌𝖊 13




กักตุนเสบียงอาหารมาอย่างเต็มที่พร้อมออกเดินทางสู่ทิศตะวันออก แม้เรื่องการเป็นเดมิก็อดของดีนจะไม่ใช่ความลับของครอบครัว แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้คนที่บ้านเป็นห่วงพวกเขาจึงมาประชุมแผนการเดินทางในรถบ้านแทนที่จะเป็นห้องรับแขกที่กว้างขวาง


“วันนี้เราน่าจะได้ไปพักที่โมบีล เส้นทางอยู่ริมทะเลเป็นส่วนใหญ่ วันนี้ฉันน่าจะช่วยซัพพอร์ตการต่อสู้ได้มากหน่อย” เหลือบสายตาไปมองตรีศูลของเจ้าสมุทร หากมีการต่อสู้เห็นทีคงต้องลองยืมใช้พลังสักทีนึง


“ตัวเมื่อวาน.. อะไรน่ะ? นีเมียนพิการ?” ดีนหวนนึกถึงอสุรกายที่วิ่งไล่พวกเขาตอนออกจากปั๊มน้ำมันที่สวีทวอเตอร์ แว้บแรกเขาเห็นมันเป็นราชสีห์นีเมียน แต่ก็ดันมีเขาเหมือนแพะ มันตามพวกเขาอยู่แป๊บเดียวก็ล้มเลิกความตั้งใจ.. แปลก


“ไคมีร่า ลูกรักของอีคิดน่า” เดม่อนพูดขึ้น เคยอ่านเจอในบันทึกของรุ่นพี่เพอร์ชีย์ ก่อนจะถอนหายใจพูดต่อ “เจ้าตัวนั้นเหนือชั้นยิ่งกว่าไฮดร้าที่หินแล้ว ทั้งแข็งแกร่ง เล่นงานยาก พิษและมีความไวเป็นที่หนึ่งในบรรดาอสุรกายทั้งหมด แม้ตัวใหญ่ก็ไม่ทำให้มันช้าลงเลย”


“ไคมีร่าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าปกติถ้ามันอยู่ใกล้อีคิดน่า เหมือนมันอยากโชว์พาวให้แม่มันภูมิใจ”


เดม่อนพูดเชิงบอกว่าถ้าตอนนี้เลี่ยงได้ให้เลี่ยงการปะทะ ใช้การโกยเผ่นแทน แต่ถ้ามันอยู่ตัวเดียวไม่มีแม่ของมันเราอาจจะมีโอกาสชนะ แต่จากที่พี่เพอร์ชีย์เขียนไว้ในบันทึก โอกาสน้อยมากที่ไคมีร่าจะแยกออกมาจากอีคิดน่า สองตัวนี้ตัวติดกันยิ่งกว่าปาท่องโก๋เสียอีก


"พึ่งรู้นะเนี่ย" เธอไม่มีค่อยลงลึกศึกษาอสุรกาย "เดม่อนนายเหมือนคลังตำราเคลื่อนที่เลยอ่ะ จนเกือบคิดว่าเป็นบุตรแห่งอะธีน่า แล้วไอ้เจ้าไคมีร่ามันสู้ยากกว่าราชสีห์นีเมียนหรือไฮดร้าสามหัว หรือเปล่า" เธอพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม แอบสงสัยพลังอสุรกายไคเมร่าขึ้นชื่อเป็นลูกอีคิดน่ามารดาแห่งอสุรกาย น่าจะหืดขึ้นคอ


นอนค้างบ้านครอบครัวดีน ได้เยียวยาพลังงานและพลังใจขึ้นเยอะ "วันนี้ต้องเป็นวันที่ดี พวกเราคงไม่ดวงซวยเจออสุรกายตลอดทั้งทริปหรอกเนาะ" 


“ไคมีร่า ลูกรักของอีคิดน่า..” ดีนพึมพำทวนเสียงเบา ถ้าแค่ไคมีร่าพอจะคุ้นหูอยู่บ้าง แต่อีคิดน่าเนี่ยสิไม่คุ้นเลย สิงโตตัวเมียงั้นเหรอ? เพิ่งจะรู้เนี่ยแหล่ะว่าเหล่าอสุรกายก็มีสายตระกูลของมันด้วย


ดีนชะโงกหน้าโบกมือลาครอบครัวที่ออกมาส่งหน้าบ้านจากนั้นจึงถอยรถออกจากบ้านแสนสุขที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเยือนอีกทีเมื่อไร


“แฮ่ ๆ ไม่ขนาดหรอกไบร์ท ผมใช้เวลาว่างไปอ่านบันทึกเก่า ๆ ของพวกรุ่นพี่เท่านั้นเอง บ้างก็คุยกับพี่ไพเพอร์ที่เป็นหนึ่งในเจ็ดวีรบุรุษแห่งยุค” เดม่อนพูดขึ้นก่อนจะเดินไปขึ้นรถบ้าน


และหันมาโค้งขอบคุณครอบครัวดีนสำหรับที่พักและอาหารจนเต็มตู้เย็นบนรถ  หวังว่าการเดินทางวันนี้พวกเขาจะราบรื่นนะ แต่ก็พูดยาก มีลูกสามมหาเทพถึงสามคน ยิ่งช่วยกระจายกลิ่นได้ไวติดจรวดยิ่งกว่าสิ่งใดเสียอีก 

 

"เออนี่" ฉันที่เพิ่งนึกอะไรออก ก่อนหยิบบางสิ่งที่ดูล้ำค่าส่งยื่นให้กับเดม่อน ดาบเธซีอุสที่เธอได้มาจากดีนและกะส่งต่อบุตรแห่งอะโฟร์ไดท์อีกทอดนึง ไม่ใช่ว่ามันไม่น่าสนใจหรอก ทว่าตัวฉันเองก็มีเจตจำนงของตัวเอง เธอนั้นเหมาะกับอาวุธระยะไกลมากกว่าและชื่นชอบการใช้ปืนเป็นพิเศษ ถึงปืนที่มีอยู่จะกากและเทียบเท่าดาบในตำนานไม่ได้สุดขั้วเพียงใด ก็ยังจะเลือกใช้อยู่ดี


"เดม่อนนายใช้ดาบใช่ป่ะ เอาดาบเธซีสอุสไปใช้สิมันต้องเหมาะกับนายแน่ ๆ" เห็นเดม่อนใช้ดาบควบคู่กับโล่มาตลอด 


ส่วนดีนเองก็คงเหมือนกับฉันที่ใช้อาวุธที่ตัวเองชอบและถนัดจริง ๆ ไม่ลุ่มหลงแม้สิ่งนั้นจะเป็นของล้ำค่าละนะ ไม่งั้นจะโยนดาบส่งมาให้ฉันมาทำไมตั้งแต่ตอนนั้น 


“งืม ใช่ครับ” เดม่อนตอบอีกฝ่าย ก่อนจะมองใบดาบที่ดูท่าทางแข็งแกร่งตรงหน้า แต่เดม่อนคิดว่าตอนนี้มันคงยังไม่ขานรับเขาเท่าไหร่ แต่สักวันเดม่อนจะต้องแสดงความกล้าหาญให้มันยอมรับให้ได้อย่างแน่


“ขอบคุณนะไบร์ท” เดม่อนรับดาบเล่มนั้นมาก่อนจะมีเสียงกระซิบบางอย่าง ‘บุตรแห่งอะโฟร์ไดต์ เจ้าจงพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าเจ้าคู่ควรที่จะเป็นคู่หูข้า’ เดม่อนกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนมองซ้ายมองขวา หรือเสียงเมื่อครู่จะเป็นเสียงดาบ เพราะมันดังขึ้นทันทีที่เขารับดาบมาจากฉัน


เดม่อนมองดาบสีฟ้าเป็นประกายดุจสายน้ำตรงหน้า บางทีสิ่งนี้อาจจะจำเป็นในการผนึกอสุรกายตัวนั้นกลับ… แม้จะไม่รู้ว่าเธซีอุสใช้พลังทั้งหมดของตัวเองรวมกับดาบก็เถอะ เดม่อนเดินนำดาบเล่มนั้นไปวางไว้ในรถบ้าน เอาไว้ค่อยหาปลอกดาบสักเล่มมาเก็บมันตอนถึงค่าย เขาไม่รู้ว่าดาบในตำนานจะมีอะไรพิเศษไหมนะ อย่างดาบริพไทด์ของเพอร์ซีย์ที่เป็นปากกา


"ไหนลองโชว์ท่าฟันดาบให้ดูหน่อย" ดวงตาของฉันเปล่งประกายมองเดม่อนราวกับเด็กน้อยเจอของเล่น


ระหว่างที่กำลังเอนตัวพิงเบาะรถ มือข้างนึงถือกระป๋องน้ำอัดลม กระดกซดเกือบหมดครึ่งกระป๋องก่อนหยิบพอตออกมาสูบตามสไตล์ไอเทมลับเฉพาะตัวที่ขาดไป ใจระทม 


“เออ จะว่าไปฉันก็ได้หมวกจากไอ้เจ้าแร็กนาร์มาด้วย มีใครอยากได้ไหม? ถ้าไม่มีฉันจะเอาไปถวายพ่อ หรือไม่ก็เอาไปใส่เตาหลอม”


ดีนพูดขณะที่บังคับพวงมาลัยรถแล้วขับไปตามเส้นทางที่ตนเองคุ้นเคย สำหรับเขาหมวกมีเขารูปทรงประหลาดของแร็กนาร์คือสิ่งที่น่ารังเกียจไม่ว่ามันจะมีสรรพคุณดีอย่างไรก็ตามแต่เมื่ออยู่ในมือของคนที่ไม่ต้องการและไม่เห็นคุณค่า สิ่งนั้นถือว่าเปล่าประโยชน์


เดม่อนเบือนสายตาหันมองทางดีน หมวกแร็กนาร์ เงาของเขาไม่ได้ใส่หมวก หรือว่าพวกเขาเจอตัวจริงมากันนะ 


ก่อนเดม่อนจะพูดขึ้น “ว่าแต่มันทำอะไรได้เนี่ย หรือใส่เพื่อป้องกันอย่างเดียว” 


เดม่อนมองตามดีนที่หยิบหมวกรูปร่างแปลก ๆ ออกมา แต่ก็คล้ายในหนังมาร์เวลอยู่ ดูเหมือนหนังมาร์เวลคงมีแรงบันดาลใจมาจากโลกิจริง ๆ สินะ อย่าบอกนะว่าหนังมหากาพย์ระดับโลกจะเป็นศูนย์รวมเทพหลากหลายตำนานเข้าไปมีบทบาททั้งหมด อย่างเฮอร์มีสก็ไปร่วมแจมด้วยในบทสตาร์ลอร์ด


"แล้วไอ้หมวกนั่นมันทำอะไรได้ คงไม่ใช่สร้างภาพลวงตาอะไรได้ทำนองนั้นนะ" ฉันถามอย่างสงสัยพลางประมวลผลวิเคราะห์ หมวกไอ้เวรตะไลแร็กนาร์ หากมันมีประโยชน์ก็น่าสนใจในระดับนึงละมั้ง 


สายตาทอดมองนอกกระจกเชยชมวิวทิวทัศน์สวย ๆ 


“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันวางไว้หลังรถ ใครอยากทดสอบก็ลองหยิบไปเล่นดู”


ดีนพูดจาอย่างไม่แยแสแรร์ไอเท็มที่ได้ เขาโฟกัสแค่เส้นทางที่ขับผ่านเป็นเส้นนอกเมืองแต่ยังคงเห็นสถาปัตยกรรมสเปนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 ได้อยู่ประปรายท่ามกลางบ้านเรือนสมัยใหม่ น่าเสียดายที่การเดินทางไม่ใช่ทัศนศึกษา ไม่งั้นเขาคงพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวชมของดีประจำเมืองอย่าง ดิ อลาโม่ หรือไม่ก็สวนสนุกเฟียสต้าเท็กซัสไปแล้ว 


ขยับมุมปากแสดงอาการเกลียดชัง "ไม่อ่ะ ไม่อยากทดสอบเอง บอกตามตรงโคตรเกลียดมันเลยว่ะ" 


"เดม่อนเอาไหมล่ะ" เห็นทีคนที่จะได้งานนี้เดม่อนเหมาะสมสุดละ ถึงจะเป็นสิ่งแรร์ไอเทม ในฐานะบุตรธิดาแห่งโพไซดอนที่เจอความปั่นประสาทของเจ้าหมวกสุดบรรลัย ปฏิเสธทันควัน เป็นของที่ไม่อยากเก็บไว้เป็นเสนียด "หากเป็นพ่อให้ของมาฉันอาจจะรับ" 


“ไม่ดีกว่า ผมไม่ค่อยชอบอะไรที่เป็นแนวนอร์ส ๆ เท่าไหร่ด้วยสิ” เดม่อนพูดขึ้นก่อนจะมองหมวกที่ดีนไปหยิบมาโชว์ 


“จริงสิ นายเอาไปบริจาคที่คลังอุปกรณ์ของค่ายได้นะ ข้าง ๆ เคบินอะธีน่าจะมีห้องคลังอาวุธอยู่ เป็นส่วนกลางของค่าย” เดม่อนพูดขึ้น เหมือนลิเลียน่าจะเคยบอกเรื่องนี้ ให้คนที่ต้องการใช้อุปกรณ์สามารถไปเบิกได้ ขอเพียงมีส่วนร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในค่าย


เดม่อนคิดว่าคงจะมีใครสักคนชอบมันก็ได้ ก่อนจะถามดีน “จริงสิ นายลองใส่มันดูหน่อย แล้วเพ่งมาที่ตัวผมก็ได้ เผื่อมันอาจทำให้ผมเห็นภาพมายาแบบที่เจ้านั่นทำกับพวกเราบ่อย ๆ ก็ได้” 


พูดอย่างไม่แน่ใจนักว่านั่นคือพลังเจ้าตัวหรือหมวกใบนี้มีส่วนช่วยเหลือกันนะ 


“ให้คนอื่นทดลองสิ ฉันขับรถอยู่” ดีนบอก


“ให้ฉันลองก็ได้” เอมีเลียรับอาสา วันนี้เธออยู่แสตนบายเป็นหน่วยป้องกันทางอากาศไม่ได้ขับรถเช่นวันแรก ๆ ดังนั้นจึงค่อยข้างว่าง หญิงสาวรับเอาหมวกมีเขามาจากเดม่อนจากนั้นจึงลองสวมดู “ยังไงนะ เพ่งจิตไปที่นายเหรอเดม่อน”


เอมีเลียทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองไปยังเด็กหนุ่มอายุน้อยของทีม จากนั้นใบหน้าของหญิงสาวก็กลายเป็นเดม่อนคนที่สอง “เอ่อ.. ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเลย.. เฮ้! ทำไมเสียงฉันเป็นผู้ชาย!?” เอมีเลียมีสีหน้าตื่นจะลึงรีบเอามือตะครุบปากตัวเองไว้ก่อนจะหันรีหันขวางหากระจกส่องหน้าตัวเอง


ฉันดูเอมีเลียที่ใส่หมวกของแร็กนาร์ ซึ่งเอมีเลีย จู่ ๆ กลายเป็นผู้ชายไปซะแล้ว "อย่างกับมายากล แต่มันคงเป็นการสร้างภาพมายาหรือเปล่า"


"สรุปไม่มีใครเอาจริงดิ ฮ่า ๆ" เธอถึงกับหลุดหัวเราะและเห็นด้วยกับความเดม่อนเอาไปเก็บไว้ให้คนอื่นในค่ายลองใส่กันก็ดี


เดม่อนมองตัวเองใส่หมวกแร็กนาร์ ดูเหมือนจะได้เห็นตัวเองตอนใส่หมวกด้วยเฉยเลย ก่อนจะพูดขึ้น “กับผมไม่น่าจะใช้งานได้เท่าไหร่ มันทับซ้อนกับพลังแปลงกายของผม… ไบร์ทน่าจะเหมาะสมนะ ถึงแม้ว่าจะยังเห็นหมวกก็เถอะ ฮ่า ๆ แต่ก็ปลอมตัวได้อยู่ มนุษย์ธรรมดาน่าจะมองเห็นหมวกนั่นเป็นอย่างอื่นตามที่สมองพวกเขาจประมวลผลได้แหละ” 


เดม่อนคิดว่าถ้าไม่เจอเดมี่ก็อต ยังไงมนุษย์ธรรมดาก็คงไม่เห็นหมวกใบนั้นเป็นแบบนั้นหรอก ขนาดหมวกเกราะกับเสื้อเกราะของเขา ยังมีบางคนเห็นเป็นชุดกีฬาเบสบอลเลย


"รู้มั้ยไอ้แร็กนาร์เนี่ยทำไว้เจ็บแสบมาก สายเลือดโพไซดอนอย่างฉันขอปฏิเสธ" หากเก็บมาใช้เองก็ไม่ต่างจากเก็บของที่ตัวเองชิงชังกลับมาตอกย้ำทิ่มแทงใจ กับความฉิบหายที่มันสร้างขึ้น


"ตอนนี้ถึงไหนแล้วดีน" ตะโกนถามดีนที่อาสาขับรถบ้าน


ดีนมองภาพผ่านกระจกหลัง เมื่อเห็นว่ามีเดม่อนสองคนก็หลุดขำก๊าก


“นี่สินะอุปกรณ์ที่มันใช้ปลอมตัวเป็นลุค แสบจริง ๆ ไอ้หมอนี่” ตบไฟเลี้ยวออกสู่ทางหลวงเพื่อออกจากเมืองซานอันโตนีโอ “ถ้าบริจาคให้ค่ายได้ก็เอาไปเลย ฉันไม่ได้รังเกียจของมือสอง แต่ถ้าเป็นของไอ้แร็กนาร์ก็ไม่เอาหรอก”


“เพิ่งออกจากเมืองเอง ขับไปอีกหน่อยก็เข้าฮิวสตัน อยากแวะข้างทางหรือเปล่าไบร์ท หรือว่าเธอลืมของ?”


“งั้นสรุป เอามันไปโยนในคลังอุปกรณ์ของค่ายกันสินะ” เดม่อนพูดขึ้น แอบนึกภาพหมวกใบนั้นหยากใย่ขึ้นเหมือนชิ้นอื่น ๆ ที่ถูกวางไว้นาน ถ้าไม่มีใครไปเบิกออกมา 


เดม่อนมองดีนจากหางตา ก่อนแปลงกายเป็นดีน และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอีกฝ่าย “มีอะไรเหรอดีน” 


“และก็สรุปอีกอย่าง ลุคไม่ได้หนีออกมาจากโลกใต้พิภพสินะ ยังคงชดใช้กรรมความผิดพลาดที่ตอนมีชีวิตอยู่ในนั้น…” เดม่อนพูดก่อนจะถอนหายใจ “ฟู่วว เกือบจะมีมลทินแล้วไหมล่ะหมอนั่น” 


ลุค แคสเทลลัน บุตรแห่งเฮอร์มีส ฉันถึงกับเงียบรู้เรื่องของชายคนนั้นนิดหน่อย ไม่ได้ศึกษาตามอ่านบันทึกเก่า ๆ หรือถามพวกรุ่นพี่ในค่ายสักเท่าไหร่ "ควรพักเรื่องมัน ไม่ไหวหัวจะปวด" บุคคลที่ทำให้อยากเหมาพาราจากร้านขายยา


“หยุดเลยเดมี่ อย่าทำสันดานแบบไอ้เวรนั่น” ดีนปราม นึกถึงแร็กนาร์ทีไรคนที่แค้นใจที่สุดคนไม่พ้น ดีนคนนี้ที่ดึงดาบศักดิ์สิทธิ์ของผู้พิทักษ์เธเซอุสออกมาเองกับมือหรอก


“แต่อย่างน้อยก็ถือว่าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้แก่ลูกชายเทพเฮอร์มีสได้ ถือว่าเราทำความดีกันอยู่นะ” คล้ายกับปลอบใจตัวเองอยู่หน่อย ๆ เพราะสัญญากับเทพเฮอร์มีสไว้ด้วยว่าจะเปิดเผยความจริงล้างความผิดให้ลูกชายเขาให้ได้ ถึงภารกิจจะล้มเหลวแบบตะโกนแต่อย่างน้อยก็รายละเอียดปลีกย่อยก็สำเร็จหลายอย่าง และสิ่งสุดท้ายที่ต้องทำคือเอาตรีศูลไปคืนพ่อแล้วกลับไปที่ค่ายอย่างปลอดภัย


ส่วนเอมีเลียที่ทดลองหมวกอย่างหนำใจเธอก็ถอดหมวกออกหลังจากที่แปลงหน้าเป็นดาราสาวในยุคสมัยของเธออย่าง ออดรีย์ เฮปเบิร์น และ มาริลีน มอนโร


“โอเค ๆ กลับร่างเดิมแปบ~” เดม่อนก่อนจะคืนร่างกลับ แต่ในหัวดันเผลอไปคิดอะไรแวบเข้ามาจังหวะที่กำลังรวบรวมสมาธิจะคืนร่างกลายเป็นแปลงกายคริส อีแวนส์ไปโดยไม่รู้ตัว 


“เฮอร์มีสจะได้สบายใจแล้ว ถ้าได้รับรู้ข่าวดีนี้ อย่างน้อยลุคไม่ได้จะทำผิดซ้ำสอง แต่จะว่าข่าวร้ายสำหรับเขาได้ไหมนะ เหมือนตอนพูดถึงลุคเขาเหมือนจะดีใจที่อีกฝ่ายกลับมามีชีวิต…” เดม่อนพูดขึ้นก่อนจะฉุดคิดสีหน้าอีกฝ่ายตอนนั้นได้ 

 

“เอาล่ะ เราไปหาอะไรกินกันเถอะ” เดม่อนพูดขึ้นก่อนยกมือกุมท้อง รู้สึกจะเริ่มหิวขึ้นมาแล้ว


"เจอพ่อเมื่อไหร่ต้องแจ้งเรื่องคธุลฮูที่ถูกปลดผนึกด้วยสินะ พ่อจะได้ไปแจ้งพวกทวยเทพบนโอลิมปัส ภัยคุกคามจริง ๆ" อสุรกายห้วงทะเลลึกที่ถูกปลดปล่อยออกมาให้ช้ำใจเล่น ตอนนี้ภารกิจเดียวคือนำตรีศูลไปคืนและกลับค่าย


“ดีมากเดมี่” ดีนกล่าวหลังจากที่อีกฝ่ายเลิกปลอมตัวเป็นเขาสักทีนึง คนหล่อ ๆ อย่าง ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล น่ะ มีได้แค่คนเดียวในโลกเท่านั้น!


“เอาจริงฉันไม่ค่อยรู้จักเรื่องของคนชื่อลุคเท่าไร แค่เทพเฮอร์มีสกล่าวถึงกับมีในเรื่องเล่าของรุ่นพี่ไพเพอร์อยู่กระจึ๋งนึง” ตัวตนของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร แทบไม่รู้เลยด้วยซ้ำ รู้แค่ว่าเป็นคนที่ทรยศพี่ชายของดีน เพอร์ซีย์ และเป็นคนที่ขโมยสายฟ้าของเทพซุสที่แท้จริงเพื่อเทพในหลุมดำอะไรนั่นสักอย่าง


“นั่นล่ะ เราไม่รู้ด้วยว่าโลกิเอาคธุลฮูไปทำไม เขากำลังร่วมมือกับลูซิเฟอร์จริงไหม หรือว่าโดนต้มกันมาเป็นทอด ๆ ไม่รู้ว่าโอลิมปัสต้องรับมือกับภัยร้ายตั้งกี่ด้าน” พอคิดถึงตรงนี้ก็ได้แต่กำพวงมาลัยไว้แน่นด้วยความเจ็บใจ แต่พยายามไม่หงุดหงิดขณะขับรถเพื่อสวัสดิภาพของทุกคน


“นายหิวไวจังเดมี่ เด็กวัยกำลังโตนี่นะ มีขนมอยู่ในตู้เย็นเล็กเอาออกมากินรองท้องไปก่อน อีกครึ่งชั่วโมงล่ะมั้งถึงจะเข้าชานเมืองฮิวสตัน” เอ่ยปากบอกน้องเล็กของทีม


“ดูเหมือนอสุรกายนั่นจะเป็นภัยของโพไซดอนโดยตรงเลยมั้ง ตามตำนานมันเป็นอสุรกายแห่งห้วงทะเลที่ร้ายกาจที่สุดในทะเลลึก” เดม่อนพูดขึ้น และอาจจะเป็นภัยถึงชาวแอตแลนติสอีกด้วย ไม่เพียงแต่โลกมนุษย์


เดม่อนอยากจะเปิดมือถือที่พกมาเพื่อเข้ากูเกิลนะ แต่การทำแบบนั้นเกรงว่าจะดึงดูดอสุรกายเข้ามาอีก ดังนั้นจึงเลือกไม่เสี่ยงดีกว่า ไหน ๆ ตอนนี้ก้ได้พักเต็มอิ่มสักเล็กน้อยน่ะนะ…


"เวรเหอะ" ฉันหน้าเครียดขึ้นมาทันที ภัยอันตรายที่ส่งต่อกันเป็นทอด ๆ 


“ภัยร้ายกาจที่สุดของพ่อเลยเหรอ.. แต่มันเคยถูกผนึกมาครั้งนึงนี่นา ถ้าเกิดว่าผนึกมันกลับลงไปอีกครั้ง… บ้าชิบ! ตอนนี้ไม่รู้ด้วยสิว่าโลกิเอามันไปซ่อนไว้ที่ไหน” ดีนเดาะลิ้นอย่างหัวเสียออกมาจนเผลอเหยียบคันเร่งแรงขึ้นไปอีกจนรู้ตัวว่าขับเกินความเร็วกำหนดจึงพยายามปรับไมล์ลงมาเมื่อเข้าเขตชุมชนของเมืองใหญ่ด้านหน้า


ดีนเคยมาเมืองนี้ไม่กี่ครั้ง แต่พอจะทราบอยู่บ้างว่าเขตไหนควรแวะหรือไม่ควรแวะเพราะเป็นเขตอาชญากรรมสูง โชคดีที่พวกเราไม่ผ่าน แต่เรื่องการเผชิญหน้ากับอสุรกายไม่อาจรับประกันได้ ดีนขับมาจอดที่ลานจอดรถใกล้กับโบสถ์แห่งหนึ่ง แถวนี้เป็นย่านที่มีร้านอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ตให้ได้ซื้อของพอดี


“ฉันรอในรถนะ”


เดม่อนลืมตาขึ้นมาแวบหนึ่งหลังรถจอดก่อนจะหลับตาต่อ ขอยืดตัวนอนหลับให้สบายสักวัน หวังว่าจะไม่มีอะไรมารบกวนในเวลานี้นะ แล้วก็เดม่อนก็ยังไม่รู้ตัวว่าไม่ได้คืนร่างตัวเอง แต่อยู่ในร่างนักแสดงกัปตันอเมริกา กำลังนอนในรถบ้าน


"เยี่ยมอยากแวะซื้อน้ำยาเติมพอตพอดี" มองร้านสะดวกซื้อที่ตั้งตระหง่านและโบสถ์ที่ดูโดดเด่นเป็นสง่าไม่แพ้กัน ทันทีที่รถจอดเธอเปิดประตูลงจากรถคนแรก พร้อมกับคว้ากระเป๋าเงินเตรียมจับจ่ายใช้สอยเติมที่ 


ฉันเดินตรงมาหาพนักงานสาวซูเปอร์มาร์เก็ตก่อนจะสั่งซื้อน้ำยาฟรีเบสสีฟ้ากลิ่นเปปเปอร์มินต์ ขณะเดียวกันสายตาเหลือบเห็นตัวอะไรแปลก ๆ คล้ายหุ่นใหญ่โตอยู่ข้างนอกมองผ่านลอดบานกระจกสีใส เมื่อจ่ายเงินเสร็จแล้ว ฉันเดินไปดูสิ่งลึกลับปริศนาใกล้ ๆ โบถส์แห่งนั้น


"เหวอออ ตัวอะไรวะเนี่ย" ฉันลั่นปืนใส่ยักษาตัวนั้น ไม่ดิ ไม่ใช่ 


โกเลมที่ยืนสงบนิ่งเมื่อมีอาวุธกระทบกระทั่งผิวหนังหินของมัน สายตาดุดันมองไปยังร่างของฉันก่อนโจมตีผู้บุกรุกที่เข้ามารุกรานมันก่อน ทางด้านตัวเองก็สับสน ไม่เข้าใจ "โก….โกเลม ใช่ป่าววะ" ปืนยิงใส่ยังไงก็ยิ่งไม่เข้าสักลูก ลูกกระสุนร่วง ร่างหินอึดถึกทนประดุจยักษาง้างมือขนาดใหญ่กว่าตัวฉันกระแทกลงมาเต็มพื้น 


ฉันกลิ้งตัวหลบ จังหวะนั้นทำให้เห็นอักษร EMETH 


เมื่อปืนยิงไม่เข้าจำใจต้องใช้สิ่งอื่นแทน อาวุธที่น่าจะยาวพอมาฟาดฟันกับโกเลมยักษ์ตัวนี้ ไบร์ทเองก็ได้รับบาดเจ็บมาเหมือนกันยามถูกแรงเหวี่ยงกระแทกแต่ละที ทำให้ฉันถึงกับเห็นดาวลอยวิ้งอยู่บนหัว มือข้างขวาเปลี่ยนมาถือหอกก่อนจะดีดตัวขึ้นเพื่อให้สูงพอและเหวี่ยงมีดสั้นปลายแหลมพุ่งทะยานไปตัวอักษรปริศนา E อย่างส่งเดช


ฉับพลันร่างโกเลมยักษ์กลายเป็นกองซากหินมหึมาตรงเบื้องหน้า เธอรู้สึกฉิบหายแล้ว ดันไปวิวาทกับโกเลมผู้พิทักษ์โบถส์ซะได้


ก่อนเดินกลับขึ้นรถมาด้วยสีหน้าอึน ๆ อึ้ง ๆ 


ได้ยินเสียงปืนอัจฉริยะดังขึ้นก็ตกใจ ครั้นจะวิ่งลงไปดูฉันก็กลับมาที่รถแล้ว “เจอตัวอะไรงั้นเหรอ?” ดีนถามหน้าตาตื่น


เดม่อนลุกขึ้นก่อนเดินออกมาหน้ารถ เห็นดีนกับฉันกลับมาพร้อมกัน ดูเหมือนทุกคนจะปลอดภัยดี ก่อนจะถอนหายใจโล่งอก ดูเหมือนจะคละสายตาไม่ได้เลย โลกข้างนอกนี้อันตรายจริง ๆ อสุรกายปะปนกับมนุษย์เต็มไปหมด 


เดม่อนมองรอบ ๆ ตัว ถ้าไม่มีเทพีเฮคาที ไม่อยากคิดเลยว่าโลกจะโกลาหลแค่ไหน หากเทพีทำลายมนตร์บังตาที่นางสร้างขึ้น จะว่าไปแล้วเดม่อนมีอะไรอยากจะส่งของขวัญให้เทพีอะธีน่าเหมือนกัน เอาไว้ค่อยกลับไปคิดสักหน่อยว่าจะฝากอะไรดี ไม่รู้ว่าซื้อเทปเฮอร์มีสติดมือมาจากยูพีเอสหรือเปล่า ม้วนเทปที่แปะติดพัสดุก่อนกล่องจะหายไปแท้จริงมันถูกส่งไปยังยูพีเอส ให้เฮอร์มีสคัดแยกพัสดุ ตามที่พี่ไพเพอร์บอกเกี่ยวกับม้วนเทปนี้ ถ้าซื้อติดมือไว้ก็คงดี จะได้ลองใช้… 


"ต่อไปใครจะขับรถ ดีนนายเปลี่ยนผลัดเลยหรือเปล่า" 


“ขับต่อไปก่อนก็ได้ฉันยังไหว แล้วพวกเราค่อยไปเปลี่ยนกะกันแถว ๆ ทะเลสาบชาร์ลส์ก็ได้ กลางทางพอดี” ดีนเปิดแผนที่ให้ฉันดูก่อนจะจิ้มไปยังจุดกึ่งกลางของเส้นทาง


เมื่อทุกคนแวะพักกันเพียงพอที่จะออกเดินทางต่อไปแล้ว ดีนก็ขับรถต่อไปเรื่อย ๆ อย่างระมัดระวังจนถึงทะเลสาบชาร์ลส์ในรัฐหลุยส์เซียน่า ทิวทัศน์แถวนี้ถือว่าสวยงามทีเดียว น่าเสียดายที่พวกเขาไม่อาจหยุดแวะได้นานเพราะกลิ่นของเหล่าเดมิก็อดถึงห้าคนอาจดึงดูดให้อสุรกายดุร้ายเข้ามาขย้ำอีก


คนขับรถกะสองคือฉัน พาพวกเราไปถึงเมืองโมบีลโดยสวัสดิภาพแล้วค้างคืนกันแถบชานเมืองในวันนี้ ก่อนจะเดินทางต่อไปที่ไมอามี่ในวันรุ่งขึ้น โชคดีจริง ๆ ที่วันนี้ไม่เจออสุรกายตัวใหญ่เป้งอย่างไคมีร่าไล่กวดระหว่างทาง




ผลการต่อสู้ของไบร์ท

โกเลม 









แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-37] โลกิ เพิ่มขึ้น 400 โพสต์ 2024-12-16 20:52
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-06] เอมีเลีย แอร์ฮาร์ต เพิ่มขึ้น 500 โพสต์ 2024-5-31 10:28
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-26] แอมฟิไทรต์ เพิ่มขึ้น 225 โพสต์ 2024-5-30 13:09
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-03] โพไซดอน เพิ่มขึ้น 225 โพสต์ 2024-5-30 13:09
God
คุณได้รับ +200 เกียรติยศ +600 ความกล้า +1000 ความศรัทธา โพสต์ 2024-5-30 13:08

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +600 +30 ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 600 + 30 + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ควบคุมน้ำ
ตรีศูลน้อย
เข็มทิศมหาสมุทร
น้ำหอมบุรุษ
ชุดเครื่องเพชร
หมวกนีเมียน
ฟองอากาศแห่งชีวิต
ภูมิคุ้มกันเปียก
แว่นกันแดด
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะหนัง
กำไลหินนำโชค
หายใจใต้น้ำ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x17
x2
x3
x2
x3
x3
x20
x4
x6
x1
โพสต์ 2024-5-27 23:51:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด


Chapter 14
Daemon





ได้พักแรมในเมืองชายทะเลก็ถือว่าดีไปอีกแบบ ในตอนนี้พวกมันทำให้ผมหวนคิดถึงบรรยากาศคล้ายกับปิกนิก เหมือนที่พ่อของผมเคยพาไปปิกนิกอยู่เสมอในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ พ่อมักจะพาผมเข้าป่าหรือบางครั้งก็พาไปเข้าค่ายลูกเสืออยู่ประจำในช่วงซัมเมอร์ส มันก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว 


แต่การเดินทางของวันนี้จาก โมบีล ไป ไมอามี่ นั้นถือว่าเป็นเส้นทางที่ยาวไกลกว่าทุกวัน กว่าจะไปถึงไมอามี่มันคงจะมืดค่ำ คงไม่ทันได้เที่ยวไมอามี่อะไรมากมายนัก ด้วยเรามีภารกิจที่ต้องทำ ทำให้พรุ่งนี้เช้าเราก็ต้องมุ่งหน้าไปยังแอตแลนติสต่ออย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทุกอย่างจะเกิดการเปลี่ยนแปลง


วันนี้ผมคิดว่าตัวเองจะส่งของขอขมาอะธีน่าเหมือนกัน เขาหาโอกาสไม่ได้เลย เหมือนบางครั้งในการเดินทางครั้งนี้เขาจะเห็นนกฮูกบินมายิ้มเยาะอยู่บ่อย ๆ ในช่วงที่เขาเกิดอันตราย ทั้งตอนโดนจับตัว... เหมือนกับว่าเทพีอะธีน่าสะใจที่เขาล้มเหลว ผมจึงเดินไปยังส่วนสัมภาระของรถบ้านเพื่อค้นกระเป๋าของเขา ก่อนจะเจอม้วนเทปกาวเฮอร์มีสเอ็กช์เพรสม้วนหนึ่ง เขาหยิบม้วนเทปออกมาก่อนเดินไปหากล่องเปล่าท้ายรถบ้านสักใบ เพื่อใส่กุหลาบทองคำ และเขียนโน้ต [ผมไม่รู้ว่าทำไมท่านดูเหมือนจะเกลียดผมอย่างมากขนาดนั้น ทั้งการส่งอัลกูลมาจัดการผมตอนขากลับจากภารกิจท่าน… 


ผมไม่รู้ว่าผมล่วงเกินอะไรท่าน แต่หวังว่ากุหลาบทองคำดอกนี้จะเป็นของขอขมาโทษท่านนะครับ เทพีอะธีน่า ท่านเป็นเทพีที่สำคัญต่อโลกนี้และผมเคารพในความกล้าหาญและสติปัญญาของท่านอย่างมาก ผมขอใช้เกียรติยศทั้งหมดทั้งมวลที่ผมได้มามอบแก่ท่านอะธีน่า


เดม่อนแปะโน้ตใส่ไว้บนกุหลาบทองคำก่อนเขาจะใส่มันลงกล่อง และแพ็คด้วยเทปกาว จนการแพ็คพัสดุเสร็จสิ้น ไม่นานกล่องก็หายไปตามที่พี่ไพเพอร์สอนใช้จริง ๆ ดูเหมือนพัสดุเขาจะถูกส่งไปให้เฮอร์มีสเพื่อส่งต่อไปยังโอลิมปัสแล้ว


หลังจากเดม่อนส่งของขวัญขอขมาเทพีอะธีน่า แม้จะไม่รู้สาเหตุก็ตามว่าเพราะอะไรกันแน่ เขาก็เดินลงมาจากรถตามทุกคนไปพักผ่อนกลางทางก่อนจะไปท่าเรือ ชายหาดไมอามี่นับว่าเป็นที่ ๆ สวยเหมือนกันนะเนี่ย ไม่แปลกใจที่โพไซดอนเลือกที่นี่เป็นทางเข้า


แต่ดูเหมือนความสงบสุขจะหายไปเร็ว เมื่อเสียงคำรามบางอย่างดังขึ้น 


“ไคมีร่า!!?” เดม่อนชักดาบและโล่ออกมาเตรียมสู้ โดยดาบเธซีอุสยังห้อยอยู่ข้างเอวเขา ขืนเขาใช้มันตอนนี้เกรงดาบจะทำร้ายเขามากกว่าศัตรูแน่

เขามองซ้ายมองขวาตอนนี้ยังไม่เห็นอีคิดน่า ก่อนรีบพุ่งตัวแต่สายตาเขาหันไปเห็นหญิงสาวมีลิ้นเป็นงูกำลังเลียริมฝีปากยืนแสยะยิ้มไกล ๆ สาวสวยดูลึกลับคนนั้นไม่ผิดแน่ อีคิดน่า…


‘พลั่ก’ เดม่อนที่กำลังจะเตรียมถอย เขาถูกหางแมงป่องมันฟาด โชคดีไม่โดนจิ้มเต็มแรง ร่างกายกระเด็นไถลไปกับพื้น สายตาเขาเห็นทุกคนออกมาจากรถกันแล้วก็โล่งอก ดูเหมือนตอนนี้นอกจากหนีไคมีร่ากับอีคิดน่าให้พ้นแล้ว เราคงต้องเดินเลียบชายหาดไปไมอามี่แทนแล้ว


“แม่ ๆ ดูนั่นสิพุดเดิลน่ารักจัง” เด็กคนหนึ่งพูดเสียงดังสะกิตแม่ของเขาที่ยืนข้าง ๆ ชี้มาทางไคมีร่า 


“เวร!! ไอ้นั่นมันคือไคมีร่าที่บอกว่าเจอแล้วให้หนีทันทีหรือเปล่าน่ะ!?”


เขาเห็นดีนดูเหมือนอยากจะทดสอบตรีศูล แต่เขาก็คงกลัวมันจะหลุดมือจึงเลือกใช้ผ้ามัดมือของเขากับตรีศูลเอาไว้ซะแน่นเชียว รอบคอบใช้ได้ ก่อนผมหันไปทางอารีแอนน์ เธอเริ่มพึมพำคาถาเรียกหมอกกางอาณาเขตการต่อสู้เนื่องด้วยละแวกนี้มีประชาชนอยู่เยอะเกินไป จากนั้นแม่ลูกรวมถึงคนอื่น ๆ ในพื้นที่ต่างวิ่งกรูหนีกันไปคนละทิศละทางเมื่อได้เห็นภาพหลอนบางอย่างที่เกิดขึ้นจากความกลัวในจิตใจของพวกเขาเอง ทุกสิ่งอย่างล้วนแล้วแต่ดูโกลาหลไปหมด


“เดมี่!” ดีนเห็นเดม่อนถลาไปไกลจากการที่โดนหางแมงป่องซัดจนกระเด็น ชายหนุ่มควบคุมมวลน้ำจากทะเลมาเป็นกำแพงกั้นไม่ให้อสุรกายผ่านเข้ามาได้ ปากตะโกนบอกเพื่อน


“วิ่ง!!!”


"ว้อทททททท" ไบร์ทที่ดูเหมือนจะเพิ่งตั้งสติได้หลังจากงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมาก เธอรีบไปคว้าปืนอัจฉริยะชาร์จยิงใส่อสุรกายที่อยู่ในร่างพุดเดิล สุนัขที่มีร่างกายเล็กขนสั้นปุกปุย หยิกเล็กน้อย ที่คนภายนอกจะมองว่ามันช่างแสนน่ารักน่าชัง ทว่าสำหรับเดมิก็อดดันมองเห็นเป็นอย่างอื่น ไคเมร่า อสุรกายที่มีสามหัว เวรตะไลของแท้


เธอพยายามสกัดยิงหัวสิงโตซึ่งเป็นหัวที่สามารถคอยดูศัตรูที่เข้ามาทำร้าย และใช่ พวกเขาทั้งตี้เนี่ยแหละศัตรูของมัน พวงมาด้วยมารดาแห่งอสุรกายที่เหมือนกำลังพูดปลุกใจลูกรักของมัน 


เธอกระโดดถอยหลังในระหว่างชาร์จยิงปืน เพราะดูท่างานนี้ต้องหนีอย่างเดียว มาตัวเดียวอาจพอสู้ไหวนี่เอ็งเล่นพาแม่มาด้วยเรอะ !


"หนีก่อนเหอะ" คำ ๆ นี้ ที่ไม่อยากพูดออกมาจากปากของไบร์ท เธอเป็นพวกสายลุยวัดได้ถ้าใจถึงแต่พอเจอพลังบัพของอีคิดน่าแล้ว หนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดคือการหนี 


"เดม่อน อารีแอนน์ เอมีเลีย มาทางนี้เร็วเข้า" เสียงไบร์ทตะโกนพร้อมกับสาดกระสุนยิง "ดีนระวังด้วย นายอยู่ใกล้มันที่สุด !" จากมุมระยะสายตาไบร์ทเห็นร่างอสุรกายไคเมร่าพยายามคืบคลานไปหาเดมิก็อดที่อยู่ใกล้มันที่สุด 


“โอเค ฉันจะระวัง!” ดีนตะโกนตอบไบร์ท




ดีนเล่าให้ฟังถึงความรู้สึกในการใช้ตรีศูลเพื่อควบคุมน้ำ มันทำให้เขาใช้พลังควบคุมน้ำได้เสถียรขึ้นกว่าเดิมจริง ๆ เขาบอกผมมาแบบนี้ แต่มันก็บั่นทอนพลังงานร่างกายไปมากเหมือนกัน ในตอนสู้กับไคเมร่านั้น เขาทั้งวิ่งหนีและใช้การควบคุมน้ำสกัดกั้นการติดตามเป็นช่วง ๆ เขาพยายามใช้พลังควบคุมน้ำต่อสู้ทั้งสร้างพายุน้ำหรือโหมน้ำใส่มากแค่ไหน แต่ไคมีร่าที่ได้รับการเสริมพลังและแม่ของมันยังคงปรากฏตัวไล่ตามไม่หยุดหย่อนราวกับร่างกายของมันเป็นอมตะไร้เทียมทาน แต่อาจเป็นเพราะว่าตัวเขาเหนื่อยกับการใช้พลังจึงทำให้หนีช้าลงก็เป็นได้


ขนาดว่าใช้ตรีศูลในการช่วยต่อสู้แล้วยังตรึงกำลังไว้แทบไม่ไหว มวลน้ำหนัก ๆ กดมันไม่ลง กระสุนปืนอัจฉริยะยิงไม่เข้า หรือทั้งพายุหมุนและสายฟ้าที่เอมีเลียช่วยเสริมการต่อสู้ก็ไม่ระคายผิวของมันแม้แต่น้อย การต่อสู้ระยะประชิดของเดม่อนไม่อาจทำได้ ส่วนอารีแอนน์แค่สร้างหมอกไล่ผู้คนออกไปก็เต็มกำลังของเธอ แม้พวกเขาจะเป็นเดมิก็อดหน้าใหม่ที่จัดว่ามีฝีมือ แต่รวมกำลังของทุกคนในทีมแล้วยังกดอสุรกายตัวนี้ไม่ลงเลยแม้แต่น้อย 





เดม่อนลุกขึ้นรีบวิ่งตามทุกคนไป ตอนนี้เขาต้องฟังทีมก่อนหันไปทางดีนที่กำลังวิ่งตามมาและหันกลับไปขัดจังหวะการวิ่งมันเป็นระยะ ๆ เขากลับไปจะต้องฝึกฝนตัวเองให้หนักกว่านี้ หันไปมองอีคิดน่าที่ยืนยิ้มกรุ่ม ริมฝีปากนางแลบลิ้นเลียปาก แต่เพราะลิ้นนางเป็นลิ้นงูทำให้ดูสยองขวัญยังไงอย่างนั้น ทุกครั้งที่นางเลียริมฝีปากราวกับจะสื่อว่า ‘เล่นกับลูกชั้นหน่อย ลูกชั้นกำลังหิวและอยากเล่น’


เดม่อนที่หันไปสลับโล่ขึ้นป้องกันพิษที่หางแมงป่องพ่นมาทางพวกเขา หลุดสะเก็ตจากการโดนคลื่นทะเลที่ดีนใช้พลังซัดใส่ ก่อนเขากลับหันหลังวิ่งต่อ


ในระหว่างที่ดีนกำลังสร้างกำแพงน้ำกั้นขวางอยู่นั้นเองอะไรบางอย่างพุ่งผ่านกระแสน้ำแทงเขาตรงที่สะบักไหล่อย่างรวดเร็วจากนั้นก็ถูกกระแสน้ำต้านจนต้องชักตัวกลับไป ดีนแทบมองตามไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกแต่เพียงแค่ความรู้สึกปวดร้าวเหมือนกับโดนแมลงต่อย แต่คราวนี้เป็นแมลงที่ตัวพอ ๆ กับรถแวนเท่านั้นเอง


ชายหนุ่มไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บที่ได้รับ เขาหันไปมองเพื่อนว่าหนีกันไปได้ไกลหรือยัง นี่ก็ใกล้ถึงไมอามี่แล้วอีกแค่นิดเดียวถ้าให้ไบร์ทพาเพื่อน ๆ ไปที่แอตแลนติสก่อนล่ะก็อาจจะปลอดภัยมากกว่านี้ก็ได้


“ไบร์ท เธอพาทุกคนไปแอตแลนติสก่อนเลย ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ เดี๋ยวฉันตามไป!!” เขาตะโกนบอกทุกคนที่หนีกันไปไกลลิบแล้วยืนหยัดต้านทานไคมีร่ากับแม่ของมันต่อเพียงลำพัง


"เฮ้ย แต่นายจะไม่ไหวเอานะเว้ย" ไบร์ทที่เห็นดีนกำลังต้านไคเมร่าสุดกำลังเกิดความลังเลชั่วครู่ ก่อนมองที่แววตาอีกคนที่ยืนยันและหนักแน่น เห็นเช่นนั้นแล้วเธอจึงพยักหน้ายอมทำตามคำของน้องชาย "ได้ แล้วไปเจอกันที่แอตแลนติส" 


อย่างน้อยแถวนี้ก็อยู่ชายหาดฉะนั้นดีนจะสามารถใช้พลังน้ำเยียวยาได้ โดยหวังว่าบาดแผลจะไม่อันตรายถึงชีวิต จำยอมให้ดีนต้องรับมือกับอสุรกายสุดแกร่ง


และพาคนที่เหลือวิ่งกรูหนีเลียบชายหาด


"พวกเราต้องอยู่รวมกันไว้" เธอบอกคนอื่น ๆ ที่หนีรอดจนสลัดเจ้าไคเมร่าหลุด และคิดหนทางไปยังแอตแลนติสต่อ


ฉับพลันเกิดปรากฏการณ์ม่านหมอกปกคลุมทั่วพื้นที่ บริเวณที่ไบร์ทและเหล่าชาวคณะกำลังรวมตัว มีเสียงที่ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มจนต้องหันมองดูรอบข้าง


"เกิดอะไรชึ้นวะ" น้ำเสียงของเธอค่อนข้างออกโทนแข็งก้าว 


"อารีแอนน์ เอมีเลีย !!"


"ไบร์ทพวกฉันอยู่ทางนี้" เสียงของสองสาวตะโกนขานตอบรับ


"แล้วเดม่อนล่ะ" ไบร์ทพยายามตะเบ็งเสียงอีกรอบ ดังแข่งสู้เสียงเพลงลึกลับ "เฮ้ เดม่อนนนน" ไร้วี่แววเสียงตอบกลับ ทำเอาใจธิดาแห่งโพไซดอนไม่สู้ดีซะละ หมอกนี้มันต้องมีอะไรบางอยู่แน่ ๆ หรือจะมนตร์ของอสุรกาย 




ก่อนจะเข้าสู่การต่อสู้ที่สำคัญของผม เพราะถ้าพลาดพลั้งขึ้นมาผมอาจจะจมน้ำตายในมหาสมุทรแถวไมอามี่แล้วก็ได้ในตอนนี้ ไม่ได้มาเขียนบันทึกหน้านี้เล่าเรื่องต่อให้ทุกคนฟัง มาฟังจากทางมุมของดีนกันก่อน หลังจากผมและไบร์ทกับทุกคนวิ่งหนีออกห่างไคมีร่า เขาก็เข้าเผชิญหน้ากับไคมีร่าและอีคิดน่าอย่างห้าวหาญ


ทางด้านของดีน...


“มา แกมาตัว ๆ กับฉัน!”


ชายหนุ่มพยายามท้าทายไคมีร่าเพื่อถ่วงเวลา หลังจากที่ทุกคนวิ่งหนีกันไปจนพ้นสายตาแล้วดีนก็วิ่งล่อไคมีร่าไปทางอื่น โชคดีที่เจ้าตัวใหญ่ตามมาแทนที่จะเป็นกลุ่มเพื่อน ๆ เขาไม่มั่นใจหรอกว่าตัวเองจะสู้ไหว ด้วยสภาพร่างกายที่คล้ายกับจะมีไข้อ่อน ๆ และความเหนื่อยล้า แต่อยู่ริมหาดไมอามี่ขนาดนี้เขาคิดว่าน่าจะพอหาทางหนีทีไล่ได้ อย่างน้อยก็มีพลังน้ำเยียวยาที่แม้จะใช้พร้อมกับควบคุมน้ำไม่ได้ก็ตาม


คลื่นน้ำซัดสาดใส่ไคมีร่าราวกับเป็นสึนามิลูกย่อม ๆ และเมื่อมวลน้ำทั้งหมดไหลลงสู่ทะเลเขาก็ไม่เห็นร่างเงาของอสุรกายกับแม่ของมันอีก


แต่ไม่เห็นก็ใช่ว่ามันได้จากไปแล้ว..


ท่ามกลางสภาพบ้านเรือนที่เต็มไปด้วยความชื้นแฉะ ดีนทำท่าจะหันกลับไปสมทบกับเพื่อน ๆ แต่ก็ถูกบางอย่างแทงเข้าที่สีข้างในตำแหน่งใต้ชุดเกราะอย่างพอเหมาะพอเจาะ ตอนนี้เขาเห็นได้ชัดว่ามันมีลักษณะเหมือนหางของแมงป่องพิษ การฉีดพิษครั้งที่สองมากกว่าครั้งแรกจนทำให้ชายหนุ่มทรุดลงแทบจะในทันที พิษของแมงป่องทำลายเซลล์ประสาทและกล้ามเนื้อหัวใจทำให้เขาหายใจไม่ออก


ในนาทีที่กำลังจะหมดสติ เขาได้เห็นว่ามีมวลน้ำขนาดใหญ่ห้อมล้อมตัวไว้และดึงร่างของเขาลงสู่ทะเลไปพร้อมกับตรีศูลในมือ




เดม่อนที่วิ่งอยู่นั้น เขาไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งหลุดเข้ามาในหมอกหนานี้ได้ยังไง จะเป็นอารีแอนน์เหรอ แต่เสียงเพลงนี่มันคืออะไรกันน่ะ ทำไมเสียงเพลงนี้ช่างไพเราะจริง ๆ เดม่อนเปลี่ยนจากวิ่งในหมอกเดินตามเสียงเพลง เขาหารู้ไม่ว่าเขาแยกจากกลุ่มไปคนละทางแล้ว กำลังมุ่งหน้าเดินลงทะเลอย่างไม่รู้ตัว


เดม่อนเดินลงไปจนน้ำครึ่งตัวก่อนจะมีหญิงสาวสวยปรากฎขึ้น เธอยิ้มและยื่นมือมา 

“ชั้นรอนายอยู่นานแล้ว” หญิงสาวพูดขึ้นก่อนขยิกตา


เดม่อนที่ราวกับต้องมนต์สะกดยื่นมือจับมืออีกฝ่าย ก่อนเธอพาเขาเดินต่อไปในทะเล ระดับน้ำเริ่มสูงขึ้นเหนือเอวของเขาทีละน้อย จนไม่รู้ใครยิงเสียงลิเลียน่าเข้าโสตประสาทของผม หรือแม่จะช่วยผมอีกครั้งนะ


‘ตาบ้า นายอย่ามัวแต่โอ้เอ้ ตั้งใจฝึกหน่อย!!’ เสียงลิเลียน่าตอนเธอกำลังฝึกให้ผมดังเต็ม ๆ หูจนผมได้สติ มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างชัดเจน และยิ่งดูยิ่งมีความคล้ายกับ เมลูชีน อสุรกายสาวที่ชอบล่อลวงมนุษย์ไปกินใต้น้ำ!! 


เดม่อนจะรีบผงะถอยหลังแต่ลืมไปว่าในน้ำ เขาเคลื่อนไหวโคตรลำบากเลย ตอนนี้น้ำสูงระดับคอของเขาแล้ว และเมื่ออสุรกายสาวเห็นผมได้สติ มันก็กระโจนพุ่งโจมตีผม ผมทำได้เพียงชักโล่ขึ้นมาปัดป้องแพรี่กลับไปเท่านั้น จะหลบหลีกยังไงก็ยากจะทำ อย่าว่าแต่โต้เลย ต้องอาศัยจังหวะดี ๆ


เดม่อนทำได้แค่การแพรี่เท่านั้น เขาหาจังหวะและสวนกลับไปแบบหนัก ๆ จนสร้างบาดแผลให้ตามเนื้อตัวเมลูชีนไม่น้อย แต่ก็ยากจะโต้กลับเยอะเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เดม่อนจะแพรี่ แต่ก็มีบางจังหวะที่คลื่นทะเลซัดมาจนเขาเสียหลัก ถูกกรงเล็บของสาวเจ้าข่วนเข้ากลางอก และเฉี่ยวใบหน้าบ้างในบางครั้ง 


เดม่อนแพรี่โต้กลับไปจังหวะหนึ่งที่อีกฝ่ายโจมตีมา เขาสวนกลับได้ในทันที และเขาโจมตีต่อเนื่องบ้าง ฟาดกระหน่ำ แต่อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มและพูดจาออดอ้อนปนยั่วโมโหเขาทำให้หลายครั้งเขาต้องเสียหลัก ไม่รู้ว่าเมดูชีนมีพลังเสน่ห์เหมือนสายเลือดอะโฟร์ไดต์หรือไม่ หลายจังหวะเขามักจะสตันจนกลับมาเป็นฝ่ายตั้งรับเสียดื้อ ๆ เลย ดูเหมือนตอนนี้พลังเขายากจะสู้กับเจ้าตัวตรงหน้า ทำได้พึ่งทักษะการต่อสู้ที่ฝึกฝนที่ค่ายและความแข็งแรงตอนฝึกตั้งแต่เด็กที่พ่อผมฝึกอย่างเข้มงวดมาตลอดราวกับพ่อรู้ว่าผมจะต้องเจอเรื่องแบบนี้ในอนาคต


เขาที่ยังเน้นตั้งรับเป็นหลัก ทนรับการโจมตีอีกฝ่ายอย่างไม่ยั้งมือเลย อีกฝ่ายก็คอยพูดจายั่วโมโหอยู่เรื่อย ๆ และเหมือนเจ้าตัวจะอ่านใจเขาได้ เขาหยิบเรื่องลิเลียน่าขึ้นมา


“พ่อหนุ่มน้อย นายเสี่ยงอันตรายแบบนี้บ่อย ๆ จะทำให้ธิดาแห่งอะธีน่าโกรธเอาได้นะ” เมลูชีนพูดพลางกระหน่ำโจมตี


“ตาบ้า นายจะเลิกนิสัยบ้าการต่อสู้นี้ได้หรือยัง ห๊ะ!!” เมลูชีนที่ตอนนี้เธอกลายเป็นลิเลียน่า แทงหอกใส่โล่ผมไม่ยั้ง


“รีบวางอาวุธลงซะตาบ้า นายจะทำให้ตัวเองตายนะ!!” 


จังหวะมาแล้ว ก่อนเดม่อนตัดสินใจแพรี่อีกครั้ง สวนการโจมตีกลับไปและตามด้วยกระทุ้งเข่าเข้าหน้าท้องอีกฝ่าย แม้เมลูชีนจะอยู่ในรูปลักษณ์ลิเลียน่าแต่เธอก็ไม่ใช่ลิเลียน่า แต่ด้วยพื้นที่เป็นทะเลทำให้หลังแทงเข่าใส่เมลูชีน เขากลายเป็นท่าว่ายน้ำแทน พยายามดิ้นเพื่อตั้งหลักขา ระดับน้ำถึงระดับอก จะถอยอีกฝ่ายก็โจมตีไม่ให้ถอย


“คืนร่างเดิมซะ!” เดม่อนพูดเสียงหวาดดัง เขายกดาบขึ้นต่อทันทีที่ตั้งหลักได้ ฟาดฟันอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายกลับหลบได้อย่างพริ้วไหว และสวนกลับมาจนเขากระอักเลือด


‘พลั่ก’ เดม่อนยกมือปาดเลือดที่ริมฝีปาก ก่อนยกโล่ป้องรับการโจมตี รอจังหวะใหม่ อีกฝ่ายดูอ่อนแรงลงเยอะ และทางขวาจะมีช่องโหว่ เมื่ออีกฝ่ายสลับไปโจมตีทางขวาต่อจากซ้าย เขารีบใช้จังหวะเสี้ยววินี้สวนไป ตัดแขนอีกฝ่ายขาดปลิวไป แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมแพ้ ยังคงพยายามต่อสู้ด้วยแขนข้างเดียว ผมใช้โอกาสนี้แปลงกายเป็นพิราบบินพุ่งหลบขึ้นฟ้าและแปลงกายกลับเป็นคนฟาดดาบผ่าเมลูชีนสองท่อน ก่อนค่อย ๆ สลายเป็นฝุ่นละอองสีทอง 


เดม่อนใช้แรงเฮือกสุดท้ายแปลงกายเป็นพิราบบินไปที่ฝั่งไมอามี่ ก่อนจะกลับคืนร่างเดิมนอนหมดสติคาชายหาดเกยตื้นอยู่แบบนั้น เขาได้แต่หวังว่าเพื่อนของเขาสักคนจะมาเจอ ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลจากการต่อสู้สะบักสะบอมไปหมด


ก่อนสติจะดับวูบ เขาเหมือนเห็นยักษ์ไซคลอปส์ตัวหนึ่งลุกขึ้นมา ไม่สิตอนแรกเป็นหญิงสาวนอนอาบแดด แต่หันมาเห็นเขานอนหมดสติ เธอแสยะยิ้มบางอย่าง แต่ผมเห็นผู้หญิงคนนั้นมีตาดวงเดียวตรงใบหน้า ถ้าไม่มีเพื่อนเขามาแถวนี้ในตอนนี้ เจอเขาตอนนี้ ดูเหมือนเขาคงไม่ได้กลับไปเจอทุกคนแล้ว 


‘ขอโทษนะลิเลียน่า ขอโทษนะครับแม่ที่ผมทำให้ผิดหวัง’ จิตใต้สำนึกของเขาคิด แต่ก็ยากจะลืมตา เปลือกตาหนักแน่นกดทับไม่ให้ลืม เรี่ยวแรงลุกขึ้นไม่มีเหลือเพียงพอแล้ว


ต่อจากนี้ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมฟังจากที่ไบร์ทเล่าให้ฟังอีกที เธอเองก็หลงในมนต์ของเมลูชีนเช่นเดียวกับผม ดูเหมือนเราทุกคนน่าจะโดนมนต์เมลูชีนกันหมดเลย 


"เดม่อนอยู่ไหน !!!" ไบร์ทกวาดสายตามองหาในม่านหมอกที่ปกคลุมบริเวณละแวกใกล้เคียง มือข้างขวาคว้าข้อมือเรียวบางของหญิงสาวข้างตัวเป็นผิวที่ลื่นแปลก ๆ "คิก คิก คิก" เสียงหัวเราะคึกคัก ทำให้เธอต้องหันมองเจ้าของมือที่ตัวเองคว้า ก่อนจะต้องแสดงสีหน้าขมวดคิ้วเป็นปม 'ใครฟ่ะ สาวฮอตสุดเซ็กซี่ คนนี้เป็นใคร'


"แม่สาวน้อย" มือเมือกค่อย ๆ สอดใต้วงแขนของไบร์ท "ไม่มาคุยกันหน่อยเหรอจ้ะ"


"เออ ขอโทษนะ" เธอสะบัดข้อมือผู้หญิงนิรนามที่มีกลิ่นตัวคาวปลา ทั้งที่สวยขนาดนี้แต่ทำไมกลิ่นตัวประหลาดนัก "ฉันกำลังยุ่ง" หัวใจเจ้ากรรมถึงอยากตอบตกลงแต่ก็ต้องปฏิเสธ เนื่องจากไบร์ทกำลังหาเดม่อน และอารีแอนน์ เอมีเลีย ที่หายไปกะทันหัน 


เสียงร้องของใครบางคนดึงสติไบร์ทให้หันมองไปตามเสียงนั้น เหมือนได้ยินเสียงเดม่อน 


"จะไปไหน ข้ายังไม่ได้ลิ้มลองรสชาติธิดามหาเทพสมุทรเลย"


เท่านั้นแหละไบร์ทคว้าปืนที่เหน็บข้างเอว ชาร์จกระสุนยิงใส่เข้าอสุรกายที่จำแลงแปลงกายเป็นสาวสวย เมลูซีนหวีดร้องดังลั่น " ไอ้หมอกเวรตะไลนี่ก็คือฝีมือของเธอสินะ" ใบหน้างดงามบิดเบี้ยว เธอไม่รีรอโอกาสให้อสุรกายสวนกลับ ดวลเดือด 1v1 กันอยู่สองคน พลังน่ะไบร์ททัดเทียมกับคนอื่น ๆ ในชาวคณะไม่ได้หรอก ทว่าพละกำลังทางด้านกายภาพนำมาเป็นจุดเด่น เพื่อพลิกโอกาสกลับมาชนะ


"เพื่อนของฉันอยู่ไหน"


"ข้าไม่บอก"


เมื่อคุยกันไม่รู้เรื่อง เธอเล็งหัวเมลูซีนเหนี่ยวไกปืนดังสังหารอสุรกายเบื้องหน้า กระทั่งหมอกหนาจากลง จนดวงตาสามารถมองเห็นจุดอื่น ๆ ของเลียบชายหาดได้ 


"ไบร์ท พวกฉันอยู่ทางนี้" เอมีเลียโบกมือ


อารีแอนน์ถือคบเพลิงสื่อกลางเวทมนตร์ก่อนพูด "นั่น เดม่อน…..เดม่อนสลบอยู่"


"ห่ะ" พวกเขาทั้งสามคนวิ่งตรงดิ่งมาหาร่างบุตรแห่งอะโฟร์ไดท์ซึ่งกำลังคลับคล้ายคลับคลากึ่งนิทราและหมดสติ ไบร์ทอุ้มเดม่อนขึ้นพาดบ่าพาร่างอีกคนไปวางบนโขดหินก่อนคุยกับอารีแอนน์หาวิธีรักษา "เป็นไงบ้าง"


"เดม่อนเหมือนจะเจ็บหนัก" เอมีเลียวิเคราะห์มองผิวเผิน


เปิดกระเป๋าสะพายหยิบอาหารเทพกรอกยัดใส่ปากเดม่อน "เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะฟื้นแหละ" 


ยกมือนวดขมับ ดีนเองก็หาย เดม่อนก็สู้จนบาดเจ็บสาหัสยังโชคดีที่เธอมีอาหารเทพอยู่ ตะลอนแบกร่างเด็กหนุ่มเดินบนหาดทรายสีขาว น้ำทะเลสีฟ้าสดใส สัญญากับน้องชายไว้แล้วว่าเธอจะพาทุกคนไปยังแอตแลนติส ถึงจะผิดแผนไปหน่อยสุดท้ายกู้กลับมาได้สำเร็จ ดวงตาหวาดระแวงมองซ้ายทีขวาที เมื่อไม่เห็นอสุรกายตัวใดโผล่ออกมาอีก ถอนหายใจด้วยความโล่งอก 


"จะไปวังเทพสมุทรกันยังไง" ธิดาแห่งซุสกล่าวถาม


"มันก็ต้องมีสักวิธีนั่นแหละ ให้ขับเรือดำน้ำก็ไม่ใช่เรื่อง" เพราะต้องไปเช่าและคิดดูเรือดำน้ำเช่าราคาจะแพงแบบร้องตะโกนขนาดไหน 


อารีแอนน์ชี้ไปยังเรือดำน้ำที่เทียบฝั่งจอดแน่นิ่ง ในสายตาเดมิก็อดเห็นเป็นร่างฮิปโปแคมปัส ม้าทะเลที่มีท่อนบนเป็นม้า ท่อนล่างเป็นปลา มีเกล็ดและหางขดโค้งเหมือนหางเงือก "พ่อเธอส่งฮิปโปแคมปัสมารับหรือเปล่า"


"ก็อาจจะใช่" 


ไบร์ทยังคงเป็นห่วงความปลอดภัยของดีน ก่อนได้ยินเสียงสัตว์จากทะเลแว่วหู 'ท่านโพไซดอนมารับตัวดีนลงทะเลไปแล้ว'


เพราะพระอาทิตย์ใกล้ตกดินเดม่อนยังไม่ฟื้นคืนสติ ฉะนั้นพวกเขาที่เหลือจึงเช็คอินเข้าพักโรงแรมหรู โดยเป็นห้องใหญ่ที่มี 4 เตียงนอนและแบ่งโซนสำหรับทำธุระส่วนตัว "ไบร์ท ฉันคงไปกับเธอไม่ได้" เอมีเลียบอก "เดี๋ยวฉันจะอยู่ดูแลเดม่อนต่อเอง"


"อะอ้าว แล้วอารีแอนน์อ่ะ ไปไหม"


"ฉันก็ไม่ไปเหมือนกัน และมันน่าจะดีกว่าถ้าฉันอยู่ที่นี่" อารีแอนน์ตอบกลับ


พวกเขาปรึกษาตลอดทั้งคืน จนได้ผลสรุป มีแค่ไบร์ทคนเดียวที่จะไปยังแอตแลนติส


ดูเหมือนอารีแอนน์จะรู้สึกอะไรบางอย่างเช้นส์ของแม่มดก่อนเธอจะทักไบร์ท “ใกล้ ๆ นี้เหมือนจะกลุ่มคนพวกเดียวกับเราใกล้ ๆ บางทีอาจจะพาเดม่อนไปพักที่นั่นก่อน”


เธออยากจะช่วยพวกเขาไปให้ถึงท่าเรือไมอามี่ก่อน และยิ่งเห็นเดม่อนยังคงหลับใหลด้วยความเพลีย ก่อนจะเดินนำทุกคนไปยังสถานที่ ๆ เธอสัมผัสถึงพวกเดียวกันจำนวนมาก จนมาถึงโรงแรมใหญ่บริเวณท่าเรือ ดูเหมือนจะมีรูปสัญลักษณ์ตรีศูลใหญ่โตบนยอดสูงสุดของโรงแรมนี้ 





ถวายเกียรติยศด้วยการแพ็คพัสดุส่งผ่าน เทปกาวเฮอร์มีสเอ็กช์เพรส
- ส่งม้วนเทป และ กุหลาบทองคำแล้ว

กุหลาบทองคำ [เมื่อนำไปบูชาเหล่าเทพ จะได้ความโปรดปราน+50]
ถวายเกียรติยศ 2000 เกียรติยศ [+60 EXP, +10 ความโปรดปรานต่อเทพองค์นั้น]












แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-26] แอมฟิไทรต์ เพิ่มขึ้น 225 โพสต์ 2024-5-30 13:09
God
คุณได้รับ 100 EXP โพสต์ 2024-5-30 13:07
God
คุณได้รับ +200 เกียรติยศ +600 ความกล้า +1000 ความศรัทธา โพสต์ 2024-5-30 13:07
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-03] โพไซดอน เพิ่มขึ้น 225 โพสต์ 2024-5-30 13:06
God
คุณได้รับ 60 EXP โพสต์ 2024-5-27 23:55

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +600 +30 ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 600 + 30 + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
ตาหลากสี
เกราะหนัง
โล่อัสพิส
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x7
x10
x1
x2
x1
x11
x2
x8
x1
x2
x1
x3
x2
x1
x18
x1
โพสต์ 2024-5-30 10:54:02 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2024-5-30 13:11

147

DAY 15-16: แอตแลนติส และ ค่ายฮาล์ฟบลัด



ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล

ผู้จดบันทึกวันที่ 15




             [ 29 พฤษภาคม 2024 ]


             สวัสดีบันทึกของวันที่ 15 การเดินทางของพวกเราใกล้จบลงแล้ว ผม ดีน นีล ขอเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดในบันทึกของวันนี้




             เวลา ??? น.


             ผมตื่นขึ้นมาในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย มันคือห้อง ๆ หนึ่งที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าน้ำทะเลอย่างหรูหราสวยงาม ประดับประดาไปด้วยเปลือกหอยและไข่มุก คล้ายกับพระราชวังในอนิเมชั่นแฟนตาซี เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างผมเห็นทิวทัศน์ของใต้ทะเลลึกที่เกือบจะมืดมิดจนสนิท แต่ยังคงมีบางสิ่งที่เรืองแสงวูบไหวอยู่ด้านนอกหน้าต่าง เมื่อสังเกตดี ๆ จะเห็นว่านั่นคือแพลงตอนเรืองแสง และกะพรุนใต้ทะเลลึกบางสายพันธุ์ (ผมขอไม่ลงรายละเอียดชื่อทางวิทยาศาสตร์ของพวกมัน เพราะไม่ใช่สาระสำคัญของบันทึกฉบับนี้และพวกคุณอาจจะไม่เข้าใจ) ช่างเป็นความสวยงามที่ลึกลับแต่ก็น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก


             ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้น่าจะเดาได้ไม่ยากว่าที่นี่คือ “พระราชวังแอตแลนติส” น่าเสียดายที่ผมไม่เก่งวิชาวรรณกรรม จึงไม่สามารถบรรยายความงามที่วิจิตรบรรจงถึงความสวยงามภายในห้องที่ผมเพิ่งตื่นขึ้นมาได้ อีกทั้งผมยังลืมโทรศัพท์มือถือของตัวเองไว้ในกระเป๋าเป้ที่อยู่ด้านหลังของรถบ้าน จึงไม่อาจถ่ายภาพหรือถ่ายคลิปวีดีโอของสถานที่ที่ผมมาเยือนแห่งนี้ได้ แต่ผมจะพยายามบรรยายให้ผู้อ่านเห็นภาพมากที่สุด


             ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาแต่ก็พบว่ามันตายสนิท แม้นาฬิกาจะสามารถกันน้ำลึกได้ 50 เมตร แต่จุดที่ผมอยู่อาจจะอยู่ลึกมากกว่า 8,000 ฟุต เสียด้วยซ้ำ ตัวเรือนนาฬิกาคงไม่อาจรับแรงดันน้ำที่มากมหาศาลได้ (แต่ตัวผมเองที่มีสายเลือดของมหาเทพโพไซดอนสามารถทนต่อแรงดันใต้น้ำได้เป็นอย่างดีจนน่าตกใจ) ดังนั้นผมจึงไม่รู้ว่าเวลาที่ตื่นขึ้นเป็นช่วงเวลากี่โมงกี่ยามแล้ว ด้านนอกที่มืดมิดแท้จริงแล้วเป็นเพราะว่าช่วงเวลานี้เป็นเวลากลางคืน หรืออยู่ภายใต้มหาสมุทรหลายพันฟุตจนแสงสว่างส่องลงมาไม่ถึงกันแน่


             นอกจากเรื่องเวลาแล้วอีกสิ่งที่อยากจดบันทึกไว้เกี่ยวกับพระราชวังแอตแลนติสก็คือ ภายในพระราชวังเป็นพื้นที่แห้ง สามารถหายใจได้ตามปกติ คล้ายกับมีโดมแก้วที่มองไม่เห็นครอบไว้อยู่ ดังนั้นเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนบกจึงสามารถเดินเล่นในพระราชวังแอตแลนติสได้หากว่าเขามีบัตรผ่านประตูเข้ามา ส่วนร่างกายที่บาดเจ็บหายสนิทเป็นปลิดทิ้ง คงมาจากพลังแห่งน้ำเยียวยาในขณะที่ผมไม่ได้สติอยู่


             ระหว่างนี้ผมพยายามทวนความคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เมื่อวาน (น่าจะเมื่อวาน) หลังจากที่ขับรถมาถึงไมอามี่ พวกเรากำลังจะไปหาโรงแรมพักแต่ก็ถูก “ไคมีร่า” ก่อกวนเสียก่อนโดยไม่ทันได้เตรียมความพร้อมใด ๆ เลย มันมาพร้อมกับ “อีคิดน่า” มารดาแห่งอสุรกาย ซึ่งเมื่ออสุรกายที่ร้ายกาจเป็นทุนเดิมอยู่ใกล้กับแม่ของมันยิ่งได้รับการเสริมพลังให้แข็งแกร่งจนแทบจะไร้เทียมทาน ด้วยกำลังของเดมิก็อด 5 คนไม่อาจต่อกรกับมันได้เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าผมจะใช้ตรีศูลของพ่อในการควบคุมน้ำได้ดีกว่าเดิมแล้วก็ตาม ผมเป็นผู้ที่ถ่วงเวลาได้ดีที่สุดจึงใช้พลังควบคุมน้ำต่อสู้กับมันเพื่อถ่วงเวลาให้เพื่อน ๆ ได้หนี แต่ผลสุดท้ายก็คือผมถูกมันแทงเข็มพิษใส่สองครั้งจนอาการสาหัสปางตาย ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าผมอยู่ที่นี่ ในพระราชวังแอตแลนติสอย่างงง ๆ ในระหว่างที่ผมหมดสติพ่อคงมาช่วยผมเอาไว้ ความรู้สึกน้อยใจพ่อทั้งหมดตลอดการเดินทางแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง เรื่องต่าง ๆ ที่ต้องการระบายใส่เจ้าสมุทรจึงถูกโยนทิ้งไป




             เวลา ??? น.


             ผมต้องตกใจสุดขีดเมื่อมีไซคลอปส์ตนหนึ่งสวมชุดเกราะสีขาวคล้ายกับผู้พิทักษ์ที่เกาะแห่งสายหมอกเข้ามาในห้องนอน ตอนนี้ผมไม่มีอะไรจะไปต่อกรกับมันนอกจากหมอนนุ่ม ๆ บนเตียงใหญ่ แต่ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้นไซคลอปส์ตนนั้นแนะนำตัวว่าเขาชื่อ “ลูอิส” เป็นหนึ่งในทหารองครักษ์ประจำพระราชวังแอตแลนติส และมีสายเลือดของเจ้าสมุทรผสมอยู่จาง ๆ ผมไม่รู้จะอึ้งเรื่องไหนก่อนดีระหว่าง “ไซคลอปส์ที่มีชื่อเป็นภาษาสเปนเหมือนคนธรรมดา” หรือเรื่องที่ “ไซคลอปส์มีสายเลือดเดียวกันซึ่งหมายถึงเป็นญาติของผม” ดี แต่ที่แน่ ๆ ผมใจไม่ดีตรงที่เขาสวมชุดเกราะคล้ายกับผู้พิทักษ์บนเกาะแห่งสายหมอก มันชวนให้คิดว่าผมอาจจะทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรงมากกว่าที่คิด


             ลูอิสแจ้งผมว่าไบร์ท และเดม่อน ได้เดินทางมาถึงแอตแลนติสแล้ว และเขามาปลุกผมเพื่อให้ไปที่ท้องพระโรงเพื่อเข้าเฝ้าพระราชา ผมจึงตามเขาไปที่ท้องพระโรงจนได้เจอกับเพื่อน ๆ ของผม จากนั้นไบร์ทก็เล่าเรื่องราวที่พวกเธอได้เจอหลังจากที่ผมพลัดออกจากกลุ่มไป


             “หลังเจอไคเมร่า ทั้งฉันทั้งเดม่อนเจอเมลูซีนเล่นงานเข้า เดม่อนเจ็บสาหัสเลย ดีหน่อยที่ฉันกรอกอาหารเทพใส่ปากรักษา เป็นอสุรกายสาวสุดสวย— อารีแอนน์ขอแยกไปนะเหมือนมีธุระไปที่อื่นต่อเสียดายจริง ๆ คิดว่าจะได้พากลับค่ายด้วยกัน เอมีเลียค่อนข้างกลัวเทพโพไซดอนเลยไม่ขอตามมาด้วยเลยพักอยู่ที่โรงแรมเครือแอตแลนติส แต่ดีใจนะที่นายปลอดภัยดีน”


             คุยกันได้ไม่เท่าไรปูเสฉวนก็เป่าแตรหอยสังข์ จากนั้นเสียงขานก็ดังขึ้น “ท่านเจ้าสมุทร มหาเทพโพไซดอน ราชาแห่งแอตแลนติส ผู้ปกครองคาบสมุทรทั้งเจ็ดและผืนน้ำกว้างใหญ่ไพศาล เทพแห่งมหาสมุทรและพายุ เทพผู้เขย่าพื้นพิภพ ผู้บันดาลให้เกิดคลื่นยักษ์และแผ่นดินไหว ราชาแห่งเหล่าสัตว์ทะเลและม้า พระเชษฐาของเทพซุส และพระราชินีแอมฟิไทรต์ ราชินีแห่งแอตแลนติสผู้ดูแลท้องทะเล เสด็จ”


             นอกจากความอลังการของแอตแลนติสก็คือความยาวการขานชื่อราชา จากนั้นร่างของราชาและราชินีแห่งแอตแลนติสก็เดินผ่านม่านน้ำที่อยู่ด้านหลังเข้ามาประทับบนบัลลังก์ ในมือของเทพโพไซดอนมีตรีศูลอันทรงเกียรติอยู่ในมือแล้วทำให้ผมอุ่นใจว่าตอนนี้ภารกิจได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี


             ผมหันไปมองไบร์ทเธอดูเกร็งไม่น้อยด้วยอาจจะเกรงกลัวราชินีแอมฟิไทร์ตไม่มากก็น้อย และยิ่งระหว่างทางพวกเราได้รับรู้เรื่องของ “โบล์ท บุตรแห่งเทพซุสที่ถูกสาปเป็นสุนัข” ด้วยแล้ว บางทีเธอคงอาจจะกลัวถูกสาปเป็นสัตว์ทะเลอะไรสักอย่างอยู่ก็เป็นได้ จนได้ยินเสียงพึมพำออกมาจากพี่สาวว่า “ช่วยโลกใบนี้ไว้ เท่านี้ก็จะไม่มีสงครามระหว่างเทพแล้วสินะ” ผมก็หวังให้เป็นเช่นนั้น แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปให้เธอนอกจากยิ้มปลอบ


             แม้จะเป็นการพบหน้ากับบิดาครั้งที่สองแต่ผมก็อดที่จะเกร็งไม่ได้เช่นกัน แม้คุณพ่อและราชินีแอมฟิไทรต์จะปรากฏกายด้วยร่างมนุษย์แต่ก็สวมใส่เครื่องแต่งกายอย่างเทพกรีกทำให้รู้สึกเหินห่างแปลก ๆ ผมควรจะคุกเข่าคุยกับคุณพ่อเหมือนในหนังอัศวินยุคกลาง หรือยืนคุยกันเฉย ๆ อย่างในซีรีย์เดอะคราวน์ก็พอ แล้วผมก็ค่อนข้างจะสับสนกับยศฐาบรรดาศักดิ์ของตัวเองอยู่ไม่น้อย ถ้าเป็นลูกพระราชาแม้จะเป็นบุตรนอกสมรสจะถือว่าทั้งผมและไบร์ทคือเจ้าชายเจ้าหญิงหรือเปล่า


             แต่เพื่อไม่ให้เกิดเดดแอร์ผมจึงต้องกล่าวทักทายราชาและราชินีไปตามความสะดวกของตัวเอง “สวัสดีพ่อ สวัสดีครับคุณน้า เอ่อ.. ผมไม่รู้คำราชาศัพท์ มันต้องพูดยังไง” ผมพยายามหันไปมองไบร์ทเผื่ออีกฝ่ายจะรู้วิธีการรับมือ


             “สวัสดีท่านพ่อและท่านราชินี” ไบร์ทกล่าว ดูเหมือนว่าเธอเองก็จะไม่รู้เรื่องพิธีรีตอง แถมสีหน้ายังคล้ายกับจะบอกว่า “รู้งี้ไม่มาก็ดี” อยู่กลาย ๆ


             เทพโพไซดอนกระแอมก่อนจะตรัส “เจ้าลูกพวกนี้นี่ เช่นนั้นข้าจับพวกเจ้าเข้าคอร์สเรียนวิชามารยาทชาววังตั้งแต่วันนี้แทนเลยดีไหม? ตามสบายเถอะไบร์ท เอลวิน ข้าและราชินีชินกับภาษาที่พวกเจ้าใช้ตอนสนทนากับกองไฟแล้ว ก่อนอื่นข้าต้องขอบคุณเจ้าทั้งสองคนนะลูกรัก รวมถึงเหล่าเพื่อน ๆ ของเจ้าที่ไม่ได้มาเยือนแอตแลนติสด้วย ที่ผ่านมาเจ้าคงลำบากกันน่าดู” 


             ถึงคุณพ่อในมาดพระราชาจะดูเคร่งขรึมกว่าปกติจนทำให้ผมไม่ชิน อาจจะด้วยต้องวางมาดให้ดูมีอำนาจยิ่งใหญ่ให้สมกับเป็นผู้ปกครองผืนน้ำทั้งโลกใบนี้ต่อหน้าธารกำนัลก็ตามที นั่นเป็นสิ่งที่ผมเข้าใจได้ แต่ในเมื่อคุณพ่อกล่าวอย่างเป็นกันเองกับผมแล้วก็ทำให้อุ่นใจขึ้นมาได้มาก

            “ก็ลำบากนิดหน่อย การตามหาตรีศูลนำมาคืนพ่อ ทำให้พวกเราได้เจอกับอสุรกายมากมายหลายประเภท” ไบร์ทกล่าวกับคุณพ่อน้ำเสียงแฝงไปด้วยความจิกกัด บอกตรง ๆ เลยว่าถ้าไม่ได้พ่อช่วยชีวิตไว้ในนาทีสุดท้ายผมก็คงมีอารมณ์กรุ่น ๆ ไม่ต่างจากไบร์ทด้วยเช่นกัน ผมไม่อยากจะพูดเลยว่าลำบากกันแค่ไหน คิดว่าต้องตายตั้งหลายหนด้วยซ้ำ


             “แต่ว่าพ่อดูอารมณ์ดีแบบนี้แปลว่าจะไม่มีสงครามแล้วใช่ไหมครับ?” ผมถาม


             “ถ้าตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว เป็นเรื่องที่ข้าเข้าใจผิดไปเองว่าสายเลือดแห่งซุสขโมยตรีศูลไป” เทพโพไซดอนตรัส คุณพ่อน่าจะรู้เรื่องราวการต่อสู้ที่เกาะผนึกอสุรกายจากโลมาที่ส่งสัญญาณเสียงออกไปทั่วโลก ซึ่งเป็นเรื่องดีที่ทำให้ผมไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องวันร้าย ๆ ที่เป็นตราบาปในวันนั้นออกมา


             “แต่พวกเราก็ดีใจที่จะไม่มีสงครามบังเกิด พ่อรู้แล้วใช่ไหมคธุลฮูถูกปลดผนึกแล้วและดาบเธซีอุสเล่มนี้" ไบร์ทนำดาบล้ำค่าของวีรบุรุษออกมาเป็นเครื่องยืนยันในสิ่งที่พูดว่าเป็นเรื่องจริงทุกประการ


             ทหารไซคลอปส์รับดาบจากไบร์ทส่งไปให้ราชาแห่งแอตแลนติส คุณพ่อมีสีหน้าหมองเศร้าเมื่อเห็นดาบเล่มนี้ในชั่ววินาทีหนึ่ง ก่อนที่ท่านจะส่งพลังบางอย่างไปที่ใบดาบจนเกิดแสงเรืองรองเป็นออร่าสีฟ้าชั่วขณะแล้วกลับกลายไปอยู่ในรูปลักษณ์ของแหวน


             “ดาบเล่มนี้เคยเป็นของเธซีอุส พี่ชายของพวกเจ้าเมื่อหลายร้อยหลายพันปีก่อน เขาต่อสู้แลกชีวิตเพื่อผนึกคธุลฮูเอาไว้ หากว่าเจ้านำดาบเล่มนี้มาก็แสดงว่าอสุรกายยักษ์ตนนั้นได้ตื่นขึ้นจากการหลับใหลแล้ว” โพไซดอนตรัสจบก็ส่งดาบ(แหวน)ให้ทหารไซคลอปส์เพื่อส่งคืนให้ไบร์ทอีกต่อหนึ่ง “ข้าเสริมพลังดาบเล่มนี้ให้เจ้าแล้ว เผื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะได้นำไปใช้ต่อกรกับอสุรกายที่ร้ายแรงยิ่งกว่า”


             พอได้ยินว่าพี่ชายที่ชื่อ “เธซีอุส” สู้ตายเพื่อผนึกคธุลฮูเอาไว้ก็รู้สึกสำนึกผิดอย่างสุดหัวใจ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมไซคลอปส์ในพระราชวังถึงแต่งกายคล้ายผู้พิทักษ์บนเกาะแห่งสายหมอก


             “พ่อครับผมขอโทษ” ผมขอโทษคุณพ่อด้วยความจริงใจ


             “มันเป็นความผิดของ” ไบร์ทคล้ายจะพูดอะไรออกมาแต่เธอก็หยุดไว้กลางคัน


             เทพโพไซดอนส่ายหน้าแล้วบอกผมว่าไม่ใช่ความผิดของผมที่ถูกหลอกให้คลายผนึกคธุลฮู “ผู้ที่ต้องชดใช้คือเทพชั่วร้ายของนอร์ส” แต่สีหน้าและแววตาเมื่อพูดถึงเทพชั่วร้ายที่น่าจะหมายถึง “โลกิ” กลับตรงกันข้าม ทำเอารู้สึกหนาวหลังว่าจะมีสงครามที่ยิ่งใหญ่กว่าเทพกรีกห้ำหั่นกันเอง


             “พวกเจ้าหิวกันไหม ทานอะไรกันมาหรือยัง ชาวแอตแลนติสตื่นเต้นดีใจกันใหญ่ที่เจ้าหญิงและเจ้าชายได้กลับมาเยือนแอตแลนติสอีกครั้งหลังจากที่พวกเขาไม่ได้มาเยี่ยมเยือนเสียนาน” ราชินีแอมฟิไทร์ตตรัสกับลูกนอกสมรสอย่างพวกผมอย่างมีเมตตา สมกับคำกล่าวลือว่าพระนางมีจิตใจอ่อนโยนตรงกันข้ามกับเทพีเฮร่า และจากคำตรัสทำให้ผมพอจะทราบสถานะของตัวเองมากขึ้น


             แม้ผมจะเป็นห่วงเพื่อน ๆ แต่ตอนนี้ท้องก็หิวมาก น่าจะไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เมื่อวานตอนเที่ยง การทำภารกิจครั้งนี้สุ่มเสี่ยงจะเป็นโรคกระเพาะเสียเหลือเกิน องค์ราชินีตรัสว่าเพื่อนที่อยู่โรงแรมในเครือแอตแลนติสตอนนี้ปลอดภัยดีไม่ต้องเป็นห่วง ผมและไบร์ทจึงได้รับประทานอาหารชาววังกันได้อย่างสบายใจ อาหารที่ถูกจัดสรรมาเป็นอาหารทะเลสูตรชาววังแอตแลนติส ทำเอาผมตกใจนิดหน่อยที่ต้องรับประทานสิ่งมีชีวิตที่สามารถสนทนากับผมได้ด้วยภาษาที่เข้าใจ


             ปลาใหญ่กินปลาเล็ก นั่นคือวัฏจักรของธรรมชาติ อาหารบนจานคือสัตว์ทะเลที่ถึงกำหนดสิ้นอายุขัย ชาวแอตแลนติสไม่เคยล่าเพื่อการเบียดเบียน” พระราชีนีตรัส ทำให้ผมสบายใจขึ้นนิดหน่อย


             แม้แรก ๆ จะทานไม่ค่อยลงแม้รสชาติของอาหารจะดีแค่ไหน แต่พอมีสุราเข้าปากผมก็เริ่มรับประทานอาหารได้มากขึ้นแล้วก็คุยจ้อกับคุณพ่อและคุณแม่เลี้ยงไม่หยุด ในเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวผม ส่วนไบร์ทแม้จะไม่ได้เข้าร่วมการสนทนามากนักแต่ผมก็เห็นว่าเธอเพลิดเพลินกับอาหารไม่น้อยไปกว่ากัน


             “ถ้ามีเศษซากสัตว์ทะเลก็อยากจะนำกลับไปทำวิจัยได้หรือเปล่า” ไบร์ทกล่าวขึ้นทำเอาผมขำนิดหน่อย นึกว่าเธอจะมีความสุขกับรสชาติ แต่ที่ไหนได้กลับอยากวิจัยสัตว์ทะเลเสียอย่างนั้น แม้พวกเราจะเรียนปริญญามาในสายเดียวกัน แต่เรื่องความเป็นนักวิทยาศาสตร์ของพี่สาวคงมีมากจนผมเทียบไม่ติด


             ราชินีกล่าวอนุญาตให้นำซากปลาหรืออาหารกลับไปได้แต่พระองค์ไม่อนุญาตให้จับปลาตัวน้อยในทะเลที่ยังไม่ถึงฆาตกลับไปทำวิจัย ผมจึงขอให้ห่ออาหารส่วนหนึ่งเก็บไปทานระหว่างการเดินทางด้วย เทพีแอมฟิไทร์ตพยักหน้ารับแต่กลับรับสั่งให้คนครัวไปทำอาหารชุดใหม่มาให้พวกผม พระนางใจดีเสียจนผมซึ้งใจ ขณะรับประทานอาหาร เทพโพไซดอนได้ส่งสัญญาณให้ข้ารับใช้นำหีบสมบัติมามอบให้พวกผมและยังมีรางวัลแก่ผู้ที่พักอยู่ที่โรงแรมบนบกเป็นค่าสินน้ำใจหรืออาจเรียกว่าค่าปลอบขวัญก็ได้


             เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จก็ได้เวลาลาจาก ราชินีแอมฟิไทร์ตชวนให้พวกผมอยู่เที่ยวต่อสองสามวันแล้วค่อยกลับ ผมก็อยากจะทำอย่างนั้นแต่ว่าผมดันมีเรื่องร้อนใจที่ค่ายฮาล์ฟบลัดที่ต้องกลับไปเคลียร์ จึงต้องปฏิเสธไปก่อน ไว้มีโอกาสหน้าที่ได้มาเยือนใหม่ผมคงไม่พลาดที่จะไปเดินชมสวนดอกไม้ทะเลที่ราชินีเคยตรัสชวน แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าโอกาสในการมาเยือนแอตแลนติสจะมีเป็นครั้งที่สองหรือไม่ก็ตาม ส่วนไบร์ทเธอยังไม่ค่อยสนิทใจกับชาวแอตแลนติสเท่าไร และแทบจะไร้ความผูกพันที่มีต่อคุณพ่อจึงขอปฏิเสธด้วยเช่นเดียวกัน มีแค่เดม่อนที่ตอบรับคำเชิญนั้นและขออยู่ฝึกพิเศษที่แอตแลนติส ก่อนลาจากกันกลับเดม่อนไบร์ทได้มอบแหวนดาบเธเซอุสให้กับรุ่นน้องบ้านอะโฟรไดท์ที่น่าจะได้ใช้ประโยชน์จากอาวุธชนิดนี้มากที่สุด


             ผมเข้าไปสวมกอดคุณพ่อโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายมียศฐาบรรดาศักดิ์อะไร ผมคิดแค่ว่าคนตรงหน้าคือบิดาผู้ให้กำเนิดผมขึ้นมา “ขอบคุณครับพ่อ ในที่สุดพ่อก็มาช่วยผม” ผมหวังมาตลอดว่าในการเดินทางครั้งนี้ให้คุณพ่อมาช่วยเหลือพวกผมบ้าง อย่างที่เทพีอะโฟรไดท์มาช่วยลูกชายของนาง และเทพอื่น ๆ ที่แอบยื่นมือเข้ามาไม่ว่าจะด้วยเหตุบังเอิญหรือว่าสงสารในความลำบากของพวกผมก็ตามที


             เมื่อกล่าวคำร่ำลากันเรียบร้อยคุณพ่อก็มีรับสั่งให้เรือดำน้ำฮิปโปแคมปัสไปพวกผมถึงท่าน้ำที่โรงแรมในเครือแอตแลนติส เรือดำน้ำเรืองแสงสว่างจากเวทมนตร์ส่องให้เห็นจึงทำให้เห็นทิวทัศน์ใต้ท้องทะเลอันงดงามที่ไบร์ทเคยผ่านตามาแล้ว ทั้งดอกไม้ทะเลที่สวยงามและยังไม่ถูกทำลายไปจากการฟอกขาวครั้งใหญ่ ฝูงปลาที่แหวกว่ายกันไปมาอย่างอิสระภายใต้ผืนน้ำกว้างใหญ่ ผมรู้สึกเสียดายจริง ๆ นะที่ไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือลงมาด้วย




             7.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             เรือดำน้ำฮิปโปแคมปัสขึ้นมาถึงบริเวณท่าเรือของโรงแรมสุดหรู ถ้าไม่ได้มีเส้นสายผมคงไม่มีปัญญามาพักในโรงแรมหรูหราห้าดาวแบบนี้ได้อย่างแน่นอน บางทีเมื่อกลับไปค่ายผมควรจะถามคุณแม่เสียหน่อยว่ารู้ไหมว่าคุณพ่อมีกิจการในโลกมนุษย์ ผมและไบร์ทติดต่อล็อบบี้เพื่อให้พาไปยังห้องแขกวีไอพีที่เอมีลีพักผ่อนอยู่ และหลังจากที่เอมีเลียตื่นขึ้นมาพวกเราก็ปรึกษาแผนในการเดินทางกัน


             ผมเสนอ “ถึงภารกิจจะจบแล้วแต่พวกเราต้องขับรถกลับไปที่นิวยอร์กกันเอง เอาไงดีเราเดินทางกันแบบมาราธอนดีไหม? ถ้าเช็คเอาต์ออกจากโรงแรมแล้วเดินทางตอน 9 โมง ผลัดกันขับรถ 3 กะ ไปถึงนิวยอร์กคงราว ๆ ตี 4 ของพรุ่งนี้ แล้วก็อาจจะพักงีบกันสักหน่อยค่อยเอารถไปคืนที่ศูนย์นิวยอร์กตอน 8 โมง จากนั้นค่อยขึ้นรถไฟฟ้ากลับไปที่ลองไอแลนด์ กว่าจะถึงค่ายก็ประมาณเที่ยงของวันที่ 30 เหนื่อยกันนิดนึงถ้าไม่อยากเสียเวลาเดินทางกลับเพิ่มเป็น 2 วัน”


             ความคิดเห็นของไบร์ท “เดินทางมาราธอนเหรอ ไหวชิล แล้วกะแรกใครจะขับรถเอมีเลียไหม เธอได้พักผ่อนเต็มที่หรือเปล่าที่โรงแรม ยิ่งถึงเร็ว ยิ่งดีต่อตัวเรา ฉันเหนื่อยกับการทะเลาะกับอสุรกายแล้ว”


             ส่วนเอมีเลียเธอไม่มีข้อโต้แย้งกับแผนการ เมื่อคืนเธอได้นอนหลับมาอย่างเต็มอิ่มแล้วชนิดที่ว่าขับรถกันไปตั้งแต่ไมอามี่ถึงนิวยอร์กรวดเดียวก็ยังไหว แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้เธอฝืนตัวเองมากเกินไปพวกเราจึงผลัดกันขับรถตามแผน




             9.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             หลังจากที่เอมีเลียรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารก็เช็คเอาต์ออกจากโรงแรม แล้วเริ่มออกเดินทางกันโดยทันที มีเอมีเลียเป็นพลขับส่วนผมคอยดูแผนที่บอกทาง และมีไบร์ทที่นอนยาวอยู่บนฟูกนอนด้านหลัง


             “ออกเดินทางได้เลย นอนในนี้ให้เต็มอิ่มนะไบร์ทตี้ เดี๋ยวถึงนิวยอร์กพวกเราจะไม่ได้นอนในรถคันนี้แล้ว” บอกตรง ๆ ว่าผมอดแซวเธอไม่ได้ ถ้าคุณสังเกตเห็นสรรพนามเรียกชื่อที่เปลี่ยนไปก็เข้าใจถูกแล้ว การเดินทางครั้งนี้ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น ผมเรียกไบร์ทว่า “ไบร์ทตี้” เรียกเอมีเลียว่า “เอลี่” ส่วนผมก็ได้ชื่อเล่นมาว่า “ดีนนี่” มาคิดดูแล้วก็น่าใจหายที่การเดินทางครั้งนี้ใกล้ถึงจุดสิ้นสุด




             12.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             แวะรับประทานอาหารกลางวันที่จุดพักรถ เมืองเมลเบิร์น รัฐฟลอริด้า อาหารชาววังแอตแลนติสแม้จะเย็นแล้วแต่พอเอาเข้าไมโครเวฟของรถบ้านก็ยังอร่อยสุด ๆ ถือว่ากินฟรีไปอีกหนึ่งมื้อ




             15.30 น. (เวลาโดยประมาณ)


             เปลี่ยนเวรขับรถที่ เมืองบรันวิก รัฐจอร์เจีย โดยผมเป็นคนขับ ส่วนเอมีเลียช่วยดูแผนที่การเดินทางสลับกับไปพักผ่อน การเดินทางราบรื่นดี




             19.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             แวะเข้าไดร์ฟทรูร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดสำหรับมื้อเย็น จากนั้นก็วิ่งรถต่อไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 95 การเดินทางราบรื่นดี




             22.30 น. (เวลาโดยประมาณ)


             เปลี่ยนเวรขับรถที่ชานเมืองเอ็มโพเรีย รัฐเวอร์จิเนีย โดยมีไบร์ทรับหน้าที่เป็นคนขับรถ คู่กับเอมีเลียช่วยดูแผนที่ ผมได้ไปนอนหลับพักผ่อนที่นอนด้านหลัง การเดินทางถือว่าราบรื่นดี แต่เอมีเลียได้แจ้งภายหลังว่าระหว่างทางเกือบมีการปะทะกับมิโนทอร์ตัวหนึ่ง มันดูมีท่าทีลังเลที่จะจู่โจมแต่แล้วมันก็ตัดสินใจที่จะวิ่งหนีรถบ้านของเราหายเข้าป่าไป สันนิษฐานของผมจึงเริ่มชัดเจนขึ้นว่าอสุรกายที่มีระดับไม่สูงมากอาจไม่กล้าต่อกรกับเดมิก็อดที่พลังสูงกว่าถึง 3 คน นับว่ามันตัดสินใจได้ดีพวกเราจึงไม่ต้องเสียเวลา


             ดูเหมือนยิ่งเข้าใกล้นิวยอร์กมากขึ้นเท่าไรอสุรกายที่พบเจอก็ยิ่งมีระดับที่ต่ำลงเรื่อย ๆ อาจเป็นเพราะในเมืองใหญ่ที่มีจำนวนประชากรสูงจึงทำให้จำนวนของอสุรกายลดต่ำลง และเป็นเขตการดูแลของเทพโอลิมปัสโดยตรง อสุรกายจึงถูกปราบปรามไปมากจนเหลือเพียงแต่ตัวที่ระดับเลเวลต่ำจนหลุดรอดการจัดการ


             ขอจบบันทักของวันที่ 15 ไว้เพียงเท่านี้



จบบันทึกของวันที่ 15

ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล



หมายเหตุ: ข้อความตัวเอียงสีเทาเข้ม คือ "ข้อความอันเป็นเท็จ"



[ หน้ากระดาษลับที่ไม่ได้นำมารวมเล่มกับบันทึก ถูกเก็บไว้ที่ ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล ]



             บันทึกของวันที่ 29 พฤษภาคม 2024


             เวลา ??? น.


             เดม่อนไม่ได้ลงมาที่แอตแลนติสกับไบร์ท เมื่อผมเจอเธอที่ท้องพระโรงไบร์ทได้แต่ยิ้มอ่อนแล้วบอกว่า “ทุกคนเทเธอไปหมด” อารีแอนน์ขอแยกตัวเพื่อไปทำภารกิจส่วนตัว เดม่อนถูกเมลูซีนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้จะทานอาหารเทพไปแล้วแต่ร่างกายของเขายังคงไม่ฟื้น เอมีเลียจึงจำเป็นต้องอยู่ดูแลเขาที่โรงแรมในเครือแอตแลนติส



             7.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             หลังจากที่ผมกับไบร์ทกับขึ้นมาบนบกแล้วผมได้เจอกับเดม่อนมารอที่ล็อบบี้ด้านล่างพร้อมกับสัมภาระประจำตัว ผมดีใจที่เห็นเขาแข็งแรงดีแล้วจึงลืมสนใจสัมภาระเหล่านั้นไปเสียสนิท ไบร์ทคืนดาบเธซีอุสที่ตอนนี้ถูกจัดเก็บอยู่ในรูปลักษ์ของแหวนแก่เดม่อน จากนั้นเดม่อนก็พูดขึ้น


             “กลับไปกันก่อน ผมรู้สึกว่าตัวผมมีเรื่องต้องไปสะสางกับใครบางคน”


             ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้ จากการที่อีกฝ่ายแยกตัวออกจากกลุ่มไปบ่อยครั้งทำให้ผมเริ่มจะปลงแล้วก็ได้แต่เคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย แม้จะรู้ว่าโลกภายนอกอันตรายแค่ไหนแต่ผมก็เชื่อใจในตัวของเดม่อนว่าสักวันเขาจะกลับมาที่ค่ายฮาล์ฟบลัดได้อย่างปลอดภัย สถานที่ที่เดม่อนแจ้งว่าจะขอแยกตัวไปคือ “เมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน” ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาต้องไปสะสางคืออะไร และมีอะไรอยู่ที่นั่น ก่อนลาจากกันเดม่อนได้ขอร้องกับผม


             “ถ้าหากลิเลียน่าถาม นายก็ช่วยบอกว่าผมปลอดภัยดี กำลังฝึกพิเศษอยู่ที่แอตแลนติส หากบอกแบบนี้ยัยฉลาดจะได้สบายใจ”


             ผมรับปากว่าจะช่วยปกปิดความจริงเรื่องนี้กับลิเลียน่าให้ และด้วยความที่เด็กบ้านอะธีน่าฉลาดเป็นกรดแล้วยังชอบอ่านหนังสือศึกษาบันทึกการเดินทางของเพื่อนร่วมค่าย ฉะนั้นผมจึงจำเป็นต้องเขียนข้อความอันเป็นเท็จลงในบันทึกที่ส่งมอบให้แก่คุณไครอน โดยความลับนี้รับรู้กันเพียงแค่ 3 คน แค่ผม ไบร์ท และเอมีเลีย 


             ในอนาคตกระดาษแผ่นนี้อาจได้รับการเย็บเล่มลงไปในบันทึกการเดินทางภายหลัง หรือไม่มันก็อาจจะถูกเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะของผมไปจนกว่าที่เด็กโพไซดอนคนใหม่ที่เข้ามาในค่ายจะได้พบเจอ


 


ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล

ผู้จดบันทึกวันที่ 16

(วันสุดท้ายของการเดินทาง)


             [ 30 พฤษภาคม 2024 ]


             สวัสดีครับ ผม ดีน นีล จะเป็นผู้รับผิดชอบบันทึกของวันที่ 16 และเป็นการปิดการเดินทาง




             5.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็พบว่าไบร์ทกำลังขับรถบ้านเข้ามาในนิวยอร์ก ถนนหนทางดูคุ้นตาเสียจนอุ่นใจไปด้วย พวกเราต้องแวะปั๊มน้ำมันเพื่อเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อนส่งคืนรถบ้านแก่บริษัทเช่ารถ พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะพักกันที่ปั๊มน้ำมันแห่งนี้เลยเมื่อได้เวลาค่อยขับรถไปคืนที่ศูนย์เช่ารถ


แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นต้องเคลียร์ขยะออกจากรถให้หมดก่อน แล้วก็มาเห็นว่ารถที่ตะลุยมาตั้งแต่ทิศตะวันตกสุดของสหรัฐอเมริกามาจนทิศตะวันออกมีสภาพทรุดโทรมแค่ไหน ทั้งคราบดินโคลนต่าง ๆ ขยะมากมายที่ซุกไว้ในรถ ไหนจะริ้วรอยถลอกที่เกิดขึ้นบางจุดแต่ไม่ถึงขั้นบุบสลาย พวกเราไม่จำเป็นต้องล้างรถเอาไปคืน ส่วนรอยถลอกต่าง ๆ ถือว่าอยู่ในประกันไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเพิ่ม




             9.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             บอกลารถบ้านที่ถือเป็นหนึ่งผู้ร่วมเดินทางกันมา 9 วัน การเคลียร์กับบริษัทเช่ารถเป็นไปด้วยดีแม้พนักงานรับรถจะดูอึ้ง ๆ เมื่อเห็นร่องรอยของการบุกน้ำลุยไฟมามากก็ตาม จะบอกว่าโชคดีก็ได้ที่ผมไม่ต้องเสียค่าปรับเพิ่มจนวงเงินบัตรเครดิตหมดแล้วต้องใช้ดอลลาร์ในหีบที่คุณพ่อให้มาชดใช้ค่าเสียหาย แต่กว่าจะออกจากศูนย์เช่ารถก็กินเวลาไปตั้งชั่วโมงนึง




             10.00 น. (เวลาโดยประมาณ)


             ออกจากศูนย์เช่ารถมาได้ผมก็ลองแกล้งแหย่คณะเดินทางว่า “เพื่อความรวดเร็วเราขึ้นแท็กซี่ของสามพี่น้องสีเทาดีไหม” เอมีเลียถามว่าคืออะไร ผมกับไบร์ทจึงอธิบายเธอไปว่าเป็นแท็กซี่ที่เร็วที่สุดในนิวยอร์ก หญิงสาวสายเลือดซุสบอกว่า “น่าสนใจ เอาสิ” แต่ผมกับไบร์ทแทบจะตะโกนคำว่า “ไม่” ออกมาพร้อม ๆ กัน


             ไม่เอาความเร็วเน้นความปลอดภัย จึงใช้การโดยสารรถไฟฟ้าจากสถานีนิวยอร์กเพนน์เพื่อกลับไปที่ค่ายฮาล์ฟบลัด เอมีเลียดูจะสนใจเทคโนโลยีทันสมัยบนรถไฟฟ้าเป็นอย่างมาก พวกเราใช้เวลาเดินทางกันประมาณ 2 ชั่วโมง 20 นาที ก็มาถึงริเวอร์เฮดลองไอแลนด์




             12.30 น. (เวลาโดยประมาณ)


             ถึงค่ายฮาล์ฟบลัดโดยสวัสดิภาพ


             สุดท้ายที่อยากกล่าวเพื่อปิดท้ายบันทึกการเดินทางอย่างสวยงาม ผมต้องขอขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เจอตลอดการเดินทางไม่ว่าดีหรือร้าย (แม้บางอย่างจะไม่อยากกล่าวขอบคุณเลยก็ตาม) แต่นั่นถือเป็นประสบการณ์ที่สำคัญสำหรับผมและชาวคณะสำหรับบทเรียนสำคัญในการดำเนินชีวิตต่อไปในฐานะเดมิก็อดแห่งค่ายฮาล์ฟบลัด



จบบันทึกของวันที่ 16

ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล


END CREDIT 


[กดปิดเพลงด้านข้างกระทู้แล้วกดเล่น ► ฟังเพื่อเพิ่มอรรถรส]


CAST
(เรียงลำดับตามการออก)




T o  B e  C o n t i n u e d ?




สำเร็จภารกิจเดินทาง คำพยากรณ์บทแรก: ตรีศูลที่หายไป

รับรางวัลทีมจากโพไซดอน
80 ดรักม่า (/ส่งแยกรายคน/)
+แปลนเฮเฟตัส 1 แปลน และ
หินตีบวกกับหินอัปเกรดอย่างละ  20 ก้อน



 แจ้งรางวัลที่ต้องการรับของ
ดีน เอลวิน อัลวาเรซ นีล


+600 พลังใจ 
+1 Level up

+30 คะแนนบ้าน
+200 เกียรติยศ และ 
+600 ความกล้าหาญ
+1000 ศรัทธา

+1 หัวใจ กับเทพโพไซดอน, เทพีแอมฟิไทรต์ 
HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25 - หากทำภารกิจเดินทางทวยเทพสำเร็จ ได้โบนัสความโปรดปรานหัวใจ 1 ดวง / +5 Point
(สรุป รวมความสนิท +2 หัวใจ และ +25 ความโปรดปราน)
 แจ้งรางวัลที่ต้องการรับของ
เดม่อน แคนเนลท์


+600 พลังใจ 
+1 Level up

+30 คะแนนบ้าน
+200 เกียรติยศ และ 
+600 ความกล้าหาญ
+1000 ศรัทธา

+1 หัวใจ กับเทพโพไซดอน, เทพีแอมฟิไทรต์ 
HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25 - หากทำภารกิจเดินทางทวยเทพสำเร็จ ได้โบนัสความโปรดปรานหัวใจ 1 ดวง / +5 Point
(สรุป รวมความสนิท +2 หัวใจ และ +25 ความโปรดปราน)
 แจ้งรางวัลที่ต้องการรับของ
ไบร์ท เอมส์


+600 พลังใจ
มอบให้สัตว์เลี้ยง +3 Level up

+30 คะแนนบ้าน
+200 เกียรติยศ และ 
+600 ความกล้าหาญ
+1000 ศรัทธา

+1 หัวใจ กับเทพโพไซดอน, เทพีแอมฟิไทรต์ 
HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) - โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25 - หากทำภารกิจเดินทางทวยเทพสำเร็จ ได้โบนัสความโปรดปรานหัวใจ 1 ดวง / +5 Point
(สรุป รวมความสนิท +2 หัวใจ และ +25 ความโปรดปราน)

แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-37] โลกิ เพิ่มขึ้น 400 โพสต์ 2024-12-16 20:51
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-06] เอมีเลีย แอร์ฮาร์ต เพิ่มขึ้น 500 โพสต์ 2024-5-31 10:29
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-03] โพไซดอน เพิ่มขึ้น 225 โพสต์ 2024-5-30 13:06
God
บันทึก จัดส่งรางวัลไอเท็มให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว  โพสต์ 2024-5-30 13:05
God
Daemon บันทึกส่งเงินแล้ว 80 ดรักม่า   โพสต์ 2024-5-30 13:03

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +600 +30 ย่อ เหตุผล
God + 600 + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
เข็มกลัดโพไซดอน
มาลาแห่งอัสสัมชัญ
กุหลาบสีน้ำเงินทอง
Hydro X
โล่แห่งเกียรติยศ
หนังสือรับรองไครอน
สร้อยข้อมืออัจฉริยะ
แจ๊กเก็ตยีนส์
เข็มทิศมหาสมุทร
ตรีศูลน้อย
นาฬิกาสปอร์ต
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
ควบคุมน้ำ
สื่อสารใต้น้ำ
เซ็นเชอร์น้ำ
ภูมิคุ้มกันพิษ
ภูมิคุ้มกันเปียก
ทักษะหอก
สายน้ำเยียวยา
สื่อสารกับสัตว์ทะเล&ม้า
น้ำหอม Unisex
หมวกเกราะ
รองเท้าเซฟตี้
หายใจใต้น้ำ
โรคสมาธิสั้น
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x10
x1
x2
x4
โพสต์ 2024-5-31 16:36:14 | ดูโพสต์ทั้งหมด


บันทึกหน้าพิเศษของเดม่อน
i
พบเจอสหายเก่า





ก่อนจะเข้าเรื่องราวต่อจากการเดินทางตามหาตรีศูลโพไซดอน หลังเราส่งตรีศูลคืนโพไซดอนกันแล้ว ผมก็แยกจากทุกคนที่ไมอามี่เพื่อไปยังดีทรอยต์ มันเหมือนกับว่ามีบางอย่างเรียกผมไปที่นั่นและจะต้องจัดการอะไรบางอย่างที่ค้างคาที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่หน้าบันทึกนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางเล็ก ๆ น้อยต่อจากตามหาตรีศูลโพไซดอน และผมซ่อนให้ห่างจากบ้านอะธีน่า ดังนั้น ถ้าคุณได้อ่านบันทึกหน้านี้ของผม ขอเถอะ อย่าบอกเด็กบ้านอะธีน่าว่ามีบันทึกนี้อยู่ ไม่งั้นชีวิตผมอาจเป็นอันตรายได้ ถ้ามีธิดาแห่งอะธีน่าคนที่ปิดบังรู้เข้า ที่ผมพาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายอีกครั้งแล้ว…..




บันทึกของวันที่ 30 พฤษภาคม 2024

ช่วงเวลาโดยประมาณ 09.00 - 11.00 น.


เขาบินมาจนถึงแจ็กสันวิลล์ เมืองชายทะเลข้าง ๆ ไมอามี่อีกเมือง แต่ที่นี่ดูเหมือนจะมีชายหาดแอตแลนติส หรือเมืองนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโพไซดอนอีกเมือง(?) แต่ทว่าตอนนี้ดูเหมือนพลังเริ่มจะไม่ค่อยเหลือเยอะแล้ว ก่อนจะแลนดิ้งในสวนสาธารณะสักแห่งในแจ็กสันวิลล์ พิราบน้อยบินเข้าไปในตู้โทรศัพท์ ก่อนจะกลับกลายเป็นคนเมื่อออกมาจากตู้โทรศัพท์ เป็นไงล่ะ มุกซุปเปอร์แมนสมัยก่อนชอบเปลี่ยนชุดในตู้โทรศัพท์สาธารณะ 


เดม่อนมองซ้ายมองขวาก่อนจะเดินออกจากสวนสาธารณะไป ตอนนี้เขาจะต้องรถสักคันเพื่อขึ้นเหนือและต้องปลอดภัย…


“ดูเหมือนเช้าขนาดนี้จะยังไม่ค่อยมีผู้คนสินะ” บางอย่างบอกว่าให้รีบไปดีทรอยต์ แม้ผมจะไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร  เดม่อนพูดพึมพำก่อนเดินออกไปจากสวนสาธารณะ


ในขณะเดินออกมาจากสวนสาธารณะ เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง เหมือนกับเสียงแม่ไม่มีผิด น้ำเสียงนี้…และเต็มไปด้วยพลัง “มาที่ฟิลาเดลเฟีย” เสียงนั้นพูดขึ้น


ผมไม่ทันตอบอะไรก็เงียบหายไป หรือจะเป็นแม่จริง ๆ ต้องการให้ผมไปที่นั่น ก่อนจะพยายามนึกชื่อเมือง… ฟิลาเดลเฟีย ในกูเกิลเหมือนจะสาธยายมันไว้ว่าเป็นเมืองแห่งความรักอีกแห่งในโลก หรือจะเป็นแม่จริงและต้องการให้เขาไปที่นั่น ดูเหมือนตอนแรกผมจะไปดีทรอยต์จากเส้นแอตแลนต้า แต่ตอนนี้ต้องเปลี่ยนเส้นทางซะแล้ว และค่อนข้างจะเมคเช้นส์อีกด้วยที่เสียงนั้นจะเป็นแม่ ย่อมไม่มีใครที่จะเรียกให้ไปเจอกันในเมืองแห่งความรัก นอกเสียจากเทพีแห่งความรักอะโฟร์ไดต์แล้ว


เดม่อนเดินเตร่ไปตามท้องถนนแจ็กสันฮิลล์ ก่อนเขาเห็นรถสิบล้อ ดูเหมือนโลโก้จะบ่งบอกว่ารถคันนี้มาจากฟิลาเดลเฟีย เดม่อนแปลงกายเป็นพิราบก่อนบินไปใกล้ ๆ คนขับเพื่อแอบส่องบันทึกที่เขาถือกำลังเช็คสินค้าขึ้นรถ ดูเหมือนปลายทางจะกลับไปยังฟิลาเดลเฟียจริง ๆ ก่อนเขารอสบโอกาสและบินพุ่งเข้าไปด้านในสุดของท้ายรถบรรทุกตอนอีกฝ่ายเผลอ และแอบอยู่หลังกล่อง รอประตูท้ายรถปิดค่อยกลับคืนร่างเดิม




บันทึกของวันที่ 30 พฤษภาคม 2024

ช่วงเวลาโดยประมาณ 14.00 - 15.00 น.


เขาไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วหลังจากรถบรรทุกสินค้าที่ดูเหมือนกำลังแล่นบนถนน เดม่อนคืนร่างคนก่อนนั่งมองภายในรถอันมืดมิด เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้จะใกล้ถึงฟิลาเดลเฟียหรือยัง ก่อนเรื่องต่อไปนี้จะเกิดโคตรเร็วมาก ตัวของผมกลิ้งหลายตลบตามแรงของรถบรรทุกที่โดนบางอย่างพุ่งซน จนพลิกตีลังกาไถลออกนอกถนนบนเนินดินข้างทาง


เดม่อนที่ตั้งหลักก่อนเขาพุ่งไปถีบประตูหลังรถบรรทุกกระทุ้งมัน ๆ อย่างแรง ถีบสุดแรงเกิดจนสามารถเปิดประตูหลังรถออกมาได้ เขารีบกระโดดลงมา รถพลิกคว่ำ คนขับหมดสติ เสียงไซเรนก็ดังแว่วมาแต่ไกล เขาไม่รู้ว่าตำรวจจะเห็นเขาเป็นอะไรก่อนรีบวิ่งออกจากจุดเกิดเหตุก่อน และหันไปมองทางขวาไฮดร้าสามหัวกำลังวิ่งตามมา


เดม่อนที่วิ่งมาไกลจากจุดเกิดเหตุพอสมควรก่อนเบรดฝีเท้าและหันมาเผชิญหน้ากับอสุรกายระดับต้น ๆ ของห่วงโซ่อสุรกาย จอมอสุรกายที่แข็งแกร่งที่สุด ไฮดร้า


เดม่อนชักดาบและโล่ออกมาสแตนบายไว้พร้อมรับมือ และสายตาเขาเหลือบไปเห็นป้ายถนนทางด่วน บัลติมอร์อีก 30 กม. ดูเหมือนเขามาใกล้ถึงเมืองระหว่างทางไปฟิลาเดลเฟียแล้ว ไฮดร้าพุ่งชาร์จโตมตีเขาพร้อมกับมันใช้หัวทั้งสามสลับกันพุ่งมา


เดม่อนเบี่ยงตัวหลบ แต่ก็มีบ้างที่เขาพลาดโดนฟันมันกัดเข้าอย่างจัง ก่อนสวนด้วยการฟาดดาบใส่หัวที่สามที่มันพุ่งมา แต่เขาไม่มีเวลาหยิบไฟแช็กในกระเป๋า ก่อนอีกสองหัวพร้อมใจกันพุ่งมาโจมตีสกัดกั้นเขา เดม่อนต้องกระโดดถอยหลบมาสามตลบ ส่วนหัวที่โดนตัดไปก็สายเกินไป มันงอกมาเพิ่มอีกสองหัว แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมแพ้ ในพจนานุกรมของเขาจะต้องสู้สุดชีวิต ตอนนี้เขากำลังสนุกกับมัน รอยยิ้มของเดม่อนเริ่มเผยออกมาบนใบหน้าอย่างมีความสุข


“แกทำให้ฉันมีความสุข ไม่ผิดจากอสุรกายสุดแข็งแกร่งตามตำนานเลย” เดม่อนพูดกับไฮดร้า ก่อนพุ่งโจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง


เขากระโดดหลบ และอาศัยบางจังหวะแปลงกายเป็นมดเพื่อหลบการโจมตีบ้าง ก่อนกลับมาร่างคนโต้ตอบการโจมตี จนตอนนี้เขาต่อสู้เหมือนแอนท์แมนในหนังมาร์เวลก็ไม่แตกต่างกันมาก ต่างกันแค่เขาไม่ได้ย่อตัว แต่กลายเป็นมดจริง ๆ เขาสลับการต่อสู้ ก่อนตัดอีกหัว แต่มันก็สามัคคีกันจริง ๆ ทุกครั้งที่เขาตัดหัวได้ เมื่อจุดไฟแช็กในมือที่ถือแทนโล่ตอนนี้ไม่ทันหย่อนมันพุ่งมาโจมตีเขาจนต้องกำไฟแช็กไว้แน่นแทนการจุด จนหัวมันเพิ่มมาอีกสองหัวเช่นนี้


เขาไม่รู้ว่าตัวเองต่อสู้มานานแค่ไหนแล้ว แต่ดูเหมือนไฮดร้าตรงหน้าเขาจะยังคงไม่ใช่คู่ปรับมัน แถมมันยังฉลาดเป็นกรดไม่ปล่อยให้หัวที่โดนตัดโดนเผา ถ่วงเวลารองอกได้จนตอนนี้มันมีหัวตั้ง 20 หัวแล้ว และสภาพร่างกายเดม่อนก็ดูไม่ดีเท่าไหร่ด้วย สภาพสะบัดสะบอม แขนเสื้อขาดไม่ต่างกับคนไร้บ้าน เนื้อตัวมีรอยถลอก เลือดไหลจากแผลที่แขนที่มันกัดหยดลงพื้นทีละหยด


เดม่อนยังคงกัดฟัน มันดูมีบาดแผลเหมือนกัน เหลือแค่เขาต้องกำจัดหัว แต่ทว่าครานี้เขาวิ่งถอยไปยังท่อนไม้ริมถนน ก่อนจะคว้ามาพันผ้าจากเศษเสื้อที่ขาด เขาเลือกฉีกมันและหยิบน้ำมันก๊าชจากกองขยะข้าง ๆ ที่เหลืออยู่นิดนึงราดใส่บนหัวไม้ที่คลุมเสื้อและจุดไฟแช็ก


เดม่อนถือหนึ่งดาบหนึ่งคบเพลิง ไฮดร้ามันพ่นพิษมาทางเขาทำให้เขาต้องรีบกระโดดหลบไปข้างทาง ก่อนลุกขึ้นตั้งหลัก และพุ่งโจมตีอีกฝ่าย แม้เขาจะตัดหัวและเผาไปได้หัวหนึ่ง แต่หัวอีกจำนวนมากของมันก็พุ่งกระแทกเขาจนปลิวมาไกล ไถลไปตามพื้นถนนคอนกรีด


อีกด้านหนึ่งหนุ่มผมบลอนด์เคลื่อนที่รวดเร็วดุจลมกรด เขาใช้พลังแห่งสายเลือดเทพจูปิเตอร์พัดพาร่างกายของตัวเองโบยบินไปตามท้องนภาเช่นเดียวกับนก อีกนิดเดียวก็ใกล้กับจุดหมายปลายทาง ‘หาดเนปจูน’ ตามภาจกิจที่ได้รับจากท่านจ้าวสมุทร


ทว่าเมื่อใกล้ถึงที่หมายสายตาอันคมกริบของชายหนุ่มแห่งท้องนภาได้บังเอิญไปเห็นร่องรอยการต่อสู้ที่เกิดขึ้นหมาด ๆ ไม่แน่ว่าอาจจะยังไม่จบสิ้นเลยเสียด้วยซ้ำ ตามวิสัยของ ‘อาเธอร์’ เขาแลนดิ้งลงมา สองขาเหยียบย่ำลงบนพื้นถนนก่อนจะตามร่องรอยหลักฐานไปเรื่อย ๆ จากการสันนิษฐานตามประสบการณ์อสุรกายที่อาจอยู่เบื้องหน้าอาจเป็นไฮดร้า และคนที่ต่อสู้กับมันเป็นรอง อาการอาจจะไม่สู้ดีนัก


ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อมาถึงจุดของการปะทะ อาเธอร์เห็นหนุ่มคนหนึ่งต่อสู้อยู่กับไฮดร้ายี่สิบหัวด้วยอาการสะบักสะบอม


ใครที่ไหนทำให้หัวมันงอกขึ้นมาได้ขนาดนี้กันเนี่ย


ด้วยความที่ศัตรูเป็นอสุรกายที่ร้ายกาจงานนี้ถ้าเขาเข้าไปแจมคนที่ต่อสู้อยู่เบื้องหน้าคงไม่ว่าอะไร แม้เกียรติยศและศักดิ์ศรีจะสำคัญสำหรับชาวค่ายโรมัน แต่การจะทนมองเห็นคนตายต่อหน้าเขาก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้


ประกายแสงแปรบปราบปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ อาเธอร์ซัดหอกสายฟ้าใส่ไฮดร้าตนนั้นที่กำลังหันหลังอยู่เข้าไปเต็ม ๆ หนุ่มนักรบโรมันเชี่ยวชาญการกำราบอสุรกายเป็นทุนเดิมชักกริชออกมาบั่นเศียรหนึ่งของไฮดร้าขาดในการฟันเพียงแค่ครั้งเดียว ไม่รอช้าเขาใช้สายฟ้าความร้อนสูงจี้ไปยังคอที่ถูกตัดขาดในทันที เพียงแค่เวลาไม่ถึงนาทีอาเธอร์ก็จัดการบั่นศีรษะของไฮดร้าไปได้แล้วห้าหัว


เดม่อนที่ปลิวไปก่อนพยายามยันตัวเองด้วยดาบลุกขึ้น เขามองเห็นชายที่มาช่วยไม่ชัดเพราะไกลเกินไป แต่เหมือนเป็นสายฟ้า หรือจะเป็นบุตรแห่งซุส ก่อนจะเค้นเสียงตะโกน


“ลองใช้นี่ดู!” 


บางทีเวลานี้ให้เขาลองใช้ดาบเธซีอุสน่าจะพอช่วยได้บ้าง เขายังใช้มันไม่ได้ แต่กับคนตรงหน้าอาจจะใช้ได้อยู่ก่อนถอดแหวนและโยนไปให้อีกฝ่าย


“หืม?” เสียงที่อาเธอร์ได้ยินฟังดูคุ้นหูแต่ก็นึกไม่ออกว่าคือใคร


ชายหนุ่มผมบลอนด์รับสิ่งที่อีกฝ่ายโยนมาได้อย่างแม่นยำ มันคือแหวน.. แต่แหวนนี่มันยังไง เพียงแค่ความคิดจบลงแหวนวงนั้นก็กลายสภาพเป็นดาบที่ตัวใบดาบคล้ายกับจะเรืองแสงสีฟ้าได้ แม้จะไม่ใช่บุตรแห่งเนปจูนทว่าอาเธอร์ก็พอจะสัมผัสได้ถึงพลังแห่งมหาสมุทร


“ของดีนี่ ขอบใจ” หนุ่มจากค่ายโรมันโรมรันไฮดร้าตนนั้นด้วยดาบคมกริบที่แสนเหมาะมือ คอของไฮดร้ากลายเป็นวัตถุอ่อนนิ่มราวกับเนยเมื่อใบมีดตัดผ่าน 


เดม่อนที่เห็นอีกฝ่ายรับและเรียกดาบออกมาได้ ดูเหมือนเขาสบายใจแล้ว และน่าจะช่วยอีกฝ่ายจัดการไฮดร้ายี่สิบหัวตัวนี้ลงได้ง่ายขึ้น 


เขาลุกเดินไปหาที่หลบแต่ก็พอมองอีกฝ่ายและไฮดร้าเห็นได้อย่างชัดเจน ตอนนี้ถ้าเขายังดึงดันเข้าไปสู้อีกจะเป็นตัวถ่วงผู้มาช่วยเปล่า ๆ แต่ถ้าอีกฝ่ายต้องการซัพพอร์ตเขาก็ต้องเก็บแรงไว้เผื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินรีบเข้าไป


เพียงไม่นานไฮดร้าก็ถูกกำจัดจนสิ้นชีพ ร่างกายของมันสลายกลายเป็นธุลีก่อนจะเหลือสินสงครามทิ้งไว้ อาเธอร์หยิบหัวไฮดร้าหัวนั้นหิ้วไปหาเดมิก็อดที่ปะทะกับมันเมื่อก่อนหน้า แต่เมื่อชายหนุ่มรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็ต้องตาเบิกโพลง


“เดม่อน นายมาทำอะไรที่นี่!”


“พี่อาเธอร์!?” เดม่อนพูดขึ้นด้วยความดีใจ เขาคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจออีกฝ่ายแล้วเสียอีก ก่อนจะลุกขึ้นเดินกะเผกไปหาอีกฝ่าย 


“เอ่อ..จะว่าไงดี พอดีผมกับเพื่อนมาทำภารกิจตามหาตรีศูลของโพไซดอนน่ะครับ ทำกันเสร็จแล้ว แต่ผมมีบางอย่างบอกให้ไปทำ…บางอย่างที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร แต่สัญชาตญาณผมบอกว่ามันอยู่ที่ดีทรอยส์ก็เลยแยกจากทุกคนมาเดินทางตามสัญชาตญาณของตัวผมเอง” เดม่อนพูดเล่าเรื่องแบบสรุปสั้นที่สุดให้พี่อาเธอร์ฟัง เขามองอีกฝ่ายด้วยความดีใจ ก่อนจะพูดขึ้น “ดาบเธซีอุสเล่มนั้นดูเหมาะกับพี่ดีนะครับ”


“โอเค เข้าใจล่ะ แต่นายรักษาแผลตัวเองก่อนไหม พกอาหารเทพมาด้วยหรือเปล่า?” อาเธอร์ถามน้องชายที่เคยเดินทางด้วยกันน้ำเสียงเป็นห่วง “ดาบนี่คือดาบเธซีอุส? หมายถึง ของวีรบุรุษกรีกคนนั้นน่ะเหรอ ไม่น่าล่ะถึงรู้สึกได้ถึงพลังแห่งทะเล” เรียกว่ารู้สึกตามประสบการณ์ก็แล้วกัน


“จริงด้วย” เดม่อนพูดขึ้นก่อนหยิบอาหารเทพในกระเป๋าเป้ขึ้นมากัดเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย รสชาติแม้จะขมเหมือนโกโก้ไปบ้างแต่คิดซะว่าขมเป็นยา กรุบกริบไปพร้อมกับใช้พลังหอมเยียวยาชำระล้างร่างกายด้วย เดี๋ยวไปเจอแม่สภาพนี้แม่คงไม่ปลื้มเท่าไหร่


“อ่า..ใช่ครับ อีกทั้งตอนนี้ตอนนี้ผมก็ยังใช้มันไม่ได้ ดูเหมือนมันอาจจะรอพี่อาเธอร์ก็ได้นะ” เดม่อนพูดขึ้นอย่างกับจะยกดาบเล่มนี้ให้อีกฝ่าย หากเป็นพี่อาเธอร์จะต้องแสดงพลังของดาบเล่มนี้โลดแล่นได้เหมือนที่เธซีอุสเคยทำไว้ในอดีตเป็นแน่


“หา บ้าน่า ของล้ำค่าขนาดนี้นายมายกให้ฉันได้ยังไง” อาเธอร์รีบปฏิเสธ และเมื่อไม่ได้ใช้งานดาบเล่มนั้นก็กลับคืนอยู่ในสภาพของแหวน เขามองร่างกายเดม่อนค่อย ๆ ฟื้นฟูจึงโล่งใจ “นายเพิ่งเข้าค่ายฮาล์ฟบลัดได้ไม่นานแต่ออกมาทำภารกิจของเทพโพไซดอนได้แล้วฝีมือไม่เบาเลยนี่นา” ชายหนุ่มยิ้มชม เขาคิดว่าเทพโพไซดอนน่าจะเหมือนกับเทพเนปจูน ถ้าไม่ใช่ภารกิจสำคัญสามมหาเทพจะไม่มอบหมายงานให้เหมือนกับเทพอื่น ๆ ในโอลิมปัส


“เอ่องั้นก็ได้ครับ… ไม่รู้เมื่อไหร่ผมถึงจะทำให้มันยอมรับในตัวผมได้” เดม่อนยิ้มก่อนรับแหวนจากพี่อาเธอร์มาสวมกลับคืนดังเดิม ก่อนจะมองอีกฝ่ายดูเหมือนกำลังเดินทางไปไหนหรือเปล่านะ “ว่าแต่พี่อาเธอร์จะไปที่ไหนหรือเปล่าครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยบอกผมได้เลยนะ ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก……”


“สักวันนั่นแหล่ะ วิถีของวีรบุรุษมันไม่ง่ายหรอก” อาเธอร์ยิ้มที่มุมปาก “ฉันกำลังจะไปทำภารกิจต่อน่ะ ของเทพเนปจูน เอ่อ.. ฉันคิดว่านายอย่าเจอท่านเลยดีกว่า” จากการเดินทางอาเธอร์รู้ว่าแม้เทพกรีกและโรมันจะคล้ายคลึงกันแต่เทพทางฝั่งโรมันจะดุดันกว่ามาก พ่อในตำนานกรีกเป็นเทพเจ้าชู้นักสำราญ แต่พ่อที่เขาเจอไม่ได้เป็นเทพแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย แตกต่างยิ่งกว่าเหรียญคนละด้าน


”เหะ!?” เดม่อนที่สงสัยกับคำพูดท่อนหลังของอีกฝ่าย ก่อนจะยิ้มตอบรับและเข้าใจ “โชคดีนะครับพี่อาเธอร์ หวังว่าสักวันผมจะต้องแข็งแกร่งให้เท่าพี่ให้ได้!” เดม่อนพูดขึ้นด้วยเสียงมั่นใจเต็มเปี่ยม ก่อนจะหัวเราะด้วยความตื้นตันใจออกมา


“โอเค ถ้านายไม่เป็นไรแล้วฉันไปก่อนล่ะ เวลาเดดไลน์ใกล้งวดเข้ามาทุกที” อาเธอร์พึมพำ “ฉันดีใจที่ได้เจอนายอีกครั้งนะเดม่อน ส่วนหัวไฮดร้านี่ขอแล้วกันนะ ฉันจำเป็นต้องใช้พอดี” เมื่อลาจากกันเสร็จ สายเลือดแห่งจูปิเตอร์ก็เรียกสายลมมารับตัวเขาไปยังจุดหมายที่หาดเนปจูน


“โชคดีครับ..” เดม่อนพูดส่งท้ายก่อนยืนตรงนั้นสักพัก ตรงอีกฝ่ายหายลับขอบฟ้าไป เขาก็กลับหันหลังเดินเข้าเมืองบัลติมอร์ ว่าแต่จะต้องหารถนั่งอีกแล้วสินะ 




บันทึกของวันที่ 30 พฤษภาคม 2024

ช่วงเวลาโดยประมาณ 18.00 - 19.00 น.


เขาเดินเข้าไปภายในเมืองบัลติมอร์ ก่อนหันไปดูรายการทีวีข่าวหน้าร้านขายทีวี ดูเหมือนทีวีเครื่องโชว์กำลังถ่ายทอดเหตุรถพลิกคว่ำนอกเมือง รถสิบล้อเครื่องหมาย HY พุ่งแหกโค้งซนรถสิบล้อคันที่เขานั่งปลิวออกข้างทางจนพลิกคว่ำ… เดี๋ยวนะเดม่อนกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนเห็นรถบรรทุก HY กลายเป็นไฮดร้าและวิ่งพุ่งไปอีกทาง โชคดีที่ถ่ายไม่ติดเขา


เดม่อนเดินไปตามฟุตบาทริมถนน สายตามองทั่วเมืองบัลติมอร์ ก่อนจะไปเห็นรถบรรทุกอัลปาก้าฝูงหนึ่ง และข้างรถเขียนว่า ฟิลาเดลเฟีย หรือรถคันนี้จะบรรทุกสัตว์พวกนี้ไปที่นั่นนะ เดม่อนมองซ้ายมองขวาก่อนเดินไปที่รถกระบะ และปืนขึ้นไป 


“ไฮ้ ทุกคน” เดม่อนพูดเชิงจะฝากเนื้อฝากตัว ก่อนจะนึกภาพอัลปาก้าเพื่อแปลงร่างกลายเป็นพวกมัน และเนียนอยู่ท้ายรถกระบะ 


หวังว่าการเดินทางนี้จะปลอดภัยนะ มุ่งหน้าสู่เมืองแห่งความรักในอเมริกา คงไม่ใช่ใครอื่นที่เรียกเขาไปที่เมืองนั้น เดม่อนในร่างอัลปาก้าเอียงคอมองท้องฟ้า และคิดถึงทุกคน ตอนนี้ดีนกับไบร์ทจะกลับถึงค่ายหรือยังนะ


สำหรับบันทึกหน้านี้ผมจะขอหยุดแต่เพียงเท่านี้ก่อน เดี๋ยวถ้าในฟืลาเดอเฟียไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายมากหรือเหนื่อยจนเกินไปผมจะมาจดบันทึกในช่วงท้ายของวันทันทีที่ถึงเมืองดังกล่าว และหวังว่าจะเจอแม่โดยเร็ว





- กินอาหารเทพ ส่ง GOD แล้ว 1 แท่ง








แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-37] โลกิ เพิ่มขึ้น 400 โพสต์ 2024-12-16 20:52
God
คุณได้รับ +100 เกียรติยศ โพสต์ 2024-5-31 23:59
โพสต์ 46587 ไบต์และได้รับ 24 EXP!  โพสต์ 2024-5-31 16:36
โพสต์ 46,587 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-5-31 16:36
โพสต์ 46,587 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ทักษะดาบ  โพสต์ 2024-5-31 16:36

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +100 +30 ย่อ เหตุผล
God + 100 + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
ตาหลากสี
เกราะหนัง
โล่อัสพิส
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x7
x10
x1
x2
x1
x11
x2
x8
x1
x2
x1
x3
x2
x1
x18
x1
โพสต์ 2024-6-20 08:21:57 | ดูโพสต์ทั้งหมด


บันทึกหน้าพิเศษของเดม่อน
iI
ฟิลาเดลเฟีย เมืองแห่งความรัก





หลังจากเมื่อคืนวาน เดม่อนที่กำลังงีบหลับในร่างอัลปาก้าก่อนเขารู้สึกแสงแยงตา เปลือกตาสองข้างค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ดูเหมือนพระอาทิตย์รุ่งอรุณจะเริ่มมาแล้ว และสายตาของเขาต้องไปสะดุดกับป้ายข้างทาง 10 กิโลเมตร ฟิลาเดลเฟีย การนั่งรถมาตลอดทั้งคืนของเขาในฐานะอัลปาก้าตัวน้อยใกล้ถึงจุดหมาย 


“ลาก่อนนะเพื่อนร่วมทาง” เดม่อนส่งเสียงพูดออกมาเป็นเสียงร้องของอัลปาก้า ก่อนเขาจะแลปงกายเป็นนกพิราบโบยบินออกจากรถมุ่งหน้าเข้าเมืองฟิลาเดอเฟีย


เขาจะต้องหาสัญลักษณ์ของเมืองนี้ ฟิลาเดอเฟีย หากพูดถึงเมืองแห่งความรักอย่างฟิลาเดอเฟีย เหมือนกับว่าเขาจะเคยผ่านตามาบ้างนะ หอระฆังใจกลางเมือง.. เป็นที่สุดคลาสสิกที่คนมาเที่ยวที่นี่ไม่ควรพลาด บางทีเขาอาจจะสามารถเจอแม่ได้จากที่นั่น


เดม่อนเดินทางมุ่งหน้าไปยังหอระฆังยังใจกลางเมือง กว่าเวลาร่วมสามถึงสี่ชั่วโมงเขาก็เดินมาถึงหอระฆังที่มีชื่อเสียงของเมืองงฟิลาเดอเชียแห่งนี้ 


‘ขึ้นมาสิลูกรัก’ เสียงหญิงสาวดังขึ้นในโสตประสาทผม ก่อนผมเงยหน้าขึ้นไปยอดหอคอย และกลับมามองทางเดิน 


ผมพาตัวเองเดินเข้าไปในหอคอยใจกลางเมือง หอระฆังมีบางอย่างที่โอ่อ่าและหรูหรา อีกทั้งที่นี่ยังถูกออกแบบด้วยกระจกทำให้มีความสวยคลาส การตกแต่งสมเป็นเมืองแห่งความรัก 


เดม่อนเดินขึ้นไปบนหอระฆังของเมืองฟิลาเดอเชีย ก่อนเขาเห็นหญิงสาวในชุดเช็กชี่ เต็มไปด้วยรอยยิ้มพราวเสน่ห์ เทพีอะโฟร์ไดต์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย แม่ของผม


“แม่ครับ ผมได้ยินเสียงแม่…” เดม่อนพูดขึ้นก่อนก้มทำความเคารพให้แม่ด้วยความศรัทธาสุดซึ้งทั้งหมดที่ผมมีถวายแก่เทพี มารดาของผมที่อยู่ตรงหน้า


“ลูกต่อสู้ได้กล้าหาญมากเดม่อน ในภารกิจที่ผ่านมานี้ ไม่ผิดจากปารีสคนโปรดของแม่ในสมัยทรอยเลย” เทพีอะโฟร์ไดต์ยิ้มก่อนเดินมาลูบศีรษะลูกชายของเธอ “ในทิศที่ลูกจะไปนี้ลูกจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าท้ายบางอย่าง”


เทพีอะโฟร์ไดต์ที่พูดคลุมเครือ เธอไม่สามารถบอกอะไรมากได้ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้บุตรชายของเธอและยกมือขึ้นลูบใบหน้าบุตรชายตัวน้อย “แม่ขออวยพรให้เจ้าปลอดภัย” 

สิ้นเสียงเทพี ผมก็สัมผัสถึงพลังเอ่อล้นในร่างกายบางอย่าง ราวกับตอนที่ผมปลดพลังใหม่ ๆ ตอนยืนต่อหน้ารูปปั้นแม่ในบ้านพักหมายเลข 10 ยังไงอย่างนั้นเลย เดม่อนเงยหน้าขึ้นมองแม่ของตน


“ขอบคุณครับ” เดม่อนพูดขึ้นก่อนหญิงสาวค่อย ๆ สลายไป ไม่พูดอะไรทิ้งผมไว้กับความว่างเปล่าเช่นเดิม เดม่อนเดินลงมาจากหอกระจก เขาชักสงสัยเหลือเกินว่าพลังใหม่ของเขาจะเป็นพลังอะไรกันนะ หรือจะเป็นมนต์มหาเสน่ห์อย่างที่พี่ไพเพอร์เคยใช้ เดม่อนเดินไปตามท้องถนนอย่างครุ่นคิดเรื่องพลังใหม่


เขามองตามทาง ก่อนจะปลอดผู้คนและแปลงกายเป็นพิราบเพื่อบินมุ่งหน้าสู่ดีทรอยต์ หวังว่าคราวนี้คงจะไม่เจออันตรายอะไรมากมายนัก แต่นั่นคงเป็นไปไม่ได้สำหรับเดมี่ก็อตเพียงคนเดียวที่อยู่ข้างนอก แม้ว่าจะไม่ใช่สามมหาเทพที่ดึงดูดหนักกว่าเขา ทำให้นั่นเป็นอีกข้อได้เปรียบ





ถวายศรัทธาแก่อะโฟร์ไดต์ 2000 ศรัทธา
ความโปรดปรานหัวใจ +100 แต้ม

ปลดล็อก มนต์มหาเสน่ห์ (+20 POW)
Level 50 มีความโปรดปรานเทพหัวใจ 6 ดวง
เป็นอาวุธที่ทรงพลังของเหล่าบุตรธิดาแห่งอะโฟร์ไดท์ พวกเขาจะใช้มนต์เสน่ห์ในการพูดโน้มน้าว เกลี้ยมกล่อมเป้าหมายที่มีจิตใจอ่อนแอ ทำให้พวกเขาหลงคาร์มของคุณคล้อยตามอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะใช้กับมนุษย์ธรรมดามักจะได้ผล เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤตตรงหน้า อาทิ คุณจำเป็นต้องใช้รถ สามารถใช้มนต์เสน่ห์พูดโน้มน้าวคนขับรถจนเขาคล้อยตามและมอบรถให้คุณ
-10 ตื่นรู้







แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-12] อะโฟร์ไดท์ เพิ่มขึ้น 100 โพสต์ 2024-6-20 08:22
God
คุณได้รับ --2000 ความศรัทธา โพสต์ 2024-6-20 08:22
โพสต์ 13381 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-6-20 08:21
โพสต์ 13,381 ไบต์และได้รับ +4 EXP +4 เกียรติยศ +6 ความกล้า +2 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-6-20 08:21
โพสต์ 13,381 ไบต์และได้รับ +2 เกียรติยศ +5 ความกล้า จาก ทักษะดาบ  โพสต์ 2024-6-20 08:21

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ -10 ย่อ เหตุผล
God -10

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
มนต์มหาเสน่ห์
ดาบเธซีอุส
หมวกนีเมียน
ทักษะดาบ
นาฬิกาสปอร์ต
แปลงร่าง
ล็อคเก็ตรูปหัวใจ
รองเท้าเซฟตี้
กำไลหินนำโชค
หอมเย้ายวน
ตาหลากสี
เกราะหนัง
โล่อัสพิส
โรคสมาธิสั้น
โรคดิสเล็กเซีย(กรีก)
เสน่ห์อันเลิศล้ำ
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x7
x10
x1
x2
x1
x11
x2
x8
x1
x2
x1
x3
x2
x1
x18
x1
12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้